เศรษฐศาสตรใ์ นชีวิตประจาวนั
ECONOMICS FOR EVERYDAY LIFE (751100)
.
ผศ.ดร.ภารวี มณจี ักร
1
ขอ้ มลู อาจารย์ผ้สู อน
ผศ.ดร. ภารวี มณีจักร
Email: [email protected]
Webpage: http://mparavee.wordpress.com
Office: ECB1 ชน้ั 3 ปกี ซ้าย
Office Hours: วันศกุ ร์ 13:00-16.00 น.
2
3
4
5
เนื้อหา
บทท่ี 1 ความรเู้ บอื้ งต้นเกยี่ วกบั วชิ าเศรษฐศาสตร์
บทท่ี 2 พฤติกรรมของผบู้ รโิ ภค
บทท่ี 3 พฤติกรรมของผู้ผลติ
บทที่ 4 ดลุ ยภาพของตลาด
บทท่ี 5 รายได้ประชาชาติ
6
เนื้อหา
บทที่ 6 การเงนิ และการธนาคาร
บทท่ี 7 การคลังสาธารณะ
บทที่ 8 เงนิ เฟอ้ เงินฝดื และการว่างงาน
บทท่ี 9 เศรษฐกิจการคา้ และการเงนิ ระหว่างประเทศ
บทท่ี 10 การพัฒนาเศรษฐกจิ
7
การประเมินผลการเรียนการสอน
1. Midterm exam (บทที่ 1 – 4) 40 %
2. Final exam (บทท่ี 5 – 10) 50 %
3. Quiz 10 %
*** Midterm 30 สงิ หาคม 2565 เวลา 8.00-11.00 น.
*** Final 25 ตุลาคม 2565 เวลา 15.30-18.30 น.
******* วันและเวลาสอบ ไมส่ ามารถเปล่ยี นแปลงได้*********
8
เกณฑ์การตัดเกรด A
B+
80 – 100 B
75 – 79 C+
70 – 74 C
65 – 69 D+
60 – 64 D
55 – 59 F
50 – 54
0 – 49
9
หนังสืออ่านเพ่ิมเติม
1. พรทพิ ย์ เธียรธรี วิทย.์ 2554. เศรษฐศาสตร์ในชวี ติ ประจาวัน.
2. Mankiw N. Gregory. Principles of Economics, 7th
edition. South-Western Cengage Learning; 2015.
10
บทท่ี 1
ความรู้เบือ้ งตน้ เกีย่ วกบั เศรษฐศาสตร์
• ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์
• ทรพั ยากรหรือปัจจัยการผลิต
• สนิ ค้าและบริการ
• ประวตั ิของวิชาเศรษฐศาสตร์
• เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์และเศรษฐศาสตร์นโยบาย
• กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และกระแสการหมนุ เวยี นของระบบ
เศรษฐกจิ
11
บทที่ 1
ความรเู้ บอ้ื งต้นเกย่ี วกบั เศรษฐศาสตร์
• ขอ้ สมมติในการศกึ ษาเศรษฐศาสตร์
• ปัญหาพ้นื ฐานทางเศรษฐกิจ
• ระบบเศรษฐกิจ
• แขนงวิชาเศรษฐศาสตร์
• ประโยชนข์ องการศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์
12
• ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ เกิดข้ึนเน่ืองจากทรัพยากรต่างๆ บนโลกใบนี้มี
จานวนจากัด ในขณะท่ีความต้องการของมนุษย์มีอยู่อย่างไม่จากัด จึงทาให้
เกิดความขาดแคลน (Scarcity) มนุษย์จึงจาเป็นต้องเลอื กและเผชิญกับการ
ตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรที่มีจากัดไปในทางท่ีทาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หรือได้รบั ความพอใจสงู สุด
ดังน้ัน เศรษฐศาสตร์ จึงเป็นวิชาท่ีศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจหรือ
การเลือกหนทางในการจัดสรรทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัด เพื่อตอบสนอง
ความต้องการของคนในสังคมที่มีอย่างไม่จากัดและไม่ส้ินสุด ให้ได้รับความ
พอใจสงู สดุ
13
ความต้องการ ทรพั ยากร ความขาดแคลน
ของมนษุ ย์
“People face trade-offs.” การเลือก
(Make decision)
“The cost of something is what ค่าเสยี โอกาส
you give up to get it.”.
(Opportunity cost)
14
คำถำม
นักศึกษาคิดวา่ การตดั สนิ ใจเขา้ เรยี นตอ่ ในระดับมหาวทิ ยาลยั มีตน้ ทุน
เทา่ กบั เท่าไหร่ ?
ตอบ
ค่าเทอม + คา่ หอพัก + ค่าหนงั สือ/อุปกรณ์ +…
15
คำถำม
นกั ศกึ ษาคดิ วา่ การตดั สินใจเขา้ เรยี นตอ่ ในระดบั มหาวทิ ยาลยั มีตน้ ทนุ
เท่ากบั เท่าไหร่ ?
ตอบ
คา่ เทอม + คา่ หอพกั + คา่ หนงั สอื /อุปกรณ์ +… + เวลาของเรา
ในการทาส่ิงอ่นื ๆ
16
คำถำม
นกั ศกึ ษาคิดว่า การตดั สินใจเข้าเรยี นตอ่ ในระดับมหาวิทยาลยั มีต้นทุน
เท่ากบั เท่าไหร่ ?
ตอบ
คา่ เทอม + คา่ หอพัก + ค่าหนงั สือ/อปุ กรณ์ +… + เวลาของเรา
ในการทาส่งิ อ่นื ๆ
ตน้ ทนุ ทางบัญชี
“คา่ เสยี โอกาส”
17
ตน้ ทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost)
หมายถึง มูลค่าของทางเลือกท่ีดีท่ีสุดในจานวนทางเลือก
ท้งั หมดที่ต้องเสียสละไป เมอ่ื มกี ารตัดสนิ ใจเลือกทางใดทางหน่ึงแล้ว
เช่น
ค่าเสียโอกาสของการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย อาจเป็น
รายได้ท่ีมากท่ีสุดจากการทางานพิเศษ แต่ไม่สามารถทาต่อไปได้อีก
แลว้ เพราะตัดสินใจออกมาเรียนต่อ
18
ตน้ ทุนคำ่ เสยี โอกำสในกำรเขำ้ เรยี นตอ่ มหำวทิ ยำลัย
ของดำรำนกั แสดงท่มี ชี ื่อเสียง หรือนกั กีฬำอำชพี จงึ
แพงมำกเมือ่ เปรียบเทียบกบั คนธรรมดำ จึงไมน่ ่ำ
แปลกใจท่ีเรำจะเห็นนกั แสดงเลือกตดั สนิ ใจทำงำนใน
วงกำรมำกกว่ำเรยี นตอ่ ในระดับมหำวิทยำลัย
19
ตัวอย่าง
สมมุติวา่ นาย ก. ไดร้ ับมรดกทดี่ ิน 1 ไร่ และรถแทรกเตอร์ 1 คัน นาย ก. จะตดั สนิ ใจ
ในการเลอื กวา่ ท่ีดนิ จะใชท้ าอะไร รถแทรกเตอรจ์ ะใช้ทาอะไร สมมุตวิ า่ ทางเลอื กใน
การใชท้ ่ดี ินและรถแทรกเตอรโ์ ดยคิดเป็นมูลค่าปจั จบุ ันแลว้ มีดงั น้ี
ที่ดนิ รถแทรกเตอร์
ทางเลอื ก ได้เงนิ (บาท)
ทางเลือก ได้เงิน (บาท)
ขาย 200,000
ให้เชา่ ทานา 250,000 ขาย 20,000
ใหเ้ ชา่ ซ้ือ 25,000
ใหเ้ ช่าทาท่ีจอดรถ 280,000 ให้เช่า 23,000
ถ้าหากนาย ก. เลือก ให้เชา่ ทาที่จอดรถ และเลือกขายรถแทรกเตอรแ์ ล้ว ดงั นน้ั
ตน้ ทนุ คา่ เสยี โอกาสในการใชท้ ่ีดินของนาย ก. จะเท่ากบั เทา่ ไร และตน้ ทนุ คา่ เสยี
โอกาสในการใช้รถแทรกเตอรข์ องนาย ก. จะเทา่ กับเท่าไร
20
ดังนัน้ โดยสรปุ แล้วเศรษฐศาสตร์จงึ เกีย่ วขอ้ งกบั 4 ส่งิ ทส่ี าคญั คอื
1. ความขาดแคลน (Scarcity) หรือความจากดั ของทรัพยากร
2. ความตอ้ งการท่ีไม่จากดั ของมนษุ ย์ (Unlimited wants)
3. การเลือก (Choice and decision)
4. คา่ เสียโอกาส (Opportunity cost)
21
• ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิต
ทรัพยากรการผลิตหรือปัจจัยการผลติ (Factor of Production)
หมายถึง ทรัพยากรที่นามาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งในทาง
เศรษฐศาสตรส์ ามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท คือ
1) ที่ดิน (Land) ได้แก่ ท่ีดินท่ีใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจรวมทั้ง
ทรัพยากรธรรมชาติท่ีอยู่บนพ้ืนดินและอยู่ใต้ดิน เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ ก๊าซ
ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น ซึ่งผลตอบแทนจาก
การใช้ปจั จัยท่ดี ิน เรยี กวา่ คำ่ เช่ำ (Rent)
22
2) แรงงาน (Labor) คอื ประชากรท่ีอยใู่ นวยั ทางาน ท่ีใช้
สตปิ ญั ญา ความรู้ ความคิด และกาลังแรงกายในการผลติ สินค้าและ
บรกิ าร ซ่ึงผลตอบแทนของแรงงาน เรียกวา่ ค่าจ้างและเงินเดอื น
(Wage and salary)
แรงงานแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
2.1) แรงงานฝีมอื (Skill labor) คอื แรงงานท่ีมีความรู้
ความชานาญเฉพาะทาง เชน่ แพทย์ วศิ วกร พยาบาล สถาปนิก
ทนายความ นักบัญชี นักเศรษฐศาสตร์ ครู เปน็ ตน้
23
2.2) แรงงานก่งึ ฝีมือ (Semi-skill labor) คอื แรงงานทมี่ ี
ประสบการณ์จากการทางานอยู่ในระดับหวั หน้าคนงาน เชน่ ชา่ งไม้
ช่างเทคนิค ชา่ งไม้ ช่างปนู เปน็ ตน้
2.3) แรงงานไรฝ้ ีมอื (Unskilled labor) คอื แรงงานทีใ่ ชก้ าลัง
แรงงานเปน็ หลกั ไม่จาเป็นต้องมีความร้คู วามชานาญ เชน่ แรงงานแบก
หาม กรรมกร ภารโรง เปน็ ต้น
24
3) ทุน (Capital) หมายถึง สิง่ กอ่ สร้างหรือสถานทท่ี ี่ใชใ้ นการผลิต
เครือ่ งมือ เคร่อื งจักร และอปุ กรณ์ ท่ีใช้ร่วมกับปัจจัยการผลติ อน่ื ๆ เพอ่ื การ
ผลิตสินคา้ และบริการ เรยี กอีกชอ่ื หน่งึ ว่า สนิ คา้ ทนุ (capital goods) ได้แก่
ส่ิงกอ่ สรา้ ง เชน่ โรงงาน ถนน สะพาน ทางรถไฟ เครือ่ งจกั รเครื่องมอื เช่น
เครื่องจักรในโรงงาน เครือ่ งสบู นา รถแทรกเตอร์ รถบรรทุก รถไถนา สตั วท์ ี่
ใช้แรงงาน อุปกรณ์ตา่ งๆ วัตถุดิบ เช่น เมล็ดพนั ธ์ุพชื ปุ๋ย ยาฆา่ แมลง นามัน
เชือเพลงิ เหลก็ เสน้ ไม้แปรรูป ยางแผน่ เม็ดพลาสติก ผัก ผลไม้ ท่ีจะนามา
ประกอบหรือแปรรปู
สินค้าทุนเหล่านี เรียกวา่ ทุนท่ีแทจ้ รงิ (real capital) สว่ นเงินทุน
(money capital) หรือ ทนุ เปน็ ตัวเงนิ นักเศรษฐศาสตร์พิจารณาว่า เป็น
เพยี งสอื่ กลางใช้แลกเปลีย่ น แต่ สนิ คา้ ทุน จะเป็นตัวบง่ ชีกาลงั การผลิตท่เี ปน็
จริงไดด้ ีกว่าเงนิ ทนุ ดังนัน เงินทุนจึงไม่นับเปน็ ทนุ ในทางเศรษฐศาสตร์
ผลตอบแทนของทนุ คอื ดอกเบี้ย (interest)
25
4) ผปู้ ระกอบการ (Entrepreneur) คอื ผูท้ ีร่ เิ ริ่มทาการผลติ
สินค้าและบริการ โดยทาหน้าทร่ี วบรวมปัจจยั การผลิตทงั 3 ประเภทท่ี
กล่าวมาขา้ งตน้ มาทาการผลติ สนิ ค้าและบรกิ าร โดยผู้ประกอบการตา่ ง
กับแรงงานตรงท่ี ผปู้ ระกอบการทาหน้าท่วี างแผนและกาหนดนโยบาย
การผลิต ซ่ึงผลตอบแทนทีผ่ ้ปู ระกอบการได้รับจากการตดั สนิ ใจ
ดาเนินการผลติ คือ กาไร (Profit)
26
• สินค้าและบริการ
สินค้าและบริการ (Goods and Services) คือ ส่ิงท่ีสามารถ
สนองความต้องการหรือสร้างความพอใจให้แก่ผู้บริโภค ซ่ึงได้มาจาก
การทางานร่วมกันของปัจจัยการผลิต โดยเศรษฐศาสตร์แบ่งสินค้าและ
บริการออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) เศรษฐทรัพยห์ รือสินค้าทางเศรษฐกิจ (Economic Goods)
2) ทรพั ย์เสรีหรือสนิ คา้ ไรร้ าคา (Free Goods)
27
สินคา้ และบริการ
เศรษฐทรพั ย์ สินค้าไร้ราคา
(Economic Goods) (Free Goods)
สนิ คา้ เอกชน สนิ ค้าสาธารณะ
1) เศรษฐทรัพยห์ รอื สนิ ค้าทางเศรษฐกจิ (Economic Goods)
เป็นสนิ คา้ และบริการท่ีมตี น้ ทุนในการผลิต จึงเป็นส่งิ ท่มี ีราคา
สินค้าทางเศรษฐกจิ ยังแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 สินคา้ เอกชน (Private Goods) เปน็ สนิ ค้าท่ตี อบสนองความ
ต้องการของมนุษย์และต้องมกี ารจ่ายค่าตอบแทนหรอื ซอื มา และสามารถ
ยดึ ถอื เป็นเจา้ ของได้ โดยเม่ือบคุ คลหนึ่งไดร้ บั หรอื บรโิ ภคแลว้ ปริมาณสินคา้
นันกจ็ ะลดลงหรือจะเหลือให้แกบ่ ุคคลอ่นื ลดนอ้ ยลง เนอื่ งจากเปน็ สินค้าที่มี
จานวนจากดั เม่ือเทียบกับความต้องการของมนุษย์ และเป็นสินคา้ ทีเ่ จ้าของ
สามารถกีดกันผู้บริโภครายอื่นได้ ซง่ึ ไดแ้ ก่สินคา้ ทั่วไป เชน่ อาหาร รถยนต์
บา้ น เสือผา้ ยา การรกั ษาพยาบาล เป็นต้น
29
1.2 สินค้าสาธารณะ (Public Goods) เป็นสินค้าท่ีบริโภคร่วมกัน
แต่ละคนไม่สามารถเป็นเจ้าของหรือยึดครองหรือกีดกันผู้บริโภครายอื่นได้
และไม่สามารถแบ่งย่อยเป็นส่วนๆ ได้ นอกจากนียังเป็นสินค้าที่เมื่อ
ผู้บริโภคคนหนึ่งบริโภคแล้วจะไม่ไปลดการบริโภคของคนอ่ืนๆ สินค้านี
อาจจะผลิตโดยรัฐบาลหรือเอกชนก็ได้ เช่น การป้องกันประเทศ รายการ
ปกติทางโทรทัศน์ การให้บริการความปลอดภัยในการจราจร ถนนหนทาง
ทวั่ ไป ไฟฟา้ ทีใ่ ห้แสงสวา่ งตามท้องถนนในเวลากลางคืน และระบบป้องกัน
นาท่วมในพืนท่ีสาธารณะ เป็นตน้
30
2) ทรัพยเ์ สรหี รือสนิ ค้าไร้ราคา (Free Goods)
ทรัพยเ์ สรีหรอื สินค้าไร้ราคา หมายถึง สินคา้ ท่ีมีปริมาณมาก
และไม่จากัดเมอ่ื เทยี บกับความต้องการของมนุษย์ จงึ เป็นสินค้าที่ไม่มี
ต้นทุน ไมม่ รี าคาท่ีต้องจา่ ย เชน่ แสงแดด นาฝน อากาศ เปน็ ตน้ แต่
สินคา้ ประเภทนอี าจเปลีย่ นสถานะมาเปน็ เศรษฐทรพั ยไ์ ด้หากเปลย่ี น
สภาพ เชน่ oxygen อดั กระป๋อง เป็นตน้
31
• ประวัติของวิชาเศรษฐศาสตร์
สานักคลาสสิค (Classical economics) มีความเชอื่ ในระบบเศรษฐกิจ
แบบเสรนี ิยมหรือทนุ นิยม คือ ให้ทุกคนทาในสิ่งทด่ี ีทสี่ ดุ แล้วในทส่ี ดุ ระบบ
เศรษฐกิจจะดีเอง หรือ กลไกตลาดสามารถแก้ไขปญั หาทางเศรษฐกิจทุก
อย่างได้ด้วยตัวของมันเอง รัฐบาลไม่ควรเขา้ ไปแทรกแซง โดยบิดา
เศรษฐศาสตร์ คือ อดัม สมิท (Adam Smith)
32
อดัม สมทิ (Adam Smith)
เขียนหนงั สือชอื่ An lnquiry into
the Nature and Causes of
the Wealth of the Nations
ซ่ึงถือวา่ เปน็ หนังสือเศรษฐศาสตร์
เล่มแรกของโลก ถอื เปน็ จดุ เริม่ ตน้
ของวิชาเศรษฐศาสตร์
Adam Smith
เช่อื วา่ ปัญหาทางเศรษฐกจิ สามารถแกไ้ ดโ้ ดยใช้กลไกราคา ซงึ่ ทาหนา้ ที่
เปน็ มอื ทีม่ องไมเ่ ห็น (invisible hand)
ช่วงก่อนเศรษฐกจิ โลกตกต่า ค.ศ. 1930
• ไม่มกี ารแบ่งการศกึ ษาเศรษฐศาสตรจ์ ุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาคชัดเจน
• นักเศรษฐศาสตร์เช่ือว่า ระดับการจ้างงานเต็มท่ีเสมอ อุปทานจะสร้าง
อุปสงค์โดยอัตโนมัติ ดังนั้นผลิตสินค้าออกมาขายในตลาดก็จะมีอุปสงค์ต่อ
สนิ คา้ นั้นในปรมิ าณเดยี วกนั
• จากแนวคิดน้ี จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหาในทางเศรษฐกิจมหภาค ทั้งท่ีเก่ียวกับ
ภาวะสนิ ค้าลน้ ตลาดและปญั หาการว่างงาน
ชว่ ง ค.ศ. 1936
• ภาวะเศรษฐกิจตกต่าในช่วง ค.ศ. 1929-1933 เกดิ ปญั หาการวา่ งงาน
รายไดต้ กตา่ อยา่ งหนกั
• ปรากฏการณ์น้ใี ช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กอ่ นหน้านีอ้ ธบิ ายไมไ่ ด้
John Maynard Keynes - ปี ค.ศ. 1936 John Maynard Keynes
เขียน หนังสือชอ่ื The General Theory of
Employment, Interest and Money
- อธบิ ายถึงสาเหตุของปญั หาเศรษฐกจิ วา่ เกดิ
จากอุสงคท์ ไี่ มเ่ พยี งพอทจ่ี ะซือ้ สินค้าทผี่ ลิต
ออกสู่ระบบเศรษฐกจิ เมื่อสนิ คา้ ล้นตลาดจงึ
ทาใหก้ ารผลิตและการจา้ งงานลดลง และเกิด
ปญั หาการว่างงาน
- ทางแก้ไข จะตอ้ งอาศยั การแทรกแซงของ
รัฐบาล
สานักเคนส์ ได้มีอิทธิพลต่อการดาเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ
อุตสาหกรรมตะวันตกช่วงปี 1930 ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่า และ
ปัญหาการว่างงาน โดยรัฐบาลควรเข้ามาแทรกแซงระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้
นโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์ก่อนสานักเคนส์ไม่
สามารถอธิบายได้ และเคนส์ได้แบ่งเศรษฐศาสตร์เป็น เศรษฐศาสตร์จุลภาค
และเศรษฐศาสตรม์ หภาค
สานักนโี อคลาสสคิ (Neo-classical economics) ไดว้ จิ ารณ์
แนวนโยบายของสานกั เคนส์ ในช่วงปี 1960 และ 1970 ทม่ี ีปญั หาเงินเฟ้อ
และการว่างงานพร้อมกัน โดยนักเศรษฐศาสตรส์ านกั น้เี นน้ ความมอี ยอู่ ยา่ ง
จากัดของทรพั ยากร และมคี วามเชื่อในระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยม
36
• ลักษณะของทฤษฎีวิชาเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ (Economic analysis or Positive economics) เป็น
การศึกษาปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในปรากฏการณ์
นั้น ตลอดจนเป็นการแสวงหากรอบการวิเคราะห์ รวมท้ังแนวคิดเพื่ออธิบาย
ปรากฏการณ์น้ัน เช่น วิกฤตต้มยากุ้ง (วิกฤต 2540) เกิดจากสาเหตุใด และมีผลกระทบ
อย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น รวมถึงการคาดว่าผลท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็น
อย่างไร โดยไม่คานึงว่าผลน้นั ถกู ตอ้ งหรือไม่
เช่น หากมีการเก็บภาษีสินค้าชนิดหน่ึง เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์อาจจะ
พยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาษีท่ีจัดเก็บกับตัวแปรสาคัญที่เกี่ยวข้องกับราคา
และปริมาณซื้อของสินค้าน้ัน และเมื่อได้ข้อสรุปท่ีชัดเจนแล้ว ก็ใช้ข้อสรุปน้ันไปทานาย
ผลกระทบตา่ งๆ ทอ่ี าจเกิดข้นึ จากการเกบ็ ภาษีในสินคา้ น้ัน
37
เศรษฐศาสตร์นโยบาย (Economic policy or Normative
economics) เป็นการศึกษาเพ่ือกาหนดแนวทางท่ีถูกต้อง เพื่อควบคุม
เศรษฐกิจให้เป็นตามที่ต้องการและเพ่ือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เช่น รัฐบาลต้อง
แก้ไขอย่างไร จากปัญหาวิกฤตซับไพร์ม หรือศึกษาว่าการการข้ึนราคานั้น
ถูกตอ้ งหรือไม่ ถา้ ไม่ถูกต้องจะมีวธิ กี ารแก้ไขอย่างไร เปน็ ต้น
เชน่ เม่ือใชเ้ ศรษฐศาสตร์วิเคราะห์และศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบ
ของการเก็บภาษีสินค้า 5 อย่างแล้ว หากพบว่าการเก็บภาษีสินค้า ก มี
ผลกระทบต่อจานวนผู้เสียภาษีน้อยที่สุด ในขณะท่ีผลกระทบด้านอื่นๆของ
การเก็บภาษีสินค้าทั้ง 5 อย่างไม่แตกต่างกันมากนัก ผู้บริหารประเทศก็อาจ
ตัดสินใจเลอื กเก็บภาษีเฉพาะสินคา้ ก
38
ตัวอย่าง
สมมติว่ามนี ักศกึ ษา 2 คน กาลังสนทนากนั เกย่ี วกบั คา่ แรงขนั้ ต่าที่
กฎหมายกาหนด
A : การขึ้นค่าแรงข้นั ตา่ ทาให้เกิดการวา่ งงาน
B : ภาครัฐควรปรับขึ้นค่าแรงข้ันต่า
แนวคิดของใครเป็น Positive economics และใครเป็น Normative
Economics?
39
• แบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์
• ในวชิ าชีววิทยา การทาความเข้าใจเกีย่ วกับการทางานของอวยั วะต่างๆ
ในร่างกายมักเรยี นร้จู ากหนุ่ ซ่ึงแสดงอวยั วะทส่ี าคัญๆ ในร่างกาย ซ่ึงหนุ่
ไมส่ ามารถแสดงรายละเอยี ดท้ังหมดของรา่ งกายมนษุ ยท์ แี่ ทจ้ รงิ ได้ เชน่
เสน้ เลอื ด กล้ามเนอ้ื เป็นต้น แต่มันก็แสดงอวยั วะหลกั ทส่ี าคญั ๆ และการ
ทางานรว่ มกันของอวัยวะเหลา่ นนั้
• ในวิชาเศรษฐศาสตร์ แบบจาลองต่างๆ ของเศรษฐศาสตร์ถกู สรา้ งขึ้น
เพื่ออธิบายปรากฏการณท์ างเศรษฐกจิ ซึง่ แนน่ อนวา่ ไม่สามารถแสดง
รายละเอียดไดท้ กุ อย่าง แบบจาลองนมี้ กั ประกอบด้วยแผนภาพและ
สมการ และมักถกู สรา้ งภายใต้สมมตฐิ าน (Assumption)
40
• กิจกรรมทางเศรษฐกิจและกระแสหมุนเวียน
ในระบบเศรษฐกิจ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Economic Activity) หมายถึง การดาเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ อันได้แก่ การผลิต การบริโภค และการแลกเปลยี่ น โดยบุคคล
ทีด่ าเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจ เรยี กว่า หน่วยเศรษฐกจิ (Economic Unit) ซ่ึง
ประกอบด้วย
1. ผู้บริโภค (Consumer) คือ ผู้ท่ีทาการบริโภคสินค้าและบริการ
โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ ความพอใจสูงสุด (Maximize Satisfaction) ภายใต้
งบประมาณท่มี อี ยอู่ ยา่ งจากดั
41
2. ผู้ผลิต (Producer) คือ ผู้ที่ทาหน้าที่ผลิตสินค้าและบริการเพื่อ
จาหน่ายใหผ้ ู้บริโภค โดยมีจดุ ม่งุ หมาย คอื กาไรสงู สดุ (Maximize Profit)
3. เจ้าของปัจจัยการผลิต (Owner of Factor of Production) คือ
ผู้ท่ีเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตท้ัง 4 อย่าง คือ ที่ดิน แรงงาน ทุน และ
ผปู้ ระกอบการ โดยมีจุดมุ่งหมายคือ รายได้สทุ ธิสูงสุด (Maximize Net-gain)
จากการขายปจั จัยการผลติ
4. รัฐบาล (Government) คือ หน่วยงานของรัฐบาลหรือส่วน
ราชการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดาเนินงานของรัฐบาล มีจุดมุ่งหมายท่ีจะทาให้ประเทศ
เกิดความม่ันคง ประชาชนอย่ดู ีกนิ ดี และเศรษฐกจิ เจรญิ กา้ วหนา้
42
แบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ 1:
the circular flow diagram
The circular flow diagram คอื แผนภาพที่แสดง “กระแสหมนุ เวยี น
ในระบบเศรษฐกจิ ” ซึ่งโดยปกตจิ ะประกอบไปดว้ ย
ภาคครัวเรอื น (Household) ทาหนา้ ทเี่ ปน็ ท้ังเจ้าของปัจจัยการผลิต
และผู้บริโภค
ภาคธุรกิจ (Business or Firm) ทาหนา้ ท่ีเป็นผ้ผู ลติ
43
1. กระแสหมนุ เวยี นในระบบเศรษฐกจิ ทม่ี กี ารแลกเปล่ยี นสนิ คา้
โดยตรง (Barter System)
สนิ คา้ และบริการ
ภาคครวั เรือน ภาคธรุ กิจ
ปจั จยั การผลิต
44
2. กระแสหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินเป็นส่ือกลาง
ในการแลกเปลี่ยน
ค่าใชจ้ า่ ยในการซอื้ สนิ คา้ และบรกิ าร
สนิ ค้าและบรกิ าร
ภาคครวั เรอื น ภาคธุรกจิ
ปัจจยั การผลติ (ทด่ี ิน, แรงงาน, ทนุ , ผปู้ ระกอบการ)
ผลตอบแทนของปจั จยั การผลติ (ค่าเชา่ , ค่าจ้าง, ดอกเบี้ย, กาไร)
45
3. กระแสหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินเป็นสื่อกลางใน
การแลกเปลี่ยนโดยผ่านตลาด
ค่าสินคา้ และบรกิ าร รายรับจากการขายสนิ ค้า
ตลาดสินค้า
สินคา้ และบริการ สนิ คา้ และบรกิ าร
ภาคครวั เรือน ภาคธรุ กิจ
ทีด่ นิ แรงงาน ปัจจยั การผลิต
ทุน ผู้ประกอบการ
คา่ เชา่ คา่ จา้ ง ดอกเบ้ีย กาไร ตลาดปัจจัยการผลิต ต้นทนุ การผลิต
46
3. กระแสหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจท่ีใช้เงินเป็นสื่อกลางใน
การแลกเปลี่ยนโดยผ่านตลาดและมีภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
คา่ สนิ คา้ และบรกิ าร รายรบั จากการขายสนิ ค้า
ตลาดสินคา้
สนิ คา้ และบรกิ าร สินค้าและบริการ
ภาคครวั เรอื น ภาษอี ากร รัฐบาล ภาษีอากร ภาคธุรกจิ
สินคา้ สาธารณะ ค่าใชจ้ ่ายรฐั บาล
ที่ดนิ แรงงาน ทนุ ผปู้ ระกอบการ ปัจจัยการผลติ
ตลาดปัจจัยการผลติ
คา่ เช่า คา่ จ้าง ดอกเบย้ี กาไร ตน้ ทุนการผลิต
47
• ข้อสมมุติในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์
1. มนุษย์ดาเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจตา่ งๆ อย่างมเี หตมุ ผี ล
(Economic Rationality)
“Rational people think at the margin and make decision
by comparing marginal benefits (ผลประโยชน์ส่วนเพ่มิ ) and marginal
costs (ตน้ ทนุ สว่ นเพ่มิ )”
2. กาหนดให้ส่งิ อ่ืนๆ คงท่ี (Other Things being equal)
48
• ปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ
1. ปญั หาผลติ อะไร (What to produce) เน่อื งจากทรพั ยากรมจี ากดั
เมื่อเทยี บกบั ความตอ้ งการ ดงั นน้ั จงึ เกดิ ปัญหาการตดั สินใจวา่ ควรจะ
ผลิตสินค้าอะไร จานวนเท่าไรจงึ จะกอ่ ให้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ
2. ปญั หาผลิตอยา่ งไร (How to produce) เนอื่ งจากการผลิตมีหลาย
วิธกี าร ดังนัน้ เม่ือเลอื กไดแ้ ลว้ วา่ จะผลิตอะไรและเทา่ ไรแลว้ จึงทาการ
พิจารณาว่าจะผลติ สนิ ค้าและบริการดว้ ยวิธกี ารใด ใชป้ ัจจัยการผลติ
อะไรบา้ งและสัดสว่ นเท่าไร จงึ จะมีประสิทธิภาพมากทสี่ ุดหรือเสีย
ต้นทุนตา่ ทีส่ ุด
49
3. ปญั หาผลติ เพอ่ื ใคร (For whom) เป็นการพิจารณาว่าสินค้าและ
บรกิ ารทผี่ ลติ ได้ควรจะจดั สรรใหแ้ กบ่ ุคคลใดในสังคม ด้วยวิธกี ารใด
จานวนเทา่ ไร
50