• ตารางอุปทาน (Supply schedule) และ
เส้นอุปทาน (Supply curve)
ราคารองเท้า ปริมาณเสนอ ราคารองเทา้
(บาท/คู่) ขาย (คู่)
50 1 250
200
100 4
150 6 150
200 10 100
50
0
0 2 4 6 8 10 ปริมาณเสนอขา1ย2
4
• อุปทานตลาด (Market supply)
เมื่อนำปริมำณเสนอขำยสินคำ้ และบริกำรของผูผ้ ลิตท้งั หมดในตลำดมำรวมกนั
ณ แต่ละระดบั รำคำของสินคำ้ และบริกำรน้ัน จะไดอ้ ุปทำนตลำด ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นถึง
ปริมำณเสนอขำยสินคำ้ และบริกำรน้ันๆ ที่มีอยทู่ ้งั หมดในตลำด ณ ระดบั รำคำต่ำง ๆ
ราคารองเท้า (บาท/ค)ู่ ปริมาณเสนอขาย (ค)ู่ อปุ ทานตลาด
นายเขยี ว นายขาว
50 5
100 14 12
150 48 18
200 6 12 25
10 15
5
ราคารองเทา้
250
200 10 15 25
150 6 12 18 25 ปริมาณเสนอข3า0ย
100 4 8 12
50 1 45
0
0 5 10 15 20
นายเขียว นายขาว อปุ ทานตลาด
6
• ปัจจัยกาหนดอุปทาน (QS)
คือ ปัจจยั ใดๆ ก็ตามทมี่ อี ทิ ธพิ ลต่อจานวนสนิ คา้ ที่ผ้ผู ลติ จะนาออกขาย ได้แก่
➢ ราคาสินค้าชนิดนน้ั (+)
➢ ราคาสินค้าอื่นๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง: เช่น เมอ่ื ราคาถว่ั แขกเพิ่มข้ึน เกษตรกรทเี่ คย
ปลกู ถ่ัวแระกอ็ าจหนั มาปลูกถั่วแขกเพิ่มขึน้ (-)
➢ ราคาปจั จัยการผลิต: ส่งผลตอ่ ต้นทุนในการผลติ สนิ คา้
- หากราคาปจั จยั การผลิตเพ่มิ แตร่ าคาขายเท่าเดิม → Qs ↓
- หากราคาปัจจัยการผลติ ลดลง แตร่ าคาขายเท่าเดิม → Qs ↑
7
• ปัจจัยกาหนดอุปทาน (QS)
➢ เทคโนโลยีการผลิต: หากผู้ผลติ มีเทคโนโลยีในการผลติ ทที่ าให้การผลิตมตน้ ทุน
ต่า เช่น ใช้วัตถดุ บิ เท่าเดิมแตใ่ หผ้ ลผลติ มากขึน้ หรือใช้วัตถุดิบนอ้ ยลงแต่ให้
ผลผลิตเท่าเดิม เปน็ ตน้ กจ็ ะส่งผลใหม้ ีปริมาณการผลติ เพ่มิ ขน้ึ
➢ จานวนผู้ขาย: เมอ่ื มีผ้ขู ายจานวนมาก สินค้าทนี่ าออกขายกย็ อ่ มมจี านวนมาก
ดงั น้นั ตลาดท่ีมีการแข่งขนั มากยอ่ มมสี ินค้าที่นาออกขายมากกวา่ ตลาดที่มผี ขู้ าย
น้อยราย
➢ สภาพดนิ ฟา้ อากาศ: สนิ ค้าบางชนดิ ขึ้นอยูก่ บั สภาพดินฟ้าอากาศ เชน่ สนิ ค้า
เกษตรกรรม หากสภาพอากาศดี ปรมิ าณผลผลติ ก็จะมีมาก
8
• ฟังก์ชันอุปทาน
เมื่อ QX QX = f (PX, PY, W…)
= ปรมิ าณความตอ้ งการซอื้ สินค้า X
PX
PY = ราคาสนิ คา้ X → ตัวกาหนดโดยตรง
W
= ราคาสนิ คา้ อน่ื ที่เกี่ยวขอ้ ง (Y)
= ราคาปัจจยั การผลิต
9
ปัจจัยที่มอี ทิ ธพิ ลโดยตรงตอ่ Qs ของสินค้า X คือ PX ดงั น้ันเมอื่ กาหนดใหป้ จั จยั
อนื่ ๆ คงท่แี ลว้ สามารถเขยี นเป็นฟังก์ชนั ไดด้ งั น้ี
QX = f (PX)
สามารถเขยี นเปน็ สมการอุปทานอยา่ งงา่ ยได้ดงั น้ี
QX = a + bPX
แตส่ มการทีเ่ ปน็ ตัวแทนอุปทานโดยท่วั ไปคือ
QX = -a + bPX
เมือ่ a คอื จดุ ตัดบนแกน QX และ b คอื คา่ ความชนั ของเสน้ อุปทานเม่อื เทียบ
กบั แกน PX
ตัวอย่างเช่น QSx = 10 + 2Px หรอื QSx = 10 + 2P2
10
จากสมการ
QX = -a + bPX
• -a หมายถงึ ผู้ผลติ มตี น้ ทนุ คงท่ีในการผลติ สนิ ค้าจานวนหนงึ่ ดงั น้นั ราคาขายจงึ
ตอ้ งสงู เกนิ กว่าตน้ ทนุ ระดบั หนง่ึ เพ่ือจะทาใหผ้ ู้ผลติ คมุ้ ค่ากับตน้ ทนุ
• ดงั น้ัน เสน้ อุปทานจงึ มีจดุ เรมิ่ ตน้ บนแกนราคา (แกนต้ัง) ทส่ี งู กวา่ จดุ กาเนดิ
ราคาสนิ คา้
S
ปริมาณสนิ คา้
11
• การเปล่ียนแปลงของอุปทาน
1. การเปลี่ยนแปลงปริมาณเสนอขาย (Change in quantity supplied)
คือ การเปลย่ี นแปลงปรมิ าณเสนอขาย เน่อื งจากราคาของสินคา้ ชนิดน้นั
เปล่ยี นแปลงไป ในขณะทปี่ จั จัยอื่นๆ คงท่ี โดยจะเป็นการยา้ ยจากจุดหนึ่งไปยังอีก
จดุ หน่งึ บนเสน้ อปุ ทานเดิม
12
ราคา ราคาเดมิ อย่ทู ร่ี ะดับ P1 ปรมิ าณขายเท่ากบั Q1
ตอ่ มาราคาเปลย่ี นเปน็ P2 ปรมิ าณขายเทา่ กับ Q2
P2 ซงึ่ เป็นการเคลอื่ นย้ายจากจดุ S1 เปน็ S2 บนเส้นอปุ ทานเดิม
P1
S2
S1
Q1 Q2 ปริมาณ
ราคา X กรณรี าคาเพ่ิมข้นึ
S
P2
P1 B
A
Q1 Q2 ปริมาณ X
14
ราคา X กรณีราคาลดลง
S
P1 A
P3 C ปรมิ าณ X
Q3 Q1
15
2. การย้ายเสน้ อุปทาน (Shift in the supply curve)
คือ การทีป่ จั จยั กาหนดอปุ ทานตัวอน่ื ๆ ท่ีไมใ่ ชร่ าคาของสินค้าชนิดนั้น
(เช่น ต้นทุนการผลติ เทคนคิ การผลิต จานวนผผู้ ลติ สภาพดนิ ฟ้าอากาศ เปน็ ต้น)
เปลี่ยนแปลงไป ทาใหป้ ริมาณเสนอขายเปล่ียนแปลงโดยเส้นอุปทานเกิดการย้าย
ไปจากเดมิ ทงั้ เสน้
การเปลย่ี นแปลงนน้ั อาจเพ่ิมข้ีนหรอื ลดลงแลว้ แต่กรณี ซง่ึ ข้ึนกับตวั กาหนด
อปุ ทานโดยอ้อม
ถา้ เพ่มิ ขึ้น อปุ ทาน Shift ไปทางขวา
ถ้าลดลง อุปทาน Shift ไปทางซา้ ย
16
ราคา X กรณอี ุปทานเพม่ิ ข้นึ
P1
เช่น เทคโนโลยีการผลิตดีขน้ึ ต้นทุนการผลติ
ลดลง ท้ังๆ ทีร่ าคาขายยงั เทา่ เดมิ ทร่ี ะดับ P1 จงึ
ทาให้อุปทานเพิ่มข้นึ (Shift ขวา)
S S/
AE
Q1 Q2 ปรมิ าณ X
กรณอี ปุ ทานลดลง
เช่น ตน้ ทุนการผลติ เพิม่ ขนึ้ ท้งั ๆ ท่รี าคาขายยังเทา่
เดิมทรี่ ะดบั P1 จึงทาให้อุปทานลดลง (Shift ซ้าย)
ราคา X S//
S
P1 F A
Q2 Q1 ปริมาณ X
• ความยืดหยุ่นของอุปทาน
(ELASTICITY OF SUPPLY)
19
ตัวอย่าง
ราคา (บาท/หน่วย) ปรมิ าณเสนอขาย (หนว่ ย)
1,000 500
1,400 800
20
21
ตัวอย่าง ราคา (บาท/หน่วย) ปรมิ าณเสนอขาย (หน่วย)
1,000 500
1,400 800
22
ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา แบ่งออกเป็น 5 รูปแบบ
1) อปุ ทานไม่มีความยืดหยุ่นเลย (Perfectly Inelastic Supply)
ปริมาณขายจะไมเ่ ปล่ยี นแปลง ไม่ว่าราคาสินค้าจะเปล่ียนแปลงไปเทา่ ใด เส้นทานจะตัง้ ฉาก
กบั แกนนอน และมคี ่าความยดื หยนุ่ เท่ากบั 0 ตลอดท้ังเสน้ (|Es| = 0 )
ราคาสนิ ค้า
S
P2
P1
ปริมาณสินค้า
23
2) อปุ ทานมีความยดื หยนุ่ นอ้ ย (Relatively Inelastic Supply)
% การเปลีย่ นแปลงของปรมิ าณขายจะนอ้ ยกวา่ % การเปลย่ี นแปลงของราคา เสน้ อปุ ทาน
จะคอ่ นขา้ งชัน และมคี ่าความยืดหยุ่น 0 < |Es| < 1 (มากกว่า 0 แต่นอ้ ยกว่า 1)
ราคาสินคา้ S
P2
P1
Q1 Q2 ปริมาณสินคา้
24
3) อปุ ทานมีความยืดหยุ่นคงท่ี (Unitary Elastic Supply)
กรณี % การเปลย่ี นแปลงของปริมาณขายเท่ากบั % การเปลีย่ นแปลงของราคา เส้นอปุ ทาน
จะเป็นเสน้ ตรงลากจากจุดกาเนิด ทาให้มีค่าความยืดหยุ่น |Es| = 1
ราคาสนิ ค้า S
P2
P1
Q1 Q2 ปริมาณสินค้า
25
4) อุปทานมีความยืดหย่นุ มาก (Relatively Elastic Supply)
% การเปล่ียนแปลงของปรมิ าณขายจะมากกว่า % การเปลยี่ นแปลงของราคา เส้นอุปทาน
จะค่อนข้างลาด และมีคา่ ความยืดหยุน่ 1 < |Es| < ∞ (มากกวา่ 1 แตน่ ้อยกวา่ ∞)
ราคาสนิ คา้ S
P2
P1
Q1 Q2 ปริมาณสนิ คา้
26
4) อปุ ทานมคี วามยดื หยนุ่ มากที่สดุ (Perfectly Elastic Supply)
กรณนี ีถ้ า้ สนิ คา้ อยู่ ณ ระดับราคาเดิม ปริมาณขายจะมีไมจ่ ากัด แต่ถา้ ราคาลดลงเพียงนดิ
เดยี ว สนิ ค้าจะไมม่ ขี ายเลยในตลาด เสน้ อปุ ทานจะเปน็ เสน้ ตรงขนานแกนนอน และมีค่า
ความยืดหยนุ่ |Es| = ∞
ราคาสนิ คา้
P1 S
ปรมิ าณสินค้า
27
ปัจจัยที่กาหนดค่าความยืดหยุ่นของอุปทาน
• ระยะเวลาท่ีใช้ในการผลิต
ระยะเวลาการผลติ นาน → ความยดื หยุ่นของอปุ ทานน้อย
ระยะเวลาการผลติ สนั้ → ความยดื หย่นุ ของอุปทานมาก
เช่น สนิ คา้ เกษตรซ่งึ ใช้เวลาในการผลิตนาน กจ็ ะมคี วามยืดหยุ่นนอ้ ย
กวา่ สนิ คา้ อุตสาหกรรม
• ความยากง่ายในการผลิต
สนิ ค้ามคี วามยากในการผลิต → ความยดื หยุน่ ของอุปทานน้อย
สนิ ค้ามคี วามงา่ ยในการผลติ → ความยืดหย่นุ ของอุปทานมาก
เช่น สนิ คา้ หัตถกรรม มคี วามยดื หยุ่นของอุปทานน้อยกว่าสนิ ค้า
อตุ สาหกรรม
28
บทท่ี 3 (Part 2)
การผลติ
29
• การผลิต (Production)
การผลิต (Production) คือ กระบวนการนาปัจจัยการผลิต ได้แก่
ที่ดิน ทุน แรงงาน วัตถุดิบ และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาผลิตหรือแปรรูปเป็นสินค้า
และบรกิ าร
การผลิตสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งอาจมีวิธีการผลิตได้หลาย
วิธี ซ่ึงแต่ละวิธีก็จะใช้เทคนิคการผลิตและกาหนดส่วนผสมของปัจจัยการผลิต
แตกต่างกนั แตใ่ นทางเศรษฐศาสตร์วิธีการผลิตที่จัดว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด คือ
วิธีการผลิตที่ได้ผลผลิตสูงสุดจากปัจจัยท่ีมีอยู่อย่างจากัด หรือทาให้เสียต้นทุน
นอ้ ยทีส่ ดุ
30
ปจั จยั การผลติ แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่
1. ปัจจัยคงที่ (Fixed Factor) คือ ปัจจัยการผลติ ท่ไี มส่ ามารถเปล่ยี นแปลง
ไดใ้ นระยะเวลาหนง่ึ กล่าวคอื เป็นปจั จยั ทไ่ี ม่สามารถเพม่ิ หรอื ลดจานวน
ลงได้ตามปรมิ าณการผลติ ทเี่ ปลยี่ นแปลงไป ทาให้ปัจจยั เหลา่ น้มี จี านวน
คงทีใ่ นช่วงเวลาหนง่ึ ๆ เช่น ท่ดี นิ โรงงาน เครอ่ื งมอื เครอื่ งจักร เป็นต้น
2. ปัจจยั ผันแปร (Variable Factor) คอื ปัจจัยการผลิตท่ีสามารถ
เปลยี่ นแปลงได้ตามปริมาณการผลิต กล่าวคือ ถ้ามีการผลติ มากกส็ ามารถ
เพิ่มจานวนปจั จยั การผลิตประเภทนไี้ ด้ทนั ที หรือหากทาการผลติ น้อยก็
สามารถลดการใช้ปัจจยั เหล่านี้ลงได้ เช่น วตั ถุดบิ แรงงาน เป็นต้น
31
ระยะเวลาในการผลิต แบง่ ออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
1. ระยะส้นั (Short Run) หมายถงึ ชว่ งระยะเวลาของการผลติ ทไี่ ม่
สามารถเปลยี่ นแปลง (เพม่ิ หรอื ลด) ปริมาณปจั จัยการผลิตบางอย่างได้
โดยการผลติ ในระยะส้ันจะใชป้ จั จัยคงที่ร่วมกบั ปัจจยั ผนั แปร
2. ระยะยาว (Long Run) หมายถึง ชว่ งระยะเวลาของการผลติ ทีส่ ามารถ
เปลย่ี นแปลงปจั จัยการผลิตทกุ อย่างได้ ดังนั้นการผลิตในระยะยาว จึงมี
แต่ปจั จยั ผนั แปรเท่านั้น
32
• ฟังก์ช่ันการผลิต
(Production function)
ฟังก์ชั่นการผลิต คือ การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิต
กบั ปรมิ าณผลผลิตทไี่ ดร้ บั จากการผลติ
เช่น ในการปลูกข้าว ปริมาณผลผลิตข้าวที่ชาวนาจะได้รับ จะขึ้นอยู่กับปัจจัย
ตอ่ ไปนี้
Q = f (L, A, F, I)
เมอื่ Q คือ ปรมิ าณขา้ วท่ผี ลิตได้, L คอื แรงงาน, A คือ ท่ดี ิน, F คือ ปยุ๋ , และ I
คือ ยาฆา่ แมลง เปน็ ตน้
33
o ต้นทุนการผลิต (Cost of production)
ในทางเศรษฐศาสตร์ ตน้ ทุนการผลติ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท
1. ตน้ ทนุ ชัดแจง้ (Explicit Cost) คือ ต้นทุนทเ่ี กดิ ข้ึนจรงิ และมีการจ่าย
จรงิ ท้ังทเ่ี ป็นตวั เงินหรอื ส่งิ ของ เช่น คา่ จา้ ง ค่าวัตถุดบิ ดอกเบีย้ เงนิ กู้ เป็น
ต้น บางครั้งเรยี กว่า ตน้ ทุนทางตรง (Direct cost)
2. ต้นทุนไมช่ ัดแจ้ง (Implicit Cost) คือ ตน้ ทุนทีเ่ กิดขน้ึ จรงิ แตไ่ ม่มีการ
จา่ ยออกไปจริง ๆ เป็นตวั เงนิ หรอื ส่ิงของ ต้นทุนกลมุ่ น้ีถูกประเมนิ และอยู่
ในรปู ของตน้ ทุนคา่ เสยี โอกาส (Opportunity Cost) เชน่ ค่าเสยี โอกาส
ของเงนิ ทุนทนี่ ามาลงทุนทาธรุ กิจ คอื ดอกเบย้ี สงู สดุ ทเ่ี จ้าของเงินทุนควร
จะไดร้ ับหากนาเงนิ ทนุ นไี้ ปลงทุนทาอยา่ งอน่ื เปน็ ตน้
34
o บัญชี VS เศรษฐศาสตร์
ตน้ ทนุ ทางบัญชี (Accounting Cost) คือ ตน้ ทนุ ที่ผู้ผลิตจา่ ยจรงิ
เปน็ ตัวเงนิ โดยสามารถแสดงหลกั ฐานเพอ่ื บนั ทึกลงบญั ชไี ด้ ซึ่งคือต้นทนุ ชดั แจง้
น่ันเอง
ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Cost) คือ ต้นทุนท้งั ทจ่ี า่ ย
จรงิ และไม่ไดจ้ ่ายจริงเป็นตัวเงนิ กล่าวคอื ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์เปน็ การรวม
ตน้ ทุนทางบัญชี (หรือต้นทนุ ชดั แจ้ง) และตน้ ทนุ ไมช่ ดั แจง้ ที่คานวณด้วย
หลักการของตน้ ทนุ ค่าเสยี โอกาสเข้าดว้ ยกนั
35
นน่ั คือ
ต้นทนุ ทางเศรษฐศาสตร์ = ตน้ ทุนทางบญั ชี + ตน้ ทุนคา่ เสียโอกาส
➢ ตน้ ทนุ ทางเศรษฐศาสตร์จะมากกวา่ ตน้ ทนุ ทางบญั ชี
➢ กาไรทางเศรษฐศาสตร์จึงมคี า่ ตา่ กวา่ กาไรทางบัญชี
36
o ต้นทุนของเอกชน และต้นทุนของสังคม
ต้นทนุ เอกชน (Private Cost) คือ ตน้ ทนุ ทกุ ชนดิ ที่ผผู้ ลิตใชจ้ ่ายใน
การผลิตสินคา้ และบรกิ าร ทง้ั ทีจ่ า่ ยจริงและไม่ไดจ้ ่ายจริง ซง่ึ ก็คือต้นทนุ ทาง
เศรษฐศาสตร์นน่ั เอง
ต้นทุนทางสงั คม (Social Cost) คอื ต้นทนุ ทุกชนิดทเ่ี กดิ จากการ
ผลติ สินคา้ และบริการท่ีสังคมตอ้ งรบั ภาระ ซึ่งประกอบไปด้วยตน้ ทนุ เอกชนรวม
กับตน้ ทนุ ภายนอก (External Cost)
ตน้ ทุนทางสังคม = ต้นทุนเอกชน + ต้นทุนภายนอก
ซงึ่ ต้นทุนภายนอก คือ ต้นทนุ ทีบ่ ุคคลอืน่ ทีไ่ มไ่ ดเ้ กี่ยวขอ้ งกับการผลติ แตต่ อ้ งมา
รับภาระ เชน่ คา่ ใชจ้ ่ายของรัฐบาลในการจดั การกบั นา้ เสยี จากโรงงาน เป็นตน้
37
o รายรับจากการผลิต (Revenue)
รายรบั จากการผลิต คือ รายได้ทผ่ี ผู้ ลิตไดร้ บั จากการขายผลผลิตของตน
ตามราคาตลาด ซง่ึ แบง่ ออกได้ 3 ชนดิ คือ
1. รายรับรวม (Total Revenue; TR) คือ รายรับท้ังหมดทีผ่ ผู้ ลติ ได้รับจากการ
ขายสินค้าและบรกิ ารของตนตามราคาตลาด คานวณจากราคาสินค้าต่อหน่วยคูณ
ด้วยปริมาณผลผลติ ทีข่ ายได้
TR = P x Q
เม่ือ P = ราคาตอ่ หนว่ ย (Price) และ Q = ปรมิ าณ (Quantity)
38
39
ตัวอย่าง การคานวณรายรับ
ราคา ปริมาณ รายรบั ท้งั หมด รายรับเฉลีย่
(P) (Q) (TR=PxQ) (AR=TR/Q)
50 1
45 2 50 50
40 3 90 45
35 4 120 40
30 5 140 35
25 6 150 30
20 7 150 25
140 20
40
ราคา ปริมาณ รายรับท้งั หมด
(P) (Q) (TR=PxQ)
50 1 50 50
45
45 2 90 90-50=40 40
มาจาก 40/1
2-1=1
41
o ดุลยภาพของผู้ผลิต
42
กาไรทางเศรษฐศาสตร์ แบ่งได้เป็น 3 กรณี คือ
1. กรณีที่รายรับรวมเท่ากบั ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์ (TR = TC) หรอื ไดก้ าไร
เท่ากบั ศนู ย์ แสดงว่าผู้ผลิตได้รบั กาไรปกติ (Normal Profit)
2. กรณีทรี่ ายรับรวมมากกวา่ ต้นทนุ ทางเศรษฐศาสตร์ (TR > TC) แสดงว่า
ผู้ผลิตไดร้ ับกาไรเกินปกติ ซง่ึ เปน็ กาไรทางเศรษฐศาสตร์ (Economic
Profit)
3. กรณที ี่รายรบั รวมนอ้ ยกว่าต้นทนุ ทางเศรษฐศาสตร์ (TR < TC) แสดงวา่
ผู้ผลิตขาดทุน (Economic Loss)
43
ตวั อยา่ งการหาดลุ ยภาพของผผู้ ลติ
ปรมิ าณ ราคา รายรับทงั้ หมด ตน้ ทนุ ทัง้ หมด กาไรทง้ั หมด สถานะ
(Q) (P) (TR) (TC) (p)
0 400 0 500 -500 ขาดทนุ
1 400 400 700 -300 ขาดทนุ
2 400 800 800 0 กาไรปกติ
3 400 1200 900 300 กาไรทางเศรษฐศาสตร์
4 400 1600 1,000 600 กาไรทางเศรษฐศาสตร์
5 400 2000 1,200 800 กาไรทางเศรษฐศาสตร์
44
คาถาม
นายเอเคยทางานทีบ่ รษิ ัทแห่งหนง่ึ ไดร้ ับเงินเดือน 5,000 บาทต่อ
เดอื น (60,000 บาทตอ่ ปี) ตอ่ มาเขาลาออกจากงานแล้วมาเปดิ ร้านอาหารซง่ึ มี
คา่ ใช้จา่ ยตา่ งๆ ที่เป็นตวั เงินรวมทง้ั สิ้น 200,000 บาทต่อปี และเขายังไดเ้ อา
ตึกแถวทเี่ คยให้เชา่ ปีละ 40,000 บาท มาทาเปน็ สถานทข่ี องร้านอาหารน้นั
หากในปที ่ี 2559 และ 2560 นายเอมรี ายได้จากรา้ นอาหารท้งั ส้นิ 300,000
และ 350,000 บาท ตามลาดบั เขาจะมีกาไรในแต่ละปีเทา่ กับเท่าไร
45
ตวั อยา่ งการหาดลุ ยภาพของผูผ้ ลติ
รายการ ปี 2559 ปี 2560
รายได้ 300,000 350,000
หัก ตน้ ทนุ ชัดแจ้ง 200,000 200,000
กาไรทางบญั ชี 100,000 150,000
หกั คา่ เสยี โอกาส 100,000 100,000
กาไรทางเศรษฐศาสตร์ 0 50,000
สถานะ กาไรปกติ กาไรทาง
เศรษฐศาสตร์
46
บทท่ี 4
ดลุ ยภาพของตลาด
• การกาหนดราคาและดุลยภาพตลาด
• การเปลี่ยนแปลงภาวะดลุ ยภาพ
• การเขา้ แทรกแซงราคาของรัฐบาล
• ตลาดและการแขง่ ขนั
1
• การกาหนดราคาและดุลยภาพตลาด
ดลุ ยภาพของตลาด (Market Equilibrium) คอื ภาวะที่ปริมาณความ
ตอ้ งการเสนอซอ้ื เทา่ กบั ปริมาณความตอ้ งการเสนอขาย ณ ระดบั ราคาใดราคาหนึ่ง
โดยที่เส้นอุปสงค์ตดั กับเส้นอุปทาน ซง่ึ เรยี กว่า จดุ ดุลยภาพ (Equilibrium Point)
โดยระดับราคาดงั กล่าว คือ ราคาดลุ ยภาพ (Equilibrium Price) และปรมิ าณน้นั
คือ ปรมิ าณดุลยภาพ (Equilibrium Quantity)
2
ดลุ ยภาพตลาด
ราคาสนิ ค้า (P) E1 S1
(บาท) Q*= 1,000
P*=100 เชน่
จดุ E1 คอื จุดดลุ ยภาพ
0 ปริมาณดลุ ยภาพ = 1,000 หน่วย
ราคาดลุ ยภาพ = 100 บาท
D1 ปริมาณสินค้า (Q)
(หน่วย)
3
o อุปทานส่วนเกิน (Excess Supply)
อุปทานสว่ นเกิน หมายถงึ ปริมาณเสนอขายมากกวา่ ปรมิ าณเสนอซอ้ื
ราคาสนิ ค้า (P) Excess Supply S1
P2
P1 E1 ณ ราคา = P2 เกิดอุปทานส่วนเกนิ
โดย อปุ ทานส่วนเกิน = ab หนว่ ย
0 a Q1 D1 ปรมิ าณสนิ คา้ (Q)
b
4
เช่น ณ ราคา = 120 บาท เกดิ อุปทานสว่ นเกนิ = 1,400 – 600 = 800 หนว่ ย
ราคาสนิ ค้า (P) Excess Supply S1
(บาท)
E1
120
100
0 600 1,000 D1 ปริมาณสนิ ค้า (Q)
1,400 (หนว่ ย)
5
o อุปสงค์ส่วนเกนิ (Excess Demand)
อปุ สงค์สว่ นเกนิ หมายถึง ปรมิ าณเสนอซ้ือมากกว่าปริมาณเสนอขาย
ราคาสนิ ค้า (P) S1
P1 E1 ณ ราคา = P3 เกิดอุปสงคส์ ว่ นเกนิ
โดยอุปสงค์ส่วนเกนิ = cd
P3
Excess Demand
0 c Q1 d D1 ปรมิ าณสนิ ค้า (Q)
6
เชน่ ณ ราคา = 80 บาท เกิด อุปสงค์สว่ นเกนิ = 1,300–700 = 600 หน่วย
ราคาสินค้า (P) S1
100 E1
80
Excess Demand
0 700 1,000 1,300 D1 ปรมิ าณสินคา้ (Q)
7