ท่ีปรึกษา ผศ.ดร.ณรงค์ พทุ ธิชวี นิ
อธิการบดมี หาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ าษฎรธ์ านี
ผ้เู รียบเรียง ผศ.ดร.ศานติ ภกั ดคี �ำ
นางนวรตั น์ ภกั ดคี �ำ
นายธรี พนั ธุ์ จนั ทรเ์ จริญ
ผู้แปล นางสาวสติ านนั ท์ ศรีวรรธนะ
บรรณาธกิ าร นายธีรพนั ธ์ุ จนั ทร์เจริญ
ผูช้ ว่ ยบรรณาธิการ ดร.สมุ าลยั กาลวิบูลย์
นายอนุรัตน์ แพนสกุล
กองบรรณาธิการ บุคลากรส�ำ นักศลิ ปะและวัฒนธรรม
ถ่ายภาพ นายธีรพันธ์ุ จันทร์เจรญิ
นายชัยวฒั น์ เสาทอง
พิมพ์ครง้ั ที่ 1 กันยายน 2555
พิมพท์ ี่ หจก.เค.ที.กราฟฟิค การพิมพ์ และบรรจุภัณฑ์
Assistant Prof. Dr. Narong Buddhichiwin
Advisor The President of Suratthani Rajabhat University
Assistant Prof. Dr. Santi Pakdeekham
Authors Mrs. Nawarat Pakdeekham
Mr. Thirabhand Chandracharoen
Miss Sitanan Sriwattana
Translator Mr. Thirabhand Chandracharoen
Editor Dr. Sumalai Ganwiboon
Vice Editors Mr. Anurat Pansakul
Officers of The Office of Arts and Culture
Editorial Team Mr. Thirabhand Chandracharoen
Photographers Mr. Chaiwat Saothong
September 2012
First Publishing 9789743064616
ISBN
คำ�น�ำ
วัดโพธาราม ต้งั อยู่ ณ บา้ นพุมเรยี ง ต�ำ บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จงั หวัด
สุราษฎรธ์ านี ชาวบา้ นเรยี ก “วัดเหนอื ” เป็นวัดเก่าแกแ่ หง่ หนึง่ ไม่พบหลกั ฐาน
แน่ชัดว่าสร้างมาแต่เม่ือไร แต่พอจะสันนิษฐานได้จากโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
ทพี่ บภายในวัดว่าคงเป็นวัดท่ีมีมาตง้ั แต่ครัง้ กรุงศรอี ยุธยาเป็นราชธานี เคยเจรญิ
รงุ่ เรืองมากในสมัยที่เมอื งไชยาต้งั ท่ีทำ�การอย่ทู ี่บ้านพมุ เรียง และนา่ จะเปน็ สำ�นกั
เรียนท่ีสำ�คัญแห่งหน่ึงของเมืองไชยาในยุคสมัยนั้น สอดคล้องกับหลักฐานจาก
การสำ�รวจท่ีพบว่าคัมภีร์ใบลานของวัดโพธาราม มีอายุเก่าแก่นับต้ังแต่สมัย
กรงุ ศรอี ยธุ ยาตอนปลาย จนกระทง่ั ถงึ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เนอื้ หาสว่ นใหญเ่ ปน็
พระธรรมค�ำ สอนทางพระพทุ ธศาสนา เชน่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา
เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญ
พระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา วนั ท่ี ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๕๕ ส�ำ นกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม
จึงมีดำ�ริดำ�เนินการ “โครงการจัดทำ�ฐานข้อมูลคัมภีร์ใบลานวัดโพธาราม
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” และจัด
พิมพ์หนังสือ “คัมภีร์ใบลานวัดโพธาราม” ถวายเป็นพระราชกุศล อีกทั้งยัง
เปน็ โอกาสอนั ดใี นการเผยแพรท่ รพั ยากรวฒั นธรรมในทอ้ งถนิ่ สสู่ ากล และกระตนุ้
ให้ประชาชน รวมท้ังนักวิชาการ ได้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรวัฒนธรรม
ในท้องถิ่นสุราษฎร์ธานี และอาจจะนำ�ไปสู่การจัดต้ังพิพิธภัณฑ์ชุมชนข้ึน
ณ วัดโพธาราม ในอนาคต
สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยราชภฏั สุราษฎรธ์ านี
Preface
Photharam temple locates at Banpoomriang, Poomriang
subdistrict, Chaiya district, Suratthani province. The temple is called
by the local people as “Wat Nua” or North Temple. The Photharam
temple is an ancient temple, but there is still no information
about the date of establishment. However, estimated from antiques
and art objects in the temple can be dated back to the Ayutthaya period.
The Photharam temple is at its glorious when Chaiya was a city
and situated at Banpoomriang. This temple may be an important
education center at Chiya era. According to the palm leaves scriptures
found in the temple, which may dated back to the Ayutthaya
period to the Rattanakosin period. The main content of the
teaching are Buddhist doctrine e.g., the Tipiṭaka, Commentary
and Sub-commentary.
In order to celebrate Her Majesty the Queen in the occasion
of her 80 th birthday on August 12, 2012, the Office of Arts and
Cultures manage to do a project entitled “Database Managment of
the manuscripts of Wat Photharam to Celebrate Her Majesty the
Queen 80 th Birthday.” Moreover, the Office of Arts and Cultures
also celebrates this occasion by published a book from the database
managed entitled “The Manuscripts of Wat Photharam” to do merit
to the Queen. This is a great opportunity to propagate the local cultural
resource to be well-known internationally, and to make public aware of
the cultural resource available in Suratthani province with the hope that
this would lead to the establishment of the community museum in the
future.
The Office of Arts and Cultures
Suratthani Rajabhat University
สารบัญ หนา้
ค�ำ นำ� ๑
สารบัญ ๕
บทนำ� ๕
บทท่ี ๑ คัมภีรใ์ บลานวัดโพธาราม ๘
- คมั ภรี ใ์ บลานวดั โพธาราม ๑๑
- คัมภีร์สมัยกรงุ ศรีอยุธยา ๑๔
- คัมภรี ส์ มัยกรงุ ธนบรุ ี ๒๓
- คัมภีรส์ มยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๒๔
- ลกั ษณะตวั อักษรในคัมภีร์ใบลานวัดโพธาราม ๒๕
- อกั ษรขอมสุโขทยั ๒๗
- อกั ษรขอมสมัยกรุงศรอี ยุธยา ๕๗
- อกั ษรขอมสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ ๕๗
บทที่ ๒ สาระสงั เขปคมั ภีร์ใบลานวดั โพธาราม ๖๑
- พระวนิ ัย ๗๔
- พระสูตร ๗๗
- พระอภธิ รรม ๑๓๑
- พระสัททาวิเสส ๔๒๗
บทที่ ๓ บญั ชคี มั ภีรใ์ บลานวัดโพธาราม ๔๔๑
ดรรชนรี ายชอ่ื คัมภีรใ์ บลานวดั โพธาราม
บรรณานกุ รม
Content
Preface
Content
Introduction 1
Chapter 1 The Manuscripts of Wat Photharam 33
- The Manuscripts of Wat Photharam 33
- The Ayutthaya Period 36
- The Thonburi Period 39
- The Rattanakosin Period 41
- Script in the Palm Leaf Scriptures of Wat Photharam 48
- Khom Script of the Sukhothai Period 48
- Khom Script of the Ayutthaya Period 49
- Khom Script of the Rattanakosin Period 52
Chapter 2 Summary of the Wat Photharam Manuscripts 95
- Phra Vinaya 95
- Phra Sūtra 98
- Phra Abhidhamma 111
- Phra Saddāvisesa 113
Chapter 3 Description of the Wat Photharam Manuscripts 131
Index 427
Bibliography 443
บทน�ำ
Introduction
วัดโพธาราม
Photharam Temple (Wat Photharam)
วัดโพธาราม ต้งั อยู่ ณ บา้ นพุมเรียง ต�ำบลพุมเรียง อ�ำเภอไชยา จังหวดั
สุราษฎร์ธานี ชาวบา้ นเรียก “วัดเหนอื ” บรเิ วณวัดตั้งอยู่บนเนินทรายใกล้ปากน�ำ้
พุมเรียง ห่างจากทะเลประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ เป็นวดั เกา่ แก่แหง่ หนึ่ง ไม่พบ
หลักฐานแน่ชัดว่าสร้างมาแต่เม่ือไร แต่พอจะสันนิษฐานได้จากโบราณวัตถุและ
ศิลปวัตถุท่ีพบภายในวัดว่าคงเป็นวัดที่มีมาต้ังแต่คร้ังกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
เคยเจรญิ รุง่ เรอื งมากในสมัยทเ่ี มืองไชยาต้ังที่ทำ� การอย่ทู บี่ ้านพมุ เรียง
Photharam temple locates at Banpoomriang, Poomriang
subdistrict, Chaiya district, Suratthani province. The temple is called
by the local people as “Wat Nua” or North Temple. The temple
situates on the sand dune near the estuary of the Poomriang River
1 kilometer from the sea. The Photharam temple is an ancient temple
but there is still no information about the date of establishment.
However, estimated from antiques, and art objects in the temple can be
dated back to the late Ayutthaya period. The Photharam temple is at its
glorious when Chaiya was a city and situated at Banpoomriang.
2
3
4
บทที่ ๑
คัมภรี ใ์ บลานวัดโพธาราม
คัมภรี ์ใบลานวัดโพธาราม
คัมภีร์ใบลาน หมายถึง คัมภีร์ท่ีจารลงบนใบลาน เน้ือหาที่จารส่วนใหญ่
เป็นพระธรรมค�ำสอนทางพระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา ฏีกา
คัมภีร์ใบลานจึงมีความส�ำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นคัมภีร์ที่บันทึก
พระธรรมอนั เปน็ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ดงั นนั้ จงึ ถอื กนั เปน็ ธรรมเนยี มวา่ คมั ภรี ์
ใบลานเปน็ สิ่งทต่ี อ้ งให้ความส�ำคัญ ตอ้ งเก็บรักษาไว้อยา่ งดีเหมอื นกับพระพทุ ธรูป
ในสมยั โบราณคมั ภรี ใ์ บลานเหลา่ นม้ี กั เกบ็ รวบรวมไวใ้ นตพู้ ระธรรม ทต่ี งั้ อยภู่ ายใน
“หอไตร” หรอื “หอพระไตรปิฎก” ของวัด ๑
๑ กอ่ งแกว้ วรี ะประจกั ษ,์ สารนเิ ทศจากคมั ภรี ใ์ บลานสมยั อยธุ ยา (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕),
หนา้ ๓ – ๔.
6
7
8
คัมภีร์ใบลานวัดโพธาราม เป็นคัมภีร์ใบลานท่ีส�ำรวจพบในวัดโพธาราม
ซ่ึงตง้ั อยู่ท่ีตำ� บลพุมเรยี ง อ�ำเภอไชยา จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี วัดเกา่ แกแ่ ละส�ำคญั
มากของชุมชนพุมเรียงหรือเมืองไชยาในอดีต และน่าจะเป็นส�ำนักเรียนท่ีส�ำคัญ
แหง่ หนง่ึ ของเมอื งไชยาในยคุ สมยั ทต่ี งั้ เมอื งอยบู่ รเิ วณบา้ นพมุ เรยี งแหง่ นี้ สอดคลอ้ ง
กบั หลกั ฐานจากการสำ� รวจคมั ภรี ์ ทพ่ี บวา่ คมั ภรี ใ์ บลานของวดั โพธาราม มอี ายเุ กา่
แก่นับต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ซง่ึ สามารถจำ� แนกออกตามยุคสมัยของคัมภีร์ได้ดงั น้ี
๑. คัมภรี ส์ มยั กรุงศรอี ยุธยา
คัมภีร์ใบลานวัดโพธาราม สมัยกรุงศรีอยุธยา กลุ่มท่ีเก่าที่สุดที่พบหลัก
ฐานจากการส�ำรวจ เป็นคัมภีร์ท่ีสร้างหรือจารข้ึนในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
แห่งราชวงศ์บา้ นพลูหลวง รัชกาลพระเจา้ ท้ายสระ พระเจ้าอย่หู วั บรมโกศ จนถึง
รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศน์
กอ่ นหนา้ ท่จี ะเสยี กรงุ ศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ไม่นาน แสดงถึงความสบื เนอ่ื ง
ของชุมชนและการศึกษาของคณะสงฆ์ในเมืองไชยา คัมภีร์ใบลานสมัย
กรงุ ศรอี ยธุ ยาตอนปลายสามารถจำ� แนกตามรชั กาลตา่ งๆ ได้ดงั นี้
รัชกาลสมเดจ็ พระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๒๔๖)
คมั ภรี ว์ ดั โพธาราม ซงึ่ ปรากฏหลกั ฐานวา่ จารขนึ้ ในรชั กาลสมเดจ็ พระเพทราชา
ไดแ้ ก่
๑. คมั ภรี ม์ ลู กจจฺ ายน (๑๒๓) นาม ผกู ๑ มขี อ้ ความวา่ “พทุ ธศกั ราช ๒๒๓๓
มหาศกั ราชสรา้ งไว”้
๒. คมั ภรี ์ “พรฺ มโหสถ” (๐๖๒) ซงึ่ จารขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๓๔ ตรงกบั รชั กาล
สมเด็จพระเพทราชาดงั ความในบานแพนกวา่ “พรฺ มโหสถ ผกู ๓ จุลศักราชได้
๑๐๕๓ อสฺสสวํ จฉฺ เร” (ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๓๔ รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา)
9
รัชกาลพระเจ้าทา้ ยสระ (พ.ศ. ๒๒๕๑ - ๒๒๗๕)
คมั ภรี ว์ ดั โพธาราม ซงึ่ ปรากฏหลกั ฐานวา่ จารขนึ้ ในรชั กาลพระเจา้ ทา้ ยสระ
ได้แก่
คัมภีร์พระปาจิตตีย์ (๐๙๓) หน้าท้ายมีข้อความว่า “สพฺพมศฺดตุพุทฺธ
สกฺกราชไต ๒๒๗๕ ปี มุสกิ สํวจฺฉร มิคฺคสริ มาส สุกฺขปกขฺ ภมุ มฺ วาร เอกตฏิ ริยํ
จุลฺลสกฺกราชไตแลว ๑๐๙๕ ปี” (ศุภมัศดุ พุทธศักราชได้ ๒๒๗๕ ปี ปีชวด
เดอื นอา้ ย ขา้ งขน้ึ ๑ คำ่� วนั องั คาร จลุ ศกั ราชได้ ๑๐๙๕) ซง่ึ เปน็ ปสี ดุ ทา้ ยในรชั กาล
พระเจ้าทา้ ยสระ
รชั กาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๐๑)
คัมภีร์วัดโพธาราม ซ่ึงปรากฏหลักฐานว่าจารขึ้นในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัว
บรมโกศ ไดแ้ ก่
๑. คัมภีร์วิสุทฺธิมคฺค ผูก ๑ (๐๘๒) ปรากฏข้อความว่า “พระพุทธศกั ราช
ล่วงแลว้ ได้ ๒๒๘๓ พระวสั สา มหาพรมสุทสร้างไวใ้ หถ้ าวรในพระศาสนาขอเปน็
ปัจจยั แก่นิพพาน”
๒. คัมภีร์พฺรปวรสรรพานิสงฺสกถาสงฺคหนยสงฺเขปพรรค์ฯ (๐๕๓)
ปรากฏข้อความกล่าวถึงผู้จารและวันเดือนปีท่ีจารไว้ด้วย ดังความว่า “มหาอ่�ำ
คัดลอกไว้เพ่อื ใหเ้ ป็นประโยชนต์ า่ งต่าง แกส่ าธุชนธรรมกถกึ พระปกิณณกถาทสิ ฺ
สงนยุยมกสาธก ปริเฉท ๒ วันศกุ ร์ เดอื น ๕ ข้นึ ๑๑ ค่ำ� จลุ ศักราช ๑๑๑๓ ปีกุน
ตรศี ก (พ.ศ. ๒๒๙๔) เจ้าชีวิตข้นึ เสวยราชสมบตั ิ”
รชั กาลพระเจา้ อยหู่ วั พระทน่ี งั่ สรุ ยิ าศนอ์ มรนิ ทร์ (พ.ศ. ๒๓๐๑ - ๒๓๑๐)
คัมภีร์วัดโพธาราม ซึ่งปรากฏหลักฐานว่าจารขึ้นในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัว
พระทีน่ งั่ สรุ ยิ าสน์อมรนิ ทร์ ได้แก่
10
คมั ภรี ม์ หาชนก (๐๘๗) ทา้ ยผกู มขี อ้ ความเปน็ อกั ษรขอมไทยวา่ “บาทเจา
ตงอนิ เขยี นไวใ้ นพระศาสนา เขียนจบวันจนั ทรเ์ ดือน ๑๒ ขน้ึ ๙ ค�ำ่ ปกี นุ นพศก
ชายแล้วตวายทายหาน” (พ.ศ. ๒๓๐๙) เป็นคัมภีร์ที่จารขึ้นในรัชกาลสมเด็จ
พระเจา้ เอกทศั น์ และเป็นปีกอ่ นหนา้ ท่ีจะเสยี กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐
อย่างไรก็ตามยังปรากฏว่ามีคัมภีร์วัดโพธาราม อีกหลายเรื่องซึ่งไม่ระบุ
ปีศักราชท่ีจาร หรือสร้าง แต่จากรูปแบบตัวอักษรแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ว่า เป็นอักษรขอมที่ใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คัมภีร์เหล่าน้ีจึงน่าจะเป็นคัมภีร์ที่
จารขึน้ ในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาด้วย เชน่ พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ฉบับอักษรขอมย่อ
สมยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนปลาย เปน็ ต้น
11
๒. คัมภรี ์สมัยกรุงธนบรุ ี
หลงั จากเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๐ เมอื งไชยา ปรากฏหลกั ฐานวา่
มีบทบาทสำ� คญั อกี ครง้ั ในสมยั กรุงธนบุรี โดยเฉพาะเมอ่ื สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบุรี
โปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรีแขกยกทัพไปปราบเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ได้เดินทัพผ่านเมืองไชยาด้วย ดังปรากฏความในพระราชพงศาวดารฉบับ
สมเดจ็ พระพนรตั น์ วดั พระเชตุพน ฉบับตัวเขยี นวา่
“...ครน้ั ยกออกไปถงึ แดนเมอื งไชยา หลวงปลดั เมอื งไชยาภาไพรพ่ ลมาเขา้
สวามิภักดิ์ จึงบอกเข้ามาให้กราบทูลอีก โปรดให้มีตราต้ังออกไปให้หลวงปลัด
เป็นพญาวีชิตภักดีเจ้าเมืองไชยาให้เกนเข้าบันจบกองทับๆ ก็ยกออกไปตั้งอยู่
ณ เมืองไชยา”
ตอ่ มาเมอ่ื เจา้ พระยาจกั รแี ขกไมส่ ามารถตเี มอื งนครศรธี รรมราชได้ จงึ ถอยทพั
มาตง้ั อยู่ ณ เมอื งไชยา สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ จี งึ ทรงยกทพั เรอื มาประทบั ชมุ นมุ
ทัพท่ีเมืองไชยา ก่อนท่ีจะยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ดังปรากฏความใน
พระราชพงศาวดารวา่
12
“ครน้ั เสดจ์ถงึ เมอื งไชยา จึ่งใหจ้ อดประทับ ณ ท่าพมุ เรยี ง เสดจพ์ ระราช
ด�ำเนีรข้ึนไปประทับแรมอยู่บนพลับพลาไชย ซึ่งกองทับหน้าตกแต่งไว้รับเสด็จ
เพอ่ื จะให้เปนศรสี วัสดิมงคลแกเ่ มืองไชยาน้ัน แล้วดำ� หรดั ให้กองพญาพไิ ชยราชา
เขา้ บันจบทบั เจา้ พญาจักกรี เร่งรบี ยกไปทางบกให้ดเี อาค่ายทบั เมอื งนครให้แตก
จงึ ได้ แลกองทบั บกก็ถวายกราบบงั คมลา ยกไปตามพระราชก�ำหนด...”
นอกจากนย้ี งั ปรากฏหลกั ฐานในจารกึ วดั จำ� ปา กลา่ วถงึ การทำ� บญุ ของเจา้ เมอื ง
ไชยา อีกทั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ยังทรง
พระนิพนธ์ถงึ ความสำ� คญั ของหัวเมอื งภาคใต้สมัยกรุงธนบรุ ี ในฐานะทเ่ี ปน็ แหล่ง
เกบ็ รวบรวมคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาไวว้ ่า
“...จ�ำเดมิ แตเ่ มอื่ กรงุ เกา่ เสยี แกพ่ มา่ ขา้ ศกึ ครง้ั นนั้ วดั วงั บา้ นเรอื นถกู ขา้ ศกึ
เผายบั เยนิ ไปทกุ แหง่ หนงั สอื พระไตรปฎิ กแลหนงั สอื อน่ื ๆ จงึ เปน็ อนั ตรายหายสญู ไป
เสียเปนอันมาก เม่ือขุนหลวงตากต้ังเมืองธนบุรีเปนราชธานีแล้ว จึงมีรับสั่งให้
เสาะหาหนังสือต่างๆ มีคัมภีร์พระไตรปิฎกเปนต้น มารวบรวมต้ังหอหลวงขึ้น
ใหม่ ความปรากฏนหนังสือพระราชพงษาวดารว่า เมอื่ ปฉี ลเู อกศก พ.ศ. ๒๓๑๒
พระเจ้ากรงุ ธนบุรี เสด็จยกทพั หลวงไปตีถงึ เมืองนครศรีธรรมราช เมอ่ื ไดเ้ มืองพบ
คัมภีร์พระไตรปิฎกยังมีอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชมาก ด้วยคราวเม่ือเสียกรุงเก่า
พมา่ หาไดย้ กลงไปตถี งึ เมอื งนครศรธี รรมราชไม่ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ จี งึ มรี บั สงั่ ใหย้ มื
คมั ภีรพ์ ระไตรปฎิ กทเี่ มอื งนครศรีธรรมราชขนเขา้ มายังกรุงธนบรุ ี...” ๒
ส�ำหรับคัมภีร์วัดโพธาราม ท่ีปรากฏหลักฐานว่าจารในสมัยกรุงธนบุรี
มีหลายคัมภีร์ด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์ท่ีจารข้ึนในสมัยปลายกรุงธนบุรี
ได้แก่
๒ พระเจา้ บรมวงษเ์ ธอ กรมพระดำ� รงราชานภุ าพ, ตำ� นานหอพระสมดุ หอพระมณเฑยี รธรรม
หออวชริ ญาณ หอพทุ ธสาสนสงั คหะ แลหอสมดุ สำ� หรบั พระนคร (พระนคร: โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒ
ธนากร, ๒๔๕๙), หนา้ ๔.
13
๑. คัมภีร์สุตฺตนิเทสนาม ผูก ๒ (๑๑๓) หน้าสุดท้ายมีข้อความ
“พทุ ธศกั ราชลว่ งแล้ว ๒๓๒๑ พระวสั สา เศษสงั ขยา ปจี อสมั ฤทธศิ ก เดอื น ๑๒
แรม ๑๓ คำ่� วันอังคาร เพลาบ่ายโมง ส�ำเรจ็ ๛”
๒. คมั ภรี ์สตุ ตฺ นิทเฺ ทสอุณาทฺท ผูก ๑ มขี อ้ ความระบถุ ึงวนั เวลาท่ีสรา้ ง
คัมภีร์ว่า “พุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๓๒๒ พระวัสสา เศษเดือนกับย่ีสิบแปดวัน
ปจั จุบนั ปกี นุ เอกศก เดอื นแปดปฐมาสาธ แรม ๑๓ ค่ำ� ”
๓. มลู กจจฺ ายยฺ านามมฺ ผกู ๑ (๐๐๒) มขี อ้ ความระบชุ อื่ และวนั เวลาทจี่ ารวา่
“...มลุ ฺลกจฺจายยฺ นามฺมผกู ๑ พุทธฺ สกกฺ ราชชฺ ไต ๒๓๒๒ ปีกนุ เอกกฺ สก เฑอื น ๗”
๔. มหาชมพวู ณณฺ นานติ ถฺ ติ า (๐๔๔) ในใบรองปกมคี วามวา่ “หา้ ผกู ๒ บาท”
และ ปี พ.ศ. ๒๓๒๓ ซ่ึงแสดงวา่ คมั ภีร์เรือ่ งนีจ้ ารข้นึ ในสมัยกรุงธนบรุ ี
14
๓. คัมภีร์สมยั กรุงรัตนโกสินทร์
หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนา
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ แลว้ ไดท้ รงฟน้ื ฟบู า้ นเมอื งและศลิ ปวฒั นธรรม
ตา่ งๆ โดยเฉพาะในด้านพระพุทธศาสนานัน้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้สร้าง
พระไตรปิฎกฉบบั หลวงข้ึน และตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ จึงโปรดเกลา้ ฯ ให้มกี าร
สังคายนาพระไตรปิฎกท่วี ัดมหาธาตุ หลังจากน้นั จึงมีรับสง่ั ให้สรา้ งพระไตรปิฎกข้ึน
ตามฉบับสังคายนาอีกหลายฉบับ ด้วยเหตุน้ีจึงปรากฏหลักฐานว่า ในรัชกาลนี้
รวมทั้งในรัชกาลต่อมาของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีการสร้างคัมภีร์ใบลานขึ้นใหม่
หลายฉบบั เพ่ือทดแทนของเดิมทีช่ �ำรุด เสยี หาย หรือถูกทำ� ลายไป ๓
๓ เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๖ – ๗.
15
คัมภีรใ์ บลานวดั โพธาราม ท่จี ารขึ้นในสมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์มีจ�ำนวนมาก
ท้ังที่ปรากฏหลักฐานวันเวลาที่จารไว้อย่างชัดเจน หรือแม้จะไม่ปรากฏหลักฐาน
เกย่ี วกบั วนั เวลาทจี่ าร แตจ่ ากการพจิ ารณารปู แบบตวั อกั ษรทใ่ี ชใ้ นการจาร ทำ� ให้
สามารถกำ� หนดอายไุ ดว้ า่ เปน็ คมั ภรี ท์ จ่ี ารขนึ้ ในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ดงั สามารถ
จดั แบ่งออกตามทีป่ รากฏวนั เวลาทจ่ี ารไดด้ ังนี้
รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒)
ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช นอกจากจะทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระไตรปฎิ กฉบบั สำ� หรบั หอหลวงขนึ้ แลว้ ยังทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระไตรปิฎกพระราชทานไปยังพระอารามหลวง
ทุกพระอาราม เพราะหนังสือตามวัดกระจัดกระจายสูญหายแต่ครั้งเสียกรุงเก่า
พระสงฆไ์ ม่มีหนังสือท่จี ะเล่าเรียน จึงพระราชทานหนังสอื ฉบับหลวงให้จำ� ลองไป
ไวส้ ำ� หรบั วดั ทงั้ ทที่ รงสรา้ งเปน็ หนงั สอื หลวงพระราชทาน กบั พระราชทานอนญุ าต
ให้พระยืมหนงั สือหลวงไปจารเองตามวัด ๔
ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ปรากฏวา่ คมั ภรี ว์ ดั โพธารามทจ่ี ารขนึ้ ในสมยั พระบาทสมเดจ็
พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช มจี ำ� นวนมาก หลายคมั ภีรป์ รากฏบานแพนก
แสดงให้เหน็ ว่าเปน็ ฉบับหลวง เช่น
๑. คัมภีร์องฺคุตฺตรนิกาย ปญฺจกนิปาต ผูก ๑ – ๑๐ (๐๒๖) ทุกผูก
มีบานแพนกว่า “ศุภมัสดุ พระพุทธศักราชล่วงแล้วได้ ๒๓๒๔ พระวัสสา ปีขาน
จัตวาศก สมเด็จบรมธรรมิกราชาได้ปราบดาภิเษกในกรุงรัตนโกสินทรอินท
อยุธยา พระราชศรัทธาบ�ำรุงพระศาสนาพระราชทานทรัพย์ให้ช่างจารเป็นอันมาก
ให้สร้างพระไตรปิฎกจนส้ินฉบับไทยแล้ว ให้จ�ำลองฉบับลาว รามัญ เอามาเป็น
ไทย เชิญขึ้นไว้หอมณเฑียรธรรมส�ำหรับพระศาสนา อุทิศพระราชกุศลน้ีให้แก่
สรรพสัตว์ทั่วอนันตจักรวาฬ เพื่อจะให้เป็นปัจจัยส�ำเร็จแก่พระปรมาภิเษก
สัมโพธิญาณในอนาคตกาลน้ันเถิดฯ๛”
๔ เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๗ – ๘.
16
นอกจากน้ียังมีเนื้อความระบุชื่อผู้จาร และต้นฉบับของคัมภีร์ท่ีน�ำมาใช้
เปน็ ตน้ ฉบบั ในการคดั ลอกดว้ ย เชน่ ผกู ที่ ๒ มขี อ้ ความหนา้ ปกวา่ “มหากนุ , มหาคมุ
ช�ำระได้ฉบับวัดเลียบ วัดบางว้า วัดสลัก วัดบางขุนเทียน นายเปล้ืองจ�ำลอง”
ผกู ท่ี ๓ มีข้อความหนา้ ปกว่า “มหากนุ , มหาคมุ ชำ� ระสามคำ� รบ ๓ ดว้ ยฉบับ
วัดบางวา้ วัดสลกั วดั เลยี บ วดั บางขุนเทียน นายเมอื งจ�ำลอง”
๒. พรฺ มงคฺ ลทปี นอี ฏฐฺ กถามงคฺ ลสตุ รฺ ผกู ๑ – ๒๖ (๑๑๘) ผกู ท่ี ๑๒ มขี อ้ ความ
วา่ “พระพทุ ธศาสนาลว่ งแลว้ ได้ ๒๓๐๐ กบั ๒๕ พระวสั สา เศษเดอื นได้ ๒ เดอื น”
๓. ธาตุอุณาทิสํเขปฯ (๐๑๓) “หนังสือเณรนาก เจ้ากูสร้างไว้ส�ำหรับ
พระศาสนา พระพทุ ธศกั ราชล่วงไปแล้ว ๒๓๒๘ พระวัสสา ปมี ะเส็ง สปั ตศก”
๔. ธาตุกฺริต (๑๒๓) มีความว่า “พระพุทธศักราชล่วงไปแล้ว ๒๓๒๘
พระวัสสาแล ปมี ะเสง็ ”
๕. มูลฺลกจฺจายณธาตุอุณฺณาทิ ผูก ๑ (๐๑๓) มีข้อความท้ายเล่มว่า
“พุทธศักราช ๒๓๓๑ พระวสั สา วอกสัมฤทธิศกฯ ทา่ นตาเหลือกับสีกาเสมผู้เปน็
ภรรยาเจ้าสงผู้เป็นบุตรมีน้�ำใจบริสุทธิ์ศรัทธาสร้างพระธรรมน้ีไว้ในพระศาสนา
ส่งบุญน้นั ไปใหแ้ กต่ าฅงผู้เปน็ นอ้ ง จงเป็นปจั จยั แกพ่ ระนพิ พานเถดิ ”
๖. การกกจฺจายน ผกู ๘ (๐๑๓) “พระพทุ ธศักราชได้ ๒๓๒๘ พระวัสสา
หนังสือเณรนากเปน็ ทาโอแลว้ วันเสาร์ เดอื น ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ� ปีวอก นพศก”
๗. ธาตอุ าขยฺ าตจบบรบิ รู ณ (๑๒๓) มคี วามวา่ “ศภุ มศั ดุ พระพทุ ธศกั ราช
ลว่ งแลว้ ได้ ๒๓๓๓ พระวสั สา ปจี อโทศก คณุ เอยี่ มสรา้ งหนงั สอื ไวใ้ นพระศาสนา อทุ ศิ
พระราชกศุ ลนใี้ หแ้ กส่ รรพสตั วใ์ นอนนั ตจกั รวาล พระราชกศุ ลนข้ี อใหเ้ ปน็ ปจั จยั แก.่ ..”
๘. ธาตุกฺริต (๑๓๗) มีข้อความด้านหลังว่า “ศุภมัสดุ พระพุทธศักราช
ลว่ งแลว้ ได้ ๒๓๓๓ พระวสั สา ปีจอโทศก คุณเอ่ยี ม สร้างหนังสือไวใ้ นพระศาสนา
อทุ ศิ พระราชกศุ ลนใี้ หแ้ กส่ รรพสตั วใ์ นอนนั ตจกั รวาลพระราชกศุ ลนขี้ อใหเ้ ปน็ เหตุ
ปัจจัยแก่มนุษยสมบตั ิ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบตั ิในอนาคตกาลนัน้ เถิดฯ”
17
๙. ทุตยิ สามนฺตปาสาทิกาฯ (๐๔๓) มขี ้อความในใบรองปกวา่ “สีกาบญุ
เลย้ี งสรา้ งส�ำหรับพระศาสนา ส�ำเรจ็ ปีเถาะ สปั ตศก วนั ศุกร์ เดอื นยี่ ข้นึ ๑๕ ค่ำ�
พทุ ธศักราชลว่ งแล้วได้ ๒๓๓๔ พระวสั สา”
๑๐. โยชนาสรุปพระอภธิ ัมมสงั คห เล่ม ๑ (๐๒๑) มคี วามวา่ “พระพทุ ธ
ศักราชของสมเด็จพระพุทธิเจ้าล่วงไปแล้วได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสังขยาได้
๗ เดือน ปัจจุบันปีเถาะ สัปตศก เณรบุญรอดชักชวนบอกสัปบุรษทั้งปวงสร้าง
อนุฑีกาแลฑกี าโยชนาสรุปพระอภธิ มั มสงั คห สกี าเปา้ ใหค้ า่ จ้างผูกน้สี ามสลงึ ”
โยชนาฯ เลม่ ๒ มีความว่า “พระพทุ ธศักราชของสมเด็จพระพทุ ธเิ จ้าลว่ ง
ไปแลว้ ได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสงั ขยาได้ ๗ เดือน ปจั จบุ ันปเี ถาะ สัปตศก เณร
บุญรอดชักชวนบอกสัปบุรุษทั้งปวงสร้างอนุฑีกาแลฑีกาโยชนาสรุปพระอภิธมัม
สงั คห ปะสกฑี สกี าเงนี รบั ให้มลู คา่ จา้ งผกู นสี้ ามสลึงไวใ้ นพระศาสนาฯ”
โยชนาฯ เล่ม ๓ มีความว่า ว่า “พระพุทธศักราชของสมเด็จพระพุทธิ
เจ้าล่วงไปแล้วได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสังขยาได้ ๗ เดือน ปัจจุบันปีเถาะ
สปั ตศก เณรบญุ รอดชกั ชวนบอกสปั บรุ ษุ ทงั้ ปวงสรา้ งอนฑุ กี าแลฑกี าโยชนาสรปุ
พระอภิธมัมสังคห ปะสกทองอยูส่ ีกาเมอื งรับใหค้ า่ จ้างผูกนี้สามสลึงฯ”
โยชนาฯ เลม่ ๔ มคี วามวา่ วา่ “พระพุทธศักราชของสมเด็จพระพุทธิเจ้า
ล่วงไปแล้วได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสังขยาได้ ๗ เดือน ปัจจุบันปีเถาะ
สัปตศก เณรบุญรอดชักชวนบอกสัปบุรุษทั้งปวงสร้างอนุฑีกาแลฑีกาโยชนา
สรุปพระอภิธมัมสังคะ ท่านขรัวเพชรรับให้มูลค่าจ้างผูกนี้สามสลึงไว้ใน
พระพุทธศาสนา ทานแลว้ ตามฉบับ นพิ ฺพานปจฺจโยโหติฯ พระราชมนุ ชี �ำระ”
โยชนาฯ เล่ม ๕ มคี วามวา่ ว่า “พระพุทธศกั ราชของสมเดจ็ พระพทุ ธเิ จา้
ลว่ งไปแลว้ ได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสังขยาได้ ๗ เดือน ปจั จบุ ันปีเถาะ สปั ตศก
เณรบุญรอดชักชวนบอกสัปบุรุษทั้งปวงสร้างอนุฑีกาแลฑีกาโยชนาสรุป
พระอภิธมัมสังคห หม่ืนภิรมย์รับให้มูลค่าจ้างผูกนี้สามสลึงไว้ในพระศาสนา
พระพทุ ธเิ จา้ แลฯ ทานแล้วตามฉบับพระราชมุนวี ดั กลางฯ”
18
โยชนาฯ เล่ม ๖ มีความว่า ว่า “พระพุทธศักราชของสมเด็จพระพุทธิ
เจ้าล่วงไปแล้วได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสังขยาได้ ๗ เดือน ปัจจุบันปีเถาะ
สปั ตศก เณรบญุ รอดชกั ชวนบอกสปั บรุ ษุ ทงั้ ปวงสรา้ งอนฑุ กี าแลฑกี าโยชนาสรปุ
พระอภิธมัมสังคห ขุนภิรมย์รับให้มูลค่าจ้างผูกน้ีสามสลึงไว้ในพระพุทธศาสนาฯ
ฉบับพระราชมนุ ี วดั กลางบางยเี่ รือแล๚”
โยชนาฯ เล่ม ๗ มีความว่า วา่ “พระพทุ ธศักราชของสมเดจ็ พระพุทธเิ จ้า
ล่วงไปแล้วได้ ๒๓๓๘ พระวัสสา เศษสังขยาได้ ๗ เดือน ปัจจบุ นั ปีเถาะ สัปตศก
เณรบุญรอดชักชวนบอกสัปบุรุษทั้งปวงสร้างอนุฑีกาแลฑีกาโยชนาสรุป
พระอภิธมมั สงั คห ยายแจม่ รับให้มูลคา่ จ้างผูกนี้สามสลึง เณรบญุ รอด ๑ สลงึ ๑
เฟ้อื ง เป็น ๑ บาท ๑ เฟือ้ ง ไวใ้ นพระศาสนานั้นแลฯ ฉบับพระราชมนุ ไี ด้ตกแต้ม”
๑๑. พฺรธัมฺมโบกอานิสงฯ (๐๙๗) มีข้อความ “๏๚ พระธรรมน้ี
ขา้ พระเจ้าจารแลว้ ปมี ะเส็งนพศก เดือน ๔ ข้ึน ๑๐ ค�ำ่ วัน ๗ เปน็ ระดหู นาว
เหมันต์ พระศาสนาล่วงไปแล้ว ๒๓๔๐ ปี เศษเดือนล่วงแล้ว ๙ เดือน เศษวัน
ล่วงแล้ว ๒๔ วัน ยังข้างหน้านั้น สองพันหกร้อย ๕๙ ปี เดือนยัง ๒ เดือน
วนั ๕ วัน นีแ้ ลขา้ พระเจ้าจารเมอื่ ศาสนาได้เทา่ นี้แล๚”
๑๒. ปาฬีพาลปฺปโพธิ ผูก ๑ (๐๙๙) มีข้อความว่า “พระพุทธศักราช
ลว่ งแล้วได้ ๒๓๔๓ พระวัสสา ปวี อกโทศก เดอื น ๑๒ แล้ว”
๑๓. พรฺ ฏกี าการกิ าคณฐฺ (๑๒๙) มขี อ้ ความวา่ “พระพทุ ธศกั ราชลว่ งแลว้ ได้
๒๓๔๙ พระวัสสา ปีขาลอัฐศก ฉบับหลวงช�ำระแล้ว ค่าจ้างผูกละ ๑ บาท ค่า
ลานคัมภรี ์ละ ๒ บาท”
รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั (พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗)
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏหลักฐานว่า
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรวจหนังสือพระไตรปิฎกในหอพระมณเฑียร
ธรรม ได้ความว่าพระไตรปิฎกขาดบัญชีไปบ้าง สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะ
ให้ยืมฉบับหลวงไปคัดตามวัดในสมัยรัชกาลที่ ๑ เจ้าพนักงานหลงลืมไม่ได้
19
เรียกฉบับกลับมาให้ครบ รัชกาลท่ี ๒ จึงทรงสร้างหนังสือข้ึนทดแทนในบัญชี
ท่ีขาดไป และสร้างฉบับหลวงขึ้นใหม่เพียงจบเดียว เรียกว่า “ฉบับรดน้�ำแดง”
เพราะลานใบปกเขียนลายรดน�้ำพ้ืนแดง สันนิษฐานว่าสร้างไม่เสร็จก็สิ้นรัชกาล
เพราะมีหนังสอื ลายรดน�ำ้ แดงสร้างเพิ่มในรัชกาลที่ ๓ และรชั กาลท่ี ๔ ปนอยูเ่ ป็น
จ�ำนวนมาก ๕
คัมภีรใ์ บลานวดั โพธาราม ท่ปี รากฏหลักฐานวา่ จารขึน้ ในรชั กาลพระบาท
สมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัยมีหลายคมั ภรี ์ ดังน้ี
๑. โยชนามลู กจจฺ ายณการก (๑๐๗) มขี อ้ ความวา่ “โยชนามลุ ลฺ กจจฺ ายณ
คัมภีร์น้ี เป็นของท่านอุบาสกทองสินผู้เป็นบิดา เป็นของอุบาสิกาเหมผู้เป็นธิดา
มกี ุศลเจตนาสละทรพั ย์เปน็ มลู คา่ จา้ งผกู ละสามสลึง สร้างไว้ในพระศาสนา มหาสิ
ราชวัดหงส์เป็นอุปการ ส�ำเรจ็ ณ วัน พฤหัส เดือน ๗ ข้นึ ๑๓ คำ่� ปมี ะเมยี โทศก
พระพทุ ธศกั ราชล่วงไป ๒๓๕๓ กับ ๒๗ วนั ขอให้เปน็ ปัจจยั แก่พระนิพพานโหต”ุ
๒. พรฺ ธมมฺ ปทบน้ั ปลาย ผกู ๒ (๐๘๕) มขี อ้ ความวา่ “ฯ สรฺ จพทุ ธศกั ราชลว่ ง
๒๓๕๔ เจด็ เดอื น ๑๘ วัน เดอื นยี่ ๑๕ ค�่ำ ปมี ะแม ตรีศก ฯข้าฯ หมื่นสกลภารา
สมหุ บาญชกี ลาง กรมอาสาหกเหล่า ผู้สามี ฯขา้ ฯ อบุ าสกิ ามว่ งผภู้ รรยา มีกุศล
ศรัทธาสร้างพระสธรรมบทบั้นต้นไว้ในพระศาสนา อุบาสกผู้สามีขอส�ำเร็จ
โพธิญาณอยา่ กลับกลอก อุบาสกิ าม่วงผูภ้ รรยาขอส�ำเรจ็ นิพพานทนั พระศรอี าริย์
ฯขา้ ฯ ระงบั ยังมิส�ำเรจ็ ตราบใดสง่ิ ทผ่ี ดิ จากพุทธวจนะขออยา่ งให้ประพฤตเิ ลย ๚”
๓. กจฺจายยฺ เภทฺธวินจิ เฺ ฉยฺย (๐๙๙) มีขอ้ ความวา่ “จบวันพุธ เดือน ๑๒
ข้ึน ๔ คำ่� พทุ ฺธสกราชล่วง ๒๓๖๐ ปีฉลูนพศก”
๕ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๘.
20
รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔)
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวปรากฏหลักฐานว่ามีการ
สร้างพระไตรปิฎกส�ำหรับหอหลวง ๕ ฉบับ คือ ฉบับรดน้�ำเอก ฉบับรดน้�ำโท
ฉบับทองน้อย ฉบับชุบย่อ และฉบับอักษรรามัญ นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระไตรปิฎกจบใหญ่พระราชทานส�ำหรับพระอารามหลวง
อกี ๒ ฉบบั คือ ฉบับเทพชมุ นมุ พระราชทานให้วัดพระเชตพุ นวิมลมังคลาราม
และฉบับลายก�ำมะลอ พระราชทานใหว้ ดั ราชโอรส ๖
คัมภีร์วัดโพธาราม ที่ปรากฏหลักฐานว่าจารขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยูห่ วั มีทัง้ ท่ีเป็นของราษฎรสรา้ ง และทป่ี รากฏหลักฐานว่าเป็น
ฉบับท่ขี นุ นางเป็นผสู้ ร้าง รวมท้งั ทีป่ รากฏแตป่ ีทส่ี รา้ งแตไ่ มร่ ะบุชื่อผู้สรา้ ง ได้แก่
๑. พฺรธมฺมปทฏฺฐกถา (๐๘๕) ผูกท่ี ๑๒ มีข้อความว่า “สีกาเภาสร้างไว้
พระศาสนาลว่ งแลว้ ๒๓๗๗”
๒. พฺรวนิ ยขนธฺ กนิเทส ผูก ๑ – ๑๑ (๐๕๑) ผูก ๒ – ๔ มขี ้อความวา่
“ปวี อก พุทธศักราชลว่ งได้ ๒๓๗๙ พระวัสสา พระยาพระคลงั ว่าท่กี ลาโหมสร้าง”
(หมายถึง เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จเจ้าพระยา
บรมมหาประยรุ วงศ)์
๓. จุลคณฺฐี มหาวคฺค ผูก ๑ – ๑๖ (๐๕๗) มีข้อความว่า “ปีวอก
พุทธศักราชล่วงได้ ๒๓๗๙ พระวสั สา พระยาพระคลงั วา่ ทก่ี ลาโหมสร้าง”
๔. ธาตุอาขฺยาต ผูก ๑ (๑๒๓) มีความว่า “พระพุทธศาสนาล่วงแล้ว
๒๓๗๙ พระวัสสาพระพทุ ธศาสนาแลว้ สอง”
รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓)
คัมภีร์วัดโพธาราม ท่ีปรากฏหลักฐานว่าจารข้ึนในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว ส่วนใหญเ่ ป็นของราษฎรสร้าง ได้แก่
๖ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๙ – ๑๑.
21
๑. พรฺ ธมมฺ ปทบนั้ ตน้ เผดจ็ (๐๗๕) ผกู ท่ี ๑/๑ มขี อ้ ความวา่ “พระธรรมบท
ผูกนี้ ของแม่แป้น แม่พร้อมฯ อยู่บ้านท่าในที่โฉลก มีความศรัทธาสร้างไว้
ในพระพุทธศาสนา จ้างหลวงธ�ำรงเป็นผู้เขียนๆ จบวันอาทิตย์เดือน ๖ ขึ้น
๑๕ ค�่ำ ปีเถาะเบญจศก พระพุทธศาสนาล่วงแล้วได้ ๒๔๔๖ พระวัสสาฯ
นิพพฺ านปจฺจโยโหตุ อนาคเตกาเลฯ”
ผูกที่ ๑/๒ มีข้อความว่า “พระธรรมบทผูกนี้ ของแม่แป้น แม่พร้อมฯ
อยู่บ้านท่าในท่ีโฉลกมีความศรัทธาสร้างไว้ในพระพุทธศาสนา จ้างหลวงธ�ำรง
เปน็ ผเู้ ขยี นๆ จบวนั พธุ เดอื น ๔ แรม ๑๓ คำ�่ ปขี าลจตั วาศก พระพทุ ธศาสนาลว่ งแลว้
๒๔๔๕ พระวสั สา นพิ ฺพานปจจฺ โยโหตุ อนาคเตกาเลฯ”
ผูกที่ ๒/๑ มีข้อความว่า “พระธรรมบทผูกน้ี ของแม่แป้น แม่พร้อมฯ
อยู่บ้านท่าในที่โฉลกมีความศรัทธาสร้างไว้ในพระพุทธศาสนา จ้างหลวงธ�ำรง
เป็นผ้เู ขียนๆ จบวนั เสาร์เดอื น ๕ ข้นึ ๘ ค่�ำ ปขี าลจัตวาศก พระพุทธศาสนาล่วง
แลว้ ๒๔๔๕ พระวัสสา นพิ ฺพานปจจฺ โยโหตุ อนาคเตกาเลฯ”
ผกู ท่ี ๒/๒ มขี ้อความวา่ “พระธรรมบทผูกนี้ ของแม่แปน้ แมพ่ รอ้ มฯ อยู่
บา้ นทา่ ในท่โี ฉลกมีความศรทั ธาสรา้ งไว้ในพระพุทธศาสนา จ้างหลวงธ�ำรงเปน็ ผู้
เขียนๆ จบวนั พฤหสั บดี เดอื น ๖ ข้ึน ๕ ค�่ำ ปีเถาะเบญจศก พระพุทธศาสนาล่วง
แล้วได้ ๒๔๔๖ พระวัสสาฯ นิพฺพานปจจฺ โยโหตุ อนาคเตกาเลฯ”
ผกู ท่ี ๖/๑ มขี อ้ ความวา่ “พระธรรมบทผกู นขี้ องแมแ่ ปน้ ผพู้ ี่ แมพ่ รอ้ มผนู้ อ้ ง
อยบู่ า้ นทา่ ในทโ่ี ฉลก มคี วามศรทั ธาสรา้ งไวใ้ นพระพทุ ธศาสนา จา้ งหลวงธ�ำรงเปน็
ผูเ้ ขยี นๆ จบวันอังคาร เดือน ๘ ข้นึ ๖ ค�ำ่ ปีเถาะเบญจศก พระพุทธศาสนาล่วง
แล้ว ๒๔๔๖”
ผกู ที่ ๖/๒ มขี อ้ ความวา่ “พระธรรมบทผกู นข้ี องขนุ สทิ ธิ์ (เลง้ ) ผู้ (ผวั ) ใจเมยี
เคลอ่ื นลกู อยบู่ า้ นทา่ ในทโี่ ฉลก ศรทั ธาสรา้ งไวใ้ นพระพทุ ธศาสนา จา้ งหลวงธ�ำรงเปน็
ผเู้ ขยี น จบวนั พฤหสั เดอื น ๘ ขนึ้ ๑๕ คำ�่ ”
22
ผกู ๗/๑ มขี ้อความวา่ “พระธรรมบทผกู นข้ี องแม่เอย่ี ม แมอ่ ี แมต่ วน ๓
คนพน่ี อ้ ง อยบู่ า้ นพมุ เรยี ง มคี วามศรทั ธาสรา้ งไวใ้ นพระพทุ ธศาสนาจา้ งหลวงธ�ำรง
เป็นผเู้ ขียน จบวนั พฤหสั เดือน ๘ ขน้ึ ๑๒ ค่ำ� ปเี ถาะเบญจศก พระพทุ ธศาสนา
ล่วงแลว้ ๒๔๔๖ พระวัสสา”
๒. สกฺกปพพฺ จบบริบูรณ นิฏฐฺ ติ ํ (๐๒๗) มีข้อความวา่ “สรา้ งไว้ต้ังแต่
ปจี อ โทศก ร.ศ. ๑๒๙ พระพทุ ธศกั ราชลว่ งแลว้ ไฑ้ ๒๔๕๓ พรรษา” (เปน็ ปสี ดุ ทา้ ย
ในรัชกาลที่ ๕)
อยา่ งไรกต็ ามยงั มคี มั ภรี ใ์ บลานวดั โพธารามทน่ี า่ จะสรา้ งขนึ้ ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์
แตไ่ มป่ รากฏชอื่ ผสู้ รา้ งหรอื ผจู้ าร รวมทง้ั ไมป่ รากฏวนั เวลาทจ่ี ารเปน็ จำ� นวนมาก ในทน่ี ้ี
จงึ กลา่ วถงึ แตค่ มั ภรี ท์ ม่ี รี ะบวุ นั เวลาทจ่ี ารอยา่ งชดั เจนเทา่ นนั้
23
จากทกี่ ลา่ วมาแสดงใหเ้ หน็ วา่ คมั ภรี ใ์ บลานวดั โพธารามมคี วามเกา่ แกม่ าก
เพราะปรากฏหลกั ฐานวา่ มกี ารจารขน้ึ ตง้ั แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาตอนปลายสบื เนอ่ื ง
มาจนถงึ ปสี ดุ ทา้ ยในสมยั รชั กาลท่ี ๕ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ แมว้ า่ ในเวลานน้ั จะเรมิ่
มกี ารพมิ พพ์ ระไตรปฎิ กและคมั ภรี อ์ นื่ ๆ ทเ่ี ปน็ ภาษาบาลดี ว้ ยอกั ษรไทยแลว้ กต็ าม
แต่การที่ยังคงมีการสร้างคัมภีร์อยู่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคติในเรื่องการสร้างคัมภีร์
ใบลานถวายไว้กับพระอารามทยี่ ังคงมสี บื เนือ่ งต่อมานน่ั เอง
ลักษณะตัวอักษรในคมั ภีรใ์ บลานวัดโพธาราม
ลักษณะตัวอักษรท่ีใช้จารคัมภีร์ใบลานวัดโพธาราม ส่วนใหญ่เป็นอักษร
ขอมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย อักษรขอมสมัยกรุงธนบุรี และอักษรขอมสมัย
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น อักษรขอมทก่ี ลา่ วมานี้ เปน็ อักษรท่ีมีววิ ัฒนาการมาจาก
อักษรขอมสโุ ขทัย (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐) ดังนี้
24
๑. อกั ษรขอมสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐)
อกั ษรขอมสโุ ขทยั (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐) มวี วิ ฒั นาการมาจากอกั ษรขอม
สมัยพระนครสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เพราะมีรูปแบบตัวอักษรและอักขรวิธี
คล้ายคลงึ กับอักษรขอมสมัยเมอื งพระนคร โดยเฉพาะรปู อักษรทีป่ รากฏในจารึก
ดงแม่นางเมือง๗ นอกจากน้ียังปรากฏในจารึกบนฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง
พ.ศ. ๑๗๒๖ (จ.สรุ าษฎร์ธานี)๘ และจารึกวดั หัวเวยี ง เมอื งไชยา พ.ศ. ๑๗๗๓
(จ.สุราษฎรธ์ านี)๙ อกี ดว้ ย
สาเหตทุ ต่ี อ้ งนำ� อกั ษรขอมมาใชใ้ นการบนั ทกึ ภาษาบาลนี นั้ อาจเนอื่ งมาจาก
อักษรและอักขรวิธีไทยที่คิดขึ้นใหม่ไม่เหมาะสมกับการบันทึกภาษาบาลี ซึ่งมี
ระบบของการใชต้ ัวซ้อนและระบบของการใชต้ วั สะกดและตัวตาม อนั ไม่สามารถ
แสดงได้อย่างชัดเจนเท่าระบบอักขรวิธีของอักษรขอม เช่นเดียวกับภาษาเขมร
โบราณที่ใชอ้ กั ษรและอกั ขรวธิ ีอักษรขอมเขยี นไดส้ ะดวกกวา่ อกั ษรไทย
เหตุผลอีกประการหนึ่ง คือ ในเวลานั้นไทยอาจนับถือว่าภาษาบาลี
และภาษาเขมรโบราณเป็นภาษาศักด์ิสิทธิ์ จึงยังไม่สามารถลบล้างขนบนิยม
ในการบันทึกภาษาบาลีและภาษาเขมรโบราณด้วยอักษรขอมซึ่งนับถือกันว่า
เป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ส�ำหรับพิธีกรรมและศาสนาไปได้ ดังน้ันในสมัยสุโขทัย
จงึ ยงั คงปรากฏการใชอ้ กั ษรขอมในการบนั ทึกภาษาบาลีและเขมร
อกั ษรขอมทปี่ รากฏการใชใ้ นสมยั สโุ ขทยั อาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ สามกลมุ่ ตามภาษา
ทใี่ ชบ้ นั ทกึ คือ จารึกท่ใี ชอ้ กั ษรขอมจารึกภาษาไทย เชน่ จารึกวดั ปา่ แดง อักษร
ขอมจารึกภาษาเขมรโบราณ จารึกกลมุ่ น้ี ไดแ้ ก่ จารึกวัดปา่ มะมว่ ง ภาษาเขมร
ของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลไิ ท) และอกั ษรขอมทใี่ ชบ้ นั ทกึ ภาษาบาลี เชน่
จารกึ วัดบูรพาราม จารึกวดั ปา่ แดง เป็นตน้
๗ กรมศลิ ปากร, จารกึ ในประเทศไทย เลม่ ๔ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๙), หนา้ ๑๐๙ – ๑๑๖.
๘ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑๗ – ๑๒๐.
๙ เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๑๔๔ – ๑๔๖.
25
๒. อักษรขอมสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๔)
กรงุ ศรอี ยธุ ยา (พทุ ธศกั ราช ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐) เปน็ รฐั ทสี่ ถาปนาขนึ้ ในบรเิ วณ
ลุ่มแม่น้�ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซ่ึงเป็นขอบเขตของวัฒนธรรมเขมรสมัยพระนคร
มาตง้ั แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ จนถึงในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ละโว้จึงแยกตัวออก
จากการปกครองของกัมพูชาสมัยพระนครแล้วร่วมมือกับรัฐสุพรรณภูมิสถาปนา
กรงุ ศรีอยุธยาขนึ้ ในปี พ.ศ. ๑๘๙๓
ดว้ ยเหตทุ บี่ รเิ วณลมุ่ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยา ไดร้ บั อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมเขมรโบราณ
สมัยพระนครค่อนข้างมาก จึงปรากฏการใช้อักษรขอมในจารึกที่ละโว้ (ลพบุรี)
ตง้ั แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ จนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ จึงเปน็ ไปได้ค่อนขา้ ง
มากว่ากรุงศรีอยุธยาจะได้รับรูปแบบอักษรขอมจากเมืองพระนครโดยตรง หรือ
อาจเปน็ อกั ษรทวี่ วิ ฒั นาการจากอกั ษรขอมทใี่ ชใ้ นลมุ่ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยาโดยตรงกไ็ ด้
จารึกอยุธยาที่พบในปัจจุบันจ�ำนวนมากนิยมใช้อักษรขอมในการบันทึก
โดยเฉพาะจารกึ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ศาสนาหรอื พธิ กี รรมอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เชน่ จารกึ ลานเงนิ
ลานทองจำ� นวนมากทพี่ บในกรพุ ระปรางคว์ ดั มหาธาตุ บางครงั้ มกี ารนำ� อกั ษรขอม
หรือบางสว่ นของอกั ษรขอม ไปใชป้ ะปนกับอกั ษรไทยด้วย
หลกั ฐานการแพรก่ ระจายของอกั ษรขอมอยธุ ยา ยงั แพรไ่ ปถงึ เมอื งตะนาวศรี
ดงั ทพี่ บจารกึ ลานทองอกั ษรขอมภาษาเขมรทส่ี มเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ทรงตง้ั
ขา้ ราชการจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาไปเปน็ เจา้ เมอื งตะนาวศรี
อกั ษรขอมสมยั กรุงศรอี ยุธยา แบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๓ ประเภทคือ
๑. อักษรขอมบรรจง ใชเ้ ขยี นเป็นตวั ปรกติในจารกึ เชน่ จารึกลานทอง
(สุพรรณบัฏ) หรือจารึกลานเงิน (หิรัญบัฏ) ใช้เขียนภาษาไทย ภาษาบาลีและ
ภาษาเขมร อักษรขอมทใี่ ชใ้ นการจารคัมภีรใ์ บลานสว่ นใหญ่เป็นอกั ษรประเภทน้ี
26
๒. อกั ษรขอมหวดั เรยี กอกี ชอื่ หนงึ่ วา่ “ตวั เกษยี น” เปน็ ตวั อกั ษรทนี่ ยิ มใช้
เขยี นแทรกนอกบรรทดั ของใบลาน มลี กั ษณะทตี่ า่ งไปจากอกั ษรขอมบรรจง เพราะ
มขี นาดเลก็ และนยิ มเขยี นเอยี งขวาโดยไมต่ อ้ งการความงดงาม หากปรารถนาเขยี น
ใหเ้ รว็ เทา่ นน้ั อกั ษรขอมหวดั มคี วามเปลยี่ นแปลงนอ้ ยกวา่ อกั ษรขอมบรรจง อกั ษร
ประเภทนนี้ ยิ มเขียนภาษาไทยก�ำกับค�ำภาษาบาลีท่ีเขียนดว้ ยอักษรขอมบรรจง
๓. อกั ษรขอมยอ่ ปรากฏคร้งั แรกในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนปลาย (พทุ ธ
ศตวรรษที่ ๒๓) เช่น พบในสมุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเรื่องนันโท
ปนันทสูตรค�ำหลวง พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เป็นต้น มักใช้เขียนเฉพาะ
ภาษาบาลี เป็นรูปแบบอักษรทป่ี ระดษิ ฐ์ขึ้นใหม่มรี ปู ลกั ษณ์ต่างไปจากอักษรขอม
บรรจง และอักษรขอมหวัด วิธีเขียนต่างไปจากอักษรขอมบรรจงเพราะใช้พู่กัน
เขยี นแทนเหล็กจาร
อกั ษรขอมทงั้ สามประเภทนี้ ปรากฏในคมั ภรี ใ์ บลานวดั โพธารามดว้ ย รวม
ท้งั ไดส้ ืบทอดการใชม้ าจนถงึ สมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์
27
๓. อกั ษรขอมสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ (พทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕)
รปู แบบอกั ษรขอมทใ่ี ชก้ นั ในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เปน็ รปู แบบอกั ษรขอม
ท่รี ับมาจากรปู แบบอกั ษรขอมอยธุ ยาโดยตรง รูปแบบทพ่ี บมีทั้ง ๓ ประเภท คอื
อักษรขอมบรรจง อกั ษรขอมหวัด และอกั ษรขอมยอ่
28
ลักษณะขอมบรรจงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีความเป็นอักษรตัวเหลี่ยม
หักมุมอย่างชัดเจน หัวอักษรเล็กลง ส�ำหรับอักษรขอมหวัดน้ันหัวอักษรมีขนาด
เล็กลง นักวิชาการบางท่านเสนอว่าเขมรได้รับเอาอักษรขอมหวัด (ตัวเกษียน)
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นไปปรับใช้เป็นอักษรเขมรแบบใหม่ท่ีเรียกว่า อักษร
เชรยี ง (คอื อกั ษรเขมรปจั จบุ นั )
ความนิยมเขียนภาษาบาลีด้วยอักษรขอม เป็นขนบสืบต่อมาต้ังแต่สมัย
สุโขทัย - อยุธยาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ต่อมาเส่ือม
ความนิยมไปเมื่อปรับปรุงอักษรไทยให้สามารถเขียนภาษาบาลีได้สะดวกใน
รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และนำ� อกั ขรวธิ ดี งั กลา่ วมาพมิ พ์
พระไตรปิฎกภาษาบาลดี ว้ ยอักษรไทยเปน็ ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ดงั ปรากฏ
หลักฐานใน “ต�ำนานหอพระสมุด หอพระมณเฑียรธรรม หออวชิรญาณ
หอพุทธสาสนสังคหะ แลหอสมุดส�ำหรบั พระนคร” พระนพิ นธ์สมเด็จพระเจา้
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพว่า
“ต่อมาเม่ือปีชวด รัตนโกสินทรศก ๑๐๗ พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำ� รหิ ว์ า่ การสรา้ งหนงั สอื พระไตรปฎิ กเปน็
คัมภีร์ใบลานได้หนังสือเพิ่มข้ึนแต่จบเดียว ไม่เปนประโยชน์แพร่หลาย ถ้าพิมพ์
พระไตรปิฎกลงกระดาษเย็บเปนเล่มสมุด ถึงการต้องท�ำจะมากกว่าแลจะต้อง
ลงทนุ มากกวา่ หนงั สอื ใบลาน กจ็ ะเปนประโยชนย์ ง่ิ กวา่ กนั มาก...สว่ นการพมิ พน์ นั้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุพันธุวงษ์
วรเดช เปนแมก่ องจดั การพมิ พพ์ ระไตรปฎิ กดว้ ยอกั ษรไทยเฉภาะบาฬรี วม ๑,๐๐๐ จบ
จบละ ๓๙ เลม่ รวมเปนสมดุ ๓๙,๐๐๐ เลม่ สำ� เรจ็ เมอ่ื ปมี ะเสง รตั นโกสนิ ทรศก ๑๑๒
พ.ศ. ๒๔๓๖...”๑๐
๑๐พระเจา้ บรมวงษเ์ ธอ กรมพระดำ� รงราชานภุ าพ, ตำ� นานหอพระสมุ ด หอพระมณเฑยี รธรรม
หออวชริ ญาณ หอพทุ ธสาสนสังคหะ แลหอสมุดส�ำหรบั พระนคร, หน้า๑๒-๑๓.
29
Chapter 1
The Manuscripts of Wat Photharam
The Manuscripts of Wat Photharam
The palm leaf Manuscripts refer to a set of religious text engraved
on palm leaves. These engravings consist mainly of Buddhist teachings
and Buddhist scripture. The Manuscripts is composed of writings such as
those concerning Tipiṭaka, Commentary and Sub-commentary. The
Manuscripts are considered sacred as they are a recording of the teachings
of Buddha. Therefore, they are considered highly important and are closely
maintained with great care and attention, much like Buddha images.
In ancient times, the scriptures were usually kept locked in a special
cabinet located in the library of the temple.
34
35
36
The Manuscripts of Wat Photharam were found on location within
the temple. Wat Photharam is located in Pumriang, a subdistrict of the
district (Muang) Chaiya in the province of Surat Thani (Thailand). The
temple is very old and of great importance to the Pumriang region and
Chaiya district as it was the former center of education during the Phum-
riang era. This information concedes with theory that the scriptures were
written between the late Ayutthaya period to the Rattanakosin period.
The scriptures can be divided into the following time periods.
1.The Ayutthaya Period
The first manuscripts date back to the Ayutthaya period and were
written during the reigns of Somdet Phra Petracha, Somdet Phra Chao Yu
Hua Thai Sa and Somdet Phra Chao Yu Hua Boromakot through to Somdet
Phra Chao Ekkathat of the Ban Phlu Luang Dynasty. This information shows
the continuation of education and communication of the city of Chaiya
during that time period. The scriptures of this period can be divided by
periods of reign:
Reign of Somdet Phra Phetracha (B.E.2231-2246)
Manuscripts dated to this period consist of:
1. Mūlakaccāyana (123) – phūk 1 signature includes the text
“Buddhist year 2233”.
2. Phra Mahosatha (Mahā Umaṅga jātaka) (062)were written
in B.E.2234 during the reign of Somdet Phra Petracha. We know this by
37
the text in the markings of the scriptures stating “Phra Mahosot phūk 3
Cullasakkarāja 1053 Assawachurae” (equal to Buddhist year 2234 – Reign of
Somdet Phra Petracha).
Reign of Somdet Phra Chao Thai Sa (B.E.2251-2275)
Manuscripts dated to this period consist of:
1. Phra Pācittiya (093) – The last pages contain text stating
“Buddhist year 2275, year of the rat, the first lunar month, Tuesday evening
Cullasakkarāja 1095”, which is the last year of Somdet Phra Chao Thai Sa’s
reign.
Reign of Somdet Phra Chao Yu Hua Boromakot (B.E.2275-2301)
Manuscripts dated to this period consist of:
1. Visuddhimagga, phūk 1 (082) contains the text “Buddhist era
2283, Phra Maha Phrommsut has been permanently created in the faith
as a factor of nirvana”.
2. The Phra Pavarasarbānisaṃsakathāsaṅkhepabarga (053)
contains text referring to the writer and writing date, such as the
following text: “Maha Am has been copied for various purposes for
Satuchon Thammakateuk, Phra Pakiṇṇakathāthisaṅnayuyamakasādh
aka Pariccheda.2, … Friday, the 11th day of waxing moon, the 5th lunar
month, Cullasakkarāja 1113, year of the pig, Buddhist year 2294
Chao Chiwit (King) succeeded to the throne”.
Reign of Somdet Phra Chao Yu Hua Phra Thinang Suriyat Amarin
(B.E.2301-2310)
Manuscripts dated to this period consist of:
38
1. Mahājanaka (087) – The final page contain text composed
of Thai-Khom characters. The passages contain text stating “writing
completed on Monday, the 9th day of waxing moon, the 12th lunar month
year of the pig.” (Buddhist year 2309). This scripture was written in the
period of the reign of Somdet Phra Chao Ekkathat the year before Ayutthaya
fell (Buddhist year 2310).
However, though many other scriptures do not contain reference
dates, we can still date them to the Ayutthaya period by examining
the alphabetical character format. The format of the Khom characters
suggests that the scriptures were written during the period of Ayutthaya.
Therefore, we can hypothesize that the Palm Leaf Scriptures were also
written during this period due to the agreeing formats. Many other
scriptureswerealsowrittenduringthisperiod, suchasthePhraAbhidhamma
manuscripts (The Khom yo Issue, which dates to the late Ayutthaya period).
39
2. The Thonburi Period
After the fall of Ayutthaya in the Buddhist year 2310, the Chaiya
district also played a significant role in the Thonburi period. The role was
especially important when King Taksin requested Chao Phraya Chakri to
send an army to invade and conquer Phraya Nakorn Si Thammarat.
However, as Chao Phraya Chakri was unable to subdue Phraya
Nakorn Si Thammarat, the military units were relocated to Chaiya.
King Taksin then gathered marine troops before attacking Nakorn
Si Thammarat.
Additionally, there is also evidence in the Wat Champa Inscriptions
mentioning the philanthropy of the Chao Muang (Governor)of Chaiya, His
Royal Higness prince Damrong Rachanuphap suggests that Muang Chaiya
is especially significant as the home of many Buddhist literary works.
40
There is evidence of the composition of many manuscripts of Wat
Photharam during the Thonburi period. Most date to the late Thonburi
period, as following:
1. Suttanidesa Sanam, phūk 2 (113) – The last page states that
“Buddhist year 2321, writing completed in the afternoon on tuesday, the
13 th day of waning moon, the 12th lunar month, year of the dog”.
2. Suttanidesa Uṇāta, phūk 1 contains text stating the time and
date of writing: “Buddhist year 2322, year of the pig, the 13 thday of waning
moon, first month of month 8, the 8 th lunar month.
3. Mūlakaccāya Nāmma, phūk 1 (002) contains text stating the
time and date of writing: “...Mūlakaccāya Nāmma binding 1, Buddhist
year 2322, year of the pig, the 7th lunar month”.
4. Mahājambū Vaṇṇā nitthitā (044) – Text was found in the cover
sheet stating “5 binds – 2 baht” and referring to the Buddhist year 2323
indicating that the manuscript was written in the Thonburi period.
41
3. The Rattanakosin Period
After Phrabat Somdet Phra Buddha Yodfa Chulaloke’s (also known
as Rama I) establishment of Rattanakosin in the Buddhist year 2325, there
was a reconstruction of the country, arts and culture, especially in the
field of Buddhism. The King graciously ordered for a Royal Tipiṭaka to
be composed. Then, in the Buddhist year 2331, the King reproduced and
sorted the Tipiṭaka at Wat Mahathat. After that, he ordered the multiple
reproduction of the reconstructed Tipiṭaka. This can explain the reproduction
and reconstruction of many manuscripts to replace the older damaged
scriptures during this time.
Many manuscripts were written during the Rattanakosin period.
Some contain clear date and time records while others do not. However
we can still date the manuscripts by analysis of letter and writing format.
The manuscripts can be classified into the following:
42
The Reign of Phrabat Somdet Phra Buddha Yodfa Chulaloke
(Rama I) (B.E.2325-2352)
Besides from ordering the production of a Royal Tipiṭaka for the
Royal Observatory, the King also ordered for the placing and reconstruction
of many other manuscripts at all of the Royal Monasteries. Many
manuscripts were damaged or destroyed during the fall of the old capital.
The monks had no books to learn from, so the King placed the Royal Issues
at the monasteries and gave the monks permission to copy.
Due to this reason, many manuscripts were written during the reign
of King Rama I. There are markings in many manuscripts declaring that
they were Royal Issues, such as in the following:
1. The Aṅguttaranikāya Pañcakanipāta, phūk 1 - 10 (026) – Every
phūk has the markings “Buddhist year 2324, year of the tiger, in the reign
King Rama I”.
In addition to date recordings, the manuscripts also contain
information concerning the writer and the original issue. For example
the phūk 2 contains text on the cover stating “Mahā Kun, Mahā Khum
edited from manuscripts of Wat Liap, Wat Bang Wa, Wat Salak. Wat Bang
Khun Thian, wrote by Nay Plueng”. The phūk 3 contains text on the cover
stating “Mahā Kun, Mahā Khum edited finish 3 time from manuscripts of
Wat Liap, Wat Bang Wa, Wat Salak. Wat Bang Khun Thian, wrote by Nay
Mueng”.