(เฉลย) ใบงาน
“วิเคราะห์ บทอา่ น ยดึ หลัก 3Rs ช่วยโลกลดขยะ”
แนวคาตอบ
ขอ้ เท็จจรงิ
- R แรกคือ Reduce ใช้น้อยหรอื ลดการใช้
- Reuse ใชซ้ ้า การนาบรรจภุ ัณฑห์ รือวัสดเุ หลอื ใชก้ ลบั มาใชอ้ กี โดยไม่ผา่ นกระบวนการแปรรปู
- Recycle การคดั แยกขยะที่สามารถนามารีไซเคิล
- Repair การซ่อมแซม เพอ่ื ลดการซ้อื ใหม่
- Replace การแทนที่ หมายถงึ การเลอื กใช้บรรจภุ ณั ฑ์แทนพลาสติกใชค้ ร้ังเดียวทง้ิ
ขอ้ คดิ เห็น
- การตระหนักและความซอ่ื สัตย์ตอ่ ตวั เองในการจบั จ่าย ซ้ือสนิ ค้าใหส้ ามารถลดขยะหรือลดพลาสติกใช้คร้ังเดียว
ทง้ิ ไดจ้ ะต้องเขม้ งวดในการปฏิบัติตนจนกลายเป็นนสิ ยั
- Replace การแทนที่ ซึ่งจะทาใหก้ ารใชช้ ีวิตประจาวนั ของเรามีความเขม้ งวดในการรักษโ์ ลกมากย่งิ ขึ้น
- การเลือกใชบ้ รรจภุ ณั ฑ์แทนพลาสติกใช้คร้งั เดียวทงิ้ เช่น ใช้แปรงสฟี นั ด้ามไม้ไผแ่ ทนแปรงสีฟันด้ามพลาสติก
ใชไ้ หมขัดฟนั จากไหมธรรมชาติ หรอื แมแ้ ตก่ ารเลือกสนิ คา้ ทใี่ ช้บรรจภุ ัณฑ์ รักษ์โลก เช่น ใบบวั หรือใบตองหอ่ อาหาร
จานกาบหมาก เปน็ ตน้ แม้จะยงั ก่อให้เกิดขยะอยบู่ า้ ง แต่ก็ดีกว่าการใช้พลาสติกคร้งั เดยี วทง้ิ เพราะยอ่ ยสลายได้
- ยงั มี R ตัวอื่น ๆ ที่หลายคนอาจจะพอคุน้ หกู นั อยู่บา้ ง
- แม้การซ้อื สนิ คา้ ใหมจ่ ะสะดวกกว่าการซ่อม ทว่าการซ่อมแซม ของใช้เองอาจทาใหเ้ รามีความสุขมากกว่าการออกไป
ซอ้ื ของใหม่
- หากทุกคนปฏบิ ตั ิตัวเข้มงวดต่อหลกั 3Rs จะช่วยลดขยะพลาสติกบนโลกลงไดจ้ านวนมหาศาล และใครทาได้
มากกว่านนั้ ก็จะยงิ่ ช่วยดแู ลโลกมากย่ิงข้นึ
-173-
-173-
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๒ ช่ือหน่วย สะท้อนสารผา่ นวนิ ิจฉยั แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑๕ เวลา ๑ ชั่วโมง
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เร่ือง สรรพสารวเิ คราะห์ (๑) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๒
สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด รายวิชา ภาษาไทย ๒
-174- การรับรู้ข้อมลู ข่าวสารทีเ่ ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ กจิ กรรมการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้
และข้อคดิ เห็นผรู้ ับสารหรอื ผู้อ่านจะต้องรู้จักวเิ คราะห์ ขั้นนา ห้องสมุด
ขอ้ มลู ท่ีไดร้ บั ไตร่ตรองอยา่ งมเี หตุผล เพือ่ ให้ได้ข้อมูล นกั เรียนอาสาสมัคร 2 คน ยกตัวอยา่ งการสนทนากบั เพื่อน สอ่ื
ท่มี ีประโยชน์ เหมาะสม ถกู ต้อง ชัดเจน กอ่ ให้เกดิ ก่อนเขา้ เรยี น จากนน้ั เพ่ือน ๆ ชว่ ยกันแสดงความคิดเหน็ วา่ ๑. ตวั อยา่ งบทสนทนา
ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลเมอ่ื นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวั บทสนทนาดังกล่าวเป็นขอ้ เท็จจริองหรอื ข้อคิดเหน็ 2. ใบงาน “บทสนทนาของต้นกบั เตย้ ”
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ขั้นสอน 3. ใบงาน “วิเคราะหข์ ้อเทจ็ จริงและข้อคดิ เห็นจากบทสนทนา
จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นจบั ค่กู บั เพ่ือนทาใบงาน “บทสนทนาของตน้ ในชีวติ ประจาวัน”
ด้านความรู้ กบั เตย้ ” จากน้นั ออกมานาเสนอหน้าช้ันเรียน เพอ่ื น ๆ ภาระงาน/ชน้ิ งาน
อธบิ ายลกั ษณะของขอ้ เทจ็ จริงและข้อคิดเห็น ชว่ ยกันตรวจสอบ โดยครูใหค้ าแนะนาเพ่ิมเติม 1. การทาใบงาน “บทสนทนาของต้นกบั เต้ย”
ดา้ นทักษะและกระบวนการ 2. นกั เรียนบันทึกบทสนทนาเก่ียวกบั เหตกุ ารณ์ 2. การทาใบงาน “วิเคราะห์ข้อเท็จจรงิ และข้อคดิ เห็น
วิเคราะห์ข้อเทจ็ จรงิ และข้อคิดเหน็ จากบทสนทนา ในชีวิตประจาวันของตนเอง ในใบงาน “วิเคราะหข์ ้อเทจ็ จริง จากบทสนทนาในชีวิตประจาวัน”
ในชีวติ ประจาวนั ” และข้อคิดเห็นจากบทสนทนาในชีวิตประจาวัน”
ด้านคณุ ลกั ษณะ ๓. นกั เรียนอาสาสมคั รจานวน ๒ - ๓ คน ออกมานาเสนอ การวัดและประเมินผล
๑. ใฝ่เรียนรู้ หนา้ ชัน้ เรียน เพื่อน ๆ ชว่ ยกันตรวจสอบ โดยครใู ห้คาแนะนา -
๒. ม่งุ มัน่ ในการทางาน เพม่ิ เติม
ขนั้ สรปุ
นกั เรียนร่วมกนั สรปุ ประโยชน์ของการแยกแยะขอ้ เท็จจริง
ในการนาไปปรบั ใชช้ วี ิตประจาวัน
-174-
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ ชื่อหน่วย สะท้อนสารผา่ นวินิจฉยั แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑๕ เวลา ๑ ชั่วโมง
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย เร่ือง สรรพสารวเิ คราะห์ (๑) ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
สมรรถนะท่ตี ้องการให้เกิดกับผู้เรยี น รายวิชา ภาษาไทย ๒
1. การสอ่ื สาร
2. การคดิ ขน้ั สูง
-175-
-175-
ใบงาน
“บทสนทนาของตน้ กบั เตย้ ”
ต้น : “เต้ย ทาไมวันนี้ใสเ่ สอื้ สเี ขียวละ่ ”
เตย้ : “ก็คดิ ว่ามันเหมาะกบั อากาศหน้าร้อน เพราะเปน็ ผา้ ฝา้ ย”
ต้น : “แต่วันนี้ถา้ ใสเ่ สื้อสเี ขยี ว มนั เป็นสไี มด่ นี ะ จะโชคร้ายไดน้ ะ”
เตย้ : “จริงหรอื ต้นรไู้ ด้อย่างไร”
ต้น : “เชื่อเราสิ เราฟงั คนอืน่ บอกกันมา ใคร ๆ กเ็ ช่อื กัน”
เตย้ : .....................................................................................................
คาถาม
1. บทสนทนาดังกลา่ ว มีเนอื้ หาเกีย่ วกับอะไร
ตอบ ............................................................................................................................. ............................
....................................................................................................................................................................
2. ข้อเท็จจริงจากบทสนทนาดังกลา่ วคืออะไร
ตอบ .........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................
3. ข้อคิดเหน็ จากบทสนทนาดงั กล่าวคืออะไร
ตอบ ............................................................................................................................. ............................
....................................................................................................................................................................
4. หากนกั เรยี นเปน็ เต้ย จะเชื่อตน้ หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ .........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................
-176-
-176-
(เฉลย) ใบงาน
“บทสนทนาของต้นกบั เตย้ ”
ตน้ : “เตย้ ทาไมวันน้ีใสเ่ สือ้ สีเขียวล่ะ”
เตย้ : “กค็ ิดวา่ มนั เหมาะกบั อากาศหน้ารอ้ น เพราะเป็นผา้ ฝา้ ย”
ตน้ : “แตว่ นั น้ีถา้ ใสเ่ สื้อสีเขียว มนั เปน็ สีไมด่ นี ะ จะโชครา้ ยได้นะ”
เต้ย : “จริงหรือ ต้นรไู้ ด้อยา่ งไร”
ต้น : “เชอ่ื เราสิ เราฟังคนอื่นบอกกันมา ใคร ๆ กเ็ ชอ่ื กนั ”
เตย้ : .....................................................................................................
คาถาม
1. บทสนทนาดงั กล่าว มีเนอ้ื หาเกย่ี วกบั อะไร
ตอบ การใส่เส้อื สเี ขยี ว
2. ข้อเท็จจรงิ จากบทสนทนาดังกล่าวคอื อะไร
ตอบ เต้ยใสเ่ สื้อสเี ขียว
2. ข้อคิดเห็นจากบทสนทนาดงั กลา่ วคอื อะไร
ตอบ เตย้ ไมค่ วรใส่เส้อื สีเขยี ว เพราะเป็นสีไมเ่ ป็นมงคล
3. หากนักเรียนเปน็ เตย้ จะเชื่อตน้ หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ ไม่เช่ือ เพราะไม่มีหลกั ฐานพสิ ูจนไ์ ด้
-177-
-177-
ใบงาน
“วิเคราะหข์ ้อเทจ็ จริงและข้อคดิ เหน็ จากบทสนทนาในชีวิตประจาวนั ”
คาชี้แจง ให้นักเรยี นเขียนบทสนทนาในชีวติ ประจาวัน คนละ ๑ บทสนทนา จากนั้นวเิ คราะห์ข้อเทจ็ จริงและขอ้ คดิ เห็น
จากบทสนทนาดังกลา่ ว
บทสนทนาในชวี ิตประจา้ วัน
ข้อเทจ็ จริง ขอ้ คิดเห็น
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
................................................................................... ...................................................................................
-178-
-178-
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ ช่ือหน่วย สะท้อนสารผา่ นวนิ จิ ฉยั แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๑๖ เวลา ๑ ชั่วโมง
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง สรรพสารวเิ คราะห์ (๒) ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๒
รายวิชา ภาษาไทย ๒
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด กิจกรรมการเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้
การรับรขู้ อ้ มูลขา่ วสารที่เปน็ ข้อเท็จจรงิ และข้อคิดเห็น ข้นั นา ห้องสมุด
นกั เรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น “เมื่อนักเรียนเรียนจบ สอ่ื
ผรู้ บั สารหรือผู้อ่านจะต้องรจู้ ักวิเคราะหข์ ้อมูลท่ีได้รับ นกั เรียนอยากมีอาชีพใด” พร้อมระบเุ หตุผล ใบงาน “ความคดิ เห็นและความเปน็ จรงิ ของอาชีพ
ไตร่ตรองอยา่ งมีเหตุผล เพื่อให้ไดข้ ้อมูลทมี่ ปี ระโยชน์ ในฝนั ”
เหมาะสม ถูกต้อง ชดั เจน กอ่ ให้เกดิ ประสิทธภิ าพ แนวคาตอบ
และประสิทธิผลเมื่อนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั หมอ วศิ วกร ยทู ูปเบอร์ นักร้อง ค้าขาย ฯลฯ
-179- จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ขนั้ สอน ภาระงาน/ชน้ิ งาน
ด้านความรู้ ๑. นกั เรยี นแบง่ กลุม่ ตามความสมัครใจ กลมุ่ ละ ๓ คน การทาใบงาน “ความคดิ เหน็ และความเป็นจริงของ
ระบลุ กั ษณะของข้อเท็จจริงและขอ้ คดิ เหน็ แตล่ ะกลมุ่ แล้วเล่าอาชพี ในฝันของตนเองให้เพื่อนฟัง อาชพี ในฝัน”
ดา้ นทักษะและกระบวนการ
วิเคราะห์ข้อเท็จจรงิ และข้อคิดเห็นจากการเลือกอาชพี ๒. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ เลอื กอาชพี ทกี่ ลุ่มของตนสนใจ การวดั และประเมนิ ผล
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ กลุ่มละ ๑ อาชีพ จากนั้นรว่ มกนั อภิปราย ดงั น้ี -
๑. ใฝเ่ รียนรู้
๒. มุง่ มัน่ ในการทางาน - ขอ้ เท็จจริงจากอาชีพน้ี คืออะไร
สมรรถนะทต่ี ้องการใหเ้ กดิ กับผ้เู รียน - ข้อคดิ เหน็ จากอาชีพน้ี คอื อะไร
1. การสอื่ สาร * สามารถหาข้อมูลจากส่ือต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร
2. การคดิ ขั้นสูง สอื่ ออนไลนไ์ ด้
3. ผแู้ ทนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอการวิเคราะห์ข้อเท็จจรงิ
และข้อคิดเหน็ จากอาชพี ท่ีกลุม่ ตนเองเลือก เพอื่ น ๆ ช่วยกัน
ตรวจสอบ โดยครูใหค้ าแนะนาเพม่ิ เติม
-179-
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ ช่ือหน่วย สะท้อนสารผา่ นวินจิ ฉัย แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๖ เวลา ๑ ชั่วโมง
กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย เร่อื ง สรรพสารวเิ คราะห์ (๒) ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
รายวิชา ภาษาไทย ๒
ข้นั สรุป
๑. นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายในประเด็น “ประโยชน์
ของการวิเคราะห์ข้อมลู ทเี่ ปน็ ข้อเท็จจรงิ และข้อคิดเห็น
จากสื่อต่าง ๆ”
๒. นักเรียนทาแบบทดสอบประจาหนว่ ยการเรียนรู้
-180-
-180-
ใบงาน
“ขอ้ เทจ็ จริงและข้อคดิ เหน็ จากอาชีพในฝันของตนเอง”
คาช้แี จง ให้นักเรยี นเลือกอาชพี ทีส่ นใจ จากนนั้ เขยี นอภิปรายในประเดน็ ทีก่ าหนด
อาชีพ.................................
ข้อเทจ็ จรงิ จากอาชพี นี้ คือ ข้อคิดเหน็ จากอาชพี น้ี คือ
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
.................................................................................. ..................................................................................
................................................................................. .................................................................................
-181-
-181-
แบบทดสอบประจาหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2
“สะท้อนสารผ่านวนิ ิจฉยั ”
๑. นกั เรียนคดิ วา่ ข้อเท็จจริงและข้อคิดเหน็ มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย
คาตอบ .............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................................
..................................................................................................................................................................... ......
๒. จดุ มุ่งหมายของการแต่งโคลงภาพพระราชพงศาวดาร ตอน พระสรุ ิโยทยั ขาดคอชา้ ง และตอนพนั ท้ายนรสงิ ห์
ถวายชวี ติ และคอื อะไร และมีลกั ษณะคาประพนั ธ์ประเภทใด
คาตอบ ............................................................................................................................................. ................
........................................................................................................................................................................ ...
............................................................................................................................ ...............................................
............................................................................................................................. ..............................................
..................................................................................................................................................... ......................
๓. นงคราญองค์เอกแกว้ กระษัตรยี ์
มานมนัสกตั เวที ยงิ่ ล้า
เกรงพระราชสามี มลายพระ ชนมเ์ ฮย
ขบั คเชนทรเข่นค้า สะอกึ สดู้ ัสกร
ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายใจความสาคญั ของโคลงบทนี้ และบอกคณุ ธรรมทีส่ าคญั ที่ปรากฏในเนือ้ หาของโคลงบทน้ี
คาตอบ .............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................................
................................................................................................................................ ...........................................
4. นักเรยี นคิดว่าลกั ษณะเด่นของโคลงภาพพงศาวดาร ตอนพระสรุ ิโยทยั ขาดคอชา้ ง คอื อะไร จงอธิบาย
คาตอบ ............................................................................................................................................. ................
....................................................................... ................................................................................................. ...
............................................................................................................................. ..............................................
5. หากนักเรียนเปน็ พันท้ายนรสิงห์ นักเรียนจะรบั ผิดชอบส่งิ ทตี่ นกระทาและขอใหช้ ีวิตตนเองหรือไม่ เพราะเหตุใด
คาตอบ .............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................................
...................................................................................................................................................... .....................
-182-
-182-
(เฉลย) แบบทดสอบประจาหน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2
“สะท้อนสารผ่านวินิจฉยั ”
๑. นกั เรียนคิดวา่ ข้อเทจ็ จริงและข้อคดิ เห็นมลี ักษณะแตกต่างกันอย่างไร จงอธบิ าย
คาตอบ
ลกั ษณะของขอ้ เท็จจริง
๑. มีความเปน็ ไปได้
๒. มคี วามสมจรงิ
๓. มหี ลักฐานเชอื่ ถอื ได้
๔. มคี วามสมเหตุสมผล
ลักษณะของขอ้ คิดเห็น
๑. เปน็ ขอ้ ความท่ีแสดงความร้สู กึ
๒. เป็นขอ้ ความท่ีแสดงการคาดคะเน
๓. เปน็ ขอ้ ความที่แสดงการเปรยี บเทยี บหรอื อปุ มาอปุ ไมย
๔. เป็นขอ้ ความทีเ่ ปน็ เปน็ ข้อเสนอแนะหรือเป็นความคิดของผพู้ ูดและผู้เขยี นเอง
๒. จดุ มุ่งหมายของการแต่งโคลงภาพพระราชพงศาวดาร ตอน พระสรุ ิโยทัยขาดคอช้าง และตอนพนั ท้ายนรสิงห์
ถวายชวี ิต และคอื อะไร และมีลักษณะคาประพันธ์ประเภทใด
คาตอบ
- เพือ่ สดดุ ีวรี กรรมของสมเด็จพระสุริโยทัยท่ีมีความรัก และความเสยี สละพระชนมช์ ีพ ช่วยปกปอ้ งพระสวามี
จากขา้ ศกึ ใหร้ อดพระชนมช์ ีพ
- เพื่อสดุดีวีรกรรมของพนั ท้ายนรสิงห์ทีย่ อมเสยี สละชวี ิตของตนเองเพื่อรักษาพระราชกาหนดที่มีมาทุกสมยั
มิให้เสอื่ มเสียและสูญหายไปเพราะตนเพียงคนเดยี ว
- ลกั ษณะคาประพันธ์ประเภท โคลงสส่ี ุภาพ
๓. นงคราญองค์เอกแกว้ กระษัตรีย์
มานมนัสกัตเวที ยิ่งล้า
เกรงพระราชสามี มลายพระ ชนมเ์ ฮย
ขับคเชนทรเขน่ ค้า สะอกึ สดู้ ัสกร
ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายใจความสาคญั ของโคลงบทนี้ และบอกคณุ ธรรมทส่ี าคัญที่ปรากฏในเนือ้ หาของโคลงบทน้ี
คาตอบ
- ใจความสาคญั คือ พระสรุ โิ ยทยั เกรงว่าพระราชสวามจี ะสิ้นพระชนม์ ด้วยความกตญั ญจู ึงขบั ชา้ ง
เข้าตอ่ ส้กู ับข้าศกึ ศัตรู
- คณุ ธรรมที่สาคัญ คอื ความกตญั ญู
-183-
-183-
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๓
“โนม้ น้าวใจให้เชอ่ื ถอื ”
-๑๘๕-
ชุดการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ (สาหรับครผู สู้ อน) กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษา
-185-
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี ๓ โน้มน้าวใจให้เชอื่ ถือ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑ เวลา ๑ ช่ัวโมง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง เล่าเรียนเขียนอ่าน (๑) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒
รายวชิ า ภาษาไทย ๕
สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
-186- การโนม้ น้าวใจ คอื การพยายามเปลย่ี น กิจกรรมการเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้
ข้นั นา ห้องสมดุ
ความเชือ่ ทัศนคติ ค่านยิ ม และการกระทา นักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับการใชภ้ าษาจอา สอ่ื
ของบุคคลอ่ืนด้วย โดยเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสม แถบข้อความทต่ี ิดบนกระดาน 1. ใบความรู้ “การโนม้ น้าวใจ”
ใหม้ ีผลกระทบใจผ้นู ้นั จนเกดิ การยอมรับ 2. ใบงาน “เมื่อแพะกลายเป็นสุนขั ”
และเปลีย่ นตามผู้โนม้ น้าวใจต้องการ “พวกเราควรกินผลไม้และด่มื นา้ มาก ๆ
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ถา้ อยากใหผ้ วิ พรรณผ่องใส” ภาระงาน/ช้นิ งาน
ด้านความรู้ การทาใบงาน “เม่ือแพะกลายเปน็ สนุ ขั ”
๑. บอกความหมายของการโนม้ น้าวใจ แนวคาตอบ การวดั และประเมินผล
2. บอกข้อสงั เกตงานเขยี นประเภทโนม้ น้าวใจ ข้อความใช้ภาษาหรือใช้คาท่ีนา่ เชือ่ ถือ เกดิ ความรูส้ ึก การประเมนิ การทางานกลุ่ม
3. ระบุหรือจาแนกข้อสงั เกตและความ หรืออารมณร์ ่วมกนั แสดงใหเ้ ห็นขอ้ ดีหากกระทาตาม ทาให้
สมเหตสุ มผลของงานเขยี นประเภทโนม้ นา้ วใจ เมอ่ื ไดอ้ ่านขอ้ ความนแ้ี ล้ว ผ้อู ่านมคี วามสนใจท่ีจะรบั ประทาน
ดา้ นทักษะและกระบวนการ ผลไม้ หรอื ดมื่ นา้ มากขึน้ กวา่ เดมิ
แสดงความคิดเห็นจากสอ่ื โฆษณา
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ ขน้ั สอน
๑. ใฝเ่ รยี นรู้ 1. นกั เรยี นแบง่ กลุ่มตามความสมัครใจ กลุม่ ละ 3 - 4 คน
๒. มงุ่ ม่ันในการทางาน แต่ละกลมุ่ ศึกษาใบความรู้ “การโนม้ น้าวใจ” จากนนั้
สมรรถนะทีต่ ้องการใหเ้ กิดกับผู้เรียน สรปุ ความรู้ท่ีไดร่ บั จากการศกึ ษา
2. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มทาใบงาน “เม่ือแพะกลายเปน็ สนุ ขั ”
3. ผู้แทนกลุ่มออกมานาเสนอหนา้ ช้ันเรยี น เพอ่ื น ๆ ชว่ ยกนั
ตรวจสอบ โดยครใู ห้คาแนะนาเพ่ิมเติม และสนทนาถงึ สาเหตทุ ่ี
-186-
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๓ โนม้ นา้ วใจใหเ้ ชอื่ ถือ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ เวลา ๑ ช่ัวโมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒
การสอ่ื สาร เร่ือง เล่าเรยี นเขียนอา่ น (๑)
รายวชิ า ภาษาไทย ๕
ขนั้ สรุป
นักเรียนร่วมกนั สรปุ ลกั ษณะภาษาท่มี ีการโนม้ นา้ วใจ จากนั้น
บันทกึ ลงในสมดุ
-187-
-187-
แถบขอ้ ความ
“พวกเราควรกนิ ผลไมแ้ ละดมื่ นา้ มาก ๆ
ถ้าอยากใหผ้ ิวพรรณผอ่ งใส”
--118888--
ใบความรู้
“การโน้มนา้ วใจ”
การโนม้ นา้ วใจ
การโน้มน้าวใจ การโน้มน้าวใจเป็นการพยายามเปลี่ยนความเช่ือ ทัศนคติ ค่านิยม และการกระทา
ของบุคคลอน่ื โดยเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลน้ัน ท้ังใช้วัจนภาษาคือคาพูด และอวัจนภาษา
คอื กิริยาท่าทางต่าง ๆ จนเกิดการยอมรบั และยอมเปล่ียนตามที่ผู้โน้มน้าวใจประสงค์ การโน้มน้าวใจนี้มีท้ังที่
เจตนาดแี ละทแี่ ฝงเจตนาร้าย
หลักสาคัญท่ีสุดในการโน้มน้าวใจ คือการทาให้ผู้ถูกโน้มน้าวเช่ือว่า ถ้าทาตามท่ีผู้โน้มน้าวชักนาแล้ว
กจ็ ะได้รับผลตอบสนองตามความต้องการของตนนนั้ เอง แต่ตราบใดทไี่ ม่เกิดความเชอื่ ตามการโนม้ น้าวใจแล้ว
ยังถือว่าเป็นการโน้มน้าว แต่ทว่ายังโน้มน้าวไม่สัมฤทธ์ิผล เช่น การซ้ือสินค้าที่มีผู้มาเชิญชวนแกมบังคับ
หรือขอร้องให้ซื้อโดยโน้มน้าวใจว่าจะนารายได้ไปทาการกุศล หากผู้ถูกโน้มน้าวเชื่อว่าซื้อสินค้าแล้วจะได้
บุญกุศลจริง การโน้มน้าวใจนั้นก็จะเกิดผล แต่ถ้าซ้ือโดยไม่ตระหนักว่า การทาเช่นนั้นจะทาให้ได้บุญกุศล
เปน็ แต่เพยี งซื้อเพราะเกรงใจหรอื ต้องการตัดความราคาญ กน็ บั ว่าการโนม้ นา้ วใจนั้นยงั ไม่เกดิ ผลสมั ฤทธิ์
กลวธิ กี ารโนม้ นา้ วใจ
กลวธิ ีการโนม้ น้าวใจแตกต่างกนั ไปตามโอกาสและสถานการณ์ บางทีต้องใช้ระยะเวลานาน และอาจ
ต้องอาศัยสิ่งประกอบอื่น ๆ ช่วย ขึ้นอยู่กับศิลปะเฉพาะตัวของผู้โน้มน้าวและกลวิธีที่ใช้ จึงควรรู้จักกลวิธี
การโน้มน้าวใจที่สาคัญ ๆ ไว้เพื่อใช้ในการวิเคราะห์สารด้วยตนเอง และสามารถนาไปใช้ในการเขียน
เพื่อโน้มน้าวใจด้วย กลวิธโี นม้ นา้ วใจทใี่ ช้อยู่ มดี งั น้ี
1. แสดงใหเ้ ห็นความนา่ เช่อื ถือของผูโ้ นม้ น้าวใจ
ผู้ประสงค์ท่ีจะโน้มน้าวใจผู้อ่ืนต้องแสดงให้เห็นว่าตนมีความรู้จริงเป็นต้นว่า สามารถช้ีแจงเรื่องต่าง ๆ
ได้ละเอียดลออ ยกประเด็นท่ีน่าสนใจมากล่าวได้ถูกต้องแม่นยา อาจนาประสบการณ์ของตนมาเล่าให้ฟัง
หรือใหแ้ นวทางปฏิบัตทิ ่กี อ่ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ขุ แก่ผูป้ ฏบิ ตั ิ
๒. แสดงด้วยเหตผุ ลทห่ี นกั แน่น
ผู้โน้มน้าวใจต้องแสดงให้เห็นว่า เรื่องท่ีตนกาลังโน้มน้าวอยู่นั้นมีเหตุผลหนักแน่น และมีค่าควรแก่
การยอมรบั อยา่ งแทจ้ ริง
--118899--
ใบความรู้
“การโนม้ นา้ วใจ” (ตอ่ )
๓. ทาใหเ้ กิดความรสู้ กึ หรอื อารมณร์ ว่ มกนั
บุคคลที่มีความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วมกัน ย่อมคล้อยตามกันได้ง่ายกว่าบุคคลท่ีมีความรู้สึก
เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ผู้โน้มน้าวใจจะต้องแสดงให้เห็นว่า ตนกับบุคคลที่ตนกาลังโน้มน้าวใจนั้นมีความรู้สึก
หรืออารมณ์ร่วมกัน เช่น มีความนิยมเชื่อถือในส่ิงเดียวกัน เคารพรักบุคคลหรือสถาบันเดียวกัน รังเกียจ
บุคคลหรือส่ิงเดยี วกนั
๔. แสดงใหเ้ หน็ ทางเลอื กทั้งดา้ นดแี ละดา้ นเสยี
การโน้มน้าวใจหากแสดงแต่เฉพาะด้านดีเท่านั้น อาจสัมฤทธ์ิผลไดย้ ากหรืออาจไม่สัมฤทธ์ิผล
เลยก็ได้ แต่ถ้าช้ีให้เห็นด้านที่ไม่ดีด้วย เพื่อให้ผู้ท่ีถูกโน้มน้าวใจมีโอกาสใช้วิจารณญาณของตนเอง
เปรียบเทียบจนเชอ่ื ว่าเรอ่ื งทีช่ แ้ี นะนน้ั มีดา้ นดมี ากกวา่ กจ็ ะทาให้การโน้มนา้ วใจสัมฤทธิผ์ ลได้
๕. สรา้ งความหรรษาใหแ้ กผ่ ถู้ ูกโน้มนา้ วใจ
การโน้มน้าวใจถ้าใช้วธิ กี ารทาให้เกดิ อารมณ์ขันแบบท่ีเล่นทจี่ ริง หรอื ยกตัวอย่างเร่ืองตลกบ้าง
จะทาให้ไม่เกดิ ความรู้สึกตอ่ ตา้ น และผู้ถูกโนม้ น้าวก็พร้อมที่จะคล้อยตามไดง้ ่าย
๖. เร้าให้เกดิ อารมณอ์ ยา่ งแรงกล้า
เม่ือมนุษย์เกิดอารมณ์ขึ้นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าดีใจ เสียใจ โกรธแค้น วิตกกังวล หวาดกลัว
หรือลังเลใจ อารมณ์เหล่าน้ีมักทาให้มนุษย์ไม่ใช้เหตุผลอย่างถ่ีถ้วน ขาดการพินิจพิจารณาความถูกต้อง
ความเหมาะ ความควร อาจทาให้ขาดสติหลงลืมตัวไปช่ัวระยะหน่ึงได้ และเมื่อต้องตัดสินใจขณะที่อยู่ใน
สภาพอารมณ์ดังกล่าว ก็อาจตัดสินใจคล้อยตามผู้โน้มน้าวใจได้ง่าย ดังเช่นพราหมณ์ที่กาลังแบกแพะ
ไปบูชายัญ คิดไปเองวา่ แพะนัน้ เป็นปศี าจเพราะกลายรา่ งเปน็ สุนัขใหช้ าย ๖ คนเหน็
๗. ใหข้ อ้ มูลแต่ด้านดี ไม่พดู ถึงด้านเสยี
การให้ข้อมูลท่ีไม่สมบูรณ์มักปรากฏในข้อความโน้มน้าวใจของผู้ผลิตสินค้าและผู้ให้บริการ เช่น
ผู้ผลติ ยากลา่ วถึงลกั ษณะท่ีดีงามของยาอยา่ งละเอยี ด แต่ไมก่ ล่าวถึงข้อจากัดของยา เช่น ไมค่ วรใชส้ าหรับ
คนบางกลุ่ม ผู้ให้บริการกล่าวถึงการให้บริการต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ น่าสนใจ ผู้บริโภคเสียค่ารับบริการ
ในราคาไม่แพง แตไ่ ม่บอกเงอื่ นไข หรือข้อยกเวน้ หรอื บอกไว้ในตาแหน่งที่สังเกตยาก ผู้รับสารที่มีการโน้มนา้ วใจ
ในลักษณะนต้ี ้องระมดั ระวงั อยา่ งยิ่งก่อนซ้อื สนิ ค้า หรอื ใชบ้ รกิ าร
--119900--
ใบความรู้
“การโน้มนา้ วใจ” (ต่อ)
ภาษาโนม้ นา้ วใจ
ผู้โน้มน้าวใจต้องใช้ภาษาเชิงเสนอแนะ ขอร้อง วิงวอนหรือเร้าใจ เลือกใช้คาให้ส่ือความหมาย
ตามท่ีต้องการ ไม่ใช้การข่มขู่บีบบังคับ หรือคุกคามความรู้สึกนึกคิดของบุคคลท่ีต้องการโน้มน้าวใจ
เพราะการทาเช่นน้ันจะทาให้การโนม้ น้าวใจไมส่ มั ฤทธผ์ิ ล
ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงเสนอแนะ
พวกเธอควรกนิ ผลไม้และดมื่ นา้ มาก ๆ ถ้าอยากใหผ้ วิ พรรณผอ่ งใส
ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงขอรอ้ ง
โรงเรียนของเราจะมีช่ือเสียงได้ ส่วนหน่ึงเกิดจากนักเรียน ถ้านักเรียนพยายามทา
โครงงานวทิ ยาศาสตรค์ รง้ั นใ้ี ห้ดีจนชนะการประกวด โรงเรียนของเรากจ็ ะไดช้ อ่ื เสียงมากทีเดยี ว
ตัวอย่างการใช้ภาษาเชงิ วิงวอน
ลกู ชายของผมมเี ลือด AB Negative ซึ่งเปน็ เลือดหายาก ตอ้ งผ่าตัดเอาเนือ้ งอกออก
โดยดว่ น แต่สภากาชาดมเี ลอื ดกลมุ่ น้สี ารองไว้ ไม่พอ ขอทา่ นทมี่ เี ลือดกลุ่มนี้ โปรดชว่ ยชีวติ
ลูกชายผมด้วย ผมมีลกู ชายเพียงคนเดียว เขาเปน็ ลมหายใจของผม ขอความกรุณาตดิ ตอ่
โรงพยาบาลจุฬา ฯ โดยด่วน
ตัวอย่างการใช้ภาษาเชิงเร้าใจ
ถ้าพวกเธอไม่ลงแขง่ โต้วาทีครงั้ น้ี คงไม่มใี ครกล้าลงแขง่ แทนหรอก กลวั วา่ ถา้ แพ้
แลว้ จะถูกประณามว่า ไมเ่ ก่งจริงแล้วยังจะไปแขง่ อกี แต่ถา้ พวกเธอลงแขง่ เราเชื่อวา่ ต้องได้
ชัยชนะกลับมาแน่ ๆ
การใช้วจิ ารณญาณในการรบั สารโน้มนา้ วใจ
การรับสารทั่วไป ผู้รับสารควรใช้วิจารณญาณพิจารณาและรู้เท่าทันว่า ผู้ส่งสารมีวัตถุประสงค์
ทีจ่ ะโน้มนา้ วใจหรือไม่ อย่างไร โดยพิจารณาประเด็นตา่ ง ๆ ดังนี้
1. วิเคราะห์ว่า สารน้ันโน้มน้าวใจให้ทาหรือไม่ให้ทาสิ่งใด ให้เชื่อหรือไม่ให้เช่ือเร่ืองใด เร่ืองนั้น
ๆ ถกู ตอ้ งสมเหตุสมผลหรอื ไม่
๒. ใช้วิจารณญาณวิเคราะห์ว่า สารท่ีโน้มน้าวใจมีเหตุผลที่สมควรเชื่อถือหรือคล้อยตามหรือไม่
เพราะเหตใุ ด
จากหนังสอื เรียนววิ ิธภาษา
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 หนา้ 36 - 39
--119911--
ใบงาน
“เม่อื แพะกลายเป็นสนุ ขั ”
คาช้แี จง ให้นกั เรยี นอ่านเรื่อง “เมื่อแพะกลายเป็นสนุ ัข” แล้วอภิปรายแสดงความคดิ เหน็ จากประเด็น
ทกี่ าหนดให้
เม่ือแพะกลายเปน็ สุนัข
พราหมณ์จะทาพิธีบูชายัญจึงไปหาซ้ือแพะมาตัวหน่ึง ขณะท่ีแบกแพะกลับบ้าน ชาย 6 คนเห็นเข้า
ก็คิดจะหลอกเอาแพะจากพราหมณ์ คนแรกยืนดักหน้าพราหมณ์ แล้วทักว่าจะแบกสุนัขไปไหนหรือ
พราหมณ์นึกขัน ตอบว่าสุนัขที่ไหนกัน แพะแท้ ๆ เดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว ชายคนที่สองก็เข้ามาทักด้วยคาถาม
คล้าย ๆ กัน พราหมณ์ไม่ขัน และยังตอบเหมือนเดิม ไปอีกหน่อย พบชายคนที่สามถามเหมือนเดิมอีกแล้ว
คราวนี้พราหมณ์ชักลังเล วางแพะลงดูให้แน่อีกที คร้ันเห็นว่ายังเป็นแพะตัวเดิมที่ซ้ือมา ก็แบกแพะขึ้นบ่า
เดินต่อไป
สกั พักชายคนที่สี่เดินเข้ามาหาถามว่า จะเอาสนุ ัขไปทาอะไรพราหมณ์ก็ตอบว่า น่ีมันแพะนะจะเอาไป
บูชายัญ ชายคนนั้นหัวเราะแล้วยืนยันว่า เห็นๆ อยู่ว่าเป็นสุนัขแท้ ๆ พราหมณ์ไม่ค่อยสบายใจเดินต่อมา
พบชายคนที่ห้า และต่อมาอีกก็พบชายคนที่หก ทักถามเหมือนกันอีกแล้ว หรือว่าแพะตัวน้ีจะเป็นปีศาจ ถึงได้
กลายร่างเป็นสุนัขให้ใคร ๆ เห็นได้ ถ้าเราขืนแบกมันต่อไป กว่าจะถึงบ้าน มันก็คงแผลงฤทธิ์ทาร้ายเราแน่ ๆ
คิดแล้วพราหมณ์ก็โยนแพะท้ิงแล้ววิง่ ตวั เปลา่ กลับบา้ น ชายทง้ั ๖ คนจึงจับแพะไปเชือดกินกนั
ประเดน็ การอภิปราย
ข้อที่ ๑ ชาย ๖ คนในนิทานใชว้ ธิ กี ารพูดอยา่ งไรจึงทาให้ตัดสินใจโยนแพะท้งิ
คาตอบ ชาย ๖ คน ใช้การพูด...............................................................................................................
ข้อท่ี ๒ หากนักเรยี นเป็นชายคนที่ 2 - 6 จะพูดโดยใชถ้ อ้ ยคาอย่างไรท่ีทาให้พราหมณ์เชื่อวา่ แพะทแี่ บก
มาเป็นสนุ ัข โดยใช้คาท่แี ตกต่างจากชายคนที่ 2 - 6
คาตอบ ชายคนที่ ๒ พดู วา่ .................................................................................................................
ชายคนท่ี ๓ พดู วา่ .................................................................................................................
ชายคนที่ 4 พดู ว่า.................................................................................................................
ชายคนที่ ๕ พูดว่า..................................................................................................................
ชายคนที่ ๖ พูดวา่ ................................................................................................................
--119922- -
(เฉลย) ใบงาน
“เม่ือแพะกลายเป็นสุนขั ”
คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นอ่านเร่ือง “เมอื่ แพะกลายเปน็ สนุ ัข” แล้วอภิปรายแสดงความคิดเห็นจากประเดน็
ทก่ี าหนดให้
ประเดน็ การอภิปราย
ขอ้ ที่ ๑ ชาย ๖ คนในนิทานใช้วธิ กี ารพดู อยา่ งไรจงึ ทาใหต้ ัดสินใจโยนแพะทง้ิ
แนวคาตอบ ชาย ๖ คน ใชก้ ารพดู โน้มน้าวใจให้เปลี่ยนความคดิ วา่ ส่งิ ที่ตนแบกมาคือ สุนขั ไมใ่ ชแ่ พะ
ข้อท่ี ๒ หากนักเรียนเปน็ ชายคนที่ 2 - 6 จะพดู โดยใชถ้ อ้ ยคาอย่างไรที่ทาให้พราหมณเ์ ชือ่ ว่าแพะที่แบกมา
เปน็ สุนขั โดยใชค้ าท่ีแตกต่างจากชายคนที่ 2 - 6
แนวคาตอบ
ชายคนท่ี ๒ ท่านแบกอะไรมาหรอื สงิ่ ทีท่ ่านแบกคือสนุ ัข
ชายคนท่ี ๓ แปลกจริง ทาไมทา่ นพราหมณแ์ บกสนุ ขั
ชายคนที่ 4 เพราะเหตุใดทา่ นจึงเดินแบกสนุ ัขมาเชน่ นี้
ชายคนท่ี ๕ ทา่ นพราหมณ์ ท่านจะแบกสนุ ัขไปทาอะไร
ชายคนที่ ๖ ฮา่ ๆ ตลกจริง ทาไมทา่ นจึงแบกสุนัขเช่นน้ัน
*ครูผสู้ อนพจิ ารณาข้อความตามดลุ ยพินจิ โดยคาตอบอาจจะมเี น้ือหาทค่ี ลา้ ยคลงึ กันโดยการแสดง
เจตนาท่ีทาใหผ้ ู้ฟังเชอ่ื ว่า สิง่ ท่ีแบกมานนั้ คือ สนุ ขั )
-1-19933--
ความร้สู าหรบั ครู
“เม่อื แพะกลายเป็นสนุ ขั ”
ใจหน่ึงก็อยากจะซื้อ ใจหน่ึงก็เสียดายเงิน เป็นคาราพึงของใครคนหน่ึงขณะท่ีเดินดูสินค้า อาจทาให้
รสู้ ึกเหมือนกับว่าคนเราน้ันมีสองใจ แท้ท่ีจริง ใจ ในท่ีน้ีคือความคิด คนเราคิดได้หลายอย่าง ถึงได้มีสานวนว่า
หลายใจ ขึ้นมา คนที่เปลี่ยนใจคือคนที่เปลี่ยนความคิดซึ่งไม่ใช่เรอ่ื งเสียหายถ้าเปลี่ยนแล้วดีข้ึน แต่ถา้ เปล่ียนบ่อย ๆ
จนไม่อยู่กับร่องกับรอย ก็คงไม่มีทางรู้ว่าเปลี่ยนแล้วจะดีหรือไม่ดี กลายเป็นคนใจโลเล เหมือนไม้หลักปักเลน
เอนไปมา คนที่เชื่อคนอื่นง่าย ๆ โดยไม่ย้ังคิด ท่านว่าเป็นคน ใจเบา ราวกับ พกนุ่น ถ้าเชื่อง่าย ยินยอมง่าย ๆ
ให้เขาหลอกไปในทางมิดีมิร้าย คงต้องเรียกว่า ใจง่าย ส่วนคนท่ีไม่เช่ือใครง่าย ๆ ท่านว่าเป็นคน ใจหนักแน่น
เหมือน พกหนิ ทีเดียว
ถึงจะใจหนักแน่นดังท่ีหม่อมเจ้าอิศรญาณทรงนิพนธ์ไว้ในสุภาษิตอิศรญาณ ว่า อันเสาหินแปดศอก
ตอกเปน็ หลัก แต่ถ้า ไปมาผลกั บอ่ ยเข้าเสายังไหว สิ่งท่ีมาผลักน้ันกค็ อื สงิ่ ที่เร้าหรือโน้มน้าวใจใหเ้ หน็ ประโยชน์
ที่จะได้รับ ถ้าได้ยินคร้ังสองครั้งก็ยังมี ใจหนักแน่นอยู่ได้ แต่ถ้ามากรอกหูซ้าแล้วซ้าเล่าก็คงไหวไปตาม
แรงชักชวน การโฆษณาสินค้าที่เซ้าซ้ีอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้หลักเดียวกัน มนุษย์มีความต้องการข้ันพ้ืนฐานที่ผลักดันให้คิด
เชอ่ื และทาสิ่งต่าง ๆ ตามความตอ้ งการความหวิ ผลกั ดนั ใหม้ นุษย์ออกไปแสวงหาอาหาร ความต้องการอยเู่ ป็น
หมู่คณะผลักดันให้มนุษย์ทาตัวให้เหมือนคนอ่ืน ๆ เป็นต้น คาชักชวนด้วยการโน้มน้าวใจว่า ถ้าทาเช่นนี้แล้ว
จะได้ประโยชน์ หรอื จะไม่เสยี ประโยชน์ จงึ กระทบใจมนุษยไ์ ดด้ ี
ชาย 6 คนในนิทานเร่ืองหนง่ึ ในนิทานปัญจตันตระเห็นทีจะรู้หลกั นีด้ ี จงึ โน้มน้าวใจจนพราหมณ์ผู้แบกแพะ
หลงเชื่อว่าตนกาลังแบกสุนัข นิทานเล่าว่า พราหมณ์จะทาพิธีบูชายัญจึงไปหาซื้อแพะมาตัวหนึ่ง ขณะท่ี
แบกแพะกลับบ้าน ชาย 6 คนเห็นเข้าก็คิดจะหลอกเอาแพะจากพราหมณ์ คนแรกยืนดักหน้าพราหมณ์
แล้วทักว่าจะแบกสุนัขไปไหนหรือ พราหมณ์นึกขัน ตอบว่าสุนัขที่ไหนกัน แพะแท้ ๆ เดินต่อไปอีกไม่ก่ีก้าว
ชายคนที่สองก็เข้ามาทักด้วยคาถามคล้าย ๆ กัน พราหมณ์ไม่ขัน และยังตอบเหมือนเดิม ไปอีกหน่อย
พบชายคนท่ีสามถามเหมือนเดิมอีกแล้ว คราวน้ีพราหมณ์ชักลังเล วางแพะลงดูให้แน่อีกที คร้ันเห็นว่ายังเป็น
แพะตัวเดมิ ท่ีซื้อมา ก็แบกแพะขนึ้ บา่ เดินต่อไป
สักพักชายคนที่ส่ีเดินเข้ามาหาถามว่า จะเอาสุนัขไปทาอะไรพราหมณ์ก็ตอบว่า น่ีมันแพะนะจะเอาไป
บูชายัญ ชายคนนั้นหัวเราะแล้วยืนยันว่า เห็นๆ อยู่ว่าเป็นสุนัขแท้ ๆ พราหมณ์ไม่ค่อยสบายใจเดินต่อมา
พบชายคนท่ีห้า และต่อมาอีกก็พบชายคนท่ีหก ทักถามเหมือนกันอีกแล้ว หรือว่าแพะตัวนี้จะเป็นปีศาจ ถึงได้
กลายร่างเป็นสุนัขให้ใคร ๆ เห็นได้ ถ้าเราขืนแบกมันต่อไป กว่าจะถึงบ้าน มันก็คงแผลงฤทธิ์ทาร้ายเราแน่ ๆ
คดิ แล้วพราหมณก์ โ็ ยนแพะท้งิ แล้วว่งิ ตัวเปลา่ กลบั บา้ น ชายทง้ั ๖ คนจงึ จับแพะไปเชอื ดกนิ กัน
-194-
-194-
วิธีการของชายท้ังหก คือ โน้มน้าวใจพราหมณ์ให้เปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนการกระทา คือ คิดว่า
สิ่งที่แบกมาไม่ใช่แพะและเลิกแบกต่อไปแต่เป็นการโน้มน้าวใจที่แฝงเจตนาไม่ดี ชักจูงให้เขาทาเพื่อประโยชน์
ของตนฝา่ ยเดยี วจึงเป็นการชักจงู ทานองเดียวกับการโฆษณาชวนเชือ่ คนท่ตี กเป็นเหย่อื ของการโน้มน้าวใจใน
ลักษณะน้ีได้ง่าย ๆ ก็คือคนที่ “ขาดวจิ ารณญาณ” หลักความเชื่อในกาลามสูตรจึงสอนไว้ข้อหนึ่งวา่ “อย่าถือ
โดยตรึกตามอาการ” ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงอธิบายไวว้ ่า หมายถึง “การ
ได้ฟังเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งท่ีผู้ใดผู้หนึ่งพูด แล้วยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่คิดเห็นว่าถ้าเราถืออย่างน้ีจะดีกว่า
แลว้ เชื่อถอื ตามความคดิ เห็นน้ันอยา่ งนเ้ี รยี กว่าถอื โดยตรกึ ตามอาการ”
ขอ้ คดิ จากเร่อื ง
เร่ือง เมื่อแพะกลายเป็นสุนัข เป็นนิทานที่นามาจากนิทานวานบอก เล่มท่ี ๑ ของศาสตราจารย์
ดร.กุสุมา รักษมณี เป็นเร่ืองที่ผู้เขียนยกมาจากนิทานปัญจตันตระเพ่ือเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติ
ของมนษุ ย์มักเชื่อและทาตามคาชักชวนโน้มน้าวใจ ย่ิงถา้ ถูกโน้มน้าวใจซา้ ๆ ก็ยิง่ เช่ือ ดังเช่นพราหมณ์ผู้กาลัง
แบกแพะไปบูชายัญ เมื่อถูกชาย 6 คนที่ประสงค์จะหลอกเอาแพะจากพราหมณ์ทักซ้า ๆ กันว่าแพะนั้น
เป็นสุนัขพราหมณ์ก็เชื่อและคิดไปว่า แพะน้ันคงเป็นปีศาจจึงกลายร่างเป็นสุนัขให้ชาย ๖ คนนั้นเห็น
และปีศาจแพะอาจทาร้ายตน ความรักตนเองซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทาให้พราหมณ์โยนแพะท้ิง
ชาย 6 คนจงึ หลอกเอาแพะได้สาเรจ็
ในการรับสาร ไม่ว่าจะฟังหรืออ่าน ผู้รับสารต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าข้อความที่ฟังหรืออ่าน
นัน้ สมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ เมื่อมีผู้โนม้ นา้ วหรอื ชักชวนให้ทาส่ิงใดหรือไมใ่ ห้ทาสง่ิ ใด จะต้องรจู้ ัก
วธิ หี ลีกเลย่ี งปฏิเสธเมอ่ื พบว่าการโน้มนา้ วใจนน้ั ไมถ่ กู ต้อง
ความรู้เร่อื งนิทานปัญจตนั ตระ
ปัญจตันตระเป็นช่ือนิทานของอินเดีย เป็นนิทานอุทาหรณ์หรือนิทานสอนใจมีลักษณะเหมือนนิทาน
อีสปของกรีก เดิมแต่งเป็นภาษาสันสกฤตเม่ือประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว ปัญจตันตระเป็นที่นิยมแพรห่ ลายมาก
เพราะประกอบด้วยข้อคิดและข้อสอนใจต่างๆ ในการดาเนินชีวิต เช่น ความสามัคคี ความซ่ือสัตย์
และความพากเพียร เป็นต้น จึงแปลออกเป็นภาษาต่าง ๆ ถึง ๕0 ภาษากลายเป็นนิทานที่เล่าติดปากชาว
อินเดียในปัจจุบัน ผู้เล่าเร่ืองปัญจตันตระคือ วิษณุศรมันเล่าเพื่อเป็นอุบายสอนโอรสผู้ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน
ทั้ง ๓ องค์ของพระเจ้าอมรศักด์ิเร่ืองปัญจตันตระประกอบด้วยนิทานหลัก ๕ เรื่อง ซ่ึงเป็นที่มาของชื่อนิทาน
ปญั จตันตระ แปลว่า ๕ ภาค เร่ืองท้ังห้า ได้แก่ การแตกมิตร การผูกมิตร สงครามและความสงบ การสูญลาภ
และการขาดความยง้ั คดิ
หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา
ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 หน้า 32 - 35
--119955- -
แบบประเมินการทางานกลมุ่
คาช้แี จง ใหค้ รูประเมินการทางานกลุม่ ของนักเรยี นตามรายการประเมิน (คะแนนเต็ม 12 คะแนน)
รายการประเมนิ ๓ ระดับคะแนน ๑
๒
1. การกาหนดบทบาทหนา้ ท่ี กาหนดบทบาทหน้าท่ี ไม่มีการกาหนดบทบาท
2. การมสี ่วนรว่ ม สมาชิกอย่างชัดเจน กาหนดบทบาทหน้าท่ี หนา้ ที่
มสี ว่ นรว่ มในการปฏิบตั ิ สมาชกิ ไมค่ รบถว้ น มสี ่วนร่วมในการปฏิบตั ิ
3. การรบั ฟงั และแสดงความ งานกลมุ่ มสี ว่ นรว่ มในการปฏิบตั ิ งานกลุ่มนอ้ ยมาก
คิดเหน็ รบั ฟงั และแสดงความคดิ เห็น งานกลมุ่ บ้าง หรอื ไมม่ ีสว่ นร่วม
4. ความรบั ผิดชอบ อยา่ งมีเหตผุ ลและสรา้ งสรรค์ รับฟงั และแสดงความคดิ เหน็ รบั ฟังความคดิ เห็นของผู้อน่ื
อย่างสม่าเสมอ อยา่ งมีเหตผุ ลและสร้างสรรค์ น้อยมากหรือไม่รบั ฟงั
รบั ผดิ ชอบงานที่ได้รับ เปน็ บางคร้งั ความคิดเหน็ ผู้อื่น
มอบหมายและเสรจ็ ตามเวลา รบั ผิดชอบงานท่ไี ด้รบั ไม่รบั ผดิ ชอบงานที่ไดร้ บั
ท่กี าหนด มอบหมาย แตเ่ สร็จไมท่ นั มอบหมาย
ตามกาหนด
* การคิดคะแนน รอ้ ยละ = (คะแนนท่ีได/้ คะแนนเตม็ ) x 100
การแปลผลการประเมนิ การแปลผล
เกณฑ์ของระดับคะแนน ดมี าก
ดี
ร้อยละ 80 - ๑๐๐
รอ้ ยละ 70 - 79 พอใช้
รอ้ ยละ 50 - 69 ปรับปรุง
รอ้ ยละ ๐ - 49
-196-
-196-
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๓ โนม้ นา้ วใจใหเ้ ช่ือถือ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๒ เวลา ๑ ชัว่ โมง
กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรอ่ื ง เล่าเรียนเขยี นอา่ น (๒) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๒
สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด รายวิชา ภาษาไทย
กจิ กรรมการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้
การเขยี นจดหมายกจิ ธุระเปน็ การเขยี น ขน้ั นา หอ้ งสมุด
จดหมายตดิ ตอ่ กบั บุคคล องค์กร หา้ งรา้ น นกั เรียนรว่ มกนั สนทนาเก่ียวกับประสบการณ์การเขียนจดหมาย
หนว่ ยราชการ เพอื่ ตดิ ต่อกจิ ธุระของตนเอง ดังนัน้ ของตนเอง เช่น นกั เรียนเคยเขียนจดหมายถึงใคร จดหมายที่นักเรียน สอ่ื
ภาษาทเ่ี ขียนจงึ ควรเป็นทางการ ใช้ภาษาชดั เจน เคยไดร้ ับ เป็นตน้ ๑. ใบความรู้ “การเขียนจดหมายกิจธรุ ะ”
ตรงประเดน็ และเขียนให้ถูกต้องตามรปู แบบ 2. ใบงาน “การเขียนจดหมาย
ของจดหมายกิจธรุ ะ ขัน้ สอน ขอความอนุเคราะห์”
จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. แบง่ นักเรียนเปน็ กลมุ่ ตามความสมัครใจ กลุ่มละ 3 คน แตล่ ะกลุม่
-197- ดา้ นความรู้ ศึกษาใบความรู้ “การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ” จากนน้ั สรปุ ความรทู้ ไี่ ด้ ภาระงาน/ชนิ้ งาน
1. อธบิ ายประเภทของจดหมายสว่ นตัว ศกึ ษา การทาใบงาน “การเขียนจดหมาย
และจดหมายกิจธุระ 2. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกันตอบคาถาม จากตวั อยา่ งจดหมาย ขอความอนุเคราะห์”
2. อธบิ ายวธิ กี ารเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ ขอความอนเุ คราะห์ที่ศึกษาจากใบความรู้ “การเขียนจดหมาย
(จดหมายขอความอนเุ คราะห์) และการจ่าหนา้ ซอง กจิ ธรุ ะ” ดังนี้ การวัดและประเมนิ ผล
3. ระบปุ ระโยชนข์ องการเขียนจดหมายกิจธุระ การประเมินการทางานกลุ่ม
ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ - คาถามท่ี ๑ จดหมายท่ีนกั เรยี นอ่าน เป็นจดหมายท่ใี ครเป็น
เขยี นจดหมายขอความอนุเคราะห์ ผู้เขียน และเขยี นถึง
คาตอบ
ผู้เขยี นจดหมายขอความอนุเคราะหเ์ ข้าศึกษาดงู านองคก์ าร
บรหิ ารสว่ นตาบล คือ ประธานนกั เรียน โรงเรยี นบ้านนาดี
และเขียนถึงนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลไรม่ ะขาม
-197-
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๓ โนม้ นา้ วใจใหเ้ ช่อื ถือ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒ เวลา ๑ ชว่ั โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย เร่อื ง เล่าเรยี นเขียนอ่าน (๒) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒
ดา้ นคุณลกั ษณะ รายวชิ า ภาษาไทย
๑. ใฝ่เรียนรู้ - คาถามท่ี ๒ เพราะเหตุใดจงึ ต้องทาจดหมายขอความ
๒. มุ่งมั่นในการทางาน อนุเคราะห์ศึกษาดงู านที่องค์การบรหิ ารส่วนตาบลไร่มะขาม
สมรรถนะทีต่ ้องการให้เกิดกับผเู้ รยี น คาตอบ
การสื่อสาร เพราะองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลเปน็ ต้นแบบชมุ ชนการบรหิ าร
จัดการขยะเพื่อนาองค์ความรู้ในการบรหิ ารจัดการขยะมาใชภ้ ายใน
-198- โรงเรยี น
3. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกันสรปุ วิธกี ารเขยี นจดหมายกจิ ธุระ โดยครู
ใหค้ าแนะนาเพ่ิมเตมิ
4. นักเรียนแต่ละกลมุ่ ทาใบงาน “การเขยี นจดหมายขอความ
อนเุ คราะห์”
5. ผ้แู ทนกลมุ่ นาเสนอหน้าช้ันเรียน เพื่อน ๆ ช่วยกนั ตรวจสอบ
โดยครูใหค้ าแนะนาเพ่ิมเติม
ขน้ั สรุป
นกั เรยี นร่วมกนั สรุปความรู้เรื่องการเขียนจดหมายกิจธุระ โดยทาเป็น
แผนภาพความคิดบนกระดาน
-198-
ใบความรู้
“การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ”
การเขยี นจดหมายกิจธุระ
จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่เขียนติดต่อระหว่างบุคคลถึงบุคคล บุคคลถึงบริษัทห้างร้าน
หรือเป็นจดหมายของบุคคลถึงส่วนราชการ ใจความในจดหมายระบุชัดเจนว่าต้องการให้เกิดความร่วมมือ
ในเรอื่ งใด มีความจาเป็นอย่างไรจึงต้องขอความร่วมมือช่วยเหลือ การใช้สานวนภาษาต้องสุภาพและให้ความสาคัญ
กับผู้รับจดหมาย จดหมายกิจธุระ ได้แก่ จดหมายลาป่วย จดหมายลากิจ จดหมายขอความร่วมมือหรือขอ
ความชว่ ยเหลอื (การขอความอนเุ คราะห์) จากองคก์ รหรอื หน่วยงานต่าง ๆ จดหมายเชญิ วทิ ยากร
หลกั การเขียนจดหมายกจิ ธุระ
1. พิมพห์ รือเขียนใหถ้ ูกต้องตามรูปแบบของจดหมาย
2. ใชภ้ าษาชดั เจน กระชบั ใช้คาสภุ าพและไม่ใชภ้ าษาพดู ในการเขยี น
3. พิมพ์หรอื เขยี นดว้ ยลายมอื ที่อ่านง่าย เรียบร้อย
4. สะกดคาใหถ้ ูกต้อง ใช้คาถูกต้องตามระดับภาษา กาลเทศะ และบคุ คล
5. ใช้คานา คาขึน้ ตน้ สรรพนาม คาลงท้ายทีเ่ หมาะสมกบั ฐานะของบุคคลและเหมาะสมกับ
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งผู้เขียนกบั ผรู้ ับ
ประเภทของจดหมายกจิ ธรุ ะ
1. จดหมายส่วนตัว เป็นการส่ือสารระหว่างบุคคลท่ีสนิทคุ้นเคยกัน ส่วนใหญ่มีจุดประสงค์เพ่ือเล่า
เร่ืองราวสว่ นตัวหรอื สอบถามเร่อื งราว เช่น ลกู เขียนจดหมายถงึ พ่อแม่ ศษิ ย์เกา่ เขียนจดหมายถงึ ครทู ีเ่ คารพ
2. จดหมายติดต่อธุระ เป็นการส่ือสารเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร ความจาเป็นต่างๆ ท่ีประสงค์ให้ผู้อื่น
หรือองค์กรต่าง ๆ รับทราบเพ่ือนาไปสู่การพจิ ารณาให้ความร่วมมือในเหตุจาเป็น เช่น นักศกึ ษาเขยี นจดหมาย
ขอลาหยดุ เรยี นกรณีเจบ็ ป่วย นักศึกษาเขียนจดหมายขอลาหยุดเรยี นกรณีมีกิจธรุ ะจาเป็นต่างๆ จดหมายติดต่อ
องค์กรภายนอกขอความร่วมมือไปศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายนอก จดหมายขอความอนุเคราะห์วิทยากร
จากองคก์ รอน่ื ๆ เพื่อมาบรรยายหรอื สาธติ ความรู้ต่าง ๆ
--119999--
ใบความรู้
“การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ” (ต่อ)
ตวั อยา่ งจดหมายขอความอนเุ คราะห์
ที่ นด 0615/๒๕๖4 โรงเรียนบา้ นนาดี 99 หมู่ 9
ตาบลปากท่อ อาเภอปากท่อ
จังหวัดราชบรุ ี ๗๐๑๔๐
๖ มกราคม ๒๕๖4
เรอื่ ง ขอความอนุเคราะห์ศึกษาดงู าน
เรยี น นายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบลไร่มะขาม
ด้วยฝ่ายกิจการนกั เรียน โรงเรยี นบ้านนาดี จังหวัดราชบุรี ไดก้ าหนดจดั ทาโครงการศึกษาดูงาน
เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและการบริหารจัดการ ประจาปีงบประมาณ ๒๕๖๓ โดยมีวัตถุประสงค์
เพ่ือสร้างองค์ความรู้ให้กับคณะครเู กี่ยวกับการปฏิบัตงิ านและการบริหารจัดการ โดยหัวข้อท่ีโรงเรียนกาหนด
ในปนี ้ี คอื การบรหิ ารจัดการขยะ
ในการนี้ฝ่ายกิจการนักเรียน โรงเรียนบ้านาดี พิจารณาแล้วว่าองค์การบริหารส่วนตาบล ไร่มะขาม
เป็นหน่วยงานที่ได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบการกาจัดขยะประจาปี ๒๕๖๒ และมีรูปแบบการดาเนินงาน
ท่ีสามารถนาไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอความอนุเคราะห์เพื่อศึกษาดูงานจากองค์การบริหาร
ส่วนตาบลไร่มะขาม ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 โดยมีคณะครูของโรงเรียนบ้านนาดีเข้าร่วมศึกษาดูงาน
จานวน 2๐ คน ทั้งนี้เพื่อนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร
จดั การขยะของโรงเรยี นบ้านนาดีใหม้ ีประสิทธภิ าพมากยิ่งขน้ึ
จึงเรียนมาเพ่ือขอความอนุเคราะห์เข้าศึกษาดูงานในวันท่ี 2 พฤษภาคม 2564 เวลา ๙.๐๐ น.
เป็นต้นไป หวงั เปน็ อย่างย่งิ ว่าจะได้รบั ความอนเุ คราะห์จากท่านดว้ ยดี และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
ขอแสดงความนับถือ
แสงตะวนั รกั เรียน
(นางสาวแสงตะวนั รกั เรียน)
ประธานนกั เรยี น โรงเรยี นบ้านนาดี
ฝา่ ยกจิ การนกั เรียน โรงเรียนบา้ นนาดี
โทร 0 ๓๒๑๒ ๓๔๕๖ ต่อ ๗๘๙
--220000- -
ตวั อยา่ งการจา่ หนา้ ซอง ใบความรู้
“การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ” (ตอ่ )
ชอื่ และทอ่ี ยผู่ ฝู้ าก
นางสาวแสงตะวัน รกั เรียน ท่ีผนึก
โรงเรียนบา้ นาดี 99 หมู่ 9 ตราไปรษณยี ากร
ตาบลปากทอ่ อาเภอปากทอ่
จงั หวัดราชบรุ ี ช่ือและที่อยู่ผูร้ บั
70140 นายกองค์การบริหารสว่ นตาบลไรม่ ะขาม
สานักงานองคก์ ารบริหารส่วนตาบลไรม่ ะขาม
ตาบลไรม่ ะขาม อาเภอบา้ นลาด
จงั หวัดเพชรบุรี
76150
--220011- -
ใบงาน
“การเขียนจดหมายขอความอนุเคราะห”์
คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเขยี นจดหมายขอความอนเุ คราะหเ์ ขา้ ชมหอ้ งสมดุ ในชุมชน เชน่ หอ้ งสมุดหมู่บ้าน
ห้องสมดุ ประชาชน หอ้ งสมดุ ประจาตาบล เปน็ ต้น พรอ้ มจ่าหน้าซองจดหมายใหถ้ กู ต้องตามรปู แบบ
-202-
-202-
ซองจดหมาย
--220033- -
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๓ โน้มนา้ วใจใหเ้ ชอื่ ถือ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๓ เวลา ๑ ชั่วโมง
กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย เร่อื ง เล่าเรียนเขยี นอ่าน (๓) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๒
สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด รายวิชา ภาษาไทย
แหล่งเรยี นรู้
การเขียนจดหมายกจิ ธรุ ะเป็นการเขยี นจดหมาย กจิ กรรมการเรยี นรู้ หอ้ งสมดุ
ติดตอ่ กับบุคคล องค์กร หา้ งร้าน หน่วยราชการ ขน้ั นา
-204- เพอ่ื ติดต่อกิจธรุ ะของตนเอง ดังนัน้ ภาษาทเี่ ขียน นกั เรยี นรว่ มกันบอกประเภทของจดหมายกจิ ธรุ ะ สอ่ื
จึงควรเป็นทางการ ใช้ภาษาชดั เจน ตรงประเด็น ๑. ใบความรู้ “ตวั อย่างการเขียนจดหมาย
และเขยี นให้ถกู ต้องตามรปู แบบของจดหมายกิจธรุ ะ ขน้ั สอน เชิญวิทยากร”
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรยี นแบง่ กลุม่ ตามความสมคั รใจ กล่มุ ละ ๓ คนแตล่ ะกลุม่ 2. ใบงาน “การเขยี นจดหมาย
ด้านความรู้ ศึกษาใบความรู้ “ตัวอยา่ งการเขยี นจดหมายเชิญวทิ ยากร” จากนนั้ ขอเชิญวทิ ยากร”
1. อธบิ ายประเภทของจดหมายส่วนตัว สรุปความรทู้ ่ีได้รับจากการศกึ ษา
และจดหมายกิจธุระ 2. ผู้แทนกลุ่มออกมานาเสนอหน้าชัน้ เรยี น ครูให้คาแนะนาเพิม่ เติม ภาระงาน/ชน้ิ งาน
2. อธบิ ายวธิ ีการเขยี นจดหมายกิจธุระ 4. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ ทาใบงาน “การเขยี นจดหมายขอเชิญวิทยากร” การทาใบงาน “การเขียนจดหมาย
(จดหมายเชญิ วทิ ยากร) และการจา่ หน้าซอง 5. ผูแ้ ทนกล่มุ นาเสนอหนา้ ชั้นเรยี น เพือ่ น ๆ ชว่ ยกันตรวจสอบ เชิญวิทยากร”
3. ระบปุ ระโยชนข์ องการเขียนจดหมายกิจธรุ ะ โดยครูใหค้ าแนะนาเพ่ิมเตมิ
ดา้ นทักษะและกระบวนการ การวดั และประเมนิ ผล
เขยี นจดหมายเชิญวทิ ยากร ข้นั สรปุ -
ดา้ นคณุ ลักษณะ นักเรยี นร่วมกนั สรปุ ความรู้เร่ืองการเขียนจดหมายขอเชิญวิทยากร
๑. ใฝ่เรยี นรู้ โดยทาเปน็ แผนภาพความคิดบนกระดาน
๒. มงุ่ ม่ันในการทางาน
สมรรถนะท่ีต้องการใหเ้ กิดกับผูเ้ รียน
การสือ่ สาร
-204-
ใบความรู้
“การเขยี นจดหมายเชิญวทิ ยากร”
ตัวอย่างจดหมายเชิญวิทยากร
ท่ี นด 0615/๒๕๖4 โรงเรยี นบา้ นนาดี 99 หมู่ 9
ตาบลปากทอ่ อาเภอปากท่อ
จงั หวดั ราชบุรี ๗๐๑๔๐
10 มีนาคม ๒๕๖4
เรอ่ื ง ขอเชิญเปน็ วิทยากร
เรียน นางสาวไพลิน ศลิ ปนิ
ดว้ ยโรงเรียนบ้านนาดี จะจัดกจิ กรรม เร่ือง “นักเขียนน้อย” ในวันศุกร์ท่ี 28 พฤษภาคม ๒๕๖
4 ชมรมภาษาไทยโรงเรียนบ้านนาดี โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้นักเรียนท่ีมีความสนใจเกี่ยวกับการเขียน
ได้รับความรู้และเทคนิคต่าง ๆ เก่ียวกับการเขียนท่ีมีประสิทธิภาพ เพื่อนาไปใช้ในการสร้างสรรค์งานเขียน
ขอขงตนเอง ในวนั ท่ี 28 พฤษภาคม ๒๕๖4 เวลา ๙.๐๐ - ๑2.๐๐ น. ณ หอ้ งประชมุ โรงเรียนบ้านนาดี
ในการน้ี ชมรมภาษาไทย บ้านนาดี พิจารณาแล้วเห็นว่าท่านเป็นผู้เช่ียวชาญด้านการประพันธ์
และมีผลงานที่ได้รับการรางวัลและเผยแพร่ระดับประเทศจานวนมาก ชมรมภาษาไทย โรงเรียนบ้านนาดี
จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่าน เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง “สนุกคิด สนุกเขียน” ในวันท่ี 28 พฤษภาคม ๒๕๖4
เวลา ๙.๐๐ - ๑2.๐๐ น. ณ ห้องประชุมโรงเรียนบ้านนาดี เพ่ือให้ความรู้ด้านการสร้างแรงบันดาลใจในการเขียน
รวมทง้ั เทคนคิ วิธีการเขยี นหนงั สอื ให้กับนักเรยี นโรงเรยี นบ้านนาดี
จึงเรียนมาเพื่อขอเชิญท่านเป็นวิทยากรตามวันและเวลาดังกล่าว หวังเป็นอย่างย่ิงว่า
ทา่ นจะกรุณา และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสน้ี
ขอแสดงความนบั ถอื
ดุจเดือน แสงงาม
(นางสาวดจุ เดือน แสงงาม)
ประธานชมรมภาษไทย โรงเรียนบา้ นนาดี
ฝ่ายกิจการนกั เรียน โรงเรยี นบ้านนาดี
โทร 0 ๓๒๑๒ ๓๔๕๖ ต่อ ๗๘๙
-205-
-205-
ตวั อยา่ งการจา่ หน้าซอง ใบความรู้
“การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ” (ตอ่ )
ชอื่ และท่อี ย่ผู ู้ฝาก
นางสาวดจุ เดอื น แสงงาม ท่ีผนึก
โรงเรยี นบ้านาดี 99 หมู่ 9 ตราไปรษณียากร
ตาบลปากทอ่ อาเภอปากท่อ
จังหวัดราชบุรี ชื่อและทีอ่ ยผู่ รู้ บั
70140 นางสาวไพลิน ศลิ ปนิ
10/10 ตาบลบ้านโป่ง อาเภอบา้ นโป่ง
จงั หวัดราชบรุ ี
70110
-206-
-206-
ใบงาน
“การเขยี นจดหมายขอเชญิ วิทยากร”
คาชี้แจง ให้นักเรยี นเขยี นจดหมายขอเชญิ วทิ ยากรเพ่อื บรรยายความรู้กับนักเรยี นในช้นั เรียน
โดยให้นกั เรยี นกาหนดหวั ข้อบรรยาย พร้อมจา่ หนา้ ซองจดหมายใหถ้ ูกต้องตามรูปแบบ
--220077- -
ซองจดหมาย
-2-0280-8-
แบบประเมนิ การทางานกล่มุ
คาชแี้ จง ใหค้ รปู ระเมินการทางานกลมุ่ ของนักเรียนตามรายการประเมิน (คะแนนเตม็ 12 คะแนน)
รายการประเมนิ ระดับคะแนน
๓๒๑
1. การกาหนดบทบาทหนา้ ที่ กาหนดบทบาทหน้าที่ กาหนดบทบาทหนา้ ที่ ไม่มีการกาหนดบทบาท
2. การมสี ว่ นร่วม สมาชกิ อย่างชัดเจน สมาชิกไม่ครบถ้วน หนา้ ที่
มีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิ มีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิ มสี ่วนร่วมในการปฏบิ ตั ิ
3. การรบั ฟงั และแสดงความคดิ เหน็ งานกลมุ่ งานกลมุ่ บ้าง งานกลมุ่ นอ้ ยมาก
หรอื ไมม่ สี ว่ นร่วม
4. ความรบั ผดิ ชอบ รับฟังและแสดงความคดิ เหน็ รบั ฟงั และแสดงความคดิ เหน็ รบั ฟังความคดิ เหน็ ของผ้อู ืน่
อย่างมีเหตผุ ลและสรา้ งสรรค์ อย่างมีเหตผุ ลและสรา้ งสรรค์ นอ้ ยมากหรือไมร่ ับฟัง
อย่างสม่าเสมอ เป็นบางคร้ัง ความคดิ เห็นผูอ้ ื่น
รบั ผดิ ชอบงานทีไ่ ดร้ ับ รับผดิ ชอบงานทไ่ี ด้รบั ไมร่ บั ผิดชอบงานท่ไี ดร้ บั
มอบหมายและเสรจ็ ตามเวลา มอบหมาย แตเ่ สรจ็ ไม่ทนั มอบหมาย
ทีก่ าหนด ตามกาหนด
* การคิดคะแนน รอ้ ยละ = (คะแนนทไ่ี ด/้ คะแนนเตม็ ) x 100
การแปลผลการประเมิน การแปลผล
ดีมาก
เกณฑข์ องระดบั คะแนน ดี
รอ้ ยละ 80 - ๑๐๐ พอใช้
รอ้ ยละ 70 - 79 ปรบั ปรงุ
ร้อยละ 50 - 69
ร้อยละ ๐ - 49
-209-
-209-
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๓ โน้มนา้ วใจให้เชอ่ื ถือ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๔ เวลา ๑ ชั่วโมง
กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย เรื่อง ผ่านโคลงภาษิต ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๒
รายวชิ า ภาษาไทย
สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
วรรณคดีเรื่องโคลงสุภาษติ พระราชนพิ นธ์ กิจกรรมการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้
ขน้ั นา ห้องสมดุ
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั นักเรียนรว่ มกันตอบคาถามจากโคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์
เป็นการรวมบทพระราชนิพนธ์ในโอกาส ท่ีครตู ดิ บนกระดาน สอ่ื
ต่าง ๆ เพื่อเป็นเคร่ืองเตือนใจให้พสกนิกร 1. แถบโคลงสี่สภุ าพ
-210- ร้จู ักหลกั การดาเนินชีวิต โดยประพฤติ ปราชญแ์ สดงดารดิ ว้ ย ไตรยางค์ 2. ใบความรู้หมายเลข 1 - 4
ปฏบิ ตั ิตนเป็นคนดี มีคุณธรรม เมตตา กรุณา โสฬสหมดหมวดปาง กอ่ นอ้าง 3. ใบงาน “สรปุ ความรู้โคลงสุภาษติ
ซือ่ สตั ย์สุจรติ เป็นมาติกาทาง บัณฑิต แสวงเฮย พระราชนิพนธ์
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ หวงั สวสั ดิ์ขจดั ทุกขส์ รา้ ง สบื สรอ้ งศภุ ผล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว”
ด้านความรู้
อธิบายความเป็นมา ประวตั ผิ ู้แตง่ คาถาม ภาระงาน/ชิ้นงาน
และลกั ษณะคาประพันธ์ของเร่อื งโคลง - บทประพันธข์ า้ งต้นเป็นบทร้อยกรองประเภทใด การทาใบงาน “แผนภาพความคิดสรุป
สภุ าษิตพระราชนิพนธพ์ ระบาทสมเด็จ คาตอบ โคลงสี่สภุ าพ ความรู้จากโคลงสุภาษติ พระราชนพิ นธ์
พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว”
ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ ข้ันสอน
สรปุ ความเป็นมา ประวตั ผิ ู้แต่ง และลกั ษณะ 1. นักเรียนแบง่ กลมุ่ ตามความสมัครใจ กลมุ่ ละ 4 คน แต่ละคนเลือก การวัดและประเมนิ ผล
คาประพันธ์ของเร่อื งโคลงสภุ าษิต พระราช หมายเลขคนละหนึ่งหมายเลข (มีหมายเลข 1 - 4) การประเมินการทางานกลุ่ม
นิพนธ์พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้า 2. นกั เรยี นแตล่ ะหมายเลขศึกษาใบความรู้ตามหมายเลขท่ีเลือก ดงั น้ี
เจา้ อย่หู วั
หมายเลข 1 พระราชประวตั ิ
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
-210-
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๓ โนม้ นา้ วใจให้เช่ือถือ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๔ เวลา ๑ ชั่วโมง
กลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๒
ด้านคณุ ลกั ษณะ เร่อื ง ผา่ นโคลงภาษติ
๑. ใฝ่เรยี นรู้ รายวชิ า ภาษาไทย
๒. ม่งุ มั่นในการทางาน หมายเลข 2 โคลงสภุ าษติ โสฬสไตรยางค์”
หมายเลข 3 โคลงสภุ าษติ นฤทุมนาการ
สมรรถนะท่ตี ้องการใหเ้ กดิ กับผเู้ รยี น หมายเลข 4 โคลงสภุ าษิตอศิ ปปกรณา
การสื่อสาร 3. นักเรยี นแลกเปล่ยี นผลการศึกษาจากใบความรูห้ มายเลข 1 - 4
จากน้นั สรปุ ความร้ทู ี่ไดร้ ับของกลุ่มในใบงาน “สรปุ ความรู้โคลงสภุ าษติ
-211- พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว”
4. ผแู้ ทนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอ โดยครใู หค้ าแนะนาเพ่ิมเติม
ข้นั สรุป
นกั เรียนรว่ มกนั สรุปความรู้ทีไ่ ดร้ ับในช่ัวโมงน้ี
-211-
แถบโคลงสส่ี ภุ าพ
ปราชญ์แสดงดาริด้วย ไตรยางค์
โสฬสหมดหมวดปาง ก่อนอา้ ง
เปน็ มาติกาทาง
หวังสวสั ด์ขิ จัดทกุ ข์สร้าง บณั ฑติ แสวงเฮย
สืบสรอ้ งศุภผล
-2-21122--
ใบความรู้ หมายเลข 1
“พระราชประวัติพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระบรมราชสมภพเมื่อวันท่ี ๒๐ กันยายน
พ.ศ. ๒๓๙๖ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ
เสด็จสวรรคตในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติขณะมีพระชนมายุเพียง
๑๕ พรรษา มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สาเร็จราชการแทนก่อนจะ
ทรงบรรลุนิติภาวะ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัวทรงศึกษาความเป็นไปของบา้ นเมืองและของประเทศอื่น ๆ
ได้เสด็จพระราชดาเนินประพาสทงั้ ภายในและภายนอกประเทศ ทรงได้รับการศึกษาอย่างดยี ่ิงทั้งตามแบบแผน
ราชประเพณีของไทยและตามแบบแผนของตะวันตก ความรู้และประสบการณ์ที่ทรงสั่งสมมาตลอดพระชนม์ชีพ
พระราชอัธยาศยั ท่ีอ่อนโยน พระราชดาริท่ีก้าวหน้าและทันสมัย รวมท้งพระปรีชาญาณอันสุขุมคัมภีรภาพเป็น
คุณสมบัติอันล้าเลิศท่ีทาให้ทรงบริหารราชการแผ่นดินได้เป็นอย่างดี ท้ัง ๆ ที่ตลอดรัชสมัยทรงต้องเผชิญ
อุปสรรคนานัปการทั้งภายในและภายนอกประเทศ พระองค์ทรงปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น
ด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรม การปกครอง จนกระทั่งประเทศมีความเจริญและ “ศิวิไลซ์” ทัดเทียม
อารยประเทศ
นอกจากพระราชภารกิจด้านการบริหารราชการแผ่นดินที่ยังความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดแก่ประเทศชาติ
จนสามารถดารงเอกราชไว้ได้โดยตลอดแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเลิกทาสท่ีเคยมี
อยู่ยาวนานในประเทศไทยได้สาเร็จโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อหรือเกิดการต่อสู้กันแต่อย่างใด เป็นท่ีช่ืนชม
ของปวงชนชาวไทยและชาวโลก นอกจากน้ี ยังเป็นกวีที่มีพระปรีชาสามารถย่ิง ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดี
ท้ังร้อยแก้วและร้อยกรอง ท้ังท่ีเป็นบันเทิงคดีและสารคดี พระราชนิพนธ์เรื่องสาคัญ ๆ เช่น ไกลบ้าน
พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจาของกรมหลวงนรินทรเทวี พระบรมราโชวาทต่าง ๆ บทละครเร่ือง
เงาะป่า ลิลิตนิทราชาคริต โคลงภาพพระราชพงศาวดาร โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
และโคลงสุภาษิตอิศปปกรณา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานถึง ๔๒ ปี
เป็นพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนต่างจงรักภักดีและเทิดทูนเป็นอย่างย่ิง ดังเห็นได้จากการร่วมใจกันบริจาคเงิน
ของปวงชนชาวไทยเพื่อสร้างพระบรมรูปทรงม้าถวายแด่พระองค์ ในขณ ะที่ยังทรงพระชนม์ชีพ
และจากการถวายพระราชสมญั ญาแด่พระองคว์ า่ “พระปิยมหาราช”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเสด็จสวรรคตในวนั ท่ี ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระชนมายุ
๕๘ พรรษา ด้วยพระราชกรณียกิจและคุณประโยชน์ต่าง ๆ ที่ทรงบาเพ็ญตลอดพระชนม์ชีพในวาระฉลอง
วันพระบรมราชสมภพครบ ๑๕๐ พรรษา เม่ือวันท่ี ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖ องค์การการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) จึงได้ประกาศยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็นบุคคล
สาคัญของโลกผู้มีผลงานดีเด่นสาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา การพัฒนาสังคม
และการสื่อสาร
หนังสือเรียน รายวิชาพนื้ ฐาน ภาษาไทย วรรณคดวี ิจักษ์
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๒ หน้า 134 - 135
--221133--
ใบความรู้ หมายเลข 2
“โคลงสภุ าษิตโสฬสไตรยางค์”
ผู้ที่ประสบความสาเร็จมักจะมีหลักธรรมประจาใจเพ่ือเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตแนวทางต่าง ๆ
เป็นข้อคิดท่ีนักปราชญ์แต่โบราณได้รวบรวมไว้ ดังปรากฏในโคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ เป็นต้น สมควรท่ีเรา
จะศึกษาและปฏบิ ตั ิตามเพ่อื ขจดั ความทกุ ข์ เพ่ือสร้างกุศลและเพ่มิ ความเจรญิ ก้าวหนา้ แก่ตนเองต่อไป
โคลงโสฬสไตรยางค์เดิมเป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรกกระหม่อมให้กวีในราชสานักแปลและประพันธ์เป็นโคลงภาษาไทย ดังปรากฏ
ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งว่า วันท่ี 4451
(หมายถึงวันท่ี 4451 ในรัชกาลท่ี 5) วัน 2ฯ 2 ค่า ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1242 (วันท่ี 17 มกราคม
พ.ศ. 2423) “…กรมหมื่นพิชิต (ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร) ถวายโคลงโสฬสไตรยางค์
ซง่ึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหไ้ ปแตง่ แกใ้ หม่ใหถ้ กู กับความในภาษาองั กฤษ”
นอกจากทรงตรวจแก้แล้ว ยังทรงพระราชนิพนธ์โคลงนาบทแล้วพระราชทานให้คุณหญิงเปลี่ยน
ภาสกรวงศ์ ปักเป็นตัวอักษรด้วยไหมฝรั่งเบญจพรรณระบายสีใส่กรอบกระจกประดับบนพระที่น่ังทรงธรรม
เมื่องานพระเมรุสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1242
(พุทธศักราช 2423) ต่อมาได้รวบรวมลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณ เล่ม 1 ฉบับท่ี 1 จุลศักราช 1246
(พุทธศักราช 2427) โดยใช้ต้นฉบับท่ีพระเจ้าน้องยาเธอ พระองเจ้าดิศวรกุมาร (พระอิสริยยศขณะนั้น)
ได้คัดลอกไว้จากต้นฉบับท่ีมีภาษาอังกฤษด้วย ภายหลังได้นามารวมพิมพ์ในหนังสือประชุมโคลงสุภาษิต
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี 5 ในงานศตมวารพระศพสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 11
เมษายน พ.ศ.2466
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์เป็นโคลงส่ีสุภาพซ่ึงมีบทนา 1 บท เนื้อเรื่อง 16 บท และบทสรุป 1 บท
ซึ่งบอกจานวนสุภาษิตว่ามี 16 หมวด หมวดละ 3 ข้อ รวมเป็น 48 ข้อ ในพระราชนิพนธ์น้ี “ไตรยางค์”
หมายถึงจานวนสงิ่ ทคี่ วรแสวงหาหรือควรละเว้น ซ่ึงในโคลงแต่ละบทจะมีอยู่ 3 ส่ิง เช่น บทที่หนึ่งกล่าวถึงสาม
สิ่งควรรัก (Three Things to Love) ได้แก่ ความกล้า (Courage) ความสุภาพ (Gentleness) และความรัก
ใคร่ (Affection) บทท่ีสองกล่าวถึงสามส่ิงท่ีควรชม (Three Things to Admire) ได้แก่ อานาจ ปัญญา
(Intellectual Power) เกยี รติยศ (Dignity) และมมี ารยาทดี (Gracefulness) เป็นตน้
นอกจากการแปลความหมายของคาศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยแล้ว ยังมีการอธิบายขยายความ
ไว้ในบทโคลงแต่ละบทด้วย ตัวอย่างเช่น สามสิ่งควรยินดี (Three Things to Delight in) ได้แก่ 1) งาม
(Beauty) “สรรพางค์โสภาคพร้อมธัญลักษณ์” คือความงามพร้อมท้ังร่างกายด้วยลักษณะท่ีดี 2) ตรงตรง
(Frankness) หมายถึง “ภาษิตจิตประจักษ์ ซื่อพร้อม” คือ ความซ่ือตรงท้ังวาจาและใจ 3) ไทยแก่ตน
(Freedom) หมายถึง “เป็นสุขโสดตนรัก การชอบ ธรรมนา” คือ ความสุขจากการอยู่อย่างอิสระและอย่าง
ชอบธรรม การอธิบายในลักษณะการตีความดังตัวอย่างน้ี นับได้ว่าเป็นวิธีแปลและดัดแปลงให้เข้ากับวิธีคิด
และค่านิยมของคนไทยได้ทางหนึ่ง บทพระราชนิพนธ์นี้จึงมิใช่เพียงงานแปลที่ถ่ายทอดจากภาษาหนึ่งมาเป็น
อีกภาษาหนึง่ เทา่ น้นั แตไ่ ดบ้ ันทกึ ความคิดความเข้าใจเกยี่ วกับชวี ติ มนษุ ย์ไวอ้ ย่างน่าสนใจยิ่ง
--221144--
ใบความรู้ หมายเลข 2
“โคลงสุภาษติ โสฬสไตรยางค์” (ต่อ)
เม่ือพิจารณาในแง่วรรณคดีคาสอน จะเห็นว่าโคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ มีข้อแนะนาเก่ียวกับ
การประพฤตติ นทค่ี รอบคลุมกวา้ งขวางต้ังแต่เร่ืองของตัวเราเอง มิตรสหาย ชาตบิ ้านเมอื งไปจนถงึ สัจธรรมชีวิต
บุคคลใดชื่อว่าบัณฑิตควรชอบและช่ืนชมความกล้า ความสุภาพ ปัญญา เกียรติยศ มารยาท ฯลฯ ซึ่งหมายถึง
ควรแสวงหาสิ่งเหล่านี้มาเป็นคุณลักษณะของตนเอง และควรชื่นชมหรอื ผูกมิตรกับผมู้ ีคุณลักษณะดังกลา่ วด้วย
นอกจากน้ี ยังควรรังเกียจและละเว้นจากความริษยา ความเกียจคร้าน การพูดปด การพูดคาหยาบ ฯลฯ
ซ่งึ หมายถึงการไม่ประพฤตติ นเช่นน้ัน และไมผ่ ูกมิตรกับผู้ที่มีนสิ ัยเชน่ นี้ด้วย ความเจริญกา้ วหนา้ และความเป็น
สวัสดิมงคลย่อมเกิดแก่ผู้ปฏิบัติตามข้อแนะนาดังกล่าว ตลอดจนสังคมรอบข้าง ต่อจากน้ัน เราควรต่อสู้เพื่อ
ธารงรักษาคุณความดีต่าง ๆ ที่เป็นสัจธรรมชีวิต ได้แก่ ความไม่แน่นอน ความชรา และความตาย ซึ่งจาทาให้
เราเข้าใจชีวิต ไม่ประมาท และไม่ทุกข์ระทมเม่ือประสบความผิดหวัง ชีวิตก็จะเป็นสุข สมดังพระราชประสงค์
ของผูท้ รงพระราชนิพนธ์ทีว่ า่ “หวงั สวสั ด์ิขจดั ทุกข์สรา้ ง สบื สร้องศุภผล”
หนงั สือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ หน้า ๙๒ - ๙๓
--221155--
ใบความรู้ หมายเลข 3
“โคลงสภุ าษติ ตนฤทุมนาการ”
“ถ้ารอู้ ย่างนก้ี ็จะไมพ่ ูดหรอก” “ถ้ารู้อย่างนีก้ ็จะไม่ทาหรอก”
ข้อความทานองน้ี หลายคนคงจะเคยราพันมาแล้วเมื่อรู้สึกว่าได้ตัดสินใจพูดหรือทาส่ิงใดส่ิงหน่ึงลงไป
แล้วเกิดผลเสีย ทาให้อยากจะเรียกคาพูดหรือเก็บเอาการกระทานั้นคืนมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว ไม่อาจแก้ไข
อะไรได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์โบราณท่านจึงพร่าสอนให้ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนจะพูดหรือทาส่ิงใด
ดังเช่น คาสอนท่ีปรากฏอยู่ในโคลงสุภาษิตนฤทุมนาการซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชนิพนธแ์ ปลจากภาษาองั กฤษมาเปน็ โคลงส่สี ภุ าพ
โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการมีบทนา 1 บท เนื้อเร่ือง 10 บท และบทสรุป 1 บท บทนากล่าวว่า
ผู้รูไ้ ด้ไตร่ตรองแล้วจึงกล่าวคาสอนเป็นแนวทางที่ควรประพฤติ 10 ประการ ช่ือว่า ทศนฤทุมนาการ หมายถึง
“กจิ 10 ประการท่ีผู้ประพฤติยังไมเ่ คยเสียใจ” ส่วนบทสรุปแนะนาว่า แนวทาง 10 ประการน้ี ทุกคนควรรจู้ ัก
พิจารณา ถึงแม้จะประพฤติตามไม่ได้ครบถว้ น แตท่ าได้บา้ งกย็ ังดี
โคลงสุภาษิต 10 บทเป็นข้อแนะนาให้รู้จักอดกลั้นและไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนพูดหรือทาส่ิงใด
เพราะคนท่ีคิดก่อนพูดน้ันจะเป็นผู้ท่ี “พาทีมีสติรั้ง รอคิด” คาพูดท่ีออกมาจึงเหมาะสมและไพเราะราวกับได้
เตรียม“ลิขิต เขียนร่าง” มาก่อน ในยามโกรธให้ระงับวาจาไว้ก่อน เมื่อพิจารณาไตร่ตรองและจึงค่อยพูด
เมื่อทาผิดให้กล่าวขอโทษซ่ึงจะ “ดีกว่าปด อ้อมค้อม คิดแก้โดยโกง” และให้งดเว้นจากการพูดคาหยาบ
พูดส่อเสยี ด และพูดให้ร้ายผู้อน่ื นอกจากการพูดแลว้ ยังมขี ้อแนะนาในการฟังวา่ ไม่ควรฟังคาเทจ็ หรือคานนิ ทา
ไม่หลงเชื่อข่าวร้ายและควรสอบถามให้ส้ินสงสัยก่อนตัดสินใจเรื่องใด ๆ ส่วนข้อแนะนาในเร่ืองการกระทานั้น
ให้ทาดแี ละผกู ไมตรกี ับทกุ คน หากมีใครมาเกะกะระรานให้อดกลน้ั อยา่ กระทา “เฉกพาล” โตต้ อบไป
โคลงสุภาษิตท้ัง 10 บท เป็นข้อแนะนาท้ังทางด้านมโนกรรม (การคิด) วจีกรรม (การพูด)
และกายกรรม (การกระทา) ซ่ึงครอบคลุมและเหมาะสมที่จะเป็นเกราะป้องกันผู้ประพฤติมิให้ต้องเสียใจ
เพราะสิง่ ท่ีตนคิด พูด และกระทา
หนังสอื เรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน ภาษาไทย วรรณคดีวจิ ักษ์
ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๒ หน้า 102
--221166--
ใบความรู้ หมายเลข 4
“โคลงสุภาษิตอศิ ปปกรณา”
นิทานอีสปซ่ึงคนไทยรู้จักมาช้านานแล้วนั้น เป็นเร่ืองที่แปลมาจากนิทานกรีกฉบับภาษาอังกฤษ
ในสมัยรชั กาลท่ี 5 คนไทยนยิ มอ่านเรอ่ื งท่ีแปลมาจากวรรณกรรมตะวันตกกันมาก หลายเรอื่ งมีความเป็นสากล
เพราะไม่ผูกติดอยู่กับขนบประเพณีและค่านิยมของชาติใดโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น นิทานอีสป ซ่ึงเป็น
คาสอนใจผอู้ า่ นเก่ยี วกบั การดาเนนิ ชวี ิตโดยทวั่ ไป กวีไทยเลง็ เหน็ คุณค่าของวรรณกรรมตา่ งชาติเหลา่ น้ี จึงนามา
แปลเป็นภาษาไทยเพอ่ื เผยแพร่ให้นักอา่ นไทยไดร้ ้จู ัก บางบทมีคาประพนั ธเ์ ปน็ สุภาษติ ประกอบนิทานด้วย
พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลนิทานอีสปไว้ 24 เร่ือง
และทรงพระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิตประกอบนิทานร่วมกับกวีอื่น คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิต
ปรีชากร พระศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และพระยาราชสัมภารากร โคลงสุภาษิตดังกล่าวรวม
เรียกวา่ โคลงสภุ าษติ อิศปปกรณา1
อิศป หรือ อีสป (Aesop) เป็นช่ือนักเล่านิทานชาวกรีกผู้มีชีวิตอยู่ในราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล
เล่ากันว่าอีสปเป็นทาสผู้มีร่างกายพิกลพกิ ารแตช่ าญฉลาด มักยกนทิ านข้ึนมาเล่าเพื่อเปรยี บเปรย หรือเตือนสติ
ให้นายได้คิด หรือแก้ไขเหตุการณ์ที่เลวร้ายได้ ตัวอย่างเช่น ครั้งหน่ึงผู้นาคนหนึ่งถูกพิพากษาประหารชีวิต
อีสปยกนิทานเร่ือง หมาจ้ิงจอกกับฝูงเหลือบมาเป็นอุทาหรณ์ประกอบคาช้ีแจงในสภาว่า การที่หมาจ้ิงจอก
ไม่ยอมไล่ฝูงเหลือบท่ีเกาะกินเลือดของตนอยู่ ก็เพราะเกรงว่าจะมีเหลือบฝูงใหม่ที่หิวกระหายมาเกาะอีก
เปรียบเหมือนชาวเมืองน้ีท่ีถูกผู้นาเอารัดเอาเปรียบมานาน ผู้นาคนน้ีร่ารวยพอแล้ว ควรปล่อยเอาไว้เช่นเดิม
ดกี วา่ จะใหผ้ ู้นาคนใหม่ซงึ่ หิวกระหายเขา้ มากอบโกยผลประโยชน์ของชาวเมือง
นิทานอีสปซ่ึงมีจานวนหลายร้อยเรื่อง และมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ นั้น เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
ไปท่ัวโลก ในวรรณคดีไทยนิทานอีสปปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยรัชกาลท่ี 5 ในต้นฉบับสมุดไทย ชื่อ
อศิ ปปกรณา ปัจจบุ นั เก็บรักษาอยู่ที่หอสมดุ แหง่ ชาติ
ต่อมาในรัชกาลที่ 6 มีการแปลและเรียบเรียงนิทานอีสปเพ่ือใช้เป็นแบบสอนอ่านสาหรับนักเรียน
พระจรสั ชวนะพันธ์ (สารท สุทธเสถียร) ซ่ึงต่อมาไดร้ ับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นมหาอามาตย์โท พระยาเมธาธิบดี
กล่าวไว้ในคาชี้แจงของผู้แต่งหนังสือแบบสอนอ่านเรื่องนิทานอีสป เมื่อวันท่ี 22 ธันวาคม ร.ศ. 130
(พ.ศ. 2454) ว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดารงราชานุภาพ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เป็นผู้ทรงแนะนา
ให้พระจรัสชวนะพันธ์เรียบเรียงข้ึน โดยให้ใช้ภาษาง่าย ๆ และประโยคส้ัน ๆ สาหรับเด็กช้ันมูลศึกษา
(ก่อนประถมศึกษา) ท่ีจะใช้เป็นแบบสอนอ่านหลงั จากเรียนแบบเรยี นมูลศกึ ษาจบแล้ว
1อิศปปกรณา สะกดอยา่ งปัจจุบันคอื อสี ปปกรณมั คาว่า ปกรณมั แปลวา่ คมั ภรี ์ ตารา หนังสือ หรอื เรื่อง ในที่นีใ้ ชห้ มายถึง เรื่อง
-2-21177--
ใบความรู้ หมายเลข 4
“โคลงสุภาษิตอิศปปกรณา” (ต่อ)
นิทานอีสปเป็นแบบสอนอ่านที่ให้เด็กฝึกคิดต่อเนื่องจากเรื่องท่ีได้อ่านได้ฟัง แทนท่ีจะอ่าน
เพื่อความสนุกเพลิดเพลินแต่อย่างเดียว ในตอนท้ายของนิทานอีสปทุกเรื่องจะมีบทสรุปเป็นคติสอนใจ
เพ่ือเป็นแนวทางแก่ผู้อ่านให้พิจารณาคาสอนที่ได้จากนิทานเรื่องน้ัน ๆ นิทานอีสปเร่ืองหนึ่ง ๆ มีหลายสานวน
เพราะมีการดัดแปลงแต่งเติมในระหว่างท่ีเล่าต่อกันมา บทสรุปท้ายเร่ืองก็อาจต่างกันไปเพราะการตีความ
ของผู้เล่าด้วย ตัวอย่างเช่นนิทานเร่ืองไก่กับพลอยในแบบสอนอ่านท่ีอ้างถึงข้างต้นเล่าว่า ไก่แจ้ตัวหน่ึงคุ้ยเขี่ย
ดินหาอาหารอยู่ พบพลอยเม็ดหน่ึงจึงพูดเปรยข้ึนว่า ถ้าเจ้าของของเจ้ามาพบเจ้าเช่นน้ี เขาคงเก็บเจ้าไปฝังไว้
ในหัวแหวนตามเดิมน่ีเจ้าไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา สู้แต่ข้าวสุกข้าวสารเมล็ดเดียวก็ไม่ได้ บทสรุปของนิทาน
เร่ืองนม้ี ีวา่ “ของทดี่ ียอ่ มมปี ระโยชนแ์ ตแ่ กผ่ ู้ทร่ี ู้จกั ใช้”
ส่วนนิทานเรื่องไก่กับพลอยอีกสานวนหน่ึงเล่าว่า เม่ือพบพลอย ไก่ก็พูดเปรยว่าส่ิงน้ีควรเป็นสมบัติ
ของช่างทอง เม่ือมาตกอยู่กับเรา หามีคุณค่าอันใดไม่ หากเป็นเมล็ดข้าวสักเมล็ดเดียว จะมีค่ามากกว่าย่ิงนัก
บทสรุปของนิทานเรื่องน้ีมีว่า “ผู้ฉลาดย่อมต้องการส่ิงจาเป็นสาหรับชีวิตมากกว่าสิ่งของเครื่องประดับ
ทไ่ี ร้ประโยชน์”
ในโคลงสุภาษิตอิศปปกรณา พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคติสอนใจ
ทีไ่ ด้จากนทิ านเร่ืองไก่กบั พลอย (ซงึ่ มเี น้อื เรอ่ื งเหมอื นในแบบสอนอา่ นนิทานอสี ป) มีบทสรปุ ท้ายเรอ่ื งดังน้ี
นิสัยใจ บ ตอ้ ง การดี
พบสิ่งประเสริฐศรี ติซ้า
ไป่ชอบไป่ชวนมี จติ ปรารถ- นานา
ดจุ ไก่พบแกว้ ล้า หลีกแลว้ เลยจร
ในโคลงสุภาษิตบทน้ี ไกไ่ ม่รู้คุณค่าของพลอยซึง่ เปรยี บเป็นส่ิงประเสริฐศรี น้าเสียงของผทู้ รงพระราชนิพนธ์
จงึ ดูเหมือนจะตาหนไิ ก่ตัวน้ันอยู่ดว้ ย เช่นเดียวกับความหมายของคาพงั เพยทีว่ า่ ไก่ได้พลอย ซึ่งมีนา้ เสียงตาหนิ
ผทู้ ไี่ ม่เห็นคุณคา่ ของสง่ิ ท่ีตนเป็นเจ้าของ
หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน ภาษาไทย วรรณคดวี ิจักษ์
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ หนา้ 107 - 109
-2-21188--
ใบงาน
“สรปุ ความรู้จากโคลงสภุ าษิต พระราชนพิ นธพ์ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ”
คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นเขียนแผนภาพความคิด “สรุปความรู้จากโคลงสุภาษติ พระราชนพิ นธ์
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว
--221199--
แบบประเมินการทางานกลุ่ม
คาชี้แจง ให้ครปู ระเมนิ การทางานกลุ่มของนักเรียนตามรายการประเมนิ (คะแนนเตม็ 12 คะแนน)
รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๓๒๑
1. การกาหนดบทบาทหนา้ ที่ กาหนดบทบาทหนา้ ท่ี กาหนดบทบาทหนา้ ที่ ไมม่ ีการกาหนดบทบาท
2. การมสี ว่ นรว่ ม สมาชกิ อย่างชัดเจน สมาชิกไมค่ รบถว้ น หน้าท่ี
มีสว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ิ มีส่วนรว่ มในการปฏบิ ตั ิ มสี ่วนรว่ มในการปฏบิ ตั ิ
3. การรบั ฟังและแสดงความคดิ เหน็ งานกลมุ่ งานกลุม่ บ้าง งานกลมุ่ น้อยมาก
หรอื ไมม่ สี ่วนรว่ ม
4. ความรบั ผดิ ชอบ รบั ฟังและแสดงความคดิ เห็น รบั ฟังและแสดงความคดิ เห็น รับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่
อยา่ งมีเหตผุ ลและสร้างสรรค์ อย่างมเี หตผุ ลและสรา้ งสรรค์ นอ้ ยมากหรือไม่รับฟัง
อยา่ งสมา่ เสมอ เป็นบางครั้ง ความคิดเหน็ ผอู้ ่นื
รับผดิ ชอบงานท่ไี ดร้ ับ รบั ผดิ ชอบงานทีไ่ ด้รับ ไมร่ บั ผดิ ชอบงานทไี่ ดร้ ับ
มอบหมายและเสรจ็ ตามเวลา มอบหมาย แตเ่ สร็จไมท่ นั มอบหมาย
ท่ีกาหนด ตามกาหนด
* การคิดคะแนน ร้อยละ = (คะแนนทไ่ี ด้/คะแนนเตม็ ) x 100
การแปลผลการประเมนิ การแปลผล
ดีมาก
เกณฑข์ องระดบั คะแนน ดี
รอ้ ยละ 80 - ๑๐๐ พอใช้
รอ้ ยละ 70 - 79 ปรบั ปรุง
รอ้ ยละ 50 - 69
ร้อยละ ๐ - 49
-220-
-220-
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๓ โนม้ น้าวใจใหเ้ ชื่อถือ แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๕ เวลา ๑ ชว่ั โมง
กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย เร่ือง พนิ จิ บาลีและสนั สกฤต (1) ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๒
สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด รายวิชา ภาษาไทย
แหล่งเรยี นรู้
คนไทยรบั เอาภาษาของชนชาตติ า่ ง ๆ กิจกรรมการเรียนรู้ ห้องสมดุ
มามาก บางคาดเู หมอื นกลืนเป็นเนอื้ เดียว ข้ันนา
กับคาไทย บางคายงั พอสืบค้นได้ว่ามที ี่มาจาก นกั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นว่า ในประเด็น “ในปัจจุบันคาที่ใช้ สอ่ื
ภาษาใด สาเหตุที่มีการยืมคาภาษาตา่ งประเทศ ในภาษาไทยคามีคาที่มาจากภาษาอืน่ หรือไม่” ๒. ใบความรู้ “หลกั สังเกตคาบาลี”
มาใช้ในภาษาไทย นอกจากจะเกิดจาก 2. ใบงาน “คน้ หาภาษาบาลี”
ความสมั พันธท์ างการทตู การคา้ ขาย การรับเอา แนวคาตอบ
-221- ความเจรญิ กา้ วหน้าทางเทคโนโลยี การเผยแผ่ ปจั จบุ ันคาท่ใี ช้ในภาษาไทยมีคาที่นามาจากภาษาอื่น เช่น ภาระงาน/ชนิ้ งาน
ศาสนา ประเทศไทยรับภาษาบาลผี า่ นหลกั ธรรม ภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาองั กฤษ ภาษาเขร เปน็ ต้น การทาใบงาน “คน้ หาภาษาบาลี”
คาสอนของศาสนาพุทธซ่งึ เผยแผ่เขา้ สูป่ ระเทศ ขน้ั สอน
ไทยตั้งแต่สมัยสโุ ขทยั โดยหนึ่งในหลักการภาษา 1. นกั เรียนแบ่งกลุ่มตามความสมคั รใจ จานวน 4 กลมุ่ แต่ละกล่มุ การวดั และประเมนิ ผล
บาลี คือ หลกั ตัวสะกด ตวั ตาม ซงึ่ สามารถทา ศกึ ษาใบความรู้ “หลักสังเกตคาบาลี” จากนั้นสรุปความรู้ แบบประเมนิ การทางานกลมุ่
ความเขา้ ใจได้โดยการจดจาพยัญชนะวรรคใน ที่ไดร้ ับจากการศึกษา
ภาษาบาลี ซึง่ แบง่ เป็น ๕ วรรค วรรคละ ๕ 2. นักเรยี นแต่ละกลุ่มทาใบงาน “คน้ หาภาษาบาลี”
พยญั ชนะ และพยัญชนะเศษวรรค ๘ พยญั ชนะ 3. ผ้แู ทนกลุ่มแขง่ กนั ออกมาเขยี นคาตอบจากการทาใบงาน นกั เรียน
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ช่วยกันตรวจสอบ กลมุ่ ทต่ี อบถกู มากท่ีสดุ เปน็ ผชู้ นะ โดยครูให้
ด้านความรู้ คาแนะนาเพิ่มเติม
๑. อธบิ ายท่มี าของภาษาบาลีในภาษาไทย
๒. บอกหลักการสงั เกตคาภาษาบาลีในภาษาไทย ข้ันสรุป
๓. บอกพยัญชนะวรรคในภาษาบาลี นักเรยี นสรปุ ความรูเ้ รื่องภาษาบาลี โดยเขียนแผนภาพความคิด
บนกระดาน
-221-
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๓ โนม้ น้าวใจใหเ้ ช่อื ถือ แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ ๕ เวลา ๑ ช่วั โมง
กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย เรื่อง พินิจบาลีและสันสกฤต (1) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒
ด้านทกั ษะและกระบวนการ รายวิชา ภาษาไทย
วเิ คราะห์ภาษาบาลที ่ีใชใ้ นภาษาไทย
-222- ด้านคุณลักษณะ
๑. ใฝเ่ รยี นรู้
๒. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
สมรรถนะทต่ี ้องการให้เกิดกับผ้เู รยี น
การสอ่ื สาร
-222-