• การเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพ
ภาวะดลุ ยภาพของตลาดจะเปลย่ี นแปลงก็ตอ่ เมื่ออุปสงค์หรอื อปุ ทาน
เปลีย่ นแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงภาวะดลุ ยภาพของตลาดอาจเกดิ ขน้ึ ได้ใน 3
กรณี ได้แก่
1. อุปสงค์เปลย่ี นแปลง โดยที่อปุ ทานคงที่
2. อุปทานเปลีย่ นแปลง โดยทอี่ ุปสงคค์ งที่
3. ทัง้ อปุ สงคแ์ ละอุปทานเปล่ยี นแปลง
8
1. อุปสงค์เปลย่ี นแปลง โดยทอี่ ุปทานคงที่
P S1
E2
PP12 E1 กรณอี ปุ สงค์เพม่ิ ข้ึน
0 Q1 Q2 D1 D2
P Q
E1 S1
E3
PP13 กรณีอปุ สงค์ลดลง
0 Q3 Q1 D3 D1
Q
9
คาถาม
การยา้ ยเสน้ อุปสงค์ เกดิ จากสาเหตุใดได้บา้ ง ?
- รายได้เปลี่ยนแปลง
- รสนยิ มเปลย่ี นแปลง
- ราคาสินค้าอืน่ ที่เกย่ี วข้องเปล่ยี นแปลง
10
2. อปุ ทานเปลยี่ นแปลง โดยทอี่ ุปสงคค์ งท่ี
P S1 S2
PP12 E1 กรณอี ปุ ทานเพ่มิ ข้นึ
E2
0 Q1 Q2 D1 Q
P S3 S1
PP31 E3 กรณีอุปทานลดลง
E1
0 Q3 Q1 D1 Q
11
คาถาม
การย้ายเสน้ อปุ ทาน เกิดจากสาเหตใุ ดได้บา้ ง ?
- ราคาปัจจยั การผลติ เปล่ยี นแปลง
- เทคโนโลยีการผลิตเปลี่ยนแปลง
- สภาพดินฟ้าอากาศ
12
3. ทง้ั อปุ สงคแ์ ละอุปทานเปล่ยี นแปลง
อปุ สงคแ์ ละอุปทานเปลย่ี นแปลง เกดิ จากปัจจัยที่กาหนดทง้ั อปุ สงค์และ
อุปทานเปล่ียนแปลง มผี ลทาให้เสน้ อุปสงค์และอปุ ทานเปล่ียนแปลงพรอ้ มกัน การ
เปลีย่ นแปลงนีม้ ีผลลัพธท์ เี่ ป็นไปได้ 4 กรณี ไดแ้ ก่
1. อปุ สงค์เพ่มิ อุปทานเพ่ิม
2. อุปสงค์เพม่ิ อปุ ทานลด
3. อปุ สงคล์ ด อปุ ทานเพิ่ม
4. อปุ สงค์ลด อุปทานเพิ่ม
13
เมอ่ื อปุ สงค์และอปุ ทานเปลี่ยนแปลง ก็จะทาให้ภาวะดุลยภาพ
เปล่ียนแปลง ทงั้ น้ี ราคาและปริมาณดลุ ยภาพจะเปล่ยี นแปลงไปมากนอ้ ยเทา่ ใด
นน้ั ก็ข้ึนอย่กู บั ทิศทางและความมากน้อยของการเปล่ยี นแปลงอุปสงค์อปุ ทาน
เช่น
กรณีอุปสงคแ์ ละอุปทานเพิ่มทงั้ คู่
กรณเี ชน่ น้จี ะทาให้ปริมาณดุลยภาพเพมิ่ ขน้ึ แตก่ ารเปลี่ยนแปลงราคา
ดุลยภาพสามารถเปน็ ไปได้สามรปู แบบ คือ 1) ราคาเพิ่มขนึ้ 2) ราคาคงท่ี และ
3) ราคาลดลง
14
3.1 อุปสงคแ์ ละอปุ ทานเพม่ิ
Demand เพม่ิ ขน้ึ มากกว่า Supply ทเ่ี พม่ิ ปรมิ าณและราคาเพ่ิมขึน้
P S1 S2
PP12 E1 E2
0 Q1 Q2 D1 Q D2
15
3.1 อปุ สงคแ์ ละอปุ ทานเพิ่ม
Demand เพ่มิ ขน้ึ เท่ากบั Supply ท่เี พ่ิม ปรมิ าณเพม่ิ ข้นึ แต่ราคาดลุ ยภาพคงท่ี
P S1
S2
P1 E1 E2
0 Q1 Q2 D1 D2
Q
16
3.1 อุปสงคแ์ ละอปุ ทานเพมิ่
Demand เพิม่ ขึน้ นอ้ ยกว่า Supply ท่ีเพ่มิ ปรมิ าณเพม่ิ ขน้ึ แต่ราคาลดลง
P S1 S2
PP12 E1 E2
0 Q1 Q2 D1 QD2
17
3.2 อปุ สงค์เพิ่ม แตอ่ ุปทานลด
P E2 S2S1 กรณอี ุปสงค์เพ่มิ อปุ ทานลด ทาให้ราคา
P2 เพิ่มขึ้น แต่ปริมาณเป็นได้ทงั้ สามแบบ
คอื ปรมิ าณอาจเพิ่มขน้ึ หรอื คงที่ หรือลดลง
P1 E1
0 Q1 Q2 D1 D2 S2
P E2 S2 S1 Q E2 S1
P2 P
P2
P1 E1 P1 E1
0 Q1 D1 D2 0 Q2 Q1 D1 Q D2
Q
18
3.3 อปุ สงคแ์ ละอุปทานลด กรณีอุปสงคแ์ ละอุปทานลดลงจะทาให้
ปริมาณลดลง แต่ราคาเป็นได้ทั้งสามแบบ
P S2 S1 คือ ราคาอาจเพม่ิ ข้ึน หรือคงที่ หรือลดลง
PP21 E2 E1
0 Q2 Q1 D2 Q D1 S2
P S2 P
S1 PP21 E2 S1
E1
P1 E2 E1
0 Q2 Q1 D2 D1 0 Q2 Q1 D2 D1
Q Q
19
3.4 อุปสงคล์ ด❖แตท่อ้งัปุ อทุปานสเงพค่มิ ์และอปุ ทานเปล่ียนแปลง
E1 S1S2 กรณที อี่ ุปสงค์ลดลงแต่อุปทานเพิ่มขึ้นจะ
P ทาให้ราคาลดลง แต่ปริมาณจะเป็นได้
P1
P2 E2 สามแบบคือ ปริมาณเพ่ิมขึ้น คงที่ หรือ
0 Q2 Q1 D2 D1 ลดลง S1
P E1 S1 S2 Q E1 S2
P1 P
P1
P2 E2 P2 E2
0 Q1 Q2 D2 D1 0 Q1 Q2 D2 Q D1
Q
20
• การเข้าแทรกแซงราคาของรัฐบาล
โดยปกตแิ ล้วรฐั บาลจะไม่เข้าแทรกแซงการดาเนนิ กจิ กรรมทาง
เศรษฐกจิ โดยจะปลอ่ ยให้กลไกราคาทางาน แตใ่ นบางคร้ังที่กลไกราคาทางาน
แลว้ มผี ลทาใหร้ าคาสินคา้ สูงเกนิ ไปจนทาใหผ้ บู้ รโิ ภคโดยทัว่ ไปเดอื ดรอ้ น หรอื
อาจทาให้ราคาสนิ คา้ ต่ามากจนทาให้ผูผ้ ลติ เดือดรอ้ น ไมค่ มุ้ กบั ตน้ ทนุ การผลิตก็
ต้องอาศัยการเข้าแทรกแซงราคาโดยรัฐบาล โดยการแทรกแซงราคาแบง่
ออกเป็น 2 ชนดิ คอื
1. การประกันราคาข้นั ตา่ หรอื การพยงุ ราคา
2. การกาหนดราคาข้ันสงู หรือการควบคมุ ราคา
21
1. การประกนั ราคาข้นั ต่า หรอื การพยงุ ราคา
(Price support; Minimum price; Ps)
หมายถึง วิธีการท่ีรัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือผู้ผลิตให้สามารถขายสินค้าได้ใน
ราคาทสี่ งู ขึ้น โดยการแทรกแซงราคาสินค้าให้สูงกว่าราคาดุลยภาพในตลาด ซ่ึงราคาท่ี
รฐั บาลประกันจะต้องเปน็ ราคาทสี่ ูงกวา่ ราคาดลุ ยภาพเสมอ
ท่ีผ่านมาสินค้าท่ีรัฐบาลมักใช้การประกันราคาเข้าช่วยเหลือผู้ผลิต มักเป็น
สินค้าเกษตรกรรม ซึ่งมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทานน้อย เช่น ข้าวเปลือก
ขา้ วโพด ยางพารา เปน็ ต้น
การประกันราคาขั้นต่า มวี ธิ กี ารดงั นี้
22
1.1 กรณกี ารรบั ซอื้ อปุ ทานสว่ นเกิน
เมอ่ื รัฐบาลทาการประกนั ราคาขน้ั ตา่ แลว้ รฐั บาลจะรบั ซื้อสินค้าทีผ่ ผู้ ลิตขาย
ไมห่ มด (อปุ ทานส่วนเกนิ ) เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ้ผู ลติ สามารถขายสนิ ค้าได้ในราคาตอ่ หนว่ ยท่ี
สงู ข้ึน ตามท่ีรัฐบาลประกนั ราคาขัน้ ต่าไว้
ราคา (P) อปุ ทานสว่ นเกนิ
(Excess Supply)
S1
PS = 18 A รฐั บาลรับซือ้ อุปทานสว่ นเกนิ = AB
P1 = 14 B ใชง้ บประมาณ = พ.ท. ABQ3Q2
E1 = 18 x (15 – 10)
= 18 x 5 = 90 บาท
D1
0 ปรมิ าณ (Q)
Q2=10 Q1=12 Q3=15
23
1.2 กรณีการใหเ้ งนิ อดุ หนุนแกเ่ กษตรกร
กรณที ่รี ัฐบาลปล่อยใหม้ ีการซอ้ื ขายสินคา้ ตามกลไกตลาด แตร่ ฐั บาลจ่ายเงนิ
อุดหนุนใหแ้ กเ่ กษตรกรเพิ่มเติม เพ่อื ให้เกษตรกรไดร้ บั เงินเท่ากบั ราคาประกันขัน้ ต่า
ราคา (P) รฐั บาลใหเ้ งินอุดหนุน = 18-14
PS= 18 F S1 = 4 บาทต่อหน่วย
P1 =14 E1 ใชง้ บประมาณในการอุดหนุนทง้ั ส้นิ
= พ.ท. PSFE1P1
= (18-14) x 12
= 4 x 12 = 48 บาท
D1 ปริมาณ (Q)
0
Q1=12
24
การประกันราคา การรบั จานา
สมมุติรฐั บาลประกนั ราคาขา้ วที่ 10,000 บาท สมมตุ ิรัฐบาลรบั จานาขา้ วที่ 10,000 บาท
เกษตรกร เกษตรกร
ขายใหโ้ รงสีได้เงิน รฐั บาลจา่ ยสว่ นตา่ ง ขายใหร้ ัฐบาลได้เงิน หรอื ขายใหโ้ รงสีได้เงิน
6,000 บาท อีก 4,000 บาท 10,000บาท 10,000บาท
นน่ั คือ เกษตรกรจะได้รับเงิน 10,000 บาท ใน สง่ ออก
จานวนนี้ได้จากโรงสี 6,000 บาท และไดจ้ าก
รฐั บาลอกี 4,000 บาท นัน่ คือเกษตรกรจะได้เงิน 10,000 บาท ซ่งึ อาจจะ
ไดจ้ ากรฐั บาล 10,000 บาทหากนาขา้ วไปจานา
หรือไดจ้ ากโรงสี 10,000 บาทหากขายใหโ้ รงสี
25
? ทาอย่างไรจึงจะทาให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นระยะยาว
มาตราการในระยะยาว
o ลดอุปทาน : ส่งเสริมใหผ้ ู้ผลิตลดการปลูกพชื ชนดิ นน้ั ลง เพอ่ื ทาใหอ้ ุปทาน
ต่อสินคา้ ชนดิ น้ลี ดลง ซง่ึ จะสง่ ผลให้ราคาสนิ ค้านีเ้ พิม่ สูงข้ึน
o เพ่มิ อุปสงค์ : รฐั บาลอาจทาการขยายตลาดสง่ ออกสนิ คา้ ดังกล่าว เพือ่ เพ่ิม
อุปสงคต์ ่อสนิ ค้านั้น ซง่ึ ก็จะทาใหร้ าคาสนิ ค้าน้ันปรับเพ่ิมสงู ขึ้น
26
2. การกาหนดราคาขัน้ สงู หรอื การควบคุมราคา
(Price ceiling; Price Control; Pc)
หมายถงึ วิธกี ารแทรกแซงราคาโดยรัฐบาลเพ่ือแก้ไขปญั หาการขาดแคลน
สินคา้ กล่าวคอื เมอื่ สนิ คา้ ขาดแคลน ราคาสนิ คา้ กจ็ ะปรบั ตัวสูงขึน้ เรือ่ ยๆ ซง่ึ ทาให้
ผู้บรโิ ภคเดอื ดร้อน ดงั นัน้ รฐั บาลจงึ เข้ามากาหนดราคาขัน้ สงู เพ่ือควบคุมราคาไมใ่ หส้ ูง
จนเกินไป โดยระดับราคาท่ีรฐั บาลเข้าไปควบคุมนจ้ี ะอยตู่ ่ากว่าระดับราคาดุลยภาพ
ของตลาด
สนิ คา้ ทีร่ ัฐบาลควบคมุ ราคา เชน่ ข้าวสาร เนือ้ สตั ว์ ไขไ่ ก่ น้ามนั พืช เปน็ ต้น
27
สมมตริ าคาดลุ ยภาพทร่ี ะดับ P1 เปน็ ราคาท่ีสงู เกินไป รัฐบาลจงึ เขา้ ควบคมุ
ราคาให้อยู่ในระดบั ไม่เกิน Pc แตท่ ่รี ะดบั ราคาควบคุมนี้ ทาใหเ้ กิดอปุ สงคส์ ่วนเกนิ จานวน
Q2Q3 ซง่ึ รัฐบาลตอ้ งจดั สรรสนิ คา้ ใหด้ ี ให้พอกบั ความตอ้ งการของผู้บริโภค (เชน่ โครงการ
ธงฟ้า) ไมอ่ ยา่ งนน้ั อาจเกดิ ตลาดมืด (Black Market) ซง่ึ ราคาอาจสงู ถึง P2 เลยก็ได้
ราคา (P) S1
P2=200 E1 อปุ สงคส์ ว่ นเกนิ
P1=150 (Excess demand)
Pc = 120 D1 ปริมาณ (Q)
0 28
Q2=8 Q1=10 Q3=14
• ตลาดและการแข่งขัน
ตลาด หมายถึง สถานท่ีแห่งใดแห่งหนึ่งซ่ึงมีสินค้าวางจาหน่าย
และมีผู้ซ้ือผู้ขายต่อรองราคากัน ถ้าตกลงกันได้ก็จะมีการส่งมอบสินค้า
ให้แก่กัน นอกจากน้ียัง ตลาดยังหมายถึงการติดต่อซื้อขายสินค้ากัน โดยท่ี
ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องมาพบกันก็ได้ แต่ติดต่อกันได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น
ทางโทรศัพท์ โทรสาร อินเตอร์เน็ต เป็นต้น เช่นการซ้ือขายในตลาด
หลักทรพั ย์ เป็นต้น
29
การจดั ประเภทตลาดตามลักษณะของการแขง่ ขนั แบง่ ตลาดออกเป็น 2
ประเภท ไดแ้ ก่
1. ตลาดแข่งขันสมบรู ณ์ (Perfect Competitive Market)
2. ตลาดแขง่ ขนั ไม่สมบรู ณ์ (Imperfect Competitive Market)
• ตลาดผูกขาด
• ตลาดผู้ขายนอ้ ยราย
• ตลาดก่งึ แข่งขนั กึ่งผูกขาด
30
1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
(Perfect Competitive Market)
ลกั ษณะท่ีสาคญั ของตลาดแข่งขันสมบูรณ์
1. มผี ซู้ อ้ื ผขู้ ายจานวนมาก
2. สนิ คา้ ท่ซี อื้ ขายกนั มลี ักษณะเหมอื นกันทุกประการ (Homogeneous Product)
3. ผผู้ ลติ สามารถเขา้ และออกจากกจิ การได้อย่างเสรี (Free Entry and Free Exit)
4. สนิ ค้าและปัจจัยการผลติ สามารถโยกยา้ ยไดอ้ ยา่ งเสรี (Free Mobility)
5. ผซู้ อ้ื และผู้ขายมีความรอบร้เู ก่ยี วกับสภาพของตลาดอย่างดี (Perfect
Knowledge)
31
2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
(Imperfect Competitive Market)
เปน็ ตลาดทีผ่ ูข้ ายมจี านวนไม่มาก แตป่ ริมาณการขายสินค้าของผู้ผลิต
แตล่ ะรายเป็นสดั ส่วนท่มี ากในตลาด มีการกีดกันผ้ขู ายรายใหม่ไม่ให้เข้าสู่ตลาด
ด้วยวิธีการต่าง ๆ และสามารถกาหนดราคาได้บ้าง อีกท้ังผู้ซื้อและผู้ขายไม่
ทราบความเป็นไปของตลาดได้อย่างสมบูรณ์ โดยสามารถแบ่งตลาดประเภทนี้
ออกเป็น 3 ตลาด ดงั นี้
32
2.1 ตลาดผูกขาด (Monopoly)
ลกั ษณะสาคญั ของตลาดผูกขาด
1. มผี ขู้ ายเพียงรายเดยี ว ซง่ึ เรียกวา่ ผู้ผูกขาด (Monopolist)
2. สินคา้ ทีผ่ ลิตไม่เหมอื นใครหาสนิ คา้ อ่นื ทดแทนไดย้ าก
3. ผขู้ ายเปน็ ผกู้ าหนดราคาหรอื ปริมาณสินค้า
4. ผู้ผูกขาดสามารถกดี กนั ไม่ให้ผูอ้ ่นื เข้ามาผลิตแขง่ ขันได้
33
2.2 ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)
ลักษณะสาคัญของตลาดผขู้ ายน้อยราย
1. มผี ู้ขายตัง้ แต่ 2 รายขึ้นไป โดยทัว่ ไปประมาณ 3-4 ราย การตดั สนิ ใจของผู้ขายราย
ใดรายหน่ึงมีผลกระทบต่อผู้ขายรายอืน่ ๆ และผูข้ ายรายอน่ื จะมกี ารโต้ตอบทันที
2. สนิ คา้ ทีข่ ายมี 2 ลกั ษณะ คือ
2.1 มลี กั ษณะเหมือนกันทกุ ประการ (pure oligopoly) เชน่ น้ามนั เปน็ ตน้
2.2 มีลกั ษณะแตกต่างกัน แต่ใชท้ ดแทนกันได้ (differentiated oligopoly)
เช่น รถยนต์ เปน็ ตน้
3. ผ้ขู ายรายใหมเ่ ข้ามาดาเนนิ การแขง่ ขนั ไม่ได้ อาจโดยมีการโฆษณาซ่ึงตอ้ งใชเ้ งิน
จานวนมาก และบางกจิ การต้องเป็นกจิ การขนาดใหญ่ จงึ จะเกดิ การประหยัดต่อ
ขนาด (Economies of Scale)
34
4. ผู้ขายหรือผู้ผลิตในตลาดผู้ขายน้อยรายไม่นิยมแข่งขันกันด้วยราคา แต่
แขง่ ขันกนั ด้วยคุณภาพและการส่งเสริมการขาย ซง่ึ เป็นการแข่งขันโดยไม่
ใช้ราคา (Non-price Competition) เนอื่ งจาก
- หากลดราคาจะไม่ช่วยให้ผู้ขายสามารถขายสินค้าได้เพ่ิมข้ึนมากนัก
เน่ืองจากคู่แข่งจะโตต้ อบโดยการลดราคาตามทันที
- ผูข้ ายน้อยรายสว่ นมากเช่ือว่าการแข่งขนั โดยไมใ่ ชร้ าคาสามารถเอาชนะ
คแู่ ข่งได้นานกวา่ เช่น คณุ ภาพสนิ ค้า เป็นตน้
- เปน็ ผู้ผลติ รายใหญ่จึงมีปรมิ าณสนิ ค้ามากและมเี งินทุนจานวนมากดว้ ย
35
2.3 ตลาดกึ่งแข่งขันก่ึงผูกขาด
(Monopolistic Competition)
ลักษณะสาคญั ของตลาดกงึ่ แข่งขนั กงึ่ ผูกขาด
1. มจี านวนผขู้ ายมากราย แตน่ อ้ ยกว่าตลาดแข่งขันสมบูรณ์
2. ผูข้ ายแตล่ ะรายขายสนิ คา้ ทคี่ ล้ายกนั แต่ไม่เหมอื นกัน เนอ่ื งจากคุณภาพ
บริการ การโฆษณา การบรรจุหีบหอ่
3. ไมม่ สี งิ่ กดี ขวางการเขา้ ตลาดของผผู้ ลติ รายใหม่
4. ไมม่ ีการร่วมมอื กนั ระหวา่ งผซู้ อ้ื หรอื ผู้ผลิต
36
QUIZ
“ในการส่งออกข้าวขาวในตลาดโลก มผี ้สู ่งออกท่ีสาคญั 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย
เวยี ดนาม อนิ เดีย และปากีสถาน โดยขา้ วขาวทส่ี ง่ ออกมาจากทัง้ 4 ประเทศมีคุณภาพ
เท่ากัน ทาให้ในสายตาของผ้บู ริโภค ข้าวขาวจากทัง้ 4 ประเทศไมม่ คี วามแตกต่างกนั
และสามารถทดแทนกนั ได้อย่างสมบูรณ์ แตใ่ นเดือนตลุ าคม ปี 2007 อนิ เดยี ประกาศ
ระงบั การสง่ ออกข้าวเนื่องจากเกิดอุทกภยั รา้ ยแรง พ้ืนท่ที าการเกษตรรวมรวมถึงพื้นที่
ปลูกข้าวไดร้ บั ความเสียหาย ทาใหป้ รมิ าณขา้ วทีเ่ หลอื อย่ไู ม่เพยี งตอ่ ความต้องการของ
คนในประเทศ จึงตอ้ งระงบั การสง่ ออกชั่วคราว”
จงตอบคาถามต่อไปน้ี โดยการเขียนอธิบายพรอ้ มทงั้ วาดกราฟแสดงการ
เปลี่ยนแปลง
1. เหตกุ ารณ์นี้ สง่ ผลกระทบต่อการดลุ ยภาพในตลาดข้าวขาวโลกอย่างไร
2. อปุ ทานตอ่ ข้าวขาวไทยจะเปล่ยี นแปลงอย่างไร และตลาดข้าวขาวในประเทศไทย
จะได้รับผลกระทบอย่างไร เมือ่ สมมติใหร้ าคาขา้ วขาวไทย ถกู กาหนดโดยราคา
ข้าวขาวในตลาดโลก
37
บทท่ี 5
รายไดป้ ระชาชาติ
ความหมายและความสาคญั ของรายได้ประชาชาติ
การคานวณรายได้ประชาชาติ
คาศัพท์ในบญั ชรี ายไดป้ ระชาชาติ
ข้อสงั เกตบางประการเกีย่ วกับรายไดป้ ระชาชาติ
ประโยชน์ของตวั เลขรายไดป้ ระชาชาติ
1
• ความหมายและความสาคัญของ
รายได้ประชาชาติ
ในบทน้ีจะกล่าวถึงข้อมูลสาคัญท่ีนักเศรษฐศาสตร์และผู้วางนโยบาย
ทางเศรษฐกิจใช้พิจาณาว่า เศรษฐกิจของประเทศในขณะน้ันมีสถานะเป็น
อย่างไร ตลอดจนใช้ตรวจสอบดูแลเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ซึ่งในท่ีนี้ก็
คือรายได้ประชาชาติ (Income of a nation) ซ่งึ มักถูกสะท้อนด้วยมูลค่า
GDP (Gross Domestic Product) หรอื ผลติ ภัณฑม์ วลรวมภายในประเทศ
2
o นิยามของรายได้ประชาชาติ
ผลรวมของมูลคา่ ท่เี ป็นตวั เงนิ ของสินคา้ และบริการขน้ั สุดท้ายท่ีระบบ
เศรษฐกิจผลิตขน้ึ ดว้ ยทรัพยากรของประเทศในระยะเวลาหนง่ึ (ซ่ึงโดยปกติคิดใน
ระยะเวลา 1 ปี)
เพ่ิมเติม
➢ สินคา้ และบริการขั้นสดุ ทา้ ย (Final Goods and Services) หมายถงึ สนิ ค้าและบริการที่
ผบู้ รโิ ภคซอื้ เพ่ือนาไปบริโภค
➢ สนิ คา้ และบริการขั้นกลาง (Intermediate goods and services) หมายถงึ สนิ คา้ และ
บรกิ ารทถี่ ูกซอื้ ไปแลว้ นาไปใชผ้ ลิตเป็นสินคา้ และบริการอื่นๆ ต่อไป
3
• GDP เป็นการวดั 2 ส่งิ พรอ้ มๆกนั ไดแ้ ก่ รายไดร้ วมของคนทั้งหมดทีอ่ ยใู่ น
ระบบเศรษฐกจิ และรายจา่ ยรวมของคนในระบบเศรษฐกจิ ทเ่ี กีย่ วข้องกบั สินค้า
และบรกิ าร
• GDP สามารถวดั 2 ส่ิงนี้พรอ้ มๆกันได้ เพราะสองสิง่ น้ีแทจ้ รงิ แล้วมีมลู คา่ เทา่ กัน
• เช่น A จ่ายเงินให้ B 100 บาทเพื่อให้ B ตดั หญ้าให้
ในกรณีน้ี A เปรยี บเสมอื นเปน็ ผซู้ อ้ื (บรกิ ารตัดหญา้ ) ท่ีใชจ้ า่ ยเงิน 100
บาท และ B ก็เปรยี บเสมอื นเปน็ ผขู้ าย (บรกิ ารตดั หญ้า) ท่ไี ด้รายได้ 100 บาท
ดังน้นั การแลกเปลีย่ นในลักษณะน้กี ็สร้างมูลค่าทางเศรษฐกจิ หรอื
สร้าง GDP ให้เกิดขึน้ เท่ากนั คือ 100 บาท ไมว่ ่าจะพจิ ารณาจากรายรับหรือ
รายจ่ายในระบบเศรษฐกิจ
4
อีกนัยหนึ่ง รายไดป้ ระชาชาติ คอื ขอ้ มูลกจิ กรรมทางเศรษฐกิจท่เี กิดขน้ึ ในกระแส
หมนุ เวยี นของระบบเศรษฐกิจ ซ่ึงมลู คา่ ของผลผลิตท้งั หมดท่เี กิดข้นึ นเ้ี รยี กวา่
ผลิตภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ หรือ GDP
คา่ ใช้จ่ายในการซ้อื สนิ คา้ และบริการ (Expenditure Approach) = 500 ล้านบาท
สนิ คา้ และบริการ (Product Approach) = 500 ล้านบาท
ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ
ปจั จยั การผลิต (ท่ดี ิน, แรงงาน, ทุน, ผู้ประกอบการ)
คา่ เช่า, ค่าจา้ ง, ดอกเบี้ย, กาไร (Income Approach) = 500 ล้านบาท
5
จากภาพ หน่วยธุรกจิ ซื้อปัจจยั การผลติ จากผบู้ ริโภคเพือ่ นามาผลิตเปน็
สินคา้ และบรกิ ารท่มี มี ูลค่า 500 ลา้ นบาท ดังน้ันภาคครัวเรอื นซง่ึ คอื เจา้ ของปจั จยั
การผลิตก็จะมรี ายไดเ้ กดิ ขึ้น 500 ล้านบาทด้วย สมมตใิ ห้สนิ คา้ ทผี่ ลิตออกมานั้น
สามารถจาหน่ายไดห้ มด ดังนน้ั รายจา่ ยในการซอื้ สนิ คา้ และบริการก็จะเท่ากบั 500
ลา้ นบาท
ดงั นั้น ไมว่ ่าจะพจิ ารณาจากดา้ นรายไดห้ รอื รายจา่ ย รายไดป้ ระชาชาติ
ที่เกิดขึ้นก็เทา่ กนั เสมอทัง้ สองด้าน
6
• การคานวณรายได้ประชาชาติ
สามารถคานวณได้ 3 วธิ ี คือ
1) ทางดา้ นผลผลติ (Product Approach) เป็นการคานวณหาผลรวมของ
มูลค่าสินคา้ และบริการขน้ั สดุ ท้ายท่ีประเทศผลติ ได้ในระยะเวลา 1 ปี
2) ทางด้านรายได้ (Income Approach) เปน็ การคานวณหาผลรวมของ
รายได้ทีเ่ จา้ ของปจั จยั การผลิตไดร้ บั ในระยะเวลา 1 ปี
3) ทางดา้ นรายจา่ ย (Expenditure Approach) เป็นการคานวณหาผลรวม
ทางดา้ นรายจา่ ยท่หี นว่ ยเศรษฐกจิ ใชจ้ ่ายในการซ้ือสนิ คา้ และบรกิ ารใน
ระยะเวลา 1 ปี
7
1. การคานวณรายได้ประชาชาติทางด้านผลผลิต
(Product approach)
มวี ธิ ีการคานวณได้ 2 วธิ ี คอื
1. การคิดจากมลู คา่ สนิ คา้ และบริการขั้นสดุ ท้าย (Final Goods and Services)
ท่ีภาคธรุ กจิ ขายให้ผบู้ รโิ ภค โดยที่สนิ ค้าข้นั สุดท้าย คอื สินค้าท่ผี ูบ้ รโิ ภคซอ้ื ไป
เพื่ออปุ โภคบรโิ ภค ไม่ไดน้ าไปผลิตเป็นสนิ ค้าอีกชนิด
2. การคิดจากมูลค่าเพม่ิ (Value Added) โดยการรวมมลู ค่าเพ่ิมของทุกขั้นตอน
การผลติ ของทุกสนิ คา้ และบริการในประเทศ เพ่อื หลกี เลีย่ งปัญหาการนบั ซา้
(Double Counting)
เนอื่ งจากมูลค่าขายของสนิ ค้าและบรกิ ารขนั้ สดุ ท้ายมักจะนบั รวมมลู คา่ สินคา้ และ
บรกิ ารขน้ั กลางไวด้ ้วย ทาให้เกดิ การนับซา้ มลู ค่าสินค้าสงู เกนิ ความเปน็ จริง
8
ตวั อย่าง การคานวณมลู คา่ เพม่ิ ในแตล่ ะขนั้ ตอนการผลิตรองเทา้ หนงั
ข้นั ตอนการผลิต มลู คา่ ขาย มูลคา่ สนิ คา้ ขั้นกลาง มลู ค่าเพ่มิ
ผู้เล้ยี งสตั ว์ 300 0 300
พอ่ ค้าหนังสัตว์สด 500 300 200
โรงงานฟอกหนงั 1,000 500 500
โรงงานทารองเทา้ 1,800 800
3,600 1,000 1,800
รวม
มูลค่าสินคา้ ขน้ั สดุ ทา้ ย = ผลรวมมลู ค่าเพม่ิ
9
10
11
2. การคานวณรายได้ประชาชาติทางรายได้
(Income approach)
การคานวณรายไดป้ ระชาชาติทางด้านรายได้ คอื การรวมรายไดท้ ี่เปน็
ผลตอบแทนจากการใชป้ ัจจยั การผลติ ที่มสี ว่ นชว่ ยทาให้การผลิตสินค้าและบรกิ าร
เพ่ิมขน้ึ แตไ่ ม่รวมที่ได้มาเปลา่ ๆ โดยไมม่ สี ว่ นทาใหผ้ ลผลิตมากขึ้น เชน่ เงินโอน
โดยรายการตา่ งๆ ในการคานวณเปน็ รายไดป้ ระชาชาติ มีดังน้ี
1. คา่ จา้ งหรือเงนิ เดือน ซงึ่ ไดแ้ ก่ ค่าจา้ ง เงนิ เดือนและผลตอบแทนตา่ งๆ ที่นายจ้าง
จ่ายให้แก่ลูกคา้ ท้งั ท่ีเปน็ ตวั เงนิ เชน่ โบนสั ค่ารกั ษาพยาบาล เปน็ ตน้ และ
ผลตอบแทนท่ีเป็นสงิ่ ของซ่งึ ต้องประเมินออกมาเป็นตวั เงินตามราคาตลาด เชน่
อาหาร เสอ้ื ผา้ บา้ นพกั อาศยั เปน็ ตน้ ซึ่งเป็นเงนิ ทีจ่ า่ ยเพิ่มเตมิ ทางอ้อมที่
นายจา้ งให้แกล่ ูกจา้ ง
12
2. คา่ เช่า หมายถึง ค่าเชา่ ทไ่ี ดร้ บั จากการใหใ้ ช้ทรัพย์สนิ เพอื่ ใช้ในการผลิต
โดยอาจเป็นคา่ เชา่ ท่ีดนิ ทีอ่ ยอู่ าศัยและผลตอบแทนที่ได้รับจาก
ทรพั ยากรธรรมชาติ และยังรวมถึงค่าเช่าประเมินทผี่ เู้ ปน็ เจ้าของใช้
ประโยชน์หรอื อยู่อาศยั เองด้วยเอง
3. ดอกเบีย้ สุทธิ หมายถงึ ดอกเบ้ียทบ่ี ุคคลได้รับหักด้วยดอกเบยี้ ท่ไี ดร้ บั จาก
รฐั บาลและหักดว้ ยดอกเบ้ยี ของการกู้เพอ่ื การบรโิ ภค
โดยเหตทุ ่หี ักดอกเบ้ยี ทไ่ี ดร้ บั ของรฐั บาล เนื่องจากส่วนมากรัฐบาลกู้
เงินไปใชใ้ นทางทไ่ี ม่ทาให้ผลผลิตเพ่ิมขนึ้ หรอื เพอื่ นาไปบรโิ ภคมากกวา่
13
4. รายไดข้ ององค์การธรุ กจิ ที่ไม่ไดอ้ ยูใ่ นรปู บรษิ ทั หมายถงึ กาไรและรายได้
ของกิจการท่ีไม่ได้อยู่ในรปู ของบรษิ ทั เช่น การประกอบอาชีพอิสระ หา้ ง
หุ้นสว่ น กจิ การเจา้ ของคนเดยี ว สหกรณ์ตา่ งๆ เปน็ ต้น
5. กาไรของบรษิ ัทก่อนหกั ภาษี หมายถงึ กาไรของบริษัท ซง่ึ ประกอบไปด้วย
เงินปันผล ภาษีเงินของบรษิ ทั และกาไรที่ยงั ไมไ่ ดจ้ ัดสรรให้ผถู้ อื หนุ้
6. รายได้ของรฐั บาล หมายถงึ รายไดข้ องรัฐบาลและรฐั วิสาหกจิ ทเ่ี ปน็
ผลตอบแทนทไี่ ด้รับจากการเปน็ เจ้าของทรพั ยส์ นิ ทใ่ี ชใ้ นการผลิตในรปู ของ
คา่ เช่า ดอกเบ้ยี และกาไร
14
สรปุ แล้ว การคานวณรายไดป้ ระชาชาติ (Y) ทางดา้ นรายได้สามารถเขียน
เปน็ สมการไดด้ งั น้ี
Y= GDP = ผลตอบแทนของปัจจยั การผลิต
= ค่าจ้าง + คา่ เช่า + ดอกเบีย้ + กาไร
+ ภาษีธรุ กิจทางอ้อม + ค่าเสือ่ ม
15
สรุป การตัดสนิ ใจว่า เงินนั้นควรถกู นามาคานวณรายไดป้ ระชาชาติหรอื ไม่
ตอ้ งพจิ ารณาวา่ เงนิ เหล่านั้นกอ่ ให้เกิดการผลิตสนิ คา้ และบรกิ ารขึน้ ใหมห่ รือไม่
หากใช่ ก็นามาคานวณได้
คาถาม ข้อใดบา้ งทจ่ี ะถกู นามาคานวณรายได้ประชาชาติด้านรายได้
• เงนิ ถกู ลอตเตอรี่
• เงนิ ทธี่ ุรกิจบริจาคให้แกก่ ารกศุ ล
• ลงุ ตใู่ ห้เงินช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบภยั นา้ ท่วม
• คณุ ตนั มอบเงนิ สด 1 ล้านบาทใหแ้ ก่
• สงกรานตข์ ายทด่ี นิ โบนนั ย่าของเขาใหแ้ กน่ ายตู่ ในราคา 3 พนั ล้านบาท
• ต่อมาตู่ขายท่ดี นิ น้ันต่อให้แก่นายปอ้ ม ด้วยราคา 4 พนั ลา้ นบาท
เกิดส่วนต่าง 1 พันลา้ นบาท สว่ นต่างนจี้ ะถูกนาไปคานวณหรอื ไม่
16
3. การคานวณรายได้ประชาชาติทางรายจ่าย
(Expenditure approach)
การคานวณรายได้ประชาชาติทางด้านรายจ่าย คือ การนาเอารายจ่ายของ
ประชาชนและหน่วยเศรษฐกิจในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายมารวมกันใน
ระยะเวลา 1 ปี
หรอื อีกนัยหน่งึ คือ ผลรวมของรายจ่ายในการบริโภคของประชาชน (C)
รายจา่ ยในการลงทุน (I) รายจา่ ยของรัฐบาล (G) และการส่งออกสทุ ธิ (X – M) ใน
ระยะเวลา 1 ปี
โดยเขียนเปน็ สมการได้ดงั น้ี
รายได้ประชาชาติ (Y) = GDP = C + I + G + (X – M)
17
องค์ประกอบที่ 1
1) รายจ่ายเพ่ือการบริโภคของประชาชน
(Personal consumption expenditure; C)
คือ รายจ่ายเพือ่ การบริโภคของประชาชน รวมถึงสถาบันทีต่ ้งั ขน้ึ โดยไม่หวงั ผล
กาไร เชน่ โรงพยาบาล โรงเรยี น เปน็ ต้น โดยเป็นรายจา่ ยในการซ้อื สนิ คา้ และ
บรกิ ารเพ่ือใช้ในการบรโิ ภค ซ่งึ ประกอบด้วย
- รายจ่ายสาหรบั สนิ คา้ ถาวร เชน่ รถยนต์ ตเู้ ย็น
- รายจา่ ยสาหรบั สินคา้ ไม่ถาวร เช่น คา่ อาหาร ยารักษาโรค
- รายจ่ายสาหรับบรกิ ารอื่นๆ เชน่ ค่ารกั ษาพยาบาล ค่าเสรมิ สวย
นอกจากน้ี ยงั รวมถงึ รายจา่ ยทไี่ ม่ได้อยูใ่ นรูปของตวั เงิน (แตต่ ้องมกี ารประเมิน
ออกมาเป็นเงนิ ) เช่น คา่ ตอบแทนแรงงานทจ่ี ่ายในรปู ส่งิ ของ อาคารท่เี จา้ ของ
เอาไปใช้ประกอบกจิ การเอง โดยจะประเมนิ ตามราคาตลาด)
18
ค่าใช้จ่ายในการซื้อบา้ นใหม่
นบั เป็นรายจา่ ยในการบรโิ ภคหรอื ไม่ ?
คา่ ใช้จา่ ยในการซ้อื บ้านใหมแ่ ละ ค่าใชจ้ ่ายในการซื้อสนิ ค้ามอื สอง
ไมถ่ อื วา่ เป็นรายจ่ายในการบริโภค
โดยค่าใชจ้ ่ายในการซอ้ื บ้านใหม่ ถือวา่ เปน็ รายจา่ ยในการลงทนุ
19
ตามแนวคิดของเคนส์ (Keynes)
ปัจจัยหลักทส่ี าคญั ในการกาหนดรายจา่ ยเพอื่ การบรโิ ภค คอื รายได้
พึงใชจ้ ่ายได้จริง (Disposable Income; DI; Yd) โดยปัจจัยท้งั สองน้ีจะมี
ความสัมพันธก์ ันโดยตรงในทางบวก
รายไดพ้ ึงใช้จา่ ยได้จริง = รายได้ – ภาษี
หรอื Yd = Y–T
สมมตุ ิว่าไมม่ ีภาษี; T = 0
ดงั นนั้ Yd = Y
20