มลิ ินทปญหา
นมสั การ พระผมู ีพระภาคเจา ผูเปน พระอรหนั ต สมั มาสมั พุทธะพระองคนนั้ .
อารมั ภคาถา
พระเจา แผน ดินในสาคลราชธานี อนั ทรงพระนามวา มิลนิ ท ไดเ สด็จไป
หาพระนาคเสน, เหมือนนาํ้ ในคงคาไหลไปสมู หาสมทุ ร ฉะนั้น. ครน้ั พระองค
เสด็จถงึ แลวไดตรัสถามปญ หาอนั ละเอียด ในเหตุที่ควรและไมค วรเปน อัน
มาก กะพระนาคเสน ซ่ึงเปน ผกู ลา วแกไพเราะ มปี ญญาสามารถทีจ่ ะบรรเทา
ความหลง ดุจสอ งคบเพลงิ บรรเทามืดเสียฉะนัน้ ท้ังคาํ ปจุ ฉาและวสิ ัชนาลว น
อาศยั อรรถอันลึกซง้ึ นา เปนที่พงึ ใจและใหเ กดิ สขุ แกโ สตประสาท เปน
อัศจรรยใ หชูชนั โลมชาตขิ องผูสดบั . ถอ ยคาํ ของพระนาคเสนเถรเจา ไพเราะ
โดยอปุ มาและนยั หยงั่ ลงในพระอภธิ รรมและพระวนิ ัย ประกอบดว ยพระสตู ร.
ขอทานทงั้ หลายจงสง ญาณไปทาํ อัธยาศยั ใหรา เรงิ ยนิ ดี ในกถามรรค
น้นั แลว, จงสดบั ปญ หาซงึ่ เปน เคร่ืองทาํ ลายเหตุทตี่ ้ังแหง ความสงสัย อยา ง
ละเอยี ดนเี้ ทอญ.
พาหิรกถา
คาํ ทไี่ ดกลาวนนั้ เปนฉนั ใด ? ดังไดส ดับสบื ๆ กนั มาวา ยงั มรี าชธานี
หนงึ่ ช่อื วา สาคลนคร เปนที่ประชมุ แหง การคา ขาย, เปนทเ่ี ปด หอหบี สนิ คา
ตา ง ๆ ออกจาํ หนา ยของชนชาวโยนก, เปนภูมปิ ระเทศทีน่ า สนกุ ยนิ ด,ี มแี มน ้าํ
และภูเขาประดับใหง ดงาม, สมบูรณดว ยสวนไมมีผล ไมม ีดอก, ปา ละเมาะ
คลองนํ้าและสระโบกขรณี, เปนทนี่ า สนุกดวยแมน า้ํ ภูเขาและปา ไม อนั
พระเจา สุตวันตบ รมราชทรงสรา งไวเ ปน ทปี่ อ งกันหมูป จ จามิตรไมใหเขา ไป
เบียดเบียนได; มีปอมปราการมน่ั วจิ ติ รอยา งตาง ๆ, มหี อรบและประตูอนั มั่น
คง, มคี ูลึก, มกี าํ แพงโบกปนู ขาวลอมรอบพระราชวงั , มถี นนหลวงและสนาม,
ทางส่ีแยก สามแยก, จําแนกปนเปน ระยะพอเหมาะด;ี มีตลาดเต็มดว ยสิ่งของ
เคร่ืองใชอยางดีหลายอยา งตาง ๆ ท่ตี ง้ั ขาย, มีโรงทานตา ง ๆ อยา งหลายรอ ย
หลังประดบั ใหง ดงาม; อรามดว ยยอดเรือนหลายแสนหลงั ดังยอดแหง เขา
หมิ าลยั ประดบั แลว , เกลือ่ นกลน ดว ยพลชา งมา รถและทหารเดนิ เทา , มหี มู
ชายหญิงทมี่ รี ปู งามเทีย่ วเดนิ สลอน, เกลือ่ นกลน ดว ยหมคู น, มีชนทีเ่ ปน
ชาตกิ ษัตรยิ ชาติพราหมณ ชาติแพศย ชาตศิ ูทร เปนอนั มากหลายชนดิ , มีหมู
สมณพราหมณตาง ๆ เพศตา ง ๆ วงศเบยี ดเสียดกัน, เปนท่ีอนั คนมวี ชิ ชา
ความรูแ ละผกู ลา หาญ อยอู าศยั แลวเปน อนั มาก; สมบรู ณดว ยรา นขายผา
อยา งตา ง ๆ : มผี า ทท่ี อในเมอื งกาสแี ละผา ท่ที อในเมอื งกฏุ มพรเปน ตน , หอม
ตลบดว ยกลนิ่ หอม ท่ฟี งุ ไปจากรานขายดอกไมหอมและเครอ่ื งหอมหลาย
อยางทงี่ ดงาม และออกเปน ระยะอันด;ี บรบิ รู ณดว ยรัตนะท่คี นปรารถนาเปน
อันมาก, มีหมพู อ คา ทมี่ ัง่ คง่ั ซงึ่ ตัง้ หางขายของในประเทศใหญใ นทิศนน้ั ๆ
เท่ียวอยสู ลอน, บรบิ รู ณด ว ยกหาปณะเงนิ ทองโลหะและเพชรพลอย, เปนทอ่ี ยู
แหง แรซ่ึงเปน ขมุ ทรัพยอนั สกุ ใส มีธัญญาหารและเคร่อื งมอื สาํ หรับทีเ่ ปน
อุปการใหเ กดิ ทรพั ยสมบตั ิ เปน อนั มาก, มคี ลังและฉางเตม็ บรบิ รู ณ, มีขา วนา้ํ
และขัชชะโภชชาหารของควรด่มื ของควรจบิ ควรลิ้มมากอยา ง, สมบรู ณดว ย
ธญั ญาหารดุจกุรุทวีป, (ประกอบดว ยสมบตั ิเห็นปา นน)ี้ เหมอื นเมอื งสวรรค
อันมนี ามวา อาฬกมันทาเทพนคร.
ควรหยดุ ไวเพยี งเทานี้ แลว กลาวบุรพกรรมของพระเจา มลิ ินทและพระ
นาคเสนกอ น, กเ็ มื่อกลา วควรแบง กลาวเปน หกภาค: คือ บรุ พกรรมหนึ่ง, มลิ ิ
นทปญหาหนงึ่ , ลกั ขณปญ หาหนง่ึ , เมณฑกปญหาหนง่ึ , อนมุ านปญหาหนงึ่ ,
โอปม มกถาปญ หาหนง่ึ .
ในปญ หาเหลา นนั้ : มิลนิ ทปญ หามสี องอยา ง: คือ ลักขณปญหาหนง่ึ ,
วมิ ติจเฉทนปญ หาหนง่ึ แมเ มณฑกปญ หากม็ ีสองอยา ง: คอื มหาวรรคหนง่ึ ,
โยคิกถาปญหาหนง่ึ
บรุ พกรรมของพระเจา มลิ นิ ทแ ละพระนาคเสนนน้ั ดงั น:้ี ดังไดสดบั มา
ในอดตี กาล เม่ือคร้ังพระศาสนาแหง พระกสั สปผูม พี ระภาคเจา ยงั เปน ไปอยู,
ภิกษสุ งฆห มูใหญไดอ าศยั อยูใ นอาวาสใกลแ มนํา้ คงคาแหงหนง่ึ . ในภิกษสุ งฆ
หมูนน้ั ภกิ ษทุ ถี่ ึงพรอมดว ยวตั รและศีลลกุ ขน้ึ แตเชาแลว , ถือไมก ราดไปกวาด
ลานอาวาสพลาง ระลึกถงึ พุทธคุณพลาง กวาดหยากเย่อื รวมไวเ ปน กองแลว ;
ภกิ ษุรปู หนงึ่ ใชสามเณรรูปหนงึ่ วา "ทา นจงมานําหยากเยื่อนี้ไปทงิ้ เสยี ."
สามเณรรูปนนั้ แกลง ทาํ ไมไ ดยินเดนิ เฉยไปเสยี , แมภ ิกษุนน้ั รอ งเรียกถึงสอง
คร้งั สามคร้งั กแ็ กลงทาํ ไมไ ดยนิ เดินเฉยไปเสีย เหมือนอยา งนัน้ . ภกิ ษุนนั้ ขดั
ใจวา "สามเณรผูน ้ีวา ยาก." จึงเอาคนั กราดตสี ามเณรนน้ั . สามเณรนน้ั
มคี วามกลัว, รอ งไหพลางขนหยากเยอื่ ไปทง้ิ พลาง, ไดตัง้ ความปรารถนาเปน
ประถมวา "ดว ยบุญกรรมท่ีเราไดกระทาํ เพราะทง้ิ หยากเยอื่ นี้ ขอเรามีศกั ดา
เดชานภุ าพใหญ เหมือนดวงอาทิตยในเวลาตะวนั เทย่ี ง ในสถานท่ีเราเกิด
แลว ๆ กวา จะบรรลุพระนพิ พานเถดิ ." ครั้นทงิ้ หยากเยอ่ื เสรจ็ แลว ไปอาบนา้ํ ที่
ทานาํ้ , เหน็ กระแสคลืน่ ในแมน ํา้ คงคาไหลเชยี่ วเสยี งดังดจุ สูบ, จงึ ตง้ั ความ
ปรารถนาเปน ครั้งทีส่ องวา "ขอเรามปี ญญาวอ งไวไมสนิ้ สุดดุจกระแสคลื่นแหง
แมนํา้ คงคาน้ี ในสถานท่ีเราเกดิ แลว ๆ กวาจะบรรลุพระนพิ พานเถิด."
ฝายพระภกิ ษนุ ั้น เก็บกราดไวใ นศาลาสําหรับเกบ็ กราดแลว, เมื่อไป
อาบนา้ํ ทท่ี านา้ํ , ไดฟงความปรารถนาของสามเณรแลว , คิดวา "สามเณรนนั่
เราใชแลวยังปรารถนาถงึ เพยี งนกี้ อน, ถา เราตั้งความปรารถนาบาง เหตไุ ฉน
ความปรารถนานนั้ จักไมสาํ เรจ็ แกเรา;" จงึ ตั้งความปรารถนาบา งวา "ขอเรามี
ปญ ญาไมสนิ้ สดุ ดุจกระแสคลืน่ แหง แมน าํ้ คงคาน,้ี ขอเราสามารถจะแกไข
ปญ หาที่สามเณรผนู ีถ้ ามแลว ๆ ทกุ อยา ง, ในสถานทเ่ี ราเกิดแลว ๆ กวาจะ
บรรลุถึงพระนพิ พานเถดิ ."
ภกิ ษแุ ละสามเณรสองรูปนนั้ ทองเทย่ี วอยูในเทวดาและมนษุ ยส น้ิ
พุทธนั ดรหน่งึ แลว. แมพ ระผมู ีพระภาคเจา ของเราทง้ั หลาย ไดทอดพระเนตร
เห็นดว ยพระญาณ, เหมือนไดท อดพระเนตรเหน็ พระโมคคัลลีบตุ รติสสเถระ,
ไดทรงพยากรณไ วว า "เมอ่ื เราปรินพิ พานลว งไปไดห ารอยป ภิกษสุ ามเณรสอง
รูปน้นั จกั เกิดขน้ึ แลว , จักจาํ แนกธรรมวนิ ัยทเี่ ราไดแสดงใหสุขมุ ละเอียดแลว,
กระทาํ ใหเ ปน ศาสนธรรมอันตนสะสางไมใ หฟ น เฝอ แลว ดว ยอํานาจถาม
ปญ หาและประกอบอุปมา."
ในภิกษสุ ามเณรสองรูปน้ัน สามเณรไดม าเกดิ เปน พระเจา มลิ นิ ทใ น
สาคลราชธานี ในชมพทู วปี , เปน ปราชญเ ฉยี บแหลม มพี ระปญ ญาสามารถ,
ทราบเหตุผลทงั้ ทล่ี วงไปแลว ทั้งท่ยี งั ไมม าถงึ ทง้ั ทเ่ี ปน อยใู นบัดนนั้ ; ในกาล
เปน ทจี่ ะทรงทาํ ราชกิจนอ ยใหญ ไดท รงใครค รวญโดยรอบคอบ, แลว จึงไดท รง
ประกอบราชกจิ ทจี่ ะตอ งประกอบ จะตอ งจัด จะตองกระทาํ ; และไดทรง
ศกึ ษาตําหรบั วิทยาเปน อนั มาก ถึงสบิ เกา อยา ง: คอื ไตรเพทคัมภรี พราหมณ
วิทยาในกายตวั วทิ ยานบั วทิ ยาทาํ ใจใหเ ปนสมาธิ พระราชกาํ หนดกฎหมาย
วิทยาท่รี ธู รรมดาท่ีแปลกกนั แหงสภาพนนั้ ๆ วิทยาทาํ นายรา ยและดี วทิ ยา
ดนตรขี ับรอง วิทยาแพทย วทิ ยาศาสนา ตาํ หรับพงศาวดาร โหราศาสตร
วิทยาทําเลห ก ล วทิ ยารูจกั กาํ หนดเหตผุ ล วทิ ยาคดิ ตาํ หรบั พชิ ัยสงคราม
ตาํ รากาพย วทิ ยาทายลักษณะในกาย และภาษาตา ง ๆ, พอพระหฤทยั ในการ
ตรัสไลเ ลยี งในลัทธติ าง ๆ ใคร ๆ จะโตเ ถยี งไดโ ดยยาก ใคร ๆ จะขม ใหแ พไ ด
โดยยาก ปรากฏเปน ยอดของเหลา เดยี รถยี เ ปนอนั มาก. ในชมพทู วปี ไมม ีใคร
เสมอดว ยพระเจามิลนิ ท ดวยเรย่ี วแรงกาย ดว ยกาํ ลังความคดิ ดว ยความกลา
หาญ ดว ยปญ ญา. พระเจา มลิ ินทน น้ั ทรงมงั่ คั่งบรบิ รู ณดว ยราชสมบรู ณ, มี
พระราชทรัพยแ ละเครอ่ื งราชปู โภคเปน อนั มากพนทีจ่ ะนบั คณนา, มพี ล
พาหนะหาทส่ี ดุ มไิ ด.
วนั หนง่ึ พระเจา มิลนิ ทเ สดจ็ พระราชดําเนนิ ออกนอกพระนครดว ยพระ
ราชประสงคจ ะทอดพระเนครขบวนจตรุ งคนิ ีเสนา อนั มพี ลพาหนะหาทส่ี ดุ
มไิ ด ในสนามทีฝ่ ก ซอม, โปรดเกลา ฯ ใหจ ดั การฝก ซอมหมูเสนาทภ่ี ายนอก
พระนครเสร็จแลว , พระองคพ อพระหฤทยั ในการตรสั สงั สนทนาดว ยลทั ธิ
นัน้ ๆ , ทรงนยิ มในถอ ยคาํ ของมหาชนที่เจรจากนั ซ่งึ อา งคมั ภรี โลกายต
ศาสตรและวติ ณั ฑศาสตร, ทอดพระเนตรดวงอาทิตยแ ลว, ตรสั แกห มูอมาตย
วา "วันยงั เหลอื อยมู าก, เด๋ยี วน้ี ถา เรากลับเขาเมอื งจะไปทาํ อะไร; มีใครท่เี ปน
บณั ฑติ จะเปน สมณะก็ตาม พราหมณก็ตาม ท่ีเปน เจา หมูเจาคณะเปน
คณาจารย แมป ฏิญาณตนวา เปนพระอรหนั ตผ ูรูชอบเอง ที่อาจสังสนทนากับ
เราบรรเทาความสงสยั เสยี ไดบ างหรอื ?" เมื่อพระเจา มลิ นิ ทตรสั ถามอยางนี้
แลว, โยนกอมาตยห า รอ ยไดกราบทลู วา "ขาแตพ ระองคผ เู ปน มหาราชเจา, มี
ศาสดาอยูหกทา น: คือ ปูรณกัสสป, มักขลโิ คศาล, นิครนถนาฏบตุ ร, สญั ชยั
เวลฏั ฐบุตร, อชิตเกสกมั พล, ปกธุ กจั จายนะ, ไดเปน เจา หมเู จา คณะ เปน
คณาจารย เปน คนมชี ือ่ เสยี งปรากฏ มีเกียรตยิ ศวา เปน ดติ ถกร คือ ผสู อนลทั ธิ
แกประชุมชน; คนเปน อันมากนับถือวามลี ทั ธอิ นั ด.ี ขอพระองคเสด็จพระราช
ดําเนนิ ไปสูสํานักของทา นทงั้ หกนน้ั แลวตรสั ถามปญ หาบรรเทากงั ขาเ
สยี เถิด."
คร้ันพระองคไ ดทรงสดบั อยา งน้ีแลว จงึ พรอ มดว ยโยนกอมาตยห า รอย
หอมลอ มเปน ราชบรวิ าร ทรงรถพระที่นงั่ เสด็จพระราชดาํ เนนิ ไปยังสาํ นกั
ปรู ณกสั สป, ทรงปฏสิ นั ถารปราศรยั กับปรู ณกัสสปพอใหเ กดิ ความยินดแี ลว ,
ประทับ ณ สถานทส่ี วนขางหนง่ึ แลว ตรสั ถามวา "ทานกสั สป, อะไรรกั ษาโลก
อยู ?"
ปูรณกัสสปทลู ตอบวา "แผนดินแล, มหาราชเจา , รักษาโลกอย.ู "
พระเจา มลิ ินทจ ึงทรงยอ นถามวา "ถา แผน ดนิ รกั ษาโลกอยู, เหตุไฉน สตั วท ไ่ี ป
สูอเวจนี รกจึงลว งแผน ดนิ ไปเลา ?" เมือ่ พระเจามิลนิ ทตรัสถามอยา งนแ้ี ลว;
ปูรณกัสสปไมอ าจฝน คํานนั้ และไมอาจคืนคําน้นั , นงั่ กมหนา นง่ิ หงอยเหงา
อยู.
ลําดบั นน้ั จงึ เสด็จพระราชดาํ เนนิ ไปยังสาํ นกั มกั ขลิโคศาลแลว , ตรสั
ถามวา "ทา นโคศาล, กศุ ลกรรมและอกุศาลกรรมมหี รอื , ผลวบิ ากแหง กรรมท่ี
สตั วท าํ ดีแลวและทําชว่ั แลวมหี รอื ?"
มกั ขลิโคศาลทลู ตอบวา "ไมม,ี มหาราชเจา . ชนเหลา ใดเคยเปน
กษัตรยิ อ ยใู นโลกน,้ี ชนเหลา นนั้ แมไปสปู รโลกแลวก็จกั เปน กษัตริยอ กี เทียว;
ชนเหลา ใดเคยเปน พราหมณ, เปนแพศย, เปนศูทร, เปน จัณฑาล, เปนปุกกุ
สะ, อยูในโลกน,ี้ ชนเหลา นนั้ แมไปสปู รโลกแลว กจ็ ักเปน เหมือนเชน นน้ั อีก: จะ
ตองการอะไรดว ยกศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรม."
พระเจามลิ นิ ทท รงยอนถามวา "ถา ใครเคยเปนอะไรในโลกนี้ แมไป
สปู รโลกแลวกจ็ ักเปนเหมือนเชนนน้ั อกี , ไมมกี ิจทจ่ี ะตอ งทาํ ดว ยกศุ ลกรรม
และอกุศลกรรม; ถาอยา งนน้ั ชนเหลา ใดเปน คนมมี อื ขาดกด็ ี มเี ทา ขาดกด็ ี มี
หูและจมูกขาดกด็ ี ในโลกน,้ี ชนเหลานนั้ แมไ ปปรโลกแลว กจ็ กั ตองเปน เหมอื น
เชน นน้ั อกี นะซิ ?" เมอ่ื พระเจา มิลินทตรัสถามอยางนแี้ ลว มักขลโิ คศาลก็นิ่ง
อ้ัน.
คร้ังนน้ั พระเจา มลิ นิ ทท รงพระราชดาํ รวิ า "ชมพทู วีปนีว้ า งเปลาทีเดยี ว
หนอ, ไมมีสมณะพราหมณผ ูใดผหู นง่ึ ซง่ึ สามารถจะเจรจากับเรา บรรเทา
ความสงสัยเสยี ได" คนื วันหน่งึ ตรัสถามอมาตยท ง้ั หลายวา "คนื วนั น้เี ดอื น
หงายนา สบายนกั , เราจะไปหาสมณะหรอื พราหมณผไู รดหี นอ เพ่ือจะไดถ าม
ปญ หา ? ใครหนอสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสยี ได ?" เมื่อ
พระเจา มลิ นิ ทต รสั อยา งน้ีแลว อมาตยท ง้ั หลายไดย นื นิ่งแลดพู ระพักตรอ ยู.
สมัยนน้ั สาคลราชธานไี ดว า งเปลา จากสมณะพราหมณ และคฤหบดี
ที่เปนปราชญถ ึงสิบสองป เพราะพระเจามลิ ินทไ ดท รงสดับวา ในทีใ่ ดมสี มณะ
พราหมณห รือคฤบดีท่ีเปน ปราชญ, ก็เสด็จพระราชดาํ เนนิ ไป, ตรสั ถามปญ หา
กบั หมูปราชญใ นทนี่ นั้ ; หมปู ราชญท ัง้ ปวงน้ันไมสามารถจะวสิ ชั นาปญหา
ถวายใหท รงยนิ ดไี ด, ตา งคนก็หลกี หนไี ปในที่ใดทห่ี นึง่ , ผทู ี่ไมหลกี ไปสทู ิศอืน่
ตา งคนกอ็ ยนู งิ่ ๆ. สวนภกิ ษทุ งั้ หลายไปสปู ระเทศหมิ พานตเสยี โดยมาก.
สมยั นนั้ พระอรหนั ตเจา รอ ยโกฏิ (?) อาศัยอยูท ีพ่ นื้ ถาํ้ รกั ขติ คหุ า ณ
เขาหมิ พานต. ในกาลนน้ั พระอสั สคุตตเถรเจาไดสดับพระวาจาแหง พระเจา
มิลินทดว ยทพิ ยโสต (คือ หูทไี่ ดยนิ เสียงไกลไดดจุ หเู ทวดา) แลว, จึงนดั ให
ภิกษสุ งฆประชมุ กัน ณ ยอดเขายคุ นั ธรแลว , ถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวา "อาวุโส, มี
ภิกษอุ งคไดสามารถจะสังสนทนากับพระเจา มลิ นิ ท นาํ ความสงสัยของเธอ
เสยี ไดบ างหรอื ไม ?" เมอื่ พระเถรเจา กลาวถามอยา งนแ้ี ลว พระอรหนั ตเ จา
รอ ยโกฏิน้นั กพ็ ากนั นงิ่ อย.ู พระเถรเจา ถามอยา งนน้ั ถงึ สองครง้ั สามครัง้ ตาง
องคก ็นง่ิ เสยี เหมือนอยา งนน้ั .
พระเถรเจา จงึ กลา ววา "อาวโุ ส, ในดาวดงึ สพภิ พพมิ านชอ่ื เกตุมดมี ีอยู
ขา งปราจนี ทศิ (ตะวนั ออก) แหงไพชยนั ตปราสาท, เทพบุตรช่ือมหาเสนได
อาศัยอยูในทพิ ยพมิ านนน้ั , เธอสามารถจะสงั สนทนากบั พระเจามิลนิ ทนาํ
ความสงสัยของเธอเสียได. "
ลาํ ดับนนั้ พระอรหันตเจารอ ยโกฏินนั้ จงึ หายพระองคจากเขายคุ ันธร
ไปปรากฏขนึ้ ในดาวดงึ สพภิ พ.
ทา วศักรนิ ทรเทวราช ไดท อดพระเนตรเหน็ ภกิ ษทุ ้งั หลายนน้ั มาอยูแต
ไกล, จึงเสดจ็ เขา ไปใกล, ทรงถวายอภวิ าทพระอัสสคุตตเถรเจาแลว, ประทับ
ยืน ณ ทีค่ วรสวนขา งหนงึ่ เปน การแสดงความเคารพแลว , ตรัสถามวา "พระ
ภิกษสุ งฆพ ากนั มาถงึ ท่นี เ่ี ปน หมูใ หญ. ขา พเจา ไดถ วายตัวเปนอารามกิ บรุ ษุ
(คนกระทาํ กจิ ธุระในพระอาราม) ของพระภกิ ษุสงฆไวแ ลว. ทา นจะประสงค
ใหขา พเจา กระทาํ กิจอะไรหรอื ?"
พระเถรเจา จึงถวายพระพรวา "ดูกอนมหาราช, ในชมพทู วีปมพี ระเจา
แผน ดินในสาคลราชธานีพระองคห นง่ึ ทรงพระนามวาพระเจา มิลนิ ท, เปนคน
ชางตรัสซกั ถามดวยขอ ความในลทั ธินน้ั ๆ, อนั ใคร ๆ จะโตต อบครอบงาํ ให
ชํานะไดโ ดยยาก; เขากลาวยกวา เปนยอดของเดียรถียเ จา ลัทธเิ ปนอนั มาก.
เธอเสดจ็ เขา ไปหาภกิ ษุสงฆแ ลว, ตรสั ถามปญหาดวยวาทะปรารภทฏิ ฐิ
นน้ั ๆ, เบยี ดเบยี นภกิ ษสุ งฆใ หล ําบาก."
ทาวศกั รนิ ทรเทวราช ตรัสบอกพระเถรเจา วา "ขาแตพระผเู ปนเจา ,
พระเจา มลิ ินทน นั้ จุตไิ ปเกิดในมนษุ ยโลกจากทนี่ ี้เอง. เทพบุตรช่ือมหาเสนซงึ่
อยูในพมิ านชอื่ เกตุมดนี นั่ แน สามารถจะสงั สนทนากบั พระเจามิลนิ ทน ้ัน นาํ
ความสงสัยของเธอเสยี ได. เราจงมาพากนั ไปออนวอนขอใหเ ธอไปเกิดใน
มนุษยโลกเถดิ ." ครั้นตรสั อยางนีแ้ ลว , เสด็จตามพระภกิ ษสุ งฆไ ปถงึ เกตมุ ดี
พมิ านแลว , ทรงสวมกอดมหาเสนเทพบุตรแลว , ตรสั วา "แนะเจา ผนู ริ ทกุ ข,
พระภิกษสุ งฆท า นออนวอนขอใหเจาลงไปเกดิ ในมนษุ ยโลก."
มหาเสนเทพบตุ รทูลวา "ขา พระองคไ มพอใจมนษุ ยโลกทม่ี กี ารงาน
มากนกั , มนุษยโลกนนั้ เขม งวดนัก. ขา พระองคจะเกดิ สบื ๆ ไปในเทวโลกนี้
เทานัน้ กวาจะปรนิ พิ พาน."
ทา วศกั รินทรเทวราชตรัสออ นวอนถงึ สองครงั้ สามครงั้ ; เธอก็มไิ ดท ลู
รบั เหมอื นดงั นน้ั .
พระอัสสคตุ ตเถรเจาจงึ กลาวกะมหาเสนเทพบุตรวา "ดกู อ นทา นผู
นริ ทุกข, เราทง้ั หลายไดเ ลอื กตรวจดตู ลอดทัว่ มนษุ ยโลก ทง้ั เทวโลก; นอกจาก
ทา นแลวไมเ หน็ ใครอ่ืน ทีส่ ามารถจะทําลายลา งทฏิ ฐขิ องพระเจามลิ ินทแ ลว
ยกยอ งพระศาสนาไวไ ด. ภิกษสุ งฆจ งึ ไดอ อ นวอนทา น. ขอทานผูสัตบรุ ษุ จง
ยอมไปเกดิ ในมนุษยโลกแลว , ยกยอ งพระศาสนาของพระทศพลเจา ไวเ ถิด."
เม่ือพระเถรเจา กลาวออ นวอนอยา งนี้แลว; มหาเสนเทพบตุ รทราบวาเธอผู
เดียวเทานน้ั จกั สามารถทาํ ลายลา งทิฏฐิของพระเจา มิลนิ ทแลว , ยกยอง
พระศาสนาไวไ ด; จงึ มใี จยินดชี ่นื บาน, ไดถวายปฏิญาณรบั วาจะลงไปเกิดใน
มนษุ ยโลก.
คร้นั ภิกษทุ งั้ หลายนน้ั จัดกจิ ทีจ่ ะตองทํานน้ั ในเทวโลกเสรจ็ แลว , จงึ
อันตรธานจากดาวดึงสพิภพ มาปรากฏ ณ พื้นถา้ํ รักขิตคหู าท่ีเขาหมิ พานต
แลว ; พระอสั สคตุ ตเถรเจา จึงถามพระภกิ ษสุ งฆว า "อาวุโส, ในภกิ ษุสงฆหมนู ้ี
มภี กิ ษอุ งคใดไมไดมาประชมุ บา ง."
ภกิ ษอุ งคห นึง่ เรยี นพระเถรเจา วา "ภกิ ษุท่ไี มไ ดมาประชมุ มีอยู คอื พระ
โรหณะผูมีอายไุ ปสเู ขาหิมพานต เขา นโิ รธสมาบัติไดเจด็ วนั เขาวนั น้แี ลว . ขอ
พระเถรเจา จงใชทูตไปเรียกเธอมาเถิด."
ขณะน้นั พระโรหณะผมู อี ายอุ อกจากนโิ รธสมาบัติแลว, ทราบวา พระ
สงฆใ หห าทา น, จึงอนั ตรธานจากเขาหิมพานต, มาปรากฏขางหนา แหง พระ
อรหันตเ จารอยโกฏิ ณ พน้ื ถาํ้ รักขติ คูหา.
พระอัสสคตุ ตเถรเจาจงึ มวี าจาถามวา "ดกู อ นโรหณะผมู อี าย,ุ เหตุไฉน
เม่ือพระพทุ ธศาสนาทรุดโทรมลงถงึ เพยี งน,้ี ทา นจึงไมช ว ยดูแลกิจทส่ี งฆจะ
ตองทาํ ?"
ทานเรยี นตอบวา "ขาแตพ ระเถรเจา , ขอนนั้ เปน เพราะขาพเจาไมไ ด
มนสิการทาํ ในใจ."
จึงพระเถรเจาปรบั โทษวา "ถา อยา งนน้ั ทา นจงทาํ ทัณฑกรรมรับปรับ
โทษเสยี เถดิ ."
ทานเรยี นถามวา "ขา แตพระเถรเจา ขา พเจา จะตองทาํ ทณั ฑกรรม
อะไร ?"
พระเถรเจา จงึ บังคบั วา "มบี า นพราหมณอยขู างเขาหิมพานตแหง หนงึ่
ช่อื กชงั คลคาม. มพี ราหมณผ ูหนง่ึ ชอื่ โสณุตตระอาศยั อยใู นบา นน้ัน. บุตรของ
โสณตุ ตรพราหมณนนั้ จกั เกิดข้นึ คนหนง่ึ คอื ทารกชอื่ นาคเสน. ทา นจงไป
บณิ ฑบาตท่ีตระกลู นนั้ ใหค รบเจ็ดปกบั สิบเดือนแลว , จงนาํ เอาทารกชือ่
นาคเสนนน้ั มาบวช. เมอื่ นาคเสนนนั้ บวชแลว ทา นจงพน จากทณั ฑกรรม."
พระโรหณะผมู อี ายกุ ็รับคําของพระเถรเจา แลว.
ฝายมหาเสนเทพบตุ ร ไดจ ตุ จิ ากเทวโลก, ถือปฏิสนธิในครรภ
แหง ภรยิ าของโสณตุ ตรพราหมณ. ขณะถือปฏิสนธนิ น้ั ไดม อี ัศจรรยป รากฏ
สามประการ: คือเครอ่ื งอาวธุ ทงั้ หลายสอ งแสงโพลงขน้ึ ประการหนึง่ , ขา วกลา
ท่ยี ังไมอ อกรวงก็ออกรวงสกุ ประการหน่งึ , มหาเมฆบนั ดาลเมฆใหฝนหาใหญ
ตกลงมาประการหนงึ่ .
ฝา ยพระโรหณะผูมีอายุ จาํ เดิมแตม หาเสนเทพบุตรถอื ปฏิสนธิมาได
เขาไปบณิ ฑบาตท่ีตระกูลนน้ั มิไดขาด ถงึ เจด็ ปกับสบิ เดอื น, กไ็ มไ ดข า วสวย
แมส กั ทรพหี นงึ่ , ไมไดขา วตมแมสักกระบวยหนง่ึ , ไมไ ดรบั ใครไหวใครประณม
มอื หรอื แสดงอาการเคารพอยางอนื่ แมสกั วนั เดียว; กลบั ไดแ ตค าํ ดา วาเสยี ดสี
ไมม ใี ครท่จี ะกลา วโดยดี แมแ ตเพียงวา โปรดสตั วขางหนา เถิดเจา ขา ดงั น้ี ใน
วนั หนง่ึ . วนั นน้ั โสณตุ ตรพราหมณก ลบั มาจากทท่ี ํางานภายนอกบา น, พบ
พระเถรเจา เดนิ สวนทางมาจึงถามวา "บรรพชติ , วนั นีท้ า นไดไ ปเรอื นของเรา
แลว หรอื ?"
ทานตอบวา "เออ พราหมณ, วนั นีเ้ ราไดไ ปเรอื นของทา นแลว."
พราหมณถามวา "ทา นไดอะไร ๆ บางหรือเปลา ?"-
ทานตอบวา "เออ พราหมณ, วนั นีเ้ ราได."
พราหมณไดยินทา นบอกวา ได ดงั นนั้ , สําคญั วา ทา นไดอ ะไรไปจาก
เรือนของตน, มีความเสยี ใจ, กลับไปถงึ เรอื นถามวา "วันน้ีเจาไดใหอ ะไร ๆ แก
บรรพชติ นั้นหรือ ?"
คนในเรือนตอบวา "ขา พเจา ไมไ ดใ หอะไรเลย." คร้ันวนั รงุ ขนึ้ พราหมณ
นงั่ คอยอยทู ป่ี ระตเู รือน ดวยหวงั จะยกโทษพระเถรเจา ดว ยมสุ าวาท, พอเห็น
พระเถรเจา ไปถึง, จึงกลาวทว งวา "เมือ่ วานนท้ี า นไมไดอ ะไรในเรือนของเรา
สกั หนอย พูดไดว า ตัวได. การพูดมสุ าควรแกท านหรอื ?"
พระเถรเจา ตอบวา "ดกู อ นพราหมณ เราไมไดแมแตเ พยี งคาํ วา 'โปรด
สตั วข างหนา เถดิ เจา ขา' ดังนี้ ในเรอื นของทา นถงึ เจด็ ปก บั สิบเดือนแลว พงึ่ ได
คาํ เชน นนั้ เมอื่ วานน้ีเอง; เชน น้ี เราจึงไดบอกแกทา นวา เราได ดว ยหมายเอา
การกลา วปราศรยั ดว ยวาจานน้ั ."
พราหมณนึกวา "บรรพชติ พวกนี้ไดรับแตเพียงการกลาวปราศรยั ดว ย
วาจา ยงั พูดสรรเสริญในทา มกลางประชาชนวา ตนไดรบั , ถา ไดข องเคย้ี วของ
กนิ อะไร ๆ อยา งอน่ื อกี แลว , เหตุไฉนจะไมพ ดู สรรเสรญิ ?" จงึ มคี วามเลอ่ื มใส
สัง่ คนใหแบง ขา วทีจ่ ัดไวเ พ่อื ตัว ถวายพระเถรเจาทรพีหนง่ึ ทง้ั กบั ขาวพอสม
ควรกนั แลว, ไดพูดวา "ทา นจกั ไดอ าหารนเ้ี สมอเปน นติ ย จําเดมิ แตว นั รงุ ขนึ้ ."
เมื่อพระเถรเจา ไปถึง; พราหมณไดเ หน็ อาการสงบเสงยี่ มเรียบรอ ยของทา น
เขา, กย็ งิ่ เล่ือมใสมากขน้ึ , จึงอาราธนาพระเถรเจาใหท าํ ภตั กิจในเรอื นของตน
เปน นติ ย. พระเถรเจา รบั อาราธนาดว ยดษุ ณีภาพ (น่ิงอย)ู แลว ; ต้งั แตน้นั มา
ทําภัตตกิจเสรจ็ แลว , เม่ือจะไป, ไดกลาวพระพทุ ธวจนะนอยหนง่ึ ๆ แลว
จงึ ไปเสมอทกุ วนั ๆ.
ฝา ยนางพราหมณี ครัน้ ลว งสิบเดอื นคลอดบตุ รชายคนหนง่ึ ชือ่ นาค
เสน. นาคเสนนนั้ เติบใหญข้ึนโดยลาํ ดับกาล จนมีอายไุ ดเจด็ ขวบ; บดิ าจึง
กลาวกะเขาวา "พอนาคเสน, บดั นี้เจา ควรจะเรยี นวิทยาในตระกลู พราหมณน ี้
แลว ."
นาคเสนถามวา "วทิ ยาอะไรพอ ชอ่ื วาวทิ ยาในตระกลู พราหมณน ี้ ?"
บดิ าบอกวา "ไตรเพทแล, พอ นาคเสน, ช่อื วาวทิ ยา; ศลิ ปศาสตรท ี่
เหลอื จากนนั้ ช่ือวา ศลิ ปศาสตร. " นาคเสนก็รับวา จะเรยี น. โสณตุ ตรพราหมณ
จึงใหท รพั ยพ นั กษาปณแกพ ราหมณผ จู ะเปนครู เปน สวนสําหรับบูชาครูแลว,
ใหตง้ั เตียงสองตัวใหช ดิ กัน ในหอ งภายในปราสาทแหง หนึ่งแลว กาํ ชับสั่ง
พราหมณผ ูเปน ครูวา "ขอทานจงใหเ ดก็ ผนู ที้ อ งมนตเ ถดิ "
พราหมณผเู ปน ครูพูดวา "ถาอยา งนน้ั พอ หนเู รียนมนตเถดิ ;" ดังนี้แลว,
กส็ าธยายขนึ้ . นาคเสนวา ตามคร้งั เดียว, ไตรเพทก็ขนึ้ ใจข้ึนปากกาํ หนดจาํ ได
แมนยาํ , ทําในใจตรึกตรองไดดโี ดยคลอ งแคลว , เกดิ ปญ ญาดุจดวงตาเหน็ ใน
ไตรเพท พรอมท้งั คมั ภีรน คิ ณั ฑุศาสตรและ' คมั ภรี เกฏภ ศาสตร พรอ มท้ัง
อักษรประเภท พรอ มท้ังคัมภรี อติ ิหาสศาสตรครบทั้งหาอยาง, วาขน้ึ อยา งหนง่ึ
แลว กเ็ ขา ใจความแหง พากยน น้ั ๆ พรอมทง้ั ไวยากรณ. ชาํ นชิ าํ นาญในคมั ภีร
โลกายตศาสตร และมหาปรุ ิสลักษณพยากรณศาสตร ครบทุกอยา งแลว , จึง
ถามบิดาวา "พอ, ในตระกูลพราหมณน้ี ยงั มีขอท่ีจะตอ งศึกษายงิ่ กวา นอี้ ีก
หรือมแี ตเพียงเทาน.้ี " เม่ือบดิ าบอกวา "ขอทจี่ ะตองศกึ ษายิง่ กวา นอ้ี กี ไมมี
แลว ขอท่ีตองศกึ ษานน้ั มเี พยี งเทาน,ี้ " แลว จึงสอบความรูตอ อาจารยเ สร็จ
แลว , กลับลงมาจากปราสาท, อันวาสนาคือกศุ ลท่ีไดเคยอบรมมาแตป างกอน
เขา เตอื นใจบนั ดาลใหห ลีกเขา ไปอยู ณ ทส่ี งัดแลว, พจิ ารณาดูเบอื้ งตน
ทา มกลางท่ีสดุ แหง ศิลปศาสตรข องตน, ไมแ ลเห็นแกน สารในเบ้ืองตน
ในทา มกลางหรือในทส่ี ุดนนั้ แมสกั หนอยหนงึ่ แลว, จงึ มคี วามเดือดรอ นเสยี ใจ
วา "ไตรเพทเหลาน้ีเปลา จากประโยชนเ ทียวหนอ, ไตรเพทเหลา นเี้ ปนแตของ
จะตอ งทองเพอ เปลา ๆ เทยี วหนอไมม แี กน สาร หาแกน สารมิไดเลย."
ในสมยั น้นั พระโรหณะผูมอี ายนุ งั่ อยทู ว่ี ตั ตนิยเสนาสน ทราบปรวิ ิตก
แหง จิตของนาคเสนดว ยวารจติ ของตนแลว, ครองผา ตามสมณวตั รแลว , ถอื
บาตรจีวรอนั ตรธานจากวัตตนยิ เสนาสน, มาปรากฏทีห่ นาบา นกชงั คลคาม.
นาคเสนยนื อยทู ีซ่ ุมประตแู ลเห็นพระเถรเจา มาอยูแ ตไ กล, กม็ ใี จยนิ ดี
ราเริงบันเทงิ ปต โิ สมนัส, ดํารงวา "บางทีบรรพชิตรปู นี้จะรวู ิทยาท่เี ปน แกน สาร
บา งกระมัง," จึงเขาไปใกลแลว, ถามวา "ทา นผนู ิรทกุ ข, ทานเปน อะไร จงึ โกน
ศีรษะและนุงหม ผา ยอ มดว ยนา้ํ ฝาดเชน น้ี ?"
ร. "เราเปนบรรพชิต."
น. "ทานเปน บรรพชติ . ดวยเหตอุ ยางไร ?"
น. "เราเวน จากกจิ การบานเรอื น เพอื่ จะละมลทนิ ทีล่ ามกเสียแลว, เรา
จึงชือ่ วา เปน บรรพชติ ."
น. "เหตไุ ฉน ผมของทา นจงึ ไมเหมอื นของเขาอ่ืนเลา ?"
ร. "เราเหน็ เหตุเครื่องกังวลสบิ หกอยา ง เราจึงโกนเสีย. เหตเุ ครอื่ งกังวล
สิบหกอยา งนน้ั คอื กังวลดว ยตอ งหาเครอ่ื งประดับหน่งึ กงั วลดว ยตองแตง
หนง่ึ , กังวลดวยตองทานาํ้ มนั หน่งึ , กังวลดวยตอ งสระหนึง่ , กังวลดว ยตอง
ประดับดอกไมหนงึ่ , กังวลดวยตอ งทาของหอมหนง่ึ , กังวลดวยตองอบกลิน่
หนงึ่ , กังวลดว ยตองหาสมอ (สําหรับสระ) หนงึ่ , กังวลดวยตองหามะขามปอ ม
(สาํ หรับสระ) หนงึ่ , กังวลดวยจบั เขมา หนง่ึ , กงั วลดว ยตอ งเกลา หนงึ่ , กงั วล
ดวยตองหวหี น่ึง, กังวลดว ยตองตัดหนงึ่ , กังวลดว ยตอ งสางหนงึ่ , กังวลดว ย
ตองหาเหาหนงึ่ , และเม่อื ผมรวงโกรน เจา ของยอมเสยี ดายหนง่ึ : รวมเปน เหตุ
เครือ่ งกงั วลสบิ หกอยา ง. คนทก่ี ังวลอยใู นเหตสุ บิ หกอยา งนี้ ยอมทาํ ศลิ ปที่
สขุ ุมยิ่งนักใหฉ ิบหายเสยี ท้งั หมด."
น. "เหตุไฉน ผา นงุ ผา หมของทาน จงึ ไมเ หมอื นของเขาอนื่ เลา ?"
ร. "ผา ทกี่ เิ ลสกามองิ อาศัย เปนทีใ่ ครข องคน เปน เคร่อื งหมายเพศ
คฤหสั ถ; ภัยอันตรายอยา งใดอยา งหนง่ึ ซง่ึ จะเกดิ ข้ึนเพราะผา , ภัยนัน้ มิไดมีแก
ผทู ีน่ งุ หม ผายอ มดว ยนาํ้ ฝาด; เหตุนน้ั ผา นุง หมของเราจงึ ไมเหมอื นของเขา
อ่ืน."
น. "ทา นรูศลิ ปศาสตรอ ยบู า งหรอื ?"-
ร. "เออ เราร,ู แมม นตท ส่ี งู สดุ ในโลกเราก็ร.ู "
น. "ทานจะใหม นตน น้ั แกขาพเจาไดห รือ ?"
ร. "เออ เราจะใหไ ด. "
น. "ถาอยา งนนั้ ทา นใหเถดิ ."
ร. "เวลาน้ยี งั ไมเ ปนกาล เพราะเรายงั กาํ ลังเทยี่ วบิณฑบาตอย.ู "
ลําดบั นน้ั นาคเสนรบั บาตรจากหัตถพ ระเถรเจาแลว, นมิ นตใหเขา ไป
ในเรือนแลว, องั คาสดว ยขัชชะโภชชาหารอนั ประณตี ดว ยมือของตนจนอม่ิ
แลว, พูดเตอื นวา "เวลานีท้ า นใหมนตน น้ั เถดิ ."
พระเถรเจา ตอบวา "ทา นจะขอใหม ารดาบิดาอนุญาตแลว ถือเพศ
บรรพชิตท่เี ราถืออยนู ี้ เปนคนไมมีกงั วลไดเ มอื่ ใด, เราจะใหแกทา นเมือ่ นั้น."
นาคเสนจงึ ไปหามารดาบดิ าบอกวา "บรรพชติ รูปนพี้ ูดอยวู า 'รูมนตท ่ี
สงู สดุ ในโลก' ก็แตไมย อมใหแ กผ ทู ีไ่ มไ ดบ วชในสาํ นกั ของตน ฉันจะขอบวช
เรยี นมนตนน้ั ในสํานักของบรรพชิตผูน .ี้ "
มารดาบิดาสาํ คัญใจวา ลกู ของตนบวชเรยี นมนตน น้ั แลว จักกลับมา
จึงอนุญาตวา "เรยี นเถดิ ลูก." ครั้นมารดาบดิ าอนุญาตใหน าคเสนบวชแลว
พระโรหณะผมู ีอายกุ พ็ านาคเสนไปสวู ัตตนยิ เสนาสนแ ละวิชมั ภวตั ถเุ สนาสน
แลว พกั อยทู ว่ี ชิ ัมภวตั ถุเสนาสนราตรีหนงึ่ แลว ไปสพู ืน้ ถา้ํ รกั ขติ คูหา
แลว บวชนาคเสนในทามกลางพระอรหนั ตเ จา รอยโกฏิ ณ ทนี่ นั้ .
พอบวชแลว สามเณรนาคเสนกเ็ ตือนพระเถรเจา วา "ขา พเจา ไดถ ือเพศ
ของทานแลว, ขอทา นใหมนตน ัน้ แกขาพเจา เถิด."
พระเถรเจา ตรองวา "เราจะแนะนาคเสนในอะไรกอนดหี นอ จะแนะใน
พระสตุ ตันปฎ กกอนดี หรอื จะแนะในพระอภธิ รรมปฏกกอ นด,ี " ครนั้ ตรองอยู
อยางนี้ ไดส ันนิษฐานลงวา "นาคเสนผูนี้ มปี ญญาสามารถจะเรยี นพระ
อภิธรรมปฎกไดโ ดยงา ย," จึงไดแนะใหเรยี นพระอภธิ รรมปฏกกอ น.
สามเณรนาคเสนสาธยายหนเดยี ว ก็จาํ พระอภธิ รรมปฏ กไดค ลอ งท้งั
หมดแลว จงึ บอกพระเถรเจา วา "ขอทา นหยดุ อยาสวดตอ ไปเลย; ขา พเจาจัก
สาธยายแตเพยี งเทา นก้ี อน." แลว เขา ไปหาพระอรหนั ตเ จา รอยโกฏิแลว กลา ว
วา "ขา พเจาจะสวดพระอภธิ รรมปฎ กทั้งหมดถวายโดยพสิ ดาร."
พระอรหนั ตเ จา รอ ยโกฏนิ น้ั ตอบวา "ดีละ นาคเสน ทา นสวดเถดิ ."
สามเณรนาคเสนก็สวดพระธรรมเจ็ดคมั ภีรน ้นั โดยพิสดาร ถงึ เจด็
เดือนจงึ จบ มหาปฐพบี นั ลือเสยี งลนั่ , เทวดาถวายสาธุการ, มหาพรหมตบ
พระหัตถ, เทพเจา ทง้ั หลายบนั ดาลจุรณจันทนและดอกมณั ฑทารพอันเปน
ของทพิ ยใ หตกลง ดุจหาฝนแลว. คร้นั สามเณรนาคเสนมอี ายไุ ดยสี่ บิ ป
บรบิ รู ณแลว. พระอรหันตเจา รอ ยโกฏิ กป็ ระชุมกนั ทพ่ี น้ื ถํ้ารักขติ คูหา ให
สามเณรนาคเสนอุปสมบทเปน พระภิกษ,ุ ครั้นรงุ เชาพระนาคเสนเขา ไป
บิณฑบาตในบานกบั พระอปุ ช ฌายด ํารแิ ตใ นจติ วา "พระอปุ ช ฌายข องเรา
เปน คนไมร จู กั อะไรหนอ, พระอปุ ช ฌายข องเราเปน คนเขลาหนอ, เพราะ
ทานสอนใหเ ราศึกษาพระอภิธรรมปฎกกอนกวา พระพทุ ธวจนะอน่ื ๆ.
พระโรหณะผมู ีอายผุ เู ปน พระอุปช ฌาย ไดท ราบความดําริในจติ ของ
พระนาคเสนแลว กลา ววา "นาคเสน ทานดํารไิ มสมควร, ความดํารเิ ชน นส้ี ม
ควรแกทา นกห็ ามไิ ด. "
พระนาคเสนนกึ ในใจวา "นา อศั จรรยห นอ ! พระอปุ ชฌายข องเรา
ทานมาทราบความดําริในจติ ของเรา ดว ยวารจติ ของทา น, พระอุปชฌายของ
เรา ทา นมปี ญญาแท ๆ, ถาอยางไร เราจะขอขมาใหท า นอดโทษเสีย." คร้ันคดิ
อยางนแ้ี ลว จงึ ขอขมาโทษวา "ขอทานจงอดโทษใหแกข าพเจา ตอ ไปขาพเจา
จักไมคดิ เชน นอี้ กี ."
พระเถรเจา ตอบวา "เราไมย อมอดโทษดว ยเพยี งแตสักวา ขอขมาเทา น.ี้
กแ็ ตวามีราชธานหี นง่ึ ชื่อวาสาคลนคร, พระเจาแผน ดนิ ผูครองราชสมบัตใิ น
ราชธานนี น้ั ทรงพระนามวา พระเจามิลนิ ท, เธอโปรดตรสั ถามปญ หาปรารภ
ทิฏฐลิ ัทธิตา ง ๆ ทาํ พระภกิ ษสุ งฆใหไดความลําบาก ในการที่จะกลาวแก
ปญหา ซ่งึ เธอตรัสถาม, ถา วา ทา นจะไปทรมานเธอใหเ ลอ่ื มใสไดแลว เราจึง
จะยอมอดโทษให. "
พระนาคเสนเรียนตอบวา "อยาวา แตพ ระเจามิลนิ ทองคเ ดยี วเลย, ให
พระเจาแผน ดินในชมพทู วปี ทัง้ หมด มาถามปญ หาขา พเจา ๆ จะแกป ญ หานน้ั
ทําลายลา งเสยี ใหห มด, ขอทา นอดโทษใหแ กข า พเจา เถิด" เมอื่ พระเถรเจายงั
ไมย อมอดให จึงเรียนถามวา "ถา อยา งนนั้ ในไตรมาสนี้ ขา พเจา จะไปอยูใน
สาํ นกั ของใครเลา ?"
พระเถรเจา ตอบวา "พระอสั สคตุ ตเถระผูมีอายุ ทา นอยทู ่วี ตั ตนิย
เสนาสน, ทานจงไปหาทา นแลว กราบเรยี นตามคาํ ของเราวา "พระอุปชฌาย
ของขา พเจา ใหมากราบเทา ทา น และเรยี นถามวา "ทานไมมอี าพาธเจบ็ ไข ยัง
มีกาํ ลงั ลกุ คลอ งแคลว อยูผาสุกหรือ, และสงขาพเจา มาดว ยปรารถนาจะใหอยู
ในสาํ นักของทา น สิ้นไตรมาสน;ี้ และเม่อื ทา นจะถามวา "พระอุปชฌายข อง
ทา นชอื่ ไร" ดังนแ้ี ลว, ก็เรยี นทา นวา "พระอปุ ช ฌายข องขา พเจา ชอื่ โรหณ
เถระ," และเมอื่ ทา นจะถามวา "เราชื่อไรเลา " ก็เรียนทา นวา "พระอปุ ช ฌาย
ของขา พเจา ทราบชือ่ ของทา น."
พระนาคเสนรบั คําของพระเถรเจาแลวกราบลา ทําประทกั ษณิ แลว ถือ
บาตรจีวรหลีกจาริกไปโดยลาํ ดับ ถงึ วตั ตนยิ เสนาสนแลว เขา ไปหาพระอัสส
คตุ ตเถรเจา กราบทา นแลวยนื ณ ท่ีสมควรแหงหนง่ึ เรยี นตามคําซง่ึ พระ
อุปชฌายข องตนส่ังมาทกุ ประการ.
พระอัสสคุตตเถรเจา ถามวา "ทา นชอื่ ไร ?"
น. "ขา พเจา ชอื่ นาคเสน."
อ. "พระอปุ ช ฌายของทา นชื่อไร ?"
น. "พระอปุ ช ฌายข องขาพเจา ช่ือโรหณเถระ."
อ. "เราช่อื ไรเลา ?"-
น. "พระอุปช ฌายข องขาพเจา ทราบช่ือของทา น."
อ. "ดีละ นาคเสน ทานเก็บบาตรจีวรเถิด."
พระนาคเสนเกบ็ บาตรจวี รไวแ ลว ในวนั รุงขึ้น ไดก วาดบรเิ วณตั้งนา้ํ
บว นปากและไมสีฟนไวถวาย.
พระเถรเจา กลบั กวาดทซ่ี ่ึงพระนาคเสนกวาดแลว เสยี ใหม, เทน้าํ นั้นเสยี แลว
ตกั น้าํ อน่ื มา, หยิบไมสฟี นนนั้ ออกเสยี แลว หยบิ ไมส ฟี น อันอ่นื ใช, ไมไดเจรจา
ปราศรยั แมสกั หนอยเลย. พระเถรเจาทาํ ดงั นถี้ ึงเจด็ วนั ตอ ถงึ วนั ที่เจด็ จงึ ถาม
อยา งนน้ั อกี . พระนาคเสนกเ็ รียนตอบเหมอื นนนั้ . ทานจงึ อนญุ าตใหอ ยจู ํา
พรรษาในทน่ี น้ั .
ในสมัยนั้น มมี หาอุบาสกิ าผหู นงึ่ ซงึ่ ไดอปุ ฐากพระเถรเจา มาถึง
สามสบิ พรรษาแลว เม่ือลวงไตรมาสนนั้ แลว มาหาพระเถรเจา เรียนถามวา "มี
ภกิ ษอุ นื่ มาจาํ พรรษาอยูใ นสาํ นกั ของทา นบางหรือไม ?"
ทา นตอบวา "มพี ระนาคเสนองคห นึ่ง."
มหาอบุ าสิกานน้ั จงึ นิมนตพ ระเถรเจากับพระนาคเสนไปฉนั ที่เรือนใน
วนั รุงขน้ึ . พระเถรเจา รับนมิ นตด ว ยดุษณภี าพแลว ครน้ั ลว งราตรนี น้ั ถงึ เวลา
เชาแลว ทา นครองผาตามสมณวตั รแลว ถอื บาตรจีวรไปกับพระนาคเสนเปน
ปจ ฉาสมณะตามหลงั ถงึ เรือนมหาอบุ าสกิ านนั้ แลว นง่ั บนอาสนะท่ีปูลาดไว
ถวาย. มหาอบุ าสิกานน้ั จงึ อังคาสพระเถรเจา กบั พระนาคเสนดวยของเค้ยี ว
ของฉนั อันประณตี ดวยมือของตน. คร้ันฉนั เสร็จแลว พระเถรเจา ส่งั พระนาค
เสนวา "ทา นทาํ อนโุ มทนาแกม หาอบุ าสิกาเถดิ ." ครัน้ สงั่ ดังนนั้ แลว ลกุ จาก
อาสนะหลกี ไป.
สว นมหาอบุ าสกิ านน้ั กลา วขอกะพระนาคเสนวา "ตนเปน คนแกแ ลว
ขอใหพ ระนาคเสนทาํ อนโุ มทนาแกต นดวยธรรมีกถาท่ลี กึ สขุ มุ เถิด" พระ
นาคเสนกท็ าํ อนุโมทนาแกมหาอุบาสกิ านน้ั ดว ยอภิธรรมกถาอนั ลึกละเอียด
แสดงโลกตุ ตรธรรมปฏสิ งั ยตุ ดว ยสญุ ญตานุปสสนา ขณะนน้ั มหาอบุ าสิกา
น้นั ไดธรรมจักษคุ อื ปญญาทเ่ี หน็ ธรรมปราศจากธุลีปราศจากมลทนิ คอื กเิ ลส
ในทนี่ ่งั นัน้ เองวา "สิง่ ใดส่งิ หนงึ่ มีความเกดิ ข้ึนเปน ธรรมดา สิ่งทง้ั ปวงนน้ั มี
ความดับเปน ธรรมดา" ดังน.ี้ แมพ ระนาคเสนเอง ทาํ อนุโมทนาแกอบุ าสิกา
นน้ั แลว พจิ ารณาธรรมท่ีตนแสดงอยู นงั่ เจรญิ วิปส สนาอยทู ี่อาสนะนัน้ กไ็ ด
บรรลโุ สดาปต ตผิ ล.
เวลานั้น พระอัสสคตุ ตเถรเจานง่ั ทว่ี ิหาร ทราบวา พระนาคเสนและ
มหาอุบาสิกา ไดธรรมจักษบุ รรลโุ สดาปตตผิ ลท้งั สองคน จงึ ใหสาธกุ ารวา "ดี
ละ ๆ นาคเสน ทา นยงิ ศรเลม เดยี ว ทาํ ลายกองสักกายทฏิ ฐอิ ันใหญไ ดถึงสอง
กอง." แมเทวดาท้ังหลายก็ไดถวายสาธกุ ารหลายพนั องค. พระนาคเสนลุก
จากอาสนะกลบั มาหาพระอสั สคตุ ตเถรเจา อภวิ าทแลว นงั่ ณ ทคี่ วรสวนขาง
หนง่ึ . พระเถรเจา จึงสงั่ วา "ทานจงไปสูเมอื งปาฏลิบุตร, เรียนพระพทุ ธวจนะ
ในสาํ นักแหง พระธรรมรกั ขิตเถระผูมีอายุ ซึง่ อยใู นอโสการามเถิด."
น. "เมืองปาฏลบิ ุตร แตทนี่ ้ีไปไกลก่มี ากนอ ย ?"-
อ. "ไกลรอ ยโยชน. "
น. "หนทางไกลนัก, ในกลางทางอาหารกห็ าไดยาก, ขา พเจา จะไป
อยางไรได ?"
อ. "ไปเถดิ นาคเสน, ในกลางทางทานจกั ไดบณิ ฑบาตขาวสาลที ี่
บรสิ ทุ ธ์แิ ละแกงกับเปน อนั มาก."
พระนาคเสนรบั คาํ ของพระเถรเจาแลว กราบลาทาํ ประทกั ษิณแลว ถอื
บาตรจวี รจารกิ ไปเมอื งปรากฏลบิ ตุ ร.
ในสมยั นนั้ เศรษฐชี าวเมอื งปาฎลบิ ตุ รพรอมดวยเกวยี นหารอ ยกาํ ลงั
เดนิ ทางจะไปเมืองปาฎลิบตุ รอยู. ไดเหน็ พระนาคเสนเดนิ ทางมาแตไกล, จงึ
สง่ั ใหกลบั เกวยี นหารอ ยน้ันแลว ไปหาพระนาคเสนถามวา "พระผูเ ปนเจา จกั
ไปขางไหน ?"
พระนาคเสนตอบวา "จะไปเมืองปาฏลิบุตร."
เศรษฐีชวนวา "ดีละ ขา พเจา ก็จะไปเมืองปาฏลิบตุ ร เหมอื นกัน, พระผู
เปนเจา จงไปกบั ขาพเจา เถดิ จะไดไ ปเปนสขุ " ดงั น,ี้ แลว เล่อื มใสในอริ ยิ าบถ
ของพระนาคเสน แลวองั คาสทานดวยของเคย้ี วของฉันอันประณีต ดว ยมอื
ของตนจนอม่ิ เสร็จแลว นงั่ ณ ทีอ่ าสนะตาํ่ แหงหนึ่งแลวถามวา "พระผเู ปนเจา
ชอื่ ไร ?"
น. "เราชอ่ื นาคเสน."
ศ. "พระผูเปน เจา ทราบพระพทุ ธวจนะบา งหรอื ?"
น. "เราทราบพระอภิธรรมอยูบา ง.
ศ. "เปน ลาภของขาพเจาทไี่ ดพ บกับพระผเู ปน เจา , เพราะขาพเจา ก็
เปน ผูศกึ ษาพระอภธิ รรม พระผูเปนเจา ก็เปน ผูศ กึ ษาพระอภิธรรม, ขอพระผู
เปน เจา จงแสดงพระอภิธรรมแกขาพเจา ." พระนาคเสนกแ็ สดงพระอภธิ รรมให
เศรษฐฟี ง, เมอ่ื กาํ ลงั แสดงอยูนน้ั เศรษฐีไดธรรมจักษุบรรลโุ สดาปตตผิ ล, แลว
จึงสงั่ ใหเกวียนหา รอยนน้ั ลว งหนา ไปกอนแลว สวนตวั เองมากบั พระนาคเสน
ขางหลงั ถงึ ทางสองแยกใกลเมอื งปาฏลบิ ตุ ร กห็ ยดุ ยนื ชบ้ี อกหนทางทจี่ ะไป
อโสการาม แลว ถวายผา รัตตกัมพลของตน ยาวสิบหกศอกกวา งแปดศอกแก
พระนาคเสน แลวเดินแยกทางไป.
สวนพระนาคเสนอไปถงึ อโสการามแลว เขา ไปหาพระธรรมรักขิตเถร
เจาแลว กราบเรยี นเหตทุ ีต่ นมาแลว ขอเรียนพระพุทธวจนะไตรปฎ กธรรมใน
สํานักแหง พระเถรเจา เปนแตเ พยี งสาธยายพยัญชนะคราวละหนเทา นนั้ ถึง
สามเดือนจงึ จบ ยงั ซ้ําพจิ ารณาอรรถแหง พระพทุ ธวจนะที่ไดเรียนแลว อีกสาม
เดอื นจึงตลอด. พระธรรมรกั ขติ เถรเจาเหน็ พระนาคเสนแมน ยาํ ชาํ นาญในพระ
พทุ ธวจนะไตรปฎกธรรมแลว จึงกลา วเตือนใหสตวิ า "ดกู อนนาคเสน ถงึ วา
ทานทรงพระพทุ ธวจนะไตรปฎ กไดแลว กย็ งั ไมไ ดผ ลแหง สมณปฏิบตั ิ, เหมอื น
นายโคบาลถงึ เลี้ยงโคกม็ ิไดบ ริโภคโครสเหมอื นคนอน่ื ฉะนน้ั "
พระนาคเสนเรยี นตอบพระเถรเจา วา "กลาวเตอื นดว ยวาจาเพียงเทา นี้
พอแลว" ในวนั นนั้ บําเพญ็ เพยี รก็ไดบ รรลุพระอรหตั ตผลพรอมดวยพระจตุ
ปฏิสมั ภทิ าญาณ. ขณะน้นั เทวดาไดถ วายสาธุการ, มหาปฐพบี นั ลอื เสยี งลั่น,
มหาพรหมตบพระหัตถ, เทพเจาทงั้ หลายบนั ดาลจรุ ณจ นั ทนและดอกมณั ฑา
รพอันเปน ของทพิ ยใ หต กลง ดลุ หาฝน เปน มหศั จรรย.
ครัน้ พระนาคเสนไดบ รรลพุ ระอาหัตตผลแลว พระอรหนั ตเ จารอ ยโกฏิ
ก็ประชุมกนั ทพ่ี ืน้ ถาํ้ รักขิตคูหา ณ เขาหิมพานต สง ทตู ใหนาํ ศาสนไ ปยงั สํานกั
พระนาคเสนวา "ขอพระนาคเสนอจงมาหา เราทง้ั หลายปรารถนาจะพบ" ดัง
น.ี้ พระนาคเสนไดฟ งทูตบอกดังนน้ั แลวจงึ อนั ตรธานจากอโสการาม มา
ปรากฏทีเ่ ฉพาะหนา แหง พระอรหันตเจาทง้ั หลายนนั้ . พระอรหันตเ จา ทงั้ หลาย
จงึ มคี ําสง่ั วา "นน่ั แนะ นาคเสน พระเจามลิ ินทตรสั ถามปญหาโตต อบถอ ยคาํ
ทําภิกษสุ งฆใ หไดค วามลาํ บากยงิ่ นกั , ขอทา นไปทรมานพระเจา มลิ นิ ทเถิด."
พระนาคเสน ตอบวา "ขาแตพระเถรเจา ทงั้ หลาย อยา วา แตเจา มิลนิ ท
พระองคเ ดียวเลย, ใหพระเจา แผนดินในชมพูทวีปทั้งหมดมาถามปญ หา
ขา พเจา ๆ จะวิสัชนาแกท าํ ลายลางเสียใหห มด, ขอทา นทงั้ หลายอยา ไดก ลัว
เลย จงไปสูส าคลราชธานเี ถดิ ." พระเถรเจา ทง้ั หลายกพ็ ากนั ไปสูสาคลราช
ธานี ทาํ พระนครน้ันใหเ หลอื งอรามดว ยผากาสาวพสั ตร มีสมณบรษิ ัทเดนิ ไป
มาไมขาด.
ในสมัยนั้น พระอายุปาลเถรเจา ผมู ีอายุ อาศัยอยูทส่ี งั เขยยบรเิ วณคร้ัง
น้นั พระเจา มลิ ินทตรสั ปรกึ ษาราชอมาตยท ง้ั หลายวา "คนื วันน้เี ดอื นหงายนา
สบายนกั , เราจะไปสากจั ฉาถามปญ หากะสมณะหรือพราหมณผ ูไหนดหี นอ,
ใครจะสามารถเจรจากบั เรา บรรเทาความสงสยั เสียได ?"
ราชอมาตยเหลา นนั้ กราบทลู วา "มพี ระเถระรูปหนง่ึ ชือ่ อายปุ าละได
เลา เรยี นพระคมั ภีรแตกฉาน เปน พหุสตุ ทรงพระไตรปฎก, ในเวลานที้ า นอยทู ี่
สงั เขยยบริเวณ, ขอพระองคเ สดจ็ ไปถามปญหากะพระอายุปาลเถระนนั้ เถิด"
พระเจามลิ ินทรร ับสง่ั วา "ถา อยางนน้ั ทานทง้ั หลายจงไปแจงความแก
ทานใหท ราบกอ น"
เนมิตตกิ อมาตยร ับสง่ั แลว จงึ ใชท ตู ไปแจง แกพระ อายปุ าลเถรเจา วา "
พระราชามีพระประสงคจ ะใครเ สด็จพระราชดําเนินมาพบพระเถรเจา ." พระ
เถรเจา กถ็ วายโอกาสวา "เชิญเสดจ็ มาเถดิ ."
จงึ พระเจา มลิ นิ ทเ สดจ็ ขน้ึ ทรงรถพระท่ีนง่ั พรอ มดว ยอมาตยชาติโยนก
หารอ ยหอ มลอ มเปน ราชบรวิ าร เสดจ็ พระราชดาํ เนนิ มาถึงสังเขยยบริเวณ
วหิ ารแลว เสดจ็ ไปยังสํานกั พระอายุปาลเถรเจา ทรงพระราชปฏสิ นั ถาร
ปราศรยั กับพระเถรเจาพอสมควรแลว เสดจ็ ประทับ ณ สว นขา งหนง่ึ จงึ
ตรัสถามปญหากะพระเถรเจา ดงั น:้ี
ม.ิ "บรรพชาของพระผูเปน เจา มปี ระโยชนอ ยา งไร, และอะไรเปน
ประโยชนท พี่ ระผูเ ปน เจา ประสงคเปน อยา งยง่ิ ?"
อา. "บรรพชามีประโยชนท ีจ่ ะไดประพฤตใิ หเปน ธรรม ประพฤติให
เสมอ."
มิ. "ใคร ๆ แมเ ปน คฤหสั ถท ่ปี ระพฤติเปน ธรรม ประพฤตเิ สมอได มอี ยู
บางหรอื ไม ?"
อา. "ขอถวายพระพร มอี ย,ู คอื เมื่อพระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงพระ
ธรรมจกั ร ทีป่ า อสิ ิปตนมคิ ทายวนั ใกลก รุงพาราณส,ี คร้ังนน้ั พรหมไดบ รรลุ
ธรรมาภสิ มยั ถงึ สบิ แปดโกฏิ, สว นเทวดาซง่ึ ไดบรรลุธรรมาภสิ มัยเปน อนั มาก
พน ท่จี ะนับได; พรหมและเทวดาเหลา นน้ั ลว นเปน คฤหสั ถ มใิ ชบรรพชติ อนง่ึ
เมือ่ ทรงแสดงมหาสมยสูตร มงคลสตู ร สมจิตตปริยายสูตร ราหุโลวาทสตู ร
และปราภวสตู รเทวดาไดบ รรลุธรรมาภสิ มัยเปน อนั มากเหลอื ท่ีจะนบั ได;
เทวดาเหลา นล้ี ว นเปน คฤหสั ถ มใิ ชบรรพชิต."
มิ. "ถา อยางนนั้ บรรพชาของพระผูเปน เจา กไ็ มมีประโยชนอะไร, ตกลง
เปนพระสมณะเหลาศากยบตุ ร บวชและสมาทานธดุ งค เพราะผลวิบากแหง
บาปกรรมท่ีตนทาํ ไวแ ตปางกอ น คือ ภกิ ษใุ ด ถือเอกาสนิกธดุ งค, ชะรอยใน
ปางกอ นภกิ ษนุ นั้ จะเปน โจรลักโภคสมบัตขิ องคนอ่ืนเปน แน; เพราะโทษที่แยง
ชิงโภคสมบตั ขิ องเขา เดี๋ยวนีจ้ งึ ตอ งนง่ั ฉันอาหารในทอ่ี นั เดยี ว ไมไดฉ ันตาม
สบาย ดว ยผลวิบากแหง กรรมอันนนั้ .
อน่ึง ภกิ ษุใด ถอื อพั โภกาสกิ าธดุ งค, ชะรอยในปางกอ นภกิ ษุนนั้ จะ
เปนโจรปลน บา นเขาเปน แน; เพราะโทษทที่ าํ เรอื นเขาใหฉ บิ หาย เด๋ียวนี้จงึ
ตอ งอยูแตในทีแ่ จง ไมไ ดอ าศยั ในเสนาสนะ ดวยผลวบิ ากแหง กรรมอันน้ัน.
อนึง่ ภิกษุใด ถือเนสัชชกิ ธุดงค, ชะรอยในปางกอ นภกิ ษนุ ั้น จะเปน โจร
ปลนในหนทางเปลี่ยวเปนแน; เพราะโทษท่ีจับคนเดนิ ทางมาผกู มัดใหน ง่ั แกรว
อยู เด๋ยี วน้จี งึ ตองนงั่ แกรว ไมไดน อน ดว ยผลวิบากแหง กรรมอันนนั้ ; ศลี ของ
เธอไมม ี ความเพยี ร (ทรมานกิเลส) ของเธอไมม ี พรหมจรรยของเธอไมม ี."
เมื่อพระเจา มลิ ินทต รสั เชน น้ี พระเถรเจา กน็ ่ิงอน้ั ไมท ลู ถวายวิสชั นา
อยางไรอีกได. ราชอมาตยทง้ั หลายนั้นจงึ กราบทูลวา "พระเถรเจา เปน คนมี
ปญญา, แตไ มก ลา จงึ มไิ ดท ูลถวายวิสชั นาอยา งไรอีกได." คร้ันพระเจามิลนิ ท
ทอดพระเนตรเห็นพระเถรเจา นง่ิ อนั้ กต็ บพระหัตถ ทรงพระสรวลแลว ตรัสกะ
อมาตยท ง้ั หลายวา "ชมพทู วปี นวี้ า งเปลาทีเดียวหนอ, ไมมสี มณะพราหมณผ ู
ไหน สามารถจะเจรจากบั เรา บรรเทาความสงสัยเสยี ได" ดังน้แี ลว , เหลียว
ทอดพระเนตรเห็นหมูอมาตยมไิ ดห วาดหวน่ั ครั่นคราม มไิ ดเ กอเขนิ จงึ ทรง
พระราชดําริวา "ชะรอยจะมภี กิ ษอุ ะไรอน่ื ๆ ที่ฉลาดสามารถจะเจรจากบั เรา
อีกเปนแมน มนั่ , ชาวโยนกเหลานีจ้ ึงไมเ กอ เขิน" ดังนีแ้ ลว , ตรสั ถามอมาตย
ท้งั หลายนนั้ วา "ยงั มีภกิ ษอุ ะไรอ่ืน ทฉ่ี ลาดสามารถจะเจรจากบั เรา บรรเทา
ความสงสยั เสยี ได อีกบา งหรอื ?"
ในกาลนนั้ พระนาคเสนเถรเจาอยทู ส่ี งั เขยยบรเิ วณนน้ั กบั ภิกษสุ งฆ
แปดหม่นื รปู , เทวมนั ติยอมาตยจงึ กราบทลู วา "ขอพระองคท รงรอกอน ยังมี
พระเถระอีกรปู หนง่ึ ชอ่ื วา นาคเสน เปน บณั ฑิต มปี ญ ญาเฉยี บแหลมวอ งไว
กลาหาญ เปน พหุสตุ พดู ไพเราะ มีความคดิ ดี บรรลุบารมธี รรม แตกฉานใน
พระจตุปฏสิ ัมภทิ า สามารถทราบเหตุผล ฉลาดในโวหาร มปี ฏิภาณคลอ งแค
ลว , บัดนท้ี า นอยูสงั เขยยบรเิ วณ, พระองคเ สด็จไปถามปญ หากะทา นเถิด,
ทานสามารถจะเจรจากับพระองคบรรเทาความสงสัยเสยี ได. "
พอพระเจา มิลนิ ทไดทรงสดบั เสยี งออกช่ือวา นาคเสน ดงั นนั้ ใหทรง
กลวั ครน่ั ครามสยดสยอง (แข็งพระหฤทยั ) ตรัสถามเทวมันตยิ อมาตยว า "
ทา นสามารถจะเจรจากับเราไดห รือไม ?"
เทวมนั ตยิ อมาตยกราบทูลวา "หากวา จะเจรจากับเทพเจาซงึ่ มีฤทธิ
อํานาจ มที า วโกสยี เปน ตน หรือกับทาวมหาพรหม ทานยงั สามารถ, เหตไุ ฉน
จักไมอาจเจรจากบั มนุษยไดเ ลา."
พระเจามิลินทจ งึ รับสั่งใหเทวมนั ตยิ อมาตยใชท ตู ไปแจงแกทาน, คร้ัน
ทานถวายโอกาสแลว, ก็เสด็จไปสูสังเขยยบรเิ วณ.
เวลานน้ั พระนาคเสนเถรเจา พรอมดวยภิกษสุ งฆแ ปดหมน่ื รูปนงั่ อยทู ่ี
มณฑลมาลก (วหิ ารกลม) พระเจามิลนิ ทไ ดท อดพระเนตรเห็นบรษิ ทั ของพระ
เถรเจาแตไกลแลว , ตรัสถามเทวมนั ติยอมาตยวา "นั่นบรษิ ทั ของใคร จงึ ใหญ
ถึงเพียงน.้ี "
เทวมนั ติยอมาตยก ราบทลู วา "บรษิ ทั ของพระนาคเสนเถรเจา" ทา ว
เธอกย็ ง่ิ ทรงครนั่ ครา มขามขยาด แตเกรงราชบรพิ ารจะดหู มิน่ ได จึงสะกดพระ
ทยั ไวม น่ั ตรัสแกเ ทวมนั ติยอมาตยวา "ทานอยา เพอ บอกตัวพระนาคเสนแก
เราเลย, เราจะหาพระนาคเสนใหรูจกั เอง, ไมตองบอก."
เทวมนั ติยอมาตยกราบทูลวา "จะทรงทอดพระเนตรหาพระนาคเสนให
รจู ักเองนน้ั ชอบแลว ."
ในพระภิกษสุ งฆน นั้ พระนาคเสนเถรเจา ออ นกวา ภกิ ษสุ หี่ มน่ื รูป ซึ่ง
นั่งอยหู นา, แกก วา ภิกษสุ ห่ี ม่ืนรปู ซง่ึ นง่ั อยูห ลงั . พระเจา มลิ นิ ทท อดพระเนตร
ภิกษสุ งฆท ัง้ ขา งหนา ขางหลงั และทา มกลาง ไดทอดพระเนตรเหน็ พระนาค
เสนเถรเจา นง่ั อยใู นทา มกลางแหง ภกิ ษสุ งฆ (มีทา ทางองอาจ) ปราศจาก
ความกลวั และครัน่ ครา ม, กท็ รงทราบโดยคาดอาการวา "องคน น้ั แหละพระ
นาคเสน" ดังนแ้ี ลว ตรัสถามเทวมนั ตยิ อมาตยว า "องคน น้ั หรอื พระนาคเสน."
เทวมนั ตยิ อมาตยกราบทูลรบั วา "พระพทุ ธเจาขา องคน น้ั แหละ พระ
นาคเสน, พระองคทรงรูจ กั ทา นถกู แลว ." พระเจามลิ นิ ทท รงยินดวี า "พระองค
ทรงรจู ักทานถกู แลว ." พระเจา มลิ ินทท รงยนิ ดวี า "พระองคท รงรูจกั พระนาค
เสนเอง ไมตองทูล." พอทรงรูจักพระนาคเสนแลว กท็ รงกลวั คร่ันครา มสยด
สยองยงิ่ ขึ้นกวา เกาเปนอนั มาก.
พาหิรกถาเรอ่ื งนอกปญหา จบ
มลิ ินทปญหา
วรรคทหี่ น่งึ
๑. นามปญหา ๑
ลาํ ดบั นน้ั พระเจา มลิ นิ ท เสดจ็ เขาไปใกลพระนาคเสนเถรเจา แลว ทรง
ทาํ พระราชปฏสิ ันถารกับพระเถรเจา ดว ยพระวาจาปราศรัยควรเปนทต่ี ง้ั แหง
ความยนิ ดี และควรเปนที่ใหร ะลกึ
อยใู นใจเสร็จแลว เสด็จประทบั สวนขางหนึ่ง. แมพ ระเถรเจากท็ าํ ปฏิสนั ถาร
ดวยวาจาปราศรยั อนั เปน เครือ่ งทาํ พระหฤทัยของพระเจา มลิ นิ ท ใหย นิ ดีเหมอื นกัน.
ครัน้ แลว พระเจา มลิ นิ ท ตรัสถามพระเถรเจา วา "ชนทั้งหลายเขารจู ัก
พระผเู ปน เจา วา อยา งไร, พระผูเปน เจา มนี ามวา อยางไร."
พระเถรเจา ทูลตอบวา "ชนทง้ั หลายเขารูจกั อาตมภาพวา 'นาคเสน,'
ถึงเพอื่ นสพรหมจารีทงั้ หลาย กเ็ รียกอาตมภาพวา 'นาคเสน,' แตโยมตั้งชื่อวา
'นาคเสน' บา ง วา 'สูรเสน' บา ง วา 'วรี เสน' บาง วา 'สีหเสน' บา ง, ก็แตคาํ วา 'นาค
เสน' นี้ เปน แตเพียงชือ่ ทนี่ บั กนั ท่ีรกู นั ทต่ี ัง้ กัน ทเี่ รยี กกัน เทา นน้ั , ไมมตี วั บุคคลทจ่ี ะ
คน หาไดในชอื่ น้นั ."
ขณะนัน้ พระเจามลิ นิ ทตรัสประกาศวา "ขอพวกโยนกอมาตย
หารอย และภิกษุสงฆแ ปดหมนื่ จงฟงคําขา พเจา , พระนาคเสนองคน้ี กลา ววา "ไมม ี
ตัวบคุ คลท่ีจะคน หาไดในชอื่ นัน้ ," ควรจะชอบใจคํานนั้ ไดล ะหรือ." แลว จงึ ตรัสถามพระ
นาคเสนวา "ถาวา ไมม ีตัวบคุ คลท่จี ะคนหาได, ใครเลา ถวายจตุปจจยั คอื จวี ร
บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านเภสชั แกพ ระผูเปนเจา, ใครฉัน
จตุปจ จยั นน้ั , ใครรักษาศลี , ใครเจรญิ ภาวนา, ใครทาํ มรรคผลนิพพานใหแ จง .
ใครฆาสตั วม ีชวี ิต, ใครถอื เอาสิง่ ของทีเ่ จา ของไมไ ดใ หแ ลว , ใครประพฤตผิ ิดในกาม
ทั้งหลาย, ใครพูดเทจ็ , ใครด่ืมน้ําเมา, ใครทําอนนั ตรยิ กรรมหา อยา ง; เหตุนน้ั ไมม กี ศุ ล,
ไมม อี กศุ ล, ไมมีผูทําเองก็ดี ผใู ชใ หท าํ กด็ ี ซึ่งกรรมทเี่ ปน กศุ ลและอกศุ ล, ไมมผี ลวิบาก
ของกรรมทท่ี ําดีทําชวั่ แลวนะซ,ิ ถา ผใู ดฆา พระผูเปน เจา ตาย ไมเ ปน ปาณาตบิ าตแกผ ู
นั้นนะซ,ิ อนึง่ อาจารยกด็ ี อปุ ชฌายก ด็ ี อปุ สมบทก็ดี ของพระผเู ปน
เจากไ็ มมนี ะซ;ิ พระผูเปน เจา กลาววา "เพ่อื นสพรหมจารที ั้งหลายเรียกอาตม
ภาพวา 'นาคเสน' ดงั น,้ี อะไรชื่อวา นาคเสนในคํานน้ั , ผมหรือ พระผูเปน เจา ชือ่ วา นาค
เสน."
เมอ่ื พระเถรเจา ทลู วา "มใิ ช." จงึ ตรัสไลต อ ๆ ไปจนตลอดอาการ
สามสบิ สองโดยลําดบั วา "ขน เล็บ ฟน หนงั เนอ้ื เอน็ กระดกู เยอ่ื ในกระดกู มา ม
หวั ใจ ตับ พงั ผืด ไต ปอด ไส สายรดั ไส อาหารใหม อาหารเกา ดี มวก หนอง เลอื ด
เหงื่อ มนั ขน นา้ํ ตา เปลวมนั น้ําลาย นํ้ามกู ไขขอ มูตร มนั ในสมอง แตล ะอยาง ๆ วา
เปนนาคเสนหรอื ?"
พระเถรเจา ก็ทลู ตอบวา "มใิ ช."-
จึงตรัสไลว า "เบญจขันธ คือ รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ แต
ละอยา ง ๆ วาเปน นาคเสนหรอื ?"
พระเถรเจา กท็ ลู ตอบวา "มิใช."
จงึ ตรสั ไลวา "รวมทง้ั รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณหรอื ชอ่ื วา
นาคเสน, หรือนาคเสน จะมนี อกจากรูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ."
พระเถรเจา กท็ ลู ตอบวา "มิใช ๆ ทกุ ขอ ." เมอ่ื เปนทีฉะนแ้ี ลว จงึ ตรัสเยย
วา "ขา พเจาถามพระผเู ปนเจา ไป กไ็ มพ บวา อะไรเปน นาคเสน, หรือเสียงเทานน้ั แหละ
เปน นาคเสน, หรืออะไรเปน นาคเสนในคํานัน้ , พระผูเปน เจาพูดมสุ าวาทเหลวไหล, ไมมี
นาคเสนสักหนอ ย."
เม่อื พระเถรเจา จะถวายวิสชั นาแกปญ หานนั้ จงึ ทลู บรรยายเปน
ปราศรัย เพือ่ ออ มหาชอ งใหพ ระเจา มิลินท ตรสั ตอบใหไ ดที อยา งนก้ี อนวา "พระองค
เปนพระมหากษัตริยเจริญในความสขุ ลว งสวนแหง สามญั ชน, พระองคเสด็จมาถงึ
กาํ ลังเทีย่ ง พนื้ แผนดินกาํ ลงั รอ นจัด ทรายตามทางกก็ าํ ลังรอนจดั ถาทรงเหยยี บกอน
กรวดกระเบือ้ งและทรายทก่ี าํ ลังรอ นจัด เสด็จพระราชดําเนินมา
ดวยพระบาทแลว พระบาทคงจะพอง, พระกายคงจะลาํ บาก, พระหฤทยั คง
จะเหน่ือยออน, พระกายวิญญาณท่ีกอปรดว ยทกุ ขคงจะเกดิ ขึน้ เปน แน, พระองคเ สด็จ
พระราชดาํ เนนิ มาดว ยพระบาท หรอื ดว ยราชพาหนะ ?"
พระเจามลิ ินทต รสั ตอบวา "ขาพเจา ไมไดเดินมา, ขาพเจา มาดว ยรถ."
พระเถรเจา ไดทจี ึงทูลวา "ถา พระองคเสดจ็ พระราชดาํ เนนิ มาดว ยรถ,
ขอจงตรัสบอกแกอ าตมภาพวา อะไรเปน รถ งอนหรอื เปนรถ."
พระเจา มลิ ินทต รัสตอบวา "มใิ ช."
พระเถรเจา จงึ ทลู ถามตอไปอกี วา "เพลา ลอ เรอื น คนั แอก สายขับ
แส แตล ะอยาง ๆ วา เปน รถหรือ ?"
พระเจามิลินทก ็ตรสั ตอบวา "มิใช."
พระเถรเจา ทลู ถามวา "หรอื สมั ภาระเหลา นนั้ ทงั้ หมดเปน รถ, หรอื วา รถ
นนั้ สง่ิ อ่นื นอกจากสมั ภาระเหลา นนั้ ?"
พระเจา มลิ นิ ทก ต็ รัสวา "มใิ ช. "
พระเถรเจา จงึ ทูลเปนคาํ เยย วา "อาตมภาพทลู ถามพระองคไปก็ไมพ บ
วา อะไรเปนรถ, หรอื เสียงเทาน้นั แหละเปนรถ, หรืออะไรเปนรถในคาํ นนั้ , พระองคต รสั
มสุ าวาทเหลวไหล, ไมมรี ถสกั หนอย พระองคเปน ถงึ ยอดพระเจาแผน ดนิ ทว่ั พน้ื ชมพู
ทวปี , พระองคท รงกลวั ใครจงึ ตองตรสั มสุ าเชน น้ี ขอโยนกามาตยหา รอ ย กบั ภกิ ษสุ งฆ
แปดหมื่น จงฟง คําขา พเจา , พระเจา มิลนิ ทพ ระองคน้ีตรสั วา 'พระองคเ สด็จมาดวยรถ.'
ขา พเจา ทลู ใหท รงแสดงวา อะไรเปนรถ กท็ รงแสดงใหปรากฏไมไ ด, ควรจะชอบใจคําที่
ตรสั น้นั ไดล ะหรอื ?"-
เมื่อพระเถรเจา กลา วฉะน้แี ลว โยนกามาตยห า รอย ไดถวายสาธกุ าร
แกพ ระเถรเจา แลว ทลู พระเจา มลิ นิ ทว า "บัดนถี้ า พระองคสามารถ กต็ รัสแกป ญหานัน้
เถิด."
พระเจามิลนิ ท จงึ ตรัสกบั พระเถรเจา วา "ขาพเจา ไมไ ดพดู มสุ า, อาศัย
ทง้ั งอน ทงั้ เพลา ท้ังลอ ทงั้ เรอื น ทง้ั คัน เขา ดวยกนั จงึ ไดชอ่ื วารถ."
พระเถรเจา จึงตอบวา "พระองคทรงรูจกั รถถูกแลว ขอ นีฉ้ นั ใด; อาศัย
ทั้งผม ทง้ั ขน จนถงึ มนั ในสมอง อาศยั ทง้ั รปู ท้ังเวทนา ทั้งสัญญา ทงั้ สังขาร ท้งั
วิญญาณ จงึ มชี ื่อของอาตมภาพวา นาคเสนฉนั น้ัน. กแ็ ตวา โดยปรมัตถแลว ไมมีตวั
บคุ คลทจี่ ะคนไดใ นชื่อน้นั . แมคํานี้ นางวชริ าภกิ ษณุ ี ได
ภาษิต ณ ทีเ่ ฉพาะพระพกั ตรแ หง พระผูมพี ระภาคเจา วา 'เหมอื นอยางวา
เพราะอาศัยองคท่เี ปน สัมภาระ จงึ มีศัพทก ลาววา 'รถ' ดงั นี้ ฉนั ใด, เม่อื ขนั ธทงั้ หลายมี
อยู กม็ คี าํ สมมตวิ า 'สตั ว' เหมอื นกนั ฉันนั้น." เม่อื พระเถรเจาถวายวสิ ัชนาความกลา ว
แกปญ หาฉะนแ้ี ลว, พระเจา มลิ นิ ท ทรงอนโุ มทนาวา "ขอที่พระผเู ปน เจา วิสชั นาปญ หา
นน้ั เปน อัศจรรย นา ประหลาดจริง, พระผูเปน เจาวิสัชนาปญ หาวจิ ติ รยง่ิ นัก, ถา
พระพทุ ธเจา ยงั ดาํ รงพระชนมอยู คงจะประทานสาธกุ ารเปนแน, พระ
ผูเปน เจา กลาวแกปญหาวจิ ติ รยิง่ นัก ดีแทช อบแท."
๒. วัสสปญหา ๒
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา พรรษาเทา ไร ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวา "อาตมภาพมพี รรษาเจด็ ."
ร. "อะไรช่ือวาเจ็ด, พระผูเปน เจา ช่ือวา เจด็ หรอื การนบั ชือ่ วาเจ็ด ?"
ในเวลานน้ั เงาของพระราชาอันทรงเครอ่ื งอยางขัติยราช ปรากฏอยู ณ
พน้ื แผน ดนิ และปรากฏอยทู ่หี มอนา้ํ .
ถ. "เงาของพระองคน ้ี ปรากฏอยูทพ่ี นื้ แผน ดินและทห่ี มอ น้ํา, พระองค
เปน พระราชา หรือวา เงาเปน พระราชา ?"
ร. "ขา พเจา เปน พระราชา, เงานมี้ ใิ ชพ ระราชา, กแ็ ตวาเงาน้ีอาศยั
ขา พเจา เปน ไป."
ถ. "ขอ นีฉ้ ันใด ความนับพรรษาช่ือวา เจ็ด, อาตมภาพมิไดช ื่อวาเจ็ด, ก็
แตค ําวา เจ็ดนน้ั อาศยั อาตมภาพเปน ไป เหมือนอยา งเงาของพระองค ฉันนนั้ ."
ร. "พระผเู ปน เจา กลา วแกปญ หาเปน อศั จรรย นาประหลายจริง
ปญ หาที่พระผเู ปน เจา กลา วแกว จิ ติ รยงิ่ นกั ."-
๓. เถรตกิ ขปฏิภาณปญหา ๓
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปนเจา จกั เจรจากับขา พเจา ไดหรือ ?"
พระเถรเจา ทูลวา "ถา พระองคจ กั ตรสั อยางบัณฑิต, อาตมภาพจกั
เจรจาดว ยได; กถ็ า วาพระองคจกั ตรัสอยางพระเจา แผน ดนิ , อาตมภาพจักเจรจาดว ย
ไมได."
ร. "บณั ฑิตทงั้ หลายเจรจากนั อยางไร ?"
ถ. "เมอ่ื บณั ฑติ เจรจากัน เขาผกู ปญ หาไลบ าง เขาแกปญ หาบา ง, เขา
พดู ขมบา ง, เขายอมรับบา ง, เขาเจรจาแขงบา ง, เขากลบั เจรจาแขง บาง, เขาไมโกรธ
เพราะการท่เี จรจากันนน้ั , บณั ฑติ ทั้งหลายเจรจากนั อยา งน.ี้ "
ร. "พระเจาแผน ดนิ ทงั้ หลาย ตรัสกันอยา งไร ?"
ถ. "เมือ่ พระเจา แผน ดนิ ตรสั นน้ั พระองคต รัสเรื่องหนงึ่ อย,ู ผใู ดขัดขึ้น
กล็ งพระราชอาชญาแกผนู น้ั ; พระเจาแผน ดนิ ทง้ั หลาย ตรัสกนั อยางน.้ี "
ร. "ขา พเจา จกั เจรจาอยา งบณั ฑติ ไมเ จรจาอยา งพระเจา แผน ดนิ , ขอ
พระผูเปน เจา จงเจรจาตามสบาย, เหมือนเจรจากบั ภกิ ษุก็ดี กบั สามเณรก็ดี กบั อบุ าสก
ก็ดี กับคนรกั ษาอารามกด็ ี ขอพระผเู ปน เจา อยา กลวั เลย."
ถ. "ดแี ลว ."
ร. "พระผูเปน เจา ขาพเจา จะขอถามไดห รอื ?"
ถ. ตรสั ถามเถดิ ."
ร. "ขาพเจา ถามพระผูเปน เจา แลว."
ถ. "อาตมภาพวิสชั นาถวายแลว ."
ร. "พระผูเปน เจาวิสัชนาวาอะไร ?"
ถ. "พระองคต รสั ถามวา อะไร ?"
ในเพลานน้ั พระเจา มลิ นิ ทท รงพระราชดาํ รวิ า "พระภิกษอุ งคน ้มี ปี รชี า
สามารถจะเจรจากบั เรา, และขอทเ่ี ราจะตอ งถามกย็ งั มีอยมู าก, ยังไมท ันจะถามหมด
ตะวนั จะตกเสยี กอ น, อยาอยางนนั้ เลย พรุงน้เี ราจงึ คอยเจรจากนั ใหมท ่ใี นวงั ." ครัน้ ทรง
พระดาํ ริฉะนแ้ี ลว จงึ มพี ระราชดาํ รัสส่ังเทวมนั ตยิ อมาตย ใหอ าราธนาพระเถรเจา เขา ไป
เจรจากบั พระองคทใี่ นพระราชวงั ในวนั พรงุ น้ี แลว เสดจ็ ลกุ จากราชอาสนท รงลาพระเถร
เจาแลว ทรงมา พระที่นง่ั เสดจ็ กลับไป นกึ บน อยใู นพระราชหฤทัยวา "พระนาคเสน ๆ"
ดังน.ี้
ฝายเทวมนั ติยอมาตย กอ็ าราธนาพระเถรเจา ตามรับสงั่ , พระเถรเจา ก็
รับจะเขาไป. ครั้นลวงราตรนี ั้นแลว อมาตยส ่ีนายคือเทวมนั ติยอมาตย หนึ่ง อนนั กาย
อมาตย หนง่ึ มังกรุ อมาตย หนงึ่ สพั พทนิ นอมาตย หนง่ึ เขาไปกราบทลู ถามวา "จะ
โปรดใหพ ระนาคเสนเขามาหรือยัง." เมอื่ รับสง่ั อนุญาตวา "นิมนตท า นเขา มาเถิด." จงึ
ทูลถามอกี วา "จะโปรดใหท า นมากบั ภิกษสุ งฆกี่รปู ." เม่อื รบั สัง่ วา "ทานประสงคจะมา
กบั ภิกษสุ งฆก รี่ ูปกม็ าเถิด." สัพพทนิ น อมาตย จงึ กราบทูลวา "ใหทา นมา
กับภิกษุสงฆส กั สิบรปู หรอื ?" กร็ บั ส่งั ยนื คาํ อยูว า "จะมากร่ี ูปก็มาเถดิ ." สพั พ
ทนิ นอมาตยท ลู ถามและตรสั ตอบดงั น้ันถงึ สองครง้ั , ครน้ั คร้งั ทส่ี าม สพั พทินนอมาตย
ทลู ถามอกี จึงตรสั ตอบวา "เราไดจ ัดเครื่องสักการไวเ สรจ็ แลว, จึงพดู วา "ทา นประสงค
จะมากบั ภกิ ษสุ งฆก รี่ ปู ก็มาเถิด, แตส ัพพทนิ นอมาตยผนู พ้ี ดู ไปเสียอยางอื่น, เราไม
สามารถจะถวายโภชนทานแกภ กิ ษุทง้ั หลายหรอื ." คร้นั ตรสั ดังนแ้ี ลว สพั พทินนอมาตย
กเ็ กอ มิอาจทลู อีกได, จึงอมาตยอีกสามนายไปสสู าํ นักพระนาคเสนเถร
เจาแลว แจง ความวา "ขา แตพระผเู ปน เจา พระราชามพี ระราชดํารสั วา 'พระผู
เปนเจา ประสงคจะมากับภิกษุสงฆก่ีรูปกม็ าเถดิ ." ในเพลาเชา วันนน้ั พระนาคเสนเถร
เจาครองผาตามสมณวัตรแลว ถอื บาตรจวี รพรอ มดวยภิกษสุ งฆแ ปดหม่นื สพ่ี นั รปู เขา
ไปสพู ระนครสาคลราชธาน.ี
๔. อนนั ตกายปญ หา ๔
อนนั ตกายอมาตยเ ดนิ เคียงพระนาคเสนอยู ถามทา นวา "ขอทพี่ ระผู
เปน เจา พูดวา นาคเสน นั้น ใครเปน นาคเสนในคาํ ทพี่ ดู นน้ั ."
พระเถรเจา ถามวา "ทานเขาใจวา อะไรเลาเปน นาคเสน ในคํานน้ั ?"
อนนั ตกายอมาตยตอบวา "ขาพเจา เขา ใจวา ลมภายในอนั ใดที่เปน
ชีวิตเดินเขาออกอยูนนั่ แหละเปนนาคเสน."
ถ. "กถ็ าลมน้นั ออมาแลว ไมกลบั เขา ไปอกี กด็ ี เขา ไปแลวไมก ลับออก
มาอกี กด็ ี คนนัน้ จะเปน อยุไดห รือ ?"
อ. "คนนน้ั จะเปนอยูไมไดเ ลย."
ถ. "ผูใ ดเปา สงั ข ลมของผนู นั้ กลบั เขาไปอีกหรือ ?"
อ. "หามมิได. "
ถ. "ผใู ดเปาขลุย ลมของผนู น้ั กลับเขาไปอีกหรอื ?"
อ. "หามไิ ด. "
ถ. "ผูใ ดเปาเขนง ลมของผนู นั้ กลบั เขาไปอกี หรอื ?"
อ. "หามไิ ด. "
ถ. "กเ็ มื่อเปนเชน น้ี เหตุไฉน เขาไมตายเลา ?"
อ. "ขา พเจา ไมส ามารถเจรจากบั พระผเู ปนเจาผชู างพูดได, ขอพระผู
เปนเจา ขยายความเถดิ ."-
พระเถรเจา ไดกลา วอภิธรรมกถาวา "ลมหายใจเขาออกนนั้ ไมใชช วี ิต
เปน แตก ายสงั ขาร คือ สภาพทบ่ี าํ รุงรา งกาย."
อนนั ตกายอมาตยเ ลือ่ มใสแลว ประกาศตนเปนอบุ าสก.
๕. ปพ พัชชาปญ หา ๕
พระนาคเสนเถรเจาไปถงึ พระราชนเิ วศนแลว กน็ ง่ั ลงบนอาสนะท่ีปู
ลาดไวทา . พระราชทรงองั คาสพระเถรเจาพรอมทง้ั บริษทั ดวยชชั ะโภชชาหารอัน
ประณีต ดวยพระหัตถข องพระองคเอง คร้ันเสร็จภัตตกจิ แลว ทรงถวายคูผา แก
พระภกิ ษสุ งฆ ทรงถวายไตรจีวรแกพระนาคเสนเถรเจา ให
ครองทวั่ กนั ทกุ รูปแลว ตรัสกะพระเถรเจา วา "ขอพระผเู ปน เจา จงน่ังอยูทน่ี ี่กบั
พระภกิ ษสุ ักสบิ รปู , พระภกิ ษุท่เี หลือจะกลับไปกอนกไ ด. ดงั นี้แลว ; เสด็จประทบั ณ ราช
อาสนซง่ึ ปลู าดไวใ หต่าํ กวา อาสนแ หง พระเถรเจาในทีค่ วรสว นหนงึ่ แลว , ตรสั ถามพระ
เถรเจาวา "พระผเู ปนเจา จะสังสนทนากนั ในขอ ไหนดหี นอ ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "เราจะสงั สนทนากนั น้ี ก็ประสงคแ ตใจความ
เทา นน้ั , ควรจะสงั สนทนากนั แตใจความ."
"บรรพชาของพระผูเ ปนเจา มีประโยชนอ ยา งไร ? และอะไรเปนคณุ ท่ี
ตองประสงคเ ปน อยางยง่ิ ของพระผูเปน เจา ?"
"บรรพชาของอาตมภาพมปี ระโยชนท จี่ ะไดท ราบวา ทาํ อยา งไรทกุ ขน ี้
จะดบั ไป และทกุ ขอ ่ืนจะไมเ กิดข้ึน, อนปุ าทาปรนิ พิ พาน (การดับหมดเชอ้ื ) เปนคุณที่
ตอ งประสงคเปน อยา งยงิ่ ของอาตมภาพ."
ร. "บรรดาบรรพชิตบวชเพื่อประโยชนอยา งนนั้ หมดดวยกันหรอื ?"
ถ. "หามิได, บรรพชติ บางพวกบวชเพอ่ื ประโยชนอยางนนั้ , บาง
พวกบวชหนพี ระเจา แผนดนิ , บางพวกบวชหนโี จร, บางพวกบวชหลบหน,ี้ บางพวกบวช
เพ่อื จะอาศยั เลี้ยงชวี ติ ; แตผใู ดบวชดบี วชชอบ ผนู นั้ บวชเพอ่ื ประโยชนอ ยา งน้ัน."
ร. "กพ็ ระผูเปน เจาเลา บวชเพอื่ ประโยชนอ ยา งนน้ั หรอื ?"
ถ. "อาตมภาพบวชแตยังเปน เด็ก ไมทราบวา ตัวบวชเพ่ือประโยชนน ้ี ๆ,
กแ็ ตว า อาตมภาพคดิ เหน็ วา พระสมณศากยบตุ รเหลา นเี้ ปน คนมปี ญ ญา, ทานคงจกั
ใหเ ราศกึ ษาสาํ เหนียกตาม' ดงั น้ี เพราะทา นใหอ าตมภาพศกึ ษาสาํ เหนียกจงึ ไดทราบ
วา บรรพชานนั้ กเ็ พอ่ื ประโยชนน ี้ ๆ."
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจริง ๆ."-
๖. ปฏิสนธิคหณปญ หา ๖
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา มใี คร ๆ ท่ีตายแลว ไมก ลบั
ปฏิสนธอิ กี บางหรือ ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "บางคนกลบั ปฏสิ นธิ (เขา ทอ ง) อกี , บางคนไม
กลับปฏสิ นธอิ กี ."
ร. "ใครกลับปฏิสนธิอกี , ใครไมก ลบั ปฏสิ นธิอีก ?"
ถ. "ผมู ีกิเลสกลบั ปฏิสนธอิ ีก, ผูสิ้นกเิ ลสแลว ไมก ลับปฏิสนธิอีก."
ร. "ก็พระผเู ปน เจา เลา จกั กลับปฏิสนธอิ กี หรอื ไม ?"
ถ. "ถา อาตมภาพยงั มีอปุ าทาน (กเิ ลสที่เปน เชอ้ื ) อยู จกั กลบั ปฏสิ นธิ
อกี , ถา ไมม ีอปุ าทานกจ็ ักไมกลบั ปฏิสนธอิ ีก."
ร. "พระผูเปน เจาชางฉลาดจริง ๆ."
๗. มนสกิ ารปญ หา ๗
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปนเจา ผทู ไี่ มก ลับปฏิสนธิอกี นนั้ เพราะ
โยนิโสมนสกิ าร (นกึ ชอบ) ไมใชหรือ ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวา "เพราะโยนโิ สมนสิการดว ย เพราะปญ ญาดว ย
เพราะกศุ าลธรรมเหลาอนื่ ดว ย"
ร. "ปญ ญา กค็ ือโยนโิ สมนสกิ าร ไมใชห รอื พระผเู ปน เจา ?"
ถ. "มใิ ชอยา งนนั้ ดอก มหาราช มนสิการ (ความนกึ ) อยา งหนงึ่
ปญ ญาอยางหนงึ่ ,มนสกิ ารยอ มมีแมแกส ตั วดิรัจฉานเชน แพะ แกะ โค กระบอื อฐู ลา,
แตป ญ ญาไมม แี กมัน."
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจริง ๆ."
๘. มนสิการลกั ขณปญ หา ๘
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา มนสกิ ารมีลกั ษณะอยา ง
ไร, ปญญามีลกั ษณะอยา งไร ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "มนสกิ ารมลี ักษณะยกข้ึน, ปญญามีลกั ษณะ
ตดั ."
ร. "มนสิการมลี กั ษณะยกข้นึ เปน อยา งไร, ปญญามลี กั ษณะตดั เปน
อยางไร, ขอพระผูเปน เจา จงอุปมาใหข าพเจาฟง ?"
ถ. "มหาราช พระองคท รงรูจกั คนเกยี่ วขา วหรือ ?"
ร. "ขา พเจา รูจกั ซิ พระผเู ปนเจา ."-
ถ. "เขาเกย่ี วขา วกนั อยา งไร ?"
ร. "เขาจบั กาํ ขา วดวยมือขา งซายเขา จบั เคยี วดวยมอื ขางขวา แลวก็
ตัดกําขา วนัน้ ดว ยเคยี ว."
ถ. "ขอนั้นมอี ปุ มาฉนั ใด; พระโยคาวจร (ผบู ําเพ็ญเพยี ร) คมุ ใจไวด ว ย
มนสกิ ารแลว ตดั กิเลสเสียดว ยปญ ญา ขอน้ีก็มีอุปไมยฉนั นนั้ .
ร. "พระผูเปน เจา ชา งฉลาดจรงิ ๆ."
๙. สีลปติฏฐานลกั ขณปญหา ๙
พระราชาตรัสถามวา "ขอ ทพี่ ระผูเ ปนเจา พูดวา เพราะกศุ ลธรรมเหลา
อื่นดว ยน้นั , กศุ ลธรรมเหลา น้นั อะไรบาง ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "กศุ ลธรรมเหลา นั้น คือ ศีล (ความระวัง)
ศรัทธา (ความเชอื่ ) วริ ยิ ะ (ความเพยี ร) สติ (ความระลกึ ) สมาธิ (ความตัง้ ใจ)."
ร. "ศลี มลี กั ษณะอยา งไร ?"
ถ. "ศีลมีลักษณะ คอื เปน ทต่ี ัง้ อาศยั , ศีลนน้ั เปน ทีอ่ าศยั แหงกศุ ลธรรม
ทั้งปวง ซง่ึ ไดชอื่ วาอินทรีย พละ โพชฌงค มรรค สติปฏฐาน สัมมัปปธาน อทิ ธบิ าท
ฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ,ิ เมื่อพระโยคาวจรตง้ั อยูใ นศีลแลว กศุ ลธรรมทัง้ ปวงยอ ม
ไมเ ส่อื มรอบ."
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอุปมาใหข า พเจาฟง ."
ถ. "บรรดาพีชคาม (พชื ) และภูตคาม (ของสเี ขยี ว) เหลาใดเหลาหนงึ่
ที่ถงึ ความเจรญิ งอกงามไพบูลย ,พีชคามและภูตคามเหลา นนั้ ทกุ อยาง ตองอาศยั
แผน ดิน ตองต้ังอยทู ีแ่ ผน ดนิ จงึ ถงึ ความเจรญิ งอกงามไพบลู ยได ขอ น้ันมีอปุ มาฉนั ใด;
พระโยคาวจร อาศัยศลี แลวตั้งอยูในศีลแลว จึงทาํ อนิ ทรยี ห า คอื ศรทั ธา วริ ิยะ สติ
สมาธิ ปญญา ใหเ กดิ ได ขอ นีก้ ็มอี ุปไมยฉนั นน้ั "
ร. "ขอพระผูเ ปน เจา จงอุปมาใหขาพเจาฟง อีก."
ถ. "นายชา งผสู รางเมือง ปรารถนาจะสรา งเมือง ตอ งใหถ างสถานทจี่ ะ
ตง้ั เมอื งน้ัน ใหถ อนหลกั ตอหนอหนามขนึ้ ใหเ กลี่ยทีใ่ หราบกอนแลว ภายหลังจงึ กะที่
ตามกาํ หนดสณั ฐานซง่ึ จะเปนถนนสแ่ี ยก สามแยกเปน ตน แลว สรางขนึ้ ใหเปน เมือง ขอ
นั้นฉนั ใด; พระโยคาวจรอาศัยศลี แลว ตง้ั อยใู นศลี แลว จึงทาํ อินทรียห า ใหเกดิ ได ขอ น้กี ็
ฉันนนั้ ."
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอุปมาใหขาพเจา ฟง อกี ."
ถ. "พวกญวนหก ปรารถนาจะแสดงศลิ ปของตน ใหข ุดคุยแผนดนิ เอา
กรวดกระเบ้อื งออกเสีย ใหท าํ พน้ื ใหราบแลว จงึ แสดงศิลปะของตนบนพนื้ ทนี่ ว มดแี ลว
ขอนั้นฉนั ใด; พระโยคาวจรอาศัยศลี แลว ตัง้ อยใู นศีลแลว จงึ ทาํ อนิ ทรยี ห าใหเกิดได ขอ
น้ีก็ฉนั นนั้ . แมพระผมู ีพระภาคเจา กไ็ ด ตรัสวา 'นรชนคนมปี ญ ญา เปน ภกิ ษุต้งั อยใู นศลี
แลว มปี ญญาแกกลาพากเพยี รใหสมาธิและปญ ญาเกิดขน้ึ ได เธออาจสางชฏั อันนี้เสยี
ได" ดงั น.ี้ ศลี ขนั ธท น่ี ับวาพระปาฏิโมกขน ้ี เปนท่ีตง้ั อาศัยแหง กุศลธรรม เหมอื นแผน ดนิ
เปนท่อี าศัยของสตั วทง้ั หลาย, และเปน รากเงาเพอ่ื ใหเจรญิ กศุ ลธรรม,และเปนประธาน
ในคาํ สอนของพระพทุ ธเจา ทง้ั ปวง ฉะน.้ี "
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจรงิ ๆ."
๑๐. สทั ธาลกั ขณาปญ หา ๑๐
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปน เจา ศรทั ธามีลักษณะเปน อยา งไร ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "ศรัทธามลี กั ษณะใหใ จผองใสอยางหนงึ่ มี
ลักษณะใหแลน ไปดวยดอี ยา งหนง่ึ ."
ร. "ศรทั ธามลี กั ษณะใหใ จผอ งใสน นั้ เปน อยางไร ?"
ถ. "ศรัทธาเมอื่ เกิดขนึ้ ยอ มขมนิวรณไ วได, จติ ก็ปราศจากนิวรณผ อ ง
ใสไ มข นุ มัว, ศรัทธามลี กั ษณะทาํ ใหใ จผองใสอยา งน.้ี "
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอปุ มาใหข าพเจา ฟง ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา พระเจา จักรพรรดิราช เสด็จพระราชดําเนนิ โดย
สถลมารคเปน ทางไกล ดวยกระบวนจตรุ งคนิ ีเสนา ขามลํานา้ํ อันนอ ยไป, น้าํ นัน้ จะ
กระฉอกเพราะชา งมา รถและพลทหารราบแลวจะขุน มวั เปน ตม, ครั้นพระเจา จักรพรรดิ
ราชเสด็จขา มลํานา้ํ แลว อยากจะเสวยนา้ํ จงึ ตรัสส่ังราชบุรษุ ใหไ ปนาํ น้าํ เสวยมาถวาย,
และดวงแกวมณีที่สําหรบั แชน้ําใหใ ส ของพระเจา จกั รพรรดิราชนั้นจะมีอย,ู ราชบรุ ษุ นน้ั
คร้ันรบั พระราชโองการแลว ก็จะเอาดวงแกว มณนี ั้นแชลงในน้าํ , แตพอแชล ง สาหราย
จอกแหนก็จะหลกี ลอยไป ตมก็จะจมลง, นาํ้ กจ็ ะผองใสไมข ุนมวั , แตน ้ันราชบรุ ษ
ก็จะนาํ นาํ้ นน้ั มาถวายพระเจาจกั รพรรดริ าชเสวย. ผมู ีปญญาควรเหน็ วา จติ
เหมอื นนา้ํ , พระโยคาวจรเหมือนราชบุรุษ, กเิ ลสเหมอื นสาหราย จอก แหน และตม
ศรทั ธาเหมือนดวงแกวมณที สี่ ําหรบั แชนาํ้ ใหใ ส, เมือ่ ดวงแกว มณีนั้น พอราชบุรษุ
แชล งไปในนา้ํ แลว สาหราย จอก แหน กห็ ลีกลอยไป, ตมกจ็ มลง, น้ําก็ผอ งใสไมข นุ มัว
ฉันใด; ศรัทธาเมอื่ เกดิ ขึ้นยอมขม นวิ รณไวไ ด, จติ กป็ ราศจากนิวรณผอ งใสไมข ุน มวั ฉนั
นนั้ . ศรทั ธามลี ักษณะใหใจผองใสอยา งน.ี้ "
ร. "ศรทั ธามลี กั ษณะใหแลน ไปดว ยดีเปน อยางไร ?"
ถ. "เหมือนอยา งวา พระโยคาวจรไดเ หน็ จติ ของผอู นื่ พนพิเศษจาก
กิเลสอาสวะแลว ยอมแลน ไปดว ยดใี นพระโสดาปต ติผลบาง ในพระสกทาคามผิ ลบาง ใน
พระอนาคามผิ ลบา ง ในพระอรหตั ตผลบางยอมทาํ ความเพียร เพือ่ บรรลุธรรมท่ตี นไม
บรรลแุ ลว เพ่อื ไดธรรมที่ตนยงั ไมไดแ ลว เพอ่ื ทาํ ใหแจง ธรรมท่ีตนยงั ไมท าํ ใหแ จง แลว;
ศรทั ธามีลกั ษณะใหแ ลนไปดว ยดอี ยา งน.้ี "
ร. "ขอพระผูเ ปน เจาจงอุปมาใหฟ ง ."--------------------
ถ. "เหมือนอยา งวา มหาเมฆจะใหฝนตกบนยอดภูเขา, น้ําน้นั จะไหล
ลงมาทต่ี ํา่ ทาํ ลาํ ธาร
หว ยละหานใหเ ต็มแลว ทาํ แมน าํ้ ใหเต็ม, แมน้ํานัน้ กจ็ ะไหลเซาะใหเปน ฝง ทัง้
สองขา งไป, ทนี น้ั ประชุมชนหมใู หญม าถงึ แลว ไมท ราบวาแมน า้ํ นัน้ ตน้ื หรือ
ลึกก็กลวั ไมอาจขา มได ตองยืนท่ีขอบฝง , เม่ือเปน ดงั นน้ั บุรุษคนหน่งึ มาถึง
แลว เหน็ เรี่ยวแรงและกาํ ลงั ของตนวา สามารถจะขา มได กน็ ุงผา ขอดชาย
กระเบนใหม น่ั แลว กแ็ ลนขา มไปได, ประชมุ ชนหมใู หญเ ห็นบรุ ษุ นนั้ ขาไปได
แลว ก็ขา มตามไดบ าง ขอนนั้ ฉันใด; พระโยคาวจรไดเหน็ จติ ของผูอน่ื พน
พิเศษจากกเิ ลสอาสวะแลว ยอ มแลนไปดว ยดใี นพระโสดาปต ตผิ ลบา ง ใน
พระสกทาคามิผลบาง ในพระอนาคามผิ ลบา ง ในพระอรหัตตผลบา ง ยอ มทาํ
ความเพยี ร เพอ่ื บรรลธุ รรมที่ตนยังไมไดบรรลแุ ลว เพ่อื ไดธ รรมทตี่ นยงั ไมได
แลว เพ่อื ทาํ ใหแ จงธรรมทต่ี นยงั ไมท าํ ใหแ จง แลว ขอ น้กี ฉ็ ันนนั้ . ศรทั ธามี
ลกั ษณะใหแ ลน ไปดว ยดอี ยา งน.ี้ แมพ ระผูมพี ระภาคเจา ก็ไดต รัสไวใ นพระ
คัมภรี ส ังยตุ ตนกิ ายวา "บุคคลยอมขามหว งกิเลสได เพราะศรัทธา, ขาม
มหาสมทุ ร คอื สังสารวัฏฏไ ด เพราะความไมประมาท, ลว งทุกขไ ปได เพราะ
ความเพียร, ยอ มบริสทุ ธไดเพราะปญญา ดังน.้ี "
ร. "พระผเู ปน เจาชา งฉลาดจรงิ ๆ."
๑๑. วิรยิ ลกั ขณปญหา ๑๑
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปน เจา วิรยิ ะมีลักษณะเปน อยา งไร ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "วริ ิยะมีลกั ษณะค้ําจนุ ไว, กุศลธรรมท้งั หลาย
ท้ังปวง ทว่ี ิรยิ ะคํ้าจนุ ไวแ ลว ยอ มไมเ สื่อมรอบ."
ร. "ขอพระผูเ ปน เจาอุปมาใหข าพเจา ฟง ."
ถ. "เหมือนอยา งวา เมอื่ เรอื นซวนจะลม บรุ ษุ ค้ําจนุ ไวดว ยไมอน่ื ก็ไม
ลม ฉนั ใด; วิรยิ ะมลี ักษณะค้าํ จนุ ไว, กุศลธรรมทงั้ หลายทัง้ ปวงทวี่ ริ ยิ ะคํา้ จนุ ไว
แลวยอ มไมเ สอ่ื มรอบ ฉันนน้ั ."
ร. "ขอพระผูเปน เจา อปุ มาใหข า พเจา ฟงอกี ."
ถ. เหมอื นอยา งวา กองทพั หมูใหญตีหกั กองทพั ทนี่ อ ยกวา ใหแตกพา ย
ไป, ในภายหลงั พระราชาจะทรงจดั กองทพั หมูอ นื่ ๆ สงเปนกองหนุนเพ่ิมเตมิ
ไป, กองทพั หมูที่นอยกวา นน้ั คร้นั สมทบเขากับกองทพั ท่ยี กหนุนไป กอ็ าจหกั
เอาชัยชาํ นะตีกองทพั หมใู หญน ัน้ ใหแ ตกพา ยได ฉันใด; วิริยะมลี กั ษณะคํ้าจนุ
ไว, กศุ ลธรรมทั้งหลายทงั้ ปวงทีว่ ริ ิยะคาํ้ จนไวแ ลว ยอ มไมเส่อื มรอบ ฉนั นนั้ .
แมพ ระผูมีพระภาคเจาก็ไดต รสั วา "ภิกษทุ ้งั หลาย อริยสาวกผมู ีเพยี ร ยอ มละ
อกศุ ล ทง้ั กุศลใหเกดิ ได, ยอมละกรรมทมี่ โี ทษเสีย ทํากรรมท่ไี มม ีโทษใหเ กิด
ได, ยอมรักษาตนใหบ ริสุทธิ์ ดงั น.้ี "
ร. "พระผูเปน เจา ชางฉลาดจรงิ ๆ."
๑๒. สตลิ ักขณปญหา ๑๒
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปน เจา สตมิ ลี กั ษณะเปน อยา งไร ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "สตมิ ลี ักษณะใหน กึ ได และมีลักษณะถอื ไว. "
ร. "สตมิ ลี ักษณะใหน กึ ไดเ ปน อยางไร ?"
ถ. "สตเิ มือ่ เกดิ ข้นึ ยอ มใหนกึ ถึงธรรมที่เปนกศุ ลและอกศุ ล มีโทษและ
ไมมีโทษ เลวทรามและประณตี มีสว นเปรียบดวยของดาํ และของขาวได, น้ี
อินทรียห า , นพ้ี ละหา , นีโ้ พชฌงคเจด็ , นม้ี รรคมอี งคแปดอยางประเสรฐิ , นี้
สมถะ, นี้วปิ ส สนา, นว้ี ิชชา, นีว้ มิ ุตต"ิ ดังน.้ี แตน ้นั พระโยคาวจร ยอ มเสพ
ธรรมที่ควรเสพ ยอ มไมเสพธรรมทไี่ มควรเสพ, ยอมคบธรรมที่ควรคบ ยอ มไม
คบธรรมทไ่ี มค วรคบ, สตินมี้ ลี กั ษณะใหน กึ ไดอ ยา งน.้ี "
ร. "ขอพระผูเปน เจาจงอปุ มาใหข าพเจา ฟง ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา คฤหบดรี ัตนผ จู ัดการพระคลงั หลวง ของพระเจา
จกั รพรรดิราช กราบทลู พระเจาจกั รพรรดิราชใหท รงระลกึ พระราชอิสรยิ ยศ
ของพระองคไดท กุ เยน็ เชา วา "ชางของพระองคม ีเทา น้นั มา มเี ทา นนั้ รถมีเทา
นน้ั พลราบมเี ทา น้นั เงนิ มเี ทา นนั้ ทองมีเทา นนั้ พสั ดุตาง ๆ มอี ยา งละเทา นนั้
ๆ "เขากราบทลู พระเจา จกั รพรรดริ าชใหท รงนึกถึงราชสมบัติได ขอนั้นมอี ปุ มา
ฉันใด; สติเมือ่ เกิดขนึ้ ก็ยอ มใหนกึ ถงึ ธรรมท่ีเปน กศุ ลและอกศุ ล มโี ทษและไม
มีโทษ เลวทรามและประณตี มสี วนเปรียบดว ยของดําและของขาวได, และให
นึกไดว า "น้สี ตปิ ฏ ฐานส,่ี น้ีสมั มัปปธานส,ี่ นอ้ี ทิ ธิบาทส,ี่ นี้อินทรยี หา , นพ้ี ละ
หา , นโ้ี พชฌงคเจ็ด, นม้ี รรคมีองคืแปดอยางประเสรฐิ , นี้สมถะ, นวี้ ิปส สนา, นี้
วิชชา, นวี้ มิ ตุ ติ" ดังน.ี้ แตน น้ั พระโยคาวจรยอ มเสพธรรมท่คี วรเสพ ยอมไม
เสพธรรมที่ไมค วรเสพ, ยอมคบธรรมที่ควรคบ ยอ มไมคบธรรมทีไ่ มควรคบ ขอ
น้กี ม็ ีอุปไมยฉนั นน้ั สติมลี กั ษระใหนกึ ไดอยางน.ี้ "
ร. "สตมิ ลี กั ษณะถอื ไวน น้ั เปนอยางไร ?"
ถ. "สตเิ ม่ือเกิดข้นึ ยอมคนหาทีไ่ ปแหง ธรรมท้ังหลาย ท่ีเปน ประโยชน
และไมเ ปน ประโยชน; ใหร วู า "ธรรมเหลา นเ้ี ปนประโยชน ,ธรรมเหลา นไี้ มเปน
ประโยชน, ธรรมเหลาน้ีเปน อุปการะ ธรรมเหลาน้ไี มเ ปน อุปการะ." แตน ้นั
พระโยคาวจรยอมเกยี ดกนั ธรรมทีไ่ มเปน ประโยชนเ สยี ถอื ไวแ ตธรรมทเ่ี ปน
ประโยชน, ยอ มเกยี ดกนั ธรรมที่ไมเ ปน อุปการะเสยี ถือไวแตธ รรมที่เปน
อปุ การะ. สติมลี ักษณะถอื ไวอ ยา งน.ี้ "
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอุปมาใหข าพเจาฟง."
ถ. "เหมือนอยา งวา ปริณายกรตั นของพระเจา จักรพรรดิราช ยอ ม
ทราบส่ิงทเี่ ปน ประโยชนและไมเ ปนประโยชน กราบทลู แดพ ระเจาจกั รพรรดิ
ราชวา "สิง่ นเี้ ปน ประโยชนแดพระราชา สง่ิ น้ไี มเ ปน ประโยชน ส่ิงนเ้ี ปน
อุปการะ สง่ิ น้ีไมเปน อุปการะ." แตน ั้น ยอมเกยี ดกันสง่ิ ทไ่ี มเปนประโยชนเสยี
ประคองไวแ ตสิง่ ทเ่ี ปน ประโยชน, ยอมเดยี ดกนั ส่ิงท่ไี มเ ปน อุปการะเสีย ถอื ไว
แตสิ่งท่ีเปน อปุ การะ," ขอ นนั้ มอี ปุ มาฉนั ใด; สติเมอ่ื เกิดขน้ึ ยอมคน หาทีไ่ ป
แหงธรรมทง้ั หลายทเี่ ปน ประโยชน และไมเปนประโยชน; ใหร วู า "ธรรมเหลาน้ี
เปน ประโยชน ธรรมเหลานไ้ี มเ ปน ประโยชน, ธรรมเหลาน้เี ปนอปุ การะ ธรรม
เหลา นไี้ มเ ปน อปุ การะ." แตน้ัน พระโยคาวจรยอมเกยี ดกันธรรมท่ีไมเปน
ประโยชนเ สีย ถือไวแ ตธรรมท่เี ปนประโยชน, ยอ มเดียดกันธรรมทีไ่ มเปน
อปุ การะเสยี ถอื ไวแตธ รรมท่ีเปนอปุ การะ ขอ น้ีกม็ ีอปุ ไมยฉันนน้ั . สติมี
ลักษณะถือไวอ ยา งน.ี้ แมพ ระผูม พี ระภาคเจา ก็ตรัสวา "ภกิ ษทุ งั้ หลาย เรา
กลา วสตวิ าเปน ธรรมที่ควรปรารถนาในทที่ ว้ั งปวง ดงั น.้ี "
ร. "พระผูเปน เจาชา งฉลาดจริง ๆ."
๑๓. สมาธลิ กั ขณปญหา ๑๓
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปนเจา สมาธิ มลี กั ษณะเปน อยา งไร ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "สมาธิ มลี กั ษณะเปน ประธาน, บรรดากุศล
ธรรมทงั้ หลาย ลวนมสี มาธิเปนประธาน เปนไปในสมาธิ นอ มไปในสมาธิ
เงอื้ มไปในสมาธ.ิ "
ร. "ขอพระผูเปน เจาจงอปุ มาใหข าพเจา ฟง ."
ถ. "บรรดากลอนของเรือนทม่ี ยี อด ยอมนอ มไปหายอด ยอ มเอนไปหา
ยอด มียอดเปน ทช่ี มุ ชน, เขาจึงกลาวยอดวา เปน ประธานของกลอนเหลา นนั้
ขอ นั้นฉนั ใด, บรรดากุศลธรรมทง้ั หลาย ลว นมีสมาธเิ ปน ประธาน เปน ไปใน
สมาธิ นอมไปในสมาธิ เง้อื มไปในสมาธิ ขอนี้กฉ็ ันนนั้ ."
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอุปมาใหขา พเจาฟง อกี ."
ถ. "เหมือนอยา งวา พระราชาพระองคห นง่ึ จะเสด็จพระราชดาํ เนนิ สู
งานพระราชสงคราม พรอื มดวยจตรุ งคนิ ีเสนา, บรรดาหมกู องทัพนัน้ หมดทงั้
ชา งมา รถและพลราบ ยอ มมพี ระราชานน้ั เปนประธานตามเสด็จหอ มลอ มพระ
ราชานนั้ ขอ นน้ั ฉนั ใด; บรรดากศุ ลธรรมทงั้ หลาย ลว นมสี มาธเิ ปน ประธาน
เปน ไปในสมาธิ นอ มไปในสมาธิ เง้ือมไปในสมาธิ ขอนก้ี ฉ็ นั นน้ั . สมาธมิ ี
ลกั ษณะเปน ประธาน อยา งน.้ี แมพระผูม ีพระภาคเจากไ็ ดต รสั วา "ภกิ ษทุ งั้
หลาย ทานทง้ั หลายเจริญสมาธิเถดิ , เพราะวา ผทู ี่มีจิตตง้ั มั่นแลว ยอ มรู
ประจกั ษต ามเปน จรงิ อยา งไร ดังน.้ี "
ร. "พระผูเปน เจาชา งฉลาดจริง ๆ."
๑๔. ปญ ญาลกั ขณปญหา ๑๔
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปนเจา ปญญา มลี ักษณะเปนอยา งไร ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวา "แตกอนอาตมภาพไดก ลาววา 'ปญ ญา มี
ลกั ษณะตดั ใหข าด,' อีกอยางหน่งึ ปญญา มีลกั ษณะสองใหสวา ง."
ร. "ปญญามลี กั ษณะสอ งใหส วา งเปน อยางไร ?"
ถ. "ปญ ญา เมอ่ื เกิดข้ึนยอมกําจดั มดื คอื อวชิ ชา, ทําความสวา ง คอื
วชิ ชาใหเกิด, สอ งแสง คือ ญาณ, ทาํ อรยิ สจั ทัง้ หลายใหป รากฏ, แตนน้ั พระ
โยคาวจรยอมเห็นดว ยปญ ญาอันชอบวา 'ส่ิงน้ไี มเทยี่ ง สิ่งนเี้ ปน ทกุ ข สิ่งน้ไี ม
ใชตวั ."
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอุปมาใหข าพเจา ฟง ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา จะมีบรุ ษุ ถือไฟเขา ไปในเรอื นทมี่ ืด, ไฟทเ่ี ขา ไปแลว
นั้นยอมกาํ จดั มืดเสียทาํ ความสวางใหเ กิด, สอ งแสง ทาํ รปู ใหปรากฏ ขอ นั้น
ฉนั ใด; ปญญา เมือ่ เกิดขนึ้ ยอ มกําจัดมืด คือ อวชิ ชา, ทาํ ความสวาง คอื วิชชา
ใหเ กิด, สอ งแสง คือ ญาณ, ทาํ อริยสัจท้งั หลายใหปรากฏ, แตน ้นั พระ
โยคาวจรยอมเห็นดว ยปญ ญาอนั ชอบวา 'ส่งิ นีไ้ มเทยี่ ง สงิ่ นเ้ี ปน ทุกข สงิ่ น้ีมิใช
ตัว' ขอ นี้กฉ็ ันนัน้ . ปญ ญา มลี กั ษณะสองใหส วา งอยา งน.้ี "
ร. "พระผูเปน เจาชางฉลาดจรงิ ๆ."
๑๕. นานาเอกกิจจกรณปญ หา ๑๕
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปนเจา ธรรมเหลานเ้ี ปน ตาง ๆ กนั แตทาํ
ประโยชนใ หสาํ เรจ็ ไดเ ปน อันเดียวกนั หรอื ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "ขอถวายพระพร ธรรมเหลานี้ เปนตาง ๆ กนั
แตทําประโยชนใหส าํ เร็จไดเ ปนอนั เดยี วกนั คือ กําจัดกเิ ลส."
ร. "ขอนี้เปน อยางไร, ขอพระผูเปน เจา จงอปุ มาใหข าพเจา ฟง ."
ถ. "เหมือนอยา งวา กองทพั เปนตา ง ๆ กัน คอื ชา ง มา รถ และพล
ราบ, แตทําประโยชนใหส าํ เร็จไดเปนอันเดยี วกนั คอื เอาชัยชํานะกองทพั
ขาศกึ ในสงครามได ฉันใด; ธรรมเหลานี้ ถงึ เปนตา ง ๆ กนั แตท าํ ประโยชนให
สาํ เรจ็ ไดเ ปน อนั เดยี วกัน คอื กาํ จัดกิเลส ฉนั นน้ั ."
ร. "พระผูเปน เจาชางฉลาดจริง ๆ."
วรรคทสี่ อง
๑. ธัมมสนั ตตปิ ญหา ๑๖
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปนเจา ผใู ดเกิดขน้ึ เขาจะเปน ผนู นั้ หรอื
จะเปน ผอู น่ื ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "จะเปนผูน นั้ กไ็ มใช จะเปน ผูอ นื่ กไ็ มใช."
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอปุ มาใหขาพเจาฟง ."
ถ. "พระองคจ ะทรางสดบั ตอ ไปนั้นเปน ไฉน ขอ ความที่อาตมภาพจะ
ทูลถาม: ก็เมอื่ เวลาใด พระองคยงั ทรงพระเยาวเปน เด็กออ น บรรทมหงายอยู
ในพระอ,ู พระองคน น้ั นน่ั แหละไดทรงพระเจรญิ วัย เปน ผใู หญขน้ึ ในเวลานี้ ?"
ร. "ไมใ ชอ ยา งนัน้ พระผูเปน เจา , ในเวลานน้ั ขาพเจา เปนเดก็ ออ น
นอนหงายอยนู ัน้ คนหนึง่ ในเวลานี้ ขา พเจา เปนผูใ หญขึ้นคนหนงึ่ ."
ถ. "กเ็ มอื่ เปนอยางนนั้ แมมารดาบิดาอาจารย และคนมศี ลี มสี ปิ ปะมี
ปญ ญากจ็ ักไมมนี ะซ,ิ มารดาของสัตวซงึ่ แรกปฏิสนธิ เปน กลละ เปน อมั พทุ ะ
เปน ชน้ิ เนือ้ เปน แทง และมารดาของสตั วท เ่ี ปนทารก มารดาของสัตวท เี่ ปนผู
ใหญ คนละคน ไมใ ชคนเดยี วกนั ดอกหรอื ? คนหน่ึงศึกษาสิปปะ คนหนง่ึ เปน
ผไู ดศึกษาแลว คนหนึง่ ทําบาปกรรม มอื และเทาทงั้ หลายของคนหนงึ่ ขาดไป
หรือ ?"
ร. "ไมเ ปน อยา งนน้ั พระผเู ปน เจา , กเ็ ม่อื เขาถามพระผูเปน เจาอยาง
นน้ั พระผเู ปน เจาจะตอบอยา งไร ?"
ถ. "อาตมภาพนแี้ หละเปน เดก็ อาตมภาพนีแ้ หละเปน ผใู หญ ในเวลา
น้ี สภาวธรรมทั้งหลายอาศยั กายนนี้ ี่แหละ นับวา เปนอนั เดียวกนั ท้ังหมด."
ร. "ขอพระผูเ ปน เจา จงอปุ มาใหข า พเจา ฟงอกี ."
ถ. "เหมือนอยา งวา บรุ ุษคนหนงึ่ จะตามประทีป อาจตามไปไดจ น
ตลอดรุงหรือไม ?"
ร. "ไดซ ิ พระผูเปน เจา."
ถ. "เปลวไปอนั ใดในยามแรก เปลวไฟอนั น้นั หรือในยามกลาง?"
ร. ไมใช พระผเู ปนเจา ."
ถ. "เปลวไฟอนั ใดในยามกลาง เปลวไฟอนั นน้ั หรือในยามสดุ ?"
ร. ไมใช พระผเู ปนเจา ."
ถ. ประทบี ในยามแรก ในยามกลาง และในยามสุด ดวงหน่งึ ๆ ตา ง
หากกันหรอื ?"
ร. "ไมใ ช พระผูเ ปนเจา , ประทปี ท่ีอาศยั ประทีปนน้ั น่นั แหละสวา งไป
แลวจนตลอดรุง."
ถ. "ขอ นน้ั ฉนั ใด, ความสืบตอ แหง สภาวธรรมก็สบื ตอกนั ฉนั นนั้ นนั่
แหละ; สภาวะอันหนง่ึ เกิดขึ้น สภาวะอนั หนงึ่ ดบั ไป, เหมอื นกะสบื ตอพรอ ม ๆ
กัน, เพราะเหตุน้นั ผทู ี่เกดิ ข้นึ จึงไดช่อื วา จะเปนผนู ้ันกไ็ มใ ช จะเปน ผูอ นื่ ก็ไมใ ช
แตถ งึ ความสงเคราะหว า ปจ ฉิมวญิ ญาณ."
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอุปมาใหข าพเจา ฟง ใหย่ิงขน้ึ อกี ."
ถ. "เหมือนอยา งวา นา้ํ นมทีเ่ ขารีดออก ครน้ั เวลาอ่นื แปรเปน นมสม
ไป, และแปรไปจากนมสมกเ็ ปนเนยขน , แปรไปจากเนยขนก็เปน เปรียง, และ
จะมผี ใู ดผูห นง่ึ มาพดู อยางนี้วา 'นํ้านมอนั ใด นมสม ก็อนั นนั้ นนั่ เอง นมสมอนั
ใด เนยขน กอ็ นั นน้ั นนั่ เอง เนยขน อนั ใด เปรียงกอ็ นั นน้ั นน่ั เอง' ฉะน.ี้ เมอ่ื ผูนน้ั
เขาพูดอยู จะชอ่ื วาเขาพูดถกู หรือไม ?"
ร. "ไมถ กู พระผเู ปนเจา , มันอาศยั นาํ้ นมนน้ั นนั่ เองเกดิ ขึน้ ."
ถ. "ขอน้ันฉันใด, ความสบื ตอ แหงสภาวธรรม ก็สืบตอ กนั ฉันนน้ั นน่ั
แหละ; สภาวะอันหน่งึ เกดิ ข้ึน สภาวะอนั หนงึ่ ดบั ไป, เหมอื นกะสืบตอ พรอม ๆ
กัน, เพราะเหตุน้ัน ผทู ่ีเกดิ ขึน้ จงึ ไดช่ือวา จะเปนผนู ้นั กไ็ มใ ช จะเปน ผูอน่ื ก็ไมใ ช
แตถ ึงความสงเคราะหว าปจฉมิ วญิ ญาณ."
ร. "พระผูเปน เจา ชา งฉลาดจริง ๆ."
๒. นบั ปปฏสิ นั ธคิ หณปญหา ๑๗
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา ผใู ดไมป ฏิสนธิ ผนู น้ั รไู ดห รือไม
วา 'เราจกั ไมปฏิสนธ?ิ "
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "ขอถวายพระพร รไู ด."
ร. "รไู ดดว ยอยา งไร ?"
ถ. "สงิ่ ใดเปนเหตุเปนปจจยั ของความถอื เอาปฏิสนธ,ิ เพราะความสน้ิ
ไปแหง เหตแุ ละปจ จัยน้ันน่นั แหละ เขาจงึ รไู ดว า 'เราจักไมป ฏสิ นธ.ิ "
ร. "ขอพระผูเ ปน เจา จงอปุ มาใหข าพเจา ฟง."
ถ. "เหมือนอยา งวา ชาวนาเขาไถแลว หวานแลว กข็ นขาวเปลอื กมาไว
ในฉางใหเ ต็มแลว, สมัยอน่ื อีก ชาวนาน้นั กไ็ ดไถและมิไดห วา นอกี บรโิ ภค
ขา วเปลอื กที่ตนไดส งั่ สมไวอยา งไรนน้ั เสียบาง จําหนา ยเสียบา ง นอ มไปตาม
ประสงคบา ง, เขาจะรไู ดห รือไมว า 'ฉางสาํ หรับเกบ็ ขา วเปลอื กของเราจักไม
เต็มข้นึ ไดอกี ."
ร. "รูไดซ ิ พระผูเ ปน เจา ."
ถ. "รไู ดดวยอยางไร ?"
ร. "สง่ิ ใดเปนเหตุเปนปจจัย ซงึ่ จะทาํ ฉางสาํ หรบั ไวขา วเปลือกใหเ ต็ม
ข้ึนได, เพราะความสนิ้ ไปแหง เหตแุ ละปจจัยนนั้ นน่ั แหละ เขาจงึ รูไ ดวา 'ฉาง
สําหรับไวขา วเปลอื กของเราจกั ไมเ ตม็ ขึน้ ไดอ ีก."
ถ. "ขอน้ันฉนั ใด, สิง่ ใดเปน เหตเุ ปน ปจ จัยของความถือเอาปฏสิ นธ,ิ
เพราะความสนิ้ ไปแหง เหตุและปจจยั น้นั นน่ั แหละ เขาจงึ รูไดว า 'เราจักรไม
ปฏสิ นธ'ิ กฉ็ ันน้นั นน่ั แหละ."
ร. "พระผูเปน เจาชา งฉลาดจริง ๆ."
๓. ปญญานริ ชุ ฌนปญหา ๑๘
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปนเจา ญาณเกิดขึน้ แลว แกผ ใู ด
ปญ ญาก็เกดิ ขนึ้ แกผูนน้ั หรือ ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวา "ขอถวายพระพร ญาณเกดิ ขึน้ แลวแกผ ใู ด
ปญญากเ็ กดิ ขน้ึ แกผ ูน นั้ ."
ร. "ญาณอนั ใด ปญ ญากอ็ นั นน้ั นัน่ เองหรือ ?"
ถ. "ขอถวายพระพร ญาณอนั ใด ปญญากอ็ นั นน่ั นน่ั แหละ."
ร. "ก็ญาณเกิดขึน้ แลวแกผ ูใ ด ปญญากเ็ กดิ ข้นึ แกผนู น้ั , ผนู ัน้ จะหลง
หรอื ไมหลง ?"
ถ. "หลงในท่ีบางแหง , ไมหลงในท่ีบางแหง ."
ร. "หลงในท่ีไหน, ไมห ลงในทไ่ี หน ?"
ถ. "หลงในสปิ ปะท่ีตนยังไมไ ดเ คยเรยี น ในทศิ ทต่ี นยังไมเ คยไป และ
ในการตง้ั ช่อื (คือภาษา) ทตี่ นยังไมไ ดเ คยฟง ."
ร. "เขาไมห ลงในที่ไหนเลา ?"
ถ. "กส็ ่งิ ใด คอื อนิจจจงั กด็ ี ทกุ ขงั กด็ ี อนัตตาก็ดี ทป่ี ญญาไดทําไว,
เขาไมห ลงในสิง่ นนั้ ."
ร. "กโ็ มหะของผนู นั้ ไปในท่ีไหนเลา ?"
ถ. "เม่อื ญาณเกดิ ข้ึนแลว โมหะกด็ บั ไปในทน่ี น้ั เอง."
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอปุ มาใหขา พเจา ฟง ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา บรุ ษุ คนหนงึ่ สอ งแสงไฟเขาไปในเรือนทมี่ อื , แตน น้ั
มืดก็หายไป แสงสวางกป็ รากฏขึน้ , เมื่อญาณเกดิ ข้นึ แลว โมหะกด็ ับไปในท่ี
น้ัน ฉะน้ัน."
ร. "ก็ปญ ญาไปในทีไ่ หนเลา ?"
ถ. "ถึงปญญาเม่อื ทํากจของตนแลว กด็ ับไปในทน่ี ั้นเอง, ก็แตว า สิง่ ใด
คอื อนจิ จงั กด็ ี ทกุ ขงั ก็ดี อนนั ตตากด็ ี ที่ปญ ญาไดทาํ ไว, สิ่งนัน้ มไิ ดด ับไป."
ร. "ขอท่พี ระผเู ปนเจากลา วา 'ปญญาทาํ กจิ ของตนแลว ดบั ไปในทนี่ ั้น
เอง, กแ็ ตว า สิ่งใด คอื อนจิ จงั ก็ดี ทุกขงั ก็กด็ ี อนันตากด็ ี ทปี่ ญ ญาไดท าํ ไว สงิ่
นั้นมไิ ดดบั ไป,' ฉะนนั้ ขอพระผเู ปนเจา จงอุปมาสิง่ นนั้ ใหขา พเจาฟง."
ถ. "เหมอื นอยา งวา บรุ ุษคนหนงึ่ อยากจะสง จดหมายไปในกลางคนื
ใหเ รียกเสมยี นมาแลว จงึ ใหจดุ ไฟแลว ใหเ ขียนจดหมาย ครน้ั ใหเ ขยี นจด
หมายเสรจ็ แลว กใ็ หดบั ไฟเสยี , เมื่อไฟดบั ไปแลว จดหมายกม็ ิไดหายไป ฉนั
ใด; ปญญาทาํ กจิ ของตนแลว กด็ บั ไปในที่นนั้ เอง ฉะนน้ั ; ก็แตวา ส่ิงใด คอื
อนิจจังกด็ ี ทกุ ขังกด็ ี อนัตตากด็ ี ทีป่ ญ ญานน้ั ไดท าํ ไว, สิ่งนน้ั มไิ ดดับไป."
ร. "ขอพระผเู ปน เจาจงอุปมาส่งิ นนั้ ใหขา พเจาฟง ใหยงิ่ ข้ึนอกี สกั
หนอ ย."
ถ. "เหมอื นอยา งวา มนษุ ยท ง้ั หลายในปรุ ัตถมิ ชนบท ตง้ั หมอนา้ํ ไว
เรอื นละหา หมอ ๆ สาํ หรับดบั ไฟ, ครน้ั เมือ่ ไฟไหมเรือนแลว เขากโ็ ยนหมอนา้ํ
หา หมอ นน้ั ข้นึ ไปบนหลงั คาเรอื น, ไฟนน้ั กด็ บั ไป, มนุษยท ั้งหลายนนั้ จะตอง
คดิ วา 'ตนจักทาํ กจิ ดว ยหมอ แหงนาํ้ น้าํ อกี หรอื ?"
ร. "ไมต อ งคิดอกี เลย พระผเู ปน เจา , พอแลว ดว ยหมอเหลา นน้ั ,
ประโยชนอะไรดวยหมอ น้ําเหลานนั้ อกี ."
ถ. "ผูมปี ญญาควรเห็นอนิ ทรียทั้งหา คือ ศรทั ธา วริ ิยะ สติ สมาธิ
ปญ ญา เหมือนหมอ นา้ํ หา หมอ, ควรเหน็ พระโยคาวจรเหมอื นมนุษยท งั้ หลาย
น้นั , ควรเหน็ กเิ ลสท้งั หลายเหมอื นไฟ, กเิ ลสท้ังหลายดบั ไปดว ยอินทรียท ั้งหา
และกเิ ลสทงั้ หลายเหมือนไฟ, กเิ ลสทงั้ หลายดบั ไปดว ยอนิ ทรยี ท ัง้ หา และ
กเิ ลสทีด่ บั ไปแลว ไมเกดิ อกี เหมือนไฟดบั ไปดวยหมอนา้ํ ทงั้ หา ขอ นน้ั ฉนั ใด;
ปญญาทํากิจของตนแลว กด็ ับไปในทน่ี นั้ ฉันนน้ั , ก็แตวาส่ิงใด คือ อนจิ จงั กด็ ี
ทุกขงั กด็ ี อนัตตากด็ ี ทีป่ ญ ญาไดทาํ ไว, ส่งิ นน้ั มไิ ดด ับไป."
ร. "ขอพระผเู ปน เจาจงอปุ มาใหข า พเจาฟง ใหย งิ่ ขนึ้ อีก."
ถ. "เหมือนอยา งวา แพทยถอื เอารากไมท เี่ ปน ยาหา อยา ง เขา ไปหาคน
ไขแลว บดรากไมทเี่ ปน ยาหา อยางนน้ั ใหคนไขด ่มื กนิ , โทษทั้งหลายก็ระงบั ไป
ดว ยรากไมท ่ีเปนยาหา อยางนน้ั , แพทยน น้ั จะตองคดิ วา 'ตนจกั ทาํ กจิ ดว ยราก
ไมน ้ันอีกหรอื ?"
ร. "ไมต อ งคดิ อกี เลย พระผูเปนเจา, พอแลว ดวยรากไมท เ่ี ปนยาหา
อยา งเหลา นนั้ , จะประโยชนอ ะไรดว ยรากไมเ หลา นน้ั ."
ถ. "ผูม ีปญญา ควรเหน็ อนิ ทรยี ทง้ั หามอี นิ ทรีย คือ ศรทั ธาเปน ตน
เหมือนรากไมท เ่ี ปนยาหา อยา ง, ควรเห็นพระโยคาวจรเหมือนแพทย, ควรเหน็
กิเลสทง้ั หลายเหมอื นพยาธ,ิ ควรเหน็ ปถุ ุชนทง้ั หลายเหมือนบรุ ุษทเ่ี จ็บ, กิเลส
ท้ังหลายระงับไปดวยอนิ ทรยี ท ง้ั หา และกเิ ลสทร่ี ะงับไปแลว ไมเ กดิ อีก เหมือน
โทษท้ังหลายของคนไขร ะงบั ไปดวยรากไมท ่ีเปน ยาหา อยา ง ครัน้ เม่อื โทษ
ระงับไป คนไขก เ็ ปน ผหู ายโรค ฉะนน้ั ขอ นฉ้ี ันใด; ปญญาทาํ กิจของตนแลว ก็
ดับไปในท่นี น้ั ฉันนนั้ , กแ็ ตว าสิง่ ใด คือ อนจิ จังกด็ ี ทุกขงั ก็ดี อนตั ตากด็ ี ที่
ปญ ญาไดท าํ ไว, ส่งิ นัน้ มไิ ดด บั ไป."
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอปุ มาใหข า พเจา ฟงใหยิ่งขน้ึ อกี ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา ทหารทเ่ี ขา สูสงคราม ถือเอาลกู ศรไปหา ลกู แลว
เขาสสู งคราม เพอ่ื จะเอาชยั ชํานะกองทัพแหง ขา ศึก, ทหารนนั้ เขา สูสงคราม
แลว ยงิ ลูกศรทงั้ หา นนั้ ไป, กองทพั แหง ขาศกึ กแ็ ตกไปดวยลูกศรทง้ั หานน้ั ,
ทหารที่เขาสูส งครามนนั้ จะตองคิดวา 'ตนจักทาํ กิจดว ยลกู ศรอกี หรอื "
ร. "ไมต องคดิ อีกเลย พระผูเปน เจา, พอแลว ดว ยลกู ศรหา ลูกนน้ั , จะ
ประโยชนอะไรดว ยลกู ศรเหลา นนั้ ."
ถ. "ผูม ปี ญญา ควรเหน็ อินทรียท ัง้ หามีศรทั ธาเปน ตน เหมอื นลูกศรทง้ั
หา, ควรเหน็ พระโยคาวจร เหมือนทหารผเู ขา สูสงคราม, ควรเหน็ กเิ ลสทั้ง
หลาย เหมอื นกองทพั แหง ขา ศกึ , กิเลสทัง้ หลายทแี่ ตกไปดว ยอินทรยี ท ้งั หา
และกิเลสทแี่ ตกไปแลวไมเกดิ อกี เหมอื นกองทพั แหง ขาศึกท่ีแตกไปดว ยลกู ศร
ท้ังหา ขอนนั้ ฉนั ใด; ปญญาทาํ กจิ ของตนแลว ก็ดับไปในทนี่ น้ั ฉนั น้ัน, ก็แตว า
สง่ิ ใด คือ อนจิ จังก็ดี ทกุ ขงั กด็ ี อนตั ตาก็ดี ทีป่ ญ ญาไดท าํ ไว, ส่ิงนั้นมไิ ดด บั
ไป."
ร. "พระผูเปน เจาชา งฉลาดจริง ๆ."
๔. ปรินิพพานปญหา ๑๙
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา ผูใดไมป ฏสิ นธิ เขาจะเสวย
เวทนาทเี่ ปน ทกุ ขหรือไม ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวา "เสวยบาง ไมเสวยบา ง."
ร. "เสวยเวทนาชนดิ ไหน, ไมเ สวยเวทนาชนดิ ไหน ?"
ถ. "เสวยเวทนาทมี่ กี ายเปน สมุฏฐาน, ไมเสวยเวทนาทม่ี จี ิตเปน
สมุฏฐาน."
ร. "ไฉนจึงเสวยเวทนาทม่ี กี ายเปน สมฏุ ฐาน, ไฉนจงึ ไมเ สวยเวทนาท่มี ี
จิตเปนสมฏุ ฐาน ?"
ถ. "ส่งิ ใดเปน เหตเุ ปน ปจจัยใหเกิดทกุ ขเวทนา ทมี่ กี ายเปน สมุฏฐาน,
เพราะยงั ไมสน้ิ แหงเหตุและปจ จยั นนั้ จึงเสวยทกุ ขเวทนาทม่ี กี ายเปน
สมฏุ ฐาน, ส่งิ ใดเปน เหตุเปน ปจจยั ใหเ กดิ ทกุ ขเวทนาท่มี จี ติ เปนสมุฏฐาน,
เพราะความสนิ้ แหงเหตแุ ละปจ จัยนนั้ จึงไมเ สวยทกุ ขเวทนาทมี่ จี ติ เปน
สมฏุ ฐาน. แมคํานี้ พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสไววา "พระอรหนั ตท า นเสวยแต
เวทนาทม่ี กี ายเปนสมฏุ ฐานอยางเดยี ว, มไิ ดเสวยเวทนาท่ีมีจิตเปน สมฏุ ฐาน."
ร. "พระผูเปน เจา กเ็ มือ่ พระอรหันตท า นเสวยทกุ ขเวทนาอยู, เหตุไฉน
ทานไมปรนิ พิ พานเสียเลา ?"
ถ. "เพราะวา ความรกั ความชงั ของพระอรหันตไมมเี ลย, อน่ึง พระ
อรหนั ตท งั้ หลายทา นไมเ รง กาลเวลา ทานคอยกาลเวลาอย.ู ถงึ คําน้ี พระธรรม
เสนาบดสี ารีบตุ รเถรเจา ก็ไดกลาวไวว า "เรามิไดย ินดคี วามตาย หรือชีวติ
(ความเปน อย)ู แตเ ราคอยกาลเวลาอย,ู เหมอื นลกู จา งคอยคา จา งอยู และเรา
มไิ ดย ินดีความตายหรอื ชวี ติ เลย, แตเ รามีสติรู รอคอยกาลเวลาอย.ู "
ร. "พระผูเปน เจา ชา งฉลาดจริง ๆ."
๕. สุขเวทนาปญ หา ๒๐
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปนเจา เวทนาทเี่ ปน สขุ เปน กศุ ลหรือ
อกศุ ล หรือเปน อพยากฤต."
พระเถรเจา ทูลตอบวา "เปน กศุ ลกม็ ี อกุศลก็มี อพยากฤตกม็ .ี "
ร. "ถา วา เปน กศุ ล ก็ไมใ ชทกุ ข, ถาวาเปน ทกุ ข ก็ไมใชก ุศล, คําวา
'เวทนาเปนทง้ั กศุ ลเปน ท้งั ทกุ ข' ไมช อบ."
ถ. "พระองคจ ะทรงสาํ คัญขอ ความนั้นเปน ไฉน: เหมือนอยา งวา ผใู ดผู
หนง่ึ จะวางกอนเหลก็ ทรี่ อนลงในมอื ขางหนงึ่ ของบรุ ุษ, ในมือทส่ี องวางกอ นนา้ํ
คา งทเ่ี ยน็ อยา งท่สี ุดลง, สงิ่ ทงั้ สองน้นั จะเผาหรือไม ?"
ร. "เผาซิ พระผูเปน เจา ."
ถ. "กส็ งิ่ นน้ั จะรอ นทัง้ สองสง่ิ หรอื ?"
ร. "ไมร อนทง้ั สองสิ่ง พระผูเปน เจา ."
ถ. "เยน็ ทงั้ สองสิ่งหรอื ?"
ร. "ไมเยน็ พระผเู ปน เจา ."
ถ. "ขอพระองคจงทรงทราบ: ขอ นีแ้ หละเปน เครอ่ื งขมพระองค, ถา วา
ของทร่ี อนเผาได, มใิ ชข องนนั้ จะรอ นท้ังสองสงิ่ , เหตนุ นั้ ขอ ท่ีวา นน้ั มิไมช อบ
หรือ ? ถา วา ของท่ีเย็นเผาได, มใิ ชข องนนั้ จะเยน็ ทง้ั สองสงิ่ , เหตนุ น้ั ขอ ท่วี า นน้ั
มไิ มช อบหรือ ? กเ็ หตุไฉน สง่ิ ทงั้ สองน้นั เผาได, แตไมร อ นทงั้ สองสง่ิ , และไม
เยน็ ทั้งสองสิ่ง, สงิ่ หนงึ่ รอ น สงิ่ หนงึ่ เย็น, แตว า เผาไดทัง้ สองส่ิง, เหตนุ น้ั ขอท่ี
วา นน้ั มิไมช อบหรอื ?"
ร. "ขาพเจา ไมส ามารถจะเจรจากบั พระผเู ปนเจา ผชู า งพูดได ขอพระผู
เปนเจา จงขยายความเถดิ ." แตน ั้น พระเถรเจาอธบิ ายความใหพ ระเจา มิลินท
เขาพระราชหฤทัยดว ยอภธิ รรมกถาวา "จกั รท้ังหลายหกเหลา น:ี้ คือ โสมนสั ที่
อาศัยความกาํ หนดั หก ทอ่ี าศยั เนกขัมมะ (คณุ คอื ความออกไป) หก, โทมนัส
ที่อาศยั ความกาํ หนดั หก ทอ่ี าศยั เนกขัมมะหก, อเุ บกขา ท่ีอาศยั ความกําหนัด
หก ท่ีอาศยั เนกขัมมะหก, เวทนา ทเ่ี ปน อดตี สามสิบหกอยา ง, ที่เปน อนาคต
สามสิบหกอยา ง, ทเ่ี ปน ปจ จบุ นั สามสบิ หกอยา ง, รวมยน เวทนาเหลา นน้ั เขา
ดว ยกนั เปน เวทนารอ ยแปด."
ร. "พระผเู ปน เจาชางฉลาดจรงิ ๆ."
๖. นามรปู ปฏิสนธิคหณปญหา ๒๑
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา อะไรเลาจะปฏสิ นธิ ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "นามและรูปนน่ั แหละจะปฏสิ นธ.ิ "
ร. "นามและรูปนีห้ รอื จะปฏสิ นธิ ?"
ถ. "นามและรปู นจ้ี ะปฏิสนธหิ ามไิ ด, ก็แตใ ครทาํ กรรมดกี รรมชว่ั ไวด วย
นามและรูปน,ี้ นามและรูปอน่ื จะปฏสิ นธขิ นึ้ ดว ยกรรมนน้ั ."
ร. "ถา วา นามและรปู นน้ั ไมป ฏิสนธิ ผนู ั้นเขาจกั พน จากบาปกรรมมใิ ช
หรอื ?"
ถ. "ถาวา นามและรปู นั้นจะไมป ฏิสนธิ เขาก็อาจพน จากบาปกรรมได,
ก็แตว า เหตุใดนามและรปู นนั้ ยงั จะปฏิสนธอิ ยู เหตุนน้ั เขาจึงไมพน จาก
บาปกรรมได. "
ร. "ขอพระผูเ ปน เจาจงอปุ มาใหข าพเจา ฟง."
ถ. "เหมือนอยา งวา บรุ ษุ คนหนงึ่ ไปลกั มะมว งของคนใดคนหนึ่ง, เจา
ของมะมว งกจ็ บั บรุ ษุ นนั้ ไปถวายแดพระเจา แผน ดนิ วา 'บุรุษน้ีลกั มะมว งของ
ขา พระองค' ฉะน,ี้ บรุ ุษนน้ั กใ็ หก ารแกว า 'ขาพระองคไ มไ ดล กั มะมว งของบุรุษ
น,้ี มะมว งทบ่ี รุ ุษนีป้ ลกู ไวน นั้ ตนหนงึ่ ตา งหาก, มะมว งทีข่ า พระองคลกั นนั้ ตน
หนง่ึ ตา งหาก, ขาพระองคไ มต องรบั ราชทณั ฑเลย' ฉะนี,้ บรุ ุษนนั้ จะตอ งรับ
ทณั ฑห รอื ไม ?"
ร. "ตองรบั ซิ พระผเู ปน เจา ."
ถ. "ตอ งรบั เพราะเหตุอะไร ?"
ร. "ถงึ บรุ ุษน้นั จะใหการปฏเิ สธมะมว งทีเ่ ขาหาเสยี , กต็ อ งรบั ราชทณั ฑ
ดว ยมะมว งทตี่ นรบั ทหี ลงั ."
ถ. "ขอ นนั้ ฉันใด; ใครทาํ กรรมดหี รอื ช่ัวไวดว ยนามและรปู น,ี้ นามและ
รปู อ่นื กป็ ฏิสนธขิ ้นึ ดวยกรรมนัน้ , เพราะเหตนุ ั้น เขาจงึ ไมพนจากบาปกรรม ก็
ฉนั นน้ั ."
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอุปมาใหข า พเจา ฟง ใหยง่ิ ขน้ึ อีก."
ถ. กอ็ ุปมาบรุ ษุ ลกั ขาวสาลี ลกั ออ ย เหมอื นฉะนน้ั , อกี อปุ มาหนงึ่ วา
บุรษุ กอไฟผงิ ในฤดูหนาวแลว ไมด บั หลกี ไปเสีย, ไฟนน้ั กไ็ หมไ รข องบรุ ุษผูอื่น,
เจาของไรจ ับบุรุษนัน้ มาถวายแดพระเจา แผน ดนิ (กราบทูลฟอ ง) วา 'บุรุษผนู ้ี
เผาไรข องขาพระองค' ฉะน,ี้ บรุ ษุ นั้นกราบทูลวา 'ขาพระองคไ มไดเ ผาไรข อง
บรุ ุษน,ี้ ไฟทีข่ า พระองคไ มไดดบั นัน้ แหง หนึ่ง, ไฟทีเ่ ผาไรข องบรุ ษุ นนั้ แหง หนงึ่ ,
ขาพระองคไ มต องรบั ราชทณั ฑเลย' ฉะน,้ี บรุ ุษน้นั จะตอ งรับราชทณั ฑ
หรอื ไม ?"
ร. "ตอ งรับซิ พระผูเปนเจา ."
ถ. "ตอ งรับเพราะเหตุไร ?"
ร. "ถงึ บรุ ษุ นั้นจะใหการปฏเิ สธไฟทีเ่ ขาหาเสีย, กต็ อ งรบั ราชทัณฑดวย
ไฟทตี่ นรบั ทหี ลัง."
ถ. "ขอ น้นั มอี ปุ มาฉันใด; ผใู ดทํากรรมดหี รอื ชวั่ ไวดวยนามและรูปน,ี้
นามและรูปอนื่ ปฏิสนธขิ น้ึ ดว ยกรรมนน้ั , เพราะเหตนุ น้ั เขาจึงไมพ น จาก
บาปกรรมได กม็ อี ปุ ไมยฉนั น้ัน."
ร. "ขอพระผเู ปน เจาจงอุปมาใหข า พเจา ฟงใหยง่ิ ขน้ึ อกี ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา บรุ ษุ คนหนง่ึ ถือไฟขนึ้ สเู รอื นแลว บรโิ ภคอาหารอยู
เม่ือไฟไหมอยกู ็ไหมห ญา , เมอื่ หญา ไหมอยู กไ็ หมเ รอื น, เม่ือเรือนไหมอ ยู ก็
ไหมบ า น, ชนชาวบา นจับบรุ ุษนนั้ ไดแลว ถามวา 'เหตุไฉนเจา จงึ ทําใหไ ฟไหม
บา น,' บรุ ุษนน้ั บอกวา 'ขาพเจา ไมไดท าํ ไฟใหไ หมบ า น, ขา พเจา บริโภคอาหาร
ดวยแสงสวา งไฟดวงหนงึ่ , ไฟทไี่ หมบานนน้ั ดวงหนึง่ ' ฉะน;้ี เมือ่ ชนเหลา นนั้
วิวาทกนั อยู มาในราชสาํ นกั ของพระองค ๆ จะทรงวนิ จิ ฉัยอรรถคดขี อน้นั ให
ใคร (ชนะ)."
ร. "วนิ จิ ฉยั ใหช นชาวบา น (ชนะ) นะซิ พระผเู ปนเจา ."
ถ. "เพราะเหตไุ ร พระองคจึงทรงวนิ จิ ฉัยอยา งนี้ ?"
ร. "ถึงบุรษุ น้ันจะพดู อยา งนนั้ , กแ็ ตว า ไฟนน้ั เกดิ ขน้ึ แตไฟนน้ั นน่ั เอง."
ถ. "ขอน้นั มอี ปุ มาฉนั ใด ถึงนามและรปู ทมี่ ใี นสมัยใกลต อ มรณะแผนก
หนงึ่ นามและรปู ที่ปฏิสนธิแผนกหนง่ึ , กแ็ ตว า นามรูปในปฏสิ นธนิ ัน้ เกิดขนึ้
แตนามและรปู ทม่ี ีในสมยั ใกลตอมรณะนนั่ เอง เพราะเหตุนนั้ เขาจงึ ไมพ น
บาปกรรมได ก็มอี ปุ ไมยฉนั นน้ั ."
ร. "ขอพระผเู ปน เจา จงอปุ มาใหข าพเจา ฟงอกี ."
ถ. "เหมือนอยา งวา บรุ ุษคนหนงึ่ ขอนางทาริกาทีย่ งั เดก็ อยแู ลว หมน้ั ไว
แลวหลีกไปเสยี , ภายหลงั นางทารกิ านน้ั โตเปน สาวข้ึน, แตน้ันบุรษุ อนื่ กม็ า
หม้ันแลว กระทําววาหมงคลเสยี , บรุ ุษคนทีข่ อไวเ ดมิ นนั้ มา แลวพดู วา 'กเ็ หตุ
ไฉนทา นจงึ นาํ เอาภริยาของเราไป,' บรุ ุษนน้ั จึงพูดวา 'เราไมไ ดน ําเอาภริยา
ของทานมา, นางทารกิ าที่ยงั เด็กเลก็ อยูย งั ไมเปนสาว และซึ่งทานไดข อไวและ
ไดห มน้ั ไวน ้นั คนหนึ่ง, นางทาริกาท่โี ตเปน สาวข้ึน ขา พเจาไดขอไดแ ละไดหมน้ั
ไวน ้ันคนหนงึ่ ' ฉะน,ี้ เม่ือชนเหลา น้นี วิวาทกนั อยู มาในพระราชสาํ นกั ของพระ
องค ๆ จะทรงวินิจฉยั อรรถคดขี อนั้นใหใคร (ชนะ)."
ร. "วนิ จิ ฉยั ใหบ ุรุษเดิม (ชนะ) นะซิ พระผเู ปนเจา ."
ถ. "เพราะเหตไุ ร พระองคจ ึงทรงวนิ ิจฉัยอยา งนนั้ ?"
ร. "ถงึ บรุ ุษนนั้ จะพดู อยา งนน้ั , ก็แตวา นางทารกิ านั้นก็โตเปนสาวขึน้
แตน างทารกิ านั้นนัน่ เอง."
ถ. "ขอ นน้ั มอี ปุ มาฉนั ใด ถงึ นามและรูปทมี่ ีในสมัยใกลต อมรณะแผนก
หนงึ่ นามและรูปในปฏิสนธแิ ผนกหน่งึ , กแ็ ตว า นามและรูปในปฏิสนธนิ ั้น
เกิดแตน ามและรปู ท่มี ใี นสมยั ใกลต อ มรณะนนั่ เอง, เพราะเหตุนนั้ เขาจงึ ไม
พนจากบาปกรรมได ก็มีอุปไมยฉนั นน้ั ."
ร. "ขอพระผเู ปน เจาจงอปุ มาใหข าพเจา ฟง อีก."
ถ. "เหมือนอยา งวา บุรุษคนหนง่ึ ซ้อื นาํ้ นมสดแตม ือนายโคบาลแลว
ฝากไวใ นมอื นายโคบาลแลว หลกี ไปเสีย ดวยคิดวา 'ในวนั รงุ ขน้ึ เราจักไปเอา'
ฉะน,ี้ ในเวลาอ่นื นมสดนน้ั ก็แปรเปนนมสม ไปเสยี บุรษุ นนั้ มาแลว กลา ววา
'ทา นจงใหน มสดนัน้ แกเ รา' ฉะนี้ นายโคบาลนนั้ กใ็ หน มสม , บุรษุ นนั้ กลาววา
'เราไมไดซ อ้ื นมสม แตม ือทาน ๆ จงใหน มสดนนั้ แกเรา,' นายโคบาลบอกวา
'ทานไมรูจ ัก นมสดนั้นแหละกลายเปน นมสม ' ฉะน;ี้ เมอ่ื ชนเหลา น้ันววิ าทกนั
อยู มาในราชสํานกั ของพระองค ๆ จะทรงวินิจฉยั อรรถคดีขอนน้ั ใหใ คร
(ชนะ) ?"
ร. "วินจิ ฉยั ใหน ายโคบาล (ชนะ) นะซิ พระผเู ปนเจา ."
ถ. "เพราะเหตไุ ร พระองคจ ึงทรงวนิ ิจฉัยอยา งนัน้ ?"
ร. "ถึงบรุ ษุ นั้นจะพูดอยา งนน้ั , กแ็ ตว า นมสมน้นั เกดิ แตน มสมดน้ันนน่ั
เอง."
ถ. "ขอ น้ันมีอปุ มาฉันใด; ถงึ นามและรปู ทม่ี ีในสมัยใกลต อ มรณะ
แผนกหนึ่ง นามรปู ในปฏิสนธแิ ผนกหนงึ่ , ก็แตวา นามรูปในปฏิสนธนิ น้ั เกิดแต
นามและรูปทม่ี ใี นสมัยใกลต อ มรณะน้ันเอง, เพราะเหตนุ ัน้ เขาจงึ ไมพน จาก
บาปกรรมได ก็มอี ุปไมยฉนั นั้น."
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจริง ๆ."
๗. ปนุ ปฏิสนธคิ หณปญ หา ๒๒
พระราชาตรสั ถามวา "กพ็ ระผูเปนเจา จักปฏสิ นธิหรอื ไม ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "อยา เลย มหาราช ประโยชนอ ะไรของพระองค
ดวยขอที่ตรัสถามนนั้ , อาตมภาพไดกลาวไวก อ นแลว มใิ ชหรือวา ถา อาตม
ภาพยงั มีอุปาทานอยู ก็จักปฏิสนธ,ิ ถา วาไมมีอมุ าทาน กจ็ ักไมปฏสิ นธ"ิ
ร. "ขอพระผเู ปน เจาจงอปุ มาใหขา พเจา ฟง."
ถ. "เหมอื นอยา งวา บรุ ษุ คนหนงึ่ ทาํ ความชอบไวแ กพ ระเจา แผนดนิ ๆ
ก็ทรงยนิ ดี พระราชทานบาํ เหน็จแกบ ุรุษนนั้ ๆ บาํ เรอตนใหเอบิ อิ่มบริบรู ณ
ดวยกามคุณทงั้ หา เพราะบาํ เหนจ็ ท่ไี ดร ับพระราชทานน้นั , ถาวา บุรุษนน้ั บอก
แกช นวา 'พระเจาแผนดนิ ไมท รงตอบแทนแกเ ราสกั นิดเดยี ว' ฉะน,ี้ บรุ ษุ นนั้
จะชือ่ วาทาํ ถูกหรอื ไม ?"
ร. "ไมถ กู เลย พระผูเปนเจา."
ถ. "ขอน้ันมอี ปุ มาฉันใด; ประโยชนอ ะไร ของพระองคดว ยขอที่ตรสั
ถามนั้น, อาตมภาพไดกลาวไวกอ นแลวมใิ ชหรือวา ถา วา อาตมภาพยงั มี
อปุ าทานอยู กจ็ กั ปฏิสนธ,ิ ถาวาไมม อี ุปาทาน ก็จักไมป ฏสิ นธิ กม็ อี ปุ ไมยฉัน
น้ัน."
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจรงิ ๆ."
๘. นามรปู ปญ หา ๒๓
พระราชาตรสั ถามวา "ขอ ทีพ่ ระผเู ปนเจา กลาววา 'นามและรูป' ดังนี้
นนั้ , อะไรเปน นาม อะไรเปนรปู ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวงา "ส่งิ ใดหยาบ สงิ่ นน้ั เปน รูป, ธรรมท้งั หลาย คอื
จิตและอารมณท ่เี กดิ กบั จิตอนั ใดซงึ่ เปน ของละเอียด สง่ิ นน้ั เปน นาม."
ร. "เพราะเหตุไร นามอยางเดยี วก็ไมป ฏิสนธิ หรือรูปอยา งเดยี ว กไ็ ม
ปฏิสนธ.ิ "
ถ. "เพราะธรรมเหลานนั้ อาศยั กนั และกนั เกดิ ขน้ึ ดว ยกัน."
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอุปมาใหข า พเจา ฟง ."
ถ. "เหมอื นอยา งวา ถา กลละของแมไ กไ มม ี ฟองของแมไ ก กไ็ มม,ี สิง่
ใดเปน กลละ สิง่ ใดเปนฟอง แมสิง่ ทัง้ สองนน้ั อาศัยกนั และกัน เกิดข้ึนดว ยกนั
ขอน้ันฉนั ใด, ถาวา ในนามและรูปนน้ั นามไมม ี แมร ูปกไ็ มมี ฉันนนั้ , สง่ิ ใดเปน
นาม ส่งิ ใดเปน รูป ส่ิงทง้ั สองนนั้ อาศัยกนั และกัน เกดิ ขึ้นดว ยกัน ขอ นไี้ ดเปน
มาแลว สน้ิ กาลยดื ยาว."
ร. "พระผูเปน เจาชา งฉลาดจริง ๆ."
๙. ทีฆมทั ธาปญ หา ๒๔
พระราชาตรัสถามวา "ขอท่ีพระผูเ ปนเจากลาววา 'กาลไกลอันยดื ยาว'
ฉะน้นี น้ั , อะไรชอ่ื วากาลไกลนนั้ ?"
พระเถรเจา ทูลตอบวา "กาลไกลท่เี ปน อดตี อยางหนึ่ง, กาลไกลทเ่ี ปน
อนาคตอยา งหนง่ึ , กาลไกลทีเ่ ปน ปจ จุบนั อยางหนึ่ง."
ร. "กาลไกลทั้งหมดนนั้ มีหรอื พระผเุ ปนเจา ."
ถ. "บางอยา งมี บางอยา งไมม .ี "
ถ. "สังขารท้งั หลายใด ทีเ่ ปน อดีตลวงไปแลว ดับไปแลว แปรไปแลว
กาลไกลนนั้ ไมม ี, ธรรมทัง้ หลายใด ทเี่ ปน วบิ าก และธรรมที่มวี ิบากเปน
ธรรมดา และธรรมทีใ่ หปฏิสนธิในทีอ่ นื่ กาลไกลนั้นมีอยู สัตวท ัง้ หลายใด ทํา
กาลกริ ยิ าแลว เกดิ ในทอี่ ่ืน กาลไกลนน้ั มีอยู, สว นสตั วท งั้ หลายใด ปรนิ พิ พาน
แลว กาลไกลน้นั ไมม ี เพราะวา กาลไกลนนั้ ดับเสียแลว ."
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจรงิ ๆ."
วรรคที่สาม
๑. อทั ธานปญ หา ๒๕
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปนเจา ก็อะไรเปน มูลของกาลไกลทเ่ี ปน
อดีต อนาคต ปจจบุ ันเลา ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "มหาราช อวชิ ชาเปน มลู ของกาลไกลทเ่ี ปน
อดีตอนาคตปจ จุบนั , (คือ) สังขารยอ มมมี า เพราะอวชิ ชาเปนปจจยั ,
วิญญาณยอมมีมา เพราะสงั ขารเปนปจ จยั , นามรูปยอมมมี า เพราะวญิ ญาณ
เปนปจจยั , สฬายตนะยอมมีมา เพราะนามรูปเปนปจ จยั , ผสั สะเปนปจ จัย,
ตัณหายอมมมี า เพราะเวทนาเปน ปจ จยั , อปุ าทานยอ มมมี า เพราะตณั หา
เปนปจ จยั , ภพยอ มเปน ปจ จัย, ชราและมรณโสกปริเทวทุกขโสมนสั อปุ ายาส
ยอ มมมี า เพราะชาตเิ ปน ปจ จยั ; เงื่อนตนแหงกาลไกลนน้ั ยอมไมป รากฏดงั น.้ี "
ร. "พระผูเ ปน เจาชา งฉลาดจรงิ ๆ."
๒. ปรุ ิมโกฏปิ ญหา ๒๖
พระราชาตรสั ถามวา "พระผเู ปน เจา ก็ขอ ทพ่ี ระผูเ ปน เจากลาววา
'เงื่อนตน ไมปรากฏนน้ั ,' ขอพระผเู )นเจาจงอปุ มาใหขา พเจา ฟง "
พระเถรเจา ทูลวา "ขอถวายพระพร เหมอื นอยางวา บรุ ุษคนหน่ึง จะ
เพาะพชื ลงในแผนดินสกั นดิ หนอย, หนอ กจ็ ะแตกข้ึนจากพชื น้ันแลว ถงึ ความ
เจรญิ งอกงามไพบูลยโดยลาํ ดบั แลว จะเผลด็ ผล, และบุรุษคนนน้ั จะถอื เอาพชื
แมแตผลไมน ้นั ไปปลูกอีก, หนอกจ็ ะแตกขึน้ แมจากพืชนั้นแลว ถงึ ความเจริญ
งอกงามไพบูลยโดยลาํ ดับแลว จะเผล็ดผล, เมื่อเปนดงั นน้ั ท่ีสดุ ของความสืบ
ตออันน้มี หี รอื ไม ?"
ร. "ไมม ซี ิ พระผเู ปนเจา ."
ถ. "ขอ น้ันฉนั ใด, เง่ือนตน ของกาลไกล ก็ไมป รากฏฉนั นน้ั ."
ร. "ขอพระผูเปน เจา จงอปุ มาใหย ง่ิ ขน้ึ อีก."
ถ. "เหมอื นอยา งวา ฟองไกม าจากแมไ ก แมไ กก ็มาจากฟองไก ฟองไก
กม็ าจากแมไกน ้นั อีก, เม่อื เปน ดังนี้ ท่ีสดุ ของความสืบตออนั นม้ี หี รอื ไม ?"
ร. "ไมม ซี ิ พระผเู ปนเจา ."
ถ. "ขอน้ันฉันใด, เงือ่ นตนของกาลไกล ก็ไมป รากฏฉนั นนั้ ."
ร. "ขอพระผูเปน เจาจงอปุ มาใหข าพเจา ฟงอีก."
พระเถรเจา เขยี นรูปจักรลงทพี่ ้นื แลว ทูลถามพระเจา มิลินทว า "ขอ
ถวายพระพร ที่สดุ ของจักรนีม้ หี รือไม ?"
ร. "ไมม ีซิ พระผูเปน เจา ."
ถ. "ขอน้ันฉนั ใด, จกั รทง้ั หลาย (คือ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ) ทพี่ ระผมู ี
พระภาคเจา ตรัสแลวเหลา น้ี ก็เหมือนฉนั นน้ั , (คอื ) อาศัยตากบั รปู เกดิ จักขุ
วญิ ญาณขน้ึ , อาศยั หกู ับเสยี ง เกดิ โสตวญิ ญาณขึน้ , อาศยั จมูกกับกลนิ่ เกิด
ฆานวิญญาณขนึ้ , อาศยั ล้ินกับรสเกดิ ชิวหาวญิ ญาณข้นึ , อาศัยกายกบั
โผฏฐัพพะ เกดิ กายวิญญาขึ้น, อาศยั ใจกบั ธรรม เกิดมโนวิญญาณขน้ึ , ความ
ประชุมแหงธรรมท้ังหลายสามประการ ๆ ชอ่ื ผสั สะ, ผัสสะเปน ปจ จยั ใหเ กดิ
เวทนา, เวทนาเปนปจ จยั ใหเ กิดตณั หา, ตณั หาเปน ปจจยั ใหเกดิ อุปาทาน,
อปุ าทานเปน ปจ จัยใหเกดิ กรรมล ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ยอมเกดิ ขึ้นแตกรรม
น้ันอีก, กเ็ มอื่ เปนดังนี้ ทสี่ ดุ ของความสบื ตอ อันนี้ มหี รอื ไม ?"
ร. "ไมม ซี ิ พระผเู ปน เจา ."
ถ. "ขอถวายพระพร ขอนน้ั ฉนั ใด, เง่ือนตน ของกาลไกลกไ็ มปรากฏฉนั
นน้ั ."
ร. "พระผูเ ปน เจา ชางฉลาดจริง ๆ."
๓. โกฏยิ าปุรมิ ปญ หา ๒๗
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู ปน เจา กข็ อ ทพ่ี ระผูเปน เจากลาววา
'เง่ือนตน ไมปรากฏนนั้ ,' เง่ือนตนนัน้ อะไร ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "เงื่อนตนนนั้ คอื กาลไกลท่เี ปน อดตี ."
ร. "กข็ อทีพ่ ระผูเปน เจา วา 'เง่อื นตน ไมป รากฏนัน้ ,' ไมป รากฏทงั้ หมด
หรอื ?"
ถ. "บางอยา งปรากฏ, บางอยางไมป รากฏ."
ร. "อยางไหนปรากฏ อยา งไหนไมปรากฏ ?"
ถ. "ขอถวายพระพร ในกาลกอนแตน้ี อวิชชาไมไ ดม ีแลวดว ยประการ
ทัง้ ปวง, เงื่อนตนนนั้ แหละไมป รากฏ; ส่งิ ใดทยี่ ังไมม ียอ มมขี ้นึ ทม่ี แี ลว ยอ ม
กลบั ไปปราศ, เง่อื นตน นน้ั แหละปรากฏ."
ร. "ก็ส่งิ ใดทยี่ ังไมมยี อ มมีขึ้น, ท่ีมแี ลว กลบั ไปปราศ, ส่งิ นนั้ ขาดทงั้ สอง
ขา งแลว ยอมถึงความลวงลบั ไปไมใชหรือ พระผูเปน เจา ?"
ถ. "ขอถวายพระพร ได. "
ร. "ขอพระผูเ ปน เจา จงอปุ มาใหขาพเจา ฟง ."
ถ. "ไดทําตนไมใหเปน อปุ มาในขอ นน้ั วา 'กแ็ ตว าขนั ธท ง้ั หลายช่ือวา
พชื แหง กองทกุ ขท ้ังสนิ้ ."
ร. "พระผเู ปน เจา ชางฉลาดจรงิ ๆ."
๔. สังขารชายนปญหา ๒๘
พระราชาตรัสถามวา "พระผเู จา สงั ขารทง้ั หลายบางอยา งท่เี กดิ อยู มี
หรอื ?"
พระเถรเจา ทลู ตอบวา "ขอถวายพระพร ม.ี "
ร. "สังขารทง้ั หลายเหลาไหน พระผูเปนเจา ."
ถ. "เมอ่ื ตาและรปู มี จักขวุ ิญญาณก็มีขึ้น, เมอ่ื จักขุวิญญาณมจี ักขุ
สมั ผสั กม็ ขี น้ึ , เมื่อหูและเสยี งมี โสตวญิ ญาณก็มีข้ึน, เมอ่ื โสตวิญญามี โสต
สมั ผสั กม็ ีข้นึ , เม่ือจมกู และกลิ่นมี ฆานวิญญาณกม็ ีข้นึ , เม่อื ฆานวญิ ญาณมี