192
• ระเบียบข้อบงั คบั เกี่ยวกบั การปกครอง การบริหารและพฒั นา และ
• ระเบียบ ข้อบงั คบั เกี่ยวกบั การเงิน การคลงั การงบประมาณและการตรวจสอบ
การที่ต้องมีระเบียบ ข้อบงั คบั ต่าง ๆ ก็เพ่ือให้การดําเนินการในเรื่องท่ีระเบียบ ข้อบงั คบั ได้
กําหนดไว้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน อีกทัง้ กฎ ระเบียบ ข้อบงั คบั
รวมถึงหนังสือส่ังการดังกล่าวจะเป็ นเครื่องมือที่จะช่วยป้ องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการ
ดําเนินการตา่ ง ๆ ซง่ึ หากกฎ ระเบียบ ข้อบงั คบั รวมถึงหนงั สือสงั่ การ มีความชดั เจน ครอบคลมุ และ
สามารถนําไปปฏบิ ตั ไิ ด้ก็จะช่วยป้ องกนั การทจุ ริตได้อีกทางหนงึ่
สําหรับการกํากบั ดแู ลโดยกฎ ระเบียบ หรือข้อบงั คบั เกี่ยวกบั การตรวจสอบองค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่นที่สําคญั ที่จะขอยกมากลา่ วถงึ ในที่นีค้ ือ การตรวจสอบทางการเงนิ และทรัพย์สินของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยในปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการจัดตัง้ หน่วย
ตรวจสอบภายในตามท่ีกระทรวงมหาดไทยได้อาศยั อํานาจจากพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นฉบบั ต่าง ๆ ในการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการตรวจสอบภายในของ
องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน พ.ศ. 2545 ขนึ ้ ระเบียบฉบบั ดงั กลา่ วได้มีการกําหนดให้องค์กรปกครอง
ส่วนท้ องถิ่นมีเจ้ าหน้ าที่ตรวจสอบภายในท่ีทําหน้ าท่ีในการตรวจสอบการปฏิบัติตามแผนงานที่
เกี่ยวกบั การบริหารงบประมาณการเงิน การพสั ดแุ ละทรัพย์สิน การบริหารงานด้านอื่น ๆ ตลอดจน
การตรวจสอบบญั ชี การวเิ คราะห์ประเมินความเพียงพอและประสทิ ธิผลของการควบคมุ ภายในของ
องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น โดยการตรวจสอบดงั กลา่ วมีแนวทางในการตรวจสอบ1 ดงั ตอ่ ไปนี ้
1) ตรวจสอบความถกู ต้องและเชื่อถือได้ของข้อมูลและตวั เลขต่าง ๆ ด้วยเทคนิค
และวิธีการตรวจสอบท่ียอมรับโดยท่ัวไป ปริมาณมากน้อยตามความจําเป็ นและเหมาะสม โดย
คํานึงถึงประสิทธิภาพของระบบการควบคมุ ภายในและความสําคญั ของเรื่องที่ตรวจสอบ รวมทัง้
วเิ คราะห์และประเมนิ ผลการบริหารและการปฏบิ ตั งิ านของหนว่ ยรับตรวจ
2) ตรวจสอบการปฏิบตั ิงานเกี่ยวกบั การบริหารงบประมาณ การเงิน การพสั ดุ และ
ทรัพย์สินรวมทงั้ การบริหารงานด้านอ่ืน ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็ นไปตามนโยบาย
กฎหมาย ระเบียบข้อบงั คบั คําสงั่ และมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนตรวจสอบระบบการดแู ลรักษา
และความปลอดภัยของทรัพย์สิน และการใช้ทรัพยากรทุกประเภท ว่าเป็ นไปโดยมีประสิทธิภาพ
ประสทิ ธิผล และประหยดั
1 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ข้อ 6.
193
3) ประเมินผลการปฏิบตั ิงาน และเสนอแนะวิธีการหรือมาตรการในการปรับปรุง
แก้ไข เพื่อให้การตรวจสอบเป็ นไปโดยมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและประหยัดย่ิงขึน้ รวมทัง้
เสนอแนะ เพื่อป้ องปรามมิให้เกิดความเสียหายหรือการทจุ ริตร่ัวไหลเกี่ยวกบั การเงิน หรือทรัพย์สิน
ตา่ ง ๆ ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น
4) สอบทานระบบการปฏบิ ตั ิงานตามมาตรฐาน และ/หรือระเบียบ ข้อบงั คบั คําสง่ั ท่ี
ทางราชการกําหนด เพ่ือให้มัน่ ใจได้ว่าสามารถนําไปสู่การปฏิบตั ิงานท่ีตรงตามวตั ถุประสงค์และ
สอดคล้องกบั นโยบาย
5) ติดตามผลการตรวจสอบ เสนอแนะและให้คําปรึกษาแก่ผู้บริหารท้องถ่ิน และ
ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การปรับปรุงแก้ ไขของหน่วยรับตรวจถูกต้องตามท่ีผู้
ตรวจสอบภายในเสนอแนะ
ทัง้ นีใ้ นการดําเนินการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจะต้องมีการ
ป ร ะ ส า น ง า น กับ สํ า นัก ง า น ก า ร ต ร ว จ เ งิ น แ ผ่ น ดิ น แ ล ะ ผ้ ูต ร ว จ ส อ บ ซึ่ง ผ้ ูว่ า ร า ช ก า ร จัง ห วัด ห รื อ
ปลดั กระทรวงมหาดไทยได้แต่งตงั้ ขึน้ และการตรวจสอบดงั กล่าวจะต้องเป็ นไปตามมาตรฐานการ
ปฏิบตั ิหน้าท่ีของผ้ตู รวจสอบภายในตามที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และค่มู ือการตรวจสอบ
ภายในขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินท่ีกระทรวงมหาดไทยกําหนด2
ในส่วนของกระบวนการในการตรวจสอบภายในนัน้ เร่ิมจากการจัดทําแผนการตรวจสอบ
โดยก่อนเร่ิมการตรวจสอบ ผ้ตู รวจสอบภายในจะต้องเสนอแผนการตรวจสอบประจําปี ต่อผ้บู ริหาร
ท้องถิ่น เพื่อพจิ ารณาอนมุ ตั แิ ผนการตรวจสอบภายในเดือนกนั ยายนของทกุ ปี และสง่ สําเนาแผนการ
ตรวจสอบให้ผ้วู ่าราชการจงั หวดั ทราบ หลงั จากนนั้ ผ้ตู รวจสอบภายในจะต้องทําการตรวจสอบตาม
แผนการท่ีได้รับการอนมุ ตั ิ เมื่อมีการตรวจสอบตามแผนแล้วก็จะรายงานผลการตรวจสอบให้ผ้บู ริหาร
ท้องถิ่นทราบภายในเวลาอนั สมควรหรืออย่างน้อยทุกสองเดือนหรือเมื่อตรวจสอบเร่ืองใดเรื่องหน่ึง
แล้วเสร็จตามแผน ในการตรวจสอบหากตรวจพบว่ามีเรื่องท่ีจะมีผลเสียหายตอ่ องค์กรปกครองสว่ น
ท้องถิ่นจะต้องมีการรายงานผลการตรวจสอบทนั ที นอกจากนีอ้ งค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นจะต้องส่ง
สาํ เนารายงานผลการตรวจสอบที่ได้ให้ผ้วู า่ ราชการจงั หวดั ทราบด้วย3
2 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน พ.ศ. 2545 ข้อ 7.
3 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน พ.ศ. 2545 ข้อ 8.
194
6.2.3 การกาํ กับดแู ลโดยกฎหมายอ่ืน ๆ
การกํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้ องถ่ินในกรณีนีเ้ กิดจากการท่ีกฎหมายระดับ
พระราชบญั ญัติ ได้ให้อํานาจแก่หน่วยราชการส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค มีอํานาจในการควบคุม
ตรวจสอบองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นได้ในการดําเนินภารกิจบางอยา่ ง เช่น การควบคมุ อาคาร หรือ
การสาธารณสขุ ซงึ่ สว่ นกลางได้ให้อํานาจแก่ราชการสว่ นท้องถิ่นดําเนินภารกิจเหลา่ นนั้ แทนตนเอง
ซงึ่ ในกรณีดงั กล่าวทําให้ผ้บู ริหารท้องถ่ินต้องอยู่ภายใต้อํานาจบงั คบั บญั ชาของรัฐ นอกจากนีย้ งั มี
กรณีของการที่พระราชบญั ญตั ิวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ให้อํานาจแก่ผ้วู ่าราชการ
จงั หวดั ในการพิจารณาอทุ ธรณ์คาํ สงั่ ทางปกครองที่ออกโดยผ้บู ริหารท้องถิ่นอีกด้วย
6.3 การตรวจสอบโดยองค์กรท่มี ีบทบาทในการป้ องกันและปราบปรามการการทจุ ริต
นอกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจะมีการตรวจสอบจากองค์กรภายในของตนเอง และ
จากองค์กรผ้มู ีอํานาจในการกํากบั ดแู ลแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยงั ถกู ตรวจสอบจากองค์กร
ภาครัฐองค์กรอ่ืน ๆ ท่ีถกู จดั ตงั้ ขนึ ้ ตามกฎหมายฉบบั ตา่ ง ๆ ทงั้ จากรัฐธรรมนญู และพระราชบญั ญตั ิ
โดยแตล่ ะองค์กรจะมีอํานาจหน้าท่ีหรือวตั ถปุ ระสงค์ในการตรวจสอบที่แตกตา่ งกนั ออกไป ซงึ่ ผลจาก
การตรวจสอบขององค์กรตา่ ง ๆ ท้ายที่สดุ แล้วก็อาจทําให้ผ้ถู กู กล่าวหาว่ากระทําผิดต้องรับโทษทาง
วนิ ยั ต้องรับผิดในการชําระคา่ เสียหาย หรือต้องรับโทษในทางอาญาตอ่ ไปได้
สําหรับองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้ องในการตรวจสอบการใช้ อํานาจขององค์กรปกครองส่วน
ท้ องถ่ินที่จะขอกล่าวถึง ได้ แก่ คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน ผ้ตู รวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต
ในภาครัฐ โดยองค์กรที่ได้กล่าวมามีอํานาจหน้าท่ีที่เก่ียวข้องกบั การตรวจสอบองค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ิน ดงั นี ้
6.3.1 คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ
คณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็ นองค์กรอิสระซง่ึ ได้ถกู
จดั ตงั้ ขนึ ้ เป็ นครัง้ แรกตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2540 โดยมีอํานาจหน้าท่ี
ตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 25424
4 พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19.
195
ในการตรวจสอบการทจุ ริตอนั เกิดจากนกั การเมือง หรือข้าราชการระดบั สงู ของรัฐ สําหรับในสว่ นของ
การตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินนนั้ ป.ป.ช. มีอํานาจหน้าท่ีในการตรวจสอบการทจุ ริตของ
องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินดงั นี ้คือ
1) การตรวจสอบความถกู ต้องและความมีอย่จู ริงของทรัพย์สินและหนีส้ ิน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 250(4) และในพระราชบัญญัติ
รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 25425 มาตรา 19 (6) ได้กําหนดให้
ป.ป.ช. มีอํานาจในการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนีส้ ินของ
เจ้าหน้าท่ีของรัฐ รวมทงั้ ตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนีส้ ินของผ้ดู ํารงตําแหน่ง
ทางการเมือง ประกอบกบั ประกาศคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เร่ือง
กําหนดตําแหน่งผ้บู ริหารท้องถ่ิน รองผ้บู ริหารท้องถิ่น ผ้ชู ่วยผ้บู ริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถ่ิน
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็ นผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 อนั ส่งผลให้ผู้ดํารง
ตําแหน่งในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นดงั ตอ่ ไปนี ้ เป็ นผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่น
บญั ชีแสดงรายการทรัพย์สนิ และหนีส้ นิ ตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
(1) กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการ
กรุงเทพมหานคร ประธานท่ีปรึกษา ท่ีปรึกษา เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการ
กรุงเทพมหานคร และ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
(2) เมืองพทั ยา ได้แก่ นายกเมืองพทั ยา รองนายกเมืองพทั ยา ประธานท่ี
ปรึกษา ท่ีปรึกษาและเลขานกุ ารนายกเมืองพทั ยา และ สมาชิกสภาเมืองพทั ยา
(3) องค์การบริหารส่วนจงั หวดั ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนจงั หวดั
รองนายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั ที่ปรึกษาและเลขานกุ ารนายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั และ
สมาชิกสภาองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั
(4) เทศบาลนคร ได้แก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษาและ
เลขานกุ ารนายกเทศมนตรี และ สมาชิกสภาเทศบาล
(5) เทศบาลเมือง ได้แก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษา
และเลขานกุ ารนายกเทศมนตรี และ สมาชิกสภาเทศบาล
5 แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต
(ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2554.
196
(6) เทศบาลตําบล ได้แก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษา
และเลขานกุ ารนายกเทศมนตรี
(7) องค์การบริหารสว่ นตําบล ได้แก่ นายกองค์การบริหารสว่ นตําบล รอง
นายกองค์การบริหารสว่ นตาํ บล และ เลขานกุ ารนายกองค์การบริหารสว่ นตําบล
ผ้ดู ํารงตาํ แหน่งทงั้ หมดนีม้ ีหน้าท่ีต้องย่ืนบญั ชีแสดงรายการทรัพย์สนิ และหนีส้ นิ ของ
ตนเอง ของคสู่ มรส และของบตุ รที่ยงั ไมบ่ รรลนุ ิตภิ าวะตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. สาํ หรับทรัพย์สนิ และ
หนีส้ ินที่ต้องแสดงรายการนนั้ ยงั รวมทงั้ ทรัพย์สินและหนีส้ ินในต่างประเทศและทรัพย์สินของผ้ดู ํารง
ตําแหน่งทางการเมืองท่ีได้ มอบหมายให้ อยู่ในความครอบครองหรื อดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดย
ทางตรงหรือทางอ้อมด้วย ซง่ึ หากละเลยหน้าที่หรือมีการตรวจพบความผิดปกติก็อาจทําให้ผ้บู ริหาร
ท้องถ่ินและสมาชิกสภาท้องถ่ินต้องถกู ดําเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผ้ดู ํารงตําแหน่งทาง
การเมือง ในคดีมีทรัพย์สนิ เพิ่มขนึ ้ ผิดปกติ หรือคดจี งใจไมย่ ื่นบญั ชี ฯ หรือยื่นบญั ชีเท็จได้
2) การตรวจสอบการกระทาํ อันเป็ นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิด
เก่ียวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
ในกรณีที่มีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือมีการกลา่ วหาร้องเรียน
ว่าการดําเนินการในการซือ้ การจ้าง การแลกเปล่ียน การเช่า การจําหน่ายทรัพย์สิน การได้รับ
สมั ปทาน หรือการได้รับสิทธิใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐครัง้ ใด มีการกระทําอนั เป็ นความผิดตาม
กฎหมายว่าด้วยความผิดเก่ียวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พระราชบัญญัติว่าด้วย
ความผิดเกี่ยวกบั การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ได้ให้อํานาจแก่คณะกรรมการ
ป.ป.ช. ในการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลกั ฐานและดําเนินการไต่สวนถึงพฤติการณ์
หรือข้อร้องเรียนดงั กลา่ ว ซง่ึ หากพบว่ามีความผิดจริงก็จะนํามาสกู่ ารชีม้ ลู ความผิดเพื่อส่งให้อยั การ
สงู สดุ ดาํ เนินคดตี อ่ ไป
สําหรับลกั ษณะของการกระทําที่เป็ นความผิดตามพระราชบญั ญตั ิว่าด้วยความผิด
เกี่ยวกบั การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ประกอบไปด้วย
(1) การตกลงร่วมกนั เสนอราคา เพ่ือที่จะให้ผ้หู นึ่งผ้ใู ดรับประโยชน์ในการ
เข้าทําสญั ญากบั หน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเล่ียงการแข่งขนั ราคาอย่างเป็ นธรรม หรือกีดกนั ไม่ให้มี
การเสนอสนิ ค้าหรือบริการ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐ และรวมถึงผ้ทู ่ีเป็ นธุระชกั ชวน
ให้ผ้อู ่ืนเข้าร่วมกระทําการดงั กลา่ วด้วย6
6 พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยความผิดเกี่ยวกบั การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4.
197
(2) การให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้เงินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้อ่ืนเพื่อให้
สมยอมในการเสนอราคา และรวมถึงบคุ คลผ้เู รียกรับหรือยอมจะรับเงินหรือประโยชน์อ่ืนใดในการ
เข้าร่วมการสมยอมในการเสนอราคาด้วย7
(3) การข่มขืนใจผ้อู ื่นให้จํายอมเข้าร่วมดําเนินการสมยอมเสนอราคาหรือ
ให้ไมเ่ ข้าร่วมการเสนอราคา8
(4) การใช้อบุ ายหลอกลวงหรือกระทําการโดยวิธีอื่นใดเป็ นเหตใุ ห้ผ้อู ่ืนไมม่ ี
โอกาสเข้าทําการเสนอราคาอยา่ งเป็ นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด9
(5) การกระทําโดยมีเจตนาทุจริตในการทําการเสนอราคาต่อหน่วยงาน
ของรัฐโดยรู้ว่าราคาท่ีเสนอนนั้ ตํ่ามากเกินกว่าปกติ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงาน
ของรัฐสงู กวา่ ความเป็ นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เป็ นการกีดกนั การแขง่ ขนั ราคาอย่าง
เป็ นธรรมและการกระทําดงั กลา่ วเป็ นเหตใุ ห้ผ้เู สนอราคาไมส่ ามารถปฏบิ ตั ใิ ห้ถกู ต้องตามสญั ญาได้10
(6) การท่ีเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซ่ึงมีอํานาจหน้าที่ในการอนุมัติ
พจิ ารณาหรือดําเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกบั การเสนอราคา รู้หรือมีพฤตกิ ารณ์ปรากฏแจ้งชดั ว่าควรรู้
วา่ การเสนอราคาในครัง้ นนั้ มีการกระทําความผิดตามพระราชบญั ญตั แิ ล้วละเว้นไมด่ ําเนินการเพื่อให้
มีการยกเลกิ การดาํ เนินการเก่ียวกบั การเสนอราคาในครัง้ นนั้ 11
(7) การท่ีเจ้ าหน้ าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ได้ รับมอบหมายจาก
หน่วยงานของรัฐมีเจตนาทุจริตโดยทําการออกแบบ กําหนดราคา กําหนดเง่ือนไข หรือกําหนด
ผลประโยชน์ตอบแทน อนั เป็ นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยม่งุ หมายมิให้มีการแขง่ ขนั ในการเสนอ
ราคาอยา่ งเป็ นธรรม หรือเพ่ือช่วยเหลอื ให้ผ้เู สนอราคารายใดมีสทิ ธิเข้าทําสญั ญากบั หน่วยงานของรัฐ
โดยไม่เป็ นธรรม หรือเพ่ือกีดกนั ผ้เู สนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขนั ในการเสนอราคาอย่างเป็ น
ธรรม12
7 พระราชบญั ญตั วิ า่ ด้วยความผิดเก่ียวกบั การเสนอราคาตอ่ หนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 5.
8 พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยความผิดเก่ียวกบั การเสนอราคาตอ่ หนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6.
9 พระราชบญั ญัตวิ า่ ด้วยความผิดเกี่ยวกบั การเสนอราคาตอ่ หนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7.
10 พระราชบญั ญตั วิ า่ ด้วยความผดิ เกี่ยวกบั การเสนอราคาตอ่ หนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 8.
11 พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยความผิดเก่ียวกบั การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10.
12 พระราชบญั ญตั วิ า่ ด้วยความผดิ เกี่ยวกบั การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11.
198
(8) การท่ีเจ้ าหน้ าท่ีในหน่วยงานของรัฐเป็ นผู้กระทําความผิดตาม
พระราชบัญญัตินี ้ หรือกระทําการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็ นธรรม เพื่อ
เอือ้ อํานวยแก่ผ้เู ข้าทําการเสนอราคารายใดให้เป็ นผ้มู ีสทิ ธิทําสญั ญากบั หนว่ ยงานของรัฐ13
(9) การท่ีผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือกรรมการหรืออนุกรรมการใน
หน่วยงานของรัฐซึ่งมิใช่เป็ นเจ้าหน้าท่ีในหน่วยงานของรัฐ กระทําความผิดตามพระราชบญั ญัตินี ้
หรือกระทําการใด ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซ่ึงมีอํานาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ การ
พิจารณา หรือการดําเนินการใด ๆ ที่เก่ียวข้องกับการเสนอราคาเพื่อจูงใจหรือทําให้จํายอมต้อง
ยอมรับการเสนอราคาท่ีมีการกระทําความผิดตามพระราชบญั ญตั นิ ี1้ 4
3) การตรวจสอบในกรณีท่ีมีผู้กล่าวหาว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐซ่ึงมิใช่ผู้ดํารง
ตาํ แหน่งทางการเมือง ร่ํารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าท่ี กระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ี
ราชการหรือกระทาํ ความผิดต่อตาํ แหน่งหน้าท่ใี นการยุตธิ รรม15
การดําเนินการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ในกรณีท่ีมีผ้กู ล่าวหาว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐซ่ึง
มิใช่ผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองร่ํารวยผิดปกติ ทจุ ริตต่อหน้าท่ี กระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ี
ราชการหรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรมนัน้ เริ่มจากการที่มีการกล่าวหาว่า
เจ้าหน้าท่ีของรัฐมีพฤติการณ์ท่ีเป็ นการรํ่ารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าท่ี กระทําความผิดต่อตําแหน่ง
หน้าท่ีราชการหรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรม โดยผู้กล่าวหานีอ้ าจเป็ น
ประชาชน หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรท่ีทําหน้าท่ีในการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐ หรือ
กรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตอุ นั ควรสงสยั วา่ เจ้าหน้าที่รัฐผ้ใู ดกระทําความผดิ
เมื่อเรื่องเข้าสสู่ ํานกั งาน ป.ป.ช. และเป็ นเร่ืองท่ีอย่ใู นอํานาจหน้าท่ีของ ป.ป.ช. ก็จะ
มีการดาํ เนินการไตส่ วนข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจทําการไตส่ วนข้อเท็จจริงเองหรือตงั้
คณะอนุกรรมการไต่สวนก็ได้ โดยในการไต่สวนดงั กล่าวจะมีการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวม
พยานหลกั ฐานเพ่ือทราบข้อเท็จจริงหรือมลู ความผิด และนําข้อมลู ที่ได้ขึน้ ส่กู ารพิจารณาเพื่อชีม้ ลู
ความผิด ซง่ึ หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชีม้ ลู ว่าข้อกล่าวหามีมลู ความผิด ก็จะมีการดําเนินการกับ
เจ้าหน้าท่ีของรัฐผ้ถู กู ชีม้ ลู ความผิดดงั นี ้
13 พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยความผดิ เกี่ยวกบั การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12.
14 พระราชบญั ญตั วิ า่ ด้วยความผิดเก่ียวกบั การเสนอราคาตอ่ หนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 13.
15 พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
19(4).
199
(1) ทางวนิ ยั
ประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะทําการสง่ เร่ืองให้ผ้บู งั คบั บญั ชาหรือผ้มู ีอํานาจ
แตง่ ตงั้ ถอดถอนผ้ถู กู กลา่ วหาเพื่อพิจารณาโทษทางวินยั ตามฐานความผิดท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มี
มตโิ ดยไมต่ ้องตงั้ คณะกรรมการสอบสวนอีก
(2) ทางอาญา
ประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะสง่ เร่ืองให้อยั การสงู สดุ เพื่อฟ้ องคดีตอ่ ศาลที่มี
เขตอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีซ่ึงในกรณีท่ีอยั การสงู สดุ เห็นว่าพยานหลกั ฐานยงั ไม่สมบรู ณ์และ
แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ จากนัน้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุดจะแต่งตัง้
คณะทํางานร่วมกนั เพื่อรวบรวมพยานหลกั ฐานให้สมบรู ณ์ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม หากคณะทํางานร่วมไม่
สามารถหาข้อยตุ ิได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.สามารถท่ีจะฟ้ องคดีเองหรือแตง่ ตงั้ ทนายความเพ่ือฟ้ อง
คดีแทนได้
(3) ทางแพง่
ในกรณีมลู วา่ เจ้าหน้าท่ีของรัฐรํ่ารวยผิดปกติ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะ
ทําการส่งเร่ืองให้อยั การสงู สดุ เพื่อยื่นคําร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีเพ่ือขอให้
ศาลสง่ั ให้ทรัพย์สนิ ตกเป็ นของแผน่ ดนิ
ปัจจุบนั ได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกัน
และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 อนั มีผลใช้บงั คบั เม่ือวนั ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554 ซงึ่ ใน
กฎหมายฉบบั ดงั กล่าวได้มีการเพิ่มมาตรการในการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตไว้อยู่หลาย
ประการด้วยกนั ซง่ึ มาตรการที่ได้รับการเพ่มิ เตมิ ที่น่าสนใจ เชน่
• การให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าถึงข้อมลู การเงินผ้ถู กู กลา่ วหาได้ ตามมาตรา 25/1
• การเปลี่ยนแปลงการนับอายุความ ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีโดยไม่ให้นับ
ระยะเวลาท่ีผ้ถู กู กลา่ วหาหลบหนีรวมเป็ นสว่ นหนง่ึ ของอายคุ วาม ตามมาตรา 74/1
• กําหนดให้ความผิดในลกั ษณะที่เป็ นผลประโยชน์ทบั ซ้อนให้ถือเป็ นความผิดฐาน
ทุจริตต่อหน้าที่หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการ
ยตุ ธิ รรมตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย ตามมาตรา 103/1
• การกําหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตในการ
ค้มุ ครองช่วยเหลือแก่ผ้กู ลา่ วหา ผ้เู สียหาย ผ้ทู ําคําร้อง ผ้รู ้องทกุ ข์กล่าวโทษ ผ้ใู ห้ถ้อยคํา หรือผ้ทู ี่แจ้ง
เบาะแสหรือข้อมลู ใดเกี่ยวกบั การทจุ ริตต่อหน้าที่ การรํ่ารวยผิดปกติ หรือข้อมลู อื่นอนั เป็ นประโยชน์
200
ต่อการดําเนินการตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการ
ทจุ ริต ดงั นี ้
- ให้อํานาจคณะกรรมการ ป.ป.ช.จดั ให้มีมาตรการค้มุ ครองช่วยเหลือแก่ผู้
กล่าวหา ผ้เู สียหาย ผ้ทู ําคําร้อง ผ้รู ้องทุกข์กล่าวโทษ ผ้ใู ห้ถ้อยคํา หรือผ้ทู ี่แจ้งเบาะแสหรือข้อมลู ใด
เก่ียวกบั การทจุ ริตตอ่ หน้าที่ การรํ่ารวยผิดปกติ หรือข้อมลู อ่ืนอนั เป็ นประโยชน์ตอ่ การดําเนินการตาม
พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 ในคดี
ท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควร โดยแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดําเนินการให้มี
มาตรการในการค้มุ ครองบุคคลโดยให้ถือว่าบุคคลดงั กล่าวเป็ นพยานที่มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมายว่าด้วยการค้มุ ครองพยานในคดีอาญา และให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอความเห็น
ด้วยวา่ สมควรใช้มาตรการทว่ั ไปหรือมาตรการพเิ ศษตามกฎหมายสําหรับบคุ คลเหลา่ นนั้ ด้วย16
- ให้สิทธิแก่ผ้กู ล่าวหา ผ้เู สียหาย ผ้ทู ําคําร้อง ผ้รู ้องทุกข์กล่าวโทษ ผ้ใู ห้
ถ้อยคํา หรือผู้ท่ีแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลหรือสามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือบุคคลอ่ืนที่มี
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลดังกล่าวในการยื่นคําร้ องต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อขอรับ
คา่ ตอบแทนในกรณีที่ได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามยั ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่าง
หนงึ่ อยา่ งใดเพราะมีการกระทําผิดอาญาโดยเจตนา เน่ืองจากการดําเนินการหรือการให้ถ้อยคํา หรือ
แจ้งเบาะแสหรือข้อมลู ตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.17
- ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จดั ให้มีเงินสินบนแก่ผ้กู ลา่ วหา ผ้เู สียหาย ผ้ทู ํา
คาํ ร้อง ผ้รู ้องทกุ ข์กลา่ วโทษ ผ้ใู ห้ถ้อยคํา หรือผ้ทู ่ีแจ้งเบาะแสหรือข้อมลู การทจุ ริต18
- ในกรณีที่ผ้กู ล่าวหา ผู้เสียหาย ผ้ทู ําคําร้ อง ผู้ร้ องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ให้
ถ้อยคํา หรือผ้ทู ี่แจ้งเบาะแสหรือข้อมลู ใดเก่ียวกบั การทุจริตต่อหน้าที่ การร่ํารวยผิดปกติ หรือข้อมลู
อ่ืนอนั เป็ นประโยชน์เป็ นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจในการเสนอคณะรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณาเล่ือนขนั้ เงินเดือน และระดบั ตําแหน่งให้แก่บคุ คลเห็นว่าการดําเนินการหรือให้ถ้อยคํา
หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมลู ของบคุ คลดงั กลา่ ว นอกจากนีห้ ากบคุ คลดงั กลา่ วเห็นว่า หากยงั คงปฏิบตั ิ
16 พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
103/2.
17 พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
103/2.
18 พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
103/3.
201
หน้าที่ในสงั กัดเดิมต่อไป อาจถูกกลนั่ แกล้งหรือได้รับการปฏิบตั ิโดยไม่เป็ นธรรมอนั เนื่องจากการ
กลา่ วหาหรือการให้ถ้อยคําหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมลู นนั้ อาจร้องขอตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช.เสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้ได้รับความคุ้มครองหรือมี
มาตรการอื่นใดตามที่เห็นสมควรตอ่ ไป19
- ในกรณีที่บคุ คลหรือผ้ถู กู กลา่ วหารายใดซงึ่ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทํา
ความผิดกบั เจ้าหน้าที่ของรัฐซงึ่ เป็ นผ้ถู กู กลา่ วหารายอื่น หากได้ให้ถ้อยคําหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมลู
อนั เป็ นสาระสําคญั ในการที่จะใช้เป็ นพยานหลกั ฐานในการวินิจฉยั ชีม้ ลู การกระทําผิดของเจ้าหน้าที่
ของรัฐรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจกนั ผ้นู นั้ ไว้เป็ นพยานโดยไมด่ ําเนินคดีก็ได้20
• การกําหนดมาตรการในการป้ องกันการทุจริตในการจัดซือ้ จัดจ้างของหน่วยงาน
ราชการ อนั ได้แก่21
- กําหนดให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการจดั ทําข้อมลู รายละเอียดคา่ ใช้จ่าย
เกี่ยวกับการจัดซือ้ จัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคํานวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทาง
อิเลก็ ทรอนิกส์ เพ่ือให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดไู ด้
- กําหนดให้บคุ คลหรือนิตบิ คุ คลท่ีเป็ นคสู่ ญั ญากบั หน่วยงานของรัฐมีหน้าท่ี
แสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่เป็ นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐต่อกรมสรรพากร
นอกเหนือจากบญั ชีงบดลุ ปกติที่ยื่นประจําปี เพ่ือให้มีการตรวจสอบเก่ียวกบั การใช้จ่ายเงินและการ
คํานวณภาษีเงินได้ในโครงการที่เป็ นคสู่ ญั ญากบั หนว่ ยงานของรัฐ
- กําหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจในการประสานงานและสง่ั ให้
หน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้องทําการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินหรือการชําระภาษีเงินได้ของบคุ คล
หรือนิติบุคคลท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกบั การทุจริตของเจ้าหน้าท่ีของรัฐแล้วรายงานผลการดําเนินการให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ
19 พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
103/4 และ 103/5.
20 พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
103/6.
21 พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา
103/7.
202
จากที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่ามาตรการตามกฎหมายที่ได้แก้ไขขึน้ ใหม่นีไ้ ด้ถูกบญั ญัติขึน้ ก็
เพ่ือให้ ป.ป.ช. สามารถดําเนินการในการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตซึ่งก็รวมถึงการแก้ไข
ปัญหาการทจุ ริตท่ีเกิดขนึ ้ ในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นให้มีประสทิ ธิภาพมากขนึ ้ นนั่ เอง
6.3.2 คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ
รัฐธรรมนญู ฉบบั ปัจจบุ นั ได้กําหนดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ (สตง.)เป็ นองค์กรหลกั
ในการตรวจสอบและดแู ลการใช้จา่ ยเงินและทรัพย์สนิ ของหนว่ ยงานภาครัฐโดยมีวตั ถปุ ระสงค์ในการ
ตรวจสอบถึงความชอบด้วยกฎหมาย และตรวจสอบถึงความมีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินทงั้ ใน
สว่ นที่เป็ นเงินจากงบประมาณหรือจากรายได้อื่น ๆ นอกจากนีย้ งั มีการตรวจสอบในเรื่องการจดั ซอื ้ จดั
จ้าง การตรวจสอบในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าจะมีการทุจริตเกิดขึน้ และการตรวจสอบถึงความมี
ประสทิ ธิผลของการใช้จา่ ยของหน่วยงานภาครัฐด้วย
สําหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนนั้ ก็เป็ นหน่วยรับตรวจท่ี สตง.มีหน้าที่ในการตรวจสอบ
และดแู ลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินด้วยเช่นกนั ซึง่ การตรวจสอบของ สตง. จะเป็ นการตรวจสอบ
ทางบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะการใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าเป็ นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบงั คบั รวมถึงเป็ นไปโดยคํานึงถึงหลกั ประสิทธิภาพหรือไม่ การตรวจดงั กลา่ วจะเป็ นการ
ตรวจตามเอกสารแสดงงบประมาณแสดงฐานะทางการเงินและงบประมาณประกอบอื่น ๆ ท่ีหวั หน้า
สว่ นการคลงั ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นได้ทําสง่ ตอ่ สตง. เม่ือสนิ ้ ปี งบประมาณของแตล่ ะปี ไปตามท่ี
กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดไว้ โดย สตง. จะมีการเข้าตรวจองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินในทกุ ๆ ปี
ในปัจจุบันสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินได้มีการตงั้ หน่วยงานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้
สามารถทําหน้าท่ีในตรวจสอบได้อย่างท่ัวถึงมากขึน้ อย่างไรก็ตาม จํานวนของหน่วยรับตรวจ
โดยเฉพาะจํานวนขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินก็ยังคงมีจํานวนมาก ทําให้ในทางปฏิบัติแล้ว
สาํ นกั งานตรวจเงินแผน่ ดนิ ไมส่ ามารถทําการตรวจสอบได้ทงั้ หมด ดงั นนั้ หน่วยรับตรวจที่เป็ นองค์กร
ปกครองส่วนถิ่นขนาดใหญ่จึงมกั จะถกู ตรวจสอบจากสํานกั งานตรวจเงินแผ่นดินในทกุ ปี แต่องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก เช่น เทศบาลตําบลหรือองค์การบริหารส่วนตําบล จะไม่ได้รับการ
ตรวจสอบทกุ ปี ซง่ึ จะขนึ ้ อย่กู บั ว่าสํานกั งานตรวจเงินแผ่นดินจะทําการสมุ่ ตรวจไปยงั องค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่นนนั้ หรือไม่
ในสว่ นกิจกรรมการตรวจสอบของสาํ นกั งานตรวจเงินแผน่ ดนิ นนั้ สามารถแบง่ ได้เป็ น
(1) การตรวจสอบด้านการเงิน
(2) การตรวจสอบด้านรายได้
203
(3) การตรวจสอบการบริหารพสั ดแุ ละการจดั ซอื ้ จดั จ้าง
(4) การตรวจสอบการดําเนินงาน
(5) การตรวจสอบสบื สวน
การตรวจสอบของสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินเก่ียวกับการบริหารการเงินและการคลงั มี
กระบวนการท่ีเก่ียวข้องหลายประการ เริ่มตงั้ แตก่ ารจดั หารายได้ การกําหนดโครงการและการจดั ทํา
งบประมาณ การใช้จ่ายเงิน ตลอดจนการบริหารพสั ดแุ ละการดแู ลทรัพย์สิน ซงึ่ หากมีการตรวจสอบ
การปฏิบตั ิงานขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินแล้วพบวา่ มีการปฏิบตั ิโดยไม่ถกู ต้องตามระเบียบอนั
ยงั ไม่ถือว่าเป็ นการทจุ ริต ก็จะมีการแจ้งให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นปฏิบตั ิให้ถกู ต้อง และอาจแจ้ง
ให้ดําเนินการทางวินยั กบั ผ้ทู ี่เก่ียวข้องหากพบว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการปฏิบตั ิหน้าที่ และ
ในบางกรณีอาจทําให้ต้องมีการเรียกเงินคนื หรือต้องมีผ้รู ับผดิ ในการชดใช้คา่ เสียหายให้แก่หน่วยงาน
ของรัฐ แต่หากพบว่ามีพฤติการณ์ที่น่าเช่ือว่าเป็ นการทจุ ริต คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินก็จะทํา
การสง่ เร่ืองไปยงั ป.ป.ช. เพื่อทําการตรวจสอบตอ่ ไป
6.3.3 ผู้ตรวจการแผ่นดนิ
ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็ นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีอํานาจหน้ าที่ที่กําหนดไว้ ใน
รัฐธรรมนูญ22 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552
ได้แก่23
1) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีที่มีคําร้องเรียนว่า ข้าราชการ พนกั งาน หรือ
ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมาย หรือปฏิบตั ินอกเหนืออํานาจหน้าท่ีตามกฎหมาย หรือบคุ คลดงั กลา่ วปฏิบตั ิหรือละเลยไม่
ปฏิบตั ิหน้าที่อนั ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผ้รู ้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็ นธรรม ไม่วา่ การนนั้ จะ
ชอบหรือไม่ชอบด้วยอํานาจหน้าที่ก็ตาม และตรวจสอบการละเลยการปฏิบตั ิหน้าท่ีหรือการปฏิบตั ิ
หน้าท่ีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนญู และองค์กรในกระบวนการยตุ ธิ รรมแตไ่ ม่
รวมถึงการพจิ ารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล
2) ดําเนินการเกี่ยวกบั จริยธรรมของผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม
บทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู
22 รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย มาตรา 244 และ มาตรา 245
23 พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยผ้ตู รวจการแผน่ ดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 13
204
3) ติดตาม ประเมินผล และจดั ทําข้อเสนอแนะในการปฏิบตั ิตามรัฐธรรมนญู รวมตลอดถึง
ข้อพจิ ารณาเพ่ือแก้ไขเพม่ิ เตมิ รัฐธรรมนญู ในกรณีท่ีเห็นวา่ จําเป็ น
4) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบตั ิหน้าที่พร้อมข้อสงั เกตต่อคณะรัฐมนตรี สภา
ผ้แู ทนราษฎร และวฒุ สิ ภาทกุ ปี
นอกจากบทบาทดงั กลา่ วแล้วผ้ตู รวจการแผ่นดินยงั มีอํานาจหน้าที่ในการเสนอความเห็นตอ่
ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองในกรณีที่เห็นว่าบทบญั ญัติแห่งกฎหมาย กฎ คําสง่ั หรือการ
กระทําอื่นใดของข้าราชการ พนกั งานหรือลกู จ้างของราชการสว่ นท้องถ่ิน มีปัญหาเกี่ยวกบั ความชอบ
ด้วยรัฐธรรมนญู หรือกฎหมายได้อีกด้วย
6.3.4 คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
คณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. เป็ นหน่วยงานท่ีทํา
หน้าที่ในการกํากบั ดแู ลป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต โดย ป.ป.ท.จดั ตงั้ ขึน้ ตาม มาตรา 51 แห่ง
พระราชบญั ญัติมาตรการของฝ่ ายบริหารในการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2551 ซึ่ง
กําหนดให้สํานักงาน ป.ป.ท. เป็ นส่วนราชการระดบั กรม สงั กัดกระทรวงยุติธรรม และขึน้ ตรงต่อ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหน้าท่ีหลกั ในการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริต ตงั้ แต่
เจ้าหน้าที่ของรัฐระดบั 7 ลงไปหรือเทียบเท่าจนถึงระดบั ท้องถ่ิน ซ่ึงจะมีอํานาจหน้าที่ในการ
ตรวจสอบการทจุ ริตตา่ งจาก ป.ป.ช. โดยท่ี ป.ป.ช. จะทําหน้าที่ตรวจสอบเจ้าหน้าท่ีของรัฐตงั้ แตร่ ะดบั
8 ขนึ ้ ไปจนถงึ นายกรัฐมนตรี
สว่ นอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ประกอบด้วย24
1) เสนอนโยบาย มาตรการ และแผนพฒั นาการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ
ตอ่ คณะรัฐมนตรี
2) เสนอแนะและให้คําปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบงั คบั
หรือมาตรการตา่ ง ๆ เพื่อป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ
3) เสนอแนะต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐซ่ึงต้องยื่น
บญั ชีแสดงรายการทรัพย์สนิ และหนีส้ นิ ตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
4) ไตส่ วนข้อเท็จจริงและชีม้ ลู เก่ียวกบั การกระทําการทจุ ริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
5) ไตส่ วนข้อเท็จจริงและสรุปสํานวนพร้อมทงั้ ความเห็นสง่ พนกั งานอยั การเพ่ือฟ้ องคดอี าญา
ตอ่ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ
24 พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝ่ ายบริหารในการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2551 มาตรา 17
205
6) จัดทํารายงานผลการปฏิบัติงานประจําปี เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพ่ือเสนอต่อสภา
ผ้แู ทนราษฎร วฒุ สิ ภาและคณะกรรมการ ป.ป.ช.
7) แตง่ ตงั้ คณะอนกุ รรมการเพ่ือดําเนินการตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. มอบหมาย
8) ปฏิบัติการอื่นตามท่ีพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ ายบริหารในการป้ องกันและ
ปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2551 หรือการอ่ืนใดเก่ียวกบั การป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตใน
ภาครัฐตามท่ีคณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช.มอบหมาย
ในการตรวจสอบและไตส่ วนเพ่ือการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในองค์กรปกครองสว่ น
ท้องถ่ินนนั้ เมื่อ ป.ป.ท. ได้รับแจ้งข้อกลา่ วหาหรือมีเหตอุ นั ควรสงสยั ว่ามีการทจุ ริตหรือได้รับเร่ืองจาก
พนกั งานสอบสวน หรือเม่ือได้รับเร่ืองจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ดําเนินการไต่สวน ป.ป.ท. ก็จะ
เริ่มทําการไต่สวน พิจารณา มีมติชีม้ ลู ความผิด หากการไตส่ วนข้อเท็จจริงมีข้อสงสยั ว่ามีการทุจริต
ของผู้บริหารท้ องถ่ินหรือสมาชิกสภาท้ องถิ่นที่ไม่อยู่ในข่ายท่ีต้องย่ืนบัญชีแสดงทรัพย์สินต่อ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทางคณะกรรมการ ป.ป.ท. ก็อาจให้บุคคลดงั กล่าวย่ืนบญั ชีแสดงทรัพย์สิน
ของตน ของคู่สมรสและบุตรที่ยงั ไม่บรรลุนิติภาวะแก่ทางคณะกรรมการ ป.ป.ท. หรือหากบุคคล
ดงั กลา่ วมีหน้าท่ีต้องยื่นบญั ชีแสดงทรัพย์สนิ ตอ่ ป.ป.ช. อยแู่ ล้ว ทางคณะกรรมการ ป.ป.ท. ก็สามารถ
ขอความร่วมมือให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งบญั ชีแสดงทรัพย์สินและหนีส้ ินมายงั ป.ป.ท. ก็ได้ ซ่ึง
หากพบว่าบุคคลที่ถูกสอบสวนนัน้ มีความผิดจริง ป.ป.ท. ก็จะดําเนินการส่งเร่ืองไปยังองค์กรผู้มี
อํานาจในการลงโทษทางวนิ ยั หรือมีอํานาจในการดําเนินคดีในชนั้ ศาลตอ่ ไป
6.4 การตรวจสอบโดยองค์กรตลุ าการ
ในกรณีท่ีได้มีการกล่าวหาว่าบุคคลใดได้กระทําการอันเป็ นการทุจริตหรือมิชอบด้วย
กฎหมายหรือการกระทําใด ๆ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็ นการกระทําท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย องค์กร
สดุ ท้ายท่ีมีอํานาจในการวินิจฉยั ชีข้ าดกระทําการกระทําดงั กล่าว ได้แก่ องค์กรตลุ าการ ซง่ึ ในกรณี
ของประเทศไทย ศาลหรือองค์กรตลุ าการท่ีเข้ามาเก่ียวข้องกบั กรณีของการทจุ ริตในองค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่นได้แก่ ศาลยตุ ธิ รรม และศาลปกครอง โดยมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี2้ 5
25 อมร เลาหมนตรี, กระบวนการยตุ ิธรรมกบั การป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตคอรัปชน่ั ในองค์กร
ปกครองสว่ นท้องถิ่น, วทิ ยาลยั การยตุ ธิ รรม สํานกั งานศาลยตุ ิธรรม, 2551, น. 21-22.
206
6.4.1 ศาลยุตธิ รรมท่มี ีอาํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดี
ศาลยุติธรรมมีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญา โดยมีอํานาจ
พิจารณาพิพากษาคดตี อ่ เจ้าหน้าที่ของรัฐในกรณีดงั ตอ่ ไปนี ้
1) ในกรณีเจ้าหน้าท่ีของรัฐตาํ แหนง่ ทวั่ ไปซงึ่ ไมใ่ ช่ผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองถกู กลา่ วหาวา่
ร่ํารวยผิดปกติ และคณะกรรมการการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติได้ไตส่ วนข้อเท็จจริง
แล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหารํ่ารวยผิดปกติซึ่งคณะกรรมการการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติจะทําการส่งเร่ืองให้อยั การสงู สดุ ย่ืนคําร้องต่อศาลที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี ซ่ึงใน
กรณีนีไ้ ด้แก่ศาลที่มีอํานาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดีแพง่ เพ่ือขอให้ทรัพย์สนิ ตกเป็ นของแผน่ ดนิ
2) ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตําแหน่งทวั่ ไปซงึ่ ไม่ใช่ผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองถกู กลา่ วหา
วา่ กระทําความผิดฐานทจุ ริตตอ่ หน้าท่ีราชการ หรือกระทําความผิดตอ่ ตําแหน่งหน้าที่ในการยตุ ธิ รรม
และคณะกรรมการการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติได้ไตส่ วนและมีมติวา่ ผ้ถู กู กล่าวหา
มีมลู ความผิดทางอาญาซงึ่ คณะกรรมการการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติจะทําการสง่
เรื่องให้อยั การสงู สดุ เพื่อดาํ เนินคดที างอาญาตอ่ ไป
6.4.2 ศาลปกครอง
ศาลปกครองเป็ นศาลท่ีมีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษา “คดีปกครอง” ซึ่งเป็ นข้อ
พิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน หรือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐกบั เอกชน และข้อพิพาทระหวา่ งหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกนั ซงึ่ เป็ นข้อ
พิพาทอันเนื่องมากจากการกระทําหรือละเว้นการกระทําที่หน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐนนั้ มีหน้าที่ต้องปฏิบตั ิตามกฎหมาย หรือ
เน่ืองจากการกระทําหรือการละเว้นการกระทําท่ีหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวสิ าหกิจ หรือ
ราชการส่วนท้องถ่ิน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าท่ีตามกฎหมาย อัน
แบง่ เป็ นกรณีดงั ตอ่ ไปนี ้
• คดีพิพาทเก่ียวกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองสว่ น
ท้องถิ่นกระทําการโดยมชิ อบด้วยกฎหมาย
• คดพี พิ าทเก่ียวกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองสว่ น
ท้องถ่ินละเลยการปฏิบตั หิ น้าที่หรือปฏิบตั หิ น้าท่ีลา่ ช้า
207
• คดีพิพาทเกี่ยวกบั การทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ินหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นอนั เกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย
• คดีพพิ าทเกี่ยวกบั สญั ญาทางปกครอง
• คดีที่มีกฎหมายกําหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ินฟ้ องคดีตอ่ ศาลเพ่ือบงั คบั ให้บคุ คลต้องกระทําหรือละเว้นกระทําอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใด
• คดีพพิ าทเก่ียวกบั เรื่องที่มีกฎหมายกําหนดให้อยใู่ นเขตอํานาจศาลปกครอง
6.5 การตรวจสอบจากภาคประชาชน
นอกจากการตรวจสอบการดําเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นจากภาครัฐแล้ ว
ประชาชนในท้องถ่ินก็นับว่าเป็ นส่วนสําคญั ในการตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตน
เพราะเจตนารมณ์ของการปกครองสว่ นท้องถิ่นนนั้ ก็เพ่ือให้การดําเนินภารกิจของรัฐมีความเหมาะสม
กบั ความต้องการของประชาชนภายในแต่ละท้องถิ่น และให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปกครอง
ตนเองซง่ึ ถือเป็ นรากฐานท่ีสาํ คญั ในการพฒั นาการเมืองการปกครองของประเทศตอ่ ไป ในปัจจบุ นั ได้
มีกฎหมายท่ีให้สิทธิแก่ประชาชนในท้องถ่ินในการเข้าไปมีสว่ นร่วมในการตรวจสอบการดําเนินงาน
ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นของตน อนั แบง่ ได้ดงั นี ้
6.5.1 การเข้าช่ือถอดถอนสมาชิกสภาท้องถ่ิน คณะผู้บริหารท้องถ่ินหรือผู้บริหาร
ท้องถ่นิ โดยประชาชน
สทิ ธินีป้ รากฏในรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย มาตรา 285 ที่บญั ญตั วิ า่ “ประชาชน ผ้มู ี
สิทธิเลือกตงั้ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดเห็นว่าสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผ้บู ริหารท้องถิ่นหรือ
ผู้บริหารท้องถ่ินผู้ใดขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินนัน้ ไม่สมควรดํารงตําแหน่งต่อไป ให้มีสิทธิ
ลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถ่ิน คณะผ้บู ริหารท้องถ่ินหรือผ้บู ริหารท้องถ่ินผ้นู นั้ พ้นจาก
ตําแหน่ง ทงั้ นี ้ จํานวนผู้มีสิทธิเข้าชื่อ หลกั เกณฑ์และวิธีการเข้าช่ือ การตรวจสอบรายช่ือ และการ
ลงคะแนนเสียง ให้เป็ นไปตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ”ิ
สําหรับกฎหมายท่ีบญั ญตั ิถึงหลกั เกณฑ์และวิธีการในการถอดถอน ได้แก่ พระราชบญั ญัติ
ว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพ่ือถอดถอนสมาชิกสภาท้องถ่ิน หรือผ้บู ริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซ่ึง
กฎหมายฉบบั นีไ้ ด้กําหนดวิธีการและรายละเอียดในการเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ
ผ้บู ริหารท้องถิ่นโดยใช้จํานวนผ้มู ีสทิ ธิเลือกตงั้ เป็ นเกณฑ์ในการใช้สทิ ธิ กลา่ วคือ ในกรณีท่ีท้องถิ่นนนั้
208
มีผ้มู ีสทิ ธิเลือกตงั้ ไมเ่ กินหนงึ่ แสนคนการถอดถอนจะต้องมีผ้เู ข้าชื่อไมน่ ้อยกวา่ หนง่ึ ในห้าของจํานวนผู้
มีสิทธิเลือกตงั้ ในท้องถ่ินนัน้ หากผู้มีสิทธิเลือกตงั้ เกินหนึ่งแสนคนแต่ไม่เกินห้าแสนคนจะต้องมีผู้
เข้าชื่อไมน่ ้อยกวา่ สองหม่ืนคน กรณีท่ีผ้มู ีสทิ ธิเลือกตงั้ เกินกวา่ ห้าแสนคนแตไ่ มเ่ กินหนงึ่ ล้านคนจะต้อง
มีผ้เู ข้าช่ือไม่น้อยกว่าสองหม่ืนห้าพนั คน และหากเป็ นกรณีที่มีผ้มู ีสิทธิเลือกตงั้ เกินกว่าหนึ่งล้านคน
ต้องมีผู้เข้าชื่อไม่น้อยกว่าสามหม่ืนคน26 เมื่อผู้ว่าราชการจงั หวดั ได้รับคําร้ องขอให้ถอดถอนโดยมี
จํานวนผ้เู ข้าชื่อครบตามที่กฎหมายกําหนดแล้วจะต้องจดั สง่ คําร้องดงั กลา่ วไปให้สมาชิกสภาท้องถ่ิน
หรือฝ่ ายบริหารท้องถิ่นที่ถูกขอให้ถอดถอนทราบเพ่ือจัดทําคําชีแ้ จงข้อเท็จจริงแจ้งต่อผ้วู ่าราชการ
จงั หวดั และผ้วู ่าราชการจงั หวดั ต้องแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตงั้ เพ่ือให้ดําเนินการจดั ให้มีการ
ลงคะแนนเสยี งเพื่อถอดถอนตอ่ ไป27
สาํ หรับในการลงคะแนนเสยี งเพื่อถอดถอนนนั้ หากมีผ้มู าใช้สทิ ธิลงคะแนนเสียงไมถ่ ึงกึ่งหน่งึ
ของจํานวนผ้มู ีสิทธิลงคะแนนเสียงทงั้ หมดการเข้าชื่อถอดถอนก็จะเป็ นอนั ตกไปและจะร้องขอให้มี
การถอดถอนผู้นนั้ โดยอาศยั เหตเุ ดียวกนั ไม่ได้อีก หากในกรณีที่มีผู้มาใช้สิทธิเกินก่ึงหนึ่งและมีการ
ลงคะแนนเสียงให้ มีทําการถอดถอนไม่น้ อยกว่าสามในสี่ของจํานวนผ้ ูมาใช้ สิทธิก็เท่ากับแสดงว่า
ประชาชนในท้องถ่ินเห็นวา่ สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผ้บู ริหารท้องถ่ินนนั้ ไมส่ มควรดํารงตาํ แหนง่ ตอ่ ไปก็
จะมีผลให้บคุ คลนนั้ พ้นจากตําแหนง่ นบั จากวนั ลงคะแนนเสยี ง28
6.5.2 การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการหรือการดาํ เนินการต่าง ๆ
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
นอกจากสิทธิในการถอดถอนผู้บริหารท้องถ่ินและสมาชิกสภาท้องถิ่นแล้ว ประชาชนใน
ท้องถ่ินยงั สามารถทําการตรวจสอบการดาํ เนินการขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินของตนได้โดยการ
เข้าไปมีสว่ นร่วมในการบริหารหรือการดําเนินการต่าง ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินได้ตามสทิ ธิ
ดงั ตอ่ ไปนี ้
1) สิทธิในการเข้าร่วมเป็ นคณะกรรมการดาํ เนินการจัดซอื้ จัดจ้างขององค์กร
ปกครองส่วนท้องถ่นิ
ประชาชนในท้องถิ่นมีสทิ ธิในการเข้าร่วมเป็ นคณะกรรมการดําเนินการจดั ซือ้ จดั จ้าง
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยส่งตวั แทนของท้องถิ่นเข้าร่วมเป็ นกรรมการชุดต่าง ๆ ได้แก่
26 พระราชบญั ญตั วิ า่ ด้วยการลงคะแนนเสยี งเพ่ือถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 5
27 พระราชบญั ญตั วิ า่ ด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 7
28 พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยการลงคะแนนเสยี งเพ่ือถอดถอนสมาชิกสภาท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 มาตรา 23
209
คณะกรรมการเปิ ดซองราคา คณะกรรมการรับและเปิ ดซองประกวดราคา คณะกรรมการพิจารณาผล
การประกวดราคา คณะกรรมการจัดซือ้ โดยวิธีพิเศษ คณะกรรมการจัดจ้ างโดยวิธีพิเศษ
คณะกรรมการตรวจรับพสั ดุ และคณะกรรมการตรวจการจ้าง
นอกจากนี ้ ประชาชนในท้องถ่ินมีสิทธิได้รับรู้ข้อมลู เกี่ยวกับการแต่งตงั้ บุคคลเป็ น
คณะกรรมการดําเนินการจดั ซือ้ จดั จ้างได้ โดยองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินต้องมีการประกาศรายชื่อผู้
ท่ีได้รับแตง่ ตงั้ เป็ นคณะกรรมการจดั ซือ้ จดั จ้างในแต่ละครัง้ ให้ประชาชนได้ทราบ ณ ที่ทําการองค์กร
ปกครองส่วนท้องถ่ิน และศนู ย์รวมข้อมลู ข่าวสารการจดั ซือ้ จดั จ้างในระดบั อําเภอ และประกาศทาง
หอกระจายข่าว และเม่ือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดําเนินการจดั ซือ้ จดั จ้างด้วยวิธีการต่าง ๆ เสร็จ
แล้ว ประชาชนจะมีสิทธิได้รับรู้ข้อมลู เก่ียวกับการจดั ซือ้ จดั จ้างแต่ละครัง้ โดยองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นต้องปิ ดประกาศเผยแพร่ผลการดาํ เนินการในขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ไว้ให้ประชาชนได้ทราบด้วย
2) สิทธิในการมีส่ วนร่ วมของประชาชนในการร่ วมรับรู้ข้ อมูลข่ าวสาร
เก่ียวกับการจดั หารายได้และการจัดเก็บภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิในการร่วมรับรู้ข้อมลู เก่ียวกับบญั ชีรายรับรายจ่ายของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ผ่านทางการรายงานข้อมลู สถานะการคลงั ขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น และการใช้สิทธิรับรู้ข่าวสารทางราชการตามพระราชบญั ญตั ิข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ
พ.ศ. 2540
นอกจากนีป้ ระชาชนยงั มีสิทธิในการรับรู้ข้อมลู งบประมาณขององค์กรปกครองสว่ น
ท้องถิ่นเมื่อสิน้ ปี งบประมาณได้ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีงบประมาณขององค์กร
ปกครองส่วนท้ องถิ่น พ.ศ. 2541 ซึ่งกําหนดให้ องค์กรปกครองส่วนท้ องถ่ินต้องจัดส่งสําเนา
งบประมาณรายจ่ายประจําปี และรายจ่ายเพ่ิมเติมท่ีได้รับอนมุ ตั ิ และเปิ ดเผยให้ประชาชนได้ทราบ
ณ สํานกั งานขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน ภายในสามสบิ วนั ตามแบบท่ีกรมการปกครองกําหนด
3) สิทธิในการมีส่วนร่ วมของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลเก่ียวกับการเงิน
และบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
สิทธิของประชนในกรณีนีเ้ ป็ นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน
การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2548 เช่น การกําหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องประกาศสําเนาแสดง
210
สถานะการเงินและงบอื่น ๆ ณ ท่ีทําการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพ่ือให้ประชาชนได้ทราบ29
เป็ นต้น
4) สิทธิการมีส่วนร่ วมของประชาชนในการรายงานผลการปฏิบัติงานของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
ประชาชนมีสิทธิในการร่วมรับรู้กําหนดการในการประชุมของสภาท้องถ่ิน ทัง้ นี ้
เพ่ือให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมรับฟังการประชุมรายงานผลการปฏิบตั ิงานของฝ่ ายบริหารต่อท่ี
ประชุมสภาท้องถ่ิน รวมถึงมีส่วนร่วมในการรับฟังการถ่ายทอดเสียงการประชุมในการนําเสนอ
ผลงานของฝ่ ายบริหาร นอกจากนีป้ ระชาชนยงั อาจร่วมประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านขององค์กรปกครอง
ส่วนท้องถ่ินได้ผ่านการประชุมประชาคมที่ฝ่ ายบริหารได้จัดขึน้ เพ่ือรายงานผลการปฏิบตั ิงานให้
ประชาชนรับทราบ
6.5.3 การควบคุมโดยกําหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องเปิ ดเผยข้อมูล
ข่าวสาร
การที่ประชาชนจะสามารถเข้ามาตรวจสอบการดําเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ได้นนั้ สิ่งท่ีสําคญั ที่จะเอือ้ ให้การตรวจสอบโดยประชาชนเกิดขึน้ ได้ก็คือ ประชาชนต้องมีสิทธิในการ
ได้รับทราบข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการได้อยา่ งสะดวกและเพียงพอ ดงั นนั้ หน่วยงานของรัฐจงึ ควร
เปิ ดเผยข้อมลู ข่าวสารให้ประชาชนได้รับรู้ เว้นแต่การเปิ ดเผยข้อมลู ข่าวสารนนั้ จะกระทบต่อความ
มน่ั คงของรัฐ ความปลอดภยั ของประชาชน หรือส่วนได้เสียอนั พึงได้รับความค้มุ ครองของบคุ คลอื่น
หรือเป็ นข้อมลู สว่ นบคุ คล ซงึ่ ในปัจจบุ นั พระราชบญั ญตั ขิ ้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ได้
กําหนดวิธีการและรายละเอียดในการเปิ ดเผยข้อมลู ข่าวสารที่อย่ใู นครอบครองขององค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่นให้กบั ประชาชนอยู่ 3 วธิ ี ด้วยกนั คอื
1) การเปิ ดเผยข้อมลู โดยการนําข้อมลู ข่าวสารของทางราชการนนั้ ไปพิมพ์ลงในราชกิจจา
นเุ บกษา อนั ได้แก่ โครงสร้างและการจดั องค์กรในการดําเนินงานของหน่วยงานรัฐ สรุปอํานาจหน้าท่ี
ที่สําคญั และวิธีการดําเนินงาน สถานที่ติดตอ่ เพ่ือขอรับข้อมลู ข่าวสารหรือคําแนะนําในการติดตอ่ กบั
หนว่ ยงานรัฐ ตลอดจน กฎ ข้อบงั คบั คําสงั่ หนงั สือเวียน ระเบียบ แบบแผน นโยบายหรือการตีความ
ทงั้ นีเ้ฉพาะที่จดั ให้มีขนึ ้ โดยสภาพอยา่ งกฎ เพื่อให้มีผลเป็ นการทวั่ ไปแตเ่ อกชนที่เกี่ยวข้อง
29 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการ
ตรวจเงินขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2548 ข้อ 101
211
2) การเปิ ดเผยข้อมลู โดยจดั ไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดไู ด้ เชน่ ผลการพิจารณาหรือคาํ วินิจฉยั
ที่มีผลโดยตรงต่อเอกชนรวมทงั้ ความเห็นแย้งและคําสง่ั ท่ีเก่ียวข้องในการพิจารณาวินิจฉยั ดงั กล่าว
แผนงานโครงการและงบประมาณรายจ่ายประจําปี ของปี ที่กําลงั ดําเนินการ คมู่ ือหรือคําสง่ั เกี่ยวกบั
วิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีรัฐที่มีผลกระทบถึงสิทธิหน้าที่ของเอกชน สญั ญาสัมปทาน เอกสาร
เก่ียวกบั การประกวดราคา หรือการจดั ซอื ้ จดั จ้างของหนว่ ยงาน เป็ นต้น
3) การเปิ ดเผยโดยการจดั หาข้อมลู ข่าวสารของราชการให้ตามที่มีผ้ยู ่ืนคําขอต่อหน่วยงาน
องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน30
30 สาํ นกั งานคณะกรรมการข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ, พระราชบญั ญัติข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ
พ.ศ. 2540, กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ์, 2542, น.13.
212
ตารางท่ี 6.1 : กลไกในการตรวจสอบการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
กลไกในการตรวจสอบ วิธีการในการตรวจสอบ
1. การตรวจสอบโดยกลไกทางการเมือง
1.1 คณะกรรมาธิการของรัฐสภา
(คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภา • พิจารณาสอบสวน หรือศกึ ษาเรื่องใด ๆ ที่เก่ียวกบั
ผ้แู ทนราษฎร) กระบวนการและมาตรการการป้ องกนั และปราบปรามการ
ทจุ ริตประพฤตมิ ชิ อบอนั เกิดจากการบริหารราชการแผน่ ดนิ
1.2 สภาท้องถ่นิ • พิจารณาร่างข้อบัญญัติงบประมาณขององค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ิน
2. การตรวจสอบโดยองค์กรผู้มีอาํ นาจ • พิจารณาร่างข้อบญั ญตั ทิ ้องถิ่น
ในการกาํ กับดแู ล : กระทรวงมหาดไทย • ตงั้ กระท้ถู าม
• เปิ ดอภปิ รายทว่ั ไป
• แต่งตัง้ และถอดถอนบุคคลผู้ดํารงตําแหน่งใน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือการใช้อํานาจลงโทษทาง
วินัยเหนือบุคคลของท้ องถ่ิน การออกคําส่ังพักการ
ปฏิบตั ิงาน หรือ การให้พ้นจากตําแหน่ง การไล่ออกจาก
ตําแหน่ง
• ให้ความเห็นชอบ การอนุญาต อนุมัติ เพิกถอน
ระงบั ยบั ยงั้ สงั่ ยกเลกิ การกระทําที่ขดั หรือแย้งกบั กฎหมาย
• เห็นชอบหรือไมเ่ ห็นชอบในงบประมาณของท้องถิ่น
• ออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง ประกาศหรือ
หนังสือเวียน คําสั่งวินิจฉัย การให้ ชีแ้ จง การกําหนด
มาตรฐานให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นถือปฏบิ ตั ิ
• พจิ ารณาอทุ ธรณ์คําสง่ั ทางปกครองท่ีอยใู่ นอํานาจ
หน้าที่ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น
213
ตารางท่ี 6.1 : กลไกในการตรวจสอบการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ (ต่อ)
กลไกในการตรวจสอบ วธิ ีการในการตรวจสอบ
3. การตรวจสอบโดยองค์กรท่ีมีบทบาท
ในการป้ องกันและปราบปรามการทจุ ริต
3.1 คณะกรรมการป้ องกันและ • ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของ
ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ ทรัพย์สนิ และหนีส้ นิ
• ตรวจสอบการกระทําอันเป็ นความผิดตาม
กฎหมายว่าด้ วยความผิดเก่ียวกับการเสนอราคาต่อ
หนว่ ยงานของรัฐ
• ตรวจสอบในกรณีท่ีมีผ้กู ลา่ วหาว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ซง่ึ มิใช่ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง รํ่ารวยผิดปกติ ทจุ ริต
ต่อหน้าที่ กระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือ
กระทําความผิดตอ่ ตาํ แหน่งหน้าท่ีในการยตุ ธิ รรม
3.2 คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ • ตรวจสอบและดแู ลการใช้จา่ ยเงินและทรัพย์สนิ ของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีวัตถุประสงค์ในการ
ตรวจสอบถึงความชอบด้วยกฎหมาย และตรวจสอบถึง
ความมีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินทงั้ ในส่วนท่ีเป็ นเงิน
จากงบประมาณหรือจากรายได้อ่ืน ๆ
3.3 ผู้ตรวจการแผ่นดนิ • พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีท่ีมีคํา
ร้ องเรียนว่า ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วย
ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วน
ท้องถ่ินไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย หรือปฏบิ ตั นิ อกเหนืออํานาจ
หน้าที่ตามกฎหมายหรือปฏิบตั ิหรือละเลยไม่ปฏิบตั ิหน้าที่
อนั ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผ้รู ้องเรียนหรือประชาชนโดย
ไมเ่ ป็ นธรรม
214
ตารางท่ี 6.1 : กลไกในการตรวจสอบการทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ (ต่อ)
กลไกในการตรวจสอบ วธิ ีการในการตรวจสอบ
3.4 คณะกรรมการป้ องกันและ • ไต่สวนข้อเท็จจริงและชีม้ ลู เกี่ยวกบั การกระทําการ
ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ทจุ ริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐและสรุปสํานวนพร้อม
ทัง้ ความเห็นส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้ องคดีอาญาต่อ
เจ้าหน้าท่ีของรัฐ
4. การตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการ
4.1 ศาลยุติธรรมท่ีมีอาํ นาจพิจารณา • พิจารณาพิพากษาคดีแพง่ ในคดีที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐ
พพิ ากษาคดี ตําแหน่งทั่วไปซึ่งไม่ใช่ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองถูก
กล่าวหาว่ารํ่ารวยผิดปกติและมีคําขอให้ทรัพย์สินตกเป็ น
ของแผน่ ดนิ
• พิจารณาพิพากษาคดีอาญาในคดีท่ีเจ้าหน้าที่ของ
รัฐตําแหน่งทว่ั ไปซึ่งไม่ใช่ผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองถูก
กล่าวหาว่ากระทําความผิดฐานทุจริ ตต่อหน้ าท่ีราชการ
หรือกระทําความผดิ ตอ่ ตาํ แหนง่ หน้าท่ีในการยตุ ธิ รรม
4.2 ศาลปกครอง • พจิ ารณาพิพากษา “คดปี กครอง” ดงั นี ้
- คดีพิพาทเกี่ยวกบั องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หรื อเจ้ าหน้ าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นกระทําการ
โดยมชิ อบด้วยกฎหมาย
- คดีพิพาทเกี่ยวกบั องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
หรื อเจ้ าหน้ าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นละเลยการ
ปฏิบตั หิ น้าที่หรือปฏบิ ตั หิ น้าที่ลา่ ช้า
- คดีพิพาทเกี่ยวกบั การทําละเมิดหรือความรับผิด
อย่างอื่นขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินหรือเจ้าหน้าที่ของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินอนั เกิดจากการใช้อํานาจตาม
กฎหมาย
- คดพี ิพาทเก่ียวกบั สญั ญาทางปกครอง
215
ตารางท่ี 6.1 : กลไกในการตรวจสอบการทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ (ต่อ)
กลไกในการตรวจสอบ วธิ ีการในการตรวจสอบ
5. การตรวจสอบจากภาคประชาชน
- คดีท่ีมีกฎหมายกําหนดให้องค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ินหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินฟ้ อง
คดตี อ่ ศาลเพ่ือบงั คบั ให้บคุ คลต้องกระทําหรือละเว้นกระทํา
อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด
- คดพี ิพาทเกี่ยวกบั เร่ืองท่ีมีกฎหมายกําหนดให้อยู่
ในเขตอํานาจศาลปกครอง
• การเข้ าช่ือถอดถอนสมาชิกสภาท้ องถ่ิน คณะ
ผ้บู ริหารท้องถิ่นหรือผ้บู ริหารท้องถิ่น
• การเข้ าชื่อเสนอร่างกฎหมายหรือข้ อบัญญัติ
ท้องถ่ิน
• การควบคมุ โดยการให้ประชาชนมีสทิ ธิได้รับข้อมลู
คําชีแ้ จงจากท้องถ่ินในการดาํ เนนิ โครงการหรือกิจกรรมที่มี
ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อม
• การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการ
หรือการดําเนินการตา่ ง ๆ ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น
• การควบคุมโดยกําหนดให้องค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ินต้องเปิ ดเผยข้อมลู ขา่ วสาร
216
บทท่ี 7
ผลการศกึ ษา
การนําเสนอในส่วนของผลการศึกษานนั้ คณะผู้วิจัยได้นําข้อมูลที่สําคญั 2 ส่วน ได้แก่
ข้อมูลจากสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ซ่ึงเป็ น
ข้อมลู ทงั้ ในเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพและข้อมลู ที่ได้จากการสํารวจภาคสนามโดยการสมั ภาษณ์
เชิงลกึ การจดั เวทีสมั มนาระดมความคิดเห็น และการศกึ ษาเอกสาร ซง่ึ เป็ นข้อมลู เชิงคณุ ภาพ โดย
ข้อมลู เชิงปริมาณจากสํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นนั้
สะท้อนให้เห็นความถ่ีของการทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบของประเทศไทย
ทงั้ ในสว่ นของจํานวนการถกู กลา่ วหาร้องเรียนขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น ตลอดจนสถานภาพ
ของผ้ถู กู กล่าวหาร้องเรียน นอกจากนีแ้ ล้วข้อมลู ยงั แสดงให้เห็นในส่วนของการถกู ชีม้ ลู ความผิด
ด้วย กลา่ วคือ ได้จําแนกข้อมลู ตามปริมาณคดีที่สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปราม
การทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับการร้องเรียนตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2542-2551 ซง่ึ คดีข้างต้นได้รับการชี ้
มลู ความผดิ ระหวา่ งปี พ.ศ. 2547-2552 ข้อมลู ยงั บง่ ชีถ้ ึงประเภทขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินท่ี
ถกู ชีม้ ลู ความผิด ภมู ิภาคอนั เป็ นท่ีตงั้ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ถกู ชีม้ ลู ความผิด ประเภท
ของการทจุ ริตที่ถกู ชีม้ ลู ความผิด สถานภาพบคุ คลที่ทําการกลา่ วหาร้องเรียนและสถานภาพบคุ คล
ท่ีถูกชีม้ ูลความผิด รวมทัง้ วงเงินความเสียหายท่ีเกิดขึน้ จากการทุจริตในองค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ินรูปแบบทว่ั ไป ในเร่ืองการจดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงานบคุ คล
และการออกใบอนญุ าต
ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพจากสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต
แหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) ชีใ้ ห้เห็นถึงพฤตกิ รรมการทจุ ริตตลอดจนกระบวนการในการทจุ ริต และการชีม้ ลู
ความผิดตามกฎหมายเม่ือมีหลกั ฐานชดั เจนเก่ียวกบั การกระทําการทจุ ริตขององค์กรปกครองสว่ น
ท้องถ่ินรูปแบบท่วั ไปในประเทศไทย ในเร่ืองการจดั ซือ้ จดั จ้าง การจัดทําโครงสร้ างพืน้ ฐาน การ
บริหารงานบคุ คล และการออกใบอนญุ าต
สําหรับข้อมูลท่ีได้จากการสํารวจภาคสนามนัน้ เป็ นข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีได้จากการ
สมั ภาษณ์ การจดั เวทีประชมุ ระดมความคิดเห็นรวมทงั้ การศกึ ษาจากเอกสาร โดยในสว่ นของการ
สมั ภาษณ์ม่งุ ไปที่พืน้ ที่ซงึ่ เป็ นกล่มุ เป้ าหมายจํานวน 20 พืน้ ท่ี เพ่ือศกึ ษาบริบทเฉพาะขององค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งซึ่งอาจเป็ นเง่ือนไขหน่ึงที่นําไปสู่การทุจริต รวมทัง้ การสอบถาม
เกี่ยวกบั สภาพปัญหา รูปแบบ สาเหตขุ องการทจุ ริต และความคิดเห็นเกี่ยวกบั แนวทาง มาตรการ
เก่ียวกับการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินรูปแบบท่ัวไปของ
217
ประเทศไทย นอกจากนีแ้ ล้วคณะผ้วู ิจยั ได้ใช้วธิ ีการสมั ภาษณ์กบั กลมุ่ เป้ าหมายซงึ่ เป็ นบคุ ลากรของ
หน่วยงานต่าง ๆ ที่ดําเนินงานสมั พนั ธ์เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ สํานกั งาน
คณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สํานกั งานคณะกรรมการตรวจ
เงินแผ่นดิน (สตง.), ผ้ตู รวจการแผ่นดิน, กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, สํานกั งานส่งเสริมการ
ปกครองท้องถิ่นจังหวดั , สมาคมองค์การบริหารส่วนตําบลแห่งประเทศไทย, สมาคมสนั นิบาต
เทศบาลแห่งประเทศไทย รวมทงั้ นกั วิชาการ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ ทงั้ นี ้เพ่ือให้ได้มาซงึ่ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกบั
สภาพปัญหา รูปแบบ สาเหตขุ องการทจุ ริต และความคดิ เห็นเก่ียวกบั แนวทางหรือมาตรการในการ
ป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในการดําเนินงานทงั้ 4 ด้านขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน
รูปแบบทว่ั ไปของประเทศไทย อนั ประกอบด้วย การจดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การ
บริหารงานบคุ คล และการออกใบอนญุ าต
นอกจากนีแ้ ล้ว ข้อมูลในเชิงคุณภาพอีกส่วนหนึ่งยังได้มาจากการจัดเวทีระดมความ
คิดเห็น โดยคณะผู้วิจัยได้ดําเนินการเมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์และ
การศกึ ษาเอกสารเสร็จสิน้ แล้ว ซง่ึ วตั ถปุ ระสงค์ของการประชมุ ระดมความคิดเห็นนนั้ ก็เพ่ือเป็ นการ
นําเสนอข้อเท็จจริงเก่ียวกบั การทจุ ริตขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินรูปแบบทว่ั ไปของประเทศไทย
และมาตรการที่คณะผ้วู ิจยั นําเสนอในการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในองค์กรปกครองสว่ น
ท้องถ่ินรูปแบบทวั่ ไปของประเทศไทยให้ผ้เู ข้าร่วมเวทีได้ทราบ ขณะเดียวกนั ก็เป็ นการรับฟังความ
คิดเห็นในประเด็นดงั กล่าวว่ามีความถูกต้อง ครบถ้วนหรือไม่จากผู้เข้าร่วมเวที ตลอดจนความ
คดิ เห็นเพ่ิมเตมิ ในประเดน็ ตา่ ง ๆ จากผ้เู ข้าร่วมเวทีด้วย
จากข้อมลู ดงั กลา่ วข้างต้น คณะผ้วู จิ ยั ได้ประมวลและนําเสนอข้อเท็จจริงตามวตั ถปุ ระสงค์
ท่ีได้ตงั้ ไว้ โดยมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี ้
7.1 ความถ่ขี องการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
สํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็ น
หน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทหน้ าท่ีโดยตรงในการตรวจสอบการทํางานขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ินได้รวบรวมข้อมลู ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2544-2552 (ข้อมลู ณ วนั ท่ี 14 มกราคม พ.ศ.2552)1 พบว่า
1 วนั นพ สมจินตนากลุ , บรรยายเร่ือง สมรรถนะและองค์ความรู้ท่ีจําเป็ นของเจ้าหน้าท่ีตรวจสอบ
ภายในเพื่อป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริต, ณ กรมสง่ เสริมอตุ สาหกรรม เม่ือวนั ที่ 29 กรกฎาคม 2552.
218
เจ้าหน้าที่ของรัฐในสงั กัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินถูกกล่าวหาว่ากระทําการทุจริตรวมทงั้ สิน้
7,452 เร่ือง มีผ้ถู กู กลา่ วหา 13,683 ราย
อนั ดบั 1 ได้แก่ องค์การบริหารสว่ นตาํ บล 4,321 เร่ือง ผ้ถู กู กลา่ วหา 8,038 ราย
อนั ดบั 2 ได้แก่ เทศบาล 2,324 เรื่อง ผ้ถู กู กลา่ วหา 4,234 ราย
อนั ดบั 3 ได้แก่ องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั 424 เรื่อง ผ้ถู กู กลา่ วหา 740 ราย
อนั ดบั 4 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 369 เร่ือง ผ้ถู กู กลา่ วหา 628 ราย
อนั ดบั 5 ได้แก่ เมืองพทั ยา 14 เรื่อง ผ้ถู กู กลา่ วหา 43 ราย
จากข้อมลู ดงั กล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่านยั สําคญั อย่างน้อย 2 ประการ คือ ประการ
แรก จํานวนขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแต่ละรูปแบบท่ีถูกร้ องเรียนมีความสอดคล้องกับ
จํานวนรวมขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินแตล่ ะรูปแบบท่ีกระจายตวั อย่ใู นประเทศไทยโดยข้อมลู
จากส่วนวิจยั และพฒั นาระบบ รูปแบบและโครงสร้าง สํานกั พฒั นาระบบ รูปแบบและโครงสร้าง
กรมสง่ เสริมการปกครองท้องถ่ิน2 ได้ระบจุ ํานวนขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นของประเทศไทยใน
แต่ละรูปแบบว่า องค์การบริหารส่วนตําบลมีจํานวนมากที่สุดถึง 5,765 แห่ง รองลงมา คือ
เทศบาล จํานวน 2,010 แห่ง องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั จํานวน 76 แห่ง และ องค์กรปกครองสว่ น
ท้องถ่ินรูปแบบพิเศษ จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และเมืองพทั ยาดงั นนั้ เมื่อนําปริมาณ
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีถกู กล่าวหาว่ากระทําการทุจริตกับจํานวนขององค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่นแตล่ ะประเภทมาพิจารณาร่วมกนั ก็จะพบวา่ มีความสมั พนั ธ์กนั สว่ น ประการทีส่ อง คือ
จํานวนของผ้ถู กู กล่าวหามีมากกว่าจํานวนขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีถกู กล่าวหาเกือบ 2
เท่า ซงึ่ สะท้อนให้เห็นว่าการกระทําการทจุ ริตในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นของประเทศไทยนนั้ ไม่
สามารถดําเนินการเพียงลําพงั ได้ การทุจริตที่เกิดขึน้ มีลกั ษณะเป็ นเครือข่าย ร่วมกันกระทําเป็ น
ขบวนการ
อน่ึง เมื่อพิจารณาในรายละเอียดเก่ียวกับผู้ถูกกล่าวหาร้ องเรียนว่ากระทําการทุจริตใน
องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินของประเทศไทย ซง่ึ สํานกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สงั กดั
สํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รวบรวมข้อมูล
เก่ียวกบั สถานภาพของผ้ถู กู กล่าวหาร้องเรียนว่ากระทําการทจุ ริตในองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินที่
อยรู่ ะหวา่ งดําเนินการ (ข้อมลู ณ วนั ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) ปรากฏข้อมลู ดงั ตาราง 7.1
2 ดรู ายละเอียดเพ่ิมเติมได้ท่ีภาคผนวก 1
219
ตารางท่ี 7.1 : สถานภาพของผู้ถกู กล่าวหาร้องเรียนว่ากระทาํ การทุจริตในองค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่นิ ท่อี ย่รู ะหว่างดาํ เนินการ (ข้อมูล ณ วันท่ี 5 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2552)
สังกัด ผู้บริหารท้องถ่นิ / พนักงานเจ้าหน้าท่ี ไม่ระบุ จาํ นวน/
สมาชกิ ชัดเจน เร่ือง
1. กรุงเทพมหานคร 62 56 128
2. เมืองพทั ยา 2 1 10
3. องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั 131 30 1 4
4. เทศบาลนคร 62 31 12 173
5. เทศบาลเมือง 119 42 7 100
6. เทศบาลตาํ บล 487 137 15 176
7. องค์การบริหารสว่ นตาํ บล 925 326 34 658
8. อ่ืนๆ 78 1,329
(เจ้าหน้าท่ีไมใ่ ช่สงั กดั อปท.) - -
รวม 1,788 623 82 82
239 2,650
ท่มี า : สํานกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.)
ข้อมลู จากตารางสะท้อนให้เห็นวา่ ณ วนั ท่ี 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สํานกั ปราบปราม
การทจุ ริตภาคการเมือง 2 สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ได้รับการร้องเรียนเก่ียวกบั การกระทําทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศ
ไทยจํานวน 2,650 เรื่อง โดยองค์การบริหารสว่ นตําบลยงั คงเป็ นหน่วยงานท่ีถกู ร้องเรียนว่ามีการ
กระทําการทุจริตมากท่ีสดุ รองลงมา คือ เทศบาล (รวมเทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาล
ตําบล) จํานวน 943 เรื่อง และองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั จํานวน 173 เร่ือง
สําหรับสถานภาพของผ้ ูถูกกล่าวหาร้ องเรียนว่ากระทําการทุจริตในองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นนนั้ พบว่า ผู้บริหารท้องถ่ิน/สมาชิกสภา เป็ นกลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนมากที่สดุ
จํานวน 1,788 คน ซง่ึ สงู กวา่ พนกั งานเจ้าหน้าที่ซงึ่ มีจํานวน 623 คน อยเู่ กือบ 3 เท่า
220
ข้อมลู ดงั กลา่ วข้างต้นสอดคล้องกบั ข้อมลู ของสํานกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2
สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ท่ีได้รวบรวมข้อมลู
การชีม้ ลู ความผิดบุคคล/กลุ่มบุคคล และประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่กระทําการ
ทจุ ริตระหว่างปี พ.ศ. 2547-2552 ซงึ่ ครอบคลมุ เฉพาะองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั เทศบาล และ
องค์การบริหารส่วนตําบล ในเรื่องการจดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงาน
บคุ คล และการออกใบอนญุ าต โดยมีรายละเอียด ดงั นี ้
ตารางท่ี 7.2 : สถานภาพบุคคลท่เี ป็ นผู้กล่าวหาและสถานภาพบุคคลท่ถี กู ชีม้ ูลว่ากระทาํ
การทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
สถานภาพของผู้กล่าวหา จาํ นวน สถานภาพบคุ คลท่ถี ูกชีม้ ูลว่า จาํ นวน
(คน) กระทาํ การทจุ ริต (คน)
ผ้บู ริหาร 18 31
เจ้าหน้าที่ 10 ผ้บู ริหาร 56
สมาชิกสภาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่
ประชาชน 4 สมาชิกสภา 2
20 ประชาชน 1
อื่นๆ 9 อ่ืนๆ 1
รวม 61 91
รวม
ท่มี า : สาํ นกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สาํ นกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
จากตารางท่ี 7.2 แสดงให้เห็นว่าผ้กู ลา่ วหาวา่ มีการทจุ ริตในองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินท่ี
สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชีม้ ลู ในช่วงระหวา่ ง
ปี พ.ศ. 2547-2552 นนั้ บคุ คลผ้กู ลา่ วหาสว่ นใหญ่ คอื ประชาชน รองลงมา คือ ผ้บู ริหาร เจ้าหน้าที่
และสมาชิกสภาท้องถ่ิน ซ่ึงสะท้อนให้เห็นว่ากลไกการตรวจสอบภาคประชาชนเป็ นอีกภาคส่วน
หน่ึงที่มีบทบาทอย่างมากในการร้ องเรียนเกี่ยวกบั การทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดย
ข้อมลู ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของประชาชนในการเป็ นหเู ป็ นตาเพ่ือปราบปรามการทจุ ริต
ในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น ขณะที่ผ้บู ริหาร เจ้าหน้าที่ และสมาชิกสภาท้องถ่ิน เป็ นกลมุ่ บคุ คลท่ี
ปฏิบตั ิงานในองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน สิ่งนีส้ ะท้อนให้เห็นถึงกลไกการตรวจสอบกนั เองระหวา่ ง
ผ้บู ริหารและผ้ปู ฏิบตั งิ าน
221
ขณะที่เมื่อพิจารณาสถานภาพบคุ คลของผ้ทู ่ีถกู ชีม้ ลู วา่ กระทําการทจุ ริตในองค์กรปกครอง
สว่ นท้องถ่ินของประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2547-2552 พบวา่ เจ้าหน้าที่เป็ นกลมุ่ บคุ คลท่ีถกู ชีม้ ลู
ว่ากระทําการทจุ ริตมากท่ีสดุ จํานวน 56 คน ซงึ่ เกินคร่ึงหนึ่งของผ้ถู กู ชีม้ ลู ทงั้ หมด รองลงมา คือ
ผ้บู ริหาร จํานวน 31 คน สมาชิกสภา จํานวน 2 คน และประชาชน จํานวน 1 คน โดยข้อมลู ในสว่ น
นีไ้ ม่สอดคล้องกบั ข้อมลู ในส่วนของผ้ทู ี่ถกู ร้องเรียนท่ีผ้บู ริหาร/สมาชิกสภาเป็ นกล่มุ ที่ถกู ร้องเรียน
มากท่ีสดุ (ตารางที่ 7.1) สาเหตุที่ทําให้ข้อเท็จจริงไม่เป็ นไปในทางเดียวกันอาจมาจากการท่ีเมื่อ
มีการสอบสวน สืบสวน รวมทัง้ ชีม้ ลู ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เจ้าพนักงานในฐานะเป็ นผู้มีบทบาทหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายในการดําเนินงานขององค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ินจงึ ปฏเิ สธการรับผดิ ได้ยาก ในขณะที่ผ้บู ริหารหรือนกั การเมืองท้องถ่ินสามารถ
ปฏิเสธการรับผิดได้ในหลายกรณี เน่ืองจากในหลายกระบวนการของการดําเนินงานในองค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ินไมไ่ ด้ระบหุ น้าที่หรือความรับผิดของผ้บู ริหารหรือนกั การเมืองท้องถิ่นเอาไว้
ตารางท่ี 7.3 : รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ท่ถี กู ชีม้ ูลว่ามีการทุจริตเกดิ ขึน้
รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ จาํ นวน (แห่ง)
องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั 4
เทศบาลนคร 5
เทศบาลเมือง 4
เทศบาลตาํ บล 19
องค์การบริหารสว่ นตําบล 44
76
รวม
ท่มี า : สํานกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สาํ นกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
จากตารางท่ี 7.3 ในระหวา่ งปี พ.ศ. 2547-2552 องค์การบริหารสว่ นตาํ บลเป็ นหน่วยงานท่ี
ถกู ชีม้ ลู วา่ มีการกระทําการทจุ ริตมากที่สดุ จํานวน 44 เรื่อง รองลงมา คือ เทศบาล (รวมเทศบาลนคร
เทศบาลเมือง และเทศบาลตาํ บล) จํานวน 28 เร่ือง และองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั จํานวน 4 แห่ง
ซงึ่ ข้อมลู นีส้ อดคล้องกบั จํานวนขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินแตล่ ะรูปแบบท่ีถกู ร้องเรียน
อน่งึ นอกเหนือจากข้อมลู ดงั กลา่ วข้างต้นแล้วคณะผ้วู ิจยั ได้ทําการรวบรวมและสรุปข้อมลู
จากสํานกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปราม
222
การทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เก่ียวกบั การทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทวั่ ไปของ
ประเทศไทยในการทจุ ริต 4 ด้าน คือ การจดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงาน
บุคคล และการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็ นขอบเขตของการศึกษาวิจยั ครัง้ นี ้ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.
2547-2552 มีรายละเอียด ดงั นี ้
ตารางท่ี 7.4 : ปริมาณคดตี ามปี พ.ศ. ท่มี ีการร้องเรียนและการชีม้ ูลความผิดในเร่ือง
การทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
การร้ องเรียน จาํ นวน (คด)ี ปี พ.ศ. จาํ นวน (คด)ี
ปี 2542 4 17
ปี 2543 14 การชีม้ ลู ความผดิ 2
ปี 2544 18 ปี 2547 -
ปี 2545 13 ปี 2548 15
ปี 2546 6 ปี 2549 9
ปี 2547 - ปี 2550 18
ปี 2548 ปี 2551 61
ปี 2549 2 ปี 2552
ปี 2550 1 รวม
ปี 2551 2
รวม 1
61
ท่มี า : สาํ นกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.)
จากตารางที่ 7.4 สะท้อนให้เห็นว่ามีการร้องเรียนและการชีม้ ลู ความผิดในเร่ืองการทจุ ริต
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทว่ั ไปในประเทศไทยในการทุจริต 4 ด้าน คือ การจดั ซือ้
จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงานบคุ คล และการออกใบอนญุ าต ช่วงระหว่างปี
พ.ศ. 2547-2552 จํานวนทงั้ สนิ ้ 61คดี ซง่ึ จากข้อมลู ที่ได้มาจะเห็นได้วา่ จํานวนคดีที่ทางคณะผ้วู ิจยั
ได้รับมีจํานวนไม่มากนกั ทงั้ นีส้ าเหตหุ นึ่งเนื่องจากไม่สามารถนําข้อมลู ในส่วนของการใช้อํานาจ
223
ของสํานกั งานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามประกาศ
คปค. ฉบบั ท่ี 31 ข้อ 63 มาทําการศกึ ษาวจิ ยั ได้
ตารางท่ี 7.5 : ประเภทของการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
ประเภทของการทุจริต จาํ นวน (คด)ี
การจดั ซือ้ จดั จ้าง 25
การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน 20
การบริหารงานบคุ คล 13
การออกใบอนญุ าต 5
63
รวม
ท่มี า : สาํ นกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สาํ นกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ข้อมลู จากตารางสะท้อนให้เห็นวา่ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2547-2552 มีการชีม้ ลู ความผิดใน
4 ประเภทของการทจุ ริตจํานวน 63 คดี โดยพบการทจุ ริตในเร่ืองการจดั ซือ้ จดั จ้างมากท่ีสดุ จํานวน
25 คดี รองลงมา คือ การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงานบคุ คล และการออกใบอนญุ าต
ซึ่งข้อมลู นีส้ อดคล้องกับปรากฏการณ์ทางสงั คมที่ถูกนําเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ เสมอ สาเหตทุ ี่เป็ น
เช่นนีอ้ าจมาจากการท่ีวงเงินงบประมาณในส่วนของการจัดซือ้ จัดจ้างและการจดั ทําโครงสร้ าง
พืน้ ฐานมีเป็ นจํานวนมาก ประกอบกบั การดําเนินกิจกรรมข้างต้นคอ่ นข้างหาหลกั ฐานในการชีม้ ลู
วา่ ได้กระทําการทจุ ริตหรือไม่ ง่ายกวา่ ในเร่ืองการบริหารงานบคุ คลและการออกใบอนญุ าต
3 “ในกรณีท่ีคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติพิจารณาเหน็ สมควร อาจสง่ เรื่องที่
มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซ่ึงมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ว่ากระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี กระทํา
ความผดิ ตอ่ ตําแหนง่ หน้าท่ีราชการ หรือกระทําความผิดตอ่ ตําแหน่งหน้าท่ีในการยตุ ิธรรมท่ีอยรู่ ะหวา่ งดําเนินการ
ให้ผ้บู งั คบั บญั ชาหรือผ้มู ีอํานาจแต่งตงั้ ถอดถอนดําเนินการทางวินัยหรือดําเนินการตามอํานาจหน้าท่ี แล้วแต่
กรณี หรือสง่ เร่ืองให้พนกั งานสอบสวนดําเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตอ่ ไปก็ได้”
224
ตารางท่ี 7.6 : ภมู ิภาคซ่งึ เป็ นท่ตี งั้ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ท่ถี กู ชีม้ ูลว่ามีการกระทาํ
การทุจริต
ภมู ภิ าค จาํ นวน (แห่ง)
เหนือ 12
ใต้ 5
กลาง 11
ตะวนั ออก 4
ตะวนั ตก 2
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ 27
รวม 61
ท่มี า : สาํ นกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.)
ข้อมลู จากตารางสะท้อนให้เห็นว่าช่วงระหวา่ งปี พ.ศ. 2547-2552 ภมู ิภาคซงึ่ เป็ นท่ีตงั้ ของ
องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินท่ีถกู ชีม้ ลู ว่ามีการกระทําการทจุ ริตในเรื่องการจดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทํา
โครงสร้ างพืน้ ฐาน การบริหารงานบุคคล และการออกใบอนุญาตมากท่ีสดุ คือ ภาคตะวนั ออก
เฉียงเหนือ จํานวน 27 แห่ง รองลงมา คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวนั ออก และภาค
ตะวนั ตก ตามลําดบั ซงึ่ ข้อมลู นีส้ อดคล้องกบั จํานวนองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นที่กระจายตวั อยใู่ น
ภมู ิภาคตา่ ง ๆ โดยภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีจํานวนองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินมากท่ีสดุ
อนึ่ง เม่ือพิจารณาข้อมลู โดยแบง่ ตามพืน้ ท่ี พบวา่ ภมู ิภาคและจงั หวดั ที่มีคดีการทจุ ริตของ
องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นมากท่ีสดุ เรียงตามลาํ ดบั ได้แก่
1) ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีคดีทุจริต 27 คดี โดยจงั หวดั นครราชสีมา ขอนแก่น และ
อบุ ลราชธานี มีคดีทจุ ริตมากที่สดุ เทา่ กนั คอื จงั หวดั ละ 4 คดี
2) ภาคเหนือ มีคดที จุ ริต 12 คดี โดยจงั หวดั นา่ นมีคดที จุ ริตมากที่สดุ จํานวน 4 คดี
3) ภาคกลาง มีคดีทจุ ริต 11 คดี โดยจงั หวดั สระบรุ ีมีคดที จุ ริตมากท่ีสดุ จํานวน 3 คดี
4) ภาคใต้ มีคดที จุ ริต 5 คดี โดยจงั หวดั ชมุ พรมีคดีทจุ ริตมากที่สดุ จํานวน 2 คดี
5) ภาคตะวนั ออก มีคดีทุจริต 4 คดี โดยจังหวดั ระยอง จันทบุรี ตราด และชลบุรี มีคดี
ทจุ ริตเท่ากนั คือ จงั หวดั ละ 1 คดี
225
6) ภาคตะวันตก มีคดีทุจริต 2 คดี โดยจงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์และจงั หวดั ราชบุรี มีคดี
ทจุ ริตเท่ากนั คือ จงั หวดั ละ 1 คดี
ตารางท่ี 7.7 : วงเงนิ ความเสียหายท่เี กดิ ขึน้ จากการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
วงเงนิ ความเสียหาย จาํ นวน (คด)ี
1,000 - 10,000 บาท 1
10,001 - 100,000 บาท 9
100,001 - 1,000,000 บาท 9
1,000,001 - 10,000,000 บาท 1
ไมร่ ะบุ 41
61
รวม
ท่มี า : สาํ นกั ปราบปรามการทจุ ริตภาคการเมือง 2 สาํ นกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.)
ตารางท่ี 7.7 สะท้อนให้เห็นว่าวงเงินความเสียหายท่ีเกิดขึน้ จากการทุจริตในองค์กร
ปกครองสว่ นท้องถิ่นที่สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ได้ชีม้ ลู ในช่วงระหวา่ งปี พ.ศ. 2547-2552 นนั้ สว่ นใหญ่อยรู่ ะหวา่ ง 10,001 - 100,000 บาท และ
100,001 - 1,000,000 บาท ซงึ่ จะเห็นได้วา่ เป็ นวงเงินที่ไมส่ งู มากนกั แตเ่ มื่อพิจารณาในภาพรวม
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในประเทศไทยท่ีมีอยู่เป็ นจํานวนมาก หากองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นมีการทจุ ริตมากก็ยอ่ มสง่ ผลเสยี ตอ่ ชมุ ชนท้องถิ่นและประเทศชาตใิ นภาพรวมได้มาก
จากที่ได้กล่าวมาทัง้ หมดข้างต้นเป็ นข้อมูลเชิงปริมาณจากสํานักงานคณะกรรมการ
ป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซงึ่ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงของการทจุ ริตใน
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินของประเทศไทย โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2547-2552 สํานักงาน
คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้ชีม้ ลู การทุจริตท่ีเกิดขึน้ ใน
องค์การบริหารส่วนจงั หวดั เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตําบล ในกิจกรรม 4 ด้าน คือ การ
จดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงานบุคคล และการออกใบอนญุ าต จํานวน
ทงั้ สิน้ 61 คดี โดยองค์การบริหารสว่ นตําบลเป็ นหน่วยงานท่ีถกู ร้องเรียนและถกู ชีม้ ลู ความผิดมาก
ท่ีสุด ขณะเดียวกันการจัดซือ้ จัดจ้างและการจดั ทําโครงสร้ างพืน้ ฐานเป็ นกิจกรรมที่พบว่ามีการ
กระทําการทุจริตมากที่สดุ สําหรับสถานภาพบุคคลของผ้ถู ูกร้องเรียนและผู้ถูกชีม้ ลู ความผิดนนั้
226
พบว่า ผ้บู ริหารท้องถ่ินและสมาชิกสภาท้องถ่ินเป็ นกล่มุ ที่ถกู ร้องเรียนว่าได้กระทําการทุจริตมาก
ที่สุด แต่เม่ือมีการชีม้ ูลความผิดเกิดขึน้ กลบั พบว่า เจ้าพนักงานผู้ปฏิบตั ิงานเป็ นกลุ่มท่ีถูกชีม้ ูล
ความผิดมากท่ีสดุ นอกจากนีแ้ ล้วการกระทําการทจุ ริตยงั กระจกุ ตวั อยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
มากที่สดุ อยา่ งไรก็ตาม เป็ นท่ีน่าสงั เกตวา่ เมื่อพิจารณาในเชิงพืน้ ที่จะพบวา่ ในบางพืน้ ท่ี เช่น สาม
จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เป็ นต้น เป็ นพืน้ ที่ท่ีไม่พบการถกู ชีม้ ลู ความผิดในกรณีการทจุ ริตในองค์กร
ปกครองสว่ นท้องถิ่นเลย
7.2 ลักษณะการทุจริตและการถกู ชีม้ ูลความผิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ
สําหรับข้อมลู เชิงคุณภาพซ่ึงคณะผู้วิจัยได้รับจากสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นนั้ เป็ นข้อมลู ที่ได้จากการสมั ภาษณ์เจ้าพนักงานของ
สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยเจ้าพนกั งานฯได้
สรุปข้อเท็จจริงจากสํานวนไต่สวนคดีท่ีถูกร้ องเรียนและได้รับการชีม้ ูลแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็น
ลกั ษณะการทจุ ริตและการถกู ชีม้ ลู ความผิดขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน มีรายละเอียด ดงั นี ้
7.2.1 กรณีท่ี 1 (องค์การบริหารส่วนจงั หวัดแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
ข้อเท็จจริง
ในปี พ.ศ. 2541 องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั แห่งหนงึ่ ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือได้มีการ
จดั ทําโครงการสร้างและปรับปรุงถนนลกู รังในเขตพืน้ ที่ของตนโดยใช้งบประมาณจากเงินสะสม
ขององค์การบริหารสว่ นจงั หวดั แห่งนนั้ ในการดําเนินการตามโครงการดงั กลา่ วพบความผิดปกติ
ในขัน้ ตอนของการอนุมัติเงินสะสม โดยมีการอนุมัติเงินสะสมอันเป็ นการไม่ชอบด้วยระเบียบ
กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบกิ จ่ายเงินฯ ทงั้ นี ้เน่ืองมาจากนายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั ได้
อาศยั ช่องว่างในระหว่างช่วงเวลาท่ีกําลงั จะมีการปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฉบบั เก่าเพื่อมาใช้ระเบียบฉบบั ใหม่ ซ่ึงตามระเบียบการเบิกจ่ายเงิน
ฉบบั ท่ีใช้อยใู่ นขณะนนั้ ได้กําหนดให้ในการเบกิ จ่ายเงินสะสมขององค์การบริหารสว่ นจงั หวดั นายก
องค์การบริหารส่วนจงั หวดั จะต้องขออนุมตั ิจากสภาและผู้ว่าราชการจงั หวดั เสียก่อน ในขณะที่
ระเบียบใหม่การขออนุมัติทําได้โดยเพียงแค่ความยินยอมจากสภาเท่านัน้ เมื่อนายกองค์การ
บริหารส่วนจงั หวดั ทราบถึงช่องว่างของกฎหมายดงั กล่าวจึงร่วมกบั สภา โดยเม่ือสภาอนุมตั ิแล้ว
กลบั ไม่นําเร่ืองดงั กล่าวเสนอต่อผ้วู ่าผ้วู ่าราชการจงั หวดั แต่กลบั ดึงเรื่องการขออนุมตั ิดงั กล่าวไว้
เป็ นเวลาสองเดือนเพ่ือรอให้มีการประกาศใช้ระเบียบฉบบั ใหม่ทําให้การเบิกเงินสะสมดงั กลา่ วไม่
227
ต้องถกู ตรวจสอบจากผ้วู า่ ราชการจงั หวดั และได้อาศยั ชอ่ งวา่ งนีใ้ นการอนมุ ตั กิ ารเบิกเงินจํานวน 2
ครัง้ ด้วยกนั
เมื่อมีการอนมุ ตั งิ บประมาณจากเงินสะสมแล้วก็ได้มีการดําเนินการตามโครงการสร้างและ
ปรับปรุงถนนลกู รังโดยได้แบ่งการจดั ซือ้ จดั จ้างเป็ นจํานวนสองครัง้ ด้วยกนั ซง่ึ ทงั้ สองครัง้ ผ้ทู ่ีชนะ
การแขง่ ขนั เป็ นบริษัทที่มีเครือข่ายเดียวกนั และมีความสมั พนั ธ์กบั หวั หน้าสว่ นการคลงั โดยท่ีนายก
องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั รู้เห็นเป็ นใจด้วย ในสว่ นของการจดั ซอื ้ จดั จ้างซอ่ มแซมถนนในครัง้ ที่สอง
หวั หน้าสว่ นการคลงั ได้จดั ให้ห้างห้นุ สว่ นของน้องชายของตนมาร่วมแข่งขนั กบั ห้างห้นุ สว่ นท่ีมีสามี
ของตนเป็ นห้นุ สว่ นผ้จู ดั การและทําการสมยอมราคากนั ซง่ึ ในการประกวดราคาดงั กลา่ วท่ีหวั หน้า
ส่วนการคลงั เป็ นผู้จัดทําเอกสารในการประกวดราคาให้กับเครือข่ายของตนเอง นอกจากนี ้ ใน
ขนั้ ตอนการเบิกจ่ายเงินเจ้าหน้าท่ีการเงินคนหน่ึงได้รู้เห็นเป็ นใจในการกระทําดงั กล่าวและได้ทํา
การรับรองว่าการซ่อมแซมถนนของผ้รู ับเหมาได้ดําเนินการแล้วเสร็จสิน้ แล้วซง่ึ ตรงข้ามกบั ความ
เป็ นจริงเพ่ือที่จะเบิกเงินให้กบั ผ้รู ับเหมาไปก่อนที่จะมีการตรวจรับงาน จากนนั้ ได้นําเอกสารท่ีตน
รับรองเท็จไปเสนอให้นายกองค์กรบริหารส่วนจงั หวดั และปลดั องค์การบริหารส่วนจงั หวดั ลงนาม
เพื่อเบกิ จ่ายเงิน ซงึ่ นายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั ได้ลงนามอนมุ ตั กิ ารจ่ายเงินดงั กลา่ ว แต่ปลดั
องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั ซง่ึ มีหน้าที่ต้องลงนามด้วยได้พบความผิดปกติจึงได้ทําการตรวจดงู าน
แต่กลับพบว่างานดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ จึงนําเร่ืองขึน้ ร้ องเรียนและเข้าสู่การพิจารณาของ
สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
บุคคลท่ีถูกคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ชีม้ ลู ความผิดจากเรื่องดงั กลา่ ว ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนจงั หวดั หวั หน้าส่วนการคลงั และ
เจ้าหน้าที่การเงิน โดยนายกองค์การบริหารส่วนจงั หวดั ถูกชีม้ ลู ความผิดในส่วนที่จัดหาเงินท่ีจะ
นํามาใช้ในการดําเนินโครงการไมถ่ กู ต้อง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ในส่วนของหวั หน้า
ส่วนการคลงั ถูกชีม้ ลู ความผิดทางวินยั และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบตั หิ รือละเว้นการปฏิบตั หิ น้าท่ีโดยมิชอบ หรือโดยทจุ ริต และมาตรา 162 ฐาน
เจ้าพนกั งานรับรองเอกสารเป็ นเท็จ ส่วนเจ้าหน้าที่การเงินมีความผิดทางวินยั และความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 และเป็ นผ้สู นบั สนนุ ในความผิดตามมาตรา 157 ทงั้ นี ้การ
228
ดําเนินคดีทางอาญากบั บคุ คลทงั้ สามอยใู่ นชนั้ การดําเนินการของอยั การซง่ึ ในขณะนีย้ งั ไม่ได้มีการ
สงั่ ฟ้ องแตอ่ ยา่ งใด
7.2.2 กรณีท่ี 2 (องค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
ข้อเท็จจริง
เหตเุ กิดปี พ.ศ. 2542 องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั แห่งหนงึ่ ในภาคตะวนั ออกเฉียง เหนือทํา
การจดั ซือ้ ม้งุ เพื่อแจกจา่ ยให้แก่ประชาชนเพ่ือป้ องกนั ไข้เลือดออก จํานวนประมาณ 9,250 หลงั ใน
ความเป็ นจริงม้งุ ราคาหลงั ละ 109.50 บาท แต่มีการจดั ซือ้ ในราคาท่ีแพงกว่า รวมทงั้ ใช้เงินสะสม
ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในการซือ้ ซึ่งสามารถกระทําได้ตามระเบียบแต่ไม่เหมาะสม
ก่อให้เกิดมลู คา่ ความเสยี หายเป็ นเงิน 994,560 บาท
นายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั เป็ นคนหาผ้รู ับจ้างทงั้ หมดซง่ึ จริง ๆ แล้วการจดั ซือ้ จดั จ้าง
จะมีกระบวนการท่ีมีกฎหมายกําหนดไว้แล้วอย่างชัดเจน แต่นายกฯไม่ทําขัน้ ตอนให้เป็ นไป
ตามปกติ โดยนายกฯร่วมกบั อดีตสมาชิกสภาจงั หวดั คนหนึ่งซง่ึ เป็ นพวกเดียวกนั จดั ห้างร้านขึน้ มา
ซ่ึงก่อนหน้านัน้ ไม่มีห้างร้ านนีแ้ ต่นายกฯให้คนของนายกฯเองเป็ นคนจัดตงั้ เพ่ือการนีโ้ ดยเฉพาะ
แล้วเอาเอกสารหลกั ฐานเท็จของห้างร้านอื่นมาประกอบเพ่ือให้สมบรู ณ์ในแง่ข้อกฎหมายว่ามีการ
แข่งขันราคากัน โดยบริษัทต่าง ๆ มีตวั ตนจริงแต่นายกฯนําเอกสารเท็จมาแสดง ดงั นัน้ บริษัท
(จํานวน 4 บริษัท) จงึ ไมร่ ู้เร่ืองเลย สว่ นอีกบริษัทหนงึ่ เป็ นของพวกนายกฯจดั หามา
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
มีข้อสงั เกต 2 สว่ น คือ สว่ นหน่ึงก่อนท่ีจะนําเงินมาใช้ก็จะใช้วิธีการขออนมุ ตั ิตอ่ สภา ซงึ่
ถกู ต้องตามกฎหมาย แต่ว่าอาจจะมีปัญหาในเรื่องความเหมาะสม เพราะการที่สภาจะมาใช้เงิน
สะสมของแตล่ ะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การใช้เงินสะสมก็จะมีเง่ือนไขตาม พ.ร.บ.แต่ละแห่ง
ของท้องถิ่นแตล่ ะที่วา่ ต้องมีความเดือดร้อนจําเป็ นของประชาชนในพืน้ ที่จึงจะมาขออนมุ ตั ติ อ่ สภา
ท่ีจะใช้เงินดงั กล่าวได้ เน่ืองจาก หลกั การของการใช้เงินสะสม คือ เก็บไว้ใช้ในการจําเป็ นไม่ใช่จะ
เอามาใช้อะไรก็ได้ แต่ก็ไปใช้ช่องนีก้ ่อนเพ่ือให้สภาอนุมตั ิ พอสภาอนมุ ตั ิก็จะนํามาส่กู ารทุจริตใน
การจดั ซือ้ จดั จ้าง ก็จะเป็ นการกระทําผดิ สองขนั้ ตอน
ผ้ทู ี่ถกู ดําเนินคดี คือ นายกฯและอดีตสมาชิกในทีมของนายกฯ รวมทงั้ เจ้าหน้าท่ีที่รับซอง
ประกวดราคา เนื่องจากเป็ นผ้ทู ่ีไม่มีหน้าท่ีเข้ามารับซอง แตถ่ กู นายกฯมอบหมายให้ทําหน้าที่นี ้มี
ความผิดทางอาญาสามมาตรา คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็ นเจ้าพนกั งาน มี
229
หน้าที่ซือ้ ทํา จดั การหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทจุ ริต อนั เป็ นการเสียหายแก่
รัฐ มาตรา 152 ฐานเป็ นเจ้าพนักงาน มีหน้าท่ีจัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อ
ประโยชน์สําหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนนั้ และ มาตรา 157 ฐานเป็ นเจ้าพนกั งาน
ปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบหรือโดยทุจริต ขณะนีส้ ่งฟ้ องศาลไปแล้วและอยู่
ระหวา่ งการพจิ ารณา
7.2.3 กรณีท่ี 3 (องค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
ข้อเท็จจริง
เม่ือประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 องค์การบริหารส่วนจงั หวดั แห่งหนึ่งในภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือได้มีการจดั ทําโครงสร้ างพืน้ ฐานโดยจดั ให้มีการประกวดราคาในโครงการ
ก่อสร้ างถนนลาดยางในพืน้ ที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซ่ึงได้กําหนดราคากลางไว้ท่ี
10,370,000 บาท
ในการดําเนินการประกวดราคาดังกล่าว ได้ มีการกระทําการฝ่ าฝื นระเบียบ
กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพสั ดฯุ และหนงั สือเวียนของกระทรวงมหาดไทยท่ีห้ามมิให้องค์กร
ปกครองส่วนท้องถ่ินทําการกําหนดคณุ สมบตั ิของผ้เู สนอราคาในการจดั จ้างโครงการก่อสร้างว่า
จะต้องมีเครื่องจกั ร เคร่ืองมือ และอปุ กรณ์ต่าง ๆ ในการย่ืนซองประกวดราคา แตอ่ งค์การบริหาร
สว่ นจงั หวดั แหง่ นีก้ ลบั กระทําการฝ่ าฝื นโดยการกําหนดคณุ สมบตั ดิ งั กลา่ ว
อีกทงั้ เม่ือได้มีการประกวดราคาเสร็จสิน้ แล้วนายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั กลบั ให้การ
ช่วยเหลือผ้เู สนอราคารายหนึ่งให้เข้าทําสญั ญาโดยทําการอนมุ ตั ิให้มีการจ้างผ้เู สนอราคาท่ีเสนอ
ราคาจํานวน 8,4000,000 บาท ทงั้ ที่กรรมการพิจารณาผลมิได้เห็นควรให้มีการจ้างผ้เู สนอราคา
รายดงั กลา่ วเนื่องจากไมใ่ ช่ผ้เู สนอราคาที่ตํ่าที่สดุ คือจํานวน 5,600,000 บาท จงึ เป็ นการมงุ่ หมาย
ไม่ให้มีการแข่งขนั กันอย่างเป็ นธรรม ผู้เสนอราคาที่เสนอราคาต่ําสุดที่ไม่ได้รับการอนุมัติจึงได้
ร้ องเรียนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งนัน้ มายังสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและ
ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซงึ่ จากการข้อเท็จจริงดงั กล่าวทําให้เกิดความเสียหายแต่
ราชการเป็ นจํานวนถึง 2,800,000 บาท
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชีม้ ูลว่านายก
องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั มีความผิดตามพระราชบญั ญตั วิ ่าด้วยความผิดเกี่ยวกบั การเสนอราคา
230
ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ในมาตรา 12 และมาตรา 13 อนั เนื่องมาจากกระทําการโดยม่งุ
หมายมิให้มีการแขง่ ขนั ราคาอยา่ งเป็ นธรรม เพื่อเอือ้ อํานวยแก่ผ้เู ข้าทําการเสนอราคารายใดให้เป็ น
ผ้มู ีสิทธิทําสญั ญากบั หน่วยงานของรัฐ และเน่ืองมาจากเป็ นผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองแล้ว
กระทําการใด ๆ ต่อเจ้าหน้าท่ีในหน่วยงานซง่ึ มีอํานาจหรือหน้าท่ีในการอนมุ ตั ิ การพิจารณา หรือ
การดําเนินการใด ๆ ที่เก่ียวข้องกบั การเสนอราคาเพ่ือจงู ใจหรือทําให้จํายอมต้องยอมรับการเสนอ
ราคา นอกจากนีย้ งั มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็ นเจ้าพนกั งาน
ปฏิบตั หิ รือและเว้นการปฏบิ ตั หิ น้าท่ีโดยมิชอบหรือโดยทจุ ริต ทงั้ นีเ้ร่ืองดงั กลา่ วอยรู่ ะหวา่ งการฟ้ อง
คดโี ดยพนกั งานอยั การ
7.2.4 กรณีท่ี 4 (เทศบาลนครแห่งหน่ึงในภาคกลาง)
ข้อเท็จจริง
เม่ือปี พ.ศ. 2545 ผู้ร้องเรียนซึ่งเป็ นผู้บงั คบั บญั ชาได้ร้องเรียนผ้ถู ูกกล่าวหารายหนึ่งซ่ึง
ดํารงตําแหน่งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น ซ่ึงมีอํานาจหน้าที่ในการทํารายการทะเบียนราษฎร์
ปรับปรุงแก้ไขทะเบยี นราษฎร์วา่ ได้นําบคุ คลตา่ งด้าวมาสวมช่ือคนตาย หรือคนท่ีหายสาบสญู ไปใน
รายการทะเบียนบ้าน โดยเคร่ืองมือท่ีถกู นําเข้ามากระทําความผิด คือ คอมพิวเตอร์ ใช้ Password
เข้าไปในการเปลยี่ นฐานข้อมลู ทางคอมพิวเตอร์
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
คดีนีเ้ป็ นการกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเจ้า
พนกั งานปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยมิชอบ หรือโดยทจุ ริต และมาตรา 161 ฐานเจ้า
พนกั งาน มีหน้าที่ทําเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดแู ลรักษาเอกสาร กระทําการปลอม
เอกสารโดยอาศยั โอกาสท่ีตนมีหน้าที่นนั้ ขณะนีค้ ดียงั อย่ใู นชนั้ ศาล นอกจากนีแ้ ล้วยงั มีความผิด
ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลของจังหวัด เรื่องหลักเกณฑ์และเง่ือนไขในการ
สอบสวนลงโทษทางวนิ ยั โดยถกู ไลอ่ อกแล้ว
7.2.5 กรณีท่ี 5 (เทศบาลนครแห่งหน่ึงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ข้อเท็จจริง
ในปี พ.ศ. 2545 เทศบาลนครแห่งหนึ่งในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือได้ทําการจดั ซือ้ ที่ดิน
เพื่อก่อสร้ างโรงฆ่าสตั ว์ โดยใช้วิธีการจดั ซือ้ จดั จ้างวิธีพิเศษแทนที่จะใช้วิธีประกวดราคา ในการ
231
ดําเนินการจดั ซือ้ ที่ดินดงั กล่าวได้มีการตกลงกับเจ้าของที่ดินเพื่อให้เจ้าของที่ดินขายที่ดินให้แก่
เทศบาลในราคาสงู เกินจริงแล้วนําผลต่างที่ได้จากราคาท่ีดินที่สงู เกินจริงก็นําไปให้ผู้บริหารและ
เจ้าหน้าที่เทศบาล นอกจากนี ้ในการดําเนินการดงั กลา่ วยงั ได้พบวา่ มีการตงั้ พรรคพวกของตนเอง
เป็ นคณะกรรมการเพ่ือทําหน้าที่ในการจดั ซือ้ จดั จ้างที่ดนิ นนั้
ในคดีดงั กล่าวค่แู ข่งทางการเมืองได้นําเรื่องมาร้องเรียนสํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าเจ้าหน้าท่ีพสั ดุ และผ้บู ริหารขององค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่นทําการทจุ ริต ผ้ถู กู กลา่ วหาในคดีนีไ้ ด้ต่อส้วู ่าได้ทําถกู ต้องตามระเบียบ เพราะระเบียบ
ให้อํานาจผ้บู ริหารให้สามารถท่ีจะใช้ดลุ พินิจในการบริหารท้องถิ่นในการที่จะไม่ประกวดราคามาสู่
การซอื ้ กรณีพิเศษได้ จงึ ใช้ช่องวา่ งจากดลุ พนิ ิจดงั กลา่ ว
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชีม้ ูลว่าผู้บริหาร
ท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่พสั ดุ มีความผิดตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพสั ดฯุ รวมทงั้ ผิด
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 ฐานเป็ นเจ้าพนกั งาน มีหน้าที่ซือ้ ทํา จดั การหรือรักษาทรัพย์
ใด ๆ ใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทจุ ริตอนั เป็ นการเสียหายแก่รัฐ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา
157 ฐานเจ้าพนกั งานปฏบิ ตั หิ รือละเว้นการปฏบิ ตั หิ น้าที่โดยมชิ อบหรือโดยทจุ ริต
7.2.6 กรณีท่ี 6 (เทศบาลนครแห่งหน่ึงในภาคเหนือ)
ข้อเท็จจริง
ใน พ.ศ. 2544 เทศบาลนครแห่งหนงึ่ ในภาคเหนือได้มีโครงการจดั ซือ้ จดั จ้างต้ทู ําแผนท่ี
ข้อมลู ท่องเท่ียว ระบบสอบถามข้อมลู ท่องเที่ยวผ่านสื่อต้แู ผนที่ของเทศบาลนครจํานวนประมาณ
30 ตู้ มลู คา่ รวม 25,500,000 บาท โดยวิธีประกวดราคา
ตอ่ มาได้มีการสมุ่ ตรวจจากเจ้าหน้าท่ีของสาํ นกั งานคณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ (สตง.)
จากการตรวจสอบพบว่าในวนั ที่มีการตรวจรับปรากฏว่ามีต้แู ผนท่ีข้อมลู ท่องเท่ียวตามที่ได้ทําการ
จดั ซือ้ เพียงแค่ 9 ตู้ จากจํานวน 30 ตู้ โดยตงั้ ไว้ที่เทศบาลจํานวน 2 ตู้ และตามจดุ ต่าง ๆ ในเขต
เทศบาลอีกประมาณ 7 ต้เู ทา่ นนั้ แตไ่ ด้มีการนําต้ดู งั กลา่ วมาตงั้ ไว้ภายหลงั จากท่ีมีการตรวจรับแล้ว
จึงได้มีการร้องเรียนคณะกรรมการตรวจเงินจ้าง ปลดั ผ้อู ํานวยการ หวั หน้าส่วนต่าง ๆ ปลดั ซี 9
เจ้าหน้าที่ ซี 8 และเรื่องดงั กล่าวได้เข้าส่กู ารดําเนินการของสํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และ
ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
232
สําหรับประเดน็ ท่ีวา่ ราคาของต้แู ผนท่ีข้อมลู ดงั กลา่ วสงู เกินไปหรือไม่นนั้ ไมม่ ีการร้องเรียน
ต่อสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ทางเจ้า
พนกั งานของ ป.ป.ช. ให้ตงั้ ข้อสงั เกตวา่ ถ้าตรวจสอบโครงการนีใ้ ห้ลกึ ลงไปผ้กู ระทําความผดิ ก็นา่ จะ
รวมถงึ ผ้บู ริหารท้องถิ่นซงึ่ เป็ นผ้อู นมุ ตั กิ ารจดั ซือ้ จดั จ้างด้วย
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
จากการพิจารณาของสํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีการชีม้ ลู ความผิดทางวินยั ตามพระราชบญั ญตั ิข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2553 ในมาตรา 82 วรรค 3 ประกอบมาตรา 98 วรรค 2 โดยกระทําความผิดต่อ
หน้าที่ ทจุ ริตต่อหน้าท่ี ประพฤติชว่ั ด้วยจงใจไม่ปฏิบตั ิตามกฎหมายระเบียบของทางราชการ เป็ น
ความเสียหายร้ายแรง ถือว่าการกระทําดงั กลา่ วเป็ นความประพฤติชวั่ อยา่ งร้ายแรงและกระทําผิด
ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพสั ดฯุ และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ในการ
ดาํ เนินการทางอาญาอยใู่ นชนั้ ของพนกั งานอยั การ
7.2.7 กรณีท่ี 7 (เทศบาลเมืองแห่งหน่ึงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ข้อเท็จจริง
ในปี พ.ศ. 2542 เทศบาลเมืองแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือได้จดั ทําโครงการ
ก่อสร้างถนนลาดยาง โดยจดั ให้มีการจดั ซือ้ จดั จ้างโดยวิธีประกวดราคา ปรากฏวา่ ทางเทศบาลได้
มีการกําหนดเง่ือนไขให้ผ้เู สนอราคาจะต้องมีหนงั สือรับรองเครดิตจากธนาคารโดยต้องเป็ นหนงั สือ
รับรองจากสํานกั งานใหญ่ของธนาคารท่ีตงั้ อย่ใู นกรุงเทพฯ ผ้เู ข้าร่วมประกวดราคารายหน่ึงเห็นว่า
การกําหนดเง่ือนไขดงั กล่าวเป็ นการสร้างภาระให้แก่ผ้เู ข้มร่วมในการประกวดราคาเกินควร จึงทํา
เรื่องร้องเรียนนายกเทศมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตงั้ ให้เป็ นคณะกรรมการพิจารณาผล
การประกวดราคาตอ่ สาํ นกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.)
นอกจากนีจ้ ากการไตส่ วนของเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ช.ยงั พบอีกวา่ คณะกรรมการรับและเปิ ดซอง
ประกวดราคาน่าจะมีสว่ นรู้เห็นในการกระทําดงั กลา่ วด้วยเน่ืองจากไม่ลงรายการของเอกสารและ
ใบเสนอราคาตามระเบียบพสั ดทุ ่ีกําหนดว่าคณะกรรมการรับและเปิ ดซองจะต้องลงรายละเอียด
และเสนอความเห็นในใบพจิ ารณาผลการรับซองและเปิ ดซอง
233
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้มีมติชีม้ ูลว่า
นายกเทศมนตรีในความผิดตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496 และมีมูลความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญาตามมาตรา 151 ฐานเป็ นเจ้าพนกั งานใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทจุ ริต และมาตรา
157 ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยมิชอบ หรือโดยทจุ ริต สว่ นกรณีของ
เจ้าหน้าที่ของเทศบาลมีมติว่าเจ้าหน้าท่ีของเทศบาล มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 และมีความทางวนิ ยั ร้ายแรง ตามระเบยี บข้าราชการพลเรือน 2535 มาตรา 82 วรรค 3
และ 85 วรรค 2 ประกอบพระราชกฤษฎีกาพนกั งานเทศบาล ปัจจบุ นั นีท้ างอยั การมีความเห็นควร
สงั่ ฟ้ อง สว่ นความผิดทางวินยั เทศบาลได้ทําการปลดออกและไลอ่ อก
7.2.8 กรณีท่ี 8 (เทศบาลเมืองแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ตก)
ข้อเท็จจริง
ในช่วงเวลา พ.ศ. 2541 เทศบาลเมืองแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ตกได้จดั ให้มีการจดั ซือ้ จดั จ้าง
โดยวิธีสอบราคาเพ่ือซอื ้ ยางมะตอยเพื่อนํามาใช้ในการทําถนนลาดยาง ในการดําเนินการจดั ซือ้ จดั
จ้างดงั กล่าวได้มีการประพฤติมิชอบเกิดขึน้ ในขนั้ ตอนของการตรวจรับพัสดุ โดยเจ้าหน้าท่ีของ
เทศบาลที่ได้รับการแตง่ ตงั้ เป็ นคณะกรรมการตรวจรับจํานวน 3 ท่าน ไม่ทําการตรวจรับวสั ดใุ ห้มี
ปริมาณครบถ้วนถกู ต้องตามสญั ญาจ้างทําให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลเป็ นมลู ค่าประมาณ
11,000 บาท ทางเทศบาลดงั กลา่ วจงึ ได้ร้องทกุ ข์ตอ่ พนกั งานสอบสวน แล้วพนกั งานสอบสวนจงึ สง่
เร่ืองมาให้สํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็ น
ผ้ดู ําเนินการตอ่ ไป
ในทางการไตส่ วนของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. นนั้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทําการไตส่ วนเจ้าหน้าที่ท่ีเป็ น
คณะกรรมการตรวจของเทศบาลรับทงั้ 3 ท่าน เจ้าหน้าท่ีพสั ดุ และเอกชนผ้ขู ายยางมะตอยให้แก่
เทศบาล จากการไต่สวนเจ้าหน้าท่ีพัสดุพบว่าในขัน้ ตอนการการจัดซือ้ โดยวิธีการสอบราคาไม่
พบว่ามีการทจุ ริต ส่วนการไต่สวนกรรมการตรวจรับนนั้ พบว่ามีการละเลยต่อการปฏิบตั ิหน้าท่ีใน
การตรวจรับแต่ไม่สามารถระบไุ ด้ว่าเจ้าหน้าท่ีทงั้ 3 ท่านได้รับประโยชน์จากการละเว้นการปฏิบตั ิ
หน้าที่ดงั กลา่ วหรือไม่
234
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชีม้ ูลว่ากรรมการ
ตรวจรับทงั้ 3 ท่าน มีกระทําความผิดตามข้อ 64 และข้อ 145 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่า
ด้วยการพัสดุของหน่วยงานการบริหารส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2535 และมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบ หรือ
โดยทจุ ริต และมาตรา 162 ฐานเจ้าพนกั งานรับรองเอกสารอนั เป็ นเท็จ ซึ่งในขณะนีเ้ รื่องดงั กล่าว
อยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาของศาล สาํ หรับการดาํ เนินการทางวินยั นนั้ ทาง ป.ป.ช. ได้แจ้งให้ต้นสงั กดั
ลงโทษวินยั ร้ายแรงต่อเจ้าหน้าที่ทงั้ 3 ราย แต่ปรากฏว่าได้รับการล้างมลทินตามพระราชบญั ญตั ิ
ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 ไปแล้ว
7.2.9 กรณีท่ี 9 (เทศบาลเมืองแห่งหน่ึงในภาคกลาง)
ข้อเท็จจริง
เหตเุ กิดขนึ ้ ในปี พ.ศ. 2546 ผ้อู ํานวยการกองการศกึ ษาของเทศบาลเมืองแห่งหนง่ึ ในภาค
กลางถูกกล่าวหาว่าปลอมเอกสารการเบิกจ่ายเงินในช่วงงานวนั สงกรานต์ โดยทําการเบิกจ่าย
มากกวา่ วงเงินที่ได้รับอนมุ ตั ิ
พฤติการณ์ที่ปรากฏ คือ เจ้าหน้าที่ของเทศบาลได้ตงั้ เรื่องเบิกซือ้ ของ เช่น เคร่ืองนุ่งห่ม
นํา้ แข็ง เป็ นต้น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้จัดหาใบเสร็จมาเบิกจ่ายเงินแต่ตรวจสอบพบ
ภายหลงั ว่าเป็ นใบเสร็จปลอม รวมทงั้ วงเงินที่เบิกจ่ายไปก็สงู กว่าวงเงินที่ได้รับอนมุ ตั ิและวงเงินท่ี
ขอเบกิ ตลอดจนไมม่ ีสิ่งของปรากฏตามรายการที่ขอเบกิ จ่าย ภายหลงั สภาท้องถ่ินได้ทําการตรวจ
พบและส่งเร่ืองมาให้สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
พิจารณา
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
คณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้ชีม้ ลู ความผิดว่า คือ
ผู้อํานวยการกองการศึกษามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็ นเจ้า
พนกั งานใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทจุ ริต มาตรา 152 ฐานเป็ นเจ้าพนกั งานเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อ
ประโยชน์สําหรับตนเองหรือผ้อู ื่น มาตรา 157 ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบตั หิ น้าที่
235
โดยมชิ อบ หรือโดยทจุ ริต มาตรา 162 ฐานเจ้าพนกั งานรับรองเอกสารอนั เป็ นเท็จ และ มาตรา 166
ฐานเจ้าพนกั งานละทิง้ งานหรือกระทําการอยา่ งใด ๆ เพื่อให้งานหยดุ ชะงกั หรือเสียหาย
7.2.10 กรณีท่ี 10 (เทศบาลตาํ บลแห่งหน่ึงในภาคเหนือ)
ข้อเท็จจริง
ในช่วงเวลา พ.ศ. 2541 เจ้าพนกั งานการเงินและบญั ชีของเทศบาลตําบลแห่งหน่ึงใน
ภาคเหนือได้ทําการยกั ยอกเงินของเทศบาลแห่งนนั้ หลายครัง้ โดยปลอมรายมือช่ือผ้เู บกิ จ่ายในเช็ค
แล้วก็เบกิ เงินเอามาเป็ นของตนเองประมาณ 90,000 กวา่ บาท
ผลการชีม้ ูลของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)
การดําเนินการของสํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) เริ่มจากการรับเร่ืองจากตํารวจ เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความ แล้วตํารวจส่งสํานวนมายงั
ป.ป.ช. ซ่ึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชีม้ ูลว่าเจ้าหน้าที่ดงั กล่าวได้กระทําความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 147 ฐานเจ้าพนกั งานยกั ยอกทรัพย์ มาตรา 157 ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบตั ิ
หรือละเว้นการปฏิบตั หิ น้าท่ีโดยมิชอบ หรือโดยทจุ ริต มาตรา 161 ฐานเจ้าพนกั งานปลอมเอกสาร
และ มาตรา 162 ฐานเจ้าพนกั งานรับรองเอกสารอนั เป็ นเท็จ
จากที่กล่าวมาทัง้ หมดข้างต้นในส่วนของข้อมูลเชิงคุณภาพที่คณะผู้วิจัยได้รับจาก
สํานักงานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สะท้อนให้เห็น
ลกั ษณะการทุจริตและการถูกชีม้ ูลความผิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบท่ัวไปของ
ประเทศไทย ซง่ึ สามารถสรุปได้วา่ การทจุ ริตที่เกิดขนึ ้ ในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นของประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั และเทศบาลนนั้ เป็ นการทจุ ริตในเร่ืองการจดั ซือ้ จดั
จ้างและการจัดทําโครงสร้ างพืน้ ฐานแทบทัง้ สิน้ ซ่ึงในส่วนของการจัดซือ้ จัดจ้างนัน้ มกั จะมีการ
ทุจริตในกรณีของการใช้วิธีพิเศษ เน่ืองจากกฎหมายเปิ ดโอกาสให้ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถใช้
ดุลพินิจในการจัดซือ้ จัดจ้างด้วยวิธีการนีไ้ ด้ อีกทัง้ มีการขออนุมัติใช้เงินสะสมในลักษณะท่ีไม่
เหมาะสม โดยจะกลา่ วถึงประเดน็ นีอ้ ีกครัง้ ในสว่ นตอ่ ไป นอกจากนีแ้ ล้วในกรณีขององค์กรปกครอง
สว่ นท้องถ่ินที่มีงบประมาณเป็ นจํานวนมาก เช่น องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั เทศบาลนคร เป็ นต้น
มกั จะพบการทจุ ริตท่ีมีวธิ ีการท่ีสลบั ซบั ซ้อนและมีมลู คา่ ความเสียหายมากกวา่ องค์กรปกครองสว่ น
ท้องถิ่นท่ีมีงบประมาณน้อย อีกทงั้ การทจุ ริตที่เกิดขึน้ ในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นนนั้ มีลกั ษณะ
236
การกระทําที่เป็ นเครือขา่ ยหรือขบวนการ กลา่ วคือ ผ้กู ระทําความผิดในคดีหนึ่ง ๆ มีมากกวา่ 1 คน
แทบทงั้ สนิ ้ ซง่ึ ข้อมลู ในสว่ นนีส้ อดคล้องกบั ข้อมลู เชิงปริมาณท่ีได้นําเสนอมาแล้วข้างต้น
7.3 การทจุ ริตในการจดั ซือ้ จดั จ้างและการจดั ทาํ โครงสร้างพนื้ ฐาน
การศกึ ษาวจิ ยั ครัง้ นี ้คณะผ้วู ิจยั ได้ทําการสมั ภาษณ์เชิงลกึ (In-depth Interview) กบั กลมุ่
ตวั อยา่ งท่ีคดั เลือกจากพืน้ ที่เป้ าหมายในการศกึ ษาซง่ึ มีอยดู่ ้วยกนั 20 พืน้ ที่ ซงึ่ ประกอบด้วย
1) นักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการส่วนท้องถ่ิน ตลอดจนลูกจ้างขององค์กรปกครอง
สว่ นท้องถิ่น ได้แก่ นายกองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั , นายกเทศมนตรี, นายกองค์การบริหารสว่ น
ตําบล, ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด, สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด,
ประธานสภาเทศบาล, สมาชิกสภาเทศบาล, ประธานสภาองค์การบริหารสว่ นตําบล, สมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนตําบล, ปลดั องค์การบริหารส่วนจงั หวดั , ปลดั เทศบาล, ปลดั องค์การบริหาร
สว่ นตําบล, ผ้อู ํานวยการกอง/สํานกั การคลงั , เจ้าหน้าท่ีสว่ นการคลงั , ผ้อู ํานวยการกอง/สํานกั การ
สาธารณสขุ , เจ้าหน้าที่สว่ นการสาธารณสขุ , ผ้อู ํานวยการกอง/สํานกั การช่าง, เจ้าหน้าที่สว่ นการ
ช่าง, หัวหน้าสํานักงานปลัด (ดูแลในเร่ืองของการบริหารงานบุคคล), เจ้าหน้าท่ีในส่วนของ
สาํ นกั งานปลดั (ดแู ลในเร่ืองของการบริหารงานบคุ คล) แห่งละ 5-7 คน
2) ภาคเอกชนที่ประกอบธรุ กิจเก่ียวข้องกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง
ในส่วนของการจดั ซือ้ จดั จ้าง การจัดทําโครงสร้ างพืน้ ฐาน และการออกใบอนุญาต แห่งละ 1-2
ธรุ กิจ
3) บุคคล/กลุ่ม/องค์กรชุมชนท่ีดําเนินกิจกรรมเก่ียวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในส่วนของการจัดซือ้ จัดจ้าง การจัดทําโครงสร้ างพืน้ ฐาน และการออก
ใบอนญุ าต แห่งละ1-2 บคุ คล/กลมุ่ /องค์กรชมุ ชน
นอกจากนีแ้ ล้ว คณะผ้วู จิ ยั ยงั ได้คดั เลือกกลมุ่ ตวั อยา่ งจากบคุ ลากรของหน่วยงานตา่ ง ๆ ที่
ดําเนินงานสมั พนั ธ์เกี่ยวข้องกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น ดงั นี ้
1) สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) สมั ภาษณ์
เจ้าพนักงานท่ีดําเนินการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการร้ องเรียนและการตรวจสอบการทุจริตของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างย่ิงเจ้าพนกั งานท่ีเป็ นผู้ดแู ลคดี/พืน้ ที่เป้ าหมายของ
การศกึ ษาทงั้ 20 พืน้ ท่ี รวมทงั้ เจ้าพนกั งานท่ีรับผิดชอบงานในสว่ นข้อมลู วิชาการของตา่ งประเทศ
นอกจากนีแ้ ล้วยงั มีการสมั ภาษณ์คณะกรรมการผ้ทู รงคณุ วฒุ ิของสํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั
และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย
237
2) สํานกั งานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สมั ภาษณ์ข้าราชการที่ดแู ลในส่วน
ของฝ่ ายกฎหมาย
3) ผ้ตู รวจการแผน่ ดนิ สมั ภาษณ์ผ้ตู รวจการแผน่ ดนิ
4) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน สัมภาษณ์ผู้บริหารในระดับผู้อํานวยการสํานักที่
รับผดิ ชอบงานในสว่ นของการจดั ซือ้ จดั จ้าง การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน การบริหารงานบคุ คล และ
ฝ่ ายกฎหมายและรับเรื่องร้องเรียน
5) สํานกั งานสง่ เสริมการปกครองท้องถ่ินจงั หวดั สมั ภาษณ์ท้องถ่ินจงั หวดั รวมทงั้ หวั หน้า
ส่วนการคลงั หวั หน้าส่วนมาตรฐานกฎหมายและรับเรื่องร้ องเรียน หวั หน้าส่วนการบริหารงาน
บคุ คล (ในบางแห่งได้มีการมอบหมายให้ผ้ปู ฏิบตั ิงานเป็ นผ้ใู ห้ข้อมลู แทน) โดยเน้นเฉพาะจงั หวดั ที่
เป็ นท่ีตงั้ ของพืน้ ท่ีเป้ าหมายองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น
6) สมาคมองค์การบริหารสว่ นตําบลแห่งประเทศไทย สมั ภาษณ์ตวั แทนท่ีได้รับมอบหมาย
จากสมาคมองค์การบริหารสว่ นตาํ บลแหง่ ประเทศไทย
7) สมาคมสนั นิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมั ภาษณ์ตวั แทนท่ีได้รับมอบหมายจาก
สมาคมสนั นิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย
8) นกั วิชาการ สมั ภาษณ์นกั วิชาการที่สอนหนงั สือในมหาวิทยาลยั ซึ่งมีความเช่ียวชาญ
และมีผลงานทางวชิ าการเก่ียวข้องกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน
9) ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ สมั ภาษณ์ข้าราชการบํานาญซง่ึ มีความรู้ ความเช่ียวชาญเกี่ยวกบั องค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ิน โดยมีประสบการณ์เป็ นอาจารย์ในมหาวทิ ยาลยั ผ้บู ริหารองค์กรปกครองสว่ น
ท้องถ่ิน และเป็ นคณะกรรมการท่ีเก่ียวข้องกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน
อนึ่ง นอกเหนือจากกลมุ่ ตวั อย่างทงั้ สองสว่ นข้างต้นแล้ว คณะผ้วู ิจยั ตระหนกั ดีวา่ ประเด็น
ในการศกึ ษาครัง้ นีเ้ ป็ นเรื่องที่ละเอียดอ่อน รวมทงั้ ข้อจํากดั ในการเข้าถึงและการตรวจสอบข้อมลู
ดงั นัน้ เพื่อให้ได้ผลการศึกษาวิจัยท่ีมีความละเอียด ครบถ้วน และถูกต้อง คณะผู้วิจัยได้มีการ
สมั ภาษณ์กลมุ่ ตวั อย่างเพ่ิมเติมจากสองสว่ นข้างต้น กลา่ วคือ ในการจดั เวทีระดมความคิดเห็นนนั้
ผู้เข้าร่วมเวทีบางส่วนได้ให้ข้อมลู ตลอดจนแสดงความคิดเห็นที่เป็ นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัย
เป็ นอย่างมาก ซง่ึ ผ้เู ข้าร่วมเวทีเหล่านีบ้ างสว่ นมาจากพืน้ ที่เป้ าหมายและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องซง่ึ
คณะผู้วิจัยได้สัมภาษณ์มาแล้ว แต่ในครัง้ นัน้ ๆ ไม่ได้มีการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมเวทีดังกล่าว
ในขณะที่ผ้เู ข้าร่วมเวทีบางสว่ นไมไ่ ด้อยใู่ นพืน้ ท่ีและหน่วยงานเป้ าหมายของคณะผ้วู ิจยั ดงั นนั้ เม่ือ
การจัดเวทีเสร็จสิน้ ลง คณะผู้วิจัยได้ประสานงานไปยังผู้เข้าร่วมเวทีเหล่านัน้ เพ่ือขอความ
238
อนเุ คราะห์เข้าสมั ภาษณ์เพิ่มเติม ซงึ่ ได้รับความร่วมมือเป็ นอย่างดี สง่ ผลให้มีกลมุ่ ตวั อย่างเพิ่มขนึ ้
จากท่ีได้กําหนดเอาไว้ในเบือ้ งต้น โดยผลการศกึ ษาสามารถสรุปได้ดงั นี ้
ปัญหาการทจุ ริตในการจดั ซือ้ จดั จ้างขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน ยงั คงเป็ นปัญหา
ใหญ่ของประเทศไทย โดยเม่ือเวลาผ่านไปย่ิงมีกลโกงและวิธีการทุจริตที่แยบยลมากขึน้ เรื่อย ๆ
ผ้มู ีส่วนร่วมในการทจุ ริตมีตงั้ แตฝ่ ่ ายธุรการระดบั ลา่ งจนถึงข้าราชการระดบั สงู รวมทงั้ นกั การเมือง
ท้องถิ่น จากข้อมลู ที่คณะผ้วู ิจยั ได้สมั ภาษณ์เจ้าพนกั งานท่ีมีหน้าที่เกี่ยวข้องกบั การรวบรวมข้อมลู
คดี รวมทงั้ ผ้มู ีสว่ นเกี่ยวข้องอ่ืน ๆ พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเก่ียวกบั การทจุ ริตในการจดั ซือ้ จดั จ้าง
และการจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐานขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินรูปแบบทว่ั ไปในประเทศไทย ดงั นี ้
7.3.1 ความถ่ีในการทจุ ริต
ผ้ใู ห้ข้อมลู ต่างให้ความเห็นในทางเดียวกนั ว่าการจดั ซือ้ จดั จ้างมีการทจุ ริตมากท่ีสดุ โดย
สามารถกระทําการทจุ ริตได้ในทกุ วิธีการ ไม่ว่าจะเป็ นวิธีตกลงราคาวิธีสอบราคา วิธีประกวดราคา
วิธีพเิ ศษ และวิธีกรณีพิเศษ ตลอดจนสามารถกระทําการทจุ ริตได้ในทกุ ขนั้ ตอนของการดําเนินการ
ด้วยข้อเท็จจริงดงั กล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าข้อมลู ภาคสนามในส่วนนีม้ ีความสอดคล้องกับ
ข้อมลู เชิงปริมาณท่ีคณะผ้วู ิจยั ได้นําเสนอมาแล้วข้างต้น กลา่ วคือ สํานกั ปราบปรามการทจุ ริตภาค
การเมือง 2 สํานกั งานคณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้
รวบรวมคดีท่ีถูกชีม้ ูลความผิดเกี่ยวกับการทุจริตในด้านการจัดซือ้ จัดจ้าง การจัดทําโครงสร้ าง
พืน้ ฐาน การบริหารงานบุคคล และการออกใบอนุญาต ขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งองค์การบริหารส่วนจงั หวดั เทศบาล และองค์การบริหารสว่ นตําบลในประเทศ
ไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2547-2552 พบการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยใน
เรื่องการจดั ซือ้ จดั จ้างมากที่สดุ จํานวน 25 คดี จากจํานวนทงั้ สิน้ 63 คดี รองลงมาในจํานวนท่ี
ใกล้เคยี งกนั คือ การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน จํานวน 20 คดี
ข้อเท็จจริงดงั กล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของโกวิทย์ พวงงาม4 ที่ได้รวบรวมข้อมูล
เก่ียวกับการทุจริตซึ่งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ศึกษาสาเหตุและปัจจัยท่ี
ก่อให้เกิดปัญหาการคอร์รัปชน่ั ในสงั คมไทย โดยสํารวจความคิดเห็นของผ้นู ําภาคประชาชนทกุ
4 โกวิทย์ พวงงาม, รายงานการวิจยั เร่ือง “แนวทางการพฒั นาและเสริมสร้างกลไกการป้ องกนั ทจุ ริต
ในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน”, ได้รับทนุ สนบั สนนุ จากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย
ประจําปี 2549.
239
จงั หวดั ๆ ละ 100 คน รวม 7,191 คน ในปี 2547 พบว่า การทจุ ริตที่ประชาชนพบเห็นมากที่สดุ
ได้แก่ การฮวั้ ประมลู ในการจดั ซือ้ จดั จ้างของทางราชการ
7.3.2 ประเภทของกจิ กรรม/โครงการท่ที าํ การทจุ ริต
หากพิจารณาในรายละเอียดเก่ียวกับประเภทของกิจกรรม/โครงการท่ีมีการทุจริตใน
กระบวนการจดั ซือ้ จดั จ้างจะพบว่า การจดั ซือ้ จดั จ้างปรากฏในกิจกรรม/โครงการท่ีหลากหลาย
เช่น กิจกรรม/โครงการเพ่ือส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน กิจกรรม/โครงการด้ าน
สาธารณูปโภค เป็ นต้น เมื่อเป็ นเช่นนีแ้ ล้วการจัดซือ้ จัดจ้างจึงมีความเก่ียวข้องกับการจัดทํา
โครงสร้างพืน้ ฐานด้วย กล่าวคือ การจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐานจะต้องเริ่มจากการดําเนินการจดั ซือ้
จดั จ้างก่อนจากนนั้ จึงเข้าส่ขู นั้ ตอนของการทําสญั ญา การควบคมุ และตรวจรับงาน ไปจนถึงการ
เบิกจ่ายเงิน ดังนัน้ สามารถกล่าวได้ว่าการทุจริตในเรื่องการจัดซือ้ จัดจ้างมีความเชื่อมโยง
เก่ียวข้องสมั พนั ธ์กบั การทจุ ริตในการจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐานด้วย
อน่ึง เมื่อกล่าวถึงการทุจริตในกระบวนการจดั ซือ้ จดั จ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นนั้ ผลการศกึ ษาที่ผ่านมาส่วนหน่ึงมกั มีข้อสรุปว่าการทจุ ริตเก่ียวกบั การจดั ซือ้ จดั จ้างมกั จะเป็ น
การทจุ ริตในกระบวนการจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐาน เช่น การสร้าง ซ่อมบํารุงถนน ไฟฟ้ า นํา้ ประปา
เป็ นต้น ซง่ึ ข้อเท็จจริงนีป้ รากฏมาอยา่ งยาวนานตงั้ แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั อาทิ ข้อมลู จากบทความ
เรื่อง “เทคนิคการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน”5 ได้ระบวุ ่าการทุจริตในการจดั ซือ้ จดั จ้าง
ด้วยการตกลงราคาขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในประเทศไทยมกั จะเป็ นการจดั ซือ้ ครุภณั ฑ์
และงานก่อสร้างท่ีมีวงเงินคา่ ก่อสร้างไมม่ ากนกั เช่น การถมลกู รัง การซอ่ มแซมถนนคอนกรีต เป็ นต้น
เม่ือพิจารณาเกี่ยวกบั การทุจริตในเรื่องการจดั ซือ้ จดั จ้างเพ่ือดําเนินการในกิจกรรมด้าน
โครงสร้างพืน้ ฐาน พบว่า มีการกระทําในลกั ษณะที่เป็ น “เครือข่าย” กล่าวคือ ในแต่ละพืน้ ท่ีจะมี
ห้างร้ าน/ผู้ประกอบการท่ีเป็ นที่รู้จักกันดีในแวดวงการก่อสร้ างว่าเป็ นผู้มีความสามารถในการ
ประมลู เพ่ือให้ได้โครงการมาดําเนินการ
5 (ออนไลน์) เข้าถงึ เม่ือวนั ที่ 10 กนั ยายน 2554, จาก http://board.dserver.org
240
“.....การทุจริตที่เกิดขึน้ ในการจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐานนนั้ มีการทําเป็ นขบวนการ โดยใน
แตล่ ะภาคจะมีเจ้าพอ่ ท่ีคมุ อยู่ เจ้าพอ่ จะมีลกู ขา่ ยกระจายอยใู่ นจงั หวดั ตา่ ง ๆ โดยในแตล่ ะจงั หวดั
ก็จะมีผ้คู วบคมุ ดแู ลแยกออกไปอีก มนั จะเป็ นระดบั แบบนี ้ ดงั นนั้ เม่ือมีการประกวดราคา สอบ
ราคา หรือแม้แตต่ กลงราคา ผ้ทู ่ีอยใู่ นเครือขา่ ยจะรู้กนั เขาจะคยุ แบง่ กนั เอง....”
ผบู้ ริหารของกรมสง่ เสริมการปกครองทอ้ งถิ่น, สมั ภาษณ์ 7 ธนั วาคม 2553
“....ในบางพืน้ ที่นนั้ การดําเนินธุรกิจการก่อสร้างมนั แคบ ในพืน้ ท่ีจะมีเจ้าพ่อใหญ่ในการ
ควบคมุ ดแู ล คนต่างพืน้ ที่มาประมลู แม้ในจงั หวดั เดียวกันก็ยงั มีความยากลําบากในการเข้ามา
ประมลู ยิ่งตา่ งพืน้ ที่ ตา่ งจงั หวดั ยง่ิ เจอศกึ หนกั มนั มีผ้มู ีอทิ ธิพลในการขายวสั ดกุ ่อสร้าง หรือแม้แต่
คนที่เค้าทํางานในพืน้ ที่ ทํางานก่อสร้าง ยงั หาลกู จ้างไมไ่ ด้ ต้องไปขนคนจากท่ีอ่ืนมาทํา....”
นกั วิชาการในมหาวิทยาลยั แห่งหนึ่ง, สมั ภาษณ์ 17 มกราคม 2554
จากข้อเท็จจริงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการทจุ ริตในการจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐานมีผ้ทู ี่เข้า
มาเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็ นผู้บริหารท้องถ่ิน ข้าราชการ พนกั งาน ภาคประชาชน รวมทัง้
ผ้ปู ระกอบการ ดงั นนั้ การป้ องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในส่วน
ของการจดั ทําโครงสร้างพืน้ ฐานจงึ ต้องพิจารณามาตรการให้ครอบคลมุ กลมุ่ บคุ คลเหลา่ นี ้
อนง่ึ จากการสํารวจภาคสนาม พบวา่ ผ้ใู ห้ข้อมลู สว่ นหน่ึงจากองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน
ชีว้ ่าในปัจจุบันการทุจริตในเรื่องการจัดซือ้ จัดจ้างมีการปรับเปล่ียนในประเภทของกิจกรรม/
โครงการ กลา่ วคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายงบประมาณโดยเน้นไปที่
กิจกรรมประเภททศั นศกึ ษา กิจกรรมบนั เทิง ตลอดจนกิจกรรมสง่ เสริมศลิ ปวฒั นธรรม เพ่ิมมากขนึ ้
สาเหตทุ ่ีเป็ นเช่นนี ้เน่ืองจากกิจกรรม/โครงการดงั กลา่ วมีลกั ษณะท่ีเป็ นกิจกรรม/โครงการด้านการ
บริการ ซ่ึงวสั ดอุ ุปกรณ์ พสั ดทุ ี่ใช้มีลกั ษณะใช้แล้วหมดไป ซ่ึงตรวจสอบได้ยาก ประกอบกับเป็ น
กิจกรรม/โครงสร้ างที่สร้ างความบันเทิง ความพึงพอใจให้กับประชาชน และสามารถเข้าถึง
ประชาชนกลุ่มเป้ าหมายได้อย่างชัดเจน รวดเร็ว จํานวนมาก อนั เป็ นการสร้ างฐานเสียงให้กับ
นักการเมืองท้องถ่ินอีกทางหนึ่ง ดงั นัน้ ในปัจจุบนั องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงนิยมหันมาทํา
กิจกรรม/โครงการประเภทนีก้ นั เพม่ิ มากขนึ ้
“....อาจารย์ลองลงไปดโู ครงการพวกพาไปเที่ยวสิ ตอนนีพ้ วกองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น
เขาทจุ ริตช่องทางนีเ้ ยอะมาก ทกุ ที่ต้องพาไปเที่ยว โดยเฉพาะพวกท่ีเป็ นหวั คะแนน กล่มุ /ชมรมใน
ชมุ ชน หรือพวกผ้สู งู อายุ เดก็ ๆ ไมค่ อ่ ยได้ไปหรอก เพราะ เลอื กตงั้ ไมไ่ ด้....”
ขา้ ราชการของเทศบาลเมืองแห่งหน่ึง, สมั ภาษณ์ 23 กนั ยายน 2553
241
“....การจดั ซอื ้ จดั จ้างจากประสบการณ์ของผมจะเป็ นเรื่องการซือ้ พวกหนงั สือไปแจก ยิ่งถ้า
เป็ นหนงั สือเก่ียวกบั เจ้านาย ราชวงศ์ พวกองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นจะชอบมาก เปอร์เซ็นต์ที่เรา
ต้องจ่ายให้เขาประมาณ 50 เปอร์เซน็ ต์ ที่เคยจ่ายมากที่สดุ คือ 55 เปอร์เซ็นต์ เขาจะถามเราก่อน
เลยว่าเราจะสง่ ของทนั ไหม เรามีเงินสดเตรียมไว้พอจ่ายเขาหรือเปลา่ วนั ท่ีสง่ มอบของเขาจ่ายเช็ค
ให้เรา แตเ่ ราต้องเอาเงินสดไปแลกกบั เขา....”
“....พวกอปุ กรณ์กีฬา เสือ้ กีฬา ก็มีการทุจริตมาก เฉลี่ย 20-30 เปอร์เซ็นต์ เขา (องค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ิน) จะชอบสง่ั ซือ้ มาก....”
ผูป้ ฏิบตั ิงานในองค์กรแห่งหนึ่ง, สมั ภาษณ์ 27 ธนั วาคม 2553
ข้อมลู ดงั กลา่ วข้างต้นสอดคล้องกบั การให้สมั ภาษณ์ของผ้บู ริหารท่านหน่ึงของหน่วยงาน
ตรวจสอบ คือ สํานักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ระบุว่า สตง.ทราบถึงการ
เปล่ียนแปลงรูปแบบกิจกรรม/โครงการท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบนั กระทําการทุจริต
ด้านการจัดซือ้ จัดจ้างแล้ว โดยพบว่ามีการทุจริตในกิจกรรม/โครงการด้านการบริการมากขึน้
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น การจดั งานต่าง ๆ ที่มีคา่ ใช้จ่ายเกินความจําเป็ น เป็ นต้น อาจไม่ใช่
เร่ืองของการทจุ ริต แต่เป็ นการกระทําที่ไม่เหมาะสม ซงึ่ เม่ือเจ้าพนกั งานของ สตง. ตรวจพบก็จะมี
มาตรการในการดําเนินการเพื่อเป็ นการป้ องปราม เช่น การตกั เตือน การตงั้ กรรมการสอบสวน
การเรียกเงินคืน เป็ นต้น
“สง่ิ ท่ีเราตรวจเจอ เช่น องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นไปจ้างเหมาวงดนตรีมาบรรเลงเปิ ดงาน
หรือจ้างนกั ร้องชื่อดงั หลายคนมาแสดงดนตรีในคราวเดียวกัน เป็ นต้น ซ่ึงมีค่าใช้จ่ายเกิดขึน้ มาก
เกินความจําเป็ น เราก็ท้วงไป ท้วงไว้เยอะนะ เนื่องจากเป็ นการนําเงินงบประมาณแผ่นดินมาใช้
อยา่ งไมม่ ีประสทิ ธิภาพ”
“หากมีการท้วงไปแล้ว องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินตอบคําถามไม่ได้ หรือตอบมาอย่างไม่
สมเหตผุ ล ก็อาจมีการพจิ ารณาเรียกเงินคนื ”
ผูบ้ ริหารของสํานกั งานคณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน (สตง.), สมั ภาษณ์ 12 ธนั วาคม 2553
ในอีกทางหน่ึง ผ้บู ริหารของสํานกั งานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ท่านนีไ้ ด้ให้
ทัศนะว่าการทุจริตนัน้ ต้องพิจารณาจาก “เจตนา” เป็ นสําคัญ ดังนัน้ ในหลายกรณีท่ีมีการ
ดําเนินการเช่นเดียวกนั เมื่อพิจารณาจากหลกั ฐาน รายละเอียดตา่ ง ๆ แล้ว สามารถสรุปได้วา่ การ
กระทํานัน้ เป็ นการทุจริต ขณะท่ีการกระทําในลักษณะเดียวกันอาจไม่ใช่การทุจริต ซึ่งในเร่ือง