The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย Buddhism and Thai Culture

Keywords: พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย,Buddhism and Thai Culture

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

กายกบั จติ ควรหนั มาศกึ ษาคําสอนทางพระพุทธศาสนา ท่สี อนให้รูจ้ กั ความพอดี ใช้สอยแต่สงิ่ ท่ี
จาํ เป็นในชวี ติ เขา้ ใจโลกและชวี ติ อย่างมเี หตุผล หลกั ปรชั ญาชาวตะวนั ออกมงุ่ สอนใหค้ นเรยี นรเู้ พ่อื
จะอยู่และสมั พนั ธ์สอดคล้องกับธรรมชาติ มใิ ช่ให้เอาชนะธรรมชาติ อย่างท่ีชาวตะวนั ตกกําลงั
พยายามเอาชนะอยู่ จนก่อปญั หาแก่สภาพแวดล้อม สูญเสยี ระบบนิเวศ จนชาวโลกช่วยกนั หนั มา
เรยี กรอ้ งฟ้ืนฟูระบบนิเวศวทิ ยา คนื สภาพเดมิ แก่ธรรมชาตกิ นั อยา่ งปจั จุบนั

จากพฒั นาการดงั กล่าวเก่ียวกับความเช่ือของคนไทยนัน้ อาจกล่าวได้ว่ามอี ยู่ในทุก
ลกั ษณะ แต่ทถ่ี อื วา่ เป็นลกั ษณะทส่ี าํ คญั มดี งั ต่อไปน้ี

๑. ลกั ษณะแบบวิญญาณนิยม ความเช่อื แบบวญิ ญาณนิยมคอื เช่อื ถอื และเขา้ ใจว่า สงิ่
ทต่ี นนับถอื นัน้ มวี ญิ ญาณศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ สงิ สถติ ยอ์ ยู่ เช่น ดนิ น้ํา ลม ไฟ ต้นไมใ้ หญ่และภูเขาเป็นต้น
วญิ ญาณลกั ษณะน้ีสมมารถทจ่ี ะใหค้ ุณและโทษแก่มนุษยไ์ ด้ ลกั ษณะความเช่อื ถอื ชนิดน้ีฝงั แน่อยใู่ น
จติ ใจของคนไทยมาช้านานแล้วสนั นิษฐานว่าอาจเป็นความเช่อื ถือดงั้ เดมิ ของคนไทย หรอื ได้รบั
อทิ ธพิ ลมาจากศาสนาพราหมณ์ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการปฏบิ ตั หิ รอื การแสดงออกทค่ี นไทยจํานวนไม่
น้อยยงั เคารพบชู า จอมปลวก ตน้ ไมใ้ หญ่ หนิ เผา แมน่ ้ํา ลาํ ธาร พระอาทติ ย์ พระจนั ทร์ เป็นตน้

๒. ลักษณะแบบชะตานิ ยม คนไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนา และ
พระพุทธศาสนาจะสอนว่า สตั วโ์ ลกทงั้ หลายยอ่ มเป็นไปตามอํานาจของกรรม แต่กย็ งั มชี าวไทยทนี บั
ถอื พระพุทธสาสนามจี าํ นวนไมน่ ้อยทม่ี คี วามเช่อื ถอื ในลกั ษณะชะตานิยมคอื เช่อื ถอื ในเร่อื งโชคชะตา
ดงั จะเห็นได้จากคนไทยนิยมไปหาหมอดูให้ทํานายทายทกั โชคชะตาราศรี ให้รดน้ํามนต์สะเดาะ
เคราะห์ ผูกดวง ทรงเจ้าเป็นต้น คนทม่ี คี วามเช่อื ถอื ลกั ษณะชะตานิยมน้ีมตี งั้ แต่ผูไ้ ม่มกี ารศกึ ษาไป
จนถงึ ผมู้ กี ารศกึ ษาสงู

๓. ลกั ษณะแบบจิตนิยม คอื เช่อื ถอื ในความมอี ย่ขู องจติ หรอื วญิ ญาณว่าเป็นสงิ่ นิรนั ดร
สามารถดํารงอย่อู ย่างเป็นอสิ ระจากร่างกายได้ จะเหน็ ได้จากการแสดงออกในเร่อื งการเซ่นสงั เวย
ดวงวญิ ญาณบรรพบุรษุ การทาํ บญุ อุทศิ ส่วนกุศลใหผ้ ลู้ ่วงลบั ไปแลว้ เป็นตน้

๔. ลกั ษณะแบบธรรมชาตินิ ยม คอื หลกั คําสอนในทางพระพุทธศาสนาจะมหี ลกั เป็น
ธรรมชาตนิ ิยม ไดเ้ ช่อื ถอื ว่ามนุษยม์ สี ่วนสําคญั อยสู่ องส่วน คอื กายกบั จติ หรอื รูปกบั นาม ซง่ึ อยใู่ น
ลกั ษณะเป็นส่วนประกอบทม่ี าประชุมกนั เขา้ ดว้ ยตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของสง่ิ ทงั้ หลายไม่มี ดงั นนั้ จงึ ไมม่ จี ติ
ทเ่ี ป็นอมตะเหมอื นท่จี ติ นิยมเช่อื ตามทศั นะของพระพุทธศาสนา ตราบใดทย่ี งั กระทํากรรม จติ ก็จะ
เกดิ -ดบั อยเู่ ช่นน้ตี ลอดไป ตามอํานาจของกรรม ต่อไปเรอ่ื ยๆ ต่อเมอ่ื หมดกรรมจติ จะไมเ่ กดิ ขน้ึ อกี

๕. ลกั ษณะแบบกรรมนิยม ความเชอ่ื ถอื เรอ่ื งกรรม ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาพระพุทธศาสนาคํา
สอนเกย่ี วกบั เรอ่ื งกรรมทป่ี รากฏในพระสตู รมวี ่า ‚หญงิ ‛ ชาย คฤหสั ถ์ บรรพชติ ควรพจิ ารณาเน่ืองๆ
ว่าเรามกี รรมเป็นของตนเอง เป็นผูร้ บั ผลของกรรม มกี รรมเป็นกําเนิด มกี รรมเป็นเผ่าพนั ธุ์ มกี รรม
เป็นทพ่ี งึ อาศยั เราทาํ กรรมอนั ใดไว้ กต็ าม ชวั่ กต็ าม เราจะไดร้ บั ผลกรรมนนั้

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๖. ลกั ษณะแบบความเช่ือถือนรกสวรรค์ ความเช่อื ในเร่อื งนรกสวรรค์จะมีปรากฏ
แทรกอย่ใู นคําสอนของศาสนา ในคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาไดก้ ล่าวถงึ นรกสวรรคไ์ ว้
๓ ระดบั คอื นรกสวรรคใ์ นชาตหิ น้า หมายถงึ นรกสวรรคห์ ลงั จากชาตนิ ้ีไปแลว้ คอื ถา้ เขาทํากรรมดไี ว้
เม่อื ตายไปก็จะได้ไปเกดิ ในสวรรค์ เม่อื เขาทําชวั่ ไปตกนรกนรกสวรรค์ ทม่ี อี ยู่ในใจของเราซ่งึ เป็น
เรอ่ื งของชวี ติ ในชาตนิ ้ี และนรกสวรรคใ์ นชาตหิ น้ากส็ บื เน่ืองไปจากชาตนิ ้ี เพราะขน้ึ อย่กู บั สภาพของ
จติ ระดบั จติ ของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายมนั ก็จะอยู่ในระดบั นัน้ กล่าวคอื ถ้าเราทํากรรมชวั่ เรารูส้ กึ
เดอื กรอ้ นใจ กงั วลใจเป็นทุกขก์ เ็ ป็นสภาพจติ ทเ่ี ป็นนรก ตายไปกต็ กนรก ถา้ เราทาํ กรรมดกี เ็ กดิ ความ
ปราโมทยม์ คี วามสุข จติ อยใู่ นระดบั สวรรค์ ตายไปกไ็ ปเกดิ ทส่ี วรรค์ เป็นตน้ นรกสวรรคท์ เ่ี ราปรงุ แต่ง
ของเราเองตลอดเวลาในชวี ติ ประจาํ วนั ตราบใดทเ่ี รายงั ไม่เขา้ ใจสจั ธรรมหรอื บรรลุสจั ธรรม เรากย็ งั
ปรุงแต่งสรา้ งนรกสวรรคก์ นั อย่ตู ลอดเวลาดว้ ยอายตนะของเราเอง คอื ทางตา ทางหู ทางจมกู ทาง
ลน้ิ ทางกายและพอใจ ทเ่ี รารบั จาก รปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั และธรรมชาตทิ เ่ี ราชอบใจพอใจเรากม็ ี
ความสุข ถา้ เราไมช่ อบไมพ่ อใจกเ็ ป็นทุกข์ นรกสวรรคก์ เ็ กดิ ขน้ึ กบั เราเอง๗

ศาสนาประจาชาติ ส่วนมากนับถอื พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน รวมทงั้ นับถอื ศาสนา
เดมิ ทน่ี บั ถอื บรรพบุรษุ

การศึกษา ชนชาตไิ ทยในสมยั น่านเจา้ มภี าษาใชป้ ระจาํ ชาตโิ ดยเฉพาะแลว้ แต่เรอ่ื งของ
ตวั หนงั สอื เรายงั ไม่สามารถทราบไดว้ ่ามใี ชห้ รอื ยงั

ชนชาติต่างๆ ในแหลมสุวรรณภมู ิก่อนท่ีไทยจะอพยพมาอยู่ ชนชาตดิ งั้ เดมิ และมี
ความเจรญิ น้อยทส่ี ุดกค็ อื พวก นิโกรอดิ (Negroid) ซง่ึ เป็นบรรพบุรษุ ของ พวกเงาะ เช่น เซมงั ซาไก
(Sakai) ปจั จบุ นั ชนชาตเิ หลา่ น้ีมเี หลอื อยนู่ ้อยเตม็ ที แถวปกั ษ์ใตอ้ าจมเี หลอื อยบู่ า้ ง ในเวลาต่อมาชน
ชาตทิ ม่ี อี ารยธรรมสงู กวา่ เช่น มอญ ขอม ละวา้ ไดเ้ ขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐาน

ขอม มถี น่ิ ฐานทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงใตข้ องแหลมสุวรรณภมู ใิ นบรเิ วณแม่น้ําโขงตอนใต้
และทะเลสาบเขมร

ลาวหรือละว้า มถี นิ่ ฐานอย่บู รเิ วณลุ่มแม่น้ําเจา้ พระยา เป็นดนิ แดนตอนกลางระหว่าง
ขอมและมอญ

มอญ มถี น่ิ ฐานอยบู่ รเิ วณลุ่มแม่น้ําสาละวนิ และแม่น้ําอริ วดี ทงั้ สามชาตนิ ้ีมคี วามละมา้ ย
คล้ายคลงึ กนั มาก ตงั้ แต่รปู ร่าง หน้าตา ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณสี นั นิษฐานไดว้ ่า น่าจะ
เป็นชนชาตเิ ดยี วกนั มาแต่เดมิ

อาณาจกั รละว้า เม่อื ประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ ชนชาตลิ ะวา้ ซง่ึ เขา้ ครอบครองถน่ิ เจา้ พระยา
ไดต้ งั้ อาณาจกั รใหญ่ขน้ึ สามอาณาจกั รคอื อาณาจกั รทวาราวดี มอี าณาเขตประมาณตงั้ แต่ราชบุรี ถงึ
พษิ ณุโลก มนี ครปฐมเป็นเมอื งหลวงอาณาจกั รโยนกหรอื ยาง เป็นอาณาจกั รทางเหนือในเขตพ้นื ท่ี

๗ ปญั ญา นามสง่า, ปรชั ญาไทย, หน้า ๑๘.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เชยี งราย และเชยี งแสน มเี งนิ ยางเป็นเมอื งหลวงอาณาจกั รโคตรบรู ณ์ มอี าณาเขตตงั้ แต่นครราชสมี า
ถงึ อุดรธานี มนี ครพนมเป็นเมอื งหลวง

อารยธรรมที่นามาเผยแพร่ แหลมสุวรรณภูมไิ ด้เป็นศูนย์กลางการค้าของจนี และ
อนิ เดยี มาเป็นเวลาช้านาน จนกลายเป็นดนิ แดนแห่งอารยธรรมผสม ดว้ ยความอุดมสมบูรณ์ของ
บรเิ วณน้ี เป็นเหตุดงึ ดดู ใหช้ าวต่างชาตเิ ขา้ มาอาศยั และตดิ ต่อคา้ ขาย นับตงั้ แต่ พ.ศ. ๓๐๐ เป็นต้น
มา ได้มชี าวอนิ เดยี มาอย่ใู นดนิ แดนสุวรรณภูมเิ ป็นจํานวนมากขน้ึ ตามลําดบั รวมทงั้ พวกท่หี นีภยั
สงครามทางอนิ เดยี ตอนใต้ซง่ึ พระเจา้ อโศกมหาราช กษตั รยิ แ์ ห่งแควน้ โกศลไดก้ รฑี าทพั ไปตแี คว้น
กลงิ คราฎร์ ชาวพน้ื เมอื งอนิ เดยี ตอนใตจ้ งึ อพยพเขา้ มาอย่ทู พ่ี มา่ ตลอดถงึ พน้ื ทท่ี วั่ ไปในแหลมมลายู
และอนิ โดจนี อาศยั ทพ่ี วกเหลา่ น้มี คี วามเจรญิ อยแู่ ลว้ จงึ ไดน้ ําเอาวชิ าความรแู้ ละความเจรญิ ต่างๆ มา
เผยแพร่ คอื

ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาซ่งึ เหมาะสมในทางอบรมจติ ใจ ให้ความสว่างกระจ่างใน
เรอ่ื งบาป บุญ คณุ โทษ สนั นิษฐานว่าพุทธศาสนาเขา้ มาเผยแผ่เป็นครงั้ แรกโดยพระโสณะ และพระ
อุตระ ในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราชแหง่ อนิ เดยี

ศาสนาพราหมณ์ มคี วามเหมาะสมในดา้ นการปกครอง ซง่ึ ต้องการความศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ และ
เดด็ ขาด ศาสนาน้สี อนใหเ้ คารพในเทพเจา้ ทงั้ สามคอื พระอศิ วร พระพรหม และพระนารายณ์

นิ ติศาสตร์ ได้แก่การปกครอง ได้วางแผนการปกครองหวั เมอื งตลอดจนการตงั้ มงคล
นาม ถวายแก่พระมหากษตั รยิ ์ และตงั้ ช่อื เมอื ง

อักษรศาสตร์ พวกอินเดียตอนใต้ได้นําเอาตัวอักษรคฤณฑ์เข้ามาเผยแพร่ ต่อมา
ภายหลงั ได้ดดั แปลงเป็นอักษรขอม และอักษรมอญ พ่อขุนรามคําแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์
อกั ษรไทย โดยดดั แปลงจากอกั ษรขอม เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๘๒๓

ศิลปศาสตร์ ไดแ้ ก่ฝีมอื ในการก่อสรา้ ง แกะสลกั ก่อพระสถูปเจดยี ์ และหลอ่ พระพุทธรปู

การแผ่อานาจของขอมและพม่า ประมาณปี พ.ศ. ๖๐๑ โกณฑญั ญะ ซ่ึงเป็นชาว
อนิ เดยี ไดส้ มรสกบั นางพญาขอม และต่อมาได้ขน้ึ เป็นกษตั รยิ ์ ครอบครองดนิ แดนของนางพญาขอม
จัดการปกครองบ้านเมืองด้วยความเรียบร้อย ทํานุบํารุงกิจการทหาร ทําให้ขอมเจริญข้ึน
ตามลาํ ดบั มอี าณาเขตแผข่ ยายออกไปมากขน้ึ ในทส่ี ดุ กไ็ ดย้ กกําลงั ไปตอี าณาจกั รโคตรบูรณ์ ซง่ึ เป็น
อาณาจกั รทอ่ี ยทู่ างเหนือของละวา้ ไวไ้ ด้ แลว้ ถอื โอกาสเขา้ ตอี าณาจกั รทวาราวดี ต่อมาเม่อื ประมาณ
ปี พ.ศ. ๑๖๐๐ กษตั รยิ พ์ ม่าผู้มคี วามสามารถองค์หน่ึงคอื พระเจา้ อโนธรามงั ช่อ ไดย้ กกองทพั มาตี
อาณาจกั รมอญ เมอ่ื ตอี าณาจกั รมอญไวใ้ นอํานาจได้ แลว้ กย็ กทพั ล่วงเลยเขา้ มาตอี าณาจกั รทวาราว
ดแี ละมอี าํ นาจครอบครองตลอดไปทงั้ สองฝงั่ แม่น้ําเจา้ พระยา อํานาจของขอมกส็ ญู สน้ิ ไป แต่เมอ่ื สน้ิ
สมยั พระเจา้ อโนธรามงั ช่อ อํานาจของพม่าในลุ่มน้ําเจ้าพระยา ก็พลอยเส่อื มโทรมดบั สูญไปด้วย
เพราะกษตั รยิ พ์ ม่าสมยั หลงั เส่อื มความสามารถ และมกั แย่งชงิ อํานาจซ่งึ กนั และกนั เปิดโอกาสให้
แว่นแคว้นต่างๆ ท่เี คยเป็นเมอื งขน้ึ ตงั้ ตวั เป็นอิสระได้อีก ในระหว่างน้ี พวกไทยจากน่านเจา้ ได้

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

อพยพเขา้ มาอย่ใู นดนิ แดนสุวรรณภูมเิ ป็นจาํ นวนมากขน้ึ เม่อื พม่าเส่อื มอํานาจลง คนไทยเหล่าน้ีก็
เรมิ่ จดั การปกครองกนั เองในลุ่มน้ําเจา้ พระยา ฝ่ายขอมนนั้ เมอ่ื เหน็ พม่าทอดทง้ิ แดนละวา้ เสยี แลว้ ก็
หวลกลบั มาจดั การปกครองในลมุ่ แมน่ ้ําเจา้ พระยาอกี วาระหน่งึ โดยอา้ งสทิ ธแิ ห่งการเป็นเจา้ ของเดมิ

อย่างไรก็ตามอํานาจของขอมในเวลานัน้ ก็ซวดเซลงมากแล้ว แต่เน่ืองจากชาวไทยท่ี
อพยพเขา้ มาอยยู่ งั ไมม่ อี ํานาจเตม็ ท่ี ขอมจงึ บงั คบั ใหช้ าวไทยส่งส่วยใหข้ อม พวกคนไทยทอ่ี ย่ใู นเขต
ลุ่มแม่น้ําเจา้ พระยาตอนใต้ ไม่กลา้ ขดั ขนื ยอมส่งส่วยใหแ้ ก่ขอมโดยดี จงึ ทําให้ขอมได้ใจ และเรมิ่
ขยายอํานาจข้นึ ไปทางเหนือ ในการน้ีเข้าใจว่าบางครงั้ อาจต้องใช้กําลงั กองทพั เข้าปราบปราม
บรรดาเมอื งท่ขี ดั ขนื ไม่ยอมส่งส่วย ขอมจงึ สามารถแผ่อํานาจข้นึ ไปจนถงึ แคว้นโยนก ส่วนแคว้น
โยนกนนั้ ถอื ตนว่าไมเ่ คยเป็นเมอื งขน้ึ ของขอมมาก่อน จงึ ไมย่ อมส่งส่วยใหต้ ามทข่ี อมบงั คบั ขอมจงึ
ใช้กําลงั เขา้ ปราบปรามนครโยนกได้สําเรจ็ พระเจา้ พงั คราช กษตั รยิ แ์ ห่งโยนกลําดบั ท่ี ๔๓ ได้ถูก
เนรเทศไปอยทู่ เ่ี มอื งเวยี งสที อง

พระเจา้ พงั คราช กษตั รยิ แ์ ห่งโยนกลาํ ดบั ท่ี ๔๓ ทรงชา้ ง๘

แคว้นโยนกเชียงแสน (พ.ศ. ๑๖๖๑–๑๗๓๑) ดงั ได้ทราบแล้วว่าโอรสของพระเจ้า
พลี อ่ โก๊ะ องคห์ น่ึง ช่อื พระเจา้ สงิ หนวตั ิ ไดม้ าสรา้ งเมอื งใหมข่ น้ึ ทางใต้ ช่อื เมอื งโยนกนาคนคร เมอื ง
ดงั กล่าวน้ีอย่ใู นเขตละวา้ หรอื ในแควน้ โยนก เม่อื ประมาณปี พ.ศ. ๑๑๑๑ เป็นเมอื งทส่ี ง่างามของ
ยา่ นนนั้ ในเวลาต่อมากไ็ ดร้ วบรวมเมอื งท่อี ่อนน้อมตงั้ ขน้ึ เป็นแควน้ ช่อื โยนกเชยี งแสน มอี าณาเขต
ทางทิศเหนือตลอดสบิ สองปนั นา ทางใต้จดแคว้นหรภิ ุญชยั มกี ษตั รยิ ส์ บื เช้อื สายต่อเน่ืองกนั มา
จนถงึ สมยั พระเจา้ พงั คราชจงึ ไดเ้ สยี ทแี ก่ขอมดงั กล่าวแลว้

อยา่ งไรก็ตาม พระเจา้ พงั คราชตกอบั อย่ไู ม่นานนัก กก็ ลบั เป็นเอกราชอกี ครัง้ หน่ึง ดว้ ย
พระปรชี าสามารถของพระโอรสองค์น้อย คอื พระเจา้ พรหม ซง่ึ มอี ุปนิสยั เป็นนักรบและมคี วามกลา้
หาญ ไดส้ รา้ งสมกําลงั ผคู้ น ฝึกหดั ทหารจนชํานิชํานาญ แลว้ คดิ ต่อสกู้ บั ขอม ไมย่ อมส่งส่วยใหข้ อม
เมอ่ื ขอมยกกองทพั มาปราบปราม กต็ กี องทพั ขอมแตกพ่ายกลบั ไป และยงั ไดแ้ ผ่อาณาเขตเลยเขา้ มา
ในดนิ แดนขอม ไดถ้ งึ เมอื งเชลยี ง และตลอดถงึ ลานนา ลานชา้ ง แล้วอญั เชญิ พระราชบดิ า กลบั ไป

๘ ประวตั ศิ าสตรก์ อ่ นสุโขทยั , [ออนไลน์], แหลง่ ขอ้ มลู : https://th.wikibooks.org/wik [๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙]

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ครองโยนกนาคนครเดมิ แลว้ เปลย่ี นช่อื เมอื งเสยี ใหม่ว่าชยั บุรี ส่วนพระองคเ์ องนนั้ ลงมาสรา้ งเมอื ง
ใหม่ทางใตช้ ่อื เมอื งชยั ปราการใหพ้ ระเชษฐาคอื เจา้ ทุกขติ ราช ดาํ รงตําแหน่งอุปราช นอกจากนนั้ ก็
สรา้ งเมอื งอ่นื ๆ เช่น เมอื งชยั นารายณ์ นครพางคาํ ใหเ้ จา้ นายองคอ์ ่นื ๆ ปกครองเมอ่ื สน้ิ รชั สมยั พระ
เจา้ พงั คราช พระเจา้ ทุกขติ ราช กไ็ ดข้ ้นึ ครองเมอื งชยั บุรี ส่วนพระเจา้ พรหม และโอรสของพระองคก์ ็
ไดค้ รองเมอื งชยั ปราการต่อมา ในสมยั นนั้ ขอมกําลงั เส่อื มอํานาจ จงึ มไิ ดย้ กกําลงั มาปราบปราม ฝา่ ย
ไทยนนั้ แมก้ าํ ลงั เป็นฝา่ ยไดเ้ ปรยี บ แต่กค็ งยงั ไมม่ กี ําลงั มากพอทจ่ี ะแผ่ขยาย อาณาเขตลงมาทางใต้
อกี ได้

ดังนั้น อาณาเขตของไทยและขอมจึงประชิดกันเฉยอยู่ เม่ือส้ินรัชสมัยพระเจ้า
พรหม กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอและหย่อนความสามารถ ซ่ึงมิใช่แต่ท่ีนครชัยปราการ
เท่านัน้ ความเส่อื มได้เป็นไปอย่างทวั่ ถึงกนั ยงั นครอ่นื ๆ เช่น ชยั บุรี ชยั นารายณ์ และนครพางคํา
ดงั นัน้ ในปี พ.ศ. ๑๗๓๑ เม่อื มอญกรฑี าทพั ใหญ่มารุกรานอาณาจกั รขอมไดช้ ยั ชนะแลว้ ก็ล่วงเลย
เขา้ มารุกรานอาณาจกั รไทยเชยี งแสน ขณะนัน้ โอรสของพระเจา้ พรหม คอื พระเจา้ ชยั ศริ ิ ปกครอง
เมอื งชยั ปราการ ไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จงึ จําเป็นต้องเผาเมอื ง เพ่อื มใิ ห้พวกขา้ ศึกเข้า
อาศยั แล้วพากนั อพยพลงมาทางใต้ของดนิ แดนสุวรรณภูมิ จนกระทงั่ มาถึงเมอื งรา้ งแห่งหน่ึงใน
แขวงเมอื งกําแพงเพชร ชอ่ื เมอื งแปป ไดอ้ าศยั อยทู่ เ่ี มอื งแปปอยหู่ ว้ งระยะเวลาหน่ึง เหน็ ว่าชยั ภูมไิ ม่
สเู้ หมาะ เพราะอย่ใู กลข้ อม จงึ ไดอ้ พยพลงมาทางใต้จนถงึ เมอื งนครปฐมจงึ ได้พกั อาศยั อยู่ ณ ทน่ี ัน้
ส่วนกองทพั มอญ หลงั จากรุกรานเมอื งชยั ปราการแล้ว ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมอื งอ่นื ๆ ใน
แควน้ โยนกเชยี งแสน จงึ ทําใหพ้ ระญาตขิ องพระเจา้ ชยั ศริ ิ ซ่งึ ครองเมอื งชยั บุรี ต้องอพยพหลบหนี
ขา้ ศึกเช่นกนั ปรากฏว่าเมอื งชยั บุรนี ัน้ เกดิ น้ําท่วม บรรดาเมอื งในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทําลายลง
หมดแล้ว พวกมอญเหน็ ว่าหากเข้าไปตงั้ อย่กู อ็ าจเสยี แรง เสยี เวลาและทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองเพ่อื ทจ่ี ะ
สถาปนาข้นึ มาใหม่ ดังนัน้ พวกมอญจึงยกกองทพั กลบั เป็นเหตุให้แว่นแคว้นน้ีว่างเปล่า ขาด
ผปู้ กครองอยหู่ ว้ งระยะเวลาหน่ึงในระหว่างทฝ่ี ่ายไทย กําลงั ระส่าํ ระสายอยนู่ ้ี เป็นโอกาสใหข้ อมซง่ึ มี
ราชธานีอุปราชอย่ทู ่เี มอื งละโว้ ถอื สทิ ธเิ ์ ขา้ ครองแควน้ โยนก แล้วบงั คบั ใหค้ นไทยทต่ี กคา้ งอยนู่ นั้ ให้
สง่ สว่ ยใหแ้ ก่ขอม ความพนิ าศของแควน้ โยนกครงั้ น้ี ทาํ ใหช้ าวไทยตอ้ งอพยพแยกยา้ ยกนั ลงมาเป็น
สองสายคอื สายของพระเจา้ ชยั ศริ ิ อพยพลงมาทางใต้ และได้อาศยั อย่ชู วั่ คราวท่เี มอื งแปปดงั กล่าว
แลว้ สว่ นสายพวกชยั บุรไี ดแ้ ยกออกไปทางตะวนั ออกของสุโขทยั จนมาถงึ เมอื งนครไทยจงึ ไดเ้ ขา้ ไป
ตงั้ อยู่ ณ เมอื งนนั้ ดว้ ยเหน็ ว่าเป็นเมอื งทม่ี ชี ยั ภมู เิ หมาะสม เพราะเป็นเมอื งใหญ่และตงั้ อย่สู ุดเขตของ
ขอมทางเหนือ ผคู้ นในเมอื งนนั้ ส่วนใหญ่กเ็ ป็นชาวไทย อยา่ งไรกต็ ามในชนั้ แรกท่เี ขา้ มาตัง้ อย่นู นั้ ก็
คงต้องยอมขน้ึ อย่กู บั ขอมซง่ึ ขณะนัน้ ยงั มอี ํานาจอยใู่ นเวลาต่อมา เม่อื คนไทยอพยพลงมาจากน่าน
เจา้ เป็นจาํ นวนมาก ทาํ ให้นครไทยมกี ําลงั ผคู้ นมากขน้ึ ขา้ งฝา่ ยอาณาจกั รลานนาหรอื โยนกนัน้ เม่อื
พระเจา้ ชยั ศริ ทิ ง้ิ เมอื งลงมาทางใต้ แลว้ กเ็ ป็นเหตุใหด้ นิ แดนแถบนนั้ ว่างผู้ปกครองอยรู่ ะยะหน่ึง แต่ใน
ระยะต่อมาชาวไทยทค่ี ้างการอพยพ อย่ใู นเขตนัน้ กไ็ ดร้ วมตวั กนั ตงั้ เป็นบา้ นเมอื งขน้ึ หลายแห่งตงั้
เป็นอสิ ระแก่กนั บรรดาหวั เมอื งต่างๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในครงั้ นัน้ ทน่ี ับว่าสําคญั มอี ย่สู ามเมอื งดว้ ยกนั คอื
นครเงนิ ยาง อยทู่ างเหนือนครพะเยา อย่ตู อนกลาง และเมอื งหรภิ ุญไชย อยลู่ งมาทางใต้ ส่วนเมอื ง

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

นครไทยนัน้ ดว้ ยเหตุทว่ี ่ามที ต่ี งั้ อย่ปู ลายทางการอพยพ และอาศยั ทม่ี รี าชวงศ์เชอ้ื สายโยนกอพยพ
มาอย่ทู ่เี มอื งน้ี จงึ เป็นทน่ี ิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอ่นื จงึ ไดร้ บั ยกย่องขน้ึ เป็นพ่อเมอื ง ท่ตี งั้ ของ
เมอื งนครไทยนัน้ สนั นิษฐานว่าน่าจะเป็นเมอื งเดยี วกนั กบั เมอื งบางยางซง่ึ เป็นเมอื งใหญ่ มเี มอื งขน้ึ
และเจา้ เมอื งมฐี านะเป็นพ่อขุนเม่อื บรรดาชาวไทย เกดิ ความคดิ ทจ่ี ะสลดั แอกของขอมครงั้ น้ี บุคคล
สาํ คญั ในการน้กี ค็ อื พอ่ ขนุ บางกลางทา่ ว ซงึ่ เป็นเจา้ เมอื งบางยาง และพ่อขุนผาเมอื ง เจา้ เมอื งราด ได้
รว่ มกําลงั กนั ยกขน้ึ ไปโจมตขี อม จนไดเ้ มอื งสุโขทยั อนั เป็นเมอื งหน้าด่านของขอมไวไ้ ด้ เม่อื ปี พ.ศ.
๑๘๐๐ การมชี ยั ชนะของฝ่ายไทยในครงั้ นัน้ นับว่าเป็นนิมติ หมายเบอ้ื งต้น แห่งความเจรญิ รุ่งเรอื ง
ของชนชาตไิ ทย และเป็นลางรา้ ยแห่งความเสอ่ื มโทรมของขอม เพราะนบั แต่วาระนนั้ เป็นต้นมา ขอม
กเ็ ส่อื มอํานาจลงทุกที จนในทส่ี ุดกส็ น้ิ อํานาจไปจากดนิ แดนละวา้ แต่ยงั คงมอี ํานาจปกครองเหนือลุ่ม
น้ําเจา้ พระยาตอนใตอ้ ยู่

๒.๔ แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงของสงั คมไทย

หลกั แนวความคดิ หรอื หลกั ปรชั ญาของไทยตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั ท่ที ําใหส้ งั คมไทย
เปลย่ี นแปลงเกดิ จากอทิ ธพิ ลหลายประการพอสรปุ ไดด้ งั น้ี

๑. สภาพสิ่งแวดล้อมทางภมู ิศาสตร์ มนุษยอ์ าจมแี นวความคดิ หรอื หลกั ความเช่อื
แตกต่างกนั ตามสภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตร์ เช่นกลุ่มชนทม่ี ภี มู ลิ ําเนาอยู่ แถบท่รี าบสงู หรอื ภูเขา
มกั จะมคี วามเช่อื มในสงิ่ ท่เี หนือธรรมชาตแิ ละเช่อื ในเร่อื งภูตผปี ีศาจ ใชช้ วี ติ ทางไสยศาสตรใ์ นการ
แกป้ ญั หาชวี ติ เมอ่ื มกี ารอพยพไปอาศยั อยถู่ นิ่ อ่นื กไ็ ดร้ บั อทิ ธพิ ลความเชอ่ื จากเขา้ ของถนิ่ เป็นตน้

๒. มรดกทางวฒั นธรรมดงั้ เดิม ยงั มแี นวความคดิ ของคนไทยอกี ส่วนหน่ึง เป็นแบบ
ความคิดดงั้ เดิมได้แก่ ความรกั เสรีภาพความรกั สงบ ความรกั ในสายเลือดหรือพวกพ้อง และ
ความคดิ เกย่ี วกบั การดาํ เนนิ ชวี ติ ซง่ึ ไดถ้ กู ถ่ายถอดมาไดร้ กั ษาไวจ้ นถงึ ปจั จบุ นั

๓. อิทธิพลอารยธรรมของจีน อนั เน่ืองมาจากชนชาตไิ ทยเคยอย่อู าศยั ในดินแดนท่ี
เป็นประเทศจนี ในปจั จุบนั และจนี ไดแ้ ทรกแซงทางสงั คม ทําใหเ้ กดิ ทงั้ ความกลมกลนื และขดั แยง้ มี
การยอมรบั วฒั นธรรมของกนั และกนั แต่ยงั มกี ารขดั แยง้ กนั ดา้ นการปกครองและการประกอบอาชพี
เป็นต้น ทําให้คนไทยบางกลุ่มทนไม่ไดต้ ้องถอยร่นลงมา ในสมยั ต่อมาคนจนี ไดอ้ พยพเขา้ มาตงั้ ถนิ่
ฐานอยใู่ นประทศไทยและมกี ารผสมกลมกลนื ทางดา้ นวฒั นธรรมกนั ยงิ่ ขน้ึ

๔. อิทธิพลอารยธรรมอินเดีย เน่ืองด้วยพระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่ในดนิ แดน
สุวรรณภูมิ และขณะท่ไี ทยอยู่ทางตอนใต้ของจนี ก็ได้นับถอื พระพุทะศาสนาอยู่แล้วดว้ ยเหตุน้ีคติ
ธรรม ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ ผสมกลมกลนื กบั วฒั นธรรมไทยดงั้ เดมิ

๕. อิทธิพลอารยธรรมขอม เน่ืองจากขอมเป็นผู้มอี ิทธพิ ลและเป็นเจา้ ของถิ่นเดมิ ใน
ดนิ แดนแถบน้ีมาก่อน จงึ มกี ารผสมกลมกลนื ทางวฒั นธรรม ภาษา การปกครองและพธิ กี รรมต่างๆ
ของคนไทย เป็นตน้

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๖. อิทธิพลอารยธรรมของชาติตะวนั ตก ไทยไดร้ บั อารยธรรมของชาตติ ะวนั ตกตงั้ แต่
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นตน้ มา สมยั ต่อมาคนไทยไดไ้ ปศกึ ษาในประเทศตะวนั ตก และในขณะเดียวกนั
คนชาตติ ะวนั ตกกไ็ ดเ้ ขา้ มามอี ทิ ธพิ ลในประเทศไทยมากขน้ึ การยอมรบั ความคดิ ทางตะวนั ตกกม็ มี าก
ขน้ึ ทาํ ใหส้ งั คมของไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงมากขน้ึ เป็นเงาตามตวั ๙

อาศยั อทิ ธพิ ลดงั กล่าวเป็นสาเหตุสาํ คญั ท่ีผลกั ดนั ใหเ้ กดิ แนวความคดิ แบบไทยซง่ึ มกี าร
พฒั นามาตามลาํ ดบั ตงั้ อดตี จนถงึ ปจั จุบนั ปรชั ญาไทยหรอื หลกั ความเช่อื แบบไทยจงึ ไดเ้ กดิ ขน้ึ จาก
การผสมกลมกลนื ระหว่างแนวความคดิ ของไทยแท้ๆ กบั แนวความคดิ ของชาตอิ ่นื ๆ จากการผสม
กลมกลนื ในแนวความคดิ ดงั กลา่ วปรชั ญาไทยหรอื หลกั ความเช่อื แบบไทยจงึ ไม่ยดึ หลกั สุดโด่ง คอื ไม่
นยิ มขวาสดุ ไมน่ ิยมซา้ ยสุด แต่จะอยรู่ ะหว่างกลาง คอื เป็นแบบจติ นยิ มผสมกบั สสารนิยม พฤตกิ รรม
ของคนไทยทแ่ี สดงออกไมว่ ่าจะเป็นส่วนบคุ คล สงั คม และการเมอื งเป็นต้น จะเป็นไปในลกั ษณะเป็น
กลางๆ ทงั้ ส้นิ ข้อน้ีเป็นหลกั การอนั สําคญั ท่คี วรคํานึงถึงในพฒั นาการทางแนวความคดิ แบบไทย
หรอื ปรชั ญาไทยในโอกาสต่อไป

สรปุ ท้ายบท

ถน่ิ กําเนดิ ชาวไทย จากทก่ี ลา่ วมาสามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี คอื

๑. คนไทยอพยพมาจากบรเิ วณเทอื กเขาอลั ไต เจา้ ของความคดิ คอื วลิ เลยี มส์ ครฟิ ตนั ด็
อด(Williams Clifton Dodd) หมอสอนศาสนาชาวอเมรกิ นั กล่าวไวใ้ นหนังสอื The Tai Race : The
elder Brother of Chinese เม่อื ปี ๒๔๒๕ หลงั การไปสาํ รวจจากดนิ แดนไทย ถงึ ตอนใต้ของจนี
ออกไปถงึ กวางตุง้ ระบุว่าเชอ้ื ชาตไิ ทย เป็นเชอ้ื สายมองโกล เก่าแก่กว่า ฮบิ รู และจนี เรยี กว่า อ้าย
ลาว หรอื ตา้ มงุ คาํ ว่า ต้า ในภาษากวางตุ้งเรยี กว่า ไต แปลว่าใหญ่ จงึ ระบุว่าถน่ิ กําเนิดไทยท่อี ลั ไต
(อลั = อะเลอ แปลว่าดนิ แดน ไต คอื ไท) จากประเทศมองโกเลยี แลว้ เคล่อื นยา้ ยเขา้ จนี และร่นลง
มาทางใตเ้ รอ่ื ยๆ จนถงึ คาบสมทุ รอนิ โดจนี

กลุ่มน้ีมคี นสบื สอดหลายคน เช่น W.A.R .WOOD ใน ‚A History of Siam.‛ (๒๔๖๗)
ขุนวจิ ติ รมาตรา (สง่า กาญจนพนั ธ)์ ใน ‚หลกั ไทย‛ (๒๔๓๗) และหลวงโกษากรวจิ ารณ์ (บุญศรี
ประภาศริ )ิ นักคน้ ควา้ ผเู้ ชย่ี วชาญภาษาจนี และภาษาองั กฤษ ในงาน วเิ คราะหเ์ รอ่ื งเมอื งไทเดมิ
(๒๔๗๘)

๒. มถี น่ิ กาํ เนิดอยทู่ บ่ี รเิ วณมณฑลเสฉวน แนวคดิ น้ี ยอ้ นลงทางใตข้ องอลั ไต มาทจ่ี นี ตอน
ใต้ คอื มณฑลเสฉวน ยนื ยนั โดย Terrien de la Couperiee ใน หนงั สอื The Cadle of The Shan
Race Amongst the Shans(พ.ศ. ๒๔๒๘) คน้ ควา้ จากหลกั ฐานจนี ไดค้ วามว่าในประวตั ศิ าสตรจ์ นี
เป็นรายงานสาํ รวจภมู ปิ ระเทศจนี สมยั พระเจา้ ยู้ กล่าวถงึ ชนชาตไิ ทยไวห้ น่อยหน่ึงว่า มชี นชาตหิ น่ึง
ซง่ึ มใิ ช่ชาวจนี อยทู่ างตอนใตข้ องแมน่ ้ําแยงซเี กยี งซง่ึ จนี เรยี กวา่ ‚คนเถ่อื น‛ ชนชาตนิ ้ีต่อมาเป็นบรรพ

๙ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๒๒-๒๓.

บทท่ี ๒ “ภมู ิหลงั ความเป็นมาของชนชาติไทย” หน้า ๔๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

บุรษุ ของลาวและฉาน พระยาอนุมานราชธนกย็ นื ยนั ว่าเมอ่ื ประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแลว้ จนี เรยี กเผ่าน้ี
ว่า ‚มุง‛ หรอื ‚ต้ามุง‛ (Ta Mung) ก็คอื คนไทยและมชี ่อื เรยี กต่างๆ กนั เช่น ลุง ปา เงย้ี ว ตงั้
อาณาจกั รลุง อาณาจกั รปา และอาณาจกั รเงย้ี ว ชนชาตนิ ้ีต่างกระจดั กระจายอย่ใู นแถบมณฑลยูน
นาน เฉสวน ฮเู ป โฮนาน และแอนหุย ในแถบเขาเซยี ลุง (Chia Lung) ภมู ภิ าคแถบน้ีเป็นภูเขาเป็นท่ี
ลมุ่ และปา่ ไม้ ไดร้ บั น้ําจากลมุ่ น้ําโขง และเจา้ พระยาตอนล่าง

งานศกึ ษาเรอ่ื งชนชาตไิ ทยของพระยาอนุมานราชธน (๒๔๘๓) บวกกบั งาน ‚พงศาวดาร
ชาตไิ ทย‛ ของพระบรหิ ารเทพธานี (๒๔๙๖) รวมทงั้ งาน ‚สยามกบั สุวรรณภมู ‛ิ (๒๔๗๖) และ ‚ชน
ชาตไิ ทย‛ (๒๔๙๐) ของหลวงวจิ ติ รวาทการ ยนื ยนั แนวคดิ ท่ี ๒ น้ี

๓. บรรพบุรุษชาวไทย มถี น่ิ กําเนิดกระจายอยทู่ วั่ ไปในบรเิ วณทางตอนใต้ของจนี ตอน
เหนือของภาคพน้ื เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ และทบ่ี รเิ วณรฐั อสั สมั ของอนิ เดยี

นักสาํ รวจชาวองั กฤษช่อื Archibal R. Colquhoun ไปสํารวจดนิ แดนในถนิ่ น้ี พบเหน็
ความเหมอื นกนั ดา้ นภาษา การแต่งกาย อาหารการกนิ และวถิ ชี วี ติ สรปุ ว่าเชอ้ื สายไทยกระจายอยู่
ทวั่ ไปในดนิ แดนแถบดงั กลา่ ว

๔. ถนิ่ เดมิ อยทู่ ค่ี าบสมุทรมลายแู ละหมเู่ กาะต่างๆ ในอนิ โดนีเซยี ไดอ้ พยพขน้ึ มา มนี าย
สมศกั ดิ ์ สุวรรณสมบรู ณ์ เสนอในสยามสมาคม ปี ๒๕๐๖ โดยอาศยั วชิ าการแพทยด์ า้ นกลุ่มเลอื ด
สุ่มตวั อย่างเลอื กเก็บจากกลุ่มคนบรเิ วณน้ีว่ามคี วามคลา้ ยกบั คนไทย จงึ สรุปว่ามไิ ดม้ าไกลจากถน่ิ
ภเู ขาอลั ไต

บทที่ ๓

สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย

ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies)

๓.๑ ความนา

ภมู ปิ ญั ญาไทย เป็นสง่ิ ทท่ี รงคุณค่า เป็นประโยชน์ และมคี วามสาคญั ทบ่ี รรพบุรุษไทย ได้
สรา้ งสรรค์ และสบื ทอดมาอย่างต่อเน่ืองจากอดตี สู่ปจั จุบนั ทาให้คนในชาตเิ กดิ ความรกั และความ
ภาคภมู ใิ จ ทจ่ี ะรว่ มแรงรว่ มใจสบื สานต่อไปในอนาคต เช่นโบราณสถาน โบราณวตั ถุ สถาปตั ยกรรม
ประเพณีไทย การมนี ้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมปิ ญั ญาไทยจงึ มคี ุณค่า
และมคี วามสาคญั

ศลิ ปะเป็นคาทม่ี คี วามหมายทงั้ กว้างและจาเพาะเจาะจง ทงั้ น้ียอ่ มแล้วแต่ทศั นะของแต่ละ
คน แต่ละสมยั ทจ่ี ะกาหนดแนวความคดิ ของศลิ ปะใหแ้ ตกต่างกนั ออกไป หรอื แลว้ แต่ว่าจะมใี ครนาคา
วา่ “ศลิ ปะ” น้ไี ปใชใ้ นแวดวงทก่ี วา้ งหรอื จากดั อยา่ งไร

ศลิ ปะ เป็นสง่ิ ทม่ี นุษยส์ รา้ งขน้ึ ในสมยั โบราณ นกั ปราชญ์ไดใ้ หค้ วามหมายของศลิ ปะ (Art)
ไวว้ ่าศลิ ปะ คอื สงิ่ ทม่ี นุษยส์ รา้ งขน้ึ ไม่ไดเ้ ป็นสงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ เพราะฉะนัน้ ต้นไม้ ภูเขา
ทะเล น้าตก ความงดงามต่างๆ ตามธรรมชาติจงึ ไม่เป็นศลิ ปะ ดอกไม้ท่เี ห็นว่าสวยสดงดงาม
นักหนา ก็ไม่ได้เป็นศิลปะเลย ถ้าหากเรายดึ ถอื ตามความหมายน้ีแล้ว สง่ิ ท่มี นุษย์สรา้ งสร้างข้นึ
ทงั้ หลาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะทงั้ ส้นิ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพพิมพ์ งานปนั้ งานแกะสลกั
เสอ้ื ผา้ อาภรณ์ เครอ่ื งประดบั ทอ่ี ยอู่ าศยั ยานพาหนะ เคร่อื งใชส้ อย ตลอดจนถงึ อาวุธทใ่ี ชร้ บราฆ่า
ฟนั กนั กล็ ว้ นแต่เป็นศลิ ปะ ทงั้ สน้ิ

๓.๒ สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทย

ความหมายของภมู ิปัญญาไทย
“ภมู ิปัญญาไทย” เป็นคาๆ หน่งึ ทเ่ี ป็นคานามอนั เกดิ จากคานาม ๓ คามารวมกนั คอื คาว่า
“ภมู ิ” “ปัญญา” และ “ไทย”
ความหมายของคาวา่ “ภมู ิ” พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ไดเ้ กบ็
ความไว้ว่า “ภมู ิ” (พูม) น. พ้นื , ชนั้ , พ้นื เพ. ภมู ิธรรม (พูมทา) น. พ้นื จติ ใจท่มี คี ุณธรรม ภูมิ
ปัญญา (พมู -) น. พน้ื ความรคู้ วามสามารถ. ภมู ิรู้ (พมู -) น. พน้ื ความร.ู้ ส่วนความหมายของคาว่า
“ไทย” ไดเ้ กบ็ ความไวว้ ่า “ไทย (ไท) น. ช่อื ประเทศและชนชาตทิ อ่ี ยใู่ นเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ มี

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

พรมแดนตดิ ต่อกบั ลาว เขมร มาเลเซยี และพมา่ ไทยน้อย น. ชนชาตไิ ทยสาขาหน่ึง ซง่ึ มาเป็น
ไทยแห่งประเทศไทย” ครนั้ เม่อื นามารวมกันจะได้ว่า “ภูมิปัญญาไทย” (ภูม+ิ ปญั ญา+ไทย)
หมายถงึ พื้นความร้คู วามสามารถของคนไทย, ชาติไทย, และประเทศไทย ซง่ึ นนั่ เป็นการให้
ความหมายโดยพยญั ชนะ

ส่วนความหมายโดยอรรถและโดยนัยจะมคี วามหมายกวา้ งและครอบคลุมไปถงึ สาระอ่นื ท่ี
เก่ียวเน่ืองดังน้ี คือผลทงั้ มวลท่ีตกผลึกมาจากพฒั นาความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ จนกลายเป็น
เอกลักษณ์และสัญลักษณ์ของสงั คมไทยและชาติไทย ครอบคลุมทัง้ ด้าน เศรษฐกิจ สังคม
การเมอื ง ศิลปะและวฒั นธรรม เป็นต้น โดยผ่านกระบวนการหรอื กรรมวธิ ีทางการศึกษา ผล
ดงั กล่าวน่แี หละ่ คอื ภมู ิปัญญาไทย

ภมู ิปัญญา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Wisdom มคี วามหมายว่าความรู้ ความสามารถ
ความเช่อื ความสามารถทางพฤตกิ รรม และความสามารถในการแกป้ ญั หาของมนุษย๑์ ความรแู้ ละ
ความคดิ ของมนุษยน์ นั้ เม่อื ไดร้ บั การถ่ายทอด สงั่ สม ปรบั ปรงุ ดดั แปลงและสบื ทอดกนั มาหลายชวั่
บรรพบุรุษ เป็นท่ียอมรบั กนั โดยทวั่ ไปว่ามคี ุณค่า ละเอียด ประณีต มลี กั ษณะแสดงความเป็น
เอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ของกลุ่มชนหรอื ชนชาตนิ นั้ ๆ เรยี กว่า “ภูมปิ ญั ญา” แมว้ ่าตามศพั ท์ ภูมปิ ญั ญา
จะแปลว่าพ้ืนความรู้ ความสามารถ แต่โดยความหมายท่ีแท้จรงิ ก็คอื ต้องเป็นสิ่งท่ีมกี ารสงั่ สม
ยอมรบั และสบื ทอดมาส่สู งั คมมนุษยน์ นั้ ๆ แสดงถงึ อจั ฉรยิ ภาพของกลุม่ ชนหรอื ชนชาตนิ นั้ ๆ

ภมู ิปัญญา หรือ Wisdom หมายถึงความรู้ ความสามารถ ความเช่อื ท่นี ามาไปสู่การ
ปฏบิ ตั เิ พ่อื แก้ไขปญั หาของมนุษย์ หรอื ภูมปิ ญั ญา คอื พน้ื ความรขู้ องปวงชนในสงั คมนัน้ ๆ และปวง
ชนในสงั คมยอมรบั รู้ เชอ่ื ถอื เขา้ ใจ รว่ มกนั เรยี กว่า ภมู ิปัญญา

ภมู ิปัญญา คอื พน้ื ความรขู้ องประชาชนในสงั คมนัน้ ๆ และโดยสงั คมนนั้ ๆ ปวงชนในสงั คม
ยอมรบั รู้ เช่อื ใจ เขา้ ใจร่วมกนั รวมเรยี กว่า ภมู ปิ ญั ญา ฉะนัน้ ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ จะหมายถงึ ความ
รอบรู้ของชาวบ้านท่เี รียนรู้และมปี ระสบการณ์ต่อกันมาทงั้ ทางตรง คือประสบด้วยตนเองหรอื
ทางออ้ มโดยการเรยี นรจู้ ากผใู้ หญ่ ความรอบรสู้ ะสมเหลา่ น้เี รยี กวา่ ภมู ปิ ญั ญา

ภมู ิปัญญา คอื กระบวนการปรบั เปลย่ี นแบบแผนการดาเนินชวี ติ ของบคุ คลซง่ึ อยใู่ นทอ้ งถน่ิ

โดยสามารถดาเนินชวี ติ ได้อย่างสงบสุขสอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปในแต่ละยุคสมยั
นนั่ เอง บุคคลทส่ี ามารถปรบั แผนชวี ติ น้เี รยี กว่าปราชญช์ าวบา้ นหรอื ปราชญท์ อ้ งถน่ิ

จากการศึกษาความหมายและแนวคดิ ของภูมปิ ญั ญาทก่ี ล่าวมาแลว้ ขา้ งต้นพอสรุปได้ว่า
ภมู ปิ ญั ญาไทย หมายถงึ ความรู้ ความสามารถในการดาเนินชวี ติ อยใู่ นพน้ื ทน่ี นั้ ๆ โดยใชส้ ตปิ ญั ญาสงั่
สมความรู้อย่างแพร่หลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ
สภาพแวดลอ้ มการประกอบอาชพี และกระบวนการเหล่าน้ีมาจนหลายชวั่ คนซง่ึ จะเป็นวถิ กี ารดาเนิน
ชวี ติ ของมนุษยน์ ัน้ เกดิ จากการเรยี นรแู้ ละสงั่ สมประสบการณ์เป็นระยะเวลายาวนาน โดยอาศยั ภูมิ

๑ เอกวทิ ย์ ณ ถลาง, ภมู ิปัญญาท้องถิ่นกบั การจดั การความร้,ู (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๔๖), หน้า ๑๑.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ปญั ญาทม่ี อี ยมู่ าใชใ้ นการตงั้ ถนิ่ ฐาน การประกอบอาชพี การปรบั ตวั และแกป้ ญั หาในการดาเนินชวี ติ
จนเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มของธรรมชาตแิ ละสงั คม

ความหมายของภมู ิปัญญาชาวบา้ นและภมู ิปัญญาท้องถ่ิน

ภมู ิปัญญาชาวบา้ น หรือภมู ิปัญญาท้องถิ่น (Folk Wisdom) ไดม้ ผี คู้ วามหมายดงั น้ี

ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หรือภมู ิปัญญาท้องถ่ิน หมายถงึ ความรทู้ ่เี กดิ จากประสบการณ์ใน
ชวี ติ ของคนเราผ่านกระบวนการศึกษา สงั เกตคดิ วเิ คราะห์จนเกิดปญั ญา และตกผลกึ มาเป็นองค์
ความรทู้ ป่ี ระกอบกนั ขน้ึ มาจากความรเู้ ฉพาะหลายๆ เรอ่ื ง ความรดู้ งั กล่าวไมไ่ ดแ้ ยกยอ่ ยออกมาเป็น
ศาสตร์ เฉพาะสาขาวิชาต่างๆ อาจกล่าวไว้ว่าภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นจดั เป็นพ้นื ฐานขององค์ความรู้
สมยั ใหม่ท่จี ะช่วยในการเรยี นรู้ การแก้ปญั หา การจดั การ แลการปรบั ตวั ในการดาเนินชวี ิตของ
คนเรา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เป็นความรทู้ ม่ี อี ยทู่ วั่ ไปในสงั คม ชุมชนและในการตวั ของผรู้ เู้ อง หากมกี าร
สบื ค้นหาเพ่อื ศกึ ษา และนามาใชก้ จ็ ะเป็นท่รี จู้ กั กนั เกดิ การยอมรบั ถ่ายทอดและพฒั นาไปสู่คนรุ่น
ใหมต่ ามยคุ ตามสมยั ได๒้

ศักด์ิชัย เกียรติ นาคินทร์ ได้ให้ความหมายของภูมิปญั ญาท้องถ่ินคือองค์ความรู้

ความสามารถของชุมชนทส่ี งั่ สมสบื ทอดกนั มานาน เป็นความจรงิ แทข้ องชุมชนเป็นศกั ยภาพทจ่ี ะใช้
แก้ปญั หา จดั การปรบั ตน เรยี นรู้ และถ่ายทอดสู่คนร่นุ ใหม่ เพ่อื ใหด้ ารงชวี ติ อยู่ไดอ้ ย่างผาสุก เป็น
แก่นของชมุ ชนทจ่ี รรโลง ความเป็นชาตใิ หอ้ ยรู่ อดจากทกุ ขภ์ ยั พบิ ตั ทิ งั้ ปวง๓

จารวุ รรณ ธรรมวตั ิ ไดใ้ หค้ วามหมายของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ คอื แบบแผน การดาเนินชวี ติ
ทม่ี คี ุณค่าแสดงถงึ ความเฉลยี วฉลาดของบุคคล และสงั คมซง่ึ ไดส้ งั่ สมและปฏบิ ตั ติ ่อกนั มา ภมู ปิ ญั ญา
จะเป็นทรพั ยากรบุคคล หรอื ทรพั ยากรความรกู้ ไ็ ด้๔

ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน (Local Wisdom) ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ สะสมขน้ึ มาจากประสบการณ์ของ
ชวี ติ สงั คมและสภาพสง่ิ แวดลอ้ มทแ่ี ตกต่างกนั และถ่ายทอดสบื ทอดต่อกนั มาเป็นวฒั นธรรม๕

ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน หรอื ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ นคอื ความรทู้ เ่ี กดิ จากประสบการณ์ในชวี ติ ของ
คนเราทผ่ี ่านกระบวนการศกึ ษา สงั เกต คดิ วเิ คราะห์ จนเกดิ ปญั หาและตกผลกึ มาเป็นองคค์ วามรทู้ ่ี
ประกอบขน้ึ มาจากความรเู้ ฉพาะหลายๆ เร่อื งโดยไม่ไดแ้ ยกย่อยออกมาเป็นศาสตรเ์ ฉพาะสาขาวชิ า

๒ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, กรมวชิ าการ, แนวทางการจดั การเรียนการสอนโดยใช้ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน, (กรุงเทพมหานคร :
กองวจิ ยั ทางการศกึ ษา, ๒๕๓๙), หน้า ๒.

๓ ศกั ดชิ ์ ยั เกยี รตนิ าคนิ ทร์, ภมู ิปัญญาไทยพฒั นาไทย, (กรุงเทพมหานคร : วารสารวฒั นธรรมไทย ๓๗ (๔). เมษายน-
พฤษภาคม, ๒๕๔๒), หน้า ๒.

๔ จารุวรรณ ธรรมวตั ,ิ วิเคราะหภ์ มู ิปัญญาอีสาน, (อุบลราชธานี : ศริ ธิ รรมออฟเซท็ , ๒๕๔๓), หน้า ๑.
๕ ประเวศ วส,ี แนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรุ
สภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๓), หน้า ๒, ประเวศ วะส,ี ศนู ยก์ ารเรียนร้ภู มู ิปัญญาไทย : ทิศทางใหมข่ องการศึกษา, เอกสารประกอบการ
อบรมทศิ ทางการศกึ ษาไทย, (กรุงเทพมหานคร : สถาบนั ไทยศกึ ษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗).

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

จงึ จดั เป็นพ้นื ฐานขององคค์ วามรสู้ มยั ใหม่ๆ ท่จี ะช่วยในการเรยี นรู้ การแก้ปญั หา การจดั การ การ
ปรบั ตวั ในการดาเนนิ ชวี ติ ๖

ภมู ิปัญญาท้องถิ่น หรือภมู ิปัญญาชาวบ้าน (Indigenous Knowledge) คอื ความรทู้ เ่ี กดิ
จากประสบการณ์ในชวี ติ ของคนเราทผ่ี ่านกระบวนการศกึ ษา สงั เกต คดิ วเิ คราะห์ จนเกดิ ปญั ญาและ
ตกผลกึ มาเป็นองค์ความรทู้ ป่ี ระกอบขน้ึ มาจากความรเู้ ฉพาะเร่อื ง ไม่ไดแ้ ยกย่อยออกมาใหเ้ หน็ เป็น
ศาสตร์เฉพาะสาขาวชิ าต่างๆ จงึ จดั เป็นพ้นื ฐานขององค์ความรู้ใหม่ ท่จี ะช่วยในการเรยี นรู้ การ
แกป้ ญั หา การจดั การ และการปรบั ตวั ในการดาเนนิ ชวี ติ

“ภูมิปัญญาท้องถ่ิน” สะสมข้ึนมาจากประสบการณ์ของชีวิตสังคมและในสภาพ
สง่ิ แวดลอ้ มทแ่ี ตกต่างกนั และถ่ายทอดสบื ต่อกนั มาเป็นวฒั นธรรม การดาเนินงานดา้ นวฒั นธรรมจงึ
ตอ้ งใชป้ ญั ญาคน้ หาสงิ่ ทม่ี อี ยแู่ ลว้ ฟ้ืนฟู ประยุกต์ และประดษิ ฐ์ เสรมิ สรา้ งสงิ่ ใหม่ บนรากฐานสง่ิ เก่า
ทค่ี น้ พบนนั้ นักฟ้ืนฟู นักประยุกต์ และนักประดษิ ฐค์ ดิ คน้ ทางวฒั นธรรมพน้ื บา้ นเหล่าน้ีมชี ่อื เรยี กใน
เวลาต่อมาว่า “ปราชญ์ชาวบา้ น” หรอื “ผู้รชู้ าวบา้ น” และสตปิ ญั ญาทน่ี ามาใชใ้ นการสรา้ งสรรคน์ ้ี
เรยี กว่า “ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น” หรอื “ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ”๗

“ภมู ิปัญญาท้องถิ่น” หมายถงึ กระบวนการทางปญั ญา ความคดิ เพ่อื แสวงหาองคค์ วามรู้
ของชุมชนท้องถ่ิน ซ่งึ แสดงให้เห็นถงึ กระแสความสมั พนั ธ์เช่อื มโยงระหว่างธรรมชาติ จติ ใจและ
พฤติกรรม สงั คม องค์กรและวัฒนธรรมชุมชน เศรษฐกิจ เทคโนโลยกี ารผลิต และในท่สี ุดการ
พง่ึ ตนเอง๘

ภมู ิปัญญาไทย (Thai Wisdom) หมายถงึ ความรู้ ความสามารถ วธิ กี าร ผลงานทค่ี น้ ควา้
รวบรวมและจดั เกบ็ เป็นความรู้ โดยถ่ายทอดจากคนรนุ่ หน่งึ มาส่คู นอกี ร่นุ หน่ึง จนเกดิ เป็นผลผลติ ทด่ี ี
งดงาม มคี ณุ ค่า มปี ระโยชน์ สามารถนามาแกป้ ญั หาและพฒั นาชวี ติ ได๙้

“ภมู ิปัญญาไทย” หมายถงึ ความรแู้ ละความสามารถของคนไทยทไ่ี ดร้ บั การถ่ายทอด สงั่
สม ปรบั ปรุงดดั แปลงและสบื ทอดกนั มาหลายชวั่ บรรพบุรุษ สู่ลูกหลานไทยปจั จุบนั มคี วามเป็น
เอกลกั ษณ์เฉพาะตัว แสดงความรู้และพฒั นาการแห่งความคดิ ออกเป็นวิธีการ นวตั กรรม หรอื
ผลติ ผลปรากฏใหเ้ หน็ ในปจั จบุ นั หรอื หมายถงึ โครงรา่ งแห่งความรู้ ความสามารถ และทกั ษะของคน
ไทยทส่ี ะสมมาเป็นเวลานาน ผ่านประสบการณ์ การเรยี นรู้ การพฒั นา และการถ่ายทอดนนั้ ไดช้ ่วย

๖ กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, รายงานการวิจยั เร่ืองภมู ิปัญญาท้องถิ่นกบั การพฒั นาหลกั สูตรและการจดั การ
เรียนการสอน, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๒), บทคดั ยอ่ .

๗ สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ, บุคคลดีเด่นทางด้านวฒั นธรรม, (กรุงเทพมหานคร : สานักงาน
คณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาต,ิ ๒๕๓๑), หน้า ๓.

๘ เสน่ห์ จามริก และยศ สนั ติสมบตั ิ, ป่ าชุมชนในประเทศไทย : แนวทางการพฒั นา เล่ม ๑ ป่ าฝน เขตร้อนกบั
ภาพรวมของป่ าชมุ ชนในประเทศไทย, (กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ , ๒๕๓๖), หน้า ๔.

๙ สารานุกรมไทย สาหรบั เยาวชน ฉบบั เสริมการเรียนร้,ู โดยพระราชประสงคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เล่มท่ี
๒๓, (กรงุ เทพมหานคร : โครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสอื ปา่ ถนนศรอี ยธุ ยา เขตดุสติ , ๒๕๔๘), หน้า ๑-๓.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ในการแก้ปญั หาและสนับสนุนในการพฒั นาชวี ติ ของประชาชนใหเ้ หมาะสมกบั การเปลย่ี นแปลงของ
เวลาและสง่ิ แวดลอ้ ม๑๐

ภมู ิปัญญาไทย หมายถงึ องคค์ วามรู้ ความสามารถและทกั ษะของคนไทยอนั เกดิ จากการ
สงั่ สมประสบการณ์ทผ่ี ่านกระบวนการเรยี นรู้ เลอื กสรร ปรุงแต่ง พฒั นา และถ่ายทอดสบื ต่อกนั มา
เพ่อื ใชแ้ ก้ปญั ญาและพฒั นาวถิ ชี วี ติ ของคนไทยใหส้ มดุลกบั สภาพแวดล้อมและเหมาะสมกบั ยุคสมยั
ภมู ปิ ญั ญาไทยน้ีมลี กั ษณะเป็นองค์รวม มคี ุณค่าทางวฒั นธรรมเกดิ ขน้ึ ในวถิ ชี วี ติ ไทย ซ่งึ ภมู ปิ ญั ญา
ท้องถิ่นอาจเป็นท่มี าขององค์ความรู้ท่งี อกงามข้นึ ใหม่ท่จี ะช่วยในการเรยี นรู้ การแก้ปญั หา การ
จดั การและการปรบั ตวั ในการดาเนินวิถชี ีวติ ของคนไทย ลกั ษณะองค์รวมของภูมปิ ญั ญามคี วาม
เด่นชดั ในหลายดา้ นเชน่ ดา้ นเกษตรกรรม ดา้ นอุตสาหกรรม และหตั ถกรรม ดา้ นการแพทยแ์ ผนไทย
ดา้ นการจดั การทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม ด้านกองทุนและธุรกจิ ชุมชน ด้านศลิ ปกรรม ด้านภาษา
และวรรณกรรม ดา้ นปรชั ญา ศาสนา และประเพณี และดา้ นโภชนาการ วฒั นธรรม พฒั นาการทาง
ประวตั ศิ าสตร์ เอกลกั ษณะและภมู ปิ ญั ญา

“ภูมิปัญญาไทย” หมายถึงผลของประสบการณ์ท่ีสัง่ สมของคนท่ีเรียนรู้จากการ
ปฏสิ มั พนั ธก์ บั สง่ิ แวดลอ้ ม ปฏสิ มั พนั ธใ์ นกลุ่มเดยี วกนั และระหว่างกลุ่มชนหลายชาตพิ นั ธุร์ วมไปถงึ
โลกทศั น์ท่มี ตี ่อสง่ิ เหนือธรรมชาติต่างๆ ภูมปิ ญั ญาเหล่าน้ีเคยเอ้อื อานวยให้คนไทยแก้ปญั หาได้
ดารงอยู่และสร้างสรรค์อารยธรรมของเราเองได้อย่างมดี ุลยภาพกับส่ิงแวดล้อมโดยเฉพาะใน
ระดบั พน้ื ฐานหรอื ระดบั ชาวบา้ น ภูมปิ ญั ญาในแผ่นดนิ ไดเ้ กดิ ขน้ึ เป็นเอกเทศ แต่มสี ่วนแลกเปล่ยี น
เลอื กเฟ้นและปรบั ใชภ้ มู ปิ ญั ญาจากอารยธรรมอ่นื ตลอดมา

“ภมู ิปัญญาไทย” มลี กั ษณะเป็นองคค์ วามรดู้ า้ นต่างๆ ของการดารงชวี ติ ของคนไทยทเ่ี กดิ
จากการสงั่ สมประสบการณ์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ประกอบกบั แนวความคิดวิเคราะห์ในการ
แก้ปญั หาต่างๆ ของตนเอง จนเกดิ หลอมรวมเป็นแนวความคดิ ในการแก้ปญั หาทเ่ี ป็นลกั ษณะของ
ตนเอง ทส่ี ามารถพฒั นาความรดู้ งั กล่าวมาประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั กาลสมยั ในการแก้ปญั หาการ
ดารงชวี ติ

“ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ” มกั เกดิ จากการสะสมเรยี นรมู้ าเป็นระยะเวลานาน มนั เช่อื มโยงกนั ไป
หมด ไม่แยกจากกันเป็นวชิ าอย่างท่เี ราเรยี ก ภูมปิ ญั ญาชาวบ้านต่างจากองค์ความรู้ตรงท่เี รามี
หนังสือทฤษฎีความรู้มากมายมาอ้างอิงได้ ภูมิปญั ญาชาวบ้าน มขี นั้ ตอน ๓ อย่าง คือ ปริยตั ิ
สทั ธรรม ปฏิบตั ิสทั ธรรม และ ปฏิเวธสทั ธรรม

จากความหมายของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ทก่ี ล่าวมาขา้ งตน้ พอจะสรุปไดว้ ่า ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ
หมายถงึ พน้ื ความรู้ องคค์ วามรู้ ความสามารถและทกั ษะของประชาชนในทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ ทไ่ี ดร้ บั การ
ถ่ายทอดและสงั่ สมประสบการณ์ และถ่ายทอดสบื ต่อกนั มาเป็นวฒั นธรรม ช่วยในการเรยี นรู้ การ
แกป้ ญั หา การจดั การ และปรบั ตวั ในการดาเนนิ ชวี ติ

๑๐ รุ่ง แกว้ แดง, การปฏิวตั ิการศึกษาไทย, (กรุงเทพมหานคร : มตชิ น, ๒๕๔๔), หน้า ๒๒.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

กระบวนการท่เี รยี กว่า การศึกษา เพ่อื มุ่งไปสู่ความเป็นมนุษย์มส่ี มบูรณ์ ซ่งึ ผลท่ไี ด้นัน้
ในทางนามธรรมเรยี กว่า “ภมู ปิ ญั ญาไทย” สุมนอมรววิ ฒั น์ ไดเ้ ขยี นแสดงคุณสมบตั ขิ องมนุษยท์ ่ี
สมบูรณ์ว่า มี ๕ ประการคือ ๑) มสี ุขภาพดี ๒) มอี ิสรภาพ ๓) เล้ียงชีพได้โดยชอบ ๔) ใช้
หลกั ธรรมแกป้ ญั หาชวี ติ ๕) สามารถปรบั ตนใหป้ ระสานสมั พนั ธก์ บั สภาพแวดลอ้ ม ทงั้ ทเ่ี ป็นมนุษย์
ธรรมชาติ และความเจรญิ ทางเทคโนโลยแี ละไดอ้ ธบิ ายถงึ การศกึ ษาเพ่อื ความเป็นมนุษยท์ ส่ี มบรู ณ์
ในแงข่ องการฝึกฝน และปฏบิ ตั จิ รงิ วา่ ความหมายมนุษยค์ อื ผทู้ ม่ี จี ติ ใจสงู การปฏบิ ตั ทิ แ่ี ทจ้ รงิ ใยทุก
วถิ ที าง คอื การฝึกฝนจติ ใจของคนผู้เป็นสตั วโ์ ลกมาเป็นจติ ใจของมนุษย์ ดงั นัน้ การศกึ ษาคอื เป็น
กระบวนการของการเรยี นการสอนและฝึกฝนอบรม ซง่ึ เน้นการปฏบิ ตั จิ นเกดิ ปญั ญาดว้ ยตนเอง๑

พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐติ ญาโณ) ไดบ้ รรยายแนวทางการศกึ ษาเพ่อื บรรลุ “ภูมิ
ปญั ญาไทย” ว่าการเรยี นของพุทธศาสนิกทด่ี ี ต้องเรยี นทงั้ ในด้าน “สิปปฺ ” (คตโิ ลก) และ“วิชฺชา”
(คตธิ รรม) “สิปปฺ ” นัน้ เป็นวทิ ยาการต่างๆ ท่ผี ู้ไดเ้ รยี นรแู้ ละฝึกจนสามารถใชเ้ ป็นเคร่อื งมอื ในการ
ประกอบอาชพี เลย้ี งชวี ติ สว่ น วิชชา เป็นผลแห่งการปฏบิ ตั แิ ละพฒั นากาย วาจา ใจ จนเกดิ ความรทู้ ่ี
สมบรู ณ์ เม่อื มคี วามรทู้ งั้ สปิ ปะและวชิ ชาแลว้ สามารถดารงชวี ติ อย่ดู ้วยตนเอง ไม่เบยี ดเบยี นผู้อ่นื
รปู้ ระโยชน์ตน รปู้ ระโยชน์ท่าน และผดุงสงั คมได้ เรยี กวา่ เป็นผมู้ สี มั มาชพี และสมั มาปฏบิ ตั ๒ิ

พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) กล่าวไวว้ ่าพระพุทธศาสนาเป็นบ่อเกดิ แห่งภูมปิ ญั ญาไทย
ภูมปิ ญั ญาไทยจะดจี ะต้องจดั การศกึ ษาให้ถูกต้องโดยเฉพาะตามแนวทางพระพุทธศาสนา ด้วย
พระพุทธศาสนาเป็นมรดกของชนชาตไิ ทย เน่อื งจากความสาคญั ในทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรม
พระพุทธศาสนาจงึ ไดก้ ลายเป็นเน้ือหาสาระส่วนสาคญั ของภูมธิ รรมภูมปิ ญั ญาทส่ี ะสมสบื ทอดต่อๆ
กนั มาเป็นสมบตั ขิ องชนชาตไิ ทย เป็นหลกั อ้างทท่ี าใหเ้ กิดความภูมใิ จในความเป็นไทย และเป็น
เอกลกั ษณ์ของชนชาตขิ องตน แต่การจดั การศกึ ษานนั้ ไม่ถูกต้องไดแ้ ต่ผลติ คนทห่ี ่างเหนิ แปลกแยก
จากสงั คมไทย ไม่รจู้ กั สงั คมไทยไม่รู้เร่อื งราวของไทย ไม่เขา้ ใจความคดิ จติ ใจของชาวบ้านท่เี ป็น
ประชาชนส่วนใหญ่ของไทย โดยละเลยต่อการศกึ ษาพระพุทธศาสนาอยา่ งจรงิ จงั ภูมธิ รรมภมู ปิ ญั ญา
ทม่ี อี ยกู่ จ็ กั ไมเ่ จรญิ กา้ วหน้าไปได้๓

ความหมายภมู ิปัญญาไทยตามนัยของผเู้ ช่ียวชาญและนักวิชาการต่างๆ

จากการศกึ ษาตวั เน้ือแทท้ ่มี ผี ลสาเรจ็ รูปออกมาแล้วของคาว่า “ภมู ิปัญญาไทย” โดยดู
จากปจั จยั ท่มี ผี ลต่อการเกิดภูมปิ ญั ญาไทย ทงั้ ความรเู้ ดมิ ประสบการณ์ความรูใ้ หม่ การสงั่ สมสบื
ทอดประสบการณ์และรากฐานทางพระพุทธศาสนาและความเช่อื ผู้เช่ยี วชาญและนักวชิ าการต่างๆ
เหน็ ว่าขอบเขตของความหมายของภูมปิ ญั ญาไทยจะครอบคลุมทงั้ ภูมปิ ญั ญา ภูมปิ ญั ญาพ้นื บ้าน
ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ และภมู ปิ ญั ญาไทย โดยใหค้ วามหมายไวด้ งั น้ี๔

ด้านภมู ิปัญญา

ภมู ิปัญญา เป็นเร่อื งท่สี งั่ สมกนั มาตงั้ แต่อดตี และเป็นเร่อื งของการจดั การความสมั พนั ธ์
ระหว่างคนกบั คน คนกบั ธรรมชาตแิ วดล้อม คนกบั สง่ิ เหนือธรรมชาติ โดยผ่านกระบวนการทาง

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

จารีตประเพณี วิถีชีวิต การทามาหากิน และพิธีกรรมต่างๆ เพ่ือให้เกิดความสมดุลระหว่าง
ความสมั พนั ธเ์ หล่าน้ี เป้าหมายกค็ อื เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสุขทงั้ ในส่วนทเ่ี ป้ฯชุมชน หมบู่ า้ นและในส่วนท่ี
เป็นปจั เจกของชาวบา้ นเอง ถ้าหากเกดิ ปญั หาทางด้านความไม่สมดุลกนั ขน้ึ กจ็ ะก่อไม่ใหเ้ กดิ ความ
สงบสุข เกดิ ปญั หาในหมบู่ า้ นและชุมชน

ภูมปิ ญั ญา..ยงั หมายถึงประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ในการศึกษาเล่าเรยี น การท่ี
ชาวบ้านรจู้ กั วธิ กี ารทานา การไถนา การเอาควายมาใช้ในการไถนา การรจู้ กั นวดขา้ วโดยการใช้
ควาย รจู้ กั สานกระบงุ ตะกรา้ เอาไมไ้ ผม่ าทาเครอ่ื งใชไ้ มส้ อยในชวี ติ ประจาวนั รวมทงั้ รจู้ กั เอาดนิ ข้ี
กระทามาแชน่ ้า ตม้ ใหเ้ หอื ดแหง้ เป็นเกลอื สนิ เธาว์ กเ็ รยี กวา่ ภมู ปิ ญั ญาทงั้ สน้ิ ๑๑

ภมู ปิ ญั ญา เป็นผลกึ ขององคค์ วามรทู้ ม่ี กี ระบวนการสงั่ สมสบื ทอดกลนั่ กรองกนั มายาวนาน
มที ม่ี าหลากหลายไรเ้ อกภาพ แต่ก็ได้ประสมประสานกนั จนเป็นเหล่ยี มมณีทจ่ี รสั แสงคงทนและท้า
ทายตลอดกาลเวลา ความรอู้ าจจะไมไ่ ดเ้ ป็นเอกภาพ แต่ภมู ปิ ญั ญาจดั เป็นเอกลกั ษณ์๑๒

ด้านภมู ิปัญญาพื้นบ้าน

ภูมปิ ญั ญาพ้นื บา้ นเป็นองค์ความรูค้ วามสามารถและประสบการณ์ทส่ี งั่ สมและสบื ทอดกนั
มาอนั เป็นความสามารถและศกั ยภาพในเชงิ แก้ปญั หา การปรบั ตวั เรยี นรแู้ ละสบื ทอดไปส่คู นรุ่นใหม่
เพ่อื การดารงอย่รู อดของเผ่าพนั ธุ์ จงึ เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ เผ่าพนั ธุ์ หรอื เป็นวถิ ขี อง
ชาวบา้ น๑๓

ด้านภมู ิปัญญาชาวบ้าน

ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หมายถงึ แกนหลกั ของการมองชวี ติ การใชช้ วี ติ อยา่ งมคี วามสุข ซง่ึ
มคี วามหมายในแง่ของปจั เจกบุคคล และในแง่ของสงั คม หมู่บ้าน๑๔ คาว่าปญั ญา หรอื ภูมปิ ญั ญา
ชาวบา้ น หรอื ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ กเ็ รยี ก ซง่ึ หมายถงึ พน้ื เพรากฐานของความรชู้ าวบา้ น๑๕

ภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน เกดิ จากการสะสม การเรยี นรู้ มาเป็นระยะเวลายาวนาน มลี กั ษณะ
เชอ่ื มโยงกนั ไปหมดในทกุ สาขาวชิ า ไมแ่ ยกเป็นวชิ าๆ แบบทเ่ี ราเรยี น ฉะนนั้ วชิ าทเ่ี ก่ยี วกบั เศรษฐกจิ

๑๑ ธวชั ปณุ โณทก, ภมู ิปัญญาชาวบา้ นอีสาน ทศั นะของอาจารยป์ รีชา พิณทองทิศทางหมบู่ ้านไทย,
(กรุงเทพมหานคร : เจรญิ วทิ ยก์ ารพมิ พ์, ๒๕๓๑), หน้า ๑๐-๑๒.

๑๒ ชลธริ า สตั ยาวฒั นา, “ความร้กู บั ภมู ิปัญญา:มิติที่เหลื่อมซ้อนกนั ”, ข่าวพเิ ศษ ฉบบั ท่ี ๗๓๕, ม.ป.ท. เอกสารอดั
สาเนา, ๒๕๓๔.

๑๓ ยง่ิ ยง เทา่ ประเสรฐิ , “ศกั ยภาพของภมู ิปัญญาพืน้ บา้ น” วารสารการศกึ ษาแห่งชาติ (ปีท่ี ๒๘ ฉบบั ท่ี ๕ มถิ ุนายน,
๒๕๓๗), หน้า ๒๐.

๑๔ วชิ ติ นนั ทสวุ รรณ, “ภมู ิปัญญาชาวบา้ นในงานพฒั นา” , วารสารสงั คมพฒั นา ฉบบั ท่ี ๕. ๒๕๒๘.
๑๕ เสรี พงศพ์ ศิ , คนื ส่รู ากเหง้าทางเลือกและทศั นวิจารณ์ว่าดว้ ยภมู ิปัญญาชาวบา้ น, (กรงุ เทพมหานคร : เทยี นวรรณ,
๒๕๒๙), หน้า ๒๐-๒๑. เอกสารอดั สานา.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

อาชพี ความเป็นอยู่ เกย่ี วกบั การใชจ้ ่ายกบั การศกึ ษาวฒั นธรรมมนั จะผสมกลมกลนื เช่อื มโยงกนั ไป
หมด๑๖

ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หมายถงึ วธิ กี ารปฏบิ ตั ซิ ่งึ ชาวบา้ นไดม้ าจากประสบการณ์ แนวทาง
แก้ปญั หาแต่ละเร่อื ง แต่ละประสบการณ์ แต่ละสภาพแวดลอ้ มซง่ึ จะมเี ง่อื นไขปจั จยั เฉพาะแตกต่าง
กนั ไป๑๗

ภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน ศพั ทน์ ้ีการกาเนิดของมนั ชดั เจน มคี วามหมายทจ่ี ะใชว้ ฒั นธรรมของ
ตนเองโต้กระแสต่อสูใ้ หพ้ น้ การครอบงา เป็นอสิ ระและสรา้ งสรรค์ หากทาสาเรจ็ แล้วมกี ารสรา้ งตา
ขา่ ยโยงใยภมู ปิ ญั ญาระหว่างกนั ของชุมชนหม่บู า้ นซ่งึ มอี านาจเป็นพลงั สาคญั พลงั หน่ึงท่จี ะผลกั ดนั
ใหส้ งั คมไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงส่คู วามศานตสิ ขุ ในทส่ี ุด

ภมู ปิ ญั ญาน้ีมนั เกดิ มาจากการสะสมเรยี นรูม้ าเป็นระยะเวลานาน มนั เช่อื มโยงกนั ไปหมด
ไม่แยกจากกนั เป็นวชิ าอย่างท่เี ราเรยี น ภูมปิ ญั ญาชาวบ้านต่างจากองค์ความรตู้ รงท่เี รามหี นังสอื
ทฤษฎี ความรมู้ ากมายอา้ งองิ ได้ ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นขนั้ ตอน ๓ อยา่ ง คอื ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ๑๘

ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หมายถงึ ความรอบรขู้ องชาวบา้ นทเ่ี รยี นรแู้ ละมปี ระสบการณ์สบื ต่อ
กนั มาทงั้ ทางตรงคอื ประสบการณ์ดว้ ยตนเอง หอื ทางออ้ มซง่ึ เรยี นรจู้ ากผใู้ หญ่ หรอื ความรทู้ ส่ี ะสมสบื
ต่อกนั มา๑๙

ภมู ิปัญญาชาวบา้ น หมายถงึ ทกุ สงิ่ ทุกอยา่ งทช่ี าวบา้ นคดิ ไดเ้ อง ทน่ี ามาในการแกป้ ญั หา
เป็นสตปิ ญั ญา เป็นองคค์ วามรทู้ งั้ หมดของชาวบา้ น ทงั้ กวา้ งทงั้ ลกึ ทช่ี าวบา้ นสามารถคดิ เองทาเอง
โดยอาศยั ศกั ยภาพทม่ี อี ยแู่ กป้ ญั หาการดาเนินชวี ติ ไดใ้ นทอ้ งถนิ่ อยา่ งสมสมยั ๒๐

ชลทิพย์ เอีย่ มสาอาง และ วิศนี ศิลาตระกลู ไดก้ ล่าวไวว้ ่าภมู ิปัญญาชาวบ้านนัน้
หมายถงึ ความรปู้ ระสบการณ์ของประชาชนในทอ้ งถน่ิ ซง่ึ ไดร้ บั การศกึ ษา อบรม สงั่ สม และถ่ายทอด
จากบรรพบุรุษหรอื เป็นความรปู้ ระสบการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากประสบการณ์ตรงของตนเองซ่งึ ได้เรยี นรู้
จากการทางาน จากธรรมชาตแิ วดลอ้ ม สง่ิ เหลา่ น้ีเป็นสง่ิ ทม่ี คี ุณค่าเสรมิ สร้างความสามารถทาใหค้ น
มชี วี ติ รว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ เป็นความรทู้ ส่ี รา้ งสรรค์ และมสี ว่ นเสรมิ สรา้ งการผลติ

๑๖ ประเวศ วะส,ี การสร้างสรรคภ์ มู ิปัญญาเพื่อการพฒั นา, ในเอกสารประกอบการสมั มนาทางวชิ าการเน่ืองในวโรกาส
สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารที รงพระเจริญมายุครบ ๓๖ พรรษา, (กรุงเทพมหานคร : สถาบนั ไทยคดี
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ), ๒๕๓๔.

๑๗ สุจารี จนั ทรสุข, การศกึ ษาภมู ิปัญญาท้องถ่ิน, วารสารการศกึ ษาแหง่ ชาติ ปีท่ี ๒๒, สงิ หาคม-กนั ยายน, ๒๕๓๑), หน้า
๑๐.

๑๘ อเนก นาคบุตร, จดุ เปลี่ยนการพฒั นาชนบทและองคก์ รพฒั นาเอกชนไทย, สถาบนั ชุมชนท้องถนิ่ พฒั นากองทุน
พฒั นาทอ้ งถนิ่ ไทย แคนาดา, ๒๕๓๑.

๑๙ ธวัช ปุณโณทก, ภูมิปัญญาชาวบ้านอีสาน ทัศนะของอาจารย์ปรีชา พิณทองทิ ศทางหมู่บ้านไทย,
(กรุงเทพมหานคร : เจรญิ วทิ ยก์ ารพมิ พ์, ๒๕๓๑).

๒๐ สามารถ จนั ทร์สูรย์, ภูมิปัญญาชาวบ้านคืออะไร อย่างไร, เอกสารสมั มนาวิชาการเร่อื งภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน,
(กรุงเทพมหานคร : สานกั งานคณะกรรมการการวฒั นธรรมแห่งชาต,ิ ๒๕๓๓).

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

จากการสมั มนาของนิสิตภาควชิ าบรหิ ารการศึกษา สาขานิเทศการศึกษาและพฒั นา
หลกั สูตร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เร่อื ง “ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ นมติ จิ รสั แสงต่อการ
จดั การเรยี นการสอนระดบั ประถมศกึ ษา” ได้สรุปความหมายของภมู ิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง
องคค์ วามรขู้ องชาวบา้ นหรอื ทุกสง่ิ ทุกอยา่ งทช่ี าวบ้านคดิ ขน้ึ ทาขน้ึ จากสตปิ ญั ญาและความสามารถ
ของชาวบ้านเองเพ่ือใช้ในการแก้ไขปญั หา หรือดาเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับสมัยโดยมี
กระบวนการสงั่ สมสบื ทอดและกลนั่ กรองกนั มายาวนาน และมกี ารประสมประสานกนั เป็นเหลย่ี มมณี
ทจ่ี รสั แสงคงทนและทา้ ทายตลอดกาลเวลา

ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หมายถงึ มวลความรแู้ ละมวลประสบการณ์ของชาวบ้านท่ใี ช้ในการ
ดารงชวี ติ ใหเ้ ป็นสุขโดยไดร้ บั การถ่ายทอด สงั่ สมกนั มาโดยผ่านกระบวนการพฒั นาใหส้ อดคลอ้ งกบั
กาลสมยั ๒๑

ด้านภมู ิปัญญาท้องถ่ิน

ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ (Local Wisdom) หรอื ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น (Popular Wisdom) เป็น
องคค์ วามรคู้ วามสามารถของชาวบา้ นทส่ี งั่ สม สบื ทอดกนั มาอนั เป็นศกั ยภาพหรอื ความสามารถท่ีจะ
ใช้แก้ปญั หา ปรบั ตวั เรยี นรู้และมกี ารสบื ทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ หรอื คอื แก่นของชมชน ท่จี รรโลง
ชมุ ชนใหอ้ ยรู่ อดจนถงึ ปจั จบุ นั

ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน (Local Wisdom) หรอื ภมู ิปัญญาชาวบ้าน (Popular Wisdom) คอื
ความรทู้ เ่ี กดิ จากประสบการณ์ในชวี ติ ของคนเราผ่านกระบวนการศกึ ษา สงั เกต คิด วเิ คราะห์ จน
เกิดปญั ญาและตกผลกึ มาเป็นองค์ความรู้ท่ปี ระกอบกนั ขน้ึ มา จากความรู้เฉพาะหลายๆ เร่อื ง
ความรู้ดงั กล่าวไม่ได้แยกย่อยออกมาให้เห็นเป็นศาสตร์เฉพาะสาวิชาต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าภูมิ
ปญั ญาท้องถน่ิ จดั เป็นพ้นื ฐานขององค์ความรู้สมยั ใหม่ท่จี ะช่วยในการเรยี นรู้ การแก้ปญั หา การ
จดั การ และการปรบั ตวั ในการดาเนินชวี ติ ของคนเรา ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เป็นความรทู้ ม่ี อี ย่ทู วั่ ไปใน
สงั คม ชุมชนและในตวั ของผู้รู้เอง หากมกี ารสบื ค้นหาเพ่อื ศึกษาและนามาใช้ก็จะเป็นท่รี ู้จกั กนั
เกดิ การยอมรบั ถ่ายทอด และพฒั นาไปส่คู นรนุ่ ใหมต่ ามยุคตามสมยั ได๒้ ๒

จากการสมั มนาของนิสติ ภาควชิ าประถมศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
เร่อื ง “ภูมปิ ญั ญาท้อถน่ิ ช่วยพฒั นาการศกึ ษาได้อย่างไร” ได้ให้ความหมายของภูมปิ ญั ญาชาวบา้ น
หรอื ภูมิปญั ญาท้องถ่ินคือกระบวนการปรบั เปล่ยี นแบบแผนการดาเนินชีวิตของบุคคลซ่ึงอยู่ใน

๒๑ องั กูล สมคะเนย์, สภาพและปญั หาการนาภูมปิ ญั ญาชาวบ้านมาใชพ้ ฒั นาหลกั สูตรในโรงเรยี น ประถมศกึ ษาสงั กดั
สานกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวดั อุบลราชธานี, ปริญญานิพนธค์ รศุ าสตร มหาบณั ฑิต, สาขานิเทศการศกึ ษาและพฒั นาหลกั สตู ร,

(กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕), ถ่ายเอกสาร.
๒๒ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, กรมวชิ าการ, แนวทางการจดั การเรียนการสอนโดยใช้ภมู ิปัญญาท้องถิน่ , (กรุงเทพมหานคร

: กองวจิ ยั ทางการศกึ ษา, ม.ป.ป.), เอกสารอดั สาเนา.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๕๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ท้องถ่ิน ให้สามารถดาเนินชวี ติ อย่างมคี วามสุขหรอื สามารถแท้ปญั หาการดาเนินชวี ติ ของคนให้
สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปแต่ละยคุ สมยั ๒๓

ภมู ิปัญญาท้องถิน่ หมายถงึ กระบวนทศั น์ของบุคคลทม่ี ตี ่อตนเอง ต่อโลกและสง่ิ แวดลอ้ ม
ซ่งึ กระบวนทศั น์ดงั กล่าวจะมรี ากฐานจากคาสอนของศาสนา คติ จารตี ประเพณี ท่ไี ด้รบั การ
ถ่ายทอดสงั่ สอนและปฏบิ ตั ิสบื เน่ืองกนั มาปรบั เปล่ยี นเขา้ กบั บรบิ ททางสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงแต่ละ
สมยั ทงั้ น้ีโดยมเี ป้าหมายเพ่อื ความสงบสุขของคนในส่วนท่ีเป็นชุมชน และปจั เจกบุคคล ซ่งึ
กระบวนทศั น์ทเ่ี ป็นภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ จาแนกออกได้ ๓ ลกั ษณะ คอื ๒๔

ลกั ษณะที่ ๑ ภูมปิ ญั ญาเก่ยี วกบั การจดั การวดั ความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษยก์ บั ธรรมชาติ
แวดลอ้ ม

ลกั ษณะท่ี ๒ ภูมปิ ญั ญาเก่ยี วกบั ระบบสงั คมหรอื การจดั ความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษยก์ บั
มนุษย์

ลกั ษณะท่ี ๓ ภูมปิ ญั ญาเกย่ี วกบั ระบบการผลติ หรอื การประกอบอาชพี ทม่ี ลี กั ษณะม่งุ เน้น
ระบบการผลติ เพ่อื พง่ึ พาตนเอง

ดี เอม วอเรน (D.M.Warren ๑๙๘๙) จากหนงั สอื ช่อื “การถ่ายโยงงานวจิ ยั ดา้ นเกษตร
สากลกบั การพฒั นา” ไดใ้ ชค้ าภมู ิปัญญาท้องถ่ิน ในความหมายว่าเป็นระบบเกษตรกรรมในทอ้ งถนิ่
ซ่งึ พฒั นามาแล้วช่วงระยะเวลาหน่ึงด้วยรูปแบบของการเพาะปลูกท่มี พี ้นื ฐานมาจากความรู้ด้าน
การเกษตรทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั กิ นั มาในทอ้ งถน่ิ นนั้ ระบบดงั กล่าวทม่ี คี วามสมดุลลงตวั โดยปรบั เปลย่ี นใหเ้ ขา้
กบั สภาพแวดลอ้ มและได้รบั อทิ ธพิ ลจากนวตั กรรมต่างๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในตวั ระบบเองรวมทงั้ รบั มาจาก
ภมู ปิ ญั ญาทอ่ี ่นื ทงั้ ระบบเกษตรระดบั ชาติ และนานาชาติ วอเรน ใชค้ าว่าภมู ิปัญญาท้องถิ่น แทน
คาว่า วฒั นธรรม เพ่อื หลกี เลย่ี งความหมายทม่ี กั นยิ มกนั ทางตะวนั ตกว่า หมายถงึ ระบบทห่ี ยดุ น่ิงไม่
เปลย่ี นแปลง๖

ความหมายของภมู ิปัญญาไทย

ภูมิปัญญาไทยนัน้ ด้านหน่ึงนอกจากจะเป็นเร่อื งของพ้ืนภูมิธรรมแล้ว ยงั หมายถึง
ศกั ยภาพในการประสานความรใู้ หมม่ าใชป้ ระโยชน์ดว้ ย ซง่ึ เออ้ื ใหเ้ กดิ ทางเลอื กใหม่ทม่ี ลี กั ษณะสากล
และลกั ษณะเฉพาะของเราเอง

คาว่า ภูมิปัญญาไทย นัน้ ด้านหน่ึงนอกจากจะเป็นเร่อื งราวของพ้ืนภูมิเดิมแล้ว ยงั
หมายถงึ ศกั ยภาพในการประสานความรใู้ หม่ๆ มาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ดว้ ย ซง่ึ เออ้ื ใหเ้ กดิ ทางเลอื ก
ใหมท่ ม่ี ลี กั ษณะสากลและลกั ษณะเฉพาะของเราเอง

๒๓ องั กลู สมคะเนย,์ อา้ งแลว้ .
๒๔ รตั นะ บวั สนธ,ิ ์ การพฒั นาหลกั สูตรท้องถิ่นระดบั ประถมศึกษาแนวคิดและปฏิบตั ิการสารพฒั นาหลกั สูตร,
(พษิ ณุโลก : มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, กนั ยายน-ตุลาคม ๒๕๓๕. ม.ป.ท. เอกสารอดั สาเนา.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ในความหมายทใ่ี กลเ้ คยี งกนั น้ี เสรี พงศ์พศิ ได้ให้ความหมายของภูมปิ ญั ญาไทยไวว้ ่า
ภมู ิปัญญาไทย หมายถงึ องคค์ วามรใู้ นด้านต่างๆ ของการดารงชีวิตของคนไทยท่ีเกิดจากการ
สะสมประสบการณ์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ประกอบกบั แนวความคดิ วเิ คราะหใ์ นการแกป้ ญั หา
ต่างๆ ของตนเอง จนเกดิ การหลอมรวมเป็นแนวคดิ ในการแก้ไขปญั หาทเ่ี ป็นลกั ษณะของตนเองท่ี
สามารถพฒั นาความรู้ดงั กล่าวมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกบั กาลสมยั ในการแก้ปญั หาของการ
ดารงชวี ติ ๒๕

เอกวิทย์ ณ ถลาง ไดอ้ ธบิ ายภมู ปิ ญั ญาไทยว่าเป็นผลของประสบการณ์ทส่ี งั่ สมของคนท่ี

เรยี นรจู้ ากปฏสิ มั พนั ธก์ บั สงิ่ แวดลอ้ ม ปฏสิ มั พนั ธใ์ นกลุ่มชนเดยี วกนั และระหว่างกลุ่มชุมชนหลายๆ
ชาตพิ นั ธ์ รวมไปถงึ โลกทศั น์ท่มี ตี ่อสง่ิ เหนือธรรมชาติ ภูมปิ ญั ญาเหล่าน้ีเคยเอ้อื อานวยให้คนไทย
แก้ปญั หาได้ดารงอยู่ และสร้างสรรค์อารยธรรมของเราเองได้อย่างมีดุลยภาพกับส่ิงแวดล้อม
โดยเฉพาะในระดบั พน้ื ฐานหรอื ระดบั ชาวบ้าน ภูมปิ ญั ญาในแผ่นดนิ น้ีมไิ ดเ้ กดิ ขน้ึ เป็นเอกเทศ แต่มี
ส่วนแลกเปลย่ี นเลอื กเฟ้นและปรบั ใชภ้ มู ปิ ญั ญาจากอารยธรรมอ่นื ตลอดมา๒๖

ธนาคารไทยพาณชิ ย์ มแี นวความคดิ เก่ยี วกบั ภูมปิ ญั ญาไทยว่า “ในช่วงทส่ี งั คมไทยอย่ใู น
ภาวะทก่ี าลงั รบั วฒั นธรรมจากภายนอก เกดิ การหลงลมื ตวั และแก่นแทใ้ นความเป็นไทย ทาอย่างไร
จงึ จะสามารถช้ีแนวทางสร้างความมนั่ ใจให้กับเขาเหล่านัน้ ว่า จุดยนื ของพวกเขามาจากไหน
รากเหง้าของความเป็นไทยเกิดจากการสงั่ สมภูมปิ ญั ญาของคนโบราณท่ไี ด้เรยี นรูส้ ิ่งต่างๆ จาก
ประสบการณ์การดารงชวี ติ การผสมผสานของชาตพิ นั ธุแ์ ละสภาพสงั คมอนั หลากหลายมานับพนั ปี
จากประสบการณ์ของคนโบราณได้สร้างรูปแบบของวฒั นธรรมประเพณีท่สี ามารถรบั รองการอยู่
รวมกนั ในสงั คมไทยมาได้อย่างเป็นปึกแผ่นเหล่าน้ีคอื ภูมปิ ญั ญาไทยท่คี นปจั จุบนั ควรตระหนักถงึ
และได้เรยี นรู้ด้วยความภาคภูมิใจและก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างมนั่ ใจในชาติภูมิของตน เพราะ
วฒั นธรรมคอื รากฐานของการพฒั นาสงั คมอย่างมรี ะบบนาไปสู่ความก้าวหน้าของชาตบิ ้านเมอื งใน
อนาคต”

แนวความคิดขอสารคดี “ภูมิปัญญาไทย” จึงเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมโดยการ

ตคี วามหมายอย่างลกึ ซ้งึ ใหเ้ ขา้ ใจถงึ มลู เหตุแห่งการสรา้ งสรรค์อนั อย่างชาญฉลาดแสดงถงึ ความมี
ภมู ปิ ญั ญาของคนไทยในยคุ สมยั หน่งึ ทส่ี ามารถคดิ คน้ สง่ิ ทเ่ี ป็นระเบยี บแบบแผน และมรี ปู แบบเป็นท่ี
ยอมรบั กนั ภายในสงั คม เพ่อื เอ้อื ประโยชน์ต่อการดารงชติ อย่รู วมกนั ในสงั คมนัน้ ๆ ทงั้ ยงั มคี ุณค่า
งดงามในรปู แบบของงานศลิ ปะผลงานจากภมู ปิ ญั ญาของคนไทยโบราณจะปรากฏคุณค่าเด่นชดั และ
นาหวงแหน เม่อื เราได้ประจกั ษ์ชดั ถงึ ความสมั พนั ธส์ อดคล้องระหว่างศลิ ปวฒั นธรรม ประเพณีกบั
สภาพความเป็นอยแู่ ละวถิ ชี ติ ของผคู้ น ในสงั คมแต่ละยคุ สมยั

๒๕ เสรี พงศพ์ ศิ , คนื ส่รู ากเหง้าทางเลือกและทศั นวิจารณ์วา่ ดว้ ยภมู ิปัญญาชาวบา้ น, (กรุงเทพมหานคร : เทยี นวรรณ
, ๒๕๓๔), หน้า ๓๓.

๒๖ เอกวทิ ย์ ณ ถลาง, ภมู ิปัญญาชาวบา้ น, วิถีและกระบวนการเรียนร้-ู แกป้ ัญหาของชาวบา้ นไทย, (กรุงเทพมหานคร
: มลู นิธภิ มู ปิ ญั ญา, ๒๕๔๑), หน้า ๓๙-๔๐.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ลกั ษณะของภมู ิปัญญา

ภูมปิ ญั ญา มลี กั ษณะเป็นนามธรรมอยา่ งน้อยต้องประกอบดว้ ยองค์ประกอบต่างๆ เหล่าน้ี
คอื ๒๗

๑. ความคิด เป็นสง่ิ ทต่ี ดิ ตวั มาแต่กาเนิด ทเ่ี รยี กว่า Cognitive System ซง่ึ ประกอบดว้ ย
ระบบประสาท ระบบสมอง และต่อมต่างๆ ทาหน้าทค่ี ดิ ให้แก่ร่างกายและนักมานุษยวทิ ยาเช่อื ว่า
ทางานอย่นู อกเหนือจากการบงการของร่างกาย หมายถงึ ทงั้ ส่วนท่เี ป็นจนิ ตนาการและผลของการ
วเิ คราะห์และสงั เคราะห์จากสภาพแวดล้อมทงั้ ทางธรรมชาติและสงั คมวฒั นธรรม ซ่งึ ความคิด
ดงั กล่าวน้ีจะเป็นแหลง่ สาคญั หรอื ทม่ี าของความรอู้ นั เป็นองคป์ ระกอบของภมู ปิ ญั ญาในลาดบั ถดั ไป

๒. ความรู้ มกี ารนามาใช้ในลกั ษณะต่างๆ เช่น องค์ความรู้ ภูมริ ู้ ปรากฏอยู่ในแนวคดิ
ทฤษฏญี าณวทิ ยาทว่ี ่าดว้ ยทฤษฏแี ห่งความรู้ การสบื คน้ กาเนดิ แห่งความรู้ และธรรมชาตขิ องความรู้
การหาคาตอบวา่ ตรงกบั ความเป็นจรงิ หรอื ไม่ หรอื ว่าความรเู้ ป็นเพยี งการพจิ ารณาเทยี บเคยี ง ซง่ึ ไม่
ตรงกบั ข้อเท็จจรงิ และยงั สบื ค้นความรู้เร่อื งกาล (Time) อวกาศ (Space) เน้ือสาร (Substance)
สมั พนั ธภาพ (Relation) และความเป็นเหตุเป็นผล (Causality) องคค์ วามรเู้ ป็นหมวดๆ (Category)
ความรู้ หรอื องคค์ วามรเู้ ป็นองคป์ ระกอบส่วนหน่ึงของภมู ปิ ญั ญาทก่ี ล่าวขา้ งตน้

๓. ความเชื่อ เป็นพน้ื ฐานสาคญั ยงิ่ ของสงั คมมนุษย์ มนุษยแ์ ต่ละกลุ่มมคี วามเช่อื แตกต่าง
กนั ไป ซ่งึ ความเช่อื ก็คอื ความศรทั ธาหรอื ยดึ มนั่ ถอื มนั่ ซ่งึ เป็นแกนสาคญั ในการดาเนินชวี ติ และ
ความมนั่ คงของสงั คม ความเช่อื มอี ย่หู ลายระดบั ทงั้ ในการดาเนินชวี ติ ประจาวนั อนั เป็นความเช่อื
โดยทวั่ ไป และความเช่ือท่เี ก่ยี วกบั วญิ ญาณ โลกน้ี โลกหน้า ความดี ความชวั่ นรก สวรรค์ บาป
บญุ คณุ โทษ ซง่ึ เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ยงิ่ ในภมู ปิ ญั ญา

๔. ค่านิ ยม คอื สงิ่ ทค่ี นสนใจ ความปรารถนาอยากจะมี อยากจะเป็นท่ยี กยอ่ ง สรรเสรญิ
หรอื เป็นสง่ิ ท่บี งั คบั ต้องทา ต้องปฏบิ ตั ิ มคี วามรกั และมคี วามสุขเม่อื ได้เหน็ หรอื ได้สงิ่ เหล่านัน้ มา
ค่านิยมจงึ เป็นพน้ื ฐานของการจดั รปู แบบพฤตกิ รรมทป่ี รากฏอยภู่ ายใน และแสดงออกเป็นพฤตกิ รรม
ในลกั ษณะต่างๆ ทางกาย วาจา และความคดิ โดยสรปุ ค่านยิ มเป็นพน้ื ฐานสาคญั ทางภูมปิ ญั ญา เป็น
บ่อเกดิ พฤตกิ รรมของบุคคลแต่ละสงั คม

๕. ความเหน็ คอื ภาวะทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั จากบุคคลหรอื ชุมชน ไดพ้ จิ ารณาและใคร่ครวญโดย
รอบคอบแลว้ จงึ ลงมตติ ดั สนิ ใจ วา่ ควรจะแสดงออกในลกั ษณะอยา่ งไร เช่น เหน็ ดว้ ย ทาตาม ยอมรบั
ปฏเิ สธ ร่วมมอื กระทาหรอื ดาเนินการ ดว้ ยเหน็ ว่าดี ชวั่ เหมาะสม ไม่เหมาะสม เป็นบาป เป็นบุญ
เป็นตน้ ซง่ึ ความเหน็ ในลกั ษณะดงั กล่าวน้เี ป็นภมู ปิ ญั ญาประการหน่ึงทม่ี ผี ลสาคญั ยงิ่ ต่อพฤตกิ รรมท่ี
แสดงออกมาทงั้ กาย วาจา และจติ ใจ

๒๗ เอ่ียม ทองด,ี มรดกธรรมชาติกบั ภมู ิปัญญาพื้นบ้าน, วารสารเพ่อื การศกึ ษาและเผยแพร่ภาษาและวฒั นธรรม,
(สถาบนั วจิ ยั ภาษาและวฒั นธรรมเพอ่ื พฒั นาชนบท มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๔๑), หน้า ๕-๖.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๖. ความสามารถ หมายถงึ ศกั ยภาพและประสทิ ธภิ าพทม่ี อี ยภู่ ายในบุคคล เช่น ชุมชนใน
การท่จี ะจดั การเร่อื งใดเร่อื งหน่ึงในลกั ษณะเดยี วกบั สงิ่ ท่เี รยี กว่า “พรสวรรค์” ซ่งึ เป็นผลมาจาก
ลกั ษณะทางกายและจติ ใจรว่ มกนั โดยแต่ละคนหรอื ชมุ ชนยอ่ มจะตอ้ งมแี ตกต่างกนั เช่น การทบ่ี งคน
สามารถปาฐกถาได้ดี ลาดบั เน้ือหาและการแสดงทุกอย่างเป็นท่ชี ่นื ชม ซ่งึ ถือว่าเป็นผลมาจาก
ความสามารถทม่ี อี ยใู่ นบคุ คลนนั้ ๆ ฉะนนั้ ความสามารถจงึ เป็นภมู ปิ ญั ญาอกี ประการหน่งึ

๗. ความฉลาดไหวพริบ หมายถงึ ทกั ษะทป่ี รากฏอย่ภู ายในจติ ใจ หรอื จติ วญิ ญาณ เป็น
สงิ่ ท่สี ามารถนามาใช้แก้ไขป้องกนั ควบคุมเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ใหเ้ กดิ เป็นปญั หาข้นึ หรอื ให้เป็นไป
ตามทต่ี นเองหรอื ชมุ ชนตอ้ งการ

ดงั นนั้ องคป์ ระกอบของภมู ปิ ญั ญาจงึ มสี ่วนสาคญั ทจ่ี ะทาใหภ้ ูมปิ ญั ญาทม่ี อี ยเู่ กดิ คุณค่าแก่
ความภาคภูมใิ จซ่งึ ได้แก่ ความคิดท่เี กิดจากการจนิ ตนาการจากสภาพแวดล้อมท่มี อี ยู่ในสงั คม
ความรูอ้ าจเกิดจากภูมคิ วามรูท้ ่ไี ด้จากการทดสอบทดลองหลายครงั้ จนได้ความรู้ท่แี ท้จรงิ ความ
เช่อื ถอื อนั เป็นพน้ื ฐานในการดารงชวี ติ ทม่ี บี าปบญุ คณุ โทษ และจติ วญิ ญาณเขา้ มาเก่ยี วขอ้ งค่านิยมท่ี
คนในสงั คมให้การยกย่องเชดิ ชูว่าเป็นสง่ิ ดงี าม ควรค่าแก่การอนุรกั ษ์ให้มกี ารสบื ทอดแก่ลูกหลาน
ความเหน็ ท่เี กดิ จากพจิ ารณารอบคอบจากชุมชนจนเกดิ การยอมรบั ดว้ ยความจรงิ ใจ ความสามารถ
อนั เกดิ จากพรสวรรคห์ รอื จากการฝึกฝนจนสามารถแกป้ ญั หาของชุมชนได้ ความฉลาดไหวพรบิ การ
แก้ไข เช่นกนั ยอ่ มเกดิ ขน้ึ จากจนิ ตนาการ ความรู้ ความสามารถ ความเช่อื และค่านิยม การสงั่ สม
ประสบการณ์ดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวมาแลว้ จนสามารถสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละสงั เคราะหใ์ หมใ่ หม้ คี วามกา้ วหน้า
และนามาใชง้ านไดด้ มี ปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ขน้ึ

ภมู ิปัญญาเหล่านี้สะท้อนออกมาเป็น ๓ ลกั ษณะท่ีสมั พนั ธใ์ กล้ชิดกนั คือ

๑. ความสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กนั คอื ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนกบั โลก สงิ่ แวดลอ้ ม สตั ว์ พชื
ธรรมชาติ

๒. ความสมั พนั ธก์ บั คนอ่นื ๆ ทร่ี ว่ มกนั ในสงั คมหรอื ในชมุ ชน

๓. ความสมั พนั ธก์ บั สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์สงิ่ เหนือธรรมชาติ สง่ิ ทไ่ี มส่ ามารถสมั ผสั ได้

ความสาคญั ของภมู ิปัญญาท้องถิ่น สามารถสรปุ ได้เป็น ๔ ประการ คือ๒๘

๑. ความรู้และระบบความรู้ ภูมปิ ญั ญาไม่ใช่สง่ิ ท่เี กิดแวบข้นึ มาในหวั แต่เป็นระบบ
ความรทู้ ช่ี าวบา้ น มองเหน็ ความสมั พนั ธข์ องสงิ่ ต่างๆ เป็นระบบความรทู้ ไ่ี มเ่ ป็นวทิ ยาศาสตร์ ฉะนนั้
ในการศกึ ษาเขา้ ไปดูว่าชาวบ้าน “รอู้ ะไร” อย่างเดยี วไมพ่ อตอ้ งศกึ ษาดว้ ยว่าเขาเหน็ ความสมั พนั ธ์
ของสงิ่ ต่างๆ เหลา่ นนั้ อยา่ งไร

๒. การสงั่ สมและการกระจายความรู้ ภูมปิ ญั ญาเกดิ จากการสงั่ สม และกระจาย ความรู้
ความรนู้ นั้ ไมไ่ ดล้ อยอยเู่ ฉยๆ แต่ถูกนามาบรกิ ารคนอ่นื เช่นหมอพ้นื บา้ น ชุมชน สงั่ สมความรทู้ าง

๒๘ นิธิ เอ่ยี วศรวี งศ์, การศึกษาของชาติกบั ภมู ิปัญญาท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตร้นิ , ๒๕๓๖), หน้า
๓.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

การแพทย์ไว้ในตวั คนๆ หน่ึง โดยมกี ระบวนการท่ที าให้เขาสงั่ สมความรู้ เราควรศึกษาด้วยว่า
กระบวนการน้เี ป็นอยา่ งไร หมอคนหน่งึ สามารถสรา้ งหมอคนอ่นื ต่อมาไดอ้ ย่างไร

๓. การถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ไม่ได้มีสถาบันถ่ายทอดความรู้แต่มี
กระบวนการถ่ายทอดท่ี ซบั ซอ้ น ถา้ เราต้องการเขา้ ใจภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ เราตอ้ งเขา้ ใจกระบวนการ
ถ่ายทอดความรจู้ ากคนรนุ่ หน่งึ ไปสคู่ นอกี รุ่นหน่งึ ดว้ ย

๔. การสร้างสรรคแ์ ละปรบั ปรงุ ระบบความรขู้ องชาวบ้านไม่ได้หยุดน่ิงอยู่กบั ทแ่ี ต่ถูก
ปรบั เปล่ยี น ตลอดมา โดยอาศยั ประสบการณ์ของชาวบ้านเอง เรายงั ขาดการศึกษาว่าชาวบ้าน
ปรบั เปลย่ี นความรู้ และระบบความรเู้ พ่อื เผชญิ กบั ความเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร

กล่มุ ของภมู ิปัญญาท้องถ่ิน มี ๔ กล่มุ คือ๒๙

๑. คติ ความคดิ ความเช่อื และหลกั การ เป็นพน้ื ฐานขององคค์ วามรู้ ทถ่ี ่ายทอดกนั มา

๒. ศลิ ปะ วฒั นธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณีท่เี ป็นแบบแผนของการดาเนินชวี ติ ท่ี
ปฏบิ ตั ิ สบื ทอดกนั มา

๓. การประกอบอาชพี ในแต่ละทอ้ งถน่ิ ทไ่ี ดร้ บั การพฒั นาใหเ้ หมาะสมกบั กาลสมยั

๔. แนวคดิ หลกั ปฏบิ ตั แิ ลเทคโนโลยสี มยั ใหม่ทช่ี าวบา้ นนามาใชใ้ นชุมชนเป็นอทิ ธพิ ล ของ
ความกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คณุ ค่าของภมู ิปัญญาไทย
คุณค่าของภูมปิ ญั ญาไทย ได้แก่ประโยชน์ และความสาคญั ของภูมปิ ญั ญา ทบ่ี รรพบุรุษ
ไทย ไดส้ รา้ งสรรค์ และสบื ทอดมาอยา่ งต่อเน่อื งจากอดตี ส่ปู จั จบุ นั ทาใหค้ นในชาตเิ กดิ ความรกั และ
ความภาคภูมิใจ ท่ีจะร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่นโบราณสถาน โบราณวัตถุ
สถาปตั ยกรรม ประเพณีไทย การมนี ้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นตน้ ภูมปิ ญั ญา
ไทยจงึ มคี ุณคา่ และความสาคญั ดงั น้ี๓๐

๑. ภมู ิปัญญาไทยช่วยสร้างชาติให้เป็นปึ กแผน่
พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปญั ญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่
ประเทศชาตมิ าโดยตลอด ตงั้ แต่สมยั พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช พระองคท์ รงปกครองประชาชน ดว้ ย
พระเมตตา แบบพ่อปกครองลกู ผใู้ ดประสบความเดอื ดรอ้ น กส็ ามารถตรี ะฆงั แสดงความเดอื ดรอ้ น
เพอ่ื ขอรบั พระราชทานความชว่ ยเหลอื ทาใหป้ ระชาชนมคี วามจงรกั ภกั ดตี ่อพระองค์ ต่อประเทศชาติ
รว่ มกนั สรา้ งบา้ นเรอื นจนเจรญิ รงุ่ เรอื งเป็นปึกแผ่น

๒๙ นิคม ชมพูหลง, วิธีการและขัน้ ตอนการพัฒนาหลกั สูตรท้องถ่ินและการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา,
(มหาสารคาม : อภชิ าตการพมิ พ,์ ๒๕๔๒), หน้า ๑๓๑.

๓๐ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน เล่ม ๒๓, เร่ืองท่ี ๑ ภมู ิปัญญาไทย, คุณค่าและ โครงการสารานุกรมไทยสาหรบั

เ ย า ว ช น โ ด ย พ ร ะ ร า ช ป ร ะ ส ง ค์ ใ น พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ หั ว , [ อ อ น ไ ล น์ ] , แ ห่ ง ข้ อ มู ล :

http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?page=main&book=23, [๙ สงิ หาคม ๒๕๕๗]

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระองคท์ รงใชภ้ มู ปิ ญั ญากระทายุทธหตั ถี จนชนะขา้ ศกึ ศตั รู
และทรงกอบกูเ้ อกราชของชาตไิ ทยคนื มาได้

พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดช รชั กาลปจั จุบนั พระองคท์ รงใชภ้ ูมปิ ญั ญา
สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้พระปรชี า
สามารถ แกไ้ ขวกิ ฤตการณ์ทางการเมอื ง ภายในประเทศ จนรอดพน้ ภยั พบิ ตั หิ ลายครงั้ พระองคท์ รง
มพี ระปรชี าสามารถหลายดา้ น แมแ้ ต่ดา้ นการเกษตร พระองคไ์ ดพ้ ระราชทานทฤษฎใี หม่ใหแ้ ก่พสก
นิกร ทัง้ ด้านการเกษตรแบบสมดุลและยงั่ ยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเย็นของ
ประชาชนใหก้ ลบั คนื มา แนวพระราชดาริ “ทฤษฎีใหม่” แบ่งออกเป็น ๓ ขนั้ โดยเรม่ิ จาก ขนั้ ตอน
แรก ให้เกษตรกรรายย่อย "มพี ออยู่พอกนิ " เป็นขนั้ พ้นื ฐาน โดยการพฒั นาแหล่งน้า ในไร่นา ซ่งึ
เกษตรกรจาเป็นทจ่ี ะตอ้ งไดร้ บั ความช่วยเหลอื จากหน่วยราชการ มลู นิธิ และหน่วยงานเอกชน รว่ ม
ใจกนั พฒั นาสงั คมไทย ในขนั้ ทส่ี อง เกษตรกรต้องมคี วามเขา้ ใจ ในการจดั การในไร่นาของตน และมี
การรวมกลุ่มในรปู สหกรณ์ เพ่อื สรา้ งประสทิ ธภิ าพทางการผลติ และการตลาด การลดรายจา่ ยด้าน
ความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนกั ถงึ บทบาทขององคก์ รเอกชน เมอ่ื กลมุ่ เกษตรววิ ฒั น์มาขนั้ ท่ี ๒ แลว้ ก็
จะมศี กั ยภาพ ในการพฒั นาไปสู่ขนั้ ท่สี าม ซ่งึ จะมอี านาจในการต่อรองผลประโยชน์กบั สถาบัน
การเงนิ คอื ธนาคาร และองคก์ รทเ่ี ป็นเจา้ ของแหล่งพลงั งาน ซง่ึ เป็นปจั จยั หน่ึงในการผลติ โดยมกี าร
แปรรปู ผลติ ผล เช่น โรงสี เพ่อื เพม่ิ มูลค่าผลติ ผล และขณะเดยี วกนั มกี ารจดั ตงั้ รา้ นคา้ สหกรณ์ เพ่อื
ลดค่าใชจ้ ่ายในชวี ติ ประจาวนั อนั เป็นการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของบุคคลในสงั คม จะเหน็ ไดว้ ่า มไิ ด้
ทรงทอดทง้ิ หลกั ของความสามคั คใี นสงั คม และการจดั ตงั้ สหกรณ์ ซง่ึ ทรงสนับสนุนใหก้ ลุ่มเกษตรกร
สรา้ งอานาจต่อรองในระบบเศรษฐกจิ จงึ จะมคี ุณภาพชวี ติ ทด่ี ี จงึ จดั ไดว้ ่า เป็นสงั คมเกษตรทพ่ี ฒั นา
แลว้ สมดงั พระราชประสงคท์ ท่ี รงอุทศิ พระวรกาย และพระสตปิ ญั ญา ในการพฒั นาการเกษตรไทย
ตลอดระยะเวลาแหง่ การครองราชย์

๒. สร้างความภาคภมู ิใจ และศกั ด์ิศรี เกียรติภมู ิแก่คนไทย

คนไทยในอดตี ท่มี คี วามสามารถปรากฏในประวตั ิศาสตรม์ มี าก เป็นท่ยี อมรบั ของนานา
อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนกั มวยไทย ทม่ี ฝี ีมอื เก่งในการใชอ้ วยั วะทุกส่วน ทุกท่าของแม่
ไมม้ วยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมา่ ไดถ้ งึ เกา้ คนสบิ คนในคราวเดยี วกนั แมใ้ นปจั จบุ นั มวย
ไทยก็ยงั ถอื ว่า เป็นศลิ ปะชนั้ เย่ยี ม เป็นท่ี นิยมฝึกและแข่งขนั ในหมู่คนไทยและชาวต่าง ประเทศ
ปจั จบุ นั มคี า่ ยมวยไทยทวั่ โลกไมต่ ่ากวา่ ๓๐,๐๐๐ แห่ง ชาวต่างประเทศทไ่ี ดฝ้ ึกมวยไทย จะรสู้ กึ ยนิ ดี
และภาคภมู ใิ จ ในการทจ่ี ะใชก้ ตกิ า ของมวยไทย เช่น การไหวค้ รมู วยไทย การออก คาสงั่ ในการชก
เป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า “ชก” “นับหนึ่งถึงสิบ” เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมปิ ญั ญาไทย
นอกจากน้ี ภูมิปญั ญาไทยท่ีโดด เด่นยงั มีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิปญั ญาทาง ภาษาและ
วรรณกรรม โดยท่มี อี กั ษรไทยเป็นของ ตนเองมาตงั้ แต่สมยั กรุงสุโขทยั และววิ ฒั นาการมาจนถงึ
ปจั จบุ นั วรรณกรรมไทยถอื ว่า เป็นวรรณกรรมทม่ี คี วามไพเราะ ไดอ้ รรถรสครบทุกดา้ น วรรณกรรม
หลายเรอ่ื งไดร้ บั การแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารท่ปี รุงง่าย พชื ท่ใี ช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพชื
สมุนไพร ทห่ี าไดง้ า่ ยในทอ้ งถน่ิ และราคาถูก มี คุณค่าทางโภชนาการ และยงั ป้องกนั โรคไดห้ ลาย
โรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพชื สมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขงิ ข่า กระชาย ใบมะกรูด ใบ
โหระพา ใบกะเพรา เป็นตน้

๓. สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่าง
เหมาะสม

คนไทยส่วนใหญ่นับถอื ศาสนาพุทธ โดยนาหลกั ธรรมคาสอนของศาสนา มาปรบั ใช้ในวถิ ี
ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ทาใหค้ นไทยเป็นผอู้ ่อนน้อมถ่อมตน เออ้ื เฟ้ือเผ่อื แผ่ ประนีประนอม รกั สงบ
ใจเยน็ มคี วามอดทน ใหอ้ ภยั แก่ผูส้ านึกผดิ ดารงวถิ ชี วี ติ อย่างเรยี บง่าย ปกตสิ ุข ทาใหค้ นในชุมชน
พ่งึ พากนั ได้ แมจ้ ะอดอยากเพราะ แห้งแลง้ แต่ไม่มใี ครอดตาย เพราะพ่งึ พาอาศยั กนั แบ่งปนั กนั
แบบ "พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้" เป็นต้น ทัง้ หมดน้ีสืบเน่ืองมาจากหลักธรรมคาสอนของ
พระพุทธศาสนา เป็นการใช้ภูมปิ ญั ญา ในการนาเอาหลกั ของพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้กบั
ชวี ติ ประจาวนั และดาเนินกุศโลบาย ด้านต่างประเทศ จนทาใหช้ าวพุทธทวั่ โลกยกย่องให้ประเทศ
ไทยเป็นผู้นาทางพุทธศาสนา และเป็นท่ตี งั้ สานักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิกสมั พนั ธ์ แห่งโลก
(พสล.) อย่เู ยอ้ื งๆ กบั อุทยานเบญจสริ ิ กรุงเทพมหานคร โดยมคี นไทย (ฯพณฯ สญั ญา ธรรมศกั ดิ ์
องคมนตร)ี ดารงตาแหน่งประธาน พสล. ต่อจาก ม.จ.หญงิ พนู พศิ มยั ดศิ กุล

๔. สร้างความสมดลุ ระหว่างคนในสงั คม และธรรมชาติได้อย่างยงั่ ยืน

ภูมปิ ญั ญาไทยมคี วามเด่นชดั ในเร่อื งของการยอมรบั นับถือ และให้ความสาคญั แก่คน
สงั คม และธรรมชาตอิ ยา่ งยงิ่ มเี ครอ่ื งชท้ี แ่ี สดงใหเ้ หน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนมากมาย เช่น ประเพณไี ทย ๑๒
เดอื น ตลอดทงั้ ปี ลว้ นเคารพคุณค่าของธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง
เป็นตน้ ประเพณสี งกรานตเ์ ป็นประเพณที ท่ี าใน ฤดูรอ้ นซง่ึ มอี ากาศรอ้ น ทาใหต้ อ้ งการความเยน็ จงึ
มกี ารรดน้าดาหวั ทาความสะอาดบา้ นเรอื น และธรรมชาตสิ งิ่ แวดล้อม มกี ารแห่นางสงกรานต์ การ
ทานายฝนว่าจะตกมากหรอื น้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณค่าอย่ทู ก่ี ารบูชา ระลกึ ถงึ
บุญคุณของน้า ท่หี ล่อเล้ยี งชีวติ ของ คน พชื และสตั ว์ ให้ได้ใช้ทงั้ บรโิ ภคและอุปโภค ในวนั ลอย
กระทง คนจงึ ทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตวั อย่างขา้ งต้น ล้วนเป็น ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งคนกบั สงั คมและธรรมชาติ ทงั้ สน้ิ

ในการรกั ษาป่าไม้ต้นน้าลาธาร ได้ประยุกต์ให้มปี ระเพณีการบวชป่า ให้คนเคารพส่ิง
ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ธรรมชาติ และสภาพแวดลอ้ ม ยงั ความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้า ลาธาร ใหฟ้ ้ืนสภาพกลบั คนื
มาไดม้ าก

อาชพี การเกษตรเป็นอาชพี หลกั ของคนไทย ทค่ี านึงถงึ ความสมดุล ทาแต่น้อยพออย่พู อ
กนิ แบบ “เฮด็ อยู่เฮด็ กิน” ของพ่อทองดี นันทะ เมอ่ื เหลอื กนิ กแ็ จกญาตพิ ่นี ้อง เพ่อื นบา้ น บา้ น
ใกลเ้ รอื นเคยี ง นอกจากน้ี ยงั นาไปแลกเปลย่ี นกบั สงิ่ ของอย่างอ่นื ทต่ี นไม่มี เม่อื เหลอื ใชจ้ รงิ ๆ จงึ จะ

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

นาไปขาย อาจกล่าวไดว้ ่า เป็นการเกษตรแบบ "กนิ -แจก-แลก-ขาย" ทาใหค้ นในสงั คมไดช้ ่วยเหลอื
เก้ือกูล แบ่งปนั กัน เคารพรัก นับถือเป็นญาติกัน ทัง้ หมู่บ้าน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มี
ความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งแนบแน่น ธรรมชาตไิ มถ่ ูกทาลายไปมากนกั เน่ืองจากทาพออย่พู อกนิ ไม่โลภ
มากและไมท่ าลายทกุ อยา่ งผดิ กบั ในปจั จบุ นั ถอื เป็นภมู ปิ ญั ญาทส่ี รา้ งความ สมดุลระหว่างคน สงั คม
และธรรมชาติ

๕. เปลี่ยนแปลงปรบั ปรงุ ได้ตามยคุ สมยั

แมว้ ่ากาลเวลาจะผ่านไป ความรู้สมยั ใหม่ จะหลงั่ ไหลเข้ามามาก แต่ภูมปิ ญั ญาไทย ก็
สามารถปรบั เปล่ยี นใหเ้ หมาะสมกบั ยุคสมยั เช่น การรู้จกั นาเคร่อื งยนต์มาตดิ ตงั้ กบั เรอื ใส่ใบพดั
เป็นหางเสอื ทาให้เรอื สามารถแล่นได้เรว็ ข้ึน เรยี กว่า เรอื หางยาว การรู้จกั ทาการเกษตรแบบ
ผสมผสาน สามารถพลกิ ฟ้ืนคนื ธรรมชาตใิ ห้ อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดมิ ท่ถี ูกทาลายไป การรู้จกั
ออมเงนิ สะสมทุนให้สมาชกิ กู้ยมื ปลดเปล้อื งหน้ีสนิ และจดั สวสั ดกิ ารแก่สมาชกิ จนชุมชนมคี วาม
มนั่ คง เข้มแขง็ สามารถช่วยตนเองได้หลายร้อยหมู่บ้านทวั่ ประเทศ เช่น กลุ่มออมทรพั ย์คีรวี ง
จงั หวดั นครศรธี รรมราช จดั ในรปู กองทุนหมนุ เวยี นของชมุ ชน จนสามารถชว่ ยตนเองได้

เมอ่ื ป่าถูกทาลาย เพราะถูกตดั โค่น เพ่อื ปลกู พชื แบบเดย่ี ว ตามภูมปิ ญั ญาสมยั ใหม่ ทห่ี วงั
ร่ารวย แต่ในท่สี ุด กข็ าดทุน และมหี น้ีสนิ สภาพแวดลอ้ มสูญเสยี เกดิ ความแหง้ แลง้ คนไทยจงึ คดิ
ปลกู ปา่ ทก่ี นิ ได้ มพี ชื สวน พชื ปา่ ไมผ้ ล พชื สมนุ ไพร ซง่ึ สามารถมกี นิ ตลอดชวี ติ เรยี กว่า “วนเกษตร”
บางพน้ื ท่ี เมอ่ื ป่าชุมชนถูกทาลาย คนในชุมชนกร็ วมตวั กนั เป็นกลุ่มรกั ษาปา่ ร่วมกนั สรา้ งระเบยี บ
กฎเกณฑก์ นั เอง ใหท้ ุกคนถอื ปฏบิ ตั ไิ ด้ สามารถรกั ษาปา่ ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ดงั เดมิ

เมอ่ื ปะการงั ธรรมชาตถิ กู ทาลาย ปลาไม่มที ่อี ยอู่ าศยั ประชาชนสามารถสรา้ ง “อูหยมั ” ขน้ึ
เป็นปะการงั เทยี ม ใหป้ ลาอาศยั วางไข่ และแพรพ่ นั ธุใ์ หเ้ จรญิ เตบิ โต มจี านวนมากดงั เดมิ ได้ ถอื เป็น
การใชภ้ มู ปิ ญั ญาปรบั ปรงุ ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ามยคุ สมยั

จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ ่าสาระสาคญั ของภูมปิ ญั ญาไทยนัน้ มคี วามหมาย ลกั ษณะ
และคุณค่าอย่างไร ทส่ี ะท้อนให้เห็นถงึ แนวคดิ และวถิ กี ารดาเนินชวี ติ ของคนไทยตงั้ แต่อดตี จนถึง
ปจั จบุ นั และจะดาเนินต่อไปในอนาคตอยา่ งไร ทงั้ หมดลว้ นแลว้ แต่เป็นภมู ปิ ญั ญาทส่ี งั่ สมถ่ายทอดสบื
ต่อกนั มาจนเกดิ ความภาคภมู ใิ จในความเป็นไทย๓๑

๓.๓ สาระสาคญั ของศิลปะไทย

วิวฒั นาการของงานศิลปะไทย
พุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๒๐ ตรงกบั ยคุ สมยั ของอาณาจกั รดงั ต่อไปน้ี คอื
- สมยั ทวาราวดี ทเ่ี ชอ่ื ว่ามศี นู ยก์ ลางอยทู่ จ่ี งั หวดั นครปฐม

๓๑ เรอ่ื งเดยี วกนั .

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

- สมยั ศรวี ชิ ยั ซง่ึ นกั ประวตั ศิ าสตรห์ ลายท่านเช่อื ว่าศูนยก์ ลางของอาณาจกั รอย่ทู เ่ี มอื ง ไช
ยา จ.สุราษฎรธ์ านี ซง่ึ มกี ารพบ พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร สารดิ ท่มี ที รวดทรงงดงามเป็นอยา่ งมาก

- สมยั ลพบุรี ซ่งึ ได้รบั อิทธพิ ลจากขอมผสมผสานในงานศิลปะ ศลิ ปะท่โี ดเด่นของยุคน้ี
ไดแ้ ก่ พระปรางคส์ ามยอด จงั หวดั ลพบุรี ปราสาทหนิ พมิ าย จงั หวดั นครราชสมี า ปราสาทหนิ พนม
รงุ้ จงั หวดั บุรรี มั ย์

- สุโขทยั เป็นยุคท่งี านศิลปะไทยไดร้ บั อิทธพิ ลทงั้ ในดา้ นสุนทรยี ะและแนวความคดิ จาก
สกุลช่างในประเทศอนิ เดยี เช่น สกุลศลิ ปะแบบอมั ราวดี สกุลศลิ ปะแบบคปุ ตะหรอื แบบคลาสสกิ และ
สกุลศลิ ปะแบบปาละ

ยุคสุโขทยั เป็นยุคท่งี านศิลปะไทยมคี วามเจรญิ ถึงขดี สุด นับเป็นยุคคลาสสกิ ศลิ ปะไทย
สงั เกตได้จาก พระพุทธรูปสารดิ สุโขทัย ท่มี พี ุทธลกั ษณะอนั งามเลศิ มขี นาดใหญ่โต เช่น พระศรี
ศากยมณุ ี พระประธานทว่ี ดั สุทศั น์เทพวราราม จงึ เป็นยคุ สมยั ท่ศี ลิ ปะไทยมคี วามงดงาม เป็นความ
เรอื งรองของศลิ ปกรรมไทย

พุทธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๓ อยใู่ นชว่ งยคุ สมยั ของอยุธยา เป็นช่วงทม่ี อี ทิ ธพิ ลของขอมปรากฏ
อย่อู ย่างชดั เจน เช่น การสรา้ งปรางค์หรอื ปราสาทแบบขอม การสรา้ งพระพุทธรปู ทรงเคร่อื ง และ
การสรา้ งเจดยี แ์ บบย่อมุมไมส้ บิ สองท่มี คี วามงดงามมากอย่ทู ่วี ดั ชุมพลนิกายาราม เป็นต้น และใน
สมยั อยุธยาน้ีเองทเ่ี รม่ิ มชี าวต่างประเทศ คอื โปรตุเกส ฮอลนั ดา ฝรงั่ เศส เปอรเ์ ซยี อาหรบั ญ่ปี ุ่น
และจนี โดยเฉพาะชาวตะวนั ตกและจนี ชาวต่างประเทศทเ่ี ขา้ มาส่วนใหญ่จะเขา้ มามบี ทบาทในการ
ก่อสรา้ งและปฏริ ปู สถาปตั ยกรรมไทย เช่น การสรา้ งอาคารแบบ ๒ ชนั้ การตดิ ตงั้ น้าพุ การก่อสรา้ ง
ป้อมกาแพงต่างๆ รวมทงั้ มกี ารปูลานหรอื ถนนอิฐ จนทาให้เกดิ รูปแบบของอาคารพุทธศาสนาท่ี
เรยี กว่า “อาคารทรงวลิ นั ดา” (ฮอลนั ดา)

พทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นต้นมา เป็นยคุ ของกรงุ รตั นโกสินทร์ แบ่งเป็น ๓ ช่วง คือ

- สมยั รชั กาลท่ี ๓ เป็นยุคท่เี รมิ่ นิยมนาเอาโครงสรา้ งสถาปตั ยกรรมแบบจนี มาใช้ ในการ
ก่อสรา้ งอาคารโบสถว์ หิ าร ทช่ี ่วยใหส้ ามารถก่อสรา้ งไดส้ ะดวก รวดเรว็ และมขี นาดใหญ่โต เช่น พระ
อุโบสถวดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม และพระวหิ ารวดั กลั ยาณมติ ร จนเกดิ ลกั ษณะสถาปตั ยกรรม
ตามพระราชนิยมรชั กาลท่ี ๓ คอื โบสถ์ วหิ าร จะไม่มชี ่อฟ้า ใบระกา หางหงษ์ มกี ารสรา้ งมณฑป
และซุม้ ประตูทรงมงกุฎ เป็นตน้ นอกจากน้ีรปู แบบของอาคารยงั มลี กั ษณะแตกต่างไปจากแบบเดมิ
คอื ไม่มชี ่อฟ้า ใบระกาหรอื การจาหลกั ไม้ ทงั้ หน้าบนั ดา้ นหน้าและดา้ นหลัง แต่จะก่ออฐิ และปนั้ ปูน
หน้าบนั และบนผนังปูนใชเ้ สานางเรยี งรายด้านขา้ งซา้ ยและขวาเพ่อื รบั น้าหนักชายคาแทนคนั ทวย
และนาคสารวย จงึ นบั เป็นยคุ ทส่ี ถาปตั ยกรรมไทยเจรญิ รงุ่ โรจน์ไปส่รู ปู แบบใหม่

- สมยั รชั กาลท่ี ๔-๕ เป็นยุคทศ่ี ลิ ปะตะวนั ตกเขา้ มาส่ศู ลิ ปะไทยทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง
หลายอย่าง เช่น การเขยี นภาพจติ รกรรมไทยท่มี กี ารเปล่ยี นแปลงทงั้ ในด้านเร่อื งราว จากเร่อื ง
ศาสนา มาเป็นปรศิ นาธรรม ประวตั ศิ าสตร์ หรอื วธิ กี ารใชส้ ี แสง-เงา ลกั ษณะกายวภิ าค ระยะใกล้-

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ไกล ตามธรรมชาติ และมกี ารก่อสรา้ งตกึ อาคารแบบยโุ รป เช่น พระทน่ี งั่ จกั กรมี หาปราสาท ทเ่ี ป็น
ทรงตะวนั ตกผสมแบบไทย อาคารพระท่นี ัง่ อนันตสมาคม ท่สี ร้างเลยี นแบบสถาปตั ยกรรมในยุค
เรอเนซองของอติ าลี และโบสถว์ ดั นิเวศธรรมประวตั ทิ บ่ี างปะอิน สรา้ งเลยี นแบบสถาปตั ยกรรมจาก
อทิ ธพิ ลของศลิ ปะตะวนั ตกทาใหศ้ ลิ ปะมกี ารเปลย่ี นแปลงและเกดิ สถาบนั การสอนศลิ ปะการช่างแบบ
ยุโรป คอื โรงเรยี นเพาะช่างและโรงเรยี นประณีตศลิ ปกรรมของกรมศลิ ปากร เป็นต้น ซง่ึ สถาบนั
เหล่าน้มี บี ทบาทอยา่ งมากในการถ่ายทอดความรทู้ งั้ ศลิ ปะสากลคไู่ ปกบั ศลิ ปะไทย๓๒

ลกั ษณะของงานศิลปะไทย

ถงึ แมว้ ่าศลิ ปะไทยจะไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากประเทศอ่นื ๆ หลายประเทศแต่กไ็ ดพ้ ฒั นารปู แบบ
จนมเี อกลกั ษณ์เป็นของตนเองทม่ี คี วามแตกต่างไปจากชาตติ ะวนั ตก ดงั น้ี คอื

ไม่เน้นความเหมอื นจรงิ ในธรรมชาติ ศลิ ปะไทยแตกต่างไปจากศิลปะตะวนั ตก คอื ศลิ ปะ
ตะวนั ตกนัน้ เป็นแบบธรรมชาตนิ ิยมหรอื ศิลปะแบบ เหมอื นจรงิ Realistic Art แต่ศลิ ปะไทยจะ
ดดั แปลงธรรมชาตไิ ปตามคตนิ ิยม จดั เป็นศลิ ปะแบบ อุดมคติ Idealistic Art หรอื ศลิ ปะไทยประเพณี
ท่คี ิดสร้างสรรค์รูปแบบจากปรชั ญา เช่นความเช่อื ในเร่อื งสวรรค์นรกและกาหนดแบบแผนข้นึ ท่ี
เรยี กว่าแบบครู เช่น มนุษย์ เทพ เทวดา สตั ว์ หรือแม้แต่ธรรมชาติสิง่ แวดล้อมก็จะเป็นแบบท่ี
กาหนดขน้ึ เอง

ได้รบั แรงบลั ดาลใจจากธรรมชาติ เป็นทท่ี ราบกนั อย่แู ลว้ ว่าธรรมชาตนิ ัน้ ไม่ใช่ศลิ ปะ แต่
เป็นตวั กระตุ้นหรอื แรงบนั ดาลใจ ท่เี กิดจากความประทบั ใจในความงาม แล้วถ่ายทอดออกมาใน
รปู แบบต่างๆ ลวดลายไทยบางอย่างกไ็ ดจ้ ากธรรมชาติ ต้นไม้ หรอื สตั ว์ เช่น ลายกนก กไ็ ดแ้ นวคดิ
จากใบไมห้ รอื บางคนกว็ ่าไดจ้ ากลกั ษณะของเปลวไฟ หรอื สตั วใ์ นวรรณคดกี ม็ ตี ้นแบบมาจากสตั วท์ ม่ี ี
อยจู่ รงิ ในธรรมชาติ ผสมกบั จนิ ตนาการของวรรณคดใี นเรอ่ื งต่างๆ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลความเช่อื เกย่ี วกบั
ศาสนาและไสยศาสตร์

- ความเชอ่ื เกย่ี วกบั ศาสนา คนไทยส่วนใหญ่นบั ถอื ศาสนาพุทธ นกิ ายหนิ ยานเป็นหลกั และ
ผสมผสานความเช่อื ของศาสนาพราหมณ์ สงั คมไทยมวี ดั เป็นศูนยก์ ลาง เป็นแหล่งรวมของศลิ ปะ
ไทยทกุ แขนง ไมว่ ่าจะเป็นการวางผงั ของศาสนสถาน การสรา้ งพระพทุ ธรปู การสรา้ งศวิ ลงึ ค์

- ความเช่อื เกย่ี วกบั ไสยศาสตร์ เป็นความเช่อื ทม่ี มี าก่อนทจ่ี ะนับถอื พุทธศาสนาเป็นความ
เช่ือในอานาจท่ีเหนือธรรมชาติ วิญญาณ ภูตผีต่างๆ ท่ีให้คุณให้โทษได้จึงต้องมกี ารประกอบ
พธิ กี รรมเพอ่ื เอาชนะสง่ิ เหลา่ นนั้ เชน่ การสรา้ งตุ๊กตาเสยี กบาล ทวารบาล การสกั ยนั ต์ เป็นตน้

นอกจากน้เี อกลกั ษณ์ทเ่ี ด่นชดั ของศลิ ปะไทยกค็ อื ลวดลายต่างๆ ทใ่ี หค้ วามรสู้ กึ ทอ่ี ่อนชอ้ ย
งดงาม นุ่มนวล เคล่อื นไหวอยา่ งละมนุ ละไม เป็นลกั ษณะทเ่ี หมาะสมกบั คุณสมบตั ขิ องคนไทยทเ่ี ป็น

๓๒ เสถยี ร สระทองให,้ พทุ ธศิลปะ, โครงการผลติ เอกสารประกอบการสอนและตาราวชิ าการ วทิ ยาลยั สงฆพ์ ุทธชนิ ราช
มจร., พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ต้งี จากดั , ๒๕๕๘), หน้า ๑๒.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๖๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ชาตเิ สรี รกั อิสระ แสดงถึงอุปนิสยั ใจคอของคนไทย ศิลปะไทยจงึ มลี กั ษณะของการวางรูปแบบ
วธิ กี ารทาและลกั ษณะต่างๆ เป็นแบบแผนทแ่ี น่นอนตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั

คณุ ค่าของศิลปะไทย

คุณคา่ ทางดา้ นศาสนา ศลิ ปะไทยส่วนใหญ่สรา้ งขน้ึ จากคตคิ วามเช่อื เก่ยี วกบั ศาสนา ศลิ ปะ
ไทยจงึ มคี ุณค่าในการเผยแผศ่ าสนาและสบื ทอดศาสนาในประเทศไทย เช่น การเขยี นภาพจติ รกรรม
หรอื จาหลกั เร่อื งราวทางศาสนา ชาดก พุทธประวตั ิ หรอื วรรณคดที เ่ี ก่ยี วเน่ืองกบั ความเล่อื มใสใน
เทพเจา้ เมอ่ื คนไดส้ มั ผสั หรอื เหน็ กจ็ ะเกดิ ความคุน้ เคยและซมึ ซบั เร่อื งราว ความเช่อื คาสอนหรอื ขอ้
ธรรมะท่แี ฝงอยู่ในผลงานนัน้ ๆ หรอื การสร้างพระพมิ พ์ พระพุทธรูป พระโพธสิ ตั ว์ หรอื เทวรูปใน
ศาสนาพราหมณ์

คุณคา่ ทางดา้ นประวตั ศิ าสตร์ จากการศกึ ษาศลิ ปะในแต่ละยุคจะทาใหท้ ราบถงึ ววิ ฒั นาการ
การเชอ่ื มโยงดา้ นวฒั นธรรมของชุมชน เสน้ ทางการตดิ ต่อคมนาคม ใชเ้ ป็นหลกั ฐานเพ่อื ตรวจสอบว่า
เป็นยคุ สมยั ใดซง่ึ เป็นขอ้ มลู ทท่ี าใหก้ ารศกึ ษาเหตุการณ์ต่างๆ ในประวตั ศิ าสตรถ์ ูกตอ้ งยง่ิ ขน้ึ

คุณค่าทางด้านสุนทรยี ะหรอื ความงาม หมายถงึ ความรสู้ กึ ของอารมณ์และความงาม เช่น
พระพุทธรูปสารดิ ปางลลี า ศิลปะสุโขทยั กล่าวกนั ว่าเป็นงานศลิ ปะท่มี คี วามงามเป็นเลศิ เพราะมี
ความสมบูรณ์ทงั้ ด้านการสรา้ งสรรคล์ ลี าท่อี ่อนช้อย เล่อื นไหล รวมทงั้ อารมณ์ท่นี ุ่มนวล เยอื กเยน็
ก่อใหเ้ กดิ ความศรทั ธาและประทบั ใจ

คุณค่าทางด้านการเมอื งการปกครองในสมยั ก่อนผู้ปกครองหรอื พระมหากษตั รยิ ์ได้นา
ศลิ ปะมาใช้เพ่อื ประโยชน์ในการเมอื งการปกครอง เพ่อื เช่อื มสมั พนั ธไ์ มตรรี ะหว่างกนั หรอื ใชเ้ ป็น
สญั ลกั ษณ์ของการเขา้ ไปมอี านาจเหนอื เมอื งอ่นื การตดิ ต่อสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั

จะเหน็ ได้ว่าศลิ ปะมคี ุณค่าในหลายๆ ด้านต่อสงั คม ไม่จากดั เฉพาะการรบั ใช้ศาสนาหรอื
คณุ คา่ ดา้ นความงาม๓๓

การอนุรกั ษ์ศิลปะไทย

คาว่า “การอนุรกั ษ์” ตามพจนานุกรม หมายถงึ การรกั ษาใหค้ งเดมิ ดงั นัน้ การอนุรกั ษ์
ศลิ ปกรรมไทย จงึ หมายถงึ การรกั ษาศลิ ปกรรมทส่ี รา้ งขน้ึ บนผนื แผ่นดนิ ไทย อนั เป็นวฒั นธรรมของ
เผ่าพนั ธุ์ให้คงอยู่เป็นมรดกของชนรุ่นหลงั ต่อไป โดยศึกษาถึงสาเหตุและการเส่อื มสลายและหา
แนวทางเพ่อื การอนุรกั ษ์ใหศ้ ลิ ปะไทยดารงอยใู่ นสภาพท่สี มบรู ณ์เทา่ ทจ่ี ะทาได้

สาเหตขุ องการเสื่อมสลายของศิลปะไทย

๑. การเสอ่ื มสลายจากกาลเวลา

๒. การเสอ่ื มสลายจากการกระทาของคน

- การทาลายศลิ ปกรรมโดยการกระทาของคนในอดตี

๓๓ เสถยี ร สระทองให,้ พทุ ธศิลปะ, หน้า ๑๔.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

- การทาลายจากความเหน็ แก่ตวั

- การทาลายจากความไมร่ ู้

- การทาลายโดยเจา้ หน้าทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ งในการบารงุ รกั ษา

๓. การเส่อื มสลายจากการกระทาของสตั วแ์ ละพชื

๔. การเสอ่ื มสลายจากการกระทาของธรรมชาติ

๕. การเส่อื มสลายจากการเปลย่ี นแปลงทางสงั คม

แนวทางการอนุรกั ษศ์ ิลปะไทย

ศลิ ปะเป็นผลผลติ ของชาตทิ ม่ี คี ุณค่าในตวั เองจงึ ควรท่จี ะมกี ารบารงุ รกั ษามใิ หเ้ ส่อื มสลาย
และสบื ทอดใหค้ งอยเู่ ป็นมรดกทางวฒั นธรรมแก่ชนรนุ่ หลงั เป็นการอนุรกั ษ์ประวตั ศิ าสตรข์ องชาตไิ ว้
ใหค้ นรนุ่ หลงั จงึ มแี นวทางในการอนุรกั ษศ์ ลิ ปะทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ดิ งั น้ี

- การออกกฎหมายคมุ้ ครอง ศลิ ปกรรมและโบราณวตั ถุสถาน อนั เป็นมรดกทาง วฒั นธรรม
ของชาติ จงึ ควรมกี ฎหมายคมุ้ ครอง

- การตงั้ หน่วยงานทม่ี ผี เู้ ชย่ี วชาญเฉพาะสาขา เน่อื งจากงานศลิ ปกรรมแต่ละประเภท นนั้ มี
ความแตกต่างกนั การดแู ลรกั ษาจงึ ตอ้ งเลอื กใชว้ ธิ กี ารทถ่ี กู ตอ้ ง

- การสงวนรกั ษาและซ่อมบารุง โดยการรกั ษาของเก่าไว้ให้ได้มากท่สี ุดไม่ใช่การ ทาข้นึ
ใหม่

- การจาลองแบบ ในกรณีท่ศี ิลปกรรมนัน้ อาจถูกทาลายหรอื สูญสลายโดยท่ไี ม่สามารถ
ป้องกันได้ก็ควรจะเก็บข้อมูลด้วยการบนั ทึก การถ่ายภาพ รวมทงั้ การจาลองแบบข้นึ ให้มคี วาม
ใกลเ้ คยี ง กบั ของเดมิ มากทส่ี ุด

- การการจดั ตัง้ พิพิธภณั ฑสถาน เพ่อื เป็นท่รี วบรวมตวั อย่างศิลปกรรมท่มี คี ุณค่าเพ่ือ
การศกึ ษาเปรยี บเทยี บ และเผยแพรค่ ณุ คา่ ของศลิ ปกรรม

- การจดั ทาเป็นแหล่งท่องเท่ียวและพักผ่อน เป็นการสร้างความสาคัญทาให้ผู้คนใน
ทอ้ งถน่ิ เหน็ คุณค่าและใหค้ วามสาคญั ทจ่ี ะอนุรกั ษ์โบราณสถาน

- การการเผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจ และตระหนักในคุณค่าของศิลปกรรม แก่
ประชาชนเพ่อื ใหเ้ กดิ ความซาบซง้ึ เหน็ ความสาคญั ในการอนุรกั ษ์ศลิ ปกรรมของชาติ๓๔

ศิลปะลายไทย

คาว่า “ลาย” หมายถงึ เส้นท่เี ขยี นหรอื แกะสลกั ใหเ้ ป็นรปู ต่างๆ บ่งบอกถงึ ภูมปิ ญั ญาของ
คนไทย ช่างไทย ทม่ี จี นิ ตนาการ Imagination ในเชงิ สรา้ งสรรคท์ ม่ี แี บบอย่างเฉพาะตวั นับเป็นงาน
ประดษิ ฐ์กรรม Invention ในเชงิ ศลิ ปะชนั้ สูง โดยช่างมองเหน็ ความงามของธรรมชาตทิ ต่ี ้องมกี าร

๓๔ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ , พระพุทธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนและตารา
วิชาการ วิทยาลยั สงฆพ์ ทุ ธชินราช มจร., (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ตง้ิ จากดั , ๒๕๕๗), หน้า ๓๒๖-๓๒๗.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เส่อื มสลายไปตามกาลเวลาจงึ เกดิ แรงจงู ใจ Motivation ทจ่ี ะเกบ็ ความงามของธรรมชาตไิ วใ้ หค้ งอยู่
โดยใชว้ ธิ กี ารทางศลิ ปะ เช่น จติ รกรรม ประตมิ ากรรม เป็นตน้ จงึ มกี ารใหค้ วามหมายของลายไทย
ตามลกั ษณะวธิ กี ารสรา้ งสรรค์ ดงั น้ี

ลายไทยในเชงิ จติ รกรรม หมายถึงลกั ษณะของลายท่เี ขยี นลงไปบนพ้นื เรยี บๆ เป็นการ
เขยี นลวดลายทม่ี ลี กั ษณะเป็น ๒ มติ ิ

ลายไทยในเชิงประติมากรรม หมายถงึ ลายทม่ี ลี กั ษณะยกจากพน้ื ขน้ึ มาเลก็ น้อย โดยจะ
มคี วามตน้ื ลกึ มากกวา่ ลวดลายในงานจติ รกรรม อาจเป็นลายนูนต่า ลายนูนสงู หรอื ลอยตวั กไ็ ด้

ลายไทยในเชิงสถาปัตยกรรม หมายถงึ ลายท่ปี ระกอบอยู่ในงานสถาปตั ยกรรมมที งั้
แบบ ๒ และ๓ มติ ิ

ความเป็ นมาของลายไทย

จากความเล่อื มใสศรทั ธาในพทุ ธศาสนา เป็นเหตุสาคญั ใหช้ า่ ง หรอื ศลิ ปินประดษิ ฐล์ ายไทย
โดยได้แนวคดิ มาจาก ดอกบวั พวงมาลยั ควนั ธูป และเปลวเทยี น เป็นต้น นามาสรา้ งสรรค์ให้เกดิ
เป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายกนก ลายเปลวเพลงิ ลายใบเทศ ลายพฤษชาติ ฯลฯ จงึ ได้มกี ารศกึ ษา
ถงึ ทม่ี าของลายต่างๆ ดงั น้ี คอื

การพัฒนาลายมาจากดอกบัว เป็นการนารูปดอกบัวชนิดต่างๆ เช่น บัวหลวง บัว
สตั ตบงกช บวั สตั ตบุษย์ ฯลฯ มาพฒั นาโดยใชจ้ นิ ตนาการเชงิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ยการแบ่งครง่ึ ดอกบวั
การรวมดอกบวั เขา้ ดว้ ยกนั ทาใหเ้ กดิ ลายกนกสามตวั และคลค่ี ลายเป็นลายอ่นื ๆ ต่อไป

การพฒั นามาจากลกั ษณะของเปลวไฟ เป็นการนาลกั ษณะการเคล่อื นไหวของเปลวไฟ
เช่น เปลวไฟของกองไฟ เปลวไฟของเทียนไข เปลวไฟของคบเพลิง ท่ีมีความพร้ิวไหวมา
สรา้ งสรรคใ์ หเ้ กดิ ลายทส่ี วยงาม

การพฒั นามาจากลกั ษณะของใบไม้ ส่วนมากจะเป็นใบ “ฝ้ายเทศ” เพราะเป็นใบไมท้ ่มี ี
รปู รา่ งรปู ทรงทส่ี วยงาม มาสรา้ งสรรคเ์ ป็นลายใบเทศ

การพฒั นามาจากลกั ษณะของดอกไม้ ไดแ้ ก่ ดอกพุดตาล ดอกจอก ดอกแก้ว ดอกมะลิ
ดอกผกากรอง ดอกบานเยน็ ดอกพงั พวย เป็นตน้ ซง่ึ ลายดอกไมเ้ หลา่ น้จี ะเป็นสว่ นหน่งึ ของลายไทย

การพฒั นามาจากลกั ษณะของใบผกั ทน่ี ิยมใชเ้ ขยี นไดแ้ ก่ “ใบผกั กูด” ซง่ึ มลี กั ษณะกลมมล
ไมแ่ หลมคม ชา่ งหรอื ศลิ ปินจงึ นามาสรา้ งสรรคเ์ ป็นลวดลาย เช่น กนกผกั กูด

การพฒั นามาจากลกั ษะของเถาวลั ยแ์ ละไมเ้ ลอ้ื ย ทมี กี ารเก่ยี วพนั ลดั เลาะ การเล่อื นไหล
ช่างหรอื ศลิ ปินจงึ นามาสรา้ งสรรค์ เป็นลายทต่ี ่อเน่อื งกนั

การพฒั นามาจากลกั ษณะของสตั ว์ ในลายไทยจะพบการผูกลายทน่ี ารปู แบบของสตั วม์ าใช้
อาจเป็นรปู เหมอื นจรงิ หรอื ดดั แปลงตามความคดิ สรา้ งสรรค์ เชน่ สตั วใ์ นปา่ หมิ พานต์

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

การพฒั นามาจากลักษณะของคน เน่ืองจากในอดีตศิลปะไทยไม่นิยมเขยี นภาพแบบ
เหมอื นจรงิ แต่อาจใชล้ กั ษณะของคนแทนรปู เคารพของเทพเจา้ ต่างๆ ในศาสนา เช่น พระพรหม พระ
นารายณ์ พระอิศวร ฯลฯ ทาให้ภาพคนในลายไทยไม่มกี ารแสดงกล้ามเน้ือเหมอื นกบั ศิลปะแบบ
ตะวนั ตก แต่จะเป็นภาพหรอื ลายท่มี ลี กั ษณะอ่อนชอ้ ย สวยงาม ตามจนิ ตนาการ การพฒั นามาจาก
อทิ ธพิ ลของศลิ ปกรรมต่างชาติ ท่เี ด่นชดั ได้แก่ จนี ขอม เขมร เห็นได้จาก ลายฮ่อลายประแจจนี
ลายใบแกนตสั ฯลฯ

ลกั ษณะของลวดลายไทยแบง่ ตามกรรมวิธีการสร้างสรรค์

กรรมวธิ กี ารสร้างสรรค์ลายไทย มอี ยู่ด้วยกันหลายวธิ ีซ่งึ แต่ละวธิ จี ะมเี อกลกั ษณ์และมี
ความงามเฉพาะตวั ดงั น้ี

ลายเสน้ ถอื เป็นขนั้ ตอนแรกในการสรา้ งสรรค์งานศลิ ปะ ก่อนท่จี ะนาไปสรา้ งเป็นงานใน
ลกั ษณะอ่นื ต่อไป

ลายสอดสี คือ ภาพลายเส้นท่ีนาสีเข้ามาประกอบในการวาดและพัฒนาจนเป็นภาพ
จติ รกรรม โดยมกั จะเขยี นเป็นเร่อื งราวต่างๆ เช่น ประวตั ผิ สู้ รา้ ง พุทธศาสนา วรรณกรรม ภาพราช
สานัก ภาพสามญั ชนและภาพตกแต่งท่ีจะเขยี นตกแต่งบนกาแพง ผนังด้านในอาคารและงาน
ครภุ ณั ฑต์ ่างๆ ซง่ึ ส่วนใหญ่ทใ่ี ชเ้ ขยี นนนั้ เป็นสที ไ่ี ดจ้ ากธรรมชาติ เชน่

สแี ดงชาด ไดจ้ าก หนิ สแี ดง

สหี รดาล ไดจ้ าก หนิ สเี หลอื ง

สเี ขยี ว ไดจ้ าก กรดเกลอื สนิม

สคี ราม ไดจ้ าก ตน้ คราม

สรี งค์ ไดจ้ าก ยางรงคส์ เี หลอื ง

สขี าว ไดจ้ าก เปลอื กหอย

สดี า ไดจ้ าก หมกึ และเขมา่ ควนั ไฟ

ลายฉลุ มลี กั ษณะพเิ ศษ คอื ลายแต่ละลายจะแยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนทเ่ี ป็นตวั ลายจะถูก
ฉลุเป็นชอ่ งๆ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๒ ลกั ษณะ คอื

- ลายฉลุปิดทอง ส่วนท่เี ป็นตวั ลายฉลุ จะใช้ในการปิดทองคาเปลวมกั ใชป้ ระดบั ตกแต่ง
คาน เสา ฝ้า และไขราของอาคาร

- ลายฉลุซ้อนชนั้ เป็นการนาชนั้ ลายท่ฉี ลุออกมา มาวางซ้อนกนั เป็นชนั้ ๆ เพ่อื เพมิ่ มติ ิ
ใหก้ บั ลายลายฉลุมกั จะพบไดใ้ นสว่ นต่างๆ ของอาคาร เชน่ ราวระเบยี ง ชายคา หชู า้ ง ฯลฯ

ลายรดน้า เป็นงานประณีตศลิ ป์ประเภทหน่ึงทใ่ี ชใ้ นการลงรกั และปิดทองเพมิ่ ความงดงาม
ใหแ้ ก่สง่ิ ของการทาลายรดน้าจะเรม่ิ ตงั้ แต่ การเตรยี มแผ่นไม้ การขดั แต่งและรองพน้ื ดว้ ยรกั สมกุ จน
แผน่ ไมเ้ รยี บ ทาการปรลุ ายทจ่ี ะเขยี น แลว้ นาแบบลายทป่ี รแุ ลว้ ทาบลงบนแผ่นกระดาษ แลว้ ตบดว้ ย

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ลูกประคบจากนั้นจึงเขียนด้วยน้ายาหรดาน (ในส่วนท่ีไม่ต้องการให้ทองติด) แล้วปิดด้วย
ทองคาเปลว แลว้ คลุมปิดทบั ดว้ ยแผน่ กระดาษชุบน้า ทง้ิ ไวร้ ะยะเวลาหน่งึ จงึ ใชน้ ้าราด ทองคาเปลวท่ี
ตดิ อยู่บนน้าหรดานกจ็ ะหลุดออกมา ลายรดน้าส่วนมากใช้ในการตกแต่งบานประตู หน้าต่าง และ
ครภุ ณั ฑต์ ่างๆ

ลายประดบั มุก เป็นการตกแต่งลวดลายดว้ ยเปลอื กหอยมุกลงบนเคร่อื งเรอื นไม้ โดยจะ
เล่อื ยมุกเป็นช้นิ เล็กๆ ตามท่กี าหนดวางลงบนลวดลาย แล้วใช้รกั ถมลงในช่องว่างระหว่างตวั มุก
จากนัน้ กข็ ดั รกั ให้เรยี บ แลว้ ตวั ลายมุกก็ขน้ึ เงาใสเป็นมนั เปลอื กหอยท่นี ิยมใชไ้ ดแ้ ก่ หอยอูด หอย
นมสาว และเปลอื กหอยโขง่

ลายแกะสลกั เป็นลวดลายทเ่ี กดิ จากการแกะสลกั ไม้ เพ่อื ใชใ้ นการตกแต่ง เช่น ลายตาม
เพดาน ลายหน้ากระดาน ลายหวั เสา ช่อฟ้า ในบางครงั้ การแกะสลกั ก็จะมกี ารปิดทองร่วมด้วย
ดงั น้คี อื

- ลายแกะสลกั ปิดทองเตม็ พน้ื ทผ่ี วิ เรยี บ

- ลายแกะสลกั ปิดทองรอ่ งกระจกสี คอื การทาสแี ดงชาดในส่วนทเ่ี ป็นพน้ื หลงั ส่วนทเ่ี ป็น ตวั
ลายปิดทองคาเปลว

- ลายแกะสลกั ปิดทองร่องกระจกสี คอื ส่วนทเ่ี ป็นช่องว่าง พ้นื จะประดบั กระจก ส่วนท่ี
เป็นตวั ลายปิดทองคาเปลว

- ลายแกะสลกั ปิดทองลงยา เป็นการปิดทองพน้ื ผวิ เรยี บส่วนลายจะขุดลงไปในเน้ือไมแ้ ละ
ประดบั กระจกสี

ลายปูนปนั้ ส่วนมากเป็นการปนั้ ประดบั ตกแต่งอาคาร แบ่งตามกรรมวธิ แี ละเทคนิคการ
สรา้ ง ไดเ้ ป็น ๒ ประเภท

- ลายปนู ปนั้ สด ปนู ทใ่ี ชน้ นั้ จะผสมขน้ึ เป็นพเิ ศษ (ปนู ขาวหมกั ผสมทราย เสน้ ใย (ฟางขา้ ว
กระดาษข่อย ป่านต้นกกฯลฯ) กาว (กาวหนังสตั ว์ น้าอ้อย น้ามนั ทงั่ อ้วิ ฯลฯ) แล้วโขลกใหเ้ ขา้ กนั
แลว้ จงึ นามาปนั้ ) ในการปนั้ จะต้องปนั้ ในขณะทป่ี ูนยงั เปียกอยหู่ รอื ปนั้ สด นิยมใชป้ นั้ หน้าบนั เครอ่ื ง
ลายอง ซมุ้ ประตู ซมุ้ หน้าต่าง บวั ฐาน คนั ทวย ฯลฯ

- ลายปนู ปนั้ ถอดพมิ พ์ เป็นวธิ ที ่นี ิยมกนั มากสมยั รชั กาลท่ี ๕ เพราะไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจาก
ตะวนั ตกและใช้ปูนซเี มนต์เป็นวสั ดุในการปนั้ ในการสร้างงานจะทารปู ต้นแบบและแม่พมิ พ์ขน้ึ มา
ก่อน จากนนั้ จงึ ใชป้ นู ซเี มนตเ์ ทรปู หล่อทาใหส้ ามารถสรา้ งงานไดห้ ลายครงั้ ๆ ละมากๆ๓๕

ลายฉลกั หิน เป็นงานศลิ ปะท่นี ิยมใช้กนั มากในสมยั ลพบุรี เพราะได้รบั อทิ ธิพลมาจาก
ศลิ ปะ ขอมโดยจะสลกั ส่วนหน้าบนั บวั ฐาน ฯลฯ. หนิ ทน่ี ยิ มนามาใชส้ ลกั คอื หนิ ทราย หนิ อ่อน

๓๕ ลักษณะของลวดลายไทยแบ่งตามกรรมวิ ธี การสร้างสรรค์, [ออนไลน์], แหล่งข้อมูล :
https://www.baanjomyut.com [๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘]

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ลายบดุ ลุ การบุ หมายถงึ การทาใหโ้ ลหะเกดิ เป็นรปู ทรงดว้ ยการตแี ผ่หรอื กดทบั ส่วน การ
ดุล หมายถึงการทาให้แผ่นโลหะเกิดเป็นรอยนูน นิยมใช้ทาเคร่ืองราชูปโภค เคร่ืองทอง
เคร่อื งประดบั ตกแต่ง เคร่อื งประกอบพระราชพธิ ขี องพระมหากษตั รยิ ์ วสั ดุทน่ี ิยมใชไ้ ดแ้ ก่ ทองคา
เงนิ ทองคาขาว ดบี กุ ทองแดง อลมู นิ มั่ ทองเหลอื ง

ลายหล่อโลหะ เป็นกรรมวธิ ใี นการสรา้ งงานปฏิมากรรม โดยทาโลหะใหเ้ ป็นรปู ทรงตามท่ี
ต้องการดว้ ยการหลอมโลหะใหร้ อ้ นแลว้ เทลงในแมพ่ มิ พโ์ ดยมากนิยมใชท้ าพระพุทธรปู และรปู สตั ว์
ในปา่ หมิ พานต่างๆ

ลายกระเบอ้ื งเคลอื บ เป็นศลิ ปกรรมพระราชนิยมในสมยั รชั กาลท่ี ๓ โดยนิยมนากระเบอ้ื ง
เคลือบมาประดบั ตกแต่งอาคารเคร่อื งก่อ ลวดลายจะมีสีสีสนั สดใส มนั เงา และความโค้งของ
กระเบอ้ื งกส็ ะทอ้ นแสงไดด้ ี การประดบั กระเบอ้ื งเคลอื บแบ่งออกไดเ้ ป็น ๕ ลกั ษณะ คอื

- การประดบั ดว้ ยกระเบอ้ื งเคลอื บทงั้ ใบ (ใชถ้ ว้ ยหรอื ชามทงั้ ใบ)

- การประดบั ด้วยกระเบ้อื งเคลอื บทต่ี ดั เป็นช้นิ ๆ โดยตดั เป็นรปู ทรง สามเหลย่ี ม ส่เี หลย่ี ม
วงกลม หรอื รปู หยดน้า

- กระเบ้อื งเคลอื บท่มี กี ารเขยี นลายในตวั ซ่งึ อาจจะเป็นลายท่เี ขยี นก่อนหรอื หลงั การเผา
กระเบอ้ื งกไ็ ด้

- กระเบ้อื งเคลอื บสที ่ที าเป็นชน้ิ ลาย กระเบ้อื งแบบน้ีเกดิ จากการปนั้ ลวดลายก่อนแลว้ จงึ
นาไปและเคลอื บสี โดยมากจะเป็นการสงั่ ทาตามลายทต่ี อ้ งการ๓๖

รปู แบบของลายไทย

ภาพหรอื ลวดลายในงานศลิ ปะไทยนนั้ เป็นภาพทเ่ี กดิ จากจนิ ตนาการของช่างหรอื ศลิ ปินทม่ี ี
อย่เู ป็นจานวนมากหลายรปู แบบดว้ ยกนั แต่ในรปู แบบต่างๆ เหล่านัน้ ก็มภี าพทจ่ี ดั ว่าเป็นภาพหลกั
ซง่ึ มดี งั น้ี คอื

๑. ภาพพระ : ภาพพระ หมายถงึ บุรุษทงั้ มนุษยแ์ ละเทวดา มลี กั ษณะสูงโปร่ง สุภาพ
อ่อนโยน อาจจะเป็นภาพของพระราม พระลกั ษณ์หรอื พระเวสสนั ดร ก็ไดแ้ ลว้ แต่การนาไปใช้และ
การปรบั ปรงุ แกไ้ ข ภาพพระมที งั้ ตวั นายชนั้ สงู และตวั รอง ซง่ึ จะแสดงความแตกต่างของแต่ละตวั ดว้ ย
เครอ่ื งประดบั หรอื การดจู ากสี เช่น พระรามสเี ขยี ว พระลกั ษณ์สที อง ทา้ วทศรถสขี าว เป็นตน้

๒. ภาพนาง : ภาพนาง ไดแ้ ก่ นางเอกและตวั นางทงั้ หลาย ท่มี ฐี านะทแ่ี ตกต่างกนั โดย
สามารถสงั เกตไดจ้ ากเครอ่ื งประดบั เช่นเดยี วกบั ตวั พระ

๓. ภาพยกั ษ์ : ภาพยกั ษ์ไม่มกี ฎเกณฑต์ ายตวั จะมใี บหน้าทโ่ี กรธเกรย้ี ว ปากย่นื เขย้ี ว
ยาว ตาถลน เป็นตน้

๓๖ ปญั ญา นามสงา่ , ปรชั ญาไทย, หน้า ๔๙-๕๐.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๔. ภาพลิง : ใบหน้าของลงิ มี ๒ ลกั ษณะ คอื ลงิ อา้ ปากและลงิ หุบปาก พบไดม้ ากในเร่อื ง
รามเกยี รตลิ ์ วดลายไทย

ลายกระหนกสามตวั หรือกนก : กระหนกหรอื กนก แปลว่า ทอง นบั เป็นแมบ่ ทของลาย
ไทยท่ีบรรจุ ก้าน เถา กาบใหญ่ กาบเล็ก กลีบเล้ียง ตัวกนกและยอดกนกไว้อย่างครบถ้วน
โดยปรกตกิ ารเขยี นแมล่ ายกนก ผเู้ ขยี นจะผกู ตวั ลายรว่ มกนั ๓ ส่วนอยใู่ นลาย ไดแ้ ก่

- ตัวเหงา เป็นลายท่อี ยู่ส่วนล่างมโี ครงสร้างท่มี ้วนคว่าหน้าลง แสดงความรู้สึกเศร้าๆ
เหงาๆ

- ตวั ประกบ คอื ตวั ลายส่วนท่ี ๒ ซ่งึ จะประกบอย่ดู า้ นหลงั ตวั เหงา เป็นตวั ลายทส่ี ่งใหเ้ กดิ
ตวั ลายท่ี ๓

- ตวั ยอดหรอื เปลว คอื สว่ นปลายสุดของแมล่ ายกนก ทจ่ี ะเขยี นใหส้ ะบดั ไหวคลา้ ยเปลวไฟ
ทงั้ สามส่วนน้ีรวมเรยี กกนั ว่ากนก ๓ ตวั ทส่ี ามารถขยายและแบ่งละเอยี ดออกไปไมต่ ่ากว่า ๙ ตวั มี
ช่อื เรยี กต่างๆ เช่น กนกเปลว กนกอนิ ทรธนู กนกกา้ นขด กนกก้ามปู กนกเครอื จนี กนกเทศหางโต
เป็นตน้

ลายกระจงั : จดั เป็นแม่ลายชนิดหน่ึงท่ดี ดั แปลงมาจากธรรมชาติ เช่น ตาอ้อย ดอกบวั
เป็นต้น เป็นลาย ท่มี ีโครงสร้างเป็นรูปสามเหล่ยี มหน้าจวั่ หรอื ทรงดอกบวั ใช้เป็นองค์ประกอบ
สาหรบั การประดบั ตกแต่งเสรมิ ขอบ รมิ ในสว่ นต่างๆ ของสถาปตั ยกรรมจงึ มกั จะนาลายกระจงั ไปใช้
เป็นองคป์ ระกอบของลายหน้ากระดาน กระจงั มอี ย่หู ลายชนิด เช่น กระจงั ตาอ้อย กระจงั ฟนั ปลา
กระจงั ใบเทศ กระจงั เจมิ และกระจงั ปฏญิ าณ เป็นตน้

ลายประจายาม

- ลายประจายามหรอื ลายสามยาม เป็นลายทด่ี ดั แปลงมาจากลูกจนั ทร์ มโี ครงสรา้ งเป็นรปู
สเ่ี หลย่ี มดา้ นเท่ามลี กั ษณะเป็นลายดอกมี ๔ กลบี ตรงกลางเป็นรปู วงกลม รอบนอกสด่ี า้ นอาจจะเป็น
ลายบวั -ลายกระจงั ใบเทศ ลายกระจงั หู อย่างใดอย่างหน่ึง ลายประจายามจดั อย่ใู นจาพวกแม่ลาย
ดอกลอย เป็นแมล่ ายในการออกลายหรอื ใชห้ า้ มลาย ลายประจายามมกี ารสอดไสแ้ บ่งลายหลายชนิด
ตามความเหมาะสม ลายประจายามมีหลายลกั ษณะ เรยี กช่อื ต่างๆ กัน เช่น ประจายามก้ามปู
ประจายามกา้ นแยง่ ประจายามลกู ฟกั กา้ มปู เป็นตน้

ลายประจายามมกั จะใชป้ ระดบั อย่ตู ามเสา ขอบประตูหน้าต่าง หน้าต่าง ของโบสถ์ วหิ าร
พลบั พลาปราสาท พระเจดยี แ์ ละพระธาตุ เป็นตน้ ในสมยั ก่อนจะใชเ้ ป็นยามรกั ษาการณ์ เพ่อื ป้องกนั
ผทู้ ค่ี ดิ มดิ มี ริ า้ ยโจรกรรมของมคี า่ โดยอาจจะมกี ารลงคาถาอาคมประกอบไวด้ ว้ ย

ลายพ่มุ ข้าวบิณฑ์ : พุ่มขา้ วบณิ ฑ์ เป็นการเรยี กช่อื ตามลกั ษณะลายทค่ี วามคลา้ ยคลงึ กบั
พานพุ่มขา้ วบณิ ฑ์ พานดอกไมห้ รอื พานแว่นฟ้า เป็นต้น ลายพุ่มขา้ วบณิ ฑส์ ามารถพบเหน็ ได้ตาม
สถาปตั ยกรรมไทย เชน่ เจดยี ท์ รงพมุ่ ขา้ วบณิ ฑใ์ นสมยั สุโขทยั พุ่มขา้ วบณิ ฑท์ ป่ี ระดบั ตกแต่งบรเิ วณ

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ปลายยอดของบุษบก เป็นตน้ นอกจากน้ียงั มกี ารนาลายอ่นื ๆ มาร่วมตกแต่งในลายพุ่มขา้ วบณิ ฑท์ า
ใหเ้ กดิ ความงามเพมิ่ ขน้ึ เช่น ลายพุม่ ขา้ วบณิ ฑห์ น้าสงิ ห์ ลายพุ่มขา้ วบณิ ฑก์ ระหนกใบเทศ เป็นตน้

ลายดาว : ลายดาวเป็นลายท่ใี ชต้ กแต่งบรเิ วณเพดาน ทเ่ี ปรยี บเสมอื ทอ้ งฟ้าหรอื สรวง
สวรรคท์ ม่ี ดี วงดาว ประดบั อยลู่ ายดาวสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ไดด้ งั น้ี ลายดาวตุ๊ดตู่ ลายดาว
ดอกจอกหรอื ลายดาว ฟนั ยกั ษ์ ลายดาวรงั แตนหรอื ลายดาวกลบี ขนุน ลายดาวกลบี ดอกบวั ลายดาว
รศั มี

ลายกรวยเชิง : ลายกรวยเชงิ เป็นลายตกแต่งเชงิ หรอื ขอบนอกสุด เช่น เชงิ ผา้ เชงิ ขอบ
ลายประดบั คานบน เพดานโบสถ์ วหิ าร เป็นต้น ลายกรวยเชงิ จะมลี กั ษณะคล้ายลายบวั ทย่ี ดื ยาว
ออกไปตามความตอ้ งการหรอื ขนาดของพน้ื ท่ี ตวั ลายจะเป็นรปู กรวยปลายแหลม ตวั ลายวางเรยี งต่อ
กนั ตามความยาวของพน้ื ท่ี ช่างเขยี นถอื ว่าลายกรวยเชงิ เป็นแม่ลายชนิดหน่ึงทใ่ี ชก้ นั มาตงั้ แต่สมยั
สโุ ขทยั อยธุ ยา จนถงึ รตั นโกสนิ ทร์

ลายไทยในสถาปัตยกรรม : ลวดลายไทยในสถาปตั ยกรรมทก่ี ล่าวถงึ น้ีจะพบในวดั หรอื
วงั เป็นส่วนใหญ่ หรอื อาจมบี า้ งตามบา้ นเรอื นของคหบดที ม่ี ฐี านะ

เพดาน ไดแ้ ก่ ลายดอกดาวกระจาย ดาวลอ้ มเดอื น ดาวตุ๊ดตู่

หน้าจวั่ มกั จะใชล้ ายเทพนม กอบวั หน้าขบ หน้าสงิ ห์ พระนารายณ์ทรงครุฑ พระพรหม
หางหงษ์ เป็นตน้ เป็นจดุ เดน่ อยตู่ รงกลางตวั กนกทผ่ี ูกลายในวงกรอบของรปู สามเหลย่ี มอยสู่ ่วนหน้า
บนั ของพระอุโบสถ

เครื่องบน กระจงั ตาอ้อย ใชต้ ามแนวเชงิ หน้าจวั่ ส่วนล่างท่หี อ้ ยยอ้ ยจะใช้ลายกระจงั รวน
ลายรวงผง้ึ และลายเฟ่ืองในส่วนทต่ี ่าลงมา

นาคสะด้งุ ใชเ้ ป็นตวั ลายอง ประกอบกบั ใบระกาและปนั้ ลม อยู่สาวนบนของอาคาร หาง
หงษ์ ใชแ้ ทนตวั เหงาปนั้ ลม บางทที าเป็นตวั นาค แต่โดยทวั่ ไปเป็นกนกสามตวั แบบโกลน

ทวยรบั ชายคา มกั จะทาเป็นตวั หงษ์ ตวั นาค และแขนนางประกอบดว้ ยลวดลายต่างๆ ใน
ภาคเหนอื มกั จะใชท้ วยหชู า้ ง

มมุ เสา ใชล้ ายหชู า้ ง ตวั สาหรา่ ย น่องสงิ ห์ กระจงั ตาออ้ ย ลานเครอื เถาฝรงั่

สนั หลงั คา ตวั เหราตรงปลายสนั

ลูกแก้ว หรอื ลายบวั เป็นลายทว่ี างเป็นแถบยาว มกั จะเป็นลายหน้ากระดาน ลายประจา
ยาม ลายลกู มะหวด ลายแขง้ สงิ ห์ ลานรกั รอ้ ย ฯลฯ

เชิงผนัง ลายกรยุ เชิง ประกอบดว้ ยลายหน้ากระดานและชอ่ งแทงลาย ฐาน ใชล้ วดบวั และ
ลายบวั หงาย บวั คว่า บวั ปากฐาน หวั ลกู แกว้ เป็นตน้

บานประตู หน้าต่าง ใช้ลายก้านขด ก้านแย่ง ลายเครอื เถา เช่น ลายผกั กูด กนกเปลว
กนกรวงขา้ ว ฯ

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ซุ้มประตู หน้าต่าง ใชซ้ ุม้ ทรงบวั พนม ทรงหน้านาง กนกก้านขด กนกประกอบภาพเล่า
เรอ่ื ง หวั เสา ใชบ้ วั ปากพานหรอื บวั แวง บวั กลุ่ม ตนี เสาลายกาบพรหมศร

เสาลอย ใช้หวั เมด็ ทรงมณั น์ บวั กลุ่ม บวั ตูม แม่บนั ได อาจทาเป็นหวั นาคและตวั นาคหรอื
สตั วอ์ ่นื ๆ เช่น ตวั สงิ ห์ เจดยี ์และเรอื นยอด ใช้ลวดบวั และฐานประเภทต่างๆ มกี ารย่อมุมในเจดยี ์
เหลย่ี มอยา่ งทเ่ี รยี กว่ายอ่ มมุ สบิ สอง เป็นตน้

ความสมั พนั ธข์ องทศั นศิลป์ ภมู ิปัญญาไทยกบั การดารงชีวิต

การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ป์ของมนุษยน์ ัน้ มมี าตงั้ แต่สมยั โบราณ ซง่ึ ผลงานศลิ ปะในยุค
เรม่ิ แรกนัน้ จะเป็นพวกสง่ิ ของเคร่อื งใช้และภาพวาด สามารถพบเห็นได้ตามถ้าต่างๆ เช่อื กันว่า
ผลงานนนั้ เกดิ จากแรงบนั ดาลใจของมนุษยท์ ม่ี ตี ่อความงามของธรรมชาตหิ รอื สภาพแวดลอ้ ม ทาให้
เห็นได้ว่าศลิ ปะนัน้ มคี วามเก่ยี วพนั ธ์กบั มนุษย์ในแง่ท่เี ป็นผลงานหรอื วธิ กี ารแสดงออกเพ่อื สนอง
อารมณ์ของตนเอง อาจเป็นความประทบั ใจ ความซาบซง้ึ ผ่อนคลายความตงึ เครยี ดหรอื เพ่อื ช่นื ชม
และศรทั ธาต่อสงิ่ ใดสงิ่ หน่ึง ท่กี ่อให้เกดิ การพฒั นาสติปญั ญาและอารมณ์ของมนุษย์ และเป็นสง่ิ ท่ี
มนุษยไ์ ดน้ ามาประยุกต์ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ในการดารงชวี ติ ในดา้ นต่างๆ เป็นมรดกตกทอดและเป็น
สมบตั ทิ างวฒั นธรรมทงั้ ดา้ นทเ่ี ป็นศลิ ปะบรสิ ุทธแิ ์ ละศลิ ปประยกุ ต์

งานทศั นศลิ ป์ไดร้ บั การพฒั นาและสรา้ งสรรคข์ น้ึ โดยศลิ ปิน ซ่งึ ศลิ ปินเองนัน้ เป็นส่วนหน่ึง
ของสงั คมและวฒั นธรรม ศลิ ปินในปจั จบุ นั กไ็ ดร้ บั แบบอยา่ งมาจากงานทศั นศลิ ป์ทส่ี บื ทอดเป็นมรดก
สบื ต่อกนั มา โดยไดร้ บั แรงบนั ดาลใจและการสนบั สนุนจากสงั คม ทาใหม้ นุษยส์ ่วนใหญ่ชอ่ื ว่า

๑) ศลิ ปะช่วยกล่อมเกลาจติ ใจของผคู้ นใหป้ ระณตี ละเอยี ดอ่อน รจู้ กั เลอื กสรรสงิ่ ทด่ี งี ามมา
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ

๒) ศลิ ปะช่วยบนั ทกึ วฒั นธรรมของชาตแิ ละยุคสมยั และสะทอ้ นถงึ ลกั ษณะของวฒั นธรรม
เช่น การแต่งกาย การนับถอื ศาสนา ศลิ ปินของแต่ละชาตติ ่างก็ทาหน้าท่เี ป็นผู้บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตร์
ของชาติในยุคนัน้ ๆ เป็นการแบ่งหรอื กาหนดช่วงอายุของชุมชน แว่นแค้วน หรอื อาณาจกั ร มี
ลกั ษณะเป็นประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ไิ ด้จารกึ เป็นตวั อกั ษร แต่บนั ทกึ ไว้เป็นรปู ภาพ รูปเคารพหรอื สงิ่ ของ
เครอ่ื งใช้

๓) ศลิ ปะเป็นส่อื สะท้อนความคดิ ของปจั เจกบุคคลและสงั คม เพราะศิลปินมบี ุคลกิ ภาพ
อย่างไรผลงานกจ็ ะแสดงออกมาอย่างนนั้ แสดงถงึ ความเป็นตวั ของตวั เอง จะเหน็ ไดว้ ่าวฒั นธรรมก็
ไดอ้ าศยั ผลงานทศั นศลิ ป์ในการช่วยสนับสนุนเผยแพร่และส่งเสรมิ ให้วฒั นธรรมดารงอย่ไู ด้ ดงั นัน้
งานศลิ ปะหรอื งานทศั นศิลป์จงึ มคี ุณค่ากบั มนุษยเ์ ป็นอย่างมาก ช่วยสรา้ งสรรค์ความเจรญิ ให้แก่
สงั คมและวถิ กี ารดารงชวี ติ ของไทยมาโดยตลอด ก่อใหเ้ กดิ ภูมปิ ญั ญาทม่ี กี ระบวนการเกดิ และผ่าน
การปรบั ปรุงองค์ความรจู้ นมคี วามชานาญ ทถ่ี ่ายทอดจากคนรนุ่ รุน่ หน่ึงมาสู่อกี รุ่นหน่ึง จนมคี ุณค่า
และมคี วามสาคญั ทค่ี นในปจั จบุ นั ไดน้ ามาใชป้ ระโยชน์ในการดารงชวี ติ

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ผลงานศิลปะท่เี ป็นศิลปกรรมท้องถิ่นจะใช้วสั ดุพ้นื ถ่ินในการประดษิ ฐ์ซ่งึ มอี งค์ประกอบ
สาคญั คอื ความคดิ ฝีมอื ความเรียบง่าย ประโยชน์ใช้สอยและความงามบนพ้นื ฐานของธรรมชาติ
แวดล้อม สงั คม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเช่อื ศลิ ปกรรมท้องถน่ิ จงึ มคี วามหมายต่อการ
ดารงชีวิตและมีคุณค่าต่อการบารุงขวัญ เป็นศิลปกรรมท่ีมีการศึกษาและสืบสานท่ีเป็นในเชิง
วฒั นธรรม หรอื ทเ่ี รยี กว่างานศลิ ปะพน้ื บา้ นหรอื ศลิ ปกรรมหตั ถกรรมพน้ื บา้ นนนั่ เอง ดงั นนั้ งานศลิ ปะ
พน้ื บา้ นนอกจากจะตอบสนองความต้องการของมนุษยใ์ นดา้ นจติ ใจแลว้ ยงั ตอบสนองความตอ้ งการ
ดา้ นรา่ งกายทเ่ี กดิ จากการนามาใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั

จากทก่ี ล่าวมาจะเหน็ ไดว้ ่าในวถิ กี ารดารงชวี ติ ของเรานนั้ มงี านศลิ ปะจดั ว่าเป็นภูมปิ ญั ญา
ของคนไทยทม่ี ปี ระโยชน์ซง่ึ เราเรยี กกนั ว่า งานหตั ถกรรม ทจ่ี ดั เป็นวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ของไทย

งานศิลปหตั ถกรรมพืน้ บ้าน ในทน่ี ้ขี อกลา่ วถงึ เฉพาะความหมายของคาวา่ “หตั ถกรรม”

ความหมายของงานหตั ถกรรม

หตั ถกรรม หมายถึงการทาด้วยฝีมอื การช่างซ่งึ เรม่ิ ต้นทากนั ในบ้าน หมู่บ้าน โดยท่ี
ชาวบา้ นใชเ้ วลานอกเหนือเหนือจากอาชพี หลกั เป็นการทางานอดเิ รกเพ่อื เพมิ่ พูนรายได้ เพ่อื การ
ดารงชีวิตให้ดขี ้นึ และทาข้นึ เพ่อื ใช้กันเองในครอบครวั โดยใช้วสั ดุท่ีหาง่ายตามท้องถิ่นนัน้ ๆ มี
รปู แบบเฉพาะตามลกั ษณะของวสั ดุ สภาพการใช้งานและความพอใจของผูผ้ ลติ ในแต่ละทอ้ งถน่ิ ทา
ใหเ้ กดิ รปู แบบเฉพาะ (STYLE) ของทอ้ งถน่ิ เป็นเอกลกั ษณ์ของแต่ละทอ้ งถนิ่ สง่ิ ทป่ี ระดษิ ฐไ์ ดข้ ยาย
มากขน้ึ จนกลายเป็นอาชพี สามารถขยายตลาดไปทวั่ ประเทศหรอื เผยแพรไ่ ปยงั ต่างประเทศ

หตั ถกรรม (CRAFT) หมายถึง สง่ิ ท่สี ร้างข้นึ ด้วยฝีมอื มนุษย์ แสดงออกถึงความชานิ
ชานาญของผผู้ ลติ ในชนั้ แรกสรา้ งขน้ึ เพ่อื ประโยชน์ใชส้ อยในชวี ติ ประจาวนั ต่อมามกี ารพฒั นาและ
ปรบั ปรงุ รปู แบบ การใชว้ สั ดุและกรรมวธิ กี ารผลติ มาโดยตลอดเป็นเวลานับพนั ปีจนเป็นงานศลิ ปะท่ี
ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยและมคี ุณค่าความงามจนแยกไม่ออกจงึ เรยี กว่า “ศิลปหตั ถกรรม”๓๗
ศลิ ปหตั ถกรรมพ้นื บา้ น หมายถงึ สงิ่ ทช่ี าวบา้ นสรา้ งสรรค์ขน้ึ เพ่อื ประโยชน์ใชส้ อยในชวี ติ ประจาวนั
โดยกลุ่มชนแต่ละกลุ่มจะพฒั นาสงิ่ ของขน้ึ มาใชโ้ ดยสอดคลอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ และสภาพแวดลอ้ ม ดงั นัน้
อาจจะเรยี กอกี ชอ่ื หน่ึงว่า “ศิลปะชาวบ้าน” หรือ “ศิลปะพื้นบา้ น”๓๘

หตั ถกรรมพน้ื บา้ นของไทยครอบคลุมงานศลิ ปกรรมท่เี ป็นสถาปตั ยกรรม จติ รกรรม และ
ประตมิ ากรรม (ซง่ึ อาจรวมเรยี กว่า ทศั นศลิ ป์พ้นื บา้ น) และงานศลิ ปกรรมเพ่อื ใชส้ อย ซง่ึ หมายถงึ
ศลิ ปหตั ถกรรมพ้นื บ้านประเภท เคร่อื งเคลอื บดนิ เผา การทอผ้าและเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย การแกะสลกั

๓๗ วบิ ลู ย์ ลส้ี ุวรรณ, ศิลปหตั ถกรรมพืน้ บา้ น, (กรุงเทพมหานคร : ตน้ ออ้ แกรมม,่ี ๒๕๓๘), หน้า ๕-๗.
๓๘ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๐.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๗๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

หตั ถกรรมโลหะ เครอ่ื งจกั สาน การทาเคร่อื งกระดาษ รวมทงั้ เครอ่ื งเขนิ เคร่อื งดนตรี เคร่อื งประดบั
และยานพาหนะ๓๙

ขอบข่ายของงานศิลปหตั ถกรรม

จากความหมายท่กี ล่าวมาทาให้งานศลิ ปหตั ถกรรมมคี วามหมายคลา้ ยกบั งาน “ประยุกต์
ศลิ ป์” เพยี งแต่งานศลิ ปหตั ถกรรมจะทาขน้ึ ดว้ ยฝีมอื เป็นหลกั แต่งานประยกุ ตศ์ ลิ ปะจะรวมไปถงึ สงิ่ ท่ี
สรา้ งขน้ึ ดว้ ยเคร่อื งจกั รดว้ ย ดงั นัน้ งานศลิ ปหตั ถกรรมจงึ ได้แก่ เครอ่ื งจกั สาน เคร่อื งถกั ทอ เคร่อื ง
เขนิ เคร่อื งถม เคร่อื งโลหะรูปพรรณ รวมไปถงึ งานช่างไม้ งานช่างแกะสลกั งานช่างปูน งานปนั้
หล่อ งานเขยี นระบายสี ลายรดน้า ฯลฯ. จะเหน็ ไดว้ ่างานศลิ ปหตั ถกรรมครอบคลุมงานฝีมอื ช่างทุก
สาขาทส่ี รา้ งขน้ึ ดว้ ยมอื และเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั งานศลิ ปะในแขนงต่างๆ เช่น งานสถาปตั ยกรรม งาน
วจิ ติ รศลิ ป์ งานปนั้ งานแกะสลกั เป็นตน้ แต่กใ็ ชว่ า่ งานศลิ ปะทุกประเภทจะเป็นงานหตั ถกรรมได้ ยงั
ตอ้ งขน้ึ อยกู่ บั วตั ถุประสงคแ์ ละคุณค่าของงานนนั้ ๆ เช่น

-งานวจิ ติ รศลิ ป์จะแสดงถงึ ความคดิ สรา้ งสรรค์ แสดงคุณคา่ ทางอารมณ์

-งานศลิ ปหตั ถกรรม ผลติ เพ่อื ใชส้ อยหรอื ประดบั ตกแต่งสงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ หรอื เพ่อื การคา้

ดงั นนั้ โดยพน้ื ฐานแลว้ ศลิ ปหตั ถกรรมพน้ื บา้ นไมไ่ ดม้ เี จตนาทจ่ี ะสรา้ งใหเ้ ป็นงาน ศลิ ปกรรม
แต่เม่อื ผลติ ไปนานๆ เขา้ จนเกดิ ความชานาญทาให้ผลงานนัน้ มคี วามสวยงามมากขน้ึ และสามารถ
ส ะ ท้อ นใ ห้เ ห็น ชีวิต แ ล ะ ส ัง ค ม ข อ ง ชุม ชน ใ น ท้อ งถ่ินไ ด้จึงท าใ ห้ผ ล งา นไ ด้ร ับก าร ยก ย่อ งว่ าเ ป็ น
ศลิ ปหตั ถกรรมพน้ื บา้ น

งานศลิ ปหตั ถกรรมพ้ืนบ้านมกั จะมรี าคาถูก มลี กั ษณะเฉพาะท้องถิ่นท่ผี ลติ ให้มรี ูปแบบ
ซา้ ๆ กนั จานวนมาก มรี ปู แบบทเ่ี รยี บง่าย มกี รรมวธิ กี ารผลติ ทไ่ี มย่ ุง่ ยากซบั ซอ้ นและวสั ดุทน่ี ามาทา
เป็นวสั ดุทห่ี าไดใ้ นทอ้ งถน่ิ เป็นส่วนใหญ่

ประเภทของงานศิลปหตั ถกรรม

การจัดประเภทของงานศิลปหัตถกรรมนัน้ มกี ารจาแนกเป็นประเภทต่างๆ ได้หลาย
ลกั ษณะ เช่น

การจดั ประเภทของงานศลิ ปหตั ถกรรมไทยตามประโยชน์ใชส้ อย เชน่ ทอ่ี ยอู่ าศยั เคร่อื งมอื
ประกอบอาชพี และอาวธุ เครอ่ื งใชต้ ่างๆ เครอ่ื งนุ่งหม่ ยานพาหนะและวตั ถุทเ่ี กย่ี วเน่อื งกบั ความเชอ่ื

การจดั ประเภทของงานศลิ ปหตั ถกรรมไทยตามวสั ดุและกรรมวธิ กี ารผลติ เช่น การปนั้ และ
หล่อ การทอและเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย การแกะสลกั การก่อสรา้ ง การเขยี นหรอื การวาด การจกั สาน การ
ทาเครอ่ื งกระดาษ และกรรมวธิ อี ่นื ๆ

๓๙ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช, เอกสารประกอบการสอน ศิลปะกบั สงั คมไทย หน่วยที่ ๑-๗, สาขาวชิ าศลิ ป
ศาสตร,์ (นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๔), หน้า ๑๘.

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

การจดั ประเภทของงานศลิ ปหตั ถกรรมไทยตามสถานภาพของช่าง เช่น ศลิ ปหตั ถกรรม
ฝีมอื ช่างหลวง ศลิ ปหตั ถกรรมฝีมอื ชาวบา้ น

ในการศกึ ษาครงั้ น้ีจะเลอื กแบ่งประเภทของงานศลิ ปหตั ถกรรมไทยตามวสั ดุและกรรมวธิ ี
การผลติ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี คอื

การปนั้ และหล่อ ศลิ ปหตั ถกรรมทเ่ี ป็นงานปนั้ และทาขน้ึ เพ่อื ใชส้ อยกค็ อื เคร่อื งปนั้ ดนิ เผา
มี ๒ ประเภท คอื

๑) เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผา เป็นเคร่อื งปนั้ ดนิ เผาทเ่ี ผาในอุณหภูมติ ่า ไมเ่ คลอื บสหี รอื ทาลวดลาย
บนภาชนะ

๒) เครอ่ื งเคลอื บดนิ เผา เป็นเครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาทเ่ี ผาในอุณหภมู สิ งู เคลอื บสี เช่น สนี ้าตาล สี
เขยี วแกมเขม้ ทเ่ี รยี กว่าสเี ซลาดอน เป็นตน้

การหล่อเป็นกรรมวธิ กี ารทาศลิ ปหตั ถกรรมเคร่อื งโลหะและประตมิ ากรรม ไดแ้ ก่ ภาชนะ
เครอ่ื งใชท้ เ่ี ป็นโลหะ พระพุทธรปู และรปู เคารพอ่นื ๆ

การทอและเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย ผ้าทอของไทยมที งั้ ผ้าทอด้ายหรอื ฝ้าย ผ้าทอไหม และผ้าทอ
แกมไหม

๑) ผา้ ไหม เป็นผา้ ทอดว้ ยไหมลว้ นๆ ถ้าเป็นดอกเป็นดวงใชไ้ หมต่างสี เรยี กว่า ผา้ ยก ผา้
ทอทท่ี อใหม้ ลี วดลายดอกดวงเตม็ ทงั้ ผนื เรยี กวา่ ผา้ ปมู

๒) ผา้ มว่ ง เป็นผา้ ทอเกลย้ี งๆ ไมม่ ลี าย ถา้ ทอใหม้ ลี วดลายทเ่ี ชงิ ผา้ เรยี กว่า ผา้ มว่ งเชงิ

๓) ผา้ ด้ายแกมไหม เป็นผา้ ทอดว้ ยไหมปนเสน้ ดา้ ย ถ้าทอดว้ ยดา้ ยลว้ นๆ เรยี กว่า ผ้าพ้นื
ซง่ึ เป็นผา้ ทค่ี นสามญั ใชน้ ุ่งหม่ กนั

๔) ผา้ ลาย เป็นผา้ ทอลาย เป็นตา ตามอย่างทช่ี ่างเขยี นขน้ึ เช่น ผา้ ลายอย่าง กค็ อื ผา้ ทท่ี อ
ตามอยา่ งลายทช่ี ่างหลวงออกแบบ และส่งทาถงึ ต่างประเทศ โดยในการทอนนั้ มกี รรมวธิ หี ลายแบบ
เชน่ การยกหรอื ขดิ และมดั หม่ี

การแกะสลกั เป็นกรรมวธิ สี าหรบั ตกแต่งสถาปตั ยกรรม เคร่อื งมอื เคร่อื งใชแ้ ละ การสรา้ ง
งานประตมิ ากรรม โดยใชว้ สั ดุประเภท ไม้ หนิ เขาสตั ว์ งาชา้ ง เป็นต้น หรอื จะเป็นการแกะสลกั ของ
สดและวสั ดเุ น้ืออ่อน เช่น ผลไม้ ผกั สด หยวกกลว้ ย หนังโค กระดาษ เป็นต้น หรอื เป้นพวกวสั ดุเน้ือ
แขง็ เช่น จาหลกั หน้าบนั บานประตู เป็นตน้

การก่อสรา้ ง เป็นกรรมวธิ กี ารสรา้ งทอ่ี ยอู่ าศยั อาคารทางศาสนา และโรงเรอื น ต่างๆ โดยมี
กรรมวธิ ใี นการสรา้ งสรรค์ ดงั น้ี

๑) การผูก โดยใชไ้ มไ้ ผ่หรอื ไมร้ วก มาเป็นโครงสรา้ ง และมุงหลงั คาและฝา ดว้ ยทางสาคู
ทางจาก ทางระกา ฟาง ใชเ้ ชอื ก หวายหรอื เถาวลั ย์ ในการยดึ ส่วนต่างๆ เขา้ ดว้ ยกนั

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๒) การสบั เป็นกรรมวธิ กี ารเขา้ ไมโ้ ดยใชว้ สั ดทุ เ่ี ป็นไมจ้ รงิ ในการก่อสรา้ งจะใช้ วธิ มี ากและ
เจาะเพอ่ื ทาเดอื ยและรเู ดอื ย และเอาไมแ้ ต่ละชนั้ สอดใสป่ ระกบเขา้ ดว้ ยกนั ตามตาแหน่งของเดอื ยและ
รเู ดอื ย ในบางกรณอี าจใชส้ ลกั ลมิ่ ตอกใหแ้ น่นขน้ึ

๓) การก่อ คนไทยนิยมใชอ้ ฐิ และศลิ าแลงในการก่อสรา้ งอาจจะมกี ารใชป้ นู เช่อื ม ใหแ้ ผ่นอฐิ
หรอื ศลิ าแลงตดิ กนั แลว้ ฉาบภายนอกดว้ ยปนู ใหเ้ รยี บหรอื ไมใ่ ชป้ นู กไ็ ด้

การเขยี นหรอื วาด เป็นการเขยี นภาพลายเสน้ ภาพเขยี นระบายสี บนวสั ดุ ทเ่ี ป็นแผ่นหรอื
ผนื เช่น กระดาษ ผ้า กระดาน และผนังฉาบปนู สที ใ่ี ช้ในการเขยี นจะเป็นสฝี ุ่น ๒.๓.๕ การจกั สาน
เป็นกรรมวธิ กี ารทาภาชนะบรรจุสง่ิ ของหรอื เคร่ืองใช้ด้วยวธิ กี ารจกั สาน ถกั ผูกและพนั ใช้วสั ดุ
ประเภทไมไ้ ผ่ หวาย ใบลาน ฟาง กา้ นและใบมะพรา้ ว ใบเตย เป็นตน้

๑) การจกั คอื การทาใหเ้ ป็นแฉกๆ หรอื หยกั คลา้ ยฟนั เล่อื ย เอมดี ผ่าไมไ้ ผ่ หรอื หวายให้
แตกจากกนั เป็นเส้นบางๆ อันหมายถึงขนั้ ตอนของการเตรยี มวสั ดุท่นี ามาสานเป็นสง่ิ ของต่างๆ
นนั่ เอง

๒) การสาน คอื การใชเ้ สน้ ตอกหรอื สงิ่ ทเ่ี ป็นเสน้ อ่นื ๆ ทอ่ี ่อนตวั ไดม้ าขดั กนั คอื ยกและขม่
ใหเ้ กดิ เป็นลายทต่ี อ้ งการ

๓) การถกั คอื การใชเ้ สน้ เชอื กหรอื หวายเป็นตน้ ไขวส้ อดประสานกนั ใหเ้ ป็น

ลวดลายต่างๆ บา้ งให้เป็นเส้นและเป็นผนื บ้างให้ตดิ ต่อกนั การจกั สานมรี ปู ทรง ๒ แบบ
คอื

- รปู ทรงท่มี โี ครงสรา้ งเสรมิ นอกเหนือจากตอกยนื และตอกสาน เป็นผลติ ภณั ฑท์ ่ตี ้องรบั
น้าหนกั มากๆ เช่น กระบงุ กระจาด เป็นตน้

- รปู ทรงท่ไี ม่มโี ครงสรา้ งเสรมิ เป็นผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ม่ต้องรบั น้าหนักมาก เช่น หมวก ซองใส่
ยาสบู

การทาเครอ่ื งกระดาษ การทากระดาษและเครอ่ื งใชส้ อยจากกระดาษ เช่น การทากระดาษ
ขอ่ ยหรอื กระดาษสา นอกจากน้ียงั มงี านกระดาษทใ่ี ชต้ กแต่งงานเทศกาลต่างๆ ซง่ึ ทาขน้ึ จากการตดั
กระดาษเป็นรว้ิ ธง พมุ่ ดอกไม้ เป็นตน้ ๔๐

กรรมวธิ อี ่นื ๆ ศิลปหตั ถกรรมไทยท่สี รา้ งด้วยกรรมวธิ อี ่นื ๆ ยงั มอี ีกหลายวธิ ี เช่น การบุ
และการดุล การฉลุ เป็นตน้

๑) การบุ คอื การนาโลหะมาตแี ผ่ขน้ึ รูปแลว้ แกะสลกั ดุนเป็นลวดลาย เช่นขนั น้าลงหนิ ขนั
ของทางภาคเหนือ ฯลฯ

๔๐ ประเภทของหตั ถกรรม, [ออนไลน์], แห่งขอ้ มูล : https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-
3/evolution_of_thai_art/17.html [๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘]

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๒) การดลุ เป็นการฉลุแผ่นไม้ โลหะเพ่อื ตกแต่งอาคาร ทาเคร่อื งประดบั สถาปตั ยกรรม
เครอ่ื งสงู เป็นตน้

คณุ ค่าของงานหตั ถกรรม

งานหตั ถกรรมพ้นื บา้ นมคี ุณค่าในตวั เองสูง เพราะเป็นงานท่ผี ลติ ขน้ึ โดยใช้ฝีมอื ทางการ
ช่างท่ีต้อมีทักษะและความชานาญในการผลิต เคร่อื งมือและอุปกรณ์ทางเทคโนโลยเี ป็นเพียง
ส่วนประกอบในการผลติ งานเท่านนั้ และงานหตั ถกรรมยงั ใหค้ ุณคา่ ดงั ต่อไปน้ี

รูปทรง สงิ่ ประดษิ ฐ์หตั ถกรรมท่เี กดิ ขน้ึ ในแต่ละท้องถนิ่ จะมรี ูปร่าง รปู ทรง ท่ีแตกต่างกนั
ขน้ึ อยกู่ บั วสั ดใุ นการผลติ ซง่ึ ทาใหเ้ กดิ เป็น STYLE ของทอ้ งถนิ่ ไป

วสั ดุ งานหตั ถกรรมต่างๆ ใหค้ ุณค่าของวสั ดุทเ่ี ป็นธรรมชาตทิ น่ี ามาสรา้ งสรรค์ เป็นสงิ่ ของ
เคร่อื งใชแ้ ละสงิ่ ประดบั ตกแต่ง คุณค่าของงานจะมากหรอื น้อยขน้ึ อยกู่ บั วสั ดุท่นี ามาใชว้ ่าหาไดย้ าก
หรอื งา่ ย นามาใชใ้ นการผลติ ไดด้ เี พยี งใด

ลวดลายและสีสนั เป็นส่ิงท่ีช่วยให้งานหัตถกรรมน่าสนใจและสมบูรณ์มากยงิ่ ข้นึ ให้
ความรสู้ กึ ทน่ี ุ่มนวล อ่อนหวาน แขง็ แกร่งและแปลกใหม่ ซ่งึ ไม่สามารถผลติ ไดด้ ว้ ยเคร่อื งจกั รหรอื
เครอ่ื งมอื ทท่ี นั สมยั

คณุ ค่าของงานหตั ถกรรมไทย

ศลิ ปหตั ถกรรม มคี วามหมายสาคญั เก่ียวขอ้ งกบั การดารงชวี ติ ของมนุษย์ตงั้ แต่เกดิ จน
ตาย เน่อื งจากชวี ติ ความเป็นอยขู่ องมนุษย์ ตอ้ งสมั พนั ธเ์ ก่ยี วกบั สงิ่ ของ เคร่อื งใช้ ซง่ึ เป็นประดษิ ฐ
กรรมทม่ี นุษยส์ รา้ งขน้ึ มาเพอ่ื แกป้ ญั หาในการดารงชวี ติ ตามสภาพแวดลอ้ มต่างๆ งานหตั ถกรรม จงึ
เป็นดงั กระจกท่สี ะท้อนให้เห็นถึงวถิ ีชวี ติ ความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย เป็นตัวบอกเล่า
ประวตั ศิ าสตร์ สภาพเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม ในกลุ่มชนต่างๆ คุณค่าของศลิ ปหตั ถกรรม
จงึ แบง่ ออกไดด้ งั น้ี

๑. ดา้ นประโยชน์ใชส้ อย สรา้ งขน้ึ บนพน้ื ฐานการดารงชวี ติ เพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการ
เพอ่ื อานวยความสะดวกสายทางกายภาพหรอื เพ่อื แกไ้ ขปญั หาในการดารงชวี ติ

๒. ด้านความเช่อื และค่านิยม งานศิลปหตั ถกรรม แต่เดมิ นัน้ ผู้สร้างและผู้ใช้เป็นคน
เดียวกนั คอื สร้างข้นึ มาเพ่อื ใช้งานเอง การท่ผี ู้สร้างจะมคี ่านิยมและความเช่อื ต่อสิ่งหน่ึงสิง่ ใด
อย่างไรก็ย่อมจะถ่ายทอดสู่งานท่ตี นสร้างด้วยความรู้สกึ นึกคดิ ของตน โดยมแี บบแผนของกลุ่ม
วฒั นธรรมทด่ี ารอยเู่ ป็นตวั หล่อหลอม งานศลิ ปหตั ถกรรมจงึ สะทอ้ นความเชอ่ื คา่ นิยม ของผสู้ รา้ ง

๓. คุณค่าทางด้านประวตั ศาสตร์ และโบราณคดี เน่ืองจากงานศลิ ปหตั ถกรรมเป็นสง่ิ ท่ี
มนุษยส์ รา้ งขน้ึ อยา่ งมจี ดุ ประสงค์ และเป็นสงิ่ ทส่ี บื ทอดกนั มาแต่ในอดตี ไดเ้ ป็นอยา่ งดใี นฐานะขอ้ มลู
หลกั ฐานทเ่ี ป็นรปู ธรรมทางประวตั ศิ าสตร์ และโบราณคดี

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

๔. คุณค่าทางด้านความเป็นเอกลกั ษณ์ของสงั คมวฒั นธรรม งานศลิ หตั ถกรรมเกดิ ข้นึ
ภายใตค้ วามแตกต่างทางสภาพแวดลอ้ ม ฐานทรพั ยากร ประเพณี คตคิ วามเช่อื ทห่ี ล่อหลอมเกดิ
เป็นแบบแผนวฒั นธรรมเฉพาะกล่มุ

๕. คุณค่าทางด้านความงาม การสรา้ งงานศิลปหตั ถกรรมย่อมประกอบข้นึ ด้วยความ
ต้องการทางประโยชน์ใชส้ อย แต่ผู้สรา้ งกไ็ ดพ้ จิ ารณารูปทรงท่เี หมาะสมและความงามทน่ี ่าใช้สอย
ประกอบไปด้วยโดยได้แสดงออกผ่านทางรูปทรง โครงสร้าง ลวดลาย วสั ดุและฝีมอื อนั วจิ ติ ร
ประณตี

๖. คณุ ค่าทางดา้ นเศรษฐกจิ ดว้ ยการผลติ สนิ คา้ และของทร่ี ะลกึ จากการท่องเทย่ี ว เป็นตวั
สรา้ งรายไดใ้ หแ้ ก่ทอ้ งถน่ิ จนถงึ การสรา้ งรายไดโ้ ดยการส่งออกต่างประเทศ๔๑

สรปุ ท้ายบท

สาระสาคญั ของภูมปิ ญั ญาไทยดงั กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า “ภูมปิ ญั ญาไทย”
(ภมู +ิ ปญั ญา+ไทย) หมายถงึ พน้ื ความรคู้ วามสามารถของคนไทย ชาตไิ ทย และประเทศไทย ซง่ึ นนั่
เป็นการใหค้ วามหมายโดยพยญั ชนะ ส่วนหมายหมายของภูมปิ ญั ญาโดยอรรถคอื “ภูมปิ ญั ญาไทย”
หมายถงึ ผลของประสบการณ์ทส่ี งั่ สมของคนทเ่ี รยี นรจู้ ากการปฏสิ มั พนั ธก์ บั สงิ่ แวดลอ้ ม ปฏสิ มั พนั ธ์
ในกลมุ่ เดยี วกนั และระหวา่ งกลุ่มชนหลายชาตพิ นั ธรุ์ วมไปถงึ โลกทศั น์ทม่ี ตี ่อสง่ิ เหนือธรรมชาตติ ่างๆ
ภมู ปิ ญั ญาเหล่าน้เี คยเออ้ื อานวยใหค้ นไทยแกป้ ญั หาได้ ดารงอยแู่ ละสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมของเราเอง
ได้อย่างมดี ุลยภาพกับสงิ่ แวดล้อม โดยเฉพาะในระดบั พ้นื ฐาน หรอื ระดบั ชาวบ้าน ภูมปิ ญั ญาใน
แผน่ ดนิ ไดเ้ กดิ ขน้ึ เป็นเอกเทศ แต่มสี ่วนแลกเปลย่ี น เลอื กเฟ้น และปรบั ใชภ้ ูมปิ ญั ญาจากอารยธรรม
อ่นื ตลอดมา “ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญาไทย” คอื มลี กั ษณะเป็นองคค์ วามรดู้ า้ นต่างๆ ของการดารงชวี ติ
ของคนไทยท่เี กดิ จากการสงั่ สมประสบการณ์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ประกอบกบั แนวความคิด
วเิ คราะห์ในการแก้ปญั หาต่างๆ ของตนเอง จนเกดิ หลอมรวมเป็นแนวความคดิ ในการแก้ปญั หาท่ี
เป็นลกั ษณะของตนเอง ทส่ี ามารถพฒั นาความรดู้ งั กล่าวมาประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั กาลสมยั ใน
การแก้ปญั หาการดารงชวี ติ นอกจากน้ีภูมปิ ญั ญาไทย ยงั ได้แยกประเภทออกไปอกี กล่าวคอื ภูมิ
ปญั ญาทอ้ งถนิ่ ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น เป็นตน้

สาระสาคญั ของศลิ ปะไทย มนี ักวชิ าการทางศลิ ปะ และศลิ ปินมองคุณค่าแตกต่างกนั เช่น
มองจติ รกรรมไทยเป็นคุณค่าทางเร่อื งราว คุณค่าทางรปู ทรง คุณค่าทางธรรมชาติ เม่อื ประมวลถงึ
การมองคณุ ค่าของศลิ ปะไทยแลว้ การแสดงออกของเรอ่ื งราว รปู ทรงต่างๆ จะเกย่ี วขอ้ งกบั ความเช่อื
ความงาม ประโยชน์ใชส้ อยและความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ

๔๑ คุณค่าของหตั ถกรรมไทย, [ออนไลน์], แหล่งขอ้ มลู : https://thailandhandmadebuu.wordpress.com/category, [๙
กรกฎาคม ๒๕๕๘]

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

คณุ ค่าทางความเชื่อ สงั คมไทยไมว่ ่าจะอยใู่ นภูมภิ าคใด แสดงออกในเร่อื งราวของความ
เช่อื อยทู่ ุกมติ ขิ องสงั คม ซง่ึ ผูกพนั อยกู่ บั ความเช่อื เรอ่ื งผี เร่อื งศาสนา เร่อื งกฎแห่งกรรม บนั ดาลใจ
ให้ผู้สรา้ งผลติ ออกมาเป็นพธิ กี รรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และงานศลิ ปกรรมประเภทต่างๆ สบื
ทอดต่อกนั มา ใหป้ ระโยชน์ต่อชมุ ชนต่อตนเอง เกดิ ผลดใี นการดารงชวี ติ ช่วยกระตุ้นใหค้ นเกดิ ความ
รกั ชาติ รกั สถาบนั ประพฤติตนอยู่ในกรอบของจารตี พระธรรมคาสงั่ สอน เช่น ภาพเก่ยี วกบั นรก
สวรรค์ เรอ่ื งชาดก เป็นตน้

คณุ ค่าทางความงามหรอื สนุ ทรยี ะ เป็นพน้ื ฐานสาคญั ของผสู้ รา้ งหรอื ศลิ ปินมาทุกยุคทุก
สมยั การทจ่ี ะสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปกรรมสกั อยา่ งหน่งึ ผนู้ นั้ ตอ้ งมแี รงบนั ดาลใจจากเรอ่ื งของความเช่ือ และ
ความงามทต่ี นเองมองสง่ิ นนั้ ๆ อยู่ ศลิ ปินไมไ่ ดม้ องสงิ่ ทต่ี นเองสนใจเพยี งผวิ เผนิ แต่มกั จะมองสงิ่ นนั้
อย่างตงั้ ใจ เราถอื ว่าศลิ ปินเป็นผูเ้ ห็นสงิ่ ๆ นัน้ ได้มากกว่าคนทวั่ ไป ศิลปินจะเห็นความงามจาการ
เป็นไปเล่อื นไหลของเสน้ รูปร่าง รปู ทรง สสี นั ท่ตี นมองเหน็ มา สรา้ งใหเ้ กดิ งานท่วี จิ ติ รบรรจงและ
ความสมบรู ณ์ขน้ึ ในภาพจติ รกรรม ในวดั ทม่ี ชี ่อื เสยี งเช่นวหิ ารลายคาวดั พระสงิ ห์ วดั ภมู นิ ทร์ และวดั
อ่ืน ๆ ท่แี สดงงานจติ รกรรมบนฝาผนัง แสดงให้เห็นการดาเนินชวี ติ ในสมยั ก่อน เห็นเร่อื งบาป
บุญคุณโทษของการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ โดยมฐี านของความเช่อื ผนวกกบั การมองความงามต่อสงิ่ รอบ
ขา้ งของศลิ ปิน ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพใหค้ นในสมยั น้ไี ดเ้ รยี นรกู้ นั

พูดถงึ ความมสี ุนทรยี ะ ของศลิ ปินและคนในสมยั ก่อนกบั สมยั ปจั จุบนั มคี วามกล้าในการ
แสดงออกต่างกนั เรามกั เห็นภาพกจิ กรรมทางเพศบนฝาผนังวดั อยู่หลายแห่ง หรอื กจิ กรรมของ
ชุมชนในยุคท่ศี ลิ ปินนัน้ สรา้ งขน้ึ ในขณะทศ่ี ลิ ปินหรอื คนยุคน้ียงั ไม่กลา้ พอทจ่ี ะบนั ทกึ ภาพกจิ กรรม
ทางสงั คมยคุ น้ไี วบ้ นผนงั วดั เพราะดว้ ยการไม่ยอมรบั ความจรงิ ของคนในสงั คม เราจงึ เรยี นรกู้ บั สงิ่ ท่ี
เป็นอดตี กนั คอ่ นขา้ งมาก

คณุ ค่าทางด้านประโยชน์ใช้สอย เป็นเร่อื งสามญั สานึกของผสู้ รา้ งงานศลิ ปกรรม ทม่ี อง
ถงึ ประโยชน์ใชส้ อยและการสนองตอบต่อความสะดวกสบายของคนในชุมชนและตนเอง ไมม่ ศี ลิ ปิน
หรอื ผู้สร้างคนใดอดทนจากการถูกบงั คบั ให้ทาในส่งิ ท่ตี นเองไม่เห็นประโยชน์ได้นาน อย่างน้อย
ความคดิ ท่ถี ูกกลนั่ ให้เป็นงานศลิ ปกรรมจะแสดงหรอื แฝงเร้นในงานนัน้ ๆ มใี ห้เห็นอยู่เสมอ เช่น
ท่าทางตลกขบขนั ในงานจติ รกรรมแทรกในภาพชาดก การคิดลวดลายต่างๆ ประดบั ในมุมของ
ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม เป็นตน้

คุณค่าทางความรู้สึก งานศิลปะทุกประเภทส่วนใหญ่จะเก่ียวข้องกบั ความงามท่ีให้
ความรู้สกึ ต่างๆ แทบทงั้ สน้ิ ศลิ ปินผู้สรา้ งสามารถกาหนดใหภ้ าพท่แี สดงออกนัน้ มีความรอู้ ย่างไร
เม่อื มผี ู้ เช่น เรามองภาพหลายภาพเรารสู้ กึ เกลยี ดชงั ตวั ตนทถ่ี ูกถ่ายทอดออกมา อย่างเราเกลยี ด
ภาพชูชกเฒ่าท่มี แี ต่ตณั หาราคะปฏบิ ตั ติ ่อพระกณั หาพระชาลี อย่างทรมาน เราศรทั ธาเล่อื มใสต่อ
องคพ์ ระปฏมิ า เพราะถ่ายทอดออกมาอยา่ งงดงามลงตวั เราเหน็ ภาพพระ ภาพนาง ภาพยกั ษ์ ลว้ นมี
ความรสู้ กึ ทแ่ี ตกต่างกนั ไป เป็นต้น บางคนและหลายคนมองความงามศลิ ปะไทยทเ่ี ป็นนามธรรมนนั้

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

มเี พยี งสองมติ ิ ไม่เหมอื นธรรมชาติ มเี ส้นโค้งไม่หลากหลาย สูค้ วามงามทเ่ี ป็นธรรมชาตหิ รอื เป็น
รปู ธรรมอยา่ งศลิ ปะตะวนั ตกไมไ่ ด้

คณุ ค่าทางความร้สู ึกในงานศิลปะไทย จงึ เป็นคุณค่าของจติ ทถ่ี ูกกระทบดว้ ยการมอง
และการเหน็ โดยตรง แลว้ ถูกวนิ ิจฉยั ดว้ ยสมองตามประสบการณ์ ความรู้ และสง่ิ แวดล้อมของผนู้ ัน้
นนั่ เอง

อย่างไรก็ตาม คุณค่าทางศิลปะไทย ไม่จากัดเฉพาะเพียงท่ีกล่าวมา คุณค่าอาจจะ
เปล่ยี นไปตามกระแสของสงั คม และความต้องการของคนหม่ใู หญ่ โดยเฉพาะการคดิ ก้าวหน้าจน
หลุดโลก จะทาให้ศลิ ปะไทยถูกประยุกต์ไปสนองตอบต่อระบบเศรษฐกิจในปจั จุบนั ได้ง่าย แต่เรา
ฐานะผเู้ รยี นรู้ ผศู้ กึ ษาศลิ ปะไทยจากความดงี ามในอดตี จะชว่ ยดารงสถานะ ลกั ษณะความเป็นตวั ตน
ของศลิ ปะไทยได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรนัน้ ขน้ึ อยู่กบั ความเข้าใจ การรบั รเู้ ห็นคุณค่าของศิลปะ
ไทยทไ่ี มผ่ ดิ เพย้ี นไปจากความเป็น “ไท” และความเป็นตวั ของตวั เราเอง

เอกลกั ษณ์ไทย คือสิ่งท่ีบง่ บอกความเป็นชาติไทยได้อย่างชดั เจน ได้แก่

๑. ภาษาไทยคอื ภาษาพูดทใ่ี ชส้ ่อื สารกนั ไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจ ถงึ แมจ้ ะมสี าเนียงทแ่ี ตกต่างกนั ไป
บ้างในแต่ละพ้นื ท่ี รวมถึงการใช้ศพั ท์กบั บุคคลในระดบั ต่างๆ และอกั ษรไทยท่ใี ช้ในภาษาเขยี น
โดยทวั่ ไป

๒. การแต่งกาย ถึงแมว้ ่าในปจั จุบนั การแต่งกายของชาวไทยจะเป็นสากลมากขน้ึ แต่ก็
ยงั คงเครอ่ื งแต่งกาย ของไทยไวใ้ นโอกาสสาคญั ต่างๆ เช่น ในงานพระราชพธิ ี งานทเ่ี ป็นพธิ กี ารหรอื
ในโอกาสพบปะ สงั สรรคร์ ะหว่างผนู้ า พธิ แี ต่งงาน เทศกาลและงานประเพณีทจ่ี ดั ขน้ึ หรอื ในกจิ กรรม
ต่างๆ ท่ตี ้องการ แสดงให้เหน็ ถงึ ความเป็นไทยอย่างชดั เจน ในบางหน่วยงานของราชการ มกี าร
รณรงคใ์ หแ้ ต่งกายในรปู แบบไทยๆ ดว้ ย ซง่ึ กไ็ ดร้ บั ความรว่ มมอื เป็นอยา่ งดี

๓. การแสดงความเคารพด้วยการไหว้และกราบ ซ่งึ แบ่งแยกออกได้อย่างชดั เจน เช่น
กราบพระพุทธรูป กราบพระสงฆ์ กราบไหวบ้ ุคคลในฐานะ หรอื วยั ต่างๆ ตลอดจนการวางตนด้วย
ความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ความมีน้าใจ
เออ้ื เฟ้ือเผ่อื แผ่ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั รวมไปถงึ ความเกรงใจ

๔. สถาปตั ยกรรม เหน็ ไดจ้ ากชน้ิ งานทป่ี รากฏในศาสนสถาน โบสถว์ หิ าร ปราสาทราชวงั
และอาคารบา้ น ทรงไทย

๕. ศลิ ปวฒั นธรรมและประเพณี ประเทศไทยมกี ารตดิ ต่อกบั หลายเช้อื ชาติ ทาให้มกี าร
รวั ฒั นธรรมของชาตติ ่างๆ เขา้ มา แต่คนไทยสามารถนามาประยกุ ต์ใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม และปฏบิ ตั ิ
สบื ต่อกนั มาจน กลายเป็น สว่ นหน่งึ ในวถิ ชี วี ติ ของไทย

๖. ดนตรไี ทย กฬี าไทย และการละเลน่ พน้ื เมอื งต่างๆ

บทท่ี ๓ “สาระสาคญั ของภมู ิปัญญาไทยและศิลปะไทย” หน้า ๘๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

สงิ่ ทก่ี ล่าวมานนั้ เป็นเพยี งบางส่วนทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเป็นเอกลกั ษณ์ของชาตไิ ทย
ถงึ แมว้ า่ จะมบี างอยา่ งทม่ี องไมเ่ หน็ เดน่ ชดั หรอื เปลย่ี นแปลงไปบา้ งแลว้ กต็ าม แต่สง่ิ หน่งึ ทจ่ี ะตอ้ ง
คงอยใู่ นใจของคนไทยตลอดไป กค็ อื ศกั ดศิ ์ รขี องคนไทย

สญั ลกั ษณ์ประจาชาติไทย (Nation Identity)

๑. สตั วป์ ระจาชาตไิ ทย คอื “ชา้ งไทย” Chang Thai (Elephant หรอื Elephas Maximas)

ลกั ษณะ : เป็นชา้ งเผอื ก ภายในวงกลมพน้ื สแี ดง

เหตุผล : เพราะ “ชา้ งไทย” เป็นสตั วท์ ม่ี คี วามเก่ยี วขอ้ งกบั ประวตั ศิ าสตรแ์ ละประเพณีของ
ไทยมาชา้ นาน เป็นทร่ี จู้ กั แพรห่ ลายและมอี ายยุ นื นาน ตลอดจนเก่ยี วขอ้ งกบั สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
โดยชา้ งทม่ี ลี กั ษณะเป็นมงคลตามตาราคชลกั ษณ์จะเป็นสตั วค์ ่บู ารมแี ละใชช้ า้ งในการศกึ สงครามมา
โดยตลอด

๒. ดอกไมป้ ระจาชาตคิ อื “ดอกราชพฤกษ์” (คนู ) Ratchapruek (Cassiafistula Linn.)

ลกั ษณะ : ดอกราชพฤกษ์ มสี เี หลอื งออกดอกเป็นช่อหอ้ ยเป็นพวงระยา้ ดอกทอ่ี อกจะมที งั้
ดอกตูม ดอกบาน ส่วนเกสรจะร่วงบา้ งในบางดอกตามกาลเวลาซง่ึ ธรรมชาตดิ อกราชพฤกษ์จะบาน
ไมพ่ รอ้ มกนั

เหตุผล : เพราะต้นราชพฤกษ์ หรอื คูนเป็นตน้ ไมพ้ น้ื เมอื ง รจู้ กั กนั แพร่หลายสามารถปลูก
ขน้ึ ไดท้ ุกภาคในประเทศไทย มปี ระโยชน์มาก ฝกั เป็นสมุนไพรมคี ่ายงิ่ ในตารบั แพทยแ์ ผนโบราณ
และแก่นแขง็ ใชท้ าเสาเรอื นไดด้ ี ลาตน้ มปี ระวตั เิ ก่ยี วขอ้ งกบั ประเพณขี องชาวไทย เพราะเป็นไมท้ ม่ี ี
ช่อื เป็นมงคลนาม และอาถรรพ์ มอี ายยุ นื นาน มที รวดทรงและพุ่มงาม แก่นไมร้ าชพฤกษ์เคยใชใ้ นพธิ ี
สาคญั ๆ มาก่อน เชน่ พธิ ลี งหลกั เมอื งใชเ้ ป็นเสาเอกในการก่อสรา้ งพระตาหนัก ทายอดคฑาจอมพล
และยอดธงชยั เฉลมิ พลของกองทหาร

๓. สถาปตั ยกรรมประจาชาติ คอื ศาลาไทย Sala Thai (Pavilion)

ลกั ษณะ : เป็นศาลาไทยประเภทเรอื นเครอ่ื งสบั อยภู่ ายในวงกลมตงั้ อยบู่ นพน้ื สเี ขยี ว แสดง
ถงึ ความอุดมสมบรู ณ์และความเป็นประเทศเกษตรกรรมของชาตไิ ทย ฉากดา้ นหลงั เป็นสฟี ้าแสดงถงึ
ความสดใสของประเทศไทย อนั เป็นประเทศในเขตรอ้ น สขี องทอ้ งฟ้าทส่ี ดใสจงึ แสดงถงึ ความสดใส
เบกิ บาน

เหตุผล : เพราะศาลาไทย เป็นสถาปตั ยกรรมทส่ี ะทอ้ นภูมปิ ญั ญาช่างไทยมคี วามสงา่ งามท่ี
โดดเดน่ จากสถาปตั ยกรรมชาตอิ ่นื

บทที่ ๔

ชนชาติไทยกบั แนวคิดพืน้ ฐานภมู ิปัญญาไทย

ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ

น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies)

๔.๑ ความนา

แมว้ า่ ชาวไทยยงั คงอนุรกั ษ์ความเชอ่ื ดงั้ เดมิ บางอยา่ งเอาไว้ แต่กอ็ าศยั คําสอนของศาสนา
พุทธเป็นหลักดําเนินชีวิต ดูผิวเผิน ศาสนาเป็นเร่ืองของศรัทธาและความเช่ือ แต่ส่วนลึก
พระพุทธศาสนากส็ อนมุมมองเก่ยี วกบั โลกและชวี ติ อย่างมเี หตุผล เป็นระบบ คําสงั่ สอนเหล่าน้ี ได้
สรา้ งโลกทศั น์ให้ผู้ทน่ี ับถอื โลกทศั น์คอื มุมมองชวี ติ ทม่ี นุษยใ์ ช้ตคี วามประสบการณ์เพ่อื เลอื กทาง
ดาํ เนินชวี ติ ทด่ี แี ละถกู ตอ้ ง ทุกคนมมี มุ มองชวี ติ และทางเลอื กเป็นของตนเอง โลกทศั น์ของใคร กเ็ ป็น
ปรัชญาของคนนั้น โลกทรรศน์ของชนชาติไทย ก็คือปรัชญาไทย ‚โลกทรรศน์ คือปรัชญา‛
นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า ‚มนุษยด์ ําเนินชวี ติ ไปตามปรชั ญาชวี ติ และโลกทรรศน์ของเขา น่ีเป็น
เรอ่ื งจรงิ แมก้ บั ผทู้ ไ่ี รค้ วามคดิ ทส่ี ดุ เป็นไปไมไ่ ด้ ทม่ี นุษยจ์ ะมชี วี ติ อยโู่ ดยไมม่ ปี รชั ญา‛

แมศ้ าสนาจะเป็นเรอ่ื งของศรทั ธา แต่กใ็ หป้ รชั ญาในการแสวงหาเหตุผลและทางเลอื กชวี ติ
ทถ่ี ูกตอ้ ง ปรชั ญากบั ศาสนาหรอื ปญั ญากบั ความเช่อื ต้องมาคู่กนั จงึ จะทําใหม้ มุ มอง หรอื โลกทรรศน์
สมบูรณ์ ไม่กลายเป็นความเช่ืองมงาย หรือใช้เหตุผลจนไม่ยอมรบั อะไร หากจะนํากรอบน้ีมา
พจิ ารณา ชาวไทยกค็ วรนบั ไดว้ า่ มี ‚ปรชั ญา‛ แมจ้ ะมใิ ชป่ รชั ญาทเ่ี ป็นระบบอย่างปรชั ญาตะวนั ตก แต่
กเ็ ป็นแนวปรชั ญาแบบตะวนั ออก เรยี กว่า ‚ปรชั ญาไทย‛

๔.๒ แนวคิดเชิงภมู ิปัญญาในฐานะท่ีชาวไทยเข้าใจ

เม่อื ประมาณ ๖๐ ปีท่ผี ่านมาคําว่า ‚ปรชั ญา‛ เป็นของใหม่สําหรบั ชาวไทยหรอื ในวง
การศกึ ษาไทย และกเ็ ป็นสงิ่ ทช่ี าวไทยบางท่านต้องผลกั ดนั อย่นู านจนกว่าวชิ าปรชั ญา จะไดร้ บั การ
บรรจุเขา้ ในหลกั สูตรการศกึ ษาระดบั มหาวทิ ยาลยั ในประเทศไทย ในขณะทป่ี ระเทศแถบตะวนั ตก
เขาบรรจุวิชาปรชั ญาให้เรยี นตัง้ แต่ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษา เพราะปรชั ญาคือฐานภูมปิ ญั ญาของ
ชาวตะวนั ตก พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่นื นราธปิ พงศ์ประพนั ธ์ (วรรณไวทยากรณ์ วรวรรณ)
บญั ญตั คิ าํ วา่ ‚ปรชั ญา‛ เพอ่ื แปล ‚Philosophy‛ ในภาษาองั กฤษ

“ปรชั ญา” เป็นภาษาสนั สกฤต มคี วามหมายว่าความรอบรู้ แต่ความรทู้ เ่ี ป็นปรชั ญา เป็น
ความรสู้ องระดบั คอื ความรขู้ นั้ แสวงหาและความรขู้ นั้ คน้ พบ เป็นเหตุและผลกนั ระดบั Philosophy
เป็นเหตุ ระดับปรชั ญาเป็นผลแห่งการค้นพบ นักปราชญ์ชาวอินเดียเรียกระบบการคิดน้ีว่า
‚ทรรศนะ‛ หมายถงึ การหยงั่ รคู้ วามจรงิ ‛ ดงั นนั้ ปรชั ญา เป็นดงั ผลแห่งความรู้ในขณะท่ี ‚Philosophy‛

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๘๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ

เป็นดงั เหตุแห่งความรู้ แต่ทงั้ สอง ดจู ะแยกระดบั จากกนั ไดย้ าก ราชบณั ฑติ ยสถาน ใหน้ ิยามปรชั ญา
วา่ ‚วชิ าว่าดว้ ยหลกั แห่งความรแู้ ละความจรงิ ‛๑

แสน ธรรมยศ (ส.ธรรมยศ ปญั ญาชนสยาม)๒ ผไู้ ดร้ บั การศกึ ษาปรชั ญาจากเวยี ดนาม ก่อน
มกี ารบุกเบกิ วชิ าปรชั ญาในประเทศไทย มองความสําคญั วชิ าปรชั ญาว่า ‚เป็นวทิ ยาศาสตร์แห่ง
ความรู้ เป็นวทิ ยาการแหง่ การปฏบิ ตั ิ และเป็นดวงเทยี นมหมึ าของโลกทศั น์ทบ่ี งั เกดิ ขน้ึ ในโลกเพ่อื จะ
จงู มนุษยไ์ ปสู่วถิ ีทางแห่งสนั ตภิ าพ‛ โดยใจความปรชั ญากค็ อื การแสวงหาความจรงิ ตงั้ แต่ระดบั
ธรรมดาสามญั ไปจนถงึ ระดบั สูงสุดของสงิ่ ต่างๆ ทงั้ เขตแดนรปู ธรรมและนามธรรม เพ่อื ตอบสนอง
ความอยากรู้ อยากเหน็ ของมนุษย์ แล้วนําความรนู้ นั้ มาเป็นโลกทศั น์ และชวี ทศั น์ หรอื แนวทางใน
การดาํ เนนิ ชวี ติ ปรชั ญาจงึ เป็นแก่น (Core) ของวชิ าทงั้ หลาย

เน้ือหาและสาระของวชิ าปรชั ญา ตามความเขา้ ใจของคนไทยทงั้ สมยั เก่าและสมยั ใหม่ มี
ความเขา้ ใจผดิ หรอื ทศั นคตทิ ผ่ี ดิ ต่อ วชิ าปรชั ญาว่า ‚เป็นวชิ าทพี่ ูดกบั ใครกไ็ มร่ เู้ รอื่ ง‛ นกั ปรชั ญา
เป็นคนแปลกประหลาด เหมอื นอย่คู นละโลก คนธรรมดา อยใู่ นโลกของความจรงิ ขณะทน่ี ักปรชั ญา
อยู่ในโลกของความเพอ้ ฝนั หรอื โลกอุดมคติ วถิ ชี วี ติ และวธิ คี ดิ ไมเ่ หมอื นคนธรรมดาสามญั แนวคดิ
ของนกั ปรชั ญา หากพดู โดยไมเ่ กรงใจ กว็ ่า แนวคดิ เพย้ี น นกั ปรชั ญาเป็นคนเพย้ี น หรอื หลุดโลก นกั
ปรชั ญาส่อื สาระอะไรกบั ใคร เมอ่ื เขาไมเ่ ขา้ ใจ กม็ กั จะถกู กระแนะกระแหนว่า อย่าพดู แบบปรชั ญา คง
เป็นด้วยเหตุน้ีกระมงั คนไทยบางคนท่คี ดิ อะไรเหนือชาวบ้านธรรมดาสามญั มีความลุ่มลึกทาง
ความรู้ มวี สิ ยั ทศั น์ท่ไี กลและคดิ เป็นระบบ ล้ําหน้าคนร่วมสมยั จงึ มกั ถูกป้ายสวี ่า ‚วปิ ปลาสเพ้ยี น‛
ด้วยความต้นื เขลาแห่งระบบคดิ และความบกพร่องของกระบวนการคดิ คนไทยจงึ ไม่กล้ายอมรบั
ตนเองว่าเป็นนักปรชั ญา ทงั้ ไม่อยากเรยี นวชิ าปรชั ญา ประการสําคญั ปรชั ญามใิ ช่วชิ าชพี ท่สี รา้ ง
ความมงั่ คงั่ ร่าํ รวยยกระดบั ฐานะทางเศรษฐกจิ ของตนดุจสาขาวชิ าอ่นื ๆได้ เสน้ แบ่งระหว่าง อจั ฉรยิ ะ
กบั เพ้ยี น บางยง่ิ กว่าหน่ึงในพนั ของมลิ ลเิ มตร นักปรชั ญากบั คนเพ้ยี นก็มเี ส้นแบ่งท่บี างเฉียบดุจ
เดยี วกนั

โดยทวั่ ไปความหมายของคําว่า ‚ปรชั ญา‛ มคี วามหมายกว้างๆ อยสู่ องความหมาย คอื
ความหมายตามทางนิรตุ ศิ าสตรห์ รอื ความหมายตามตวั อกั ษร ซง่ึ หมายถงึ คาํ ปรชั ญาทใ่ี ชแ้ ทนคาํ ว่า
‚Philosophy‛ ในภาษาองั กฤษทม่ี คี วามหมาย ความอยากในความรู้ ความรกั ในความรู้ อนั หมายถงึ
ความอยากรใู้ ครท่ จ่ี ะรู้ มคี วามกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะแสวงหาคาํ ตอบจากประสบการณ์ของมนุษย์ ส่วน
อกี ความหมายหน่ึงเป็นความหมายตามลกั ษณะของการใช้ซง่ึ หมายถงึ แนวความคดิ ความเช่อื คติ
วฒั นธรรมและค่านิยม เป็นต้นของมนุษย์ แต่แนวความคดิ หรอื ความนึกคดิ ต่างๆ อนั ก่อตวั เป็น
ปรชั ญาดงั กล่าวนัน้ ถ้าไม่มกี ารพฒั นาให้เป็นระบบชดั เจน ย่อมมลี กั ษณะกว้างหรอื ผดิ เผนิ เกนิ ไป

๑ ผศ. วชิ ยั สุธรี ชานนท์, ปรชั ญาเบือ้ งต้น, (กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าปรชั ญาและศาสนา วทิ ยาลยั ครเู ทพสตรี,
๒๕๒๓), หน้า ๑-๒.

๒ สําเร็จปริญญาทางด้านปรชั ญา จากประเทศเวียดนาม ผลงานทางด้านปรัชญา เช่นบทนําแห่งปรัชญาศาสตร์
(Introduction to Philosophy) ตพี มิ พ์ พ.ศ. ๒๔๘๕., ประวตั ิศาสตรป์ รชั ญา อภปิ รชั ญา ศาสตร์ปรชั ญา ปรชั ญาฝ่ายปฏบิ ตั นิ ิยม
ศาสนา ประวตั ศิ าสตร์ บทความ เรอ่ื งสนั้ ฯลฯ

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๘๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

จนไม่อาจแยกออกจากความเช่อื ถอื ทวั่ ๆ ไป อนั ไมม่ รี ะบบไม่ชดั เจนอ่นื ๆ ดงั นนั้ จงึ มคี วามจาํ เป็นท่ี
จะต้องแสดงลกั ษณะของปรชั ญาไทย ให้มคี วามหมายชดั เจนซ่งึ ก็ไม่มวี ิธใี ดดไี ปกว่าการนําเอา
หลายๆ ลกั ษณะอนั ปรากฏชดั เจน กลมกลนื กนั ส่งเสรมิ กนั และกนั และไมข่ ดั แยง้ กนั มาเสมอซง่ึ จะ
ทาํ ใหก้ ารมองเหน็ งานและหน้าทข่ี องนกั ปรชั ญา ดงั ต่อไปน้ี

๑. ปรชั ญา คอื ทศั นะคตแิ ละท่าทคี วามรสู้ กึ เฉพาะตอนของบุคคลในบุคคลหน่ึงทม่ี ตี ่อโลก
และชวี ติ คํานิยามน้ีหมายความว่าปรชั ญาเรม่ิ ต้นจากความประหลาดใจ, สงสยั , และความอยากรู้
อยากเหน็ จนเตบิ โต ออกมาจากการรบั รตู้ ่อปญั หาต่างๆ ของชวี ติ และโลก ซง่ึ พฒั นาขน้ึ ตามลําดบั
จากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั

๒. ปรชั ญาคอื กรรมวธิ คี น้ คดิ หรอื การคนั ควา้ ดว้ ยการใช้เหตุผล ข้อน้ีอาจเทยี บได้กบั
โยนิโสมนสกิ ารของพระพุทธศาสนาซ่งึ มลี กั ษณะมองปญั หาและข้อเทจ็ จรงิ อย่างมวี จิ ารณญาณ
ตลอดจนวพิ ากษ์วจิ ารณ์ทุกแงท่ กุ มมุ

๓. ปรชั ญาคอื ความพยายามทจ่ี ะมองใหเ้ หน็ ภาพทงั้ หมด น่ีคอื การรวบรวมบทสรุปของ
ศาสตรต์ ่างๆ และประสบการณ์ของมนุษยโ์ ดยจดั ใหเ้ ป็นระบบหรอื โลกทศั น์กลมกลนื กนั ทงั้ หมด

๔. ปรชั ญาคอื การวเิ คราะหภ์ าษาตามหลกั ตรรกวทิ ยาและการแจกแจงความหมายของคํา
และมโนภาพ น่คี อื หน้าทข่ี องปรชั ญาซง่ึ นกั ปรชั ญาบางคนเหน็ ว่าเป็นงานหนักทศั นะน้ีเกดิ ขน้ึ ไมน่ าน
นกั อนั เน่อื งมาจากอทิ ธพิ ลของวทิ ยาศาสตร์

๕. ปรชั ญาคอื กลุ่มของปญั หาและทฤษฎใี นการแสวงหาคําตอบคอื ปญั หาเหล่านัน้ น่ีคอื
ความสงสยั ของมนุษย์และความพยายามท่ีจะแสวงหาคําตอบปญั หาบางอย่างในอดตี อาจได้รบั
คําตอบแล้ว บางปญั หาอาจได้คําตอบชวั่ คราวและอีกหลายๆ ปญั หายงั คงเป็นปญั หา ‚โลกแตก‛
ต่อไป

คําว่า “ปรชั ญา” ก็ดี “ลทั ธิ” ก็ดี “แนวคิด” ก็ดี “ทฏิ ฺฐิ” ก็ดี “ทรรศนะ” (ทศั นะ) ก็ดี “ภูมิ
ปญั ญา” ก็ดี เป็นลักษณะของคําท่ีมคี วามเหมอื นและความหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จะ
แตกต่างกนั กเ็ ฉพาะท่มี า ภาษา จดุ มุ่งหมาย และการอธบิ ายความเท่านัน้ แต่เม่อื กล่าวโดยสรุปใน
ตําราเล่มน้ี ผเู้ ขยี นมคี วามเหน็ วา่ เป็นสง่ิ เดยี วกนั มอี รรถะเหมอื นกนั จะมคี วามต่างกนั ทก่ี ารนําไปใช้
ในแต่ละโอกาส

จากพจิ ารณาคําว่า ‚ปรชั ญา‛ อีกครงั้ ตามความหมายท่ีเป็นสากลนัน้ หมายถึงอะไร
มฉิ ะนัน้ จะเกดิ ปญั หาในภายหลงั ว่าอย่างไร จงึ จะเรยี กว่า ‚ปรชั ญา‛ ขอเสนอความหมายทม่ี ปี รากฏ
ในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ใหค้ วามหมายไวว้ ่า ‚วชิ าว่าดว้ ยหลกั แห่ง
ความรแู้ ละความจรงิ ‛ ตามความหมายน้ีมไิ ดก้ ล่าวถงึ ความเป็นระบบแห่งความคดิ ดว้ ยสาเหตุน้ี
แนวความคิดใดท่กี ล่าวถึงความรู้และความจรงิ ก็น่าจะเป็นปรชั ญาได้ทงั้ นัน้ ถึงแม้ว่าความรู้นัน้
อาจจะไม่มกี ารแสดงออกมาซง่ึ สญั ลกั ษณ์ความเป็นระบบเลย เช่นกระแสแนวความคดิ อนั เป็นภูมิ
ปญั ญาของคนไทย ซง่ึ เป็นชาตทิ เ่ี ก่าแก่ชาตหิ น่ึงทม่ี นี กั คดิ และนกั แสวงหาความรคู้ วามจรงิ ทเ่ี ก่ยี วกบั
โลกและชวี ติ เป็นจาํ นวนไมน่ ้อยนกั คดิ เหล่าน้ีเราอาจยกยอ่ งท่านใหเ้ ป็นนกั ปราชญ์ไดใ้ นฐานะทเ่ี ป็น

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

ผู้แสวงหาคําตอบเก่ียวกับอันติมสัจจะ แล้วได้แสดงความรู้นัน้ ออกมาอย่างเหมาะสมตาม
สภาพการณ์ของแต่ละยุค เช่นอย่ใู นลกั ษณะของนิทานพน้ื บ้าน ตํานาน วรรณกรรม และศลิ ปกรรม
เป็นต้น อนั เป็นผลผลติ ซ่งึ เกดิ จากแนวความคดิ สรา้ งสรรคข์ องท่านเหล่านัน้ ได้ให้คําตอบทน่ี ่าพงึ
พอใจสาํ หรบั คนในยคุ นนั้ ๆ และสามารถนํามาใชไ้ ดใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั จนหล่อหลอมคนไทยหลายเผ่า
และคนชาตอิ ่นื ๆ ท่เี ขา้ มาอาศยั ในภายหลงั ใหเ้ ป็นเน้ือเดยี วกนั เกดิ จติ สํานึกของความเป็นคนไทย
รว่ มกนั ดงั้ นัน้ ปรชั ญาไทยจงึ แตกต่างปรชั ญาตะวนั ตกโดยทวั่ ๆ ไป ในประเดน็ ทไ่ี มใ่ ช่การคดิ เพ่อื
สนองความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น แต่ต้องนํามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงใน
ชวี ติ ประจาํ วนั ในลกั ษณะเดยี วกนั กบั ปรชั ญาระบบอ่นื ๆ ทป่ี รากฏตามปรชั ญาตะวนั ออกทวั่ ไปซง่ึ
ลกั ษณะน้เี ราน่าจะเรยี กว่า “ปรชั ญาชีวิต”

อกี ประการหน่ึง ปรชั ญาไทยยงั มคี ุณลกั ษณะเด่นท่นี ่าสนใจเป็นพเิ ศษ คอื มลี กั ษณะของ
การประนีประนอมเสมอ ไม่มลี กั ษณะของการโจมตกี นั ถงึ จะไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศาสนาของต่างชาติ
แต่กร็ ู้จกั นํามาปรบั ใช้ประสมไปกบั ความคดิ ดงั้ เดมิ ของบรรพบุรุษ ความประนีประนอมจงึ เป็นอกี
ลกั ษณะหน่งึ ของปรชั ญาไทย

แนวความคดิ อนั เป็นภูมปิ ญั ญาในลกั ษณะตามท่ีกล่าวมานัน้ บรรพบุรุษของคนไทยได้
ชว่ ยกนั สรา้ งเสรมิ เตมิ แต่งและสงั่ สมกนั ต่อๆ มา และไดถ้ ่ายทอดใหแ้ ก่อนุชนรุน่ หลงั ประเดน็ ปญั หา
ท่นี ักปราชญ์ไทยให้ความสนใจค้นคว้าและแสวงหาความจรงิ กนั มาตลอดนัน้ อยู่ในขอบเขตของ
ความรทู้ เ่ี กย่ี วกบั โลกและชวี ติ

ซ่งึ พอจะสามารถสรุปเป็นประเด็นได้ดงั น้ี คือใครเป็นผู้สร้างโลก อนั ติมสัจจ์คืออะไร
ธรรมชาตเิ กดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร ชวี ติ คอื อะไร อะไรเป็นสาเหตุใหช้ วี ติ เกดิ มา ชวี ติ ดาํ เนินไปอยา่ งไร อะไร
เป็นเป้าหมายสงู สุดของชวี ติ ทาํ อยา่ งไรจงึ จะทําใหช้ วี ติ มคี วามสุข ชวี ติ หลงั จากตายมหี รอื ไมแ่ ละถ้า
มชี วี ติ หลงั ความตายแลว้ ชวี ติ เป็นอยา่ งไรและจะสน้ิ สุดเมอ่ื ใด

ประเดน็ ของปญั หาตามทก่ี ล่าวมาน้ีส่วนใหญ่นักปราชญ์ไทยไดพ้ ยายามแสดงหาคําตอบ
ตลอดมาและคาํ ตอบเหลา่ น้ตี งั้ อยบู่ นพน้ื ฐานหลกั ๓ ประการ คอื

๑. กระแสความคดิ ดงั้ เดมิ ก่อนไดร้ บั นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ

๒. กระแสความคดิ ทม่ี ศี าสนาพราหมณ์เป็นพน้ื ฐาน
๓. กระแสความคดิ ทม่ี พี ระพุทธศาสนาเป็นพน้ื ฐาน๓

กระแสแนวความคดิ น้เี กดิ ขน้ึ จากความพยายามทจ่ี ะคนั หาความรเู้ กย่ี วกบั โลกและชวี ติ จงึ
ไดส้ งั เกตเกย่ี วกบั สง่ิ แวดลอ้ มทอ่ี าศยั ดาํ รงชวี ติ อยู่ แลว้ กพ็ ยายามหาคําตอบในระยะเวลานนั้ คนไทย
ยงั ไม่มศี าสนาท่เี ป็นระบบ มแี ต่ความเช่อื ถอื ในพลงั อํานาจสง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ บบบุคลาธษิ ฐาน อนั ไดแ้ ก่
แดน (พระยาแดน) และผี (วญิ ญาณ) ฉะนัน้ หลายคนอาจจะมองไดว้ ่ามนั เป็นเพยี งความเช่อื อย่าง

๓ ผศ.ปญั ญา นามสง่า, ปรชั ญาไทย, โครงการผลิตเอกสารประกอบการสอนละตาราวิชาการ วิทยาลยั สงฆ์พทุ ธชิน
ราช มจร., (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘), หน้า ๒๘-๒๙.

บทท่ี ๔ “ชนชาติไทยกบั แนวคิดพนื้ ฐานภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๙๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ

หน่งึ เทา่ นนั้ แต่พจิ ารณาถงึ สง่ิ ทซ่ี อ้ นเรน้ อยใู่ นความเช่อื เหล่านนั้ จะมองเหน็ กระแสแนวความคดิ ทาง
ปรชั ญาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การคน้ หาว่าโลกเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างไร มใี ครเป็นผสู้ รา้ งและจะดําเนินอยา่ งไรใหม้ ี
ความสขุ

ท่ีกล่าวมาทัง้ หมดน้ีสามารถศึกษาได้จากนิทานพ้ืนบ้านและตํานานธรรมท่ีกล่าวถึง
เกย่ี วกบั การสรา้ งโลกและมนุษย์ อาจจะกล่าวไดว้ ่าน้ีคอื แนวความคดิ ทางอภปิ รชั ญาของคนไทยใน
ยุคดงั้ เดมิ เช่น ตํานานพน้ื บา้ นเรอ่ื งป่สู งั กะสายา่ สงั กะสี (ป่สู าย่าส)ี ซง่ึ เล่ากนั มากในภาคเหนือและ
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มเี ร่อื งเล่าว่าโลกทเ่ี ราอาศยั อยนู่ ้ี เป็นแผ่นดนิ โล่งเตยี น
มที ะเลเวง้ิ วา้ งว่างเปลา่ ไมม่ พี ชื , สตั ว์ ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว มแี ต่ความเงยี บสงดั และ
ความมดื แดนผเู้ ป็นหวั หน้าของแดนทงั้ หลายเหน็ ว่าโลกน่าจะมสี สี นั สดช่นื มากกว่าทเ่ี ป็นอย่นู ้ี จงึ มี
พระบญั ชาใหป้ ่สู งั กะสาและยา่ สงั กะสี ซง่ึ เป็นแดนดว้ ยกนั นําลูกน้ําเต้าวเิ ศษลงมายงั โลกเพ่อื สรา้ ง
มนุษยแ์ ละสรรพสง่ิ เม่อื ปู่สงั กะสาย่าสงั กะสลี งมาถงึ พ้นื โลกแล้วกท็ ุบลูกน้ําเต้าแตกออกป่กู บั ย่าจงึ
นําเอาเมด็ น้ําเต่าวเิ ศษนัน้ หว่านขน้ึ ไปบนฟ้าและบนแผ่นดนิ จงึ ทําให้เกิดดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์
ดวงดาวภูเขา แม่น้ํา และต้นไม่ออกดอกบานสะพรงั่ แต่ไม่ไดเ้ กดิ มนุษยแ์ ละสตั ว์ ปู่และย่าจงึ ตกลง
กนั ใชเ้ วลาประมาณ ๑๐๐ ปี สรา้ งมนุษยแ์ ละสตั วโ์ ดยใชด้ นิ เหนียวมาปนั้ รปู คนแต่ละเพศ เสรจ็ แล้ว
ไดใ้ หช้ วี ติ วญิ ญาณและพลงั แก่พวกเขา และไดใ้ หพ้ วกเขาจบั ค่เู ป็นสามภี รรยากนั ออกลูกหลานต่อมา
แต่ครงั้ แรกนนั้ ยงั ไมม่ ภี าษาใชพ้ ดู กนั ปแู่ ละยา่ จงึ ไดส้ รา้ งพวกเขาและตงั้ ชอ่ื พวกเขาว่ามนุษย์ จากนัน้
ป่แู ละย่า ได้ใชด้ นิ เหนียวปนั้ รปู สตั วแ์ ละแมลง โลกท่เี งยี บเหงาก็เรม่ิ มชี วี ติ ชวี าขน้ึ มาจนถงึ ปจั จุบนั
เร่อื งในทํานองเดยี วกนั น้ีทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมตี ํานานเร่อื งขุนบรม ซง่ึ กล่าวไวว้ ่ามนุษย์
และสรรพสง่ิ ไดเ้ กดิ มาจากลกู น้ําเตา้ ใหญ่ ๒ ผล มนุษยแ์ ละสตั วไ์ ดอ้ อกมาจากรอยรทู แ่ี ดนไดเ้ จาะไว้
และรูท่เี จาะต่างกนั ผู้ท่มี ผี ิวดําได้ออกจากรู้ท่แี ดนใช้สิ่วเจาะน้ําเต้า ต่อมาขุนบรมผู้เป็นต้นวงศ์
กษตั รยิ ไ์ ดจ้ ดั กลุ่มชนั้ วรรณะของมนุษยโ์ ดยดูจากผดิ เป็นทาส กรรมกร พวกผวิ ขาวจดั ใหอ้ ย่ใู นกลุ่ม
ขนั้ สงู ไดแ้ ก่ เผ่าไทยเลยี น ไทยเลงิ ไทยลอ น้คี อื ความเป็นมาของการจดั สงั คม เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสงบ
สุขของคนไทยดงั้ เดมิ ทก่ี ล่าวมาพออาจสรปุ ไดว้ ่า แดนกค็ อื พวกเทพเจา้ หรอื เทวดาทม่ี ีฤทธิ ์ ซง่ึ จดั
อย่จู าํ พวกผปี ระเภทหน่ึง เพราะผกี ค็ อื สง่ิ ท่ไี ม่สามารถเหน็ และจบั ต้องได้ มฤี ทธอิ ์ ํานาจ ดลบนั ดาล
สารพดั อยา่ ง ผมี ที งั้ ชนั้ ต่ําและชนั้ สงู ไดแ้ ก่พวกเปรต อสรุ กายและพวกวญิ ญาณต่างๆ

จะอย่างไรก็ตาม เร่อื งเก่ียวกับแดนและผีน้ี เป็นเร่อื งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาก ารทาง
ความคดิ ของมนุษย์ท่มี ตี ่อปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ และได้พยายามท่จี ะอธบิ ายเหตุนัน้ ๆ โดย
อาศัยประสบการณ์และสภาพส่ิงแวดล้อมเท่าท่มี ีอยู่มาเป็นเคร่อื งสนับสนุนเหตุผลท่ีจะอธบิ าย
แนวความคดิ ดงั กล่าวแลว้ ถงึ แมค้ ําตอบน้ีไม่เป็นทน่ี ่าพอใจของคนทวั่ ไปโดยเฉพาะนักวทิ ยาศาสตร์
และเน้ือหาเร่อื งราวอาจจะดูเหมอื นเป็นเร่อื งทส่ี รา้ งขน้ึ มากกว่าเกดิ ขน้ึ จรงิ แต่จุดน้ีไปสําคญั เท่ากบั
ขอ้ คดิ หรอื สาระทแ่ี ฝงอย่ซู ง่ึ ไม่ต่างไปจากนิยายทงั้ หลายของพวกอตั ถภิ าวนิยม ทไ่ี ม่ใครจ่ ะใหค้ วาม
สนใจว่าเหตุการณ์เหล่านนั้ เกดิ ขน้ึ จรงิ หรอื ไม่ จะสนใจแต่สาระทแ่ี ฝงอย่เู ท่านนั้ ว่ามนั ไดท้ ําใหเ้ ราได้
เกดิ ปญั ญาอะไรบา้ งและปญั ญานัน้ จะช่วยแก่ไขชวี ติ ของคนใหด้ ขี น้ึ และมคี วามสุขมากขน้ึ ไดอ้ ย่างไร


Click to View FlipBook Version