The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-06 11:58:32

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Keywords: หลวงตามหาบัว,ธรรมะชุดเตรียมพร้อม

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม

ทานอาจารยพระมหาบัว ญาณสัมปน โน เทศนโปรด คณุ เพาพงา วรรธนะกุล
ณ วดั ปา บา นตาด เม่อื วันท่ี ๙ -๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘

ท่มี า

http://www.luangta.com/thamma/thamma_book_detail.php?cgi
BookID=38

Link
กณั ฑเทศนาในหมวดหมู "ธรรมะชุดเตรยี มพรอม" มจี ํานวน "98" กณั ฑ

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_multimedia.ph
p?CatID=1

หรือ download file เสยี งรวมกัณฑเทศน ไดท่ี
ชุดธรรมะชดุ เตรยี มพรอ ม 1 (wma, mp3)
http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=70873

ชุด ธรรมะชดุ เตรยี มพรอ ม 2 (wma, mp3)
http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=70874

คาํ อนุโมทนา

หนงั สอื ธรรมะแตล ะเลม จะสาํ เรจ็ ข้นึ มาเพ่อื แจกทานใหท า นผูใครธรรมไดอ า น
ยอมสาํ เรจ็ ดวยอํานาจแหงศรทั ธาของทานผูใ จบญุ ทง้ั หลายชว ยกันบริจาคและจัดทํา แม
เลม นก้ี ส็ าํ เร็จขน้ึ มาเพราะแรงศรัทธาของทา นผูใจบุญหนุนโลกเชน เดยี วกนั ลาํ พงั ผู
แสดงก็มีเพียงลมปากอยา งเดียวเทา นนั้ พอแสดงธรรมจบลงลมปากกห็ ายสูญไปใน
ขณะน้ัน ไมอาจเหน่ยี วร้งั ธรรมท่ีแสดงออกนนั้ ๆ ใหจ ิรงั ยั่งยนื สบื ไปไดเลย เพราะไมมี
ปญ ญาสรา งธรรมใหจ ริ ังยง่ั ยืนไดดว ยวิธกี ารใดๆ ทเ่ี ห็นวา เหมาะสม จําตอ งอาศยั บุญ
บารมีของทา นคณะศรัทธาผูใจบญุ ทง้ั หลาย ชว ยเสรมิ สรางความจริ ังถาวรแหงธรรม
ดว ยการรวมกนั บริจาคและจดั พิมพเ ปน เลมขนึ้ มา เพ่อื ทานผอู านไดอ าศัยพงึ่ รม เงาแหง
ใบบุญหนุนโลกอนั ไมม ปี ระมาณนั้น ผแู สดงจงึ ขออนุโมทนากับทานทง้ั หลายเปนอยาง
ยงิ่ มาพรอมนี้ บุญกุศลทง้ั มวลที่เกิดขน้ึ เพราะการบําเพ็ญนี้ จงสําเรจ็ ผลอันพงึ หวังดงั ใจ
หมายโดยท่ัวกนั เทอญ

บวั

*คาํ อนโุ มทนาในการพมิ พเ ม่ือ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗

คาํ นาํ

กอนอ่ืนตองขออภัยตอทานผอู านโดยทวั่ กัน ทไ่ี มอาจดัดแปลงแกไ ขเน้ือธรรม
และสาํ นวนตา งๆ ใหเ หมาะสมกบั หนงั สือเลมนี้ ที่จะออกสูส ายตาสาธารณชนซง่ึ มคี วาม
รสู กึ ในแงแ หง ธรรมหนักเบาตา งกัน เนือ่ งจากการแสดงธรรมแตล ะกัณฑแ กทา นผูฟง
ซ่ึงลวนเปนนักปฏิบัติธรรมดวยกนั ประสงคอยากฟงธรรมะปา ที่เก่ียวกบั ภาคปฏบิ ตั ิจิต
ภาวนามากกวาภาคอน่ื ๆ ผแู สดงซึ่งเปน พระปา ๆ อยูแลว จึงเรม่ิ แสดงธรรมะปาโดย
ลําดับ ตามนิสยั ปา แตก ัณฑเ รมิ่ แรกจนถงึ กณั ฑสุดทา ยซ่ึงรวมการเทศนตดิ ตอกนั มา
โดยลําดบั ในชว งน้นั คงไมต า่ํ กวา ๘๐ กัณฑ ซึ่งสว นมากมกั เปนธรรมเผด็ รอน มากกวา
จะสมนํา้ สมเนื้อ เทา ท่ีควร

หลังจากการแสดงธรรมผา นไปแลว เปน ปๆ จึงมีทา นผศู รทั ธา คอื ม.ร.ว.เสรมิ
ศรี เกษมศรี มาแสดงความประสงคข ออนญุ าตพิมพก ณั ฑเทศนเ หลา น้ี ขนึ้ เปนเลมเพื่อ
แจกทาน และประสงคใหกัณฑเ ทศนเ หลา น้ี ท่ีพิมพเ ปน เลม แลว จิรงั ยงั่ ยืนไปนาน จงึ ได
อนญุ าตตามอธั ยาศัย โดยไมม ีหนทางแกไขกณั ฑเทศนเหลานใี้ หเ หมาะสมแกทา นผอู า น
ทัว่ ๆ ไปไดแ ตอ ยางใด ถา เรือ่ งใดประโยคใดไมเ หมาะสมกับจริตนสิ ัย ก็กรุณาผา นไป
ยึดไวเ ฉพาะทเ่ี หน็ วาควรแกน ิสยั ของตนๆ เพอื่ ประโยชนใ นกาลตอไป

หนงั สือทผี่ เู ขยี นเรียบเรียงขึน้ หวงั ใหทุกทา นทมี่ ีจิตศรทั ธาไดเปนเจา ของพมิ พ
แจกเปนธรรมทานดวยกันไดท กุ โอกาส โดยไมตองขออนุญาตแตอยา งใด สวนการ
พมิ พเพอ่ื จําหนา ย จึงขอสงวนลขิ สทิ ธ์ิ ทกุ ๆ เลม ไป ดงั ทีเ่ คยปฏบิ ัติมา

บวั

*คาํ นําในการพมิ พเมอื่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗

ภาค ๑ ''เรา กบั กิเลส''

รปู เน่อื งในวันครบรอบวันละสังขารของทา นพอ ลี ธมั ธโร ณ วัดอโศการาม ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐

รูปจาก www.watpa.com





เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่ือวันที่ ๒ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘

โลกในเรือนจาํ กบั โลกนอก

จติ ถา เราจะเทยี บทางโลกแลว ก็เปนผูตองขังมาตลอดเวลา เหมือนคนที่เกิดอยูใน
เรอื นจาํ โดยอยใู นเรอื นจาํ ในหองขัง ไมมีวันออกมาดูโลกภายนอก อยูแตในหองขังตั้งแต
เลก็ จนโต จงึ ไมท ราบวา ภายนอกเขามอี ะไรกนั บา ง ความสุขความทกุ ขกเ็ ห็นกันอยแู ตภาย
ในเรอื นจาํ ไมไดออกมาดูโลกภายนอกเขา วา มคี วามสขุ ความสบาย และมีอิสระกันอยาง
ไรบา ง ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ การไปมาหาสู เขาไปแบบไหน มาอยางไร อยูอยางไรกัน โลก
ภายนอกเขามคี วามเปนอยูกนั อยางไร ไมมีทางทราบได เพราะเราถกู คมุ ขงั อยใู นเรอื นจาํ
มาต้งั แตว ันเกดิ จนถงึ วันตาย นเ่ี ปน ขอ เปรยี บเทยี บ เทยี บเคยี ง

ความสขุ ความทุกข กเ็ ทาทมี่ อี ยูในน้ัน ๆ ไมมีอะไรเปนพิเศษ ไมมีอะไรที่ไดไปจาก
โลกภายนอก เมอ่ื กลบั เขา ไปสภู ายในเรอื นจาํ พอไดเ หน็ วา นี่เปน สง่ิ ทแี่ ปลกจากโลกใน
เรอื นจาํ สิ่งนี้มาจากโลกนอก คือนอกเรือนจํา เอามาเทยี บเคยี งกนั พอใหท ราบวา อนั นเ้ี ปน
อยางน้ี อนั นน้ั เปน อยา งนน้ั อนั น้ีดีกวาอนั นน้ั อนั นน้ั ดกี วา อนั น้ี อยางนี้ไมมี เพราะไมมสี ิ่ง
ใดเขาไปเกี่ยวของ มีแตเรื่องของเรือนจํา สุขหรือทุกขมากนอยเพียงใด ขาดแคลนลาํ บาก
ลาํ บน ถูกกดขี่บังคับขนาดไหน ก็เคยเปนมาอยางนั้นตั้งแตดั้งเดิม เลยไมท ราบจะหาทาง
ออกไปไหน จะปลดเปลื้องตนไปไดอยางไร ดว ยวธิ ใี ด แมจะออกไปโลกนอก โลกนอกก็ไม
ทราบอยทู ไ่ี หน เพราะเหน็ แตโ ลกในคอื เรอื นจาํ ที่ถูกควบคุมอยูตลอดเวลา และถูกกดขี่
บงั คบั เฆี่ยนตีกัน ทรมานกันอยอู ยา งน้ัน อด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ ตลอดถึงที่นอน
หมอนมุง อาหารปจ จยั ที่อยูอาศัยทุกสิ่งทุกอยาง อยูในลักษณะของนักโทษในเรือนจําทั้ง
หมด เขาก็อยูกันไปได เพราะไมเ คยเหน็ โลกนอกวา เปน อยา งไร พอที่จะเอาไปเทียบเคียง
วา อันใดดีกวา อันใดมีสุขกวากันอยางไรบาง พอที่จะมีแกใจอยากเสาะแสวงหาทางออกไป
สูโ ลกภายนอก

จติ ทถ่ี กู ควบคมุ จากอาํ นาจแหง กเิ ลสอาสวะทง้ั หลายกเ็ ปน เชน นน้ั คือถูกคุมขังอยู
ดว ยกเิ ลสประเภทตา ง ๆ ตั้งแตกัปไหนกัลปไหน เชน เกดิ มาในปจ จบุ นั น้ี กเิ ลสทเ่ี ปน เจา
อาํ นาจบนหวั ใจสตั วน น้ั มมี าตง้ั แตว นั เกดิ ถูกคุมมาเรื่อย ๆ ไมเ คยไดเ ปน อสิ ระภายในตวั
บา งเลย จงึ ยากทเ่ี ราจะคาดไดว า ความสขุ ทน่ี อกเหนอื ไปจากสง่ิ ทเ่ี ปน อยใู นเวลานน้ี น้ั คือ
ความสุขอยางไรกัน เชน เดยี วกบั คนทเ่ี กดิ ในเรอื นจาํ และอยูม าตลอดเวลา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑



โลกนอกเปนโลกยังไง ? นา ไปและนา อยไู หม ? ธรรมทานประกาศสอนอยูปงๆก็
ไมคอยสนใจกัน แตยงั ดที ี่ผูส นใจยงั มีอยูบ างบางแหงบางสถานท่ี ทไี่ หนไมม ีใครประกาศ
ไมมีใครพูดถึงเลยวาโลกนอก คือจิตที่มีธรรมครองใจนั้นเปนอยางไร ไมมีใครพูดใหฟง จงึ
ไมท ราบวา ศาสนธรรมเปน อยา งไร ความสขุ ทีเ่ กดิ ข้นึ จากอรรถจากธรรมเปนอยางไร มืด
แปดทิศ ติดแบบจมดิ่งไมมีวันฟู พอมองเหน็ อวยั วะสว นใดสว นหนง่ึ บา งเลย เพราะไมมี
ศาสนาชว ยฉดุ ลาก เหมอื นวา “โลกนอก” ไมป รากฏเลย มแี ตเ รอื นจาํ คอื กเิ ลสควบคมุ ใจ
เทา นน้ั เกดิ มาในโลกนม้ี แี ตเ รอื นจาํ เปน ทอ่ี ยอู าศยั ทเ่ี ปน ทต่ี าย อยูนี่ตลอดไป

จติ ใจไมเ คยทราบวา อะไรทพ่ี อจะใหค วามสขุ ความสบาย ความเปน อสิ ระยง่ิ กวา ท่ี
เปน อยเู วลาน้ี ถาจะเทียบเขาไปอีกแงหนึ่งก็เหมือน “เปด ” เลน นาํ้ อยใู ตถ นุ บา นใตถ นุ
เรอื น แชะๆๆๆๆ อยูอยางนั้น สกปรกโสมมขนาดไหนมันก็พอใจเลน เพราะมนั ไมเ คย
เหน็ นาํ้ มหาสมทุ รทะเล ไมเ คยเหน็ นาํ้ บงึ นาํ้ บอ ทก่ี วา งขวางพอทจ่ี ะแหวกวา ย หวั หางกลาง
ตวั ไดอ ยา งสะดวกสบาย มนั เหน็ แตน าํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น ที่เขาลางสิ่งของลงไปขังอยูเทา
นน้ั มนั กไ็ ปเทย่ี วเลน และถอื วา สนกุ สนาน แหวกวา ยของมนั อยา งสะดวกสบายรน่ื เรงิ
เพราะเหตไุ ร ? เพราะมนั ไมเ คยเหน็ นาํ้ ทก่ี วา งขวางหรอื ลกึ ยง่ิ กวา นน้ั พอที่จะใหเกิดความ
รน่ื เรงิ บนั เทงิ เกดิ ความสขุ ความสบายแกก ารไปมา หรอื การแหวกวา ย หวั หางกลางตวั
สะดวกสบายกวา นาํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น

สวนเปดทอ่ี ยตู ามลาํ คลองอันกวางลึกนั้น ผิดกันกับเปดใตถุนบาน มนั สนกุ สนาน
รน่ื เรงิ เท่ียวไปตามหวยหนองคลองบึง เจาของไลไปเที่ยวที่ไหนมันก็ไป ตามถนนหนทาง
ขามไปมา โอโห ! แผก ระจายกันเปน ฝูง ๆ เปน รอย ๆ เปนพัน ๆ เปดพวกนี้ยังพอมี
ความสขุ บา ง นี่ไดแกอะไร ?

ถา เทียบเขา มากไ็ ดแก “จติ ” ทไ่ี มเ คยเหน็ ความสขุ ความสบาย ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ
ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากอรรถจากธรรม ซง่ึ เปน เชน เดยี วกบั เปด ทเ่ี ลน นาํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น และ
จาํ พวกทเ่ี พลนิ เลน นาํ้ ในลาํ คลอง หรอื ในบงึ บางตา ง ๆ นน้ั แล

พวกเรามคี วามสขุ ความรน่ื เรงิ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสบงั คบั บญั ชาอยเู วลาน้ี ซึ่ง
เหมอื นกบั ความสขุ ของนกั โทษในเรอื นจาํ นน้ั แล เมอ่ื “จติ ” ไดรับการอบรมจากโลกนอก
หมายถงึ ธรรม ซึ่งออกมาจากโลกุตรธรรม มาจากดนิ แดนนพิ พาน ลงมาโดยลาํ ดบั ๆ จน
กระทั่งถึงมนุษยโลก ทานชี้แจงไวหมดชั้นหมดภูมิทีเดียว

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒



ผูมีอุปนิสัยมีความสนใจตอโลกนอก ตอความสขุ ทยี่ ่งิ ไปกวาความเปน อยเู วลานม้ี ี
อยู เมอ่ื ไดย นิ เสยี งอรรถเสยี งธรรมและอา นตามตาํ รบั ตาํ ราเกย่ี วกบั โลกนอก คอื เรอ่ื งอรรถ
เรอ่ื งธรรม เรอื่ งความปลดเปลื้องความทุกขค วามทรมาน ท่ถี ูกบังคบั ขบั ไสอยูภายในใจโดย
ลาํ ดบั จติ ใจกม็ คี วามรน่ื เรงิ บนั เทงิ มีความพออกพอใจสนใจอยากฟง สนใจอยากประพฤติ
ปฏิบัติ จนปรากฏผลขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา นน่ั แหละเรม่ิ เหน็ กระแสแหง โลกนอกพาดพงิ
เขา มาแลว จิตใจก็มีความดิ้นรนที่จะพยายามแหวกวายออกใหพนจากความกดขี่บังคับซึ่งมี
อยภู ายในใจ อนั เปรยี บเหมอื นนกั โทษในเรอื นจาํ

ยิ่งไดปฏิบัติทางดานจิตใจมีความสงบขึ้นเพียงไร ความตะเกียกตะกาย ความ
อุตสาหพยายามก็ยิ่งมากขึ้น ๆ สติปญญาก็คอยปรากฏขึ้นมา เหน็ โทษแหง การกดขี่บังคับ
ของกเิ ลสภายในใจ เห็นคุณคาแหงธรรมอันเปนเครื่องปลดเปลื้องไดมากนอยเพียงไร ก็
เปน ความสบายภายในใจ เบาอกเบาใจ ซึ่งเปน เคร่อื งเพม่ิ ศรทั ธาข้ึนโดยลําดับ ความ
อุตสา หพ ยายามความอดทนเกดิ ขึน้ ตาม ๆ กัน สติปญญาที่เคยนอนจมปลักอยูอยางแต
กอน ก็คอยฟนตัวตื่นขึ้นมา และคน คดิ พจิ ารณา

แมส ง่ิ เหลา นจ้ี ะเคยเปน ขา ศกึ มานมนาน และกระทบกระเทือนกันอยูทั้งวันทั้งคืน
แตไ มเ คยสนใจ ก็เกิดความสนใจขึ้นมา อะไรมากระทบกระเทือนทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย
ใจ ซึ่งแตกอนก็เหมือนคนตาย ถือเปนธรรมดา ๆ ไมสะดุงสะเทือนสติปญญาพอใหไดคิด
คน หาเหตผุ ลตน ปลายบา งเลย แตเ มอ่ื ใจเรม่ิ เขา กระแสแหง ธรรมทไ่ี ดร บั การอบรม จน
เปนพื้นเพแหงสติปญญาไปโดยลําดับ ยอมจะเห็นทั้งโทษทั้งคุณประจักษใจ เพราะเปนของ
มีอยูดวยกันทั้งโทษทั้งคุณภายในใจดวงนี้ จติ ใจกม็ คี วามคลอ งแคลว ในการคดิ การ
พจิ ารณา ใจจะเกดิ ความอาจหาญ ขุดคนเห็นทั้งโทษ พยายามแก เหน็ ทง้ั คณุ พยายาม
แหวกวา ย พยายามสง เสรมิ ไปโดยลาํ ดบั

นี่เรียกวาจิตคอยปลดเปลื้องจากสิ่งกดขี่บังคับ คือเรอื นจําภายในออกไดโ ดยลาํ ดับ
ทั้งมองเห็นโลกนอกอีกดวยวาโลกนอกเปนโลกอยางไร เหมอื นเรอื นจาํ ทม่ี อี ยเู วลานไ้ี หม ?
ตาก็พอมองเห็นโลกนอกบางวาทานซึ่งอยูโลกนอกทานเปนอยูอยางไร ไปมาหากันอยางไร
เราเปน อยอู ยา งไรภายในเรอื นจาํ ความเปน อยภู ายใตก เิ ลสครอบงาํ นเ้ี ปน อยา งไร ความท่ี
เบาบางจากกเิ ลสลงเปน ลาํ ดบั ๆ จติ ใจมคี วามรสู กึ อยา งไรบา ง ซึ่งพอเทียบกันได

ทีนี้พอมีโลกนอก โลกใน เขา เทยี บกนั แลว คอื ความสขุ ความสบายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ
แกกิเลสออกไดมากนอยก็ปรากฏ ความทุกขที่กิเลสยังมีคางอยูพาใหแสดงผลก็ทราบชัด

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓



และเห็นโทษดวยปญญาเปน ขนั้ ๆ และพยายามแกไขอยูตลอดเวลา ไมลดละความ
พากเพียร

นี่แหละตอนที่สติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เรม่ิ หมนุ ตวั ออกแนวรบ ก็ตอนที่เห็น
ทั้งโลกนอก คือความปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจไดมากนอย และเหน็ ท้งั โลกในทก่ี ิเลสกด
ขบ่ี งั คบั มาเรอ่ื ย ๆ แตกอนไมทราบจะเอาอะไรมาเทียบ เพราะไมร ไู มเ หน็ เกิดขึ้นมาก็จม
อยูในความทกุ ขทรมานอยา งนี้ ขน้ึ ชอ่ื วา ความสขุ นน้ั ไมปรากฏจากโลกนอกเลย คือ ไม
ปรากฏจากอรรถจากธรรม

การปรากฏกป็ รากฏแตค วามสขุ แบบทค่ี วามทกุ ขอ ยหู ลงั ฉาก ซงึ่ คอยจะมาเหยยี บ
ยาํ่ ทาํ ลาย เพอ่ื ลบลา งความสขุ นน้ั ใหห ายไปโดยไมม เี วลานาฬกิ าเตอื นบอกเลย ทีนี้ไดรูได
เหน็ บา ง ความสขุ ภายนอก คือจากโลกนอกของผูที่ธรรมครองใจนั้น กเ็ หน็ ความสขุ ภายใน
เรอื นจาํ คือความสุขที่อยูใตอํานาจของกิเลสก็เห็น ความทุกขที่อยูใตอํานาจของกิเลสก็เห็น
คือรูไดดวยสติปญญาของตัวเองประจักษใจ

ความสุขที่เกิดขึ้นจากโลกนอก ไดแ กก ระแสแหงธรรมที่ซาบซึ้งเขาไปในจติ ใจ ก็
เหน็ พอเปน เครอื่ งเทียบเคียงกนั ไปโดยลาํ ดับ ๆ เหน็ โลกภายนอก โลกภายใน ทงั้ คณุ และ
โทษนํามาประกอบเทยี บเคียงกนั กย็ ง่ิ ทาํ ใหเ กดิ ความเขา ใจ และความพากเพยี รความอด
ทนมากขึ้น กระทั่งอะไรผานเขามาขึ้นชื่อวาเรื่องของกิเลส ซง่ึ เคยกดขบ่ี ังคับจิตใจแลว ตอง
ตอสูกันทันที และแกไขปลดเปลื้อง หรือรื้อถอนกันโดยลําดับ ๆ ดวยอาํ นาจแหงสตปิ ญ ญา
มคี วามเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ หลงั

จิตใจจะหมุนไปเอง เมอ่ื ความเหน็ โทษมมี าก ความเหน็ คณุ กม็ มี าก เมอ่ื ความอยาก
รอู ยากเหน็ ธรรมมมี าก และความอยากหลุดพนมีมากเพียงไร ความพากเพียรก็ตองมาก
ขึ้นไปตาม ๆ กัน แมความอดความทนก็ตาม ๆ กันมา เพราะมอี ยใู นใจดวงเดยี วกัน เหน็
โทษกเ็ หน็ ท่ีใจทงั้ ดวงน้นั แล ใจทง้ั ดวงเปนผเู ห็นโทษ แมเ หน็ คณุ กใ็ จทง้ั ดวงนน้ั เปน ผเู หน็

การทพ่ี ยายามแหวกวา ยดว ยวธิ ตี า ง ๆ ตามความสามารถของตน ก็เปนเรื่องของใจ
ทั้งดวงจะเปนผูทําความพยายามปลดเปลื้องตนเอง เพราะฉะนน้ั สง่ิ เหลา นม้ี คี วามเพยี ร
เปน ตน ที่เปนเครื่องมือของจิต เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ จติ จึงมาพรอม ๆ กัน เชน ศรัทธา
ความเชื่อตอมรรคตอผล ความเชื่อตอแดนพนทุกข วิริยะ ความพากเพยี รทจ่ี ะทาํ ตวั ให
หลุดพนไปโดยลําดับ ขนั ติ ความอดความทน เพอื่ บึกบนึ ใหผ านพน ไปได ก็มาพรอม ๆ
กัน สตปิ ญ ญา ทจ่ี ะใครค รวญไปตามแนวทาง อันใดถูกอันใดผิดก็มาตาม ๆ กัน

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔



ถา จะพูดตามหลกั ธรรมท่ที า นกลาวไว กเ็ รยี กวา “มรรคสมังค”ี คอ ยรวมตัวกนั เขา
มาอยใู นใจดวงเดยี วน้ี อะไรก็รวมเขามา สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั โป สมั มาวาจา สมั มา
กมั มนั โต ตลอดถงึ สมั มาสมาธิ ก็รวมเขามาอยใู นจติ ดวงเดยี วน้ที ัง้ มวล ไมไปที่อื่น

สัมมากัมมันตะ ก็มีแตเดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเปนงานชอบ สัมมากัมมันตะ คือ
งานชอบ เพราะเขา ถึงงานอนั ละเอียดท่ีใจรวมเขามา จิตเปน มรรคสมงั คี คอื มรรครวมตวั
เขา มาสใู จดวงเดยี ว สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ไดแกเรื่องของปญญา คน ควา อยตู ลอด
เวลา เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ เรอ่ื งตา ง ๆ ทป่ี รากฏหรือสมั ผสั เกิดขึ้นแลวดับไปทั้งดีทั้ง
ชั่วทั้งอดีตและอนาคต ทข่ี น้ึ มาปรากฏภายในใจ สติปญญาเปนผูฟาดฟนหั่นแหลกไปโดย
ลาํ ดบั ไมร อใหเ สยี เวลาํ่ เวลา สัมมากัมมันตะ การงานชอบทเ่ี กย่ี วกบั กาย ก็คือการนั่ง
ภาวนาหรอื เดนิ จงกรม อนั เปน ความเพยี รละกเิ ลสในทา ตา ง ๆ ท่ีเกย่ี วกับทางใจก็คือวิริยะ
ความพากเพยี รทางใจ

สมั มาวาจา พูดกนั แตเรือ่ งอรรถเร่อื งธรรม การสนทนากนั กม็ แี ตเ รอ่ื ง “สลั เลข
ธรรม” ธรรมเปน เครอ่ื งขดั เกลา หรือชําระลา งกเิ ลสอาสวะออกจากจติ ใจ วา เราจะทาํ ดว ย
วิธีใดกิเลสจึงจะหมดไปโดยสิ้นเชิง นค่ี อื สมั มาวาจา สมั มาอาชวี ะ อารมณอันใดทเ่ี ปนขา ศึก
ตอจิต เมอ่ื นาํ เขา มาเปน อารมณข องใจเรยี กวา “เลี้ยงชีพผิด” เพราะเปนขาศึกตอจิต จติ
ตองมีความมัวหมองไมใชของดี ตองเปนทุกขขึ้นมาภายในใจมากนอยตามสวนแหงจิตที่มี
ความหยาบละเอยี ดขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั นี่ก็ชื่อวา“เปน ยาพษิ ” เลี้ยงชีพไมชอบ ตองแกไขทัน
ที ๆ

อารมณของจติ ทเี่ ปน ธรรม อนั เปน ไปเพอ่ื ความรน่ื เรงิ เปน ไปเพอ่ื ความสขุ ความ
สบายนน่ั แล คืออารมณท เี่ หมาะสมกบั จติ และเปน อาหารทเ่ี หมาะกบั ใจ ทาํ ใหใ จเกดิ ความ
สงบสขุ การเลย้ี งชีพชอบจึงเลี้ยงอยางน้ี โดยทางธรรมขั้นปฏิบัติตอจิตเปนขั้น ๆ ขึ้นไป
สว นการเลย้ี งชพี ชอบทางรา งกายดว ยอาหารหรอื บณิ ฑบาตนน้ั เปน สาธารณะสาํ หรบั ชาว
พุทธทั่ว ๆ ไปจะพึงปฏิบัติใหเหมาะสมกับหนาที่ของตน ๆ

สมั มาวายามะ เพียรชอบ เพียรอะไร ? นเ่ี รากท็ ราบ ทา นบอกเพยี รใน ๔ สถาน คือ
พยายามระวงั ไมใ หบ าปเกดิ ขน้ึ ในตนหนง่ึ พยายามละบาปที่เกิดขนึ้ แลว ใหหมดไป การ
ระวงั บาปตอ งระวังดว ยความมีสติ พยายามสาํ รวมระวงั อยา ใหบ าปเกดิ ขน้ึ ดว ยสติ คอื ระวงั
จิตที่จะคิด เทย่ี วกวา นเอาความทกุ ขค วามทรมานเขา มาสจู ติ ใจนน่ั เอง เพราะความคดิ
ความปรุงในทางไมดีนั้นเปนเรื่องของ “สมุทัย” จงึ พยายามระวังรักษาดวยดี อยา ประมาท

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕



หนง่ึ พยายามเจรญิ สง่ิ ทเ่ี ปน กศุ ล เปน ความเฉลยี วฉลาด ใหมมี ากขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ หนง่ึ
และเพยี รระวงั รกั ษากศุ ลทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ ยง่ิ ขน้ึ อยาใหเ ส่ือมไปหน่งึ

“สมั มปั ปธาน ส่”ี ทท่ี า นวา กอ็ ยทู ต่ี วั เรานแ้ี ล “สัมมาสติ” กด็ อู ยูใ นใจของเราน่ี
การเคลื่อนไหวไปมา ความระลกึ ความรตู วั น้ี รอู ยตู ลอดเวลา อะไรมาสัมผสั ทางตาทางหู
ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย ไมเขาไปสูใจจะไปที่ไหน ใจเปน สถานทใ่ี หญโ ตคอยรบั ทราบเรอ่ื ง
ราวตา ง ๆ ทั้งดีทั้งชั่วอยูตลอดเวลา ปญ ญาเปน ผวู นิ จิ ฉยั ใครค รวญ สตเิ ปน ผคู อยดตู รวจ
ตราพาชอี ยเู สมอ ในเมื่ออะไรเขามาเกี่ยวของกับใจ เปน ดหี รอื เปน ชว่ั อารมณช นดิ ใด สติ
ปญ ญาใครค รวญเลอื กเฟน ในอารมณต า ง ๆ ท่เี ขา มาเกย่ี วของกบั ใจ อันใดที่เห็นวาไมชอบ
ธรรม จิตจะสลัดปดทิ้งทันที ๆ คือปญ ญาน่ันแหละเปนผทู าํ การสลดั ปดทิ้ง แนะ

“สมั มาสมาธิ” การงานเพ่ือสงบกเิ ลสโดยสมาธิกม็ ่นั คงอยูตลอดเวลา จนปรากฏ
ผลเปน ความสงบเยน็ แกใ จทพ่ี กั งานอยา งแทจ รงิ ไมมีความฟงุ ซานเขา มากวนใจในขณะนั้น
ประการหนง่ึ

ในขณะทีจ่ ะเขา สมาธิเปนการพักผอนจิต เพอ่ื เปนกําลังของปญญาในการคนควาตอ
ไปก็พักเสีย พักในสมาธิ คอื เขาสคู วามสงบ ไดแ กห ยดุ การปรงุ การแตง การคดิ คน ควา ทาง
ดานปญญาโดยประการทั้งปวง ใหจ ติ สงบตวั เขา มาอยอู ยา งสบาย ไมตองคิดตองปรุงอะไร
ซึ่งเปนเรื่องของงาน พกั จติ ใหส บายโดยความมอี ารมณเ ดยี ว หากวา จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ
ตอการพิจารณาไปมากจะยับยั้งไวไมได เรากเ็ อา “พุทโธ” เปน เคร่อื งฉุดลากเขามา ใหจ ติ
อยูกับ “พุทโธ ๆๆ”

คาํ บรกิ รรมกบั “พุทโธ” น้ี แมจะเปน ความคดิ ปรุงก็ตาม แตเปน ความคดิ ปรงุ อยู
ในธรรมจดุ เดยี ว ความปรงุ อยใู นธรรมจดุ เดยี วนน้ั เปน เหตใุ หจ ติ มคี วามสงบตวั ได เชน คํา
วา “พุทโธ ๆๆ” หากจติ จะแยบ็ ออกไปทาํ งานเพราะความเพลดิ เพลนิ ในงาน งานยังไม
เสรจ็ เรากก็ าํ หนดคาํ บรกิ รรมนน้ั ใหถ ย่ี บิ เขา ไป ไมยอมใหจิตนี้ออกไปทํางาน คือจิตขั้นที่
เพลนิ กบั งานนน้ั มอี ยู ถาพูดแบบโลกกว็ า “เผลอไมได” แตจะวาจิตเผลอกพ็ ูดยาก การ
พูดที่พอใกลเคียงก็ควรวา “รามือไมได” พูดงาย ๆ วายังง้นั เรารามอื ไมไ ด จิตจะตอง
โดดออกไปหางาน ตอนนต้ี อ งหนกั แนน ในการบรกิ รรม บังคบั จิตใหอ ยกู ับอารมณอันเดยี ว
คือ พุทโธ เปน เครอ่ื งยบั ยง้ั จติ กาํ หนด พุทโธ ๆๆๆ ใหถ่ยี บิ อยนู ั้น แลว พุทโธ กับจิตก็
เปน อนั เดยี วกนั ใจกแ็ นว สงบลง สงบลงไป กส็ บาย ปลอยวางงานอะไรทั้งหมด ใจก็เยือก
เยน็ ขน้ึ มา นี่คือสมาธิที่ชอบ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๖



ในขณะที่จะพักตองพักอยางนี้ ทา นเรยี กวา “สมั มาสมาธิ” เปนสมาธิชอบ พอสม
ควรเหน็ วา ใจไดก าํ ลงั แลว เพียงปลอยเทานั้นแหละจิตจะดีดตัวออกทํางานทันทีเลย ดีด
ออกจากความเปนหนง่ึ ความเปน อารมณอ นั เดยี วนน้ั แลวกเ็ ปน สองกับงานละทนี ี้ ใจ
ทํางานตอไปอีก ไมหวงกับเรื่องของสมาธิในขณะที่ทํางาน ในขณะที่ทําสมาธิเพื่อความสงบ
ก็ไมตองหวงกับงานเลยเชนเดียวกัน

ขณะที่พักตองพัก เชน ในขณะทร่ี บั ประทานตอ งรบั ประทาน ไมตองทํางานอะไรทั้ง
นน้ั นอกจากทาํ งานในการรบั ประทาน จะพกั นอนหลบั กน็ อนหลบั ใหส บาย ๆ ในขณะที่
นอนไมตองไปยุงกับงานอะไรทั้งสิ้น แตเ วลาทเ่ี ร่ิมทํางานแลว ไมต อ งไปยงุ ในเรือ่ งการกิน
การนอน ตง้ั หนา ทาํ งานจรงิ ๆ นไ่ี ดช อ่ื วา ทาํ งานเปน ชน้ิ เปน อนั ทาํ งานเปน วรรคเปน ตอน
ทาํ งานถกู ตอ งโดยกาลโดยเวลาเหมาะสมกบั เหตกุ ารณ เรยี กวา สัมมากัมมันตะ
“สัมมากัมมันตะ” คือการงานชอบ ไมกาวกายกัน เปน งานทเ่ี หมาะสม

เรื่องสมาธิปลอยไมได การปฏิบตั ิเพ่ือความร่นื เรงิ ของใจ การเหน็ วา “สมาธ”ิ อยู
เฉย ๆ ไมเกิดประโยชนนั้นไมถูก ถาผูติดสมาธิไมอยากออกทํางานเลยอยางนั้น เหน็ วา ไม
ถูกตองควรตําหนิ เพื่อใหผูนั้นไดถอนตัวออกมาทํางาน แตถ า จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ ในงาน
แลว เรอ่ื งของสมาธกิ ม็ คี วามจาํ เปน ในดา นหนง่ึ ในเวลาหนง่ึ จนได คนเราทาํ งานไมพักผอ น
นอนหลบั บางเลยนท้ี าํ งานตอ ไปไมได แมจ ะรบั ประทานอาหาร สมบตั เิ สยี ไปดว ยการรบั
ประทานกใ็ หม นั เสยี ไป ผลที่ไดคือธาตุขันธมีกําลังจากการรับประทาน ประกอบการงาน
ตามหนาที่ตอไปไดอีก เงนิ จะเสยี ไป ขา วของอะไรทน่ี าํ มารบั ประทานจะเสยี ไป ก็เสียไป
เพื่อเกิดประโยชน เพอ่ื เปน พลงั ในรา งกายเราจะเปน อะไรไป ใหม นั เสยี ไปเสยี อยา งน้ี ไม
เสยี ผลเสยี ประโยชนอ ะไร ถา ไมร บั ประทานจะเอากาํ ลงั มาจากไหน ตองรับประทาน เสยี ไป
ก็เสียไปเพื่อกําลัง เพื่อใหเกิดกําลังขึ้นมา

นี่การพักในสมาธิ ในขณะที่พักใหมีความสงบ ความสงบนัน้ แลเปนพลังของจิต ที่
จะหนุนทางดานปญญาไดอยางคลองแคลว เราตองพักใหมีความสงบ ถา ไมสงบเลยมแี ต
ปญ ญาเดนิ ทา เดยี ว ก็เหมือนกับมีดไมไดลับหิน ฟนตุบ ๆ ตั๊บ ๆ ไมท ราบวา เอาสนั ลงเอา
คมลง มแี ตค วามอยากรอู ยากเหน็ อยากเขา ใจ อยากถอนกิเลสโดยถายเดียว โดยที่ปญญา
ไมไดลับจากการพักสงบ อนั เปน สง่ิ ทห่ี นนุ หลงั ใหเ ปน ความสงบเยน็ ใจ ใหเปนกําลังของใจ
แลวมันก็เหมือนกับมีดที่ไมไดลับหินนะซี ฟนอะไรก็ไมคอยขาดงาย ๆ เสยี กาํ ลงั วงั ชาไป
เปลา ๆ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๗



เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ความเหมาะสม ในขณะที่พักสงบจิตในเรือนสมาธิตองใหพัก การ
พักผอนจึงเหมือนเอาหินลับปญญานนั่ เอง การพักธาตุขันธ คือสกลกายก็มีกําลัง การพัก
จติ จิตก็มีกําลังดวย

พอมีกําลังแลว จิตออกคราวนี้ก็เหมือน “มดี ไดล บั หนิ แลว ” อารมณอ นั เกา นน้ั แล
ปญ ญาอนั เกา นน้ั แล ผพู จิ ารณาคนเกา นน้ั แล แตพอกาํ หนดพจิ ารณาลงไป มันขาดทะลุไป
เลย คราวนเ้ี หมอื นกบั คนทพ่ี กั ผอ นนอนหลบั รบั อาหารใหส บาย ลบั มดี พรา ใหเ รยี บรอ ย
แลว ไปฟนไมทอนนั้นแล คน ๆ นน้ั มีดก็เลมนั้น แตมันขาดไดอยางงายดาย เพราะมีดก็
คม คนก็มีกําลัง

นอ่ี ารมณก อ็ ารมณอ นั นน้ั แล ปญญาก็ปญญาอันนั้นแล ผปู ฏบิ ตั คิ นนน้ั แล แตได
“ลบั หนิ ” แลว กําลังของจิตก็มีแลวเปนเครื่องหนุนปญญา จึงแทงทะลุไปไดอยางรวดเร็ว
ผิดกับตอนไมไดพักในสมาธิเปนไหน ๆ

เพราะฉะนั้นเรื่องของสมาธิกับเรื่องของปญญา จงึ เปนธรรมเก่ยี วเนอ่ื งกนั เปน แต
เพยี งทาํ งานในวาระตา ง ๆ กนั เทา นน้ั วาระทจ่ี ะทาํ สมาธกิ ท็ าํ เสยี วาระนจ้ี ะพจิ ารณาทาง
ดา นปญ ญาใหเ ตม็ อรรถเตม็ ธรรม เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เต็มสติกําลัง พจิ ารณาลงไปใหเ ตม็
เหตุเตม็ ผล เวลาจะพักก็พักใหเต็มที่เต็มฐานเหมือนกัน ใหเ ปน คนละเวลาไมใ หก า วกา ยกนั
แบบทัง้ จะพิจารณาทางดา นปญ ญา ท้ังเปนหว งสมาธิ เวลาเขา สมาธแิ ลว กเ็ ปน อารมณก บั
เรื่องปญญา อยางนี้ไมถูก จะปลอยทางไหน จะทาํ งานอะไรใหท าํ งานนน้ั จรงิ ๆ ใหเ ปน ชน้ิ
เปนอัน นี่ถูกตองเหมาะสม สมั มาสมาธิ กเ็ ปน อยา งนจ้ี รงิ ๆ

เรื่องของกิเลสเปนเรื่องกดถวงจิตใจ จติ เรานเ่ี หมอื นเปน นกั โทษ ถูกกิเลสอาสวะทั้ง
หลายครอบงาํ อยตู ลอดเวลา และบงั คบั ทรมานจติ ใจมาตลอดนบั แตเ กดิ มา

เมื่อปญญาไดถอดถอนกิเลสออกโดยลําดับ ๆ แลว ใจกม็ ีความสวางไสวขน้ึ มา
ความเบาบางของจติ กเ็ ปน คณุ อนั หนง่ึ ที่เกิดขึ้นจากการที่ถอดถอนสิ่งที่เปนภัย สงิ่ ที่สกปรก
ออกได เรากเ็ หน็ คณุ คา อนั น้ี แลว พจิ ารณาไปเรอ่ื ย ๆ

รวมแลว กิเลสอยูทไ่ี หน ภพชาติอยูที่ไหน กม็ อี ยทู ีใ่ จดวงเดียวน้แี หละ นอกนัน้ เปน
กิ่งกานสาขา เชน ออกไปทางตา ทางจมูก ทางหู ทางลิ้น ทางกาย แตตนของมันจริง ๆ อยู
ที่ใจ เวลาพจิ ารณาสง่ิ เหลา นน้ั รวมเขา มา รวมเขา มาแลว จะเขา มาสจู ติ ดวงเดยี วน้ี “วฏั วน”
ไมไดแกอะไร ไดแ กจ ติ ดวงเดยี วนเ้ี ปน ผหู มนุ ผเู วยี น เปน ผพู าใหเ กดิ ใหต ายอยเู ทา น้ี เพราะ
อะไร ? เพราะเชอ้ื ของมันมีอยูภายในใจ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘



เมอ่ื ใชส ตปิ ญ ญาพจิ ารณาคน ควา เหน็ ชดั และตดั เขา มา ๆ เปน ลาํ ดบั ๆ จนเขาถึงจิต
ซง่ึ เปน ตวั การ มี “อวิชชา” ซึ่งเปนสง่ิ สําคัญมากทเี่ ปนเช้อื “วฏั ฏะ” อยภู ายในใจ แยกลง
ไปพิจารณาลงไป ๆ ไมใหมีอะไรเหลืออยู วา นค้ี อื นน้ั นน้ั คอื นน้ั กําหนดพจิ ารณาลงไปที่
จติ เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทว่ั ๆ ไป

แมใ จจะมคี วามสวา งไสวขนาดไหนกต็ าม ก็พึงทราบวา นี้เปน เรอื นใจท่ีพอพักอาศยั
ไปชว่ั กาลชว่ั เวลาเทา นน้ั หากยงั ไมสามารถพจิ ารณาใหแตกกระจายลงไปได แตเ ราอยา ลมื
วา จิตทีม่ คี วามเดนดวงนี้แลคืออวิชชาแท ใหพ จิ ารณาเอาอนั นน้ั แหละเปน เปา หมายแหง
การพจิ ารณา

เอา ! อันนจี้ ะสลายลงไปจนหมดความรไู มมีอะไรเหลือ กระทั่ง “ผรู ”ู จะฉบิ หาย
จมไปดว ยกันกใ็ หรูเสยี ที เราพจิ ารณาเพอ่ื หาความจรงิ เพอ่ื รคู วามจรงิ ตองใหลงถึงเหตุถึง
ผลถึงความจริงทุกสิ่งทุกอยาง อะไรจะฉิบหายลงไปก็ใหฉบิ หาย แมที่สุด “ผรู ”ู ที่กําลัง
พจิ ารณาอยนู จ้ี ะฉบิ หายไปตามเขา ก็ใหรูดวยสติปญญา ไมต อ งเหลอื ไวว าอะไรเปน เกาะ
เปน ดอนหลอกเรา อะไรเปน เรา อะไรเปน ของเรา ไมม เี หลอื ไวเ ลย พจิ ารณาลงไปใหถ ึง
ความจริงไปดวยกันหมด

สง่ิ ทเี่ หลือหลงั จากกิเลส “อวิชชา” ทถ่ี กู ทาํ ลายลงโดยสน้ิ เชงิ แลว นน้ั แล คือสิ่งที่
หมดวิสัยของสมมุติที่จะเอื้อมเขาถึงและไปทําลายได นน้ั แลทา นเรยี กวา “จติ บรสิ ทุ ธ์ิ”
หรอื “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ ธรรมชาติแหงความบรสิ ทุ ธิน์ ไี้ มม อี ะไรทําลายได

กิเลสเปนสิ่งสมมุติที่เกิดขึ้นไดดับได เพราะฉะนัน้ จึงชาํ ระได มีมากขึ้นได ทาํ ใหล ด
ลงได ทําใหหมดสิ้นไปก็ได เพราะเปนเรื่องของสมมุติ

แตจ ติ ลว น ๆ ซง่ึ เปน ธรรมชาตทิ เ่ี รยี กวา “จิตตวิมุตต”ิ แลว ยอ มพน วิสยั แหงกิเลส
ทั้งมวลอันเปนสมมุติจะเอื้อมเขาถึงและทําลายได ถายังไมบริสุทธิ์มันก็เปนสมมุติเชนเดียว
กบั สง่ิ ทง้ั หลาย เพราะสงิ่ สมมุตนิ น้ั แทรกตัวอยูในจติ เมื่อแกนี้ออกจนหมดแลว ธรรมชาติท่ี
เปน วมิ ตุ ตนิ แ่ี ล เปน ธรรมชาตทิ ก่ี เิ ลสใด ๆ จะทําอะไรตอไปไมไดอีก เพราะพน วสิ ยั แลว
แลว อะไรฉบิ หาย ?

ทุกขก็ดับไปเพราะสมุทัยดับ นิโรธความดับทุกขก็ดับไป มรรคเครอ่ื งประหารสมทุ ยั
ก็ดับไป สัจธรรมทั้งสี่ดับไปดวยกันทั้งนั้น คือ ทุกขก็ดับ สมุทัยก็ดับ มรรคก็ดับ นิโรธก็ดับ
แนะ ! ฟงซิ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙

๑๐

อะไรท่รี ูวา “ส่ิงนน้ั ๆ ดับไป” นน่ั แลคอื ผไู มใ ชส จั ธรรม ผนู ผ้ี เู หนอื สจั ธรรม การ
พจิ ารณาสจั ธรรม คอื การพจิ ารณาเพอ่ื ผนู เ้ี ทา นน้ั เมื่อถึงตัวจริงนี้แลว สัจธรรมทั้งสี่ก็หมด
หนาที่ไปเอง โดยไมตองไปชําระ ไมตองไปแกไข ไมตองไปปลดเปลื้อง เชน ปญ ญาเรา
ทาํ งานเตม็ ทแ่ี ลว ปญ ญาเราปลอ ยได ไมตองมีกําหนดกฎเกณฑ สติก็ดี ปญญาก็ดี ที่เปน
เครอ่ื งรบ พอสงครามเลิก ขาศึกหมดไปแลว ธรรมเหลา นกี้ ็หมดปญหาไปเอง นน่ั

อะไรเหลืออยู ? กค็ อื ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แหละ พระพุทธเจาที่ทรงประกาศธรรมสอน
โลก ก็เอาจากธรรมชาติทบี่ รสิ ุทธิน์ ี้แลไปสอน ศาสนธรรมออกจากธรรมชาติอันนี้ และ
อบุ ายแหง การสอน ตองสอนทั้งเรื่องของทุกข เรื่องของสมุทัย ของนโิ รธ ของมรรค เพราะ
อาการเหลา นน้ั เปน อาการเกย่ี วขอ งกบั จติ ดวงน้ี ใหรวู ิธีแกไ ข รวู ธิ ดี บั รวู ิธีบําเพ็ญทกุ สิ่งทุก
อยา ง จนถงึ จดุ หมายปลายทาง อันไมตองพูดอะไรตอไปอีกแลว ไดแกค วามบรสิ ทุ ธิ์ จติ
ออกสูโลกนอกแลวทีนี้ ออกจากเรอื นจาํ แลว ไปสโู ลกนอกคอื ความอสิ รเสรี ที่ไมตองถูกคุม
ขังอีกแลว

แตโลกนี้ไมม ใี ครอยากไปกนั เพราะไมเ คยเหน็ โลกนเ้ี ปน โลกสาํ คญั “โลกุตระ”
เปนแดนสงู กวาโลกทวั่ ไป แตเ ราเพยี งวา “โลกนอก” นอกจากสมมุติทั้งหมด เรยี ก
“โลก” ไปยังงั้นแหละ เพราะโลกมีสมมุติก็วากันไปอยางนั้น ใหพิจารณาออกจากที่คุมขังนี้
ซิ เกิดก็เกิดในที่คุมขัง อยูก็อยูในที่คุมขัง ตายก็ตายในที่คุมขัง ไมไดตายนอกเรือนจําสักที
เอาใหใจไดออกนอกเรือนจําสักทีเถิด จะไดแ สนสบาย ๆ ดังพระพุทธเจาและสาวกทั้ง
หลายทา น ทา นกเ็ กดิ ในเรอื นจาํ เหมอื นกนั แตทานออกไปตายนอกเรือนจํา ออกไปตาย
นอกโลก ไมไ ดตายอยูใ นโลกอนั คบั แคบน้ี

ขอยุติการแสดง

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐

๑๑

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่อื วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘

วฏั จกั ร

ปญหาของโลกในปจจุบันนี้ที่มีมากก็คือปญหาที่ “ตายแลว เกดิ ” ดูจะมีนอย “ตาย
แลว สญู ” รูสึกวาจะมีมากขึ้นทุกที ซึ่งเปนปญหาใหญตอจิตใจของนักเกิดนั่นแหละ

การเขา ใจวา ตายแลว สญู นน้ั กค็ อื เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ขา ใจ ไมใ ชค วามจรงิ พาใหเ ขา
ใจ ผเู ชอื่ ความสาํ คญั ของกเิ ลสจงึ ทาํ ผดิ เรอ่ื ย ๆ แลว ก็ “เกิด” ไมหยุด ทุกขไมถอย ไมมี
เวลาลดนอ ย เพราะความคิดเชน นน้ั เปนการสง เสรมิ กิเลสและกองทุกขท งั้ สนิ้

คนทเ่ี ขา ใจวา ตายแลว สญู นน้ั ยอ มไมค ดิ เตรยี มเนอ้ื เตรยี มตวั เพอ่ื อนาคต
เพราะหมดหวงั แลว ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เปนไป ทไ่ี ดป ระสบพบเหน็ ตา ง ๆ ทั้ง ๆ ทเ่ี ราไมห วังก็
ตามมีอยู และสิ่งสําคัญที่มีอยูขณะนี้คือมีอยูทุกขณะก็คือใจ ปญ หานจ้ี งึ เปนปญ หา
“เพชฌฆาต” เกิดขึ้นมาเพื่อทําลายตัวเองโดยแท การทําลายตัวเองไปในตัวไมมีชิ้นดีแฝง
อยบู า งเลยนน้ั จดั วา เปน คนหมดหวงั ราวกบั โลกทห่ี มดหวงั ไมม ใี ครชวยไดน ้นั เอง

ผทู ม่ี คี วามเขา ใจวา ตายแลว เกดิ ยอ มมกี ารระมดั ระวงั ตวั และกลวั บาป โดยคิด
วา ถา เกดิ แลว จะเปน อยา งไร หากวา เราทาํ ไมด เี สยี อยา งน้ี เวลาไปโดนความทกุ ขเ ขา ในเวลา
ไปเกิดใหม ก็จะไดรับสิ่งที่ไมพึงใจทั้งหลายเปนเครื่องตอบแทน ซ่ึงเปน สิง่ ทีไ่ มปรารถนา
อยางยิ่ง แลวก็ไมกลากระทํา เพราะอยางไรเสียจิตก็ตองไปเกิดอีกดวยผลแหงกรรมนั้น ๆ
ผูนี้จึงมักมีความระมัดระวังและขยะแขยงตอสิ่งที่ไมดีไมพึงปรารถนา และก็ไมกลาทําลงไป

แตพ วกทเ่ี ชอ่ื วา ตายแลว สญู นน้ั รสู กึ จะเหน็ วา สญู ไปโดยประการทง้ั ปวง ในเรอ่ื ง
บาปเรื่องบุญคุณโทษอะไรทั้งหมด พอยังมลี มหายใจอยเู ทาน้นั เมอ่ื สน้ิ ลมหายใจแลว ก็
หมดหวงั ไมมีความดี ความสุขสนองตอบ นอกจากความทุกขความไมดีที่ตนเขาใจวาไมมี
เทา นน้ั จะใหผ ลแกผ นู น้ั การทาํ บญุ ทําบาปจงึ ไมมคี วามหมายอะไรทง้ั สนิ้ กับเขา นอกจาก
เปน ความตอ งการในปจ จบุ นั จะทําอะไรก็ทําตามใจชอบ ผิดหรือถูกไมคํานึง ผมู คี วามคดิ
เชนนี้ไดชื่อวาทําลายตนเองไปในตัวทุกระยะที่คิดและทําลงไป

ในหลักธรรมของพระพุทธเจาก็มีไว คือเจา ทฐิ ติ า ง ๆ ซง่ึ มาสนทนาธรรมกบั พระ
พุทธเจา สตั วต ายแลว สญู บา ง ตายแลว เกดิ บา ง ทุกสิ่งทุกอยางเที่ยงบาง สตั วที่เคยเกดิ เปน
ชนิดใดก็ตองเกิดเปนชนิดนั้นบาง เชน ใครเคยเกดิ เปน คนกต็ อ งเปน คนเรอ่ื ยไป เที่ยงตอ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑

๑๒

กําเนิดของตนที่เคยเกิดเปนอะไร กลายเปนความเท่ยี งไปหมด น่ีก็เปน เรื่องของความ
สาํ คญั ไมใชความจริงซ่งึ มีอยใู นสันดานของสัตวเ ต็มโลก

เร่ืองของกเิ ลสเปนส่งิ ท่นี ากลวั มาก เม่อื พิจารณาและเรียนเรือ่ งของกเิ ลสซึง่ มีอยู
ภายในใจของเรา ดว ยหลกั ธรรมเปน เครอ่ื งพสิ จู นโ ดยลาํ ดบั แลว เราจะยง่ิ เหน็ กเิ ลสเปน สง่ิ
ทน่ี า กลวั มาก เพราะแทบทกุ สิ่งซ่งึ เปน เครอ่ื งหลอกลวงจากกิเลส อนั ทาํ ใหส ตั วเ ปน ภยั เสมอ
ไป แทบจะพูดไดวา ทุกระยะทีเ่ ปน ความกระซิบกระซาบ เปน ความบงั คบั บญั ชา อาํ นาจมาก
อํานาจนอย มักมีอยูกับกิเลสทั้งสิ้น จติ ใจเราก็คลอยตามมัน คลอยตามมันจนลืมตัว วา คดิ
เชนนั้นเปนสิ่งถูกตองไปหมด แมที่ไมนาเชื่อก็เชื่อไปเลย ทเ่ี รยี กวา “ลืมตัวอยางมืดมิด”
ไมท ราบไดว าส่ิงทคี่ ดิ นน้ั เปน ทางถกู หรอื ทางผดิ เพราะเคยเช่อื ธรรมชาตทิ ่ีพาใหงมงายนี้มา
นานแลว

กเิ ลสเปน ธรรมชาตทิ ไ่ี มม คี า สาํ หรบั ผทู ม่ี คี า และความเปน ผมู คี ณุ คา คอื ตวั เรา จงึ
ตองระวังเสมอ

การท่ีจะพิสจู นเรอื่ งเกดิ เรื่องตายนี้ เราจะพสิ จู นอ ยา งไร ? ไปเรียนท่ีไหนไมสน้ิ ไม
สดุ และกไ็ มส ามารถทจ่ี ะระงบั ดบั ความสาํ คญั อนั ดน เดาเหลา นน้ั ได นอกจากการปฏิบัติตอ
จติ ใจโดยเฉพาะ คือ “จติ ตภาวนา” งานน้เี ปนทางตรงแนว ตอความจริงที่จติ จะพงึ ทราบ
จิตจะตองทราบดว ยวิธีน้ีแนน อน เพราะปราชญท งั้ หลายมีพระพทุ ธเจาเปนตน ทรงทราบ
จากวธิ นี เ้ี ปน หลกั ใหญ

การคิดตรองตองมี “จติ ตภาวนา” เปน หลกั ยืนตัว จงึ จะสามารถเขา ถงึ ความ
จรงิ อยางอื่นไมมีทางทราบได จะเรยี นมากเรยี นนอ ยกต็ าม แตไมไดประมาทเพราะการ
เรยี นไมใ ชก ารชาํ ระกเิ ลส เปน การจดจาํ เอาตามการเรยี นมาเฉย ๆ แตกเิ ลสกเ็ ปน กเิ ลสอยู
โดยดี ถา เราไมแ กก เิ ลส กเิ ลสกม็ อี ยเู ตม็ หวั ใจตามเดมิ ราวกบั คนไมเ รยี นไมล ะกเิ ลสนน่ั
แล เหมอื นอยา งเขาสรา ง “แปลนบา นแปลนเมอื ง” จะทําแปลนไดกี่มากนอยมันก็เปน
แปลนอยเู ปลาดี ๆ นน่ั แหละ ถาเราไมล งมือทํามันกไ็ มเปน ตัวบานตัวเรอื นขึน้ มาได

การเรยี นธรรม การจดจําชื่อเสียงของกิเลส จะเรยี นกนั ไปขนาดไหนกเ็ รยี นไปจาํ กนั
ไปแตชื่อ ความจรงิ มนั กเ็ ปน “กเิ ลส” ของมันอยูอยางนั้น ไมบ กพรองลงบางเลยจนนดิ
เดียวดว ยการทองจํา จึงไมมีประโยชนอะไรที่จะจดจําเปลา ๆ ไมส ามารถจะแกกเิ ลสตา ง ๆ
ภายในจติ ใจได นอกจากจะปฏิบัติเพื่อละเพื่อถอนมันไปโดยลําดับ ดังที่ปราชญทั้งหลายพา
ดาํ เนนิ มาจนถงึ “ความบรสิ ทุ ธพ์ิ ทุ โธ” เตม็ ดวงใจเทา นน้ั

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒

๑๓

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏเิ วธ ทั้งสามนี้เปนธรรมสามัคคีกันขาดไปไมได ถา อยากเหน็ กเิ ลส
หลุดลอยออกจากใจ ถา อยากเปนผูรบั เหมากเิ ลสทงั้ มวลกองเต็มหวั ใจ กเ็ พยี งเรยี นเอา จด
จําเอาแตชื่อของมันก็พอตัวแลว แทบเดินไมไหว เพราะหนกั คมั ภรี ใ บลานทเ่ี รยี นจดจาํ มา
เปลา ๆ โดยเขา ใจวา ตนเปน ปราชญฉ ลาดพอตวั ทง้ั ที่กเิ ลสเตม็ หวั ใจ

การปฏิบัติ เชน จติ ตภาวนา คือการปฏิบัติตอจิตใจตัวเอง เปน การเรยี นเรอ่ื งจติ ใจ
ของตนโดยตรง วิถีใจชอบคิดไปในทางใดบาง มีมากนอ ยหนักเบาไปในทางใด ? ทางดี
หรือชว่ั มีธรรมคือสติปญญาเปนตน เปน เครอ่ื งพสิ จู นอ ารมณอ ยเู สมอ ธรรมทา นสอนไว
อยางไร อะไรทค่ี วรเอาชนะ ทค่ี วรจะระวงั ท่ีควรจะดบั ทค่ี วรจะสง เสรมิ ทา นบอกไวหมด

เชน จิตมีความฟุงซานซึ่งเปนการกอกวนตัวเอง เวลาฟงุ ซานมากกก็ อ กวนมาก
ทาํ ลายตนมาก ใหพ ยายามระงบั ดบั ความคดิ เหลา นน้ั ดว ยอบุ ายตา ง ๆ มีสติปญญาเปน
สาํ คญั ตามแตจ ะเหน็ ควร เชน การกาํ หนดภาวนา มีธรรมบทใดเปน หลกั ยึดแทนอารมณท่ี
เคยทาํ ใหฟ งุ ซา นนน้ั เสยี จิตก็ยอมมีทางสงบลงได พอจิตสงบลงไดก็ทราบวา จิตพักงานที่
แสนวนุ วายลงไดเ ปน พกั ๆ เพยี งเทา นก้ี พ็ อทราบเบอ้ื งตน แหง การภาวนาวา มีผลเปน
ความสงบสขุ ทางใจ ถาเปนโรคก็ถูกกับยา หรอื ระงบั ลงแลว ดว ยยา พอมีทางพยาบาลรักษา
ใหห ายไดโ ดยลาํ ดบั จนหายขาดไดด ว ยยาขนานตา ง ๆ จิตใจตองสงบเย็น เหน็ ผลโดย
ลาํ ดบั ดว ยธรรมแขนงตา ง ๆ จนถงึ ขน้ั บรสิ ทุ ธไ์ิ ดด ว ยธรรม

เมื่อจิตมีพลังทั้งหมดมั่นคงเขาไปเปนลําดับ ๆ ก็ยอมทราบชัด และทราบเรอื่ งของ
ธาตุของขันธไปโดยลําดับ โดยทางปญญาเปนอยางนั้น ๆ จนทราบวา ธาตขุ นั ธเ หลา นม้ี นั
ไมใชอยางเดียวกัน แมจ ะอาศยั กนั อยรู าวกบั เปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั กต็ าม เปรยี บเทยี บ
เหมอื นกบั เรามาอาศยั อยใู นบา น บา นนน้ั เปน บา น เราเปน เรา จะอยใู นบา นเรากเ็ ปน เราคน
หนง่ึ ตางคนตางอยู เปนแตอาศัยกนั อยชู ัว่ กาล ฉะนน้ั บา นจงึ ไมใ ชเ รา เราจงึ ไมใ ชบ า น บา น
เปน สมบตั ขิ องเรา ธาตุขันธเปนสมบัติของเราคือใจ แตเ รานไ้ี มใ ชบ า นและเราไมใ ชธ าตุ
ขันธ ธาตุขนั ธไ มใชเรา แตเ พียงอาศัยและเปนความรับผิดชอบกนั อยู ฉะนน้ั เราจะเรยี กวา
ธาตุขันธเปนของเราตามสมมุติก็ไมผิด แตอยางไร ๆ มันก็เปนคนละอยางอยูดี

การเรยี นจติ ตภาวนายอ มทราบความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั ๆ ดังที่อธิบายมา และการ
เรยี นเชน นเ้ี ปน ภาคปฏบิ ตั เิ พอ่ื กาํ จดั กเิ ลสโดยตรง

ครั้งพทุ ธกาลทานเรียนเพอ่ื ปฏบิ ตั กิ าํ จัดกิเลสตาง ๆ ออกจากใจจริง ๆ ไมไดเรียน
เพอ่ื เอาชอ่ื เอานามของกเิ ลสบาปธรรม และชน้ั ภูมิ ตรี โท เอก มหาเปรยี ญ อยางเดยี ว โดย
มใี บประกาศนยี บตั รรบั รอง อนั เปน ราวกาํ แพงรกั ษาความปลอดภยั ใหก เิ ลสผาสกุ สนกุ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓

๑๔

แพรพันธุออกลูกออกหลาน สรา งบา นสรา งเรอื นทข่ี บั ถา ยบาํ รงุ บาํ เรอบนหวั ใจสตั วโ ลก ดั่ง
ทเ่ี ปน อยเู หน็ อยนู เ้ี ลย

ชนั้ ภมู ิของทานทไ่ี ดรับสว นผลจากการปฏิบตั ิ กเ็ ปนกลั ยาณชน อริยชน เปนขั้น ๆ
โดยสนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เปนเครอื่ งรบั รองตัวเองตามหลกั ความจรงิ ของภูมธิ รรมนั้น ๆ สมกบั ธรรม
เปน สวากขาตธรรม ที่ตรัสไวชอบ ไดผลเปนที่พึงใจตามพระประสงคที่ทรงสั่งสอนสัตวโลก
ดวยธรรมของจริง อันประกอบดวยพระเมตตาเต็มพระทัยไมเคยบกพรองแตตน จนถึง
เวลาจะเสดจ็ ดบั ขนั ธป รนิ พิ พาน องคพ ยานวาระสดุ ทา ย คือพระสุภัททะปจฉิมสาวก ผบู วช
ในราตรจี ะปรนิ พิ พาน ซง่ึ ตง้ั หนา ทาํ ความเพยี ร ยงั กเิ ลสทง้ั มวลใหส น้ิ ซากในคนื วนั นน้ั จาก
พระโอวาททีป่ ระทานโดยเฉพาะ หลังจากนั้นก็ประทานปจฉิมโอวาทแกพระสงฆที่ประชุม
พรอม เพื่อการเสด็จปรินิพพานของพระองค โดยใจความสาํ คญั วา

ภิกษทุ ง้ั หลาย บดั นเ้ี ราเตอื นทา นทง้ั หลายใหท ราบวา (สัจธรรมที่มีติดแนบอยูกับ
ตัว) คือ สังขารทัง้ หลายที่เกดิ ขึ้น เฉพาะอยางยิ่ง คือ (สงั ขารภายในไดแ ก ความคดิ ปรงุ
แตงตาง ๆ ทุกขณะ ทั้งดี ชั่ว กลาง) ลวนดับไปโดยสติปญญา ดวยความไมประมาทเถิด

เหลานีค้ อื พระเมตตาลนฝง แหง โลกธาตุ ทป่ี ระกาศแกม วลสตั วเ รอ่ื ยมาจนวาระสดุ
ทา ย สรปุ ความแลว กล็ งไปรวมทใ่ี จ

ใจจงึ ควรไดร บั การอบรม อยางนอยก็พอรูวิถีทางเดินของตน และรูวิถีของจิตไป
โดยลาํ ดบั ดว ยวธิ จี ติ ตภาวนาวา ปกติจิตของสามัญชนชอบคิดไปในทางใด หนักไปทางใด
จติ จะมคี วามบกึ บนึ หรอื มคี วามเสาะแสวงในทางนน้ั เสมอ ถามีสติมีปญญาคอยสอดสอง
คอยสังเกตอยูแลว เราจะพบเหน็ วา จติ นช่ี อบไปในทางนน้ั มาก เมื่อจติ คดิ ในทางนัน้ มาก ก็
ทาํ ใหเ กดิ ความสนใจวา ทางนน้ั มนั เปน อะไร? เปนทางดีหรือทางชั่ว เปน ทางผูกมัดหรอื ทาง
แกทางถอดถอน? ถาเปนทางผูกมัด เปน ทางสง่ั สมความชว่ั หรอื ความทกุ ขเ กดิ ขน้ึ มาแกเ รา
เรากพ็ ยายามแกไ ข พยายามหกั พยายามหกั หา ม นี่มันมีทางแกกันไดอยางนี้

การพยายามอยูโดยสมํา่ เสมอไมม ีการลดละ ยอมจะมีทางหักหามสิ่งไมควรนั้นได
จนกระทั่งหักหามไวได และตัดขาดจากกันไปได เหมือนคนตัดไม ตัดฟนครั้งหนึ่งไมขาด
ฟนสองครั้งเขาไป สามครง้ั สค่ี รง้ั เขา ไป จนกระท่ังไมนัน้ ขาดจรงิ ๆ เพราะความพยายาม
ตัดอยูเสมอ

การตัดกระแสของจิตที่ชอบคิดในเรื่องไมดี ดว ยความพยายามในทางดอี ยเู สมอ
อยางน้ี ยอมเปนไปไดทํานองเดียวกัน เมื่อตัดสิ่งใดขาดไปจากจิตแลว กท็ ราบวา สง่ิ นน้ั ได

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔

๑๕

ขาดไปแลว จากใจ เงือ่ นทจี่ ะตอ ใหจ ติ เกดิ ความทกุ ขค วามลาํ บาก เพราะความคดิ เชน นน้ั ไม
มีอีกตอไป

กิเลสประเภทใดที่จิตชอบคิด ชอบยดึ เหนย่ี ว ชอบยึดมั่นถือมั่น ก็คิดแกไขในแงนั้น
มาก ๆ พึงกําหนดพิจารณาแกไขกันโดยทางสติปญญาอยางสม่ําเสมอ ตอไปกิเลสประเภท
นั้นหรือความคิดประเภทนั้นก็คอยออนกําลังลงไป สติปญญาคอยแกกลาขึ้นมาจนกระทั่ง
สามารถตัดขาดไดไมมีเหลือ

การพยายามดวยความเพียรตัดขาดไปทีละกิ่งสองกิ่งของกิเลส กน็ บั วา เปน มงคลแก
ตวั เราโดยลาํ ดบั ถาเปนตนไมก็ตองตัดขาดทีละกิ่งสองกิ่ง ถาเปนรากไมต น หน่งึ ๆ มันมี
รากมากนอยเพียงไรก็พยายามตัดมัน จนกระทั่งโคนลม ลงไปจนกระทง่ั รากแกว ไมใหเหลอื
หลอ ดว ยความพยายาม คือพยายามตัดทีละรากสองรากเขาไป จนกระทั่งมันทนไมไหว
เพราะการตดั โดยสมาํ่ เสมอ ตัดโดยไมหยุดหยอน ไมลดละ มันก็ขาดลมลงโดยไมสงสัย

เรื่องกระแสของกิเลสที่ออกมาจากจิตมันมีมากมายเชนเดียวกับรากไม รากฝอยนั่น
แหละสาํ คญั รากแกว มนั มรี ากเดยี ว ไอตัวกิเลสก็มีตัว “อวิชชา”อนั เดยี วเทา นน้ั แหละเปน
หลักใหญ นน่ั แหละเรยี กวา รากแกว ของกเิ ลส ใหพ ยายามตดั มันแตกแขนงออกไปมาก
มายกายกอง คือมันแตกออกมาทางตาไปสูรูป แลว มรี ปู อะไรบา ง นน่ั แหละมนั แตกแขนง
ไป เปนเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ยัว่ จิตใหค ดิ ไปทางกิเลส

ทนี ใ้ี นทางเสยี ง เสยี งอะไรบา ง มันก็แตกแขนงออกไปเปนรากฝอยไปเรื่อย ๆ แต
อยา งไรกต็ ามเรากท็ ราบวา รากฝอยก็คือรากฝอยของกิเลสตัวนี้เอง จะรากฝอยอะไรกัน
เสียงเปนลักษณะใด ถา เปนเสยี งท่จี ะทาํ ใหเกิดกิเลสขึ้นมา กท็ ราบวา เปน เรอ่ื งของกเิ ลส
ดวยกัน เรากพ็ ยายามตดั พยายามแก คลค่ี ลายเสยี งนน้ั

รูปมันเปนอะไร ถึงรักถึงชอบ ถึงเกลียดถึงโกรธ แยกออกไป ใครเปน ผโู กรธ โกรธ
เพราะเรื่องอะไร จติ เปน ผโู กรธ โกรธเรื่องอะไร โกรธแลวมันไดประโยชนอะไร ความโกรธ
เปน ความรมุ รอ น เปนความทุกข ทําไมขยันโกรธ? โกรธแลวมันไดประโยชนอะไร โกรธให
ตัวเองคอยยังชั่ว ไอโกรธใหคนอื่นซึ่งตัวเองก็เปนทุกข แลว เขาก็เปน ทุกข ยิ่งเพิ่มความทุกข
ทรมานใจทั้งสองคน คือทั้งตนและเขาขึ้นอีกมากมาย

การโกรธใหตัวเองยังมีทางที่จะแกไขไดดีกวาโกรธใหคนอื่น แมจะเปนกิเลสก็ยังพอ
จะถอดถอนความโกรธนี้ได แตสวนมากไมยอมโกรธตัวเอง ที่จะใหบังเกิดอุบายปญญาพอ
แกความโกรธตัวเองได

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕

๑๖

การไปโกรธคนอน่ื เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลสลว น ๆ จงแยกแยะดู พจิ ารณาดว ยดี
รปู เสยี ง กลิ่น รส เคร่อื งสมั ผัส มนั มเี ปน แขนง ๆ ไป ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทาง
ลน้ิ และทางกายนแ้ี หละ แลว จงึ มาสใู จ คือ “ธรรมารมณ” โดยอาศัย รปู เสยี ง ฯลฯ ท่เี คย
สมั ผสั มาแลว นน้ั มาเปน อารมณข องใจ ใหน าํ มาครนุ คดิ อยตู ลอดเวลา นเ่ี ปน การสง่ั สมกเิ ลส
ประเภทหนง่ึ ๆ ขน้ึ มาเรอ่ื ย ๆ มันแตกแขนงออกมา คือแตกออกมาจากใจ สติปญ ญาหย่ัง
ทราบอยภู ายในใจและแกไ ขกนั ไปเรอ่ื ย ๆ ไมลดละทอถอย หนีไมพนถาลงสติปญญาจดจอ
ตรงนน้ั ไมท ราบในวาระนต้ี อ งทราบในวาระตอ ไปจนได ไมทราบมากก็ตองทราบนอย
ทราบไปโดยลาํ ดบั ๆ ก็คอยทราบมากไปเอง คอยตัดขาดไปเอง ทราบตรงไหนแลว กค็ อ ย
ละไป ละกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งละไดขาดจากกันไปจริง ๆ น่ีการตัดกเิ ลสทา นตัดอยางนี้
เชนเดียวกับที่เราตัดรากฝอยของตนไม ตัดไปตัดมาก็ไมมีรากอะไรเหลืออยู สดุ ทา ยกเ็ หลอื
แตรากแกว ก็ถอนขึ้นมาหมดไมมีเหลือ

เราตดั และถอนตน ไมใ หต ายดว ยวธิ นี ้ี เราจงึ ถอดถอนกเิ ลสดว ยวิธีเดียวกนั ดว ยสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร จนกเิ ลสตายเกลย้ี ง เรากแ็ สนสบายบรมสขุ

เรื่องของจิต ภพชาติมันอยูที่จิต ความสญู ไมท ราบมนั อยูท ี่ไหน เราไมเ หน็ ใน
คมั ภรี ก ไ็ มม วี า สตั วต ายแลว สญู มแี ตตายแลว เกิดถากเิ ลสยังมีอยูในใจ ทําไมจึงไปเหมามัน
ไดว า ตายแลว สญู นน่ั นะ จึงเอามาพูด แตภพชาติมันไมสูญนี่นะ มันอยูที่จิต ทําไมเราจึงไมดู
ที่ตรงนี้ ? ไปหาดนเดาเกาที่ไมคันใหมันถลอกปอกเปกเปนทุกขไปทําไม เราเปน มนษุ ยซ ง่ึ
เปน ชาตทิ ฉ่ี ลาด ทําไมจึงมาโงตอเรื่องของตัว หากมผี มู าวา พวกเราบดั ซบจะไมอ ายเขา
หรอื ? หรอื วา ไมอ าย ตองโกรธเขาซิ ดังนี้ก็ยิ่งไปใหญ ขายตัวสองตอสามตอจนไมมีสิ้นสุด
เพราะความโงต วั เดยี วพาใหเ ปน เหตใุ หญ

ใครแสดงภพชาตขิ น้ึ มาใหเ ราเหน็ ในระยะน้ี เรานง่ั อยใู นเวลาน้ี ?
ถาไมมีเกิดมันจะมีรูปมีกายมาอยางไร? ตอนเกิดนั้น มันเอาอะไรมาเกิด ถาไมเอา
ของมีอยูมาเกิดจะเอาอะไรมาเกิด? ธาตุขันธอันนี้มาจากอะไร? ธาตุสี่ ดิน นาํ้ ลม ไฟ ที่
เปน รา งกาย ก็เอาสิ่งที่มีอยูมาประสมกัน ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตลุ ม ธาตุไฟ มาผสมกนั เรยี ก
วา “สว นผสม” อาศัยจิต จิตก็มีอยูจึงเขามาอยูดวยกันได ของไมมีอยูจะเอามาไดอยางไร
นม่ี นั ลว นแลว แตอ าศยั สง่ิ ทม่ี อี ยมู าประกอบกนั เขา เปน รปู เปน กาย เปน หญงิ เปน ชาย
เปน ตน ไมภ เู ขาอยา งนเ้ี ปน ตน มันมีอยูทั้งนั้น ถาไมมีจะประกอบกันขึ้นมาไมได ปรากฏตวั
ขึ้นมาไมได แลว เราวา “สญู ” ขณะนี้มันสูญหรือไมสูญ? เรามาจากไหนถงึ ไดม าเกดิ อยู
เดย๋ี วน้ี ถาสูญจริงแลวมันมาเกิดไดอยางไร นน่ั

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖

๑๗

ถาอะไร ๆ ก็สูญแลวจะมาปรากฏตัวไดอยางไร ก็เพราะมันไมสูญนั่นเองจึงมา
ปรากฏตวั เปน เราเปน ทา น เปน สตั วเ ปน บคุ คล เรอื่ ยมาดังท่ีรู ๆ เหน็ ๆ อยูนี้ ทเ่ี ราวา
“สญู ”นน้ั ไมคิดอายสิ่งที่มีอยูเต็มโลกบางหรือ? หลวงตาบวั นอ่ี ายจงึ ไมก ลา คดิ วา ตายแลว
สญู

นี่คือปญญาแกตัวเอง พิจารณาแยกแยะมนั ลงไป รางกายมันเอามาจากสง่ิ ทมี่ ีอยู สง่ิ
ที่มีอยูจึงปรากฏตัวขึ้นมาได ถาไมมีก็ปรากฏขึ้นมาไมได นี่แหละภพชาติคือกิเลสอวิชชา
ตณั หา อุปาทาน กรรม เปนเชื้อความสืบตอของภพของชาติ เปนกําเนิดเกิดมีทโ่ี นน ท่นี ่ี มัน
มีเชื้อของมัน มีสืบตอกันอยูที่ในจิตใจดวงนี้ ตัวนจี้ ึงเปน “ตวั ภพ”ตัวนีจ้ งึ เปน “ตัวชาติ”
ตวั นเ้ี ปน ตวั ไมส ญู เปน ตวั เกดิ ตัวแก ตวั เจบ็ ตวั ตาย มันอยูที่ตรงนี้และรวมอยูที่นี่ทั้งหมด

ความสูญนัน้ มองไมเหน็ มันสูญไดอยางไร ? ตัวสูญอยูที่ไหน? เหน็ แตค วามมอี ยู
ภายในจติ ใจ ความสญู ภายในจติ ใจนน้ั มนั ไมม ี ไมเหน็ ไมป รากฏ แลว ใจนน้ั จะสญู ไดอ ยา ง
ไรเมื่อมันไมมีสิ่งที่จะใหสูญ มันเปนสิ่งที่มีอยูทั้งนั้น แลว เราจะเอาอะไรมาใหม นั สญู ขอ
สาํ คญั คอื ความสาํ คญั มนั หลอกคนตา งหาก ความจรงิ แลว เปน อยา งน้ี มันมีอยูทุกสิ่งทุก
อยา งภายในจติ ใจ คือพรอมที่จะเกิด เพราะสิ่งทีจ่ ะทําใหเกดิ มอี ยูมากภายในจติ รากเหงา
เคามูลของความเกิดก็คือ “อวิชชา” นีค่ ือตวั ใหเ กิด ไมเปน อยางอน่ื เลย ถาตัวนี้ยังไมหมด
ไปจากจิตใจเมื่อใด ตองเกิดวันยังค่ําตลอดกัปตลอดกัลป ไมมีกําหนดกฎเกณฑ ไมมีตนมี
ปลายเลย ตอ งเกิดแลว ตาย ๆ อยูอยางนี้ เพราะเชอ้ื ความเกดิ มนั มอี ยภู ายในใจ นี่เปนของ
จรงิ ทป่ี ระจกั ษอ ยภู ายในใจเราเอง

จงปฏิบัติจิตตรงจิตนี้ ดูตรงนี้ดวยสติปญญา แลวตัดเชอ้ื ความเกดิ กนั ท่ีตรงน้ี จะส้ิน
สงสยั เรอ่ื งตายเกดิ หรอื ตายสญู ทั้งมวล เพราะสดุ ทา ยกผ็ ทู ส่ี าํ คญั วา ตายแลว สญู นน้ั แลไป
เกิดอีก ไดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บากจากทต่ี นเขา ใจวา เม่ือตายแลว มนั ก็หมดเรอ่ื ง ไมมี
อะไรท่จี ะสืบตอขา งหนาแลว คิดอยากทําอะไรก็ทํา อยากทําบาปอยากทําอะไรก็แลวแต
ตามใจทุกอยางในขณะที่ยังมีชีวิตอยูนี้ เมอ่ื ตายแลว หมดความหมาย

ทนี เ้ี มอ่ื มนั ไมห มดความหมายตามความสาํ คญั ตนเลา ใครจะเปน คนรบั ความชว่ั ชา
ลามกทง้ั หลายเหลา นน้ั ? กค็ อื เราเองเปน ผรู บั เมอ่ื เปน เชน นน้ั เรากลา เสย่ี งแลว เหรอ? ทั้ง
ๆ ที่เปนมนุษยที่กําลังมีคุณคาอยูทั้งคน และเปน คนรบั ผดิ ชอบเราอยตู ลอดมา เหตไุ รเรา
จะตองยอมเสียทาเสียทีไปลมจมขนาดนั้นดวยอํานาจของกิเลสมันครอบงํา ดว ยความ
สําคัญที่ผิดอยางมหันต ใหบุญไมยอมรับ มาหลอกลวงตนเองถึงขนาดนั้น จงรบี คดิ เพ่ือหา
ความจริงจากธรรมของจรงิ เคร่ืองพิสจู น และปราบปรามกเิ ลสตวั นน้ั ใหส น้ิ ไป ไมควรนอน

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗

๑๘

ใจนอนจมอยูกับมัน แบบไมรูสึกตวั ดงั ท่เี คยเปน มากี่กปั นบั ไมถ ว นอยแู ลว ไมง น้ั จะสายเกิน
กาลนานเกินจะแกได เวลาตายจะไมมีกสุ ลาตดิ ตวั (กสุ ลาคอื ความฉลาด)

ความจริงมอี ยูท าํ ไมเราจึงไมด ู? ความจรงิ กค็ อื ใจและสจั ธรรม ใจนม้ี นั ไมส ญู นะ
เชื้อกิเลสเชื้อแหงภพแหงชาติก็อยูกับใจนี่เอง ตัวประกันตัวตีตราที่จะใหเกิดมันอยูกับจิตใจ
น้ี แลว จะสญู ไปไหน? จะสูญไดอยางไร นค่ี อื ความจรงิ ความจริงลบไมสูญมันสูญไมได แต
ความสาํ คญั นน้ั มนั สญู ได สูญไดตามความสําคัญซึ่งเปนเรื่องของกิเลส แตค วามจริงมนั ไม
สญู แลว บาปบญุ คณุ โทษทท่ี ําลงไปก็เขาไปอยูในจิต ไมไดไปอยูที่อื่น เพราะจติ เปน โรงงาน
ผลิตออกมาจากที่นั่นเอง ผลดีชั่วก็เขาไปรวมตัวอยูที่จิตนั่น

นา นนะ ความจรงิ จะไปไหน มันเกิดกันที่นั่น ผสมกันที่นั่น ดีชั่วมันอยูที่จิต จิตจะไป
เกิดในสถานที่ใดภพใดแดนใดก็ตาม มันไปดว ยกาํ ลังแหง กรรม กรรมและวบิ ากแหง กรรม
มันผลักไสใหไป แนะ มันจะสูญไปไหน ตายแลวมันพรอมเสมอที่จะเกิด จะเกิดสงู ต่าํ ขนาด
ไหนนน้ั มนั แลว แตอ าํ นาจแหง กรรมทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจซง่ึ ตนสง่ั สมไวน น่ั แหละ นเ่ี ปน หลกั
ความจรงิ

การเรยี นเรอ่ื งความจรงิ เหลา น้ี จึงตองเรียนลงที่ใจ พจิ ารณาลงทใ่ี จน้ี ดังที่กลาวมา
เมอ่ื สกั ครนู ว้ี า ใหต ดั ตรงนน้ั ลงมาหาตรงน้ี ลงมาดว ยจติ ตภาวนา คอื เราทราบไดด ว ย
ปญญา ใจมคี วามสมั ผสั สัมพนั ธกับสิง่ ใด มีความสขุ สมใจกบั สงิ่ ใด ส่งิ นัน้ เปน ทางดีหรอื ช่ัว
เปนสิ่งที่ดีหรือสิ่งชั่ว เราตามรเู สมอดว ยจติ ตภาวนา เราตอ งทราบ เมอ่ื ทราบแลว พยายาม
แกไข พยายามตัดฟนดวยอุบายของสติปญญา จนกระทั่งตัดขาด ตัดขาดไป ๆ โดยลาํ ดบั


ทา นพจิ ารณาทาง “จติ ตภาวนา” หรอื ทา นวา “นง่ั กรรมฐาน” ทา นนง่ั อยางนี้
แหละ จะไปนง่ั อยใู นปาในเขา จะนั่งอยู “รุกขมูล” รมไมที่ไหนก็เถอะ กฝ็ ก นง่ั เรยี นความ
เปนไปของจิต เรยี นเรอ่ื งความเกดิ ความแก ความเจบ็ ความตาย เรยี นเรอ่ื งกเิ ลส การสง่ั
สมกเิ ลส และวิถีทางเดินของกิเลส ความดอ้ื ความโลภความหลงมนั อยทู จ่ี ติ มันเกิดที่จิต
มนั หลง่ั ไหลจากจิตน้ีไปเปนภพตา ง ๆ ใหเ ราลมุ หลง บนั เทงิ โศกเศรา เสยี ใจ มีแตเรื่องที่
ออกไปจากจิตนี้ทั้งนั้น การเรยี นจงึ ตอ งเรยี นลงทน่ี ่ี จะตองรสู ิง่ เหลานี้ประจักษใ จดว ยสติ
ปญญาแนนอน คือตองทราบทั้งดีทั้งชั่วโดยลําดับ ๆ แลวตัดขาดออกจากกันเรื่อย ๆ แลว
จิตก็หดตัวเขามา ๆ เพราะขาดสง่ิ ทเ่ี คยสบื ตอ หดตวั เขา มา ยน เขา มา ๆ สวู งแคบ และตัด
ภาระเขา มาโดยลาํ ดบั นี่แหละคือการตัดภพตัดชาติ ตดั สว นหยาบเขา มาเรอ่ื ย ๆ ตัดเขามา
สคู วามละเอยี ด ตัดเขามา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘

๑๙

ในทส่ี ดุ รา งกายของเรานก้ี เ็ หน็ ชดั ตามเปน จรงิ วา “มันเปนแตเพียงธาตุขันธเทา
นน้ั ” นั่นคือธาตุดิน นาํ้ ลม ไฟ มาผสมกนั เขา มีตัวคือจิตเปนเจาของมายึดครอง แลว กว็ า
เปน รปู เปน กายเปน หญงิ เปน ชาย เปน สตั วเ ปน บคุ คล เมอ่ื ทราบชดั แลว กส็ ลดั ภายในจติ อกี
รปู กส็ กั แตว า รปู เวทนากส็ กั แตว า เวทนา ไมใ ชเ รา ไมใชของเรา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
แตล ะอยา ง ๆ กส็ กั แตว า เทา นน้ั ไมใ ชเ รา ไมใชของเราโดยประจักษใจ นป่ี ญ ญาพจิ ารณา
ทราบลงไปอยางนี้ เมอ่ื ทราบชดั แจง แลว ใครจะไปกลา ถอื วา เปน เรา ใครจะไปกลา แบก
หามสง่ิ เหลา นว้ี า เปน เราเปน ของเรา ไมก ลา ยึดไมกลา แบกหาม เพราะหนกั เหลอื ทนอยแู ลว
เพราะปญญาหยง่ั ทราบหมดแลวจะไปกลา อยา งไร

ที่กลาไมเขาเรื่องก็คือ พวกเราท่ีเปน นกั ดนเดาเกาหาทไี่ มค ันใหเ กิดทุกขเ ปลา ๆ
เทา นน้ั สว นทา นทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ ทานสลัดปดทิ้งดวยสติปญญา ไมม อี ปุ าทานเหลอื เลย

สตปิ ญ ญาเปน ธรรมสาํ คญั มากตามหลกั ความจรงิ คอื ทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ คือปญญาเปน
ผรู ผู ฉู ลาด ตามรตู ามเหน็ ความจรงิ เปน อยา งนน้ั แลว เราจะไปกลาฝน ความจริงไดอยา งไร
วา ไมใ ชเ รา โดยทางปญญาแลว เราจะยังไปถือ ถือก็ถือแตก็ไมใชปญญา มันเปนเรื่องของ
กิเลสอยูโดยดี การแกนี้ตองแกดวยปญญา รูดวยปญญา ละดวยปญญา ทุกประเภทของ
กิเลสไมนอกเหนือสติปญญาไปไดแตไหนแตไรมา

นแ่ี หละการเรยี นเรอ่ื งการตดั ภพตดั ชาติ การเรยี นเรอ่ื งวถิ ขี องกเิ ลส การตดั กเิ ลส
ทา นทาํ กันอยา งน้ี จนกระทั่งรูธาตุขันธ กส็ กั แตวา ธาตวุ าขันธ คือรูต ามเปนจริงแลวกป็ ลอย
วางลงไปเอง

การบอกใหปลอยเฉย ๆ ไมเกิดผล ตองปญญาเปนผูพาใหปลอย เมอ่ื เขา ใจแลว ก็
ปลอย ปลอย ๆ สง่ิ ไหนยงั ไมเ ขา ใจกพ็ จิ ารณาคน ควา เขา ไปจนกระทง่ั ถงึ ความจรงิ เขา ใจ
เต็มภูมิแลวก็ปลอย สุดทายมันมีอะไรอยูอีก การตัดรากฝอยไปเปนลําดับมันก็ถึงรากแกว
เทา นน้ั เอง เมื่อตัดรากแกวจนไมมีอะไรสืบตอกันแลว ภพชาติก็ขาด อยางอื่นมันก็ขาดไป
ดว ยตามลาํ ดบั ที่ยังเหลือชิ้นสุดทายนั้นคืออะไร? ยอนสติปญญาเขามาจนถึงตัว นน่ั คอื
“อวิชชา” ทเ่ี รยี กวา “รากแกว ” นแ่ี หละคอื ตวั กเิ ลสแท กิ่งกานสาขาของกิเลสไดถูกตัด
ขาดหมดแลว ยงั เหลอื แตต วั กเิ ลสแท ๆ ไดแกตัว “อวิชชา”

ทนี ้ี “อวิชชา” อยูที่ไหน? มนั อยูท่ีจติ เทา นนั้ อวิชชาไมอยูที่อื่น มันครอบอยกู บั จติ
จนกระทั่งจติ เองก็เขาใจวาอวิชชานัน้ เปนตน ตนเปน ธรรมชาตอิ นั นน้ั นี่แหละเมอ่ื ปญ ญายัง
ไมท ราบชดั แตก็ทนไมได เพราะฟง คาํ วา “ปญญา ๆ” เถิด มคี วามฉลาดแหลมคมมาก

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙

๒๐

เมอ่ื นาํ มาใชใ นสง่ิ ใดกต็ อ งเหน็ ความจรงิ ในสง่ิ นน้ั ดังนนั้ เมื่อนาํ มาใชใ นจิตทม่ี ีกิเลส คือ
อวิชชาอยูที่นั่น ทําไมจะไมทราบ ทําไมจะทําลายกันไมได จะตัดขาดจากกันไมได เมื่อกิเลส
ชนิดอื่น ๆ ปญญาสามารถตัดขาดได แลวสิ่งนี้ทําไมปญญาจะไมสามารถตัดขาดไดเลา
ปญญาตองสามารถตัดขาดได

เมอื่ ตัดขาดกิเลสตัวสําคัญน้ีแลวตองทราบชดั ประจกั ษใจ ถาจะพูดก็พูดไดเต็มปาก
ไมกระดากอายหรือสะทกสะทานกับสิ่งใดหรือผูใด ถา จะพดู แบบโลก ๆ กต็ องเรียกวารูชัด
ๆ รอ ยเปอรเ ซน็ ต หมดปญ หากนั เสยี ทเี รอ่ื งความเกดิ ความตาย เรอ่ื งความทุกขทรมานใน
วฏั สงสาร ภพนอยภพใหญที่เคยเปนมากี่กัปกี่กัลปจนนับไมถวน เพราะตวั นพ้ี าใหเ ปน ไป
ตวั นพ้ี าใหเ กดิ ตวั นพ้ี าใหต าย ตายแลวเกิดซ้ําเกิดซากไมหยุดไมถอย ทุกขซ้ํา ๆ ซาก ๆ มา
ยตุ กิ นั เสยี แลว คราวน้ี

ยุติดวยอะไร? อะไรถึงตองยุต?ิ นา น ยุติลงที่ฆาเชื้ออันใหญขาดกระเด็นออกจาก
ใจแลว เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ ทเ่ี รยี กวา “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ นน้ั เปน จติ แท เปน ธรรมแท ไม
มสี งิ่ ใดเขา ไปเคลือบแฝงเลยแมนิดเดียว ผนู แ้ี ลเปน ผไู มเ กดิ ทนี ส้ี น้ิ สดุ แลว แตไมใชสูญ
แบบที่มองไมเห็น คนควาไมเ จอก็หาวาไมมี แลว กเ็ ดากนั อยา งนนั้ ตามวสิ ยั ของโลกดน เดา

เรอ่ื งกเิ ลสทพ่ี าใหด น เดาเอาดว ยความสาํ คญั เหมาเอาดว ยความสาํ คญั จึงไดรับ
ความทกุ ขเพราะกเิ ลส แตก็ยังไมเห็นโทษของกิเลสที่พาใหดนเดา พาใหส าํ คญั มน่ั หมายทง้ั
ที่ไมจริงตลอดมา จึงมีแตของปลอมเต็มตัวเต็มหัวใจ ทุกขจึงเต็มหัวใจดวย

เมอ่ื เรยี นรูถงึ ความจรงิ ทุกสง่ิ ทุกอยา งดว ยวิธีการปฏบิ ัติแลว ความปลอมมนั ก็สลาย
ตัวไป จึงไดเ ห็นโทษชดั เจนวา เหลานี้มีแตความจอมปลอมทั้งหมด ทเ่ี ราไดร บั ความทกุ ข
ความทรมานมาจนถงึ ปจ จบุ นั ชาตทิ เ่ี ราจาํ ไดเ พยี งเทา น้ี มนั กเ็ ปน ความทกุ ขเ พราะกเิ ลสตวั น้ี
เทา นน้ั ถา เปนธรรมกไ็ มทําใหเราเกดิ ทกุ ข เมอ่ื มธี รรมลว น ๆ ภายในจติ แลว อะไรจะมาทํา
ใจใหมีทุกขอีกตอไปเลา ตองไมมี นน่ั แน อยา งนแ้ี หละเรยี นธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมภายในจติ ใจ
คอื เรยี นธรรมภาคปฏบิ ตั ภิ าคภาวนา เหน็ จรงิ อยา งน้ี ชัดเจนอยางน้ี กิเลสแตกกระจายชนิด
ไมเ ปน ขบวน

ในเรอ่ื งวิธีปฏบิ ัติน้ไี มใ ชว ิธจี ํา แตเ ปน วิธแี กกเิ ลส ทาํ งานกบั กเิ ลสทาํ อยา งน้ี เมอ่ื
กเิ ลสสน้ิ สดุ ไปแลว ภายในใจ ใจทเ่ี ปน เจา ของปญ หามาแตก อ นเพราะกเิ ลสพาใหเ ปน ก็สิ้น
สุดกันไปเองไมมีสิ่งใดเหลือเลย นแ่ี หละความสน้ิ สดุ ของวฏั ฏะ แตไมใชความสูญซึ่งเปน
ความแสลงตอ ความจรงิ คือความมีอยูอยางยิ่ง

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๐

๒๑

ถา วา “ความสญู ของวฏั ฏะ” นั้นถูกตอง เพราะวฏั ฏะภายในใจไมม ตี อไปอกี แลว
สูญสิ้นแหงความสืบตอของภพชาติ เกิด แก เจบ็ ตายแท ภพชาติตอจากนั้นไมมีอีก นเ่ี ปน
ความสญู สน้ิ โดยธรรมโดยความจรงิ ถา วา “ความสญู ” อยางนี้ถูกตอง แตค นและสตั วต าย
แลว สญู สน้ิ โดยประการทง้ั ปวง อะไรไมมีเลยอยางนี้ ขัดตอความจริง

ใจเม่อื ถงึ ความจรงิ เต็มท่ีแลวกถ็ งึ ความบริสุทธ์ิ ความบริสุทธิ์แสดงขนึ้ ชดั ในจติ ใจ
จติ เปน ธรรม ธรรมเปน จติ จึงไมใชความสูญ

อยา งพระพทุ ธเจาตรสั รูแลวกิเลสสูญไปหมด ไมมอี ะไรเหลอื อยภู ายในพระทยั แลว
ตอ งอาศยั ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แลประกาศธรรมสอนโลกมาเปน เวลา ๔๕ พระพรรษา ถึงได
เสดจ็ ปรนิ พิ พาน ถา ความบรสิ ทุ ธน์ิ ไ้ี ดส ญู สน้ิ ไปแลว พระพุทธเจาจะเอาอะไรมาประกาศ
ศาสนาเลา ? ขณะที่สิ้นกิเลสแลวถาจิตก็ไดสูญไปดวย แลว ทรงเอาอะไรมาสอนโลกเลา ?
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธนัน้ ไมออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ซึ่งไมไดสูญนั้นแลว จะออกมาจาก
ไหน?

นแ่ี หละเรยี นธรรมใหถ งึ นแ้ี ลว หายสงสยั ปญหาทั้งปวงก็หมดสิ้นไปไมมีเหลือเมื่อ
เรยี นจบ ทราบปญ หาภายในใจโดยตลอดทว่ั ถงึ แลว อยูไหนก็อยูเถอะ เพราะความสมบรู ณ
พนู ผลอยทู ่ใี จนี้ ความสขุ อนั สมบรู ณม อี ยทู ใ่ี จน้ี ถาปฏิบัติใหถูกตองตามหลักธรรมของพระ
พทุ ธเจา แลว คนเราจะไมไ ดบ น เรอ่ื งความทกุ ขค วามลาํ บาก จะยอมดาํ เนินตนไปตามเหตุ
ผลคอื หลกั ธรรม ทุกขก็ยอมรับวาทุกข จนกย็ อมรบั วา จน มีไดมาเสียไปเปนธรรมดา

เรยี นธรรมรตู ามความจรงิ ชองธรรมแลว ไมบ น ทุกขก็ยอมทนรับตามเหตุตามผล มี
กร็ บั ตามเหตตุ ามผลไมป น เกลยี วกบั ธรรม ใจกส็ บาย แมจะมีกิเลสที่ยังละไมได ก็ไมถึงกับ
ตองเดือดรอนแบบไมมีขอบเขตเหตุผล ยังพอปลงพอวางได

แตถ าไมส นใจเกยี่ วของกบั ธรรมเลย ไมน าํ ธรรมมาวนิ จิ ฉยั ใครค รวญ ก็มักไมมีเหตุ
ผลเครื่องทดสอบ มีแตความตองการของใจที่กิเลสบงการอยางเดียว ความตอ งการนน้ั แล
จะพาคนลม จมฉบิ หาย ความตอ งการนน้ั แลจะทาํ ลายจติ ใจคนใหเ สยี อยา งไมม ปี ระมาณ
ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นอยเู สมอ ๆ ตลอดกาลสถานที่ไมมีอะไรอื่น คือความตองการชนิด
นัน้ ไมม ีเหตผุ ล มีแตอยากตะพัดตะพือ อยากจนไมส นใจทราบวา อะไรเปน พษิ อะไรเปน ภยั
อยากไดอะไรควาไปกิน มนั ไมห ยดุ หยอ นผอ นคลาย ยิ่งอยากยิ่งตองการก็ยิ่งเพิ่มความคิด
ความปรุงแตงไมถอย ยุงไมหยุด ความทุกขทรมานภายในใจก็ยิ่งมากขึ้น ๆ ไดร บั การสง
เสริมเทาใดก็ย่งิ คิดมากขนึ้ แบบไฟไดเ ช้ือ ดีไมดีสติลอย เลยเปน บา ไปเลย นา น พอเห็น

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๑

๒๒

โทษของความอยากความทะเยอทะยานชนิดไมมีธรรมเปน “เบรก” ไหมละ? ถาพอเห็น
โทษของมันบางก็ควรพยายามแกไข อยา อยเู ปลา แบบคนสน้ิ ทา

วนั นพ้ี ดู เรอ่ื ง “วฏั จกั ร” พดู เรื่องความสญู ความไมส ูญ ตามหลกั ความจรงิ เปน
อยางน้ี ศาสนาจงึ เปน ธรรมทเ่ี หมาะสมทส่ี ดุ ทจ่ี ะพสิ จู นค วามจรงิ สมควรแกเ วลาเพยี งเทา น้ี

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๒

๒๓

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่ือวันท่ี ๑๓ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘

อบุ ายวธิ ดี บั กเิ ลสและเรอ่ื งกรรม

โลกน้ีแมจ ะรุมรอ นเพยี งไรกต็ าม ยงั มศี าสนาเปน เครอ่ื งเยยี วยา อยา งนอ ยมศี าสนา
เปน เครอ่ื งเยยี วยา ก็ยังมีทางบรรเทาทุกขไปไดพอสมควร เชน เดยี วกบั โรคแมจ ะมคี วามรนุ
แรงเพียงไร แตถ า มยี าเครอ่ื งเยยี วยารกั ษาอยบู า งแลว กย็ งั พอทาํ เนาได ไมเหมือนปลอยให
เปนไปตามอัตราของโรคที่มีมากนอยโดยไมมียาไปเกี่ยวของเลย

จิตใจของโลก ถามีแตเรื่องของกิเลสกองทุกขลวน ๆ เปน เจา อาํ นาจบงการอยภู าย
ในใจนน้ั โลกไมว า ชาตชิ น้ั วรรณะใด จะหาความสงบสขุ ไมไ ดเ ลย เพราะไมม เี ครอ่ื งบรรเทา
คอื ศาสนา

คาํ วา “ศาสนา” กค็ อื คาํ สงั่ สอนท่กี ลมกลืนดว ยเหตผุ ลน่ันเอง รวมแลว เรยี กวา
“ศาสนธรรม” เมื่อแยกออกพูดเฉพาะคําวา “ศาสนา” ก็เหมือนกบั วาเปนอกี อนั หน่งึ
และเปนอีกอันหนึ่งแตกแขนงออกไป ความจรงิ คาํ วา “ศาสนา” ถาพดู ตามหลักความจริง
แลว กค็ อื เหตกุ บั ผลบวกกนั เขา นน่ั แลเรยี กวา “ศาสนา” การเชื่อตอเหตุตอผลนั้นคือไม
ฝน ไมปนเกลียวตอเหตุตอผลที่ถูกตองแลว และปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ ไปตามนน้ั โลกจะพอมีทาง
เบาบางจากความทกุ ขค วามลาํ บากทง้ั ภายนอกภายใน

จาํ พวกไมม ศี าสนาเขา เคลอื บแฝงเลยนน้ั ใครจะอยใู นสถานทใ่ี ดกต็ าม ไมวาจะมี
ความรสู งู ตาํ่ ฐานะเพยี งไร จะหาความสขุ ความสบาย พอปลงจิตปลงใจลงชั่วระยะกาลไมได
เลย เพราะไมมีที่ปลง เราจะปลงลงทไ่ี หน? ที่ไหนก็มีแตเรื่องของกิเลสอันเปนไฟทั้งกอง
คือมีแตเรื่องความอยาก มีแตเรื่องความตองการไมมีประมาณ อยากใหเ ปน ไปตามใจหวงั
ความอยากนน้ั ๆ ก็ผลิตทุกขขึ้นมาเผาตัวเอง สิ่งที่ตองการกลับไมเจอ แตกลับไปเจอแตสิ่ง
ที่ไมตองการโดยมาก เพราะอาํ นาจของกเิ ลสพาสตั วโ ลกใหเ ปน เชน นน้ั

ถา อาํ นาจของเหตผุ ลหรอื ธรรมพาใหเ ปน ไป แมจ ะทกุ ขจ ะลาํ บากบา งในการฝน
กเิ ลส โดยทําลงไปตามเหตุตามผล แตเ วลาปรากฏผลขน้ึ มากเ็ ปน ความสขุ ความสบาย พอ
มีทางผอ นคลายความทกุ ขล งไดบ า ง เพราะฉะนน้ั ศาสนาจงึ เปน ธรรมจาํ เปน อยา งยง่ิ ตอ จติ
ใจของโลก เฉพาะอยา งย่งิ คือมนษุ ยเ รา ซง่ึ เปน ผมู คี วามฉลาดเหนอื สตั วท ง้ั หลาย ควรจะมี

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๓

๒๔

“ศาสนธรรม” เปน สมบตั ปิ ระดบั และคมุ ครองใจกายวาจา และความประพฤติในแงตา ง
ๆ จะเปนที่งามตาเย็นใจท้ังสวนยอยสว นใหญไ มมีประมาณ

คาํ วา “ศาสนา” นน้ั เปน แขนงหนึ่งทอี่ อกมาจากธรรมลวน ๆ คือออกจากธรรม
“ทป่ี ระเสรฐิ ” เปนของอัศจรรย แยกออกมาเปน คําสอนโดยทาง “สมมุต”ิ เปน แขนง ๆ
วา “ใหท าํ อยา งนน้ั อยา ทาํ อยางนี”้ เปน ตน ใหเ ราดาํ เนนิ ตาม ไมฝ า ฝน ปน เกลยี วกบั ธรรม
อันเปนแนวทางถูกตองดีงามอยูแลว แมจ ะยากลาํ บากในการดาํ เนนิ ตามเพยี งไร เมื่อเชื่อ
ตอเหตุตอผลแลว อุตสาหพยายามฝนทําลงไป การฝนทาํ ลงไปนน้ั คือการฝน กิเลสที่เปน
“ขาศกึ ” ตอ ธรรม อันเปน การฝน ทาํ ในส่ิงทต่ี นตองการ อันเปนเรื่องของ “ธรรม” มีใจ
เปน ผบู งการ ผลที่พงึ ไดรับก็ยอ มเปนความรม เย็นเปนสขุ

ยกตัวอยางเชน เราคดิ อะไรวนั นจ้ี นเกดิ ความวา วนุ ขนุ มวั ไปหมด ใจทั้งดวงกลาย
เปนไฟทั้งกอง เฉพาะอยางยิ่งสิ่งที่ไมชอบใจ สิ่งที่ขัดใจมาก จิตจะไปยุงอยูกับสิ่งที่ขัดใจ
มากไมพอใจมากนั้นแหละ ทงั้ วันท้ังคืนยืนเดนิ น่งั นอนไมยอมปลอ ยวาง ถือเปนอารมณ
แทนคาํ บรกิ รรมภาวนา แลวผลจะมีความสุขขึ้นมาไดอยางไร มันก็ตองเปนไฟขึ้นมาเปน
ลาํ ดบั ๆ เพราะเรอ่ื งนน้ั พาใหเ ปน “ไฟ” และความคดิ ในเรอ่ื งนน้ั พาใหเ ปน ไฟ ผลจะ
ปรากฏขน้ึ มาเปน “นาํ้ ” ไดอยางไร มันก็ตองเปนไฟอยูโดยดี ขืนคิดมากเพียงไรก็ยิ่งจะ
ทาํ ลายจติ ใจของเรามากเพยี งนน้ั สุดทายจนกินไมไดนอนไมหลับ แทบไมมีสติหรือไมมีสติ
ยบั ยง้ั จนเปนบา ไปเลยก็มีไมน อย เพราะเรอ่ื งและความคดิ ทาํ ลาย

สงิ่ ที่ทําลายเหลา น้ีคืออะไร? ก็คือเรื่องของกิเลส ไมใชเรื่องของธรรม ฉะนน้ั การฝน
ไมคิดในอารมณไมดีนั้น ๆ ดวยการหักหามความคิดปรุงของใจดวยสติ สกัดกั้นดวย
ปญญา แมจ ะลาํ บาก ผลที่ปรากฏก็คือความสงบยอมเปนที่หวังได หรือพอมีสติขึ้นมา
พจิ ารณาใครค รวญถึงทางท่ีถูกท่ีควร สิ่งดีชั่วในสิ่งที่คิดนั้น ในเรอ่ื งทค่ี ดิ นน้ั วา ทําไมจึงตอง
คิด กท็ ราบแลว วา ไมดีคิดไปทาํ ไม แลวหาทางแกไ ขเพื่อความดีไมไ ดหรอื ? นั่นเรื่องของ
เหตผุ ลเปน อยา งนน้ั การคิดมาทั้งมวลนี้ก็พอเห็นโทษของมันแลว เพราะทุกขเปนประจักษ
พยานอยภู ายในใจ มคี วามรมุ รอ นเปน กาํ ลงั นี่คือผลของความคิดในสิ่งนั้น ๆ ที่เปนของไม
ดี ถาจะฝนคิดมากยิ่งกวานี้แลวจะเปนอยางไร ขนาดทีค่ ดิ นี้ความทกุ ขก็แสดงใหเหน็ ชดั เจน
อยา งนแ้ี ลว ถาจะคิดเพิ่มยิ่งกวานี้ ความทุกขจะไมมากกวา นจ้ี นทวมหวั ใจไปละหรือ แลว จะ
ทนแบกหาม “มหันตทุกข” ไดอยางไร?

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๔

๒๕

ถาฝนคิดมาก ทุกขตองเพิ่มมากกวานี้เปนลําดับ เมอ่ื มากกวา นแ้ี ลว เราจะมกี าํ ลงั
วงั ชามาจากไหน พอตานทานแบกหามความทุกขที่ผลิตขึ้นทุกระยะ จากความคิดในสิ่งที่ไม
พอใจนั้น ๆ เราจะฝน คดิ ยังจะฝน กอบโกยทกุ ขเ หลานัน้ เพมิ่ ขนึ้ เปน ลําดับ ยิ่งข้นึ กวา นี้อยู
หรอื ? เพียงเทานี้จิตก็ไดสติ พอไดสติจิตก็เริ่มสงบและยังยั้งตัวได และพยายามปลอ ยวาง
ความคดิ เชน นน้ั โดยทางเหตผุ ลอยา งใดอยา งหนง่ึ ที่จะใหจิตผละออกจากสิ่งนั้นและระงับ
ความคดิ นน้ั ๆ ได ผลทีจ่ ะปรากฏดงั ที่เคยเปนมาแลว กร็ ะงบั เพราะความคิดอนั รอนอนั
เปน สาเหตนุ น้ั มนั ระงบั ตวั ลง การระงับตัวลงไดแ หง ความคดิ นั้น เพราะความมสี ตยิ บั ยง้ั น่ี
ก็พอเปนสกั ขีพยานอันหนง่ึ แลววา เทา ทเ่ี ราฝน คดิ ในสง่ิ นน้ั มาดว ยสติ และใครค รวญดว ย
ปญญา มผี ลปรากฏขนึ้ มาอยา งนี้ คอื ปรากฏเปน ความสงบรม เยน็ ขน้ึ มา ทีนี้ทุกขก็ระงับดับ
ไป

แมจ ะลาํ บากในการฝน ในการบงั คบั จติ ใจ กจ็ งคิดหาอุบายปลดเปล้ืองตนเชน นั้น
อนั ความลาํ บากนน้ั เรากย็ อมรบั วา ลาํ บาก แตลําบากในทางทีถ่ กู ทีนี้ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็
เปน ความสขุ และเปน ความดี เรื่องก็ไมยุงเหยิงวุนวายตอไป ทุกขก็ไมเพิ่มขึ้นมาอีก เราก็
พอผอนคลายตัวได หรอื มเี วลาปลงวาง “ถา นเพลงิ ” คอื ความทกุ ขร อนบนหัวใจลงได น่ี
เปน หลกั เกณฑห นง่ึ ทเ่ี ราจะนาํ มาพจิ ารณา เกี่ยวกับเรื่องที่ไมถูกตองดีงามทั้งหลาย

เชน เขาดเุ ขาดา เขาตฉิ นิ นนิ ทาวา อยา งนน้ั ๆ คาํ ตฉิ นิ นนิ ทาเขากผ็ า นปากเขาไป
แลว ผา นความรสู กึ ของเขาไปแลว ตง้ั แตว นั ไหนเดอื นไหนไมท ราบ เราเพง่ิ ทราบในขณะ
นน้ั เวลานน้ั กเ็ ปน ความไมพ อใจขน้ึ มา ไอลมปากเขาก็หายไปแลวตั้งกี่ปกี่เดือนไมทราบ
เพียงแตลมปากใหมขึ้นมาวา “เขาวา ใหค ณุ อยา งนน้ั ๆ” เชน “นาย ก นาง ข.วา ใหค ณุ
อยา งนั้น ๆ ไมดีอยางนั้น ๆ” นี่เปน ลมปากครงั้ ท่ี ๒ เรากย็ ดึ เอาอนั นน้ั มาเปน “ไฟ” เผา
ตวั ข้ึนมาอยา งลม ๆ แลง ๆ โดยไมมีเหตุผลอะไรเลย นเ่ี ปน ความสาํ คญั ผดิ ของเรา ถา เขา
ไมเ ลา ใหฟ ง เรากธ็ รรมดา ธรรมดา ทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้นเขาไดพูดไปแลว ถา เขาไดเ คยตาํ หนติ ิ
ฉนิ นนิ ทาเรา เขากต็ าํ หนไิ ปแลว ผา นไปแลว เรากไ็ มเ หน็ มคี วามรสู กึ อยา งไร เพราะจติ ใจ
ไมกระเพื่อมออกมารับสิ่งเหลานั้น จิตเปนปกติ ผลก็ไมแสดงขึ้นมาในทางความทุกขความ
รอ นใด ๆ ทั้งสิ้น

เมอ่ื เปนผูม สี ตอิ ยูภายในตัว พอเขาพูดขึ้นมาเชนนั้น กท็ ราบทนั ทวี า สง่ิ นน้ั ไมด ี เรา
จะไปควาเอามายึดถือใหสกปรกและหนกั หนวงถว งใจเราทําไม ของสกปรกเรากท็ ราบแลว
แมแตเดินไปตามถนนหนทางไปเจอสิ่งสกปรก เรายงั หลกี ใหห า งไกล ไมกลาสัมผัสถูกตอง
แมแ ตฝ าเทากไ็ มแ ตะตองเลยเพราะทราบแลววาของไมด ี ถาขืนแตะตองก็จะตองเปอน

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๕

๒๖

เปรอะไปหมด เราทราบแลว วา สง่ิ เหลา นส้ี กปรก แลว ทาํ ไมเราชอบไปคลกุ คลี ชอบไปยุง
ชอบไปนาํ มาคดิ มาวนุ วายตวั เอง จนใหเกดิ ผลข้นึ มาเปน ความสกปรกไปทั้งจติ กลายเปน
ไฟทั้งดวง ไมส มควรเลย

เราคดิ อยา งน้ี เราระงบั ความคดิ และอารมณน น้ั ได พอจะคิดขึ้นในขณะใดสติเราก็
ทันและรทู ันที แลวปลอยไปได ไมย ดึ มาเปน อารมณเ ผาลนใจอยนู าน ทก่ี ลา วมาแลว นท้ี ง้ั
หมด เปนหลักธรรมวิธีปองกันตัวในวิธีรักษาตัว

เมอ่ื เราใชว ธิ นี เ้ี ปน “ยาประจาํ บา น” ประจาํ ตวั ทกุ อริ ยิ าบถ ใจก็ปกติไมคอยจะเปน
ภัยแกต ัวเองจากส่งิ ท่มี าสมั ผัสทงั้ หลาย จะมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย แม
ในทางอารมณท่ีเกิดข้นึ กับใจโดยเฉพาะ ที่ไปคิดในเรื่องอดีตที่ไมดีไมงามตาง ๆ มารบกวน
เจาของก็ตาม หรืออะไร ๆ มาสมั ผสั ก็สลัดไดทันที เพราะสตปิ ญ ญามอี ยกู บั ใจ นาํ มาใช
เมื่อไรก็เกิดประโยชนเมื่อนั้น นอกจากจะปลอ ยใหส ง่ิ เหลา นน้ั เขา มาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเสยี
โดยไมคํานึงถึงเครื่องปองกันคือสติปญญาเลย เราถึงยอมรับทุกข

แตถายอมรับทุกขตามหลักความจริงที่ตนโง ตนประมาทแลว ก็ไมตองบนกัน แตน ่ี
กบ็ นกนั ทั่วโลกดนิ แดน เพราะอะไรเลา ถงึ บน ? เพราะไมอยากทุกข เมื่อไมอยากทุกขก็คิด
ทาํ ไมเลา ในสิ่งที่จะเปนทุกขฝนคิดทําไม กเ็ พราะความไมร ู รเู ทา ไมถ งึ การณ เมอ่ื เปนเชน
นน้ั จะเอาอะไรมาใหร เู ทา ถงึ การณ? กต็ อ งเอาสตปิ ญ ญามาใชก ท็ นั กบั เหตกุ ารณ ไมเ สีย
ไปหมดทั้งตัว ยังพอยื้อแยงไวไดบางในขั้นเริ่มแรกแหงการฝกหัด ตอไปก็ทันเหตุการณทุก
กรณี ตีชนะไดทุกวิถีทาง

วิธีปฏิบัติตอตัวเองดวยหลักศาสนาตองปฏิบัติอยางนี้ โลกถาตางคนตางมีเหตุผล
เปน เครอ่ื งดาํ เนนิ ไมว า กจิ การภายนอก ไมว า กจิ การภายใน อันใดทจ่ี ะเปนภัยตอตนและ
สว นรวม ตางคนตางคิด ตา งคนตา งเขา ใจ ตา งคนตางละเวนไมฝ าฝนด้ือดานหาญทาํ กัน
ซง่ึ เปน การชว ยกนั ทาํ ลายตนและสว นรวมใหเ สยี ไป

อนั ใดทเ่ี ปน คณุ ประโยชนแ กต นและสว นรวมแลว พยายามคดิ ทาํ ในสง่ิ นน้ั ๆ โลกก็มี
ความเจรญิ รงุ เรอื ง อยดู ว ยกนั มากนอ ยกม็ ีความผาสุกเยน็ ใจไปทวั่ หนา กนั เพราะมหี ลกั
ศาสนาเปน เครอ่ื งพาดาํ เนนิ ยอ มยงั บคุ คลใหเ ปน ไปเพอ่ื ความสงบสขุ ดวยการปฏิบัติ
ถกู ตอ งตามหลกั เหตผุ ล อนั เปน หลกั สากลทพ่ี าโลกใหเ จรญิ

ดงั นน้ั เรอ่ื งศาสนาจงึ เปน เรอ่ื งสาํ คญั สาํ หรบั การอยดู ว ยกนั น่หี มายถึงปจ จบุ ันทีอ่ ยู
ดวยกัน แมป จ จบุ นั จติ และตวั เราเองกม็ คี วามรม เยน็ เปน สขุ ไมเ ดอื ดรอ นวนุ วายแผ
กระจายออกไปสสู ว นรวม ตา งคนตา งกม็ คี วามรูสึกเชนนัน้ โลกกม็ คี วามผาสุก เมอ่ื หมาย

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๖

๒๗

ถึงอนาคตขางหนาของจิต จิตท่ีมเี หตุมีผลเปนหลกั ยดึ มธี รรมอยภู ายในใจแลว จะหาความ
เดือดรอนจากที่ไหน มาจากโลกใด เพราะจติ เปน ผผู ลติ ขน้ึ เอง เมื่อจิตไมผลิต จติ มอี รรถมี
ธรรมเปนเครื่องปองกันรักษาตนเองอยูแลว ไปโลกไหนก็ไปเถอะ ไมม คี วามทกุ ขร อ นท่ี
จะไปทาํ ลายจติ ใจของผนู น้ั ไดเ ลย

พูดตามหลักธรรมแลว จติ ทีม่ ีคณุ งามความดปี ระจาํ ใจ ยอมจะไมไปเกิดในสถานที่
จะไดร ับความทุกขความทรมาน เพราะ “กรรมประเภทนน้ั ” ไมมีจะผลักไสไปได มีแต
ความดคี อื กศุ ลกรรม เปนเครื่องพยุงจูงไปสูสถานที่ดี คติที่งามโดยลําดับ ๆ เทา นน้ั
อนาคตก็เปนอยา งนแ้ี ล

ผปู ฏบิ ตั ธิ รรม ผมู ธี รรมในใจ ผดิ กับบคุ คลที่ไมมีธรรมเปนไหน ๆ แมแ ตอ ยใู นโลก
เดยี วกัน เปน รปู รา งเหมอื นกนั กต็ าม แตค วามรคู วามเหน็ ความคดิ การกระทาํ ตา ง ๆ นน้ั
มีความผิดกันอยูโดยลําดับ ผลที่จะพึงไดรับจะไดเหมือนกันยอมเปนไปไมได ตองมีความ
แตกตางกนั อยูเ ชน นเี้ ปน ธรรมดาตั้งแตไหนแตไรมา

ฉะนั้น พระพุทธเจา จงึ ทรงสอนวา “กมมฺ ํ สตเฺ ต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรม
เปน เครอ่ื งจาํ แนกสตั วท ง้ั หลาย ใหม คี วามประณตี เลวทรามตา งกนั ” ไมนอกเหนือไปจาก
กรรม กรรมจึงเปนเรื่องใหญโตที่สุดของสัตวโลก ทําไมจึงใหญโต? เพราะเราตา งคนตา ง
เปน ผผู ลติ กรรมขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ดว ยกนั แมจะไมค ิดวา ตนสรางกรรมก็ตาม ผลดีชั่วก็เกิด
จากกรรมคอื การกระทําทกุ ราย จะหักหามไมไดเมื่อยังทํากรรมอยู

คาํ วา “กรรม” คืออะไร? แปลวา การกระทาํ เปน กลาง ๆ คดิ ดว ยใจเรยี กวา
“มโนกรรม” พดู ดว ยวาจา เรยี กวา “วจีกรรม” ทาํ ดว ยกาย เรยี กวา “กายกรรม” ใน
กรรม ๓ ประเภทน้ี เราเปน ผผู ลติ ผสู รา งอยตู ลอดเวลา แลวจะปดกั้นผลไมใหปรากฏดีชั่ว
ขึ้นมาไดอยางไร เมื่อการผลิตมีดีมีชั่วประจําตนอยู ธรรมชาตทิ เ่ี ราผลติ ขน้ึ มานแ้ี ล เปน เจา
อาํ นาจสาํ หรบั ปกครองจติ ใจ สนบั สนนุ หรอื จะบงั คบั จติ ใจใหไ ปเกดิ และอยใู นสถานทใ่ี ด
คติใดก็ได จะนอกเหนือไปจากผลแหงกรรมที่เรียกวา“วบิ าก” ซึ่งตนกระทําแลวนี้ไปไมได
ไมมีสิ่งใดมีอํานาจยิ่งไปกวาผลแหงกรรมที่ตนทํานี้ จะเปน เครื่องประคับประคอง หรอื เปน
เครื่องกดขี่บังคับตนในวาระตอไป

หลกั ศาสนาทา นสอนอยา งน้ี ทา นไมใหเชอื่ ทอ่ี ืน่ ยง่ิ ไปกวา ความเคลื่อนไหวดชี ว่ั ทาง
กายวาจาใจทเ่ี รยี กวา “กรรม” นเี้ ปน หลกั ประกนั ตวั อยูท่นี ี่ เพราะฉะนน้ั สง่ิ ทท่ี าํ ลายตวั และ
สง เสรมิ ตวั กค็ อื อนั นเ้ี ทา นน้ั ไมมอี ะไรมาทําลายและสง เสรมิ ได

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๗

๒๘

การคดิ การพดู การกระทํา ในทางที่ไมดี คอื การทาํ ลายตวั เอง การคดิ การพูด การ
กระทําในทางที่ดี คอื การสง เสรมิ บาํ รงุ ตนเอง การประกันตนเอง ไมใหตกไปในทางไมพึง
ปรารถนากม็ อี ยใู น “หลกั กรรม” นเ้ี ทา นน้ั ไมมีอะไรยิ่งไปกวานี้ เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไมค วร
กลวั สง่ิ โนนกลวั ส่ิงนโ้ี ดยหาเหตุผลไมได จะกลายเปนกระตายตื่นตูมทั้งที่ถือพุทธ อันเปน
องคพยานแหงความฉลาดแหลมคม

สิ่งที่นากลัวที่สุดก็คือ ความคดิ การพดู การกระทํา ที่เปนภัยแกตนเอง ไมว า จะใน
แงใ ดพงึ ทราบวา “นี้แลคือตัวพิษตัวภัยซึ่งกําลังแสดงออกกับกาย วาจา ใจของเรา ของ
ทา นอยเู วลาน”้ี ถาไมยอมรูสึกตัวแกไขใหมเสีย อนั นแ้ี หละจะเปน ตวั พษิ ภยั ทร่ี า ยกาจทส่ี ดุ
ใหโ ทษแกเ ราไมเ พยี งแตป จ จบุ นั น้ี ยงั จะเปน ไปในอนาคต จนหมดฤทธิ์หมดอํานาจของ
“กรรม” ทท่ี าํ ไวน แ้ี ลว ทุกขภัยตาง ๆ จึงจะหมดไปได

ผูเช่ือศาสนาจงึ ตอ งเชือ่ “หลักกรรมกับวบิ ากแหง กรรม” คือผลพึงติดตามมาโดย
ลาํ ดบั เราทุกคนมีใครนอกเหนอื ไปจากการทาํ กรรมได? ไมมี ตองทําดวยกันทุกคน คนมี
ศาสนาหรอื ไมม ศี าสนากท็ าํ “กรรม” กันทั้งสิ้น เพราะเปน หลกั ธรรมชาตแิ หง การกระทาํ
ซึ่งมีประจําตนอยูแลว และถูกตองตามหลักของศาสนาที่ทานสอนไวแลว กรรมมีอยูกับทุก
คน นอกจากจะเชื่อหรือไมเชื่อเทานั้น ซงึ่ กไ็ มมกี ารลบลา งกรรมนนั้ ได ทั้งกรรมทั้งผลแหง
กรรมไมมีทางลบลางได ตองเปนกรรมและเปนผลดีชั่วไปทุกภพทุกชาติ ไมมีอันใดนอก
เหนอื ไปจาก “กรรม” และ “วบิ ากแหง กรรม” ซึ่งเกิดจากการทําดีทําชั่วของตัวเอง จึงไม
ควรกลวั เรอ่ื งสมุ สส่ี มุ หา อนั หาเหตผุ ลไมไ ด ถา กลวั นรกกก็ ลวั บอ นรกทก่ี าํ ลงั สรา งอยเู วลาน้ี
ซง่ึ อยภู ายในจติ ใจเปน ตน เหตสุ าํ คญั นแ่ี หละ“บอ นรก”

สาเหตทุ จ่ี ะทาํ ใหไ ฟนรกเผากอ็ ยทู ใ่ี จน้ี ใหร สู กึ ตวั และมสี ตจิ ดจอ มปี ญ ญาพนิ จิ
พิจารณาแกไ ขเคร่อื งมอื ของตนทีก่ ําลังคิดผดิ และผลติ ยาพษิ หรอื ผลติ คณุ ธรรมขน้ึ มา
ภายในใจ ใหเ ลอื กเฟน ตรงน้ี และทาํ ตามความเลอื กเฟน ดว ยดแี ลว จะไมม อี ะไรเปน
พษิ เปนภัยแกสัตวโ ลกมีเราเปน ตนเลย

นแ่ี หละศาสนาจาํ เปน หรอื ไมจ าํ เปน ? ใหคิดที่ตรงนี้ ผูที่สอนก็คือผูที่รูเรื่องของ
กรรม รูเร่อื งผลของกรรมดว ยดีแลว ไมมีทแ่ี ยง คือพระพุทธเจา ทรงทราบทุกสิ่งทุกอยาง
ทั้งกรรมของพระองคและกรรมของสัตวโลก ทั้งผลแหงกรรมของพระองคและผลแหง
กรรมของสัตวโลกทั่วไตรโลกธาตุ ไมมีใครสามารถอาจเอื้อมที่จะรูไดเห็นไดอยางพระพุทธ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๘

๒๙

เจา จึงทรงประกาศความจริงนี้ออกมาเปน “ศาสนธรรม” ใหเ ราทง้ั หลายไดย นิ ไดฟ ง ได
ประพฤติปฏิบัติตามโดยไมมีอะไรผิด

ถา ไมฝ น ศาสนธรรมทท่ี า นสอนไวเ สยี อยา งเดยี ว โดยการกระทําในสิ่งที่ไมดีทั้ง
หลาย ผลจึงปนเกลียวกันกับความตองการ กลายเปน ความไมส มหวงั หรอื เปน ความทกุ ข
ขึ้นมา หลักใหญอยูที่ตรงนี้

โลกมเี ราเปน ตน ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ แมจะมีทุกขมากนอยก็พอมีที่ปลงที่วาง
ได เหมอื นกบั โรคทม่ี ยี าระงบั ไมปลอยใหเปนไปตามกําลังหรืออํานาจของโรคโดย
ถา ยเดยี ว ยอมพอมีทางหายได

การสรา งความดไี มเ ปน สง่ิ ทน่ี า เบอ่ื ไมเปนสิ่งที่นาเอือมระอา ไมเ ปน สง่ิ ทน่ี า เกลยี ด
ไมเ ปน สง่ิ ทน่ี า อดิ หนาระอาใจ เพราะสง่ิ ทง้ั หลายทเ่ี ปน ความสขุ ความสมหวงั ทง้ั มวล เกิดขึ้น
จากการสรา งความดเี ทานนั้ ไมไดเกิดขึน้ จากอะไร สรา งเทา ไรมเี ทา ไรขน้ึ ชอ่ื วา ความดี
แลว ไมเ ฟอ ไมเหมือนสิ่งภายนอกซึ่งมีทางเฟอได ถา มมี ากเขา จรงิ ๆ แตค นดมี มี ากเทา
ไรไมเ ฟอ ความดีมีมากเทาไรไมมีเฟอ ดเี ทา ไรยง่ิ มคี วามอบอนุ แนน หนามน่ั คงภายในใจ
ยิ่งมีความดีงามตอกันจํานวนมากเทาไรยิ่งอบอุนไปหมด ไมม คี าํ วา “เฟอ”

ผดิ กับส่ิงตาง ๆ ที่มีการเฟอได เชน “เงนิ เฟอ ” “คนเฟอ ” เราเคยไดเ หน็ ไหม?
เราเคยไดย นิ แต “เงนิ เฟอ ” สิ่งของมีมากจนลนตลาดก็เฟอ ขายไมไดราคา ตองขายลด
ราคาลงไปตามลาํ ดบั ๆ ทีนี้ “มนษุ ยเ ฟอ ” เราเคยไดย นิ ไหม?

เวลานม้ี นษุ ยก าํ ลงั เฟอ จะหาราคาํ่ ราคาไมไ ดแ ลว เพราะมีมากตอมาก ใครก็จะเอา
แตตัวรอดวาเปนยอดดี แลวสรา งความทกุ ขใหผูอน่ื มากมายเพอ่ื ความสขุ ของตัวเอง มีเทา
ไรเวลาน้ี มมี ากมายทเี ดยี วทม่ี คี วามเหน็ แกต วั มาก เหน็ แกไ ดม าก โลภมาก เพราะกเิ ลส
ตณั หามนั เจรญิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั สง่ิ ทใ่ี หม นั เจรญิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั กเ็ พราะไดร บั การสง เสรมิ เลย้ี งดู
อยางเหลือเฟอจน “เฟอ ” ซง่ึ เวลานก้ี าํ ลงั มมี าก นยิ มกนั มาก มีเต็มอยูทุกแหงทุกหน ซึ่ง
แตก อ นเรากไ็ มเ คยเหน็ ไอส ง่ิ สง เสรมิ ใหก เิ ลสตณั หาราคะมนั แสดงตวั ขน้ึ เปน เปลวเหมอื น
ฟนเหมือนไฟ ทกุ วนั นไ้ี ดเ หน็ กนั แลว

แตโลกก็ยินดีจะวายังไง ? ทุกขเทาไรก็ไมเห็นโทษของมัน ยังถือวาสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี
ถือวาดีอยูเรื่อย ๆ จนกระทั่งจะไมมีสติสตังเลยแทบจะเปนบา ก็ยังวาดีอยูเรื่อยไป แลว จะมี
ทางแกกันที่ตรงไหน? เมอ่ื ยงั มคี วามยนิ ดใี นความเปน บา อยเู ชน นน้ั แลว มันจะมีสติสตัง
เปนคนดีไดอยางไร? นแ่ี หละ “มนุษยเฟอ” ดูเอา เฟอ จนจะเปน บา กนั ท่ัวดินแดนทงั้ เขา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๙

๓๐

ทง้ั เรา เมื่อจิตใจที่เฟออยางนี้แลวมันก็ทําใหมนุษยเฟอดวย กอนที่มนุษยจะเฟอ จิตใจตอง
เฟอเสียกอน คือจิตใจไมมีคุณคา จิตใจไมมีราคา ถูกสิ่งสกปรกโสมมซึ่งรกรุงรังเขาไปทับ
ถมคลกุ เคลา เสยี หมด หุมหอหมด จนมองหา “ตวั จรงิ ” คือจิตไมเจอ แลวคณุ คา ของจิต
ดวงนี้จะมีมาจากที่ไหน

เมื่อมีแตของเฟอ ๆ เตม็ หวั ใจอยา งน้ี เวลาแสดงออกทางกายวาจากริ ยิ ามารยาทก็
เปน “มนุษยเฟอ” เฟอไปตาม ๆ กันหมด แลวคุณคาของมนุษยนั้นจะมีไดที่ไหน? เมอ่ื
เปน เชน นแ้ี ลว โลกนม้ี นั นา ดนู า ชมและนา อยทู ต่ี รงไหน ? ถาไมอยูกับมนุษยที่ทําตัวใหดีมี
คณุ คา สาํ หรบั ตวั มันกม็ ีเทา นัน้ ถา มนษุ ยเราทาํ ใหเ ฟอแลว จะไมม ีโลกอยแู นน อน แลว จะ
ไปตาํ หนใิ คร กม็ นุษยเ ปนผทู าํ ใหเ ฟอเสยี เอง ใครไมเ ห็นกด็ ูเอา พูดยอ ๆ แตเ พยี งเทาน้ีก็
พอจะทราบไดวามนุษยเฟอเปนอยางไร

เราไมไ ปตาํ หนคิ นอน่ื เรากเ็ ฟอ ถา ทไ่ี หนไมด สี าํ หรบั เรา เราก็เฟอเหมือนกัน นเ่ี รา
เอาหลักธรรมของพระพุทธเจามาทดสอบ ทดสอบพวกเราที่กําลังเฟอ ๆ อยเู วลานแ้ี หละ
ใหพยายามแกสิ่งที่เฟอออก ส่ิงทเี่ ฟอนัน่ แหละคือสิ่งทที่ ําลายคุณสมบตั ิของเรา คุณคาของ
มนษุ ยเ รา พยายามแกตรงนี้ที่กําลังเฟอนี้ ใหก ลบั เปน ความดขี น้ึ มา

เอา รน เขา มาหานกั ปฏบิ ตั เิ รา ความขเ้ี กยี จนน้ั แหละคอื ความเฟอ แกมันออก
ความขเ้ี กยี จ ความออ นแอ มนั พาใหเ ราเฟอ จงชะลางมันออกไป ใหมคี วามเขม แขง็ มี
ความอตุ สา หพ ยายามเขา มาแทนท่ี ดว ยความเชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม เชื่อพระพุทธเจา

เอา เปน ก็เปน ตายกต็ าย เร่ืองความเกิดกับความตายนั้นมันเปนของคกู นั อยูเ สมอ
จะแยกมันออกจากกันไปไหน เพราะเราเกดิ มากบั ความตาย เราไมไ ดต ายมากบั ความเกดิ
เมื่อเกิดแลวมันตองมีตาย ถาแกไขไดแลว ตายแลวไมตองเกิดอีก เพราะฉะนน้ั จงึ วา
เกดิ มากบั ความตาย ไมใชตายมากับความเกิดนะ

ดังพระพทุ ธเจาท้งั หลายและสาวกทั้งหลายทานตายแลว ทา นไมเ กิดอีก ผบู รสิ ทุ ธ์ิ
แลวตายแลวไมตองกลับมาเกิดอีก แตเกิดแลว กบั ความตายจะตอ งตายเปน คกู ัน พระพุทธ
เจากต็ องตายท่เี รยี กวา “ปรนิ พิ พาน” ความจรงิ คอื ธาตขุ นั ธส ลายเชน เดยี วกบั โลกทว่ั ๆ
ไปนน่ั เอง เพราะตน เหตมุ นั มอี ยแู ลว จะไปลบผลมันไมได ผลคอื เกดิ ขน้ึ มาแลว ความตาย
จะตองมีเปนธรรมดา นี่ตนเหตุคือความเกิดขึ้นมา ผลคอื ความตาย จะแยกกันไมได มัน
ตองมีเปนคูกันเสมอ น่แี หละคูแ หง ความเกิดตายของโลกที่มีกิเลสฝงเช้อื อยูภายในใจ เปน
อยางนี้

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐

๓๑

เราสเู พอ่ื ชยั ชนะ จิตไมตาย แตจิตถูกจองจําทําเข็ญ ยงุ กนั ไปวนกนั มาจนเปน “นกั
โทษ” ทั้งดวง หาหลกั หาเกณฑไ มไ ด เพียงแตฝกซอมดัดแปลงตัวเองออกจากสิ่งที่สกปรก
รกรงุ รงั ก็ยังแยกไมได เพราะความออ นแอ แมสติปญญามีอยูก็ไมผลิตขึ้นมาเพื่อแกตน
การแกตนแกดวยสติ แกดวยปญญา แกด ว ยศรทั ธาความเพยี ร พระพุทธเจาเคยแกอ ยางน้ี
มาแลว กอ นจะไดผ ลและนาํ ธรรมมาสง่ั สอนโลก พอไดล มื ตามองเหน็ บญุ เหน็ บาปบา งตาม
กาํ ลงั

สว นเราเอาอะไรมาแก เอาความขี้เกียจมาแกก็เพิ่มเขาไปอีก เพิ่มโทษเขาไปเรื่อย ๆ
ติดโทษประมาณเทา น้ันปเทานี้ป แทนที่จะไดออก กลับเพิ่มโทษขึ้นมาเรื่อย ๆ มันก็ไมได
ออกจากคุกจากตะรางสักที เลยตายอยใู นเรอื นจาํ นด่ี แี ลว เหรอ?

“เรอื นจาํ ” ในทน่ี ห้ี มายถงึ “วฏั จกั ร” คอื ความหมนุ เวยี นเปลย่ี นแปลงของโลก
เกิดตาย อนั ฉาบทาไปดว ยความทกุ ขทรมาน ซึ่งไดแกพวกเราเอง แลว เราจะเอาอะไรมา
แก? เอาความออนแอมาแกมันก็จม เพิ่มโทษเขาอีก ตองเอาความเขมแข็งความขยันหมั่น
เพยี ร ความอตุ สา หพ ยายาม สติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เรงลงไป เอา ตายกต็ าย โลกน้ี
มีความเกิดความตายเทา นัน้ ไมมีใครจะนอกเหนือกวากนั สิ่งที่จะนอกเหนือ คือสติปญญา
ศรัทธา ความเพยี รของเรา ทจ่ี ะนาํ ตวั เราใหห ลดุ พน ไปไดใ นระยะใดกต็ าม ไดช อ่ื วา เราได
ชัยชนะเปนพัก ๆ ไป นแ่ี หละทจ่ี ะทาํ ใหเ รามคี ณุ คา เอาตรงน้ี ชนะกันตรงนี้ ซง่ึ เปน ความ
ชนะเลิศเหนือกเิ ลสสมมตุ ิท้ังปวง

ชนะอะไรก็เคยชนะมาแลว แตชนะตัวเองคือชนะกิเลสของตัวเอง ยงั ไมเ คยเลย เอา
เอาใหชนะใหไดเปน พัก ๆ ไป จนกระท่งั ชนะไปโดยสิ้นเชิงไมมีส่ิงใดเหลอื นั่นแหละ การ
ชนะอะไรหรอื ผอู น่ื ใดคณู ดว ยลา น ยงั ไมจ ดั วา ชนะเลศิ ประเสรฐิ เหมอื นชนะกเิ ลสของ
ตนคนเดยี ว การชนะกเิ ลสภายในใจของตนเพยี งคนเดยี วเทา นน้ั ผนู น้ั แลเปน ผู
ประเสรฐิ สดุ ในโลก

นั่นฟงซิ ชนะสิ่งอื่นไมมีอะไรประเสริฐเลย นอกจากจะเพิ่มโทษเพิ่มกรรมเพิ่มเวร
ใหยุงเหยิงติดตอกอแขนง เกี่ยวโยงกันเปนลูกโซไปไมมีทางสิ้นสุดลงไดเทานั้น แตก ารชนะ
กิเลสของตนดว ยสตปิ ญญาศรัทธาความเพียรนี้ เปน ผปู ระเสรฐิ ไมตองกลับมาแพอีกแลว
มหี นทางเดยี วเทา นน้ั ตาย ตายเฉพาะหนเดยี ว เฉพาะอัตภาพที่มีอยูนี้ อนั เปน ตน เหตทุ จ่ี ะ
ใหต ายอยเู ทา นน้ั นอกนั้นไมตองมากอกําเนิดเกิดเที่ยวหาจับจองปาชาที่ไหนอีก เราเคยจบั
จองปา ชา มานานแลว เรอ่ื งปา ชา นม้ี นั ควรจะเบอ่ื กนั เสยี ที เกิดที่ไหนก็จองที่นั่นแหละ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๑

๓๒

สัตวโลกทุกตัวสัตวมีแต “นักจองปาชา” กันทั้งนั้น เกิดแลวตองตาย ตายแลว เอา
ปา ชา ทไ่ี หน? กเ็ อาตัวของเราเองเปนปา ชา มันมีดวยกันทุกคน เราทําไมจะขยนั จองนกั
จองปา ชา มนั ดหี รอื ? คนและสัตวทนทุกขจนถึงตายไป ไมเข็ดไมหลาบที่ตรงนี้จะไปเข็ด
หลาบทต่ี รงไหน? อะไรมาใหท กุ ขใ หภ ยั แกเ รา ถา ไมใ ชเ รอ่ื งของความเกดิ ความตาย
เทา นน้ั เปน ทกุ ขเ ปน ภยั ในระหวางทางก็เปนทุกขในธาตุในขันธ ความหวิ โหยโรยแรง
ความทุกขรอนตาง ๆ มันเปน อยูในธาตุในขนั ธน ้ี ไมใชเปนอยูทีภ่ ูเขาน่นี า ไมไดอยูใน
อากาศ ไมไดอยูที่ตนไม มนั อยใู นบคุ คลคนหนง่ึ ๆ สตั วต วั หนง่ึ ๆ นเ้ี ทา นน้ั กองทุกขรวม
แลวมนั อยูท่เี รา เราจะไปคดิ วา “อยทู น่ี น่ั จะดี อยทู น่ี จ่ี ะดี” ถา ธาตขุ นั ธม นั เปน ภยั อยู
แลวหาอะไรดีไมได ถา จติ ยงั เปน ภยั อยแู ลว หาอะไรสขุ เจรญิ ไมไ ด ตองแกไขที่นี่(จติ )
ดบั กันทน่ี ี่ เอานาํ้ ดบั ดับกันทีน่ ี่ นาํ้ คอื นาํ้ ธรรม ดับลงที่นี่แลวก็เย็น เยน็ แลว กส็ บาย
หายโศกเศรา เลกิ กนั เสยี ทกี ารจบั จองปา ชา

นแ่ี หละพระพทุ ธเจา ทา นสอนศาสนา สอนจนถึงที่นี่ การดาํ เนนิ ทจ่ี ะใหม คี วามสขุ
ความสบาย กใ็ หด าํ เนนิ ไปตาม “สมั มาอาชวี ะ” โดยสมาํ่ เสมอ ภายนอกภายใน

สมั มาอาชวี ะภายใน กบ็ าํ รงุ เลย้ี งจติ ของตนดว ยศลี ดว ยธรรม อยาเอายาพษิ เขามา
แผดเผาจติ ใจ มีอารมณที่ไมพอใจเปนตน เขา มารบกวนจติ ใจ เผาลนจติ ใจใหเ ดอื ดรอ นขนุ
มัว ก็เปนความชอบ ชอบ ชอบไปตามลําดับ จนกระทั่งจิตไปถึงความชอบธรรมโดย
สมบรู ณแ ลว กผ็ า นไปได น่ี

การแสดง “สมั มาอาชีวะภายนอก” ไมคอยมีเวลาเพียงพอ
เอาละ การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรแกเ วลา ขอยุติเพียงเทานี้

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๒

๓๓

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙

เลห เ หลย่ี มของกเิ ลส

ที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติผูรักษาตั้งแตศีลอุโบสถขึ้นไปจนถึงเณรถึงพระ ไมให
นง่ั ใหน อนบนทน่ี อนอนั สงู และใหญภ ายในยดั ดว ยนนุ และสาํ ลี นน่ั ทา นทรงกลา ววา ผู
ปฏบิ ตั ิธรรมจะมคี วามประมาท เพลนิ ในการหลบั นอนจนเกนิ ไปยง่ิ กวา ทาํ ความ
พากเพียร พระองคทรงมีอุบายหามทุกแงทุกมุม ซง่ึ จะเปน ทางเพม่ิ พนู กเิ ลสทง้ั หลาย
ทรงพยายามชวยเหลือตัดหนทางที่จะเพิ่มพูนกิเลสของผูปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ใน
บรรดาท่ีรักษาศลี ตงั้ แตศลี ๕ ศลี ๘ ขึ้นไปถึงศีล ๒๒๗ ตามขั้นตอนของผูรักษาศีลนั้น


แมธรรมก็ไมมีธรรมขอใดที่จะสอนใหผูปฏิบัติมีความประมาทนอนใจ มีแตสอน
ใหมีสติใหมีปญญา ความระมัดระวงั ใหม คี วามพากเพยี รความอตุ สา หพ ยายาม ใหเ ปน
นักตอสูอยูตลอดเวลา ไมเ คยปรากฏในบทใดบาทใดวา พระองคท รงสอนใหล ดละความ
พากเพยี รและออ นแอในการงานทช่ี อบทง้ั หลาย

สอนฝา ยฆราวาสกส็ อนใหม แี ตค วามขยนั หมน่ั เพยี รทง้ั นน้ั เราจะเหน็ ไดใ นบท
ธรรมวา อฏุ ฐานสมั ปทา ใหถงึ พรอมดวยความขยนั หมน่ั เพียรในกิจการงานท่ีชอบ
อารักขสมั ปทา เมอ่ื แสวงหาทรพั ยส มบตั มิ าไดด ว ยความชอบธรรมแลว ใหพ ยายาม
เก็บหอมรอมรบิ อยา ใชส รุ ยุ สรุ า ย กัลยาณมิตตตา ใหร ะมดั ระวงั อยา คบคนพาล
สนั ดานชว่ั ใหค บเพอ่ื นทด่ี งี าม ระวังพวกปาปมิตรจะเปน เหตใุ หเ สยี ได เพราะคนเรา
เมื่อคบกันไปนาน ๆ ยอมมีนิสัยกลมกลืนไปในรอยเดียวกันได ทั้งคนดีหรือคนชั่ว มี
ทางเปนไปไดทั้งสอง คบคนชว่ั กเ็ ปน คนชว่ั ไปได คบคนดีก็เปนคนดีไปได สมชีวิตา ให
เลย้ี งชพี พอประมาณ อยา สรุ ยุ สรุ า ยหรอื ฟงุ เฟอ เหอ เหมิ ลมื เนอ้ื ลมื ตวั

การเกบ็ ทรพั ยเ ปน สง่ิ สาํ คญั ใหร เู หตผุ ลทค่ี วรเกบ็ เหตผุ ลทค่ี วรจา ย นน่ั นา ฟง
ไหม ทา นสอนพวกเราทเ่ี ปน นกั สรุ ยุ สรุ า ยนะ มีจุดไหนที่พระพุทธเจาทรงสอนใหคนมี
ความลมื ตวั ไมมี เพราะฉะนน้ั คาํ วา ประหยดั มัธยัสถ จึงเปนหลักประกันการครองชีพ
ของบุคคลทั่วไปตลอดถึงผูปฏิบัติ ความไมลืมตัวคือความมีสติปญญาเปนเครื่องรักษา
ตวั นน่ั เอง สมบัติมีมากมีนอยใหมีความประหยัดความมัธยัสถ ใหร จู กั ใชส อยใหเ กดิ
ความสขุ บรรดาสมบตั ิเงนิ ทองมมี ากนอ ยอยาใหเ ปน ขา ศกึ แกตน เพราะความลมื ตวั นน้ั
เลย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓

๓๔

นเ่ี ทศนส อนฆราวาสทา นสอนอยา งน้ี และเขากันไดทั้งฝายพระดวย เพราะธรรม
เปน กลาง ๆ ใชไดทั่วไป แลว แตจ ะยดึ มาปฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมกบั ตนในธรรมขน้ั ใด หรอื
จะใหเปนไปตามจิตใจของผูปฏิบัติขั้นใดไดทั้งนั้น

เวลาสอนพระยิง่ มคี วามเขม แข็งมากข้นึ ไมใ หม ีความประมาทอุบายวธิ ีท่ีจะกนั้
ความรว่ั ไหลเขา มาแหง กเิ ลสทง้ั หลาย เพราะเทาทมี่ ีอยูน ้กี ็มากตอมากจนลน หวั ใจ ใน
บางเวลาตองระบายออกทางกิริยา จนเปน สง่ิ นา กลวั มาก และพยายามฉุดลากมันออก
ยากยงิ่ กวา สง่ิ ใดอยูแลว ไมมีอันใดท่ีจะเหนียวแนนยิ่งกวากิเลสภายในจิตใจของสัตว วิธี
ถอดถอนกิเลสนี้ก็ตองลําบากยากยิ่งกวาถอดถอนสิ่งใด ทา นจงึ สอนพยายามระมดั ระวงั
ไมใหกิเลสที่ยังไมมีหลั่งไหลเขามา ที่มีอยูแลวก็ใหพยายามรื้อถอนมันออกดวยความ
พากเพยี รความอตุ สา หพ ยายาม ดวยความขยัน ความเฉลยี วฉลาด ไมใ หน อนใจกบั
กิเลสชนิดใดทั้งสิ้น ใน อปณณกปฏิปทา ทท่ี า นสอนไวส าํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ เฉพาะอยางยิ่ง
คือสอนพระ อปณณกปฏิปทาคือการปฏิบัติไมผิด ปฏบิ ตั โิ ดยความสมาํ่ เสมอ คือ

ตั้งแตปฐมยามไปใหประกอบความเพียร จะเดินจงกรมก็ไดจะนั่งสมาธิภาวนาก็
ได พอถึงมัชฌิมยามก็พักผอนนอนหลับ พอปจฉิมยาม ก็ตื่นขึ้นเดินจงกรมนั่งสมาธิ
ภาวนาเรอ่ื ย ๆ ไป ตอนกลางวันก็ทํานองเดียวกัน หากจะมีการพักผอนบางในตอน
กลางวันก็พักได แตตองระมัดระวังใหปดประตู รักษามารยาทในการพักนอน ทานสอน
ไวโ ดยละเอยี ด แตอธิบายเพียงยอ ๆ เทา นน้ั การปฏบิ ตั โิ ดยสมาํ่ เสมอเชน นช้ี อ่ื วา
อปณณกปฏิปทา

ผทู จ่ี ะรบี เรง ยง่ิ กวา นใ้ี นบางกาลกย็ ง่ิ เปน ความชอบยง่ิ ขน้ึ ไป แตห ยอ นกวา นน้ั
ทานไมไดสอน วา ใหห ยอ นกวา นไ้ี ด กินแลวอยากหลับอยากนอนเมื่อใดก็นอนเอาตาม
ใจชอบเถอะ อยากกินอยากขบอยากฉันอะไรก็ฉันไปเถอะเลี้ยงไปเถอะ ตถาคตไดตรัสรู
ดว ยวธิ นี แ้ี หละ เรอ่ื งของธาตขุ นั ธน เ้ี ลย้ี งใหม นั มคี วามอม่ิ หนาํ สาํ ราญใหม คี วามบรบิ รู ณ
แลว เอาไปแขงหมูตัวกําลงั จะข้ึนเขยี ง นี่ทา นไมไดว า

สาํ คญั ทห่ี ลอ เลย้ี งจติ ใจ นาํ ธรรมเขา มาหลอ เลย้ี งจติ ใจใหม คี วามชมุ เยน็ การ
หลอ เลย้ี งจติ ใจดว ยอรรถดว ยธรรมนม้ี คี วามชมุ เยน็ จนกระท่งั รา งกายกพ็ ลอยมีความ
ผาสุกไปดวยใจที่เปนหลักใหญของกาย แตการหลอเล้ยี งรา งกายโดยไมเ กี่ยวของกบั
ธรรมเลยนน้ั ไมผ ดิ กบั ทเ่ี ขาเลย้ี งหมไู วส าํ หรบั ขน้ึ เขยี ง เพื่อหอมกระเทียมจะไดเปน
ญาติกันสนิทดี ถาใครตองการผูกญาติมิตรอันสนิทกับหอมกระเทียมละก็ใหเรงการกิน
การนอนความขเ้ี กยี จเขา ใหม าก มีหวังไดขึ้นเวทีคลุกเคลากับหอมกระเทียมโดยไม
สงสัย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔

๓๕

ศาสนธรรมทป่ี ระทานไวน น้ั จงึ หาทแ่ี ทรกหาทค่ี ดั คา นไมไ ด ไมว า จะเปน ธรรมขน้ั
ใด อุบายวิธีทรงสั่งสอนไวเพื่อปดกั้นกิเลส เพื่อขับไลกิเลส ไมมีอุบายของผูใดที่จะมี
ความฉลาดแหลมคมย่ิงกวาอบุ ายของพระพุทธเจา ท่ที รงนํามาสง่ั สอนสตั วโลก เพราะ
การขบั ไลก เิ ลส การหกั หา มใจทก่ี าํ ลงั มกี เิ ลสครอบงาํ พระพุทธเจาไดทรงดําเนินมาแลว
จนไดผลเปนที่พอพระทัยถึงขั้นศาสดา เม่ือไดท รงประสบพบเหน็ มาดวยขอปฏบิ ัตหิ รือ
อบุ ายใด พระองคก ท็ รงนาํ ขอ ปฏบิ ัตหิ รอื อุบายนนั้ ๆ มาสง่ั สอนโลก ดวยความถูกตอง
แมนยาํ ไมผิดพลาดคลาดเคล่ือน ถาปฏิบัติตามแนวทางที่พระองคทรงแสดงไวแลว
เรยี กวา ดาํ เนนิ ตามหลกั มชั ฌมิ า คอื เหมาะสมอยางยิง่ กับการแกกเิ ลสทุกประเภท ดว ย
อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ตามขัน้ ของกเิ ลสท่ีหยาบละเอยี ด

เพราะคาํ วา มชั ฌมิ านน้ั เหมาะสมกบั การแกก เิ ลส โดยทางสตปิ ญ ญาศรทั ธาความ
เพียร ซึ่งอยูในองคมรรคของมัชฌิมาที่ประทานไวแลว กเิ ลสประเภทหนาแนน หรอื
เหนยี วแนน แกน แหง วฏั ฏะกต็ อ งทาํ ใหห นกั มอื เชน เดยี วกบั เขาถากไม ไมที่ตรงไหนคด
งอมากก็ตองถากใหหนักมือเพื่อใหตรง ถาที่ไหนตรงอยูแลวก็ไมตองถากมากมายนัก ที่
ไหนตรงอยูแลวจะถากมากก็เสียไม ถากพอไดสัดไดสวนก็พอแลว

เรอ่ื งกเิ ลสนก้ี เ็ ชน เดยี วกนั บางขั้นบางตอนหรือบางประเภทของกิเลส หรอื บาง
เวลาทก่ี เิ ลสแสดงออกมาอยา งผาดโผนรนุ แรงมาก ตองใชความเพียรอยางแข็งแกรง
และแกกันอยางหนัก จะออนแอทอถอยไมได ถงึ จะพอกนั หรือเหนอื กวากิเลสประเภท
นน้ั ๆ ถึงจะยอม ถึงคราวจะทําอยางนี้ก็ตองทํา จะผดั เพย้ี นเลอ่ื นเวลาวา เชา สายบา ย
เย็นอยูไมได ความเพยี รชนดิ เอาเปน เอาตายเขา วา กนั เชน นท้ี า นกเ็ รยี กวา มชั ฌมิ า
สาํ หรบั กเิ ลสประเภททแ่ี สดงขน้ึ เฉพาะกาลนเ้ี วลานเ้ี กดิ ขน้ึ ลกั ษณะน้ี เราตอ งใชว ธิ กี าร
แบบนถ้ี งึ จะทนั กัน หรอื สามารถปราบปรามกนั ไดด ว ยวธิ กี ารน้ี วิธนี เี้ รียกวามชั ฌิมาของ
กเิ ลสประเภทนเ้ี ชน เดยี วกนั

คาํ วา มชั ฌมิ าจงึ มหี ลายขน้ั เปน คปู รบั กนั กบั กเิ ลสประเภทตา ง ๆ เชน เดยี วกบั
เครื่องมือทํางานของนายชางตองมีหลายชนิดดวยกัน เพื่อสะดวกแกงานและควรแกการ
ปลกู สรา งนน้ั ๆ กิเลสประเภทหยาบก็ตองใชมัชฌิมาแบบแผลงฤทธิ์ใหทันกันกับกิเลส
ประเภทหยาบนน้ั จงึ เรยี กวา มชั ฌมิ า สว นหยาบ สวนกลางกใ็ ชสตปิ ญ ญาศรัทธาความ
เพียรแหงมัชฌิมาใหเปนไปตามนั้น เพอ่ื ใหก เิ ลสหลุดลอยไปดว ยขอปฏิบัติน้นั ๆ นี่ก็
เรยี กวา มชั ฌมิ าสาํ หรบั กเิ ลสขน้ั นน้ั ถึงขั้นละเอียดสติปญญาก็ตองละเอียด ความเพยี รก็
ตองละเอียดลออ นั่งอยูที่ใด ยืนเดินอยทู ใ่ี ดอยใู นอิริยาบถใด กเ็ ปน ความเพยี รอยใู นทา
นน้ั ๆ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕

๓๖

ไมใ ชว า เดนิ จงกรมจงึ จะเรยี กวา เปน ความเพยี ร นง่ั สมาธจิ งึ จะเรยี กวา เปน ความ
เพียร นั่งอยูก็ตาม ยืนอยกู ต็ าม เดินอยูก็ตาม ไมว า อริ ยิ าบถใด ๆ เวน แตห ลบั เทา นน้ั
ตองเปนความเพียรโดยตลอด ไมมีระยะใดที่จะไมมีความเพียร ดวยสติปญญาซึ่งเปน
อัตโนมัติเกิดขึ้นกับตนเพื่อแกกิเลสซึ่งมีอยูภายใน นเ่ี รยี กวา มชั ฌมิ าขน้ั ละเอยี ด คือสติ
ปญ ญาไหลรนิ อยดู ว ยความคดิ ตลอดเวลา เชน เดยี วกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ทไ่ี หลรนิ อยทู ง้ั หนา
แลง หนา ฝนไมม เี วลาเหอื ดแหง ไหลซมึ อยตู ลอดกาลเวลาฉะนนั้ การแกก เิ ลสประเภทน้ี
กเ็ ปน เชน นน้ั เหมอื นกนั สติปญญาก็ละเอียด พนิ จิ พิจารณากนั อยา งละเอียดอยภู ายใน
นเ่ี รยี กวา มชั ฌมิ า

การปฏิบัติ ถาปฏิบัติไมถูกตองเหมาะสมตามวิธีการของการแกกิเลสประเภท
นน้ั ๆ ก็ไมไดผล ขณะกเิ ลสกาํ ลงั หนา ๆ ความขี้เกียจมันตองมีมากขึ้น ความออนแอ
มันก็ตองมาก ความมาก ๆ เหลา น้ลี ว นแตเ ปน กองทพั ของกิเลสดว ยกัน เมื่อเปนเชนนี้
ความเพียรก็ตองดอยถอยกําลังแลวมันจะเขากันไดอยางไร กิเลสหนานั่นเองมันถึงทํา
ใหคนขี้เกียจและมีทุกขมาก ถา กเิ ลสเบาบางบา งความทกุ ขก น็ อ ยลง ความพากเพียรก็
ไหวตวั และตง้ั หนา ทาํ งานเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยไปโดยลาํ ดบั ไมอ ยดู ว ยความอบั จนแบบ
คนขค้ี กุ

ตอนท่จี ะทาํ กเิ ลสท่ีกาํ ลงั หนา ๆ ใหเ บาบางลงไปจะทาํ ดว ยวธิ ใี ด ความเพยี ร
เพียงจะนง่ั แค ๑๐ นาทกี ็เอาละ เทา นพ้ี อแลว ถาขืนทํามากกวานี้จะผิดหลักมัชฌิมา ทํา
๑๐ นาทีนี้ถูกตองกับมัชฌิมาแลว ซ่ึงเปน อุบายของกเิ ลสมนั หลอกเราตางหากวาพอ
แลว ๆ นี่คือมัชฌิมาของกิเลสไมใชมัชฌิมาของธรรม นกั ปฏบิ ตั จิ งึ ควรทราบไวแ ละตน่ื
ตัววาถูกหลอกแลว เพราะอบุ ายแกก เิ ลสไมท ราบวา เปน อยา งไรบา งไมป รากฏ เมอื่ เปน
เชน นก้ี ม็ แี ตเ รอ่ื งกเิ ลสใหอ บุ ายโดยถา ยเดยี ว เขาจะเอาอบุ ายแหง ธรรมยน่ื ใหเ รานน้ั อยา
หวงั ถา เปน มดี พรา เขากย็ น่ื ทางปลายมาใหเ รา เขาจะจบั ทางดา มไวแ ลว ฟน เราโดย
ถา ยเดยี ว

ทาํ ความเพยี รกก็ เิ ลสเปน คนสง่ั ใหท าํ ไมใ ชธรรมเปนผสู ั่งใหท ํา นั่งทําสมาธิ
ภาวนากใ็ หก เิ ลสเปน ผสู ง่ั ใหท าํ น่ังสมาธิ เอา นง่ั เสยี ประมาณ ๑๐ นาทเี อาละนะ เดี๋ยว
วนั พรงุ นจ้ี ะเหนอ่ื ยลาํ บากลาํ บน นง่ั มากกวา นส้ี ขุ ภาพจะไมด เี ดย๋ี วเกดิ โรค จะอดนอน
ผอนอาหารบางกเ็ ดี๋ยวสุขภาพทรดุ โทรมนะจะวาไมบ อก นน่ั รไู หมเหน็ ไหมอบุ ายของ
กเิ ลสมนั หลอกนะ อะไร ๆ ก็ตองทําตามกิเลสหลอก ทีนี้กิเลสมันจะหลุดลอยไปได
อยางไร ก็อุบายของมันเพื่อสงเสริมมันเอง ไมใชอุบายของธรรมเพื่อกําราบปราบปราม
มนั ใหห ายซากลงไปน่ี

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖

๓๗

เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ผลกาํ ไรชยั ชนะ จึงตองใชอุบายของธรรมตามหลักที่พระพุทธ
เจา ทรงสง่ั สอน ไมเ อาอบุ ายของกิเลสดังทก่ี ลาวมาน้ีมาใชม าทําความพากเพียร จะเปน
การเพิ่มกิเลสโดยไมรูสึกตัว เพราะเหตใุ ด กเ็ พราะเวลานง่ั ทาํ ความเพยี รเรากค็ อยนบั
เอาเวลาํ่ เวลา วา เรานง่ั ไดเ ทา นน้ั นาทเี ทา นน้ี าที นเ่ี ปน ความเพยี รของเรา แลว กเิ ลสมนั
หายไปสักกี่ตัวละ พอเคลื่อนที่ขยับ ๆ บางสักตัวไหม ไมป รากฏเลย เรากไ็ ดแ ตเวลาํ่
เวลาวา นง่ั ไดเ ทา นน้ั เทา น้ี เวลาเทา นน้ั นาทเี ทา นช้ี ว่ั โมง สวนกิเลสเพียงหนังถลอกปอก
เปก บา งเพราะความถไู ปไถมาไมมเี ลย

หลงั จากนง่ั นบั เวลานาทแี ลว กเ็ อะอะขน้ึ มาวา เอ นง่ั เวลานานขนาดนไ้ี มเ หน็ ได
เรอ่ื งไดร าวอะไรน่ี จติ ใจไมเ หน็ สงบ จะนั่งไปทําไม นี่ก็เปนอุบายของกิเลสหลอกย้ําเขา
ไปอีก สว นอบุ ายของธรรมทจ่ี ะทาํ ลายกเิ ลสเลยไมม ี นแ่ี หละทเ่ี ราเสยี เปรยี บกเิ ลสนะ
เสยี เปรยี บอยา งนเ้ี อง อุบายที่คิดในแงใดก็ตามถาสติปญญาไมทันกลมายาของกิเลส
ตองถูกตมถูกตุนอยูร่ําไป

การพดู ทัง้ นไี้ มไ ดพดู ดวยเจตนาจะตําหนติ เิ ตยี นทานผูหนึ่งผูใ ด มิไดตําหนิ
ศาสนาหรอื ตาํ หนอิ รรถตาํ หนธิ รรมแตอ ยา งใด แตเรื่องของกิเลสตองตําหนิอรรถตําหนิ
ธรรม เพราะกเิ ลสกบั ธรรมเปน ขา ศกึ กนั สาํ หรบั บคุ คลนน้ั ไมม คี วามรสู กึ วา กเิ ลสพา
ตาํ หนธิ รรม เชน วา นง่ั เทา นน้ั ชว่ั โมงเทา นน้ี าทไี มเ หน็ ไดเ รอ่ื งไดร าวอะไรเลย ทาํ ไปเสยี
เวลาํ่ เวลาเปลา ๆ ทําไปทําไม หยดุ เสยี ดกี วา นน่ั ลว นแลว แตเ ปน เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั หมด
ทีนี้ตัวเองก็อยูในกรอบของกิเลสหาทางออกไมได เพราะอบุ ายไมทนั มัน เนื่องจากกิเลส
มเี ลห เ หลย่ี มรอ ยสนั พนั คมไมย อมลม จมเพราะเรางา ย ๆ ถา ไมเ อาจรงิ ๆ จัง ๆ กับมัน
ใหเ ราทราบไวว า ลว นแลว แตเ ปน อบุ ายของกเิ ลสทจ่ี ะพอกพนู ใจเราและทาํ ลายเรา โดย
การเพิ่มกําลังของตนตามลําดับ ดวยอบุ ายหลอกเราใหห ลงเช่อื อยา งสนิทติดจม

ผูปฏิบัติพึงคํานึงศาสนธรรมคือคําสั่งสอนของพระพุทธเจา เฉพาะอยางยิ่งพึง
คาํ นงึ ถึงพระพุทธเจาผูท รงเปนบรมศาสดา ทา นเปน บรมศาสดาไดเ พราะเหตใุ ด ได
เพราะความนบั เวลาํ่ เวลา ไดเพราะความทอถอยออนแอ ไดเ พราะความโงเ ขลาเบา
ปญญา หรอื ไดเพราะความขยันหมน่ั เพียร ไดเ พราะความอดความทน ไดเ พราะความ
ฉลาดแหลมคม พระพทุ ธเจา ไดเ ปน ศาสดาดว ยการฆา กเิ ลสตายไปโดยลาํ ดบั ๆ จนไมมี
เหลอื ในพระทยั ทา นฆา ไดโ ดยวธิ ใี ด ทา นปราบกเิ ลสดว ยวธิ ใี ด ดว ยความเพยี รนน่ั เอง

ฟง แตว า ความเพยี รเถดิ เพียรอยางไมถอย ติดตามเรื่อย ๆ กิเลสออกชองไหน
ตามรตู ามเหน็ ไปเรอ่ื ย ๆ ความโลภเกิดขน้ึ ตดิ ตามความโลภใหร วู า มนั เกดิ ขน้ึ เพราะ
เหตไุ ร ที่มันไปโลภไปโลภอยากไดอะไร อยากไดไปทําไม เทา ทม่ี อี ยเู พราะความโลภไป
เทย่ี วกวา นเอามากห็ นกั เหลอื กาํ ลงั อยแู ลว ยังหาที่ปลงวางไมไดนี่ ในใจเตม็ ไปดว ย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗

๓๘

ความโลภคอื ความหวิ โหยไมม เี วลาอม่ิ พอ เมื่อคิดคนยอนกลับไปกลับมาก็จะมาถึงตัว
คอื ใจซง่ึ เปน ผดู น้ิ รนหวิ โหย

ความโกรธเกิดขึ้นก็เหมือนกัน ไมเพง เลง็ ผูท ี่ถกู เราโกรธ ตองยอนเขามาดูตัว
โกรธซึ่งแสดงอยูที่ใจและออกจากใจ วา ไมม อี นั ใดทจ่ี ะรนุ แรง ไมมีอันใดที่จะใหเกิด
ความเดอื ดรอ นเสยี หายยง่ิ กวา ความโกรธทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในใจเรา ทาํ ลายเรากอ นแลว ถงึ
ไปทาํ ลายคนอน่ื เพราะไฟเกิดท่นี แี่ ละรอนท่นี ี่แลว จงึ ไปทาํ ผอู น่ื ใหรอ นไปตาม ๆ กนั
เมื่อพิจารณาอยางนี้ไมลดละตนเหตุของผูกอเหตุ ความโลภกด็ ี ความโกรธก็ดี ความ
หลงก็ดี ยอมระงับดับลง เพราะการยอนเขามาพจิ ารณาดับทตี่ นตอของมนั ซึ่งเปนจุดที่
ถกู ตองและเปนจุดทีส่ าํ คญั ทค่ี วรทาํ ลายกิเลสประเภทตาง ๆ ได

พระพทุ ธเจา ทา นเคยทรงชาํ ระอยา งนม้ี าแลว เรอ่ื งเปน เรอ่ื งตาย เรือ่ งกลวั อยา ง
โนน กลวั อยา งนท้ี า นไมเ คยคดิ และสง เสรมิ ใหค ดิ เพราะนน่ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลส ทา นเคย
มที า นเคยรแู ละเหน็ พษิ ของมนั มาเปน เวลานาน ทา นจงึ ทรงพยายามละเตม็ ความ
สามารถทกุ วถิ ที าง กระทง่ั ละไดและไดเปน ศาสดาข้ึนมาดวยความขยนั หม่นั เพียร ดว ย
ความอดทน ดว ยความเปน นกั รบ โดยอุบายสติปญญาอันแหลมคมทันกับการแกกิเลส
หรอื ปราบปรามกเิ ลสทง้ั หลายใหห ลดุ ลอยไปจากพระทยั กลายเปน ความบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา
ลว น ๆ

พวกเราเปน ศากยบตุ รพทุ ธชโิ นรสคอื เปน พทุ ธบรษิ ทั เรยี กวา เปน ลกู เตา เหลา
กอของพระพุทธเจา ถาไมดําเนินตามรอยของพระพุทธเจาจะดําเนินอยางไร ถึงจะสม
ชอ่ื สมนามวา เปน ศากยบตุ รเปน พทุ ธชโิ นรสทป่ี รากฏตวั วา เปน พทุ ธบรษิ ทั จาํ ตอ ง
ดาํ เนนิ แบบลกู ศษิ ยม คี รสู อนและเดนิ ตามครรู ตู ามครหู ลดุ พน ตามครู เพราะกเิ ลสกเ็ ปน
ประเภทเดยี วกนั ซง่ึ จะตอ งดาํ เนนิ แบบเดยี วกนั เปนแตวามีมากมีนอยตางกัน ความ
เพียรเพื่อละกิเลสก็จะตองดําเนินไปตามกําลังหรือสติปญญาของตน เทาที่กิเลส
ประเภทนน้ั ๆ จะสงบตัวลงไปและขาดกระเด็นออกไปจากใจ ดวยความพากเพียรของ
ศิษยท มี่ คี รฝู กสอนวชิ ารบ ใครจะนําไปปฏบิ ัตกิ ็นาํ ไปปฏิบัตเิ ถิด

ตามทก่ี ลา วมาเหลา นเ้ี ปน สวากขาตธรรม แนนอนตอความพนทุกขไมมีทาง
สงสัย การดําเนนิ ตามธรรมนจี้ ะไมหนีจากรอ งรอยของพระพุทธเจา จะไมหนีจากรอง
รอยของพระสาวก ทท่ี า นแกก เิ ลสไดด ว ยอบุ ายใด เรากจ็ ะแกไ ดด ว ยอบุ ายนน้ั ทานถึง
ไหนเรากจ็ ะถงึ น้นั ตา งกนั เพยี งชา หรอื เรว็ เทา นน้ั ไมเ ปน อยา งอน่ื และสมนามวา สวาก
ขาตธรรมแท ผปู ฏบิ ตั ติ ามสวากขาตธรรม ไมป ลกี จากรอ งรอยแหง ธรรม กิเลสตอง
หลุดลอยจากใจโดยลาํ ดบั ดว ยอาํ นาจแหง ธรรมนี้โดยไมต องสงสัย เพราะนเ่ี ปน ธรรม
ตายตัว การปฏิบัติจะแยกแยะธรรมเปนอยางอื่นตามชอบใจของตนไมได

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘

๓๙

เพราะความชอบใจคนเรา รอยทั้งรอยมักเปนความชอบใจของกิเลสผลักดันให
เปน ไป โดยทเ่ี ราไมร วู า เราเปน กเิ ลสและความคดิ ของเราเปน กเิ ลส ความอยากของเรา
เปน กเิ ลส ความตอ งการของเราเปน กเิ ลส ความจรงิ มนั เปน กเิ ลสดว ยกนั ทง้ั นน้ั นอก
จากจะเลอื กเฟน ดว ยวจิ ารณปญ ญาคน หาเหตผุ ล แมจะไมชอบและฝนใจอยูก็ตาม เมื่อ
เหน็ วา นน้ั เปน ธรรมแลว นน้ั เปนเคร่ืองแกกิเลสไดโ ดยตรงแลว จะตองยึดนั้นเปนหลัก
แลวฟาดฟนเปลือกกระพี้ที่หุมหอธรรมลงไป ใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลกนั จรงิ ๆ แบบนก้ี เิ ลส
กลวั มาก

ผดู าํ เนนิ อยา งนก้ี เิ ลสกลวั ผูมีเครื่องมืออยางนี้กิเลสกลัว เพราะเครอ่ื งมอื นเ้ี ปน
ธรรมเพชฌฆาต ธรรมนเ้ี คยปราบปรามกเิ ลสมาแลว นบั แตพ ระพทุ ธเจา องคไ หน ๆ มา
เพราะอยางนน้ั กิเลสจงึ กลัวและยอมทงั้ สนิ้ เหตุทยี่ อมก็เพราะกิเลสเห็นอํานาจของ
ธรรมแลว วา ไมส ามารถจะตา นทานหรือตอ สไู ด ตองถูกทลายลงไปดวยอํานาจของธรรม
นน้ั ๆ ไมส งสยั ผปู ฏบิ ตั ทิ ต่ี อ งการเรอื งอาํ นาจเหนอื กเิ ลสตอ งทาํ แบบน้ี คือเปนก็เปน
ตายก็ตายในทาตอสู ไมยอมถอยทัพกลับแพ

นอกจากนี้มักเปนเรื่องของกิเลสเรืองอํานาจ ทั้งที่ผูปฏิบัตินั้น ๆ เขา ใจวา ตนมี
ความเพยี รดี ผมู คี วามเพยี รทก่ี เิ ลสกลวั บา งไมก ลวั บา งนน้ั คือขณะที่กิเลสกลัวนิ่งหรือ
หมอบ ใจก็สงบเย็นเปนสมาธิ ขณะมันสูเราไมไดมันก็วิ่งหนีหาที่หลบซอน ขณะเราสมู นั
ไมไดเรากว็ งิ่ หนีเชนกันจะวา ยังไง เราวง่ิ หนคี อื อยา งไร วง่ิ หนจี ากทางจงกรมบา ง ว่ิงหนี
จากการนง่ั สมาธภิ าวนาบา ง วง่ิ หนจี ากความความพากความเพยี รทา ตา ง ๆ บา ง คือ
ความเพยี รลดนอ ยถอยกําลงั ลงเปนลําดับ ๆ นแ่ี ลทเ่ี รยี กวา วง่ิ หนี ความไมสู ความออน
แอหมดกําลังเปนการวง่ิ หนีท้ังน้นั แหละ

สูมันไมไดก็ถอย ๆ ถอยเทา ไรมนั ยง่ิ ตามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายลงไปเปน ลาํ ดบั ๆ เรา
อยาเขา ใจวาถอยแลว จะพน การถอยกิเลสไมมีทางพน นอกจากจะสเู ทา น้ันจงึ จะพน
จากอํานาจของกิเลส กลัวอยางอื่นวิ่งหนียังพอเอาตัวรอดได แตก ารวง่ิ หนกี เิ ลสนน้ั นน้ั
แลคอื การเอาคอเขา ไปสวมใหก เิ ลสฟน เอา ๆ ฟนเอาแหลกไปหมด เราจะหาอบุ ายใด
เปน ทางออก

วัฏวนนีเ้ คยเกิดมาก่ภี พกชี่ าติแลว แมจ ะจาํ ไมไดก ็ตาม เราถอื หลกั ปจ จบุ นั อตั
ภาพปจ จบุ นั นก้ี พ็ อจะทราบไดแ ลว วา เบอ้ื งหลงั ทเ่ี คยผา นมาแลว เคยมี อดีตเคยมีมา
แลวจึงตองมีอยางนี้ได ฉะนั้นกาลขางหนามันจะตองมีอยางนี้ได เชน เดยี วกบั เมอ่ื วานน้ี
มีแลววันนี้ทําไมจะมีไมได แลววันพรุงนี้เดือนนี้ปหนาทําไมจะมีไมได เพราะมนั สบื
เนื่องไปจากอันเดียวกันนี้

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙

๔๐

เฉพาะในชาตปิ จ จบุ นั ยงั ดอี ยเู ราเปน มนษุ ย มสี ทิ ธมิ อี าํ นาจยง่ิ กวา บรรดาสตั ว จงึ
พอมคี วามสขุ ความสบายบา ง นเ้ี รากท็ ราบวา อยใู นโลกอนจิ จงั เปนของแนนอนเมื่อไร
แตกอนเราอาจเปนภพเปนชาติอะไรมาก็ได มาปจ จบุ นั นเ้ี รามาเปน มนษุ ย แมในอัต
ภาพนม้ี นั ยงั มคี วามเปลย่ี นแปลงใหเ ราเหน็ อยู ตั้งแตวันแรกเกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
มันคงเสนคงวาเม่อื ไร สังขารรางกายกําลงั วังชาสติปญญาอะไรมนั กท็ รุดโทรมเปลีย่ น
แปลงของมันไปเรื่อย ๆ ตอจากนี้ก็เปลี่ยนไปจนถึงที่สุดของมัน สุดทายก็ลงธาตุเดิม
แลวจิตนี่มีกําลังมากนอยเพียงใด ทีจ่ ะสามารถทรงตวั ไวไ ดใหอ ยูในภมู ินี้หรอื ภมู ิสูงยิ่ง
กวา น้ี ก็เปนเรื่องของเราจะคิดหาอุบายชวยตัวเองในทางดีตอไปไมนิ่งนอนใจ ทเ่ี รยี กวา
เตรียมพรอมเพื่อตัวเองทั้งปจจุบันและอนาคต ไมใ หอ บั จนในสถานทแ่ี ละกาลใด ๆ

จงทาํ การสง เสรมิ กาํ ลงั ในทางดขี องเราใหม ากขน้ึ อยา งนอยเพ่ือรับอนาคต หาก
จะยงั เปนไปอยใู นวฎั สงสาร ซึ่งเปรียบเหมือนหองขังนักโทษที่มีกิเลสย่ํายีนี้ พอไดอยูใน
ฐานะทด่ี บี า ง หากวาพอจะผานพนไปไดเพราะมีกําลังสติปญญาพอตัว เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย
กิเลสอันเปนกงจักรใหทองเที่ยวในวัฏวนนี้ไปได กท็ าํ ลายใหส น้ิ ซากไปในชาตปิ จ จบุ นั น้ี
อยา เขา ใจวา สตปิ ญ ญาเราจะไมม ี มีอยูดวยกันทุกคนถาทําใหมี ความเพยี รอยา เขา ใจวา
ไมมี ถาเราจะทําใหมีมีไดทั้งนั้น นอกจากมีกิเลสเปนผูกั้นกางกดี ขวางไมใ หมีความ
เพียร ไมใหมีสติปญญา ใหมีแตความทอแทออนแอเปนเจาเรือน ความดที ง้ั หลายจงึ หา
ทางเกิดขึ้นไมได

เร่อื งความดที งั้ หลายหาทางเดินไมค อ ยไดนนั้ มักขึ้นอยูกับกิเลสเปนเครื่องกีด
กันไมใชอันใด ไมใ ชอ าํ นาจไมใ ชว าสนา ไมใชมื้อวันเดือนป ไมใชกาลสถานที่ แตเ ปน
เรื่องของกิเลสโดยตรงเปนผูกีดกันและหักหาม อยา งลกึ ลบั บา ง อยา งเปด เผยบา ง แต
เรามันตาบอดมองไมเหน็ ความลกึ ลับ ความเปดเผยของกิเลสทแ่ี สดงตัวกีดกันหวงหาม
อยูตลอดเวลา เพราะกลัวจะพนจากเขา เขาเปน เจา อาํ นาจครองใจมานาน พอขยับออก
มาอกี นดิ หน่งึ แสดงกิริยาจะออกจากเขานิดหน่ึงเขากห็ าม เรากเ็ ชอ่ื เชอ่ื มนั เสยี แลว มัน
ไมต อ งยกบทบาทคาถาบาลีอะไรมาแสดงเลย

กเิ ลสสอนมนษุ ยน ะ สอนงายจะตายไป แตมนษุ ยจะสอนมันบา ง เดย๋ี วเดยี วถกู
มนั เอาคมั ภรี ว ฏั จกั รฟาดหวั เอาหมอบและหลบั ครอก ๆ ไมมีทางสู นอกจากหมอบบน
หมอน ฉะนน้ั ศาสตราจารยข องวฏั จกั รกค็ อื กเิ ลสบนหวั ใจสตั วน น้ั แล การเรยี นรมู ากรู
นอยจะตองถูกกลอมมันทั้งนั้นแหละ นอกจากวิชาธรรมดังที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน
ตามทท่ี รงดาํ เนนิ มาและสาวกทานดาํ เนนิ มา ทา นเอาจรงิ เอาจงั ลงถงึ เหตถุ งึ ผลถงึ ความ
สตั ยค วามจรงิ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐

๔๑

ไมเพียงแตจ ําชือ่ ของกิเลสไดแ ลว กจ็ ะสาํ เรจ็ ประโยชน หาเปน เชน นน้ั ไม การจํา
ชื่อจําไดกันทั้งนั้นแหละ เชน เดยี วกบั เราจาํ ชอ่ื ของเสอื นน้ั เสอื น้ี มีกี่รอยกี่พันเสือก็ตามที่
มนั กอ ความวนุ วายใหแ กบ า นเมอื ง เราจําชื่อของมันไดเทานั้นยังไมพอ จําไดกระทั่ง
โคตรแซม นั กต็ าม ถา ยงั จบั ตวั เสอื นน้ั ๆ ไมไ ดเ มอ่ื ไรบา นเมอื งจะหาความรม เยน็ เปน สขุ
ไมได เสอื ตวั ทจ่ี าํ ชอ่ื มนั ไดน น้ั แลกอ ความวนุ วายใหแ กบ า นเมอื ง นอกจากเราจบั มนั ได
แลวจะทําอะไรกับมันก็ทําได ทนี ้บี า นเมืองก็ไดรับความสุขสงบรมเย็น ไมมีเสือรายมา
กอ กวนลวนลามเขยาขวัญประชาชนดังท่ีเคยเปน มา

เรอ่ื งกเิ ลสทา นวา กเิ ลสพนั หา ตณั หารอ ยแปด อยา วา แตร อ ยแปด พันแปด หมื่น
แปดก็ตามเถิด ถาเราตามจับตัวมันไมได ปราบมันไมได ทาํ ลายมนั ไมไ ดแ ลว เราจาํ ได
แตชื่อมัน จําไดสักเทาไรก็ไมมีปญหาพอสะเทือนขนมันเลย คือไมมีผลดีอะไรเกิดขึ้น
เพราะการจาํ ไดน น้ั เลย เพราะฉะนน้ั เราตอ งทําลายมนั ดว ยความพากเพยี รจนใหถ งึ
ความจริงของกิเลส ถงึ ความจรงิ ของธรรม จะชอ่ื วา จบั ตวั เสอื รา ยมาประหารได จากนน้ั
กน็ อนหลับเต็มตา อาปากพูดไดเต็มเม็ดเต็มหนวย

คาํ วา กเิ ลสแตล ะประเภทนม้ี นั แสดงอาการอยา งไร กอนที่มันจะแสดงผลขึ้นมา
มนั แสดงเหตขุ น้ึ มาอยา งไรบา ง จงตามรูแ ละฆามันดว ยสตปิ ญ ญา สวนมากกแ็ สดงข้ึน
ในขันธนี่แหละไมไดแสดงขึ้นที่ไหน ออกทางตาก็เกี่ยวกับรูป ออกทางเสียงก็เกี่ยวกับหู
จมูก ลน้ิ กาย มันสืบเนอ่ื งกบั จิตและเคร่ืองสัมผัส ผลสุดทายก็เกี่ยวกับเบญจขันธของ
เราเอง รปู ก็แสดงขึ้นอยางหน่งึ เวทนากแ็ สดงอยา งหนง่ึ สญั ญาแสดงข้ึนอยางหนง่ึ
สงั ขารแสดงขน้ึ อยา งหนง่ึ วิญญาณแสดงขึ้นอยางหนึ่งจากกิเลสเปนผูบัญชาออกมา เรา
ก็คลอยตามหลงตาม หลงตามมันอยูเรอ่ื ย ๆ หลงตามมนั มาเทาไรแลว ลวนแลว แตก ล
มายาของกิเลสทั้งนั้น ทุกขทั้งมวลเรายังไมทราบวามันเปนพิษของกิเลส จะใหม คี วาม
ฉลาดแหลมคมไดอยางไร แลว ยงั เขา ใจวา ตนมคี วามฉลาดแหลมหลกั นกั ปราชญช าตกิ วี
อยหู รอื ไมอ บั อายกเิ ลสทค่ี อยหวั เราะเยาะเยย อยเู บอ้ื งหลงั บา งหรอื มนั นา อบั อายจรงิ
ๆ น่ี

การที่จะฉลาดแหลมคมพอรูทนั กิเลสก็ตองคนดูกเิ ลสใหด ี ทุกขเวทนาเกิดขึ้นที่
ไหน เอา คนลงไป เอาใหเ หน็ ฐานเกดิ ของมนั วา เกดิ เพราะเหตไุ ร คนตายแลว มเี วทนา
ไหม เอา ดซู ิ ถา ทกุ ขเวทนาเกดิ ขน้ึ ภายในรา งกาย และกายเปน ตัวทราบเวทนาจรงิ ๆ
เวลาคนตายแลว ทกุ ขเวทนามไี หม เอาไปเผาไฟกายวาอยางไร เอาไปฝงดินกายวายังไง
มันไมวายังไง แลวทําไมถือมันเปนตัวทุกขอยูละเมื่อยังเปนอยู กเ็ พราะจติ นน่ั แลเปน ผู
รบั รแู ละทรงไว ความยดึ มน่ั สาํ คญั วา ขนั ธ ๕ เปน ตนกเ็ พราะกเิ ลสนน้ั แลเปน ผกู ระซบิ
เปนผูหลอกลวงใหยึดมั่นถือมั่น ใหส าํ คญั วา เวทนาเปน ตนเปน ของตน ใหถ อื วา กายน้ี

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑

๔๒

เปน เราเปน ของเรา เมอ่ื มนั มอี ะไรมากระทบกระเทอื นสง่ิ ทเ่ี รารกั เราสงวนและปก ปน
เขตแดนเอาไว กเ็ กิดความกระทบกระเทือนทุกขรอนข้นึ ภายในใจ เพราะกเิ ลสมนั
หลอกอยางนี้

เมอ่ื แยกแยะพจิ ารณาใหถ งึ ฐานของความจรงิ ดว ยสตปิ ญ ญาจรงิ ๆ แลว สง่ิ
เหลา นก้ี ห็ มดปญ หาไปเอง ใจกห็ ายสงสยั ความเปนขาศึกตอกันระหวางขันธกับจิตก็ไม
มี เพราะสติปญญาเปนผูพิพากษาวินิจฉัยตัดสินโดยถูกตองใหเลิกแลวกันไป รปู กร็ กู นั
แลว วา รปู ซง่ึ เปน ความจรงิ ของรา งกายทกุ สว น เวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในรา งกายของเรา
สว นใด นน่ั กท็ ราบวา เปน ความจรงิ ของตน ๆ สญั ญา สังขาร วิญญาณ แตละอยางก็เปน
ความจริงแตละอยางของมันอยูแลว จิตจะมีความกระทบกระเทือนเพราะอะไรกันอีก
เพราะจติ เปน ผรู แู ละรดู ว ยปญ ญาอยา งประจกั ษแ ลว นน่ั แหละทา นเรยี กวา เหน็ ความ
จริงคือสัจธรรมที่มีอยูกับตัว จะไปรเู หน็ ทไ่ี หน เหน็ ในแบบกเ็ ปน แบบ เหน็ ในคมั ภรี ก ็
เปน คมั ภรี  เห็นในหนงั สอื ก็เปนตวั หนังสอื ไมใ ชตวั กิเลส มนั ไมใชส จั ธรรมท่ีแทจรงิ

ที่แทจริงมันอยูที่กาย ทเ่ี วทนา ทจ่ี ติ ทต่ี วั ของเรานเ่ี ทา นน้ั ความทุกขทั้งมวลที่
เกี่ยวกับกายก็แสดงขึ้นที่นี่ การทพ่ี จิ ารณาทกุ ขก พ็ จิ ารณากนั ทน่ี ่ี รูเทาเรอ่ื งทกุ ขเรอ่ื ง
สมุทัยทง้ั หลายกร็ เู ทา กันอยางเปด เผยท่นี ่ี รูแจงแทงตลอดก็รูกันที่นี่ พนทุกขกันที่นี่ นี่
ทา นเรยี กวา รสู จั ธรรมแทร อู ยา งน้ี ไมตองรูที่ไหน ไมวาครั้งพุทธกาลหรือครั้งไหน ๆ สจั
ธรรมมีอยูที่กายที่ใจของสัตวโลกเทานั้น การเรยี นจงึ เรยี นยอ นเขา มาทน่ี ่ี ปฏบิ ัตใิ หร ูวถิ ี
จติ ทเี่ ปน ไปดวยอาํ นาจของกิเลสอาสวะอนั เปน ตวั สมทุ ัย เมอ่ื รอู นั นแี้ ลว จะไปสงสยั อะไร
ที่ไหนกันอีก โลกวทิ รู แู จง โลก ก็คือรูแจงธาตุแจงขันธรูแจงจิตใจของตนเปนสําคัญ

นแ่ี ลอบุ ายวธิ แี กก เิ ลสปราบปรามกเิ ลส ปราบปรามลงทต่ี รงน้ี อยาไปลูบไปคลํา
ทอ่ี น่ื ใหเ สยี เวลาเปลา ประโยชน รวมลงที่นี่หมด พระไตรปฎกก็อยูที่นี่ ไตรจักรก็อยูที่นี่
วัฏจกั รไตรจกั รมนั อยูท่นี ีแ่ ล เวลาธรรมไมเ กดิ สตปิ ญ ญาไมส ามารถ จติ กเ็ ปน ไตรจกั ร
ไตรภพ และหมนุ ไปใน ๓ ภพ คอื กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ พอสติปญญาเพียงพอแก
ไขไตรจักรนี้ออกไดหมดก็เปนความบริสุทธิ์ขึ้นมา หรอื เปน ธรรมจกั รหมนุ รอบตวั ขน้ึ มา
ภายในจติ ทั้งวัฏจักร ธรรมจกั รและวิวัฏจักร มีอยูที่ใจนี้ไมอยูไหน จงพจิ ารณากนั ทน่ี ่ี
ปฏบิ ตั ใิ หเ ขา ใจ

เรยี นอะไรกไ็ มย ากเหมอื นเรยี นเรอ่ื งของจติ เลย จิตนี้สลับซับซอนละเอียดลออ
มาก ตองใชความพินิจพิจารณา ตองใชสติปญญา ใชความพากเพียร ความอดความทน
เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ บางครง้ั แทบจะตายเรากย็ อมเสยี สละชวี ติ เพราะความ
อยากรอู ยากเขา ใจความจรงิ ทง้ั หลาย ดังที่พระพุทธเจาไดรูไดเขาใจแลว เปน ความ
ประเสรฐิ อยา งยง่ิ เราอยากเหน็ ความจรงิ เปน สมบตั สิ าํ หรบั เราเอง ไมเพียงแตไดยิน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒

๔๓

กิตติศัพทกิตติคุณทานวาประเสริฐ ทา นหลดุ พน อยา งนน้ั ทา นประเสรฐิ อยา งนเ้ี ทา นน้ั
เรายงั ไมพ อใจ ยังอยากทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยางบรรดาธรรมทีท่ านรทู านเห็นดว ยจิตใจของ
เราเอง เมอ่ื อยากทราบและดาํ เนนิ ตามทา นเรากต็ อ งทราบ ทั้งธรรมฝายต่ําฝายสูง ทั้ง
ฝายดีฝายช่ัว

ในวงสจั ธรรมนท้ี กุ ข สมทุ ยั เปน ฝายตาํ่ นโิ รธคือความดับทุกขเปนฝา ยสูง มรรค
คือขอปฏิบัติเพื่อถอดถอนกิเลสเปนฝายสูง เราอยากทราบความจรงิ ของสจั ธรรมทง้ั สน่ี ้ี
ประจกั ษใ จเราเอง และการพน จากกเิ ลสอาสวะเพราะรรู อบในสจั ธรรมนน้ั เรากอ็ ยากจะ
พน ดว ยความประจกั ษใ จเราเอง ไมอ ยากทราบอยางอืน่ ใหมากไปกวา อยากจะทราบ
เรอ่ื งของเรา

เพราะเราเปน กองทกุ ข เราเปนกงจักร เราเปน ผมู ดื หนาสาโหด เราตอ งการ
ความฉลาด เราตอ งการความแหลมคมภายในจติ ใจ เราตอ งการความหลดุ พน เราจงึ
พยายามเตม็ ความสามารถในทางความเพยี ร เพอ่ื รแู ละละสจั ธรรม ใจถูกบีบถูกบังคับ
ถูกผูกถูกมัดถูกจําจองอยูที่ตรงไหน จงแกมันดวยสติปญญา ฟาดฟนลงไปที่ตรงนั้นจน
แหลกแตกกระจายไมมีชิ้นใดเหลือ ใจถงึ ความจรงิ ลว น ๆ นน้ั แลทา นเรยี กวา หลดุ พน
หลดุ พน แลว จากกเิ ลสซง่ึ เคยเปน นายเรามากก่ี ปั กก่ี ลั ป หรอื เคยเปน ศาสตราจารยพ ราํ่
สอนเรามาเปน เวลานาน ไดเห็นโทษของมันและถอดถอนมันออกไปหมดโดยสิ้นเชิง
แลว ใจเปน อสิ ระเตม็ ภูมิ นี้แลคือที่สุดแหงทุกข ที่สุดแหงธรรม ทีส่ ดุ แหง วัฏจักร สน้ิ สดุ
ทใี่ จน้เี องไมส ้นิ สดุ ในทอี่ ่ืนใด เพราะกิเลสและธรรมไมมีอยูที่อื่น จึงขอใหยอนจิตเขามา
พจิ ารณาในกายในใจดว ยดี ความสมหวงั ทเ่ี คยหวงั มานานจะสมบรู ณใ นใจทช่ี าํ ระถงึ ขน้ั
บริสทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว

ขอย้ําอีกครั้ง จงเรยี นจติ ใหร ู เรยี นจติ รทู ว่ั ถงึ แลว ไมม อี ะไรสงสยั ในโลกน้ี กวา ง
แคบไมส าํ คญั สําคัญทีเ่ รยี นจิตใหร เู รอื่ งของจิต รกู เิ ลสชนดิ ตา ง ๆ ทแ่ี ทรกอยภู ายในจติ
จรงิ ๆ เปน พอกบั ความตอ งการ พระพุทธเจาเมื่อถึงนี่แลวไมตองการอะไรอีก สาวกทั้ง
หลายพอ ใคร ๆ ก็พอ เมื่อถึงขั้นเพียงพอแลวพอ พอทั้งนั้น เพราะเปน จติ เปน ธรรมท่ี
สมบรู ณเ ตม็ ทแ่ี ลว ตลอดอนนั ตกาล

จงึ ขอยตุ ธิ รรมเทศนาเพยี งเทา น้ี

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓

๔๔

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

มายากเิ ลส

การฟงธรรมทางดานปฏิบัติ ทั้งผูเทศนทั้งผูฟง สว นมากไมค อ ยมคี าํ วา “พิธี”
เชน ฟงพอเปนพิธี เทศนพอเปนพิธี อยา งนท้ี างภาคปฏบิ ตั ไิ มไ ดน าํ มาใชก นั สาํ หรบั ผู
มุงอรรถมุงธรรมจริงๆ ไมน าํ มาใช ถา มงุ โลกามสิ อยแู ลว อาจนาํ มาใช แตถามุงตอ
โลกามิสก็ไมเรียกวา “ปฏิบัติ” มันขัดกันตรงน.ี้

ทางดานปฏบิ ัติแลว ไมม ีพิธอี ะไรมาก ผูเทศนตั้งใจเทศนใหผูฟงไดรับความเขา
ใจจริงๆ ดว ยเจตนา ผูฟงก็ตั้งใจฟงดวยความสํารวมระวังจติ ของตน ไมใหสงไปที่อื่นๆ
ในขณะที่ฟง ทาํ ความรสู กึ อยกู บั ใจของตนเทา นน้ั โดยไมจําเปนตองสงกระแสจิตออก
มาภายนอกเพอ่ื รบั เสยี ง เชน สง ออกมาสผู เู ทศน เปนตน อยา งนไ้ี มค วร เพราะจะขาด
กาํ ลงั ภายในใจ ที่จะพึงไดรับจากการฟง ดว ยจิตจดจอ ตอ เนอ่ื งกนั อยเู ฉพาะภายใน

เมอ่ื ไดต ง้ั จติ ไวเ ฉพาะหนา คอื มคี วามรสู กึ อยกู บั ตวั นน้ั แลถา จะเทยี บกค็ อื คนอยู
ในบา น แขกคนมาจากทไ่ี หนเขา มาเกย่ี วขอ งในบา นนน้ั เจา ของกร็ บั ทราบวา แขกนน้ั มา
ธุระอะไรบา ง นอกจากเจา ของไมอ ยบู า นเสยี เทา นน้ั แมเขาจะมาขโมยของไปกี่ชิ้น ก่ี
รอ ยกพ่ี นั อยา ง ก็ไมทราบไดเลย

จติ ท่อี ยกู ับตัว ขณะทา นแสดงธรรมหนกั เบา จะตองรับทราบทุกระยะ เพราะใจ
อยกู บั ตวั เหมอื นคนอยใู นบา น ถา ความรสู กึ ไดส ง ออกไปจากตวั เสยี การฟงเทศนก็ไม
เขาใจ ไมคอยรูเรื่อง ผลไมค อ ยเกดิ ถา เปน กเิ ลสลว งเขา ไป เอาอะไรไปหมด เหมอื นกบั
โจรผูรายขโมยของอะไรภายในบานก็ไมรู เราไมเคยทําจริงทําจัง จะไปตําหนิติเตียนตู
โทษพระพุทธเจา พระสาวก และพทุ ธบรษิ ทั ทง้ั หลายวา “เวลาพระพุทธเจาทรงเทศน
คนไดสําเร็จมรรค ผล นิพพาน” จะสําเร็จอยางไรเพียงเทศนเทานั้น โดยผูฟงไมตั้งใจ
ฟง นอกจากคุยกันแขง พระเทศนเทานน้ั บางคนไมเชื่อก็มีวาผูเทศนจะสามารถยังผูฟง
ใหสําเร็จ มรรค ผล นพิ พาน ได และผูฟงก็ไมสามารถจะบรรลุธรรมไดในขณะที่ฟง

นเี้ ปน ความคดิ เหน็ ของคนประเภทลอยลม หาหลกั เกณฑไ มไ ด สกั แตว า เทา นน้ั
ตามความลอยลมของตน ถอื ศาสนากส็ กั แตว า ถอื ถามวา ถอื ศาสนาอะไร ถอื ศาสนา
พุทธ ก็มีแตชื่อของพระพุทธเจาเต็มปากเต็มคอ แตไมเคยมีธรรมเขาไปเกี่ยวของกับหัว
ใจเลย ข้นึ ชื่อวาพทุ ธ วาธรรม วาสงฆ ไมใ ชเปนของเล็กนอย ไมใชเปนของเลน ไมใช
ของพิธี ที่จะนํามาทําเลนๆ อยา งนน้ั ประเภทที่เลนๆ นี้แลเปน ประเภททีท่ าํ ลายศาสนา
ไดอยางแทจริง ดังที่เราทราบๆ กนั จะมีเจตนาหรือไมมีไมสําคัญ เชนไมหลุดจากมือ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๔


Click to View FlipBook Version