The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

Keywords: พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย,Buddhism and Thai Culture

พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย

Buddhism and Thai Culture

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
วิทยาเขตนครราชสีมา

ดร.ยทุ ธนา พนู เกิดมะเริง

พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย

Buddhism and Thai Culture

ดร.ยทุ ธนา พนู เกิดมะเริง
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั

วิทยาเขตนครราชสีมา

พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย (Buddhism and Thai Culture)

ผเู้ รียบเรียง : ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

บรรณาธิการ : ดร.เสถยี ร ทงั่ ทองมะดนั และ ผศ.ดร.ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ

คณะกรรมการท่ีปรึกษา

: พระใบฎกี าหสั ดี กติ ฺตนิ นฺโท ผศ.ดร., ดร.ประสพฤกษ์ รตั นยงค์

ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิอ่านและตรวจพิจารณาผลงานวิชาการเบอื้ งต้น

: พระเมธสี ตุ าภรณ์ ผศ.ดร., พระใบฎกี าหสั ดี กติ ฺตนิ นฺโท ผศ.ดร.,

รศ.ดร.วรกฤต เถ่อื นชา้ ง

จดั รปู เล่ม : นายเกรยี งไกร พนิ ยารกั , ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ตรวจพิสจู น์อกั ษร : ดร.เสถยี ร ทงั่ ทองมะดนั และ ดร.ประสพฤกษ์ รตั นยงค์

ออกแบบปก : นายณฐั พล เบา้ คา

พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑ : เดอื นพฤษภาคม ๒๕๖๑

จานวนพิมพ์ : ๒๕๐ เลม่ เน้อื หาจานวน ๔๙๘ หน้า ขนาด B5 80 gsm

ลิกขสิทธ์ิ : ลกิ ขสทิ ธเิ ์ป็นของผแู้ ต่ง หา้ มลอกเลยี นแบบไมว่ ่าสว่ นใดสว่ นหน่งึ ของ

หนงั สอื เล่มน้ี นอกจากไดร้ บั อนุญาตเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร

ขอ้ มูลบรรณานุกรมของสานกั หอสมดุ แหง่ ชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ .
พระพุทธศาสนากบั ภูมิปญั ญาไทย =Buddhism and Thai Culture. นครราชสมี า : มติ รภาพการพมิ พ์
1995, 2561.

498 หน้า
1.พทุ ธศาสนากับสังคม. I. ชือ่ เรือ่ ง
294.3117
NB : BN-61-166126
ISBN : 978-616-468-402-7

จดั พิมพโ์ ดย : ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ
ผจู้ ัดจาหน่าย : ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง
พมิ พท์ ่ี : หจก. มติ รภาพการพมิ พ์ ๑๙๙๕, www.print-dee.com

โทร ๐-๔๔๒๔-๔๕๕๑, ๒๔๑๔๗๖, แฟ็กซ์ ๐-๔๔๒๔-๔๕๕๑,
Email : 2555 [email protected], [email protected]
๒๖๗ ถนนมติ รภาพ ตาบลในเมอื ง อาเภอเมือง จงั หวดั นครราชสีมา ๓๐๐๐๐

ราคา ๓๕๐ บาท

คำนำ

หนังสอื เร่อื งพระพุทธศาสนากบั ภูมปิ ญั ญาไทย เล่มน้ีจดั ทาขน้ึ เพ่อื ประกอบการ
เรยี นการสอนในรายวิชาพระพุทธศาสนากบั ภูมิปญั ญาไทย ซ่ึงเป็นรายวิชาท่กี าหนดไว้ใน
หลกั สูตรพุทธศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา มรี ะดบั ค่าหน่วยกติ ๒ หน่วยกิต ใช้
เวลาในการศกึ ษา ๑๖ สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ ๒ คาบ รวมทงั้ สน้ิ ๓๒ ควบ

หนังสอื เล่มน้ีผู้เขยี นไดพ้ ฒั นามาจากคาบรรยายในรายวชิ าพระพุทธศาสนากบั ภูมิ
ปญั ญาไทย หลกั สตู รพุทธศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา เป็นวชิ าเอกเลอื กสาหรบั ผู้
ศกึ ษาในวชิ าดงั กลา่ ว การรวบรวมเน้อื หาหนงั สอื เล่มน้ีไดค้ านึงถงึ ความสอดคลอ้ งกบั คาอธบิ าย
รายวชิ าทก่ี าหนดไวใ้ นโครงสรา้ งหลกั สตู ร ในขณะเดยี วกนั ก็ไดร้ วบรวมใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ
ทางสงั คม วฒั นธรรม ความเช่อื ศาสนาและวถิ ีชวี ติ ภูมปิ ญั ญาของคนไทย ผู้เรยี นสามารถ
นาไปใชป้ ระโยชน์ในการศกึ ษารายวชิ าทเ่ี กย่ี วขอ้ งต่อไป

สาระสาคญั ของหนังสอื เร่อื งพุทธศาสนากบั ภูมปิ ญั ญาไทย ประกอบด้วยบทเรยี น
จานวน ๘ บท มเี น้ือหาครอบคลุมเร่อื ง ความเบอ้ื งต้นเก่ยี วกบั พระพุทธศาสนากบั ภูมปิ ญั ญา
ไทย ภูมหิ ลงั ความเป็นมาของชนชาตไิ ทย สาระสาคญั ของภูมปิ ญั ญาไทยและศิลปะไทย ชน
ชาตไิ ทยกบั แนวคดิ พน้ื ฐานภูมปิ ญั ญาไทย ภูมปิ ญั ญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชงิ พุทธ อทิ ธพิ ล
แนวคดิ พระพุทธศาสนาท่มี ตี ่อภูมปิ ญั ญาไทย ภูมปิ ญั ญาเก่ียวกับวฒั นธรรมท้องถิ่น และภูมิ
ปญั ญาไทยวา่ ดว้ ยสภุ าษติ และคาพงั เพย

ผู้เขยี นหวงั ว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์กบั ผู้ศึกษา อน่ึง หากมขี ้อบกพร่อง
ผดิ พลาดประการใดอนั เกิดข้นึ ในส่วนต่างๆ ของหนังสอื เล่มน้ี ต้องขออภยั เป็นอย่างยงิ่ มา ณ
โอกาสน้ี

ดร.ยทุ ธนำ พนู เกิดมะเริง
อาจารยป์ ระจาหลกั สตู รสาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
วทิ ยาเขตนครราชสมี า

สารบญั หน้า

เร่ือง ข
คานย ม ค
คานา ฉ
สารบญั ช
สารบญั ภาพ ๑
อกั ษรม่อชื่อคั ภีร์ ๑
บทที่ ๑ ควา ร้เู บอื้ งต้นเกี่มวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภู ยปัญญาไทม ๓
๑๕
๑.๑ ความนา ๑๙
๑.๒ พระพทุ ธศาสนาในฐานะบเ่ กดิ แห่งภมู ปิ ญั ญา ๑๙
๑.๓ ความสาคญั ของภมู ปิ ญั ญา ๒๐
๑.๔ ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญา ๒๓
๑.๕ คณุ สมบตั ขิ องภมู ปิ ญั ญา ๒๔
๑.๖ การจดั แบง่ สาขาของภมู ปิ ญั ญา ๒๖
๑.๗ ลกั ษณะสมั พนั ธข์ องภมู ปิ ญั ญาไทย ๒๖
สรปุ ทา้ ยบท ๒๘
บทท่ี ๒ ภู ยหลงั ควา เป็น าของชนชาตยไทม ๓๘
๔๗
๒.๑ ความนา ๔๘
๒.๒ ภมู หิ ลงั ความเป็นมาของชนชาตไิ ทย ๕๐
๒.๓ ความเชอ่ื ดงั่ เดมิ ของชนชาตไิ ทย ๕๐
๒.๔ แนวคดิ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการเปลย่ี นแปลงของสงั คมไทย ๕๐
สรปุ ทา้ ยบท ๖๖
บทที่ ๓ สาระสาคญั ของภู ยปัญญาไทมและศยลปไทม ๘๓

๓.๑ ความนา
๓.๒ สาระสาคญั ของภมู ปิ ญั ญาไทย
๓.๓ สาระสาคญั ของศลิ ปไทย
สรปุ ทา้ ยบท

~ง~

บ ๘๗

บทท่ี ๔ ชนชาตยไทมกบั แนวคยดพื้นฐานภู ยปัญญาไทม

๔.๑ ความนา ๘๗
๔.๒ แนวคดิ เชงิ ภมู ปิ ญั ญาในฐานะทช่ี าวไทยเขา้ ใจ ๘๗
๔.๓ แนวคดิ ปรชั ญาเกย่ี วกบั ภมู ปิ ญั ญา ๙๕

๔.๔ แนวคดิ ปรชั ญากบั ปรชั ญาไทย ๑๑๑

๔.๕ พน้ื ฐานความเช่อื และประเพณขี องสงั คมไทยในฐานะทม่ี าของแนวคดิ ๑๒๑

ภมู ปิ ญั ญาไทย

๔.๖ ปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อการสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญาไทย ๑๖๙

สรปุ ทา้ ยบท ๑๗๑

บทที่ ๕ ภู ยปัญญาไทมในฐานะวฒั นธรร เชยงพทุ ธ ๑๗๓

๕.๑ ความนา ๑๗๓

๕.๒ สาระสาคญั ของวฒั นธรรม ๑๗๕

๕.๓ วฒั นธรรมประเภทคตธิ รรม ๑๘๘

๕.๔ วฒั นธรรมประเภทเนตธิ รรม ๒๐๐

๕.๕ วฒั นธรรมประเภทวตั ถุธรรม ๒๑๑

๕.๖ วฒั นธรรมประเภทสหธรรม ๒๒๗

๕.๗ วฒั นธรรมไทยมมุ มองปจั จบุ นั โลกาภวิ ตั น์กบั การจดั การวฒั นธรรม ๒๔๒

สรปุ ทา้ ยบท ๒๕๑

บทท่ี ๖ อยทธยพลแนวคยดพระพทุ ธศาสนาท่ี ตี ่อภู ยปัญญาไทม ๒๕๓

๖.๑ ความนา ๒๕๓

๖.๒ ความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาต่อสงั คมไทยในฐานะเป็นสถาบนั ๒๕๓

หลกั ของสงั คมไทย ๒๕๖
๖.๓ ลกั ษณะทวั่ ไปของภมู ปิ ญั ญา ๒๕๗
๖.๔ ลกั ษณะสมั พนั ธข์ องภมู ปิ ญั ญาไทย ๒๕๙
๖.๕ ภมู ปิ ญั ญาไทยเกดิ ขน้ึ จากอทิ ธพิ ลความคดิ ทางพระพทุ ธศาสนา ๒๖๙
๖.๖ ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญาไทยเน้นหลกั ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาวนั ๒๗๘
๖.๗ ลกั ษณะทเ่ี ป็นภมู ปิ ญั ญาไทย

๖.๘ อทิ ธพิ ลแนวคดิ ของพระพทุ ธศาสนาทม่ี ตี ่อภมู ปิ ญั ญา ~จ~
สรปุ ทา้ ยบท
บทท่ี ๗ ภู ยปัญญาเก่ีมวกบั วฒั นธรร ท้องถ่ยน ๓๐๒
๓๐๗
๗.๑ ความนา ๓๐๘
๗.๒ ความหมายของภมู ปิ ญั ญาวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ๓๐๘
๗.๓ ความเป็นมาเกย่ี วกบั พธิ กี รรมและความเช่อื ๓๐๐
๗.๔ ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมภาคกลาง ๓๒๑
๗.๕ ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมภาคอสี าน ๓๓๔
๗.๖ ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมภาคเหนอื ๓๓๖
๗.๗ ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมภาคใต้ ๔๐๔
สรปุ ทา้ ยบท ๔๑๒
บทท่ี ๘ ภู ยปัญญาไทมว่าด้วมสภุ าษยตและคาพงั เพม ๔๑๗
๔๒๐
๘.๑ ความนา ๔๒๐
๘.๒ ความสุนทรยี ข์ องภาษา ๔๒๒
๘.๓ สุภาษติ ในสมยั สโุ ขทยั ๔๒๔
๘.๔ สภุ าษติ ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ๔๒๗
๘.๕ สุภาษติ ในสมยั กรงุ ธนบุรี ๔๓๐
๘.๖ สุภาษติ ในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ๔๓๑
๘.๗ สภุ าษติ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๔๓๔
๘.๘ สุภาษติ ภาคใต้ ๔๓๗
๘.๙ สภุ าษติ และวรรณกรรมภาคเหนอื ๔๓๙
๘.๑๐ สานวนไทย สภุ าษติ และคาพงั เพย ๔๔๐
๘.๑๑ สานวนสภุ าษติ และคาพงั เพยในภาคต่างๆ ของประเทศไทย ๔๖๗
สรปุ ทา้ ยบท ๔๘๔
บรรณานุกร ๔๘๗
ประวตั ยผเู้ ขีมน ๔๙๘

~ฉ~

สารบญั ภาพ

เรอ่ื ง หน้า
ภาพลกั ษณะความสมั พนั ธข์ องภมู ปิ ญั ญา ๒๓

ภาพแนวคดิ ถนิ่ กาเนิดของชนชาตไิ ทยแถบภเู ขาอนั ไต ๓๑

ภาพเกย่ี วกบั ทอ่ี ยขู่ องเผ่าไทยบรเิ วณมณฑลเสฉวน ๓๓

ภาพเกย่ี วกบั ทอ่ี ยขู่ องเผา่ ไทยบรเิ วณตอนใตข้ องจนี ๓๔
ภาพเกย่ี วกบั ทอ่ี ยขู่ องเผา่ ไทยบรเิ วณประเทศไทยปจั จบุ นั ๓๖

ภาพเดมิ ของคนไทยอย่บู รเิ วณคาบสมุทรมลายแู ละหม่เู กาะต่างๆ ในอนิ โดนีเซยี ๓๗
และคอ่ ยๆ อพยพขน้ึ มาส่ดู นิ แดนไทยปจั จบุ นั

ภาพพระเจา้ พงั คราช กษตั รยิ แ์ หง่ โยนกลาดบั ท่ี ๔๓ ทรงชา้ ๔๕

แผนภมู ภิ าพบอ่ เกดิ พธิ กี รรม ๑๔๓

ภาพชดุ พระราชนยิ ม และเอกลกั ษณ์ของความเป็นไทย ๒๒๒-๒๒๖
แผนภมู ภิ าพความสมั พนั ธข์ องภมู ปิ ญั ญาไทย ๒๕๗

แผนผงั วฒั นธรรมกวา้ งกวา่ คตชิ าวบา้ น ๒๗๗

ภาพพญาคนั คาก จงั หวดั ยโสธร ๒๖๙
ภาพลกั ษณะเรอื นไทยในแต่ละภาค ๓๓๘-๓๔๓
ภาพพญานาค ๓๙๗
ประตมิ ากรรมเศยี รพญานาคพน่ น้า ทร่ี มิ ทะเลสาบสงขลา จงั หวดั สงขลา ๓๘๖
ภาพประตมิ ากรรมของสนุ ทรภู่ ๔๓๓

~ช~

อกั ษรม่อชื่อคั ภีร์

การอ้างองิ ในหนังสอื เล่มน้ีใช้อ้างองิ จากพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบบั มหาจุฬเตปิฏก
๒๕๐๐ และ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๓๙ โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์
และคาย่อตามระเบยี บของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คอื ช่อื ยอ่ คมั ภรี /์ เล่ม/ขอ้ /หน้า
เช่น ข.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๓/๓๔. หมายถงึ สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก (ภาษาไทย) เล่มท่ี ๓๓
ขอ้ ท่ี ๒๒ หน้า ๓๔ เป็นตน้

วยนัมปย ฎก

ว.ิ ม.(ไทย) เล่มท่ี ๔ =วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ภาษาไทย
ว.ิ ม.(ไทย) เลม่ ท่ี ๕ =วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค ภาค ๕ ภาษาไทย
ว.ิ จ.ู (ไทย) เลม่ ท่ี ๗ =วนิ ยั ปิฎก จฬู วรรค ภาษาไทย

สตุ ตนั ตปย ฎก

ที.สี.(ไทย) เล่มท่ี ๑๐ =สุตตันปิฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค ภาษาไทย
ที.ปา.(ไทย) เลม่ ที่ ๑๑ =สตุ ตันปิฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค ภาษาไทย
ม.อ.ุ (ไทย) เลม่ ท่ี ๑๔ =สุตตนั ปฎิ ก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ัณณาสก์ ภาษาไทย
สํ.ส.(ไทย) เลม่ ท่ี ๑๕ =สตุ ตนั ปฎิ ก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ภาษาไทย
องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) เลม่ ท่ี ๒๑ =สตุ ตนั ปฎิ ก อังคตุ ตรนกิ าย จตุกกนบิ าต ภาษาไทย
อง.ฺ อฏฐก.(ไทย) เลม่ ที่ ๒๓ =สุตตนั ปิฎก อังคตุ ตรนิกาย อฏั ฐกนิบาต ภาษาไทย
ข.ุ ธ.(ไทย) เลม่ ท่ี ๒๕ =สุตตนั ปฎิ ก ขุททกนิกาย ธรรมบท ภาษาไทย
ขุ.อ.ุ (ไทย) เล่มท่ี ๒๕ =สตุ ตนั ปฎิ ก ขุททกนกิ าย อทุ าน ภาษาไทย
ขุ.ว.ิ (ไทย) เล่มท่ี ๒๖ =สุตตนั ปฎิ ก ขุททกนิกาย วมิ าน ภาษาไทย
อง.ฺ อฏฐก.(ไทย) เลม่ ที่ ๒๖ =สุตตนั ปฎิ ก ขุททกนกิ าย เถรคาถา ภาษาไทย
ขุ.ชา.(ไทย) เลม่ ที่ ๒๗ =สุตตนั ปฎิ ก ขุททกนกิ าย ชาดก ภาษาไทย
ขุ.ชา.(ไทย) เล่มที่ ๒๘ =สุตตันปฎิ ก ขุททกนิกาย ชาดก ภาษาไทย

บทท่ี ๑

ความเบือ้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย

ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies)

๑.๑ บทนา

ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศไทยจากอดตี จนถงึ ปจั จุบนั เป็นประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาตทิ น่ี ับ
ถอื พระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนามอี ิทธพิ ลครอบคลุมวถิ กี ารดาเนินชวี ติ ของคนไทยใน
ทุกๆ ด้านคอื มบี ทบาทสาคญั ทงั้ ในด้านขนบธรรมเนียม ศลิ ปกรรมและวรรณกรรมตลอดจนการ
ดาเนินชวี ติ ของบุคคลในสงั คมไทย จนพระพุทธศาสนาได้เขา้ กลมกลนื สนิทอย่ใู นชีวติ จติ ใจของคน
ไทยถงึ ขนั้ ทว่ี ่าพระพทุ ธศาสนาเป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกบั ความเป็นไทย

ข ณ ะ เ ดีย ว กัน พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า เ ป็ น ม ร ด ก แ ล ะ ค ลัง ส ม บัติอั น ล้ า ค่ า ข อ ง ช น ช า ติไ ท ย
กล่าวคอื พระพทุ ธศาสนาเป็นแหล่งสาคญั ทห่ี ล่อหลอมเอกลกั ษณ์ของชาตไิ ทย เป็นศูนยร์ วมจติ ใจทา
ให้เกิดความสามคั คีในหมู่ชนชาวไทย เป็นแกนนาและเป็นรากฐานสาคัญของวฒั นธรรมไทย
โดยเฉพาะทางจติ ใจเห็นได้ชดั ว่าหลกั ธรรม ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ การดาเนินชวี ติ และกจิ กรรม
ต่างๆ ทงั้ ในและเน่ืองด้วยพระพุทธศาสนาได้หล่อหลอมชวี ติ จติ ใจและลกั ษณะนิสยั ของคนไทยให้
เป็นผมู้ จี ติ ใจกวา้ งขวางและรา่ เรงิ แจม่ ใส ชอบเออ้ื เฟ้ือเผอ่ื แผ่ แสดงความเป็นมติ รเขา้ กบั ใครไดง้ า่ ยๆ
ยนิ ดใี นการใหแ้ ละแบ่งปนั พรอ้ มทจ่ี ะบรจิ าคและใหค้ วามช่วยเหลอื อยา่ งทเ่ี รยี กว่าเป็นคนมนี ้าใจอนั
เป็นลกั ษณะเด่นชดั ทช่ี นต่างชาตมิ กั จะสงั เกตเหน็ และประทบั ใจจนตงั้ สมญาเมอื งไทยว่าเป็นดนิ แดน
แห่งความยม้ิ หรอื สยามเมืองยิ้ม

สาหรับวงจรชีวิตของบุคคล ตั้งแต่เกิดจนตายนั้นล้วนจัดให้เน่ืองด้วยคติใ น
พระพุทธศาสนา ส่วนในวงจรกาลเวลาของสงั คมและชุมชนกม็ งี านประเพณแี ละเทศกาลประจาปี ซง่ึ
เป็นเรอ่ื งทางพระพทุ ธศาสนาโดยตรงเป็นส่วนมาก

เอกลกั ษณ์ของชาติ ซ่งึ พบได้ในศิลปะไทยทุกสาขาทงั้ จิตรกรรมประติมากรรมและ
สถาปตั ยกรรม รวมทงั้ วรรณศลิ ป์ในกวนี ิพนธ์ทงั้ หลายและความเป็นเจา้ บทเจา้ กลอนของคนไทย
ซง่ึ เหลอื ดา้ นวรรณกรรมพน้ื บา้ น ตลอดจนดนตรปี ระเภทต่างๆ ศลิ ปกรรมทงั้ หลายและดนตรเี หล่าน้ี
ส่วนมากเป็นของเกิดในพระพุทธศาสนา ในสถานบันพระพุทธศาสนาหรือไม่ก็เก่ียวข้องกับ
พระพุทธศาสนา นอกจากจะเป็นเร่ืองแสดงถึงเอกลักษณ์ของชนชาติไทยแล้ว จิตรกรรม
ประตมิ ากรรมและสถาปตั ยกรรม เป็นต้น เหล่าน้ีกเ็ ป็นมรดกและคลงั สมบตั อิ นั มคี ่ายงิ่ อย่ใู นตวั ของ
มนั เอง พร้อมๆ กนั นัน้ พระพุทธศาสนาเป็นหลกั นาทางในการพฒั นาชาตไิ ทย บทเรยี นจากการ
พฒั นานัน้ สอนให้รวู้ ่าการพฒั นาจะต้องดาเนินไปอย่างรอบด้านทวั่ ถงึ ไม่ใช่มุ่งพฒั นาแต่เพยี งดา้ น
วตั ถุอย่างเดยี ว โดยเฉพาะตวั คนซ่งึ เป็นผู้ร่วมในกระบวนการพฒั นาและเสวยผลของการพฒั นา

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

จะต้องไดร้ บั การพฒั นาเป็นอย่างดี มฉิ ะนัน้ จะทาให้กระบวนการพฒั นาระส่าระสายไปหมด แนว
การพฒั นาจงึ ต้องหนั มาเน้นด้านการพฒั นาคน และในการพฒั นาคนนัน้ ส่วนสาคญั ท่สี ุดคอื จติ ใจ
ดงั นัน้ ในยุคปจั จุบนั งานพฒั นาจงึ หนั มาให้ความสนใจแก่การพฒั นาจติ ใจมากขน้ึ การพฒั นาจติ ใจ
นัน้ รวมถึงการพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม ตลอดจนสุขภาพจติ โดยทวั่ ไปการพฒั นาจติ ใจซ่งึ กิน
ความถงึ การพฒั นาทงั้ คนนนั้ เป็นงานหลกั ของพระพุทธศาสนา พดู อกี อย่างหน่ึงว่าคาสอนทงั้ หมดใน
พระพุทธศาสนารวมอยทู่ ก่ี ารพฒั นาคน

ถา้ ศกึ ษาพระพุทธศาสนาใหเ้ ขา้ ใจชดั เจน รจู้ กั เลอื กรจู้ กั จบั ธรรมใหถ้ ูกหลกั นามาใชอ้ ยา่ ง
ฉลาดปฏบิ ตั ใิ หร้ อบดา้ นและตลอดวงจรการพฒั นาการมที างทจ่ี ะสมั ฤทธผิ ์ ลดโี ดยสมบรู ณ์ เป็นการ
พฒั นาทงั้ ทางวตั ถุและทางจติ ใจ เป็นการพฒั นาทงั้ ตวั คนและสง่ิ ท่คี นไปพฒั นา แก้ไขขอ้ ผดิ พลาดท่ี
สบื มาในอดตี และเสรมิ ส่วนท่ขี าดไปของปจั จุบนั จะเหน็ ไดว้ ่าพระพุทธศาสนาเป็นทงั้ แกนนาและ
เป็นส่วนเติมเต็มของการพัฒนาช่วยให้การพัฒนาประเทศชาติดาเนินไปอย่างถูกทิศทางและ
ครบถว้ นสมบรู ณ์ นามาซง่ึ ความเจรญิ มนั่ คง และสนั ตสิ ุขแก่ประชาชนไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ

พระพุทธศาสนานอกจากจะเป็นปจั จยั สาคญั ท่ีช่วยให้ชนชาติไทยมศี ิลปวฒั นธรรมท่ี
เจรญิ ก้าวหน้ามาในอดตี แลว้ กย็ งั คงเป็นสถาบนั หลกั ของประเทศและเป็นองคป์ ระกอบทส่ี าคัญของ
สงั คมไทยอยู่แมใ้ นปจั จุบนั พระพุทธศาสนาเท่าท่คี นไทยเราเก่ยี วขอ้ ง อาจแยกไดเ้ ป็น ๒ ดา้ นคอื
ด้านท่เี ป็นพระธรรมวนิ ัย โดยเฉพาะส่วนท่เี รยี กว่าพุทธธรรมอย่างหน่ึง และดา้ นทเ่ี ป็นวฒั นธรรม
อกี อย่างหน่ึง พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวนิ ัย และพระพุทธศาสนาฝ่ายวฒั นธรรม ต่างกส็ มั พนั ธอ์ งิ
อาศยั กนั และกนั กล่าวคอื การทพ่ี ระพุทธศาสนากลายเป็นพระพุทธศาสนาของไทย เป็นส่วนหน่ึง
ของชวี ติ ไทย หรอื เป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกบั ความเป็นไทยได้ กเ็ พราะไดส้ ะสมสบื ทอดซมึ แทรกเขา้ ไป
ในชวี ติ จติ ใจของคนไทยทวั่ ไปจนกลายเป็นวฒั นธรรมของไทย แต่ในเวลาเดยี วกนั พระพุทธศาสนา
ฝ่ายธรรมวนิ ัยก็เป็นหลกั กลาง หรอื เป็นมาตรฐานสาหรบั ทบทวนตรวจสอบว่าพระพุทธศาสนาฝ่าย
วฒั นธรรมเข้าใกล้หรอื ถอยห่างออกไปจากหลกั การท่แี ท้จรงิ ของศาสนาและเป็นแหล่งซ่ึงอานวย
เน้ือหาสาระสาหรบั ปรบั หรอื ช่วยดงึ พระพุทธศาสนาฝ่ายวฒั นธรรมใหเ้ ขา้ ส่หู รอื ใกลเ้ ขา้ สู่หลกั การท่ี
แท้จริงของพระพุทธศาสนามากยง่ิ ข้นึ ๆ และทางด้านการส่อื สารด้วยภาษาพูดและภาษาเขยี น
พระพทุ ธศาสนากเ็ ป็นแหล่งใหญ่แห่งความเจรญิ งอกงามของภาษาไทย แมแ้ ต่ถอ้ ยคาสามญั ทใ่ี ชใ้ น
ชวี ติ ประจาวนั กเ็ ป็นคาทม่ี าจากบาลสี นั สกฤตหลายส่วน แมว้ ่าในปจั จุบนั ภาษาไทย และวรรณกรรม
ไทยจะขยายตวั เจรญิ เตบิ โตขน้ึ โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากภาษาต่างประเทศสายอ่นื และเรอ่ื งราวแปลก
ใหม่ในขอบเขตทก่ี วา้ งขวางออกไป๑ จนบางครงั้ ทาใหถ้ ้อยคาท่มี าจากบาลีสนั สกฤตบางส่วนและ
วรรณคดเี ก่าๆ เหล่าน้ีดูเหมอื นจะกลายเป็นเร่อื งของอดตี นานไกลท่ลี ่วงผ่านพ้นสมยั ไปแล้ว แต่
กระนนั้ กต็ ามถ้อยคาและวรรณคดไี ทยเก่าๆ ทงั้ หลายกย็ งั คงความสาคญั ในฐานะเป็นทส่ี บื คน้ ความ

๑ ผศ.ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนละตาราวิชาการ วิทยาลยั สงฆ์พทุ ธชิน
ราช มจร., (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ตง้ิ จากดั , ๒๕๕๘), หน้า ๒.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เป็นไทย และความเป็นมาของไทย พร้อมทัง้ ภูมิธรรมภูมิปญั ญาไทยอยู่ต่อไป จะเห็นว่า
พระพุทธศาสนาเป็นบ่อเกดิ แห่งความสรา้ งสรรคซ์ ง่ึ ภมู ปิ ญั ญาของไทยทุกๆ ดา้ นอย่างโดยแท้ สม
ดงั คากล่าวท่วี ่า “ประเทศไทยเราน้ีเป็นแหล่งอารยธรรมทางพระพุทธศาสนา ซง่ึ เป็นภูมปิ ญั ญาของ
โลก”๑

๑.๒ พระพทุ ธศาสนาในฐานะบอ่ เกิดของภมู ิปัญญา

ภมู ิปัญญาแห่งความเป็นมนุษยใ์ นพระไตรปิ ฎก

พระไตรปิฎกเป็นขุมทรพั ยท์ างภูมปิ ญั ญาของมนุษยชาติ และพระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เป็นทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาของชาวไทยทุกคนไม่ว่าจะนับถอื ศาสนา
ใดๆ ทงั้ น้ีเพราะพระไตรปิฎก เป็นพระสทั ธรรมเพ่อื การดารงอยู่อย่างเป็นมนุษย์ท่แี ท้ ความเป็น
มนุษยท์ ่บี รบิ ูรณ์ สมบูรณ์แบบ เมอ่ื ใครไดศ้ กึ ษาและปฏบิ ตั ติ ามแลว้ จะเกดิ การพฒั นาตนใหม้ คี วาม
สงบระงบั ภายในได้ เกดิ ความสขุ และเกดิ ความเรอื งปญั ญา เป็นคุณภาพชวี ติ ทบ่ี รรลุถงึ ความดสี งู สุด
ทาใหเ้ กดิ สนั ตภิ าพและความมนั่ คงในสงั คมไทยทม่ี คี วามหลากหลายมากยงิ่ ขน้ึ

ประชาชนทวั่ ทุกมุมโลกกาลังให้ความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาพระไตรปิฎกมากยงิ่ ข้นึ
เรอ่ื ยๆ ในหลายหลากองคค์ วามรู้ บา้ ง กศ็ กึ ษาในภูมคิ วามรดู้ า้ นการบรหิ าร การปกครอง ภาวะผนู้ า
รฐั ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บา้ ง กศ็ กึ ษาเพ่อื เพมิ่ พนู ภมู คิ วามรดู้ า้ นวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ต์
เช่นแพทยศาสตร์ การพยาบาล การสาธารณสุขศาสตร์ เภสชั ศาสตร์ ส่วนดา้ นอายุรเวทและเภสชั
ศาสตรแ์ ผนไทย กม็ รี ากฐานความรหู้ ลายส่วนมาจากพระไตรปิฎก นอกจากน้ียงั มอี ย่ไู ม่น้อยทศ่ี กึ ษา
ภมู ปิ ญั ญาดา้ นจติ วทิ ยา พฤตกิ รรมศาสตร์ และจรยิ ศาสตร์ และศกึ ษาจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ
อย่างยงิ่ ในวงการศึกษาสมยั ใหม่ท่พี ระไตรปิฎกเป็นแหล่งภูมิปญั ญาได้ไพศาลเช่นนัน้ เพราะ
คุณลกั ษณะพเิ ศษทโ่ี ดดเด่นอย่างยง่ิ คอื พระพุทธธรรมในพระไตรปิฎก เป็นปญั ญาทล่ี กึ ซง้ึ เก่ยี วกบั
มนุษย์ ธรรมชาติ และสงั คม๒ และกระบวนการแสวงหาความรแู้ ละวธิ กี ารคดิ ทาใหเ้ กดิ ความรตู้ าม
ความเป็นจรงิ มองเหน็ ประโยชน์หลายระดบั มกี ารสบื คน้ สาวเหตุปจั จยั มกี ารวเิ คราะหแ์ ยกแยะ และ
มวี ธิ กี ารคดิ แบบมองหาคุณโทษและทางออก ซง่ึ ในหลายส่วนไม่มคี วามขดั แยง้ กบั วธิ กี ารแสวงหา
ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรท์ เ่ี ป็นกระแสหลกั ของโลกในปจั จบุ นั น้ี๓

พระไตรปิฎกเป็นบ่อเกดิ แห่งความรูท้ ่บี รสิ ุทธเิ ์ ป็นสากล ศาสนิกชนทุกศาสนาศกึ ษาได้
อยา่ งอสิ ระ ทเ่ี รยี กว่า “พทุ ธศาสตร”์ และ สามารถศกึ ษาไดอ้ ยา่ งเป็นบรู ณาการสหวทิ ยา ทเ่ี รยี กว่า
“พุทธศาสตร์สหวิทยาบูรณาการ” เหมาะสมกับยุคสมัยแห่งโลกาภิวัตน์ จึงกล่าวได้ว่า

๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พทุ ธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร,์ (กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ุทธ
ธรรม, ๒๕๔๑), หน้า ๑๑๗.

๓ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๔๒.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

พระไตรปิฎกเป็นแหล่งพลงั ท่ยี ง่ิ ใหญ่หน่ึงของมนุษยชาตใิ นยุคโลกาภวิ ตั น์ด้วยจรยิ ธรรมแนวกุศล
กรรมบถ

จากการคน้ คว้าทางดา้ นพระคมั ภรี ท์ างศาสนาของศาสนาต่างๆ ของโลก เช่น ศาสนายู
ดาย ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม เป็นต้น พบว่า การศกึ ษาพระคมั ภรี ท์ างศาสนาลว้ นแลว้ แต่ไดร้ บั
การสถาปนาเป็น “หนังสือแห่งความศกั ด์ิสิทธ์ิ” เป็น “พระวจนะของพระผ้เู ป็นเจ้า” ศาสนิก
ชนทงั้ หลายต่างมงุ่ มนั่ ศกึ ษาอย่างเอาจรงิ เอาจงั เป็นศาสนกจิ ทส่ี าคญั ของครอบครวั ศกึ ษากนั มาแต่
เยาวว์ ยั เป็นการวางรากฐานแก่นศาสนธรรมใหแ้ น่นแฟ้นก่อนทจ่ี ะออกไปแสวงหาความรทู้ างโลกใน
วชิ าชพี ด้านต่างๆ เดก็ ทฝ่ี ึกอ่านพระคมั ภรี จ์ ะเตบิ โตเป็นเดก็ ท่รี กั การอ่านและการแสวงหาความรู้
ความเขา้ ใจในสง่ิ ต่างๆ อย่างลกึ ซ้งึ มคี วามเฉลยี วฉลาดเป็นพเิ ศษด้านภาษาและปฏภิ าณการใช้
เหตุผลอย่างเหมาะสม เม่อื เตบิ โตเป็นผูใ้ หญ่ จงึ ถึงพรอ้ มด้วยความเป็นบุคคลท่มี คี วามรแู้ ละภูมิ
ปญั ญาทส่ี ง่างาม ในศาสนายดู าย มรี บั ไบหรอื ครูผทู้ รงภมู ธิ รรมทางศาสนา ไดก้ ล่าวสอนไวว้ ่า ถ้า
ชวี ติ ของเราเกดิ ภาวะอบั เฉาตกอบั ลาเคญ็ ตกงานไรอ้ าชพี อย่าทอ้ แท้ อยา่ ละทง้ิ การศกึ ษาพระธรรม
คมั ภรี ท์ างศาสนา แต่ยง่ิ ต้องศกึ ษาพุทธพจน์ให้รชู้ ดั แลว้ บุคคลนัน้ จะบงั เกดิ ปญั ญาความสามารถ
พเิ ศษท่ที าให้สามารถหางานทาเล้ยี งชพี ตนเองและครอบครวั ได้อย่างมนั่ คง ชวี ติ จะมคี วามเจรญิ
รงุ่ โรจน์ ไมอ่ บั เฉาอกี ต่อไป

เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ศาสนิกชนต่างๆ แลว้ พุทธศาสนิกชนไทยยงั ใหค้ วามสนใจศกึ ษาหา
แก่นพระพุทธธรรมในพระไตรปิฎกน้อย ท่ีเห็นได้ชัด คือการศึกษาท่ีเป็นกิจกรรมสาคัญของ
ครอบครวั โดยต่างมขี อ้ แยง้ ข้ออ้างต่างๆ กนั ไป ทงั้ ๆ ท่ีพระไตรปิฎก เป็นพระพุทธวจนะ ท่รี วม
เป็นศาสนธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ โดยสภาพแห่งธรรมแล้วเป็นสจั ธรรมท่ใี ห้ภูมปิ ญั ญาแห่ง
ความเป็นมนุษย์ ทศ่ี กึ ษาไดใ้ นทุกแงท่ ุกมมุ สาระธรรมกม็ หี ลายระดบั ตงั้ แต่เรอ่ื งราวทส่ี นุก เขา้ ใจง่าย
อ่านแล้วน่าเพลดิ เพลนิ สาหรบั เดก็ ๆ ตงั้ แต่ชนั้ อนุบาล เช่น พระพุทธประวตั ิ เร่อื งเล่าในพระสูตร
ต่างๆ ชาวบา้ นทวั่ ไปกเ็ ขา้ ใจไดไ้ ปจนถงึ ระดบั อุดมศกึ ษาปรญิ ญาตรี ปรญิ ญาโท และปรญิ ญาเอก

มขี อ้ ทน่ี ่าสงั เกตว่าถา้ ใครไดศ้ กึ ษาพระไตรปิฎกอย่างลกึ ซง้ึ แลว้ จะทาใหเ้ กดิ อจั ฉรยิ ภาพ
ทางดา้ นภาษาและวรรณกรรม ในสงั คมไทยเราตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั มนี ักคดิ นกั เขยี นหลายท่าน
ทถ่ี ่ายทอดความรจู้ ากพระไตรปิฎกออกมาสู่สาธารณชน มชี ่อื เสยี งโด่งดงั เป็นท่ยี อมรบั กนั ในฐานะ
นักปราชญ์ราชบณั ฑติ ศกึ ษาพระไตรปิฎกมากๆ ทาใหเ้ ขา้ ใจโลก ชวี ติ ตนเอง และคนรอบดา้ นไดด้ ี
ยง่ิ ขน้ึ ทาใหเ้ ป็นคนทค่ี ล่องแคล่วในการแก้ปญั หา เป็นนักปฏบิ ตั นิ ิยม คอื รูแ้ ล้วนาความรไู้ ปใช้ให้
เกดิ ประโยชน์ในทางปฏบิ ตั ไิ ด้จรงิ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ยงิ่ ปจั จุบนั มพี ระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่ีอ่านเข้าใจง่ายเป็นภาษาไทยร่วมสมัย จึงเป็นวาระสาคัญท่ี
พุทธศาสนิกชนไทยจะมารวมตวั กันอ่านพระไตรปิฎก และสนทนาธรรมกนั ให้สนุกเป็นกิจวตั ร
ประจาวนั ทข่ี าดไมไ่ ดข้ องชาวพุทธ สงั คมไทยพุทธจะไดห้ มดปญั หาเร่อื งการอธบิ ายพระพุทธธรรมท่ี
คลาดเคล่อื นบดิ เบอื นไปจากคาสงั่ สอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ เกดิ ความรจู้ รงิ รแู้ จง้ มศี รทั ธาทค่ี ู่
กบั ปญั ญา

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สาหรบั คนรนุ่ ใหมแ่ ลว้ ศาสนธรรมยงั เป็นสง่ิ จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งเรยี นรหู้ รอื ไม่ ทงั้ น้ีเพราะ คน
ไทยสมยั ใหม่ ในกระแสวตั ถุนิยม เสรนี ิยมและบรโิ ภคนิยม มคี นจานวนไม่น้อยถือคติในหลัก
ประโยชน์นิยมทางวตั ถุ กล่าวคอื ถ้าจะเลอื กตดั สนิ ใจกระทาสง่ิ ใด ก็ต้องคานวณดูว่า “ทาแล้วจะได้
ผลตอบแทนอะไรท่ีเป็นรูปธรรมกลับคืนมาบ้างและคุ้มหรือไม่” ในท่ีน้ีก็คือถามว่า “ศึกษา
พระไตรปิฎก พระพทุ ธธรรมทป่ี ระกาศไวต้ งั้ ๒๕๖๑ ปีแลว้ จะไดผ้ ลประโยชน์อะไรตอบแทนกลบั คนื
มาอยา่ งเป็นรปู ธรรมบา้ ง” นนั่ เอง

คาตอบน้ีมอี ยู่อย่างชดั เจนในใจของคนรุ่นใหม่อยู่แล้ว ถ้าถามย้อนกลับไปว่าความ
พยายามทงั้ หลายท่เี ราทุกคนด้นิ รนต่อสู้กระทาไปอยู่ทุกวนั น้ี เราทาไปเพ่อื อะไรเรามชี วี ติ อย่เู พ่อื
อะไร มใิ ช่เพราะเรากระทาไปเพ่อื แสวงหาจดุ หมายของชวี ติ หรอื นนั่ คอื ความสุข ความสงบ ความ
ปลอดภยั ความมนั่ คงในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ สงิ่ ทด่ี ๆี เหล่าน้จี ะเกดิ ขน้ึ ในชวี ติ ของเราไดอ้ ยา่ งไร ถา้ เรา
มคี วามรู้ในการแสวงหาโภคทรพั ย์แต่ขาดหลกั ธรรมในการดารงชีวิต ขาดหลกั ปฏบิ ตั ิท่ดี เี พยี ง
พอทจ่ี ะคมุ้ ครองชวี ติ โภคทรพั ย์ และความสขุ ทย่ี งั่ ยนื ใหต้ งั้ มนั่ อยไู่ ด้

อน่ึง ทเ่ี ศรษฐกจิ การเมอื ง และสงั คมไทยเราเกดิ ความง่อนแงน่ มาจนถงึ วนั น้ีมใิ ช่เพราะ
"ศลี ธรรมวบิ ตั "ิ หรอกหรอื วนั น้ี ถา้ เราชาวไทยพากนั หนั มาศกึ ษาพระไตรปิฎก ยอ่ มจะเช่อื มนั่ วางใจ
ไดว้ ่า เราจะมสี ตติ งั้ มนั่ อย่ใู นความไมป่ ระมาทและอย่ใู นทางทด่ี ที ่ีชอบ มจี รยิ ธรรม ทงั้ น้ีเพราะเราทุก
คนต่างตระหนกั แลว้ ว่า ต่อใหส้ งั คมไทยมนี กั เศรษฐศาสตรก์ ารเงนิ การธนาคาร นักธุรกจิ ขา้ ราชการ
และนกั การเมอื งทจ่ี บการศกึ ษาสงู สุดจากสถาบนั การศกึ ษาวชิ าชพี ชนั้ นาของโลกทว่ี ่ายอดเยย่ี มทส่ี ุด
เพยี งไร ถ้าเป็นความรทู้ ไ่ี ม่มรี ากฐานทแ่ี ข็งแกร่งทางศาสนธรรมแลว้ กม็ กั จะนาพาเศรษฐกจิ สงั คม
การเมอื งของชาตไิ ปส่คู วามวบิ ตั แิ ละวกิ ฤต คนเก่งเหล่านนั้ กไ็ มส่ ามารถใชค้ วามรทู้ อ่ี ุตส่าหใ์ ชท้ ุนไป
ร่าเรยี นมาช่วยชาติให้พ้นจากหายนะและภยั ท่กี ล่าวมาได้ การศกึ ษา ศาสนธรรมในพระไตรปิฎก
เป็นหนทางหน่ึงท่ีจะช่วยเพ่ิมพูนสติปญั ญาของคนรุ่นใหม่ และลูกหลานไทยในการพัฒนา
ประเทศชาตไิ ปในทศิ ทางทช่ี าญฉลาดเป็นไปเพ่อื ความดี ไม่เป็นโทษ ไม่ก่อภยั ไม่เหน็ แก่ประโยชน์
ส่วนตนเหล่าน้ีรวมเรียกว่าใช้ "ภูมิปญั ญาแห่งความเป็นมนุษย์" ซ่ึงแสดงไว้อย่างมากมายใน
พระไตรปิฎกของเรา

มรี ายงานการวจิ ยั หนังสือ วทิ ยานิพนธ์ บทความ เอกสาร ขอ้ เขยี นต่างๆ นับได้เป็น
หม่นื เป็นแสนเล่ม ท่เี ป็นผลท่เี กิดข้นึ มาจากการศกึ ษาพระไตรปิฎก มใิ ช่แต่เฉพาะเป็นภาษาไทย
เท่านัน้ ประเด็นท่ีจะนาเสนอต่อไปน้ีจงึ เป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิปญั ญาท่ีได้จากการศึกษา
พระไตรปิฎก จากรากฐานของ “ภมู ิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย”์ ตามลาดบั คอื

๑. ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ความเป็นมนุษย์

๒. คุณลกั ษณะของมนุษยภาพ
๓. ภมู ปิ ญั ญาแห่งความเป็นมนุษยใ์ นพระไตรปิฎก

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๑. ภมู ิปัญญาแห่งความเป็ นมนุษย์

ศาสตรใ์ ดๆ ทเ่ี น้นการศกึ ษาเพ่อื “ความเป็ นมนุษย”์ อยา่ งแทจ้ รงิ เรยี กว่า มนุษยนิยม
(Humanism) เช่น ปรชั ญาแนวมนุษยนิยม (Humanistic Philosophy) จติ วทิ ยาแนวมนุษยนิยม
(Humanistic Psychology) การแพทยแ์ นวมนุษยนิยม (Humanistic Medicine) และการสาธารณสุข
แนวมนุษยนิยม (Humanistic Public Health) เป็นต้น แนวทางน้ี จงึ หมายถงึ “ส่ิงท่ีเก่ียวข้องกบั
ความเป็ นมนุษย์” เก่ยี วข้องกบั “ธรรมชาติของมนุษย์” และเก่ยี วขอ้ งกบั “พฤติกรรมของ
มนุษย์” ท่ีแสดงออกมาทงั้ ทางด้านกายภาพ จิตภาพและสงั คมภาพ อย่างเป็นแบบแผนและ
กระบวนการทศ่ี กึ ษาได้

จากการศกึ ษาทานองน้ี ทาใหผ้ ศู้ กึ ษาต้องทาความเขา้ ใจใหช้ ช้ี ดั ได้ว่า มนุษย์ เม่อื นาไป
เปรยี บเทยี บกบั สตั วแ์ ละสง่ิ มชี วี ติ ชนิดอ่นื แลว้ มคี วามเหมอื นหรอื แตกต่างกนั ไปหรอื ไม่อยา่ งไร โดย
เรม่ิ ต้นจากการพิจารณาดูองค์ประกอบทางด้านชวี วิทยา สรรี วทิ ยาและพฤติกรรมศาสตร์ เม่อื
พจิ ารณาดูสิ่งท่ีมนุษย์กระทา คดิ พูด และผลงานสร้างสรรค์ต่างๆ แล้ว ผลงานการกลนั่ กรอง
ทางดา้ น “ศาสนธรรม” มคี วามเด่นชดั มนุษยเ์ ป็นสงิ่ มชี วี ติ ทม่ี ไิ ดด้ ารงชวี ติ อยรู่ อดไดแ้ ค่การบารุง
ทางด้านร่างกาย แต่เป็นสง่ิ มชี วี ติ ท่ตี ้องบารุงทางจติ วญิ ญาณพรอ้ มๆ กนั ไปดว้ ย ศาสนธรรม เป็น
เคร่อื งบารุงจติ วญิ ญาณมนุษย์ให้มชี ีวติ อยู่ได้อย่างมคี วามสุขเป็นแก่นแท้ของจรยิ ธรรมในสงั คม
มนุษย์ ทย่ี งั หาไม่พบในสงิ่ มชี วี ติ ชนิดอ่นื ๆ มนุษยม์ คี วามตระหนักในศกั ดศิ ์ รแี ห่งความเป็นมนุษย์
(Human dignity) ซง่ึ เป็นความรสู้ กึ ซาบซง้ึ ทห่ี าพบไดย้ ากในสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ อ่นื

ภูมปิ ญั ญาแห่งความเป็นมนุษย์ จงึ เป็นรากฐานแห่งภูมปิ ญั ญาทงั้ หลายท่มี อี ยู่ในสงั คม
มนุษย์ เป็นสง่ิ ซง่ึ หมายรวมถงึ ทุกสงิ่ ทุกอยา่ งทม่ี นุษยไ์ ดก้ ระทา รสู้ กึ นึกคิด จนิ ตนาการ สรา้ งสรรค์
นวตั กรรมเพอ่ื ความดี ความงาม ในการดารงรกั ษาเผ่าพนั ธุม์ นุษยชาตไิ ดอ้ ยา่ งมคี ณุ ค่าแก่โลก

๒. คณุ ลกั ษณะของมนุษยภาพ

มนุษยม์ จี ดุ กาเนิดเรม่ิ แรกเดมิ ทมี าจากไหน ยงั คงเป็นความเรน้ ลบั ทย่ี งั ไม่อาจรไู้ ดอ้ ย่าง
แน่ชดั ได้ ทงั้ ๆ ท่นี ักปราชญ์ทงั้ หลายต่างพยายามสบื ค้นอยู่ทุกวถิ ีทาง อเล็กซสิ คารเ์ รล็ ( Alexis
Carrell, 1935) ไดก้ ล่าวไวใ้ นหนังสอื ช่อื Man the Unknown มนุษยผ์ ไู้ มร่ ทู้ ม่ี าว่า มนุษยเ์ ป็นผไู้ ม่รู้
กาเนดิ ทม่ี าของตนเอง แต่เป็นผทู้ ม่ี ศี กั ยภาพสงู สดุ ทร่ี วู้ า่ มนุษยเ์ กดิ มาเพ่อื อะไร มนุษยม์ คี ุณลกั ษณะ
อยา่ งไรและแตกต่างจากสตั วช์ นิดอ่นื ๆ อยา่ งไร คุณลกั ษณะแห่งมนุษยภาพทเ่ี หน็ เด่นชดั ไดแ้ ก่ การ
พฒั นาดา้ นจติ ใจ สตปิ ญั ญา และมโนธรรมสานึก

มนุษยภาพด้านการพฒั นาจติ ใจคือความสามารถในการยกจติ อยู่เหนือวตั ถุอยู่เหนือ
กายภาพ เหนือโลกยี วสิ ยั บรรลุภูมธิ รรมระดบั โลกุตรธรรม ฝึกจติ ใจให้มคี วามสงบระงบั ได้ในทุก
อริ ยิ าบถ

มนุษยภาพดา้ นปญั ญา คอื ความสามารถในการใชป้ ญั ญา กระบวนการคดิ การใชเ้ หตุผล
การคดิ อย่างเป็นระเบยี บวธิ ี การคดิ เพ่อื แสวงหาความรูใ้ หม่ การคดิ เพ่อื แสวงหาความเข้าใจตาม

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ความเป็นจริง การถ่ายทอดความรู้คิด การใช้ความคิดเชิงสัมพัทธภาพ การคิดเพ่ือการส่ือ
ความหมาย การคดิ สงั เคราะหต์ ่างๆ การคดิ เกย่ี วกบั อตั สงั กปั ของตน การคดิ เพ่อื วางแผนการกระทา
ในอนาคต การคดิ ตรวจสอบและประเมนิ ผล การคดิ เชงิ ประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี องยอ้ นกลบั ไปสู่อดตี รจู้ กั
การอา้ งองิ ความคดิ และประสบการณ์ของผอู้ ่นื มาใชใ้ นการอธบิ าย แบบแผนการคดิ ต่างๆ ของมนุษย์
ไดท้ าใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงทางสงั คมและอารยธรรมของมนุษยชาติ

มนุษยภาพดา้ นมโนธรรมสานึก เป็นสานึกทางมนุษยธรรม ท่เี ป็นสิ่งบ่งชถ้ี งึ ชะตากรรม
ของมนุษยชาติและสรรพส่ิงทงั้ หลายในโลกธรรมชาติท่มี นุษยไ์ ด้อาศยั อยู่ มนุษย์เป็นสงิ่ มชี วี ิตท่ี
ตระหนักในคุณธรรม จรยิ ธรรม จนพร่าสอนกนั มาในหม่มู นุษยว์ ่า คุณธรรมเป็นสงิ่ ท่แี ยกมนุษยจ์ าก
สตั วอ์ ่นื ๆ มนุษยเ์ ป็นสตั วท์ ป่ี ระเสรฐิ เพราะมคี ุณธรรม รวู้ ่าอะไรดี อะไรชวั่ รวู้ ่าคนเราเมอ่ื อยรู่ ่วมกนั
พงึ ปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบต่อกนั อย่างไร มแี บบแผนทด่ี งี ามสาหรบั ความประพฤติ มกี ารใคร่ครวญถงึ
การกาหนดเกณฑม์ าตรฐานในการตดั สนิ ปญั หาทางจรยิ ธรรม

๓. ภมู ิปัญญาแห่งความเป็นมนุษยใ์ นพระไตรปิ ฎก

เม่อื สารวจพรมแดนความรู้ท่ีได้จากพระไตรปิฎกแล้ว เราจะพบว่าองค์ความรู้ท่ไี ด้นัน้
จาแนกประเภทของความรู้และภูมปิ ญั ญาได้อย่างน้อย ๕ กลุ่มใหญ่ คอื (๑) ภูมปิ ญั ญาด้านภาษา
และวรรณกรรม (๒) ภูมปิ ญั ญาดา้ นการจดั ระเบยี บสงั คมมนุษย์ (๓) ภูมปิ ญั ญาด้านวทิ ยาศาสตร์
เก่ยี วกบั มนุษย์ ได้แก่ หลกั ชวี -สรรี วทิ ยามนุษย์ หลกั กายวภิ าคศาสตร์มนุษย์ หลกั จติ วทิ ยาและ
พฤตกิ รรมศาสตรม์ นุษย์ (๔) ภูมปิ ญั ญาด้านวทิ ยาศาสตรป์ ระยุกต์ เช่น เภสชั ศาสตรแ์ ละอายุรเวท
แผนไทยและ (๕) ภูมปิ ญั ญาทางดา้ นเศรษฐศาสตร์ รฐั ศาสตร์ จรยิ ศาสตร์ และการส่อื สารมวลชน
เป็นตน้

ภมู ปิ ญั ญาทก่ี ลา่ วมาทงั้ หมดเหล่าน้ี ต่างมรี ากฐานมาจากภูมปิ ญั ญาแห่งความเป็นมนุษย์
กล่าวคอื

๓.๑) ภมู ิปัญญาด้านภาษาและวรรณกรรมในพระไตรปิ ฎก เป็นขุมทรพั ยท์ างปญั ญา
ของภาษาไทย ภาษาเป็นเคร่อื งมอื ท่มี นุษย์ใช้ในการส่อื ความหมายร่วมกัน อย่างมแี บบแผนมี
ระเบยี บวธิ กี ารใช้ มโี ครงสร้างทางไวยากรณ์ และวรรณกรรมท่ที าให้การส่อื ภาษามพี ลงั ในการ
ถ่ายทอดความรู้คิด เช่น คุณสมบัติท่เี รยี กว่า “การอุปมาอุปมยั ” ในท่นี ้ีจะขอยกตัวอย่างการ
เปรยี บเทยี บระหว่างปรากฏการณ์ธรรมชาตขิ องมหาสมุทรกบั พระธรรมวนิ ยั

ในพระวนิ ยั ปิฎก มบี นั ทกึ เก่ยี วกบั ปาตโิ มกขุทเทสยาจนะ ว่าดว้ ยการขอใหย้ กปาตโิ มกข์
ขน้ึ แสดงว่า๔

สมยั นนั้ พระผู้มพี ระภาคประทบั อยู่ ณ ปราสาทในปุพพารามของนางวสิ าขามคิ ารมาตา
ครงั้ นนั้ ในวนั อุโบสถ ๑๕ ค่านัน้ พระผูม้ พี ระภาคประทบั นัง่ มภี กิ ษุสงฆห์ อ้ มลอ้ ม ครงั้ นัน้ เม่อื ราตรี
ผ่านไปแลว้ ปฐมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าอุตตราสงค์เฉวยี งบ่าข้าง

๔ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๘๓/๒๗๘-๒๗๙.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

หน่ึง ประนมมอื ไปทางพระผู้มพี ระภาค ไดก้ ราบทูลพระผมู้ พี ระภาคดงั น้ีว่า “พระพุทธเจา้ ขา้ ราตรี
ผ่านไปแลว้ ปฐมยามผา่ นไปแลว้ ภกิ ษุสงฆน์ งั่ นานแลว้ พระผมู้ พี ระภาคโปรดยกปาตโิ มกขข์ น้ึ แสดง
แก่ภกิ ษุทงั้ หลายเถดิ ”

เมอ่ื ทา่ นพระอานนทก์ ราบทลู อยา่ งน้ี พระผมู้ พี ระภาคทรงน่ิง แมค้ รงั้ ท่ี ๒ เม่อื ราตรผี ่าน
ไปแลว้ เมอ่ื มชั ฌมิ ยามผ่านไปแลว้ ท่านพระอานนทล์ ุกจากอาสนะ ห่มอุตตราสงคเ์ ฉวยี งบ่าขา้ งหน่ึง
ประนมมอื ไปทางพระผมู้ พี ระภาคไดก้ ราบทลู พระผมู้ พี ระภาคดงั น้ีว่า “พระพุทธเจา้ ขา้ ราตรผี ่านไป
แลว้ มชั ฌมิ ยามผ่านไปแล้ว ภกิ ษุสงฆน์ ัง่ นานแลว้ พระผู้มพี ระภาคโปรดยกปาตโิ มกขข์ น้ึ แสดงแก่
ภกิ ษุทงั้ หลายเถดิ ”

แมค้ รงั้ ท่ี ๒ พระผมู้ พี ระภาคกท็ รงนง่ิ ฯลฯ
แม้ครงั้ ท่ี ๓ เม่อื ราตรีผ่านไปแล้ว เม่อื ปจั ฉิมยามผ่านไปแล้ว ยามรุ่งอรุณ ท่านพระ
อานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มอุตตราสงคเ์ ฉวยี งบ่าขา้ งหน่ึงประนมมอื ไปทางพระผมู้ พี ระภาค ไดก้ ราบ
ทูลพระผู้มพี ระภาคดงั น้ีว่า “พระพุทธเจา้ ขา้ ราตรผี ่านไปแลว้ ปจั ฉิมยามผ่านไป ภกิ ษุสงฆน์ ัง่ นาน
แลว้ พระผมู้ พี ระภาคโปรดยกปาตโิ มกขข์ น้ึ แสดงแก่ภกิ ษุทงั้ หลายเถดิ ”

พระผมู้ พี ระภาคตรสั ว่า “อานนท์ บริษทั ไมบ่ ริสทุ ธ์ิ” (อปริสทุ ฺธา อานนฺท ปริสา)

ลาดบั นนั้ ท่านพระมหาโมคคลั ลานะไดม้ คี วามคดิ ดงั น้ีว่า “พระผมู้ พี ระภาคตรสั ว่า บรษิ ทั
ไม่บรสิ ุทธิ ์ ทรงหมายถงึ ใครกนั ” (ก นุ โข ภควา ปคุ คฺ ล สนฺธาย เอวมาห อปริสทุ ฺธา อานนฺท
ปริสา) ลาดบั นนั้ ท่านพระมหาโมคคลั ลานะมนสกิ ารกาหนดจติ ภกิ ษุสงฆ์ ท่มี ที งั้ หมดดว้ ยจติ (ของ
ตน) ไดเ้ หน็ บุคคลนัน้ ผูท้ ุศลี มบี าปธรรม ประพฤตไิ ม่เรยี บรอ้ ย น่ารงั เกยี จ ปกปิดพฤตกิ รรม ไม่ใช่
สมณะแต่ปฏญิ ญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารแี ต่ปฏญิ ญาว่าเป็นพรหมจารี เน่าใน เปียกชุ่ม เป็น
ดุจหยากเย่อื นัง่ อยู่ท่ามกลางภกิ ษุสงฆ์ ครนั้ แล้วจงึ เขา้ ไปหาบุคคลนัน้ แล้วได้กล่าวกบั บุคคลนัน้
ดงั น้ีว่า “ท่านจงลุกขน้ึ พระผูม้ พี ระภาคทรงเหน็ ท่านแลว้ ท่านไม่มสี งั วาสกบั ภกิ ษุทงั้ หลาย” เม่อื
ท่านพระมหาโมคคลั ลานะแมก้ ล่าวอยา่ งน้ี บุคคลนนั้ กย็ งั นิง่

แมค้ รงั้ ท่ี ๒ ท่านพระมหาโมคคลั ลานะ กไ็ ดก้ ลา่ วกบั บุคคลนนั้ ดงั น้วี า่ “ท่านจงลุกขน้ึ พระ
ผมู้ พี ระภาคทรงเหน็ ท่าน ท่านไมม่ สี งั วาสกบั ภกิ ษุทงั้ หลาย” แมค้ รงั้ ท่ี ๒ บคุ คลนนั้ กย็ งั น่งิ

แมค้ รงั้ ท่ี ๓ ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะกไ็ ดก้ ล่าวกบั บุคคลนนั้ ดงั น้ีว่า “ท่านจงลุกขน้ึ พระ
ผมู้ พี ระภาคทรงเหน็ ท่าน ท่านไมม่ สี งั วาสกบั ภกิ ษุทงั้ หลาย” แมค้ รงั้ ท่ี ๓ บคุ คลนนั้ กย็ งั นิง่

ลาดบั นนั้ ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะจบั แขนบคุ คลนนั้ ฉุดใหอ้ อกไปนอกซุม้ ประตูใส่กลอน
แล้วเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงท่ีประทับ ครัน้ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังน้ีว่า
“ขา้ พระพทุ ธเจา้ ใหผ้ นู้ นั้ ออกไปพน้ แลว้ บรษิ ทั บรสิ ุทธแิ ์ ลว้ ขอพระผมู้ พี ระภาคโปรดยกปาตโิ มกขข์ น้ึ
แสดงแก่ภกิ ษุทงั้ หลายเถดิ พระพุทธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั ว่า “โมคคลั ลานะ น่าอศั จรรยจ์ รงิ

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

โมคคลั ลานะ เป็นเร่อื งยงั ไม่เคยปรากฏ โมฆบุรุษ รอจนกระทงั่ ถูกฉุดแขนออกไป”๕ ต่อจากนัน้ พระ
พทุ ธองคจ์ งึ ไดแ้ สดงความอศั จรรยข์ องมหาสมทุ รโดยการอุปมากบั พระธรรมวนิ ยั ดงั น้ี

ความอศั จรรยข์ องมหาสมทุ ร ๘ ประการ (มหาสมทุ เทอฏั ฐจั ฉริยะ)๖

ลาดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ กบั ภกิ ษุทงั้ หลายวา่ “ภกิ ษุทงั้ หลายในมหาสมทุ ร มสี งิ่ ท่ี
น่าอศั จรรยไ์ มเ่ คยปรากฏ ๘ ประการ ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

สิ่งท่ีน่าอศั จรรยไ์ มเ่ คยปรากฏ ๘ ประการ คอื

๑. มหาสมุทรต่าไปโดยลาดบั ลาดไปโดยลาดบั ลกึ ลงไปโดยลาดบั ไม่ลกึ ชนั ดงิ่ ไปทนั ที
ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทม่ี หาสมุทรต่าไปโดยลาดบั ลาดไปโดยลาดบั ลกึ ลงไปโดยลาดบั ไม่ลกึ ชนั ดง่ิ ไป
ทนั ที น้ีเป็นสง่ิ ทน่ี ่าอศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏประการท่ี ๑ ในมหาสมุทร ทพ่ี วกอสูรพบเหน็ แลว้ ต่างพา
กนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

๒. (น้าใน) มหาสมุทรมปี กตคิ งท่ี ไม่ลน้ ฝงั่ ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ท(่ี น้าใน) มหาสมุทรมปี กติ
คงท่ี ไม่ลน้ ฝงั่ น้ีเป็นสง่ิ ท่นี ่าอศั จรรย์ ไม่เคยปรากฏประการท่ี ๒ ในมหาสมุทร ทพ่ี วกอสูรพบเหน็
แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

๓. มหาสมทุ รไมอ่ ยรู่ ว่ มกบั ซากศพ ยอ่ มซดั ซากศพขน้ึ ฝงั่ จนถงึ บนบกทนั ที
ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ท่มี หาสมุทรไม่อยู่ร่วมกบั ซากศพ ย่อมซดั ซากศพขน้ึ ฝงั่ จนถงึ บนบก
ทนั ที น้ีเป็นสงิ่ ทน่ี ่าอศั จรรยไ์ มเ่ คยปรากฏประการท่ี ๓ ในมหาสมทุ ร ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพา
กนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

๔. มหานทที ุกสาย คอื คงคา ยมุนา อจริ วดี สรภู มหี ไหลลงส่มู หาสมทุ รแลว้ ย่อมละช่อื
และโคตรเดมิ ของตน รวมเรยี กว่า มหาสมทุ รทงั้ สน้ิ

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทม่ี หานทที กุ สาย คอื คงคา ยมนุ า อจริ วดี สรภู มหี ไหลลงส่มู หาสมุทร
แล้ว ย่อมละช่อื และโคตรเดมิ ของตน รวมเรยี กว่า มหาสมุทรทงั้ ส้นิ น้ีเป็นสงิ่ ท่นี ่าอศั จรรย์ไม่เคย
ปรากฏประการท่ี ๔ ในมหาสมทุ ร ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมุทร

๕. แมน่ ้าสายใดสายหน่งึ ในโลกทไ่ี หลรวมลงส่มู หาสมทุ ร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็
ไมท่ าใหม้ หาสมทุ รพรอ่ งหรอื เตม็ ได้

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทแ่ี ม่น้าสายใดสายหน่ึงในโลกทไ่ี หลรวมลงสู่มหาสมทุ รและสายฝนตก
ลงจากฟากฟ้า กไ็ มท่ าใหม้ หาสมทุ รพร่องหรอื เตม็ ได้ น้ีเป็นสงิ่ ทน่ี ่าอศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏประการท่ี
๕ ในมหาสมทุ ร ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

๖. มหาสมทุ รมรี สเดยี ว คอื รสเคม็

๕ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๗๓/๒๗๙.
๖ อง.ฺ อฏฐฺ ก. (ไทย) ๒๓/๑๙/๒๔๖, ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๕/๒๖๖.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ท่มี หาสมทุ รมรี สเดยี ว คอื รสเคม็ น้ีเป็นสง่ิ ทน่ี ่าอัศจรรยไ์ มเ่ คยปรากฏ
ประการท่ี ๖ ในมหาสมทุ ร ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

๗. มหาสมุทรมรี ตั นะมาก มรี ตั นะหลายชนิด คอื แกว้ มุกดา แก้วมณี แก้ว ไพฑรู ย์ สงั ข์
ศลิ า ประพาฬ เงนิ ทอง ทบั ทมิ แกว้ ตาแมว

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทม่ี หาสมทุ รมรี ตั นะมาก มรี ตั นะหลายชนิด คอื แก้วมกุ ดาแก้วมณี แก้ว
ไพฑูรย์ สงั ข์ ศิลา ประพาฬ เงนิ ทอง ทบั ทมิ แก้วตาแมว น้ีเป็นส่ิงท่นี ่าอศั จรรย์ไม่เคยปรากฏ
ประการท่ี ๗ ในมหาสมทุ ร ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร

๘. มหาสมุทรเป็นท่อี ยู่อาศัยของสตั ว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิ ปลาติมงิ คละ ปลาติมิ
ตมิ งิ คละ ปลามหาตมิ งิ คละ อสรู นาค คนธรรพ์ มลี าตวั ๑๐๐ โยชน์บา้ ง ๒๐๐ โยชน์บา้ ง ๓๐๐ โยชน์
บา้ ง ๔๐๐โยชน์บา้ ง ๕๐๐ โยชน์บา้ ง

ภิกษุทัง้ หลาย ข้อท่ีมหาสมุทรเป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิปลา
ตมิ งิ คละ ปลาตมิ ติ มิ งิ คละ ปลามหาตมิ งิ คละ อสูร นาค คนธรรพ์ มลี าตวั ๑๐๐โยชน์บา้ ง ๒๐๐ โยชน์
บา้ ง ๓๐๐ โยชน์บา้ ง ๔๐๐ โยชน์บา้ ง ๕๐๐ โยชน์บา้ ง น้เี ป็นความอศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏประการท่ี ๘
ในมหาสมทุ ร ทพ่ี วกอสรู พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นมหาสมทุ ร๗

ความมหศั จรรยใ์ นพระธรรมวินัย ๘ ประการ

ภกิ ษุทงั้ หลาย ในธรรมวนิ ัยน้ี มธี รรมทน่ี ่าอศั จรรยไ์ มเ่ คยปรากฏ ๘ ประการ ทพ่ี วกภกิ ษุ
พบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้เี หมอื นกนั ธรรมทน่ี ่าอศั จรรยไ์ มเ่ คยปรากฏ ๘ ประการ คอื

๑. ในธรรมวนิ ัยน้ี มกี ารศกึ ษาไปตามลาดบั มกี ารบาเพญ็ ไปตามลาดบั มกี ารปฏบิ ตั ไิ ป
ตามลาดบั ไมใ่ ช่มกี ารบรรลุอรหตั ตผลโดยทนั ที เหมอื นมหาสมทุ รต่าไปโดยลาดบั ลาดไปโดยลาดบั
ลกึ ลงไปโดยลาดบั ไมล่ กึ ชนั ดง่ิ ไปทนั ที

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทใ่ี นธรรมวนิ ัยน้ี มกี ารศกึ ษาไปตามลาดบั มกี ารบาเพญ็ ไปตามลาดบั
มกี ารปฏบิ ตั ิไปตามลาดบั ไม่ใช่มกี ารบรรลุอรหตั ตผลโดยทนั ที น้ีเป็นธรรมท่นี ่าอัศจรรย์ไม่เคย
ปรากฏประการท่ี ๑ ในธรรมวนิ ยั น้ที ภ่ี กิ ษุทงั้ หลายพบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้ี

๒. สาวกทงั้ หลายของเราย่อมไม่ละเมดิ สกิ ขาบททเ่ี ราบญั ญตั ไิ ว้ แม้ เพราะเหตุแห่งชวี ติ
เหมอื นน้าในมหาสมทุ รมปี กตคิ งท่ี ไมล่ น้ ฝงั่

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ท่ีสาวกทงั้ หลายของเราย่อมไม่ละเมดิ สกิ ขาบทท่เี ราบญั ญตั ิ ไว้แม้
เพราะเหตุแห่งชีวติ น้ีเป็นธรรมท่ีน่าอศั จรรย์ไม่เคยปรากฏประการท่ี ๒ ในธรรมวินัยน้ีท่ภี ิกษุ
ทงั้ หลายพบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้ี

๓. บุคคลใดทุศีลมบี าปธรรม ประพฤติไม่สะอาด น่ารงั เกียจ ปกปิดพฤติกรรม ไม่ใช่
สมณะแต่ปฏญิ ญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารี แต่ปฏญิ ญาว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน เปียกชุ่ม

๗ วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๘๔/๒๘๒-๒๘๕.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เป็นดุจหยากเย่อื สงฆก์ ไ็ ม่อยู่ร่วมกบั บุคคลนัน้ สงฆ์ย่อมประชุมกนั นาบุคคลนัน้ ออกไปทนั ที แม้
บุคคลนัน้ จะนัง่ อยู่ในท่ามกลางภกิ ษุสงฆ์ ก็ยงั ห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากบุคคลนัน้
เหมอื นมหาสมทุ รไมอ่ ยรู่ ว่ มกบั ซากศพ ยอ่ มซดั ซากศพขน้ึ ฝงั่ จนถงึ บนบก ทนั ที

ภิกษุทงั้ หลาย ข้อท่บี ุคคลใดทุศีล มบี าปธรรม ประพฤติไม่สะอาด น่ารงั เกียจปกปิด
พฤตกิ รรม ไม่ใช่สมณะแต่ปฏญิ ญาว่าเป็นสมณะ ไมใ่ ช่พรหมจารแี ต่ปฏญิ ญาว่าเป็นพรหมจารี เน่า
ภายใน เปียกชุ่ม เป็นดุจหยากเย่อื สงฆไ์ ม่อย่รู ว่ มกบั บุคคลนนั้ สงฆย์ ่อมประชุมกนั นาบุคคลนนั้ เธอ
ออกไปทนั ที แมบ้ ุคคลนัน้ จะนัง่ อย่ใู นท่ามกลางภกิ ษุสงฆก์ ย็ งั ห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆก์ ็ห่างไกล
จากบุคคลนนั้ น้ีเป็นธรรมทน่ี ่าอศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏประการท่ี ๓ ในธรรมวนิ ัยทภ่ี กิ ษุทงั้ หลายพบ
เหน็ แลว้ ต่างพา กนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้ี

๔. วรรณะ ๔ เหล่าน้ีคอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรออกจากเรอื นมาบวชในธรรม
วนิ ัยท่ตี ถาคตประกาศแล้ว ย่อมละช่อื และโคตรเดมิ รวมเรยี กว่าสมณะเช้อื สายศากยบุตรทงั้ ส้นิ
เหมอื นมหานทที ุกสายคอื คงคา ยมุนา อจริ วดี สรภู มหี ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว ย่อมละช่อื และ
โคตรเดมิ รวมเรยี กว่า มหาสมทุ รทงั้ สน้ิ

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทว่ี รรณะ ๔ เหลา่ น้คี อื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรออกจากเรอื นมา
บวชในธรรมวนิ ัยท่ตี ถาคตประกาศแลว้ ย่อมละช่อื และโคตรเดมิ รวมเรยี กว่า สมณะเช้อื สายศากย
บุตร น้ีเป็นธรรมทน่ี ่าอศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏประการท่ี ๔ ในธรรมวนิ ัยน้ีทภ่ี กิ ษุทงั้ หลายพบเหน็ แล้ว
ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้ี

๕. แมถ้ ้าภกิ ษุจานวนมาก ปรนิ ิพพานด้วยอนุปาทเิ สสนิพพานธาตุ กไ็ ม่ทาให้นิพพาน
พรอ่ งหรอื เตม็ ได้ เหมอื นแมน่ ้าสายใดสายหน่งึ ในโลกทไ่ี หลรวมลงส่มู หาสมุทร และสายฝนตกลงจาก
ฟากฟ้า กไ็ มท่ าใหม้ หาสมทุ รพรอ่ งหรอื เตม็ ได้

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทแ่ี มถ้ า้ ภกิ ษุจานวนมาก ปรนิ ิพพานดว้ ยอนุปาทเิ สสนิพพานธาตุ กไ็ ม่
ทาใหน้ พิ พานพรอ่ งหรอื เตม็ ได้ น้ีเป็นธรรมทน่ี ่าอศั จรรยไ์ มเ่ คยปรากฏประการท่ี ๕ ในธรรมวนิ ัยน้ีท่ี
ภกิ ษุทงั้ หลายพบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดธี รรมวนิ ยั น้ี

๖. ธรรมวนิ ยั น้มี รี สเดยี วคอื วมิ ตุ ตริ ส (ความหลุดพน้ ) เหมอื นมหาสมุทรมรี สเดยี ว คอื รส
เคม็ ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทธ่ี รรมวนิ ยั น้มี รี สเดยี วคอื วมิ ตุ ตริ ส(ความหลุดพน้ ) น้เี ป็นธรรมทน่ี ่าอศั จรรยไ์ ม่
เคยปรากฏประการท่ี ๖ ในธรรมวนิ ยั ทภ่ี กิ ษุทงั้ หลายพบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้ี

๗. ธรรมวนิ ยั น้ีมรี ตั นะมาก มรี ตั นะหลายชนิดคอื สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท
๔ อนิ ทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ เหมอื นมหาสมุทรมรี ตั นะมาก มรี ตั นะหลาย
ชนิด คอื แกว้ มกุ ดา แกว้ มณี แกว้ ไพฑรู ย์ สงั ข์ ศลิ า ประพาฬ เงนิ ทอง ทบั ทมิ แกว้ ตาแมว

ภิกษุทัง้ หลาย ข้อท่ีธรรมวินัยน้ีมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ สติปฏั ฐาน ๔
สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ น้ีเป็นความอศั จรรย์
ไมเ่ คยปรากฏประการท่ี ๗ ในธรรมวนิ ยั ทภ่ี กิ ษุทงั้ หลายพบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรมวนิ ยั น้ี

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๘. ธรรมวนิ ัยน้ีเป็นทอ่ี ยขู่ องผใู้ หญ่ คอื พระโสดาบนั บุคคลผปู้ ฏบิ ตั ิ เพ่อื บรรลุโสดาปตั ติ
ผล พระสกทิ าคามี บุคคลผู้ปฏบิ ตั เิ พ่อื บรรลุ สกทิ าคามผิ ล พระอนาคามี บุคคคลผู้ปฏบิ ตั เิ พ่อื บรรลุ
อนาคามผิ ล พระอรหนั ต์ บุคคลผู้ปฏบิ ตั เิ พ่อื บรรลุอรหตั ตผล เหมอื นมหาสมุทรเป็นท่อี ย่อู าศยั ของ
สตั วข์ นาดใหญ่ คอื ปลาตมิ ิ ปลาตมิ งิ คละ ปลาตมิ ติ มิ งิ คละ ปลามหาตมิ งิ คละ อสูร นาค คนธรรพ์ มี
ลาตวั ๑๐๐ โยชน์บา้ ง ๒๐๐ โยชน์บา้ ง ๓๐๐ โยชน์บา้ ง ๔๐๐ โยชน์บา้ ง ๕๐๐ โยชน์บา้ ง๘

ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ ทธ่ี รรมวนิ ยั น้ีเป็นท่อี ยขู่ องผใู้ หญ่ คอื พระโสดาบนั บุคคล ผปู้ ฏบิ ตั เิ พ่อื
บรรลุโสดาปตั ติผล พระสกิทาคามี บุคคลผู้ปฏบิ ตั ิเพ่อื บรรลุสกทาคามผิ ล พระอนาคามี บุคคลผู้
ปฏิบตั ิเพ่อื บรรลุอนาคามผิ ล พระอรหนั ต์ บุคคลผู้ปฏิบตั ิ เพ่อื บรรลุอรหตั ตผล น้ีเป็นธรรมท่นี ่า
อศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏประการท่ี ๘ ในธรรมวนิ ยั ทภ่ี กิ ษุทงั้ หลายพบเหน็ แลว้ ต่างพากนั ยนิ ดใี นธรรม
วนิ ัยน้ี๙ ครนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบเน้ือความนนั้ จงึ ทรงเปล่งอุทานน้ีในเวลานนั้ ว่า “ยงิ่ ปิด ยงิ่
รวั่ เปิดแลว้ ไมร่ วั่ เพราะฉะนนั้ พงึ เปิดสงิ่ ทปี่ ิดเมอื่ เป็นดงั น้ี สงิ่ ทเี่ ปิดนนั้ กจ็ ะไมร่ วั่ ”๑๐

๓.๒ ภมู ิปัญญาในการจดั ระเบียบสงั คมมนุษย์

พระวินัย พระบญั ญตั ิ การออกกฎหมาย กฎระเบยี บ เป็นรากฐานนิติธรรมในการจดั
ระเบยี บสงั คมสาหรบั การอย่รู วมกนั เป็นชนหม่มู าก ทป่ี รากฏเป็นหลกั สาคญั ในทุกศาสนา เป็นภูมิ
ปญั ญาทแ่ี สดงถงึ อารยธรรมชนั้ สงู ของมนุษยชาติ เป็นสง่ิ สาคญั ทม่ี นุษยท์ ุกคนตอ้ งเรยี นรมู้ ฉิ ะนนั้ แลว้
จะวางตวั อยใู่ นสงั คมอยใู่ นระเบยี บแบบแผนทด่ี งี ามไมไ่ ด้

พระวนิ ยั เป็นกฎขอ้ บงั คบั ทม่ี ลี กั ษณะเป็นกฎหมายของสงั คมสงฆ์ ใหง้ ดเวน้ การกระทา
และอนุญาตการกระทาสาหรบั บรหิ ารในหมคู่ ณะ มอี านาจ คือ คอยกากบั มบี ทลงโทษแก่ผูฝ้ ่าฝืน มี
ระเบยี บแบบนาใหผ้ ูก้ ระทาผดิ ไดก้ ลบั ตวั ทาใหถ้ ูก เป็นกฎขอ้ บงั คบั ทพ่ี ระพุทธเจา้ ไดท้ รงบญั ญตั ขิ น้ึ
จากธรรมชาติของส่ิงทงั้ ปวง มตี งั้ แต่อนาคารยิ วินัย ได้แก่ วินัยของบรรพชิต คือ ภิกษุ ภิกษุณี
สามเณร สามเณรี กล่าวเฉพาะของภกิ ษุรวม ๒๒๗ สกิ ขาบท จนถงึ อาคารยิ วนิ ัย ไดแ้ ก่ วนิ ัยของ
คฤหสั ถ์ คอื อุบาสก อุบาสกิ า ไดแ้ ก่ ศลี ๕ และศลี ๘ หรอื อุโบสถศลี ตลอดถงึ การเวน้ จากอบายมขุ
ต่างๆ

หลกั การทพ่ี ระพุทธเจา้ ไดท้ รงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั เป็นแบบแผนมรดกโลกทางดา้ นนิตธิ รรม
ซ่งึ จะทาให้ไม่ก่อให้เกิดปญั หาความขดั แย้งในทางปฏิบตั ิเม่อื นาไปใช้กับคนหมู่เหล่าท่ีมคี วาม
แตกต่างหลากหลาย เช่น ปญั หาการกระทาท่ถี ูกกฎหมายแต่ผดิ ศลี ธรรม ท่มี กั เกดิ ข้นึ บ่อยๆ ใน
สงั คมปจั จุบนั ถ้าสงั คมไทยเราอยรู่ ่วมกนั ด้วยหลกั พระวนิ ัยแล้ว เราคงไม่ต้องลงทุนสรา้ งคุกตะราง
มาขงั ใคร เพราะถา้ คนเราตงั้ แต่เดก็ จนเตบิ ใหญ่ไดร้ บั การอบรมบม่ นสิ ยั ใหม้ คี วามประพฤตชิ อบอย่ใู น
ธรรมวนิ ัย ท่นี าความประพฤติของคนทุกคนให้สม่าเสมอกนั อย่างอานวยประโยชน์สงบระงบั ใจ

๘ วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๘๕/๒๘๒-๒๘๕.
๙ องฺ.อฏฐฺ ก. (ไทย) ๒๓/๒๐/๒๕๒-๒๕๖, ข.ุ อุ. (ไทย) ๒๕/๔๕/๒๖๐.
๑๐ ข.ุ เถร. (ไทย) ๒๖/๔๔๗/๔๑๕, ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๕/๒๖๘.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

วาจา กาย มชี วี ติ อยา่ งมศี ลี ธรรมต่อกนั ป้องกนั โทษทเ่ี กดิ จากการประพฤตเิ ส่อื มจากศลี ธรรม พฒั นา
อบรมใจ วาจา กาย ให้เกิดความเข้าใจในคุณธรรมดแี ละโทษของความชวั่ รูก้ ฎแห่งกรรม ไม่ทา
ความเดอื ดรอ้ น วบิ ตั ิ เบยี ดเบยี น ไม่ก่อทุกขโ์ ศกวโิ ยคหายนะภยั แก่สรรพชวี ติ และโลก อยอู่ ย่างคน
ฉลาดรูห้ ลกั แห่งการพ้นทุกขท์ งั้ ในโลกน้ีและภพหน้าน่ีคอื ภูมปิ ญั ญาด้านนิตธิ รรม ท่ปี ระชาชนควร
ไดร้ บั การปลูกฝงั บ่มเพาะใหอ้ ย่ใู นวถิ ปี ฏบิ ตั ิ อกี ทงั้ ท่านทป่ี ระกอบภารกจิ หน้าท่ที างด้านนิตบิ ญั ญตั ิ
หน้าทท่ี างดา้ นการอานวยความยตุ ธิ รรมแก่สงั คม ควรไดร้ บั การศกึ ษาอยา่ งเป็นหลกั สตู รบงั คบั บรรจุ
ไว้ในการศกึ ษาวชิ าการทางด้านกฎหมาย เหมอื นอย่างทใ่ี นโลกทางตะวนั ตก การศกึ ษากฎหมาย
จะต้องศกึ ษากฎหมายพระบญั ญตั ิ (The Biblical Law) ดว้ ย จงึ จะไดช้ ่อื ว่ามคี วามรอบรอู้ ยา่ งแทจ้ รงิ
ทางกฎหมาย พระวนิ ยั และพระบญั ญตั ทิ างศาสนา ต่างยนื ยนั หลกั การเป็นเสยี งเดยี วกนั ว่าหลกั ทาง
กฎหมายตอ้ งควบค่ไู ปกบั หลกั ปฏบิ ตั ทิ างศลี ธรรมอยา่ งสอดคลอ้ งต้องกนั จะแตกแยกไปคนละทศิ ละ
ทางไม่ได้ ประชาคมโลกของเรา ควรยุตทิ ่จี ะมาทุ่มเถียงกนั แลว้ ว่าการกระทาทผ่ี ดิ ศลี ธรรม แต่ถูก
กฎหมาย เป็นสง่ิ ท่ยี อมรบั ได้หรอื ไม่ได้ตามหลกั นิตธิ รรมซ่งึ ในสงั คมศาสนายูดาย คาธอลคิ และ
มุสลิม ต่างมขี ้อยุติท่ชี ดั เจนว่า การกระทาท่ผี ดิ พระวนิ ัย พระบญั ญตั ิ ผดิ หลกั ศีลธรรม เป็นการ
กระทาทผ่ี ดิ กฎหมายอย่างไม่มขี อ้ อ้างใดๆ ทงั้ สน้ิ ในขณะทช่ี าวพุทธในยุคก่งึ พระพุทธกาล กลบั มผี ู้
พยายามจะมาหกั ลา้ งพระวนิ ยั โดยกล่าวอา้ งวา่ การประพฤตผิ ดิ พระวนิ ัย ไม่ใช่การผดิ กฎหมายตาม
พระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆ์ และการละเมดิ พระธรรมวนิ ัยเป็นอาจณิ เป็นเร่อื งของสทิ ธิ
มนุษยชน ขอ้ อา้ งเช่นน้เี ป็นการสรา้ งกระแสความคดิ ทผ่ี ดิ อย่างอุกฉกรรจ์

๓.๓ ภมู ิปัญญาในการดาเนินชีวิตและการประกอบอาชีพการงาน

ชีวิตมนุษย์กว่าจะผ่านไปในแต่ละช่วงวยั ต้องเผชญิ กับภาวะความเปล่ยี นแปลง อยู่
ตลอดเวลา กฎแห่งความผนั แปรน้ี ไม่มใี ครมาควบคุมห้ามไว้ได้เลย บ้างก็เรยี กกฎน้ีว่า กฎแห่ง
เหตุผล บ้างก็เรียกว่ากฎแห่งความเปล่ียนแปลง พระพุทธธรรมเรียกว่า กฎไตรลกั ษณ์ การ
เปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ เป็นผลมาจากเหตุปจั จยั ทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบมากมาย บางครงั้ บางคน
ปรบั ตวั ไมท่ นั เกดิ ภาวะสบั สนในชวี ติ อย่างรนุ แรง เกดิ อาการตระหนก ความทุกขอ์ ยา่ งสาหสั ในชวี ติ
ของคนแต่ละคน มผี ลต่อความเป็นความตายของชีวติ มนุษย์เหลอื จะพรรณนาในหลายๆ กรณี
แพทยแ์ ละการรกั ษาทท่ี นั สมยั ทส่ี ดุ ยงั มอิ าจเยยี วยาบุคคลทว่ี ปิ รติ ไปเพราะความทุกขไ์ ด้ การป้องกนั
อนั ตรายจากความพลกิ ผนั ของชวี ติ จงึ เป็นสงิ่ จาเป็นแก่ทุกๆ คนท่ตี งั้ มนั่ อยู่บนความไม่ประมาท
พระไตรปิฎกเป็นแหล่งภูมปิ ญั ญาสาหรบั จติ วิญญาณท่รี ู้เท่าทนั ชีวิตครงั้ หน่ึงขณะท่ีพระศาสดา
ประทบั อยู่ในพระเชตวัน ได้ทรงปรารภพ่อค้ามที รพั ย์มาก ผู้เฝ้าคดิ แต่จะทามาหากิน โดยไม่รู้
อันตรายแห่งชีวิตของตน ซ่ึงท่านพระอานนท์ก็ได้ปรารภว่า เป็นเร่อื งยากท่ีคนเราจะล่ วงรู้ว่า
อนั ตราย ความตายของชวี ติ จะมาเยอื นเมอ่ื ไร เวน้ แต่คนคนนนั้ จะเป็นผไู้ มป่ ระมาท คนเขลามกั จะคดิ
ว่า “เราจกั อยู่ตลอดเวลานัน้ เวลาน้ี” คนเขลาย่อมไม่รู้อนั ตรายแห่งชวี ติ (จากมรรควรรควรรณนา
เร่อื งพ่อค้าผู้มที รพั ยม์ าก) สง่ิ ท่จี ะช่วยให้คนเราเผชญิ กบั ปญั หาชวี ติ ได้เป็นอย่างดี คอื ความสงบ
มนั่ คงแจ่มใสภายในจติ ใจ ในมลสูตร ว่าดว้ ยมลทนิ ภายใน ๓ ประการท่เี ปรยี บเสมอื นศตั รภู ายใน

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ตนเอง หรอื ขา้ ศกึ ภายใน ๓ ประการ คอื อกุศลกรรมบถ ๓ คอื โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ทส่ี ามารถ
เป็นเพชฌฆาตทาใหช้ วี ติ ลม่ จมได้ ดงั กล่าวไวว้ ่า

โลภะ ก่อใหเ้ กดิ สงิ่ ทไ่ี มเ่ ป็นประโยชน์ โลภะ ทาใหจ้ ติ กาเรบิ โลภะเป็นภยั ทเ่ี กดิ ภายใน

คน (ส่วนมาก) ไมร่ จู้ กั ภยั นนั้ คนโลภไมร่ จู้ กั ผล คนโลภไมร่ จู้ กั เหตุ

ความโลภครอบงานรชน เมอ่ื ใด ความมดื บอดยอ่ มมเี มอ่ื นนั้

สว่ นผใู้ ด ละโลภะได้ ไมท่ ะยานอยากในอารมณ์ทเ่ี ป็นเหตุแห่งความโลภ

โลภะ จะถูกอรยิ มรรคละไดเ้ ดด็ ขาดไปจากผนู้ นั้ เหมอื นหยาดน้ากลง้ิ ตกจากใบบวั ฉะนนั้

โทสะก่อใหเ้ กดิ สงิ่ ทไ่ี มเ่ ป็นประโยชน์ โทสะทาใหจ้ ติ กาเรบิ โทสะเป็นภยั ทเ่ี กดิ ภายใน

คน (สว่ นมาก) ไมร่ จู้ กั ภยั นนั้ คนโกรธไมร่ จู้ กั ผล คนโกรธไมร่ จู้ กั เหตุ

ความโกรธครอบงานรชนเมอ่ื ใด ความมดื บอดยอ่ มมเี มอ่ื นนั้

ส่วนผใู้ ดละโทสะได้ ไมข่ ดั เคอื งในอารมณ์ทเ่ี ป็นเหตุแหง่ ความขดั เคอื ง

โทสะจะถูกอรยิ มรรคละไดเ้ ดด็ ขาดไปจากผนู้ นั้ เหมอื นผลตาลสุกหลุดจากขวั้ ฉะนนั้

โมหะก่อใหเ้ กดิ สง่ิ ทไ่ี มเ่ ป็นประโยชน์ โมหะทาจติ ใหก้ าเรบิ โมหะเป็นภยั ทเ่ี กดิ ภายใน

คน (ส่วนมาก) ไมร่ จู้ กั ภยั นนั้ คนหลงไมร่ จู้ กั ผล คนหลงไมร่ จู้ กั เหตุ

ความหลงครอบงานรชน เมอ่ื ใด ความมดื บอดยอ่ มมี เมอ่ื นนั้

ส่วนผใู้ ดละโมหะได้ ไมล่ มุ่ หลงในอารมณ์ทเ่ี ป็นเหตุแห่งความหลง
ผนู้ นั้ ยอ่ มกาจดั โมหะทงั้ หมดไดเ้ ดด็ ขาด เหมอื นดวงอาทติ ยก์ าจดั ความมดื ฉะนนั้ ๑๑

ในการดารงชวี ติ ทเ่ี ก่ยี วกบั บุคคลอ่นื มบี างครงั้ ท่กี ารกระทาของเราไปกระทบในทางไม่
เป็นสุขแก่เขา หรอื เขากระทาต่อเราทาใหเ้ ราโกรธ อาการโกรธ เปรยี บไดก้ บั ไฟทเ่ี ผาผลาญในใจของ
ผโู้ กรธ ต่อมาจะเกดิ การผกู ใจเจบ็ ต้องแกแ้ คน้ จองเวรกนั และกนั ไม่มที ส่ี ้นิ สุด เรยี กว่า “การจองเวร
กนั ” ในพระไตรปิฎกบนั ทกึ ไว้ว่า “การจองเวรกนั ให้เกดิ ทุกขเ์ หมอื นเร่อื งแม่ไก่ผูกอาฆาตนางกุมา
รกิ า สาเหตุคอื นางแม่ไก่ ตกไขแ่ ลว้ ถูกนางกุมารกิ านาเอาไข่ไปเคย้ี วกนิ กใ็ ห้รสู้ กึ เจบ็ ใจอาฆาตว่า
ถา้ ตายไปจะไปเกดิ ใหม่แลว้ มากนิ ทารกของนางทารกิ าบา้ ง ต่อมานางกุมารกิ า ตายไปแลว้ เกดิ เป็น
แม่ไก่ ส่วนนางแม่ไก่ตายไปแลว้ เกดิ ใหม่เป็น นางแมว พอนางกุมารกิ าทเ่ี กดิ เป็นแม่ไก่ตกไข่ นาง
แมวนนั้ กเ็ อาไขไ่ ปเคย้ี วกนิ แลว้ ต่างฝา่ ยต่างกอ็ าฆาตมงุ่ รา้ ยต่อกนั ไปอกี หลายชาติ เป็นทน่ี ่าอนาถใจ
ในเรอ่ื งท่านเองน้ีพระพุทธเจา้ ทรงสอนไว้ว่า “ผใู้ ดปรารถนาสุขเพ่อื ตน ดว้ ยการก่อทุกขใ์ หค้ นอ่นื ผู้
นนั้ ตอ้ งเกย่ี วพนั กบั เวรไมพ่ น้ จากเวรไปได”้ ๑๒ ดงั คาถาในธรรมบทวา่

๑๑ ข.ุ อิติ. (ไทย) ๒๕/๔๕๖-๔๕๘.
๑๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๙๑/๑๒๓.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

“น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตธี กุทาจน

อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน”

“ในกาลไหนๆ ในโลกน้ี เวรทงั้ หลาย ย่อมไมส่ งบระดบั ดว้ ยเวร ยอ่ มสงบระงบั ด้วยการ

ไมจ่ องเวร ธรรมขอ้ น้ีเป็นของเก่า” ท่านอุปมาว่า เหมอื นการจองเวรของงกู บั พงั พอน เหมอื นเวรหมี
กบั ไมส้ ะครอ้ เหมอื นเวรของกากบั นกเคา้ แมว เป็นจองเวรกนั ชวั่ กปั ลช์ วั่ กลั ๑๓

ในการดาเนินชวี ติ หลายๆ ครงั้ ทเ่ี ราต้องเลอื กตดั สนิ ใจว่า จะกระทาอย่างสุจรติ หรอื อย่าง
ทจุ รติ เพ่อื ใหไ้ ดป้ ระโยชน์ทเ่ี ป็นรปู ธรรมในปรมิ าณทม่ี ากทส่ี ุด ผลประโยชน์ทม่ี าล่อตาล่อใจทาใหก้ าร

ตดั สินใจท่ถี ูกต้องถูกท้าทายให้ไขว้เขวไปในทางท่มี ชิ อบได้เสมอ มคี ดอี าชญากรรมหลายๆ คดี

เกดิ ขน้ึ จากความรสู้ กึ ภายในทม่ี องดเู ป็นเรอ่ื งไมเ่ ป็นเรอ่ื งแทๆ้ ทเี ดยี ว เช่น เร่อื งราวของหญงิ ขห้ี งึ คน

หน่งึ ไดย้ นิ วา่ สามขี องนางไดท้ าความเชยชดิ กบั หญงิ รบั ใชใ้ นบา้ นคนหน่ึง จงึ ไม่พอใจจบั หญงิ คนใช้

มามดั มอื มดั เทา้ แลว้ ตดั หู ตดั จมกู นาตวั ไปขงั ไวใ้ นหอ้ งปกปิดการกระทาประทุษรา้ ยของตน จากนนั้
กช็ วนสามไี ปฟงั ธรรมของพระพุทธองค์ หญงิ คนใชห้ นีหลุดออกมาจากหอ้ งคุมขงั ได้ กไ็ ปทว่ี ดั กราบ

ทูลเน้ือความแก่พระพุทธเจา้ ในท่ามกลางพุทธบรษิ ทั ๔ พระศาสดาทรงสดบั คาของหญงิ รบั ใชแ้ ล้ว
จงึ ตรสั วา่ “ขน้ึ ช่อื วา่ ทุจรติ แมเ้ พยี งเลก็ น้อย บุคคลไม่ควรทาดว้ ยความสาคญั ว่า ชนพวกอ่นื ยอ่ มไม่รู้
กรรมน้ีของเรา" ส่วนสุจรติ นนั่ แหละ เม่อื คนอ่นื แมไ้ มร่ ู้ กค็ วรทา เพราะว่าขน้ึ ช่อื ว่าทุจรติ แมบ้ ุคคล

ปกปิดทา ยอ่ มทาการเผาผลาญในภายหลงั ส่วนสุจรติ ยอ่ มยงั ความปราโมทยอ์ ย่างเดยี วใหเ้ กดิ ขน้ึ ”

ดงั น้แี ลว้ จงึ ตรสั พระคาถาน้วี ่า

“ความชวั่ ไม่ทาเสยี เลยดกี ว่า เพราะระลกึ ถงึ ความชวั่ บุคคลย่อมเดอื ดรอ้ นในภายหลงั
สว่ นความดี ทาไวเ้ ถดิ ดกี วา่ เพราะทาแลว้ ระลกึ ถงึ ภายหลงั บคุ คลยอ่ มไมเ่ ดอื ดรอ้ น”๑๔

ชวี ติ มนุษยม์ ที างออกท่ดี แี ละถูกต้องเสมอ เม่อื บุคคลได้ศกึ ษาพระไตรปิฎก จะเกดิ ภูมิ
ปญั ญาแห่งความเป็นมนุษย์ ภมู ปิ ญั ญาไททแ่ี ทจ้ รงิ

๑.๓ ความสาคญั ของภมู ิปัญญาไทย

คนไทยไดส้ รา้ งชาติ สรา้ งความเป็นปึกแผ่นมนั่ คงของบา้ นเมอื งมกี ารดารงวถิ ชี วี ติ ดว้ ย
ความสุขร่มเยน็ อยู่ได้จนถึงทุกวนั น้ี เพราะได้ใช้ภูมปิ ญั ญาของตนมาตลอด ภูมปิ ญั ญาไทยจงึ มี
ความสาคญั อยา่ งยงิ่ มสี าระพอสรปุ ได้ ดงั น้ี๑๕

๑๓ ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/๔๖. อหินกุลานํ วิย เวรํ อจฉฺ ผนทฺ นานํ วยิ กาโกฬกุ านํ วิย จ กปปฺ ฏฺฐิติกํ โว เวรํ
๑๔ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๑๔/๑๓๑.

๑๕ สารานุกรมไทย สาหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้, โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มท่ี
๒๓, (กรุงเทพมหานคร : โครงการสารานุกรมไทย ฯ สนามเสือป่า ถนนศรอี ยธุ ยา เขตดุสิต, ๒๕๔๘), หนา้ ๑-๓.

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

-ชว่ ยสรา้ งชาตใิ หเ้ ป็นปึกแผ่นมนั่ คง

-สรา้ งความภาคภูมใิ จและศกั ดศิ ์ รเี กยี รตภิ มู แิ ก่คนไทย

-สามารถปรบั ประยกุ ตห์ ลกั ธรรมคาสอนทางศาสนาใชก้ บั ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

-สรา้ งความสมดลุ ระหว่างคนกบั สงั คมและธรรมชาตไิ ดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื

-ชว่ ยเปลย่ี นแปลงปรบั ปรงุ วถิ ชี วี ติ ของคนไทยใหเ้ หมาะสมไดต้ ามยคุ

๑. ช่วยสร้างชาติให้เป็นปึ กแผน่ มนั่ คง

พระมหากษตั รยิ ท์ รงใชภ้ ูมปิ ญั ญาในการสรา้ งชาติ สรา้ งความเป็นปึกแผ่นมาโดยตลอด
ตงั้ แต่สมยั กรงุ สุโขทยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชพระองคท์ รงปกครองประชาชนดว้ ยพระเมตตาแบบ
พ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อนก็สามารถมาตีระฆังแจ้งความเดือดร้อนขอรับ
พระราชทานความช่วยเหลอื ทาใหป้ ระชาชนมคี วามจงรกั ภกั ดตี ่อพระองคต์ ่อประเทศชาติ รว่ มกนั
สรา้ งบา้ นเมอื งจนเจรญิ รงุ่ เรอื งไดเ้ ป็นปึกแผ่น

สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใชภ้ ูมปิ ญั ญาของพระองค์เองทรงกระทายุทธ
หตั ถจี นชนะขา้ ศกึ ศตั รแู ละทรงประกาศอสิ รภาพกอบกเู้ อกราชชาตไิ ทยคนื มาได้

พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ภมู พิ ลอดุลยเดช รชั กาลปจั จุบนั พระองคท์ รงใชภ้ มู ปิ ญั ญา
สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและเหล่าพสกนิกรมากมายเหลอื คณานับ ทรงใช้พระปรชี า
สามารถแก้ไขวกิ ฤตการณ์ทางการเมอื งภายในประเทศจนรอดพน้ ภยั พบิ ตั หิ ลายครงั้ พระองคท์ รงมี
พระปรชี าสามารถหลายดา้ นแมแ้ ต่ดา้ นการเกษตร ทรงพระราชทางทฤษฎใี หมใ่ หแ้ ก่พสกนิกรดา้ น
การเกษตรแบบสมดุลและยงั่ ยนื ฟ้ืนฟูสภาพแวดลอ้ มยงั ความสงบรม่ เยน็ ของประชาชนใหก้ ลบั คนื มา

๒. สรา้ งความภมู ิใจและศกั ด์ิศรเี กียรติภมู ิแก่คนไทย

คนไทยในอดตี มคี วามสามารถเป็นทป่ี รากฏในประวตั ศิ าสตรจ์ านวนมาก เป็นท่ียอมรบั
ของนานาอารยประเทศ เช่นนายขนมต้มเป็นนักมวยไทยทม่ี ฝี ีมอื เก่งในการใชอ้ วยั วะทุกส่วน ทุก
ทา่ นทเ่ี ป็นแมไ่ มม้ วยไทย สามารถนาออกมาใชจ้ นสามารถชกชนะนักมวยพม่าไดถ้ งึ เกา้ คนสบิ คนใน
คราวเดยี วกนั แมใ้ นปจั จบุ นั มวยไทย ถอื ว่าเป็นภูมปิ ญั ญาดา้ นศลิ ปะการป้องกนั ตวั ชนั้ เยย่ี ม เป็น
ท่นี ิยมฝึกและแข่งขนั ในหม่คู นไทยและคนต่างประเทศ ปจั จุบนั มคี ่ายมวยไทยอยู่ทวั่ โลกชาวต่าง
ประทศท่ไี ด้ฝึกมวยไทยมคี วามภาคภูมิใจในการใช้กติกาของมวยไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย
การใชค้ าสงั่ ในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น การใช้คาว่า “ชก” “แยก” การนับ “หน่ึงถงึ สบิ ”
เป็นตน้ ถอื เป็นมรกดภมู ปิ ญั ญาไทยทน่ี ่าภาคภูมใิ จยงิ่

นอกจากน้ีภมู ปิ ญั ญาไทยทโ่ี ดดเดน่ ยงั มอี กี มากมาย ยกตวั อย่างเพม่ิ เตมิ พอสงั เขป เช่น
มรกดภมู ปิ ญั ญาไทยทางภาษาและวรรณกรรมคนไทยมอี กั ษรไทยเป็นของตนเอง มาตงั้ แต่สมยั กรุง
สโุ ขทยั และววิ ฒั นาการมาจนถงึ ปจั จบุ นั เป็นภาษาทม่ี ที งั้ ภาษาพูดและภาษาเขยี นสามารถผนั เสยี งได้
มากทส่ี ุดภาษาหน่งึ ของโลก และยงั ใชเ้ ป็นภาษาทางราชการของไทยดว้ ย วรรณกรรมไทยถอื ว่าเป็น

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

วรรณกรรมท่ไี พเราะได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรมหลายเร่อื งเป็นท่ยี อมรบั ของนานาชาติ
จนกระทงั่ ไดแ้ ปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา

ภูมปิ ญั ญาดา้ นอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารทม่ี คี วามหลากหลายในรสชาติ ทงั้ อาหาร
คาวและหวาน ปรุงง่าย รสอร่อย ถูกปากทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศ พชื ทใ่ี ชป้ รุงอาหารส่วนใหญ่
เป็นพืชสมุนไพรท่ีหาได้ง่ายในท้องถ่ินและราคาถูก นอกจากมีรสอร่อยแล้วยังมีคุณค่าทาง
โภชนาการ และยงั สามารถป้องกนั โรคไดห้ ลายชนิด พชื ทใ่ี ชป้ ระกอบอาหารเป็นพชื สมุนไพร เช่น
ตะไคร้ ขงิ ขา่ กระชาย กรดู ใบโหระพา ใบกระเพา กะวาน กานพลู ดปี ลี มะพรา้ ว เป็นตน้

๓. สามารถปรบั ประยกุ ตห์ ลกั ธรรมคาสอนมาใช้กบั วิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม

คนไทยยอมรบั นับถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากน้ียงั มศี าสนาอิสลาม
ศาสนาคริสต์และศาสนาอ่ืนๆ โดยได้นาหลักคาสอนทางศาสนามาปรับใช้ในวิถีชีวิตได้อย่าง
เหมาะสม ทาให้คนไทยเป็นผูน้ อบน้อมถ่อมตน เอ้อื เฟ้ือเผ่อื แผ่ ประนีประนอม รกั สงบ ใจเยน็ มี
ความอดทนใหอ้ ภยั แก่ผสู้ านึกผดิ ดารงชวี ติ อยา่ งเรยี บงายปกตสิ ุขทาใหค้ นในชุมชนสามารถพง่ึ พา
กนั ไดถ้ งึ แมจ้ ะอดอยากเพราะแหง้ แลง้ แต่ไมม่ ใี ครอดตาย เพราะเป็นทพ่ี ง่ึ กนั แบ่งกนั เป็นแบบ “พรกิ
บ้านเหนือเกลอื บ้านใต้” เป็นต้น ทงั้ หมดน้ีสบื เน่ืองมาจากหลกั ธรรมคาสอนของศาสนาท่คี นไทย
เคารพนับถือ เป็นการใช้ภูมิปญั ญาในการประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนามาใช้กับ
ชวี ติ ประจาวนั นนั่ เอง

๔. สรา้ งความสมดลุ ระหว่างคนกบั สงั คมและธรรมชาติ ได้อย่างยงั่ ยืน

ภมู ปิ ญั ญาไทยมคี วามเด่นชดั ในการยอมรบั นับถอื และใหค้ วามสาคญั แก่คนในสงั คม และ
ธรรมชาตอิ ย่างยง่ิ มเี คร่อื งชท้ี แ่ี สดงให้เหน็ ได้อย่างชดั เจนมากมาย เช่นประเพณีไทย ๑๒ เดอื น
ตลอดปี ล้วนเคารพคุค่าของธรรมชาติ เช่น ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีท่ีทาในฤดูร้อน
อากาศรอ้ น กาลงั ตอ้ งการความเยน็ จงึ มกี ารรดน้าดาหวั ผใู้ หญ่เพ่อื แสดงความเคารพและขอพรเป็น
วนั แหง่ ครอบครวั ญาตพิ น่ี ้องไดพ้ บปะกนั ดว้ ยความรกั ความอบอุ่น

ประเพณีลอยกระทง คุณค่าอย่ทู ก่ี ารบชู า และเคารพบุญคุณของน้าทห่ี ล่อเลย้ี งชวี ติ ของ
คน พชื และสตั ว์ ซง่ึ ใชน้ ้าทงั้ การอุปโภคและบรโิ ภคในวนั ลอยกระทงจงึ เป็นวนั แห่งการเคารพบูชา
ระลกึ ถงึ คุณของน้า ทาความสะอาดแมน่ ้า ลาธาร จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ ลว้ นเป็นความสมั พนั ธร์ ะหว่าง
คนกบั สงั คมและธรรมชาตทิ งั้ สน้ิ

ในการรกั ษาป่าให้ต้นน้าลาธาร ได้ประยุกต์ให้มปี ระเพณีการบวชป่า ให้คนเคารพสิ่ง
ศักดสิ ์ ทิ ธิธ์ รรมชาติ สภาพแวดล้อม ยงั ความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้าลาธาร พลิกฟ้ืนกลบั คนื มา
ไดม้ าก

อาชพี การเกษตรเป็นอาชพี หลกั ของคนไทยท่ีคานึงถงึ ความสมดุลของคน สงั คม และ
ธรรมชาติ โดยทาแต่น้อยพออยู่พอกิน เม่ือเหลือกินก็แจกพ่ีน้องเพ่ือนบ้านใกล้เรือนเคียง
นอกจากน้ียงั นาไปแลกเปล่ยี นกบั สงิ่ ของอย่างอ่นื ท่ตี นไม่มี เม่อื เหลอื กนิ จรงิ ๆ จงึ จะขายอาจกล่าว

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ไดว้ า่ เป็นการเกษตรแบบ “กนิ – แจก – แลก – ขาย” ทาใหค้ นในสงั คมไดช้ ่วยเหลอื เก้ือกูลแบ่งปนั
กนั เคารพรกั นับถอื กนั เป็นญาตกิ นั ทงั้ หม่บู ้าน จงึ อยู่ร่วมกนั อย่างสงบสุข มคี วามสมั พนั ธ์กนั
แบบแน่นธรรมชาตจิ งึ ไมถ่ ูกทาลายไปมาก เน่อื งจากการทาพอย่พู อกนิ ไม่โลภมากและทาลายมาก
เหมอื นในปจั จบุ นั ถอื เป็นภมู ปิ ญั ญาสรา้ งความสมดุลระหว่างคนกบั สงั คมและธรรมชาตใิ หอ้ ย่กู นั ได้
อยา่ งยงั่ ยนื

๕. ช่วยเปล่ียนแปลงปรบั วิถชี ีวิตของคนไทยให้เหมาะสมได้ตามยคุ สมยั

แมว้ ่ากาลเวลาจะเปล่ยี นไปอย่างไร ความรสู้ มยั ใหมจ่ ะหลงั่ ไหลเขา้ มากเพยี งใด แต่ภูมิ
ปญั ญาไทยกส็ ามารถปรบั เปลย่ี นใหเ้ หมาะสมกบั ยคุ สมยั เชน่ การรจู้ กั นาเครอ่ื งยนตม์ าตดิ ตงั้ กบั เรอื
ใส่ใบพดั เป็นหางช่วยให้สามารถวิ่งได้เรว็ ข้นึ เรยี กว่าเรอื หางยาง การรู้จกั ทาการเกษตรแบบ
ผสมผสาน สามารถพลกิ ฟ้ืนธรรมชาตใิ หอ้ ุดมสมบูรณ์คนื แทนสภาพปา่ เดมิ ทถ่ี ูกทาลายไป การรจู้ กั
ใชภ้ มู ปิ ญั ญาในการออมเงนิ สะสมทนุ ตามแบบสมยั ใหม่ ใหส้ มาชกิ กูย้ มื เพอ่ื ปลดเปลอ้ื งหน้ีสนิ และจดั
สวสั ดกิ ารแก่สมาชกิ จนชุมชนมคี วามมนั่ คงเขม้ แขง็ สามารถช่วยตนเองได้หลายรอ้ ยหม่บู า้ นทวั่
ประเทศ

ป่าทถ่ี ูกทาลายตดั โค่นเพ่อื ปลูกพชื ชนิดเดยี วตามภูมปิ ญั ญาสมยั ใหม่ท่หี วงั ร่ารวย แต่ใน
ท่สี ุดก็ขาดทุนและมหี น้ีสินส้นพ้นตวั สภาพแวดล้อมสูญเสยี เกิดความแห้งแล้ง คนไทยจงึ ใช้ภูมิ
ปญั ญาในการปลกู ปา่ ดว้ ยพชื ทก่ี นิ ได้ และใชป้ ระโยชน์จากไมไ้ ดด้ ว้ ย มพี ชื สวน พชื ป่า พชื สมุนไพร
สามารถมกี นิ มใี ชต้ ลอดชวี ติ เรยี กวา่ “วนเกษตร”

บางพน้ื ทเ่ี ม่อื ป่าถูกทาลาย คนในชุมชนกใ็ ชภ้ ูมปิ ญั ญาในการรวมตวั กนั เป็นกลุ่มรกั ษาป่า
ชุมชน ร่วมกนั สร้างระเบยี บกฎเกณฑ์กันเองให้ทุกคนถอื ปฏิบตั ิได้สามารถรกั ษาป่าไว้ได้อย่าง
สมบรู ณ์ดงั เดมิ

เม่อื ปะการงั ธรรมชาตถิ ูกทาลาย ปลาไม่มที ่อี ย่อู าศยั ประชาชนสามารถสรา้ งภูมปิ ญั ญา
สรา้ ง “อูหยมั ” ขน้ึ เป็นปะการงั เทยี มใหป้ ลาอย่อู าศยั วางไขแ่ ละแพรพ่ นั ธุใ์ หเ้ จรญิ เตบิ โตขยายจานวน
มากดงั เดมิ ถอื เป็นการใชภ้ มู ปิ ญั ญาชว่ ยปรบั ปรงุ ประยกุ ตน์ ามาใชไ้ ดต้ ามยคุ สมยั

ดว้ ยเหตุน้ี จากสภาวการณ์ทเ่ี ป็นอยปู่ รบั มาส่กู ารเปลย่ี นกระบวนทศั น์ การจดั การศกึ ษา
ไทย ทงั้ ในระบบโรงเรยี น ระบบนอกโรงเรยี น และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ทเ่ี ป็นวถิ ชี วี ติ จากการ
เน้นความรสู้ ากลเพยี งอย่างเดยี วไปส่กู ารใหค้ วามสาคญั กบั ภูมปิ ญั ญาไทยทม่ี พี ระพุทธศาสนาเป็น
รากฐาน ในฐานะเป็นรากเหงา้ ของความรูด้ ัง้ เดมิ ของท้องถน่ิ และสงั คมไทย ซ่งึ เป็นต้นเค้าการ
พฒั นาองคค์ วามรทู้ จ่ี าเป็นเพอ่ื ใหส้ งั คมไทยกา้ วไปส่คู วามเป็นสากลไดอ้ ยา่ งสมศกั ดศิ ์ รี

นอกจากความสาคญั ดงั กล่าวแลว้ ความสาคญั ของภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ยงั สะทอ้ นวถิ ี
ชุมชนไวด้ งั น้ี คอื

๑. ช่วยใหส้ มาชกิ ในชุมชน หมบู่ า้ นดารงชวี ติ อยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสขุ

๒. ชว่ ยสรา้ งความสมดลุ ระหว่างคนกบั ธรรมชาตแิ วดลอ้ ม

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๑๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๓. ช่วยใหผ้ คู้ นดารงตนและปรบั เปลย่ี นทนั ต่อความเปลย่ี นแปลงและผลกระทบอนั เกดิ
จากสงั คมภายนอก

๔. เป็นประโยชน์ต่อการทางานพฒั นาชนบทของเจา้ หน้าทจ่ี ากหน่วยงานต่าง ๆ
เพอ่ื ทจ่ี ะไดก้ าหนดทา่ ทกี ารทางานใหก้ ลมกลนื กบั ชาวบา้ นมากยง่ิ ขน้ึ

๑.๔ ลกั ษณะของภมู ิปัญญาไทย

ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญาไทย มดี งั น้ี
๑. ภมู ปิ ญั ญาไทยมลี กั ษณะเป็นทงั้ ความรู้ ทกั ษะ ความเชอ่ื และพฤตกิ รรม
๒. ภมู ปิ ญั ญาไทยแสดงถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ ม
และคนกบั สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ
๓. ภมู ปิ ญั ญาไทยเป็นองคร์ วมหรอื กจิ กรรมทกุ อยา่ งในวถิ ชี วี ติ ของคน
๔. ภูมปิ ญั ญาไทยเป็นเร่อื งของการแก้ปญั หา การจดั การ การปรบั ตวั และการเรยี นรู้
เพอ่ื ความอยรู่ อดของบุคคล ชุมชน และสงั คม
๕. ภมู ปิ ญั ญาไทยเป็นพน้ื ฐานสาคญั ในการมองชวี ติ เป็นพน้ื ฐานความรใู้ นเรอ่ื งต่างๆ
๖. ภมู ปิ ญั ญาไทยมลี กั ษณะเฉพาะ หรอื มเี อกลกั ษณ์ในตวั เอง
๗. ภมู ปิ ญั ญาไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงเพ่อื การปรบั สมดลุ ในพฒั นาการทางสงั คม๑๖

๑.๕ คณุ สมบตั ิของภมู ิปัญญาไทย

ผทู้ รงภมู ปิ ญั ญาไทยเป็นผมู้ คี ณุ สมบตั ติ ามทก่ี าหนดไว้ อยา่ งน้อยดงั ต่อไปน้ี

๑. เป็นคนดมี คี ุณธรรม มคี วามรคู้ วามสามารถในวชิ าชพี ต่างๆ มผี ลงานดา้ นการพฒั นา
ทอ้ งถน่ิ ของตน และไดร้ บั การยอมรบั จากบุคคลทวั่ ไปอยา่ งกวา้ งขวาง ทงั้ ยงั เป็นผทู้ ใ่ี ช้หลกั ธรรมคา
สอนทางศาสนาของตนเป็นเครอ่ื งยดึ เหน่ยี วในการดารงวถิ ชี วี ติ โดยตลอด

๒. เป็นผูค้ งแก่เรยี นและหมนั่ ศกึ ษาหาความรู้อย่เู สมอ ผูท้ รงภูมปิ ญั ญาจะเป็นผูท้ ่หี มนั่
ศกึ ษา แสวงหาความรเู้ พม่ิ เตมิ อย่เู สมอไม่หยุดนิ่ง เรยี นรทู้ งั้ ในระบบและนอกระบบ เป็นผลู้ งมอื ทา
โดยทดลองทาตามทเ่ี รยี นมา อกี ทงั้ ลองผดิ ลองถูก หรอื สอบถามจากผรู้ อู้ ่นื ๆ จนประสบความสาเรจ็
เป็นผเู้ ชย่ี วชาญ ซง่ึ โดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์ในแต่ละดา้ นอยา่ งชดั เจน เป็นทย่ี อมรบั การเปลย่ี นแปลง
ความรใู้ หมๆ่ ทเ่ี หมาะสม นามาปรบั ปรงุ รบั ใชช้ ุมชน และสงั คมอยเู่ สมอ

๑๖ สารานุกรมไทย สาหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้, โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มท่ี
๒๓, (กรุงเทพมหานคร : โครงการสารานุกรมไทย ฯ สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต, ๒๕๔๘), [ออนไลน์], แห่งข้อมูล :
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/Sbook/Sbook.php [๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙]

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๓. เป็นผู้นาของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมปิ ญั ญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ท่สี ังคม ในแต่ละท้องถ่ิน
ยอมรบั ใหเ้ ป็นผู้นา ทงั้ ผูน้ าทไ่ี ดร้ บั การแต่งตงั้ จากทางราชการ และผูน้ าตามธรรมชาติ ซง่ึ สามารถ
เป็นผนู้ าของทอ้ งถนิ่ และชว่ ยเหลอื ผอู้ ่นื ไดเ้ ป็นอยา่ งดี

๔. เป็นผูท้ ส่ี นใจปญั หาของทอ้ งถนิ่ ผทู้ รงภูมปิ ญั ญาลว้ นเป็นผทู้ ส่ี นใจปญั หาของทอ้ งถนิ่
เอาใจใส่ ศกึ ษาปญั หา หาทางแกไ้ ข และช่วยเหลอื สมาชกิ ในชุมชนของตนและชุมชนใกลเ้ คยี งอย่าง
ไมย่ อ่ ทอ้ จนประสบความสาเรจ็ เป็นทย่ี อมรบั ของสมาชกิ และบุคคลทวั่ ไป

๕. เป็นผขู้ ยนั หมนั่ เพยี ร ผู้ทรงภูมปิ ญั ญาเป็นผขู้ ยนั หมนั่ เพยี ร ลงมอื ทางานและผลติ ผล
งานอยเู่ สมอ ปรบั ปรงุ และพฒั นาผลงานใหม้ คี ณุ ภาพมากขน้ึ อกี ทงั้ มงุ่ ทางานของตนอยา่ งต่อเน่อื ง

๖. เป็นนกั ปกครองและประสานประโยชน์ของทอ้ งถนิ่ ผทู้ รงภูมปิ ญั ญา นอกจากเป็นผูท้ ่ี
ประพฤตติ นเป็นคนดี จนเป็นทย่ี อมรบั นับถอื จากบุคคลทวั่ ไปแลว้ ผลงานทท่ี ่านทายงั ถอื ว่ามคี ุณค่า
จงึ เป็นผูท้ ม่ี ที งั้ "ครองตน ครองคน และครองงาน" เป็นผู้ประสานประโยชน์ใหบ้ ุคคลเกดิ ความรกั
ความเข้าใจ ความเห็นใจ และมคี วามสามคั คีกนั ซ่งึ จะทาให้ท้องถ่ิน หรอื สงั คม มคี วามเจรญิ มี
คณุ ภาพชวี ติ สงู ขน้ึ กว่าเดมิ

๗. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เป็นเลิศ เม่ือผู้ทรงภูมิปญั ญามีความรู้
ความสามารถ และประสบการณ์เป็นเลิศ มผี ลงานท่เี ป็นประโยชน์ต่อผู้อ่ืนและบุคคลทวั่ ไป ทงั้
ชาวบา้ น นกั วชิ าการ นกั เรยี น นิสติ /นกั ศกึ ษา โดยอาจเขา้ ไปศกึ ษาหาความรู้ หรอื เชญิ ท่านเหล่านนั้
ไป เป็นผถู้ ่ายทอดความรไู้ ด้

๘. เป็นผมู้ คี คู่ รองหรอื บรวิ ารดี ผทู้ รงภูมปิ ญั ญา ถ้าเป็นคฤหสั ถ์ จะพบว่า ลว้ นมคี ่คู รองท่ี
ดที ่คี อยสนับสนุน ช่วยเหลอื ให้กาลงั ใจ ให้ความร่วมมอื ในงานท่ที ่านทา ช่วยให้ผลติ ผลงานท่มี ี
คุณค่า ถ้าเป็นนักบวช ไมว่ ่าจะเป็นศาสนาใด ต้องมบี รวิ ารทด่ี ี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานทม่ี คี ุณค่า
ทางศาสนาได้

๙. เป็นผมู้ ปี ญั ญารอบรแู้ ละเชย่ี วชาญจนไดร้ บั การยกยอ่ งว่าเป็นปราชญ์ ผทู้ รงภูมปิ ญั ญา
ต้องเป็นผู้มปี ญั ญารอบรูแ้ ละเช่ยี วชาญ รวมทงั้ สรา้ งสรรค์ผลงานพเิ ศษใหม่ๆ ท่เี ป็นประโยชน์ต่อ
สงั คมและมนุษยชาตอิ ยา่ งต่อเน่อื งอยเู่ สมอ

๑.๖ การจดั แบง่ สาขาภมู ิปัญญาไทย

จากการศกึ ษาพบว่า มกี ารกาหนดสาขาภูมปิ ญั ญาไทยไว้อย่างหลากหลาย ขน้ึ อยู่กบั
วตั ถุประสงค์ และหลกั เกณฑต์ ่างๆ ทห่ี น่วยงาน องคก์ ร และนักวชิ าการแต่ละท่านนามากาหนด ใน
ภาพรวมภมู ปิ ญั ญาไทย สามารถแบ่งไดเ้ ป็น ๑๐ สาขาดงั น้ี

๑. สาขาเกษตรกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานองคค์ วามรู้ ทกั ษะ และ
เทคนิคดา้ นการเกษตรกบั เทคโนโลยี โดยการพฒั นาบนพน้ื ฐานคุณค่าดงั้ เดมิ ซ่งึ คนสามารถพ่งึ พา
ตนเองในภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ไร่นาสวนผสม และสวนผสมผสาน การแก้ปญั หาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปญั หาดา้ นการ
ผลติ การแกไ้ ขปญั หาโรคและแมลง และการรจู้ กั ปรบั ใชเ้ ทคโนโลยที เ่ี หมาะสมกบั การเกษตร เป็นตน้

๒. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
สมยั ใหม่ในการแปรรูปผลิตผล เพ่อื ชะลอการนาเข้าตลาด เพ่ือแก้ปญั หาด้านการบริโภคอย่าง
ปลอดภยั ประหยดั และเป็นธรรม อนั เป็นกระบวนการท่ที าให้ชุมชนท้องถน่ิ สามารถพ่งึ พาตนเอง
ทางเศรษฐกจิ ได้ ตลอดทงั้ การผลติ และการจาหน่าย ผลติ ผลทางหตั ถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของ
กลมุ่ โรงงานยางพารา กล่มุ โรงสี กลุ่มหตั ถกรรม เป็นตน้

๓. สาขาการแพทยแ์ ผนไทย หมายถงึ ความสามารถในการจดั การป้องกนั และรกั ษา

สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพ่งึ พาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามยั ได้
เช่น การนวดแผนโบราณ การดูแลและรกั ษาสุขภาพแบบพน้ื บ้าน การดูแลและรกั ษาสุขภาพแผน
โบราณไทย เป็นตน้

๔. สาขาการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถ
เก่ียวกับการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ทงั้ การอนุรกั ษ์ การพฒั นา และการใช้
ประโยชน์จากคุณค่าของทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ ม อย่างสมดุล และยงั่ ยนื เช่น การทา
แนวปะการงั เทยี ม การอนุรกั ษ์ปา่ ชายเลน การจดั การปา่ ตน้ น้า และปา่ ชมุ ชน เป็นตน้

๕. สาขากองทนุ และธรุ กิจชมุ ชน หมายถงึ ความสามารถในการบรหิ ารจดั การดา้ นการ

สะสม และบรกิ ารกองทนุ และธุรกจิ ในชุมชน ทงั้ ทเ่ี ป็นเงนิ ตรา และโภคทรพั ย์ เพ่อื ส่งเสรมิ ชวี ติ ความ
เป็นอย่ขู องสมาชกิ ในชุมชน เช่น การจดั การเร่อื งกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรพั ย์
และธนาคารหมบู่ า้ น เป็นตน้

๖. สาขาสวสั ดิการ หมายถงึ ความสามารถในการจดั สวสั ดกิ ารในการประกนั คุณภาพ

ชวี ติ ของคน ใหเ้ กดิ ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม เช่น การจดั ตงั้ กองทุนสวสั ดกิ าร
รกั ษาพยาบาลของชุมชน การจดั ระบบสวสั ดกิ ารบรกิ ารในชุมชน การจดั ระบบสง่ิ แวดลอ้ มในชุมชน
เป็นตน้

๗. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลติ ผลงานทางด้านศิลปะสาขา
ต่างๆ เชน่ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทศั นศลิ ป์ คตี ศลิ ป์ ศลิ ปะมวยไทย เป็นตน้

๘. สาขาการจดั การองค์กร หมายถงึ ความสามารถในการบรหิ ารจดั การดาเนินงาน
ขององคก์ รชุมชนต่างๆ ใหส้ ามารถพฒั นา และบรหิ ารองคก์ รของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าท่ี
ขององคก์ าร เชน่ การจดั การองคก์ รของกลุม่ แมบ่ า้ น กล่มุ ออมทรพั ย์ กลุ่มประมงพน้ื บา้ น เป็นตน้

๙. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลติ ผลงานเกย่ี วกบั ดา้ นภาษา

ทงั้ ภาษาถนิ่ ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใชภ้ าษา ตลอดทงั้ ดา้ นวรรณกรรมทุกประเภท เช่น
การจดั ทาสารานุกรมภาษาถนิ่ การปรวิ รรต หนงั สอื โบราณ การฟ้ืนฟูการเรยี นการสอนภาษาถนิ่ ของ
ทอ้ งถนิ่ ต่างๆ เป็นตน้

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๑๐. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถงึ ความสามารถประยกุ ต์ และปรบั ใชห้ ลกั ธรรม
คาสอนทางศาสนา ความเช่อื และประเพณีดงั้ เดมิ ทม่ี คี ุณค่าใหเ้ หมาะสมต่อการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ให้
บงั เกิดผลดตี ่อบุคคล และสงิ่ แวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลกั ธรรมทางศาสนา การบวชป่า การ
ประยกุ ตป์ ระเพณบี ุญประทายขา้ ว เป็นตน้ ๑๗

คณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ แบง่ ประเภทของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไวด้ งั น้ี
๑. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการเกษตร
๒. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นเศรษฐกจิ
๓. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นศาสนา คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม ความเชอ่ื
๔. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการจดั การทรพั ยากรและการพฒั นาหมบู่ า้ น
๕. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นศลิ ปะ
๖. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม
๗. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นภาษาและวรรณกรรม
นอกจากน้ียงั มกี ารแบ่งประเภทหรอื ขอบข่ายของภูมปิ ญั ญาท้องถ่ินได้เป็น ๔ สาขา
ใหญ่ๆ คอื

๑. เป็นเร่อื งท่ีเก่ียวกบั คติ ความเช่ือ และหลกั การพื้นฐาน เป็นความรทู้ เ่ี กดิ จากการ
สงั่ สม ถ่ายทอดกนั มา ไดแ้ ก่การประกอบพธิ กี รรมต่างๆ ของแต่ละทอ้ งถน่ิ เพ่อื ใหส้ ามารถดารงชวี ติ
อย่ไู ดโ้ ดยการพ่งึ พาธรรมชาตมิ าใช้ประโยชน์เพ่อื การยงั ชพี เช่น ชุมชนภูเขา มคี วามเช่อื เร่อื งผปี ่า
เจา้ ปา่ เทพารกั ษ์ ผทู้ อ่ี ยตู่ ามพน้ื ราบจะเช่อื ในเรอ่ื ง พระภมู เิ จา้ ท่ี พระภมู นิ า การสู่ขวญั การใหค้ วาม
เคารพแม่โพสพ ผู้ท่อี ย่ตู ามแม่น้า รมิ ทะเล มกั จะเช่อื ในเร่อื งของแม่ย่านางเรอื เป็นต้น ความคดิ
ความเชอ่ื เหล่าน้จี ะนามาส่กู ารพฒั นาชวี ติ และอนุรกั ษ์สงิ่ แวดลอ้ ม เช่น การตงั้ ธนาคารแห่งชวี ติ เพ่อื
พฒั นาหมู่บ้าน โดยยดึ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา การจดั พิธีกรรมบวชต้นไม้ การจดั ตัง้ ป่า
สมนุ ไพร ธนาคารผา้ กลุม่ ทอผา้ กลมุ่ ชาปนกจิ เป็นตน้

๒. เป็นเรื่องราวแนวความคิด หลกั การปฏิบตั ิ และเทคโนโลยีสมยั ใหม่ ท่ชี าวบา้ น
นามาใช้ใน ในชุมชน ซง่ึ เป็นอทิ ธพิ ลของความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เช่น การ
เล้ียงปลาดุกบิก๊ อุยในบ่อซีเมนต์ โดยจดั ระบบถ่ายเทน้าและคิดสูตรอาหารปลาข้นึ มาเอง การ
ประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งนวดขา้ วแบบประหยดั เป็นตน้

๓. เป็ นเรื่องของศิลปะ วฒั นธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นตวั ชท้ี ส่ี าคญั
ต่อการแสดงออกถงึ ภูมปิ ญั ญาของชุมชนต่อการดาเนินชวี ติ เช่น ประเพณีการบวชนาคเขา้ พรรษา
แต่งงาน นอกจากนนั้ ยงั มศี ลิ ปกรรมพน้ื บา้ นทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสาเรจ็ ของภมู ปิ ญั ญาทส่ี บื ทอดกนั

๑๗ สารานุกรมไทย สาหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้, โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มที่
๒๓, (กรุงเทพมหานคร : โครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต, ๒๕๔๘), [ออนไลน์], แห่งข้อมูล :
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/Sbook/Sbook.php [๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙]

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

มาหลายชวั่ อายุ เช่น งานจกั สาน และงานทอกระเป๋ าลเิ พาภาคใต้ ส่อื จนั ทรบรู เครอ่ื งจกั รสานต่าง ๆ
เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผา งานแกะสลกั งานปนั้ งานหล่อดว้ ยโลหะ การก่อสรา้ งอาคารทอ่ี ย่อู าศยั ภาพเขยี น
บนผนงั การฟ้อนรา และเพลงพน้ื บา้ น เป็นตน้

๔. เป็นเร่ืองการประกอบอาชีพในแต่ละท้องถิ่น การประกอบอาชพี ในทอ้ งถนิ่ ได้รบั

การพฒั นาใหเ้ หมาะสมกบั สมยั เป็นการดาเนินชวี ติ ท่ี เคยถูกครอบงาจากสภาพแวดล้อม พ่อคา้ คน
กลาง ระบบเศรษฐกจิ ระบบโรงงาน กลบั ส่กู ารเกษตรทอ่ี าศยั ความสมดุลทางธรรมชาติ สามารถยนื
หยดั ต่อสู้กบั ความลม้ เหลวกบั การล้มละลายทางสงั คม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรมไดอ้ ย่างภูมใิ จดว้ ย
กาลงั กาย และการสงั่ สมประสบการณ์ กาลงั ปญั ญา เช่น การทาเกษตรแบบผสมผสาน การเกษตร
แบบพง่ึ พาตนเอง การทาสวนสมนุ ไพรและการแพทยแ์ ผนโบราณ

๑.๗ ลกั ษณะความสมั พนั ธข์ องภมู ิปัญญาไทย

ภมู ปิ ญั ญาไทยสามารถสะทอ้ นออกมาใน ๓ ลกั ษณะทส่ี มั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั คอื

๑. ความสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กนั ระหวา่ งคนกบั โลก สง่ิ แวดลอ้ ม สตั ว์ พชื และธรรมชาติ

๒. ความสมั พนั ธข์ องคนกบั คนอ่นื ๆ ทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม หรอื ในชมุ ชน

๓. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนกบั สง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธสิ ์ ง่ิ เหนือธรรมชาติ ตลอดทงั้ สงิ่ ทไ่ี ม่สามารถ
สมั ผสั ไดท้ งั้ หลาย

ทงั้ ๓ ลกั ษณะน้ี คอื สามมติ ขิ องเรอ่ื งเดยี วกนั หมายถงึ ชวี ติ ชมุ ชน สะทอ้ นออกมาถงึ ภูมิ
ปญั ญาในการดาเนินชวี ิตอย่างมเี อกภาพ เหมอื นสามมุมของรูปสามเหล่ียม ภูมปิ ญั ญา จงึ เป็น
รากฐานในการดาเนนิ ชวี ติ ของคนไทย ซง่ึ สามารถแสดงใหเ้ หน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนโดยแผนภาพ ดงั น้ี

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ลกั ษณะภมู ปิ ญั ญาท่เี กดิ จากความสมั พนั ธ์ระหว่างคนกบั ธรรมชาตสิ ง่ิ แวดลอ้ ม จะแสดง
ออกมาในลกั ษณะภูมปิ ญั ญาในการดาเนินวถิ ีชวี ติ ขนั้ พ้นื ฐาน ด้านปจั จยั ส่ี ซง่ึ ประกอบด้วยอาหาร
เครอ่ื งนุ่งหม่ ทอ่ี ยอู่ าศยั และยารกั ษาโรค ตลอดทงั้ การประกอบอาชพี ต่างๆ เป็นตน้

ภูมปิ ญั ญาท่ีเกิดจากความสมั พนั ธ์ระหว่างคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดงออกมาใน
ลกั ษณะ จารตี ขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ และนันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดทงั้
การส่อื สารต่างๆ เป็นตน้

ภมู ปิ ญั ญาทเ่ี กดิ จากความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนกบั สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ สง่ิ เหนือธรรมชาติ จะแสดง
ออกมาในลกั ษณะของสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ศาสนา ความเช่อื ต่างๆ เป็นตน้ ๑๘

ลกั ษณะของภมู ิปัญญาไทย

เร่อื งราวของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ นนั้ เป็นท่สี นใจของประเทศต่างๆ และไดท้ าการศกึ ษาใน
หลาย ๆ ลกั ษณะ เช่น การประกอบอาชีพ การรกั ษาสุขภาพอนามยั และวถิ ีชีวิตของชาวบ้าน
สาหรบั ในประเทศไทยไดม้ กี ารศกึ ษาถงึ ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไวด้ งั น้ี

ภูมปิ ญั ญาออกเป็น ๒ ระดับคือ ภูมิปญั ญาชาติ หรือภูมิปญั ญาไทย กับภูมปิ ญั ญา
ทอ้ งถน่ิ หรอื ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น

๑. ภมู ิปัญญาชาติ เป็นภูมิปญั ญาท่ชี ่วยรกั ษาชาติให้ปลอดภยั อยู่รอดมาได้จนถึง
ปจั จบุ นั และเป็นภมู ปิ ญั ญาทช่ี ่วยสรา้ ง “ภาพแหง่ ความมอี ารยธรรม” ใหแ้ ก่ชาติ

๒. ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน คอื ความรทู้ เ่ี กดิ ขน้ึ เฉพาะท้องท่ใี ดทอ้ งทห่ี น่ึง ซ่งึ ทวั่ ๆ ไปก็เป็น
ภูมปิ ญั ญาท่ใี ช้แก้ปญั หาของผู้คนในท้องถ่นิ นัน้ เป็นหลกั โดยอาจจะเรยี กภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ น่ีว่า
“ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น”

ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ค่อนขา้ งจะมวี ตั ถุประสงคท์ ่แี ตกต่างไปจากภูมปิ ญั ญาชาตพิ อสมควร
คอื โดยปรกตแิ ล้วจะแสดงออกในรูปของการนาภูมปิ ญั ญาทส่ี รา้ งขน้ึ ไปใชใ้ นการเอ้อื อานวยให้การ
ดาเนินชีวิตในกลุ่มเป็นไปอย่างราบร่ืนและสงบสุข ภาพของภูมิปญั ญานัน้ เป็นเร่อื งของชุมชน
ชาวบ้าน และชนบท ดงั นัน้ จงึ ไม่แปลกนักท่กี ารใช้ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นจะมคี วามเกาะเก่ียวอยู่กับ
ธรรมชาติ ตน้ ไม้ ป่าเขาลาเนาไพร ผนื ฟ้า สงิ สาราสตั ว์ต่างๆ ชาวบ้านมกั จะนาเอาสง่ิ ท่หี าไดแ้ ละมี
อยใู่ น ทอ้ งถนิ่ มาชว่ ยในการอยกู่ นิ ตลอดเวลา

สรปุ ท้ายบท

เมอ่ื กลา่ วโดยลกั ษณะภมู ปิ ญั ญา สามารถยอ่ ลงไดเ้ ป็น ๒ ลกั ษณะคอื

๑๘ สารานุกรมไทย สาหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้, โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มท่ี
๒๓. (กรุงเทพมหานคร : โครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต, ๒๕๔๘), [ออนไลน์], แห่งข้อมูล :
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/Sbook/Sbook.php [๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙]

บทท่ี ๑ “ความเบอื้ งต้นเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๑. ลกั ษณะนามธรรม ไดแ้ ก่ ทฤษฎี ปรชั ญา แนวคดิ หรอื หลกั การอนั ลกึ ซง้ึ ซง่ึ ซ่อนเรน้

นยั แห่งความหมายอนั แทจ้ รงิ เอาไว้ ซง่ึ ตอ้ งมกี ารวเิ คราะหอ์ อกมาใหส้ อดคลอ้ งกบั ชวี ติ ความเป็นอยู่
และลกั ษณะความเช่อื บุคคลในยุคสมยั นัน้ ๆ จงึ จะสามารถเขา้ ใจได้ ภูมปิ ญั ญาไทยในลกั ษณะความ
เช่อื จะปรากฏออกมาในรปู ของนิทาน คาบอกเล่า บทเพลง ภาษา วรรณคดี เป็นต้น เช่น สุภาษิต
คาพงั เพย เคลด็ ลางและคาสงั่ สอนของบรรพบุรษุ เก่ยี วกบั ขอ้ หา้ มและขอ้ ปฏบิ ตั ิ ฯลฯ

๒. ลกั ษณะรูปธรรม ได้แก่ ส่งิ ท่เี ป็นผลผลติ ท่ปี รากฏออกมาให้เห็นได้ เช่นอาคาร
สถานท่ี จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม และแมแ้ ต่ดนตรี อาหารและเครอ่ื งนุ่งห่ม เป็นต้น
สงิ่ เหล่าน้ีเม่อื แสดง หรอื ปรากฏออกมาย่อมเป็นท่รี กู้ นั โดยทวั่ ไปว่าเป็นเอกลกั ษณ์ของมนุษยก์ ลุ่ม
ไหน เผ่าไหน หรอื ชนชาตไิ หน ชาตไิ ทยเป็นชาตเิ ก่าแก่มาแต่โบราณกาล ชนชนตไิ ทยไดแ้ สดงภูมิ
ปญั ญาให้เป็นท่ปี รากฏมาช้านานมหี ลกั ฐานบนั ทกึ ไว้ในรูปของสารนิเทศประเภทต่างๆ ตลอดจน
แสดงตวั ออกมาเป็นรปู ธรรม เช่นอาคารสถานทด่ี งั ทก่ี ล่าวมาแลว้

บทท่ี ๒

ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย

ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ
น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies)

๒.๑ ความนา

โลกอุบตั มิ าตงั้ แต่เมอ่ื ใดไม่ทราบได้ แต่นักวทิ ยาศาสตรค์ าดเดากนั ว่า น่าจะมอี ายุอย่าง
น้อยประมาณ ๔,๖๐๐ ลา้ นปีมาแลว้ ในครงั้ นัน้ ยงั ไมม่ มี นุษยเ์ กดิ มาชมโลก ทว่ามนุษยท์ ถ่ี อื ว่าเป็น
สตั วป์ ระเสรฐิ พง่ึ จะลมื ตามาดูโลกเมอ่ื ๒ ลา้ นปี หากจะลองเทยี บกบั อายขุ องโลกลดทอนลงมาเป็น
๒๔ ชวั่ โมงแลว้ มนุษยเ์ พงิ่ จะเกดิ ไดเ้ พยี ง ๓ ชวั่ โมง ๔๘ นาทเี ท่านนั้ ถงึ แมว้ ่าเพงิ่ จะลมื ตากต็ าม แต่
มนุษยก์ ส็ ามารถพฒั นาตนเองใหโ้ ดดเด่นและแตกต่างจากสตั วร์ ่วมโลกประเภทอ่นื ๆ จนสามารถ
ครองโลกดุจเป็นจา้ วโลกอย่ทู ุกวนั น้ีได้ เป็นเพราะมนุษยม์ พี ลงั มนั สมองท่รี จู้ กั คดิ และมเี วลาคดิ หา
เหตุผล ทงั้ รจู้ กั ใชเ้ หตุผลเป็นดว้ ย

แม้ว่ามนุษย์แต่อดีตจะอยู่กับธรรมชาติแต่ก็ค่อยเรียนรู้ธรรมชาติรู้จักดัด แปลง
สภาพแวดลอ้ มเพ่อื ใหเ้ หมาะแก่ตนเองจะไดม้ คี วามสุขสบาย พฒั นาการของมนุษยท์ ําใหเ้ ราเหน็ ว่า
แต่ก่อนมนุษยช์ อบรอ่ นเรเ่ ร่อื ยไป อย่ไู ม่เป็นท่ี แต่มนุษยร์ จู้ กั นําเอาสงิ่ ทไ่ี ดพ้ บเหน็ จากธรรมชาตมิ า
เป็นบทเรยี น ประมวลลงเป็นกฎเกณฑ์ เลยี นแบบธรรมชาติ จงึ รจู้ กั การเพาะปลูก การเกษตรกรรม
เม่อื เกษตรกรรมแพร่หลาย ก็รวมตวั เป็นกลุ่มตงั้ รกรากและอยกู่ นั เป็นท่เี ป็นทาง ถาวรและสดั ส่วน
เป็นสงั คม เม่อื ไม่ต้องเรร่ ่อนและอยกู่ นั เป็นหลกั ฐาน มนุษยจ์ งึ มเี วลาว่างทจ่ี ะคดิ หรอื เกดิ ความคดิ
สงสยั เรอ่ื งต่างๆ รอบตวั ทงั้ ยงั รจู้ กั แลกเปลย่ี นความคดิ และประสบการณ์ของกนั และกนั เพ่อื จะได้
อยรู่ ว่ มกนั อย่างสงบและสรา้ งจดุ หมายรว่ มของการเป็นสงั คมเดยี วกนั จงึ ต้องถ่ายทอดความรแู้ ก่กนั
และกนั อย่างทวั่ ถงึ สุดท้ายจนมคี วามเช่อื และอุดมการณ์เป็นแบบเดยี วกนั นัน่ คอื จุดเรมิ่ ต้นของ
ศาสนาและปรชั ญา ซง่ึ เกดิ มาเมอ่ื ประมาณ ๕,๐๐๐–๑,๕๐๐ ปี เทยี บอายโุ ลก เท่ากบั เพงิ่ เกดิ มาไดแ้ ค่
๓๔–๑๐ วนิ าที

เพราะมนุษยเ์ ป็นคนช่างคดิ ช่างสงสยั สนใจและสงั เกตในทุกสง่ิ ทุกอย่างรอบขา้ ง พรอ้ ม
กบั เสาะแสวงหาคาํ ตอบทค่ี ดิ ว่าจะสมเหตุสมผลต่อปญั หาทค่ี าใจของตน นนั่ แหละคอื จุดเรมิ่ ต้นของ
การเป็น ‚นักปรชั ญา‛ ดงั นัน้ ความเป็นนักปรชั ญาจงึ เกดิ มาจากสถานภาพท่มี นุษยร์ จู้ กั ใช้เหตุผล
เป็น ดงั ทอ่ี รสิ โตเตลิ ปรชั ญาเมธกี รกี นิยามความหมายของมนุษยว์ ่า ‚มนุษยเ์ ป็นสตั วท์ ม่ี เี หตุผล
(Man is a rational animal.)‛ บุคคลทไ่ี ดร้ บั การยกยอ่ งว่า เป็นบดิ าแห่งปรชั ญาตะวนั ตก คอื ธาเลส
แห่งไมเลตุส (Thales of Miletus) นักปรชั ญาชาวกรกี ร่นุ แรกแห่งกลุ่มไอโอเนีย (Ionic Group)
เพราะเป็นคนแรกทจ่ี ดั กระบวนความคดิ ทางปรชั ญาอยา่ งเป็นระบบ

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๒๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แหล่งอารยธรรมท่ีสาคญั ของโลก

หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเจรญิ และกา้ วหน้าทางศลิ ปวทิ ยาของมนุษย์
ตามภูมภิ าคต่างๆ ของโลก แต่กลุ่มทย่ี งั คงมอี ทิ ธพิ ลเหนือความคดิ และวถิ ชี วี ติ ของมนุษยจ์ ากอดตี
มาจนปจั จบุ นั มเี พียง ๓ กล่มุ คอื

กล่มุ อารยธรรมกรกี เป็นอู่อารยธรรมโบราณ ตงั้ อย่บู รเิ วณทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนียน เป็น
กลุ่มทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อแนวคดิ ทางปรชั ญาตะวนั ตกทงั้ มวล มอี ายุเก่าแก่ประมาณ ๒,๐๐๐ – ๓๒๒ ปี
ก่อน ค.ศ. เจรญิ รุ่งเรอื งถงึ ขดี สุดก็ในยุคกรกี โบราณ มเี มอื งเอเธนส์เป็นศูนย์ศิลปะวทิ ยาการ
นักปราชญย์ ง่ิ ใหญ่เป็นทร่ี จู้ กั กม็ ี โสคราตสี (Socrates) เพลโต (Plato) และอรสิ โตเตลิ (Aristotle)
ความเจรญิ ทางอารยธรรมตะวนั ตกทงั้ ปวงแทบกล่าวไดว้ ่า มจี ุดกําเนิดมาจากกลุ่มน้ีแมแ้ ต่แนวคดิ
ทางปรชั ญา จนคําพูดว่า ‚ประวตั ศิ าสตรป์ รชั ญาตะวนั ตก (สมยั หลงั ) เป็นเพยี งกลุ่มเชงิ อรรถแห่ง
ปรชั ญาของเพลโต หรอื เพลโตคอื ปรชั ญา‛

กลุ่มอารยธรรมลุ่มน้าสินธุ มคี วามเจริญไม่น้อยหน้ากว่ากลุ่มแรก เรยี กตวั เองว่า
‚อารยนั ‛ มอี ายุประมาณ ๓,๐๐๐-๑,๕๐๐ ปี ก่อน ค.ศ. ตงั้ อย่ดู นิ แดนทเ่ี รยี กว่าชมพูทวปี ครอบคลุม
ประเทศอินเดยี ปากสี ถานและอาฟกานิสถาน เป็นบ่อเกิดศาสนาต่างๆ เช่น ศาสนาพราหมณ์
ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน ศาสนาซกิ ข์ และเป็นบ่อเกดิ ปรชั ญาตะวนั ออกทเ่ี รยี กว่า “ปรชั ญาอนิ เดยี ”
กลุ่มน้มี อี ทิ ธพิ ลต่อความคดิ และขยายอาณาจกั รทางความคดิ แผ่ไปรอบๆ ประเทศเพ่อื นบา้ นในแถบ
เอเชยี ทงั้ หลาย และ

อารยธรรมกล่มุ แม่น้าแยงซี แถบลุ่มแมน่ ้ําแยงซเี กยี ง (Yantse Kiang) คอื ประเทศจนี
แผ่นดนิ ใหญ่ปจั จุบนั เป็นอู่อารยธรรมชาวตะวนั ออกอีกกลุ่มหน่ึง ซ่งึ มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งทาง
ศลิ ปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีมไิ ดด้ อ้ ยไปกว่าสองกลุ่มแรก มอี ายใุ นยคุ สมยั เดยี วกนั
คอื ประมาณ ๑,๕๐๐–๓๐๐ ปีก่อน ค.ศ. เป็นบ่อเกดิ ของปรชั ญาเมธแี ละนักการศาสนาชาวจนี ทโ่ี ดด
เด่น ๒ ท่าน คอื เล่าจ๊อื (Lao Tzu) ผรู้ กั ธรรมชาตแิ ละชวี ติ ศาสดาของศาสนาเต๋า (Taoism) และ
ขงจ๊อื (Confucius) ผอู้ นุรกั ษ์ความเป็นระเบยี บและขนบประเพณนี ิยมของสงั คม เป็นศาสดาศาสนา
ขงจอ้ื (Confucianism) หลกั ความคดิ ทางปรชั ญาของท่านเหล่าน้ี เป็นตน้ กําเนิดของปรชั ญาจนี และ
แผอ่ ทิ ธพิ ลอยา่ งมากต่อแนวคดิ และวถิ ชี วี ติ ของชาวจนี และประเทศใกลเ้ คยี งทต่ี ดิ ต่อทางการคา้ เช่น
เกาหลี ญป่ี ุ่น เวยี ดนาม เป็นตน้ แต่ทญ่ี ่ปี ่นุ ไดแ้ ตกสายเฉพาะออกไปเป็นศาสนาชนิ โต แต่กย็ งั พอ
มองเหน็ อทิ ธพิ ลของจนี ผสมอยไู่ มน่ ้อย

อารยธรรมทงั้ ๓ สาย ต่างกแ็ สดงบทบาทอนั ทรงพลงั ต่อแนวคดิ และหลกั ดาํ เนินชวี ติ ของ
ชาวตะวนั ตกและตะวนั ออก กลายรปู มาเป็นศาสนา ปรชั ญา ระบบการปกครอง ศลิ ปกรรม ตลอดจน
สถาปตั ยกรรมทท่ี รงคุณค่ามาจนปจั จุบนั ชาวไทยกห็ ลกี ไมพ่ น้ จากการถูกครอบงาํ ความคดิ โดยสาย
อารยธรรมตะวนั ออก ในยุคแรกโดยเฉพาะจากจนี เพราะชนชาตไิ ทยเคยอยใู่ กลจ้ นี มาก่อน ต่อมามี
ความสมั พนั ธก์ บั อนิ เดยี กไ็ ดย้ อมรบั เอาอารยธรรมแบบอนิ เดยี ทแ่ี ฝงมาในรปู ของศาสนา เช่น ศาสนา
พราหมณ์ และศาสนาพุทธ แมว้ ่าสมยั หลงั ชาตไิ ทยนับแต่สมยั รชั กาลท่ี ๓ เป็นตน้ มาไดต้ ดิ ต่อกบั

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๒๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ประเทศทางตะวนั ตก ยอมรบั เอาวฒั นธรรมและ เทคโนโลยสี มยั ใหม่มาปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะกบั ประเทศ
ของตน ในรปู แบบของการปรบั ปรุงจารตี (Neotraditionalism) โดยการปฏริ ปู ความเช่อื ค่านิยมและ
จารตี ทไ่ี ดร้ บั การตคี วามใหม่ เพ่อื ต่อตา้ นแนวคดิ สมยั ใหมแ่ บบสุดโต่ง ดงั นนั้ วถิ ชี วี ติ ของชนชาวไทย
จงึ เป็นการผสานผสมกลมกลนื อารยธรรมจากจนี อนิ เดยี และวฒั นธรรมตะวนั ตกสมยั ใหม่ มาเป็นวถิ ี
ชวี ติ และเอกลกั ษณ์ของตน๑

๒.๒ ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย

ตามประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมาของชาตไิ ทย ไดท้ ราบกนั วา่ ชาตไิ ทยเป็นชาตโิ บราณและ
ชาติใหญ่ชาตหิ น่ึง มวี ฒั นธรรมเป็นของตวั เอง ตงั้ ถ่นิ ฐานอย่บู รเิ วณภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือของ
ประเทศจนี ปจั จบุ นั แลว้ ไดอ้ พยพถอยร่นลงมาทางใตต้ ามลําดบั ขณะทอ่ี พยพถอยร่นลงมาเป็นเวลา
นบั พนั ปีและไดส้ รา้ งอาณาจกั รปกครองตนเองมาแลว้ หลายอาณาจกั รถงึ อาณาจกั รไทยปจั จบุ นั

เพอ่ื ยอ้ นใหเ้ หน็ ภูมหิ ลงั และรจู้ กั ตน้ ตอของชนเผ่าทเ่ี รยี กตวั เองว่า “ไทย” ตลอดสาย นกั
คน้ ควา้ ชาวตะวนั ตก แสดงวธิ กี ารคน้ คว้า สบื หาตน้ ตอของชนชาตใิ ดๆ ไว้ ๒ วธิ ี คอื วิธีโดยตรง
ไดแ้ ก่ นกั สาํ รวจคน้ ควา้ ต้องเดนิ ทางไปสํารวจดนิ แดนนนั้ ใหเ้ หน็ ประจกั ษ์ดว้ ยตนเอง เกบ็ ขอ้ มลู ทาง
ภาษา วถิ ชี วี ติ ความเป็นอยู่ นับแต่การแต่งกาย ขนบจารตี ประเพณี ระบบสงั คม เป็นตน้ และ วิธี
โดยอ้อม ได้แก่ นักวชิ าการต้องคน้ คว้าจากหลกั ฐานประเภทต่างๆ ทางประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาติ
นนั้ หรอื ขอ้ มลู เอกสารท่ชี นชาตอิ ่นื ๆ ได้บนั ทกึ เก่ยี วกบั ชาตนิ นั้ ๆ ทงั้ แงบ่ วกและแง่ลบ หรอื เอกสาร
การคน้ ควา้ ของนกั วชิ าการชาวต่างประเทศไดร้ วบรวมเขยี นรายงานเอาไว้

ความเป็นมาของชนชาตไิ ทย กค็ วรยอ้ นอดตี เพราะประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นสงิ่ ทบ่ี ่งบอกความ
เป็นมา แมจ้ ะไม่หมดเปลอื กกต็ าม ชาตไิ ทยเป็นชาตทิ เ่ี ก่าแก่ชาตหิ น่ึง แต่ไมม่ หี ลกั ฐานชดั เจนแสดง
ถน่ิ ฐานกาํ เนดิ เดมิ ว่าอยทู่ ใ่ี ดแน่ การใชว้ ธิ โี ดยตรง คอื ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยกล่าวว่าเคยอย่ทู ใ่ี ด กไ็ ปสบื
คน้ หาตน้ ตอถงึ แหล่งทน่ี นั้ ๆ วธิ นี ้ี สน้ิ เปลอื งเวลา และค่าใชจ้ า่ ยมาก มคี ณะคน้ ควา้ ประวตั ศิ าสตรข์ อง
ชาตไิ ทยไดเ้ ดนิ ทางไปสาํ รวจถงึ ดนิ แดนอลั ไต มองโกเลยี ยนู นาน และเสฉวน ทป่ี ระเทศจนี มาแลว้ ก็
ไมพ่ บหลกั ฐานทส่ี บื เน่ืองมาถงึ ปจั จบุ นั อนั สอ่ื ไดว้ ่า คนไทย เคยอยทู่ น่ี นั้ ๆ และชาตพิ นั ธุท์ อ่ี าศยั ต่อมา
กเ็ ป็นคนละชาตพิ นั ธกุ์ บั ชาวไทย

เม่อื ใชว้ ธิ โี ดยอ้อม ตรวจสอบจากหลกั ฐาน เอกสาร ขอ้ มูลทางประวตั ศิ าสตรข์ องชาติ
เพอ่ื นบา้ นมาเทยี บเคยี ง แมก้ ระนนั้ ความเหน็ วา่ คนไทยมาจากไหน กม็ คี วามเหน็ ต่างกนั หลายกลุ่ม

๑ ผศ.ปญั ญา นามสง่า, ปรชั ญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนละตาราวิชาการ วิทยาลยั สงฆ์พทุ ธชิน
ราช มจร., (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘), หน้า ๒-๔.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๒๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ถ่ินกาเนิ ดชาติพนั ธ์ุ : เร่อื งถนิ่ กําเนิดของคนไทย มคี นไทยปจั จุบนั จาํ นวนไม่น้อย ท่ี
ยอมรบั กนั ว่าคนไทยมถี น่ิ กําเนดิ มาจากเทอื กเขาอลั ไต ซง่ึ อยตู่ ดิ กบั พรมแดนของรสั เซยี แต่กย็ งั มคี น
ไทยจาํ นวนมากทส่ี งสยั ในเรอ่ื งน้ีต่างออกไป๒

เมอ่ื ศกึ ษาค้นควา้ จากความรคู้ วามเขา้ ใจของนกั ปราชญ์ทางดา้ นโบราณคดแี ละนักเขยี น
ทงั้ หลายเกย่ี วกบั เรอ่ื งถน่ิ กาํ เนิดของคนไทยนบั ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั แลว้ พอจะประมวลเป็นกลุ่ม
ความเชอ่ื ในเรอ่ื งน้มี ี ๕ กล่มุ ๓ คอื

กล่มุ ท่ีเช่ือว่า ถ่ินกาเนิดของคนไทยย่บู ริเวณเทือกเขาอลั ไต

ผคู้ น้ คดิ ในเร่อื งน้ี คอื หมอสอนศาสนาชาวอเมรกิ นั ช่อื วลิ เลยี ม คลฟิ ตนั ดอ็ ด (William
Clifton Dodd) ในงานเขยี นเกย่ี วกบั คนไทย The Tai Race , The Elder Brother to the Chinese
เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๒๕

งานชน้ิ น้เี ขยี นในระหวา่ งปฎบิ ตั งิ านเผยแพร่ครสิ ตศาสนาแก่คนไทยในประเทศไทย พม่า
และโดยเฉพาะในประเทศไทย หมอด็อด อยู่ประจําท่ีจงั หวัดเชียงราย ประมาณ ๓๒ ปี (พ.ศ.
๒๔๒๙–๒๔๖๑) ระหว่างนัน้ ได้เดนิ ทางไปสํารวจความเป็นอย่ขู องชาตติ ่างๆ ในดนิ แดนใกล้เคยี ง
พรอ้ มทงั้ เผยแพร่ศาสนาด้วย โดยเรม่ิ จากเชยี งราย ผ่าน เชยี งตุง สบิ สองปนั นา ยนู นาน ไปถงึ ฝงั่
ทะเลกวางตุ้ง หมอลอ็ ด เขยี นไวว้ ่าไทยเป็นเชอ้ื สายมองโกล และเป็นชาตเิ ก่าแก่กว่าฮบิ รู และจนี
เสียอีก คนไทยถูกเรยี กว่าอ้ายลาว หรอื ด้ามุง และเป็นเจ้าของถ่ินเดมิ ของจนี มาก่อนจนี ตงั้ แต่
๒,๒๐๐ ปี ก่อนคริสตศักราช ฉะนัน้ จึงถือเป็นพ่ีอ้ายของจีน ถ่ินเดิมของคนไทยอยู่บริเวณ
เทอื กเขาอลั ไต

แต่ต่อมาเคลอ่ี นทเ่ี รอ่ื ยๆ จากทางเหนอื เขา้ แดนจนี และค่อยๆ อพยพครงั้ ใหญ่นับตงั้ แต่
แรกเรม่ิ ในครสิ ตศกั ราชท่ี ๖ ก่อนครสิ ตศกั ราช คอื จากตอนกลางของจนี มาส่ตู อนใต้ จากตอนใตเ้ ขา้
สู่อนิ โดจนี ในบรเิ วณตอนใต้ ลุ่มแม่น้ําแยงซนี ัน้ หมอดอ็ ดเดนิ ทางสํารวจเรยี บรอ้ ยแล้วทงั้ ส้นิ แต่ใน
ส่วนเหนอื จากนนั้ หมอดอ็ ดอาศยั ความคลา้ ยคลงึ ทางภาษาเป็นเหตุผลสนบั สนุน

ตามความคดิ ของหมอดอ็ ดเป็นท่นี ่าสนใจในวงการทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศ เช่น
งานของ W.A.R. WOOD ในงานเร่อื ง Ahistory ot Siam ตพี มิ พเ์ มอ่ื ๒๔๖๗ กไ็ ดน้ ําความคดิ ของ
หมอดอ็ ดไปขยายและระบไุ วว้ า่ ถน่ิ เดมิ ของไทยอยใู่ นมองโกเลยี

นกั วชิ าการไทยคนสาํ คญั ทเ่ี ป็นผู้สบื ต่อความคดิ ของหมอดอ็ ด คอื ขุนวติ รมาตรา (รอง
อาํ มาตยโ์ ท สงา่ กาญจนาคพนั ธ)์ ในงานเรอ่ื งหลกั ไทย ซง่ึ เป็นหนงั สอื แต่งทางประวตั ศิ าสตรท์ ่ีไดร้ บั
พระราชทานรางวลั ของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯ กบั ประกาศนียบตั รวรรณคดขี องราชบณั ฑติ ย
สภา ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ ในหลกั ไทย สรุปว่าแหล่งเดมิ ของคนไทยอย่บู รเิ วณภูเขาอลั ไต ซง่ึ เป็นบ่อ

๒ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๕-๖.
๓ วธิ าน สุชวี คปุ ต์, สนธิ บางยข่ี นั , ปรชั ญาไทย, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง,
๒๕๓๔), หน้า ๙-๒๑.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เกิดของพวกมองโกด้วยกัน ภายหลงั ได้แยกมาตงั้ ภูมลิ ําเนาใหญ่ในระหว่างลุ่มแม่น้ําเหลอื งและ
แมน่ ้ําแยงซเี กยี ง เรยี กว่าอาณาจกั รอา้ ยลาว มนี ครลุง นครปาและนครเงย้ี วเป็นราชธานี

เมอื งจนี อพยพจากทะเลสาบคสั เปียน กไ็ ดพ้ บไทยเป็นชาตทิ ย่ี งิ่ ใหญ่แลว้ ในราวปี พ.ศ.
๓๐๐ ก่อนพุทธศกั ราชไทยเรม่ิ ถูกจนี รุกราน ต้องถอยร่นลงมาทางภาคใต้ จวบจนประมาณ พ.ศ.
๑๔๐๐ ไดก้ ่อตงั้ อาณาจกั รน่านเจา้ ขน้ึ ทย่ี นู นาน อาณาจกั รน่านเจา้ ในสมยั พระเจา้ พลี ่อโก๊ะ (หรอื ขนุ
บรม ดามพงศาวดารล้านชา้ ง) สามารถขยายอาณาเขตเขา้ มาถงึ แควนั สบิ สองจุไท หลวงพระบาง
และบรเิ วณภาคเหนือของไทย ไดก้ ่อตงั้ อาณาจกั รโยนก ในบรเิ วณสุวรรณภมู ซิ ง่ึ เคยเป็นถนิ่ ทอ่ี ยขู่ อง
พวกละว้าเขมร และ มอญมาก่อน ใน พ.ศ. ๑๓๐๐ พงศาวดารจนี ระบุว่าอาณาจกั รนานเจา้ ไดแ้ ยก
ตนเองเป็นแควน้ ต่างๆ คอื โกสมั พี (แสนหว)ี จุฬนี (ตงั เกยี๋ ) ไพสาลี หรอื มณีปุระ (อสั สมั ) และ
โยนก เชยี งแสน จวบจน พ.ศ. ๑๗๗๘ พระเจา้ กุมไบลซ่าน เจา้ โจมดนี ่าน เจา้ แตก คนไทยทน่ี ่าน
เจา้ อพยพลงมาสมทบกบั พวกแรกบรเิ วณสวุ รรณภมู ิ

เม่อื เหตุผลของทฤษฎเี ทอื กเขาอลั ไต ทป่ี รากฎในชาตไิ ทยและหลกั ไทย เพราะคําว่า
“อลั ไต” มคี ําว่า “ไต” อยู่ ทําให้นักวชิ าการไทยทงั้ หลายนําปญั หาน้ีไปพจิ ารณา เช่นสมเดจ็ กรม
พระยาดํารงฯ ซ่งึ ทรงเป็นกรรมการในการพจิ ารณาหนังสอื ไทย ทรงมคี วามเห็นว่าขอ้ สนั นิษฐาน
เก่ยี วกบั อลั ไตของขุนวจิ ติ มาดรายงั มปี ญั หาต่อความเช่อื ถอื อยา่ งมาก หรอื แมแ้ ต่กรมหม่นื พทิ ยาลง
กรณ์ (น.ม.ส.) ซง่ึ เป็นกรรมการของราชบณั ฑติ สถาน ในการตรวจหนงั สอื เล่มน้ียงั ใหท้ รรศนะว่า ตวั
ท่านเอง ยงั ตอ้ งใชเ้ ลาค้นหนงั สอื ประวตั ศิ าสตรเ์ กอื บสบิ เล่ม เพ่อื ตรวจสอบเร่อื งน้ี และ เร่อื งน้ีกเ็ ป็น
ปญั หาอยู่ เพราะเป็นคามเห็นท่ีต่างไปจากนักประวตั ิศาสตร์อาชีพท่ีสังคมไทยยกย่องอยู่เช่น
ศาสตราจารย์ ยอรช์ เซเดส์ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจา้ ธานีนิวตั สมเดจ็ กรมพระยาดํารงฯ และ
สมเดจ็ พระนรศิ ารนุวตั วิ งศ์ เป็นต้น มแี ต่หลวงโกษากรวจิ ารณ์ หรอื ประภาศริ ิ ซง่ึ เป็นนกั คน้ ควา้ ทม่ี ี
ความรภู้ าษาจนี ภาษาไทย และภาษาองั กฤษอย่งดี กไ็ ดใ้ ห้ความเหน็ สนับสนุนในเรอ่ื งน้ีว่า เท่าท่ี
เขา้ ใจวา่ ถน่ิ เดมิ ของคนไทยอยเู่ ทอื กเขาอลั ไต นอกจากจะใหเ้ หตุผลวา่ เพราะมภี าษาเป็นเคา้ เดยี วกบั
ไทยแลว้ กย็ งั มเี หตุผลอย่างอ่นื อกี หลวงโกษากรวจิ ารณ์ ได้แปลความหมายคําว่า ‚อลั ไต ‛ ว่าอลั
หมายถึง อะเลอ ซึงเป็นภาษาไทยโบราณ แปลว่าแผ่นดินคําว่า ไตก็คือไท ฉะนัน้ ท่ีตรงนัน้
หมายความว่าเป็นทไ่ี ท อยมู่ ากเป็นแผ่นดนิ ของไท

ข้อสรปุ ของแนวคิดท่ี ๑

แนวคดิ ท่ี ๒ ไม่เป็นทย่ี อมรบั ของนักประวตั ศิ าสตรใ์ นปจั จุบนั เน่ืองจากมอี ุปสรรคในการ
เดนิ ทางไปตงั้ ถ่ินฐานของคนไทยและไม่น่าจะอยู่ไกลถึงเทอื กเขาอลั ไต ท่มี อี ากาศหนาวเย็น
มาก นอกจากนนั้ การเดนิ ทางลงมาทางใตต้ อ้ งผา่ นทะเลทรายโกบี อนั กวา้ งใหญ่ไพศาล

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๒) กล่มุ ที่เช่ือว่าถ่ินกาเนิดของคนไทยอย่ใู นบริเวณมณฑลเสฉวน

ความเช่อื น้ีกค็ อื เดเรยี น เอ ลาคูเปอรี (Terien de la couPerie) ศาสตราจารยช์ า
องั กฤษประจาํ มหาวทิ ยาลยั คอลเลจ แห่งลอนดอน ผเู้ ช่ยี วชาญทางภาษาศาสตรข์ องอนิ โดจนี งาน
เขยี นของเขาคอื the ceadle of the sham Race ตพี มิ พเ์ มอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ซง่ึ อาศยั การคน้ ควา้
จากหลกั ฐานจนี และพจิ ารณาความคล้ายคลงึ ทางภาษาของผู้คนในจนี และเชยี ตะวนั ออเฉียงใต้ ได้
สรุปไว้ว่าคนเช้ือชาตไิ ทย ตงั้ ถนิ่ ฐานเป็นอาณาจกั รอย่ใู นดนิ แกนจนี มาก่อนจนี คอื เม่อื ๒๒๐๘ ปี
ก่อน ค.ศ. ชนชาตไิ ทยไดถ้ ูกระบไุ วใ้ นรายงานสาํ รวจภูมปิ ระเทศจนี ในสมยั พระเจา้ ยู้ จนี เรยี กชนชาติ
ไทยว่ามงุ หรอื ดา้ มมุง ถน่ิ ทอ่ี ย่ขู องคนไทยทป่ี รากฏในจดหมายเหตุน้ีอยใู่ นเขตทเ่ี ป็นมณฑลเสฉวน
เวลาน้ี

งานของลาคูเปอรี เป็นทส่ี นใจของนกั วิชาการไทยมาก ความตดิ ของลาคูเปอรไี ดร้ บั การ
สบื ทอดต่อมาในงานเขยี นของนกั วชิ าการไทย เช่นงานเขยี นของสมเดจ็ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ
แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม ซง่ึ ทรงบรรยายทจ่ี ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เม่อื พ.ศ. ๒๔๖๗ และ
ลกั ษณะการปกครองประเทศแต่โบราณ ซ่งึ จดั พมิ พ์ปี ๒๔๗๗ ทรงสรุปไดว้ ่า ดนิ แถบประเทศไทย
แต่เดมิ เป็นถนิ่ ท่อี ยขู่ องพวก ละว้า มอญ เขมร คนไทยอย่แู ถบธเิ บตต่อจนี (มณฑลเสฉวนปจั จนั )
ราว พ.ศ. ๕๐๐ ถูกจนี รกุ ราน จงึ อพยพมาอยทู่ ย่ี นู นานทางตอนใตข้ องจนี และแยกยา้ ยกนั อย่ตู ามทศิ
ต่างๆ ของยูนนาน ทศิ ตะวนั ตกของยูนนาน คอื เง้ยี ว ฉาน ทศิ ใต้ของยูนนานคอื สบิ สองจุไทย
ตอนลา่ งของยนู นาน คอื ลานนาน ลานชา้ ง

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

งานของประภาศริ ิ หรอื หลวงโกษากรวจิ ารณ์ (บุญศรี ประภาศริ )ิ ซง่ึ ใชค้ วามรภู้ าษาจนี
คน้ ควา้ เรอ่ื งถน่ิ กาํ เนิดของไทย ตลอดจนนําพงศาวดารและตํานานทอ้ งถนิ่ ทางภาคเหนือของไทยมา
วเิ คราะห์ งานเด่นของท่านคอื วเิ คราะห์เร่อื งเมอื งไทย ภาคหน่ึงตีพมิ พ์เม่อื ๒๔๗๘ ภาค ๒ เม่อื
๒๔๙๐ และภาค ๔ เมอ่ื ๒๔๙๒ และ ‚บทวเิ คราะหถ์ นิ่ ไทย และเมอื งเก่า‛ และสบื หาสยาม ขณะท่ี
จนี เรร่ อ่ นอยใู่ นเขตทะเลสาปคสั เปียน ไทตงั้ หลกั ฐานเป็นอยู่ ณ บรเิ วณล่มุ แมน่ ้ําเหลอื ง และลุ่มแมน่ ้ํา
แยงซเี กยี งแลว้

อาณาจกั รไทยแบง่ ออกเป็น ๒ นคร คือ

นครลงุ -เป็นธานีฝา่ ยเหนอื ตงั้ อยบู่ นแม่น้ําเหลอื งนครปา-เป็นธานีฝ่ายใตต้ งั้ อย่ภู าคเหนือ
ตลอดมาถึงภาคตะวนั ตกของมณฑลเสฉวนในปจั จุบนั อาณาจกั รไทยสมยั น้ีเรยี กว่า “อ้ายลาว”
หรอื มงุ (เป็นคาํ ทช่ี าตอิ ่นื เรยี ก)

งานของพระยาอนุมานราชธน เรอ่ื งขอวขนชาตไิ ทย เขยี น พ.ศ. ๒๔๘๓ จากการคน้ ควา้
ในเร่อื งของนักวิชาการก่อนหน้านัน้ ได้สรุปความเห็นไว้ว่าตอนกลางของประเทศจนี ปจั จุบนั ลุ่ม
แม่น้ําแยงซเี กยี ง ฝงั่ ซา้ ย ตงั้ แต่มณฑลเสฉวน ตลอดไปเกอื บจรดทะเลตะวนั ออกเป็นทอ่ี ย่ขู องไทย
เดมิ ซ่ึงม่งช้อื สายสบื มาจนทุกวนั น้ี ไทยเรยี กตนเองว่าอ้ายลาว แต่จนี เรยี กว่าด้ามุง ซ่ึงน่าจะ
หมายถงึ พวกไทยเมอื ง พวกน้เี จรญิ มากก่อนจนี เสยี อกี

งานของพระยาบรหิ ารเทพธานี ซ่ึงใช้เวลาศึกษาค้นคว้าเร่อื งถ่ินกําเนิดของคนไทย
ตลอดจนประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมยั ต่างๆ มาถงึ ๑๖ ปี งานชน้ิ นนั้ คอื พงศาวดารชาตไิ ทย ซง่ึ ตพี มิ พเ์ ม่อื
พ.ศ. ๒๔๖๙ สรุปไว้ว่าถนิ่ เดมิ ของไทยอย่บู รเิ วณตอนกลางของจนี ต่อมาอพยพลงมาท่มี ณฑลยูน
นานทางตอนใต้ และค่อยๆ อพยพลงมาฝงั่ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้

นอกจากน้ี ยงั มงี านของนักประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ชี ่อื เสยี ง และมบี ทบาทสําคญั ในสงั คมไทย
อกี ทานหน่ึงคอื หลวงวจิ ติ รวาทการ ซง่ึ พยายามค้นคว้าว่าเรอ่ื งถน่ิ กําเนิดของคนไทยโดยการศกึ ษา
คน้ ควา้ ของนักประวตั ศิ าสตรเ์ ก่าทงั้ ชาวต่างประเทศและชาวไทย หลวงวจิ ติ รวาทการผลติ งานเขยี น
ทพ่ี ดู ถงึ ถน่ิ กําเนิดของคนไทย ๒ เล่มคอื สยามกบั สุวรรณภูมิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๖ และงานคน้ ควา้ เรอ่ื ง
ชนชาตไิ ทย เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๙ ในงานทงั้ สองใหข้ อ้ สรปุ ถนิ่ กําเนิดของคนไทยว่าอยใู่ นดนิ แดนซง่ึ เป็น
มณฑลเสฉวน ฮเู ป อนั ฮุย และเกยี งซี ตอนกลางประเทศจนี ปจั จบุ นั ก่อนจนี อพยพเขา้ มา แลว้ ค่อยๆ
อพยพมาส่มู ณฑลยนู นาน และแหลมอนิ โดจนี การเคล่อื นทข่ี องขนชาตไิ ทย ๒ วธิ ี วธิ หี น่ึงคอื การ
เคล่อื นยา้ ยเป็นส่วนตวั โดยการแทรกซมึ ลงมา อกี วธิ หี น่งึ คอื การอพยพใหญ่

ข้อสรปุ ของแนวคิดที่ ๒ : ระยะต่อมามนี กั วชิ าการไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ อยา่ งจรงิ จงั เกย่ี วกบั
วฒั นธรรมทางภาษาลกั ษณะเผ่าพนั ธุ์ จากหลกั ฐานประเภทจดหมายเหตุจนี กล่าวถงึ ผคู้ นทอ่ี าศยั อยู่
ในบรเิ วณดงั กลา่ วไมน่ ่าจะมคี วามเก่ยี วขอ้ งกับคนไทยทอ่ี าศยั อย่ใู นปจั จุบนั มากนัก ดงั นนั้ แนวคดิ น้ี
จงึ ไมเ่ ป็นทย่ี อมรบั ของนกั วชิ าการ

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

แผนภูมภิ าพเกย่ี วกบั ทอ่ี ยขู่ องเผา่ ไทยบรเิ วณตอนใตข้ องจนี

๓) กล่มุ ท่ีเชื่อว่า คนไทยมีถ่ินกาเนิดอย่กู ระจดั กระจายทวั่ ไปในบริเวณทางตอนใต้
ของจีน และทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรฐั อสั สมั
ของประเทศอินเดีย

ผรู้ เิ รมิ่ ความเช่อื น้ีคอื Archidal R. coljuhoun ซง่ึ เป็นนกั สํารวจชาวองั กฤษไดเ้ ดนิ ทาง
สาํ รวจดนิ แดนตงั้ แต่ทางภาคใตข้ องจนี จากกวางตุ้งไปยงั เมอื งมณั ฑเลย์ ในพม่าผลจากการสํารวจ
ของเขาปรากฏเป็นหนังสอื ช่อื Chryse ซง่ึ เล่าเร่อื งการเดนิ ทางสาํ รวจดนิ แดนดงั กล่าวของเขา และ
ไดเ้ ขยี นรายงานไวว้ ่าไดพ้ บคนเช่อื ชาตไิ ทยในบรเิ วณแถบน้ีโดยตลอด งานชน้ิ น้ีตพี มิ พท์ อ่ี งั กฤษเมอ่ื
พ.ศ. ๒๔๒๘ และผเู้ ขยี นไดร้ บั รางวลั The Gwographical Society ต่อมาหนังสอื เล่มน้ีไดม้ กี ารแปล
เป็นภาษาฝรงั่ เศส และภาษาเยอรมนั

โดยสรุปในบรรดากลุ่มนักวชิ าการท่เี ช่อื ว่าอดตี ของเผ่าไทยอยู่กระจดั กระจายอยู่ใน
บรเิ วณตอนใต้ของจนี และบรเิ วณทางเหนือของไทย ลาว พม่า เวยี ดนาม กมั พูชาและรฐั อสั สมั ของ
อินเดยี นัน้ ต่างก็มที รรศนะท่ตี ่างกนั ออกไปในรายละเอยี ด โดยเฉพาะปญั หาเก่ียวกบั อาณาจกั ร
น่านเจา้ งานของเปลลโิ อ มสั เปอโร เฟรเออรกโมด และจติ ภูมศิ กั ดิ ์ เป็นงานทป่ี ฏฺ เิ สธอย่างสน้ิ เชงิ
ว่า น่านเจา้ มใิ ช่อาณาจกั รของคนไทย นักวชิ าการกลุ่มน้ี เรม่ิ ศกึ ษาคน้ ควา้ เร่อื งราวของคนไทย โดย
อาศยั หลกั ฐานหลายดา้ นดวั ยกนั ทงั้ ทางดา้ นนริ กุ ตศิ าสตร์ มานุษยวทิ ยา หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
ตลอดจนหลกั ฐานทางโบราณคดี ซ่งึ นับว่าเป็นก้าวใหม่ของการศกึ ษาปญั หาน้ี จากท่เี คยทํามา
ความเหน็ ของนักวชิ าการกลุ่มน้ีไดร้ บั การอ้างองิ ทางวชิ าการต่อๆ มา เช่น ในงานเขยี นเร่อื งประวตั ิ
สงั คมไทยโบราณก่อนศตวรรษท่ี ๒๕ ของ ชยั เรอื งศลิ ป์ ศกึ ษาค้นคว้าในระหว่าง ๒๕๐๖-๑๐ และ
เขยี นขน้ึ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ และไดร้ บั รางวลั ชมเชยเป็นกรณีพเิ ศษจากการประกวดวรรณกรรมไทย
ครงั้ ท่ี ๑ ของธนาคารกรุงเทพฯ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๓ แต่หนงั สอื น้ีไดม้ กี ารตพี มิ พแ์ พร่หลายเมอ่ื พ.ศ.
๒๕๒๓

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ข้อสรปุ ของแนวคิดท่ี ๓ : แนวคดิ ท่ี ๓ เชอ่ื วา่ ถนิ่ กําเนิดของคนไทยอยกู่ ระจดั กระจาย
ทวั่ ไป ในบรเิ วณทางตอนใตข้ องจนี และทางตอนเหนอื ของภาคพน้ื เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตต้ ลอด
บรเิ วณรฐั อสั สมั ของอนิ เดยี

๔) กล่มุ ที่เช่ือว่าถิ่นเดิมของไทยอย่บู ริเวณเนื้อที่ประเทศไทยปัจจบุ นั

ทฤษฎนี ้ีเป็นทฤษฎใี หมท่ ไ่ี ดร้ บั การคน้ ควา้ จากบรรดานักวชิ าการ และแพรห่ ลายไมน่ าน
มาน้ี งานขนั้ แรกในกลุ่มน้ีคอื งานของ พอล เบเนดคิ ท์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตรแ์ ละนัก
มานุษยวทิ ยาชาวอเมรกิ ากนั ซ่งึ ทําการค้นคว้าเร่อื งราวเก่ยี วกบั เผ่าไทยโดยอาศยั หลกั ฐานทาง
ภาษาศาสตร์ และสนั นิษฐานว่าคนท่อี ยู่แถบแหลมอินโดจนี ย่อมมาจากบรรพบุรุษเดยี วกันและ
ยอมรบั ว่าภาษาไทย (Tai) เป็นภาษาท่ใี หญ่ภาษาหน่ึง ภาษาของชนชาติทางเอเชยี และเอเชีย
ตะวนั ตกเฉียงใต้ อย่ใู นคระกูลออสตรคิ หรอื ออสโตรนีเซยี นและสามารถแยกสาขาไดเ้ ป็นพวกไท-
ชวา-มลาย-ู ธเิ บต-พมา่ สมมตฐิ านใหม่ของเบเนดคิ ท์ น้ีจะลบลา้ งความเช่อื ท่วี ่าคนเผ่าไทย เป็นชน
ชาติตระกูลมองโกล แต่กลบั เป็นชนชาตติ ระกูลเดยี วกบั ชวามลายู ส่วนเก่ยี วกบั ถนิ่ เดมิ ของไทย
เบเนดคิ ท์ ใหท้ ศั นะว่าน่าจะอยใู่ นดนิ แดนไทยปจั จุบนั ในราวประมาณ ๔,๐๐๐-๓,๕๐๐ ปีมาแล้ว มี
พวกตระกลู มอญเขมรอพยพมาจากอนิ เดยี เขา้ ส่แู หลมอนิ โดจนี ไดผ้ ลกั ดนั ใหค้ นไทยกระจดั กระจาย
ไปหลายทางขน้ึ ไปทางใตข้ องจนี ปจั จบุ นั ต่อมาถูกจนี ผลกั ดนั จงึ ถอยรน่ ลงใต้ ไปอย่ใู นเขตอสั สมั ฉาน
ลาว ไทย และตงั เกยี๋ จงึ มกี ลมุ่ ชนทพ่ี ดู ภาษาไทยกระจดั กระจายไปทวั่

นักวชิ าการในกลุ่มน้ีทช่ี ช้ี ดั ใหเ้ หน็ ว่าคนไทยอย่ใู นดนิ แดนประเทศไทยปจั จบุ นั มกั เป็น
นกั วชิ าการทางดา้ นโบราณคดี หรอื สนใจทางดา้ นโบราณคดี เช่น ดร.ควอรชิ เวลส์ ซง่ึ ใหท้ รรศนะว่า
กลุ่มคนไทย มาตงั้ หลกั ฐานอย่แู ลว้ ตามกลุ่มแม่น้ําแม่กลอง และบรเิ วณกลุ่มแม่น้ําเจา้ พระยาตงั้ แต่
ครสิ ต์ศตวรรษต้นๆ ทรรศนะเช่นน้ีมาจากการขุดพบกระโหลกศีรษะท่พี งตกึ จงั หวดั ราชบุรี เวลส์
แสดงความเห็นน้ีในงานเขียนของเขาเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๙ แต่ต่อมาเขาก็เปล่ียนความคิดว่า

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

นักวิชาการท่ีมีช่ือเสียงในกลุ่มน้ีคือนายแพทย์สุด แสงวิเชียร แห่งแผนกกายวิภาคศาสตร์
คณะแพทยศ์ าสตรศ์ ริ ริ าชพยาบาล ไดใ้ หค้ วามเหน็ ว่าดนิ แดนไทย ปจั จุบนั เป็นทอ่ี ย่อู าศยั ของหมชู่ น
ทเ่ี ป็นบรรพบุรุษของคนไทยปจั จุบนั มาตงั้ แต่ก่อนสมยั ประวตั ศิ าสตร์ ขอ้ สนั นิษฐานของท่านอาศยั
การศกึ ษาเปรยี บเทยี บโครงกระดูกมนุษยส์ มยั หนิ ใหม่ ๓๗ โครง ซง่ึ คณะสํารวจไทย เดนมารค์ ได้
ร่วมกนั ขุดคน้ ไดบ้ รเิ วณสองฝงั่ แควน้อย และแควใหญ่ จงั หวดั กาญจนบุรี ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๓-
๐๕ จากการศกึ ษาเปรยี บเทยี บท่านได้สรุปว่าโครงกระดูกของคนสมยั ใหม่มคี วามเหมอื นกบั โครง
กระดกู คนไทยปจั จบุ นั เกอื บทุกๆ อยา่ ง ขอ้ เสนอน้นี ายซอบไ์ ฮมเ์ หน็ ดว้ ย

แนวคิดท่วี ่าคนไทยไม่ได้อพยพมาจากไหน แต่อยู่ท่บี รเิ วณดินแดนไทยน้ีเอง มี
นกั ภาษาศาสตร์ และมานุษยวทิ ยาชาวอเมรกิ นั ช่อื Paul Benedict คน้ ควา้ ตามหลกั ภาษาศาสตร์
วา่ ตระกลู ภาษาออสตรคิ หรอื ออสโตรนีเซยี น ประกอบดว้ ยสาขาภาษา ชวา-มลายู ธเิ บต-พมา่ และ
ไท(Tai) ภาษาไท เป็นภาษาใหญ่ ทพ่ี ดู ส่อื สารกนั ในชนชาตเิ อเชยี และเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ศูนย์
กลางคนทใ่ี ชภ้ าษาน้ี เคยอยใู่ นดนิ แดนประเทศไทยปจั จบุ นั เม่อื ๔,๐๐๐ –๓,๕๐๐ ปีมาแลว้ แต่มคี น
ชาตอิ ่นื เช่น มอญ เขมร เขา้ มารกุ ราน จงึ อพยพไปหลายทาง บางกลุ่มไปทางตอนใต้จนี ถูกจนี ผลกั
ต่อจงึ กระจายลงใต้ไปอยู่ท่ี รฐั อสั สมั ของอินเดีย รฐั ฉาน พม่า ลาว ไทย และไทยดําท่ตี งั เกีย๋
นอกจากวธิ อี าศยั ขอ้ มลู ทางภาษาศาสตร์ แล้ว ยงั มกี ลุ่มทย่ี ดึ ความเช่อื ทาํ นองน้ี แต่อาศยั หลกั ฐาน
ทางโบราณคดี เช่น Dr. Guaritch Wales เคยเช่อื ว่า คนไทยอยทู่ ล่ี ุ่มน้ําแมก่ ลองเพราะการขุดพบ
กระโหลกศรี ษะทพ่ี งตกึ จงั หวดั ราชบุรี และนายแพทยส์ ุด แสงวเิ ชยี ร ยนื ยนั จากการตรวจสอบโครง
กระดูกมนุษยโ์ บราณ ๓๗ โครง สํารวจกบั ชาวเดนมารก์ บรเิ วณสองฝงั่ แควน้อย แควใหญ่ จงั หวดั
กาญจนบุรี ใน ปี ๒๕๐๓-๒๕๐๕ พบว่า รปู แบบของโครงกระดกู ไมแ่ ตกต่างจากของคนไทยปจั จุบนั
เลย๔

แมว้ ่าท่มี าของชนชาตไิ ทยอาจจะยงั ถกเถยี งกนั ไม่จบว่าชนชาตไิ ทยมไิ ด้อพยพมาจาก
ภเู ขาอลั ไต และมไิ ดถ้ อยรน่ ลงมามาจากจนี ชนชาตไิ ทยน่าจะตงั้ ถน่ิ ฐานอย่ทู บ่ี รเิ วณดนิ แดนปจั จบุ นั
มาแต่ดงั้ เดมิ เพราะการขุดพบหวั กระโหลกมนุษยโ์ บราณ ทร่ี าชบุรี พบโครงกระดูกท่กี าญจนบุรี
แมแ้ ต่การขดุ คน้ ทบ่ี า้ นเชยี ง จงั หวดั อุดรธานี ชุมชนโบราณทม่ี อี ายุมากกว่า ๓,๕๐๐ ปี ในยคุ สํารดิ ก็
พบโครงรา่ งมนุษย์ และเครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชเ้ หมอื นคนไทยในดนิ แดนปจั จบุ นั หากจะกล่าวถงึ ภาษาท่ี
ใชร้ ว่ มกนั เกย่ี วกบั เรอ่ื งสตั ว์ และพชื กไ็ ม่ปรากฏว่ามชี ่อื สตั วแ์ ละพชื เขตหนาว อย่างเมอื งจนี เลย คน
ไทยต้องไม่อพยพมาจากถนิ่ อ่นื แน่นอน อาจเป็นไปได้ทค่ี นคลา้ ยคนไทยปจั จุบนั เคยอย่ทู น่ี ่ี แต่ไม่
อาจสรปุ ว่า เป็นบรรพบุรษุ สบื ทอดสายโลหติ ส่คู นไทยปจั จุบนั เมอ่ื อาศยั อยแู่ ถบน้ี ชนเผ่าไทยไดต้ งั้
อาณาจกั รหลายอาณาจกั ร รุ่งเรอื งบ้าง ล่มสลายบ้างตามกาลเวลา แต่ท่เี ป็นปึกแผ่นก็ในยุค
อาณาจกั รสุโขทยั เมอ่ื ราว พ.ศ.๑๗๘๑ เม่อื ชนชาตไิ ทยสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั กไ็ ม่ไดอ้ พยพไป
ทางไหนอีก สบื สานความเป็นไทยเอาไว้ ผ่านอาณาจกั รอยุธยา อาณาจกั รกรุงเทพฯ ตราบจน
ปจั จุบนั ทก่ี ล่าวมาน้ีหมายเอาเฉพาะชาวไทยกลุ่มอาณาจกั รกรุงเทพฯ ลุ่มน้ําเจา้ พระยาเป็นหลกั

๔ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๑๐.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ชาวไทยไมเ่ คยเรยี กตวั เองว่า “สยาม” (Siam) หรอื “เซียม” ดงั ทช่ี าวต่างประเทศขนานนามว่า
“ประเทศสยาม” แต่ชอบเรยี กตวั เองว่า ‚ไท‛ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ช่อื ของชนชาตทิ ม่ี มี าแต่โบราณ
ในสมยั รฐั บาลจอมพล แปลก พบิ ูลสงครามจงึ ไดป้ ระกาศเปล่ยี นช่อื ประเทศอยา่ งเป็นทางการเม่อื
พ.ศ. ๒๔๘๒ วา่ ‚ประเทศไทย‛๕

นอกจากน้ี ยงั มงี านของ ดร.คาลตนั เอส คูน (Carlton S. Coon) ซง่ึ สบื คน้ เรอ่ื งน้ีและให้
ความเหน็ ว่าระหว่าง ๑,๕๓๐ ปี ก่อน ค.ศ. นนั้ มรี อ่ งรอยพวกคนสมยั หนิ ใหมใ่ นประเทศไทยและยงั มี
งานของศาสตราจารย์ ชนิ อยดู่ ี ในเรอ่ื งสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตรใ์ นประทศไทย ซง่ึ ตพี มิ พเ์ ผยแพร่ในปี
๒๕๑๐ กส็ รปุ ไดว้ า่ จากหลกั ฐานทางโบราณคดพี บว่าในบรเิ วณเน้ือทป่ี ระเทศไทยปจั จบุ นั มรี ่องรอย
ผคู้ นอาศยั อย่ตู งั้ แต่สมยั หนิ เก่าคอื ระหว่าง ๕๐๐,๐๐๐ ปี ถงึ ๑๐,๐๐๐ ปี มาแลว้ เร่อื ยมาจนกระทงั้
สมยั หนิ กลาง หนิ ใหม่ยคุ โลหะและเขา้ ส่ปู ระวตั ศิ าสตรใ์ นยุคดงั กล่าวเหล่าน้ี ยงั เหน็ ถงึ ความสบื เน่ือง
ทางวฒั นธรรมทม่ี มี าจนถงึ ปจั จบุ นั ดว้ ย

ข้อสรปุ ของแนวคิดที่ ๔ : เน่อื งจากนกั วชิ าการกลุ่มน้ี มกั อาศยั หลกั ฐานทางโบราณคดี
เป็นหลกั ในการพสิ จู น์แนวคดิ ของตนเอง ดงั นนั้ ขอ้ สนั นิษฐานของนกั วชิ าการกลุ่มน้ียงั ไมเ่ ป็นท่ี
ยอมรบั จากนกั วชิ าการในปจั จุบนั มากนกั แนวคดิ น้ียงั ตอ้ งอาศยั การคน้ ควา้ ดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ เพ่อื หา
ขอ้ สรปุ ต่อไป

แผนภูมภิ าพทม่ี าชนเผ่าไทยนยั ท่ี ๔

๕ ชาํ นะ พาซอ่ื , ปรชั ญาไทย, ภาควิชาศาสนาและปรชั ญา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,
๒๕๔๓), หน้า ๒๐-๒๕.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๕) กลุ่มที่เชื่อว่า ถ่ินเดิมของคนไทยอย่บู ริเวณคาบสมุทรมลายแู ละหม่เู กาะต่างๆ
ในอินโดนีเซีย และค่อยๆ อพยพขึ้นมาส่ดู ินแดนไทยปัจจบุ นั

ทฤษฎีมกี ารเสนอข้นึ เม่อื ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ท่สี ยามสมาคม ผู้เสนอคือนาย
สมศกั ดิ ์ สุวรรณสมบรู ณ์ โดยอาศยั ความรวู้ ชิ าแพทยศาสตรท์ างดา้ นกลุ่มเลอื ด (Blood Group) และ
จาการสุมตวั อยา่ งกลุ่มเลอื ดของคนไทยกบั คนอนิ โดนีเซยี ปจั จุบนั จงึ ไดเ้ สนอว่าเพราะความละมา้ ย
คลา้ ยคลงึ กนั ทางกลุ่มเลอื ดระหว่างคนไทยทโ่ี รงพยาบาลสริ ริ าชกบั คนอนิ โดนีเซยี ฉะนัน้ คนไทย
น่าจะมถี นิ่ กาํ เนดิ อย่ทู ห่ี มเู่ กาะ แลว้ จากหม่เู กาะต่างๆ อพยพขน้ึ มายงั กลุ่มน้ําเจา้ พระยาบ้าง เลยเขา้
ไปถงึ ทางบรเิ วณมณฑลยนู านของจนี บา้ ง

อยา่ งไรกต็ าม ทฤษฎนี ้ีกย็ งั มปี ญั หาอยมู่ ากทเี ดยี ว โดยเฉพาะถา้ หากจะศกึ ษาถงึ สภาพ
ตามภูมศิ าสตร์ หม่เู กาะซง่ึ เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์อย่แู ลว้ จงึ ไม่นาจะมเี หตุผลใดๆ ทท่ี ําใหค้ นไทย
ตอ้ งอพยพจากแหลง่ อุดมสมบรู ณ์อยแู่ ลว้ เขา้ มาอยู่ในกล่มุ แมน้ ้ําเจา้ พระยาและจนี ตอนใต้

ทฤษฎที ่ไี ดร้ บั การเช่อื ถอื มากทส่ี ุด-อดตี -ปจั จุบนั อาจกล่าวไดว้ ่านับตงั้ แต่รชั กาลท่ี ๕ เป็น
ต้นมาจนกระทงั่ ถงึ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ มอี ยู่ ๒ ทฤษฎีทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั ในสงั คมมากท่สี ุดคอื
(๑) กลุ่มทเ่ี ช่อื ว่าถนิ่ กําเนิดของคนไทยอย่ใู นบรเิ วณมณฑลเสฉวน และ (๒) กลุ่มทเ่ี ช่อื ว่าถน่ิ กําเนิด
ของคนไทยอยบู่ รเิ วณเทอื กเขาอลั ไต๖

ข้อสรปุ ของแนวคิดท่ี ๕ : ชนชาตไิ ทยน่าจะมถี น่ิ กําเนิดอย่บู รเิ วณคาบสมุทรอนิ โดจนี
หรอื คาบสมุทรมลายู และหม่เู กาะต่างๆ ในอนิ โดนีเซยี แต่แนวคดิ น้ีปจั จุบนั ยงั เป็นทถ่ี กเถยี งกนั อยู่
ว่ามคี วามเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และยงั ไม่เป็นท่ยี อมรบั ของนักวชิ าการทค่ี ้นคว้าเก่ยี วกบั ถ่นิ
กาํ เนิดของชนชาตไิ ทย

แผนภูมภิ าพทม่ี าชนเผ่าไทยนยั ท่ี ๕

๖ วธิ าน สชุ วี คปุ ต์, สนธิ บางยข่ี นั , ปรชั ญาไทย, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง,
๒๕๓๔), หน้า ๙-๒๑.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๒.๓ ความเช่ือดงั้ เดิมของชนชาติไทย

คนไทยมาจากไหน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลและหลกั ฐานใดก็ตาม ท่คี นไทยต้องอพยพ
โยกยา้ ยถนิ่ ฐาน เชน่ หนกี ารรกุ รานของเพอ่ื นบา้ น (จนี ) ผแู้ กรง่ กว่า หรอื เพราะความจาํ เป็นเรอ่ื งการ
แสวงหาถนิ่ ฐานอนั อุดมสมบรู ณ์ ชาวไทยกไ็ ดอ้ พยพรน่ ลงมาทางตอนใตแ้ ถบแหลมอนิ โดจนี ซง่ึ ใน
ถนิ่ น้ีกม็ เี ผ่าพน้ื เมอื งเดมิ (มอญ เขมร ละวา้ และอ่นื ๆ) ครอบครองอย่แู ลว้ ความเช่อื ดงั้ เดมิ ของชาว
ไทยยอ่ มมเี อกลกั ษณ์ของตน แต่เม่อื เคยอย่กู บั จนี กร็ บั อทิ ธพิ ลจากจนี ทถ่ี อื ว่าเจรญิ กว่าตนตดิ ตวั มา
ดว้ ย และเม่อื มาอยู่ร่วมกลุ่มชาติพนั ธุแ์ ถบแหลมอนิ โดจนี (มอญ เขมร และละว้า) กต็ ้องผสม
กลมกลนื แลกเปล่ยี นวฒั นธรรมกนั และกนั และโดยเฉพาะแหลมอินโดจนี น้ี อยู่ใกล้อนิ เดยี ซ่งึ มี
วฒั นธรรมเจรญิ กว่าจงึ ยอมรบั เอาศาสนา ปรชั ญา ศลิ ปกรรม สถาปตั ยกรรม ท่ชี าวอนิ เดยี นํามา
เผยแพร่ แลว้ ปรบั ปรงุ เอามาเป็นสมบตั ขิ องตน

เน่อื งจากชนชาตไิ ทยเคยตงั้ ถนิ่ ฐานอย่ใู นหลายทอ้ งถน่ิ กว่าจะมาลงตวั ทด่ี นิ แดนแถบอนิ
โดจนี ในปจั จุบนั หรอื อยทู่ แ่ี ถบน้ีมาก่อนกต็ าม ภูมภิ าคน้ีมอี ากาศสบาย ไม่รอ้ น ไมห่ นาวเกนิ ไป ทงั้
ไม่เคยประสบภยั ธรรมชาตอิ ย่างรุนแรง เช่น แผ่นดนิ ไหว น้ําท่วมหนัก และพายุรา้ ย ดุจชนชาติ
อ่นื ๆ พน้ื ทท่ี วั่ ไปอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตร ชาวไทยส่วนใหญ่จงึ มอี าชพี เกษตรกรรมสบื สาน
มาแต่โบราณ มวี ฒั นธรรมทเ่ี กย่ี วกบั การเกษตร เกย่ี วกบั ความสมบูรณ์ของพชื ผลโดยอาศยั น้ํา ท่ี
เรยี กวา่ “วฒั นธรรมน้า”

การทช่ี าวไทยมภี ูมหิ ลงั ความเป็นมาอนั ยาวนาน ย่อมมศี ลิ ปวฒั นธรรมและประเพณีท่ี
สบื เน่ืองมามไิ ด้ขาดสาย ลกั ษณะของชนชาตไิ ทยมนี ้ําใจกว้าง ยอมรบั อะไรใหม่ๆได้ไม่ยากนัก
ปรบั ตวั เก่ง รจู้ กั ผสมผสานและรวบรวมจดุ ดขี องสงั คมรอบตวั มาไว้ เช่น ความมมุ านะบากบนั่ ของ
ชาวจนี ความเป็นนักปรชั ญาของชาวอนิ เดยี ความรทู้ นั สมยั ของชาวตะวนั ตก สปิ ปนนท์ เกตุทตั
กล่าวว่า ‚สงั คมไทยมลี กั ษณะหลากหลาย แต่กม็ เี อกภาพในภาษาและวฒั นธรรม‛ สรปุ ความว่า สง่ิ
ใดทเ่ี ป็นความเชอ่ื หรอื วทิ ยาการของชนชาตทิ เ่ี จรญิ กว่า ต่างกม็ อี ย่ใู นกลุ่มคนไทยแทบทงั้ สน้ิ จะแบ่ง
ความเช่อื ของชนชาตไิ ทยเป็น ๓ ระยะ คอื ความเช่อื ก่อนนบั ถอื พุทธศาสนา ความเช่อื เมอ่ื นับถอื
พทุ ธสาสนา และความเชอ่ื ของคนไทยปจั จบุ นั

๑. ความเชื่อก่อนการนับถือพระพทุ ธศาสนา

ชาวไทยมคี วามเช่อื ในเร่อื งลกึ ลบั ทม่ี อิ าจพสิ จู น์ใหเ้ หน็ ประจกั ษ์ได้ และความเช่อื น้ี เป็น
ของดงั้ เดมิ ประจาํ โลกและคมู่ นุษย์ คอื ความเชอ่ื เรอ่ื ง “ภตู ผี ปี ศาจ และ วิญญาณ” และจากความ
เช่อื เรอ่ื งผนี ้ีเองจะโยงมาถงึ ‚ศาสนา‛ แมจ้ ะหาคําตอบมไิ ดว้ ่า ผคี อื อะไร แต่กเ็ ช่อื ว่าผมี จี รงิ ‚ความ
เชอ่ื ระดบั ‘ศาสนา’ จะเป็นความเช่อื ทล่ี กึ ซง้ึ ทส่ี ุดของมนุษย์ ในสงิ่ ทไ่ี ม่สามารถจะหาคาํ ตอบจากทอ่ี ่นื
ได้ แต่จะลกึ ซง้ึ เพยี งใดขน้ึ อยกู่ บั ระดบั สตปิ ญั ญาของมนุษยค์ นนัน้ ซง่ึ เก่ยี วพนั ไปถงึ พฒั นาการทาง
ความคดิ และจติ ใจของคนนนั้ ถ้าพฒั นาน้อย ความเช่อื กต็ ้นื ถ้าพฒั นามากความเช่อื จะลกึ ทงั้ หมด
คอื ความเช่อื ‛

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๓๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

การทีค่ นเราจะยอมรบั และเชือ่ อะไรนัน้ ย่อมมรี ปู แบบ ๓ ประการ คือ

๑. ถูกครอบงาํ ใหเ้ ชอ่ื ดว้ ยสอ่ื โฆษณา หรอื การไหลบ่าของวฒั นธรรมทเ่ี จรญิ กวา่

๒. ถูกบงั คบั ใหเ้ ชอ่ื ดว้ ยอํานาจทางการเมอื ง การศกึ ษาแบบใหม่ หรอื ลา้ สมอง

๓. ถูกหลอกใหเ้ ชอ่ื ดว้ ยความดอ้ ยอํานาจทางความรู้ การโฆษณาชวนเชอ่ื

ความเช่อื เร่อื งผดี ไู รส้ าระ แต่ถ้าเป็นการเช่ือเพ่อื พฒั นาความคดิ ทางศลี ธรรม จรยิ ธรรม
ย่อมเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้เช่อื ความเช่อื บางอย่างก็อยู่เหนือเหตุผล ไม่ต้องการพสิ ูจน์ ดงั เสฐยี ร
โกเศศ กล่าวว่า ‚ถ้าตราบใดถอื ว่าความเช่อื ใชไ้ ด้ ความเช่อื นัน้ ย่อมอย่เู หนือเหตุผล และตราบนัน้
ความเชอ่ื กเ็ ป็นจรงิ ถา้ เมอ่ื ใด ความเชอ่ื ใดถอื วา่ ใชไ้ มไ่ ด้ เมอ่ื นนั้ ความเช่อื นนั้ กไ็ มเ่ ป็นจรงิ ‛

ในทรรศนะของชาวตะวนั ออก ความเช่อื เรอ่ื งผเี กย่ี วโยงมาถงึ ความเช่อื เรอ่ื งการเวยี นว่าย
ตายเกดิ ของมนุษย์ ชาวไทยเช่อื ว่า การเกดิ กบั การตายเป็นของคู่กนั ตายแลว้ กเ็ กดิ ใหม่ มไิ ดส้ น้ิ สุด
เพยี งแค่หลงั จากตายไป เม่อื คนตายลงจงึ กลายเป็น ‚ผ‛ี ชาวตะวนั ตกส่วนมากเช่อื ว่า ชวี ติ มคี รงั้
เดยี วและมเี พยี งชาตเิ ดยี ว ตายแลว้ เป็นอนั จบสน้ิ กนั ความเช่อื ดงั้ เดมิ ของชาวไทย คอื เช่อื ผแี ละนับ
ถอื ผี

ผี คอื อะไร คาํ วา่ “ผ”ี คอื สง่ิ ทเ่ี ราไมร่ จู้ กั สงิ่ ลกึ ลบั มหศั จรรย์ สามารถใหท้ งั้ คุณและโทษ
ผดี เี รยี กว่า ผฟี ้า ผเี ลว เรยี กว่าผหี ่า อยากใหช้ วี ติ ดี ต้องเอาอกเอาใจผี ดว้ ยการเคารพ เซ่น สรวง
บูชา ในลลิ ติ โองการแช่งน้ํากล่าวว่า มผี ปี ระจําอยู่ทุกส่วนของโลก สูงขน้ึ ไปบนฟ้าเป็นผฟี ้า ผแี ถน
ต่ําลงมาบนพน้ื ดนิ เป็นเจา้ ทเ่ี จา้ ทาง เช่น ผบี ้าน ผเี รอื น ผปี ่า ผเี ขา ผนี ้ํา ผพี ราย ผปี ระจําเรอื คอื
‚แม่ย่านาง‛ และผปี ระจาํ ต้นไม้ เช่น ผนี างตะเคยี น ผนี างตานี เป็นต้น และต่ําสุดลงไปถงึ บาดาล
เป็นภูต ปีศาจ นอกจากน้ี ยงั นับถอื ผที ่เี ป็นวญิ ญาณบรรพบุรุษ อดตี ผูป้ กครอง หรอื วรี บุรุษผู้นํา
ชุมชนและทอ้ งถนิ่ เช่น ผเี จา้ นาย เจา้ พ่อ เจา้ แม่(เสอ้ื บา้ น เสอ้ื เมอื ง) ผปี ู่ ผยี ่า และผี ทเ่ี ป็นวญิ ญาณ
ของคนตาย หากตายรา้ ย กเ็ ป็นผตี ายโหง ผตี ายห่า ผเี ปรต และมผี ปี ระเภทพเิ ศษ เช่น ผปี อบ ผกี ะ
(ทางลา้ นนา) ผกี ระสอื ผกี ระหงั ผเี ป้า ผโี พงเป็นตน้ การมองโลกผ่านความเช่อื เรอ่ื งผี ทาํ ใหม้ องเหน็
วธิ คี ดิ แนวจกั รวาลวทิ ยาของชาวไทย ว่า มผี ที ม่ี อี ํานาจมศี กั ดสิ ์ ูง อาศยั อย่บู นฟ้า รองลงมากอ็ าศยั ท่ี
พน้ื ดนิ พน้ื น้ํา และต่ําสุดอาศยั อยใู่ ตบ้ าดาล มเี สน้ แบง่ อาณาจกั รผอี ยา่ งเป็นระบบ

ความเชอ่ื เรอ่ื งผมี อี ทิ ธพิ ลทงั้ ดา้ นบวกและดา้ นลบ ใหท้ งั้ คุณและโทษ ชาวไทยเช่อื ว่าต้อง
ปฏบิ ตั บิ าํ รงุ ผใี หด้ ี หากสมั พนั ธก์ บั ผไี ม่ดี ชวี ติ จะเดอื ดรอ้ น ยคุ สุโขทยั ผปี ระจาํ เมอื งเรยี กว่า ผขี ะพุง
ดงั จารกึ ว่า “ในเมืองนี้ มีขะพงุ ผี...ถ้าไหว้ดี พลีถกู เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถกู ผี
ในเขาอนั บ่คุ้ม บ่เกรง เมืองนี้หาย” ต่อมา เม่อื นับถอื ศาสนาพราหมณ์ ผี รกั ษาประเทศไทย
ปจั จบุ นั กลายมาเป็น เทวดาอารกั ษ์ เรยี กวา่ “พระสยามเทวาธิราช” ประเพณีพายพั บางเผ่า ถ้าทาํ
ผดิ จารตี เรยี กว่า ผดิ ผี หรอื คนในครอบครวั เจบ็ ป่วยออดๆ แอดๆ กว็ ่า ผดิ ผปี ่ผู ตี า ตอ้ งเสยี ผี และ
ขอขมาผเี ป็นตน้ ทางศาสนาครสิ ต์ เรยี กผที ย่ี ง่ิ ใหญ่ทส่ี ุดของโลกว่า พระเจา้ (GOD) คนธรรมดามอง

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ไม่เหน็ พระเจา้ จะเหน็ ไดก้ เ็ ฉพาะผูเ้ ขา้ ถงึ พระองคเ์ ท่านัน้ ในศาสนาฮนิ ดู มหาเทพศวิ ะ มชี ่อื หน่ึงว่า
ภเู ตศวร หรอื ภตู บดี แปลว่า เจา้ นายผี หรอื ผปู้ กครองผี

ความเช่อื เรอ่ื งไสยศาสตร์ เป็นความเช่อื โดยทวั่ ไปของชนชาตไิ ทยแต่ก่อนมา เป็นความ
เชอ่ื เกย่ี วกบั อาํ นาจเวทมนต์ คาถา อาคม หรอื พลงั อํานาจศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องวตั ถุหรอื แรธ่ าตุกายสทิ ธิ ์ อนั
เป็นเคร่อื งรางของขลงั พบในวรรณคดเี ร่อื ง ‚ขุนชา้ งขุนแผน‛ หลายตอน เช่น ตอนทํากุมารทอง
ตอนสงคราม ตอนทําดาบฟ้าพน้ื เป็นตน้ หรอื ในวรรณคดเี ร่อื ง ‚ไกรทอง‛ ตอนจดุ เทยี นระเบดิ น้ํา
เพ่อื ปราบชาละวนั จระเขย้ กั ษ์ นอกจากน้ียงั มพี ธิ กี รรมเพอ่ื ความขลงั ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ เช่น การฝงั อาถรรพณ์
การเขยี นยนั ต์ตดิ ไวต้ ามบ้านเรอื นเพ่อื คุม้ ครองรกั ษา ปจั จุบนั กลายมาเป็นพธิ ปี ลุกเสกต่างๆ การ
เขยี นยนั ตห์ รอื ปิดยนั ตเ์ อาไว้ ทย่ี านพาหนะ เช่น รถยนต์ เรอื หรอื พาหนะอ่นื ๆ มคี นเล่าว่า ประเทศ
ญ่ปี ุ่นแม้เขาจะเจรญิ ด้วยวทิ ยาการสมยั ใหม่ มเี คร่อื งบนิ และการควบคุมระบบการบนิ ด้วยเคร่อื ง
คอมพวิ เตอร์ แต่ทน่ี งั่ นักบนิ ยงั ตดิ ยนั ต์‚ฮู‛้ เป็นภาษาญ่ปี นุ่ เอาไว้ แสดงว่าความเช่อื ไสยศาสตรย์ งั มี
อทิ ธพิ ลเหนอื จติ ใจชาวโลกอยไู่ มอ่ าจทง้ิ ไปได้

๒. ความเช่ือเมื่อนับถือพระพทุ ธศาสนา

ชาวไทยได้รับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติมานาน ก่อนน้ีนับถือ
พระพุทธศาสนานิกายมหายาน ต่อมาในสมยั พ่อขุนรามคําแหงมหาราช นับถอื นิกายเถรวาท ได้
นิมนต์พระสงฆ์จากเมอื งนครศรีธรรมราชมาเป็นประมุขสงฆ์ การพระพุทธศาสนาเจรญิ มาก
ชาวเมืองสุโขทัยนับถือศาสนากันอย่างเคร่งครัด ดังศิลาจารึกว่า ‚ชาวสุโขทัย มีศรัทธาใน
พระพุทธศาสนา มกั ทาํ ทาน โอยทาน ... ทรงศลี เมอ่ื พรรษาทกุ คน‛

พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผลและสตปิ ญั ญา มหี ลกั ปรชั ญาทส่ี อนใหป้ ฏบิ ตั ติ าม
ทางสายกลาง(มชั ฌมิ าปฏปิ ทา) ใหม้ เี มตตา มคี ุณธรรมต่อสงิ่ ต่างๆ ทเ่ี ป็นธรรมชาตริ อบตวั เมอ่ื ชาว
ไทยรบั เอาพระพุทธศาสนา ความเชอ่ื และสตปิ ญั ญาดจู ะลกึ ซง้ึ กว่าเดมิ รจู้ กั วางจดุ หมายอุดมคตชิ วี ติ
ทส่ี งู ส่งกว่าเดมิ มปี รชั ญาชวี ติ ทม่ี งุ่ ละกเิ ลสตณั หา ไมส่ งั่ สมกเิ ลส มแี ต่พอดี แสวงหาแต่สงิ่ ของเท่าท่ี
จาํ เป็นแก่ชวี ติ วถิ ชี วี ติ ของชาวไทยอาศยั หลกั ศาสนธรรมเป็นดุจประทปี ส่องทางนับแต่เกดิ จนกระทงั่
ตาย มอี ธั ยาศยั โอบออ้ มอารี เออ้ื เฟ้ือเกอ้ื กูลกนั ในสงั คม มธี รรมเนียมถอื ปฏบิ ตั วิ ่า ชายไทยตอ้ งบวช
เรยี น ศกึ ษาพระพุทธศาสนา เป็นสามเณร หรอื พระภกิ ษุ ฝึกหดั อบรมกล่อมเกลาอุปนิสยั ใหเ้ ป็นคน
ดี เมอ่ื สกึ ออกมาจงึ เรยี กว่า ‚บณั ฑติ ‛ หรอื ผรู้ ู้ แมค้ ราวหลงั คําว่า ‚บณั ฑติ ‛ จะกร่อนมาเป็น ‚ฑติ ‛
หรอื ‚ทดิ ‛ ตามเสยี งไทย(คาํ ว่า ทดิ มคี วามเหน็ หน่งึ ว่ามาจากคําว่า ‚ทชิ ะ‛ ทแ่ี ปลว่า เกดิ ๒ หน เกดิ
ครงั้ แรกจากครรภม์ ารดา เกดิ ครงั้ ท่ี ๒ โดยการบวช มพี ระอุปชั ฌายอ์ าจารยเ์ ป็นดุจบดิ ามารดา เม่อื
ผา่ นการบวชเรยี น เท่ากบั ไดเ้ กดิ ใหม่ เป็นคนใหม)่ ประเพณกี ารบวชเรยี น และบวชทดแทนพระคุณ
บุรพการยี งั คงสบื มาจนปจั จุบนั แมจ้ ะนบั ถอื ศาสนาพุทธเป็นหลกั แต่ชาวไทยกย็ งั คงผสมความเช่อื
เดิมของตน เข้าไปด้วย กลายเป็นพุทธศาสนาแบบไทย ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับ
พระพทุ ธศาสนามมี านาน ดงั พระราชวรมนุ กี ลา่ วว่า ‚ประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาตไิ ทยคอื ประวตั ศิ าสตร์
ของพระพุทธศาสนา‛

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๓. ความเชื่อของคนไทยสมยั ใหม่

ปจั จุบนั ประเทศไทยเปิดประเทศตดิ ต่อกบั นานาอารยประเทศในวงกว้าง ทําให้แนวคดิ
ทรรศนะคติ และค่านิยมทเ่ี คยมมี าแต่เดมิ เปลย่ี นแปลงไปมาก คนสมยั ใหมป่ ฏเิ สธศาสนา หาว่าเป็น
สงิ่ ทเ่ี ชย คร่าํ ครไึ ม่ทนั สมยั ขดั ขวางความเจรญิ ของประเทศ คุณค่าความงามดา้ นจติ ใจเป็นสง่ิ ท่ถี ูก
ละเลย กลายมานบั ถอื คุณค่าและความงามทางวตั ถุเสพบรโิ ภค มองความดที เ่ี ปลอื กนอก ผมู้ ฐี านะ
ทางเศรษฐกจิ ดี มอี ํานาจฐานะทางสงั คม ใชช้ วี ติ แบบตะวันตก ตามทนั กระแสโลกาภวิ ตั น์ คอื คนดี
มไิ ดน้ บั ถอื ความมคี ุณธรรมคอื ความดดี จุ แต่ก่อน ความคดิ น้เี ป็นอนั ตราย ส. ศวิ รกั ษ์ กล่าวว่า ‚คนรนุ่
ใหมย่ งั ไมค่ วรรบี ดว่ นปฏเิ สธอารยธรรมดงั้ เดมิ ของตน เมอ่ื ไมเ่ ขา้ ใจอารยธรรมดงั้ เดมิ กเ็ รม่ิ ดถู ูกอารย
ธรรมของตน อนั ตรายอยตู่ รงน้ี ยงิ่ มารบั อารยธรรมใหม่ตามสมยั นิยมและยงั ไมเ่ ขา้ ใจอารยธรรมใหม่
นนั้ อกี น้ีแหละคอื ความหายนะ‛ ตวั เร่งใหช้ าวไทยสมยั ใหม่มคี ่านิยม และความเช่อื เปลย่ี นแปลงไป
จากวถิ เี ดมิ กค็ อื การยอมรบั วฒั นธรรมตะวนั ตก ดว้ ยการตดิ ต่อกบั กลุ่มประเทศทางตะวนั ตก โดย
ชนชนั้ นําในสงั คมเป็นผเู้ รมิ่ รบั เอาวฒั นธรรมใหมม่ าปฏบิ ตั อิ ยา่ งน้อย กเ็ ป็นเวลาเกอื บรอ้ ยปี แบ่งเป็น
ระยะได้ ๔ ระยะ คอื

ระยะแรก ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ เป็นช่วงทว่ี ฒั นธรรมตะวนั ตกแผ่เขา้ มา นําเทคโนโลยแี ละ
ของแปลกใหม่เขา้ มา ชาวไทยสนใจ แต่ก็ยงั สงวนท่าท่ี เรยี กว่าระยะตงั้ หลกั ระยะท่ี ๒ เรยี กว่า
ระยะการเปลย่ี นแปลงขอบนอก ในสมยั รชั การท่ี ๔ เห็นว่าวชิ าการและเทคโนโลยตี ะวนั ตกหลาย
อย่าง เจรญิ กว่าดกี ว่าของไทย ก็ยงั คงรกั ษาสาระวฒั นธรรมส่วนใหญ่เอาไว้ แต่เหน็ ว่า อย่างไรก็
ต้านทานกระแสโลกตะวนั ตกมไิ ด้ จาํ เป็นตอ้ งปรบั ปรุงจารตี บางอย่างใหเ้ ป็นเชงิ วทิ ยาศาสตร์ ระยะ
ต่อมา เรยี กว่าระยะการเปล่ยี นแปลงสถาบนั หลกั เหน็ ไดช้ ดั ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ มกี ารเปลย่ี นแปลง
ระบบการบรหิ าราชการแผ่นดนิ จากจตุสดมภ์เป็นระบบกระทรวงทบวงกรมแบบตะวนั ตก และ
สุดท้าย ระยะการหาความสมดุล ในสมยั รัชกาลท่ี ๖ เป็นการปรับปรุงเพ่ือรกั ษาสมดุลของ
เอกลกั ษณ์ไทย ผสมกบั เทคโนโลยตี ะวนั ตก สรา้ งความคดิ ชาตนิ ิยมขน้ึ มา นับจากนนั้ มา สงั คมไทย
กไ็ ดเ้ รม่ิ เปลย่ี นแปลงค่านยิ มไป นบั แต่วฒั นธรรมการแต่งกาย การเคารพผใู้ หญ่ ศลิ ปกรรม ประเพณี
นิยม เป็นต้น โดยอ้างว่า เพ่อื ใหพ้ ฒั นาหรอื ใหท้ นั สมยั วธิ คี ดิ แบบตะวนั ตกได้ส่งผลกระทบต่อ วถิ ี
การดําเนินชวี ติ ความคดิ ความเช่อื ของชาวไทยเป็นอย่างมากทําให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงหลาย
ประการ คอื การเปล่ยี นแปลงทางการเมอื ง การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ การเปล่ยี นแปลงทาง
สงั คม การเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรม การเปล่ยี นแปลงทางการศกึ ษา และด้านส่อื และเทคโนโลยี
ยง่ิ ความเจรญิ ก้าวหน้าทางวิทยาการคอมพวิ เตอร์มบี ทบาทมากข้นึ เพียงใด ก็ส่งผลให้เกิดการ
เปลย่ี นแปลงมากมาย ขยายออกไปในวงกวา้ งยง่ิ ขน้ึ

ความจรงิ ทุกอย่างย่อมต้องเปล่ยี นแปลงไปตามสงิ่ แวดล้อม หรอื ตามกฎอนิจจงั การ
เปลย่ี นแปลงไปในทางท่ดี คี วรให้เกดิ ใหม้ ี แต่ต้องเปลย่ี นแปลงอย่างมสี ติ คนสมยั ใหม่ แมว้ ่าจะรกั
วทิ ยาการสมยั ใหม่ ชอบความเป็นประชาธปิ ไตย เป็นวตั ถุนิยมมากกว่าจติ นิยม กไ็ ม่ควรลมื ด้าน
พฒั นาคณุ ภาพจติ ใจใหเ้ จรญิ ประสานกลมกลนื กบั ความเจรญิ ทางวตั ถุ การปรบั ใหเ้ กดิ สมดุลระหว่าง


Click to View FlipBook Version