The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

Keywords: พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย,Buddhism and Thai Culture

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

และอีกประการหน่ึงยงั สามารถแสดงให้คนเห็นถึงความกล้าหาญทางความคดิ และพยายามท่จี ะ
เรยี นรชู้ วี ติ รอบตวั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ ประจาํ วนั จงึ แสวงหาความรแู้ ละคน้ หาคําตอบเท่าทส่ี งิ่ แวดลอ้ ม
จะอํานวยให้ได้เพ่อื เป็นพ้นื ฐานให้คนรุ่นหลงั ได้ศึกษาค้นคว้าต่อไปนอกจากเร่อื งแดนและผีแล้ว
เรอ่ื งขวญั ยงั เป็นอกี กระแสแนวความคดิ หน่งึ ทม่ี คี วามเก่าแก่เช่นกนั แต่การอธบิ ายในเร่อื งขวญั นนั้ ยงั
ไดค้ วามสบั สนอยพู่ อสมควร เพราะมผี อู้ ธบิ ายในลกั ษณะทเ่ี ป็นพลงั ซง่ึ เป็นพลงั ธรรมชาตทิ ไ่ี ม่มตี วั ตน
แต่มอี ํานาจบนั ดาลใหเ้ กดิ สขุ และทกุ ขแ์ ก่มนุษยไ์ ด้ แต่โดยทวั่ ๆ ความเช่อื ในเรอ่ื งขวญั นนั้ มกั จะมกี าร
อธบิ ายทอ่ี อกมาในรปู ของบคุ ลาธษิ ฐานเหมอื นกบั วญิ ญาณทม่ี อี ย่ใู นมนุษยท์ ุกคน ถ้าขวญั หนีไปหรอื
หายไปอาจทําใหเ้ กดิ เหตุรา้ ยแก่เจา้ ของรา่ งได้ จงึ เป็นทม่ี าของประเพณแี ละวฒั นธรรมของการเรยี ก
ขวญั ผกู ขวญั และทาํ ขวญั

ความหมายของขวญั ตามพจนานุกรมราชบณั ฑติ ยสถาน ๒๕๐๕ มวี ่าขวญั หมายถงึ ผมหรอื
ขนทข่ี น้ึ เวยี นเป็นก้อนหอย มงิ่ , มงคล, สริ ,ิ ความดี เช่นขวญั ชา้ ง ขวญั เรอื น สง่ิ ทไ่ี ม่มตี วั ตนนิยมกัน
ว่า มอี ย่ปู ระจาํ ชวี ติ ของคนตงั้ แต่เกดิ มา จติ ใจมนั่ คงถ้าตกใจหรอื เสยี ขวญั ขวญั กจ็ ะออกจากร่างไป
เสยี ซง่ึ เรยี กว่าขวญั หาย ขวญั หนี ขวญั บนิ ในเร่อื งแดน ผี และขวญั น้ี ถ้ามองในแงม่ ุมหน่ึง เรอ่ื งน้ี
เป็นความเช่อื มากกว่าปรชั ญาแต่ถ้าหากมองอกี ในแงม่ ุมหน่ึง โดยพจิ ารณาเฉพาะคาํ ว่าแด่น ผี และ
ขวญั แลว้ กจ็ ะเหน็ ว่ามปี ญั หาไม่ต่างไปจากปญั หาทว่ี ่าวญิ ญาณคอื อะไร จติ คอื อะไร ผคี อื อะไรและมี
จรงิ หรอื ไม่ ปญั หาเหล่าน้ปี จั จบุ นั ยงั ถกเถยี งและวพิ ากษ์วจิ ารณ์กนั อยู่ แต่ถ้ามาพจิ ารณาสง่ิ ทแ่ี ฝงอยู่
ในความเช่อื เหล่าน้ี จะเหน็ ความพยายามสูงมากของคนโบราณ ท่ีจะคน้ หาความรแู้ ละความจรงิ ท่ี
เก่ยี วกบั โลกและชวี ติ โดยไดต้ งั้ ขอ้ สมมตฐิ านแล้วผูกเร่อื งเป็นนิยายหรอื นิทานอนั เก่ยี วกบั โลกและ
ชวี ติ เป็นเรอ่ื งเลา่ สบื ๆ กนั มาแบบปากต่อปาก ซง่ึ บางเร่อื งอาจจะมจี รยิ ธรรมและศลี ธรรมสอดแทรก
อย่ดู ้วย เพ่อื จะได้เป็นอนุสตเิ ตอื นใจใหป้ ระพฤตดิ ีประพฤตชิ อบในสงั คมนอกจากทก่ี ล่าวแลว้ ยงั มี
แนวความคดิ ทส่ี าํ คญั อนั มคี า่ ควรแก่การศกึ ษา และควรยกยอ่ งไดว้ า่ เป็นปรชั ญาไทยอกี รปู แบหน่ึงใน
ยุคดงั้ เดิม อนั แสดงให้เห็นถึงภูมปิ ญั ญาของคนโบราณท่รี ู้จกั วิธสี อนจริยธรรมและศีลธรรมแก่
ลูกหลาน แต่ออกมาในรูปลกั ษณะของคําคมและสุภาษิต ท่คี นโบราณนิยมคดิ ข้นึ มาเพ่อื เป็นคติ
เตือนใจให้เป็นแนวทางของการดําเนินชวี ติ ละเป็นหลกั จรยิ ธรรมและศลี ธรรมท่มี ุ่งสอนบุคคลให้
ประพฤตติ นอยใู่ นทาํ นองครองธรรมในขณะเดยี วกนั กไ็ ดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ถอ้ ยคาํ อนั หลกั แหลมลกึ ซง้ึ ๔

ทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือนนั้ ไดอ้ นุรกั ษ์แนวความคดิ น้ีไวเ้ ป็นอย่างดี โดยมผี สู้ บื ทอด
กนั มาแบบปากต่อปากและใหช้ อ่ื เรยี กว่า ‚ผญา‛ คําว่า ‚ผญา‛ มคี วามหมายในทํานองเดยี วกนั กบั คํา
ว่า ‚ปญั ญา‛ หรอื ปรชั ญา‛ เพราะเสยี ง ‚ป‛ หรอื ‚ปร‛ คอื เสยี ง ‚ผ‛ ในภาษาอสี านซง่ึ เป็นดงั้ เดมิ
ของคนไทย เช่น คาํ ว่า ‚เปรต‛ เป็น ‚เผด‛ เป็นตน้ ดงั นนั้ คําว่า ‚ปญั ญา‛จงึ กลายเสยี งเป็น ‚ผญา‛
ผญาคอื คาํ พูดทห่ี ลกั แหลมไดส้ าระทําใหผ้ ูฟ้ งั มองเหน็ สตปิ ญั ญาของผพู้ ูด และมองปรชั ญาทแ่ี ฝงอยู่
ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

‚ขน้ึ หน้าไม้ บ่ทนั เหน็ กระฮอก‛ = หวงั ความสาํ เรจ็ ก่อนทจ่ี งลงมอื ทาํ

๔ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๑.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

‚ตกหมแู่ ฮง้ เป็นแฮง้ ตกหมกู่ า เป็นกา‛ = คบกบั คนใดจะเหมนื คนนนั้
‚อยา่ ฟงั ความเบา อยา่ เอาความหงา่ ย‛ = อยา่ ฟงั ความขา้ งเดยี ว

‚ววั บ่กนิ หญ้าอย่าสขิ ่มเขาหกั หมูบ่กนิ ฮาอย่าสดิ ดี งั เว้อ‛ บงั คบั ให้ผู้อ่นื ทําตามต้องการ
เสยี เวลาเปล่า

‚คนั ไดก้ นิ ปลาแลว้ อย่าลมื ปู ปะปล่อยลางเทอื่ ปลาขาดขอ้ ง ยงั สไิ ดป้ ่นปู‛ มอี าหารอย่แู ล้ว
ถา้ มสี งิ่ ใหมม่ าอยา่ เพงิ่ ทง้ิ ของเก่า ถา้ สงิ่ ทต่ี อ้ งการหมดกจ็ ะไดเ้ กบ็ ไวใ้ ชส้ รอ้ ยบา้ งในคราวจาํ เป็น

นอกจากภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื แลว้ ยงั มคี าํ สุภาษติ ทางภาคเหนือทใ่ี หแ้ งค่ ดิ ทางปรชั ญา
ชวี ติ เช่นเดยี วกนั คอื

‚ขา้ จะเลย้ี งหลาย คนจะผ่านเพราะนอนอุ่น‛ = เป็นลางบอกเหตุใหร้ ลู้ ่วงหน้า

‚อูก้ บั คนใบเ้ หมอื นผ่าไมต้ ่ําตา อู้กบั คนผญา เหมอื นผ่าไมโ้ ล๋งขอ้ = พูดกบั คนโงเ่ หมอื นผ่า
ไมต้ ดิ ตาพดู กบั คนมปี ญั ญาเหมอื นผ่าไมม่ ขี อ้ ๕

คาสภุ าษิตทางภาคใต้ท่ีให้แง่คิดทางปรชั ญาชีวิตเช่นเดียวกนั คือ
‚กวางเขา้ ไร่ ไปทารวั่ ทนี่ า‛ ความหมายเป็นการแกป้ ญั หาทไ่ี มถ่ ูกจดุ ไมม่ ปี ระโยชน์

‚ยงิ่ หยุดยงิ่ ไกล ยงิ่ ไปยงิ่ แค่‛ ความหมาย ไม่ว่าการศกึ ษาหรอื การเดนิ ทาง ถ้าเราทาํ อยา่ ง
ต่อเน่อื งมนั กจ็ ะใกลค้ วามสาํ เรจ็ ไดโ้ ดยเรว็

กระแสความคิดท่มี ศี าสนาพราหมณ์เป็นพ้นื ฐาน ศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามาเผยแผ่ใน
ดนิ แดนสุวรรณภูมหิ รอื ประเทศไทยในปจั จุบนั พรอ้ มกบั การอพยพของคนอนิ เดยี ซ่งึ สนั นิษฐานจาก
ศลิ ปวตั ถุทค่ี น้ พบทางภาคใต้ แล้วคาดกนั ว่าน่าจะเขา้ มาก่อนพระพุทธศาสนาเพราะมศี ลิ ปวตั ถุรูป
นารายณ์หรือพระวิษณุซ่ึงพบท่ีวัดศาลาทึง อําเภอไชยา จงั หวัดสุราษฏร์ธานี (ปจั จุบนั อยู่ท่ี
พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาตพิ ระนคร) เป็นประตมิ ากรรมทแ่ี สดงถงึ อทิ ธพิ ลอนิ เดยี ทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดซง่ึ พบ
ไ ด้ ใ น ค า บ ส มุ ท ร ข อ ง ไ ท ย แ ล ะ ยัง มีป ร ะ ติม า ก ร ร ม รู ป พ ร ะ วิษ ณุ ท่ีพิพิธ ภัณ ฑ์ส ถ า น แ ห่ ง ช า ติ
นครศรธี รรมราช มอี ายุราวๆ พุทธศตวรรษท่ี ๑๐ ต่อมาลทั ธไิ ศวะเขา้ มาแพร่หลาย มกี ารสรา้ งรปู
เคารพของพระศิวะ และศิวลึงค์ เพ่อื บูชาได้พบท่สี ถานีรถไฟหนองหวาย อําเภอไชยา จงั หวดั สุ
ราษฎรธ์ านี มอี ายปุ ระมาณ กลางพุธศตวรรษท่ี ๑๑ ถงึ กลางศตวรรษท่ี ๑๒ นอกจากทก่ี ล่าวแลว้ ยงั
มแี นวความเชอ่ื เกย่ี วกบั เรอ่ื งพระเป็นเจา้ องคอ์ ่นื ๆ เช่น พระพรหม พระพริ ณุ พระพฆิ เนศ พระอนิ ทร์
และพระอคั นี๖

คิดอย่างไรจึงเป็นปรชั ญา หรือภมู ิปัญญา

นกั ปรชั ญาคดิ ไมเ่ หมอื นชาวบา้ นทวั่ ไป ตวั อยา่ งชวี ติ ทเ่ี ป็นอยทู่ ุกวนั หรอื โลกกห็ มนุ ไปตาม
ธรรมดา คนทวั่ ไปมองเหน็ ว่า ไม่ใช่เร่อื งน่าแปลกประหลาดประการใด เพราะเป็นธรรมดาของมนั

๕ ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ , พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนและตาราวิชาการ
วิทยาลยั สงฆ์พทุ ธชินราช มจร., (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๗), หน้า ๒๗๘-๒๗๙.

๖ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๒.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

อย่างนัน้ ไม่ไดส้ งสยั ประการใด แต่นักปรชั ญาพบเหน็ แลว้ กลับมไิ ดป้ ล่อยใหเ้ รอ่ื งผ่านไปอย่างทค่ี น
ธรรมดาสามญั ปฏบิ ตั ิ พบเหน็ อะไรเขาจะสงสยั และตงั้ คาํ ถามว่า นนั่ อะไร น่ีอะไร ทาํ ไม เพราะอะไร
และเพ่อื อะไร บางทตี งั้ ความสงสยั แมก้ ระทงั่ ตวั เองว่า เรามอี ย่จู รงิ หรอื ? ดว้ ยเหตุน้ี คนธรรมดาจงึ
ไมพ่ ฒั นาทางปญั ญามากจนเป็นนักปรชั ญา เพราะสงสยั แลว้ ไม่ถาม หรอื คดิ ว่ารแู้ ลว้ ไมอ่ ยากเรยี น
เพม่ิ

การคดิ เชงิ ปรชั ญา ต้องคดิ อย่างมเี หตุผล มใิ ช่คดิ หรอื สงสยั เร่อื ยเป่ือยตามแต่จติ จะฝนั
เฟ่ือง เม่อื คดิ เร่อื งใด ต้องคดิ อย่างแยกแยะวเิ คราะหว์ จิ ารณ์หาสาเหตุของเร่อื งนัน้ ๆ ต้องคดิ ใหล้ กึ
คดิ ใหก้ วา้ งและคดิ อยา่ งรอบคอบ ประมวลมาจากขอ้ มลู ทงั้ หลาย สงั เคราะหเ์ ป็นองคค์ วามรู้ แสดงผล
แห่งการคิดนัน้ มาตงั้ เป็นทฤษฎี รวมถึงวิธคี ดิ อีกด้วยจนคิดว่าน่าจะหาคําตอบได้สมเหตุสมผล
คาํ ตอบอาจจะถกู หรอื ผดิ เพราะเป็นความเหน็ ส่วนตวั สดุ แต่ใครจะคดิ ทฤษฎใี ดออกมา หรอื มองชวี ติ
และโลกจากมุมมองใด การคิดแบบปรชั ญาจงึ เป็นวธิ กี ารคดิ อย่างทะลุปรุโปร่ง เพ่อื ตอบปญั หาท่ี
ตนเองสนใจและใคร่รู้ ปรชั ญาคอื ศลิ ปะแห่งการคดิ อยา่ งมเี หตุผล (Philosophy is the art of rational
thinking.)

ภมู ิปัญญาไทย แนวคิดไทย

ภมู ิปัญญา (Thai Wisdom) มคี วามหมายครอบคลุมประเดน็ ว่า ‚ความรู้ ความสามารถ
ความเชือ่ ความสามารถทางพฤติกรรม และความสามารถในการแก้ไขปญั หาของมนุษย์‛
นกั วชิ าการศกึ ษาไทยไดใ้ หค้ วามหมาย ‚ภมู ปิ ญั ญาไทย‛ ไวห้ ลากหลายดงั น้ี

ภมู ิปัญญาไทย หมายถงึ องคค์ วามรใู้ นดา้ นต่างๆ ของการดาํ รงชวี ติ ของคนไทยทเ่ี กดิ จาก
ประสบการณ์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ประกอบกบั แนวความคดิ วเิ คราะหใ์ นการแกไ้ ขปญั หาต่างๆ
ประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั กาลสมยั ในการแกป้ ญั หาการดาํ รงชวี ติ ‛

ภูมิปญั ญาไทย เป็นผลของประสบการณ์สัง่ สมของคนท่ีเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์กับ
สง่ิ แวดลอ้ ม ปฏสิ มั พนั ธใ์ นกลุ่มชนเดยี วกนั และหว่างกลุ่มชุมชนหลายๆ ชาตพิ นั ธร์ วมไปถงึ โลกทศั น์
ทม่ี ตี ่อสงิ่ เหนอื ธรรมชาติ ภมู ปิ ญั ญาเหล่าน้เี คยเออ้ื อาํ นวยใหค้ นไทยแกป้ ญั หาไดด้ ํารงอย‛ู่

‚ภูมปิ ญั ญา หมายถึงประสบการณ์ในการประกอบอาชีพในการศึกษาเล่าเรียน การท่ี
ชาวบา้ นรจู้ กั วธิ ที ํานา การไถนา การเอาควายมาใชใ้ นการไถนา การรจู้ กั นวดขา้ ว โดยการใช้ควาย
รจู้ กั สานกระบุง ตะกรา้ เอาไมไ้ ผ่มาทําเครอ่ื งใชไ้ มส้ อยในชวี ติ ประจาํ วนั รวมทงั้ รจู้ กั เอาดนิ ขก้ี ระทา
มาแชน่ ้ําตม้ ใหเ้ หอื ดแหง้ เป็นเกลอื สนิ เธาว์ กเ็ รยี กว่าภมู ปิ ญั ญาทงั้ สน้ิ ‛๗

สรุปว่า ภูมปิ ญั ญาไทย หมายรวมเอากระบวนการคดิ วธิ คี ดิ ทเี่ กยี่ วกบั ความเชอื่ ค่านิยม
โลกทศั น์ ชวี ทศั น์ วถิ ชี วี ติ ทคี่ นไทยสงั่ สมเป็นประสบการณ์ ถ่ายทอดเป็นองคค์ วามรสู้ บื ต่อมา เพอื่
การดารงชวี ติ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มและวฒั นธรรมของชาวไทย

๗ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๒-๓๓.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ชาวไทยมีความคิด ความอ่านเป็นของตนเองมีอิสระท่ีจะเลือกส่ิงท่ีตนเองและสงั คม
ตอ้ งการ เป็นคนทม่ี คี วามคดิ ยดื หยุ่นได้ มคี วามคดิ กา้ วหน้า มคี วามสามารถในการปรบั ตวั สูง เพราะ
สงั คมไทยมโี ครงสรา้ งอยา่ งหลวมๆ มหี ลกั ปฏบิ ตั แิ ละขอ้ บงั คบั ท่ยี ดื หยนุ่ ได้ มกี ารประนีประนอมสูง
โอนอ่อนผ่อนตาม รจู้ กั ผ่อนสนั้ ผ่อนยาว ถา้ เปรยี บเทยี บกบั ประเทศเพ่อื นบ้านในแถบเอเชยี จะเหน็
ว่าชาวไทยมคี วามยดื หยุ่นมากกว่า ผทู้ ไ่ี มเ่ ขา้ ใจวถิ ชี วี ติ แบบไทยๆ กจ็ ะเหมาว่า สงั คมไทยเป็นสงั คม
ท่ี ‚อ่อน‛ ลกั ษณะโครงสรา้ งทางสงั คมหลวม มลี กั ษณะทย่ี ดื หยุ่น ปรบั ตวั เก่ง ความอ่อนบางครงั้ ก็
สามารถเอาชนะความแขง็ ได้ ดุจนโยบายการรกั ษาประเทศในสมยั รชั กาลท่ี ๔ ให้รอดพน้ จากการ
รุกรานดนิ แดน ล่าอาณานิคมของมหาอํานาจตะวนั ตก ยอมเสยี ดนิ แดนบางส่วนไป แต่คงรกั ษา
ราชอาณาจกั รเอาไวไ้ ด้

พระพุทธศาสนาได้มอี ิทธิพลต่อแนวคดิ และวิถีชีวิตของชาวไทยอย่างมาก การจดั การ
ศกึ ษาสมยั ก่อนไดอ้ าศยั วดั และวงั เป็นแหล่งการฝึกฝนอบรม นอกจากจะได้สตปิ ญั ญาแล้วยงั ไดร้ บั
การฝึกฝนอบรมความประพฤตทิ างศลี ธรรมจรยิ ธรรมด้วย ความรูต้ ้องคู่คุณธรรม คอื อุดมคตขิ อง
การศกึ ษา หากมวี ชิ าการแต่อยา่ งเดยี วอาจเป็นคนขาดศลี ไรธ้ รรมะ ไมม่ ใี ครคบหาสมาคมดว้ ย อุดม
คตขิ องการเป็นคนดแี ต่ก่อนคอื ‚คนดตี ้องมศี ลี ธรรม‛ แมว้ ่าปจั จุบนั จะกลายมาเป็น ‚คนดมี อี านาจ‛
หรอื ‚คนดมี สี ตางค‛์ แต่สุดทา้ ยกเ็ หน็ ยงั เรยี กรอ้ งหา ‚คนใจซอื่ มอื สะอาด‛ อยนู่ นั้ เอง

ชาวไทยแต่ก่อน ทําอะไรทย่ี งิ่ ใหญ่สวยงาม มกั จะอาศยั ศาสนธรรมเป็นหลกั เช่นการสรา้ ง
ศลิ ปะทส่ี วยทส่ี ุดกท็ ําถวายพระศาสนา ‚ดงั การสรา้ งพระพุทธชนิ ราช‛ หรอื จติ รกรรมฝาผนังทส่ี วย
ทส่ี ุด ส่วนใหญ่จะเป็นจติ รกรรมเกย่ี วกบั ศาสนาเขยี นเอาไวท้ ว่ี ดั ชมแลว้ ทําใหจ้ ติ ใจสงบเยอื กเยน็ นนั่
คอื ผลแห่งการปรบั ภมู ปิ ญั ญาเดมิ เขา้ กบั หลกั ศาสนา คนทม่ี กี ารศกึ ษาตามหลกั ภมู ปิ ญั ญา คอื ‚คนท่ี
ไดร้ บั การฝึกฝนพฒั นาให้รูจ้ กั แก้ปญั หา ดบั ทุกข์ ทําตนให้เป็นสุขได้ ต่อนัน้ กส็ ามารถทจ่ี ะแสวงหา
ความสุขประณีตยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป และสามารถเผ่อื แผ่ขยายความสุขแก่ผูอ้ ่นื ได้อย่างกว้างขวางออกไป
ดว้ ย‛ นนั่ คอื ตอ้ งเป็นคนเก่งและคนดใี นตวั บคุ คลคนเดยี วกนั กลา่ วไดว้ ่าพทุ ธศาสนาเป็นรากฐานแห่ง
ภมู ปิ ญั ญาไทย กไ็ มผ่ ดิ ไปจากขอ้ เทจ็ จรงิ

๔.๓ แนวคิดปรชั ญาเก่ียวกบั ภมู ิปัญญาไทย

Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination
encircles the world.‛ -Albert Einstein- ‚จนิ ตนาการสาคญั กว่าความรู้ เพราะความรนู้ นั้ มจี ากดั แต่
จินตนาการมีอยู่ทุกพ้ืนทีบ่ นโลก‛ -อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์- (นักวิทยาศาสตร์ทีย่ ิง่ ใหญ่ทีส่ ุดใน
ครสิ ตศ์ ตวรรษที่๒๐)

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

‚If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.‛ -Albert
Einstein- ‚ถา้ คณุ ไมส่ ามารถอธบิ ายสงิ่ ใดใหผ้ อู้ นื่ เขา้ ใจไดโ้ ดยง่าย นัน่ หมายความว่าตวั คุณเองยงั ไม่
เขา้ ใจมนั ดพี อ‛ (อลั เบริ ต์ ไอน์สไตน์)๘

เป็นท่ถี กเถียงกันในวงวิชาการของไทยมาช้านานว่า ‚ปรชั ญาไทยมหี รอื ไม่ ถ้ามี เป็น
อย่างไร? คนไทยทเ่ี ป็นนักปรชั ญามหี รอื ไม่ ถ้ามคี อื ใคร ‛ปญั หาน้ี ผเู้ ขยี นไดก้ ล่าวมาแต่ตน้ แลว้ ว่า
ปรชั ญา คอื แนวคดิ ในเร่อื งโลกและชวี ติ คนเราย่อมดําเนินตามหลกั คดิ หรอื อุดมคตขิ องตน อุดมคติ
ของใคร ก็เป็นปรชั ญาชวี ิตของผู้นัน้ คํากล่าวน้ี ดูจะเป็นเร่อื งเฉพาะ ไม่เป็นสากลแบบตะวนั ตก
หรอื ไม่เป็นระบบท่ยี อมรบั กนั ได้ อย่างไรก็ตาม ปรชั ญาไทย มแี น่นอน ทงั้ ปรชั ญาดงั้ เดมิ ของตน
และปรชั ญาท่ไี ดร้ บั ปรบั รากฐานมาจากพระพุทธศาสนา ความคดิ ทางศาสนาและปรชั ญาชวี ติ แบบ
พทุ ธ คอื มรดกทางวฒั นธรรมของไทย ซง่ึ บางทา่ นใหน้ ิยามความหมายของคาํ ‚มรดกวฒั นธรรม‛ ว่า
‚เป็นโครงสรา้ งทางสงั คม ขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมทยี่ ดึ ถอื เป็นแนวปฏบิ ตั ิ ทงั้ ในดา้ น
จรยิ ธรรมและสงิ่ อนั เป็นสุนทรยี ์ เช่น ศลิ ปะ การละคร ดนตรี สถาปตั ยกรรม และศาสนา ซงึ่ เป็นมรดก
ตกทอดมาแต่บรรพบรุ ษุ ”๙

จากทรรศนะทแ่ี สดงมา ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ พฒั นาการทางความเช่อื และการแสวงหาแนวทางชวี ติ
ทถ่ี ูกตอ้ งแก่ตนเองและสงั คมของชาวไทย องิ อาศยั หลกั ปรชั ญาเดมิ เป็นปรชั ญาชวี ติ แบบพราหมณ์
หรอื ฮนิ ดู ต่อมากลายรปู มาเป็นปรชั ญาหรอื มมุ มองชวี ติ แบบพระพุทธศาสนา บางอยา่ งเป็นเพยี งแต่
แนวคดิ หากจะเหมาเอาว่าแนวคิดท่ีสงั คมชาวไทยยอมรบั เป็นอุดมคติของสงั คมไทย นัน่ คือ
‚ปรชั ญาไทย‛ กอ็ าจจะถูกในระดบั หน่ึง แต่ชาวไทยทเ่ี ป็นนกั ปรชั ญาโดดเด่น ไดส้ รา้ งแนวคดิ ทเ่ี ป็น
ระบบ สามารถตงั้ สํานกั ปรชั ญาเอง อย่างนักปรชั ญาเมธชี าวกรกี ปรชั ญาเมธชี าวจนี ยงั ไม่พบเหน็
ชดั เจน

ปรชั ญาไทยมอี ยู่อย่างแน่นอน หากแต่ยงั ไม่อยู่ในรูปของระบบตามหลักวิชาการทาง
ปรชั ญา เป็นเหตุให้นักปรชั ญาคนไทยยงั ไม่เป็นท่ีรู้จกั กันอย่างเด่นชัด ส่งผลให้เยาวชน นิสิต
นักศึกษาไทย ไม่มีบุคคลตัวอย่างท่ีมีค่าควรท่ีพวกเขาจะยึดถือเป็นบุคคลในอุดมคติและ
ลอกเลยี นแบบ ในทางท่เี ป็นสาระเพ่อื จะไดค้ นท่เี ป็นสาระเม่อื พวกเขาเตบิ ใหญ่ขน้ึ มา การทค่ี นไทย
ขาดปรชั ญาไทยทเ่ี ป็นระบบไวศ้ กึ ษา เป็นสาเหตุหน่ึงทาํ ใหค้ นไทยมคี วามคดิ สบั สนไม่เป็นระบบ ไม่
รจู้ กั ตนเองบนพน้ื ฐานของความเป็นไทยอยา่ งแทจ้ รงิ ไม่รจู้ กั การจดั ขนั้ ตอนความคดิ ไมร่ วู้ ่าอะไรมา
ก่อนมาหลงั อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล...เม่อื สบั สน ก็ทําให้ความคดิ ไม่ชดั เจน จนไม่อาจคดิ ไดถ้ งึ
รากของความคดิ มองไมเ่ หน็ ต้นตอของปญั หา ไม่อาจหาวธิ แี กไ้ ขปญั หาและป้องกนั มใิ หเ้ กดิ ขน้ึ ได้
ซ้ําอีก ทงั้ เป็นการเพิ่มปญั หาให้สลบั ซบั ซ้อนยุ่งเหยิงยากท่ีจะหาทางแก้ไขได้ ย่ิงถ้าเป็นปญั หา
ระดบั ชาติ วกิ ฤตนิ ้ีอาจนําความล่มสลายมาส่ชู าตไิ ด้ อกี ประเดน็ หน่ึง เม่อื ปรชั ญาไทยทเ่ี ป็นระบบยงั

๘ อา้ งใน ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๔.
๙ ปรัชญาไทยมีจริงหรือไม่, [ออนไลน์], แหล่งข้อมูล : https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-
2/thai_philosophy/13.html [๔ สงิ หาคม ๒๕๕๘]

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ไมเ่ กดิ ขน้ึ การคน้ ควา้ เกย่ี วกบั ‚ไทยศกึ ษา‛ จงึ เป็นไปอยา่ งขาดทศิ ทาง แมก้ ารคน้ ควา้ นนั้ จะมคี ุณค่า
ในตวั เองสกั เพยี งใดก็ตาม เม่อื ขาดระบบปรชั ญารองรบั การส่อื ความหมายในระดบั สากลเพ่อื ให้
นักวชิ าการชาวต่างประเทศเขา้ ใจ ไทยศกึ ษาจรงิ ๆ จงึ ขาดหายไป และคนไทยยงั คงไดช้ ่อื ว่า คดิ
ระดบั สากลไม่เป็นอยู่นัน่ เอง...จงึ ถูกวจิ ารณ์ว่า เมอื งไทยขาดนักวชิ าการท่เี ก่ง ขาดนักบรหิ ารท่ี
สามารถ‛

ในทางตะวันออกจะแยกปรัชญาออกจากศาสนาได้ยาก เม่ือชาวไทยนับถือ
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจาํ ชาติ สง่ิ ใดทเ่ี ป็นปรชั ญาทางพระพุทธศาสนา สิ่งนัน้ คอื ปรชั ญา
ไทย หรอื ปรชั ญาไทยคอื ปรชั ญาแบบพุทธ ปรชั ญาพุทธเป็นการมองชวี ติ ตามความเป็นจรงิ เป็นสจั จ
นยิ ม (Realism) การแสวงหาความจรงิ ทางอภปิ รชั ญา(การเกดิ การสน้ิ สุด สงิ่ ลล้ี บั ) พระพุทธศาสนา
จะบา่ ยเบย่ี งไมย่ อมตอบ เพราะรแู้ ลว้ กแ็ ค่สนองความอยากรู้ มไิ ดช้ ่วยใหห้ ลุดพน้ จากความทุกข์ และ
วธิ กี ารแสวงหาความรแู้ บบพุทธปรชั ญา กม็ หี ลายวธิ ี อย่างน้อยจากประสบการณ์ตรง และจากการ
คดิ ไตรต่ รองวเิ คราะหแ์ ยกแยะ นนั่ แหละคอื ทม่ี าแหง่ ความรู้

ประเด็นท่จี ะกล่าวต่อไป ถือระบบปรชั ญาไทย แม้ไม่อาจจะระบุได้ว่า ปรชั ญาไทยเป็น
อย่างไรได้อย่างชดั เจน ดุจปรชั ญาตะวนั ตก แต่เม่อื นําเอาเอกลกั ษณ์และวถิ ีดํารงชวี ิตไทยมา
พจิ ารณาแลว้ พอจะเหน็ รอ่ งรอยแนวคดิ แบบไทยทเ่ี รยี กว่าปรชั ญาไทย ไดห้ ลายแบบ อย่างท่ี สนธิ ์
บางยข่ี นั และวธิ าน สุชวี คปุ ต์ สรปุ ได้ ๖ ดา้ นคอื ด้านอภิปรชั ญา คนไทยมองความจรงิ เป็นแบบทวิ
นิยม คอื มคี วามจรงิ ทงั้ สสารและจติ สําคญั พอกนั ต่อมาอาจจะหนักไปทางสสารมากกว่าทางจติ ใน
ด้านจริยศาสตร์ คนไทยนิยมทางสายกลาง แสวงหาความสุขส่วนตนและเสยี สละความสุขเพ่อื ผอู้ ่นื
ดว้ ย ระยะหลงั เน้นสสารนิยมมากกว่าจติ นิยม ด้านสุนทรียศาสตร์ เดมิ นิยมเสพความงามแบบ
ศลิ ปะไทย ต่อมาก็ค่อยผสมกลมกลนื กบั ศลิ ปะตะวนั ตก ในด้านสงั คม แบ่งเป็น ๒ พวก ในเมอื ง
ใหญ่แนวโน้มวถิ ชี วี ติ ปจั เจกแบบตะวนั ตก ในชนบทยงั คงเป็นสงั คมแบบเครอื ญาตเิ ออ้ื อาศยั อุปถมั ภ์
กนั ปจั จบุ นั ดจู ะเลยี นแบบสงั คมเมอื งต่างคนต่างอยมู่ ากขน้ึ ในด้านการเมือง ยงั คงนิยมแบบมผี นู้ ํา

โดยไม่คํานึงถงึ ระบบการได้มาสุดแต่สถานการณ์ จงึ เกดิ ผู้นําในสภาวะจาํ เป็นอย่างทเ่ี หน็ กนั เสมอ
ในทางเศรษฐกจิ คนไทยสมยั ก่อน ต่างคนต่างทําแบบปจั เจกชน ไม่ค่อยนิยมแบบชุมชนนิยมในรปู
สหกรณ์๑๐

ผู้เขยี นเห็นว่ากว่าจะแก้ระบบคิดเศรษฐกิจแบบครอบครวั การหวงวชิ าของคนไทยได้
ประเทศไทยก็เสยี โอกาสการพฒั นามานานนับหลายศตวรรษ เม่อื ประมาณ ๖๐ ปี จงึ พบแนวคดิ
สหกรณ์ ทา้ ยทส่ี ุด เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๗ จงึ มกี ารรวมกลุ่มเศรษฐกจิ สบื สานถ่ายทอดต่อยอดเรยี นรวู้ ชิ า
ใหก้ นั ทเ่ี รยี กว่าการรวมกลุ่ม ๑ ตําบล ๑ ผลติ ภณั ฑ์ (OTOP) ขน้ึ มาในสมยั รฐั บาล นําโดย พ.ต.ท.
ดร. ทกั ษณิ ชนิ วตั ร นายกรฐั มนตรี คนท่ี ๒๓ ของประเทศไทย

๑๐ วธิ าน สุชวี คุปต์ และสนธิ บางย่ขี นั , ปรชั ญาไทย, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั
รามคาํ แหง, ๒๕๔๓), หน้า ๔๓-๔๔.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เราอาจกล่าวไดว้ ่า ‘ปรชั ญาไทย’ เป็นความพยายามของนกั วชิ าการกลุ่มหน่ึงซง่ึ เหน็ ว่าท่ี
อ่นื ไม่ว่าจะเป็นตะวนั ตก จนี อนิ เดยี ก็ต่างมปี รชั ญากนั ทงั้ นัน้ ประเทศไทยของเราจงึ ควรมปี รชั ญา
ไทยบ้าง แต่ประเทศไทยมปี รชั ญาไทยไหม และในประเทศไทยมปี รชั ญาหรอื ไม่นัน้ เป็นคําตอบท่ี
ตอบไดไ้ ม่ง่าย บางคนเหน็ ว่าไม่มี แต่บางคนกเ็ หน็ ว่ามี๑๑ ท่านทเ่ี หน็ ว่ามี กย็ งั มที ศั นะทแ่ี ตกต่างกนั
อกี ว่ามแี ลว้ ควรเป็นอย่างไร ถงึ ต่างกนั ปจั จุบนั ปรชั ญาไทยก็กลายเป็นวชิ าหน่ึงในระดบั อุดมศกึ ษา
ไปแลว้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในบางมหาวทิ ยาลยั เช่น มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง เป็นตน้ ไดก้ ําหนดให้
ปรชั ญาไทยเป็นวชิ าบงั คบั สาํ หรบั หลกั สตู รปรญิ ญาตรขี องสาขาวชิ าปรชั ญาอกี ดว้ ย

แรกเรม่ิ ทม่ี หาวทิ ยาลยั รามคําแหงมวี ชิ าปรชั ญาไทย ผูส้ อนคอื วธิ าน สุชวี คุปต์ และ สนธ์ิ
บางยขี่ นั ไดเ้ ขยี นหนงั สอื ปรชั ญาไทยขน้ึ โดยทผ่ี ูแ้ ต่งทงั้ สองไดร้ ะบุเป้าหมายไวอ้ ย่างชดั เจนว่า เขยี น
ขน้ึ เพอ่ื เป็นตําราใหน้ กั ศกึ ษาอ่าน เพ่อื สง่ เสรมิ เอกลกั ษณ์ความคดิ แบบไทย เพอ่ื เป็นปรชั ญาประยกุ ต์
ในชวี ติ ประจาํ วนั และเพ่อื แก้คําครหาว่าประเทศไทยไม่มปี รชั ญาเป็นของตวั เอง เน่ืองจากหนังสอื
เล่มน้ถี กู จดั พมิ พค์ รงั้ แรกใน พ.ศ. ๒๕๒๕ และไม่พบหนงั สอื ปรชั ญาไทยทถ่ี ูกจดั พมิ พก์ ่อนหน้าน้ี จงึ
อาจกลา่ วไดว้ ่าหนงั สอื เลม่ น้เี ป็นหนงั สอื ปรชั ญาไทยเล่มแรก ดงั นนั้ จงึ เป็นเรอ่ื งน่าสนใจทจ่ี ะยอ้ นกลบั
มาดฐู านคดิ ในการทาํ ปรชั ญา (philosophize) น้วี า่ เป็นอยา่ งไร

ดงั นัน้ ในตําราเล่มน้ีจงึ มุ่ง (ก) ตอบคําถามว่าปรชั ญาไทยคอื อะไร (ข) สง่ิ ทเ่ี ช่อื กนั ว่าเป็น
ปรชั ญาไทยแทจ้ รงิ แลว้ เป็นปรชั ญาจรงิ หรอื ไม่ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในการทาํ ปรชั ญาไทยผ่านมุมมอง
เป็นปรชั ญาจรงิ (ปรชั ญาบรสิ ุทธ)ิ ์ หรอื เป็นเพียงกิจกรรมท่คี วรอยู่ในสาขาวิชาอ่ืนมากกว่าอาทิ
ประวัติศาสตร์หรือไทยคดีศึกษา เป็ นต้น ซ่ึงคําถามเช่นน้ีถือเป็นหน่ึงในปญั หาปรัชญา
(philosophical problem) และ (ค) ควรนําปรชั ญาไทยมาเป็นฐานคดิ ในการทําปรชั ญาไทยอ่นื ๆ
หรอื ไม่

ปรชั ญาไทยกินพลความกว้างขวางและลึกซ้ึงแฝงด้วยมุมมองในหลากหลายมติ ิ เช่น
การศกึ ษาปรชั ญาไทยจะบรรยายไปตามแนวปรชั ญาประยุกต์ เพ่อื จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ หลกั ความคดิ
หรอื หลกั ความเช่อื ของคนไทยอนั เป็นแก่นของปรชั ญาไทย‛ หากพจิ ารณาตามทศั นะดงั กล่าวจะ
พบว่า ในแง่น้ีปรชั ญาไทยคือความคิดความเช่ือของคนไทย การศึกษาปรชั ญาไทยจงึ เป็นการ
บรรยายความคดิ เหล่านัน้ ไม่ได้เป็นการแสวงหาความจรงิ แบบปรชั ญาตะวนั ตก ไม่ได้มุ่งแสดงให้
เห็นถึงข้อถกเถียงในปญั หาปรชั ญาต่างๆเม่ือปรชั ญาไทยคือความคิดความเช่ือของคนไทยจึง
จาํ เป็นตอ้ งนิยามคาํ ว่า ‘คนไทย’ ก่อน โดยเรม่ิ จากการสํารวจทฤษฎเี กย่ี วกบั ถน่ิ กําเนิดของคนไทย
และขอ้ โตแ้ ยง้ ทฤษฎดี งั กลา่ ว แต่เขากเ็ ห็นว่าไมค่ วรนําทฤษฎเี หล่านนั้ มากําหนดความหมายของคน
ไทย เพราะทฤษฎเี หล่านัน้ พสิ ูจน์ไม่ได้ เพราะดนิ แดนของประเทศไทยในอดตี ไม่ได้มขี อบเขตท่ี
แน่นอนแบบในปจั จบุ นั และคนเชอ้ื ชาตติ ่างๆ กไ็ ดอ้ พยพยา้ ยถน่ิ กนั ไปมาจนทําใหไ้ ม่ทราบแน่ว่า คน
ไหนเป็นคนไทยหรอื คนไหนเป็นคนเชอ้ื ชาตอิ ่ืน ต่อมาเขาได้เสนอว่าให้ใช้เอกลกั ษณ์ของคนไทย

๑๑ กรี ติ บญุ เจอื , ชดุ ปรชั ญาและศาสนาเซนตจ์ อหน์ เล่มแปด : ประวตั ิปรชั ญาไทยฉบบั บุกเบิก, (กรุงเทพมหานคร :
บรษิ ทั ฐานบณั ฑติ จาํ กดั , ๒๕๔๘), อา้ งใน ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๖.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แสดงความเป็นคนไทย โดยเอกลกั ษณ์ของคนไทยน้ีไมใ่ ช่สภาพทางรา่ งกายเช่น สผี วิ หรอื โครงสรา้ ง
ร่างกายแต่เป็นลกั ษณะทางจติ วทิ ยา (psychological characteristic) และลกั ษณะทางวฒั นธรรม
(cultural characteristic) โดยทล่ี กั ษณะทางจติ วทิ ยามที งั้ หมด ๑ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

๑. บุคลกิ ภาพ (personality) ไดแ้ ก่กริ ยิ าท่าทางท่สี ง่าผ่าเผย ความมนั่ ใจตวั เอง เคารพ
ผใู้ หญ่

๒. ทศั นคติ (attitude) ไดแ้ ก่ ทศั นคตแิ บบกลางๆ ทไ่ี มย่ นื ยนั หรอื ปฏเิ สธขา้ งใดขา้ งหน่ึง

๓. ความสนใจ (interest) ไดแ้ ก่ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ซง่ึ จะสนุกกบั อะไรขน้ึ อยกู่ บั
เพศและวยั ของคนๆ นนั้

๔. การปรบั ตวั (adaptation) ไดแ้ ก่ การปรบั ตวั เขา้ กบั สถานการณ์ใหมไ่ ดง้ ่ายส่วนลกั ษณะ
ทางวฒั นธรรมมที งั้ หมด ๔ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

(๑) ภาษา ไดแ้ ก่ ภาษาไทย

(๒) ค่านยิ ม ไดแ้ ก่ การเคารพผใู้ หญ่และการใหค้ วามสาํ คญั กบั เจตนามากกว่าการกระทาํ
(๓) ความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลในตระกูล ได้แก่ การเคารพนับถือผู้ใหญ่ การรบั ฟงั
คาํ แนะนําจากผใู้ หญ่

(๔) ความรกั ไดแ้ ก่ การไมน่ ิยมแสดงออกเรอ่ื งความรกั ไมน่ ิยมนําความรกั มาเปิดเผย การ
กําหนดนิยามคนไทยเช่นน้ีทําใหค้ ําว่า ‘ไทย’ ในปรชั ญาไทยต่างจากคําว่า ‘ตะวนั ตก’ ในปรชั ญา
ตะวนั ตกหรอื คําว่า ‘จนี ’ ในปรชั ญาจนี คําว่าไทย คอื กลุ่มคนท่มี เี อกลกั ษณ์คนไทย แต่คําว่า
ตะวนั ตก และคําว่าจนี จะหมายถึงนักปรชั ญาแต่ละคนท่อี ยู่ในบรเิ วณนัน้ ๆ เช่น เพลโตสําหรบั
ปรชั ญาตะวนั ตก ขงจอ้ื สาํ หรบั ปรชั ญาจนี ๑๒

นอกจากนนั้ เอกลกั ษณ์ของคนไทย นับว่าเป็นเอกลกั ษณ์และอตั ลกั ษณ์ของคนไทย เพราะ
เป็นสงิ่ ทาํ ใหค้ นทงั้ หลายคดิ ไดว้ า่ คนเหลา่ นนั้ น่าจะสงั เกตลกั ษณะบางอย่างของคนทพ่ี บมปี ฏสิ มั พนั ธ์
กนั แล้วจงึ เรยี กออกมาเป็นคาํ พูด ถ้าเป็นเช่นนัน้ ก็แสดงว่าเอกลกั ษณ์ของคนไทยได้อนุมานมาจาก
การสงั เกตลกั ษณะรว่ มกนั ของคนไทย ต่อมาวธิ าน และสนธิ ์ไดน้ ําเอกลกั ษณ์ของคนไทยไปสรุปเป็น
ปรชั ญาไทยทงั้ หมด ๖ ดา้ นดงั น้ี

๑. ในดา้ นอภปิ รชั ญา คนไทยมคี วามเช่อื แบบทวนิ ิยม (dualism) คอื มคี วามเช่อื ว่าทงั้ จติ
และสสารต่างมคี วามสาํ คญั ดว้ ยกนั แต่แนวโน้มของทวนิ ิยมค่อยเปลย่ี นแปลงไปทลี ะน้อยๆ ในสมยั
โบราณ คนไทยให้ความสําคญั แก่จติ มากกว่าวตั ถุ ต่อมาค่อยๆ ให้ความสําคญั แก่วตั ถุเพิ่มข้นึ
จนกระทงั่ ปจั จบุ นั คนไทยส่วนหน่ึงใหค้ วามสําคญั กบั วตั ถุมากกว่าจติ และอกี ส่วนหน่ึงใหค้ วามสาํ คญั
กบั จติ มากกว่าวตั ถุ ดงั นนั้ ภาวะขดั แยง้ จงึ เกดิ ขน้ึ แต่อย่างไรกต็ าม คนไทยยงั คงมคี วามคดิ แบบ ทวิ
นิยม เพยี งแต่จะตอ้ งจดั สดั สว่ นความสาํ คญั ของจติ และวตั ถุใหเ้ หมาะสมเท่านนั้

๑๒ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๘.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๒. ในด้านจรยิ ศาสตร์ คนไทยนิยมทางสายกลางคอื การแสวงหาความสุขส่วนตนตาม
สมควรและเสยี สละความสุขเพ่อื คนอ่ืนบ้าง สําหรบั จุดหมายชวี ิต บางคนก็มุ่งจุดหมายสูงสุดคอื
นิพพาน บางคนก็มุ่งความสุขในสวรรค์หรอื ในชาตหิ น้า ทงั้ สองพวกน้ีมคี วามเช่อื หนักในจติ นิยม
บางคนพยายามแสวงหาความสุขอย่างเตม็ ทใ่ี นปจั จบุ นั ซง่ึ พวกน้ีความเช่อื หนกั ไปในทางสสารนิยม
ความเช่อื เช่นน้ีเป็นลกั ษณะทวั่ ไปของทุกสงั คม เพยี งแต่จาํ นวนผูเ้ ช่อื ฝ่ายไหนจะมากกว่ากนั เท่านัน้
ปจั จบุ นั น้ีคนไทยมคี วามเช่อื ทางสสารนิยมเพม่ิ ขน้ึ และทวมี ากขน้ึ ตามกาลเวลา แต่เม่อื ถงึ จุดอม่ิ ตวั
ความเชอ่ื อาจหนั หลบั ไปสจู่ ติ นยิ มอกี

๓. ในดา้ นสุนทรยี ศาสตร์ แต่เดมิ คนไทยนิยมศลิ ปะแบบไทย เมอ่ื อารยธรรมตะวนั ตกแพร่
เขา้ มามากขน้ึ คนไทยยอมรบั ใหเ้ ขา้ กบั สงั คมไทย ดงั นัน้ ศลิ ปะในปจั จุบนั จงึ เป็นแบบผสมกลมกลนื
และเปลย่ี นแปลงไปเรอ่ื ยๆ

๔. ในดา้ นสงั คม สงั คมเมอื งใหญ่ มแี นวโน้มไปทางสงั คมตะวนั ตกคอื ต่างคนต่างอยู่ เพราะ
การสงั สรรคเ์ ฉพาะหน้า คนต่อคนมคี วามจาํ เป็นน้อยลงเพยี งแต่อาศยั บรกิ ารสาธารณะทร่ี ฐั และสงั คม
จดั ให้มคี วามสะดวกสบายแล้ว ส่วนสงั คมชนบทยงั มลี กั ษณะเป็นสงั คมไทยแบบเดิม แต่ค่อยๆ
เปลย่ี นแปลงไปเช่นเดยี วกนั สง่ิ ท่เี ราตอ้ งคดิ และลงมอื ทาํ กค็ อื เราจะควบคุม ความเปลย่ี นแปลงของ
สังคมได้อย่างไร จึงจะเป็นไปในทิศทางท่ีพึงปรารถนาและสอดคล้องกันกับความเป็นมาของ
เอกลกั ษณ์ของไทย

๕. ในด้านการเมอื ง คนไทยเคยอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตรยิ ์ ทงั้ ในระบบ พ่อ
เมอื งและระบบเทวสทิ ธมิ ์ าเป็นเวลาชา้ นาน คนไทยจงึ ขาดผู้นําไม่ได้ มกั ปล่อยความรบั ผดิ ชอบใน
การดําเนินกจิ กรรมทางการเมอื งให้แก่ผู้นํา ประชาชนไม่ยุ่งเก่ยี วด้วย แต่ในเม่อื ผู้นําๆ ไปผดิ หรอื
ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน ประชาชนจะมปี ฏกิ ิรยิ าเป็นกลุ่มๆ ไม่ได้ผนึกกําลงั เป็น
อนั หน่ึงอนั เดยี วกนั แมใ้ นสมยั ปจั จุบนั ประชาชนจะมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเมอื งมากข้นึ แต่ก็ยงั
ตอ้ งการผนู้ ําและผนู้ ํามกั เกดิ ขน้ึ เองโดยธรรมชาตไิ มใ่ ชไ่ ดร้ บั การเลอื กตงั้ ขน้ึ ในทํานอง ‚กรุงศรอี ยธุ ยา
ไมส่ ้นิ คนด‛ี

๖. ในทางเศรษฐกจิ คนไทยดาํ เนนิ การทางเศรษฐกจิ แบบปจั เจกชน (individualism) มาแต่
เดมิ ไมช่ อบดาํ เนินการแบบชุมชนนยิ ม (collectivism) จงึ ตอ้ งมกี ารเผยแพร่และปลกู ฝงั ความคดิ แบบ
ชุมชนนิยมสมัยปจั จุบัน แม้กระนัน้ ก็ยังเปล่ียนความคิดเดิมจากปจั เจกชนนิยมไม่ได้มากนัก
เพราะฉะนนั้ สงั คมไทยจงึ กา้ วไปสรู่ ะบบเศรษฐกจิ แบบสหกรณ์หรอื แบบสงั คมนยิ มไดช้ า้ ‛๑๓

จะเหน็ ไดว้ ่าปรชั ญาทงั้ ๖ ดา้ นนนั้ สอดคลอ้ งกบั หลกั การพน้ื ฐานทว่ี างไวว้ ่า เป็นการศกึ ษา
ความคดิ ความเช่อื ของคนไทย ลกั ษณะปรชั ญา ๖ ด้านท่อี อกมาก็เน้นไปท่คี นไทยมคี วามเช่อื ต่อ
เร่อื งๆ หน่ึงว่าอะไร ในอนาคตมแี นวโน้มความเช่ือไปทางด้านไหน และได้รบั อิทธิพลมาจาก
อะไรบา้ ง เช่นลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์ มรดกทางวฒั นธรรมของไทย และอารยธรรมของจนี อนิ เดยี

๑๓ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๓๘-๓๙.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ขอมและโลกตะวนั ตก เป็นปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อความคดิ ความเช่อื ของคนไทย โดยปจั จยั น้ี-เองทําให้
ปรชั ญาไทยจงึ มลี กั ษณะกลางๆ และผสมผสานกนั ระหว่างดา้ นซา้ ยดา้ นขวา ตวั อย่างของลกั ษณะ
กลางๆ คอื ไม่เป็นจติ นิยม ไม่เป็นสสารนิยม แต่เป็นทวนิ ิยมท่ยี อมรบั ทงั้ ส่วนท่เี ป็นจติ และสสาร
นอกจากน้ีลกั ษณะกลางๆ ดงั กล่าวยงั รวมถงึ มรดกทางวฒั นธรรมของอารยธรรมของจนี อนิ เดยี
ขอมและโลกตะวนั ตกท่ถี ือเป็น ‘ความคิดของชนชาติอืน่ ทไี่ ทยยอมรบั ’ ความคดิ น้ีได้ผสมกับ
‘ความคดิ ของไทยแท้’ จนกลายมาเป็นปรชั ญาไทย อยา่ งไรก็ดี วธิ านและสนธิ ์ ไม่ไดแ้ ยกความคดิ
ของไทยแทอ้ อกจากปรชั ญาไทยออกมาอย่างชดั เจนแต่กส็ ามารถวเิ คราะหไ์ ด้ เช่นหากพจิ ารณาจาก
ปรชั ญาไทยในด้านท่ี ๖ ความคดิ ของไทยแท้คอื ความคดิ เก่ียวกบั เศรษฐกจิ แบบปจั เจกชน ส่วน
แนวคิดหลงั จากผสมผสานมาแล้วคือความคิดเก่ียวกับเศรษฐกิจแบบชุมชน หรอื พจิ ารณาจาก
ปรชั ญาไทยในด้านท่ี ๒ จะไม่พบว่าความคดิ ไทยแท้คอื อะไร แต่พบว่าคนไทยสมยั โบราณมคี วาม
เช่อื เรอ่ื งนิพพาน สาเหตุทไ่ี มใ่ ชค่ วามคดิ ไทยแท้ เพราะพระพทุ ธเจา้ ไมใ่ ช่คนไทยแต่เป็นคนอนิ เดยี

นอกจากปรัชญา ๖ ด้านท่ีได้กล่าวไปแล้วปรัชญาไทยในด้านอ่ืนๆ อีกเช่นปรัชญา
ความสําเร็จ และปรัชญาแห่งความรัก เป็นต้น ในเร่ืองของปรชั ญาแห่งความสําเร็จ กล่าวว่า
‚ความสําเร็จในชวี ติ เปรยี บได้กับการเดินทางไปสู่ท่ใี ดท่หี น่ึง การเดินทางนัน้ จะต้องมจี ุดเรมิ่ ต้น
จดุ มงุ่ หมายปลายทาง และวธิ กี ารจะเดนิ ทางไปใหถ้ งึ จดุ หมายฉนั ใด ปรชั ญาแห่งความสําเรจ็ กฉ็ ันนนั้
กล่าวคอื ต้องมหี ลกั การ วธิ กี าร และจุดมุ่งหมาย‛ นอกจากนัน้ ยงั มแี รงบนั ดาใจคอื ความร่ํารวย
อํานาจ ความมชี ่อื เสยี ง ความสุขและความรู้เป็นจุดมุ่งหมายของความสําเรจ็ คนแต่ละคนต้องตงั้
จุดมุ่งหมายของตนเอง ไม่ควรให้ผู้อ่ืนกําหนดจุดมุ่งหมายของตนเอง การตงั้ จุดมุ่งหมายจะต้อง
คํานึงถงึ หลกั การอนั สรุปไดว้ ่าเป็นหลกั สปั ปุรสิ ธรรม ๗ ของพระพุทธศาสนาและมวี ธิ กี ารทจ่ี ะบรรลุ
ถงึ เป้าหมายได้แก่หลกั อทิ ธบิ าท ๔ ของพระพุทธศาสนาและวธิ กี ารอ่นื ๆ เช่น หมนั่ ศึกษาค้นคว้า
รกั ษาสุขภาพ เป็นตน้

รองศาสตราจารย์ ดร.จนิ ดา จนั ทรแ์ กว้ ไดอ้ ธบิ ายแนวคดิ เกย่ี วกบั ปรชั ญาไทยไวว้ ่า๑๔

สมยั เมอ่ื เรม่ิ เรยี นปรชั ญา ผเู้ ขยี นเองกส็ งสยั เป็นนกั เป็นหนาว่าชาตไิ ทยเราน้ี จะมปี รชั ญา
กบั เขาบ้างหรอื ไม่ เพราะเม่อื เรยี นปรชั ญาตะวนั ออก เราก็มโี อกาสได้เรยี นปรชั ญาอินเดีย จนี
ญป่ี นุ่ ตลอดถงึ ฟิลปิ ปินส์ แต่ไม่ยกั มปี รชั ญาไทยรวมอย่ดู ว้ ยเลย ครนั้ จะสรุปว่า ปรชั ญาไทยเรานนั้
คงไม่มแี น่ กย็ งั ไม่สนิทใจทจ่ี ะรบี สรุปลงไปอยา่ งนนั้ เพราะชาตทิ ร่ี วมตวั เป็นปึกแผนเช่นชาตไิ ทยเรา
น้ีจะไม่มนี ักปรชั ญาหรอื นักคดิ มาเกดิ บ้างเชยี วหรอื ตลอดระยะเวลาเกอื บพันปีน้ีบรรพบุรุษของเรา
ทา่ นจะอยกู่ นั อยา่ งเงยี บเชยี บ ไมย่ อมคดิ ไมย่ อมคน้ ควา้ ในสงิ่ ทเ่ี รยี กกนั วา่ ‚ปรชั ญา‛ กนั บา้ งเลยหรอื
สาํ หรบั ทศั นะของผเู้ ขยี น ขอยนื ยนั ว่ามแี น่ แต่อาจจะตอ้ งใชเ้ วลาอกี สกั หน่อย เพราะนิสยั คนไทยเรา
นนั้ ชอบถ่อมตนมอี ะไรดกี ไ็ มอ่ ยากจะโออ้ วดใคร กด็ แู ต่ศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามคําแหงนนั่ ปะไร ขนาดเรา
เดนิ เหยยี บย่าํ มาหลายรอ้ ยปีเรากไ็ ม่อยากจะคุยว่าเรากม็ ศี ลิ าจารกึ เหมือนกนั จนฝรงั่ อดรนทนอยู่

๑๔ รศ.ดร.จนิ ดา จนั ทร์แกว้ , เหลือบมองปรชั ญาไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,
๒๕๒๗), หน้า ๑๓๔-๑๔๑.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ไม่ได้ เลยต้องมาอ่านให้โลกรู้เสยี หน่อย นัน่ แหละชาวโลกจงึ ได้รู้ว่าชาตไิ ทยเราก็มขี องดีอยู่บ้าง
เหมอื นกนั แต่เรอ่ื งปรชั ญาไทยเราน้ี เราจะรอใหฝ้ รงั่ มาช่วยเปิดเผยอกี ครงั้ กระนนั้ หรอื หรอื ว่าเรา
จะเลกิ คดิ ถ่อมตนกนั เสยี ทนี ่าจะลองขยบั คดิ กนั ดบู า้ งเป็นไร

บางท่านให้เหตุผลอย่างน่าฟงั เหมอื นกนั ว่าชาตไิ ทยเราน้ีเหน็ ทจี ะไม่มปี รชั ญาแน่ เน่ือง
ดว้ ยถน่ิ ทอ่ี าศยั อยู่ เป็นดนิ แดนทอ่ี ุดมสมบูรณ์มาเกอื บทุกยุคทุกสมยั จนได้สมญั ญาว่า ‚แหลทอง‛
ความอุดมสมบรู ณ์ชนิด ‚ในน้ามปี ลา ในนามขี า้ ว‛ นนั้ ยากนักทจ่ี ะผลติ นกั คดิ หรอื นักปรชั ญาขน้ึ มา
ได้ ด้วยว่าธรรมชาตขิ องคนเรานัน้ จะยอมตอบสนองธรรมชาตแิ วดล้อมในกรณีท่จี ําเป็นเท่านัน้
เมอ่ื ธรรมชาตแิ วดลอ้ มสะดวกสบาย คนเรากไ็ มจ่ าํ เป็นจะตอ้ งดน้ิ รนมาก หรอื คดิ แก้ปญั หาใหม้ ากแต่
อยา่ งใด เรากเ็ ลยมองไมเ่ หน็ ความจาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งพฒั นาในเรอ่ื งปรชั ญาหรอื เรอ่ื งคลา้ ยๆ กนั น้ีขน้ึ มา
เราจะคดิ หรอื จะทํา เท่าทเ่ี รามคี วามจาํ เป็นหรอื ถูกธรรมชาตแิ วดลอ้ มบงั คบั ใหค้ ดิ หรอื ใหท้ ําเท่านัน้
แมแ้ ต่คําพงั เพยของไทยทว่ี ่า “กรงุ ศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” ก็ยนื ยนั เรอ่ื งน้ีได้ดอี ยู่ คอื ถา้ เกดิ ความ
ว่นุ วายอยา่ งหนกั ขน้ึ คราวใด กย็ อ่ มจะมคี นดมี าช่วยกสู้ ถานการณ์ไวไ้ ดเ้ สมอ แต่ถ้ายงั ไมม่ ปี ญั หาขน้ึ
ถงึ ขนั้ รุ่งแรง คนดขี องศรอี ยุธยาก็ย่อมจะหลบอยหู่ ลงั ฉากไปพลางก่อน อนั ความสะดวกสบายหรอื
ความอุดมสมบรู ณ์ อาจกลบั กลายเป็นความเศรา้ ในภายหลงั กไ็ ดป้ จั จุบนั ทเ่ี มอื งไทยเราตอ้ งรวมอย่ใู น
กล่มุ ของประเทศดอ้ ยพฒั นา กน็ ่าจะเป็นเพราะความอุดมสมบรู ณ์ในอดตี ดว้ ยประการหน่ึงเหมอื นกนั
อยา่ งไรกด็ ี ในเร่อื งการพฒั นา มปี จั จยั หลายๆ อยา่ งรวมอย่ดู ว้ ย แมแ้ ต่ชาตแิ ละเผ่าพนั ธุข์ องบุคคลก็
มสี ว่ นเสรมิ สรา้ งในเรอ่ื งน้เี ชน่ เดยี วกนั

ประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทยเราก่อนนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เรากพ็ อมองออกว่าเรามหี ลกั ศาสนา
อยู่ก่อนแล้วเหมอื นกนั ข้อสนั นิษฐานและข้อเทยี บเคยี งในเร่อื งน้ี ก็คอื ชนเผ่าชาวเขาต่างๆ ท่ยี งั
หลงเหลอื อยนู่ นั่ เอง เราคงจะนบั ถอื ผปี ระเภทต่างๆ มากมาย สง่ ใดทเ่ี ราหาคาํ อธบิ ายไม่ได้ เรากห็ ยบิ
โยนใหเ้ ป็นเร่อื งของผไี ป หรอื มฉิ ะนนั้ เรากจ็ ะสรา้ งเป็นนิทานทอ้ งถนิ่ จนกลายเป็นนิทานปรมั ปรา
ขน้ึ มาในปจั จุบนั เช่นเร่อื งตาม่องล่าย เป็นต้น ต่อมาเมอ่ื เราได้รบั อทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์และ
พระพุทธศาสนา เราก็สรา้ งเรอ่ื งราวใหส้ อดคลอ้ งต้องกนั ขน้ึ ระหว่างเรอ่ื งราวท่มี เี ค้าในทางศาสนา
กบั ปรากฏการณ์ทเ่ี ราอธบิ ายไม่ไดใ้ นตอนน้ีเรามเี ร่อื งราวนิทานชาวบา้ นมากขน้ึ อกี เช่นเรอ่ื งเมขลา
กบั รามสรู เร่อื งปลาอานนท์หนุนโลก และ ฯลฯ ตามลกั ษณะทว่ี ่ามาอย่างย่อๆ น้ีมองตามแนวของ
ปรชั ญาแล้วก็เป็นการคิดค้นหาคําตอบเก่ียวกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ท่ีคนเราไม่เข้าใจ
เชน่ เดยี วกนั และการทเ่ี ราตอ้ งสรา้ งเรอ่ื งราวต่างๆ ขน้ึ กเ็ พอ่ื อธบิ ายปรากฏการณ์ดงั กล่าวนนั้ นนั่ เอง
และนัน่ กค็ อื เราไดพ้ ฒั นาปรชั ญาขน้ึ มาแลว้ ดว้ ย เรยี กให้โก้หน่อยกว็ ่าบรรพบุรุษของเรา ก็เป็นนัก
อภปิ รชั ญาตวั ยงอย่เู หมอื นกนั พอถงึ ยุคต่อมา ความคดิ ความอ่าน ความเขา้ ใจต่อโลกและชวี ติ ก็
พฒั นาขน้ึ เรอ่ื ยๆ ความคดิ คน้ ทางปรชั ญากป็ ระณตี ขน้ึ และมเี หตุผลสอดคลอ้ งกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ มากขน้ึ
ประกอบกบั ได้ยอมรบั นับถอื ปรชั ญาทางพระพุทธศาสนา ความคดิ เหน็ และทศั นะต่างๆ ท่แี สดง
ออกมา จงึ ออกมาในรปู ของพุทธปรชั ญา อย่างทเ่ี ราทราบจากวรรณคดตี ่างๆ ในอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั
นัน่ แหละ ความจรงิ นักปรชั ญาชาตไิ ทยเรา กม็ คี วามคดิ ในทางปรชั ญาท่แี หลมคมและลกึ ซ้งึ ไม่แพ้

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ชาตอิ ่นื ใดเหมอื นกนั จะเหน็ ไดจ้ ากคําพงั เพยต่างๆทร่ี จู้ กั กนั ดที วั่ ๆ ไป ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความรแู้ ละ
ความเข้าใจ ตลอดจนถงึ ประสบการณ์ในชีวติ อย่างลึกซ้งึ โดยเฉพาะคําผญาของภาคอีสานนัน้ มี
ลกั ษณะและบรรยากาศแบบไทยๆ นบั ว่าเป็นเอกลกั ษณ์ทเ่ี ราควรจะภาคภมู ใิ จโดยทวั่ กนั แท้

อยา่ งไรกด็ ี เน่อื งจากอทิ ธพิ ลคาํ สอนในทางพระพุทธศาสนามลี กั ษณะสอดคลอ้ งตอ้ งกนั กบั
แนวคดิ ปรชั ญาแบบไทยๆ มากท่สี ุดบรรพบุรุษของเราจงึ ได้ยดึ แนวพุทธปรชั ญา เป็นแนวพฒั นา
ปรชั ญาของตนอันน้ีอาจจะเป็นเพราะว่า ท่านเหล่านัน้ ได้ตระหนักแน่ว่า พุทธปรัชญาเท่านัน้
เพยี งพอสาํ หรบั ชวี ติ และจุดหมายปลายทาง แมป้ ญั หาทางอภปิ รชั ญา ทอ่ี ธบิ ายโดยพุทธปรชั ญา ก็
เพยี งพอสาํ หรบั ความรใู้ นเรอ่ื งโลกน้จี กั รวาลน้ี และการดาํ เนินชวี ติ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั กฎของสากล
จกั รวาลได้ อภปิ รชั ญา(หรอื Meataphysics) ของปรชั ญาไทยทม่ี ชี ่อื เสยี งทส่ี ุด กน็ ่าจะไดแ้ ก่หนังสือ
ไตรภูมพิ ระร่วง หรอื เตภูมกิ ถา ซ่งึ เป็นพระราชนิพนธข์ องพระมหาธรรมราชาลไิ ทย แต่อย่างไรกด็ ี
เน่อื งจากพทุ ธปรชั ญาใหค้ วามสาํ คญั แก่จรยิ าศาสตรม์ ากกว่าปรชั ญาแขนงอ่นื ๆ ปรชั ญาไทยเราส่วน
ใหญ่จงึ เป็นเร่อื งของจรยิ ธรรมเป็นเร่อื งของความประพฤติ และแนวทางแห่งชวี ติ มากกว่าอย่างอ่นื
แมก้ ารอธบิ ายอภปิ รชั ญาหรอื จติ วทิ ยา (เช่นอย่างคมั ภรี พ์ ระอภธิ รรม) กม็ จี ดุ หมายเพ่ือจรยิ ศาสตร์
มากกว่าศาสตรอ์ ่นื ๆ ดงั นนั้ ตลอดระยะเวลาอนั ยาวนาน ผลงานทน่ี ักปรชั ญาชาวไทยไดผ้ ลติ ขน้ึ จงึ
เป็นเรอ่ื งของจรยิ ธรรม อนั ดาํ เนินไปตามแนวของพุทธปรชั ญาทุกอย่าง และจรยิ ศาสตรน์ นั้ เล่า กเ็ ป็น
ศาสตรท์ เ่ี ก่ยี วกบั ความประพฤตขิ องคนเราเอง เป็นศาสตรท์ ่วี ่าดว้ ยความประพฤตทิ ่ีดหี รอื ถูกต้อง
และทผ่ี ดิ และไมถ่ กู ตอ้ งนนั้ เป็นเชน่ ไร และเราควรดาํ เนินเพอ่ื บรรลุถงึ จุดหมายทส่ี ูงสุดในชวี ติ ของเรา
อยา่ งไร ดงั นนั้ ปรชั ญาทางจรยิ ศาสตรข์ องไทย จงึ เป็นปรชั ญาแห่งชวี ติ โดยแท้ อนั มคี วามเก่ยี วขอ้ ง
กบั บทบาทของชีวติ ตงั้ แต่เราลมื ตาดูโลกทเี ดยี ว ในทศั นะของผู้เขยี นปรชั ญาชวี ติ ของไทยเราได้
พฒั นาและกา้ วหน้ามานานเกอื บพนั ปีแลว้ นับว่าในดา้ นน้ี เรากก็ ้าวไกลกว่าปรชั ญาของฝรงั่ มานาน
หลายรอ้ ยปีทเี ดยี ว ฝรงั่ เพงิ่ เรม่ิ มาในใจเรอ่ื งของชวี ติ และตวั ตนอย่างแทจ้ รงิ อนั มาในรปู ของปรชั ญา
สมยั ใหมท่ เ่ี ราเรยี กกนั วา่ Existentialism เมอ่ื เรว็ ๆ น้เี อง

มผี แู้ สดงความคดิ เหน็ ว่าการทฝ่ี รงั่ เรมิ่ มาสนใจเกย่ี วกบั ปรชั ญาของชวี ติ และขอ้ เทจ็ จรงิ ของ
ชวี ติ เป็นทางหน่งึ ทต่ี ะวนั ตกกบั ตะวนั ออกจะมที างคาํ ความเขา้ ใจกนั ได้ เพราะปรชั ญาของชวี ติ ทน่ี กั
ปรชั ญาตะวนั ตกกาํ ลงั สนใจอยนู่ ้ี ปรชั ญาตะวนั ออกโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ไดส้ อนและพฒั นามา
เป็นเวลาพนั ๆ ปีแล้ว ชวี ติ ของเราท่ตี ้องเผชญิ กบั ความทุกข์ความเจ็บป่วย ความผิดหวงั ความ
เจบ็ ปวด ตลอดถงึ ความตาย อนั เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ ของชวี ติ แทๆ้ ฝรงั่ เพงิ่ เริ่มมาขบคดิ กนั คํากล่าวของ
ศาสตร์(Sartre) ท่ีว่า ‚มนุ ษย์เป็ นผู้สร้างตัวเขาเอง‛ ก็มีความใกล้เคียงกับคําสอนในทาง
พระพุทธศาสนามากทส่ี ุด ดงั นนั้ การทบ่ี รรพบุรษุ นกั ปรชั ญาของเราไดเ้ ทดิ ทนู พุทธปรชั ญา ตลอดถงึ
ไดย้ อมพลชี วี ติ เพ่อื รกั ษามรดกล้ําค่า กล่าวคอื พุทธปรชั ญาน้ีไว้ให้ลูกหลานในยุคปจั จุบนั ได้ ก็เป็น
การเพยี งพอแลว้ ทจ่ี ะแสดงว่าท่านเหล่านัน้ มสี ตปิ ญั ญาในการหยงั่ เหน็ พุทธปรชั ญาว่ามคี วามสูงส่ง
และเป็นบรมสจั เพยี งใด ในขณะเดยี วกนั กเ็ ป็นการยนื ยนั ว่านักปรชั ญาไทยเรา มคี วามเก่งกาจ และ
สุขมุ คมั ภรี ภาพในเรอ่ื งน้เี พยี งใดดว้ ย

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ดงั นัน้ เร่อื งของปรชั ญาจงึ เป็นเร่อื งของคนเราแท้ แม้ชนชาติไทยจะได้มชี วี ิตอยู่ในถ่ิน
กําเนิดท่คี ่อนขา้ งอุดมสมบูรณ์โดยมธี รรมชาตอิ ํานวยผลเป็นอนั ดถี งึ กระนัน้ คนไทยเราก็สามารถคดิ
และพฒั นาในสง่ิ ท่เี ราเรยี กกนั ว่าปรชั ญาได้ ตลอดจนได้เลอื กปรชั ญาท่ดี ที ่สี ุดไว้ดําเนินชวี ติ ด้วย
อน่งึ แมจ้ ะมผี คู้ น้ วา่ พทุ ธปรชั ญาเป็นปรชั ญาอนิ เดยี ไม่ใช่ปรชั ญาของคนไทย แต่เราจะสามารถแยก
ความเป็นไทยออกจากความเป็นพุทธไดอ้ ยา่ งงา่ ยดายหรอื แมล้ กั ษณะอนั แสดงความปรารถนาดขี อง
คนไทยทอ่ี อกมาในรปู ของรอยยม้ิ ก็เป็นลกั ษณะท่เี ด่น ทห่ี าไม่ไดง้ ่ายๆ นักในโลกส่วนอ่นื ๆ กเ็ ป็น
อทิ ธพิ ลของพุทธปรชั ญามใิ ช่หรอื ทงั้ น้ีก็เพราะว่าลกั ษณะท่ดี เี ด่นของพุทธปรชั ญาอกี อย่างหน่ึงก็
ตรงทเ่ี ป็นปรชั ญาภาคปฏบิ ตั ิ หรอื เรยี กกนั ว่าปฏบิ ตั ธิ รรม (อาจเรยี กว่าเป็นศาสนากไ็ ด)้ จงึ ได้หล่อ
หลอมชวี ติ คนไทย ให้เป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั กบั พุทธปรชั ญาชนิดท่ไี ม่อาจจะแยกออกจากกนั ได้
งา่ ยๆ พุทธปรชั ญาจงึ ไดก้ ลายมาเป็นปรชั ญาของคนไปในทส่ี ดุ ดงั กล่าวแลว้ นนั่ แหละ

เทา่ ทไ่ี ดใ้ หเ้ หตุผลมาตงั้ แต่ต้นจนบดั น้ี กม็ จี ุดประสงคท์ จ่ี ะเสนอท่านผอู้ ่านว่าคนไทยเรานนั้
กเ็ ป็นปรชั ญากนั มาตลอด และในปจั จุบนั น้ีกก็ ําลงั พฒั นามากเสยี ดว้ ย กข็ นาดบา้ นนอก ทผ่ี ูเ้ ขยี นได้
ไปพบมาพ่อแม่พน่ี ้องทน่ี ัน่ ต่างรมุ ถามปญั หาประเภทอภปิ รชั ญากนั ใหว้ ุ่นวายปญั หาว่าตายแลว้ เกดิ
หรอื ไม่ วญิ ญาณมจี รงิ ไหม ผมี จี รงิ หรอื เปล่า เป็นตน้

กถ็ งึ ขนาดน้ีแลว้ เรายงั อุตส่าห์ปฏเิ สธเป็นควนั ว่าปรชั ญาไทยไม่มกี บั เขา ต่อให้พระอนิ ทร์
เขยี วๆ ลงมาช่วยยนื ยนั ผเู้ ขยี นกไ็ มม่ วี นั เช่อื หรอก๑๕

ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั ปรชั ญาชีวิตในทศั นะของคนไทย

ปรชั ญาชีวิตของคนไทย หมายถงึ หลกั การดาํ เนินชวี ติ แนวความคดิ ค่านิยม ความเช่อื
คติ ปทสั ถานของสงั คม เจตคติ การประพฤตกิ ารปฏบิ ตั ิ ศาสนาอนั เป็นพน้ื ฐานของชวี ติ ของคนไทย

ปรชั ญาชีวิต หมายถงึ ระบบการรบั รหู้ รอื ความเขา้ ใจของประชาชนทม่ี ตี ่อชวี ติ ต่อสงั คม
ต่อโลกหรอื สง่ิ แวดลอ้ ม ปรชั ญาชวี ติ เกย่ี วขอ้ งกบั สงั คมกบั โลก เพราะชวี ติ ของแต่ละคนยอ่ มตอ้ งการ
เกย่ี วขอ้ งกบั สงั คมและโลก อยา่ งแยกกนั ไมอ่ อก

วิถชี ีวิตในอดีตจนถึงปัจจบุ นั

ชวี ติ ของคนไทยนนั้ มลี กั ษณะเปลย่ี นไปตลอดเวลา เน่ืองจากประเทศไทยกําลงั อย่ใู นช่วง
หวั เล้ยี วหวั ต่อของความเจรญิ พฒั นาก้าวหน้า อทิ ธพิ ลของศาสนาและอารยธรรมต่างชาตทิ แ่ี พร่เขา้
มาในสงั คมไทย เช่นในสมยั สุโขทยั รบั เอาพทุ ธศาสนาจากประเทศศรลี งั กา ทาํ ใหป้ รชั ญาชวี ติ ของคน
ไทยมลี กั ษณะเป็นพุทธและพราหมณ์ปนมากบั พุทธด้วย ครนั้ สมยั กรุงศรอี ยุธยา ในรชั สมยั สมเดจ็
พระนารายณ์มหาราช ศาสนาครสิ ต์แพรเ่ ขา้ มา ต่อมาตอนปลายของสมยั กรุงศรอี ยุธยากร็ บั ศาสนา
อสิ ลามเขา้ มาอกี ปรชั ญาชวี ติ ของสงั คมไทยจงึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากครสิ ต์อสิ ลามบา้ ง ทําใหเ้ อกลกั ษณ์
ของไทยเปลย่ี นไป มคี วามสากล คอื เป็นแบบตะวนั ตกมากขน้ึ ทกุ ที

๑๕ คดั จากนิตยสาร ‚พทุ ธจกั ร‛ ปีท่ี ๒๕ ฉบบั ท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๔, หน้า ๓๔-๓๘.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ปรชั ญาชวี ติ ของคนไทย เกดิ จากขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรม สงั คม ศาสนาของ
ไทยเราเราเองผสมกบั ความคดิ ต่างๆ ทแ่ี พรเ่ ขา้ มาในเมอื งไทย ดงั นนั้ ทศั นคติ คา่ นิยม ปรชั ญาชวี ติ
ของคนไทยปจั จุบนั ยอ่ มเปลย่ี นไปบา้ งตามความคดิ ของทางตะวนั ตกเช่นถอื ว่าความเจรญิ คอื การมี
ตกึ สูงๆ มถี นน มไี ฟฟ้า น้ําประปา โทรศพั ท์ มหาวทิ ยาลยั เป็นต้น ซง่ึ แต่เดมิ คนไทยถอื ว่าความ
เจรญิ คือความมคี ุณธรรม ความสงบเยอื กเย็น การเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ การให้อภยั การอยู่อย่าง
ธรรมชาติ ความเป็นกนั เองนับถอื กนั ช่วยเหลอื กัน เดก็ เช่อื ฟงั ผู้ใหญ่ ยดึ ถือประเพณี ศาสนา
วฒั นธรรมดงั้ เดมิ อยา่ งมาก

ปรชั ญาชวี ติ มอี ทิ ธพิ ลต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมไทยเป็นอย่างมาก การพฒั นา
ประเทศไทยในอนาคตไม่ว่าดา้ นใด เช่นการเมอื ง การปกครอง การเศรษฐกจิ การศกึ ษา ศาสนา
สงั คม ประเพณี วฒั นธรรม ควรจะสอดคล้องกบั ปรชั ญาชวี ติ ของคนไทยท่ปี ระยุกต์ตามความคดิ
ใหมท่ เ่ี หมาะกบั กาลเทศะการพฒั นาจงึ จะไดผ้ ลดยี งั่ ยนื

ปรชั ญาว่าด้วยเร่ืองชีวิตและการแก้ไขปัญหาชีวิต

ปญั หาของมนุษย์ มตี ่างๆ มากมาย เม่อื กล่าใหส้ นั้ กเ็ ป็นเร่อื งเก่ยี วกบั ด-ี ชวั่ หรอื ด-ี รา้ ย
และสุข-ทุกข์ ถ้าพูดรวบรดั ลงไปอีกก็รวมลงในคําเดยี วคอื ทุกข์ ตราบใดท่มี นุษย์ยงั ไม่สามารถ
จดั การกับปญั หาพ้ืนฐานแห่งชวี ติ ของตน ยงั วางตัววางใจหาท่ลี งไม่ได้กบั ทุกข์ถึงขนั้ ตัวสภาวะ
ตราบนัน้ มนุษยก์ จ็ ะยงั แก้ปญั หาไม่สําเรจ็ ยงั หลกี ไม่พน้ การตามรงั ควานของทุกข์ ไม่ว่าจะพบสุข
ขนาดไหน และจะยงั ไมป่ ระสบความสุขทแ่ี ทจ้ รงิ ซง่ึ เตม็ อมิ่ สมบูรณ์ในตวั และจบบรบิ รู ณ์ลงทค่ี วาม
พงึ พอใจ ซ้ํารา้ ย ทุกขพ์ ้นื ฐานท่ีหลบเล่ยี งและยงั ไม่ไดแ้ ก้นัน้ กลบั กลายเป็นเง่อื นปมซบั ซ้อนอยู่
เบอ้ื งหลงั

กระบวนการดบั ทุกข์ หรอื ปฏจิ จสมุปบาทนิโรธวาร การแก้ปญั หาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเร่อื ง
ใหญ่โตหรอื เลก็ น้อยเพยี งใดกต็ าม ตอ้ งมคี วามรจู้ รงิ หรอื ความเขา้ ใจเป็นจุดเรมิ่ ต้น จงึ จะแก้ปญั หาได้
สาํ เรจ็ มฉิ ะนัน้ ปญั หาอาจยุ่งเหยงิ สบั สนหรอื ขยายตวั รา้ ยแรงยงิ่ ขน้ึ การแก้ปญั หาทวั่ ๆ ไปของชวี ติ
แต่ละเร่อื งๆ ก็ตอ้ งรเู้ ขา้ ใจตวั ปญั หาและกระบวนการก่อเกดิ ของมนั เป็นเร่อื งๆ ไป จงึ จะแก้ไขอย่าง
ไดผ้ ล ยง่ิ เมอ่ื ตอ้ งการแกป้ ญั หาขนั้ พน้ื ฐานของชวี ติ หรอื ปญั หาของตวั ชวี ติ เอง โดยจะทาํ ชวี ติ ใหเ้ ป็น
ชวี ติ ทไ่ี มม่ ปี ญั หา หรอื ใหเ้ ป็นอยอู่ ยา่ งไรท้ กุ ขก์ นั ทเี ดยี ว กต็ อ้ งรเู้ ขา้ ใจสภาพของชวี ติ ทม่ี ที ุกขแ์ ละเหตุ
ปจั จยั ทท่ี าํ ใหช้ วี ติ เกดิ เป็นทกุ ขข์ องชวี ติ ลงได้

โดยนัยน้ีความไม่รู้ หรอื ความหลงผดิ เพราะไมร่ จู้ รงิ จงึ เป็นตวั การก่อปญั หาและทาํ ใหก้ าร
ดําเนินชวี ติ ของมนุษย์ ซ่งึ มุ่งเพ่อื แก้ปญั หาหรอื หลุดรอดจากทุกข์ กลายเป็นการเพม่ิ พูนปญั หา
สะสมทุกข์ย่ิงข้นึ ในทางตรงข้ามความรู้หรือความเข้าใจตามเป็นจรงิ จึงเป็นแกนนําของการ
แก้ปญั หาหรอื ดบั ทุกขท์ ุกอย่าง ในกระบวนธรรมปฏจิ จสมุปบาทสมุทยวารว่าด้วยการก่อเกดิ ทุกข์
เรมิ่ ตน้ ดว้ ยอวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภพ ชาติ
ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนสั = ทกุ ขสมทุ ยั

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ในกระบวนธรรมตรงขา้ ม คอื ปฏจิ จสมุปบาทนิโรธวารว่าด้วยการดบั ทุกข์ เรม่ิ ด้วย ดับ
อวชิ ชาหรอื ไมม่ อี วชิ ชาหรอื ปราศจากความไม่รู้ คอื ความรู้ ดงั น้ีอวชิ ชาดบั จงึ สงั ขารดบั วญิ ญาณดบั
นามรปู จงึ ดบั สฬายตนะดบั ผสั สะจงึ ดบั เวทนาดบั ตณั หาจงึ ดบั อุปาทานดบั ภพจงึ ดบั ชาตดิ บั ชรา
มรณะ โสกะ ฯลฯ อุปายาสจงึ ดบั = ทุกขนโิ รธ๑๖

มหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) ผนู้ ํา และนักการเมอื งทม่ี ชี ่อื เสยี งชาวอนิ เดยี และ
ศาสนาฮนิ ดู กล่าวไว้ว่า ‚จงใช้ชวี ติ ราวกบั ว่าคุณจะตายพรุ่งน้ี จงเรยี นรรู้ าวกบั ว่าคุณจะมชี วี ติ อยู่
ตลอดไป‛ (Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever)

สรุปความตรงน้ีว่าการแก้ปญั หาทวั่ ๆ ไปของชวี ติ แต่ละเรอ่ื งๆ ก็ตอ้ งรเู้ ขา้ ใจตวั ปญั หาและ
กระบวนการก่อเกิดของมนั เป็นเร่อื งๆ ไป จงึ จะแก้ไขอย่างได้ผล ยงิ่ เม่อื ต้องการแก้ปญั หาขนั้
พน้ื ฐานของชวี ติ หรอื ปญั หาของตวั ชวี ติ เอง กย็ งิ่ ตอ้ งศกึ ษาถงึ สาเหตุของปญั หา ปรชั ญาพุทธศาสนา
เชอ่ื วา่ ทุกสง่ิ เกดิ แต่เหตุ และจะดบั ไปเพราะการดบั แหง่ เหตุ คอื เมอ่ื เราจะแกป้ ญั หาชวี ติ (ความทุกข)์
เรากต็ ้องรเู้ ขา้ ใจสภาพของชวี ติ ทม่ี ที ุกขแ์ ละเหตุปจั จยั ทท่ี าํ ใหช้ วี ติ เกดิ เป็นทุกขข์ องชวี ติ เสยี ก่อน จงึ
จะแกป้ ญั หาชวี ติ ใหด้ บั ลงได้

การดาเนินชีวิตตามแนวคิดเชิงภมู ิปัญญา

ตามท่เี ราท่านทราบกนั ดแี ล้วว่าศาสนาทุกศาสนาย่อมมหี ลกั จรยิ ศาสตร์ของตนไว้ให้ศา
สนกิ ชน เป็นหลกั ปฏบิ ตั ขิ องศาสนานนั้ ๆ ในฐานะทค่ี นไทยส่วนใหญ่นับถอื พุทธศาสนานาเป็นหลกั
จงึ ทําให้การดําเนินชวี ติ จงึ ต้องปฏบิ ตั ิตามหลกั ปรชั ญาหรอื หลกั คําสอนของพุทธศาสนาทเ่ี รยี กว่า
‚พทุ ธปรชั ญา‛ เพ่อื เป็นแนวทางไปส่จู ดุ หมายของศาสนา ในบางขณะอาจประพฤตฝิ ่าฝืนขอ้ หา้ มของ
ศาสนา จะไดร้ บั การลงโทษอยา่ งรนุ แรงกวา่ การฝา่ ฝืนกฎหมายเสยี อกี

พระพทุ ธศาสนามหี ลกั จรยิ ศาสตรไ์ วส้ าํ หรบั ใหพ้ ุทธศาสนิกชนเป็นหลกั ปฏบิ ตั ิ เพ่อื การดาํ เนิน
ชวี ติ ไปในทางทถ่ี ูกท่คี วร ซง่ึ มตี งั้ แต่หลกั ปฏบิ ตั ขิ นั้ พน้ื ฐานธรรมดาง่ายแก่การปฏบิ ตั ขิ องคนทวั่ ไป
เรยี กวา่ โลกยี ธรรม จนถงึ ขนั้ กลางและขนั้ สงู สุดทเ่ี รยี กว่า โลกุตรธรรม

หลกั จรยิ ธรรมพน้ื ฐาน ไดแ้ ก่ เบญจศลี เบญจธรรม ได้แก่ศลี ๕ และเบญจธรรม คอื ธรรม
๕ อนั เป็นฝา่ ยศลี และฝา่ ยธรรมควบค่กู นั ไป หลกั จรยิ ธรรมชนั้ กลาง ไดแ้ ก่กุศลกรรมบถ ๑๐ โดยแยก
เป็นกายกรรม ๓ มโนกรรม ๔ วจกี รรม ๓ และในส่วนของหลกั จรยิ ธรรมขนั้ สูงกไ็ ดแ้ ก่ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ นั้
สูง เพ่อื บรรลุมรรคผลนิพพานโดยตรง ได้แก่อรยิ มรรค แปลว่าทางประเสรฐิ หรอื ทางท่ที ําให้ผู้
ปฏบิ ตั เิ ป็นพระอรยิ เจา้ อนั มอี งค์ ๘

หลกั ของการดาเนินชีวิตตามแนวพทุ ธปรชั ญา มีดงั ต่อไปนี้

‚สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสปู สมฺปทา

สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ‛๑๗

๑๖ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑-๒/๑-๕.
๑๗ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๙๐/๔๓.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แปลความว่า ‚การไมท่ าํ บาปทงั้ ปวง การทํากุศลใหถ้ งึ พรอ้ ม การทําจติ ของตนใหผ้ ่องแผว้
น้คี อื คาํ สอนของพระพุทธเจา้ ทงั้ หลาย‛๑๘

ละเว้นไม่ประพฤติชวั่ ยดึ เบญจศลี คอื ไม่ฆ่าสตั ว์ ไม่ลกั ทรพั ย์ ไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม ไม่
พดู ปดไมด่ ่มื สุราเมรยั

ประพฤติดี บาํ เพญ็ ความดใี หพ้ รอ้ มตามธรรมะคหิ ปิ ฏบิ ตั ิ

ทาจิตใจให้สะอาดผอ่ งใส บริสทุ ธ์ิ ปราศจากความเศรา้ หมอง ทาํ จติ ใหว้ ่าง สะอาด สว่าง
สงบ

บทบาทพทุ ธปรชั ญากบั ปรชั ญาชีวิตของไทย

ประเทศไทยนอกจากจะมศี าสนาพุทธเป็นศาสนาประจาํ ชาตแิ ลว้ กฎหมายไทยใหอ้ สิ ระใน
การเลอื กนับถอื ศาสนา จงึ มคี นในประเทศไทยนับถอื ศาสนาอ่นื ๆ ดว้ ย เช่นศาสนาครสิ ต์ ศาสนา
อสิ ลาม ศาสนาซกิ ส์ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เป็นตน้

พุทธศาสนิกชนมไิ ด้มคี วามเข้าใจในหลกั คําสอนในศาสนาของตนมากนัก และทํา
สาํ คญั ยงิ่ คอื มไิ ด้นิยมเอาหลกั คาํ สอนนัน้ มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ ห้สมกบั ทไ่ี ดช้ ่อื ว่า “ชาวพุทธ‛ อย่าง
แทจ้ รงิ ยงั ยดึ มนั่ ใน ‚อามสิ บชู า‛ มากกว่า ‚ปฏบิ ตั บิ ชู า‛ นิยมสรา้ ง ‚วตั ถุ‛ มากกว่าสรา้ ง ‚คน‛ ใหเ้ ป็น
ชาวพุทธทด่ี มี คี ุณภาพ พระสงฆใ์ นปจั จบุ นั โดยทวั่ ไป มกี ารศกึ ษาน้อย เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั การศกึ ษา
ของประชาชน สมยั ก่อนพระเป็นผู้นําทางด้านการศกึ ษาทุกรูปแบบ แต่ในปจั จุบนั พระได้สูญเสยี
ฐานะน้ีไปเกอื บหมดแล้ว จะสอนได้บ้างก็เฉพาะหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนาเท่านัน้ แมก้ ารสอน
พระพุทธศาสนากเ็ ป็นไปตามแบบเดมิ ๆ เม่อื สอนแล้วมไิ ด้มกี ารตดิ ตามผลและประเมนิ ผล ทําใหไ้ ม่
ทราบว่าการเทศนาสงั่ สอนนัน้ ไดผ้ ลมากน้อยแค่ไหนเพยี งใด ความสามารถของพระสงฆ์ ในการท่ี
จะประยุกต์ธรรมให้บุคคลได้รับความรู้สมัยใหม่เข้าใจมีน้อยมาก แสดงถึงการเผยแพร่
พระพุทธศาสนาไม่ได้ผลเท่าทคี วร คณะสงฆ์สนับสนุนการสร้างวตั ถุ คือวดั อาราม โบสถ์ วหิ าร
ศาลาการเปรยี ญมากกว่าทจ่ี ะสรา้ งพระภกิ ษุสามเณรใหม้ คี ุณภาพ สงั คมไทยมพ่ี ระภกิ ษุสามาเณรท่ี
ด้อยคุณภาพ พระภกิ ษุสามเณรทต่ี งั้ ตวั เป็น “เกจิอาจารย”์ ปฏบิ ตั ติ นนอกธรรม นอกวนิ ัยกลบั
ไดร้ บั การยกย่องจากสงั คม น่ีคอื จดุ บอดของพระพุทธศาสนา บุคคลสาํ คญั ของประเทศทจ่ี ะสนใจนํา
หลกั ธรรมในพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้กบั การปกครองบ้านเมอื ง อย่างท่พี ระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อย่หู วั ทรงปฏบิ ตั พิ ระองคใ์ หเ้ ป็นแบบฉบบั เกอื บจะหาไมไ่ ดเ้ ลย เม่อื ผปู้ กครองบา้ นเมอื งไม่สนใจ
ศาสนาไมต่ งั้ ตนใหอ้ ยใู่ นศลี ธรรมอนั ดแี ลว้ การทจ่ี ะแกป้ ญั หาสงั คมจงึ คอ่ นขา้ งจะมดื มนและเลอื นลาง

วิธีคิดของคน

เมอ่ื กล่าวถงึ แนวคดิ ของชนกลุ่มหน่ึง เรากจ็ ะไดแ้ ต่เพยี งเป็นแนวทาง หรอื ทศิ ทางทค่ี ดิ ว่า
มงุ่ หมายอยา่ งไร ถา้ จะขุดใหถ้ งึ ตน้ ตอรากแกว้ ของความคดิ ทเ่ี ป็นพน้ื ฐาน จาํ เป็นต้องวเิ คราะหห์ าว่า
ชนกลุ่มนนั้ มวี ธิ คี ดิ อย่างไร ถ้าคดิ ไดอ้ ย่างมลี ําดบั ขนั้ ตอน แสดงว่าคดิ เป็นระบบ เม่อื คดิ เป็นระบบ

๑๘ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐, ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/-๑๘๕/๔๙-๕๐.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

การคดิ นนั้ จงึ สามารถใชไ้ ดค้ รบวงจร และเป็นสากล วนั ดี กล่าวว่าคนไทยคดิ ไมเ่ ป็นระบบ กแ็ สดงว่า
ไมม่ วี ธิ คี ดิ การคดิ สบั สน อนั ทจ่ี รงิ อาจมวี ธิ คี ดิ แต่แยกปจั จยั องคป์ ระกอบ หรอื จดั ลําดบั ก่อนหน้าหลงั
ไมอ่ อก คนไทยทเ่ี ก่งในระบบการคดิ ระดบั สากลจงึ มนี ้อยราย

‚วิธีคิด‛ ตามคํานิยามของคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาปรัชญาหมายถึง
‚หลกั การ หรอื เหตุผลในทางวฒั นธรรมทใ่ี หค้ ุณ

ค่าและความหมายต่ออุดมการณ์ของการดาํ รงชวี ติ ของผคู้ นในสงั คม ประกอบดว้ ย ๓ ระบบใหญ่ๆ ท่ี
สมั พนั ธก์ นั คอื (๑) ระบบคุณค่าทางศลี ธรรมและจติ วญิ ญาณ (๒) ระบบภมู ปิ ญั ญาสําหรบั การจดั การ
กบั ความสมั พนั ธท์ างสงั คมของคน และความสมั พนั ธร์ ะหว่างสงั คมกบั ธรรมชาตแิ วดลอ้ ม (๓) ระบบ
อุดมการณ์อํานาจทแ่ี สดงศกั ดศิ ์ รแี ละและสทิ ธขิ องความเป็นมนุษย์ (ตามธรรมชาต)ิ

หากจะว่าใหต้ รงตามศพั ท์ ‚วธิ คี ดิ ‛ คอื ‚วธิ กี าร‛ ‚กรรมวธิ ที ใี่ ช้‛ หรอื ‚กระบวนการ‛ทคี่ นใช้
ในการแสดงกริ ยิ า ‚คดิ ‛ ‚ใครค่ รวญ‛ หรอื ‚ทางานโดยใชค้ วามคดิ ‛ หมายถงึ วธิ กี ารคดิ กรรมวธิ ที ใี่ ชใ้ น
การคดิ ใครค่ รวญ หรอื กระบวนการคดิ ๑๙

วิธีคิด มี ๒ ประการ คือ

ประการแรก คอื วธิ กี ารใหเ้ หตุผลหรอื วธิ ที างตรรกะซง่ึ เป็นส่วนสําคญั ของกระบวนการคดิ
ของมนุษย์ มนุษยต์ ่างสมยั ย่อมมวี คี ดิ ต่างกนั เช่นวธิ คี ดิ ของมนุษยใ์ นสงั คมดงั้ เดมิ ถูกกําหนดด้วย
ความเช่อื ทางไสยศาสตร์ ศาสนา และประสบการณ์ชวี ติ ในขณะทม่ี นุษยส์ มยั ใหม่ มวี ธิ คี ดิ ทเ่ี น้นการ
ใชเ้ หตุผลและคน้ ควา้ หาเหตุผลทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นเน้อื หาสาํ คญั และ ประการหลงั คอื ผลรวมของ
ประสบการณ์ของชวี ติ มนุษย์ มคี วามหมายใกล้เคยี งกบั ความรู้ ภูมปิ ญั ญา โลกทศั น์ ชวี ทศั น์ หรอื
อุดมการณ์ เป็นผลผลติ ทางประวตั ศิ าสตร์ ผู้คนทใ่ี ชช้ วี ติ อย่ใู นยคุ สมยั หน่ึง และสภาพแวดล้อมแห่ง
หน่งึ ยอ่ มมวี ธิ คี ดิ เป็นของตนเอง คนไทยสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ยอ่ มมวี ธิ คี ดิ ต่างจากคนไทยสมยั โลกา
ภวิ ตั น์เป็นต้น ถ้าจะดูววิ ฒั นาการวธิ คี ดิ ของมนุษยชาตแิ ต่ดกึ ดําบรรพ์มาถงึ ปจั จุบนั วชิ าการทาง
มานุษยวทิ ยาใหล้ าํ ดบั พฒั นาการของวธิ คี ดิ ดงั ต่อไปน้ี

วธิ คี ดิ ของคนป่า เป็นวธิ คี ดิ ทไ่ี ม่สลบั ซบั ซ้อนในการแก้ปญั หา ล้าหลงั ไม่เจรญิ องิ อาศยั
ความเช่ือในพธิ ีกรรมลกึ ลับ ขาดเหตุผล คิดเฉพาะหน้าเพียงเพ่ือตอบสนองความต้องการทาง
กายภาพและจติ ใจขนั้ พ้นื ฐานของสงิ่ มชี ีวติ เท่านัน้ อนั ท่จี รงิ ควรเรยี กว่า เป็นเพยี งสญั ชาตญาณ
(Instinct) ตามธรรมชาติ

วธิ คี ดิ ของคนพ้นื เมอื ง ชาวยุโรปผวิ ขาวเช่อื โดยมอี คตวิ ่าชาวพน้ื เมอื งมตี รรกะในการคดิ
แกป้ ญั หาด้อยประสทิ ธภิ าพกว่าพวกตน ชาวพน้ื เมอื งมมี นั สมอง เทยี บไดก้ บั เดก็ ชาวยโุ รปผวิ ขาวผู้
เจรญิ เท่านนั้

วธิ คี ดิ ของคนเมอื งและชาวยุโรปสมยั ใหม่ เน้นทป่ี จั เจกบุคคลย่อมให้ความสําคญั กบั กลุ่ม
หรอื ส่วนรวม อทิ ธพิ ลของกลุ่มมคี วามสาํ คญั ต่อวถิ ชี วี ติ ของปจั เจกบุคคล การสญู เสยี เอกลกั ษณ์และ

๑๙ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๔๕-๔๘.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แรงยดึ เหน่ียวของกลุ่มนํามาซ่งึ ความแปลกแยก ปญั หาทางจติ วทิ ยาและความขดั แย้ง วิธคี ิดจงึ
ซบั ซอ้ นขน้ึ มาอกี ระดบั เหน็ ความสมั พนั ธแ์ ละสมานฉนั ทใ์ นองคก์ ร

วธิ คี ดิ ทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากจรยิ ธรรมครสิ ต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ ใหห้ ลกั คดิ ว่าปจั เจก
บุคคลควรท่จี ะทําหน้าท่ที างโลกของตัวเองให้ดีท่สี ุด การทําหน้าท่ดี งั กล่าว ถือเป็นพันธะทาง
จรยิ ธรรมทม่ี คี ่ามากทส่ี ุดความคดิ น้ีมอี ทิ ธพิ ลต่อการใชช้ วี ติ ในสงั คมอย่างมาก

วธิ คี ดิ สากลของมนุษย์ เลวี สเตราส์ อธบิ ายว่าภาษาทม่ี นุษยใ์ ชส้ ่อื ความคดิ นนั้ มโี ครงสรา้ ง
ทแ่ี น่นอนความคดิ ของมนุษยท์ ํางานในลกั ษณะการทาํ งานของค่ตู รงกนั ขา้ ม (binary oppositions)
นนั้ คอื มนุษยผ์ ลติ ความคดิ ทม่ี คี วามหมายไดก้ ต็ ่อเมอ่ื เขาเรมิ่ คดิ ถงึ สง่ิ ทม่ี คี วามหมายตรงกนั ขา้ ม เช่น
ธรรมชาต-ิ วฒั นธรรม ดบิ -สุก เป็นตน้ สเตราส์ แสดงวา่ คนโบราณกบั คนสมยั ใหม่มวี ธิ คี ดิ แตกต่างกนั
โดยทค่ี นโบราณ คดิ แบบสารพดั ช่าง (bricolleur) เรยี นรจู้ ากประสบการณ์ชวี ติ ไมม่ ตี ําราคดิ คน้ และ
ประดษิ ฐไ์ ดเ้ ฉพาะเทคโนโลยที เ่ี น้นประโยชน์ใชส้ อย ไมซ่ บั ซอ้ นมากนกั ลองผดิ ลองถูก เกบ็ เลก็ ผสม
น้อยต่อเช่อื มหากนั กลุ่มน้ีเป็นตวั แทนของวธิ คี ดิ และภูมปิ ญั ญาแบบดงั้ เดมิ ยงั สามารถพบได้ทงั้ ใน
สงั คมดงั้ เดมิ และสงั คมสมยั ใหม่ ส่วนคนสมยั ใหม่ คดิ แบบวศิ วกรและนักวทิ ยาศาสตร์ (Engineer &
Scientist) เรมิ่ จากโครงสรา้ ง มใิ ช่ลองผดิ ลองถูกจากสถานการณ์ แต่พยายามเขา้ ถงึ สูตร สมการ
ทฤษฎหี รอื โครงสรา้ ง ซง่ึ เป็นกุญแจสาํ คญั ในการประดษิ ฐ์ หรอื แก้ปญั หา กลุ่มน้ีเป็นตวั แทนของภูมิ
ปญั ญาและผลผลติ ของโลกสมยั ใหมท่ ม่ี วี ธิ คี ดิ และการใชเ้ หตุผลแบบวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นพน้ื ฐานสําคญั

วิธีคิดของคนไทย

เม่อื พจิ ารณาจากวธิ คี ดิ ของโลกตะวนั ตก ก็พบว่ามกี ารแบ่งระดบั พฒั นาการตามยุคสมยั
และตามบรบิ ทของสงั คม นับแต่ขนั้ ท่งี ่ายไม่ซบั ซ้อนมาถึงวธิ คี ดิ ท่ลี ะเอยี ดเป็นระบบมากขน้ึ อย่าง
ปจั จบุ นั หนั กลบั มามองวธิ คี ดิ ของคนไทย ซง่ึ ไดใ้ หค้ วามสนใจวธิ คี ดิ และระบบคดิ นับแต่รบั วฒั นธรรม
ตะวนั ตกมาจนปจั จุบนั กค็ วรทจ่ี ะจดั ยุคของวธิ คี ดิ ในเชงิ ประวตั ศิ าสตรเ์ อาไว้ เพราะวธิ คี ดิ แกป้ ญั หา
ของแต่ละสมยั ยอ่ มมคี วามเหมาะสมแกป้ ญั หาไดใ้ นสมยั นนั้ อาศยั ฐานความเช่อื ดงั้ เดมิ จากแงม่ มุ ทาง
ปรชั ญา พระพุทธศาสนา ประวตั ศิ าสตร์ วรรณคดี เศรษฐศาสตร์ และมานุษยวทิ ยา ในเรอ่ื งน้ี สุรยิ า
สมทุ คปุ ติ ์ และคณะไดแ้ บง่ วธิ คี ดิ ของคนไทยดงั น้ี

วธิ คี ดิ สมยั ราชาธปิ ไตย วธิ คี ดิ น้ี สมยั ก่อนกค็ งเป็นแบบคนพน้ื เมอื งในโลกตะวนั ตก คนไทย
สมยั ก่อน คดิ แบบไตรภูมิ เช่อื ในอํานาจบุญบารมี กรรมเก่า เป็นต้น ต่อมานับแต่สมยั รชั กาลท่ี ๔
และรชั กาลท่ี ๕ (พ.ศ.๒๓๙๔-๒๔๕๓) ให้ความสนใจเร่อื ง ความทนั สมยั ความมอี ารยธรรม และ
ความศวิ ไิ ลซ์ แบบตะวนั ตก ทําใหค้ นไทยเปลย่ี นวธิ คี ดิ แบบดงั้ เดมิ มาเป็นแบบสมยั ใหม่ ใชป้ ญั ญา
และเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์มาอธบิ ายข้อเท็จจริง ไม่อิงอภินิหาร ความเช่ือโชคลาง และความ
อศั จรรยล์ ล้ี บั ตามความเช่อื ดงั้ เดมิ มาเป็นหลกั ความคดิ และความเช่อื อะไรทต่ี รวจสอบความจรงิ ตาม
แบบวทิ ยาศาสตร์มไิ ด้ กจ็ ะถูกกล่าวหาว่า งมงาย ผลจากวธิ คี ดิ แบบสมยั ใหม่ ทําให้ประเทศไทย
ไดร้ บั เอาวทิ ยาการโลกตะวนั ตกมาพฒั นาประเทศใหเ้ ป็นแบบตะวนั ตกนบั แต่นนั้ มา

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

วธิ คี ดิ แบบชาตนิ ิยมและรฐั นิยม เมอ่ื เกดิ การเปล่ยี นแปลงการปกครองจากราชาธปิ ไตยมา
เป็นระบอบประชาธปิ ไตย (พ.ศ. ๒๔๗๕) แมจ้ ะยงั คงต้องการพฒั นาประเทศแบบตะวนั ตก แต่ผเู้ ป็น
กําลงั สําคญั ในผลกั ดนั ความคดิ กค็ อื กลุ่มคณะราษฎร์ และรฐั บาล นักคดิ ท่มี อี ทิ ธพิ ลมาจนปจั จุบนั
คอื หลวงวจิ ติ รวาทการ (กมิ เหลยี ง วฒั นปรดี า) อาจเรยี กว่า ‚วธิ กี ารคดิ แบบหลวงวจิ ติ ร‛ มหี ลกั คดิ
เก่ยี วกบั อุดมการณ์ชาตนิ ิยม ให้ความสําคญั กบั ผู้นํา(เช่อื ผู้นําชาตพิ ้นภยั ) และใหค้ วามสําคญั กบั
ความสําเรจ็ ในชวี ติ น้ี ต้องทาํ งาน ตอ้ งต่อสู้ หลวงวจิ ติ รฯเขยี นหนังสอื หลายเล่ม เช่น วธิ ที ํางานและ
สรา้ งอนาคต กุศโลบาย เป็นต้น ใหห้ ลกั คดิ ในการทาํ งานว่า ‚อนั ทจ่ี รงิ คนเขาอยากให้เราดี แต่เรา
เด่นขน้ึ ทุกทเี ขาหมนั่ ไส้ จงทาํ ดแี ต่อยา่ เด่นจะเป็นภยั ไมม่ ใี ครอยากเหน็ เราเด่นเกนิ ‛ ส. ศวิ รกั ษ์ ให้
ความเหน็ ว่า แนวคดิ น้ี มนั กค็ อื อุดมการณ์ขุนนาง ทล่ี ดความสําคญั ของสถาบนั กษตั รยิ ล์ งมาอย่ใู ต้
กฎหมาย

วธิ คี ดิ ท่ไี ด้มาโดยกําเนิด (แบบอนุรกั ษ์นิยม) แนวคดิ น้ี ได้หนั กลบั ไปให้ความสําคญั กบั
สถาบนั กษตั รยิ ์ ศกั ดนิ าไทย พทุ ธศาสนาและศลิ ปวฒั นธรรมดงั้ เดมิ ของไทย ผนู้ ําความคดิ สาํ คญั คอื
ม.ร.ว. คึกฤทธิ ์ ปราโมช นักหนังสือพิมพ์ หวั หน้าพรรคกิจสังคมและนายกรฐั มนตรี (๒๕๑๘)
เสยี ชวี ติ (๒๕๓๘) คกึ ฤทธเิ ์ ขยี นหนงั สอื หลายเล่ม เช่น สแ่ี ผ่นดนิ ไผ่แดง เป็นต้น เพ่อื สะทอ้ นวธิ คี ดิ
แบบอนุรกั ษนยิ ม ผดงุ อุดมการณ์ อํานาจและบทบาททางเศรษฐกจิ การเมอื งของสถาบนั ศกั ดนิ าไทย

วธิ คี ดิ ตามแนวสรา้ งสรรคส์ ตปิ ญั ญาอยา่ งไทย ตามแนวน้ี ผเู้ สนอหลกั การคอื สุลกั ษณ์ ศวิ
รกั ษ์ (ส.ศิวรกั ษ์) มคี วามเหน็ สอดคล้องกบั คกึ ฤทธใิ ์ นแนวอนุรกั ษ์นิยม แต่ต่างกนั ท่ไี ม่เน้นระบบ
ศักดินา ด้วยเห็นว่าเป็นความเหล่ือมล้ําทางสงั คม เป็นความอยุติธรรม เป็นการเสียหายท่ีรบั
วฒั นธรรมตะวนั ตกโดยปราศจากการใคร่ครวญ ส. ศวิ รกั ษ์ ปฏเิ สธลทั ธทิ ุนนิยม และสงั คมนิยม ให้
ความสาํ คญั กบั พระพทุ ธศาสนาวา่ เป็นหนทางทเ่ี หมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ของประเทศ
ไทยมากทส่ี ุด๒๐

วธิ คี ดิ ตามแนวพุทธธรรม อนั ทจ่ี รงิ วธิ คี ดิ น้ีก็อย่บู นฐานพระพุทธศาสนา แต่นํามาตคี วาม
ใหม่โดยพระสงฆ์นักปราชญ์ผู้โดดเด่นร่วมสมยั ๒ รูปคอื พุทธทาสภกิ ขุ (เง่อื ม อินฺทปํฺโญ) เจา้
สาํ นักสวนโมกขพลาราม อําเภอไชยยา จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี และ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺ
โต) เจา้ สาํ นกั ญาณเวศกวนั อําเภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ผทู้ น่ี ําเสนอวธิ คี ดิ แบบพุทธศาสนา
อยา่ งชดั เจนเป็นระบบ คอื พระพรหมคุณาภรณ์ ในวรรณกรรมอมตะ ‚พุทธธรรม‛ ช้รี ายละเอยี ดถงึ
กระบวนการคดิ ในทางพทุ ธศาสนาวา่ เรม่ิ ตน้ จากสมั มาทฏิ ฐิ คดิ เป็น แลว้ เขา้ ส่กู ระบวนการศกึ ษาตาม
หลักไตรสิกขา เพ่ือฝึกฝนพัฒนาความคิดให้ถูกต้อง กระบวนการคิดท่ีทําให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
ประกอบดว้ ย ๒ ส่วนคอื ส่วนแรก ปรโต โฆสะ แปลว่าเสยี งจากผู้อ่นื หรอื การกระตุ้นชกั จูงจาก

ภายนอก ไดแ้ ก่การสงั่ สอน แนะนํา ถ่ายทอด โฆษณา คาํ บอกเล่า ขา่ วสาร คําชแ้ี จงอธบิ ายจากผอู้ ่นื
ตลอดจนการเรยี นรูเ้ ลยี นแบบจากแหล่งต่างๆ ภายนอก เป็นปจั จยั ภายนอก เรยี กว่าวธิ กี ารแห่ง

๒๐ วิธีคิดของคนไทย, [ออนไลน์], แหล่งข้อมูล : https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-
2/thai_philosophy/15.html [๕ สงิ หาคม ๒๕๕๘]

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ศรทั ธา ส่วนที่ ๒ โยนิ โสมนสิการ แปลว่าการทําในใจโดยแยบคาย หรอื คดิ ถูกวธิ ี หรอื แปลงา่ ยๆ
ว่าความรูจ้ กั คดิ หรอื คดิ เป็น หมายถงึ การคดิ อย่างมรี ะเบยี บ หรอื คดิ ตามแนวทางแห่งปญั ญา เป็น
ปจั จยั ภายใน เรยี กวา่ วธิ กี ารแห่งปญั ญา๒๑

วธิ คี ดิ แบบภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน วธิ คี ดิ แบบสุดท้าย ได้รบั ความสนใจในช่วง พ.ศ. ๒๕๒๐
เป็นตน้ มา มกี ลมุ่ นกั ปราชญไ์ ทยรนุ่ ใหม่ อาทิ น.พ. ประเวศ วะสี ดร. เอกวทิ ย์ ณ ถลาง ดร.เสรี พงศ์
พศิ เป็นต้น หนั มาหาทางแก้ปญั หาสงั คมไทยด้วยการหวนกลบั ไปพจิ ารณาภูมปิ ญั ญาดงั้ เดมิ ด้วย
ความเช่อื ว่า วธิ คี ดิ ของคนไทย มสี งิ่ ทเ่ี รยี กว่า ภมู ปิ ญั ญาหรอื วฒั นธรรมชุมชน เป็นรากฐานทส่ี าํ คญั
เพราะสง่ิ น้ีคอื พลงั และ ศกั ยภาพทม่ี อี ย่ใู นชุมชนและพรอ้ มทจ่ี ะนํามาประยุกตใ์ ชใ้ นการพฒั นาหรอื
แกป้ ญั หาต่างๆ ในสงั คม

จากแนวคดิ ทงั้ ๖ แบบ ก็พอเป็นหลกั ฐานใหเ้ หน็ ว่าคนไทยคดิ เป็นระบบ บางสมยั อาศยั
ความเช่ือดงั้ เดิม จากฐานแห่งศรทั ธาในศาสนา บางสมยั อาศัยวิทยาการสมยั ใหม่ เหตุผลทาง
วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกบั หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาตคี วามเชงิ สรา้ งสรรค์และเสรมิ ด้วยภูมิ
ปญั ญาและวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ สรา้ งระบบคดิ ทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ ระบบคดิ ไทยขน้ึ มา มนี ักคดิ ทเ่ี รยี กว่า
นักปราชญ์ไทยต่างยุคต่างสมยั เช่นสมยั สุโขทัย พระยาลิไท ต้นกําเนิดแนวคิดไตรภูมิ สมยั
รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ มพี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ พระสงฆ์ เช่นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรม
พระปรมานุชติ ชโิ นรส และสามญั ชน เช่น สุนทรภู่ นับแต่เปล่ยี นแปลงการปกครองมา ก็มี หลวง
วจิ ติ รวาทการ ม.ร.ว.นิมติ รมงคล นวรตั น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ภูมพิ ลอดุลเดช (แนว
พระราชดาํ ริ ทฤษฎใี หม่ เศรษฐกจิ พอเพยี ง) ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ ์ปราโมช ส. ศวิ รกั ษ์ พุทธทาสภกิ ขุ พระ
พรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และกลุ่มภูมปิ ญั ญาไทย นายแพทยป์ ระเวศ วะสี นายโสภณ สุภา
พงษ์ และปราชญช์ าวบา้ นหลายคน เป็นตน้

๔.๔ แนวคิดภมู ิปัญญากบั ปรชั ญาไทย

กรอบแนวคดิ ทช่ี ้ใี ห้เห็นถงึ โลกทศั น์ ชวี ทศั น์แบบดงั้ เดมิ ของชาวไทยท่ยี งั ไม่เจอื ปนดว้ ย
วทิ ยาการสมยั ใหมต่ ะวนั ตก ดว้ ยขอ้ มลู เอกสาร ตําราประวตั ศิ าสตร์ ประเพณี และวัฒนธรรม ความ
เช่อื จารตี ทเ่ี คยปฏบิ ตั ิกนั มา เอกลกั ษณ์แนวความคดิ ของไทย มองสรรพสง่ิ อย่างเป็นองค์รวม มี
ความสมั พนั ธ์กันทุกระบบและทุกระดบั ชีวติ คน สมั พนั ธ์กบั ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สงั คมมนุษย์
รอบตวั และส่ิงศักดสิ ์ ิทธิเ์ หนือธรรมชาติ เช่นคนหน่ึงเกิดมามชี ีวิต ก็เป็นไปตามหลกั ธรรมชาติ
สมั พนั ธ์กับสงิ่ เหนือธรรมชาติ โดยเช่อื ว่ามแี ม่ซ้อื หรอื แม่กําเนิด เทพารกั ษ์ประจําตัวรกั ษา การ
ดํารงชวี ติ ในสงั คม ต้องมองหน้ามองหลงั พง่ึ พาอาศยั กนั และกนั สรา้ งความสมั พนั ธ์ในเชงิ อุปถมั ภ์

๒๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ขยาย, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๗), หน้า ๕๖๓-๖๘๖.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ดว้ ยระบบคุณธรรม เพ่อื สงั คมจะไดส้ งบสุข ไมแ่ ยกส่วนดุจระบบปรชั ญาตะวันตก ผเู้ ขยี นขอจดั กลุ่ม
แนวความคดิ ตามระบบปรชั ญาแบบตะวนั ตกได้ ๓ สาขา คอื ๒๒

แนวคิดสาขาอภิปรชั ญา : ความคดิ เรอ่ื งผี วญิ ญาณ เทวดา ความเช่อื เรอ่ื งโลกน้ีโลกหน้า
การเวยี นว่ายตายเกดิ การแสวงหาความจรงิ ของสงิ่ ต่างๆ การอธบิ ายจดุ กําเนิดของสงิ่ ต่างๆ ในรูป
นิยายพ้นื บ้าน หรอื วรรณกรรมศาสนา เป็นต้น เช่น วรรณกรรม ‚ไตรภูมพิ ระร่วง‛ ถือว่าเป็น
วรรณคดปี รชั ญาเล่มแรกของไทย มคี ุณค่าทางปรชั ญา ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั กําเนิดสตั วต์ ่างๆ กําเนิด
จกั รวาล การสรา้ งโลก อนั เป็นปรชั ญาแขนงอภปิ รชั ญา และใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั บาปบุญ ในประเดน็
ทางอภปิ รชั ญา จะนําเสนอพอเป็นตวั อยา่ ง คอื

ความคิดเร่ืองกาเนิดโลก จกั รวาล และมนุษย์ : เป็นความสงสยั ของมนุษยน์ ับแต่สมยั
ดกึ ดาํ บรรพ์ โดยถามตนเองตลอดมาว่าโลกน้มี คี วามเป็นมาอยา่ งไร กําเนิดมาจากไหน ทําไมจงึ มดี นิ
ฟ้าอากาศ มดี วงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ ดวงดาวตํานานกําเนิดโลกและมนุษยข์ องกลุ่มชาตพิ นั ธุไ์ ตหรอื
ไทโดยเฉพาะกลุ่มท่อี าศยั อย่ใู นภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยและดนิ แดนส่วน
ใหญ่ของลาวในปจั จุบนั เช่อื ว่า ผฟี ้า หรอื ผแี ถนเป็นผู้สรา้ งโลก กําเนิดโลกและมนุษยม์ าจากแถน
‚แถนเป็นคนแต่งโลกขน้ึ มา โดยการปนั้ รปู ผหู้ ญงิ หงาย ปนั้ รปู ผชู้ ายคว่ํา ปนั้ ไวเ้ ฉพาะวญิ ญาณ ยงั ไม่
มตี ณั หา ลมพดั กระจดั กระจายตกไปอยู่คนละแห่ง ต่างคนต่างอยู่ ต่อมาเกดิ ไฟไหมแ้ ผ่นดนิ กลนิ่
หอมโชยขน้ึ ไปถงึ แถน กลนิ่ หอมไปถงึ คู่ชาย-หญงิ ทแ่ี ถนปนั้ ไว้ แถนกพ็ ูดว่า ‘โลกทางลุ่ม (ขา้ งล่าง)
คอื หอมแท้ (ส่งกลนิ่ หอมมาก)’ วา่ แลว้ ชาย-หญงิ คนู่ นั้ กล็ งไปกนิ ดนิ ทถ่ี กู ไฟไหมใ้ นโลกมนุษย์ จากนนั้
ทาํ ใหค้ นเกดิ ตณั หาขน้ึ มา พอสมส่กู นั แลว้ กไ็ มส่ ามารถกลบั คนื ไปอยสู่ วรรคไ์ ดอ้ กี ต่อไป…‛

ความเชอ่ื น้ใี กลเ้ คยี งกบั ตํานานการเกดิ มนุษยท์ ป่ี รากฏในคมั ภรี ท์ างพุทธศาสนาเล่มสาํ คญั
และเก่าแก่ทส่ี ุดในประเทศไทย ไดแ้ ก่หนังสอื เร่อื ง ‚ไตรภูมพิ ระร่วง‛ ซ่งึ แต่งโดยพระยาลไิ ทกรุง
สุโขทยั ปฐมบทของมนุษยใ์ นโลกเกดิ จากการทอ่ี าภสั สรพรหมลงมากนิ งว้ นดนิ ในโลกมนุษยแ์ ลว้ ทํา
ใหเ้ กดิ ราคะขน้ึ มา

ตํานานเคา้ ผลี า้ นนา ปฐมมลู มลู ี หรอื ประถมมลู มลู ี กล่าวถงึ การเกดิ โลก มนุษย์ สตั ว์ และ
พชื วา่ ‚เมอ่ื โลกยงั ไมป่ รากฏ มแี ต่อากาศวา่ งเปล่า ความรอ้ นกบั ความเยน็ มาบรรจบกนั ทาํ ใหเ้ กดิ ลม
พดั หมุนวนอย่างรุนแรง จนเกดิ เป็นกลุ่มก้อน จากกลุ่มก้อนก็เกดิ เป็นแผ่นดนิ น้ํา หนิ ผา แร่ธาตุ
ต่างๆ ความชน้ื ก่อใหเ้ กดิ เป็นคู่เป็นไคลบนแผ่นหนิ ผา แล้วกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า เครอื เถาวลั ย์
จากธาตุทงั้ ๔ เกดิ สตั วเ์ ดรจั ฉาน เช่น หนอน ดว้ ง แด้ แมลงภ่ผู ง้ึ และสตั วท์ ม่ี เี ลอื ดมกี ระดูก แต่ขนาด
เลก็ มาก เกดิ ตาย แผ่ขยายเต็มแผ่นดนิ หลายกปั ผ่านไป มอี ติ ถ(ี มนุษยเ์ พศหญงิ ) เกดิ จากธาตุดนิ
ช่อื นางอติ ถงั ไคยะสงั กะสี มคี นั ธะดอกไม(้ ดมกลน่ิ ดอกไม)้ เป็นอาหาร เน่อื งจากพน้ื ดนิ มพี ชื พนั ธุง์ อก
เตม็ ไปหมด นางจงึ นําเอาเสทนี (น้ํา หรอื เหงอ่ื ) และเมทนี(ดนิ )มาปนั้ เป็นรปู สตั วอ์ ย่างละคู่(เพศเมยี
เพศผู้) ให้มากินพชื พนั ธุจ์ นหมด มปี ุรสิ ะ (มนุษยเ์ พศชาย) ผู้หน่ึงเกดิ จากธาตุไฟช่อื ว่า นปุงไคยะ
สงั กะสี (คนถนดั เรยี กว่า ปสู่ งั ไคยะสงั กะส)ี เดนิ ทางมาพบนางอติ ถงั ไคยะสงั กะสี กเ็ กิดจติ ปฏพิ ทั ธ์

๒๒ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๕๖-๕๗.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สมส่เู ป็นผวั เมยี กนั แลว้ ทงั้ คู่ช่วยกนั สรา้ งมนุษยอ์ อกมา ๓ คน คนแรก เป็นเพศหญงิ คนท่ี ๒ เพศ
ชาย และ คนท่ี ๓ นปุงสะ(คนไรเ้ พศ) จากนัน้ ทงั้ คนและสตั ว์ก็แพร่หลาย กระจดั กระจายอาศยั อยู่
ตามภูมภิ าคต่างๆเต็มโลก เม่อื มคี นมาก ก็เกิดมกี ารละเมิดศีลธรรม คนชวั่ ทําผิดศีลธรรมมาก
สดุ ทา้ ยโลก ปแู่ ละยา่ สงั ไคยะสงั กะสี กจ็ ะตอ้ งทาํ ลายลา้ งโลก‛

น้ีคอื ตํานานสรา้ งโลก และมนุษย์ จากธรรมชาตลิ ว้ นๆ ไม่มเี ทวดา พระยาแถน หรอื พระ
เจา้ มาเนรมติ เกดิ โดยววิ ฒั นาการตามธรรมชาติ การแปรปรวนของฤดูหนาวและฤดูรอ้ น ทําใหเ้ กดิ
ธาตุลม ธาตุน้ํา ธาตุไฟ เม่อื ลมพดั น้ํา พรอ้ มกบั ความรอ้ น น้ําเหอื ดแหง้ บงั เกดิ เป็น แผ่นธรณี (ธาตุ
ดนิ ) มคี วามชุ่มชน้ื จงึ บงั เกดิ คราบไคลของน้ําซง่ึ ลาว เรยี กว่า ‚ขต้ี มปวก‛ หรอื ‚ขไ้ี คน้ํา‛ แลว้ มี
มนุษยค์ แู่ รก กเ็ กดิ จากธาตุธรรมชาติ เพศหญงิ เกดิ ก่อนจากธาตุดนิ เพศชายเกดิ ตามมาจากธาตุไฟ
เดมิ เรยี กวา่ นางอติ ถงั ไคยะสงั กะสี และนปงุ ไคยะสงั กะสี ต่อมาทอ้ งถน่ิ ต่างๆ กเ็ กดิ เรยี กเพยี นกนั ไป
เช่น ‚ปู่สงั ไคสา-ย่าสงั ไคสี หรอื ปู่สงั กะสา-ย่าสงั กะส‛ี มนุษยค์ ู่น้ีแหละทช่ี ่วยกนั สรา้ งพลโลกต่อมา
และทําลายโลกเพราะเหน็ ว่า เกดิ ความชวั่ รา้ ยมากมายในมวลมนุษย์ ความคดิ เร่อื งการทําลายโลก
เพราะความชวั่ ของคนน้ี คลา้ ยกนั แทบทุกศาสนาและวฒั นธรรม

ในพงศาวดารลา้ นชา้ ง กล่าวถงึ ชนกลุ่มแรกทเ่ี กดิ มาในโลกนนั้ เกดิ มาจากน้ําเต้าใหญ่ หรอื
น้ําเต้าปุ้ง (น้ําเต้า ภาษาบาลี ว่า ‚ลาวุ‛ หรอื ‚ลาพุ‛ การทเ่ี รยี กเชอ้ื ชาตวิ ่า ‚ลาว‛ กเ็ พราะเกดิ จาก
‚ลาวุ‛ น้ําเต้าป้งุ น่ีดอกกระมงั ) เทา้ ความตามตํานานว่า มี ขุนทงั้ สาม คอื ป่ลู างเชงิ ขนุ เคก็ ขุนคาน
ขออนุญาตต่อแถนเพ่อื กลบั มาอย่เู มอื งมนุษยต์ ามเดมิ พระยาแถนจงึ อนุมตั ใิ หอ้ พยพลงมาอยู่ ‚นา
บอ่ นน้อยออ้ ยหนู‛ และมอบควายตวั หน่งึ ใหล้ งมาช่วยไถนา ต่อมาควายตายลง จงึ เกดิ เป็นต้นน้ําเตา้
ขน้ึ ทซ่ี ากของควาย มผี ลน้ําเต้าใหญ่มากผลหน่ึง (น้ําเตา้ ปุ้ง) เม่อื ผลน้ําเต้านนั้ โตเตม็ ทก่ี ไ็ ด้ยนิ เสยี ง
คนอยู่ในนัน้ เป็นจํานวนมาก ขุนทงั้ สามจงึ เอาเหลก็ ช(ี เหลก็ หมาด)เผาไฟให้แดง เจาะรูเพ่อื ให้คน
ออกมา ๒ รู คอื พวกไทยลมกบั ไทยผวิ เน้อื ดาํ คล้าํ ซง่ึ เป็นบรรพบุรษุ ของพวกข่า ขอม เขมรและมอญ
แต่ยงั มคี นเหลอื อย่ใู นน้ําเตา้ ปุ้งอกี ขนุ ทงั้ สามจงึ หาสวิ่ มาเจาะใหมอ่ กี ๓ รู พวกท่อี อกมารนุ่ หลงั น้ีไม่
ถูกรมควนั จากเหลก็ ชจี งึ มผี วิ กายขาวกว่าได้แก่ ไทยเลงิ ไทยลอ ไทยคราว ซ่งึ กลายมาเป็นบรรพ
บุรษุ ของคนลาว คนไทย คนญวณ ในภายหลงั

สรปุ ว่าการเกดิ โลกและมนุษยค์ รงั้ แรก มี ๒ แนวคดิ คอื มพี ระยาแถนผศู้ กั ดสิ ์ ทิ ธปิ ์ กครองฟ้า
สรา้ งโลกและมนุษยแ์ ละอกี แนวคดิ เช่อื ว่าโลกและมนุษยเ์ กดิ มาจากธาตุ ๔ ตามธรรมชาติ ไม่มผี ู้
ศกั ดสิ ์ ทิ ธบิ ์ นั ดาลใหเ้ กดิ ขน้ึ มา

แนวคิดเกี่ยวกบั ความเช่ือส่ิงเหนือธรรมชาติ : สง่ิ เหนือธรรมชาตทิ ่ชี าวไทยเช่อื นัน้
ดงั้ เดมิ กเ็ ป็นความเช่อื ในสง่ิ ลกึ ลบั พลงั อํานาจลกึ ลบั อทิ ธิ ปาฏหิ ารยิ ์ ภตู ผี สาง วญิ ญาณ ขวญั และ
อมนุษย์ ประเภทต่างๆ มอี ิทธเิ ดช หรอื มอี ํานาจเหนือมนุษย์ เป็นสง่ิ ท่คี วบคุมระบบธรรมชาติให้
เป็นไปตามใจบงการของสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวไทยสมยั ก่อนไม่เข้าใจกฎธรรมชาติ จงึ อธิบาย
สาเหตุปรากฏการณ์ธรรมชาตดิ ว้ ยพลงั อาํ นาจลกึ ลบั บนั ดาล การทจ่ี ะใหธ้ รรมชาตอิ ํานวยผลสง่ิ ทด่ี ใี ห้
ตนได้ ก็ด้วยการปฏบิ ตั ิเอาใจพลงั เหนือธรรมชาตผิ ู้ดลบนั ดาลใหพ้ อใจมากทส่ี ุด พูดง่ายๆ การจะ

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เอาชนะธรรมชาติ หรอื บงั คบั ธรรมชาตไิ ดก้ โ็ ดยการเอาอกเอาใจพลงั อํานาจทบ่ี งการธรรมชาตเิ ท่านนั้
จงึ เกดิ พธิ กี รรมบวงสรวง เซ่น ไหว้ ออ้ นวอน บวงสรวง ตามความเชอ่ื มากมาย

ผเี ป็นความเช่อื ดงั้ เดมิ ของไทย จาํ แนกผอี อกเป็นหลายประเภทและหลายระดบั ‚ผ‛ี เป็น
คาํ ไทย มาค่กู บั คาํ ว่า ‚ผ‛ู้ ในความหมายของคนไทย ‚ผ‛ู้ ถงึ คนเป็นทงั้ ยงั มชี วี ติ อยู่ ‚ผ‛ี หมายถงึ คนท่ี
ตาย เม่อื ตายลงจงึ กลายเป็นผี ทเ่ี รยี กว่า ไปเผาผี ความจรงิ ผี ไม่ได้หมายเพยี งแต่สภาพของผู้ท่ี
ตายไปเหลอื แต่วญิ ญาณเท่านนั้ ยงั หมายรวมอํานาจทย่ี ง่ิ ใหญ่นอกเหนือมนุษย์ เป็นอํานาจทบ่ี นั ดาล
ใหเ้ กดิ โลก มนุษย์ จกั รวาล เช่น ผี ฟ้า ผแี ถน เป็น ผปี กครองโลก ระดบั ลดรองลงมากเ็ ป็นผปี ระจํา
เมอื ง เสอ้ื เมอื ง ทรงเมอื ง ประจาํ ถนิ่ ผบี า้ น ผเี รอื น เสอ้ื บา้ น เสอ้ื เรอื น และผอี นาถาทวั่ ไป เม่อื ชาว
ไทย นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดู ผฟี ้าผแี ถน กไ็ ดร้ บั การยกระดบั เป็นเทพเจา้ สูงสุดบนฟ้า เหล่าผตี ่างๆทท่ี รง
มหทิ ธานุภาพ กก็ ลายเป็นเทวดาอารกั ษ์ไป

ความเช่อื ในอมนุษยป์ ระเภทต่างๆ มดี าษด่นื ในวฒั นธรรมไทย เช่น ยกั ษ์ ครฑุ พญานาค
เงอื ก เป็นต้น นอกจากน้ี กม็ คี วามเช่อื เดมิ ในเร่อื งเวทมนต์ คาถา วชิ า อาคม ไสยศาสตร์ เคราะห์
เวรอุบาทว์ จญั ไร อปั ปีย์ ขดึ๋ เหล่าน้ีเกย่ี วกบั อาํ นาจพลงั ลกึ ลบั อาํ นาจกายสทิ ธิ ์ เป็นตน้

ความเช่ือเรื่องชะตากรรมและบญุ วาสนา

คาํ ถามทางปรชั ญาว่า ‚มนุษยถ์ ูกกาหนดหรอื มเี สรภี าพ‛ หรอื ‚อนาคตเราอยใู่ นมอื เราจรงิ
หรอื ‛ คาํ ตอบของชาวไทยสมยั ก่อน ค่อนขา้ งเช่อื ไปทาง ประเดน็ แรกมากกว่า ถอื ว่าโชคชะตาของ
มนุษยไ์ ดถ้ กู จารกึ ไวล้ ่วงหน้าแลว้ คนมงั่ มี คนทกุ ขย์ าก ต่างถูกชะตากําหนดใหเ้ กดิ มาทุกข์ หรอื มงั่ มี
ดงั คํากล่าวว่า ‚บุญทากรรมแต่ง‛ หรอื ‚แขง่ เรอื แขง่ พายแขง่ ได้ แต่แขง่ บุญวาสนาแขง่ ไมไ่ ด้‛ ถ้าตน้
ตระกูล เผ่าพนั ธุ์ ชาตกิ ําพดื ดหี รอื เลว ลกู หลานย่อมเป็นไปตามเชอ้ื สาย เผ่าพันธุ์ วงศต์ ระกูล ไมผ่ ่า
เหล่าแตกอออกไปได้ ดงั คาํ ว่า ‚เชอ้ื ไมท่ ง้ิ แถว แนวไมท่ ง้ิ เหล่า ลกู ไมห้ ล่นไมไ่ กลตน้ ดชู า้ งใหด้ หู าง ดู
นางใหด้ แู ม่ ถ้าจะใหแ้ น่ ต้องดูถงึ ยาย‛ เป็นตน้ แสดงว่าใครเกดิ มาย่อมมเี จา้ ชะตากําหนดใหเ้ ป็นไป
และเกดิ จากเผา่ พนั ธุใ์ ดยอ่ มมอี ุปนสิ ยั สนั ดานตามตน้ ตอ กอเหงา้ ของผนู้ นั้ ไมม่ ที างเปลย่ี นแปลงเป็น
อ่นื ไปได๒้ ๓

เม่อื ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา ความเช่อื น้ีจางลงไป เช่อื ว่า แม้จะมชี ะตากําหนด
เพราะกรรมเก่า แต่ก็สามารถสรา้ งกรรมใหม่เปล่ยี นแปลงโชคชะตาให้ร้ายหรอื ดไี ด้ คนจะสุขหรอื
ทุกข์ จะสูงส่งหรอื ต่ําต้อย เพราะกรรมของตวั มใิ ช่เพราะชาตพิ นั ธุว์ รรณะ ดงั ท่กี ล่าวว่า ‚คนจะเลว
หรอื ดี มใิ ช่เพราะชาตกิ าเนิด แต่ดหี รอื เลวเพราะกรรมของตนเอง‛๒๔ เขา้ ข่ายความคดิ เหน็ ประเดน็ ท่ี
๒ วา่ อนาคตเรา อยใู่ นมอื เรา (กรรมทท่ี าํ เอง)

๒๓ ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ , พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนและตารา

วิชาการ วิทยาลยั สงฆพ์ ทุ ธชินราช มจร., หน้า ๔๖.
๒๔ พทุ ธพจน์ “คนจะชอ่ื ว่าเป็นคนเลวเพราะชาตกิ าํ เนิดกห็ ามไิ ด้ จะชอ่ื ว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาตกิ ําเนิดกห็ ามไิ ด้ แต่ชอ่ื ว่า

เป็นคนเลวเพราะกรรม ชอ่ื ว่าเป็นพราหมณ์เพราะกรรม” อา้ งใน ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๓๖/๕๓๑-๕๓๒.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ในประเด็นน้ี นักคิดไทยท่านหน่ึงช่อื ม.ร.ว.นิมติ รมงคล นวรตั น มชี ีวติ ระหว่าง พ.ศ.
๒๔๕๑-๒๔๙๑ อดตี นายทหารอากาศ ยศ เรอื อากาศโท ถูกกล่าวหาเป็นกบฏ ๒ ครงั้ (๒๔๗๗ และ
๒๔๘๑) เม่อื ถูกคุมขงั กม็ เี วลาขดี เขยี นหนงั สอื และกวี แสดงความคดิ เหน็ ไดร้ บั การตพี มิ พเ์ ป็นทร่ี จู้ กั
กนั ดวี ่า เป็นนกั คดิ ทเ่ี ฉียบคม วาทะกลา้ นวนิยายเล่มหน่งึ ทถ่ี กู ยกใหเ้ ป็นหนงั สอื ๑ ใน๑๐๐ เล่ม ของ
วรรณกรรมดเี ด่นของชาติ ท่เี ยาวชนไทยควรอ่าน คือเรอ่ื ง ‚เมอื งนิมติ ร‛ ช่อื ภาษาองั กฤษ ว่า ‚An
Idealist’s Dream‛ (๒๔๘๒) ถูกรบิ ทาํ ลายต้นฉบบั ไป แต่เขยี นใหม่เช่อื ว่า ‚ความฝนั ของนักอุดม
คติ‛(๒๔๘๗) กล่าวว่า ‚มนุษย์ย่อมมชี วี ติ อยู่ภายใต้สง่ิ แวดล้อม หมายความว่า สง่ิ แวดล้อมทาง
ธรรมชาติท่เี กดิ ขน้ึ เอง เช่น ดนิ ฟ้า อากาศ และผู้คน และสง่ิ แวดล้อมท่เี กิดจากการสร้างขน้ึ โดย
น้ํามอื มนุษย์ เชน่ ธรรมเนยี ม ประเพณี คา่ นยิ มของสงั คมเป็นตน้ เหลา่ น้ี มอี ทิ ธพิ ลต่อชวี ติ มนุษย‛์

อนั ท่จี รงิ สงิ่ ท่คี นไทยเคยมคี วามเช่อื ติดตวั มานาน คอื ความเช่อื เร่อื งโหราศาสตร์ ชะตา
ชวี ติ ของบ้านเมอื ง และของคน ข้ึนอย่กู บั ฟ้าลขิ ติ และการโคจรของดวงดาว กล่าวแบบภาษาพ้นื ๆ
ว่า ‚ดวง‛ เช่น ดวงบา้ น ดวงเมอื ง และดวงชะตาชวี ติ ของแต่ละคน การจะประกอบกจิ กรรมใดๆ ก็
จาํ เป็นตอ้ ง ผกู ดวง หาฤกษย์ ามทด่ี ี ดว้ ยเชอ่ื ว่า ถ้าประกอบพธิ ตี รงกบั ฤกษ์ ผา นาที ทก่ี ําหนด ชวี ติ
จะมแี ต่ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง ความเชอ่ื อกี ประการหน่ึง คอื เน้ือคู่ หรอื ค่คู รอง เรยี กว่าค่แู นน แถนแต่ง
เกดิ มาเป็นค่แู ลว้ ไมแ่ คลว้ กนั ๒๕

การเวยี นวา่ ยตายเกดิ คนไทยเช่อื ในเรอ่ื งการเวยี นว่ายตายเกดิ เมอ่ื คนตายไป อาจไปเกดิ
ในเมอื งแถน หรอื แดนทรุ กนั ดาร บางทอี าจกลบั มาเกดิ เป็นสมาชกิ ใหมใ่ นครอบครวั เดมิ กไ็ ด้ ตายไป
แลว้ นอกจากจะกลบั มาเกดิ เป็นคนแล้ว อาจจะเกดิ เป็นพชื (เช่นเร่อื งจาํ ปาสต่ี ้น) เป็นสตั ว์(เช่นเร่อื ง
ปลาบู่ทอง) เป็นผสี าง เป็นยกั ษ์ ฯลฯ แนวคดิ เร่อื งการเวยี นว่ายตายเกดิ อาจจะได้รบั อทิ ธพิ ลจาก
ศาสนาพุทธ เพราะอาศยั กฎแห่งกรรม จงึ เวยี นว่ายตายเกดิ เพ่อื ชดใชก้ รรมเก่าทเ่ี คยทํามา เรยี กว่า
เกดิ มาใชก้ รรมเวร คนกวา่ จะหมดกรรม

ความคิดเรื่องความจริงสงู สดุ

ประเดน็ เร่อื งความเป็นจรงิ สงู สุด ในทรรศนะของชาวไทยก่อนนับถอื พุทธศาสนา ยอมรบั
ความจรงิ มี ๓ ประการ คอื ๑. โลกทางวตั ถทุ ีเ่ ห็นและจบั ต้องได้ เป็นสง่ิ ท่มี อี ย่จู รงิ ไม่ปรากฏว่า
ชาวไทยสมยั ก่อนไดม้ องโลกทางวตั ถุวา่ เป็นเพยี งมายา ดุจแนวคดิ ของนกั ปราชญพ์ ราหมณ์ และ ๒.
โลกหน้า หรือ ปรโลก หรอื โลกในมติ อิ ่นื เช่น นรก สวรรค์ บาดาล กเ็ ป็นสง่ิ ทม่ี อี ยจู่ รงิ มสี ตั วผ์ เู้ ป็น
อมตะ ตายไม่เป็น คอื ผฟี ้า หรอื ผแี ถน เทยี บได้กบั แนวคดิ เร่อื งพระเจา้ (GOD) พระพรหม ของ
ศาสนาครสิ ต์ หรอื ศาสนาพราหมณ์ และ ๓. กฎธรรมชาติ กเ็ ป็นความจรงิ หมายความว่า กฎทม่ี อี ยู่
ดงั้ เดมิ เป็นส่วนหน่ึงของจกั รวาล เป็นกฎท่มี นุษย์มไิ ด้บญั ญตั ิข้นึ มอี ยู่จรงิ แล้วในตวั ของมนั เอง
ต่อมาชาวไทยกข็ ยายเป็นเรอ่ื งกฎแห่งศลี ธรรม และกฎแห่งกรรม เมอ่ื นับถอื พระพทุ ธศาสนา

๒๕ ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ , พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนและตารา
วิชาการ วิทยาลยั สงฆ์พทุ ธชินราช มจร., หน้า ๔๖-๔๙..

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สรุปว่าแนวคดิ ทางอภปิ รชั ญา เป็นแนวสจั นิยม (Realism) มองโลกตามความจรงิ ไมเ่ ฟ้อ
ฝนั ใหค้ วามสาํ คญั ทงั้ ทางกายและจติ ใจอาจเขา้ ลกั ษณะทวนิ ิยม (Dualism) แต่ไมแ่ ยกกายออกจาก
ใจอยา่ งเดด็ ขาดดุจทวนิ ิยมตะวนั ตก

แนวคิดสาขาญาณวิทยา

ความคิดในด้านการแสวงหาความรู้ หรือทฤษฎีเก่ียวกับความรู้ ชาวไทยสมยั ก่อนมี
ความคดิ จาํ แนกเป็นประเดน็ ไดด้ งั น้ี

ความรคู้ อื วชิ า หมายถงึ ความรทู้ วั่ ไป สามารถแบ่งเป็นด้านต่างๆ เช่นวชิ าประวตั ศิ าสตร์
วชิ าภาษาไทย วชิ าปรชั ญา หากมคี วามรแู้ ละเชย่ี วชาญในเรอ่ื งใดๆ เราเรยี กว่า วชิ าการ หมายถงึ มี
ความรใู้ นเร่อื งทไ่ี ดฝ้ ึกฝนเล่าเรยี นมา เช่นนักวชิ าการศกึ ษา นักวชิ าการประวตั ศิ าสตร์ นักวชิ าการ
การเมอื ง หรอื มวี ชิ าอาคม แบบโบราณ เป็นตน้ ๒๖

แหล่งเกิดความรู้ ตามความคิดของชาวไทย แหล่งเกิดความรู้ จาแนกเป็น

-ความร้เู กิดจากประสบการณ์

เรยี นรจู้ ากสงั เกตธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม แหล่งความรู้ ตํารบั ตํารา ขยายถงึ ความรทู้ ่เี กิด
จากกระบวนการศกึ ษาเล่าเรยี น ฝึกฝนอบรมจากครู อาจารย์ ดงั คาํ ทข่ี นุ แผนสอนพลายงาม ในเสภา
เรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผนวา่

.....อนั ตารบั ตาราสารพดั ลกู เกบ็ จดั แจงไวท้ ใี่ นตู้

ถา้ ลมื หลบั ตรงไหนไขออกดู ทงั้ ของครูของพอ่ ต่อกนั มา

รสู้ งิ่ ใดไมส่ รู้ วู้ ชิ า ไปเบ้อื งหน้าเตบิ ใหญ่จะใหค้ ณุ ..

และตอนนางทองประศรี นําพลายแกว้ ไปฝากสมภารวดั สม้ เกลย้ี ง เพ่อื เล่าเรยี นว่า ... ท่าน
เจา้ ขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนใหเ้ ป็นแก่นสาร ดว้ ยขุนไกรบดิ ามาถงึ กาล จะไดอ้ ธษิ ฐาน
ใหส้ ว่ นบญุ อกี ทงั้ วชิ าการอ่านเขยี น เจา้ จะไดร้ ่าํ เรยี นเสยี แต่รนุ่ ........

ลกั ษณะความรจู้ ากแหล่งน้ี เรยี กว่าความรหู้ ลงั ประสบการณ์ (Aposteriori Knowledge)
ชาวไทยเรยี กกนั ว่า พรแสวง เกดิ มาไมเ่ ก่ง แต่แสวงหาเรยี นรู้ ฝึกฝนจนเก่งได้

-ความร้เู กิดจากการคิดหรือใช้เหตุผลการขบคิดพินิ จพิเคราะห์ ด้วยการใช้เหตุผล
ด้วยเชาวน์ปฏิภาณ ไหวพริบ กท็ าํ ใหเ้ กดิ ความรไู้ ด้ ชาวไทยเช่อื ในเร่อื ง พรสวรรค์ เพราะบางคนมี
ความคดิ มปี ญั ญาตดิ ตวั มาแต่เกดิ เป็นอจั ฉรยิ ะเก่งมาแต่เกดิ ภาษาศาสนาว่า สชาติกปัญญา๒๗ ดงั
ความสามารถของศรปี ราชญ์ ทส่ี ามารถแต่งต่อโคลงอกี ๒ บาท จนครบ ทเ่ี ป็นโคลงพระราชนิพนธ์

๒๖ สถติ วงศส์ วรรค,์ ปรชั ญาเบอื้ งต้น, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : อกั ษรพทิ ยา, ๒๕๔๓), หน้า ๑๒-๑๔.
๒๗ ปัญญา มี ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ปญั ญาแรก เรยี กว่า สชาติปัญญา คอื ปญั ญาทม่ี มี าพรอ้ มกบั ปฏสิ นธจิ ติ เรยี กว่า ‚ตเิ หตุก
บุคคล‛ ปญั ญาทส่ี อง เรยี กว่า วิปัสสนาปัญญา คอื ปญั ญาทเ่ี กดิ จากการเจรญิ วปิ สั สนากรรมฐาน และ ปญั ญาทส่ี าม เรยี กว่า ปาริ
หาริยปัญญา อนั เป็นปญั ญาในการบรหิ ารจดั การกจิ การงานทงั้ ปวง ดงั บาลวี ่า ‚ตตฺถ ปฐมา สชาตปิ ํฺญา ทุตยิ า วปิ สฺสนาปํฺญา ตติ

ยา สพฺพกจิ ฺจปรณิ ายกิ า ปารหิ ารกิ ปํฺญา‛ อา้ งใน วสิ ุทฺธ.ิ (บาล)ี ๑/๔.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ในสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช สมยั กรงุ ศรอี ยุธยา ขน้ึ กระทแู้ ลว้ มอบใหบ้ ดิ าศรปี ราชญแ์ ต่งต่อ หรอื
ตวั อยา่ งปจั จบุ นั เดก็ ชายเดยี ว อายเุ พยี ง ๔ ขวบ ทงั้ ทย่ี งั ไมไ่ ดศ้ กึ ษาเล่าเรยี น แต่สามารถเล่นเกมส์
ทศกณั ฐเ์ ดก็ ตอบคาํ ถามบอกช่อื คนไดถ้ งึ ๒๐๐ หน้า ไดร้ บั เงนิ รางวลั ถงึ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สล่ี า้ น
บาท) เป็นตน้ และบางคนรโู้ ดยไมต่ อ้ งเรยี น ทางปรชั ญาเรยี กว่า ความรมู้ กี ่อนประสบการณ์ (Apriori
Knowledge)

การตรวจสอบความรู้ กระบวนการตรวจสอบความถูกตอ้ งของความรู้ ในมุมมองของชาว
ไทย ถา้ ใชท้ ฤษฎที างปรชั ญามาจบั จะพบวา่ ชาวไทยใชค้ รบทงั้ ๓ ทฤษฎ๒ี ๘ คอื

๑. ทฤษฎีสหนัย (Inherence Theory) คอื ทฤษฎที ่ถี ือว่าการทจ่ี ะถอื ว่า ข้อความใด
ขอ้ ความหน่ึงเท็จจรงิ หรอื ไม่ ให้ดูว่าขอ้ ความน้ีสอดคล้องกบั ขอ้ ความอ่นื ๆ ทอ่ี ยู่ในระบบเดยี วกนั
หรอื ไม่ ถา้ สอดคลอ้ งกนั ขอ้ ความนนั้ กเ็ ป็นจรงิ ถ้าขดั แยง้ กันขอ้ ความนนั้ กไ็ ม่เป็นจรงิ เช่น ถ้ามใี คร
พูดว่า “ชวั่ เจด็ ที ดีเจด็ หน” เรากต็ ้องยอมรบั คาํ พูดน้ีจรงิ เพราะความรเู้ ดมิ มอี ย่วู ่า สรรพสงิ่ มกี าร
เปล่ยี นแปลง ไมแ่ น่นอน มขี น้ึ มลี ง ตกต่ําแลว้ กอ็ าจจะตงั้ ตวั ขน้ึ มาได้ หรอื คําพงั เพยทว่ี ่า “รวมกนั
เราอยู่ แยกกนั เราตาย” ทฤษฎนี ้ีจงึ เกย่ี วขอ้ งกบั วธิ หี าความรแู้ บบนริ นยั (Deduction)

แต่การนิรนยั บางเร่อื งของคนไทยกไ็ ม่ตรงตามขอ้ เทจ็ จรงิ เพราะอ่อนตรรกะ โดยขอ้ เสนอ
หลกั ไม่เป็นความจรงิ สากล เช่น คนไทยสอนกนั มาว่า ‚หญงิ สามผวั ชายสามโบสถ์ เป็นคนทคี่ บ
ไมไ่ ด‛้ เมอ่ื เหน็ ผใู้ ด จติ ใจไม่มนั่ คง(หรอื อาจเป็นเพราะสาเหคุอ่นื ๆ) บงั เอญิ เคยมสี ามมี าแลว้ ๓ คน
หรอื ชายเคยบวชมาแลว้ ๓ หน กเ็ หมารวมหมดว่า เป็นคนไมด่ ี

๒. ทฤษฎีสมนัย (Correspondence Theory) คอื ทฤษฎที ถ่ี อื ว่าการทจ่ี ะถอื ว่าความรใู้ ด
เป็นความรทู้ ถ่ี ูกตอ้ งเป็นจรงิ กต็ ่อเมอ่ื ความรนู้ นั้ ตรงกบั สงิ่ ทเ่ี กดิ ข้นึ จรงิ ๆ เชน่ คาํ พูดทว่ี ่า “สิบปากว่า
ไม่เท่าตาเหน็ สิบตาเหน็ ไม่เท่ามือคลา สิบมือคลาไม่เท่าทาเอง” หรอื คาํ พูดทว่ี ่า “สิบช่าง ไม่
เท่าเคย สิบลกู เขย ไมเ่ ท่าพ่อตา” และสุภาษติ ทว่ี า่ “เดินทางอย่าเดินเปลี่ยว น้าเชี่ยวอย่าขวาง
เรอื ” ดงั นนั้ สงิ่ ทค่ี า้ํ ประกนั วา่ ความรถู้ ูกตอ้ งเป็นจรงิ คอื การทค่ี วามรนู้ นั้ ตรงกบั สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ ๆ มี
ประสบการณ์ตรงและชาํ นาญในเร่อื งนนั้ ๆ ปฏบิ ตั แิ ลว้ จะเกดิ ผลทงั้ ทางดี หรอื ทางรา้ ยกไ็ ด้ ทฤษฎนี ้ี
จงึ เกย่ี วขอ้ งกบั การหาความรแู้ บบอุปนยั (Induction)

๓. ทฤษฎีปฏิบตั ินิยม (Pragmatism) คอื ทฤษฎที ถ่ี อื ว่าเกณฑต์ ดั สนิ ความจรงิ คอื การใช้
งานได้ ความสาํ เรจ็ ประโยชน์ในทางปฏบิ ตั ิ ความมปี ระโยชน์ คอื พจิ ารณาจากความสามารถนํามาใช้
ประโยชน์ในทางปฏบิ ตั ิ สงิ่ ทเ่ี ป็นจรงิ คอื สง่ิ ทม่ี ปี ระโยชน์ ปฏบิ ตั แิ ลว้ ไดผ้ ลเป็นทน่ี ่าพอใจ ดงั ภาษติ ว่า

‚ผจิ ะจบั จบั จงมนั่ ผจิ ะคนั้ คนั้ ใหต้ าย

ผจิ ะหมาย หมายจงแท้ ผจิ ะแก้ แกจ้ งกระจา่ ง‛ และว่า

‚อยา่ รกั เหากวา่ ผม อยา่ ลมกวา่ น้า

๒๘ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๖๑-๖๒.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

อยา่ รกั ถ้ากว่าเรอื น อยา่ รกั เดอื นกว่าตะวนั ‛ เป็นตน้

เม่อื ชาวไทยนับถอื พระพุทธศาสนา จงึ เน้นการแสวงหาความรตู้ ามแบบพุทธปรชั ญา ทงั้
โดยประสบการณ์ตรง การสงั เกต การพนิ จิ พเิ คราะหท์ งั้ โดยการเรยี นรู้ เพราะอาศยั ประสบการณ์ตรง
หรอื เชาวน์ปญั ญา แต่สง่ิ ทเ่ี น้นท่สี ุดคอื การจะมคี วามรูด้ แี ละถูกต้องนัน้ ก็ต้องเกดิ จากการนัง่ สมาธิ
พฒั นาจติ ใจ อนั เป็นสาเหตุแห่งความรขู้ นั้ สงู สดุ คอื ความรจู้ รงิ หรอื ปญั ญา รจู้ รงิ ตรงตามสจั ธรรม

สรุปประเดน็ ทางญาณวิทยาชาวไทยอดตี ใหค้ วามความสําคญั กบั ความรทู้ เ่ี กดิ จากทงั้ ๒
แหลง่ ทเ่ี รยี กวา่ พรแสวง และพรสวรรค์ ความรจู้ รงิ ตอ้ งตรงกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ และความจรงิ

แนวคิดสาขาจริยศาสตร์

ในคําสอนของชาวไทยตามวรรณคดตี ่างๆ ส่วนใหญ่จะปลูกฝงั ค่านิยมทางดา้ นศีลธรรม
และจรยิ ธรรม สอนเรอ่ื งความดี ความชวั่ บาปบุญ คุณโทษ เน้นความถูกตอ้ งและความเป็นธรรมใน
สงั คมและส่วนตวั มกี ารสอนเร่อื งความอ่อนน้อมถ่อมตน การเคารพเช่อื ฟงั ผู้ใหญ่ ในแนวคดิ ตาม
ระบบจรยิ ศาสตร์ จะนําเสนอคา่ นิยมความดี ของชาวไทย ตามประเดน็ ดงั น้ี

ความดีคืออะไร โดยทัว่ ไปเม่อื กล่าวถึงความดี มักจะจํากัดท่ี ความมีศีลธรรม หรือ
จรยิ ธรรม เป็นความถูกต้อง เป็นความสวยงาม เป็นธรรม แต่ภาษาไทย ใชค้ าํ ว่า ดี หรอื ความดใี น
ภาพทก่ี วา้ งครอบคลมุ นยั ยะดา้ นอ่นื ๆ ดว้ ย ดงั นนั้ ‚ด‛ี ในความคดิ ของคนไทย หมายถงึ คุณสมบตั ทิ ่ี
น่าพงึ ปรารถนาโดยรวมดา้ นอ่นื เขา้ มาประกอบ เช่น

การไมเ่ กเร ไมด่ ้อื รนั้ ไมเ่ กยี จครา้ น เชอื่ ฟงั โอวาท เป็นความดี ของเดก็

การไมท่ อดทง้ิ เพอื่ นในยามยากจน ยามเจบ็ ไข้ ยามจาก เป็นความดขี องเพอื่ น

การไมห่ ยงิ่ ยโส โอหงั ไมถ่ อื ตวั มเี มตตา เป็นความดขี องผใู้ หญ่

ความยตุ ธิ รรม เป็นความดขี องผปู้ กครองและหวั หน้า

การรจู้ กั ขอโทษ การรจู้ กั ใหอ้ ภยั ‚ไมเ่ ป็นไร เลกิ แลว้ กนั ไป‛ เป็นความดขี องทุกคน

การรจู้ กั เกรงใจ รทู้ ตี่ า่ ทสี่ งู มสี มั มาคารวะ เป็นความดขี องทุกคน

ความซอื่ สตั ย์ สุจรติ เป็นความดขี องทกุ คน

เกณฑว์ ดั ค่าความดี แมช้ าวไทยจะไม่ได้วางระบบวดั ค่าความดเี อาไว้ เพราะคนไทยส่วน
ใหญ่จะชอบอะไร ไมช่ อบอะไร มกั ไม่สุดโต่ง ตกขอบ ขนาดชอบทส่ี ุด หรอื เกลยี ดทส่ี ุด ชอบยดึ ทาง
สายกลาง ความพอดี ค่านิยมน้ี ชาวไทยนํามาใชป้ ระเมนิ ค่าของการกระทําตามวฒั นธรรมไทย ซ่งึ
เป็นวฒั นธรรมทางความคดิ ถอื เจตนาในการกระทาํ สําคญั กว่าผลของการกระทํา อย่างคาํ ว่า สาํ คญั
ท่ใี จ แต่บางครงั้ ก็ยดื หยุ่นตามเหตุการณ์ ไม่ตายตวั ถ้าใช้เกณฑแ์ บบตะวนั ตก กจ็ ะพบเค้าให้เหน็
หลายเกณฑ์ ดงั น้ี

๑. เกณฑต์ ายตวั หรอื สมั บรู ณนยิ ม วดั คณุ ค่าในตวั (intrinsic values) มากกว่าคุณค่านอก
ตวั (extrinsic values) สงิ่ ใดดี สงิ่ นนั้ ยอ่ มมคี ่าในตวั เอง ‚เพชรย่อมเป็นเพชร‛ ตกทใ่ี ดกย็ งั เป็นเพชร

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เชน่ ความกตญั ํเู ป็นความดี ซ่อื สตั ยส์ จุ รติ เป็นความดี ความเมตตากรุณาแก่ผตู้ กทุกขไ์ ดย้ าก เป็น
ความดี ผใู้ ดทํากด็ แี ก่ผูน้ นั้ ทําเม่อื ใด ทําทไ่ี หน กด็ เี ม่อื นนั้ เหมาะกบั สถานทน่ี ัน้ ไม่มขี อ้ ยกเวน้ ดงั
จารกึ สุโขทยั บ่งถงึ ความเช่อื จรยิ ธรรมทางศาสนา และเกณฑท์ ่คี ดิ ว่าดี คอื มาตรฐานทางศลี ธรรม
(Moral Norms) เช่น ‚เจา้ เมอื งบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง...ไพร่ฟ้าลูกเจา้ ลูกขนุ ผแิ ลผดิ แผกแยกวา้ ง
กนั สวนดแู ทแ้ ลจ้ งึ แลง่ ความแก่ขา้ ดว้ ยความเช่อื บ่เขา้ ผลู้ กั บ่มกั ผซู้ ่อน เหน็ ขา้ วท่านบ่ใครพ่ นิ เหน็
สนิ ท่านบ่ใคร่เดอื ด‛ในบางวฒั นธรรม เช่นล้านนา เม่อื ทําผดิ ทํานองครองธรรม ผดิ จารตี ประเพณี
นิยม จะบอกว่า ‚ผดิ ผ‛ี ทางอสี าน มเี กณฑย์ ดึ ฮตี ๑๒ ครอง ๑๔ ทางภาคกลาง ก็มเี กณฑจ์ ารตี
ขนบธรรมเนียมทย่ี ดึ ปฏบิ ตั มิ าตงั้ แต่สมยั โบราณ ปจั จุบนั เกณฑเ์ หล่าน้ี ย่อหย่อนลงไปมาก คนใน
สงั คมไทยสมยั ใหมแ่ ทบไมเ่ หน็ คุณค่าและความสาํ คญั

๒. เกณฑแ์ บบสมั พทั ธ์ (Relative) ขน้ึ อยู่กบั ปจั จยั บุคคล สถานท่ี กาลเวลา ระดบั รู้

ความเหมาะ ควรหรอื ไมค่ วร ทจ่ี ะประพฤตติ ่อใคร ในสถานการณ์ใดสามารถปรบั ตวั ตามสถานการณ์
ได้ ภาษติ ไทยว่า ‚เขา้ เมอื งหลวิ่ ใหห้ ลว่ิ ตาตาม‛ ‚อยา่ เป็นคนขวางโลก‛ ‚อยา่ งไรกไ็ ด้‛ กเ็ ลยทําให้
เกดิ ความรสู้ กึ ว่า คนไทยไมจ่ รงิ จงั จรงิ เป็นเลน่ เลน่ เป็นจรงิ ไมม่ หี ลกั การ ตวั อย่าง เมอ่ื เราใชร้ ะบอบ
การปกครองแบบประชาธปิ ไตย มรี ฐั ธรรมนูญ และรฐั บาลมาจากการเลอื กตงั้ ส่วนใหญ่ยดึ หลกั ว่า
ไมค่ วรมกี ารปฏวิ ตั ริ ฐั ประหาร หรอื การปฏริ ปู ใดๆ อนั เป็นกระบวนการล้มลา้ งระบอบประชาธปิ ไตย
เม่อื ทหารเคล่อื นรถถงั ออกมายดึ อํานาจ คราวใด คนไทยกเ็ สยี ความรสู้ กึ และอกสนั่ ขวญั แขวนคราว
นนั้ แต่การณ์กลบั ตาลปตั ร ในวนั องั คารท่ี ๑๙ กนั ยายน ๒๕๔๙ ทผ่ี ่านมา เม่อื ทหารรวมตวั เรยี กว่า
‚คณะปฏริ ปู การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ ‛ (คปค.) นํา
โดย พลเอก สนธิ บุณยรตั น์กลนิ ผู้บญั ชาการทหารบก คนไทยส่วนใหญ่ต่าง พอใจ ยนิ ดี ช่นื ชม
ต้อนรบั หอบลูกจงู หลายไปดูทหารและรถถงั ถ่ายรปู เป็นทร่ี ะลกึ เหมอื นเทศกาลงานวนั เดก็ แมแ้ ต่
คนไทยทเ่ี คยยดึ หลกั การประชาธปิ ไตย เครง่ ครดั กย็ งั มใี จโอนอ่อนหย่อนลงมา ยอมรบั ว่า คปค. ทาํ
ดแี ลว้ ในสถานการณ์บา้ นเมอื งทจ่ี ะลม่ สลายเพราะระบอบทกั ษณิ ปกครอง พฤตกิ รรมไม่คงเสน้ คงวา
ของคนไทยเช่นน้ี ทําให้ชาวต่างชาตไิ ม่เขา้ ใจว่า การปกครองทว่ี ่า ดหี รอื ไม่ดี คนไทยยดึ อะไรเป็น
เกณฑแ์ น่ ทงั้ น้เี พราะมาตรฐานทางสงั คมไทย (Social Norms) มขี น้ึ มลี งตามสภาวะแวดลอ้ ม

๓. เกณฑ์ทางสายกลาง (Middle Criterion) โดยลกั ษณะนิสัย ชาวไทยเป็นคน
ประนีประนอมสูง ปรบั ตวั เองเขา้ กบั ทุกคนได้ แต่กไ็ ม่ใช่ลกั ษณะทอ่ี ่อนแอ ไม่มนั่ คงเป็นไมห้ ลกั ปกั
เลน เมอ่ื ถงึ เวลาตอ้ งตดั สนิ เร่อื งอะไร หลกี เล่ยี งทจ่ี ะใชค้ วามขดั แยง้ รุนแรงแบบหวั ชนฝา เอากนั ถงึ
ตายไปขา้ งหน่ึง ถ้าเป็นไปได้ ชาวไทยขอยดึ ทางสายกลาง เพ่อื ถนอมไมตรที งั้ ๒ ฝ่าย เขา้ ทาํ นอง
‚บวั ไมใ่ หช้ ้า น้าไม่ใหข้ ุ่น‛ หรอื ‚รกั พเี่ สยี ดายน้อง‛ ‚หยกิ เลบ็ กเ็ จบ็ เน้ือ‛ ลบู หน้าปาจมกู ‛ แต่จุดทช่ี าว
ไทยมกั ถกู เขา้ ใจผดิ เรอ่ื งเกณฑท์ างสายกลาง ก็คอื เป็นคนประเภท ‚นกสองหวั ‛ หรอื ‚ล้นิ สองแฉก‛
‚เหยยี บเรอื สองแคม‛ ‚ปล้นิ ปลอ้ นกระล่อนแบบศรที ะนนชยั ‛ ‚มะกอกสามตะกรา้ ปาไม่ถูก‛ อนั ทจ่ี รงิ
การยดึ ทางสายกลางเป็นเกณฑต์ ดั สนิ กอ็ าจจะมใิ ช่การประนีประนอมระหว่าง ตํารวจกบั โจรผู้รา้ ย

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แต่อาจจะเป็นทางเลอื กใหม่ ทางเลอื กท่ี ๓ ท่เี หมาะสําหรบั การเข้าแก้ไขปญั หาความขดั แยง้ ทาง
ความคดิ และพฤตกิ รรม๒๙

คนดีมีลกั ษณะอย่างไร ในความคดิ ของคนไทย ลกั ษณะคนดี สามารถมองได้ทงั้ จาก
คุณสมบตั ภิ ายใน (Intrinsic Value/Quality) ทเ่ี รยี กว่าความมจี รยิ ธรรมและคุณธรรม ทงั้ มองไดจ้ าก
คณุ สมบตั ภิ ายนอก (Extrinsic Value/Quality) อนั เป็นสว่ นทป่ี รากฏ

๑. คณุ สมบตั ิภายใน เกดิ จากใจดี มองจากแนวคดิ ไทย พบคุณลกั ษณะ ดงั น้ีคนดยี ่อรกั
พวกพอ้ ง คนดคี ํานึงถงึ คุณธรรมมากกว่าสทิ ธปิ ระโยชน์ คนดยี ่อมเขา้ กบั ผู้อ่นื ได้ คนดี ย่อมทําให้
เกดิ ผลดี มองดา้ นมโนจรยิ า มลี กั ษณะ เคารพยาํ เกรง บดิ า มารดา และอาจารย์ นับถอื นอบน้อมต่อ
ผใู้ หญ่ มคี วามอ่อนหวานแก่ผนู้ ้อยและมองจากสมบตั ผิ ูด้ ี ๑๐ ประการของเจา้ พระยาพระเสดจ็ สุเรน
ทราธบิ ดี (พ.ศ. ๒๔๔๔) พบวา่ ผดู้ ี ยอ่ มมคี วามเรยี บรอ้ ย ไมท่ ําอุดจาดลามก มสี มั มาคารวะ มกี ริ ยิ า
เป็นทร่ี กั มคี วามสงา่ ไมเ่ หน็ แก่ตวั มใี จดี ปฏบิ ตั กิ ารงานดี และสุจรติ ซ่อื ตรง

๒. คณุ สมบตั ิภายนอก มองทพ่ี ฤตกิ รรม เช่นเป็นคนเอาการเอางาน ใหผ้ อู้ ่นื พง่ึ พาอาศยั
ได้ มีอํานาจวาสนา บารมี ปกป้องลูกน้องได้ เป็นพลเมอื งดีของชาติ มคี วามรู้ความสามารถดี
เจา้ พระยาวสิ ุทธสิ ์ ุรยิ ศกั ดิ ์ (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล) เรยี บเรยี ง สมบตั ผิ ู้ดี พ.ศ. ๒๔๕๕ ในดา้ น กาย
จรยิ า ๑๒ ขอ้ คอื

๑) ยอ่ มนงั่ ดว้ ยกริ ยิ าอนั สุภาพ เฉพาะหน้าผใู้ หญ่

๒) ยอ่ มไมข่ น้ึ หน้าผ่านผใู้ หญ่

๓) ยอ่ มไมห่ นั หลงั ใหผ้ ใู้ หญ่

๔) ยอ่ มแหวกท่ี หรอื ใหท้ น่ี งั่ อนั สมควรแก่ผใู้ หญ่ หรอื ผหู้ ญงิ

๕) ยอ่ มไมท่ ดั หรอื คาบบหุ ร่ี คาบกลอ้ ง และสบู ใหค้ วนั ไปรมผอู้ ่นื

๖) ยอ่ มเปิดหมวก เมอ่ื เขา้ ชายคาบา้ นผอู้ ่นื

๗) ยอ่ มเปิดหมวกในทเ่ี คารพ เชน่ โบสถ์ วหิ าร ไมว่ า่ แหง่ ศาสนาใด

๘) ผนู้ ้อยยอ่ มเคารพผใู้ หญ่ก่อน

๙) ผชู้ ายยอ่ มเคารพผหู้ ญงิ ก่อน

๑๐) ผลู้ ายอ่ มเป็นผเู้ คารพก่อน

๑๑) ผเู้ หน็ ก่อนโดยมากยอ่ มเคารพก่อน

๑๒) แมผ้ ใู้ ดเคารพตนก่อน ยอ่ มตอ้ งตอบเขาทกุ คน ไมเ่ ฉยเสยี และดา้ น

วจีจริยา มี ๖ ข้อ คือ

๑) ยอ่ มไมพ่ ดู จาลอ้ เลยี นหลอกลวงผใู้ หญ่

๒๙ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๖๓-๖๖๕.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๒) ยอ่ มไมก่ ล่าวรา้ ย ถงึ ญาตมิ ติ รทร่ี กั ใครน่ บั ถอื ของผฟู้ งั แก่ผฟู้ งั

๓) ยอ่ มไมก่ ลา่ ววาจา อนั ตเิ ตยี นสง่ิ เคารพ หรอื ทเ่ี คารพของผอู้ ่นื แก่ตวั เขา

๔) เมอ่ื จะขอทาํ ลว่ งเกนิ แก่ผใู้ ดยอ่ มตอ้ งขออนุญาตตวั เขาเสยี ก่อน

๕) เมอ่ื ตนทาํ พลาดพลงั้ สง่ิ ใด แก่บุคคลผใู้ ด ควรออกวาจาขอโทษเสมอ

๖) เมอ่ื ผใู้ ดไดแ้ สดงคณุ ต่อตนอยา่ งไร ควรออกวาจาขอบคณุ เขาเสมอ

จรยิ ศาสตรไ์ ทย แนวคดิ เก่ยี วกบั ความดี มที งั้ ดใี นและดนี อก คนดี มที งั้ คนดที างศลี ธรรม
และคนดที างสงั คมยกย่อง เกณฑว์ ดั ความดขี องไทย มหี ลายแบบเหมอื นมาตรฐาน ๒ ชนั้ เลอื กใช้
ตามสถานการณ์ใหเ้ หมาะสม๓๐

๔.๕ พื้นฐานความเช่ือและประเพณีของสงั คมไทยในฐานะท่ีมาของแนวคิดภมู ิ
ปัญญาไทย

ก. พืน้ ฐานความเชื่อเกี่ยวกบั เทศกาลและพิธีกรรมที่มอี ิทธิพลต่อภมู ิปัญญาไทย

ส่วนเรอ่ื งของประเพณตี ่างๆ มใี นทุกชาตทิ ุกภาษา ส่วนลกั ษณะจะแตกต่างไปประการใดก็
แล้วแต่ลกั ษณะหรอื สภาพของแต่ละท้องถ่ินหรอื แต่ละสงั คม เช่นประเพณีไทยกับจนี ต่างกนั ใน
หลายๆ ด้าน ตัง้ แต่เร่อื งกิริยา มารยาท การเลือกคู่ หมนั้ หมาย แต่งงาน ตาย เป็นต้น ส่วน
สงั คมไทยนัน้ จะเป็นการสบื เน่ืองมาจากการนับถอื พุทธศาสนากจ็ ะมอี ทิ ธพิ ลดา้ นพุทธศาสนาเขา้ มา
เกย่ี วขอ้ งดว้ ย เช่นประเพณกี ารบวช เขา้ พรรษา ออกพรรษา สงกรานต์ ลอยกระทง เทศน์มหาชาติ
เป็นตน้ ประเพณี คอื ระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ตั ทิ เ่ี หน็ วา่ ดกี ว่าถกู ตอ้ งกวา่ หรอื เป็นทย่ี อมรบั ของ
คนส่วนใหญ่ในสงั คม และมกี ารปฏบิ ตั สิ บื ต่อๆ กนั มา เช่นการเกดิ การตาย การหมนั้ หมาย สมรส
บวช ปลกู บา้ นใหม่ ขน้ึ บา้ นใหม่ เป็นตน้ ประเภทของประเพณนี นั้ มี ๔ ประเภท ไดแ้ ก่

ประเพณีปรมั ปรา หมายถึงประเพณีท่เี ก่าก่อน ราชบณั ฑติ ยสถาน ให้ความหมายว่า
สบื ๆ กนั มา เก่าก่อน มมี านาน เช่นนิยายปรมั ปราต่างๆ อาทิ โรบนิ ฮดู แห่งปา่ เชอรว์ ูดท่ชี ่วยคนจน
ของฝรงั ่

จารีตประเพณี หรือกฎศีลธรรม หมายถงึ ประเพณที ม่ี ศี ลี ธรรมเขา้ มารว่ มดว้ ยจงึ เป็นกฎ
ทม่ี คี วามสาํ คญั ต่อสวสั ดภิ าพของสงั คมสงั คมบงั คบั ใหป้ ฏิบตั ติ าม เป็นเรอ่ื งความผดิ ความถูก ความ
นิยมท่ยี ดึ ถอื และถ่ายทอดสบื ต่อกนั มา เช่น การเล่นชู้ ถอื ว่าประพฤติชวั่ ไม่เหมาะสม ผดิ ศลี ธรรม
เป็นตน้

ขนบประเพณี (Institution) หมายถงึ ระเบยี บ แบบแผน ท่สี งั คมตงั้ ขน้ึ กําหนดไว้ให้
ปฏบิ ตั ริ ่วมกนั ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ทางตรง ได้แก่ประเพณีท่มี กี ารกําหนดเป็นระเบยี บแบบ
แผนในการปฏิบตั ิอย่างชดั แจ้งว่าบุคคลต้องปฏบิ ตั ิอย่างไร เช่นการไหว้ครู การศึกษาเล่าเรยี น

๓๐ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๖๔-๖๕.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ศาสนา เป็นตน้ โดยอ้อม กค็ อื ประเพณีทร่ี กู้ นั โดยทวั่ ไป โดยไมไ่ ดว้ างระเบยี บไวแ้ น่นอน แต่ปฏบิ ตั ิ
ได้ เพราะมกี ารบอกเลา่ สบื ต่อกนั มา หรอื จากการทผ่ี ใู้ หญ่หรอื บุคคลอ่นื ปฏบิ ตั ิ เช่น แห่นางแมว การ
จดุ บอ้ งไฟของภาคอสี าน เป็นตน้

ธรรมเนียมประเพณี (Convention) หมายถงึ ประเพณีเก่ยี วกบั เร่อื งธรรมดาๆ ไม่มี
ระเบยี บแบบแผนเหมอื นขนบธรรมเนียมประเพณี หรอื มคี วามผดิ ความถูกเหมอื นจารตี ประเพณี
ดงั นัน้ ธรรมเนียมประเพณีไม่ปฏบิ ตั ติ ามกไ็ ม่ผดิ หรอื มโี ทษ เป็นแต่เพยี งคนส่วนใหญ่ปฏบิ ตั กิ นั และ
เราก็ปฏบิ ตั ติ าม แต่อาจจะไม่เหมอื นกบั อกี หลายสงั คมเป็นเพยี งธรรมเนียมของสงั คมนนั้ ๆ ปฏบิ ตั ิ
กนั เชน่ ไทยใชช้ อ้ นสอ้ มในการรบั ประทานอาหาร ฝรงั่ ใชม้ ดี กบั สอ้ ม เป็นตน้

ฉะนัน้ พระพุทธศาสนาจงึ มอี ิทธพิ ลต่อวฒั นธรรมประเพณีไทยเป็นอย่างมากตงั้ แต่เกดิ ถงึ
ตายทเี ดยี ว เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาทค่ี ่กู บั ชาตไิ ทยมาแต่ยาวนานจงึ ทาํ ใหเ้ กดิ ประเพณหี ลายๆ
ประการในสงั คมทม่ี เี ทศกาลและพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนามาเกย่ี วขอ้ งดว้ ย

สาระสาคญั ของเทศกาลในพระพทุ ธศาสนา

คําว่า เทศกาล มาจากศพั ท์ ๒ คาํ คอื คาํ ว่า “กาล” และคําว่า “เทศ” โดยคาํ ว่า กาล นัน้
ตามหลกั ภาษาบาลแี ลว้ หมายถงึ เวลา ครงั้ คราว หน๓๑ หรอื ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า Time ส่วนคํา
ว่า เทศะ หมายถงึ สถานท่ี พ้นื ท่ี หรอื ขอบเขตของสถานท่ใี ดสถานท่หี น่ึงเม่อื รวมกันแล้วก็เป็น
เทศกาล ซ่งึ หากว่าโดยความหมาของภาษาไทย หมายถงึ คราวหรอื สมยั ทก่ี ําหนดไวเ้ ป็นประเพณี
เพ่อื ทาํ บุญและการรน่ื เรงิ ในทอ้ งถน่ิ เช่น สงกรานตเ์ ขา้ พรรษา สารท เป็นตน้ ๓๒ ซง่ึ หากจะว่ากนั ตาม
ศพั ทจ์ รงิ ๆ แลว้ คําว่า เทศกาลนัน้ จะตรงกบั คําว่านกั ขตั ตฤกษ์ หมายถงึ เทศกาล และพธิ กี รรมท่ี
เกิดข้นึ หรอื มผี ู้คนจัดให้มขี ้นึ ตามวาระของฤดูกาลในรอบหน่ึงปี ซ่ึงงานดงั กล่าวก็จะมมี หรสพ
หมายถงึ งานร่นื เรงิ สนุกสนาน๓๓ ทช่ี าวเมอื งในทอ้ งถน่ิ นนั้ จะมาร่วมกนั แสดงเพ่อื ความสนุกสนาน
โดยเฉพาะคําว่านักหตั หรอื นักขตั ตฤกษ์นัน้ หมายถงึ ดาวฤกษ์ท่อี ยู่บนท้องฟ้าซ่งึ มชี ่อื แตกต่าง
กนั ๓๔ ดาวอสั สยุธ หรอื ดาวมา้ ๓๕ ดาวภารณี (ดาวก้อนเสา้ ) ดาวกตั ตกิ า (ดาวลูกไก่)๓๖ ดาวโรหนิ ี
(ดาวคางหมู)๓๗ ดาวมิคสิร ฤดาวหัวเน้ือ)๓๘ ดาวอัททา (ดาวตาสําเภา) ดาวปุนัพพุสุ (ดาว
สําเภาทอง) ดาวปุสสะหรอื ผุสสะ (ดาวปุฝ้าย)๓๙ เป็นต้น ซ่ึงช่ือของดวงดาวเหล่าน้ีในภัมภีร์

๓๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘), หน้า ๑๕.

๓๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๖.
๓๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘), หน้า ๒๑๖-๒๑๗.
๓๔ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๑๗.
๓๕ ท.ี อ. (บาล)ี ๕/๑๒/๒๐.
๓๖ ม.อ. (บาล)ี ๙/๔๐๐/๒๙๒.
๓๗ ว.ิ อ. (บาล)ึ ๑/๑๐๐/๒๓.
๓๘ ข.ุ อ. (บาล)ี ๓๒/๑๘๐/๔๗๐.
๓๙ ข.ุ อ. (บาล)ี ๔๕/๒๕/๒๑๓.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

พระพุทธศาสนาไดร้ ะบุว่า ชาวอนิ เดยี ไดน้ ํามาเรยี กช่อื เป็นเดอื นต่างๆ ในรอบหน่ึงปีคอื ๑๒, เดอื น
ไดแ้ ก่ เดอื น ๑ คอื เดอื นมากสริ ะ หรอื มคิ สริ ะ ซง่ึ เป็นช่อื ของดาวหวั เน้ือ เดอื น ๒ คอื เดอื นผุสสะ ซง่ึ
เป็นช่อื ของดาวผุสสะ หรอื ดาวปุยฝ้าย เดอื น ๓ คอื เดอื นมาฆะ ซ่งึ เป็นช่อื ของดาวมาฆะ หรอื ดาว
หงอนไถ เดอื น ๔ คอื เดอื น ผคั คุณะ ซง่ึ เป็นช่อื ของดาวผคั กุณี หรอื ดาวววั ตวั เมยี เดอื น ๕ คอื เดอื น
จติ ตะ ซง่ึ เป็นช่อื ของดาวจติ ตะ หรอื ดาวจระเข้ เดอื น ๖ คอื เดอื นวสิ าขะ ซ่งึ เป็นช่อื ของดาววสิ าขะ
หรอื ดาวกนั ฉัตร เดอื น ๗ คอื เดอื นเชฎซะ ซง่ึ เป็นช่อื ของดาวเชฎฐา หรอื ดาวช้างใหญ่ เดอื น ๘ คอื
เดอื นอาสาฬหะ ซง่ึ เป็นชอ่ื ของดาวอาสาฬหะ หรอื ดาวฉตั รทบั ชา้ ง เดอื น ๙ คอื เดอื น สาวณะ ซง่ึ เป็น
ช่อื ของคาวสวณะ หรอื ดาวพระฤาษี เดอื น ๑๐ คอื เดอื น โปฎฐปาทะ, ภทั ทา ซ่งึ เป็นช่อื ของดาว
โบฎฐปาทะ หรอื ภทั ทา หรอื ดาวทม่ี ลี กั ษณะเหมอื นเทา้ โค เดอื น ๑๑ คอื เดอื น อสั สยุชะ ซง่ึ เป็นช่อื
ของดาวอสั สยชุ ะ หรอื ดาวมา้ และเดอื น๑๒ คอื เดอื นกตั ตกิ า ซง่ึ เป็นชอ่ื ของดาวกตั ตกิ า๔๐ จะเหน็ ได้
ว่าในรอบ ๑ ปี หรอื ๑๒ เดอื น นัน้ คนอนิ เดยี สมยั พุทธกาลไดน้ ําเอาช่อื ของดวงดาวฤกษ์หรอื ดาว
นกั ษตั รทงั้ ๑๒ ดวงนนั้ มาตงั้ เป็นช่อื ของเดอื นรวมเรยี กกนั ว่าเป็นเดือน ๑๒ นักษตั ร โดยการนับช่วง
เดอื นในรอบ ๑ ปี ของชาวอนิ เดยี

ชาวอนิ เดยี โบราณนนั้ ไดม้ กี ารยดึ เอาดวงดาวเป็นเกณฑใ์ นการกําหนดช่วงระยะเวลาของ
เดอื นต่างๆ ในรอบ ๑ ปี ซ่งึ ก็ถอื ได้ว่าเป็นเร่อื งท่งี ่ายต่อการจดจําและทําความเขา้ ใจในเร่อื งของ
ช่วงเวลาทจ่ี าํ เป็นสําหรบั การดาํ เนินชวี ติ หรอื ทํากจิ กรรมต่างๆ และเมอ่ื กล่าวถงึ คําว่า นักขตั ตฤกษ์
ซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเป็นศพั ทด์ งั้ เดมิ ของอนิ เดยี ทป่ี รากฏในคมั ภรี บ์ ่อยๆ ว่าในวนั นักขตั ตฤกษ์ยอ่ มมกี ารเล่น
มหรสพกนั ของเทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย ซง่ึ แสดงให้เหน็ ว่า คําว่า นกั ขตั ตฤกษ์นัน้ กค็ อื วนั ท่มี งี าน
ร่นื เรงิ ประจาํ ปีหรอื กล่าวอยา่ งสนั้ ๆ กค็ อื เทศกาลประจาํ เดอื นทงั้ ๑๒ เดอื นในรอบหน่ึงปีนัน้ ดงั นัน้
จงึ กลา่ วไดว้ า่ คาํ ว่านักขตั ตฤกษ์กบั คําว่า เทศกาลหรอื Festival นนั้ เป็นคาํ ทม่ี คี วามหมายเดยี วกนั
คอื เป็นวนั ทค่ี นในสงั คมนัน้ ๆ กําหนดว่าเป็นวนั สําคญั ซ่งึ จะมกี ารละเล่นสนุกสนานร่นื เริง กนั ตาม
ธรรมเนยี ม

อย่างไรก็ตามจากการศกึ ษาแนวคดิ เร่อื งของเทศกาลหรอื นักขตั ตฤกษ์ทป่ี รากฎในคมั ภรี ์
นัน้ ก็จะพบว่าคําว่าเทศกาล หรือนักขตั ตฤกษ์นัน้ มิได้เป็นคําๆ เดียวกันกับคําว่า มหรสพ ซ่ึง
หมายถงึ งานร่นื เรงิ ซ่งึ งานร่นื เรงิ นัน้ อาจเป็นงานทจ่ี ดั ขน้ึ หรอื ไม่กไ็ ดต้ ามแต่ความประสงคข์ อง (๑)
รฐั บาลหรอื ผปู้ กครองประเทศและ (๒) ความประสงคข์ องราษฎรเอง ซง่ึ ในคมั ภรี ไ์ ดร้ ะบุเอาไวอ้ ยา่ ง
ชดั เจนวา่ งานรน่ื เรงิ นนั้ มไิ ดเ้ กอื บตลอดปี แลว้ แต่ว่าทอ้ งถน่ิ หรอื รฐั ใดจะประสงคใ์ หม้ ขี น้ึ หรอื เกดิ ขน้ึ
เช่น กรณีของการออกคําสงั่ ใหช้ าวเมอื งจดั มหรสพในเร่อื งกมั ภโฆสกะ หรอื การจดั มหรสพกนั ขนั้
ของชาวเมอื งสาเกตในกรณีการด่มื สุรา เป็นต้น ซ่งึ มหรสพเหล่าน้ีถือว่าเป็นสง่ิ ท่เี กิดข้นึ ได้เป็น
บางครงั้ คราวแต่ไมเ่ ป็นประจาํ เหมอื นกนั นกั ขตั ตฤกษ์หรอื เทศกาล

๔๐ พระมหาสมปอง ปมทุ โิ ต (ผแู้ ปล), คมั ภีรอ์ ภิธานวรรณา, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์ธรรมสภา ๒๕๔๒), หน้า
๙๘-๑๐๓.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สําหรบั ความเป็นมาของเทศกาล หรือนักขตั ตฤกษ์ท่ีปรากฏในคัมภีร์นัน้ เราจะพบว่า
เน่ืองจากพระพุทธศาสนานนั้ ไดถ้ อื กําเนิดขน้ึ มาภายใต้บรบิ ทางดา้ นสงั คมวฒั นธรรมของอนิ เดยี ซ่งึ
ในยคุ นนั้ ถอื ไดว้ า่ ศาสนาพราหมณ์มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งไปทวั่ อนิ เดยี และในประเทศเรอ่ื งของเทศกาล
นนั้ กถ็ อื ไดว้ ่าก่อนทพ่ี ระพุทธศาสนาจะเกดิ ขน้ึ นนั้ ขอ้ กําหนดของสงั คมในเร่อื งเทศกาลประจาํ ปีหรอื
นักขตั ตฤกษ์นัน้ ไดม้ อี ย่มู าก่อนแล้ว กล่าวคอื ก่อนทพ่ี ระพุทธองคจ์ ะเสดจ็ อุบตั ขิ น้ึ มาชาวเมอื งแต่ละ
เมอื งหรอื ทอ้ งถนิ่ แต่ละทอ้ งถน่ิ กจ็ ะมนี ักขตั ตฤกษ์เป็นของตนเอง ซง่ึ หากจะยดึ เอาความเช่อื ของ (๑)
ทอ้ งถน่ิ ของสงั คมอนิ เดยี ในสมยั นัน้ หรอื (๒) ความเช่อื เก่ยี วกบั ศาสนาพราหมณ์ของคนในทอ้ งถน่ิ
นนั้ ๆ เรากจ็ ะพบว่าเทศกาลของสงั คมอนิ เดยี นัน้ จะถอื กําเนิดมาจากความเช่อื ในเรอ่ื งของธรรมชาติ
ความเช่อื ในเรอ่ื งของดวงดาว การโคจรของดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าและสภาพภูมอิ ากาศทเ่ี ป็นไป
ของแต่ละช่วงเวลา ประชาชนกจ็ ะกาํ หนดเทศกาลประจาํ ชว่ งนนั้ ๆ เชน่ เทศกาลแรกนาขวญั ทก่ี ระทาํ
ในแต่ละพน้ื ทเ่ี น่อื งจากมคี วามเชอ่ื วา่ เมอ่ื ถงึ คราวเกบ็ เกย่ี วจะตอ้ งมกี ารประกอบพธิ กี รรมในเทศกาล
นัน้ ขน้ึ เพ่อื สรา้ งความมนั่ ใจให้กบั ราษฎรก่อนทจ่ี ะลงสู่ช่วงฤดูของการทํานาโดยในเทศกาลน้ีเม่อื มี
การประกอบพธิ ตี ามความเช่อื แลว้ กจ็ ะมมี หรสพคอื งานร่ืนเรงิ ขน้ึ และเป็นช่วงทม่ี กี ารจดั งานประจํา
ทุกปี ดงั นัน้ จงึ ได้ช่อื ว่าเป็นเทศกาล หรอื ในบางทอ้ งถ่ินกจ็ ะมงี านเทศกาลประจําปีซง่ึ งานประจําปี
เช่นน้ีจะถือว่าเป็นงานท่มี ขี ้อบงั คบั ว่าทุกบ้านจะต้องออกมาร่วมงานเช่นกรณีของเทศกาลหรือ
นัก ขัต ต ฤ ก ษ์ ท่ีเ มือ ง ส า เ ก ต ข อ ง น า ง วิส า ข า ซ่ึงเ ท ศ ก า ล ดัง ก ล่ า ว มีนัย ว่ า จัด ข้ึน ใ น ช่ ว ง ห น้ า ฝ น
นอกจากนัน้ แลว้ เทศกาลท่ถี อื ไดว้ ่ามบี ่อเกดิ มาจากความเช่อื ท้องถนิ่ อกี ประการหน่ึงก็คอื เทศกาล
สุรา หรอื เทศกาลการฟ้อนหน้าพระพกั ตรข์ องพระราชาแห่งเมอื งราชคฤห์ ซง่ึ เทศกาลน้ีจะมขี น้ึ ใน
ราวตน้ หรอื กลางปี คอื ราวเดอื น ๔-๖ โดยเทศกาลน้ีจะมรี ะยะเวลาถงึ ๗ วนั ซง่ึ เทศกาลดงั กล่าวมา
นัน้ โดยมากจะเป็นเทศกาลท่เี กดิ ข้นึ ประจําเดือน และเป็นเทศกาลท่มี คี วามเก่ยี วข้องกับความ
สนุกสนานรน่ื เรงิ เสยี เป็นส่วนมาก

เทศกาลตามความเช่ือของชาวพทุ ธที่ปรากฏในคมั ภีร์

สําหรบั ความเป็นมาของเทศกาลท่เี ป็นพระพุทธศาสนานัน้ ก่อนอ่นื ก็ต้องทําความเขา้ ใจ
ก่อนว่า พระพุทธศาสนานัน้ ได้อุบตั ขิ น้ึ ท่ามกลางบรบิ ททางสงั คมของอนิ เดยี ซ่งึ ในขณะนัน้ ศาสนา
พราหมณ์และลทั ธคิ วามเช่อื ต่างๆ ไดเ้ กดิ ขน้ึ มาก่อนแลว้ และประชาชนทอ่ี ย่ใู นอนิ เดยี ยุคนนั้ กม็ คี วาม
เช่อื อย่างเหนียวแน่นต่อระบบความคดิ ความเช่อื ดงั กล่าว และหากจะกล่าวถงึ ‚เทศกาล‛ ของชาว
อนิ เดยี ในยคุ นนั้ หรอื ก่อนยคุ นนั้ กไ็ ดม้ รี ะบบคดิ ในเรอ่ื งของการกําหนดช่วงเวลาของฤดูกาลหรอื เดอื น
ต่างๆ ในรอบ ๑ ปี มานานแลว้ นอกจากนนั้ ก็มธี รรมเนียมความเช่อื หรอื ประเพณีทไ่ี ดม้ กี ารปฏบิ ตั ิ
ต่อเหตุการณ์ในแต่ละช่วงของเดอื นแต่ละเดอื นในรอบ ๑ ปี มาก่อนท่พี ระพุทธศาสนาจะเกดิ ขน้ึ ดงั
เราจะพจิ ารณาไดจ้ ากเทศกาลทข่ี าวเมอื งต่างๆ ไดจ้ ดั ขน้ึ ในรอบปี หรอื ในเดอื นต่างๆ ทป่ี รากฏอย่ใู น
ชาดกต่างๆ ซ่งึ ชาดกนัน้ ถอื ได้ว่าเป็นเร่อื งเล่าท่เี ก่ยี วกบั สรรพบา้ นเมอื งหรอื เหตุการณ์ในอดตี ของ
ชาวอนิ เดยี ก่อนพุทธกาล :ซง่ึ สงั คมอนิ เดยี ในยุคก่อนกค็ ุน้ ชนิ อยกู่ บั การจดั เทศกาลต่างๆ ขน้ึ อย่แู ลว้
การเกดิ ขน้ึ ของพระพุทธศาสนาจงึ ถือได้ว่าเป็นการเกดิ ขน้ึ ในขณะท่มี รี ะบบคดิ เก่ยี วกบั เทศกาลท่ี

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สมบูรณ์เพยี บพรอ้ มจนกลายมาเป็นระบบหรอื แบบแผนของการจดั เทศกาลของชาวอนิ เดยี ในแต่ละ
รฐั หรอื ท้องถน่ิ ทค่ี ่อนข้างมนั่ คงเม่อื พระพุทธศาสนาได้อุบตั ขิ น้ึ ก็ได้ยอมรบั การปฏบิ ตั ติ ามเทศกาล
ต่าง ๆ ของอนิ เดยี ดว้ ย แต่กเ็ ป็นเพยี งบางเทศกาลเท่านนั้ เพราะหากเทศกาลใดทข่ี ดั ต่อหลกั คําสอน
พระพุทธศาสนาก็จะปฏเิ สธหรอื ทําการปฏริ ปู เทศกาลนัน้ ใหม่ เช่น เทศกาลวนั เพญ็ เดอื น ๓ เดมิ ที
เป็นเทศกาลเฉลมิ ฉลองพระเป็นเจา้ ของศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดู ทเี รยี กว่าเทศกาลศวิ าราตรี ในวนั องั
กล่าวก็มีการประชุมสงฆ์ ๑๒๕๐ รูป เพ่ือประกาศจุดยืนของพระพุทธศาสนาเรียกว่า
โอวาทปาตโิ มกข์ ซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเป็นการปรบั เปล่ยี นหรอื สรา้ งค่านิยมและจุดยนื ข้นึ มาใหม่ให้ตรงกบั
แนวทางของพระพุทธศาสนา

ส่วนบางเทศกาลนนั้ ถอื ไดว้ ่าเป็นเทศกาลทเ่ี กดิ ขน้ึ มาจากเน้ือหาของพระพุทธศาสนา คอื
พระวนิ ัยได้แก่ เทศกาลเขา้ พรรษา ออกพรรษา และเทศกาลกฐนิ ซง่ึ เทศกาลทงั้ ๓ น้ีถอื ได้ว่าเป็น
เทศกาลท่เี กิดมาจากเน้ือหาของพระพุทธศาสนาโดยตรงคอื พระธรรมวนิ ัย และเป็นเทศกาลท่ถี ูก
กําหนดขน้ึ เป็นการเฉพาะ ของ ‚ฤดูกาล‛ ซง่ึ เดมิ ทมี ไิ ดจ้ ดั หรอื ตงั้ ช่อื เป็นเทศกาลหรอื นักขตั ตฤกษ์
ตามความเช่อื ดงั้ เดมิ เพราะเป็นเร่อื งทไ่ี ม่ได้เก่ยี วขอ้ งกบั ความสนุกสนามร่นื เรงิ แต่กเ็ ป็นช่วงเวลา
ทศ่ี าสนิกขาวพุทธจะพงึ ปฏบิ ตั กิ นั อย่างพรอ้ มเพยี งในช่วงระยะเวลาดงั กล่าว ดงั นัน้ เทศกาลในทาง
พระพุทธศาสนาทป่ี รากฏในคมั ภรี จ์ งึ มไิ ด้เก่ยี วขอ้ งกบั ดวงดาวประจาํ ปี แต่เป็นเร่อื งท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั
การฝึกอบรม การศกึ ษา เป็นหลกั ทงั้ น้กี ส็ บื เน่อื งมาจากวา่ พระพุทธศาสนาเองไดป้ ฏเิ สธแนวคดิ เรอ่ื ง
ความเช่อื เร่อื งฤกษ์ยาม ดงั พุทธภาษติ ท่วี ่า “สตั วท์ งั้ หลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานัน้ ชือ่
ว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี๔๑ ทงั้ น้กี เ็ พราะว่าพระพทุ ธศาสนามฐี านความเช่อื หลกั ๆ อย่ทู เ่ี ร่อื งกรรมและ
ความเชอ่ื ในศกั ยภาพของมนุษยท์ ส่ี ามารถทาํ ตนเองใหเ้ ป็นทพ่ี ง่ึ ของตนเองไดโ้ ดยไม่ตอ้ งพง่ึ พงิ หรอื งิ
อาศยั เทพเจา้ ใดๆ๔๒ ดงั นนั้ บ่อเกดิ หรอื ความเป็นมาของเทศกาลในทางพระพุทธศาสนาจงึ มไิ ดเ้ ป็น
เร่อื งท่เี ก่ยี วข้องกบั ความสนุกสนานร่นื เรงิ แต่ประการใด แท้จรงิ แล้วต้องการท่จี ะมุ่งให้เทศกาล
ดงั กล่าว เช่น เทศกาลเขา้ พรรษา – ออกพรรษา เป็นเทศกาลท่ภี กิ ษุได้มโี อกาสในการฝึกตนเอง
และเปิดโอกาสให้ตรวจสอบซ่งึ กนั และกนั อย่างใกล้ชดิ ส่วนเทศกาลทอดกฐนิ นัน้ เป็นเทศกาลท่เี ปิด
โอกาสให้ภกิ ษุรบั จวี รจากชาวบา้ น และชาวบ้านกจ็ ะได้มโี อกาสทําบุญทําทานซ่งึ ถอื ว่ามอี านิสงค์
มากน้ีไดอ้ ย่างเต็มท่ี ดงั นัน้ จากขอ้ มูลดงั กล่าวก็จะพบว่าเทศกาลทางพระพุทธศาสนาท่ปี รากฏใน
คมั ภรี ์นัน้ มบี ่อเกดิ ท่สี ําคญั มาจากพระธรรมวนิ ัยของพระพุทธองค์โดยทจี ุดประสงค์เพ่อื การศกึ ษา
อบรมและการอนุเคราะหส์ งเคราะหซ์ ง่ึ กนั และกนั ภายในสงั คม

๔๑ อง.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๕๖/๔๐๐.
๔๒ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๘๐/๑๕๑.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ประเภทของเทศกาลในพระพทุ ธศาสนา

สาํ หรบั เทศกาลในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนานัน้ สามารถแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ๑. เทศกาล
ตามความเชอื่ ของชาวอนิ เดยี ดงั้ เดมิ ๒. เทศกาลตามความเชอื่ ของชาวพุทธ๔๓

๑) เทศกาลตามความเช่ือของชาวอินเดีย สาํ หรบั เทศกาลทจ่ี ดั ไดว้ ่าเป็นเทศกาลทเ่ี กดิ
จากความเชอ่ื ของชาวอนิ เดยี เก่ยี วกบั งานนักขตั ตฤกษ์ประจาํ เดอื นต่างๆ ซง่ึ ชาวอนิ เดยี โดยมากจะ
มคี วามเชอ่ื ในศาสนาพราหมณ์เป็นหลกั ดงั นนั้ การเช่อื ในเร่อื งดวงดาว และโชคชะตา (Destiny) จงึ
เป็นเร่อื งท่มี คี วามสําคญั ดงั นัน้ เทศกาลโดยมากจงึ เป็นเทศกาลทจ่ี ดั ขน้ึ ตามความเช่อื ของศาสนา
พราหมณ์ เช่น เทศกาลบูชาพระเจา้ หรอื ทเ่ี รยี กว่าศวิ าราตรี ก็มกั จะจดั ขน้ึ ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ หรอื
เดอื นมาฆะ

อน่ึง หากจะพิจารณาถึงเทศกาลท่ีปรากฏในคมั ภีร์พระพุทธศาสนานัน้ นอกจากจะมี
เทศกาลทเ่ี กย่ี วเน่อื งกบั ศาสนาพราหมณ์แลว้ กย็ งั มเี ทศกาลทเ่ี ป็นเทศกาลของชาวบา้ นทวั่ ไป โดยจะ
จดั ขน้ึ ในฤดกู าลต่างๆ แตกต่างกนั ซง่ึ ในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนานัน้ ไดก้ ล่าวถงึ เทศกาลของทอ้ งถน่ิ
ดงั น้ี

ก) เทศกาลฟ้อนราํ ถวายพระราชา ของกรุงเราชคฤห์ ซง่ึ การแสดงนัน้ จะมไี ปตลอด ๗ วนั
โดยเทศกาลครงั้ น้ี ทาํ ใหอ้ คั คเสนบุตรเศรษฐตี กหลุมรกั ธดิ านกั ฟ้อน

ข) เทศกาลด่มื สุราของชาวเมอื งสาวตั ถี ซง่ึ บรรดาสามขี องสหายนางวสิ าขาไดไ้ ปร่วมงาน
และเป็นเหตุใหบ้ รรดาสหายของนางวสิ าขาไดก้ ลายมาเป็นคนตดิ สุรา

ค) เทศกาลเปิดของเมอื งสาเกต บา้ นเกดิ ของนางวสิ าขา ซง่ึ เป็นเทศกาลทพ่ี ราหมณ์ไดม้ า
พบนางและไดร้ ถู้ งึ ความเป็นสตรผี ู้บรบิ ูรณ์ไปดว้ ยเบญจกลั ยาณี และนําไปสู่การแต่งงานกบั ลกู ชาย
เศรษฐใี นทส่ี ดุ

ง) เทศกาลประจําปีของกรงุ ไพสาลี เป็นเทศกาลทม่ี กี ารเล่นมหรสพประโคมงานตวั ตงั้ แต่
เชา้ จนสวา่ ง เป็นเวลาถงึ ๗ วนั ๗ คนื

จากการยกตวั อย่างของเทศกาลดงั กล่าวมานนั้ เราจะพบว่าในสงั คมอนิ เดยี นัน้ เช่อื ว่าคงมี
เทศกากนั เกอื บทกุ เดอื นในหน่งึ ปี โดยแต่ละรฐั กจ็ ะมขี อ้ กําหนดเกย่ี วกบั เทศกาลทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป
กล่าวคอื ในเดอื น ๖ คอื วนั เพญ็ เดอื น ๖ นัน้ จะถอื ไดว้ ่าเป็นวนั ทม่ี กี ารเล่น หรอื มเี ทศกาลกนั แทบทุก
รฐั แต่ว่าแต่ละรฐั กจ็ ะมเี ทศกาลทแ่ี ตกต่างกนั ออกไปกล่าวคอื ในแควน้ วชั ชี แควนั ไพสาลี ซง่ึ อย่ทู าง
เหนือโดยมากจะเป็นการเล่นสนุกสนานกนั คอื การออกไปสวนและนําเอาผูห้ ญงิ ไปบําเรอกามหรอื
ผหู้ ญงิ สาว และชายหนุ่ม กจ็ ะหาโอกาสพบกนั ในสวนคอื อุทยานแต่ในกรงุ ราชคฤหก์ ลบั เป็นเทศกาล
ของการฟ้อนรําของคณะนักฟ้อนส่วนในเมอื งสาเกตกลบั เป็นเร่อื งของการเล่นสนุกในรมิ ฝงั่ แม่น้ํา

๔๓ คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , เทศกาลและพิธีกรรมพระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หน้า ๓๗-๓๙.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แสดงใหเ้ หน็ วา่ ชาวอนิ เดยี นนั้ แมว้ ่าจะมกี ารนับถอื ศาสนาพราหมณ์เหมอื นกนั แต่กอ็ าจจะมคี วามเช่อื
และมขี อ้ กาํ หนดเกย่ี วกบั เทศกาลทแ่ี ตกต่างกนั

ข) เทศกาลตามความเชื่อของชาวพุทธ สําหรับเทศกาลงานความเช่ือของ
พระพุทธศาสนานนั้ ถอื ไดว้ ่าเป็นเทศกาลทม่ี คี วามแตกต่างไปจากเทศกาลตามความเช่อื ทอ้ งถนิ่ ของ
ชาวอนิ เดยี ทม่ี ไิ ดม้ ุ่งเพ่อื จุดประสงคข์ องการบูชาเทพเจา้ หรอื มุ่งทจ่ี ะสรา้ งความสนุกสนานใหเ้ กดิ ขน้ึ
แก่คนหมมู าก หากแต่เป็นเทศกาลทม่ี งุ่ ผลดา้ นการศกึ ษาหรอื เรยี นรใู้ หเ้ กดิ กบั สงั คม (สงฆ)์ มากกว่า
ซง่ึ เทศกาลตามความเช่อื หรอื ของชาวพทุ ธนนั้ กม็ อี ยู่ ๓ เทศกาลทส่ี าํ คญั คอื

(๑) เทศกาลเข้าพรรษา สาํ หรบั การเขา้ พรรษาน้ีถอื ไดว้ ่าเป็นมลู เหตุแรก ทจ่ี ดั ไดว้ ่าเป็น
‚เทศกาล‛ ตามนัยทป่ี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาเพราะการเขา้ พรรษาน้ีถอื ไดว้ ่าเป็นช่วงทม่ี กี าร
กาํ หนดระยะเวลาไวอ้ ย่างชดั เจนคอื ในช่วง ๓ เดอื นในฤดคู อื เรมิ่ ตงั้ แต่แรม ๑ ค่าํ เดอื น ๘ ไปจนถงึ
วนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑ รวมระยะเวลา ๓ เดอื น อย่างไรกต็ ามในคมั ภรี ไ์ ดร้ ะบุเอาไว้ว่าการอธษิ ฐาน
เขา้ พรรษานนั้ มอี ยู่ ๒ ช่วง คอื ช่วงท่ี ๑ วนั แรม ๑ ค่าํ เดอื น ๘ และชว่ งท่ี ๒ คอื วนั แรก ๑ ค่าํ เดอื น
๙ ส่วนวนั ออกพรรษากใ็ หเ้ ล่อื นไปตามกําหนดของการอธษิ ฐาน ซง่ึ วนั เขา้ พรรษานนั้ มปี ระวตั คิ วาม
เป็นมาตามคมั ภรี ์ ดงั น้ี

ก) ความเป็นมา ภายหลงั จากทพ่ี ระพุทธองคท์ รงตรสั รแู้ ละไดด้ ําเนินพุทธวธิ ใี นการเผยแผ่
และสรา้ งความเป็นปึกแผ่นใหเ้ กดิ ขน้ึ ไดร้ บั การตงั้ คณะสงฆแ์ ละบญั ญตั พิ ระวนิ ัยมาเพ่อื เป็นแนวทาง
ในการฝึกฝนบรรดาภกิ ษุผเู้ ป็นเหล่าสาวกแลว้ ในช่วงแรกทรงมไิ ดบ้ ญั ญตั เิ ร่อื งการเขา้ พรรษา ภกิ ษุ
เมอ่ื ไดร้ บั การบวชเขา้ มาแลว้ กจ็ ะพบกนั เดนิ ทางไปในทต่ี ่างๆ เพ่อื การบาํ เพญ็ สมณธรรมหรอื ไปเพ่อื
ประกาศศาสนาซ่งึ การเดนิ ทางไปนัน้ ก็ก่อให้เกิดความเสยี หายแก่ไร่นาของชาวบา้ นท่ปี ลูกไว้เป็น
อย่างมากทําให้บรรดาชาวบ้านซ่งึ เป็นเจา้ ของไร่นาจงึ พากนั ดําเนินและให้ข่าวในทางเสยี หายแก่
ต่างๆ นานา ดงั ขอ้ ความวา่

‚ภกิ ษุเหล่านัน้ เทย่ี วจารกิ ไปทงั้ ฤดูหนาว ฤดูรอ้ นและฤดูฝน มนุษยท์ งั้ หลายพากนั ตําหนิ
ประณาม โพนทะนาว่า ‚ไฉน พระสมณะเชอ้ื สายศากยบุตร จงึ ไดเ้ ทย่ี วจารกิ ไปทงั้ ฤดูหนาว ฤดูรอ้ น
และฤดฝู น ย่าํ ตณิ ชาตอิ นั เขยี วสด เบยี ดเบยี นสง่ิ มชี วี ติ ซง่ึ มอี นิ ทรยี เ์ ดยี ว เหยยี บสตั วเ์ ลก็ ๆ จาํ นวน
มากใหถ้ งึ ความวอดวายเล่า พวกอญั เดยี รถยี เ์ หล่าน้ี ผสู้ อนธรรมไมด่ ยี งั พกั อย่ปู ระจาํ ทต่ี ลอดฤดฝู น
อกี ทงั้ ฝงู นกเหลา่ น้ีเล่ากย็ งั ทาํ รวงรงั บนยอดไมพ้ กั อย่ปู ระจาํ ทใ่ี นฤดฝู นส่วนพระสมณะเชอ้ื สายศากย
บุตรเหล่าน้ี เท่ยี วจารกิ ไปทงั้ ฤดูหนาว ฤดูรอ้ น และฤดูฝน ย่าํ ตณิ ชาตอิ นั เขยี วสด เบยี ดเบยี น
สงิ่ มชี วี ติ ซง่ึ มอี นิ ทรยี เ์ ดยี ว เหยยี บสตั วเ์ ลก็ ๆ จาํ นวนมากใหถ้ งึ ความวอดวายไป‛๔๔

เม่อื ภกิ ษุไดย้ นิ เช่นนัน้ จงึ นําความกราบทูลพระพุทธองคท์ ่พี ระเชตวนั มหาวหิ าร เม่อื พระ
พุทธองคท์ รงทราบจงึ ไดม้ พี ุทธานุญาตใหภ้ กิ ษุอยจู่ าํ พรรษาในอาวาสใดอาวาสหน่ึง๔๕ เป็นระยะเวลา
๓ เดอื น

๔๔ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘๔/๑๙๒.
๔๕ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘๕/๑๙๓-๑๙๔.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ข. กําหนดระยะเวลาในการเขา้ จําพรรษา เม่อื พงึ กําหนดหรอื อนุญาตให้มกี ารจําพรรษา
แล้วพระภกิ ษุก็กราบทูลถามว่า การเขา้ พรรษาจะถอื การอธษิ ฐานก่ชี ่วง พระพุทธองคท์ รงอนุญาต
การเขา้ จาํ พรรษา ๒ ชว่ ง คอื แรม ๑ ค่าํ เดอื น ๘ ช่วงท่ี ๑ และแรม ๗ ค่าํ เดอื น ๙ เป็นชว่ งท่ี ๒

ค. เง่อื นไขของการเขา้ จาํ พรรษา สาํ หรบั การเขา้ พรรษานนั้ ถอื ได้ว่าเป็นช่วงเวลาทส่ี ําคญั
ของพระสงฆท์ จ่ี ะมโี อกาสไดห้ ยดุ ศกึ ษาจารกิ ไปส่ทู ต่ี ่างๆ อนั จะก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่ทรพั ยส์ นิ
ของประชาชนซง่ึ มเี ง่อื นไขสาํ คญั กค็ อื (๑) ตอ้ งอย่ใู นขอบเขตของพน้ื ทใ่ี ดพน้ื ทห่ี น่ึงเน้นระยะเวลา ๓
เดอื น ถา้ ไมม่ กี จิ จาํ เป็นแลว้ จะต้องไมเ่ ดนิ ทางไปทอ่ี ่นื นอกจากอารามอธษิ ฐานเขาพรรษานนั้ หรอื
หากมเี หตุจาํ เป็นจะต้องรบี ไปและรบี กลบั ภายในวนั นนั้ (๒) หากมเี หตุจาํ เป็นจะตอ้ งเดนิ ทางไปดว้ ย
เหตุ ๔ ประการน้คี อื

๑) เมอ่ื มญี าตโิ ยมจะสรา้ งกุฎถิ วาย และเขาไดส้ ง่ คน (ทตู ) มาตามดว้ ยเป็นเหตุจาํ เป็น

๒) เม่อื เพ่อื สหธรรมมกิ มคี วามต้องการจะสึก และผู้นนั้ สามารถเดนิ ทางไปเพ่อื พูดใหเ้ ขา
คลายจากความตอ้ งการทจ่ี ะสกึ ลงไปได้

๓) เมอ่ื เพ่อื สหธรรมมกิ หรอื บดิ ามารดาเจบ็ ปว่ ย

๔) เมอ่ื ทายกนิมนตไ์ ปทาํ บญุ ซง่ึ เป็นทายกทม่ี ศี รทั ธาจรงิ ๆ และภกิ ษุรปู นนั้ กม็ คี วามสําคญั
ต่อการรกั ษาศรทั ธาของทายกคนนนั้ หรอื มเี หตุอ่นื ทส่ี ามารถอนุโลมเขา้ กบั เหตุ ๔ ขอ้ น้ี๔๖

ในกรณีดงั กล่าวภกิ ษุผู้อธษิ ฐานเขา้ พรรษาสามารถท่จี ะเดนิ ทางไปเพ่อื ประกอบสาสนกจิ
นนั้ ไดแ้ ต่จะต้องเดนิ ทางกลบั ภายใน ๗ วนั ดงั นนั้ จงึ เรยี กกรณีเช่นน้ีว่า ‚สตั ตาหกรณยี ะ‛ หมายถงึ
การเดนิ ทางไปประกอบศาสนกจิ ไดภ้ ายใน ๗ วนั

ง) วตั ถุประสงค์ ของการเขา้ พรรษา การเขา้ พรรษาของพระสงฆน์ นั้ มวี ตั ถุประสงคท์ ส่ี าํ คญั
กค็ อื (๑) การไมท่ ่องเทย่ี วไปในฤดทู าํ นาทาํ ไรข่ องเกษตรกรอนั จะก่อใหเ้ กดิ ผลเสยี หายแก่พชื พนั ธุใ์ น
ฤดูฝน (๒) เพ่อื เปิดโอกาสใหภ้ กิ ษุไดป้ วารณาหรอื อธษิ ฐานเขา้ พรรษาในสถานเดยี วกนั เป็นหม่คู ระ
(สงฆ)์ และเปิดโอกาสใหส้ งฆห์ รอื สมาชกิ ทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั นนั้ ไดต้ รวจสอบหรอื ว่ากล่าวตกั เตอื นตนเองได้
อนั ถอื ไดว้ ่าเป็นแนวทางสาํ คญั ในการเรยี นรู้ การฝึกตนเองทงั้ ภายใน (จติ ใจ) และภายนอก (คอื การ
อย่รู ่วมกนั กบั คนอ่นื ๆ ในสงั คม) (๓) เพ่อื เปิดโอกาสใหอ้ ุบสกอุบาสกิ าท่อี ย่ภู ายในอารามสามารถ
ทาํ บุญ ฟงั ธรรมหรอื ไดส้ นทนาธรรมกบั ภกิ ษุไดอ้ ยา่ งใกลช้ ดิ (๔) เพ่อื เปิดโอกาสใหภ้ กิ ษุผปู้ ระสงคจ์ ะ
ปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งจรงิ จงั ในอารามใดอารามหน่งึ

จะเหน็ ไดว้ า่ วตั ถุประสงคข์ องการเขา้ พรรษาอนั นบั ไดว้ ่าเป็นเทศกาลหน่ึงทป่ี รากฏในคมั ภรี ์
พระพุทธศาสนาซ่งึ วตั ถุประสงค์ของเทศกาลเข้าพรรษาน้ีก็มไิ ดเ้ ป็นไปเพ่อื ความสนุกสนาน ร่นื เรงิ
หรอื เงอ่ื นไขอ่นื ๆ เชน่ การบชู าเทพเจา้ ทงั้ น้เี พราะคําสอนของพระพุทธศาสนานนั้ มไิ ดม้ หี ลกั คําสอน
ดงั กล่าวนนั้ เอง

๔๖ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘๗-๑๙๓/๑๙๕-๓๐๒

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

จากการกล่าวมาทงั้ หมดเราจะพบว่า การเข้าพรรษานัน้ ถือได้ว่าเป็นเทศกาลอย่างหน่ึง
เน่ืองเป็นกจิ กรรมท่มี กี ารกําหนดช่วงเวลาไว้อย่างชดั เจนอกี ทงั้ ยงั เป็นช่วงเวลาท่มี กี ารประกอบพธิ ี
และการทาํ บุญเน่ืองในวนั ดงั กล่าวเป็นประจาํ ในทุกกๆ ปีดว้ ย ดงั นัน้ การเขา้ พรรษาจงึ ถอื ไดว้ ่าเป็น
เทศกาลอยา่ งหน่งึ ทม่ี ปี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาอยา่ งชดั เจน

๓) เทศกาลออกพรรษา สาํ หรบั ช่วงเวลาทจ่ี ดั ได้ว่าเป็นเทศกาลอกี ประเภทหน่ึงทป่ี รากฏ
ในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนากค็ อื การออกพรรษา หรอื เทศกาลออกพรรษา ซง่ึ การทจ่ี ดั ว่าออกพรรษา
นนั้ เป็นเทศกาลกเ็ พราะ วนั ออกพรรษานนั้ มอี งคป์ ระกอบหลกั ทจ่ี ะพจิ ารณาว่าเป็นเทศกาลกค็ อื (๑)
มชี ่วงเวลาทถ่ี ูกกําหนดไวช้ ดั เจน (๒) ในวนั ดงั กล่าวมพี ธิ กี รรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งอย่างชดั เจน (๓) พธิ กี รรม
หรือระเบียบประเพณีนัน้ มีความเก่ียวข้องกับสงั คมในวงกว้างคือ เก่ียวข้องกับพระสงฆ์และ
พุทธศาสนิกชนโดยพธิ กี รรมนนั้ ก็มที งั้ ในส่วนของพธิ กี รรมของพระสงฆค์ อื การปวารณาออกพรรษา
และพธิ กี รรมของชาวบ้านกค็ อื การทําบุญตกั บาตรเทโว และการฟงั ธรรมในวนั ออกพรรษานัน้ ซง่ึ
องคป์ ระกอบดงั กล่าวน้ีกถ็ อื ไดว้ ่าเป็นเทศกาลได้ เพราะในรอบ ๑ ปี ชาวพุทธกจ็ ะไดม้ โี อกาสทาํ บุญ
เน่ืองในวนั ออกพรรษาเพียงครงั้ เดยี วเท่านัน้ อย่างไรก็ตามเพ่อื ให้เห็นถึงววิ ฒั นาการและความ
เป็นมาของวนั ออกพรรษาทป่ี รากฏในคมั ภรี น์ นั้ เราสามารถทจ่ี ะพจิ ารณาประเดน็ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ดงั น้ี

ก) ความเป็นมางานเทศกาลออกพรรษานนั้ ถอื ว่าไดม้ ขี น้ึ ภายหลงั จากท่พี ระพุทธองค์ได้
ทรงบญั ญตั หิ รอื อนุญาตใหภ้ กิ ษุเขา้ จาํ พรรษาเป็นเวลา ๓ เดอื น ณ อารามใดอารามหน่ึงอย่างชดั เจน
โดยได้กําหนดวนั เวลาการเขา้ พรรษา ๒ ช่วง คอื แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๘๔๗ไปจนถงึ ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื น
๑๑ ในปีนัน้ ดงั นัน้ ในวนั ท่ขี น้ึ ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑ ก็คอื วนั ออกพรรษา ซ่งึ ในวนั ดงั กล่าวสงฆท์ ่จี ํา
พรรษาทกุ รปู จะต้องทําพธิ ปี วารณา คอื การอธษิ ฐานออกพรรษา ณ อุโบสถโดยพรอ้ มเพรยี งกนั โดย
ทก่ี ารปวารณานัน้ ถอื ว่าเป็นการแสดงออกซ่งึ ความบริสุทธใิ ์ จของภกิ ษุผู้เขา้ จาํ พรรษาจะต้องแสดง
ความเคารพต่อกนั อน่งึ เราจะพบว่าในวนั ออกพรรษานนั้ นอกจากจะมขี อ้ กําหนดตามพระธรรมวนิ ยั
ว่าภกิ ษุเม่อื อธษิ ฐานเขา้ พรรษาแล้วจะต้องทําการปวารณาในวนั ออกพรรษาแล้วยงั มคี วามเช่อื ทม่ี ี
เก่ยี วกบั ออกพรรษาอกี ความเช่อื หน่ึงซง่ึ ปรากฏในคัมภรี ช์ นั้ อรรถกถาว่าในวนั เขา้ พรรษานัน้ เป็น
ชว่ งทพ่ี ระพทุ ธองคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปส่เู ทวโลกเพ่อื เทศนาอภธิ รรม ๗ คมั ภรี โ์ ปรดพุทธมารดาผทู้ รงสถติ อยู่
ณ สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ สห์ รอื ชนั้ ดุสติ เป็นเวลา ๓ เดอื น เมอ่ื ครบ ๓ เดอื นอนั เป็นวนั ตรงกนั กบั วนั ออก
พรรษาของเหล้าภกิ ษุในโลกมนุษย์พระพุทธองค์ก็ได้เสดจ็ ลงจากสวรรค์ท่เี มืองสงั กสั สนคร โดยมี
เหล่าเทวดาคือพระอินทร์ และบริวารเป็นผู้นําเสด็จและในวันนัน้ พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดง
ปาฏหิ ารยิ โ์ ดยการทาํ การเปิดทงั้ ๓ โลก ใหป้ รากฏแก่กนั และกนั คอื สวรรคโลก มนุษยโ์ ลก และ นรก
สามารถมองเห็นกันในวนั นัน้ เม่อื เสด็จลงสู่โลกมนุษย์บรรดา พระราชาพระมหากษัตริย์และ
พราหมณ์ เศรษฐมี หาศาลและชาวเมอื งก็ได้ร่วมกนั ทําบุญตกั บาตรพระพุทธองคพ์ รอ้ มกบั บรรดา
เหล่าสาวกทงั้ หลาย ซง่ึ จากขอ้ เทจ็ จรงิ อนั เป็นความเป็นมาทป่ี รากฏในพระไตรปิฎกและความเช่อื ท่ี

๔๗ กรณมี กี ารอธษิ ฐานเขา้ พรรษาในชว่ งท่ี ๒ คอื แรม ๑ ค่าํ เดอื น ๙ ภกิ ษุผอู้ ธษิ ฐานนนั้ จะต้องอธษิ ฐานออกพรรษาในวนั
ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๒ แทนแต่วนั นนั้ จะไมใ่ ชว่ นั เทศกาลเพราะเป็นการออกพรรษาเฉพาะผทู้ อ่ี ธษิ ฐานขา้ กวา่ รปู อน่ื ๆ - ผเู้ ขยี น

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ปรากฏในอรรถกถานนั้ กถ็ อื ไดว้ ่าพรรษานนั้ มนี ยั ของความเป็นเทศกาลและขอ้ มลู ทก่ี ล่าวมาทงั้ หมดก็
คอื ความเป็นมาของเทสกาลออกพรรษาทป่ี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา

ข) กําหนดเวลาของเทศกาลวนั ออกพรรษา สําหรบั เง่อื นไขดา้ นเวลาหรอื กําหนดเวลาของ
วนั ออกพรรษานนั้ กพ็ จิ ารณาไดจ้ ากขอ้ กําหนดหรอื พุทธานุญาตของพระพุทธองคท์ ท่ี รงกําหนดใหว้ นั
ออกพรรษานนั้ มขี น้ึ ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๑ สําหรบั ผู้ทป่ี วารณาเขา้ พรรษาในรอบแรก คอื แรม
๑ ค่ํา เดอื น ๘ แต่ถ้าภกิ ษุรปู ไหนกต็ ามปวารณาเขา้ พรรษาในรอบท่ี ๒ คอื แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๙ ก็
จะตอ้ งไปอธษิ ฐานหรอื ปวารณาออกพรรษาในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๒ แทน แต่ทงั้ น้ีวนั ออกพรรษา
โดยปกตกิ จ็ ะหมายเอาเฉพาะวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื น ๑๑ เท่านนั้ ส่วนผเู้ ขา้ พรรษารอบ ๒ จะตอ้ งต้อง
เล่อื นไปอกี ๑ เดอื นกถ็ อื ว่าเป็นรอบพเิ ศษ

ค) เง่อื นไขของผู้ท่ีจะปวารณาออกพรรษา สําหรบั ผู้ท่ีจะปวารณาออกพรรษาได้นัน้
(เฉพาะภกิ ษุ) จะต้องเป็นผูท้ ่อี ธษิ ฐานเขา้ พรรษาครบ ๓ เดอื นแลว้ เท่านนั้ คอื ไม่ว่าจะเขา้ รอบหน่ึง
หรอื รอบท่ี ๒ ก็ตามได้เป็นผู้ท่มี คี ุณสมบตั ิไม่ครบดงั กล่าวถอื ได้ว่าผู้มพี รรษาขาดจะต้องถูกปรบั
อาบตั ทิ ุกกฎ เพราะว่าไม่ทําตามพระวนิ ยั และผเู้ ขา้ พรรษารอบท่ี ๑ กจ็ ะปวารณาออกพรรษาในวนั
ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๑ เท่านนั้ และผอู้ ธษิ ฐานรอบสองกเ็ ช่นกนั จะต้องไปปวารณาในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา
เดอื น ๑๒ เทา่ นนั้ ผทู้ ม่ี คี ุณสมบตั ไิ มค่ รบประการใดประการหน่งึ แลว้ จะปวารณาออกพรรษาน้อยกว่า
เวลาหรอื ล่วงเลยเวลากถ็ อื ว่าผดิ และจะต้องถูกปรับอาบตั โิ ดยสงฆ์ และทส่ี าํ คญั กค็ อื ผู้ทจ่ี ะปวารณา
ออกพรรษาไดก้ ็คอื ผุ้ท่ีไม่ทําพรรษาให้ขาดประการใดประการหน่ึงในระหว่างท่อี ยู่จาํ พรรษา หาก
ละเมดิ ต่อเงอ่ื นไขดงั กล่าวกถ็ อื ไดว้ า่ ไมส่ ามารถจะปวารณาออพรรษาได้ ทงั้ น้ีเพราะภกิ ษุรปู นนั้ ถอื ว่า
ขาดพรรษาหรอื อยพู่ รรษาไมค่ รบนนั้ เอง

ง) การเฉลิมฉลองเน่ืองในเทศกาลออกพรรษา ในเทศกาลวนั ออกพรรษานัน้ ถ้าหาก
พจิ ารณาจากขอ้ มลู ในคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกเราจะพบว่า มเี พยี งการอธษิ ฐานหรอื ปวารณาออกพรรษา
และมกี ารทําบุญเน่ืองในวนั ออกพรรษาเท่านัน้ หรอื อาจจะรวมสทิ ธขิ องผู้ท่ไี ด้เข้าพรรษาครบ ๓
เดอื นก็คอื สามารถรบั กฐนิ จวี รไดแ้ ลว้ กจ็ ะพบว่าไม่มนี ยั ของการเฉลมิ ฉลองเลย แต่ถา้ พจิ ารณาจาก
หลกั ฐานของคมั ภรี อ์ รรถกถาแลว้ กจ็ ะพบว่าในวนั ออกพรรษานนั้ เป็นวนั ทพ่ี ระพุทธองคไ์ ดเ้ สดจ็ จาก
สวรรคเ์ พราะในช่วง ๓ เดอื น นัน้ ทรงเสดจ็ ขน้ึ ไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา เม่อื ครบ
สามเดอื นจงึ ไดเ้ สดจ็ กลบั ส่มู นุษยโ์ ลกท่เี มอื งสงั กสั สนครในวนั ดงั กล่าวพระพุทธองค์ทรงทําการเปิด
ใหโ้ ลก ๓ ภพ ไดม้ องเหน็ กนั และกนั คอื สวรรค์ มนุษย์ และเปรต/นรก และหม่ปู ระชาชนชาวชมพู
ทวปี ต่างกไ็ ดเ้ ดนิ ทางไปรอรบั เสดจ็ ทเ่ี มอื งสงั กสั สนครนนั้ และไดม้ กี ารทาํ การเฉลมิ ฉลองเล่นนกั ขตั ต
ฤกษ์กนั เป็นจาํ นวนมาก ซง่ึ นอกจาการเฉลมิ ฉลองกจ็ ะมกี ารถวายทานแก่พระภกิ ษุสงฆด์ ว้ ยซ่ึงใน
คมั ภรี ์ชนั้ อรรถกาได้ระบุว่าไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านัน้ ท่ตี ่างแสดงความยนิ ดเี พราะบรรดาเทวดา
ทงั้ หลายในสากลโลกไดแ้ สดงความชน่ื ชมยนิ ดดี ว้ ยเช่นกนั

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

(๒) เทศกาลทอดกฐิน

กฐิน หมายถงึ ช่อื พธิ ที ําบุญทางพระพุทธศาสนาหลงั จากออกพรรษาภายในกําหนด ๑
เดอื น มขี อ้ ควรทราบดงั น้ี (๑) เขตกฐนิ ระยะเวลาใหพ้ ระรบั กฐนิ ไดค้ อื ตงั้ แต่แรม ๑ ค่าํ เดอื น ๑๑ ถงึ
ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๒ (๒) ผา้ กฐนิ เป็นผา้ สบง ผา้ จวี ร ผา้ สงั ฆาฏิ ผนื ใดผนื หน่งึ ใน ๓ ผนื น้ี

กฐิน หมายถงึ ไม้สะดงึ ผ้าท่ยี กนํามาถวายแด่พระสงฆ์ผู้อยู่จําพรรษาแล้วท่เี รยี กเช่นน้ี
เพราะเวลาจะตดั ใชส้ ะดงึ ทาบ การทน่ี ําผา้ ไปถวายเรยี กว่า ทอดกฐนิ

ความเป็นมาของกฐิน๔๘ มสี าเหตุมาจากภกิ ษุชาวเมอื งปาเฐยยะ จาํ นวน ๓๐รปู ทงั้ หมด
ถอื อารญั ญกิ ธุดงค์ ถอื ปิณฑปาตกิ ธุดงคแ์ ละถอื เตจวี รกิ ธุดงค์ เดนิ ทางมากรุงสาวตั ถเี พ่อื เฝ้าพระผูม้ ี
พระภาค เม่อื ใกลว้ นั เขา้ พรรษา ไม่สามารถจะเดนิ ทางไปใหท้ นั วนั เขา้ พรรษาในกรุงสาวตั ถไี ด้ จงึ
เขา้ พรรษาในเมอื งสาเกตระหว่างทางภกิ ษุชาวเมอื งปาเฐยยะเหล่านนั้ มใี จรญั จวน อยจู่ าํ พรรษาดว้ ย
คดิ วา่ ‚พระผมู้ พี ระภาคประทบั อย่ใู กลๆ้ พวกเราห่างเพยี ง ๖ โยชน์ แต่พวกเรากไ็ ม่ไดเ้ ฝ้าพระองค‛์
ครนั้ ล่วงไตรมาส ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ออกพรรษาแลว้ เมอ่ื ปวารณาแลว้ ฝนยงั ตกชุกอยู่ พน้ื แผ่นดนิ ชุ่มชน้ื
ไปดว้ ยน้ํา เป็นหล่มเลน พวกเธอมจี วี รชุ่มชน้ื ดว้ ยน้ําเหน็ดเหน่อื ย เดนิ ทางเขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาค
ณ อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถี ครนั้ แลว้ ถวายอภวิ าทพระผู้มีพระภาค นงั่ ณ ท่ี
สมควรการท่พี ระผูม้ พี ระภาคพุทธเจา้ ทงั้ หลายทรงสนทนาปราศรยั กบั ภกิ ษุอาคนั ตุกะทงั้ หลาย นัน่
เป็นพทุ ธประเพณี

ครงั้ นัน้ พระผู้มพี ระภาคตรสั ถามภกิ ษุเหล่านัน้ ว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย เธอทงั้ หลายยงั สบายดี
หรอื ยงั พอเป็นอย่ไู ด้หรอื พวกเธอเป็นผูพ้ รอ้ มเพรยี งกันร่วมใจกนั ไม่ทะเลาะกนั อย่จู าํ พรรษาเป็น
ผาสุกหรอื และบณิ ฑบาตไมล่ ําบากหรอื ‛ ภกิ ษุเหล่านัน้ กราบทูลว่า ‚ยงั สบายดี พระพุทธเจา้ ขา้ ยงั
พอเป็นอย่ไู ด้ พระพุทธเจา้ ขา้ อน่ึง พวกขา้ พระองคเ์ ป็นผูพ้ รอ้ มเพรยี งกนั ร่วมใจกนั ไม่ทะเลาะกนั
อยู่จําพรรษาเป็นผาสุก และบิณฑบาตไม่ลําบาก พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานวโรกาส พวกข้า
พระองค์ มปี ระมาณ ๓๐ รปู เป็นภกิ ษุชาวเมอื งปาเฐยยะ เดนิ ทางมากรุงสาวตั ถเี พ่อื เฝ้าพระผูม้ พี ระ
ภาค เม่อื ใกล้ถงึ วนั เขา้ พรรษา ไม่สามารถจะเดนิ ทางมาใหท้ นั วนั เขา้ พรรษาในกรงุ สาวตั ถไี ด้ จงึ จํา
พรรษาทเ่ี มอื งสาเกตระหวา่ งทางพวกขา้ พระองคร์ ญั จวนใจ อยจู่ าํ พรรษาดว้ ยคดิ ว่า ‘พระผมู้ พี ระภาค
ประทบั อยใู่ กลๆ้ พวกเราหา่ งเพยี ง ๖ โยชน์ แต่พวกเรากไ็ มไ่ ดเ้ ฝ้าพระองค’์ ครนั้ ล่วงไตรมาสพวกขา้
พระองคอ์ อกพรรษาแลว้ เม่อื ปวารณาแลว้ ฝนยงั ตกชุกอยู่ พน้ื แผ่นดนิ เตม็ ไปดว้ ยน้ํา เป็นหล่มเลน
มจี วี รชมุ่ ชน้ื ดว้ ยน้ํา เหน็ดเหน่อื ย เดนิ ทางไกลมา พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛

เรือ่ งอานิสงสก์ ฐิน ๕ อย่าง

ลําดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธรรมกี ถาเพราะเรอ่ื งน้ีเป็นต้นเหตุ แลว้ รบั สงั่ กบั ภกิ ษุ
ทงั้ หลายว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนุญาตใหภ้ กิ ษุผู้อยจู่ าํ พรรษาแล้วกรานกฐนิ ภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษุผู้
กรานกฐนิ แล้วจะได้อานิสงส์ ๕ อย่าง คอื ๑. เทย่ี วไปไม่ต้องบอกลา ๒. ไม่ต้องถอื ไตรจวี รไปครบ

๔๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๐๖/๑๔๕-๑๕๑.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สํารบั ๓. ฉันคณโภชนะได้ ๔. ทรงอตเิ รกจวี รไวไ้ ดต้ ามตอ้ งการ ๕. พวกเธอจะไดจ้ วี รทเ่ี กดิ ขน้ึ ในท่ี
นนั้ ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอผกู้ รานกฐนิ แลว้ ยอ่ มไดอ้ านิสงส์ ๕ อยา่ งน้แี ล

ซง่ึ การทท่ี รงอนุญาตกฐนิ น้ี เพราะทรงใหโ้ อกาสแก่ภกิ ษุผเู้ ดนิ ทางไกลไม่จาํ ต้องจาํ ไตรจวี ร
ไปใหค้ รบทงั้ ๓ ผนื เมอ่ื ทรงอนุญาตเช่นนนั้ แลว้ ประชาชนทวั่ ไปทป่ี ระสงคจ์ ะทําบุญจงึ ไดต้ ระเตรยี ม
วตั ถุต่างๆ ถวายพระสงฆต์ ามพระวนิ ยั เมอ่ื อยคู่ รบพรรษาแลว้

เร่ืองวิธีกรานกฐินและญตั ติทตุ ิยกรรมวาจาสาหรบั กรานกฐิน

ภกิ ษุทงั้ หลาย สงฆพ์ งึ กรานกฐนิ อย่างน้ี คอื ภกิ ษุผู้ฉลาดสามารถพงึ ประกาศใหส้ งฆท์ ราบ
ด้วยญตั ตทิ ุตยิ กรรมวาจาว่า ท่านผูเ้ จรญิ ขอสงฆจ์ งฟงั ข้าพเจา้ ผ้ากฐนิ น้ีเกดิ แล้วแก่สงฆ์ ถ้าสงฆ์
พรอ้ มกนั แล้ว พงึ ใหก้ รานกฐนิ แก่ภกิ ษุช่อื น้ีเพ่อื กรานกฐนิ น่ีเป็นญตั ติ ท่านผู้เจรญิ ขอสงฆจ์ งฟงั
ขา้ พเจา้ ผา้ กฐนิ น้ีเกดิ แลว้ แก่สงฆ์ ถา้ สงฆพ์ รอ้ มกนั แลว้ พงึ ใหก้ รานกฐนิ แก่ภกิ ษุช่อื น้ีเพ่อื กรานกฐนิ
ทา่ นรปู ใดเหน็ ดว้ ยกบั การใหผ้ า้ กฐนิ น้แี ก่ภกิ ษุชอ่ื น้ีเพ่อื กรานกฐนิ ท่านรปู นนั้ พงึ นิ่ง ท่านรปู ใดไมเ่ หน็
ดว้ ย ท่านรูปนนั้ พงึ ทกั ทว้ งผา้ กฐนิ น้ีอนั สงฆใ์ หแ้ ลว้ แก่ภกิ ษุช่อื น้ีเพ่อื กรานกฐนิ สงฆเ์ หน็ ด้วย เพราะ
เหตุนนั้ จงึ นิ่ง ขา้ พเจา้ ขอถอื ความนิ่งนนั้ เป็นมตอิ ยา่ งน้ี๔๙ ฯลฯ

กฐิน มีความหมาย ๔ ประการ

(๑) กฐินท่ีเป็ นช่ือของกรอบไม้ กรอบไมแ้ ม่แบบสาํ หรบั ทาํ จวี ร ซ่งึ อาจเรยี กว่า สะดงึ ก็
ได้ เน่ืองจากในครงั้ พุทธกาลการทําจวี รใหม้ รี ูปลกั ษณะตามทก่ี ําหนด กระทาํ ไดโ้ ดยยาก จงึ ต้องทํา
กรอบไมส้ าํ เรจ็ รปู ไว้ เพ่อื เป็นอุปกรณ์สาํ คญั ในการทาํ เป็นผา้ นุ่งหรอื ผา้ ห่ม หรอื ผา้ ห่มชอ้ นทเ่ี รยี กว่า
จวี รเป็นส่วนรวม ผนื ใดผนื หน่ึงกไ็ ด้ ในภาษาไทยนิยมเรยี ก ผา้ นุ่งว่าสบง ผา้ ห่มว่า จวี ร ผา้ ห่มชอ้ น
ว่า สงั ฆาฏิ การทําผา้ โดยอาศยั แม่แบบเช่นน้ี คอื ทาบผ้าลงไปกบั แม่แบบ และ ตดั เยบ็ ยอ้ มทําให้
เสรจ็ ในวนั นนั้ ดว้ ยความสามคั คขี องสงฆ์ เป็นการรว่ มแรงรว่ มใจกนั ทํากจิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เม่อื ทําเสรจ็ หรอื
พน้ กําหนดกาลแล้ว แม่แบบหรอื กฐนิ นัน้ กร็ อ้ื เกบ็ ไวใ้ ชใ้ นการทําผา้ เช่นนัน้ อกี ในปีต่อๆ ไป การรอ้ื
แบบไว้ เรยี กวา่ เดาะ ฉะนนั้ คาํ วา่ กฐนิ เดาะ หรอื เดาะกฐนิ จงึ หมายถงึ การรอ้ื ไมแ้ มแ่ บบเกบ็ ไวใ้ ช้

(๒) กฐินที่เป็ นชื่อของผ้า หมายถึงผ้าท่ถี วายใช้เป็นกฐนิ ภายในกําหนดกาล ๑ เดอื น
นบั ตงั้ แต่วนั แรม ๑ ค่าํ เดอื น ๑๑ ถงึ วนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๒ ผา้ ทจ่ี ะถวายนนั้ จะเป็นผ้าใหม่ หรอื ผา้
เทยี มใหม่ เช่น ผา้ ฟอกสะอาด หรอื ผ้าเก่า หรอื ผา้ บงั สุกุล คอื ผา้ ท่เี ขาทง้ิ แลว้ และเป็นผา้ เป้ือนฝุ่น
หรอื ผา้ ตกตามรา้ นกไ็ ด้ ผถู้ วายจะเป็นคฤหสั ถ์ , ภกิ ษุหรอื สามเณรกไ็ ด้ ถวายแก่สงฆ์ แลว้ กเ็ ป็นอนั
ใชไ้ ด้

(๓) กฐินที่เป็นชื่อของบญุ กิริยาคอื การทาํ บุญคอื การถวายผา้ กฐนิ เป็นทานแก่พระสงฆ์ ผู้
จาํ พรรษาอยใู่ นวดั ใดวนั หน่งึ ครบ ๓ เดอื น เพอ่ื สงเคราะห์

ผู้ประพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ ให้มผี ้านุ่ง หรอื ผา้ ห่มใหม่ จะได้ใชผ้ ลดั เปลย่ี นของเก่า ทจ่ี ะขาด
หรอื ชาํ รดุ การทาํ บุญถวาย

๔๙ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๐๖/๑๔๕-๑๕๑.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ผา้ กฐนิ หรอื ทเ่ี รยี กว่า ทอดกฐนิ คอื ทอดหรอื วางผา้ ลงไปแล้ว กล่าวคําถวายในท่ามกลาง
สงฆ์ เรยี กไดว้ ่าเป็นกาลทาน คอื การถวายทานทท่ี ําไดเ้ ฉพาะกาล ๑ เดอื น ดงั กล่าวในกฐนิ ทเ่ี ป็นช่อื
ของผา้ ถา้ ถวายก่อนหน้านนั้ หรอื หลงั จากนนั้ ไมเ่ ป็นกฐนิ ทา่ นจงึ ถอื วา่ หาโอกาสทาํ ไดย้ าก

(๔) กฐินท่ีเป็นช่ือของสงั ฆกรรม คอื กจิ กรรมของสงฆก์ จ็ ะต้องมกี ารสวดประกาศขอรบั
ความเหน็ ชอบจากทป่ี ระชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐนิ ใหแ้ ก่ภกิ ษุรปู ใดรปู หน่ึง เม่อื ทําจวี รสาํ เรจ็ แลว้
ดว้ ยความรว่ มมอื ของภกิ ษุทงั้ หลาย กจ็ ะไดเ้ ป็นโอกาสใหไ้ ดช้ ่วยกนั ทําจวี รของภกิ ษุรปู อ่นื ขยายเวลา
ทําจวี รได้อีก ๔ เดอื น ทงั้ น้ีเพราะในสมยั พุทธกาลการหาผ้า การทําจวี รทําได้โดยยาก ไม่ทรง
อนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน ๑. วัน แต่เม่อื ได้ช่วยกันทําสงั ฆกรรมเร่อื งกฐนิ แล้ว อนุญาตให้
แสวงหาผา้ และเกบ็ ผา้ ไวท้ าํ เป็นจวี รได้ จนตลอดฤดหู นาวคอื จนถงึ วนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๔

ขอ้ ความดงั กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้น จะเหน็ ว่าความหมายของคําว่ากฐนิ มคี วามเก่ยี วขอ้ งกนั
ทงั้ ๔ ประการ เม่อื สงฆ์ทําสงั ฆกรรมเร่อื งกฐนิ เสรจ็ แล้ว และประชุมกนั อนุโมทนากฐนิ คอื แสดง
ความพอไจว่าไดก้ รานกฐนิ เสรจ็ แลว้ กเ็ ป็นอนั เสรจ็ พธิ ี

อทิ ธพิ ลกฐนิ ในสงั คมไทยปจั จุบนั มผี ู้ถวายผา้ มากข้นึ มผี ูส้ ามารถตดั เยบ็ ยอ้ มผา้ ท่จี ะทํา
เป็นจวี รไดแ้ พร่หลายขน้ึ การใชไ้ มแ้ มแ่ บบ อย่างเก่าจงึ เลกิ ไป เพยี งถวายผา้ ขาวใหต้ ดั เยบ็ ยอ้ ม ให้
เสรจ็ ในวนั นนั้ หรอื นําผา้ สาํ เรจ็ รปู มาถวายกเ็ รยี กว่า “ถวายผา้ กฐนิ ” เช่นกนั

ประเภทของกฐิน

การทาํ บญุ ทอดกฐนิ ในประเทศไทยเราไดแ้ บง่ กฐนิ ออกเป็น ๒ ประเภท คอื กฐนิ หลวง และ
กฐนิ ราษฎร์

กฐินหลวง ไดแ้ ก่ กฐนิ ทท่ี ําพธิ ที อดถวายแด่พระสงฆท์ อ่ี ย่จู าํ พรรษา ณ พระอารามหลวง
แหง่ ใดแห่งหน่งึ ซง่ึ มอี ยู่ ๓ ประเภท คอื

๑) กฐนิ เสดจ็ พระราชดําเนิน เป็นกฐนิ หลวงทพ่ี ระแผ่นดนิ เสดจ็ ไปพระราชทานถวายด้วย
พระองคเ์ อง หรอื ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหผ้ แู้ ทนพระองคไ์ ปทอดถวายแทน

๒) กฐินต้น เป็นกฐินส่วนพระองค์ท่ีพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดําเนินไปทอด
พระราชทานแก่วดั ใด วดั หน่งึ ซง่ึ อาจเป็นวดั หลวงหรอื วดั ราษฎรก์ ไ็ ด้

๓) กฐินพระราชทาน เป็นกฐินหลวงท่ีโปรดพระราชทานให้แก่หน่วยงานข้าราชการ
คฤหบดี พ่อค้า และประชาชน ผู้กราบบงั คมทูลขอพระราชทานผ้ากฐินนําไปทอดถวาย ณ พระ
อารามหลวง แหง่ ใดแห่งหน่งึ

กฐินราษฎร์ ได้แก่ กฐนิ ท่รี าษฎรผู้มจี ติ ศรทั ธาทงั้ หลายจดั นําไปทอดถวาย ณ วดั ราษฎร์
ทวั่ ไป กฐนิ ราษฎรน์ ้นี ยิ มแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื

๑) มหากฐนิ เป็นกฐนิ ทน่ี ยิ มจดั เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ ต่างๆ มากมาย

๒) จลุ กฐนิ เป็นกฐนิ น้อยหรอื กฐนิ รบี ดว่ นเพราะมเี วลาจดั เตรยี มการน้อย

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

มกี ฐนิ พเิ ศษอกี ชนดิ หน่งึ เรยี กวา่ จลุ กฐนิ เป็นงานทม่ี พี ธิ มี าก ถอื กนั ว่ามาแต่โบราณว่า มอี านิสงสม์ าก
ยง่ิ นกั

วธิ ที ํานัน้ คอื เก็บฝ้ายมากรอเป็นด้าย และทอให้แล้วเสรจ็ เป็นผนื ผ้าในวนั เดยี วกนั และ
นําไปทอดในวนั นัน้ กฐนิ ชนิดน้ี ต้องทําแข่งกบั เวลา มผี ู้ทําหลายคน แบ่งกนั เป็นหน้าท่ๆี ไป ใน
ปจั จบุ นั น้ีไมค่ ่อยนยิ มทาํ กนั แลว้

วธิ ที อดจลุ กฐนิ น้ี มปี รากฏในหนังสอื เรอ่ื งคําใหก้ ารชาวกรงุ เก่าว่า บางทเี ป็นของหลวง ทาํ
ในวนั กลางเดอื น ๑๒ คอื ถ้าสบื รวู้ ่าวดั ไหนยงั ไมไ่ ด้รบั กฐนิ ถงึ วนั กลางเดอื น ๑๒ อนั เป็นทส่ี ุดของ
พระบรมพทุ ธานุญาตซง่ึ พระสงฆจ์ ะรบั กฐนิ ไดใ้ นปีนนั้ จงึ ทาํ ผา้ จลุ กฐนิ ไปทอด

มลู เหตุของจุลกฐนิ คงเกดิ แต่จะทอดในวนั ทส่ี ุดเช่นน้ี จงึ ต้องรบี รอ้ นขวนขวายทําให้ทนั
เหน็ จะเป็นประเพณมี มี าเก่าแก่ เพราะถา้ เป็นชนั้ หลงั กจ็ ะเทย่ี วหาซอ้ื ผา้ ไปทอดไดห้ าพกั ต้องทอใหม่
ไม่

ธงจระเข้

ธงจระเข้ ปญั หาท่วี ่าเพราะเหตุไรจงึ มธี งจระเขย้ กขน้ึ ในวดั ท่ที อดกฐนิ แล้ว ยงั ไม่ปรากฏ
หลกั ฐาน และขอ้ วจิ ารณ์อนั สมบรู ณ์โดยมติ อ้ งสงสยั เท่าทร่ี กู้ นั มี ๒ มติ คอื

๑. ในโบราณสมยั การจะเดนิ ทางต้องอาศัยดาวช่วยประกอบเหมอื น เช่นการยกทพั
เคล่อื นขบวนในตอนจวนจะสวา่ ง จะตอ้ งอาศยั ดาวจระเขน้ ้ี เพราะดาวจระเขน้ ้ีขน้ึ ในจวนจะสว่าง การ
ทอดกฐนิ มภี าระมาก บางทตี อ้ งไปทอด ณ วดั ซง่ึ อยไู่ กลบา้ น ฉะนนั้ การดเู วลาจงึ ตอ้ งอาศยั ดาว พอ
ดาวจระเข้ขน้ึ ก็เคล่อื นองค์กฐนิ ไปสว่างเอาท่วี ดั พอดี และต่อมา ก็คงมผี ู้คดิ ทําธงในงานกฐนิ ใน
ชนั้ ตน้ กค็ งทาํ ธงทวิ ประดบั ประดาใหส้ วยงามทงั้ ทอ่ี งคก์ ฐนิ ทงั้ ทบ่ี รเิ วณวดั และภายหลงั คงหวงั จะให้
เป็นเครอ่ื งหมายเน่อื งดว้ ยการกฐนิ ดงั นนั้ จงึ คดิ ทาํ ธงรปู จระเข้ เสมอื นประกาศใหร้ วู้ า่ ทอดกฐนิ แลว้

๒. อีกมติหน่ึงเล่าเป็ นนิ ทานโบราณว่า ในการแห่กฐนิ ในทางเรอื ของอุบาสกผู้หน่ึง มี
จระเขต้ วั หน่ึงอยากได้บุญ จงึ อุตส่าห์ ว่ายตามเรอื ไปด้วย แต่ยงั ไม่ทนั ถึงวดั ก็หมดกําลงั ว่ายตาม
ต่อไปอกี ไม่ไหว จงึ รอ้ งบอกอุบาสกว่า เหน่ือยนักแล้ว ไม่สามารถจะว่ายตามไปร่วมกองการกุศล
วานท่านเมตตาช่วยเขยี นรปู ขา้ พเจา้ เพ่อื เป็นสกั ขพี ยานว่าไดไ้ ปรว่ ม การกุศลด้วยเถดิ อุบาสกผนู้ นั้
จงึ ไดเ้ ขยี นรปู จระเขย้ กเป็นธงขน้ึ ในวดั เป็นปฐม และสบื เน่อื งมาจนบดั น้ี

ข้อกาหนดเกี่ยวกบั กฐิน

๑. จํานวนพระสงฆ์ในวดั ท่จี ะทอดกฐินได้ ถ้ากล่าวตามหลักฐานในพระวินัยไตรปิฎก
มหาวรรค ซง่ึ เป็นพระพทุ ธภาษติ กล่าววา่ สงฆ์ ๔ รปู ทาํ กรรมไดท้ กุ อยา่ ง (เว้นการปวารณา คอื การ
อนุญาตใหว้ ่ากลา่ วตกั เตอื นได้ การอุปสมบทและการสวดถอนจากอาบตั บิ างประการ เชน่ อพั ภานะ)

๒. คุณสมบตั ขิ องพระสงฆท์ ม่ี สี ทิ ธริ บั กฐนิ คอื พระสงฆท์ ่จี ําพรรษาในวดั นัน้ ครบ ๓ เดอื น
ปญั หาท่เี กดิ ข้นึ มอี ยู่ว่า จะนําพระสงฆว์ ดั อ่นื มาสมทบ จะใชไ้ ด้หรอื ไม่ ตอบว่าถ้าพระสงฆ์วดั ท่จี ะ
ทอดกฐนิ นนั้ มจี าํ นวน ครบ ๔ รปู แลว้ จะนําพระสงฆท์ อ่ี ่นื มาสมทบกส็ มทบได้ แต่จะอ้างสทิ ธไิ มไ่ ด้

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ผูม้ สี ทิ ธมิ เี ฉพาะผู้จําพรรษาครบ ๓ เดอื นในวดั นัน้ เท่านัน้ การนําพระภกิ ษุมาจากวดั อ่นื คงมสี ทิ ธิ
เฉพาะทท่ี ายกจะถวายอะไรเป็นพเิ ศษเท่านนั้ ไม่มสี ทิ ธใิ นการออกเสยี งเรอ่ื งจะถวายผา้ แก่ภกิ ษุรูป
นนั้ รปู น้ี

๓. กําหนดกาลจะทอดกฐนิ ได้ ไดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ ในเบอ้ื งต้นว่าการทอดกฐนิ นัน้ ทาํ ไดภ้ ายใน
เวลาจํากดั คอื ตงั้ แต่วนั แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๑๑ จนถงึ วนั ข้นึ ๑๕ ค่ํา เดอื น ๑๒ ก่อนหน้านัน้ หรอื
หลงั จากนนั้ ไมน่ บั เป็นกฐนิ แต่มขี อ้ ยกเวน้ พเิ ศษว่า ถา้ ทายกผจู้ ะทอดกฐนิ นนั้ มกี จิ จาํ เป็น เช่นจะตอ้ ง
ไปในทพั ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐนิ ตามกําหนดนัน้ ได้ จะทอดกฐนิ ก่อนกําหนดดงั กล่าวแล้วพระ
สมั มาสมั พทุ ธะ ทรงอนุญาตใหภ้ กิ ษุรบั ไวก้ ่อนได้

๔. ขอ้ ควรทราบเก่ยี วกบั กบั กฐนิ ไม่เป็นอนั ทอดหรอื เป็นโมฆะ เร่อื งน้ีสําคญั มากควรทราบ
ทงั้ ผู้ทอดและทงั้ ฝ่ายพระสงฆ์ผู้รบั เพราะเป็นเร่อื งทางพระวินัย คือมกั จะมพี ระไนวดั เท่ยี วขอ
โดยตรงหรอื โดยออ้ ม ดว้ ยวาจาบ้าง ดว้ ยหนังสอื บ้าง เชญิ ชวนใหไ้ ปทอดกฐนิ ในวดั ของตน การทํา
เช่นนัน้ ผิด พระวนิ ัย กฐินไม่เป็นอันกรานนับเป็นโมฆะ ทอดก็ไม่เป็นอนั ทอด พระผู้รบั ก็ไม่ไ ด้
อานสิ งส์ จงึ ควรระมดั ระวงั ทาํ ใหถ้ กู ตอ้ งและแนะนําผเู้ ขา้ ใจผดิ ปฏบิ ตั ผิ ดิ ทาํ ใหถ้ กู ตอ้ งเรยี บรอ้ ย

การทอดกฐนิ คอื การถวายผา้ กฐนิ แก่พระสงฆผ์ จู้ าํ พรรษาอย่วู ดั ใดวดั หน่ึงหรอื สถานทใ่ี ดท่ี
หน่งึ ครบ ๓ เดอื น เพอ่ื ใหพ้ ระไดม้ ผี า้ เปลย่ี นใหมก่ ารทอดกฐนิ จงึ ถอื เป็นงานบุญทย่ี ง่ิ ใหญ่ ใหอ้ านิสงส์
แรง เพราะในปีหน่ึงแต่ละวดั จะรบั กฐนิ ไดเ้ พยี งครงั้ เดยี วเท่านนั้ และจะต้องทําภายในเวลาทก่ี ําหนด
ในการทอดกฐนิ คอื ๑ เดอื นเท่านัน้ โดยนับตงั้ แต่วนั ออกพรรษา ดงั นัน้ กฐนิ จงึ จดั เป็น “กาลทาน”
คอื เป็นไปในเวลาทจ่ี าํ กดั ตามบทบญั ญตั พิ ระวนิ ยั

ก่อนการทอดกฐินตามประเพณีไทยจะต้องมกี ารจองกฐนิ ก่อนโดยจะต้องไปแจ้งความ
ประสงคแ์ ก่เจา้ อาวาสแลว้ เขยี นปิดประกาศใหท้ ราบ และเม่อื จองเรยี บรอ้ ยและไดห้ มายกําหนดการ
เรยี บรอ้ ยแลว้ เจา้ ภาพจะตอ้ งจดั เตรยี มเคร่อื งกฐนิ ซง่ึ ไดแ้ ก่ผา้ จวี รหรอื ผา้ สบงหรอื สงั ฆาฏิ ผนื ใดผนื
หน่ึง และเคร่อื งบรขิ าร บรวิ ารกฐนิ ซ่งึ อาจจะถวายเป็นปจั จยั ส่หี รอื ถวายเป็นส่วนกลางเพ่อื เป็น
ประโยชน์กบั สงฆ์

วนั ก่อนการทาํ พธิ ที อดกฐนิ ๑ วนั เรยี กว่า วนั สุกดบิ ทุกคนจะมาช่วยกนั เตรยี มสถานท่ี ปกั
ธงเตรยี มเคร่อื งใชส้ ําหรบั ถวายพระและของทจ่ี ะตอ้ งใชใ้ นพธิ ใี นวนั งานทอดกฐนิ นิยมจดั งาน ๒ วนั
คอื วนั แรกจะเป็นวนั ตงั้ องค์พระกฐนิ ซง่ึ อาจจะเป็นทบ่ี ้านเจา้ ภาพหรอื ท่วี ดั กไ็ ด้ ตอนกลางคนื ก็จะมี
มหรสพ ในวนั รงุ่ ขน้ึ เป็นวนั ทส่ี องกจ็ ะเป็นวนั ทอด ซง่ึ จะมกี ารแห่ไปตอนเชา้ และเล้ยี งพระเพล หรอื
อาจจะทอดในตอนเพลก็ได้แล้วแต่ความสะดวกของเจ้าภาพ หากเป็นกฐนิ สามคั คี คอื มีหลาย
เจา้ ภาพซง่ึ แยกกนั ตงั้ องคก์ ฐนิ ตามบา้ นของตนเอง ให้แห่มาทอดรวมกนั ในวนั รุ่งขน้ึ เพราะแต่ละวดั
จะรบั กฐนิ ไดเ้ พยี งครงั้ เดยี วเท่านนั้

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

พิธีทอดกฐิน จะมีพิธีสาคญั ๒ ขนั้ ตอน คือ

๑. การถวายผา้ กฐนิ เมอ่ื ถงึ เวลาทพ่ี ระสงฆม์ าพรอ้ มกนั แลว้ เจา้ ภาพกจ็ ะอุ้มผา้ กฐนิ นงั่ ตรง
ต่อหน้าพระประธาน ตงั้ นะโม ๓ จบ หนั มาทางพระสงฆแ์ ล้วกล่าวคําถวายผ้ากฐนิ ๓ จบ เช่นกนั
เมอ่ื พระสงฆก์ ล่าวรบั เจา้ ภาพกจ็ ะประเคนผ้าไตรกฐนิ และเครอ่ื งปจั จยั ต่างๆ หลงั จากนัน้ พระสงฆ์
จะลงความเห็นว่าพระรูปใดมจี วี รเก่าก็จะพร้อมในกันถวายให้พระรูปนัน้ แล้วพระสงฆ์ก็จ ะสวด
อนุโมทนา และเจา้ ภาพกจ็ ะกรวดน้ําเป็นอนั เสรจ็ พธิ ี

๒. พธิ กี รานกฐนิ เป็นพธิ ที างฝ่ายสงฆ์ โดยเฉพาะภกิ ษุทไ่ี ดร้ บั มอบผา้ กฐนิ จะมกี ารกล่าว
วาจากรานกฐนิ ตามลกั ษณะของผา้ ทก่ี ราน

อานิสงสข์ องกฐินที่ได้กบั พระสงฆ์

-พระสงฆส์ ามารถออกไปนอกวดั ไดโ้ ดยไมต่ ้องบอกลาภกิ ษุดว้ ยกนั

-พระสงฆข์ าดจากผา้ สงั ฆาฏิ หรอื ผนื ใดผนื หน่งึ ในไตรจวี รได้ เอาจวี รไปไมค่ รบสาํ รบั ได้

-พระสงฆส์ ามารถฉนั อาหารเป็นคณะโภชน์ได้

-พระสงฆส์ ามารถเกบ็ จวี รไดต้ ามปรารถนา

-พระสงฆไ์ ดล้ าภต่างๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ

อานิสงสข์ องกฐินสาหรบั ผทู้ อด

ผทู้ อดกฐนิ มคี วามเช่อื ว่าการทอดกฐนิ เป็นพธิ บี ุญทอ่ี านิสงสแ์ รง ปีหน่ึงทาํ ไดค้ รงั้ เดยี ว และ
สามารถบรจิ าคไดท้ งั้ สมบตั แิ ละยงั เป็นการบอกบุญแก่ญาตมิ ติ รใหม้ ารว่ มทาํ บญุ ทาํ กุศลในครงั้ น้ดี ว้ ย

ลกั ษณะของเทศกาลทป่ี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา สาํ หรบั ลกั ษณะของการละเล่นหรอื
เทศกาลในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนานนั้ สามารถแยกพจิ ารณาได้ ๒ ประการ คอื ๕๐

ก) เทศกาลของศาสนาพราหมณ์และความเช่ือท้องถ่ิน เทศกาลตามความเช่อื ทอ้ งถนิ่
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพราหมณ์หรอื ศาสนาอ่ืนๆ เท่าท่ปี รากฏในคมั ภรี ์จะมลี กั ษณะสําคญั คอื เป็น
เทศกาลเฉลมิ ฉลองร่นื เรงิ สนุกสนานโดยจะเป็นงานประจําปีท่ที ุกๆ คนจะต้องมาร่วม คอื แต่งตวั
อย่างสวยงามแลว้ กออกมาเดนิ บนถนนในลกั ษณะของการเดนิ พาเหรด หรอื การเดนิ ไปเล่นสนุกใน
สวนวนอุทยานในพระราชวงั ของพระราชา หรอื จะตอ้ งออกไปทที ่าน้ําสําคญั ประจําเมอื งเพ่อื เล่นน้ํา
กนั อย่างสนุกสนานโดยเมอ่ื มกี จิ เช่นนัน้ แลว้ ผคู้ นทไ่ี ปรว่ มงานเทศกาลจะต้อง (๑) รว่ มเล่นสนุกดว้ ย
การเต้นราํ (๒) นําอาหารไปรบั ประทานกนั อยา่ งอม่ิ หนํา (๓) ร่วมฟงั และชมการแสดงดนตรขี องนัก
ดนตรที ่จี ดั กนั ขน้ึ มกี ารด่มื สุราและเมรยั กนั อย่าเปิดเผย (๕) ถ้าเป็นเทศกาลทางศาสนากม็ กี ารทํา
การบูชาและใหท้ านแก่ยาจกวณิพก จาํ นวนมาก (๖) มรี ะยะเวลาของการละเล่นสนุกสนานเน่ืองใน
งานเทศกาลแต่ละครงั้ ไม่ต่ํากว่า ๗ วนั ในวนั ท่ี ๘ จะยุตกิ ารละเล่นผูค้ นจะต้องไปทํางานตามปกติ

๕๐ คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , เทศกาลและพิธีกรรมพระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หน้า ๔๕-๔๖.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

(๗) สถานท่ีจดั เทศกาลจะมีความหลากหลาย บางแห่งเป็นสถานท่ีในตัวพระมหาราชวังของ
พระราชา เน่อื งจากพระราชาเป็นผกู้ ําหนดใหม้ กี ารละเล่น แต่ถ้าเป็นเร่อื งของความเช่อื ทางศาสนาก็
จะเป็นบรรดาเทวาลยั ต่างๆ หรอื ถ้าเป็นความเช่อื ท้องถ่นิ ก็จะเป็นงานภูเขา หรอื ตามท่าน้ําต่างๆ
หรอื ถนนสายสําคญั เป็นต้น (๘) เทศกาลโดยมากจะจดั ข้นึ ในช่วงฤดูฝน แต่โดยทวั่ ไปก็จะจดั ขน้ึ
ในช่วงเดอื นทม่ี คี วามสาํ คญั ของศาสนา และความเชอ่ื ของทอ้ งถน่ิ เกย่ี วกบั การเพราะปลูกหรอื เดอื นท่ี
ก่อใหเ้ กดิ ผลแก่ผปู้ ฏบิ ตั ิ เป็นตน้

จากการกล่าวมาทงั้ หมดเราจะพบว่า ลกั ษณะของเทศกาลในทางศาสนาและความเช่อื
ทอ้ งถน่ิ ของอนิ เดยี นนั้ จะมลี กั ษณะทส่ี ําคญั ก็คอื การละเล่นสนุกสนานเป็นหลกั จะมกี ารทําบุญบา้ งก็
เป็นเร่อื งเฉพาะกลุ่มนอกจากนัน้ เทศกาลก็จะมลี กั ษณะของการเป็นวนั หยุดท่เี ปิดโอกาสให้ผู้คน
ออกมาละเล่นด่มื กนั อยา่ งเสรใี นรอบหน่ึงปี หรอื ในวาระทส่ี าํ คญั อนั มคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั เทศกาลนัน้
ซง่ึ เทศกาลดงั กล่าวนนั้ มงุ่ ไปทค่ี วามสนุกสนานรน่ื เรงิ เป็นหลกั

ข) เทศกาลของพระพุทธศาสนา สําหรบั เทศกาลทางพระพุทธศาสนานัน้ จะมีช่วง
เทศกาลท่กี ําหนดไว้เพ่อื เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ศึกษาอบรมตนและบําเพญ็ บุญกุศลตามวนั เวลา
ต่างๆ เช่นเทศกาลเข้าพรรษา ออกพรรษาและการศึกษาอบรม ให้ทานในวันสําคัญทาง
พระพุทธศาสนาต่างๆ

สาระสาคญั ของพิธีกรรมในพระพทุ ธศาสนา

ในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนานัน้ นอกจากจะได้อธบิ ายถึงความเป็นมาของเทศกาลหรอื งาน
นักขตั ตฤกษ์ซ่งึ เป็นงานร่นื เริงกันตามประเพณีโดยทวั่ ๆ ไปและเฉพาะเทศกาลท่เี ก่ียวข้องกับ
พระพุทธศาสนาแล้วก็ยงั มปี ระเด็นเร่อื งของพธิ ีกรามท่เี ก่ียวข้องกบั ความเช่อื ตามแนวทางของ
ศาสนาและสํานักปรชั ญาท่อี ยู่ร่วมสมยั กบั พระพุทธศาสนาเอาไวด้ ้วย และท่สี ําคญั ก็ได้อธบิ ายถึง
พธิ กี รรมในส่วนทเ่ี ป็นเน้ือหาของพระพุทธศาสนา เช่น พธิ กี ารบวช พธิ กี ารแสดงธรรมพธิ กี ารรกั ษา
ศลี การถวายทานต่างๆ ซง่ึ ถอื ว่าเป็นเร่อื งทส่ี ําคญั ทช่ี าวพุทธจะตอ้ งศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจอย่างละเอยี ดอนั
จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏบิ ตั ติ ่อพธิ กี รรมต่างๆ ให้ถูกต้องตามหลกั การของพระพุทธศาสนาซ่งึ
แนวคดิ เกย่ี วกบั พธิ กี รรมทป่ี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนานนั้ มปี ระเดน็ ทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษาดงั ต่อไปน้ี

ความหมายของพิธีกรรมในพระพทุ ธศาสนา

คําว่า พิธีกรรม นัน้ ความจรงิ ดูเหมอื นว่าคําน้ีจะเป็นคาํ ท่มี าจากภาษาบาลแี ต่แทจ้ รงิ แลว้
เป็นคําบาลไี ทย คอื คาํ ภาษาไทยทแ่ี ปลงหรอื ดดั แปลงและผสมคําจากภาษาบาลซี ง่ึ คําทผ่ี สมกนั มา
นนั้ กค็ อื “วิธิ” แปลว่าระเบยี บชนิดกบั คําว่า “กมฺม” แปลว่า การกระทํา เม่อื รวมกนั กเ็ ป็นพธิ กี รรม
โดยคําว่าพธิ กี รรมนนั้ หมายถงึ การกระทาํ ทเ่ี ป็นพธิ คี ือเป็นวธิ ที จ่ี ะทาํ ใหส้ าํ เรจ็ ผลทต่ี ้องการหรอื การ
กระทําทเ่ี ป็นวธิ กี ารเพ่อื ใหส้ าํ เรจ็ ผลทต่ี ้องการหรอื นําไปส่ผู ลทต่ี ้องการ หมายความว่าพธิ กี รรมเป็น
ระเบยี บการดําเนินการตามคําสอนของศาสนาใดศาสนาหน่ึงแลว้ จะก่อใหเ้ กดิ ความสําเรจ็ อย่างใด
อยา่ งหน่งึ ขน้ึ ภายหลงั จากการดาํ เนนิ การตามวธิ กี ารของคาํ สอนนนั้ แลว้ ซง่ึ ในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

นัน้ ปรากฏว่ามพี ธิ ีกรรมอยู่หลายชนิดท่มี กี ารปฏิบตั ิกันอยู่เป็นจํานวนมากแต่ถ้าหากจะกล่าวถึง
พธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนาแลว้ จะพบว่าพธิ กี รรมโดยมากจะเป็นเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั พระวนิ ัยเป็นหลกั
นอกจากนนั้ กเ็ ป็นพธิ กี รรมทเ่ี ป็นเรอ่ื งทวั่ ๆ ไป๕๑

ความเป็นมาของพิธีกรรมที่ปรากฏในคมั ภีรพ์ ระพทุ ธศาสนา

เม่อื กล่าวถึงพิธกี รรมนัน้ เราจะพบว่า มคี วามสําคญั กบั ศาสนาทุกศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากจะพจิ ารณาถงึ เกณฑค์ วามเป็นศาสนาหรอื ไม่นัน้ ประเดน็ ทจ่ี ะต้องคํานึงกค็ อื พธิ กี รรมคอื
องคป์ ระกอบหน่งึ ของความเป็นศาสนา ดงั นนั้ พธิ กี รรมจงึ ถอื ไดว้ ่าเป็นสงิ่ ทม่ี คี วามสําคญั เป็นอย่างยง่ิ
ต่อคตคิ วามเช่อื ทางดา้ นศาสนาของมนุษย์ และศาสนาต่างๆ ในชมพูทวปี กเ็ ช่นเดยี วกนั ซง่ึ ไดม้ กี าร
ประกอบพธิ กี รรมทเ่ี น่อื งดว้ ยคาํ สอนและความเช่อื อยหู่ ลายประการ โดยพธิ กี รรมเหล่านนั้ ลว้ นมที ม่ี า
ทแ่ี ตกต่างกนั อยา่ งไรกต็ าม จากการศกึ ษามาทงั้ หมด กพ็ บว่าในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนานัน้ ไดร้ ะบุถงึ
พธิ กี รรมของศาสนาต่างๆ ไว้ ๒ ประการคอื (๑) พธิ กี รรมของศาสนาพราหมณ์และศาสนาอ่นื ๆ (๒)
พธิ ีกรรมของพระพุทธศาสนา ดังนัน้ ในการศึกษาความเป็นมาของพิธีกรรมท่ีปรากฏในคมั ภีร์
พระพทุ ธศาสนาจงึ มคี วามจาํ เป็นตอ้ งศกึ ษาใน ๒ ประเดน็ ดงั น้ี

๑. ความเป็นมาของพธิ กี รรมในทรรศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

๒. ความเป็นมาของพธิ กี รรมในทรรศนะของพระพุทธศาสนา

ก) ความเป็นมาของพิธีกรรมในทรรศนะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ศาสนาพราหมณ์นนั้ ถอื ไดว้ า่ เป็นศาสนาประเภทเทวนยิ ม (Theism) คอื เป็นศาสนาทน่ี บั ถอื
พระเจา้ และจดั ไดว้ ่าเป็นศาสนาทเ่ี ป็นรากฐานของวฒั นธรรมอนิ เดยี ตงั้ แต่ครงั้ ชนเผ่าอารยนั ไดเ้ ขา้ มา
มอี ทิ ธพิ ล โดยศาสนาพราหมณ์นนั้ ไดก้ ําหนดใหม้ กี ารบชู าเทพเจา้ ตงั้ แต่ครงั้ บรรพกาลมาดงั ปรากฏ
คมั ภรี พ์ ระเวทซง่ึ ไดก้ ล่าวถงึ การทม่ี นุษยจ์ าํ เป็นจะตอ้ งประกอบพธิ บี ูชายญั เทพเจา้ ในฐานะทเ่ี ป็นสงิ่
สงู สดุ เรยี กวา่ บรุ ษุ ๕๒ ซง่ึ ผลจากการประกอบพธิ ดี งั กล่าวกไ็ ดม้ กี ารประพนั ธก์ าพยห์ รอื บทสวดขน้ึ มา
เพ่อื ประกอบในการทําพธิ บี วงสรวงสง่ิ สูงสุดเรยี กว่า ฤคเวท ต่อมาในสมยั พระเวท ชาวอารยนั ได้
พฒั นาพธิ กี รรมต่างๆ ขน้ึ มาและไดแ้ บ่งคมั ภรี ท์ เี กย่ี วกบั คาํ สอนไวเ้ ป็น๓ คมั ภรี ์ และไดร้ ะบุระเบยี บ
วธิ ใี นการประกอบพธิ สี าํ คญั ๆ เช่น การบชู ายญั เป็นตน้ ไวใ้ น คมั ภรี ช์ ่อื ว่ายชุรเวท ซง่ึ คมั ภรี พ์ ระเวท
น้ถี อื ว่ามกี าํ เนิดขน้ึ เมอ่ื ราว ๑๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล๕๓ และในระยะต่อมาเมอ่ื พราหมณ์ไดก้ ําหนดให้
มพี ระเจา้ ขน้ึ มาเพมิ่ อกี หลายองค์เช่น พระอนิ ทร์ เป็นต้น จดั ทําให้มพี ธิ กี รรมในการบูชาแทน เพมิ่
มากขน้ึ เช่นพธิ ถี วายน้ําโสมแก่พระอนิ ทร์ เป็นตน้ ๕๔ หรอื พธิ ที เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั บรรดา พระชายาหรอื

๕๑ คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , เทศกาลและพิธีกรรมพระพทุ ธศาสนา, หน้า ๕๐.
๕๒ วลิ เลยี ม ธโี อดอร์ เดอ แบร,่ี บอ่ เกิดลทั ธิประเพณีอินเดีย ภาค ๑, แปลโดยจาํ นงค์ ทองประเสรฐิ , (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พส์ ว่ นทอ้ งถนิ่ ๒๕๑๒), หน้า ๒๘.
๕๓ สชุ พี บุญญานุภาพ, ประวตั ิศาสตรศ์ าสนา, พิมพค์ รงั้ ที่ ๔, (กรงุ เทพมหานคร : อมรการพมิ พ์ ๒๕๒๖), หน้า ๓๑๘.
๕๔ สนุ ทร ณ รงั ษ,ี ปรชั ญาอินเดีย ประวตั ิและลทั ธิ, (กรงุ เทพมหานคร : บพธิ การพมิ พ,์ ๒๕๒๑), หน้า ๗.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ภรรยาของเทพเหล่านนั้ ดว้ ย๕๕ ต่อมาพอถงึ สมยั พระพรหม ในสมยั น้ีพราหมณ์ไดเ้ ป็นผู้มอี ํานาจใน
การประกอบพธิ แี ต่เพยี งผูเ้ ดยี ว และเพราะเหตุของความตบี ตนั ในเรอ่ื งการอธบิ ายความเป็นมาของ
ภาพต่างๆ จํานวนมาก ทําให้พราหมณ์ต้องเพิ่มขนั้ ตอนของการประกอบพิธตี ่างๆ ให้มคี วาม
สลบั ซบั ซอ้ นมากขน้ึ ทงั้ น้ีก็เพ่อื ท่จี ะให้เกดิ ผลคอื การอํานวยพรจากบรรดาเทพเจา้ ทงั้ หลายให้มาก
ท่ีสุด๕๖ แต่เพราะความท่ีพราหมณ์กําหนดขนั้ ตอนการประกอบพิธีกรรมมากข้ึน เป็นเหตุให้
ประชาชนเกิดความเบ่อื หน่าย เป็นเหตุให้พราหมณ์ตดั เพมิ่ มาตรการในด้านความเข้มพลงั ของ
พธิ กี รรมมากขน้ึ ๕๗ จนถงึ ขนั้ กาํ หนดใหม้ กี ารประกอบพธิ กี รรมบชู ายญั ดว้ ยมนุษย์

ต่อมาถงึ อุปนิษทั พราหมณ์ไดล้ ดจาํ นวนเทพเจา้ ลงเหลอื เพยี งองคเ์ ดยี วคอื พระพรหมและ
ไดก้ ่อตงั้ ปรชั ญาว่าดว้ ยพราหมนั หรอื ปรมาตมนั ขน้ึ เพ่อื เป็นการลดอํานาจของเทพเจา้ ทเ่ี หลอื ลงให้
น้อยท่สี ุด โดยเหน็ ว่าพรหมคอื ผู้สร้างสรรพสง่ิ และพรหมนัน้ ก็เป็นอมตะเป็นบ่อเกิดของสรรสิง่ ๕๘
ดงั นัน้ การประกอบพธิ กี รรมในสมยั น้ีจงึ มีความกระชบั สนั้ ลงและเปล่ยี นมาเป็นการทผ่ี ู้มุ่งหวงั การ
บรรลุสู่เป้าหมายสูงสุดของศาสนาจะต้องทรมานตนเองหรอื การฝึกตนส่วนพธิ กี รรมนัน้ ได้ถูกลด
ความสําคญั ลงไปมาก เน่ืองจากนักปราชญ์ยุคน้ีเหน็ ว่าพธิ กี รรมเป็นเพยี งการกระทําท่มี ุ่งหวงั ผล
ในทางโลกเท่านัน้ หาได้เป็นแนวทางทจ่ี ะบรรลุเป้าหมายสูงสุดแต่ประการใดและคมั ภรี ใ์ นสมยั น้ีก็
ประฌามการประกอบพธิ บี ูชาเทพเจา้ ว่า การประกอบพธิ กี รรมแบบเดมิ นนั้ ถอื ว่าเป็นการกระทําของ
คนเขลา๕๙ เพราะการประกอบพธิ บี ุชาเทพเจา้ มใิ ชท้ างหลุดพน้ อย่างแทจ้ รงิ แต่ถงึ อย่างนนั้ ในแง่ของ
การปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ แลว้ การประกอบพธิ กี รรมบางอยา่ งในสมยั น้กี ย็ งั อนุญาตอย่เู ช่นการบชู าพระอคั คนิ ี
และโสมะ ตามแนวทางของโบราณ ประเพณี เหตุทใ่ี นยคุ อุปนิษทั ไดม้ ที ่าทต่ี ่อการประกอบพธิ กี รรม
เชน่ น้กี เ็ พราะตอ้ งการปรบั ปรุงแนวทางคําสอนของศาสนาพราหมณ์ใหม้ พี ฒั นาการมากยงิ่ ขน้ึ ไมม่ วั
เมาอยแู่ ต่กบั เทพเจา้ มากนกั

ต่อมาถงึ สมยั พราหมณ์ฮนิ ดู การประกอบพธิ กี รรมต่างๆ กไ็ ดม้ กี ารปรบั เปลย่ี นมากขน้ึ โดย
พยายามท่จี ะเน้นหนักในเร่อื งของการสวดมนต์อ้อนวอนมากกว่าการประกอบพธิ ที จ่ี ําต้องใช้วสั ดุ
หรอื ชวี ติ สตั วเ์ ป็นตวั แทน เหตุทเ่ี ป็นเชน่ น้เี พราะวา่ ในสมยั น้มี กี ลุ่มแนวคดิ หลากหลายไดว้ พิ ากษ์แนว
ทางการประกอบพธิ กี รรมของพราหมณ์อย่างหนักเป็นเหตุใหต้ ้องมกี ารปรบั เปล่ยี น แต่ทงั้ น้ีทงั้ นัน้
จดุ มงุ่ หมายของการประกอบพธิ กี รรมกม็ งุ่ ทจ่ี ะใหถ้ งึ บรรดาเทพเจา้ ทงั้ หลายนนั้ เอง

๕๕ วลิ เลย่ี ม ซโี อดอร์ เดอ แบร,่ี บอ่ เกิดลทั ธิประเพณีอินเดีย, ภาค ๑, หน้า ๕.
๕๖ สุนทร ณ รงั ษ,ี ปรชั ญาอินเดียประวตั ิและลทั ธิ, หน้า ๙.
๕๗ พระอุดร คณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคาํ ), ประวตั ิศาสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอินเดีย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘), หน้า ๒๗.
๕๘ ธรี ยทุ ธ สนุ ทรา, ศาสโนปมศาสตร,์ (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หน้า ๒๓.
๕๙ เอม็ หริ ยิ นั นะ, ปรชั ญาอินเดียสงั เขป, แปลโดยวจิ ติ ร เกดิ วศิ ษฐ,์ (กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๒๐), หน้า
๒๗.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๔๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สาํ หรบั พธิ กี รรมของพราหมณ์ท่ปี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนานัน้ กม็ อี ยหู่ ลายพธิ กี รรม
เช่น พธิ กี รรมบูชายญั พธิ ลี า้ งบาป พธิ ชี าบชู าไฟ เป็นต้น ซ่งึ พธิ กี รรมเหล่าน้ีถอื ไดว้ ่า เป็นพธิ กี รรม
หลกั ทม่ี กี ารปฏบิ ตั กิ นั สบื มาตงั้ แต่โบราณ

จากการกล่าวมาทงั้ หมดเราจะพบว่า ความเป็นมาของพธิ กี รรมของศาสนาพราหมณ์นนั้ ก็
เรมิ่ มาจากการบูชาดนิ น้ําลมไฟ ของชาวมลิ กั ขะแห่งลุ่มแม่น้ําสนิ ธุมาก่อน ภายหลงั เม่อื ชาวอารยนั
อพยพเขา้ มายดึ ครองแล้วก็ได้นําเอาแนวคดิ น้ีไปรวมกบั เร่อื งเทพเจา้ ของตนและไดพ้ ฒั นามาเป็น
ศาสนาพราหมณ์ซง่ึ มกี ารบชู าเทพเจา้ เพ่อื ใหเ้ ทพเจา้ เหล่านนั้ มคี วามพงึ พอใจโดยการบชู าสงั เวยนนั้
เรมิ่ จากการบชู าสตั วแ์ ละในทส่ี ดุ กเ็ ป็นมนุษยแ์ ต่พอมาถงึ ยุคอุปนิษทั การประกอบพธิ กี รรมกถ็ ูกลดค่า
ลงตามลําดบั เพ่อื ให้เหมาะสมกบั ยุคสมยั และการปรบั เปล่ยี นความเช่อื แต่ถงึ อย่างไรก็ตามเม่อื
พจิ ารณาโดยภาพรวมแลว้ กจ็ ะพบศาสนาพราหมณ์ยงั คงยอมรบั พธิ กี รรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การบูชาเทพ
เจา้ อยเู่ ชน่ เคย ทงั้ น้เี พราะศาสนาพราหมณ์น้ีจดั เป็นศาสนาเทวนิยมนนั้ เอง

ข.) ความเป็ นมาของพิธีกรรมในทรรศนะของพระพทุ ธศาสนา สําหรบั พธิ กี รรมทาง

พระพทุ ธศาสนาทป่ี รากฏในคมั ภรี น์ นั้ พระพุทธศาสนาไดใ้ หท้ รรศนะว่า ถา้ เป็นความเช่อื แบบโบราณ
นนั้ มนุษยม์ คี วามเชอ่ื และประกอบพธิ กี รรมต่อความเชอ่ื นนั้ เพราะมคี วามกลวั เป็นเหตุเช่นถา้ กลวั ต่อ
เร่อื งใดเร่อื งหน่ึงแล้วไม่สามารถท่จี ะหาคําตอบได้ว่าสง่ิ ท่ตี นเองกลวั นัน้ คอื อะไรก็จะยดึ เอาภูเขา
ตน้ ไม้ เจดยี ์ เป็นทพ่ี ง่ึ ทร่ี ะลกึ ๖๐ และจะปฏบิ ตั ติ ่อสงิ่ ทต่ี นเองเช่อื ดว้ ยการประกอบพธิ กี รรมเพ่อื เป็น
การเอาใจเทพเจา้ หรอื สงิ่ ทอ่ี ยเู่ หนือเทพเจา้ นอกจากนัน้ ในอคั คญั ญสูตร ไดก้ ล่าวถงึ ความเช่อื ของ
ผคู้ นทม่ี ตี ่อสงิ่ เหนอื ธรรมชาตนิ นั้ ว่าจะตอ้ งมผี ปู้ ระกอบพธิ กี รรมซง่ึ กค็ อื พราหมณ์๖๑ ซง่ึ กห็ มายความ
ว่าพธิ กี รรมเกดิ มาจากความเชอ่ื ของมนุษยท์ ม่ี คี วามไมร่ ใู้ นขอ้ เทจ็ จรงิ ของสงิ่ ทอ่ี ย่รู อบตวั เม่อื ไม่รกู้ จ็ งึ
ประกอบพธิ กี รรมเพ่อื ใหส้ งิ่ ทต่ี นเองกลวั นนั้ ไมท่ าํ อนั ตรายแก่ตนเองแลสงั คม จากกรณที ก่ี ล่าวมานนั้
กจ็ ะเหน็ ไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาไดม้ ที รรศนะต่อการประกอบพธิ กี รรมของศาสนาโบราณว่ามสี าเหตุมา
จากความกลวั และความเช่อื ท่ยี งั ไม่ตรงตามความจรงิ และเหน็ ว่าการนับถอื และประกอบพธิ กี รรน
แบบน้ีไม่ถอื ว่าเป็นท่พี ง่ึ อนั เกษมหรอื นําไปสู่การหลุดพ้นได้ และพระพุทธศาสนาได้เสนอว่า การมี
ศรทั ธาเคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ต่างหากท่ีสามารถเข้าถึงการหลุดพ้นได้๖๒
นอกจากนัน้ พระพุทธศาสนาก็ได้พยายามท่ีจะให้คําอธิบายใหม่เก่ียวกับพิธีกรรมของศาสนา
พราหมณ์ดงั้ เดมิ ใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั วถิ ที างของพระพุทธศาสนาเช่น พธิ กี ารบูชายญั และพธิ ลี า้ ง

๖๐ ‚มนุษยจ์ าํ นวนมาก ผถู้ ูกภยั คุกคาม ต่างถงึ ภเู ขา ปา่ ไม้ อาราม และ รุกขเจดยี เ์ ป็นสรณะ นนั่ มใิ ช่สรณะอนั เกษมนนั่ มใิ ช่
สรณะอนั สงู สดุ เพราะผอู้ าศยั สรณะเช่นนนั้ ยอ่ มไมพ่ น้ จากทกุ ขท์ งั้ ปวง‛ “สว่ นผทู้ ถ่ี งึ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ย่อม
ใชป้ ญั ญาชอบพจิ ารณาเหน็ อรยิ สจั ๔ ประการ คอื ทุกข์ เหตุเกดิ ทุกข์ ความดบั ทุกขแ์ ละอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ อนั เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึง
ความสงบระงบั ทุกข์ นนั่ เป็นสรณะอนั เกษม นนั่ เป็นสรณะอนั สูงสุด เพราะผอู้ าศยั สรณะเช่นนนั้ ย่อมพน้ จากทุกขท์ งั้ ปวงได้” อา้ งใน
ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๘-๑๙๒/๙๒.

๖๑ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๑-๑๑๔/๘๓-๘๕. (อคั คญั ญสตู ร)
๖๒ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๙๐-๑๙๒/๙๒.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๔๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

บาปทงั้ น้กี เ็ พ่อื ทจ่ี ะใหม้ พี ุทธศาสนกิ ชนไดป้ รบั ตวั ต่อกากรประกอบพธิ กี รรมดงั กล่าวใหส้ อดคลอ้ งกบั
คาํ สอนของพระพุทธศาสนา

ในส่วนของความเป็นมาของพธิ กี รรมในทางพระพุทธศาสนานัน้ เราจะพบว่า เน่ืองจาก
พระพุทธศาสนาจดั เป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และมแี นวคดิ ปฏเิ สธพระเวทหรอื อํานาจศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์
ของเทพเจ้า ดงั นัน้ คําสอนของพระพุทธศาสนาจงึ มไิ ด้มแี นวทางทจ่ี ะมุ่งประกอบพธิ เี พ่อื การเซ่น
สรวง หรอื บชู าเอาใจเทพเจา้ แต่อย่างใดทงั้ สน้ิ เพราะพระพุทธศาสนานนั้ มคี วามเช่อื ทเ่ี ป็นอตั ลกั ษณ์
ของตนทแ่ี ตกต่างจากศาสนาพราหมณ์กค็ อื

(ก) พระพุทธศาสนามีความเช่ือในศักยภาพของมนุษย์ กล่าวคือเช่ือว่ามนุษย์มี
ความสามารถทเ่ี หนือเทพเจา้ และสามารถทก่ี ําหนดชะตากรรมของตนเองโดยมจาํ เป็นจะต้องพง่ึ พงิ
อํานาจของพระเจา้ หรอื เทพยาดาฟ้าดนิ ได้ ทงั้ น้ีกเ็ พราะมนุษยน์ ัน้ สามารถทจ่ี ะฝึกและพฒั นาเองให้
ดีกว่าสัตว์และบรรดาเทพเจ้าทัง้ หลายได้๖๓ ดังนั้น พิธีกรรมของพุทธศาสนาจึงมิได้มีเพ่ือ
วตั ถุประสงคข์ องการเซน่ สรวงหรอื ออ้ นวอน

(ข) พระพุทธศาสนามคี วามเช่อื ในเร่อื งกรรมและผลของกรรม หมายถึงความเช่อื ท่วี ่า
มนุษยท์ าํ กรรมใดไวก้ ย็ อ่ มจะไดร้ บั ผลของการกระทาํ นนั้ ไมใ่ ช่การรบั ผลจะมาจากสง่ิ อ่นื

(ค) พระพุทธศาสนาทค่ี วามเช่อื ต่อความจรงิ ทเ่ี กดิ จากเหตุและผล คอื เชอ่ื ในหลกั การตรสั รู้
ของพระพุทธองคใ์ นเรอ่ื งของอทิ ปั ปจั จยตาและปฏจิ จสมุปบาททเ่ี หน็ ว่า ความจรงิ นนั้ มไิ ดม้ าจากการ
ดลบนั ดาล แต่มาจากเหตุปจั จยั ท่อี งิ อาศยั กนั หรอื ความจรงิ มใิ ช่สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพยี งลําพบั แต่จะต้อง
เป็นสงิ่ ทม่ี ที ม่ี าจากเหตุและผล

ด้วยหลกั ความเช่อื พ้นื ฐานดงั กล่าว พธิ กี รรมของพระพุทธศาสนาจงึ มไิ ด้เกิดข้นึ มาเพ่อื
สนอง หรอื เพอ่ื การออ้ นวอนสง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ ต่ประการใด

อย่างไรก็ตามหากจะพจิ ารณาถึงความเป็นมาของพิธกี รรมในทางพระพุทธศาสนานัน้
แมว้ ่าพระพุทธศาสนาจะไม่สนบั สนุนการประกอบพธิ กี รรมตามนัยของศาสนาเทวนิยมโดยทวั่ ไปก็
ตาม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพิธีกรรมไม่ใช่ส่ิงท่ีไร้ความหมาย เพราะจริงแล้วพิธีกรรมนัน้ ยังมี
ความสําคญั ต่อพระพุทธศาสนาอย่ไู ม่น้อย ในฐานะท่พี ธิ กี รรมเหล่านนั้ เป็นสิ่งทส่ี ่อื ถงึ พระธรรมและ
พระวนิ ยั ได๖้ ๔

สาํ หรบั ความเป็นมาของพธิ กี รรมในทางพระพุทธศาสนานนั้ มบี ่อเกดิ มาจากการทพ่ี ระพุทธ
องคท์ รงกําหนดใหศ้ าสนกิ ปฏบิ ตั ติ ่อพระองค์ หรอื บรบิ ทของแนวคดิ ของพระองคใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั พระ

๖๓ ‚คนทงั้ หลายนําสตั ว์พาหนะทฝ่ี ึกแลว้ ไปส่ทู ป่ี ระชุม พระราชาย่อมทรงราชพาหนะทฝ่ี ึกแลว้ ในหม่มู นุษย์ คนทอ่ี ดกลนั้
ถอ้ ยคาํ ลว่ งเกนิ ได้ ชอ่ื วา่ เป็นผฝู้ ึกตนไดแ้ ลว้ เป็นผปู้ ระเสรฐิ ทส่ี ุด‛

“มา้ อสั ดร มา้ อาชาไนย มา้ สนิ ธพ ชา้ งใหญ่ ทไ่ี ดร้ บั การฝึกหดั แลว้ เป็นสตั ว์ประเสรฐิ แต่คนทฝ่ี ึกตนไดแ้ ลว้ ประเสรฐิ กว่า
สตั วพ์ าหนะเหลา่ นนั้ ” อา้ งใน ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๒๑-๓๒๒/๑๓๓.

๖๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พิธีกรรมใครว่าไม่สาคญั , พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั สหธมั มกิ ,
๒๕๓๗), หน้า ๑๑๒.


Click to View FlipBook Version