องค์การและการจัดการสมยั ใหม่
Modern Organization and Management
ราคา 330 บาท
ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รม
ธิตวิ ุฒิ หมั่นมี
องค์การและการจัดการสมยั ใหม่ พระนครศรีอยุธยา : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ า
ลงกรณราชวิทยาลยั , 415 หนา้
I องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ II ชือ่ เร่ือง
ISBN 978-616-300-806-0
คณะกรรมการพิจารณาผลงานวชิ าการประเภท หนังสือ
: พระเมธาวนิ ัยรส,รศ.ดร. มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย
: รศ.ดร.สมาน งามสนิท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
: รศ.ดร.วันทนา เนาว์วัน มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยธุ ยา
ออกแบบปก พระมหาประสิทธ์ิ เตชปญฺโญ
พิมพ์ท่ี โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
พมิ พค์ รัง้ ท่ี 1 : เมษายน 2564
พมิ พ์ครั้งที่ 2 : กรกฎาคม 2565
จดั พมิ พ์โดย โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอ
วงั นอ้ ย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จดั จำหนา่ ยโดย ธิตวิ ุฒิ หม่นั มี
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | ก
คำนำ
หนังส่ือ องค์การและการจัดการสมัยใหม่ เป็นหนังสือท่ีผู้เขียนได้รวบรวมและ
เรียบเรียงจากแนวคิด ทฤษฎีของนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศเกี่ยวกับองค์การ
และการจดั การและได้นำเสนอประเดน็ เกย่ี วกับองค์การสมัยใหม่เพ่ือให้ผู้สนใจได้เห็นถึง
การจัดการหรือองค์การสมัยใหม่ ซ่ึงในหนังสือเล่มนี้มีเน้ือหาประกอบด้วย ความรู้
เกี่ยวกับองค์การ ทฤษฎีองค์การ สิ่งแวดล้อมองค์การ การจัดการ การวางแผน การ
จัดการองค์การ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การอำนวยการ การควบคุม การพัฒนา
องคก์ าร องคก์ ารสมัยใหม่ และการบรหิ ารความขดั แยง้ ในองค์กร
หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยความเอื้อเฟื้อของกัลยามิตรท่ีให้ความช่วยเหลือ
ทางวิชาการจนสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้คงจักเป็น
ประโยชน์ในวงวิชาการและแก่ผ้ทู ีส่ นใจเกีย่ วกับองคก์ ารและการจัดการสมยั ใหม่
ผศ.ดร.ธติ ิวุฒิ หมั่นมี
ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรราชวิทายลัย
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | ข
สารบัญ หน้า
ก
เรอ่ื ง ข
คำนำ 1
สารบัญ
บทท่ี 1 ความรทู้ ั่วไปเกีย่ วกับองคก์ าร 1
1
เน้ือหาประจำบท 2
จดุ ประสงค์ของบท 3
6
1. ความหมายขององค์การ 7
2. ความสำคญั ขององค์การ 12
3. ลกั ษณะขององคก์ าร 21
4. ประเภทขององคก์ าร 22
5. องค์ประกอบหลกั ขององค์การ
คำถามทา้ ยบท
อ้างองิ ประจำบท
บทที่ 2 ทฤษฎีองคก์ าร (Organization Theory) 24
เน้อื หาประจำบท 24
จุดประสงคข์ องบท 24
25
1. ความหมายของของทฤษฎีองคก์ าร 29
2. ข้อแตกตา่ งของทฤษฎอี งค์การและพฤตกิ รรมองค์การ 31
3. ประโยชนจ์ ากการศึกษาทฤษฎีองคก์ าร 32
4. ทฤษฎอี งค์การสมยั คลาสสิค ค.ศ.1900-1940 39
5. ทฤษฎอี งค์การสมัยใหม่ ค.ศ. 1940-1960 50
6. ทฤษฎีองคก์ ารสมยั ปจั จบุ ัน ค.ศ.1960-ปจั จุบัน 57
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | ค
เรอื่ ง หน้า
คำถามทา้ ยบท 58
อ้างองิ ประจำบท
บทท่ี 3 สง่ิ แวดล้อมองคก์ าร 59
เนอ้ื หาประจำบท 59
จุดประสงคข์ องบท 59
60
1. ความหมายของสิ่งแวดลอ้ ม 61
2. ประเภทของส่ิงแวดล้อม 64
3. ลกั ษณะความแตกตา่ งกนั ของแรงงาน 65
4. หลักจรยิ ธรรม และความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 69
5. ความไม่แนน่ อนของสงิ่ แวดลอ้ ม 71
6. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสงิ่ แวดลอ้ มและโครงสร้าง 72
7. การเปลีย่ นแปลงองคก์ าร 75
8. การรือ้ ปรบั ระบบ 79
คำถามทา้ ยบท 80
อา้ งอิงประจำบท
บทท่ี 4 การจัดการ 81
เน้อื หาประจำบท 81
จุดประสงคข์ องบท 81
82
1. ความหมายของการจัดการ 84
2. การจัดการ กับ การบริหาร 86
3. การจดั การในฐานะท่ีเป็นศาสตร์แขนงหนึง่ 87
4. การจดั การเปน็ ทั้งศาสตรแ์ ละศลิ ป์ 88
5. ความสำคัญของการจดั การ
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | ง
เร่อื ง หนา้
6. แนวความคดิ ทางการจดั การ 89
7. กระบวนการการจัดการ 97
8. ผบู้ ริหาร/ผ้จู ัดการ 102
9. ปัญหาและทักษะทางการจัดการของผบู้ รหิ าร 103
คำถามท้ายบท 112
อ้างองิ ประจำบท 113
บทท่ี 5 การวางแผน 115
เนอื้ หาประจำบท 115
จุดประสงค์ของบท 115
117
1. ความหมายของการวางแผน 119
2. ความสำคญั ของการวางแผน 122
3. ประโยชน์ของการวางแผน 124
4. ขอ้ จำกดั ในการวางแผน 125
5. ลกั ษณะของแผนท่ีดี 126
6. หลกั การวางแผนข้นั พนื้ ฐาน 127
7. ประเภทของการวางแผน 131
8. กระบวนการของการวางแผน 136
9. การวางแผนเชงิ กลยทุ ธภ์ าครัฐ 139
10. ลักษณะของความไม่แน่นอน 140
11. การวางแผนโครงการ 141
12. การเขยี นโครงการ 145
คำถามท้ายบท 146
อ้างองิ ประจำบท
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | จ
เรอื่ ง หน้า
บทท่ี 6 การจดั การองค์การ 147
เน้อื หาประจำบท 147
จุดประสงคข์ องบท 147
149
1. ความหมายของการจัดองค์การ 150
2. ความสำคญั ของการจดั องค์การ 151
3. วฒั นธรรมองคก์ าร 157
4. สว่ นประกอบขององค์การ 160
5. รูปแบบองค์การ 167
6. หลักการจดั องคก์ าร 168
7. โครงสรา้ งองค์การ 184
คำถามทา้ ยบท 185
อา้ งอิงประจำบท
บทท่ี 7 การจดั การทรพั ยากรมนุษย์ 187
เนอ้ื หาประจำบท 187
จดุ ประสงคข์ องบท 187
188
1. ความหมายการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 190
2. ความสำคัญของการจดั การทรัพยากรมนษุ ย์ 192
3. ปจั จยั ทีส่ ง่ ผลต่อการจดั การทรัพยากรมนษุ ย์ 194
4. กระบวนการจดั การทรัพยากรมนุษย์ 217
คำถามท้ายบท 218
อา้ งองิ ประจำบท
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | ฉ
เรื่อง หน้า
บทท่ี 8 การอำนวยการ 219
เนื้อหาประจำบท 219
จุดประสงค์ของบท 219
220
1. ความหมายการอำนวยการ 222
2. ภาวะผนู้ ำ 230
3. การตดั สนิ ใจ 239
4. การจงู ใจ 246
5. การประสานงาน 247
6. การติดตอ่ ส่ือสาร 259
คำถามท้ายบท 260
อ้างองิ ประจำบท
บทท่ี 9 การควบคุม 262
เน้อื หาประจำบท 262
จุดประสงค์ของบท 262
263
1. ความหมายของการควบคุม 264
2. หลักในการควบคุมทด่ี ี 266
3. ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ บั จากการควบคุม 267
4. แนวคดิ ของการควบคุม 268
5. การวางแผนการควบคุม 270
6. สงิ่ สำคัญของการบริหารที่ตอ้ งควบคุม 271
7. กระบวนการในการควบคุม 277
8. เครอื่ งมือทใี่ ช่ในการควบคุม 293
9. การจดั การความขัดแยง้ 299
10. ทมี งาน /การทำงานเปน็ ทีม
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | ช
เรือ่ ง หน้า
คำถามทา้ ยบท 306
อ้างองิ ประจำบท 307
บทที่ 10 การพัฒนาองคก์ าร 308
เนือ้ หาประจำบท 308
จดุ ประสงค์ของบท 308
309
1. ความหมายการพัฒนาองค์การ 313
2. ความจำเปน็ ในการพัฒนาองค์การ 315
3. วัตถปุ ระสงค์ของการพฒั นาองค์การ 320
4. กระบวนการพฒั นาองค์การ 326
5. เครือ่ งมือสอดแทรกในการพัฒนาองคก์ าร 335
คำถามทา้ ยบท 336
อ้างองิ ประจำบท
บทที่ 11 องคก์ ารสมัยใหม่ 337
เนอ้ื หาประจำบท 337
จุดประสงค์ของบท 337
338
1. รปู แบบองค์การสมยั ใหม่ 356
2. แนวคิดการจดั การสมัยใหม่ 373
คำถามทา้ ยบท 374
อา้ งองิ ประจำบท
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | ซ
เรือ่ ง หนา้
บทท่ี 12 การบรหิ ารความขดั แยง้ ในองค์การ 375
เนือ้ หาประจำบท 375
จดุ ประสงคข์ องบท 375
376
1. ความหมายของความขดั แยง้ 381
2. ประเภทและสาเหตุของความขัดแยง้ 389
3. แนวคิดเกีย่ วกับการแก้ปญั หาความขัดแย้ง 404
คำถามท้ายบท 405
อา้ งอิงประจำบท
บรรณานุกรม 407
ประวตั ผิ เู้ ขียน 415
บทท่ี 1
ความร้ทู ว่ั ไปเกี่ยวกับองค์การ
ขอบขา่ ยเนื้อหา
1. ความหมายขององค์การ
2. ความสำคญั ขององคก์ าร
3. ลกั ษณะขององคก์ าร
4. ประเภทขององค์การ
5. องค์ประกอบหลักขององค์การ
วัตถุประสงค์
1. สามารถบอกความหมายและความสำคัญขององค์การได้
2. สามารบอกลกั ษณะและประเภทขององค์การได้
3. สามารถอธิบายถึงองค์ประกอบขององคก์ ารได้
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 2
1.1 ความหมายขององค์การ
การให้นิยามความหมายเกีย่ วกับองค์การ นักทฤษฎีองค์การสำนกั ตา่ งๆ ต่างให้
นิยามความหมายท่ีแตกตา่ งกันไป ข้นึ อยูก่ ับฐานคติและอุดมการณข์ องผนู้ ิยาม
Max Weber กล่าวว่า องค์การ คือ หน่วยสังคมหรือหน่วยงานซึ่งมีกลุ่ม
บุคคลกล่มุ หนง่ึ รวมกนั ดำเนนิ กิจกรรมตา่ งๆเพื่อใหบ้ รรลุเปา้ หมายอยา่ งใดอย่างหนงึ่ 1
Chester Barnard ให้คำจำกัดความว่า องค์การที่เป็นแบบแผน หมายถึง
ความร่วมมือกันระหว่างบุคคลหลายคนซึ่งมีความต้ังใจจริงท่ีจะร่วมกันดำเนินกิจกรรม
ใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์2
Robins ได้ให้นิยามว่า องค์การ หมายถึง การทำงานร่วมกันระหว่างคนสอง
คนข้ึนไป เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันบางประการท่ีได้มีการวางแผนประสานงานไว้
ล่วงหน้าแล้ว การทำงานของกลุ่มคนดำเนินการไปอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันโดยอาศัย
หลกั การแบง่ แยกงานและหลกั การลำดับขั้นของอำนาจ3
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ ได้ให้นิยามว่า องค์การ คือ การรวมตัวของคน
ต้งั แตส่ องคนข้ึนไปเพือ่ ดำเนนิ กจิ กรรมใดๆ ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ที่กำหนดไว้4
พทิ ยา บวรวัฒนา กลา่ ววา่ องค์การ หมายถึง การรวมตัวของคนต้ังแต่สอง
คนขึ้นไป เพ่ือมาร่วมมือ (หรือประสานงาน) ทำงานบางอย่างให้สำเร็จตามเป้าหมายท่ี
ตั้งใจไว้5
1 Max Weber, The Theory of Social and Economic Organization, (New
York: Oxford University Press, 1966),p. 221.
2 Chester I. Barnard, The Function of the Executive, (Cambridge: Harvard
University Press, 1970),p. 19.
3 Robins, S.P., 1983, Organization Theory: Structure, Design, and Application,
Englewood Cliff, NJ: Prentice-Hall.
4 ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน,์ ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่,คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบัน
บณั ฑติ พฒั นบริหารศาสตร์, (กรงุ เทพฯ: ด.ี เค.ปร๊นิ ติ้งเวลิ ด์), 2553, หน้า 13.
5 พทิ ยา บวรวัฒนา, ทฤษฎอี งคก์ ารสาธารณะ, พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3, (กรงุ เทพฯ : ศักดิโ์ สภาการ
พมิ พ)์ , 2543.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 3
สมคิด บางโม กล่าวว่า องค์การ คือ กลุ่มบุคคลหลายๆคนร่วมกันทำ
กิจกรรมเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีตั้งไว้ การร่วมกันของกลุ่มต้องถาวร มีการจัดระเบียบ
กลุ่มภายในกลุ่มเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละคน ตลอดจนกำหนดระเบียบข้อบังคับ
ตา่ งๆใหย้ ึดถอื ปฏิบตั ิ6
อรณุ รักธรรม กล่าวว่า องค์การเป็นการรวมตวั กันตั้งแต่ 2 คนข้นึ ไป ทั้งน้ี
โดยมีวัตถุประสงค์ขององค์การ เพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์
ขององคก์ ารโดยมกี ระบวนการปฏิบัตทิ ่ีเปน็ ระบบและทกุ คนในองค์การตะหนกั ถึงหนา้ ท่ี
ท่ีตนปฏิบัติ และประการสุดท้าย คือ จะต้องมีบุคคลที่มารวมตัวเพ่ือให้บรรลุ
วตั ถปุ ระสงคข์ ององค์การ7
สรุปได้ว่า องค์การ เป็นการรวมตวั กนั ของคนต้ังแต่สองคนข้ึนไป เพื่อร่วมกัน
ทำกิจกรรม ให้บรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์ทก่ี ำหนดไวร้ ่วมกนั
1.2 ความสำคญั ขององคก์ าร
ความรู้เกี่ยวกับองค์การมีมานานแล้ว เม่ือราวศตวรรษท่ี 19 มนุษย์มีความ
สนใจและเร่ิมมีการศึกษาศาสตร์เกี่ยวกับองค์การอย่างจริงจัง จนเกิดสำนักที่มีความรู้
ความเช่ียวชาญศาสตร์ทางด้านองค์การท่ีสำคัญหลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็นสำนัก
ธรรมชาตินิยม สำนักเหตุผลนิยม หรือสำนักระบบเปิด เกิดนักคิดเก่ียวกับทฤษฎี
องค์การที่สำคัญๆ หลายท่าน อาทิเช่น Frederick Taylor, Henri Fayol และMax
Weber เป็นต้น องค์ความร้ทู างด้านศาสตร์เกย่ี วกับทฤษฎอี งค์การที่คน้ พบนี้ มลี ักษณะ
ทแี่ ตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่กับฐานคติ ค่านิยม และประสบการณ์ มมุ มองของนกั ทฤษฎี
แต่ละคน
6 อา้ งแล้ว,สมคิด บางโม,องค์การและการจดั การ,หนา้ 16.
7 อรณุ รักธรรม, ทฤษฎอี งคก์ าร: ในประมวลสาระชดุ วชิ าทฤษฎแี ละแนวปฏิบตั ิในการ
บริหารการศึกษา, เล่มท่ี 1 หน่วยที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, (นนทบุรี: ฝ่ายการพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช), 2536, หนา้ 57.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 4
ในบทน้ีจะเป็นการอธิบายความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับองค์การ ความสำคัญของ
องค์การ ประเภทขององค์การ ตลอดจนถึงองค์ประกอบท่ีสำคัญเกี่ยวกับองค์การท่ีผู้นำ
ผู้บริหาร ตลอดจนถึงผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับองค์ความรู้ทางด้านทฤษฎีองค์การ
สำคัญๆท่คี วรทราบ ดงั จะกล่าวต่อไป
องค์การเกิดขึ้นและมีอยู่ในสังคมมนุษย์ทุกหนทุกแห่ง เพื่อเป็นเครื่องมือ
สำหรับการดำเนนิ กิจกรรมตา่ งๆ ตลอดจนความพยายามของกลุ่มบุคคล ท่ีรวมตวั กันขึ้น
สร้างความสำเรจ็ ในสิ่งที่บุคคลเดียวไม่สามารถทำได้โดยลำพัง อมิไต เอทชิโอนี (Amitai
Etziony) ได้กลา่ วว่า “เราทุกคนเกิดขึ้นในองค์การ เรยี นรู้โดยองค์การ ใช้ชวี ิตส่วนใหญ่
ในการทำงานให้องค์การ ใช้เวลาว่างในองคก์ าร และในท่ีสุดก็ตายไปในองค์การ” โดยที่
มนุษย์ใช้องค์การเพ่ือมุ่งดำเนินการให้บรรลุผลสำเรจ็ ดังกล่าว องค์การจึงเป็นที่รวมของ
ทรัพยากรต่างๆ และองค์การทุกองค์การไม่ว่าจะเป็นประเภทใดต่างก็มีการทำงานใน
ลักษณะเปน็ กลมุ่ จึงจำเป็นตอ้ งมีการจดั แบ่งงาน แบ่งอำนาจหน้าท่คี วามรับผดิ ชอบ และ
มีการใช้การจัดการหรือการบริหารเป็นเครื่องมือช่วยในการรวมตัวกันของทรัพยากร
และการร่วมมือกันทำงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผล ซึ่งองค์การจะมี
ประสิทธิผลเพียงใดและดำเนินไปโดยประสบผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
ยอ่ มขน้ึ อยู่กับความสามารถของผ้ทู ่ที ำหนา้ ที่ด้านการจัดการในองคก์ ารน้นั 8
มนุษย์มีแนวโน้มอาศัยและใช้ชีวิตในองค์การมากข้ึนทุกขณะ จนมีการกล่าวว่า
มนุษย์เป็น “มนุษย์องค์การ” ไม่ว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม มนุษย์จำนวนมากใช้
เวลาอย่ใู นองค์การอยา่ งน้อยหนง่ึ ในสามของเวลาในชวี ติ ประจำวัน
การใช้ชีวิตในองค์การของมนุษย์เช่นนี้ ทำให้องค์การเป็นแหล่งบันดาลท้ัง
ความสุขและความขมขื่นให้กับมนุษย์ องค์การเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างข้ึนมาเพื่อใช้ในการ
บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
องค์การด้วยเช่นเดยี วกนั การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจองค์การและการจัดการมนุษย์ใน
8 ธนชัย ยมจินดาและคณ ะ,องค์การและการจัดการ, เล่มที่ 1 หน่วยท่ี 1-8
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, (นนทบุรี: ฝ่ายการพิมพ์ มหิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช), 2544,
หนา้ 19.
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 5
องค์การจึงเป็นเร่ืองที่ท้าทายและจำเป็นอย่างย่ิง นอกจากองค์การมีความสำคัญ
ดังกล่าวแล้ว องคก์ ารยงั มคี วามจำเป็นหลายประการดงั น้ี9
ประการแรก แนวความคิดพ้ืนฐานในการจัดต้ังองค์การ ไม่ว่าเป็นองค์การ
ธุรกิจ องค์การราชการ หรือองค์การศาสนา ได้แก่สมมติฐานที่ว่าศูนย์กลางอำนาจใน
การสั่งการน้ันมีท่ีมาอันชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมาย ในทางการเมืองถือว่า
ศูน ย์กลางอำนาจคือเจตน าโดยรวมของประช าชน ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง
สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขา้ ไปบรหิ ารประเทศ ในทางธุรกจิ ยอมรับกนั ว่าศนู ย์กลางแห่ง
อำนาจมาจากผู้ถือหุ้นซ่ึงรวมกันเข้าเป็นที่ประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้เลือกตั้ง
กรรมการบริษัทและกรรมการผู้จัดการเพื่อเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจ จึงเป็นการชัด
แจ้งว่าการจัดองค์การมิได้มอบหมายการงานให้ผู้หน่ึงผู้ใดโดยเฉพาะ แต่เป็นการ
กระจายอำนาจหน้าท่ีให้แก่ฝา่ ยต่างๆซ่ึงตอ้ งทำงานประสานกัน
ประการที่สอง องค์การแบบเป็นทางการกำหนดตำแหน่งหน้าที่และความ
รับผิดชอบแน่นอน เมื่อผู้ใดดำรงตำแหน่งน้ันจะต้องมีความรับผิดชอบและปฏิบัติ
ตามที่ระบุไว้สำหรับตำแหน่งน้ันๆ จะปฏิบัติตามใจตนเองไม่ได้ จึงเป็นการผูกคนไว้กับ
งาน
ประการที่สาม องค์การจะเป็นเคร่ืองควบคุมและส่งเสริมให้คนทำงานและ
บรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้ องค์การมีการจัดแบ่งงานออกเป็นกลุ่มๆ และกำหนดสายการ
ควบคุมบังคับบัญชาด้วยการตรวจสอบควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและ
มปี ระสิทธภิ าพ
องค์การมิได้เกิดข้ึนเอง และสมรรถภาพหรือสัมฤทธิผลขององค์การก็มิใช่ว่า
เกิดข้ึนได้เอง จะต้องจัดทำให้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป การจัดการจึงเป็นส่ิงจำเป็นสำหรับ
องค์การ
9 สมคิด บางโม,องค์การและการจัดการ,พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์), 2555,
หนา้ 22.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 6
1.3 ลกั ษณะขององค์การ
นอกจากจะเข้าใจถึงนิยามความหมายขององค์การเป็นเบ้ืองต้นแล้ว องค์การ
ยังมีลักษณะท่ีแตกต่างกันออกไป นักวิชาการได้ศึกษาวิเคราะห์องค์การในแง่มุม
ตา่ งๆกนั ในหลายลักษณะ สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้
1. องค์การเป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ แนวคิดน้ีมององค์การใน
ลักษณะหน่วยงานย่อยต่างๆที่มีความสัมพันธ์กัน มีการกำหนดขอบเขตหน้าที่ความ
รับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานยอ่ ย
2. องค์การเป็นกลุ่มของบุคคล แนวคิดน้ีมององค์การว่าเป็นกลุ่มบุคคลท่ีมี
เป้าหมายร่วมกัน บุคคลจะแสวงหาความร่วมมือจากบุคคลอ่ืนๆเสมอ ทำงานร่วมกับ
บคุ คลอ่ืนก็เพอื่ สนองความตอ้ งการของตน
3. องค์การเป็นกระบวนการ แนวคิดนี้มององค์การเป็นกระบวนการจัดกลุ่ม
งานที่มลี ักษณะคล้ายคลึงกันมารวมกันไว้มกี ารแบ่งงานกนั ทำตามความถนัดและร่วมมือ
กนั ทำงาน
4. องค์การเป็นระบบอย่างหน่ึง แนวคิดนี้มององค์การเป็นระบบเปิด
ประกอบด้วยระบบย่อยๆโดยมีปัจจัยนำเข้า (input) กระบวนการ (process) ผลผลิต
(outcome) ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) และส่งิ แวดลอ้ ม (environment)
5. องค์การเป็นส่วนหน่ึงของการจัดการ แนวคิดนี้มององค์การเป็นหน้าที่
สำคัญอย่างหนึ่งของผู้บริหารที่จะต้องทำการจัดการเพ่ือนำปัจจัยต่างๆขององค์การมา
ใช้ คอื คน เงนิ วัสดุ และอปุ กรณ์ต่างๆ10
10 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, การบริหารและการพัฒนาองค์การ, (กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช), 2530, หน้า 34.
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 7
1.4 ประเภทขององค์การ
การจัดประเภทองค์การกระทำได้ในหลายลักษณะ อาทิ องค์การแบบเป็น
ทางการ (formal organization) และองค์การแบบไม่เป็นทางการ (informal
organization) หรือองค์การแบบราชการ รฐั วิสาหกิจ ธุรกิจเอกชน หรือองค์การขนาด
เล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
ซึ่งแบบแผนการจำแนกประเภทขององค์การมีสองแบบหลักคือ การจำแนก
ประเภทแบบนิรนัย (deductive classification) ซึ่งเป็นการจำแนกประเภทแบบ
อุปนัย (inductive classification) เป็นการจำแนกประเภทท่ีมุ่งใช้ข้อมูลรูปธรรมของ
องค์การ แล้วนำมาหาลักษณะร่วมเหมือนกับการจำแนกประเภทสิ่งมีชีวิตในวิชา
ชวี วทิ ยา
นักวชิ าการท่ใี ช้วิธกี ารจำแนกประเภทขององคก์ ารแบบนิรนัย ในท่ีน้จี ะเลือกมา
นำเสนอ 2 ทา่ นคือ Parson และ Mintzberg11
Parson จำแนกประเภทองค์การโดยใช้หน้าที่และเป้าหมาย (function and
goal) เปน็ เกณฑซ์ งึ่ ทำใหไ้ ดอ้ งค์การทางสงั คม 4 ประเภทคือ
1) องค์การผลิต (production organization) ทำหน้าท่ีผลิตสิ่งที่สังคม
ตอ้ งการบรโิ ภค
2) องค์การการเมือง (political organization) ทำหน้าท่ีในการทำให้
คา่ นิยมและคุณค่าต่างๆของสังคมได้บรรลุ และการปกครองและการจัดสรรอำนาจ เช่น
พรรคการเมือง รฐั บาล
3) องค์การบูรณ าการ (integrative organization) ทำหน้าท่ีในการ
สมานฉันทแ์ ก้ปัญหาความขดั แย้ง สร้างแรงจูงใจแกส่ มาชิกให้บรรลเุ ปา้ หมาย และทำให้
ส่วนต่างๆ ของสังคมได้ทำงานร่วมกัน เช่น องค์การทางศาสนา องค์การ
สาธารณประโยชน์
11 พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต, องค์การและการบริหารจัดการ, ทุนสนับสนุนการเขียน
ตำรา คณะพฒั นาสงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร,์ (นนทบรุ ี: ธิงค์ บยี อนด์
บุ๊คส์ จำกดั ), 2552, หนา้ 9-14.
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 8
4) องค์การท่ีดำรงรักษาแบบแผน (pattern-maintenance) ทำหน้าที่ใน
การธำรงรักษาความต่อเนื่องทางสังคมโดยให้การศึกษากล่อมเกลาด้านวัฒนธรรมแก่
สงั คม เชน่ โรงเรียน มหาวทิ ยาลยั
Mintzberg มีการใช้หลายปัจจัยในการจำแนกประเภทองค์การ ได้แก่ กลไก
การประสานงาน (coordinating mechanism) กลุ่มและองค์ประกอบขององค์การ
(the parts and people of organization) (เชน่ ความเพราะเจาะจงของงาน การก่อ
ตัวของพฤติกรรม การกระจายอำนาจ เป็นต้น) และปัจจัยด้านบริบทภายในและ
ภายนอกองค์การ เช่น อายุและขนาดองค์การ ระบบเทคโนโลยีที่องค์การใช้ปฏิบัติงาน
สิ่งแวดล้อมภายนอก รวมท้ังความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ภายใต้ปัจจัยเหล่าน้ี Mintzberg
ไดจ้ ำแนกองคก์ ารออกเปน็ 7 ประเภท ดงั น้ี
1) องค์การโครงสร้างแบบเรียบง่าย (simple structure organization)
เป็นองค์การที่มีระบบการประสานงานแบบส่ังการโดยตรงจากผู้บังคับบัญชาไปยัง
ผู้ใต้บังคับบัญชา มีโครงสร้างแบบเรียบง่ายไม่เป็นทางการมีความยืดหยุ่นสูง มีการรวม
อำนาจการตัดสินใจทั้งในแนวระนาบและแนวด่ิง เป็นองคก์ ารที่อยู่ภายใต้ส่ิงแวดล้อมที่
ไม่ซับซ้อนแต่มีการเปลี่ยนแปลงสูง มีจุดแข็งท่ี มีการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของ
สิ่งแวดล้อมได้เร็ว ส่วนจุดอ่อน คือ เป็นองค์การที่ข้ึนอยู่กับผู้นำหากผู้นำประสบปัญหา
อาจทำใหอ้ งคก์ ารเสย่ี งตอ่ ความลม่ สลาย เช่น ธรุ กิจขนาดเลก็
2) องค์การแบบกลไก (machine organization) เป็นองค์การท่ีมีระบบการ
ประสานงานโดยใชม้ าตรฐานกระบวนการปฏิบตั งิ านเป็นหลกั มีโครงสร้างแบบรวมศูนย์
อำนาจ มีความเป็นทางการสูง มีการแบ่งงานกันทำตามความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน
สิ่งแวดล้อมองค์การเรียบง่ายและเปล่ียนแปลงน้อย เป็นองค์การที่มีขนาดใหญ่ ระบบ
เทคโนโลยีไม่ซับซ้อน จุดแข็งขององค์การประเภทนี้คือ ความมีประสิทธิภาพ ความ
เช่ือถือได้ ความชัดเจนและความคงเส้นคงวาในการปฏิบัติงาน จุดอ่อนคือ การให้
ความสำคัญเกินความพอดีกับการควบคุมของการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หรือผปู้ ฏิบัติงาน
ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญ หาด้านความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบั ติภายใน
องค์การได้
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 9
3 ) อ ง ค์ ก า ร ข ย า ย ( divisionalzed form ห รื อ diversified
organization) เป็นองค์การที่มีการขยายตัวจากองค์การกลไก พ้ืนฐานการ
ประสานงานโดยใช้มาตรฐานของการผลิตเป็นหลักมีโครงสร้างที่ซับซ้อนประกอบด้วย
สำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขา เช่น ธนาคาร มีการปฏิบัติงานเป็นอิสระระดับหนึ่ง
ส่ิงแวดล้อมองค์การ มีกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มแข่งขันมาก ต้องมีการปรับปรุง
ประสิทธิภาพในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง จุดแข็ง คือ มีการกระจายความเสี่ยงโดยการ
กระจายเงินทุนไปยังสาขาต่างๆ โดยการพิจารณาของสำนักงานใหญ่ว่า สาขาใดควร
จัดสรรเงนิ ในการลงทุนมากน้อยเพียงใด จดุ อ่อน คือ การมีสาขามากทำใหม้ ีต้นทุนสูง
4 ) อ งค์ ก ารวิ ช าชี พ (professional organization) มี พ้ื น ฐ าน ก าร
ประสานงานโดยใช้มาตรฐานของทักษะและความรู้ มีโครงสรา้ งแบบระบบราชการแต่มี
การกระจายอำนาจสูง ผู้ท่ีมีบทบาทสำคัญคือ ผู้ปฎิบัติซ่ึงมีการทำงานเป็นอิสระ ฝ่าย
ผ้บู ริหารระดับกลางมีบทบาทน้อย ส่ิงแวดล้อมขององคก์ ารประเภทนี้มีความซับซ้อนแต่
มีความเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก จุดแข็ง การบริหารภายในองค์การ มีความเป็น
ประชาธิปไตยและมีความเป็นอิสระสูง สว่ นจุดออ่ น คอื ปัญหาการประสานงานระหว่าง
ฝา่ ยตา่ งๆ อาจมกี ารละเมดิ จรรยาบรรณทางวชิ าชพี ได้งา่ ยเพราะมีการตรวจสอบน้อย
5) องค์การนวัตกรรม (adhocracy or innovative organization) มี
พื้นฐานการประสานงานโดยใช้การส่ือสารทางตรงระหว่างเพ่ือร่วมงานเป็นหลัก มี
โครงสร้างยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามสถานการณ์ เช่น บริษัทโฆษณา บริษัทที่
ปรึกษา ส่ิงแวดล้อมองค์การ มีความซับซ้อนและเปล่ียนแปลงสูง จุดแข็ง มีระเบียบ
กฎเกณฑ์ยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ง่าย จุดอ่อน มีแนวโน้มการใช้ทรัพยากรที่
มากเพ่ือใหเ้ กดิ ประสทิ ธผิ ล
6) อุดมการณ์และพันธกิจขององค์การ (ideology and the missionary
organization) มีอุดมการณ์ ความเช่ือ และค่านิยมแตกต่างจากองค์การท่ัวไป
องค์การพันธกิจเกิดจากอุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งที่มีความเช่ืออย่างม่ันคงในพันธกิจอย่าง
ใดอย่างหน่ึง มีความชัดเจนให้สมาชิกว่าต้องทำอะไร มีอะไรบ้างท่ีเป็นหลักการท่ีสำคัญ
และต้องการปฏิบัติ มีการสร้างแรงดลใจให้กับสมาชิกในการปฏิบัติตามพันธกิจของ
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 10
องค์การอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างองค์การ มีการแบ่งฝ่ายเป็นหน่วยขนาดเล็กมีการ
จัดระบบแบบหลวมและมีการกระจายอำนาจให้อิสระ จุดอ่อน การมีแรงกดดันแห่ง
ความโดดเดี่ยวเกิดขึ้นภายในองค์การเพื่อปกป้องอุดมการณ์ของตนเองจากค่านิยมและ
กระแสความคิดจากภายนอก เม่ือองค์การไม่มีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกอาจทำให้
องค์การล่มสลายได้
7 ) ก า ร เมื อ ง แ ล ะ อ ง ค์ ก า ร ก า ร เมื อ ง ( politics and political
organization) ไม่มีกลไกและวิธีการประสานงานอย่างใดอย่างหน่ึงเป็นหลัก แต่ข้ึนอยู่
กับบริบทท่ีการเมืองแสดงออกมาในช่วงนั้นๆ ไม่มีความชัดเจนในการกระจายหรือรวม
ศูนย์อำนาจ กระแสครอบงำองค์การคืออำนาจท่ไี ม่เปน็ ทางการ และต่อสชู้ ่วงชิงชัยชนะ
กันในแต่ละประเด็น สามารถจำแนกได้เป็น 4 รูปแบบ คือ (1)องค์การแบบเผชิญหน้า
เป็นองค์การท่ีมีความขัดแย้งอย่างเข้มข้นภายในองค์การและจบลงอย่างรวดเร็ว
(2)องค์การแบบพันธมิตรชั่วคราว มีความขัดแย้งปานกลาง มีขอบเขตจำกัด ความ
ขัดแย้งดำรงอยู่ยาวนาน (3)องค์การแบบท่ีทำให้ถูกเป็นการเมือง มีการกระจายความ
ขัดแย้งไปท่ัวองค์การ ความขัดแย้งค่อนข้างถาวร (4)องค์การแบบเป็นพ้ืนท่ีการเมือง
อย่างสมบูรณ์ มีความขัดแย้งภายในอย่างเข้มข้น มีการแพร่กระจายไปทั่วองค์การ
ความขัดแย้งเกิดข้ึนอาจจบลงในเวลาไม่นานเพราะมีการแพ้หรือชนะระหว่างกลุ่ม
การเมอื งในองคก์ ารเกดิ ข้นึ
Peter Blua and Richard scott แบ่งองค์การออกเป็น 4 กลุ่ม โดยยึด
วตั ถุประสงคข์ ององค์การได้ดังต่อไปนี้12
1) องค์การเพ่อื ประโยชน์ของสมาชิก ได้แก่ องค์การท่ีจัดตั้งขน้ึ เพื่อประโยชน์
ของสมาชกิ โดยตรง เชน่ พรรคการเมอื ง สหกรณ์ สโมสร สมาคมวิชาชีพ เปน็ ต้น
2) องค์การทางธุรกิจ ได้แก่องค์การท่ีมุ่งแสวงหาผลประโยชน์หรือกำไร เช่น
ห้างรา้ น บรษิ ทั ธนาคาร โรงงานอตุ สาหกรรม เป็นตน้
12 Peter Blua and Richard scott, Formal Organization, (san Francisco:
chandles),1962,p.45-47.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 11
3) องค์การเพ่ือบริการ ได้แก่องค์การท่ีมุ่งสร้างประโยชน์แก่สาธารณชนท่ัวไป
เชน่ โรงพยาบาล โรงเรียน สมาคมเพอ่ื การสงั คมสงเคราะหต์ า่ งๆ เป็นต้น
4) องค์การเพื่อสวัสดิภาพของประชาชน ได้แก่ องค์การท่ีต้ังขึ้นเพื่อ
ประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เช่น กระทรวง ทบวง กรม กองทหาร สถานีตำรวจ
เป็นต้น
การจำแนกองคก์ ารโดยยึดโครงสรา้ ง แบง่ ออกเป็น 2 แบบ ดงั น้ี
1) องค์การแบบเป็นทางการ (Formal organization) เป็นองค์การท่ีมีการ
จัดการโครงสร้างอย่างเป็นระเบียบแบบแผนแน่นอน การจัดตั้งมีกฎหมายรองรับบาง
แห่งเรียกว่า องค์การรูปนัย ได้แก่ บริษัท มูลนิธิ หน่วยราชการ กรม โรงพ ยาบาล
โรงเรียน ฯลฯ ซึ่งการศึกษาเร่ืององค์การและการจัดการจะเป็นการศึกษาในเร่ืองของ
องคก์ ารประเภทนีท้ ้งั สิ้น
2) องค์การแบบไม่เป็นทางการ (informal organization) เป็นองค์การท่ี
รวมกันหรือจัดต้ังขึ้นด้วยความพึงพอใจและมีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัว ไม่มีการจัด
ระเบียบโครงสร้างถวายภายใน มีการรวมกันอย่างง่ายๆ และเลิกล้มได้ง่าย องค์การ
แบบนี้เรียกว่า องค์การอรูปนัย หรือ องค์การนอกแบบ เช่น ชมรมต่างๆ หรือ กลุ่ม
ตา่ งๆ เป็นต้น นอกจากนี้ องคก์ ารอรูปนยั ยังมลี กั ษณะเป็นกลมุ่ อยู่ในองค์การรูปนยั
การจำแนกองคก์ ารโดยยดึ การกำเนิด แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี
1) องค์การแบบปฐม (primary organization) หมายถึงองค์การท่ีเกิดข้ึน
เองตามธรรมชาติ สมาชิกทุกคนต้องเก่ียวข้องกันมาแต่กำเนิด มีกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม มี
การตดิ ตอ่ สมั พนั ธ์กนั เป็นการส่วนตัวดว้ ยใจสมัคร ถอื หลักความมุ่งหวังและผลประโยชน์
อย่างเดียวกันมากกว่าระเบียบข้อบังคับที่กำหนดขึ้น องค์การแบบปฐม ได้แก่
ครอบครัว ศาสนา หมบู่ า้ น เปน็ ตน้
2) องค์การแบบมัธยม (secondary organization) หมายถึงองค์การท่ี
มนุษย์จัดต้ังขึ้นสมาชิกมีความสัมพันธ์กันด้วยเหตุผลและความรู้สึกสำนึกอ ย่างเป็น
ทางการตามข้อผูกพันท่ีกำหนดขึ้นในองค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในองค์การ
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 12
ของสมาชิกและบุคคลภายนอกองค์การพร้อมๆกัน เช่น หน่วยราชการต่างๆ ห้าง
หุน้ สว่ น บรษิ ทั สมาคม โรงเรยี น สโมสร โรงพยาบาล เป็นต้น
การจำแนกประเภทขององค์การตามเปา้ หมายของการบริหารงาน สามารถ
จำแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้13
1) องค์การแบบหวังผลกำไร (For-profit) หรือองค์กรธุรกิจ ถูกสร้างข้ึนมา
เพ่ือสร้างรายได้และผลกำไรจากการขายสินค้าและบริการ เม่ือคนส่วนใหญ่นึกถึงการ
จดั การก็มกั จะนึกถงึ องคก์ ารธรุ กิจ
2) องค์การแบบไม่หวังผลกำไร (Non-profit) ผู้จัดการคือนักบริหาร
(Administrator) และองค์การแบบนี้อาจเป็นองค์การในภาครัฐหรือในภาคเอกชนก็ได้
เป้าหมายหลักขององค์การ คือ การให้บริการแก่ลูกค้า มิใช่เพื่อแสวงหากำไร
ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล วทิ ยาลยั และองค์การสังคมสงเคราะห์ เป็นตน้
3) องค์การแบบผลประโยชน์ตอบแทน (Mutual-benefit) เป็นองค์การท่ี
เรียกเก็บค่าสมาชิกหรือเงินบริจาคต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพ่ือช่วยเหลือและรักษา
ผลประโยชน์ของสมาชิก เช่น พรรคการเมือง สหกรณ์การเกษตร สหภาพแรงงาน
สมาคมการคา้ เป็นตน้
1.5 องคป์ ระกอบหลักขององค์การ
ไม่ว่าองค์การท่ีหวังผลกำไรและไม่หวังผลกำไร Edgar Schein กล่าวว่า
องคป์ ระกอบขององค์การประกอบดว้ ย14
1. มีเป้าหมายร่วมกัน (Common Purpose) จะสร้างเอกภาพในกลุ่ม
พนักงานและสมาชิกขององค์การและทำให้พวกเขาเข้าใจถึงเหตุผลของการดำรงคอยู่
ขององคก์ าร
13 Angelo Kinichi & Brian Williams, Management 3/e, แป ลโดย กิ่งกาญ จน์
วรนทิ ศั น์ และคณะ, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพแ์ มคกรอ-ฮิล),2551, หน้า 118-119.
14 อ้ า งแ ล้ ว ,Angelo Kinichi & Brian Williams, Management 3/e , แ ป ล โด ย
งกาญจน์ วรนทิ ัศนแ์ ละคณะ,หนา้ 120-123.
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 13
2. ความสามารถในการประสานงาน (Coordination Efforts) แสดงถึง
ลักษณะของการมีเป้าหมายร่วมกันของสมาชิกองค์การ การประสานงานมีท้ังในระดับ
สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มและในระดับองคก์ าร ดังนั้น การประสานงานเป็นสิ่งท่ีขาดไม่ได้
เนื่องจากสมาชิกแต่ละคนไม่สามารถทำงานใหส้ ำเร็จด้วยตวั คนๆเดยี วได้
3. การแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) คือความชำนาญในงาน (Work
Specialization) คือการจัดการแยกงานออกเป็นส่วนต่างๆ และมอบหมายให้สมาชิก
แต่ละคนปฏิบัติ เน่ืองจากงานบางอย่างเป็นงานที่ซับซ้อนและต้องใช้ความชำนาญ
เฉพาะอย่าง ดังนั้น ควรมอบหมายให้แก่ผู้ที่มีความเช่ียวชาญในงานน้ันๆ นำไปปฏิบัติ
ซงึ่ จะนำไปสปู่ ระสทิ ธภิ าพในการทำงานในภาพรวม
4. อำนาจหน้าท่ีตามลำดับข้ันสายการบังคับบัญชา (Hierarchy of
Authority) คือ กลไกการควบคุม การเลือกบุคคลากรท่ีเหมาะสมให้ทำงานอย่าง
ถกู ต้อง ผู้จัดการจะมีอำนาจมากข้ึนท่ีจะส่ังการบุคคลอ่ืนๆแม้ในองค์การที่มีสมาชิกเป็น
เจ้าของ นอกจากนี้การใช้อำนาจหน้าท่ีอย่างมีประสิทธิผลจำเป็นจะต้องเป็นไป
ตามลำดบั ข้ันการบังคับบัญชา แมใ้ นองค์การแบบใหม่ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างแบนราบก็
จะมีสายการบังคบั บัญชา มากกวา่ 1 ข้นั ขึ้นไป
5. ขอบเขตแห่งการควบคุม (Span of Control) แสดงจำนวนของ
บุคคลากรที่ต้องรายงานโดยตรงต่อผู้บริหารคนหนึ่งๆ โดยเขตของการควบคุมมีอยู่ 2
ประเภท คอื
5.1) ขอบเขตแห่งการควบคุมแบบแคบ หมายความว่าผู้บริหารมี
จำนวนคนท่ีต้องรายงานตรงอย่างจำกัด เช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผู้บริหาร
ระดับสูง 3 คน ท่ีต้องรายงานโดยตรง แทนผู้บริหารระดับกลาง 4 คน ดังนั้นองค์การ
แบบนี้อาจเรยี กว่า “องค์การแบบสูง” (Tall) ซึ่งมีระดับการบังคับบัญชาหลายระดับใน
ขอบเขตการควบคุมท่ีแคบ ดังแผนภูมทิ ่ี 1.1
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 14
ประธาน
เจ้าหนา้ ทบี่ รหิ าร
ผบู้ ริหาร ผู้บริหาร ผ้บู รหิ าร
ระดบั สงู ระดบั สงู ระดับสูง
ผ้บู รหิ าร ผูบ้ ริหาร ผูบ้ รหิ าร ผ้บู ริหาร
ระดับกลาง ระดบั กลาง ระดบั กลาง ระดบั กลาง
ผบู้ รหิ าร ผู้บรหิ าร ผูบ้ รหิ าร ผู้บริหาร
ระดบั ตน้ ระดับตน้ ระดบั ตน้ ระดับตน้
แผนภูมิ 1.1 ลักษณะแคบ (หรือแบบสงู )
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 15
ประธาน
เจ้าหนา้ ทีบ่ ริหาร
ผู้บรหิ าร ผู้บรหิ าร ผ้บู ริหาร
ระดบั กลาง ระดับกลาง ระดบั กลาง
ผบู้ รหิ าร ผูบ้ ริหาร ผบู้ รหิ าร ผูบ้ รหิ าร
ระดับต้น ระดับต้น ระดับตน้ ระดับตน้
แผนภมู ิ 1.2 ลกั ษณะกว้าง (หรอื แนวราบ)
5.2) ขอบเขตแห่งการควบคุมแบบกว้าง (wide span of
control) ผู้บริหารมีจำนวนคนที่ต้องรายงานตรงมากข้ึน เช่น ประธานเจ้าหน้าท่ี
บริหารมีผู้บริหารระดับกลาง 4 คนที่จะต้องรายงานตรงต่อเขา ดังนั้นองค์การแบบนี้
โดยเฉพาะองค์การสายการผลติ อาจเรียกว่า “องค์การแบบแบนราบ” (flat) ซ่ึงมรี ะดับ
สายการบังคบั บญั ชานอ้ ยระดบั ในของเขตการควบคุมท่ีกวา้ งขึน้ กว่าแบบแรก
6. ลักษณะของอำนาจหน้าที่ อำนาจหน้าที่ของบุคคลในองค์การมาจากการ
ตอ่ สู่ ตอ่ มาอำนาจหน้าที่การจดั การขององค์การ อำนาจหน้าทีม่ ีลักษณะดังน้ี
1) ตรวจสอบได้ (Accountability) เน่ืองจากอำนาจหน้าท่ีหมายถึงสิทธิท่ี
ได้รับจากตำแหน่งหน้าที่ในการตัดสินใจ สั่งการ และการใช้ทรัพยากรท่ีทุกคนต้อง
ปฏิบัติตามคำส่ัง หากขัดขืนจะถูกลงโทษในรูปแบบต่างๆ เช่น ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งหรือ
ถูกไล่ออกจากงาน เป็นต้น แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะยอมปฏิบัติตามคำส่ังก็ต่อเมื่อเป็น
คำส่ังที่ชอบด้วยกฎหมาย ซ่ึงผู้บริหารมีหน้าที่รายงานและอธิบายผลการปฏิบัติงานต่อ
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 16
ผู้บริหารในระดับที่สูงกว่า รวมทั้งความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและพร้อม
ตรวจสอบได้เสมอ
2) ความรับผิดชอบ (Responsibility) หมายถึงการยอมรับ (Obligation)
ผลของงานที่ได้ปฏิบัติแล้ว การออกแบบงานไม่ถูกต้อง ผู้บริหารท่ีมีอำนาจมากแต่มี
ความรับผิดชอบน้อยจึงเกิดการใช้อำนาจในทางท่ีผิด ในทางตรงกันข้ามหากผู้จัดการมี
อำนาจน้อยกว่าความรับผิดชอบ จะส่งผลให้ไม่สามารถปฏิบัติงานให้ลุล่วงได้ ดังน้ัน
หากอำนาจสูงข้ึน ความรบั ผดิ ชอบก็สูงข้นึ ดว้ ย
3) การมอบหมายงาน (Delegation) คือ กระบวนการมอบหมายอำนาจ
หน้าที่และความรับผิดชอบให้แก่บุคคลากรตามสายการบังคับบัญชา ผู้บริหารจะ
มอบหมายงานให้ผใู้ ต้บงั คับบัญชาใหม้ ากเทา่ ทจี่ ะทำได้เพ่อื เพ่มิ ประสิทธภิ าพการทำงาน
แตผ่ ปู้ ระกอบการมกั ติดกบั ดกั ของความเชื่อวา่ ตวั เองเทา่ นนั้ ทจี่ ัดการได้ทุกสถานการณ์
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบจะแสดงอยู่ในผังองค์การทำให้เกิดสายงาน
2 ประเภทดงั นี้
1) สายงานหลัก (line) ผู้จัดการสายงานหลัก (line managers) มีอำนาจ
หน้าที่ในการตัดสินใจและมีพนักงานรายงาน เช่น ประธานบริษัท รองประธานฯ
ผู้อำนวยการงานบคุ คล หรอื หัวหน้างานบัญชี เปน็ ต้น
2) สายงานสนับสนุน (staff) พนักงานสายงานสนับสนุน (staff personal)
มีหน้าท่ีในการจัดหาเคร่ืองมือ คำแนะนำและงานวิจัยให้กับสายงานหลัก เช่น
ผู้เชยี่ วชาญด้านกฎหมาย ดา้ นการควบรวมกิจการ หรือการวางแผนกลยทุ ธ์ เป็นตน้
7. ประเภทของอำนาจหนา้ ที่ ประกอบดว้ ย
1) แบบรวมรวมอำนาจ (Centralization Authority) เป็นการรวมอำนาจ
การตัดสินใจไว้ท่ีผู้บริหารดะดับสูงขององค์การเท่าน้ัน จึงเหมาะกับการตัดสินใจเร่ือง
สำคัญของผู้บรหิ ารระดบั สงู ในองคก์ ารสว่ นใหญ่
2) แบบกระจายอำนาจ (Decentralization Authority) เป็นการกระจาย
อำนาจการตดั สนิ ใจสูผ่ ู้บริหารระดบั กลางและระดบั ต้นโดยสว่ นใหญ่เป็นการตัดสินใจใน
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 17
เร่ืองที่ไม่สำคัญ เป็นอำนาจหน้าที่ท่ีถูกมอบหมายในองค์การท่ีต้องเผชิญกับ
สภาพแวดลอ้ ม
อุทัย เลาหวิเชียร อธิบายว่า องค์การมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ 5 ส่วน
ได้แก่ คน (Man) เป้าหมาย (Goals) โครงสร้าง (Structure) ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้
(Data Message and Knowledge) และ เทคโนโลยี (Technology)15 ดังแสดงใน
ภาพที่ 1.1
โดยแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์เช่ือมโยงต่อกันในการขับเคลื่อนการ
ดำเนินงานขององค์การให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุเป้าหมายท่ีองค์การกำหนดไว้
ร่วมกัน
ข้อมูล โครงสร้าง
(Data) (Structure)
ขา่ วสาร คน เทคโนโลยี
(Message) (Man) Technology
ความรู้ เป้าหมาย
(Knowledge) (Goals)
ภาพท่ี 1.1 แสดงองคป์ ระกอบทสี่ ำคญั ขององค์การ
ที่มา : อุทยั เลาหวิเชยี ร, 2544, หน้า 9.
1) คน คือ องค์ประกอบที่สำคัญท่ีสุดขององค์การ เนื่องจากคนเป็นผู้ริเริ่ม
ก่อต้ังองค์การ ถ้าไม่มีคนก็ไม่มีองค์การ นอกจากคนจะเป็นผู้ริเร่ิมก่อตั้งองค์การแล้ว คน
15 อุทัย เลาหวิเชียร,การบริหาร, พิมพ์คร้ังท่ี 2, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช), 2544,
หน้า 9-12.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 18
ยังเป็นผู้ท่ีกำหนดแผนในการทำงานให้กับองค์การ และตัดสินใจ ตลอดจนถึงการแก้ไข
ปัญหาให้กับองค์การด้วย ดังนั้นองค์การจะบรรลุถึงเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ท่ีได้
กำหนดไว้หรอื ไม่จึงข้ึนอยู่กับประสิทธิภาพ และคณุ ภาพของคนท่ีอยู่ในองค์การด้วยว่ามี
ประสิทธิภาพ และคณุ ภาพมากน้อยเพียงใด
2) เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ คือ สิ่งที่คนหรือสมาชิกขององค์การร่วมกัน
กำหนดข้ึน ซงึ่ ตัวเป้าหมายหรอื วัตถุประสงค์จะเป็นกรอบในการกำหนดแผนการทำงาน
ต่างๆ ขององค์การ เช่น แผนกลยุทธ์ แผนการดำเนินงาน แผนแม่บท แผนหน้าที่
เพ่ือให้การทำงานของสมาชิกองค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและในการกำหนด
เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์น้ัน เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์จะแตกต่างกันไปตามลักษณะ
ของภารกิจองค์การต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน เช่น วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของกรม
ตำรวจเป็นแบบหนึ่ง วตั ถุประสงค์หรือเป้าหมายของมหาวิทยาลัยก็จะเป็นอกี แบบหนึ่ง
ท้ังนเ้ี นื่องจาก ภารกจิ ของกรมตำรวจกับภารกิจของมหาวทิ ยาลัยแตกตา่ งกัน นนั่ เอง
3) โครงสร้าง “องค์การจะต้องมีโครงสร้างซึ่งเป็นสายใยยึดโยงให้องค์การ
สามารถดำรงอยู่ได้” เช่นเดียวกับโครงกระดูกของส่ิงมีชีวิตรวมถึงมนุษย์ ซ่ึงโครงกระดูก
เป็นโครงสร้างค้ำจุนของรา่ งกายให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยูไ่ ดอ้ ย่างเป็นปกติสขุ โดย
พนื้ ฐานแลว้ โครงสร้างขององค์การจะประกอบด้วยสว่ นสำคัญ ดงั ต่อไปนี้
(3.1) ภารกิจหน้าท่ี (function) องค์การทุกประเภทท่ีจัดตั้งขึ้น ย่อมจะมีหน้าที่
หรอื วตั ถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งหรอื หลายอยา่ ง บางองคก์ ารเม่ือปฏิบัติภารกิจสำเร็จ
แลว้ ทำให้องค์การสลายตัวไปก็มี แตโ่ ดยท่ัวไปแล้วภารกิจหรือหนา้ ท่ีขององคก์ ารจะกำหนด
ไว้อยา่ งถาวรมากกวา่ จะกำหนดไวช้ ่วั คราว
(3.2) การแบ่งงานกันทำ (division of work) หมายถึง การแบ่งงานออกเป็น
ส่วนๆ แล้วมอบให้แต่ละคน หรือแต่ละหน่วยงานรับผิดชอบอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
และจัดให้มีการประสานงานกันอย่างมรี ะบบ
(3.3) สายการบังคับบัญชา (hierarchy) หมายถึง ความสัมพันธ์ตามลำดับช้ัน
ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อแสดงใหท้ ราบว่าใครมีอำนาจมากกว่ากัน
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 19
อย่างไร สายการบังคับบัญชาจะบอกให้ทราบว่า ตำแหน่งใดมีความรับผิดชอบลดหลั่น
กันอยา่ งไร ใครรับผิดชอบตอ่ ใคร
(3.4) ขนาดของการควบคุม (span of control) คือ ส่ิงที่ทำให้ทราบว่า
ผู้บังคับบัญชาคนหน่ึงมีขอบเขตแห่งอำนาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบเพียงไร มี
ผู้ใต้บังคับบัญชาก่ีคน มีหน่วยงาน ที่อยู่ในความรับผิดชอบกี่หน่วย การจัดกำหนดขนาด
การควบคุมเป็นเทคนิคที่สำคัญในการจัดองค์การ เพราะหากว่าขนาดของการควบคุม
กวา้ งเกนิ ไป อาจจะทำให้การปกครองบังคบั บญั ชาหรือควบคุมงานไม่ทั่วถึง
(3.5) หลักการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว (unity of command)
หมายถึง บุคลากรที่เป็นสมาชิกองค์การนั้นจะต้องฟังคำสั่งจากเจ้านายเพียงคนเดียว เพื่อ
ป้องกันความสับสนในการปฏิบัติงาน การสั่งงานใด ๆ จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับ
บัญชา
4. ข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ (data message and knowledge) คือ
องค์ประกอบที่สำคัญอีกอันหน่ึง ทจ่ี ะทำให้องค์การไปถึงเป้าหมายหรอื วัตถุประสงค์ทไี่ ด้
ต้ังไว้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในปัจจุบัน ในยุคที่กระแสการเปล่ียนแปลงของโลกยุค
โลกาภิวัฒน์ ข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ ยิ่งทวีความสำคัญเพ่ิมมากยิ่งข้ึน และองค์การ
ใดขาดซึ่งข้อมูลข่าวสารและความรู้ องค์การนั้นจะอยู่ในสังคมโลกท่ีมีกระแสการ
เปล่ียนแปลงที่รวดเร็วไม่ได้ ความสำคัญของข้อมูลข่าวสารและความรู้ก็คือ ช่วยให้ผู้
บริหารงานขององค์การและสมาชิกองค์การสามารถกำหนดเป้าหมาย หรือ
วัตถุประสงค์ และ กำหนดแผนงานต่าง ๆ เช่น แผนกลยุทธ์ แผนการดำเนินงาน
กำหนดระเบียบวิธีปฏิบัติในกระบวนการทำงาน รวมถึง ช่วยในการตัดสินใจของ
ผูบ้ รหิ าร และ สมาชิกองคก์ ารในเรอื่ งตา่ ง ๆ ท่เี ป็นปัญหาขององค์การ
5. เทคโนโลยี (technology) คือ เทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ ซึ่งองค์การ
สมัยใหม่จะขาดไม่ได้ เช่น การนำเคร่ืองใช้สำนักงาน หรือวิธีการสมัยใหม่มาใช้ ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์ เคร่ืองโทรสาร และการสมัครเข้าเป็นสมาชิกเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทำ
ให้สามารถเช่ือมโยงข้อมูลข่าวสารจากเครือข่ายต่างๆท่ัวโลก เทคโนโลยีนอกจากส่ิงที่
กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังรวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ท่ีมีความเจริญมาใช้อีก
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 20
ด้วย เช่น เทคโนโลยีในการผลิตและบริการด้านต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับภารกิจขององค์การ
ซ่ึงการนำเอาเทคนิควิทยาการสมัยใหม่มาใช้จะช่วยให้ต้นทุนในการ ดำเนินงานของ
องค์การลดลง และส่งผลทำให้กำไรขององค์การเพ่ิมสูงข้ึนในท้ายที่สุด ซ่ึงเป็นส่ิงท่ี
มงุ่ หวงั ขององค์การธรุ กจิ ทกุ องค์การอีกดว้ ย
จากองค์ประกอบท้ัง 5 ส่วนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบทุก
ส่วนล้วนแต่มีความสำคัญต่อองค์การ ในการที่จะทำให้องค์การน้ันสามารถจะ
ดำเนินการใดๆให้สำเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
สรุปทา้ ยบท
องค์การคือกลุ่มบุคคลท่ีมาร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน
ภายใต้ระเบียบและกฎเกณฑ์ท่ตี ้ังไว้ องค์การมีหลายประเภท อาจจำแนกโดยโครงสร้าง
เป็นองค์การท่ีเป็นทางการและองค์การไม่เป็นทางการ หรือจำแนกองค์การตาม
วัตถุประสงค์โดยแบ่งออกเป็น องค์การเพื่อประโยชน์ของสมาชิก องค์การทางธุรกิจ
องค์การเพื่อบริการ และองค์การเพื่อสวัสดิภาพของประชาขน วัตถุประสงค์ของ
องค์การท่ีตั้งขึ้นนอกจากเพื่อบริการประชาชนในกรณีที่เป็นองค์การของรัฐหรือเพื่อ
แสวงหากำไรในกรณีที่เป็นองค์การของเอกชนแล้ว อง์การทุกประเภทจะต้องสร้างสิ่งท่ี
มีคุณค่าให้สังคมสนองตอบความต้องการของสมาชิกและเพ่ือความเจริญเติบโตของ
องคก์ ารเองด้วย
องค์การแบบไม่เป็นทางการหรือองค์การนอกแบบเป็นกลุ่มคนที่แฝงอยู่ใน
องค์การท่ีเป็นทางการทุกแห่ง องค์การนอกแบบจะมีผลกระทบต่อความสำเร็จของ
องค์การไม่น้อย ดงั น้ันผูบ้ รหิ ารจำเป็นต้องสนใจองค์การนอกแบบด้วย
ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติขององค์การจะช่วยให้ผู้บริหารนำความรู้น้ีไป
ประยุกตใ์ นการบริหารองค์การให้เกิดประสิทธผิ ลและเกิดประสทิ ธภิ าพ บรรลุเป้าหมาย
ท่ีต้องการ ถ้ามององค์การในแง่ของกลุ่มคนก็จะบริหารโดยเน้นมนุษยสัมพันธ์ ถ้ามอง
องค์การในรูปของระบบก็จะเน้นความสำคัญของทุกส่วนขององค์การ อย่างไรก็ตาม
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 21
องค์การต้องประกอบด้วยคนและงาน ดังนั้นในการบริหารองค์การจะต้องเน้นท้ังคน
และงาน
คำถามท้ายบทที่ 1
1. องค์การมคี วามสำคญั และจำเป็นอยา่ งไร ?
2. คำกล่าวท่ีว่า “เราทุกคนเกิดขึ้นในองค์การ เรียนรู้โดยองค์การ ใช้ชีวิตส่วน
ใหญ่ในการทำงานให้องค์การ ใช้เวลาว่างในองค์การ และในที่สุดก็ตายไปในองค์การ”
คำกลา่ วน้แี สดงให้เห็นวา่ องค์การกับคนมคี วามสัมพนั ธก์ ันอย่างไร ? จงอธิบาย
3. จงให้นิยามความหมายเก่ียวกับองค์การสำนักต่างๆมาพอเข้าใจ และทำไม
ถงึ เปน็ อยา่ งน้ัน จงอธิบาย ?
4. องค์การมีลกั ษณะอยา่ งไร จงอธิบายมาพอเขา้ ใจ ?
5. องค์การสามารถจำแนกได้เป็นกี่ประเภท จงอธิบายและยกตัวอย่างมาพอ
เขา้ ใจ ?
6. องคก์ าร ประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบา้ ง ? จงอธบิ าย
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 22
อ้างองิ ท้ายบทที่ 1
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์. ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่. คณะรัฐประศาสนศาสตร์
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ดี.เค.ปร๊ินต้ิงเวิลด์,
2553.
ธน ชัย ยมจินดาและคณ .องค์การแ ละการจัดการ. เล่มที่ 1 ห น่วยที่ 1-8
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. นนทบรุ ี: ฝา่ ยการพิมพ์ มหิทยาลัยสุโขทัยธรร
มาธริ าช, 2544.
พิชาย รตั นดลิ ก ณ ภูเก็ต. องค์การและการบรหิ ารจัดการ. ทุนสนบั สนุนการเขยี นตำรา
คณะพัฒนาสังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. นนทบุรี:
ธงิ ค์ บียอนด์ บุ๊คส์ จำกัด, 2552.
พิทยา บวรวัฒนา. ทฤษฎีองค์การสาธารณะ. พิมพ์คร้ังที่ 3. กรุงเทพมหานคร : ศักดิ์
โสภาการพมิ พ์, 2543.
มห าวิท ยาลัยสุโขทั ยธรรมาธิราช . การบ ริห ารแ ละการพั ฒ น าองค์ การ .
กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช, 2530.
สมคิด บางโม. องค์การและการจัดการ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร: วิทยพัฒน์,
2555.
อรุณ รกั ธรรม. ทฤษฎีองค์การ: ในประมวลสาระชุดวิชาทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการ
บริหารการศึกษา. เล่มที่ 1 หน่วยที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
นนทบุรี: ฝา่ ยการพิมพ์ มหิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2536.
อุทัย เลาหวิเชียร. การบริหาร. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช,
2544.
Angelo Kinichi & Brian Williams. Management 3/e. แปลโดย กิ่งกาญจน์ วร
นทิ ศั นแ์ ละคณะ. กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพแ์ มคกรอ-ฮลิ , 2551.
Chester I, Barnard. The Function of the Executive. Cambridge: Harvard
University Press, 1970.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 23
Max Weber. The Theory of Social and Economic Organization. New
York: Oxford University Press, 1966.
Peter Blua and Richard scott. Formal Organization. San Francisco:
chandles, 1962.
Robins. S.P.. Organization Theory: Structure. Design. And Application.
Englewood Cliff. NJ: Prentice-Hall, 1983.
บทท่ี 2
ทฤษฎอี งคก์ าร (Organization Theory)
ขอบข่ายเนอ้ื หา
2.1 ความหมายของของทฤษฎอี งค์การ
2.2 ข้อแตกต่างของทฤษฎีองค์การและพฤติกรรมองคก์ าร
2.3 ประโยชนจ์ ากการศึกษาทฤษฎอี งคก์ าร
2.4 ทฤษฎอี งคก์ ารสมัยคลาสสคิ ค.ศ.1900-1940
2.5 ทฤษฎอี งคก์ ารสมัยใหม่ ค.ศ. 1940-1960
2.6 ทฤษฎอี งค์การสมยั ปัจจุบัน ค.ศ.1960-ปัจจบุ ัน
วตั ถุประสงค์
1. สามารถบอกแนวความคิด และพฒั นาการของทฤษฎีองค์การได้
2. สามารถอธบิ ายได้ถึงข้อแตกตา่ งของทฤษฎีองค์การและพฤติกรรมองค์การ
3. สามารถบอกประโยชน์จากการศึกษาทฤษฎีองคก์ าร
4. สามารถเปรียบเทยี บทฤษฎีองค์การในยคุ ต่างได้
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 25
2.1 ความหมายของของทฤษฎีองคก์ าร
มนุษย์เรียนรู้ท่ีจะอยู่ร่วมกันโดยอาศัยการทำกิจกรรมร่วมกันมาช้านาน การท่ี
มนุษย์ได้รวมตัวกันเพ่ือประกอบกิจกรรมต่างๆนี้เองทำให้มนุษย์ได้รู้จักมักคุ้นกัน เป็น
เสมือน สะพานในการประสามความเข้าใจและสร้างก่อให้เกิด ปฏิสัมพัน ธ์ท่ีดีต่อกัน
เพราะเหตุที่ว่ามนษุ ยไ์ ม่สามารถทำกจิ กรรมใหส้ ำเร็จลุล่วงได้เพียงลำพัง ตอ้ งอาศัยความ
รว่ มมือจากผู้อื่น ที่ยินยอมและพร้อมให้ความรว่ มมือตั้งแต่สองคนข้ึนไป เพ่ือร่วมกันทำ
กิจกรรมใหบ้ รรลุตามเป้าหมายท่ไี ด้กำหนดไว้
การรวมตัวกันเพื่อประกอบกิจกรรม หรือทำงานร่วมกันของมนุษย์นี้ถือเป็น
จดุ เร่มิ ต้นขององค์การ และได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจวบจนถึงปัจจุบันน้ี ในบทน้ีเป็นการ
อธิบายถึงแนวคิดและทฤษฎีองค์การท่ีสำคัญๆในยุคต่างๆ ซ่ึงถือเป็นพัฒนาการของ
ทฤษฎีองค์การทน่ี ่าศึกษาเป็นอยา่ งยิ่ง
สำหรับทฤษฎีองค์การ มีนักวิชาการจำนวนมากจากหลากหลายสาขา เช่น
สังคมวิทยา จิตวิทยา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ บริหารธุรกิจและปรัชญา ได้เข้า
มาศึกษาองค์การอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง มีแนวความคิดและทฤษฎีจำนวนมากท่ี
ได้รับการสร้างขึ้นมาเพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ขององค์การ ท้ังปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้น
ภายในองค์การและที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความ
หลากหลายของแนวคิดและทฤษฎีท่ีเกดิ จากฐานคตแิ ละจุดยืนท่ีแตกต่างกนั ทำให้ยากท่ี
จะจัดกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีองค์การได้อย่างเป็นระบบ นักวิชาการจำนวนมากจึงมี
แนวโน้มจัดกลุ่มความคิดและทฤษฎีโดยแบ่งตามระยะเวลาของประวัติศาสตร์ใน
การศกึ ษาองค์การ1
สมคิด บางโม กล่าวว่า แนวความคิดทางทฤษฎีองค์การเกิดขึ้นมามากมาย
นักวิชาการด้านการบริหารได้แบ่งแนวความคิดออกเป็นหลายแบบ หลายสำนัก และ
1 พิชาย รัตนดลิ ก ณ ภูเกต็ , องคก์ ารและการบริหารจดั การ, ทนุ สนับสนนุ การเขียนตำรา
คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์,(นนทบุรี: ธิงค์ บียอนด์ บุ๊คส์
จำกดั ), 2552, หนา้ 18.
องคก์ ารและการจดั การสมัยใหม่ | 26
หลายระบบ แล้วแต่จะมองในแง่ใด ขึ้นอยู่กับผู้มองและวัตถุประสงค์ท่ีนำไปใช้ โดยได้
สรุปแนวคิดทฤษฎอี งคก์ ารออกเปน็ 3 ระยะ ดังน้ี2
1) แนวความคิดที่ใช้หลักวทิ ยาศาสตร์ เป็นแนวความคิดในระยะ ค.ศ.1800-
1940 เน้นเป้าหมายขององค์การเป็นสำคัญ การจัดองค์การเป็นไปเพ่ือประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลของการทำงาน มององค์การเป็นความสัมพันธ์ของหน่วยงานย่อย เน้น
ไปทโี่ ครงสรา้ งระเบยี บกฎเกณฑต์ ่างๆ โดยนำหลกั วิทยาศาสตร์มาประยุกต์
2) แนวความคิดที่ใช้หลักมนุษยสัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคล เป็น
แนวความคิดในช่วง ค.ศ.1940-1960 เกิดความคิดท่ีจะพยายามใช้หลักจิตวิทยามา
ประยุกต์ในการจัดองค์การ คำนึงถึงความรู้สึก ความต้องการ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้
ทำงาน รวมท้ังบรรยากาศในการทำงาน แสวงหาวิธีจูงใจให้คนทำงาน มององค์การเป็น
กลุ่มบุคคล
3) แนวความคิดท่ีเน้นเรื่องระบบ นับจากปี ค.ศ.1960 เป็นต้นมา
แนวความคิดในเรือ่ งองค์การได้พัฒนาไปในเชิงระบบ มององค์การในภาพรวม มไิ ด้มอง
ส่วนหน่ึงส่วนใดโดยเฉพาะเรียกว่าการมองอย่างเป็นระบบ ถือว่าองค์การเป็นระบบที่
ซบั ซอ้ น ประกอบดว้ ยระบบยอ่ ยๆ ซ่งึ มีลกั ษณะเฉพาะตัว
ทฤษฎีองคก์ ารนิยมแบง่ ออกเปน็ 3 สมยั ดงั น้ี
1) ทฤษฎอี งค์การสมยั คลาสสคิ (Classical Theory of Organization)
2) ทฤษฎอี งคก์ ารสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Organization)
3) ทฤษฎอี งคก์ ารสมัยปัจจุบนั (Modern Theory of Organization)
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ อธิบายว่า ทฤษฎีองค์การได้เร่ิมพัฒนาข้ึนเมื่อ
ประมาณทศวรรษท่ี 1900 โดยสก๊อตต์ (Scott, 1992) ได้จดั ทฤษษฎอี งค์การในยุคแรก
จนถึงปัจจุบันเป็น 3 สำนัก คือ สำนักเหตผลนิยม (rational systems) ,สำนักธรรม
2 สมคิด บางโม,องคก์ ารและการจดั การ,พมิ พ์ครัง้ ท6่ี (กรงุ เทพฯ:วิทยพัฒน์),2555,หนา้
27-28.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 27
ชาตินิยม (natural systems) และ, สำนักระบบเปิด (open systems)3 ดังรูป
พัฒนาการขององคก์ ารท่ีสำคัญ ตารางที่ 2.1
สำนักระบบปิด สำนกั ระบบเปิด
1900-1930 1930-1960 1960-1970 1970-ปจั จบุ นั
สำนักเหตุผลนยิ ม สำนักธรรมชาตินยิ ม สำนักเหตุผลนิยม สำนกั ธรรมชาตนิ ยิ ม
- การจดั การแบบ - มนษุ ย์สัมพนั ธ์ -ทฤษฎีระบบเปิด -การเรยี นรอู้ งคก์ าร Argyris &
วิทยาศาสตร์ Mayo (1945) Katz & Kahn (1966) Schon (1978)
Taylor (1911) - ระบบความร่วมมือ -การตดั สนิ ใจแบบมี -วัฒนธรรมองคก์ าร Schein
- ระบบราชการ Barnard (1938) เหตผุ ลจำกัด (1990)
Weber (1968 - สำนักทรพั ยากร March & Simon (1958) Deal & Kennedy (1982)
แปล) มนษุ ย์ -ทฤษฎโี ครงสร้างตาม Ouchi (1981) Adler (1997)
- ทฤษฎกี าร Maslow (1943) สถานการณ์ Lawrence - Socio-technical Systems
จดั การ Mc Gregor (1960) & Lorsch (1967) Pugh, Hickson & Hinings
Fayol (1919) Argyris (1957) (1985)
- ทฤษฎี Strategic
Contingencies
Hickson et al (1971)
- ทฤษฎนี ิเวศวทิ ยาของ
ประชากร องค์การ
Hannan & Freeman
(1977)
-ทฤษฎกี ารพง่ึ พาทรพั ยากร
Pfeffer & Salancik (1978)
-ทฤษฎีสถาบัน
Dimaggio & Powell (1983)
Meyer & Rowan (1977)
ตารางที่ 2.1 พฒั นาการขององค์การทส่ี ำคัญ
3 ทิพวรรณ หลอ่ สวุ รรณรัตน์, ทฤษฎอี งค์การสมัยใหม่,คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบัน
บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์, (กรุงเทพฯ: ดี.เค.ปริน๊ ต้ิงเวลิ ด)์ , 2553, หน้า 2-4.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 28
1) ยุคเหตุผลนิยมแบบปิด ในทศวรรษท่ี 1900-1930 มีแนวคิดที่สำคัญคือ
แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีระบบราชการ และทฤษฎีการบริหาร
แนวคิดท้ังสามนีเ้ ป็นพื้นฐานขององค์การแบบเคร่ืองจักร แนวคิดในช่วงนี้ให้ความสำคัญ
กับประสิทธิภาพการทำงานและการควบคุมมาก ละเลยความสำคัญของมนุษย์ เป็นยุค
เหตุผลนิยมแบบปิดหรือแบบคลาสสิค
2) ยุคธรรมชาตินิยมแบบปิด ในช่วงทศวรรษที่ 1930-1960 ทฤษฎีนี้เปล่ียน
มาให้ความสำคัญกับมนุษย์มากขึ้นโดยเร่ิมจากการทดลองที่ฮอร์โธรน ทำให้มีการสนใจ
เรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติของคนมากข้ึน ว่ามีผลต่อการทำงานอย่างไร
แนวความคิดท่ีเกิดข้ึนในยุคนี้ได้แก่ สำนักมนุษยสัมพันธ์ ระบบความร่วมมือ สำนัก
ทรัพยากรมนุษย์ ซง่ึ เป็นแนวคิดพืน้ ฐานสว่ นหน่ึงขององค์การแบบสง่ิ มชี ีวิต
3) ยุคเหตุผลนิยมแบบเปิด ในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ทฤษฎีองค์การซ่ึง
เดิมไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมได้เร่ิมมาพิจราณาความสัมพันธ์ระหว่างองค์การ
และส่งิ แวดล้อม ทฤษฎีองค์การที่ไดร้ บั ความนิยมในช่วงนี้ คือ ทฤษฎีระบบเปิด ตวั แบบ
การตัดสินใจแบบมีเหตุผลอย่างจำกัด (Bounded Rationality) ทฤษฎีโครงสร้างตาม
สถานการณ์ ซง่ึ เนน้ การปรับตวั ของโครงสรา้ งขององค์การตามสภาพของส่งิ แวดล้อม
4) ยุคธรรมชาตินิยมแบบเปิด ในปลายทศวรรษ 1970 ทฤษฎีองค์การได้มี
การเปลี่ยนแปลงหลายประการทั้งในด้านแนวคิดเกี่ยวกับความหมายขององค์การหรือ
ความหมายของปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และมีการพัฒนาทฤษฎีใหม่ๆ ซ่ึงมีความหลากหลาย
กวา่ เดมิ รวมทง้ั งเกิดรปู แบบองคก์ ารใหม่ๆขึน้ ดว้ ย
เขมมารี รักษ์ชูชีพ ได้จัดกลุ่มของวิวัฒนาการของทฤษฎีองค์การต้ังแต่อดีต
จนกระท่ังพฒั นามาเรอื่ ยๆ มีนักทฤษฎี 4 แบบ ดว้ ยกัน คอื 4
1) นักทฤษฎีแบบท่ี 1 (type I theorists) หรือท่ีเรียกว่าเป็นแนวแบบ
คลาสสิค (classical school) ได้พัฒนาหลักสากล หรือรูปแบบที่ใช้ในทุกสถานการณ์
มององค์การเป็นระบบปิด (closed system) การทำงานเพื่อให้องค์การบรรลุ
4 เขมมารี รักษช์ ูชพี ,ทฤษฎอี งค์การ,(กรุงเทพฯ: ทริปเพ้ิล กรุ๊ป),2553, หน้า 9-20.
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 29
วัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ มองคนเหมือนเครื่องจักร นักคิดคนสำคัญในยุคน้ี
ได้แก่ Fredrick Taylor, Henri Fayol, Max Weber, David เปน็ ต้น
2) นักทฤษฎีแบบท่ี 2 (type 2 theorists) มององค์การเป็นธรรมชาติของ
สังคม มององค์การว่าองค์การประกอบด้วยงานและบุคคล ให้ความสนใจกับบุคคลากร
มากขึ้น นักคิดคนสำคัญในยุคนี้ได้แก่ Elton mayo, Chester Barnard, Mc Gregor,
Warren Bennis, Roethlisberger & Dickson เปน็ ต้น
3) นักทฤษฎีแบบท่ี 3 (type 3 theorists) ไม่ได้มองมนุษย์แบบเคร่ืองจักร
หรือ มองด้านมนุษย์สัมพันธ์แต่นำส่ิงแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักคิดคนสำคัญใน
ยคุ นไี้ ดแ้ ก่ Simon, Katz & Kahn's เป็นต้น
4) นักทฤษฎีแบบท่ี 4 (type 4 theorists) นักทฤษฎีแบบนี้ ได้มุ่งความ
สนใจไปสกู่ ารเมอื งแบบธรรมชาติขององค์การ นกั คดิ ในแบบนีไ้ ด้แก่ March & Simon
2.2 ข้อแตกต่างของทฤษฎีองคก์ ารและพฤติกรรมองค์การ
องค์ความรู้ที่เก่ียวข้องกับองค์การ สามารถแบ่งได้เป็น 2 สาขา คือ ทฤษฎี
องค์การ (organization theory) และพฤติกรรมองค์การ (organization behavior)
ซึ่งเน้อื หาท้ังสองสาขามีความแตกต่างกนั ดังนี้5
ทฤษฎีองค์การ (organization theory) เป็นการคิดเกี่ยวกับองค์การ หรือ
การมองเหน็ หรือวเิ คราะห์องคก์ ารอย่างถูกตอ้ งและลกึ ซึ้ง โดยมพี ื้นฐานจากรปู แบบและ
กฎเกณฑ์ของพฤติกรรมองค์การ หรือเป็นการศึกษาในระดับมหภาคเก่ียวกับองค์การ
โดยมีระดับการวิเคราะห์อยู่ในระดับองค์การ ทฤษฎีองค์การในปัจจุบันสามารถจำแนก
ลกั ษณะทสี่ ำคญั ไดด้ งั นี้
1) ทฤษฏีองค์การเป็นการศึกษาพฤติกรรมขององค์การในลักษณะภาพรวม
(whole organization) ซ่ึงครอบคลุมถึงการออกแบบโครงสร้างองค์การ หรือระบบ
ภายในองค์การ
5 ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์, ทฤษฎอี งค์การสมยั ใหม่,คณะรฐั ประศาสนศาสตร์ สถาบนั
บณั ฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์, (กรงุ เทพฯ: ด.ี เค.ปร๊ินติง้ เวิลด)์ , 2553, หนา้ 7.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 30
2) เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ขององค์การกับส่ิงแวดล้อมภายนอก เช่น
ทฤษฎีสถาบัน (institutional theory) และทฤษฎีโครงสร้างตามสถานการณ์
(structural contingency theory)
3) เป็นการศึกษาความสมั พันธ์ขององคก์ ารหนึ่งกบั องค์การอ่ืน เช่น ทฤษฎกี าร
พ่ึงพาทรพั ยากร (resource dependence theory)
พฤติกรรมองค์การ (organization behavior) เป็นการศึกษาในระดับ
จุลภาคขององค์การ โดยมีระดับการวิเคราะห์อยู่ท่ีปัจเจกบุคคล (individual) กลุ่ม
(group) เนื้อหาของพฤติกรรมองค์การจึงอยู่ท่ีพฤติกรรมของคนและกลุ่ม เช่น ทฤษฎี
แรงจูงใจ ลักษณะของผู้นำ บุคลิกภาพ ความพงึ พอใจต่องาน และความเครียด เป็นต้น
องค์ความรู้ของทฤษฎีองค์การสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดีกับพัฒนาการ
อ ง ค์ ก า ร (organization development) ห รื อ ก า ร เป ลี่ ย น แ ป ล ง อ ง ค์ ก า ร
(organization change) ส่วนความรู้เร่ืองพฤติกรรมองค์การเหมาะที่จะนำไป
ประยุกต์ใช้เก่ียวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (human resource development)
และการจดั การทรัพยากรมนุษย์ (human resource management)
อนึ่ง พฤติกรรมองค์การ (organization behavior) พอจะกล่าวโดยสังเขปได้
ว่า เป็นสาขาวชิ าหน่ึงท่มี ีจุดสนใจโดยตรงในการสรา้ งความเขา้ ใจเก่ยี วกบั พฤติกรรมและ
ทศั นคตขิ องมนุษย์ภายในองคก์ าร และสูงไปถึงระดบั การทำนายเหตุการณ์ และควบคุม
พฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวด้วย “พฤติกรรม” (behavior) นั้นกล่าวได้ว่าคือการกระทำ
หรือกิริยาอาการทแี่ สดงออกของบุคคล (action) ท้ังน้ีรวมถึงการงดเว้นการกระทำด้วย
(inaction)6
เป้าหมายแรกของพฤติกรรมองค์การ ก็คือ การพยายามทำความเข้าใจว่า
ทำไมบุคคลในองค์การจึงรู้สึกและสร้างพฤติกรรมต่างๆ ข้ึน การศึกษาของพฤติกรรม
องค์การนั้น เป็นการพยายามศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ในองค์การท่ีมีอิทธิพลต่อผู้ปฎิบัติ
และต่อองค์การเอง ดังนั้นองค์ประกอบสำคัญองค์ประกอบหน่ึงของพฤติกรรมองค์การ
6 สรอ้ ยตระกลู (ติวยานนท์) อรรถมานะ,พฤตกิ รรมองค์การ: ทฤษฎแี ละการประยุกต์,
พิมพ์คร้งั ท่ี 4(สำนักพิมพม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์), 2550, หน้า 13-14.
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 31
จงึ เก่ยี วข้องกับการแสวงหาความรู้ นั่นคอื ทำไมพฤตกิ รรมต่างๆจึงเกิดขึ้น นอกจากการ
สร้างความเข้าใจในพฤติกรรมและปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวกับพฤติกร รมต่างๆในองค์การ
แล้ว การศึกษาพฤติกรรมองค์การยังมุ่งไปสู่การทำนายพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆ
ตลอดจนถึงการเข้าควบคมุ พฤตกิ รรมหรือเหตุการณ์เหล่านัน้ อีกด้วย
2.3 ประโยชนจ์ ากการศกึ ษาทฤษฎีองคก์ าร
ในการศึกษาและทำความเข้าใจแนวความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีองค์การน้ัน
นอกจากจะทำให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึงความหมาย และแนวความคิดในหลายยุคสมัย ซ่ึง
แต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่กับเหตุและปัจจัยต่างๆ
ประกอบกัน การศกึ ษาทฤษฎอี งคก์ ารมปี ระโยชน์หลายประการดังน7้ี
1) ช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนภายในองค์การและสามารถวินิจฉัย
ปญั หาต่างๆ ได้อย่างถกู ตอ้ งมากขน้ึ
2) สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ในการออกแบบโครงสร้างและระบบงานของ
องค์การไดด้ ีย่งิ ข้ึน
3) ช่วยทำให้องค์การประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เน่ืองจากองค์ความรู้ของ
องค์การและการจัดการเป็นส่ิงมีความสัมพันธ์กัน หากนำเทคนิควิธีการจัดการมาใช้
อย่างสอดคลอ้ งกับลกั ษณะขององค์การ
4) ช่วยให้ทราบถึงระดับปัจจัยท่ีสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลของการดำเนินงานของ
องคก์ าร และเพ่ือทจ่ี ะปรับปรุงประสิทธิผลขององคก์ ารให้ดีขึ้น
5) เอื้อต่อการสร้างบรรยากาศท่ีทำให้สมาชิกองค์การมีสุขภาพดี และมี
ความสุขในการทำงาน
6) ช่วยใหเ้ ขา้ ถงึ พฤติกรรมของมนุษยท์ ี่ทำงานภายในองค์การมากข้ึน
7) องค์ความรู้ต่างๆ สามารถนำไปประยุกต์ในการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนา
องค์การให้ดีข้นึ
7 อา้ งแล้ว,ทิพวรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น,์ ทฤษฎีองคก์ ารสมยั ใหม่, หนา้ 8-9.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 32
8) ช่วยให้องค์การสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้ดีขึ้น
เน่ืองจากองค์การเป็นองค์ประกอบหน่ึงที่สำคัญทางสังคม หากองค์การต่างๆ สามารถ
ทำงานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธผิ ล
9) ช่วยให้สงั คมมีการใช้ทรัพยากรอยา่ งคมุ้ ค่า และช่วยพัฒนาสังคมในส่วนรวม
ได้ด้วย
ในบทน้ีผู้เขียนจะขอนำเสนอแนวความคิดทางทฤษฎีองค์การออกเป็น 3
สมยั คือ
1) ทฤษฎีองคก์ ารสมยั คลาสสคิ (Classical Theory of Organization)
2) ทฤษฎอี งค์การสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Organization)
3) ทฤษฎอี งค์การสมัยปจั จุบนั (Modern Theory of Organization)
ซึ่งในแต่ละสมัยจะขอนำเสนอแนวความคิดเก่ียวกับทฤษฎีทางองค์การที่
สำคัญๆ ของนักคิดคนสำคัญๆ ที่ได้รับการยอมรับเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ท่ีสนใจศึกษา
เพ่อื นำองค์ความรู้ จากแนวความคดิ เกยี่ วกับทฤษฎอี งคก์ ารไปประยุกต์ใชไ้ ด้
2.4 ทฤษฎีองค์การสมัยคลาสสิค (Classical Theory of Organization)
ค.ศ.1900-1940
2.5.1 ทฤษฎีองคก์ ารของ Frederick Taylor (เฟรเดอรล์ ิก เทลเลอร)์
แนวคิดของ Frederick Taylor เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาการ
จัดการเชิงวิทยาศาสตร์จากหนังสือหลักการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Principe of
Scientific Management) Talor กล่าวว่าเป้าหมายหลักของการจัดการ คือ การ
บรรลุผลสำเร็จสูงสุดขององค์การควบคู่กับความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดให้กับพนักงานด้วย
แตก่ ็จะมบี างวันทีพ่ นักงานทำงานไม่เต็มประสทิ ธภิ าพ หรอื ทำงานตามวิธีการทอี่ ยากจะ
ทำโดยไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน ซ่ึง Taylor เช่ือว่าการแก้ไขปัญหาการทำงานไม่เต็ม
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 33
ประสิทธิภาพน้ัน สามารถทำได้โดยการประยุกต์วิธีการตามหลักทางวิทยาศาสตร์
ดงั ตอ่ ไปนี้ คือ8
1) ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการประเมินผลงานแต่ละส่วน ไม่ว่าจะเป็น
วธิ ีการเคลอ่ื นไหวร่างกาย หรอื มาตรฐานการปฏบิ ัติงานเพอ่ื หาวิธกี ารท่ดี ีทีส่ ดุ
2) การเลอื กพนักงานท่ีมคี วามสามารถให้ตรงกับงานอยา่ งรอบครอบ
3) มกี ารฝกึ อบรมและใหผ้ ลตอบแทนการทำงานดว้ ยวิธีการทเ่ี หมาะสม
4) การสนับสนุนพนักงานด้วยการใช้หลักการทางวิทยาศาสตรใ์ นการหาวิธกี าร
ปฏิบตั งิ านแบบงา่ ยสำหรบั พนกั งาน
Taylor ได้ศึกษาการเคลื่อนไหวร่างกายของพนักงานที่ทำงานในแผนกต่างๆ
ของบริษัทผลิตเหล็กแห่งหน่ึง จากน้ัน Taylor จึงได้แนะนำให้พนักงานแต่ละคนใช้
วธิ ีการทำงานของเพ่ือนร่วมงานท่ีมีประสิทธิภาพมากที่สุด และลดขั้นตอนการทำงานท่ี
ไม่มีความจำเป็นเพื่อให้เหลือเพียงแต่งานหลักช่วยให้พนักงานเคลื่อนไหวตามความ
จำเป็น
นอกจากนี้ เขายังแนะนำให้นายจ้างจัดระบบจ้างงานใหม่ท่ีมีการจ่ายเงิน
ต่างกัน คือ จัดให้พนักงานท่ีมีผลงานในระดับที่ดีได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่า แม้ว่า
พนักงานจะเกิดการต่อต้านหลักการนี้เพราะพนักงานกลัวว่าจะตกงานหากไม่สามารถ
ทำงานเพิ่มมากขึ้น Taylor เชื่อว่าถ้าใช้หลักการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์นี้อย่างถูกวิธีก็
จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มมากขึ้น ซ่ึงทั้งหลักการศึกษาการเคล่ือนไหวและ
การจ่ายเงินตามความสามารถในการทำงานเพื่อเป็นการจูงใจน้ียังคงเป็นหลักการท่ี
ยังคงใชก้ ันอย่างแพรห่ ลายในปัจจุบัน
8 Angelo Kinichi & Brian Williams, Management 3/e , แปลโดย กิ่งกาญจน์ วร
นทิ ศั น์และคณะ, (กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พ์แมคกรอ-ฮลิ ),2551, หน้า 22-23.
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 34
2.4.2 ทฤษฎีองค์การของ Frank & Lillian Gilbreth (แฟรงค์ & ลิลเลี่ยน
กิลเบรธ)
แนวคิดของ Frank & Lillian Gilbreth สามีภรรยาผู้มีประสบการณ์จากการ
งานวิศวกรรมอุตสาหกรรม และเป็นผู้ท่ีนำเอาทฤษฎีของ Taylor มาศึกษาต่อ แต่จะ
เน้นในเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการทำงานกับเวลา โดยใช้
กล้องถ่ายภายนต์บันทึกภาพการทำงานของพนักงานที่ถูกแยกทำงานตามแผนกๆต่าง
เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการทำงานของพนักงานแต่ละคนพวกเขาพบว่าถ้าลดการ
เคลื่อนไหวของพนักงานให้น้อยลง สามารถทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มข้ึน ซึ่งต่อมา Lillian
Gilbreth กลายเป็นอาจารย์สอนท่ีมหาวิทยาลัย Purdue และยังเป็นสตรีคนแรกที่
เผยแพรผ่ ลงานด้านการจัดการเชงิ วิทยาศาสตร์
Gilbreth พัฒ นาวิธีการต่างๆ เพ่ือวิเคราะห์งาน เขาได้พัฒ นาแผนผัง
กระบวนการไหลของงาน (flow process chart) โดยท่ีงานทุกงานจะถูกจำแนก
ออกเป็นงาน 5 งาน คอื 9
1) การปฏบิ ัติงาน (operation)
2) การขนสง่ (transportation)
3) การตรวจสอบ (inspection)
4) การเกบ็ รกั ษา (storage)
5) การสง่ มอบ (delivery)
2.4.3 ทฤษฎีองค์การของ Henri Fayol (เฮนรี ฟาโย)
Henri Fayol (เฮนรี ฟาโย) ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการ ซึ่งให้ความ
สนใจเป็นพิเศษแก่นักบริหารชั้นสูง ตรงข้ามกับเฟรเดอริก เทย์เลอร์ (Frederick
9 พยอม วงศ์สารศรี, องค์การและการจดั การ, คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั ราช
ภฎั สวนดสุ ติ , 2537, หนา้ 38.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 35
Taylor) ท่ีสนใจการทำงานของคนงานในราว ค.ศ.1925 ฟาโยล ได้เสนอหลักการจัด
องคก์ ารซ่ึงมีแนวปฏบิ ตั ิ 5 ประการ นิยมเรียกย่อๆว่า OSCAR ดังน้ี10
1) วัตถุประสงค์ (Objective) องค์การจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ไว้ให้
ชัดเจน ตลอดจนการกำหนดตำแหน่งต่างๆ แตล่ ะตำแหน่งก็จะต้องกำหนดเป้าหมายไว้
ให้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ขององค์การ เม่ือปฏิบัติงานแต่ละคนบรรลุเป้าหมายท่ีต้ังไว้
วัตถปุ ระสงคข์ ององค์การกจ็ ำสำเร็จไปด้วย
2) ความเช่ียวชาญเฉพาะอย่าง (Specialization) งานของแต่ละตำแหน่ง
แต่ละคนควรจำกัดขอบเขตให้ทำคนละหน้าท่ี อันเป็นการส่งเสริมให้เกิดความชำนาญ
เฉพาะอย่าง กิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกันก็ต้องจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน ถือเป็นหลักการแบ่งกัน
ทำตามความเช่ยี วชาญเฉพาะอยา่ ง การแบง่ งานออกเปน็ แผนกจึงเป็นสิ่งจำเป็น
3) การประสานงาน (Coordination) เมื่อมีการแบ่งงานกันทำเป็นแผนกๆ
และมีคนทำงานจำนวนมาก การประสานงานย่อมมีความจำเป็นเพื่อให้ทุกคน
ปฏิบัติงานของตนได้อย่างราบร่ืนโดยไม่ขัดกับแผนกอ่ืนๆ ทำให้กิจกรรมขององค์การ
ดำเนินไปสู่วัตถุประสงค์ขององค์การ หากไม่มีการประสานงานที่ดีแล้วการดำเนินงาน
อาจล้มเหลวและไม่ราบร่ืน องคก์ ารท่ีมขี นาดใหญ่ มีการดำเนินงานสลบั ซับซอ้ นมบี ุคคล
ทำงานเปน็ จำนวนมาก การประสานงานจงึ มคี วามจำเปน็ มาก
4) อำนาจหน้าที่ (Authority) องค์การต้องมีบุคคลใดบุคคลหน่ึงหรือกลุ่ม
บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุด มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบาย สามารถตัดสินใจส่ัง
การได้โดยไม่มีใครมีสิทธ์ิโต้แย้ง การจัดสายการบังคับบัญชาการในองค์การต้องชัดเจน
เร่ิมต้ังแต่ผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์การผ่าน สายการบังคับ บัญ ชาลงม าตามลำดับ ชั้น
ดังต่อไปน้ี
10 สมคดิ บางโม,องค์การและการจัดการ,พิมพค์ รงั้ ที่ 6 (กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์), 2555,
หน้า 28.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 36
ประธาน
รองประธานฝา่ ยผลิต
ผูจ้ ดั การโครงการ
หัวหนา้ คนงาน
คนงาน
ภาพที่ 2.1 แสดงสายการบังคับบญั ชา
5) ความรับผิดชอบ (Responsibility) อำนาจหน้าที่ที่มอบหมายให้แก่
ตำแหน่งต่างๆจะต้องสัมพันธ์กับความรับผิดชอบ บุคคลใดที่ได้รับมอบหมายให้
รับผิดชอบต่อผลสำเร็จขององค์การในระดับใดก็ควรจะได้รับมอบหมายหน้าท่ีให้เพียง
พอท่จี ะปฏิบตั งิ านท่ีได้รบั มอบหมายในระดับท่จี ะทำใหง้ านนัน้ สำเรจ็ ได้
2.5.4 ทฤษฎอี งค์การของ Max Weber (แมกซ์ เวเบอร์)
Max Weber (แมกซ์ เวเบอร์) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันได้พัฒนาระบบ
ราชการข้ึนและเขียนในหนังสือทฤษฎีองค์การด้านเศรษฐกิจและสังคม ระบบราชการ
ตามแนวคิดของเวเบอร์จึงเป็นองค์การเชิงอุดมคติ (ideal form of organization)
โดยเวเบอร์เชื่อว่าเป็นรูปแบบที่ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเทียบกับองค์การใน
สมัยศักดินาและองค์การแบบด้ังเดิมในสมัยน้ัน องค์การแบบราชการที่เวเบอร์ได้เสนอ
มาน้ันมีพื้นฐานมาจากสำนักเหตุผลนิยม โดยเน้นหลักการอำนาจหน้าท่ีท่ีเป็นทางการ
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 37
โดยอาศัยกฎระเบียบ เน้นความเป็นวัตถุวิสัย (objectivity) และเป็นกลาง คือ ไม่ใช้
ความรสู้ ึกส่วนตวั มาใช้ในการทำงาน11
ประมาณ ค.ศ. 1937 แมกซ์ เวเบอร์ ได้เสนอทฤษฎีระบบราชการ
(bureaucratic model) การจัดการองค์การตามแนวความคิดของเวเบอร์มีอิทธิพล
กว้างขวางเป็นท่ียอมรับของวงการท่ัวไปและนำไปกล่าวอ้างอิงอยู่เสมอหลักการจัดการ
ของเวเบอรม์ ดี งั นี้12
1) การแบ่งแยกงานถือหลักการความชำนาญเฉพาะด้าน วัตถุประสงคข์ องการ
จัดองค์การแบบนี้มุ่งให้ได้ผลงานสูงสุดจากการทำงานเฉพาะอย่างด้วยฝีมือและความ
ชำนาญ ดังนั้นคนงานจะต้องได้รับการฝึกฝนอบรมซ้ำแล้วซ้ำอีกเพ่ือให้เกิดความ
เชย่ี วชาญจรงิ ๆ
2) การจัดการลำดับช้ันการบังคับบัญชาลดหล่ันกันลงไป มีหัวหน้าขององค์การ
เป็นผู้บัญชาสงู สุดขององคก์ าร กำหนดอำนาจหน้าที่ของแตล่ ะระดับช้ันไวอ้ ยา่ งชดั เจน
3) การปฏิบัติงานต้องอยู่ภายใต้ระบบ ระเบียบ และกฎหมาย การทำงานไม่
สามารถยืดหยุ่นได้ตามลักษณะเฉพาะของงสน โดยเฉพาะอย่างย่ิง องค์การของรัฐ
จะต้องยึดถอื และปฏิบัตติ ามระเบียบข้อบังคบั อยา่ งเคร่งครดั
4) การจัดให้มีการบันทึกเกี่ยวกับการดำเนินงาน ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ การ
วินจิ ฉัย การสงั่ การ จะตอ้ งมีการบนั ทึกเป็นลายลักษณ์อกั ษรเก็บไว้เป็นหลักฐานสารามา
รถตรวจสอบไดต้ ลอดเวลาท่ตี ้องการ
เม่ือพิจารณาระบบราชการตามแนวความคิดของเวเบอร์ให้ละเอียดลงไปแล้ว
จะเห็นวา่ มลี กั ษณะตา่ งๆท่ีสำคัญดังตอ่ ไปนี้
1) การบริหารราชการมีลักษะเป็นภารกิจท่ีต้องปฏิบัติต่อเนื่องกันตลอดไป
เพราะเป็นองค์การของรัฐท่ีจัดขึ้นเพื่อบริการประชาชน จะทำๆหยุดๆไม่ได้ ทำให้ขนาด
ขององคก์ ารเติบโตขึ้นทกุ ที
11 อา้ งแลว้ , ทพิ วรรณ หล่อสุวรรณรตั น,์ ทฤษฎอี งคก์ ารสมัยใหม่, หน้า 34.
12 Max Weber, The Theory of Social and Economic Organization, (New
York: Oxford University Press, 1966),p. 333-334.
องคก์ ารและการจัดการสมัยใหม่ | 38
2) ต้องมีการแบ่งหน้าที่การงานออกเป็นสัดส่วนอย่างมีเหตุผลและสัมพันธ์กัน
ทงั้ หนา้ ที่การงานและความรบั ผิดชอบ
3) ต้องมีการจัดลำดับช้ันการบังคับบัญชา (hierarchy) ลดหล่ันกันลงมา ถือ
หลักผูอ้ ยู่ฐานะสูงกวา่ มอี ำนาจหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบสูงกวา่
การดำเนินการใดๆจะต้องปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนตามอำนาจหน้าท่ี
ระเบียบข้อบังคับและกฎหมายท่ีว่างไว้ จะกระทำนอกเหนือท่ีกำหนดไว้ไม่ได้ ได้แก่ (1)
การมอบอำนาจหน้าท่ีให้หน่วยราชการต่างๆ (2) อำนาจในการสัง่ การ (3) การใชบ้ ุคคล
ทม่ี ีคณุ สมบตั ิตามกฎเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้
4) อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับบัญชา การ
ออกคำส่ังและการปฏิบัติตามคำสั่งต้องถือเอาหน้าท่ีเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และ
การปฏิบตั ติ อ้ งเปน็ ไปตามลำดับชน้ั
5) ตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจซื้อขายหรือโอนสิทธิให้แก่กันได้
เพราะมิใช่ทรัพยส์ นิ ส่วนบคุ คล
6) การคดั เลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต้องมีการคัดเลือกบุคคลท่ีเหมาะสมเข้า
ทำงาน โดยยึดหลักความร้แู ละความสามารถ และตอ้ งมกี ารฝกึ อบรมก่อน
7) การดำเนินงานต้องมีแบบพิธีเป็นทางการ ต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์
อกั ษร มีระเบยี บปฏบิ ตั ทิ ่ีแน่นอน เชื่อถอื ได้
หากกล่าวโดยสรุปแล้ว โครงสร้างขององค์การแบบอุดมคติ “ideal-type”
organization structure ไดด้ งั น1้ี 3
1. การแบ่งงานกนั ทำ (division of labor)
2. กำหนดอำนาจหน้าท่ตี ามลำดับข้ัน (a clear uthority hierarchy)
3. ใช้ระเบยี บวิธีการคดั เลอื กอย่างเป็นทางการ (formal selection
procedures)
4. มกี ฎระเบยี บในการทำงานอยา่ งระเอยี ด (detailed rules and
regulations)
13 เขมมารี รกั ษ์ชชู ีพ, ทฤษฎอี งคก์ าร, (กรงุ เทพฯ: ทริปเพิล้ กรปุ ), 2553, หนา้ 13.
องค์การและการจดั การสมัยใหม่ | 39
5. ไม่นำความสัมพนั ธส์ ่วนตัวมาใช้ในการทำงาน (impersonal
relationships)
จะเห็นได้ว่า สาระสำคัญของแนวคิดแบบด้ังเดิมนี้ คือ การทำงานอย่างมี
หลักการและเหตุผลท่ีใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ เวลาและการเคล่ือนไหวเพ่ือเพิ่ม
ผลผลิต ซ่ึงแนวความคิดน้ีที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันโดยจะเห็นได้จากร้าน McDonald
หรอื ร้าน Pizza Hut อย่างไรก็ตาม แนวความคิดแบบด้ังเดิมนี้ยงั มองมนุษย์เปน็ เสมอื น
ฟันเฟอื งในเครอ่ื งจักรเทา่ นนั้ โดยไมค่ ำนงึ ถงึ ความต้องการของมนุษย์
2 . 5 ท ฤ ษ ฎี อ ง ค์ ก า ร ส มั ย ใ ห ม่ ( Neo-Classical Theory of
Organization) ค.ศ. 1940-1960
2.5.1 ทฤษฎอี งคก์ ารของ Elton Mayo (เอลตัน มาโย)
Mayo เป็นนักสังคมวิทยาทำงานอยู่ฝ่ายวิจัยอุตสาหกรรมของฮาร์วารด์ (the
department of industrial research at harvard) ได้ช่ือว่าเป็นบิดาของการจัดการ
แบบมนุษย์สัมพันธ์หรือการจัดการแบบเน้นการศึกษาพฤติกรรมศาสตร์เขาและเพ่ือน
ร่วมคณะวิจัย ได้แก่ John Dewey, Kurt Lewin, F.J. Roethlisberger และ W.J.
Dickson ได้ทำการวิจัยศึกษาทัศนคติและปฎิกิริยาทางจิตวิทยาของคนงานในการ
ทำงานตามสถานการณ์ท่ีต่างกันตามที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นท่ี Western Eclectics
Hawthorne Plant (1927-1932)14 ในการทดลองของเขาและคณะได้แบ่งการทดลอง
เปน็ 4 ระยะตอ่ เนือ่ งกนั ตลอดระยะเวลา 6 ปี โดยมรี ายระเอียดดงั ต่อไปนี้
การวิจัยระยะแรก ระยะแรกนี้ เป็นระยะท่ีมีการศึกษาถึงผลกระทบของ
สภาวะแวดล้อมของการงานที่มีต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองกับกลุ่ม
พนกั งานหญิงกลมุ่ เลก็ ๆขณะทกี่ ำลังประกอบเครอื่ งรับโทรศัพท์ ในขณะที่พนักงานกำลัง
ทำงานนั้น ผู้วิจัยได้ทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพ่ือดู
ผลกระทบต่อผลผลิตของการทำงาน ผลของการวิจัยปรากฏว่าไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดแสง
14 อา้ งแลว้ ,พยอม วงศส์ ารศร,ี องคก์ ารและการจดั การ, หนา้ 43.
องค์การและการจัดการสมัยใหม่ | 40
สว่างภายในห้องอย่างไร ผลผลติ กลับเพิ่มสูงข้ึน ทำให้ผวู้ ิจัยเกิดความสงสัยว่า อาจจะมี
ตัวแปรอื่นๆ นอกจากระดับของแสงสว่างในห้องทดลอง ที่เป็นตัวแปรซ่ึงมีอิทธิพลต่อ
การปฏิบัติงานในกลุ่มพนักงานหญิงน้ัน ผลการวิจัยที่ออกมาน้ี ทำให้เกิดความสนใจที่
จะทำการวิจัยต่อไป เพอื่ ค้นหาตวั แปรซ่งึ มอี ิทธพิ ลทที่ ำให้ผลผลิตเพิ่มสงู ขน้ึ
การวิจัยระยะท่ีสอง ระยะที่สองนี้ ผู้วิจัยได้พยายามที่จะมีทดสอบผลกระทบ
ของตัวแปรต่างๆ อาทิ ตัวแปรเก่ียวกับช่วงระยะเวลาการพักผ่อนและวิทีการจ่าย
ค่าตอบแทนว่าจะมีผลกระทบต่อผลผลิตด้วยหรือไม่ โดยได้ทดลองกลุ่มคนงานหญิง
จำนวน 6 คนในห้องทดลองซ่ึงเป็นห้องสำหรับประกอบเครื่องถ่ายทอดคลื่นวิทยุ ผล
จากการวิจัยในครั้งนี้ ปรากฏออกมาเหมือนกับคร้ังแรก กล่าวคือ ผลผลิตของคนงานมี
ลักษณะอิสระจากตัวแปรต่างๆ เช่น ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงช่วงระยะเวลาการ
พักผ่อนให้ยาวข้ึนหรือสั้นลงอย่างไร ผลผลิตยังคงเพิ่มในระดับท่ีสูงข้ึนในการวิจัยครั้งน้ี
ผู้วิจัยได้มีโอกาสสอบถามผู้ท่ีเข้ารับการทดลองเก่ียวกับเหตุผลท่ีทำให้พวกเขาเหล่านั้น
ทำงานหนัก เพื่อผลผลิตขององค์การ ซ่ึงสามารถประเมินและจัดลำดับความสำคัญได้
ดังต่อไปนี้
1) การทำงานเป็นกล่มุ ขนาดเลก็
2) มกี ารควบคมุ ดูแลโดยหัวหนา้ งาน
3) ผลตอบแทนทีไ่ ด้รบั
4) ความแปลกใหม่ของสถานการณ์
5) ความสนใจเกี่ยวกบั การทดลอง
6) การได้รับการสนใจในหอ้ งทดลอง
เป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุผล 3 ประการหลังนี้ เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า
Howthorne effect ซ่ึงเป็นปัจจัยท่ีทำให้คนทำงานหนักข้ึน เน่ืองจากการได้รับความ
สนใจและการที่ได้พบปะกับสถานการณ์ที่แปลกใหม่ การทดลองในครั้งน้ี ได้มีการ
ค้นพบว่าแนวคิดเก่ียวกับการจูงใจให้คนทำงานของยุคคลาสสิกนั้นไม่ถูกต้อง กล่าวคือ
สภาพแวดล้อมของการทำงานและการจ่ายคา่ ตอบแทนดว้ ยตัวเงนิ นั้น เป็นเพียงปัจจัยที่
มคี วามสำคญั ระดับรองจากปัจจยั ในดา้ นทเ่ี ก่ียวกับมนุษย์