ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม
ทานอาจารยพระมหาบัว ญาณสัมปน โน เทศนโปรด คณุ เพาพงา วรรธนะกุล
ณ วดั ปา บา นตาด เม่อื วันท่ี ๙ -๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘
ท่มี า
http://www.luangta.com/thamma/thamma_book_detail.php?cgi
BookID=38
Link
กณั ฑเทศนาในหมวดหมู "ธรรมะชุดเตรยี มพรอม" มจี ํานวน "98" กณั ฑ
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_multimedia.ph
p?CatID=1
หรือ download file เสยี งรวมกัณฑเทศน ไดท่ี
ชุดธรรมะชดุ เตรยี มพรอ ม 1 (wma, mp3)
http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=70873
ชุด ธรรมะชดุ เตรยี มพรอ ม 2 (wma, mp3)
http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=70874
คาํ อนุโมทนา
หนงั สอื ธรรมะแตล ะเลม จะสาํ เรจ็ ข้นึ มาเพ่อื แจกทานใหท า นผูใครธรรมไดอ า น
ยอมสาํ เรจ็ ดวยอํานาจแหงศรทั ธาของทานผูใ จบญุ ทง้ั หลายชว ยกันบริจาคและจัดทํา แม
เลม นก้ี ส็ าํ เร็จขน้ึ มาเพราะแรงศรัทธาของทา นผูใจบุญหนุนโลกเชน เดยี วกนั ลาํ พงั ผู
แสดงก็มีเพียงลมปากอยา งเดียวเทา นนั้ พอแสดงธรรมจบลงลมปากกห็ ายสูญไปใน
ขณะน้ัน ไมอาจเหน่ยี วร้งั ธรรมท่ีแสดงออกนนั้ ๆ ใหจ ิรงั ยั่งยนื สบื ไปไดเลย เพราะไมมี
ปญ ญาสรา งธรรมใหจ ริ ังยง่ั ยืนไดดว ยวิธกี ารใดๆ ทเ่ี ห็นวา เหมาะสม จําตอ งอาศยั บุญ
บารมีของทา นคณะศรัทธาผูใจบญุ ทง้ั หลาย ชว ยเสรมิ สรางความจริ ังถาวรแหงธรรม
ดว ยการรวมกนั บริจาคและจดั พิมพเ ปน เลมขนึ้ มา เพ่อื ทานผอู านไดอ าศัยพงึ่ รม เงาแหง
ใบบุญหนุนโลกอนั ไมม ปี ระมาณนั้น ผแู สดงจงึ ขออนุโมทนากับทานทง้ั หลายเปนอยาง
ยงิ่ มาพรอมนี้ บุญกุศลทง้ั มวลที่เกิดขน้ึ เพราะการบําเพ็ญนี้ จงสําเรจ็ ผลอันพงึ หวังดงั ใจ
หมายโดยท่ัวกนั เทอญ
บวั
*คาํ อนโุ มทนาในการพมิ พเ ม่ือ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗
คาํ นาํ
กอนอ่ืนตองขออภัยตอทานผอู านโดยทวั่ กัน ทไ่ี มอาจดัดแปลงแกไ ขเน้ือธรรม
และสาํ นวนตา งๆ ใหเ หมาะสมกบั หนงั สือเลมนี้ ที่จะออกสูส ายตาสาธารณชนซง่ึ มคี วาม
รสู กึ ในแงแ หง ธรรมหนักเบาตา งกัน เนือ่ งจากการแสดงธรรมแตล ะกัณฑแ กทา นผูฟง
ซ่ึงลวนเปนนักปฏิบัติธรรมดวยกนั ประสงคอยากฟงธรรมะปา ที่เก่ียวกบั ภาคปฏบิ ตั ิจิต
ภาวนามากกวาภาคอน่ื ๆ ผแู สดงซึ่งเปน พระปา ๆ อยูแลว จึงเรม่ิ แสดงธรรมะปาโดย
ลําดับ ตามนิสยั ปา แตก ัณฑเ รมิ่ แรกจนถงึ กณั ฑสุดทา ยซ่ึงรวมการเทศนตดิ ตอกนั มา
โดยลําดบั ในชว งน้นั คงไมต า่ํ กวา ๘๐ กัณฑ ซึ่งสว นมากมกั เปนธรรมเผด็ รอน มากกวา
จะสมนํา้ สมเนื้อ เทา ท่ีควร
หลังจากการแสดงธรรมผา นไปแลว เปน ปๆ จึงมีทา นผศู รทั ธา คอื ม.ร.ว.เสรมิ
ศรี เกษมศรี มาแสดงความประสงคข ออนญุ าตพิมพก ณั ฑเทศนเ หลา น้ี ขนึ้ เปนเลมเพื่อ
แจกทาน และประสงคใหกัณฑเ ทศนเ หลา น้ี ท่ีพิมพเ ปน เลม แลว จิรงั ยงั่ ยืนไปนาน จงึ ได
อนญุ าตตามอธั ยาศัย โดยไมม ีหนทางแกไขกณั ฑเทศนเหลานใี้ หเ หมาะสมแกทา นผอู า น
ทัว่ ๆ ไปไดแ ตอ ยางใด ถา เรือ่ งใดประโยคใดไมเ หมาะสมกับจริตนสิ ัย ก็กรุณาผา นไป
ยึดไวเ ฉพาะทเ่ี หน็ วาควรแกน ิสยั ของตนๆ เพอื่ ประโยชนใ นกาลตอไป
หนงั สือทผี่ เู ขยี นเรียบเรียงขึน้ หวงั ใหทุกทา นทมี่ ีจิตศรทั ธาไดเปนเจา ของพมิ พ
แจกเปนธรรมทานดวยกันไดท กุ โอกาส โดยไมตองขออนุญาตแตอยา งใด สวนการ
พมิ พเพอ่ื จําหนา ย จึงขอสงวนลขิ สทิ ธ์ิ ทกุ ๆ เลม ไป ดงั ทีเ่ คยปฏบิ ัติมา
บวั
*คาํ นําในการพมิ พเมอื่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗
ภาค ๑ ''เรา กบั กิเลส''
รปู เน่อื งในวันครบรอบวันละสังขารของทา นพอ ลี ธมั ธโร ณ วัดอโศการาม ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐
รูปจาก www.watpa.com
๑
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่ือวันที่ ๒ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
โลกในเรือนจาํ กบั โลกนอก
จติ ถา เราจะเทยี บทางโลกแลว ก็เปนผูตองขังมาตลอดเวลา เหมือนคนที่เกิดอยูใน
เรอื นจาํ โดยอยใู นเรอื นจาํ ในหองขัง ไมมีวันออกมาดูโลกภายนอก อยูแตในหองขังตั้งแต
เลก็ จนโต จงึ ไมท ราบวา ภายนอกเขามอี ะไรกนั บา ง ความสุขความทกุ ขกเ็ ห็นกันอยแู ตภาย
ในเรอื นจาํ ไมไดออกมาดูโลกภายนอกเขา วา มคี วามสขุ ความสบาย และมีอิสระกันอยาง
ไรบา ง ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ การไปมาหาสู เขาไปแบบไหน มาอยางไร อยูอยางไรกัน โลก
ภายนอกเขามคี วามเปนอยูกนั อยางไร ไมมีทางทราบได เพราะเราถกู คมุ ขงั อยใู นเรอื นจาํ
มาต้งั แตว ันเกดิ จนถงึ วันตาย นเ่ี ปน ขอ เปรยี บเทยี บ เทยี บเคยี ง
ความสขุ ความทุกข กเ็ ทาทมี่ อี ยูในน้ัน ๆ ไมมีอะไรเปนพิเศษ ไมมีอะไรที่ไดไปจาก
โลกภายนอก เมอ่ื กลบั เขา ไปสภู ายในเรอื นจาํ พอไดเ หน็ วา นี่เปน สง่ิ ทแี่ ปลกจากโลกใน
เรอื นจาํ สิ่งนี้มาจากโลกนอก คือนอกเรือนจํา เอามาเทยี บเคยี งกนั พอใหท ราบวา อนั นเ้ี ปน
อยางน้ี อนั นน้ั เปน อยา งนน้ั อนั น้ีดีกวาอนั นน้ั อนั นน้ั ดกี วา อนั น้ี อยางนี้ไมมี เพราะไมมสี ิ่ง
ใดเขาไปเกี่ยวของ มีแตเรื่องของเรือนจํา สุขหรือทุกขมากนอยเพียงใด ขาดแคลนลาํ บาก
ลาํ บน ถูกกดขี่บังคับขนาดไหน ก็เคยเปนมาอยางนั้นตั้งแตดั้งเดิม เลยไมท ราบจะหาทาง
ออกไปไหน จะปลดเปลื้องตนไปไดอยางไร ดว ยวธิ ใี ด แมจะออกไปโลกนอก โลกนอกก็ไม
ทราบอยทู ไ่ี หน เพราะเหน็ แตโ ลกในคอื เรอื นจาํ ที่ถูกควบคุมอยูตลอดเวลา และถูกกดขี่
บงั คบั เฆี่ยนตีกัน ทรมานกันอยอู ยา งน้ัน อด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ ตลอดถึงที่นอน
หมอนมุง อาหารปจ จยั ที่อยูอาศัยทุกสิ่งทุกอยาง อยูในลักษณะของนักโทษในเรือนจําทั้ง
หมด เขาก็อยูกันไปได เพราะไมเ คยเหน็ โลกนอกวา เปน อยา งไร พอที่จะเอาไปเทียบเคียง
วา อันใดดีกวา อันใดมีสุขกวากันอยางไรบาง พอที่จะมีแกใจอยากเสาะแสวงหาทางออกไป
สูโ ลกภายนอก
จติ ทถ่ี กู ควบคมุ จากอาํ นาจแหง กเิ ลสอาสวะทง้ั หลายกเ็ ปน เชน นน้ั คือถูกคุมขังอยู
ดว ยกเิ ลสประเภทตา ง ๆ ตั้งแตกัปไหนกัลปไหน เชน เกดิ มาในปจ จบุ นั น้ี กเิ ลสทเ่ี ปน เจา
อาํ นาจบนหวั ใจสตั วน น้ั มมี าตง้ั แตว นั เกดิ ถูกคุมมาเรื่อย ๆ ไมเ คยไดเ ปน อสิ ระภายในตวั
บา งเลย จงึ ยากทเ่ี ราจะคาดไดว า ความสขุ ทน่ี อกเหนอื ไปจากสง่ิ ทเ่ี ปน อยใู นเวลานน้ี น้ั คือ
ความสุขอยางไรกัน เชน เดยี วกบั คนทเ่ี กดิ ในเรอื นจาํ และอยูม าตลอดเวลา
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑
๒
โลกนอกเปนโลกยังไง ? นา ไปและนา อยไู หม ? ธรรมทานประกาศสอนอยูปงๆก็
ไมคอยสนใจกัน แตยงั ดที ี่ผูส นใจยงั มีอยูบ างบางแหงบางสถานท่ี ทไี่ หนไมม ีใครประกาศ
ไมมีใครพูดถึงเลยวาโลกนอก คือจิตที่มีธรรมครองใจนั้นเปนอยางไร ไมมีใครพูดใหฟง จงึ
ไมท ราบวา ศาสนธรรมเปน อยา งไร ความสขุ ทีเ่ กดิ ข้นึ จากอรรถจากธรรมเปนอยางไร มืด
แปดทิศ ติดแบบจมดิ่งไมมีวันฟู พอมองเหน็ อวยั วะสว นใดสว นหนง่ึ บา งเลย เพราะไมมี
ศาสนาชว ยฉดุ ลาก เหมอื นวา “โลกนอก” ไมป รากฏเลย มแี ตเ รอื นจาํ คอื กเิ ลสควบคมุ ใจ
เทา นน้ั เกดิ มาในโลกนม้ี แี ตเ รอื นจาํ เปน ทอ่ี ยอู าศยั ทเ่ี ปน ทต่ี าย อยูนี่ตลอดไป
จติ ใจไมเ คยทราบวา อะไรทพ่ี อจะใหค วามสขุ ความสบาย ความเปน อสิ ระยง่ิ กวา ท่ี
เปน อยเู วลาน้ี ถาจะเทียบเขาไปอีกแงหนึ่งก็เหมือน “เปด ” เลน นาํ้ อยใู ตถ นุ บา นใตถ นุ
เรอื น แชะๆๆๆๆ อยูอยางนั้น สกปรกโสมมขนาดไหนมันก็พอใจเลน เพราะมนั ไมเ คย
เหน็ นาํ้ มหาสมทุ รทะเล ไมเ คยเหน็ นาํ้ บงึ นาํ้ บอ ทก่ี วา งขวางพอทจ่ี ะแหวกวา ย หวั หางกลาง
ตวั ไดอ ยา งสะดวกสบาย มนั เหน็ แตน าํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น ที่เขาลางสิ่งของลงไปขังอยูเทา
นน้ั มนั กไ็ ปเทย่ี วเลน และถอื วา สนกุ สนาน แหวกวา ยของมนั อยา งสะดวกสบายรน่ื เรงิ
เพราะเหตไุ ร ? เพราะมนั ไมเ คยเหน็ นาํ้ ทก่ี วา งขวางหรอื ลกึ ยง่ิ กวา นน้ั พอที่จะใหเกิดความ
รน่ื เรงิ บนั เทงิ เกดิ ความสขุ ความสบายแกก ารไปมา หรอื การแหวกวา ย หวั หางกลางตวั
สะดวกสบายกวา นาํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น
สวนเปดทอ่ี ยตู ามลาํ คลองอันกวางลึกนั้น ผิดกันกับเปดใตถุนบาน มนั สนกุ สนาน
รน่ื เรงิ เท่ียวไปตามหวยหนองคลองบึง เจาของไลไปเที่ยวที่ไหนมันก็ไป ตามถนนหนทาง
ขามไปมา โอโห ! แผก ระจายกันเปน ฝูง ๆ เปน รอย ๆ เปนพัน ๆ เปดพวกนี้ยังพอมี
ความสขุ บา ง นี่ไดแกอะไร ?
ถา เทียบเขา มากไ็ ดแก “จติ ” ทไ่ี มเ คยเหน็ ความสขุ ความสบาย ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ
ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากอรรถจากธรรม ซง่ึ เปน เชน เดยี วกบั เปด ทเ่ี ลน นาํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น และ
จาํ พวกทเ่ี พลนิ เลน นาํ้ ในลาํ คลอง หรอื ในบงึ บางตา ง ๆ นน้ั แล
พวกเรามคี วามสขุ ความรน่ื เรงิ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสบงั คบั บญั ชาอยเู วลาน้ี ซึ่ง
เหมอื นกบั ความสขุ ของนกั โทษในเรอื นจาํ นน้ั แล เมอ่ื “จติ ” ไดรับการอบรมจากโลกนอก
หมายถงึ ธรรม ซึ่งออกมาจากโลกุตรธรรม มาจากดนิ แดนนพิ พาน ลงมาโดยลาํ ดบั ๆ จน
กระทั่งถึงมนุษยโลก ทานชี้แจงไวหมดชั้นหมดภูมิทีเดียว
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒
๓
ผูมีอุปนิสัยมีความสนใจตอโลกนอก ตอความสขุ ทยี่ ่งิ ไปกวาความเปน อยเู วลานม้ี ี
อยู เมอ่ื ไดย นิ เสยี งอรรถเสยี งธรรมและอา นตามตาํ รบั ตาํ ราเกย่ี วกบั โลกนอก คอื เรอ่ื งอรรถ
เรอ่ื งธรรม เรอื่ งความปลดเปลื้องความทุกขค วามทรมาน ท่ถี ูกบังคบั ขบั ไสอยูภายในใจโดย
ลาํ ดบั จติ ใจกม็ คี วามรน่ื เรงิ บนั เทงิ มีความพออกพอใจสนใจอยากฟง สนใจอยากประพฤติ
ปฏิบัติ จนปรากฏผลขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา นน่ั แหละเรม่ิ เหน็ กระแสแหง โลกนอกพาดพงิ
เขา มาแลว จิตใจก็มีความดิ้นรนที่จะพยายามแหวกวายออกใหพนจากความกดขี่บังคับซึ่งมี
อยภู ายในใจ อนั เปรยี บเหมอื นนกั โทษในเรอื นจาํ
ยิ่งไดปฏิบัติทางดานจิตใจมีความสงบขึ้นเพียงไร ความตะเกียกตะกาย ความ
อุตสาหพยายามก็ยิ่งมากขึ้น ๆ สติปญญาก็คอยปรากฏขึ้นมา เหน็ โทษแหง การกดขี่บังคับ
ของกเิ ลสภายในใจ เห็นคุณคาแหงธรรมอันเปนเครื่องปลดเปลื้องไดมากนอยเพียงไร ก็
เปน ความสบายภายในใจ เบาอกเบาใจ ซึ่งเปน เคร่อื งเพม่ิ ศรทั ธาข้ึนโดยลําดับ ความ
อุตสา หพ ยายามความอดทนเกดิ ขึน้ ตาม ๆ กัน สติปญญาที่เคยนอนจมปลักอยูอยางแต
กอน ก็คอยฟนตัวตื่นขึ้นมา และคน คดิ พจิ ารณา
แมส ง่ิ เหลา นจ้ี ะเคยเปน ขา ศกึ มานมนาน และกระทบกระเทือนกันอยูทั้งวันทั้งคืน
แตไ มเ คยสนใจ ก็เกิดความสนใจขึ้นมา อะไรมากระทบกระเทือนทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย
ใจ ซึ่งแตกอนก็เหมือนคนตาย ถือเปนธรรมดา ๆ ไมสะดุงสะเทือนสติปญญาพอใหไดคิด
คน หาเหตผุ ลตน ปลายบา งเลย แตเ มอ่ื ใจเรม่ิ เขา กระแสแหง ธรรมทไ่ี ดร บั การอบรม จน
เปนพื้นเพแหงสติปญญาไปโดยลําดับ ยอมจะเห็นทั้งโทษทั้งคุณประจักษใจ เพราะเปนของ
มีอยูดวยกันทั้งโทษทั้งคุณภายในใจดวงนี้ จติ ใจกม็ คี วามคลอ งแคลว ในการคดิ การ
พจิ ารณา ใจจะเกดิ ความอาจหาญ ขุดคนเห็นทั้งโทษ พยายามแก เหน็ ทง้ั คณุ พยายาม
แหวกวา ย พยายามสง เสรมิ ไปโดยลาํ ดบั
นี่เรียกวาจิตคอยปลดเปลื้องจากสิ่งกดขี่บังคับ คือเรอื นจําภายในออกไดโ ดยลาํ ดับ
ทั้งมองเห็นโลกนอกอีกดวยวาโลกนอกเปนโลกอยางไร เหมอื นเรอื นจาํ ทม่ี อี ยเู วลานไ้ี หม ?
ตาก็พอมองเห็นโลกนอกบางวาทานซึ่งอยูโลกนอกทานเปนอยูอยางไร ไปมาหากันอยางไร
เราเปน อยอู ยา งไรภายในเรอื นจาํ ความเปน อยภู ายใตก เิ ลสครอบงาํ นเ้ี ปน อยา งไร ความท่ี
เบาบางจากกเิ ลสลงเปน ลาํ ดบั ๆ จติ ใจมคี วามรสู กึ อยา งไรบา ง ซึ่งพอเทียบกันได
ทีนี้พอมีโลกนอก โลกใน เขา เทยี บกนั แลว คอื ความสขุ ความสบายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ
แกกิเลสออกไดมากนอยก็ปรากฏ ความทุกขที่กิเลสยังมีคางอยูพาใหแสดงผลก็ทราบชัด
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓
๔
และเห็นโทษดวยปญญาเปน ขนั้ ๆ และพยายามแกไขอยูตลอดเวลา ไมลดละความ
พากเพียร
นี่แหละตอนที่สติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เรม่ิ หมนุ ตวั ออกแนวรบ ก็ตอนที่เห็น
ทั้งโลกนอก คือความปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจไดมากนอย และเหน็ ท้งั โลกในทก่ี ิเลสกด
ขบ่ี งั คบั มาเรอ่ื ย ๆ แตกอนไมทราบจะเอาอะไรมาเทียบ เพราะไมร ไู มเ หน็ เกิดขึ้นมาก็จม
อยูในความทกุ ขทรมานอยา งนี้ ขน้ึ ชอ่ื วา ความสขุ นน้ั ไมปรากฏจากโลกนอกเลย คือ ไม
ปรากฏจากอรรถจากธรรม
การปรากฏกป็ รากฏแตค วามสขุ แบบทค่ี วามทกุ ขอ ยหู ลงั ฉาก ซงึ่ คอยจะมาเหยยี บ
ยาํ่ ทาํ ลาย เพอ่ื ลบลา งความสขุ นน้ั ใหห ายไปโดยไมม เี วลานาฬกิ าเตอื นบอกเลย ทีนี้ไดรูได
เหน็ บา ง ความสขุ ภายนอก คือจากโลกนอกของผูที่ธรรมครองใจนั้น กเ็ หน็ ความสขุ ภายใน
เรอื นจาํ คือความสุขที่อยูใตอํานาจของกิเลสก็เห็น ความทุกขที่อยูใตอํานาจของกิเลสก็เห็น
คือรูไดดวยสติปญญาของตัวเองประจักษใจ
ความสุขที่เกิดขึ้นจากโลกนอก ไดแ กก ระแสแหงธรรมที่ซาบซึ้งเขาไปในจติ ใจ ก็
เหน็ พอเปน เครอื่ งเทียบเคียงกนั ไปโดยลาํ ดับ ๆ เหน็ โลกภายนอก โลกภายใน ทงั้ คณุ และ
โทษนํามาประกอบเทยี บเคียงกนั กย็ ง่ิ ทาํ ใหเ กดิ ความเขา ใจ และความพากเพยี รความอด
ทนมากขึ้น กระทั่งอะไรผานเขามาขึ้นชื่อวาเรื่องของกิเลส ซง่ึ เคยกดขบ่ี ังคับจิตใจแลว ตอง
ตอสูกันทันที และแกไขปลดเปลื้อง หรือรื้อถอนกันโดยลําดับ ๆ ดวยอาํ นาจแหงสตปิ ญ ญา
มคี วามเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ หลงั
จิตใจจะหมุนไปเอง เมอ่ื ความเหน็ โทษมมี าก ความเหน็ คณุ กม็ มี าก เมอ่ื ความอยาก
รอู ยากเหน็ ธรรมมมี าก และความอยากหลุดพนมีมากเพียงไร ความพากเพียรก็ตองมาก
ขึ้นไปตาม ๆ กัน แมความอดความทนก็ตาม ๆ กันมา เพราะมอี ยใู นใจดวงเดยี วกัน เหน็
โทษกเ็ หน็ ท่ีใจทงั้ ดวงน้นั แล ใจทง้ั ดวงเปนผเู ห็นโทษ แมเ หน็ คณุ กใ็ จทง้ั ดวงนน้ั เปน ผเู หน็
การทพ่ี ยายามแหวกวา ยดว ยวธิ ตี า ง ๆ ตามความสามารถของตน ก็เปนเรื่องของใจ
ทั้งดวงจะเปนผูทําความพยายามปลดเปลื้องตนเอง เพราะฉะนน้ั สง่ิ เหลา นม้ี คี วามเพยี ร
เปน ตน ที่เปนเครื่องมือของจิต เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ จติ จึงมาพรอม ๆ กัน เชน ศรัทธา
ความเชื่อตอมรรคตอผล ความเชื่อตอแดนพนทุกข วิริยะ ความพากเพยี รทจ่ี ะทาํ ตวั ให
หลุดพนไปโดยลําดับ ขนั ติ ความอดความทน เพอื่ บึกบนึ ใหผ านพน ไปได ก็มาพรอม ๆ
กัน สตปิ ญ ญา ทจ่ี ะใครค รวญไปตามแนวทาง อันใดถูกอันใดผิดก็มาตาม ๆ กัน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔
๕
ถา จะพูดตามหลกั ธรรมท่ที า นกลาวไว กเ็ รยี กวา “มรรคสมังค”ี คอ ยรวมตัวกนั เขา
มาอยใู นใจดวงเดยี วน้ี อะไรก็รวมเขามา สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั โป สมั มาวาจา สมั มา
กมั มนั โต ตลอดถงึ สมั มาสมาธิ ก็รวมเขามาอยใู นจติ ดวงเดยี วน้ที ัง้ มวล ไมไปที่อื่น
สัมมากัมมันตะ ก็มีแตเดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเปนงานชอบ สัมมากัมมันตะ คือ
งานชอบ เพราะเขา ถึงงานอนั ละเอียดท่ีใจรวมเขามา จิตเปน มรรคสมงั คี คอื มรรครวมตวั
เขา มาสใู จดวงเดยี ว สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ไดแกเรื่องของปญญา คน ควา อยตู ลอด
เวลา เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ เรอ่ื งตา ง ๆ ทป่ี รากฏหรือสมั ผสั เกิดขึ้นแลวดับไปทั้งดีทั้ง
ชั่วทั้งอดีตและอนาคต ทข่ี น้ึ มาปรากฏภายในใจ สติปญญาเปนผูฟาดฟนหั่นแหลกไปโดย
ลาํ ดบั ไมร อใหเ สยี เวลาํ่ เวลา สัมมากัมมันตะ การงานชอบทเ่ี กย่ี วกบั กาย ก็คือการนั่ง
ภาวนาหรอื เดนิ จงกรม อนั เปน ความเพยี รละกเิ ลสในทา ตา ง ๆ ท่ีเกย่ี วกับทางใจก็คือวิริยะ
ความพากเพยี รทางใจ
สมั มาวาจา พูดกนั แตเรือ่ งอรรถเร่อื งธรรม การสนทนากนั กม็ แี ตเ รอ่ื ง “สลั เลข
ธรรม” ธรรมเปน เครอ่ื งขดั เกลา หรือชําระลา งกเิ ลสอาสวะออกจากจติ ใจ วา เราจะทาํ ดว ย
วิธีใดกิเลสจึงจะหมดไปโดยสิ้นเชิง นค่ี อื สมั มาวาจา สมั มาอาชวี ะ อารมณอันใดทเ่ี ปนขา ศึก
ตอจิต เมอ่ื นาํ เขา มาเปน อารมณข องใจเรยี กวา “เลี้ยงชีพผิด” เพราะเปนขาศึกตอจิต จติ
ตองมีความมัวหมองไมใชของดี ตองเปนทุกขขึ้นมาภายในใจมากนอยตามสวนแหงจิตที่มี
ความหยาบละเอยี ดขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั นี่ก็ชื่อวา“เปน ยาพษิ ” เลี้ยงชีพไมชอบ ตองแกไขทัน
ที ๆ
อารมณของจติ ทเี่ ปน ธรรม อนั เปน ไปเพอ่ื ความรน่ื เรงิ เปน ไปเพอ่ื ความสขุ ความ
สบายนน่ั แล คืออารมณท เี่ หมาะสมกบั จติ และเปน อาหารทเ่ี หมาะกบั ใจ ทาํ ใหใ จเกดิ ความ
สงบสขุ การเลย้ี งชีพชอบจึงเลี้ยงอยางน้ี โดยทางธรรมขั้นปฏิบัติตอจิตเปนขั้น ๆ ขึ้นไป
สว นการเลย้ี งชพี ชอบทางรา งกายดว ยอาหารหรอื บณิ ฑบาตนน้ั เปน สาธารณะสาํ หรบั ชาว
พุทธทั่ว ๆ ไปจะพึงปฏิบัติใหเหมาะสมกับหนาที่ของตน ๆ
สมั มาวายามะ เพียรชอบ เพียรอะไร ? นเ่ี รากท็ ราบ ทา นบอกเพยี รใน ๔ สถาน คือ
พยายามระวงั ไมใ หบ าปเกดิ ขน้ึ ในตนหนง่ึ พยายามละบาปที่เกิดขนึ้ แลว ใหหมดไป การ
ระวงั บาปตอ งระวังดว ยความมีสติ พยายามสาํ รวมระวงั อยา ใหบ าปเกดิ ขน้ึ ดว ยสติ คอื ระวงั
จิตที่จะคิด เทย่ี วกวา นเอาความทกุ ขค วามทรมานเขา มาสจู ติ ใจนน่ั เอง เพราะความคดิ
ความปรุงในทางไมดีนั้นเปนเรื่องของ “สมุทัย” จงึ พยายามระวังรักษาดวยดี อยา ประมาท
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕
๖
หนง่ึ พยายามเจรญิ สง่ิ ทเ่ี ปน กศุ ล เปน ความเฉลยี วฉลาด ใหมมี ากขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ หนง่ึ
และเพยี รระวงั รกั ษากศุ ลทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ ยง่ิ ขน้ึ อยาใหเ ส่ือมไปหน่งึ
“สมั มปั ปธาน ส่”ี ทท่ี า นวา กอ็ ยทู ต่ี วั เรานแ้ี ล “สัมมาสติ” กด็ อู ยูใ นใจของเราน่ี
การเคลื่อนไหวไปมา ความระลกึ ความรตู วั น้ี รอู ยตู ลอดเวลา อะไรมาสัมผสั ทางตาทางหู
ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย ไมเขาไปสูใจจะไปที่ไหน ใจเปน สถานทใ่ี หญโ ตคอยรบั ทราบเรอ่ื ง
ราวตา ง ๆ ทั้งดีทั้งชั่วอยูตลอดเวลา ปญ ญาเปน ผวู นิ จิ ฉยั ใครค รวญ สตเิ ปน ผคู อยดตู รวจ
ตราพาชอี ยเู สมอ ในเมื่ออะไรเขามาเกี่ยวของกับใจ เปน ดหี รอื เปน ชว่ั อารมณช นดิ ใด สติ
ปญ ญาใครค รวญเลอื กเฟน ในอารมณต า ง ๆ ท่เี ขา มาเกย่ี วของกบั ใจ อันใดที่เห็นวาไมชอบ
ธรรม จิตจะสลัดปดทิ้งทันที ๆ คือปญ ญาน่ันแหละเปนผทู าํ การสลดั ปดทิ้ง แนะ
“สมั มาสมาธิ” การงานเพ่ือสงบกเิ ลสโดยสมาธิกม็ ่นั คงอยูตลอดเวลา จนปรากฏ
ผลเปน ความสงบเยน็ แกใ จทพ่ี กั งานอยา งแทจ รงิ ไมมีความฟงุ ซานเขา มากวนใจในขณะนั้น
ประการหนง่ึ
ในขณะทีจ่ ะเขา สมาธิเปนการพักผอนจิต เพอ่ื เปนกําลังของปญญาในการคนควาตอ
ไปก็พักเสีย พักในสมาธิ คอื เขาสคู วามสงบ ไดแ กห ยดุ การปรงุ การแตง การคดิ คน ควา ทาง
ดานปญญาโดยประการทั้งปวง ใหจ ติ สงบตวั เขา มาอยอู ยา งสบาย ไมตองคิดตองปรุงอะไร
ซึ่งเปนเรื่องของงาน พกั จติ ใหส บายโดยความมอี ารมณเ ดยี ว หากวา จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ
ตอการพิจารณาไปมากจะยับยั้งไวไมได เรากเ็ อา “พุทโธ” เปน เคร่อื งฉุดลากเขามา ใหจ ติ
อยูกับ “พุทโธ ๆๆ”
คาํ บรกิ รรมกบั “พุทโธ” น้ี แมจะเปน ความคดิ ปรุงก็ตาม แตเปน ความคดิ ปรงุ อยู
ในธรรมจดุ เดยี ว ความปรงุ อยใู นธรรมจดุ เดยี วนน้ั เปน เหตใุ หจ ติ มคี วามสงบตวั ได เชน คํา
วา “พุทโธ ๆๆ” หากจติ จะแยบ็ ออกไปทาํ งานเพราะความเพลดิ เพลนิ ในงาน งานยังไม
เสรจ็ เรากก็ าํ หนดคาํ บรกิ รรมนน้ั ใหถ ย่ี บิ เขา ไป ไมยอมใหจิตนี้ออกไปทํางาน คือจิตขั้นที่
เพลนิ กบั งานนน้ั มอี ยู ถาพูดแบบโลกกว็ า “เผลอไมได” แตจะวาจิตเผลอกพ็ ูดยาก การ
พูดที่พอใกลเคียงก็ควรวา “รามือไมได” พูดงาย ๆ วายังง้นั เรารามอื ไมไ ด จิตจะตอง
โดดออกไปหางาน ตอนนต้ี อ งหนกั แนน ในการบรกิ รรม บังคบั จิตใหอ ยกู ับอารมณอันเดยี ว
คือ พุทโธ เปน เครอ่ื งยบั ยง้ั จติ กาํ หนด พุทโธ ๆๆๆ ใหถ่ยี บิ อยนู ั้น แลว พุทโธ กับจิตก็
เปน อนั เดยี วกนั ใจกแ็ นว สงบลง สงบลงไป กส็ บาย ปลอยวางงานอะไรทั้งหมด ใจก็เยือก
เยน็ ขน้ึ มา นี่คือสมาธิที่ชอบ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๖
๗
ในขณะที่จะพักตองพักอยางนี้ ทา นเรยี กวา “สมั มาสมาธิ” เปนสมาธิชอบ พอสม
ควรเหน็ วา ใจไดก าํ ลงั แลว เพียงปลอยเทานั้นแหละจิตจะดีดตัวออกทํางานทันทีเลย ดีด
ออกจากความเปนหนง่ึ ความเปน อารมณอ นั เดยี วนน้ั แลวกเ็ ปน สองกับงานละทนี ี้ ใจ
ทํางานตอไปอีก ไมหวงกับเรื่องของสมาธิในขณะที่ทํางาน ในขณะที่ทําสมาธิเพื่อความสงบ
ก็ไมตองหวงกับงานเลยเชนเดียวกัน
ขณะที่พักตองพัก เชน ในขณะทร่ี บั ประทานตอ งรบั ประทาน ไมตองทํางานอะไรทั้ง
นน้ั นอกจากทาํ งานในการรบั ประทาน จะพกั นอนหลบั กน็ อนหลบั ใหส บาย ๆ ในขณะที่
นอนไมตองไปยุงกับงานอะไรทั้งสิ้น แตเ วลาทเ่ี ร่ิมทํางานแลว ไมต อ งไปยงุ ในเรือ่ งการกิน
การนอน ตง้ั หนา ทาํ งานจรงิ ๆ นไ่ี ดช อ่ื วา ทาํ งานเปน ชน้ิ เปน อนั ทาํ งานเปน วรรคเปน ตอน
ทาํ งานถกู ตอ งโดยกาลโดยเวลาเหมาะสมกบั เหตกุ ารณ เรยี กวา สัมมากัมมันตะ
“สัมมากัมมันตะ” คือการงานชอบ ไมกาวกายกัน เปน งานทเ่ี หมาะสม
เรื่องสมาธิปลอยไมได การปฏิบตั ิเพ่ือความร่นื เรงิ ของใจ การเหน็ วา “สมาธ”ิ อยู
เฉย ๆ ไมเกิดประโยชนนั้นไมถูก ถาผูติดสมาธิไมอยากออกทํางานเลยอยางนั้น เหน็ วา ไม
ถูกตองควรตําหนิ เพื่อใหผูนั้นไดถอนตัวออกมาทํางาน แตถ า จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ ในงาน
แลว เรอ่ื งของสมาธกิ ม็ คี วามจาํ เปน ในดา นหนง่ึ ในเวลาหนง่ึ จนได คนเราทาํ งานไมพักผอ น
นอนหลบั บางเลยนท้ี าํ งานตอ ไปไมได แมจ ะรบั ประทานอาหาร สมบตั เิ สยี ไปดว ยการรบั
ประทานกใ็ หม นั เสยี ไป ผลที่ไดคือธาตุขันธมีกําลังจากการรับประทาน ประกอบการงาน
ตามหนาที่ตอไปไดอีก เงนิ จะเสยี ไป ขา วของอะไรทน่ี าํ มารบั ประทานจะเสยี ไป ก็เสียไป
เพื่อเกิดประโยชน เพอ่ื เปน พลงั ในรา งกายเราจะเปน อะไรไป ใหม นั เสยี ไปเสยี อยา งน้ี ไม
เสยี ผลเสยี ประโยชนอ ะไร ถา ไมร บั ประทานจะเอากาํ ลงั มาจากไหน ตองรับประทาน เสยี ไป
ก็เสียไปเพื่อกําลัง เพื่อใหเกิดกําลังขึ้นมา
นี่การพักในสมาธิ ในขณะที่พักใหมีความสงบ ความสงบนัน้ แลเปนพลังของจิต ที่
จะหนุนทางดานปญญาไดอยางคลองแคลว เราตองพักใหมีความสงบ ถา ไมสงบเลยมแี ต
ปญ ญาเดนิ ทา เดยี ว ก็เหมือนกับมีดไมไดลับหิน ฟนตุบ ๆ ตั๊บ ๆ ไมท ราบวา เอาสนั ลงเอา
คมลง มแี ตค วามอยากรอู ยากเหน็ อยากเขา ใจ อยากถอนกิเลสโดยถายเดียว โดยที่ปญญา
ไมไดลับจากการพักสงบ อนั เปน สง่ิ ทห่ี นนุ หลงั ใหเ ปน ความสงบเยน็ ใจ ใหเปนกําลังของใจ
แลวมันก็เหมือนกับมีดที่ไมไดลับหินนะซี ฟนอะไรก็ไมคอยขาดงาย ๆ เสยี กาํ ลงั วงั ชาไป
เปลา ๆ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๗
๘
เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ความเหมาะสม ในขณะที่พักสงบจิตในเรือนสมาธิตองใหพัก การ
พักผอนจึงเหมือนเอาหินลับปญญานนั่ เอง การพักธาตุขันธ คือสกลกายก็มีกําลัง การพัก
จติ จิตก็มีกําลังดวย
พอมีกําลังแลว จิตออกคราวนี้ก็เหมือน “มดี ไดล บั หนิ แลว ” อารมณอ นั เกา นน้ั แล
ปญ ญาอนั เกา นน้ั แล ผพู จิ ารณาคนเกา นน้ั แล แตพอกาํ หนดพจิ ารณาลงไป มันขาดทะลุไป
เลย คราวนเ้ี หมอื นกบั คนทพ่ี กั ผอ นนอนหลบั รบั อาหารใหส บาย ลบั มดี พรา ใหเ รยี บรอ ย
แลว ไปฟนไมทอนนั้นแล คน ๆ นน้ั มีดก็เลมนั้น แตมันขาดไดอยางงายดาย เพราะมีดก็
คม คนก็มีกําลัง
นอ่ี ารมณก อ็ ารมณอ นั นน้ั แล ปญญาก็ปญญาอันนั้นแล ผปู ฏบิ ตั คิ นนน้ั แล แตได
“ลบั หนิ ” แลว กําลังของจิตก็มีแลวเปนเครื่องหนุนปญญา จึงแทงทะลุไปไดอยางรวดเร็ว
ผิดกับตอนไมไดพักในสมาธิเปนไหน ๆ
เพราะฉะนั้นเรื่องของสมาธิกับเรื่องของปญญา จงึ เปนธรรมเก่ยี วเนอ่ื งกนั เปน แต
เพยี งทาํ งานในวาระตา ง ๆ กนั เทา นน้ั วาระทจ่ี ะทาํ สมาธกิ ท็ าํ เสยี วาระนจ้ี ะพจิ ารณาทาง
ดา นปญ ญาใหเ ตม็ อรรถเตม็ ธรรม เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เต็มสติกําลัง พจิ ารณาลงไปใหเ ตม็
เหตุเตม็ ผล เวลาจะพักก็พักใหเต็มที่เต็มฐานเหมือนกัน ใหเ ปน คนละเวลาไมใ หก า วกา ยกนั
แบบทัง้ จะพิจารณาทางดา นปญ ญา ท้ังเปนหว งสมาธิ เวลาเขา สมาธแิ ลว กเ็ ปน อารมณก บั
เรื่องปญญา อยางนี้ไมถูก จะปลอยทางไหน จะทาํ งานอะไรใหท าํ งานนน้ั จรงิ ๆ ใหเ ปน ชน้ิ
เปนอัน นี่ถูกตองเหมาะสม สมั มาสมาธิ กเ็ ปน อยา งนจ้ี รงิ ๆ
เรื่องของกิเลสเปนเรื่องกดถวงจิตใจ จติ เรานเ่ี หมอื นเปน นกั โทษ ถูกกิเลสอาสวะทั้ง
หลายครอบงาํ อยตู ลอดเวลา และบงั คบั ทรมานจติ ใจมาตลอดนบั แตเ กดิ มา
เมื่อปญญาไดถอดถอนกิเลสออกโดยลําดับ ๆ แลว ใจกม็ ีความสวางไสวขน้ึ มา
ความเบาบางของจติ กเ็ ปน คณุ อนั หนง่ึ ที่เกิดขึ้นจากการที่ถอดถอนสิ่งที่เปนภัย สงิ่ ที่สกปรก
ออกได เรากเ็ หน็ คณุ คา อนั น้ี แลว พจิ ารณาไปเรอ่ื ย ๆ
รวมแลว กิเลสอยูทไ่ี หน ภพชาติอยูที่ไหน กม็ อี ยทู ีใ่ จดวงเดียวน้แี หละ นอกนัน้ เปน
กิ่งกานสาขา เชน ออกไปทางตา ทางจมูก ทางหู ทางลิ้น ทางกาย แตตนของมันจริง ๆ อยู
ที่ใจ เวลาพจิ ารณาสง่ิ เหลา นน้ั รวมเขา มา รวมเขา มาแลว จะเขา มาสจู ติ ดวงเดยี วน้ี “วฏั วน”
ไมไดแกอะไร ไดแ กจ ติ ดวงเดยี วนเ้ี ปน ผหู มนุ ผเู วยี น เปน ผพู าใหเ กดิ ใหต ายอยเู ทา น้ี เพราะ
อะไร ? เพราะเชอ้ื ของมันมีอยูภายในใจ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘
๙
เมอ่ื ใชส ตปิ ญ ญาพจิ ารณาคน ควา เหน็ ชดั และตดั เขา มา ๆ เปน ลาํ ดบั ๆ จนเขาถึงจิต
ซง่ึ เปน ตวั การ มี “อวิชชา” ซึ่งเปนสง่ิ สําคัญมากทเี่ ปนเช้อื “วฏั ฏะ” อยภู ายในใจ แยกลง
ไปพิจารณาลงไป ๆ ไมใหมีอะไรเหลืออยู วา นค้ี อื นน้ั นน้ั คอื นน้ั กําหนดพจิ ารณาลงไปที่
จติ เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทว่ั ๆ ไป
แมใ จจะมคี วามสวา งไสวขนาดไหนกต็ าม ก็พึงทราบวา นี้เปน เรอื นใจท่ีพอพักอาศยั
ไปชว่ั กาลชว่ั เวลาเทา นน้ั หากยงั ไมสามารถพจิ ารณาใหแตกกระจายลงไปได แตเ ราอยา ลมื
วา จิตทีม่ คี วามเดนดวงนี้แลคืออวิชชาแท ใหพ จิ ารณาเอาอนั นน้ั แหละเปน เปา หมายแหง
การพจิ ารณา
เอา ! อันนจี้ ะสลายลงไปจนหมดความรไู มมีอะไรเหลือ กระทั่ง “ผรู ”ู จะฉบิ หาย
จมไปดว ยกันกใ็ หรูเสยี ที เราพจิ ารณาเพอ่ื หาความจรงิ เพอ่ื รคู วามจรงิ ตองใหลงถึงเหตุถึง
ผลถึงความจริงทุกสิ่งทุกอยาง อะไรจะฉิบหายลงไปก็ใหฉบิ หาย แมที่สุด “ผรู ”ู ที่กําลัง
พจิ ารณาอยนู จ้ี ะฉบิ หายไปตามเขา ก็ใหรูดวยสติปญญา ไมต อ งเหลอื ไวว าอะไรเปน เกาะ
เปน ดอนหลอกเรา อะไรเปน เรา อะไรเปน ของเรา ไมม เี หลอื ไวเ ลย พจิ ารณาลงไปใหถ ึง
ความจริงไปดวยกันหมด
สง่ิ ทเี่ หลือหลงั จากกิเลส “อวิชชา” ทถ่ี กู ทาํ ลายลงโดยสน้ิ เชงิ แลว นน้ั แล คือสิ่งที่
หมดวิสัยของสมมุติที่จะเอื้อมเขาถึงและไปทําลายได นน้ั แลทา นเรยี กวา “จติ บรสิ ทุ ธ์ิ”
หรอื “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ ธรรมชาติแหงความบรสิ ทุ ธิน์ ไี้ มม อี ะไรทําลายได
กิเลสเปนสิ่งสมมุติที่เกิดขึ้นไดดับได เพราะฉะนัน้ จึงชาํ ระได มีมากขึ้นได ทาํ ใหล ด
ลงได ทําใหหมดสิ้นไปก็ได เพราะเปนเรื่องของสมมุติ
แตจ ติ ลว น ๆ ซง่ึ เปน ธรรมชาตทิ เ่ี รยี กวา “จิตตวิมุตต”ิ แลว ยอ มพน วิสยั แหงกิเลส
ทั้งมวลอันเปนสมมุติจะเอื้อมเขาถึงและทําลายได ถายังไมบริสุทธิ์มันก็เปนสมมุติเชนเดียว
กบั สง่ิ ทง้ั หลาย เพราะสงิ่ สมมุตนิ น้ั แทรกตัวอยูในจติ เมื่อแกนี้ออกจนหมดแลว ธรรมชาติท่ี
เปน วมิ ตุ ตนิ แ่ี ล เปน ธรรมชาตทิ ก่ี เิ ลสใด ๆ จะทําอะไรตอไปไมไดอีก เพราะพน วสิ ยั แลว
แลว อะไรฉบิ หาย ?
ทุกขก็ดับไปเพราะสมุทัยดับ นิโรธความดับทุกขก็ดับไป มรรคเครอ่ื งประหารสมทุ ยั
ก็ดับไป สัจธรรมทั้งสี่ดับไปดวยกันทั้งนั้น คือ ทุกขก็ดับ สมุทัยก็ดับ มรรคก็ดับ นิโรธก็ดับ
แนะ ! ฟงซิ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙
๑๐
อะไรท่รี ูวา “ส่ิงนน้ั ๆ ดับไป” นน่ั แลคอื ผไู มใ ชส จั ธรรม ผนู ผ้ี เู หนอื สจั ธรรม การ
พจิ ารณาสจั ธรรม คอื การพจิ ารณาเพอ่ื ผนู เ้ี ทา นน้ั เมื่อถึงตัวจริงนี้แลว สัจธรรมทั้งสี่ก็หมด
หนาที่ไปเอง โดยไมตองไปชําระ ไมตองไปแกไข ไมตองไปปลดเปลื้อง เชน ปญ ญาเรา
ทาํ งานเตม็ ทแ่ี ลว ปญ ญาเราปลอ ยได ไมตองมีกําหนดกฎเกณฑ สติก็ดี ปญญาก็ดี ที่เปน
เครอ่ื งรบ พอสงครามเลิก ขาศึกหมดไปแลว ธรรมเหลา นกี้ ็หมดปญหาไปเอง นน่ั
อะไรเหลืออยู ? กค็ อื ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แหละ พระพุทธเจาที่ทรงประกาศธรรมสอน
โลก ก็เอาจากธรรมชาติทบี่ รสิ ุทธิน์ ี้แลไปสอน ศาสนธรรมออกจากธรรมชาติอันนี้ และ
อบุ ายแหง การสอน ตองสอนทั้งเรื่องของทุกข เรื่องของสมุทัย ของนโิ รธ ของมรรค เพราะ
อาการเหลา นน้ั เปน อาการเกย่ี วขอ งกบั จติ ดวงน้ี ใหรวู ิธีแกไ ข รวู ธิ ดี บั รวู ิธีบําเพ็ญทกุ สิ่งทุก
อยา ง จนถงึ จดุ หมายปลายทาง อันไมตองพูดอะไรตอไปอีกแลว ไดแกค วามบรสิ ทุ ธิ์ จติ
ออกสูโลกนอกแลวทีนี้ ออกจากเรอื นจาํ แลว ไปสโู ลกนอกคอื ความอสิ รเสรี ที่ไมตองถูกคุม
ขังอีกแลว
แตโลกนี้ไมม ใี ครอยากไปกนั เพราะไมเ คยเหน็ โลกนเ้ี ปน โลกสาํ คญั “โลกุตระ”
เปนแดนสงู กวาโลกทวั่ ไป แตเ ราเพยี งวา “โลกนอก” นอกจากสมมุติทั้งหมด เรยี ก
“โลก” ไปยังงั้นแหละ เพราะโลกมีสมมุติก็วากันไปอยางนั้น ใหพิจารณาออกจากที่คุมขังนี้
ซิ เกิดก็เกิดในที่คุมขัง อยูก็อยูในที่คุมขัง ตายก็ตายในที่คุมขัง ไมไดตายนอกเรือนจําสักที
เอาใหใจไดออกนอกเรือนจําสักทีเถิด จะไดแ สนสบาย ๆ ดังพระพุทธเจาและสาวกทั้ง
หลายทา น ทา นกเ็ กดิ ในเรอื นจาํ เหมอื นกนั แตทานออกไปตายนอกเรือนจํา ออกไปตาย
นอกโลก ไมไ ดตายอยูใ นโลกอนั คบั แคบน้ี
ขอยุติการแสดง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐
๑๑
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่อื วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
วฏั จกั ร
ปญหาของโลกในปจจุบันนี้ที่มีมากก็คือปญหาที่ “ตายแลว เกดิ ” ดูจะมีนอย “ตาย
แลว สญู ” รูสึกวาจะมีมากขึ้นทุกที ซึ่งเปนปญหาใหญตอจิตใจของนักเกิดนั่นแหละ
การเขา ใจวา ตายแลว สญู นน้ั กค็ อื เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ขา ใจ ไมใ ชค วามจรงิ พาใหเ ขา
ใจ ผเู ชอื่ ความสาํ คญั ของกเิ ลสจงึ ทาํ ผดิ เรอ่ื ย ๆ แลว ก็ “เกิด” ไมหยุด ทุกขไมถอย ไมมี
เวลาลดนอ ย เพราะความคิดเชน นน้ั เปนการสง เสรมิ กิเลสและกองทุกขท งั้ สนิ้
คนทเ่ี ขา ใจวา ตายแลว สญู นน้ั ยอ มไมค ดิ เตรยี มเนอ้ื เตรยี มตวั เพอ่ื อนาคต
เพราะหมดหวงั แลว ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เปนไป ทไ่ี ดป ระสบพบเหน็ ตา ง ๆ ทั้ง ๆ ทเ่ี ราไมห วังก็
ตามมีอยู และสิ่งสําคัญที่มีอยูขณะนี้คือมีอยูทุกขณะก็คือใจ ปญ หานจ้ี งึ เปนปญ หา
“เพชฌฆาต” เกิดขึ้นมาเพื่อทําลายตัวเองโดยแท การทําลายตัวเองไปในตัวไมมีชิ้นดีแฝง
อยบู า งเลยนน้ั จดั วา เปน คนหมดหวงั ราวกบั โลกทห่ี มดหวงั ไมม ใี ครชวยไดน ้นั เอง
ผทู ม่ี คี วามเขา ใจวา ตายแลว เกดิ ยอ มมกี ารระมดั ระวงั ตวั และกลวั บาป โดยคิด
วา ถา เกดิ แลว จะเปน อยา งไร หากวา เราทาํ ไมด เี สยี อยา งน้ี เวลาไปโดนความทกุ ขเ ขา ในเวลา
ไปเกิดใหม ก็จะไดรับสิ่งที่ไมพึงใจทั้งหลายเปนเครื่องตอบแทน ซ่ึงเปน สิง่ ทีไ่ มปรารถนา
อยางยิ่ง แลวก็ไมกลากระทํา เพราะอยางไรเสียจิตก็ตองไปเกิดอีกดวยผลแหงกรรมนั้น ๆ
ผูนี้จึงมักมีความระมัดระวังและขยะแขยงตอสิ่งที่ไมดีไมพึงปรารถนา และก็ไมกลาทําลงไป
แตพ วกทเ่ี ชอ่ื วา ตายแลว สญู นน้ั รสู กึ จะเหน็ วา สญู ไปโดยประการทง้ั ปวง ในเรอ่ื ง
บาปเรื่องบุญคุณโทษอะไรทั้งหมด พอยังมลี มหายใจอยเู ทาน้นั เมอ่ื สน้ิ ลมหายใจแลว ก็
หมดหวงั ไมมีความดี ความสุขสนองตอบ นอกจากความทุกขความไมดีที่ตนเขาใจวาไมมี
เทา นน้ั จะใหผ ลแกผ นู น้ั การทาํ บญุ ทําบาปจงึ ไมมคี วามหมายอะไรทง้ั สนิ้ กับเขา นอกจาก
เปน ความตอ งการในปจ จบุ นั จะทําอะไรก็ทําตามใจชอบ ผิดหรือถูกไมคํานึง ผมู คี วามคดิ
เชนนี้ไดชื่อวาทําลายตนเองไปในตัวทุกระยะที่คิดและทําลงไป
ในหลักธรรมของพระพุทธเจาก็มีไว คือเจา ทฐิ ติ า ง ๆ ซง่ึ มาสนทนาธรรมกบั พระ
พุทธเจา สตั วต ายแลว สญู บา ง ตายแลว เกดิ บา ง ทุกสิ่งทุกอยางเที่ยงบาง สตั วที่เคยเกดิ เปน
ชนิดใดก็ตองเกิดเปนชนิดนั้นบาง เชน ใครเคยเกดิ เปน คนกต็ อ งเปน คนเรอ่ื ยไป เที่ยงตอ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑
๑๒
กําเนิดของตนที่เคยเกิดเปนอะไร กลายเปนความเท่ยี งไปหมด น่ีก็เปน เรื่องของความ
สาํ คญั ไมใชความจริงซ่งึ มีอยใู นสันดานของสัตวเ ต็มโลก
เร่ืองของกเิ ลสเปนส่งิ ท่นี ากลวั มาก เม่อื พิจารณาและเรียนเรือ่ งของกเิ ลสซึง่ มีอยู
ภายในใจของเรา ดว ยหลกั ธรรมเปน เครอ่ื งพสิ จู นโ ดยลาํ ดบั แลว เราจะยง่ิ เหน็ กเิ ลสเปน สง่ิ
ทน่ี า กลวั มาก เพราะแทบทกุ สิ่งซ่งึ เปน เครอ่ื งหลอกลวงจากกิเลส อนั ทาํ ใหส ตั วเ ปน ภยั เสมอ
ไป แทบจะพูดไดวา ทุกระยะทีเ่ ปน ความกระซิบกระซาบ เปน ความบงั คบั บญั ชา อาํ นาจมาก
อํานาจนอย มักมีอยูกับกิเลสทั้งสิ้น จติ ใจเราก็คลอยตามมัน คลอยตามมันจนลืมตัว วา คดิ
เชนนั้นเปนสิ่งถูกตองไปหมด แมที่ไมนาเชื่อก็เชื่อไปเลย ทเ่ี รยี กวา “ลืมตัวอยางมืดมิด”
ไมท ราบไดว าส่ิงทคี่ ดิ นน้ั เปน ทางถกู หรอื ทางผดิ เพราะเคยเช่อื ธรรมชาตทิ ่ีพาใหงมงายนี้มา
นานแลว
กเิ ลสเปน ธรรมชาตทิ ไ่ี มม คี า สาํ หรบั ผทู ม่ี คี า และความเปน ผมู คี ณุ คา คอื ตวั เรา จงึ
ตองระวังเสมอ
การท่ีจะพิสจู นเรอื่ งเกดิ เรื่องตายนี้ เราจะพสิ จู นอ ยา งไร ? ไปเรียนท่ีไหนไมสน้ิ ไม
สดุ และกไ็ มส ามารถทจ่ี ะระงบั ดบั ความสาํ คญั อนั ดน เดาเหลา นน้ั ได นอกจากการปฏิบัติตอ
จติ ใจโดยเฉพาะ คือ “จติ ตภาวนา” งานน้เี ปนทางตรงแนว ตอความจริงที่จติ จะพงึ ทราบ
จิตจะตองทราบดว ยวิธีน้ีแนน อน เพราะปราชญท งั้ หลายมีพระพทุ ธเจาเปนตน ทรงทราบ
จากวธิ นี เ้ี ปน หลกั ใหญ
การคิดตรองตองมี “จติ ตภาวนา” เปน หลกั ยืนตัว จงึ จะสามารถเขา ถงึ ความ
จรงิ อยางอื่นไมมีทางทราบได จะเรยี นมากเรยี นนอ ยกต็ าม แตไมไดประมาทเพราะการ
เรยี นไมใ ชก ารชาํ ระกเิ ลส เปน การจดจาํ เอาตามการเรยี นมาเฉย ๆ แตกเิ ลสกเ็ ปน กเิ ลสอยู
โดยดี ถา เราไมแ กก เิ ลส กเิ ลสกม็ อี ยเู ตม็ หวั ใจตามเดมิ ราวกบั คนไมเ รยี นไมล ะกเิ ลสนน่ั
แล เหมอื นอยา งเขาสรา ง “แปลนบา นแปลนเมอื ง” จะทําแปลนไดกี่มากนอยมันก็เปน
แปลนอยเู ปลาดี ๆ นน่ั แหละ ถาเราไมล งมือทํามันกไ็ มเปน ตัวบานตัวเรอื นขึน้ มาได
การเรยี นธรรม การจดจําชื่อเสียงของกิเลส จะเรยี นกนั ไปขนาดไหนกเ็ รยี นไปจาํ กนั
ไปแตชื่อ ความจรงิ มนั กเ็ ปน “กเิ ลส” ของมันอยูอยางนั้น ไมบ กพรองลงบางเลยจนนดิ
เดียวดว ยการทองจํา จึงไมมีประโยชนอะไรที่จะจดจําเปลา ๆ ไมส ามารถจะแกกเิ ลสตา ง ๆ
ภายในจติ ใจได นอกจากจะปฏิบัติเพื่อละเพื่อถอนมันไปโดยลําดับ ดังที่ปราชญทั้งหลายพา
ดาํ เนนิ มาจนถงึ “ความบรสิ ทุ ธพ์ิ ทุ โธ” เตม็ ดวงใจเทา นน้ั
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒
๑๓
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏเิ วธ ทั้งสามนี้เปนธรรมสามัคคีกันขาดไปไมได ถา อยากเหน็ กเิ ลส
หลุดลอยออกจากใจ ถา อยากเปนผูรบั เหมากเิ ลสทงั้ มวลกองเต็มหวั ใจ กเ็ พยี งเรยี นเอา จด
จําเอาแตชื่อของมันก็พอตัวแลว แทบเดินไมไหว เพราะหนกั คมั ภรี ใ บลานทเ่ี รยี นจดจาํ มา
เปลา ๆ โดยเขา ใจวา ตนเปน ปราชญฉ ลาดพอตวั ทง้ั ที่กเิ ลสเตม็ หวั ใจ
การปฏิบัติ เชน จติ ตภาวนา คือการปฏิบัติตอจิตใจตัวเอง เปน การเรยี นเรอ่ื งจติ ใจ
ของตนโดยตรง วิถีใจชอบคิดไปในทางใดบาง มีมากนอ ยหนักเบาไปในทางใด ? ทางดี
หรือชว่ั มีธรรมคือสติปญญาเปนตน เปน เครอ่ื งพสิ จู นอ ารมณอ ยเู สมอ ธรรมทา นสอนไว
อยางไร อะไรทค่ี วรเอาชนะ ทค่ี วรจะระวงั ท่ีควรจะดบั ทค่ี วรจะสง เสรมิ ทา นบอกไวหมด
เชน จิตมีความฟุงซานซึ่งเปนการกอกวนตัวเอง เวลาฟงุ ซานมากกก็ อ กวนมาก
ทาํ ลายตนมาก ใหพ ยายามระงบั ดบั ความคดิ เหลา นน้ั ดว ยอบุ ายตา ง ๆ มีสติปญญาเปน
สาํ คญั ตามแตจ ะเหน็ ควร เชน การกาํ หนดภาวนา มีธรรมบทใดเปน หลกั ยึดแทนอารมณท่ี
เคยทาํ ใหฟ งุ ซา นนน้ั เสยี จิตก็ยอมมีทางสงบลงได พอจิตสงบลงไดก็ทราบวา จิตพักงานที่
แสนวนุ วายลงไดเ ปน พกั ๆ เพยี งเทา นก้ี พ็ อทราบเบอ้ื งตน แหง การภาวนาวา มีผลเปน
ความสงบสขุ ทางใจ ถาเปนโรคก็ถูกกับยา หรอื ระงบั ลงแลว ดว ยยา พอมีทางพยาบาลรักษา
ใหห ายไดโ ดยลาํ ดบั จนหายขาดไดด ว ยยาขนานตา ง ๆ จิตใจตองสงบเย็น เหน็ ผลโดย
ลาํ ดบั ดว ยธรรมแขนงตา ง ๆ จนถงึ ขน้ั บรสิ ทุ ธไ์ิ ดด ว ยธรรม
เมื่อจิตมีพลังทั้งหมดมั่นคงเขาไปเปนลําดับ ๆ ก็ยอมทราบชัด และทราบเรอื่ งของ
ธาตุของขันธไปโดยลําดับ โดยทางปญญาเปนอยางนั้น ๆ จนทราบวา ธาตขุ นั ธเ หลา นม้ี นั
ไมใชอยางเดียวกัน แมจ ะอาศยั กนั อยรู าวกบั เปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั กต็ าม เปรยี บเทยี บ
เหมอื นกบั เรามาอาศยั อยใู นบา น บา นนน้ั เปน บา น เราเปน เรา จะอยใู นบา นเรากเ็ ปน เราคน
หนง่ึ ตางคนตางอยู เปนแตอาศัยกนั อยชู ัว่ กาล ฉะนน้ั บา นจงึ ไมใ ชเ รา เราจงึ ไมใ ชบ า น บา น
เปน สมบตั ขิ องเรา ธาตุขันธเปนสมบัติของเราคือใจ แตเ รานไ้ี มใ ชบ า นและเราไมใ ชธ าตุ
ขันธ ธาตุขนั ธไ มใชเรา แตเ พียงอาศัยและเปนความรับผิดชอบกนั อยู ฉะนน้ั เราจะเรยี กวา
ธาตุขันธเปนของเราตามสมมุติก็ไมผิด แตอยางไร ๆ มันก็เปนคนละอยางอยูดี
การเรยี นจติ ตภาวนายอ มทราบความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั ๆ ดังที่อธิบายมา และการ
เรยี นเชน นเ้ี ปน ภาคปฏบิ ตั เิ พอ่ื กาํ จดั กเิ ลสโดยตรง
ครั้งพทุ ธกาลทานเรียนเพอ่ื ปฏบิ ตั กิ าํ จัดกิเลสตาง ๆ ออกจากใจจริง ๆ ไมไดเรียน
เพอ่ื เอาชอ่ื เอานามของกเิ ลสบาปธรรม และชน้ั ภูมิ ตรี โท เอก มหาเปรยี ญ อยางเดยี ว โดย
มใี บประกาศนยี บตั รรบั รอง อนั เปน ราวกาํ แพงรกั ษาความปลอดภยั ใหก เิ ลสผาสกุ สนกุ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓
๑๔
แพรพันธุออกลูกออกหลาน สรา งบา นสรา งเรอื นทข่ี บั ถา ยบาํ รงุ บาํ เรอบนหวั ใจสตั วโ ลก ดั่ง
ทเ่ี ปน อยเู หน็ อยนู เ้ี ลย
ชนั้ ภมู ิของทานทไ่ี ดรับสว นผลจากการปฏิบตั ิ กเ็ ปนกลั ยาณชน อริยชน เปนขั้น ๆ
โดยสนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เปนเครอื่ งรบั รองตัวเองตามหลกั ความจรงิ ของภูมธิ รรมนั้น ๆ สมกบั ธรรม
เปน สวากขาตธรรม ที่ตรัสไวชอบ ไดผลเปนที่พึงใจตามพระประสงคที่ทรงสั่งสอนสัตวโลก
ดวยธรรมของจริง อันประกอบดวยพระเมตตาเต็มพระทัยไมเคยบกพรองแตตน จนถึง
เวลาจะเสดจ็ ดบั ขนั ธป รนิ พิ พาน องคพ ยานวาระสดุ ทา ย คือพระสุภัททะปจฉิมสาวก ผบู วช
ในราตรจี ะปรนิ พิ พาน ซง่ึ ตง้ั หนา ทาํ ความเพยี ร ยงั กเิ ลสทง้ั มวลใหส น้ิ ซากในคนื วนั นน้ั จาก
พระโอวาททีป่ ระทานโดยเฉพาะ หลังจากนั้นก็ประทานปจฉิมโอวาทแกพระสงฆที่ประชุม
พรอม เพื่อการเสด็จปรินิพพานของพระองค โดยใจความสาํ คญั วา
ภิกษทุ ง้ั หลาย บดั นเ้ี ราเตอื นทา นทง้ั หลายใหท ราบวา (สัจธรรมที่มีติดแนบอยูกับ
ตัว) คือ สังขารทัง้ หลายที่เกดิ ขึ้น เฉพาะอยางยิ่ง คือ (สงั ขารภายในไดแ ก ความคดิ ปรงุ
แตงตาง ๆ ทุกขณะ ทั้งดี ชั่ว กลาง) ลวนดับไปโดยสติปญญา ดวยความไมประมาทเถิด
เหลานีค้ อื พระเมตตาลนฝง แหง โลกธาตุ ทป่ี ระกาศแกม วลสตั วเ รอ่ื ยมาจนวาระสดุ
ทา ย สรปุ ความแลว กล็ งไปรวมทใ่ี จ
ใจจงึ ควรไดร บั การอบรม อยางนอยก็พอรูวิถีทางเดินของตน และรูวิถีของจิตไป
โดยลาํ ดบั ดว ยวธิ จี ติ ตภาวนาวา ปกติจิตของสามัญชนชอบคิดไปในทางใด หนักไปทางใด
จติ จะมคี วามบกึ บนึ หรอื มคี วามเสาะแสวงในทางนน้ั เสมอ ถามีสติมีปญญาคอยสอดสอง
คอยสังเกตอยูแลว เราจะพบเหน็ วา จติ นช่ี อบไปในทางนน้ั มาก เมื่อจติ คดิ ในทางนัน้ มาก ก็
ทาํ ใหเ กดิ ความสนใจวา ทางนน้ั มนั เปน อะไร? เปนทางดีหรือทางชั่ว เปน ทางผูกมัดหรอื ทาง
แกทางถอดถอน? ถาเปนทางผูกมัด เปน ทางสง่ั สมความชว่ั หรอื ความทกุ ขเ กดิ ขน้ึ มาแกเ รา
เรากพ็ ยายามแกไ ข พยายามหกั พยายามหกั หา ม นี่มันมีทางแกกันไดอยางนี้
การพยายามอยูโดยสมํา่ เสมอไมม ีการลดละ ยอมจะมีทางหักหามสิ่งไมควรนั้นได
จนกระทั่งหักหามไวได และตัดขาดจากกันไปได เหมือนคนตัดไม ตัดฟนครั้งหนึ่งไมขาด
ฟนสองครั้งเขาไป สามครง้ั สค่ี รง้ั เขา ไป จนกระท่ังไมนัน้ ขาดจรงิ ๆ เพราะความพยายาม
ตัดอยูเสมอ
การตัดกระแสของจิตที่ชอบคิดในเรื่องไมดี ดว ยความพยายามในทางดอี ยเู สมอ
อยางน้ี ยอมเปนไปไดทํานองเดียวกัน เมื่อตัดสิ่งใดขาดไปจากจิตแลว กท็ ราบวา สง่ิ นน้ั ได
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔
๑๕
ขาดไปแลว จากใจ เงือ่ นทจี่ ะตอ ใหจ ติ เกดิ ความทกุ ขค วามลาํ บาก เพราะความคดิ เชน นน้ั ไม
มีอีกตอไป
กิเลสประเภทใดที่จิตชอบคิด ชอบยดึ เหนย่ี ว ชอบยึดมั่นถือมั่น ก็คิดแกไขในแงนั้น
มาก ๆ พึงกําหนดพิจารณาแกไขกันโดยทางสติปญญาอยางสม่ําเสมอ ตอไปกิเลสประเภท
นั้นหรือความคิดประเภทนั้นก็คอยออนกําลังลงไป สติปญญาคอยแกกลาขึ้นมาจนกระทั่ง
สามารถตัดขาดไดไมมีเหลือ
การพยายามดวยความเพียรตัดขาดไปทีละกิ่งสองกิ่งของกิเลส กน็ บั วา เปน มงคลแก
ตวั เราโดยลาํ ดบั ถาเปนตนไมก็ตองตัดขาดทีละกิ่งสองกิ่ง ถาเปนรากไมต น หน่งึ ๆ มันมี
รากมากนอยเพียงไรก็พยายามตัดมัน จนกระทั่งโคนลม ลงไปจนกระทง่ั รากแกว ไมใหเหลอื
หลอ ดว ยความพยายาม คือพยายามตัดทีละรากสองรากเขาไป จนกระทั่งมันทนไมไหว
เพราะการตดั โดยสมาํ่ เสมอ ตัดโดยไมหยุดหยอน ไมลดละ มันก็ขาดลมลงโดยไมสงสัย
เรื่องกระแสของกิเลสที่ออกมาจากจิตมันมีมากมายเชนเดียวกับรากไม รากฝอยนั่น
แหละสาํ คญั รากแกว มนั มรี ากเดยี ว ไอตัวกิเลสก็มีตัว “อวิชชา”อนั เดยี วเทา นน้ั แหละเปน
หลักใหญ นน่ั แหละเรยี กวา รากแกว ของกเิ ลส ใหพ ยายามตดั มันแตกแขนงออกไปมาก
มายกายกอง คือมันแตกออกมาทางตาไปสูรูป แลว มรี ปู อะไรบา ง นน่ั แหละมนั แตกแขนง
ไป เปนเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ยัว่ จิตใหค ดิ ไปทางกิเลส
ทนี ใ้ี นทางเสยี ง เสยี งอะไรบา ง มันก็แตกแขนงออกไปเปนรากฝอยไปเรื่อย ๆ แต
อยา งไรกต็ ามเรากท็ ราบวา รากฝอยก็คือรากฝอยของกิเลสตัวนี้เอง จะรากฝอยอะไรกัน
เสียงเปนลักษณะใด ถา เปนเสยี งท่จี ะทาํ ใหเกิดกิเลสขึ้นมา กท็ ราบวา เปน เรอ่ื งของกเิ ลส
ดวยกัน เรากพ็ ยายามตดั พยายามแก คลค่ี ลายเสยี งนน้ั
รูปมันเปนอะไร ถึงรักถึงชอบ ถึงเกลียดถึงโกรธ แยกออกไป ใครเปน ผโู กรธ โกรธ
เพราะเรื่องอะไร จติ เปน ผโู กรธ โกรธเรื่องอะไร โกรธแลวมันไดประโยชนอะไร ความโกรธ
เปน ความรมุ รอ น เปนความทุกข ทําไมขยันโกรธ? โกรธแลวมันไดประโยชนอะไร โกรธให
ตัวเองคอยยังชั่ว ไอโกรธใหคนอื่นซึ่งตัวเองก็เปนทุกข แลว เขาก็เปน ทุกข ยิ่งเพิ่มความทุกข
ทรมานใจทั้งสองคน คือทั้งตนและเขาขึ้นอีกมากมาย
การโกรธใหตัวเองยังมีทางที่จะแกไขไดดีกวาโกรธใหคนอื่น แมจะเปนกิเลสก็ยังพอ
จะถอดถอนความโกรธนี้ได แตสวนมากไมยอมโกรธตัวเอง ที่จะใหบังเกิดอุบายปญญาพอ
แกความโกรธตัวเองได
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕
๑๖
การไปโกรธคนอน่ื เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลสลว น ๆ จงแยกแยะดู พจิ ารณาดว ยดี
รปู เสยี ง กลิ่น รส เคร่อื งสมั ผัส มนั มเี ปน แขนง ๆ ไป ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทาง
ลน้ิ และทางกายนแ้ี หละ แลว จงึ มาสใู จ คือ “ธรรมารมณ” โดยอาศัย รปู เสยี ง ฯลฯ ท่เี คย
สมั ผสั มาแลว นน้ั มาเปน อารมณข องใจ ใหน าํ มาครนุ คดิ อยตู ลอดเวลา นเ่ี ปน การสง่ั สมกเิ ลส
ประเภทหนง่ึ ๆ ขน้ึ มาเรอ่ื ย ๆ มันแตกแขนงออกมา คือแตกออกมาจากใจ สติปญ ญาหย่ัง
ทราบอยภู ายในใจและแกไ ขกนั ไปเรอ่ื ย ๆ ไมลดละทอถอย หนีไมพนถาลงสติปญญาจดจอ
ตรงนน้ั ไมท ราบในวาระนต้ี อ งทราบในวาระตอ ไปจนได ไมทราบมากก็ตองทราบนอย
ทราบไปโดยลาํ ดบั ๆ ก็คอยทราบมากไปเอง คอยตัดขาดไปเอง ทราบตรงไหนแลว กค็ อ ย
ละไป ละกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งละไดขาดจากกันไปจริง ๆ น่ีการตัดกเิ ลสทา นตัดอยางนี้
เชนเดียวกับที่เราตัดรากฝอยของตนไม ตัดไปตัดมาก็ไมมีรากอะไรเหลืออยู สดุ ทา ยกเ็ หลอื
แตรากแกว ก็ถอนขึ้นมาหมดไมมีเหลือ
เราตดั และถอนตน ไมใ หต ายดว ยวธิ นี ้ี เราจงึ ถอดถอนกเิ ลสดว ยวิธีเดียวกนั ดว ยสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร จนกเิ ลสตายเกลย้ี ง เรากแ็ สนสบายบรมสขุ
เรื่องของจิต ภพชาติมันอยูที่จิต ความสญู ไมท ราบมนั อยูท ี่ไหน เราไมเ หน็ ใน
คมั ภรี ก ไ็ มม วี า สตั วต ายแลว สญู มแี ตตายแลว เกิดถากเิ ลสยังมีอยูในใจ ทําไมจึงไปเหมามัน
ไดว า ตายแลว สญู นน่ั นะ จึงเอามาพูด แตภพชาติมันไมสูญนี่นะ มันอยูที่จิต ทําไมเราจึงไมดู
ที่ตรงนี้ ? ไปหาดนเดาเกาที่ไมคันใหมันถลอกปอกเปกเปนทุกขไปทําไม เราเปน มนษุ ยซ ง่ึ
เปน ชาตทิ ฉ่ี ลาด ทําไมจึงมาโงตอเรื่องของตัว หากมผี มู าวา พวกเราบดั ซบจะไมอ ายเขา
หรอื ? หรอื วา ไมอ าย ตองโกรธเขาซิ ดังนี้ก็ยิ่งไปใหญ ขายตัวสองตอสามตอจนไมมีสิ้นสุด
เพราะความโงต วั เดยี วพาใหเ ปน เหตใุ หญ
ใครแสดงภพชาตขิ น้ึ มาใหเ ราเหน็ ในระยะน้ี เรานง่ั อยใู นเวลาน้ี ?
ถาไมมีเกิดมันจะมีรูปมีกายมาอยางไร? ตอนเกิดนั้น มันเอาอะไรมาเกิด ถาไมเอา
ของมีอยูมาเกิดจะเอาอะไรมาเกิด? ธาตุขันธอันนี้มาจากอะไร? ธาตุสี่ ดิน นาํ้ ลม ไฟ ที่
เปน รา งกาย ก็เอาสิ่งที่มีอยูมาประสมกัน ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตลุ ม ธาตุไฟ มาผสมกนั เรยี ก
วา “สว นผสม” อาศัยจิต จิตก็มีอยูจึงเขามาอยูดวยกันได ของไมมีอยูจะเอามาไดอยางไร
นม่ี นั ลว นแลว แตอ าศยั สง่ิ ทม่ี อี ยมู าประกอบกนั เขา เปน รปู เปน กาย เปน หญงิ เปน ชาย
เปน ตน ไมภ เู ขาอยา งนเ้ี ปน ตน มันมีอยูทั้งนั้น ถาไมมีจะประกอบกันขึ้นมาไมได ปรากฏตวั
ขึ้นมาไมได แลว เราวา “สญู ” ขณะนี้มันสูญหรือไมสูญ? เรามาจากไหนถงึ ไดม าเกดิ อยู
เดย๋ี วน้ี ถาสูญจริงแลวมันมาเกิดไดอยางไร นน่ั
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖
๑๗
ถาอะไร ๆ ก็สูญแลวจะมาปรากฏตัวไดอยางไร ก็เพราะมันไมสูญนั่นเองจึงมา
ปรากฏตวั เปน เราเปน ทา น เปน สตั วเ ปน บคุ คล เรอื่ ยมาดังท่ีรู ๆ เหน็ ๆ อยูนี้ ทเ่ี ราวา
“สญู ”นน้ั ไมคิดอายสิ่งที่มีอยูเต็มโลกบางหรือ? หลวงตาบวั นอ่ี ายจงึ ไมก ลา คดิ วา ตายแลว
สญู
นี่คือปญญาแกตัวเอง พิจารณาแยกแยะมนั ลงไป รางกายมันเอามาจากสง่ิ ทมี่ ีอยู สง่ิ
ที่มีอยูจึงปรากฏตัวขึ้นมาได ถาไมมีก็ปรากฏขึ้นมาไมได นี่แหละภพชาติคือกิเลสอวิชชา
ตณั หา อุปาทาน กรรม เปนเชื้อความสืบตอของภพของชาติ เปนกําเนิดเกิดมีทโ่ี นน ท่นี ่ี มัน
มีเชื้อของมัน มีสืบตอกันอยูที่ในจิตใจดวงนี้ ตัวนจี้ ึงเปน “ตวั ภพ”ตัวนีจ้ งึ เปน “ตัวชาติ”
ตวั นเ้ี ปน ตวั ไมส ญู เปน ตวั เกดิ ตัวแก ตวั เจบ็ ตวั ตาย มันอยูที่ตรงนี้และรวมอยูที่นี่ทั้งหมด
ความสูญนัน้ มองไมเหน็ มันสูญไดอยางไร ? ตัวสูญอยูที่ไหน? เหน็ แตค วามมอี ยู
ภายในจติ ใจ ความสญู ภายในจติ ใจนน้ั มนั ไมม ี ไมเหน็ ไมป รากฏ แลว ใจนน้ั จะสญู ไดอ ยา ง
ไรเมื่อมันไมมีสิ่งที่จะใหสูญ มันเปนสิ่งที่มีอยูทั้งนั้น แลว เราจะเอาอะไรมาใหม นั สญู ขอ
สาํ คญั คอื ความสาํ คญั มนั หลอกคนตา งหาก ความจรงิ แลว เปน อยา งน้ี มันมีอยูทุกสิ่งทุก
อยา งภายในจติ ใจ คือพรอมที่จะเกิด เพราะสิ่งทีจ่ ะทําใหเกดิ มอี ยูมากภายในจติ รากเหงา
เคามูลของความเกิดก็คือ “อวิชชา” นีค่ ือตวั ใหเ กิด ไมเปน อยางอน่ื เลย ถาตัวนี้ยังไมหมด
ไปจากจิตใจเมื่อใด ตองเกิดวันยังค่ําตลอดกัปตลอดกัลป ไมมีกําหนดกฎเกณฑ ไมมีตนมี
ปลายเลย ตอ งเกิดแลว ตาย ๆ อยูอยางนี้ เพราะเชอ้ื ความเกดิ มนั มอี ยภู ายในใจ นี่เปนของ
จรงิ ทป่ี ระจกั ษอ ยภู ายในใจเราเอง
จงปฏิบัติจิตตรงจิตนี้ ดูตรงนี้ดวยสติปญญา แลวตัดเชอ้ื ความเกดิ กนั ท่ีตรงน้ี จะส้ิน
สงสยั เรอ่ื งตายเกดิ หรอื ตายสญู ทั้งมวล เพราะสดุ ทา ยกผ็ ทู ส่ี าํ คญั วา ตายแลว สญู นน้ั แลไป
เกิดอีก ไดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บากจากทต่ี นเขา ใจวา เม่ือตายแลว มนั ก็หมดเรอ่ื ง ไมมี
อะไรท่จี ะสืบตอขา งหนาแลว คิดอยากทําอะไรก็ทํา อยากทําบาปอยากทําอะไรก็แลวแต
ตามใจทุกอยางในขณะที่ยังมีชีวิตอยูนี้ เมอ่ื ตายแลว หมดความหมาย
ทนี เ้ี มอ่ื มนั ไมห มดความหมายตามความสาํ คญั ตนเลา ใครจะเปน คนรบั ความชว่ั ชา
ลามกทง้ั หลายเหลา นน้ั ? กค็ อื เราเองเปน ผรู บั เมอ่ื เปน เชน นน้ั เรากลา เสย่ี งแลว เหรอ? ทั้ง
ๆ ที่เปนมนุษยที่กําลังมีคุณคาอยูทั้งคน และเปน คนรบั ผดิ ชอบเราอยตู ลอดมา เหตไุ รเรา
จะตองยอมเสียทาเสียทีไปลมจมขนาดนั้นดวยอํานาจของกิเลสมันครอบงํา ดว ยความ
สําคัญที่ผิดอยางมหันต ใหบุญไมยอมรับ มาหลอกลวงตนเองถึงขนาดนั้น จงรบี คดิ เพ่ือหา
ความจริงจากธรรมของจรงิ เคร่ืองพิสจู น และปราบปรามกเิ ลสตวั นน้ั ใหส น้ิ ไป ไมควรนอน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗
๑๘
ใจนอนจมอยูกับมัน แบบไมรูสึกตวั ดงั ท่เี คยเปน มากี่กปั นบั ไมถ ว นอยแู ลว ไมง น้ั จะสายเกิน
กาลนานเกินจะแกได เวลาตายจะไมมีกสุ ลาตดิ ตวั (กสุ ลาคอื ความฉลาด)
ความจริงมอี ยูท าํ ไมเราจึงไมด ู? ความจรงิ กค็ อื ใจและสจั ธรรม ใจนม้ี นั ไมส ญู นะ
เชื้อกิเลสเชื้อแหงภพแหงชาติก็อยูกับใจนี่เอง ตัวประกันตัวตีตราที่จะใหเกิดมันอยูกับจิตใจ
น้ี แลว จะสญู ไปไหน? จะสูญไดอยางไร นค่ี อื ความจรงิ ความจริงลบไมสูญมันสูญไมได แต
ความสาํ คญั นน้ั มนั สญู ได สูญไดตามความสําคัญซึ่งเปนเรื่องของกิเลส แตค วามจริงมนั ไม
สญู แลว บาปบญุ คณุ โทษทท่ี ําลงไปก็เขาไปอยูในจิต ไมไดไปอยูที่อื่น เพราะจติ เปน โรงงาน
ผลิตออกมาจากที่นั่นเอง ผลดีชั่วก็เขาไปรวมตัวอยูที่จิตนั่น
นา นนะ ความจรงิ จะไปไหน มันเกิดกันที่นั่น ผสมกันที่นั่น ดีชั่วมันอยูที่จิต จิตจะไป
เกิดในสถานที่ใดภพใดแดนใดก็ตาม มันไปดว ยกาํ ลังแหง กรรม กรรมและวบิ ากแหง กรรม
มันผลักไสใหไป แนะ มันจะสูญไปไหน ตายแลวมันพรอมเสมอที่จะเกิด จะเกิดสงู ต่าํ ขนาด
ไหนนน้ั มนั แลว แตอ าํ นาจแหง กรรมทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจซง่ึ ตนสง่ั สมไวน น่ั แหละ นเ่ี ปน หลกั
ความจรงิ
การเรยี นเรอ่ื งความจรงิ เหลา น้ี จึงตองเรียนลงที่ใจ พจิ ารณาลงทใ่ี จน้ี ดังที่กลาวมา
เมอ่ื สกั ครนู ว้ี า ใหต ดั ตรงนน้ั ลงมาหาตรงน้ี ลงมาดว ยจติ ตภาวนา คอื เราทราบไดด ว ย
ปญญา ใจมคี วามสมั ผสั สัมพนั ธกับสิง่ ใด มีความสขุ สมใจกบั สงิ่ ใด ส่งิ นัน้ เปน ทางดีหรอื ช่ัว
เปนสิ่งที่ดีหรือสิ่งชั่ว เราตามรเู สมอดว ยจติ ตภาวนา เราตอ งทราบ เมอ่ื ทราบแลว พยายาม
แกไข พยายามตัดฟนดวยอุบายของสติปญญา จนกระทั่งตัดขาด ตัดขาดไป ๆ โดยลาํ ดบั
ๆ
ทา นพจิ ารณาทาง “จติ ตภาวนา” หรอื ทา นวา “นง่ั กรรมฐาน” ทา นนง่ั อยางนี้
แหละ จะไปนง่ั อยใู นปาในเขา จะนั่งอยู “รุกขมูล” รมไมที่ไหนก็เถอะ กฝ็ ก นง่ั เรยี นความ
เปนไปของจิต เรยี นเรอ่ื งความเกดิ ความแก ความเจบ็ ความตาย เรยี นเรอ่ื งกเิ ลส การสง่ั
สมกเิ ลส และวิถีทางเดินของกิเลส ความดอ้ื ความโลภความหลงมนั อยทู จ่ี ติ มันเกิดที่จิต
มนั หลง่ั ไหลจากจิตน้ีไปเปนภพตา ง ๆ ใหเ ราลมุ หลง บนั เทงิ โศกเศรา เสยี ใจ มีแตเรื่องที่
ออกไปจากจิตนี้ทั้งนั้น การเรยี นจงึ ตอ งเรยี นลงทน่ี ่ี จะตองรสู ิง่ เหลานี้ประจักษใ จดว ยสติ
ปญญาแนนอน คือตองทราบทั้งดีทั้งชั่วโดยลําดับ ๆ แลวตัดขาดออกจากกันเรื่อย ๆ แลว
จิตก็หดตัวเขามา ๆ เพราะขาดสง่ิ ทเ่ี คยสบื ตอ หดตวั เขา มา ยน เขา มา ๆ สวู งแคบ และตัด
ภาระเขา มาโดยลาํ ดบั นี่แหละคือการตัดภพตัดชาติ ตดั สว นหยาบเขา มาเรอ่ื ย ๆ ตัดเขามา
สคู วามละเอยี ด ตัดเขามา
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘
๑๙
ในทส่ี ดุ รา งกายของเรานก้ี เ็ หน็ ชดั ตามเปน จรงิ วา “มันเปนแตเพียงธาตุขันธเทา
นน้ั ” นั่นคือธาตุดิน นาํ้ ลม ไฟ มาผสมกนั เขา มีตัวคือจิตเปนเจาของมายึดครอง แลว กว็ า
เปน รปู เปน กายเปน หญงิ เปน ชาย เปน สตั วเ ปน บคุ คล เมอ่ื ทราบชดั แลว กส็ ลดั ภายในจติ อกี
รปู กส็ กั แตว า รปู เวทนากส็ กั แตว า เวทนา ไมใ ชเ รา ไมใชของเรา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
แตล ะอยา ง ๆ กส็ กั แตว า เทา นน้ั ไมใ ชเ รา ไมใชของเราโดยประจักษใจ นป่ี ญ ญาพจิ ารณา
ทราบลงไปอยางนี้ เมอ่ื ทราบชดั แจง แลว ใครจะไปกลา ถอื วา เปน เรา ใครจะไปกลา แบก
หามสง่ิ เหลา นว้ี า เปน เราเปน ของเรา ไมก ลา ยึดไมกลา แบกหาม เพราะหนกั เหลอื ทนอยแู ลว
เพราะปญญาหยง่ั ทราบหมดแลวจะไปกลา อยา งไร
ที่กลาไมเขาเรื่องก็คือ พวกเราท่ีเปน นกั ดนเดาเกาหาทไี่ มค ันใหเ กิดทุกขเ ปลา ๆ
เทา นน้ั สว นทา นทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ ทานสลัดปดทิ้งดวยสติปญญา ไมม อี ปุ าทานเหลอื เลย
สตปิ ญ ญาเปน ธรรมสาํ คญั มากตามหลกั ความจรงิ คอื ทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ คือปญญาเปน
ผรู ผู ฉู ลาด ตามรตู ามเหน็ ความจรงิ เปน อยา งนน้ั แลว เราจะไปกลาฝน ความจริงไดอยา งไร
วา ไมใ ชเ รา โดยทางปญญาแลว เราจะยังไปถือ ถือก็ถือแตก็ไมใชปญญา มันเปนเรื่องของ
กิเลสอยูโดยดี การแกนี้ตองแกดวยปญญา รูดวยปญญา ละดวยปญญา ทุกประเภทของ
กิเลสไมนอกเหนือสติปญญาไปไดแตไหนแตไรมา
นแ่ี หละการเรยี นเรอ่ื งการตดั ภพตดั ชาติ การเรยี นเรอ่ื งวถิ ขี องกเิ ลส การตดั กเิ ลส
ทา นทาํ กันอยา งน้ี จนกระทั่งรูธาตุขันธ กส็ กั แตวา ธาตวุ าขันธ คือรูต ามเปนจริงแลวกป็ ลอย
วางลงไปเอง
การบอกใหปลอยเฉย ๆ ไมเกิดผล ตองปญญาเปนผูพาใหปลอย เมอ่ื เขา ใจแลว ก็
ปลอย ปลอย ๆ สง่ิ ไหนยงั ไมเ ขา ใจกพ็ จิ ารณาคน ควา เขา ไปจนกระทง่ั ถงึ ความจรงิ เขา ใจ
เต็มภูมิแลวก็ปลอย สุดทายมันมีอะไรอยูอีก การตัดรากฝอยไปเปนลําดับมันก็ถึงรากแกว
เทา นน้ั เอง เมื่อตัดรากแกวจนไมมีอะไรสืบตอกันแลว ภพชาติก็ขาด อยางอื่นมันก็ขาดไป
ดว ยตามลาํ ดบั ที่ยังเหลือชิ้นสุดทายนั้นคืออะไร? ยอนสติปญญาเขามาจนถึงตัว นน่ั คอื
“อวิชชา” ทเ่ี รยี กวา “รากแกว ” นแ่ี หละคอื ตวั กเิ ลสแท กิ่งกานสาขาของกิเลสไดถูกตัด
ขาดหมดแลว ยงั เหลอื แตต วั กเิ ลสแท ๆ ไดแกตัว “อวิชชา”
ทนี ้ี “อวิชชา” อยูที่ไหน? มนั อยูท่ีจติ เทา นนั้ อวิชชาไมอยูที่อื่น มันครอบอยกู บั จติ
จนกระทั่งจติ เองก็เขาใจวาอวิชชานัน้ เปนตน ตนเปน ธรรมชาตอิ นั นน้ั นี่แหละเมอ่ื ปญ ญายัง
ไมท ราบชดั แตก็ทนไมได เพราะฟง คาํ วา “ปญญา ๆ” เถิด มคี วามฉลาดแหลมคมมาก
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙
๒๐
เมอ่ื นาํ มาใชใ นสง่ิ ใดกต็ อ งเหน็ ความจรงิ ในสง่ิ นน้ั ดังนนั้ เมื่อนาํ มาใชใ นจิตทม่ี ีกิเลส คือ
อวิชชาอยูที่นั่น ทําไมจะไมทราบ ทําไมจะทําลายกันไมได จะตัดขาดจากกันไมได เมื่อกิเลส
ชนิดอื่น ๆ ปญญาสามารถตัดขาดได แลวสิ่งนี้ทําไมปญญาจะไมสามารถตัดขาดไดเลา
ปญญาตองสามารถตัดขาดได
เมอื่ ตัดขาดกิเลสตัวสําคัญน้ีแลวตองทราบชดั ประจกั ษใจ ถาจะพูดก็พูดไดเต็มปาก
ไมกระดากอายหรือสะทกสะทานกับสิ่งใดหรือผูใด ถา จะพดู แบบโลก ๆ กต็ องเรียกวารูชัด
ๆ รอ ยเปอรเ ซน็ ต หมดปญ หากนั เสยี ทเี รอ่ื งความเกดิ ความตาย เรอ่ื งความทุกขทรมานใน
วฏั สงสาร ภพนอยภพใหญที่เคยเปนมากี่กัปกี่กัลปจนนับไมถวน เพราะตวั นพ้ี าใหเ ปน ไป
ตวั นพ้ี าใหเ กดิ ตวั นพ้ี าใหต าย ตายแลวเกิดซ้ําเกิดซากไมหยุดไมถอย ทุกขซ้ํา ๆ ซาก ๆ มา
ยตุ กิ นั เสยี แลว คราวน้ี
ยุติดวยอะไร? อะไรถึงตองยุต?ิ นา น ยุติลงที่ฆาเชื้ออันใหญขาดกระเด็นออกจาก
ใจแลว เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ ทเ่ี รยี กวา “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ นน้ั เปน จติ แท เปน ธรรมแท ไม
มสี งิ่ ใดเขา ไปเคลือบแฝงเลยแมนิดเดียว ผนู แ้ี ลเปน ผไู มเ กดิ ทนี ส้ี น้ิ สดุ แลว แตไมใชสูญ
แบบที่มองไมเห็น คนควาไมเ จอก็หาวาไมมี แลว กเ็ ดากนั อยา งนนั้ ตามวสิ ยั ของโลกดน เดา
เรอ่ื งกเิ ลสทพ่ี าใหด น เดาเอาดว ยความสาํ คญั เหมาเอาดว ยความสาํ คญั จึงไดรับ
ความทกุ ขเพราะกเิ ลส แตก็ยังไมเห็นโทษของกิเลสที่พาใหดนเดา พาใหส าํ คญั มน่ั หมายทง้ั
ที่ไมจริงตลอดมา จึงมีแตของปลอมเต็มตัวเต็มหัวใจ ทุกขจึงเต็มหัวใจดวย
เมอ่ื เรยี นรูถงึ ความจรงิ ทุกสง่ิ ทุกอยา งดว ยวิธีการปฏบิ ัติแลว ความปลอมมนั ก็สลาย
ตัวไป จึงไดเ ห็นโทษชดั เจนวา เหลานี้มีแตความจอมปลอมทั้งหมด ทเ่ี ราไดร บั ความทกุ ข
ความทรมานมาจนถงึ ปจ จบุ นั ชาตทิ เ่ี ราจาํ ไดเ พยี งเทา น้ี มนั กเ็ ปน ความทกุ ขเ พราะกเิ ลสตวั น้ี
เทา นน้ั ถา เปนธรรมกไ็ มทําใหเราเกดิ ทกุ ข เมอ่ื มธี รรมลว น ๆ ภายในจติ แลว อะไรจะมาทํา
ใจใหมีทุกขอีกตอไปเลา ตองไมมี นน่ั แน อยา งนแ้ี หละเรยี นธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมภายในจติ ใจ
คอื เรยี นธรรมภาคปฏบิ ตั ภิ าคภาวนา เหน็ จรงิ อยา งน้ี ชัดเจนอยางน้ี กิเลสแตกกระจายชนิด
ไมเ ปน ขบวน
ในเรอ่ื งวิธีปฏบิ ัติน้ไี มใ ชว ิธจี ํา แตเ ปน วิธแี กกเิ ลส ทาํ งานกบั กเิ ลสทาํ อยา งน้ี เมอ่ื
กเิ ลสสน้ิ สดุ ไปแลว ภายในใจ ใจทเ่ี ปน เจา ของปญ หามาแตก อ นเพราะกเิ ลสพาใหเ ปน ก็สิ้น
สุดกันไปเองไมมีสิ่งใดเหลือเลย นแ่ี หละความสน้ิ สดุ ของวฏั ฏะ แตไมใชความสูญซึ่งเปน
ความแสลงตอ ความจรงิ คือความมีอยูอยางยิ่ง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๐
๒๑
ถา วา “ความสญู ของวฏั ฏะ” นั้นถูกตอง เพราะวฏั ฏะภายในใจไมม ตี อไปอกี แลว
สูญสิ้นแหงความสืบตอของภพชาติ เกิด แก เจบ็ ตายแท ภพชาติตอจากนั้นไมมีอีก นเ่ี ปน
ความสญู สน้ิ โดยธรรมโดยความจรงิ ถา วา “ความสญู ” อยางนี้ถูกตอง แตค นและสตั วต าย
แลว สญู สน้ิ โดยประการทง้ั ปวง อะไรไมมีเลยอยางนี้ ขัดตอความจริง
ใจเม่อื ถงึ ความจรงิ เต็มท่ีแลวกถ็ งึ ความบริสุทธ์ิ ความบริสุทธิ์แสดงขนึ้ ชดั ในจติ ใจ
จติ เปน ธรรม ธรรมเปน จติ จึงไมใชความสูญ
อยา งพระพทุ ธเจาตรสั รูแลวกิเลสสูญไปหมด ไมมอี ะไรเหลอื อยภู ายในพระทยั แลว
ตอ งอาศยั ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แลประกาศธรรมสอนโลกมาเปน เวลา ๔๕ พระพรรษา ถึงได
เสดจ็ ปรนิ พิ พาน ถา ความบรสิ ทุ ธน์ิ ไ้ี ดส ญู สน้ิ ไปแลว พระพุทธเจาจะเอาอะไรมาประกาศ
ศาสนาเลา ? ขณะที่สิ้นกิเลสแลวถาจิตก็ไดสูญไปดวย แลว ทรงเอาอะไรมาสอนโลกเลา ?
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธนัน้ ไมออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ซึ่งไมไดสูญนั้นแลว จะออกมาจาก
ไหน?
นแ่ี หละเรยี นธรรมใหถ งึ นแ้ี ลว หายสงสยั ปญหาทั้งปวงก็หมดสิ้นไปไมมีเหลือเมื่อ
เรยี นจบ ทราบปญ หาภายในใจโดยตลอดทว่ั ถงึ แลว อยูไหนก็อยูเถอะ เพราะความสมบรู ณ
พนู ผลอยทู ่ใี จนี้ ความสขุ อนั สมบรู ณม อี ยทู ใ่ี จน้ี ถาปฏิบัติใหถูกตองตามหลักธรรมของพระ
พทุ ธเจา แลว คนเราจะไมไ ดบ น เรอ่ื งความทกุ ขค วามลาํ บาก จะยอมดาํ เนินตนไปตามเหตุ
ผลคอื หลกั ธรรม ทุกขก็ยอมรับวาทุกข จนกย็ อมรบั วา จน มีไดมาเสียไปเปนธรรมดา
เรยี นธรรมรตู ามความจรงิ ชองธรรมแลว ไมบ น ทุกขก็ยอมทนรับตามเหตุตามผล มี
กร็ บั ตามเหตตุ ามผลไมป น เกลยี วกบั ธรรม ใจกส็ บาย แมจะมีกิเลสที่ยังละไมได ก็ไมถึงกับ
ตองเดือดรอนแบบไมมีขอบเขตเหตุผล ยังพอปลงพอวางได
แตถ าไมส นใจเกยี่ วของกบั ธรรมเลย ไมน าํ ธรรมมาวนิ จิ ฉยั ใครค รวญ ก็มักไมมีเหตุ
ผลเครื่องทดสอบ มีแตความตองการของใจที่กิเลสบงการอยางเดียว ความตอ งการนน้ั แล
จะพาคนลม จมฉบิ หาย ความตอ งการนน้ั แลจะทาํ ลายจติ ใจคนใหเ สยี อยา งไมม ปี ระมาณ
ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นอยเู สมอ ๆ ตลอดกาลสถานที่ไมมีอะไรอื่น คือความตองการชนิด
นัน้ ไมม ีเหตผุ ล มีแตอยากตะพัดตะพือ อยากจนไมส นใจทราบวา อะไรเปน พษิ อะไรเปน ภยั
อยากไดอะไรควาไปกิน มนั ไมห ยดุ หยอ นผอ นคลาย ยิ่งอยากยิ่งตองการก็ยิ่งเพิ่มความคิด
ความปรุงแตงไมถอย ยุงไมหยุด ความทุกขทรมานภายในใจก็ยิ่งมากขึ้น ๆ ไดร บั การสง
เสริมเทาใดก็ย่งิ คิดมากขนึ้ แบบไฟไดเ ช้ือ ดีไมดีสติลอย เลยเปน บา ไปเลย นา น พอเห็น
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๑
๒๒
โทษของความอยากความทะเยอทะยานชนิดไมมีธรรมเปน “เบรก” ไหมละ? ถาพอเห็น
โทษของมันบางก็ควรพยายามแกไข อยา อยเู ปลา แบบคนสน้ิ ทา
วนั นพ้ี ดู เรอ่ื ง “วฏั จกั ร” พดู เรื่องความสญู ความไมส ูญ ตามหลกั ความจรงิ เปน
อยางน้ี ศาสนาจงึ เปน ธรรมทเ่ี หมาะสมทส่ี ดุ ทจ่ี ะพสิ จู นค วามจรงิ สมควรแกเ วลาเพยี งเทา น้ี
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๒
๒๓
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่ือวันท่ี ๑๓ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
อบุ ายวธิ ดี บั กเิ ลสและเรอ่ื งกรรม
โลกน้ีแมจ ะรุมรอ นเพยี งไรกต็ าม ยงั มศี าสนาเปน เครอ่ื งเยยี วยา อยา งนอ ยมศี าสนา
เปน เครอ่ื งเยยี วยา ก็ยังมีทางบรรเทาทุกขไปไดพอสมควร เชน เดยี วกบั โรคแมจ ะมคี วามรนุ
แรงเพียงไร แตถ า มยี าเครอ่ื งเยยี วยารกั ษาอยบู า งแลว กย็ งั พอทาํ เนาได ไมเหมือนปลอยให
เปนไปตามอัตราของโรคที่มีมากนอยโดยไมมียาไปเกี่ยวของเลย
จิตใจของโลก ถามีแตเรื่องของกิเลสกองทุกขลวน ๆ เปน เจา อาํ นาจบงการอยภู าย
ในใจนน้ั โลกไมว า ชาตชิ น้ั วรรณะใด จะหาความสงบสขุ ไมไ ดเ ลย เพราะไมม เี ครอ่ื งบรรเทา
คอื ศาสนา
คาํ วา “ศาสนา” กค็ อื คาํ สงั่ สอนท่กี ลมกลืนดว ยเหตผุ ลน่ันเอง รวมแลว เรยี กวา
“ศาสนธรรม” เมื่อแยกออกพูดเฉพาะคําวา “ศาสนา” ก็เหมือนกบั วาเปนอกี อนั หน่งึ
และเปนอีกอันหนึ่งแตกแขนงออกไป ความจรงิ คาํ วา “ศาสนา” ถาพดู ตามหลักความจริง
แลว กค็ อื เหตกุ บั ผลบวกกนั เขา นน่ั แลเรยี กวา “ศาสนา” การเชื่อตอเหตุตอผลนั้นคือไม
ฝน ไมปนเกลียวตอเหตุตอผลที่ถูกตองแลว และปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ ไปตามนน้ั โลกจะพอมีทาง
เบาบางจากความทกุ ขค วามลาํ บากทง้ั ภายนอกภายใน
จาํ พวกไมม ศี าสนาเขา เคลอื บแฝงเลยนน้ั ใครจะอยใู นสถานทใ่ี ดกต็ าม ไมวาจะมี
ความรสู งู ตาํ่ ฐานะเพยี งไร จะหาความสขุ ความสบาย พอปลงจิตปลงใจลงชั่วระยะกาลไมได
เลย เพราะไมมีที่ปลง เราจะปลงลงทไ่ี หน? ที่ไหนก็มีแตเรื่องของกิเลสอันเปนไฟทั้งกอง
คือมีแตเรื่องความอยาก มีแตเรื่องความตองการไมมีประมาณ อยากใหเ ปน ไปตามใจหวงั
ความอยากนน้ั ๆ ก็ผลิตทุกขขึ้นมาเผาตัวเอง สิ่งที่ตองการกลับไมเจอ แตกลับไปเจอแตสิ่ง
ที่ไมตองการโดยมาก เพราะอาํ นาจของกเิ ลสพาสตั วโ ลกใหเ ปน เชน นน้ั
ถา อาํ นาจของเหตผุ ลหรอื ธรรมพาใหเ ปน ไป แมจ ะทกุ ขจ ะลาํ บากบา งในการฝน
กเิ ลส โดยทําลงไปตามเหตุตามผล แตเ วลาปรากฏผลขน้ึ มากเ็ ปน ความสขุ ความสบาย พอ
มีทางผอ นคลายความทกุ ขล งไดบ า ง เพราะฉะนน้ั ศาสนาจงึ เปน ธรรมจาํ เปน อยา งยง่ิ ตอ จติ
ใจของโลก เฉพาะอยา งย่งิ คือมนษุ ยเ รา ซง่ึ เปน ผมู คี วามฉลาดเหนอื สตั วท ง้ั หลาย ควรจะมี
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๓
๒๔
“ศาสนธรรม” เปน สมบตั ปิ ระดบั และคมุ ครองใจกายวาจา และความประพฤติในแงตา ง
ๆ จะเปนที่งามตาเย็นใจท้ังสวนยอยสว นใหญไ มมีประมาณ
คาํ วา “ศาสนา” นน้ั เปน แขนงหนึ่งทอี่ อกมาจากธรรมลวน ๆ คือออกจากธรรม
“ทป่ี ระเสรฐิ ” เปนของอัศจรรย แยกออกมาเปน คําสอนโดยทาง “สมมุต”ิ เปน แขนง ๆ
วา “ใหท าํ อยา งนน้ั อยา ทาํ อยางนี”้ เปน ตน ใหเ ราดาํ เนนิ ตาม ไมฝ า ฝน ปน เกลยี วกบั ธรรม
อันเปนแนวทางถูกตองดีงามอยูแลว แมจ ะยากลาํ บากในการดาํ เนนิ ตามเพยี งไร เมื่อเชื่อ
ตอเหตุตอผลแลว อุตสาหพยายามฝนทําลงไป การฝนทาํ ลงไปนน้ั คือการฝน กิเลสที่เปน
“ขาศกึ ” ตอ ธรรม อันเปน การฝน ทาํ ในส่ิงทต่ี นตองการ อันเปนเรื่องของ “ธรรม” มีใจ
เปน ผบู งการ ผลที่พงึ ไดรับก็ยอ มเปนความรม เย็นเปนสขุ
ยกตัวอยางเชน เราคดิ อะไรวนั นจ้ี นเกดิ ความวา วนุ ขนุ มวั ไปหมด ใจทั้งดวงกลาย
เปนไฟทั้งกอง เฉพาะอยางยิ่งสิ่งที่ไมชอบใจ สิ่งที่ขัดใจมาก จิตจะไปยุงอยูกับสิ่งที่ขัดใจ
มากไมพอใจมากนั้นแหละ ทงั้ วันท้ังคืนยืนเดนิ น่งั นอนไมยอมปลอ ยวาง ถือเปนอารมณ
แทนคาํ บรกิ รรมภาวนา แลวผลจะมีความสุขขึ้นมาไดอยางไร มันก็ตองเปนไฟขึ้นมาเปน
ลาํ ดบั ๆ เพราะเรอ่ื งนน้ั พาใหเ ปน “ไฟ” และความคดิ ในเรอ่ื งนน้ั พาใหเ ปน ไฟ ผลจะ
ปรากฏขน้ึ มาเปน “นาํ้ ” ไดอยางไร มันก็ตองเปนไฟอยูโดยดี ขืนคิดมากเพียงไรก็ยิ่งจะ
ทาํ ลายจติ ใจของเรามากเพยี งนน้ั สุดทายจนกินไมไดนอนไมหลับ แทบไมมีสติหรือไมมีสติ
ยบั ยง้ั จนเปนบา ไปเลยก็มีไมน อย เพราะเรอ่ื งและความคดิ ทาํ ลาย
สงิ่ ที่ทําลายเหลา น้ีคืออะไร? ก็คือเรื่องของกิเลส ไมใชเรื่องของธรรม ฉะนน้ั การฝน
ไมคิดในอารมณไมดีนั้น ๆ ดวยการหักหามความคิดปรุงของใจดวยสติ สกัดกั้นดวย
ปญญา แมจ ะลาํ บาก ผลที่ปรากฏก็คือความสงบยอมเปนที่หวังได หรือพอมีสติขึ้นมา
พจิ ารณาใครค รวญถึงทางท่ีถูกท่ีควร สิ่งดีชั่วในสิ่งที่คิดนั้น ในเรอ่ื งทค่ี ดิ นน้ั วา ทําไมจึงตอง
คิด กท็ ราบแลว วา ไมดีคิดไปทาํ ไม แลวหาทางแกไ ขเพื่อความดีไมไ ดหรอื ? นั่นเรื่องของ
เหตผุ ลเปน อยา งนน้ั การคิดมาทั้งมวลนี้ก็พอเห็นโทษของมันแลว เพราะทุกขเปนประจักษ
พยานอยภู ายในใจ มคี วามรมุ รอ นเปน กาํ ลงั นี่คือผลของความคิดในสิ่งนั้น ๆ ที่เปนของไม
ดี ถาจะฝนคิดมากยิ่งกวานี้แลวจะเปนอยางไร ขนาดทีค่ ดิ นี้ความทกุ ขก็แสดงใหเหน็ ชดั เจน
อยา งนแ้ี ลว ถาจะคิดเพิ่มยิ่งกวานี้ ความทุกขจะไมมากกวา นจ้ี นทวมหวั ใจไปละหรือ แลว จะ
ทนแบกหาม “มหันตทุกข” ไดอยางไร?
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๔
๒๕
ถาฝนคิดมาก ทุกขตองเพิ่มมากกวานี้เปนลําดับ เมอ่ื มากกวา นแ้ี ลว เราจะมกี าํ ลงั
วงั ชามาจากไหน พอตานทานแบกหามความทุกขที่ผลิตขึ้นทุกระยะ จากความคิดในสิ่งที่ไม
พอใจนั้น ๆ เราจะฝน คดิ ยังจะฝน กอบโกยทกุ ขเ หลานัน้ เพมิ่ ขนึ้ เปน ลําดับ ยิ่งข้นึ กวา นี้อยู
หรอื ? เพียงเทานี้จิตก็ไดสติ พอไดสติจิตก็เริ่มสงบและยังยั้งตัวได และพยายามปลอ ยวาง
ความคดิ เชน นน้ั โดยทางเหตผุ ลอยา งใดอยา งหนง่ึ ที่จะใหจิตผละออกจากสิ่งนั้นและระงับ
ความคดิ นน้ั ๆ ได ผลทีจ่ ะปรากฏดงั ที่เคยเปนมาแลว กร็ ะงบั เพราะความคิดอนั รอนอนั
เปน สาเหตนุ น้ั มนั ระงบั ตวั ลง การระงับตัวลงไดแ หง ความคดิ นั้น เพราะความมสี ตยิ บั ยง้ั น่ี
ก็พอเปนสกั ขีพยานอันหนง่ึ แลววา เทา ทเ่ี ราฝน คดิ ในสง่ิ นน้ั มาดว ยสติ และใครค รวญดว ย
ปญญา มผี ลปรากฏขนึ้ มาอยา งนี้ คอื ปรากฏเปน ความสงบรม เยน็ ขน้ึ มา ทีนี้ทุกขก็ระงับดับ
ไป
แมจ ะลาํ บากในการฝน ในการบงั คบั จติ ใจ กจ็ งคิดหาอุบายปลดเปล้ืองตนเชน นั้น
อนั ความลาํ บากนน้ั เรากย็ อมรบั วา ลาํ บาก แตลําบากในทางทีถ่ กู ทีนี้ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็
เปน ความสขุ และเปน ความดี เรื่องก็ไมยุงเหยิงวุนวายตอไป ทุกขก็ไมเพิ่มขึ้นมาอีก เราก็
พอผอนคลายตัวได หรอื มเี วลาปลงวาง “ถา นเพลงิ ” คอื ความทกุ ขร อนบนหัวใจลงได น่ี
เปน หลกั เกณฑห นง่ึ ทเ่ี ราจะนาํ มาพจิ ารณา เกี่ยวกับเรื่องที่ไมถูกตองดีงามทั้งหลาย
เชน เขาดเุ ขาดา เขาตฉิ นิ นนิ ทาวา อยา งนน้ั ๆ คาํ ตฉิ นิ นนิ ทาเขากผ็ า นปากเขาไป
แลว ผา นความรสู กึ ของเขาไปแลว ตง้ั แตว นั ไหนเดอื นไหนไมท ราบ เราเพง่ิ ทราบในขณะ
นน้ั เวลานน้ั กเ็ ปน ความไมพ อใจขน้ึ มา ไอลมปากเขาก็หายไปแลวตั้งกี่ปกี่เดือนไมทราบ
เพียงแตลมปากใหมขึ้นมาวา “เขาวา ใหค ณุ อยา งนน้ั ๆ” เชน “นาย ก นาง ข.วา ใหค ณุ
อยา งนั้น ๆ ไมดีอยางนั้น ๆ” นี่เปน ลมปากครงั้ ท่ี ๒ เรากย็ ดึ เอาอนั นน้ั มาเปน “ไฟ” เผา
ตวั ข้ึนมาอยา งลม ๆ แลง ๆ โดยไมมีเหตุผลอะไรเลย นเ่ี ปน ความสาํ คญั ผดิ ของเรา ถา เขา
ไมเ ลา ใหฟ ง เรากธ็ รรมดา ธรรมดา ทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้นเขาไดพูดไปแลว ถา เขาไดเ คยตาํ หนติ ิ
ฉนิ นนิ ทาเรา เขากต็ าํ หนไิ ปแลว ผา นไปแลว เรากไ็ มเ หน็ มคี วามรสู กึ อยา งไร เพราะจติ ใจ
ไมกระเพื่อมออกมารับสิ่งเหลานั้น จิตเปนปกติ ผลก็ไมแสดงขึ้นมาในทางความทุกขความ
รอ นใด ๆ ทั้งสิ้น
เมอ่ื เปนผูม สี ตอิ ยูภายในตัว พอเขาพูดขึ้นมาเชนนั้น กท็ ราบทนั ทวี า สง่ิ นน้ั ไมด ี เรา
จะไปควาเอามายึดถือใหสกปรกและหนกั หนวงถว งใจเราทําไม ของสกปรกเรากท็ ราบแลว
แมแตเดินไปตามถนนหนทางไปเจอสิ่งสกปรก เรายงั หลกี ใหห า งไกล ไมกลาสัมผัสถูกตอง
แมแ ตฝ าเทากไ็ มแ ตะตองเลยเพราะทราบแลววาของไมด ี ถาขืนแตะตองก็จะตองเปอน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๕
๒๖
เปรอะไปหมด เราทราบแลว วา สง่ิ เหลา นส้ี กปรก แลว ทาํ ไมเราชอบไปคลกุ คลี ชอบไปยุง
ชอบไปนาํ มาคดิ มาวนุ วายตวั เอง จนใหเกดิ ผลข้นึ มาเปน ความสกปรกไปทั้งจติ กลายเปน
ไฟทั้งดวง ไมส มควรเลย
เราคดิ อยา งน้ี เราระงบั ความคดิ และอารมณน น้ั ได พอจะคิดขึ้นในขณะใดสติเราก็
ทันและรทู ันที แลวปลอยไปได ไมย ดึ มาเปน อารมณเ ผาลนใจอยนู าน ทก่ี ลา วมาแลว นท้ี ง้ั
หมด เปนหลักธรรมวิธีปองกันตัวในวิธีรักษาตัว
เมอ่ื เราใชว ธิ นี เ้ี ปน “ยาประจาํ บา น” ประจาํ ตวั ทกุ อริ ยิ าบถ ใจก็ปกติไมคอยจะเปน
ภัยแกต ัวเองจากส่งิ ท่มี าสมั ผัสทงั้ หลาย จะมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย แม
ในทางอารมณท่ีเกิดข้นึ กับใจโดยเฉพาะ ที่ไปคิดในเรื่องอดีตที่ไมดีไมงามตาง ๆ มารบกวน
เจาของก็ตาม หรืออะไร ๆ มาสมั ผสั ก็สลัดไดทันที เพราะสตปิ ญ ญามอี ยกู บั ใจ นาํ มาใช
เมื่อไรก็เกิดประโยชนเมื่อนั้น นอกจากจะปลอ ยใหส ง่ิ เหลา นน้ั เขา มาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเสยี
โดยไมคํานึงถึงเครื่องปองกันคือสติปญญาเลย เราถึงยอมรับทุกข
แตถายอมรับทุกขตามหลักความจริงที่ตนโง ตนประมาทแลว ก็ไมตองบนกัน แตน ่ี
กบ็ นกนั ทั่วโลกดนิ แดน เพราะอะไรเลา ถงึ บน ? เพราะไมอยากทุกข เมื่อไมอยากทุกขก็คิด
ทาํ ไมเลา ในสิ่งที่จะเปนทุกขฝนคิดทําไม กเ็ พราะความไมร ู รเู ทา ไมถ งึ การณ เมอ่ื เปนเชน
นน้ั จะเอาอะไรมาใหร เู ทา ถงึ การณ? กต็ อ งเอาสตปิ ญ ญามาใชก ท็ นั กบั เหตกุ ารณ ไมเ สีย
ไปหมดทั้งตัว ยังพอยื้อแยงไวไดบางในขั้นเริ่มแรกแหงการฝกหัด ตอไปก็ทันเหตุการณทุก
กรณี ตีชนะไดทุกวิถีทาง
วิธีปฏิบัติตอตัวเองดวยหลักศาสนาตองปฏิบัติอยางนี้ โลกถาตางคนตางมีเหตุผล
เปน เครอ่ื งดาํ เนนิ ไมว า กจิ การภายนอก ไมว า กจิ การภายใน อันใดทจ่ี ะเปนภัยตอตนและ
สว นรวม ตางคนตางคิด ตา งคนตา งเขา ใจ ตา งคนตางละเวนไมฝ าฝนด้ือดานหาญทาํ กัน
ซง่ึ เปน การชว ยกนั ทาํ ลายตนและสว นรวมใหเ สยี ไป
อนั ใดทเ่ี ปน คณุ ประโยชนแ กต นและสว นรวมแลว พยายามคดิ ทาํ ในสง่ิ นน้ั ๆ โลกก็มี
ความเจรญิ รงุ เรอื ง อยดู ว ยกนั มากนอ ยกม็ ีความผาสุกเยน็ ใจไปทวั่ หนา กนั เพราะมหี ลกั
ศาสนาเปน เครอ่ื งพาดาํ เนนิ ยอ มยงั บคุ คลใหเ ปน ไปเพอ่ื ความสงบสขุ ดวยการปฏิบัติ
ถกู ตอ งตามหลกั เหตผุ ล อนั เปน หลกั สากลทพ่ี าโลกใหเ จรญิ
ดงั นน้ั เรอ่ื งศาสนาจงึ เปน เรอ่ื งสาํ คญั สาํ หรบั การอยดู ว ยกนั น่หี มายถึงปจ จบุ ันทีอ่ ยู
ดวยกัน แมป จ จบุ นั จติ และตวั เราเองกม็ คี วามรม เยน็ เปน สขุ ไมเ ดอื ดรอ นวนุ วายแผ
กระจายออกไปสสู ว นรวม ตา งคนตา งกม็ คี วามรูสึกเชนนัน้ โลกกม็ คี วามผาสุก เมอ่ื หมาย
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๖
๒๗
ถึงอนาคตขางหนาของจิต จิตท่ีมเี หตุมีผลเปนหลกั ยดึ มธี รรมอยภู ายในใจแลว จะหาความ
เดือดรอนจากที่ไหน มาจากโลกใด เพราะจติ เปน ผผู ลติ ขน้ึ เอง เมื่อจิตไมผลิต จติ มอี รรถมี
ธรรมเปนเครื่องปองกันรักษาตนเองอยูแลว ไปโลกไหนก็ไปเถอะ ไมม คี วามทกุ ขร อ นท่ี
จะไปทาํ ลายจติ ใจของผนู น้ั ไดเ ลย
พูดตามหลักธรรมแลว จติ ทีม่ ีคณุ งามความดปี ระจาํ ใจ ยอมจะไมไปเกิดในสถานที่
จะไดร ับความทุกขความทรมาน เพราะ “กรรมประเภทนน้ั ” ไมมีจะผลักไสไปได มีแต
ความดคี อื กศุ ลกรรม เปนเครื่องพยุงจูงไปสูสถานที่ดี คติที่งามโดยลําดับ ๆ เทา นน้ั
อนาคตก็เปนอยา งนแ้ี ล
ผปู ฏบิ ตั ธิ รรม ผมู ธี รรมในใจ ผดิ กับบคุ คลที่ไมมีธรรมเปนไหน ๆ แมแ ตอ ยใู นโลก
เดยี วกัน เปน รปู รา งเหมอื นกนั กต็ าม แตค วามรคู วามเหน็ ความคดิ การกระทาํ ตา ง ๆ นน้ั
มีความผิดกันอยูโดยลําดับ ผลที่จะพึงไดรับจะไดเหมือนกันยอมเปนไปไมได ตองมีความ
แตกตางกนั อยูเ ชน นเี้ ปน ธรรมดาตั้งแตไหนแตไรมา
ฉะนั้น พระพุทธเจา จงึ ทรงสอนวา “กมมฺ ํ สตเฺ ต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรม
เปน เครอ่ื งจาํ แนกสตั วท ง้ั หลาย ใหม คี วามประณตี เลวทรามตา งกนั ” ไมนอกเหนือไปจาก
กรรม กรรมจึงเปนเรื่องใหญโตที่สุดของสัตวโลก ทําไมจึงใหญโต? เพราะเราตา งคนตา ง
เปน ผผู ลติ กรรมขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ดว ยกนั แมจะไมค ิดวา ตนสรางกรรมก็ตาม ผลดีชั่วก็เกิด
จากกรรมคอื การกระทําทกุ ราย จะหักหามไมไดเมื่อยังทํากรรมอยู
คาํ วา “กรรม” คืออะไร? แปลวา การกระทาํ เปน กลาง ๆ คดิ ดว ยใจเรยี กวา
“มโนกรรม” พดู ดว ยวาจา เรยี กวา “วจีกรรม” ทาํ ดว ยกาย เรยี กวา “กายกรรม” ใน
กรรม ๓ ประเภทน้ี เราเปน ผผู ลติ ผสู รา งอยตู ลอดเวลา แลวจะปดกั้นผลไมใหปรากฏดีชั่ว
ขึ้นมาไดอยางไร เมื่อการผลิตมีดีมีชั่วประจําตนอยู ธรรมชาตทิ เ่ี ราผลติ ขน้ึ มานแ้ี ล เปน เจา
อาํ นาจสาํ หรบั ปกครองจติ ใจ สนบั สนนุ หรอื จะบงั คบั จติ ใจใหไ ปเกดิ และอยใู นสถานทใ่ี ด
คติใดก็ได จะนอกเหนือไปจากผลแหงกรรมที่เรียกวา“วบิ าก” ซึ่งตนกระทําแลวนี้ไปไมได
ไมมีสิ่งใดมีอํานาจยิ่งไปกวาผลแหงกรรมที่ตนทํานี้ จะเปน เครื่องประคับประคอง หรอื เปน
เครื่องกดขี่บังคับตนในวาระตอไป
หลกั ศาสนาทา นสอนอยา งน้ี ทา นไมใหเชอื่ ทอ่ี ืน่ ยง่ิ ไปกวา ความเคลื่อนไหวดชี ว่ั ทาง
กายวาจาใจทเ่ี รยี กวา “กรรม” นเี้ ปน หลกั ประกนั ตวั อยูท่นี ี่ เพราะฉะนน้ั สง่ิ ทท่ี าํ ลายตวั และ
สง เสรมิ ตวั กค็ อื อนั นเ้ี ทา นน้ั ไมมอี ะไรมาทําลายและสง เสรมิ ได
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๗
๒๘
การคดิ การพดู การกระทํา ในทางที่ไมดี คอื การทาํ ลายตวั เอง การคดิ การพูด การ
กระทําในทางที่ดี คอื การสง เสรมิ บาํ รงุ ตนเอง การประกันตนเอง ไมใหตกไปในทางไมพึง
ปรารถนากม็ อี ยใู น “หลกั กรรม” นเ้ี ทา นน้ั ไมมีอะไรยิ่งไปกวานี้ เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไมค วร
กลวั สง่ิ โนนกลวั ส่ิงนโ้ี ดยหาเหตุผลไมได จะกลายเปนกระตายตื่นตูมทั้งที่ถือพุทธ อันเปน
องคพยานแหงความฉลาดแหลมคม
สิ่งที่นากลัวที่สุดก็คือ ความคดิ การพดู การกระทํา ที่เปนภัยแกตนเอง ไมว า จะใน
แงใ ดพงึ ทราบวา “นี้แลคือตัวพิษตัวภัยซึ่งกําลังแสดงออกกับกาย วาจา ใจของเรา ของ
ทา นอยเู วลาน”้ี ถาไมยอมรูสึกตัวแกไขใหมเสีย อนั นแ้ี หละจะเปน ตวั พษิ ภยั ทร่ี า ยกาจทส่ี ดุ
ใหโ ทษแกเ ราไมเ พยี งแตป จ จบุ นั น้ี ยงั จะเปน ไปในอนาคต จนหมดฤทธิ์หมดอํานาจของ
“กรรม” ทท่ี าํ ไวน แ้ี ลว ทุกขภัยตาง ๆ จึงจะหมดไปได
ผูเช่ือศาสนาจงึ ตอ งเชือ่ “หลักกรรมกับวบิ ากแหง กรรม” คือผลพึงติดตามมาโดย
ลาํ ดบั เราทุกคนมีใครนอกเหนอื ไปจากการทาํ กรรมได? ไมมี ตองทําดวยกันทุกคน คนมี
ศาสนาหรอื ไมม ศี าสนากท็ าํ “กรรม” กันทั้งสิ้น เพราะเปน หลกั ธรรมชาตแิ หง การกระทาํ
ซึ่งมีประจําตนอยูแลว และถูกตองตามหลักของศาสนาที่ทานสอนไวแลว กรรมมีอยูกับทุก
คน นอกจากจะเชื่อหรือไมเชื่อเทานั้น ซงึ่ กไ็ มมกี ารลบลา งกรรมนนั้ ได ทั้งกรรมทั้งผลแหง
กรรมไมมีทางลบลางได ตองเปนกรรมและเปนผลดีชั่วไปทุกภพทุกชาติ ไมมีอันใดนอก
เหนอื ไปจาก “กรรม” และ “วบิ ากแหง กรรม” ซึ่งเกิดจากการทําดีทําชั่วของตัวเอง จึงไม
ควรกลวั เรอ่ื งสมุ สส่ี มุ หา อนั หาเหตผุ ลไมไ ด ถา กลวั นรกกก็ ลวั บอ นรกทก่ี าํ ลงั สรา งอยเู วลาน้ี
ซง่ึ อยภู ายในจติ ใจเปน ตน เหตสุ าํ คญั นแ่ี หละ“บอ นรก”
สาเหตทุ จ่ี ะทาํ ใหไ ฟนรกเผากอ็ ยทู ใ่ี จน้ี ใหร สู กึ ตวั และมสี ตจิ ดจอ มปี ญ ญาพนิ จิ
พิจารณาแกไ ขเคร่อื งมอื ของตนทีก่ ําลังคิดผดิ และผลติ ยาพษิ หรอื ผลติ คณุ ธรรมขน้ึ มา
ภายในใจ ใหเ ลอื กเฟน ตรงน้ี และทาํ ตามความเลอื กเฟน ดว ยดแี ลว จะไมม อี ะไรเปน
พษิ เปนภัยแกสัตวโ ลกมีเราเปน ตนเลย
นแ่ี หละศาสนาจาํ เปน หรอื ไมจ าํ เปน ? ใหคิดที่ตรงนี้ ผูที่สอนก็คือผูที่รูเรื่องของ
กรรม รูเร่อื งผลของกรรมดว ยดีแลว ไมมีทแ่ี ยง คือพระพุทธเจา ทรงทราบทุกสิ่งทุกอยาง
ทั้งกรรมของพระองคและกรรมของสัตวโลก ทั้งผลแหงกรรมของพระองคและผลแหง
กรรมของสัตวโลกทั่วไตรโลกธาตุ ไมมีใครสามารถอาจเอื้อมที่จะรูไดเห็นไดอยางพระพุทธ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๘
๒๙
เจา จึงทรงประกาศความจริงนี้ออกมาเปน “ศาสนธรรม” ใหเ ราทง้ั หลายไดย นิ ไดฟ ง ได
ประพฤติปฏิบัติตามโดยไมมีอะไรผิด
ถา ไมฝ น ศาสนธรรมทท่ี า นสอนไวเ สยี อยา งเดยี ว โดยการกระทําในสิ่งที่ไมดีทั้ง
หลาย ผลจึงปนเกลียวกันกับความตองการ กลายเปน ความไมส มหวงั หรอื เปน ความทกุ ข
ขึ้นมา หลักใหญอยูที่ตรงนี้
โลกมเี ราเปน ตน ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ แมจะมีทุกขมากนอยก็พอมีที่ปลงที่วาง
ได เหมอื นกบั โรคทม่ี ยี าระงบั ไมปลอยใหเปนไปตามกําลังหรืออํานาจของโรคโดย
ถา ยเดยี ว ยอมพอมีทางหายได
การสรา งความดไี มเ ปน สง่ิ ทน่ี า เบอ่ื ไมเปนสิ่งที่นาเอือมระอา ไมเ ปน สง่ิ ทน่ี า เกลยี ด
ไมเ ปน สง่ิ ทน่ี า อดิ หนาระอาใจ เพราะสง่ิ ทง้ั หลายทเ่ี ปน ความสขุ ความสมหวงั ทง้ั มวล เกิดขึ้น
จากการสรา งความดเี ทานนั้ ไมไดเกิดขึน้ จากอะไร สรา งเทา ไรมเี ทา ไรขน้ึ ชอ่ื วา ความดี
แลว ไมเ ฟอ ไมเหมือนสิ่งภายนอกซึ่งมีทางเฟอได ถา มมี ากเขา จรงิ ๆ แตค นดมี มี ากเทา
ไรไมเ ฟอ ความดีมีมากเทาไรไมมีเฟอ ดเี ทา ไรยง่ิ มคี วามอบอนุ แนน หนามน่ั คงภายในใจ
ยิ่งมีความดีงามตอกันจํานวนมากเทาไรยิ่งอบอุนไปหมด ไมม คี าํ วา “เฟอ”
ผดิ กับส่ิงตาง ๆ ที่มีการเฟอได เชน “เงนิ เฟอ ” “คนเฟอ ” เราเคยไดเ หน็ ไหม?
เราเคยไดย นิ แต “เงนิ เฟอ ” สิ่งของมีมากจนลนตลาดก็เฟอ ขายไมไดราคา ตองขายลด
ราคาลงไปตามลาํ ดบั ๆ ทีนี้ “มนษุ ยเ ฟอ ” เราเคยไดย นิ ไหม?
เวลานม้ี นษุ ยก าํ ลงั เฟอ จะหาราคาํ่ ราคาไมไ ดแ ลว เพราะมีมากตอมาก ใครก็จะเอา
แตตัวรอดวาเปนยอดดี แลวสรา งความทกุ ขใหผูอน่ื มากมายเพอ่ื ความสขุ ของตัวเอง มีเทา
ไรเวลาน้ี มมี ากมายทเี ดยี วทม่ี คี วามเหน็ แกต วั มาก เหน็ แกไ ดม าก โลภมาก เพราะกเิ ลส
ตณั หามนั เจรญิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั สง่ิ ทใ่ี หม นั เจรญิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั กเ็ พราะไดร บั การสง เสรมิ เลย้ี งดู
อยางเหลือเฟอจน “เฟอ ” ซง่ึ เวลานก้ี าํ ลงั มมี าก นยิ มกนั มาก มีเต็มอยูทุกแหงทุกหน ซึ่ง
แตก อ นเรากไ็ มเ คยเหน็ ไอส ง่ิ สง เสรมิ ใหก เิ ลสตณั หาราคะมนั แสดงตวั ขน้ึ เปน เปลวเหมอื น
ฟนเหมือนไฟ ทกุ วนั นไ้ี ดเ หน็ กนั แลว
แตโลกก็ยินดีจะวายังไง ? ทุกขเทาไรก็ไมเห็นโทษของมัน ยังถือวาสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี
ถือวาดีอยูเรื่อย ๆ จนกระทั่งจะไมมีสติสตังเลยแทบจะเปนบา ก็ยังวาดีอยูเรื่อยไป แลว จะมี
ทางแกกันที่ตรงไหน? เมอ่ื ยงั มคี วามยนิ ดใี นความเปน บา อยเู ชน นน้ั แลว มันจะมีสติสตัง
เปนคนดีไดอยางไร? นแ่ี หละ “มนุษยเฟอ” ดูเอา เฟอ จนจะเปน บา กนั ท่ัวดินแดนทงั้ เขา
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๙
๓๐
ทง้ั เรา เมื่อจิตใจที่เฟออยางนี้แลวมันก็ทําใหมนุษยเฟอดวย กอนที่มนุษยจะเฟอ จิตใจตอง
เฟอเสียกอน คือจิตใจไมมีคุณคา จิตใจไมมีราคา ถูกสิ่งสกปรกโสมมซึ่งรกรุงรังเขาไปทับ
ถมคลกุ เคลา เสยี หมด หุมหอหมด จนมองหา “ตวั จรงิ ” คือจิตไมเจอ แลวคณุ คา ของจิต
ดวงนี้จะมีมาจากที่ไหน
เมื่อมีแตของเฟอ ๆ เตม็ หวั ใจอยา งน้ี เวลาแสดงออกทางกายวาจากริ ยิ ามารยาทก็
เปน “มนุษยเฟอ” เฟอไปตาม ๆ กันหมด แลวคุณคาของมนุษยนั้นจะมีไดที่ไหน? เมอ่ื
เปน เชน นแ้ี ลว โลกนม้ี นั นา ดนู า ชมและนา อยทู ต่ี รงไหน ? ถาไมอยูกับมนุษยที่ทําตัวใหดีมี
คณุ คา สาํ หรบั ตวั มันกม็ ีเทา นัน้ ถา มนษุ ยเราทาํ ใหเ ฟอแลว จะไมม ีโลกอยแู นน อน แลว จะ
ไปตาํ หนใิ คร กม็ นุษยเ ปนผทู าํ ใหเ ฟอเสยี เอง ใครไมเ ห็นกด็ ูเอา พูดยอ ๆ แตเ พยี งเทาน้ีก็
พอจะทราบไดวามนุษยเฟอเปนอยางไร
เราไมไ ปตาํ หนคิ นอน่ื เรากเ็ ฟอ ถา ทไ่ี หนไมด สี าํ หรบั เรา เราก็เฟอเหมือนกัน นเ่ี รา
เอาหลักธรรมของพระพุทธเจามาทดสอบ ทดสอบพวกเราที่กําลังเฟอ ๆ อยเู วลานแ้ี หละ
ใหพยายามแกสิ่งที่เฟอออก ส่ิงทเี่ ฟอนัน่ แหละคือสิ่งทที่ ําลายคุณสมบตั ิของเรา คุณคาของ
มนษุ ยเ รา พยายามแกตรงนี้ที่กําลังเฟอนี้ ใหก ลบั เปน ความดขี น้ึ มา
เอา รน เขา มาหานกั ปฏบิ ตั เิ รา ความขเ้ี กยี จนน้ั แหละคอื ความเฟอ แกมันออก
ความขเ้ี กยี จ ความออ นแอ มนั พาใหเ ราเฟอ จงชะลางมันออกไป ใหมคี วามเขม แขง็ มี
ความอตุ สา หพ ยายามเขา มาแทนท่ี ดว ยความเชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม เชื่อพระพุทธเจา
เอา เปน ก็เปน ตายกต็ าย เร่ืองความเกิดกับความตายนั้นมันเปนของคกู นั อยูเ สมอ
จะแยกมันออกจากกันไปไหน เพราะเราเกดิ มากบั ความตาย เราไมไ ดต ายมากบั ความเกดิ
เมื่อเกิดแลวมันตองมีตาย ถาแกไขไดแลว ตายแลวไมตองเกิดอีก เพราะฉะนน้ั จงึ วา
เกดิ มากบั ความตาย ไมใชตายมากับความเกิดนะ
ดังพระพทุ ธเจาท้งั หลายและสาวกทั้งหลายทานตายแลว ทา นไมเ กิดอีก ผบู รสิ ทุ ธ์ิ
แลวตายแลวไมตองกลับมาเกิดอีก แตเกิดแลว กบั ความตายจะตอ งตายเปน คกู ัน พระพุทธ
เจากต็ องตายท่เี รยี กวา “ปรนิ พิ พาน” ความจรงิ คอื ธาตขุ นั ธส ลายเชน เดยี วกบั โลกทว่ั ๆ
ไปนน่ั เอง เพราะตน เหตมุ นั มอี ยแู ลว จะไปลบผลมันไมได ผลคอื เกดิ ขน้ึ มาแลว ความตาย
จะตองมีเปนธรรมดา นี่ตนเหตุคือความเกิดขึ้นมา ผลคอื ความตาย จะแยกกันไมได มัน
ตองมีเปนคูกันเสมอ น่แี หละคูแ หง ความเกิดตายของโลกที่มีกิเลสฝงเช้อื อยูภายในใจ เปน
อยางนี้
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐
๓๑
เราสเู พอ่ื ชยั ชนะ จิตไมตาย แตจิตถูกจองจําทําเข็ญ ยงุ กนั ไปวนกนั มาจนเปน “นกั
โทษ” ทั้งดวง หาหลกั หาเกณฑไ มไ ด เพียงแตฝกซอมดัดแปลงตัวเองออกจากสิ่งที่สกปรก
รกรงุ รงั ก็ยังแยกไมได เพราะความออ นแอ แมสติปญญามีอยูก็ไมผลิตขึ้นมาเพื่อแกตน
การแกตนแกดวยสติ แกดวยปญญา แกด ว ยศรทั ธาความเพยี ร พระพุทธเจาเคยแกอ ยางน้ี
มาแลว กอ นจะไดผ ลและนาํ ธรรมมาสง่ั สอนโลก พอไดล มื ตามองเหน็ บญุ เหน็ บาปบา งตาม
กาํ ลงั
สว นเราเอาอะไรมาแก เอาความขี้เกียจมาแกก็เพิ่มเขาไปอีก เพิ่มโทษเขาไปเรื่อย ๆ
ติดโทษประมาณเทา น้ันปเทานี้ป แทนที่จะไดออก กลับเพิ่มโทษขึ้นมาเรื่อย ๆ มันก็ไมได
ออกจากคุกจากตะรางสักที เลยตายอยใู นเรอื นจาํ นด่ี แี ลว เหรอ?
“เรอื นจาํ ” ในทน่ี ห้ี มายถงึ “วฏั จกั ร” คอื ความหมนุ เวยี นเปลย่ี นแปลงของโลก
เกิดตาย อนั ฉาบทาไปดว ยความทกุ ขทรมาน ซึ่งไดแกพวกเราเอง แลว เราจะเอาอะไรมา
แก? เอาความออนแอมาแกมันก็จม เพิ่มโทษเขาอีก ตองเอาความเขมแข็งความขยันหมั่น
เพยี ร ความอตุ สา หพ ยายาม สติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เรงลงไป เอา ตายกต็ าย โลกน้ี
มีความเกิดความตายเทา นัน้ ไมมีใครจะนอกเหนือกวากนั สิ่งที่จะนอกเหนือ คือสติปญญา
ศรัทธา ความเพยี รของเรา ทจ่ี ะนาํ ตวั เราใหห ลดุ พน ไปไดใ นระยะใดกต็ าม ไดช อ่ื วา เราได
ชัยชนะเปนพัก ๆ ไป นแ่ี หละทจ่ี ะทาํ ใหเ รามคี ณุ คา เอาตรงน้ี ชนะกันตรงนี้ ซง่ึ เปน ความ
ชนะเลิศเหนือกเิ ลสสมมตุ ิท้ังปวง
ชนะอะไรก็เคยชนะมาแลว แตชนะตัวเองคือชนะกิเลสของตัวเอง ยงั ไมเ คยเลย เอา
เอาใหชนะใหไดเปน พัก ๆ ไป จนกระท่งั ชนะไปโดยสิ้นเชิงไมมีส่ิงใดเหลอื นั่นแหละ การ
ชนะอะไรหรอื ผอู น่ื ใดคณู ดว ยลา น ยงั ไมจ ดั วา ชนะเลศิ ประเสรฐิ เหมอื นชนะกเิ ลสของ
ตนคนเดยี ว การชนะกเิ ลสภายในใจของตนเพยี งคนเดยี วเทา นน้ั ผนู น้ั แลเปน ผู
ประเสรฐิ สดุ ในโลก
นั่นฟงซิ ชนะสิ่งอื่นไมมีอะไรประเสริฐเลย นอกจากจะเพิ่มโทษเพิ่มกรรมเพิ่มเวร
ใหยุงเหยิงติดตอกอแขนง เกี่ยวโยงกันเปนลูกโซไปไมมีทางสิ้นสุดลงไดเทานั้น แตก ารชนะ
กิเลสของตนดว ยสตปิ ญญาศรัทธาความเพียรนี้ เปน ผปู ระเสรฐิ ไมตองกลับมาแพอีกแลว
มหี นทางเดยี วเทา นน้ั ตาย ตายเฉพาะหนเดยี ว เฉพาะอัตภาพที่มีอยูนี้ อนั เปน ตน เหตทุ จ่ี ะ
ใหต ายอยเู ทา นน้ั นอกนั้นไมตองมากอกําเนิดเกิดเที่ยวหาจับจองปาชาที่ไหนอีก เราเคยจบั
จองปา ชา มานานแลว เรอ่ื งปา ชา นม้ี นั ควรจะเบอ่ื กนั เสยี ที เกิดที่ไหนก็จองที่นั่นแหละ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๑
๓๒
สัตวโลกทุกตัวสัตวมีแต “นักจองปาชา” กันทั้งนั้น เกิดแลวตองตาย ตายแลว เอา
ปา ชา ทไ่ี หน? กเ็ อาตัวของเราเองเปนปา ชา มันมีดวยกันทุกคน เราทําไมจะขยนั จองนกั
จองปา ชา มนั ดหี รอื ? คนและสัตวทนทุกขจนถึงตายไป ไมเข็ดไมหลาบที่ตรงนี้จะไปเข็ด
หลาบทต่ี รงไหน? อะไรมาใหท กุ ขใ หภ ยั แกเ รา ถา ไมใ ชเ รอ่ื งของความเกดิ ความตาย
เทา นน้ั เปน ทกุ ขเ ปน ภยั ในระหวางทางก็เปนทุกขในธาตุในขันธ ความหวิ โหยโรยแรง
ความทุกขรอนตาง ๆ มันเปน อยูในธาตุในขนั ธน ้ี ไมใชเปนอยูทีภ่ ูเขาน่นี า ไมไดอยูใน
อากาศ ไมไดอยูที่ตนไม มนั อยใู นบคุ คลคนหนง่ึ ๆ สตั วต วั หนง่ึ ๆ นเ้ี ทา นน้ั กองทุกขรวม
แลวมนั อยูท่เี รา เราจะไปคดิ วา “อยทู น่ี น่ั จะดี อยทู น่ี จ่ี ะดี” ถา ธาตขุ นั ธม นั เปน ภยั อยู
แลวหาอะไรดีไมได ถา จติ ยงั เปน ภยั อยแู ลว หาอะไรสขุ เจรญิ ไมไ ด ตองแกไขที่นี่(จติ )
ดบั กันทน่ี ี่ เอานาํ้ ดบั ดับกันทีน่ ี่ นาํ้ คอื นาํ้ ธรรม ดับลงที่นี่แลวก็เย็น เยน็ แลว กส็ บาย
หายโศกเศรา เลกิ กนั เสยี ทกี ารจบั จองปา ชา
นแ่ี หละพระพทุ ธเจา ทา นสอนศาสนา สอนจนถึงที่นี่ การดาํ เนนิ ทจ่ี ะใหม คี วามสขุ
ความสบาย กใ็ หด าํ เนนิ ไปตาม “สมั มาอาชวี ะ” โดยสมาํ่ เสมอ ภายนอกภายใน
สมั มาอาชวี ะภายใน กบ็ าํ รงุ เลย้ี งจติ ของตนดว ยศลี ดว ยธรรม อยาเอายาพษิ เขามา
แผดเผาจติ ใจ มีอารมณที่ไมพอใจเปนตน เขา มารบกวนจติ ใจ เผาลนจติ ใจใหเ ดอื ดรอ นขนุ
มัว ก็เปนความชอบ ชอบ ชอบไปตามลําดับ จนกระทั่งจิตไปถึงความชอบธรรมโดย
สมบรู ณแ ลว กผ็ า นไปได น่ี
การแสดง “สมั มาอาชีวะภายนอก” ไมคอยมีเวลาเพียงพอ
เอาละ การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรแกเ วลา ขอยุติเพียงเทานี้
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๒
๓๓
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
เลห เ หลย่ี มของกเิ ลส
ที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติผูรักษาตั้งแตศีลอุโบสถขึ้นไปจนถึงเณรถึงพระ ไมให
นง่ั ใหน อนบนทน่ี อนอนั สงู และใหญภ ายในยดั ดว ยนนุ และสาํ ลี นน่ั ทา นทรงกลา ววา ผู
ปฏบิ ตั ิธรรมจะมคี วามประมาท เพลนิ ในการหลบั นอนจนเกนิ ไปยง่ิ กวา ทาํ ความ
พากเพียร พระองคทรงมีอุบายหามทุกแงทุกมุม ซง่ึ จะเปน ทางเพม่ิ พนู กเิ ลสทง้ั หลาย
ทรงพยายามชวยเหลือตัดหนทางที่จะเพิ่มพูนกิเลสของผูปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ใน
บรรดาท่ีรักษาศลี ตงั้ แตศลี ๕ ศลี ๘ ขึ้นไปถึงศีล ๒๒๗ ตามขั้นตอนของผูรักษาศีลนั้น
ๆ
แมธรรมก็ไมมีธรรมขอใดที่จะสอนใหผูปฏิบัติมีความประมาทนอนใจ มีแตสอน
ใหมีสติใหมีปญญา ความระมัดระวงั ใหม คี วามพากเพยี รความอตุ สา หพ ยายาม ใหเ ปน
นักตอสูอยูตลอดเวลา ไมเ คยปรากฏในบทใดบาทใดวา พระองคท รงสอนใหล ดละความ
พากเพยี รและออ นแอในการงานทช่ี อบทง้ั หลาย
สอนฝา ยฆราวาสกส็ อนใหม แี ตค วามขยนั หมน่ั เพยี รทง้ั นน้ั เราจะเหน็ ไดใ นบท
ธรรมวา อฏุ ฐานสมั ปทา ใหถงึ พรอมดวยความขยนั หมน่ั เพียรในกิจการงานท่ีชอบ
อารักขสมั ปทา เมอ่ื แสวงหาทรพั ยส มบตั มิ าไดด ว ยความชอบธรรมแลว ใหพ ยายาม
เก็บหอมรอมรบิ อยา ใชส รุ ยุ สรุ า ย กัลยาณมิตตตา ใหร ะมดั ระวงั อยา คบคนพาล
สนั ดานชว่ั ใหค บเพอ่ื นทด่ี งี าม ระวังพวกปาปมิตรจะเปน เหตใุ หเ สยี ได เพราะคนเรา
เมื่อคบกันไปนาน ๆ ยอมมีนิสัยกลมกลืนไปในรอยเดียวกันได ทั้งคนดีหรือคนชั่ว มี
ทางเปนไปไดทั้งสอง คบคนชว่ั กเ็ ปน คนชว่ั ไปได คบคนดีก็เปนคนดีไปได สมชีวิตา ให
เลย้ี งชพี พอประมาณ อยา สรุ ยุ สรุ า ยหรอื ฟงุ เฟอ เหอ เหมิ ลมื เนอ้ื ลมื ตวั
การเกบ็ ทรพั ยเ ปน สง่ิ สาํ คญั ใหร เู หตผุ ลทค่ี วรเกบ็ เหตผุ ลทค่ี วรจา ย นน่ั นา ฟง
ไหม ทา นสอนพวกเราทเ่ี ปน นกั สรุ ยุ สรุ า ยนะ มีจุดไหนที่พระพุทธเจาทรงสอนใหคนมี
ความลมื ตวั ไมมี เพราะฉะนน้ั คาํ วา ประหยดั มัธยัสถ จึงเปนหลักประกันการครองชีพ
ของบุคคลทั่วไปตลอดถึงผูปฏิบัติ ความไมลืมตัวคือความมีสติปญญาเปนเครื่องรักษา
ตวั นน่ั เอง สมบัติมีมากมีนอยใหมีความประหยัดความมัธยัสถ ใหร จู กั ใชส อยใหเ กดิ
ความสขุ บรรดาสมบตั ิเงนิ ทองมมี ากนอ ยอยาใหเ ปน ขา ศกึ แกตน เพราะความลมื ตวั นน้ั
เลย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓
๓๔
นเ่ี ทศนส อนฆราวาสทา นสอนอยา งน้ี และเขากันไดทั้งฝายพระดวย เพราะธรรม
เปน กลาง ๆ ใชไดทั่วไป แลว แตจ ะยดึ มาปฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมกบั ตนในธรรมขน้ั ใด หรอื
จะใหเปนไปตามจิตใจของผูปฏิบัติขั้นใดไดทั้งนั้น
เวลาสอนพระยิง่ มคี วามเขม แข็งมากข้นึ ไมใ หม ีความประมาทอุบายวธิ ีท่ีจะกนั้
ความรว่ั ไหลเขา มาแหง กเิ ลสทง้ั หลาย เพราะเทาทมี่ ีอยูน ้กี ็มากตอมากจนลน หวั ใจ ใน
บางเวลาตองระบายออกทางกิริยา จนเปน สง่ิ นา กลวั มาก และพยายามฉุดลากมันออก
ยากยงิ่ กวา สง่ิ ใดอยูแลว ไมมีอันใดท่ีจะเหนียวแนนยิ่งกวากิเลสภายในจิตใจของสัตว วิธี
ถอดถอนกิเลสนี้ก็ตองลําบากยากยิ่งกวาถอดถอนสิ่งใด ทา นจงึ สอนพยายามระมดั ระวงั
ไมใหกิเลสที่ยังไมมีหลั่งไหลเขามา ที่มีอยูแลวก็ใหพยายามรื้อถอนมันออกดวยความ
พากเพยี รความอตุ สา หพ ยายาม ดวยความขยัน ความเฉลยี วฉลาด ไมใ หน อนใจกบั
กิเลสชนิดใดทั้งสิ้น ใน อปณณกปฏิปทา ทท่ี า นสอนไวส าํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ เฉพาะอยางยิ่ง
คือสอนพระ อปณณกปฏิปทาคือการปฏิบัติไมผิด ปฏบิ ตั โิ ดยความสมาํ่ เสมอ คือ
ตั้งแตปฐมยามไปใหประกอบความเพียร จะเดินจงกรมก็ไดจะนั่งสมาธิภาวนาก็
ได พอถึงมัชฌิมยามก็พักผอนนอนหลับ พอปจฉิมยาม ก็ตื่นขึ้นเดินจงกรมนั่งสมาธิ
ภาวนาเรอ่ื ย ๆ ไป ตอนกลางวันก็ทํานองเดียวกัน หากจะมีการพักผอนบางในตอน
กลางวันก็พักได แตตองระมัดระวังใหปดประตู รักษามารยาทในการพักนอน ทานสอน
ไวโ ดยละเอยี ด แตอธิบายเพียงยอ ๆ เทา นน้ั การปฏบิ ตั โิ ดยสมาํ่ เสมอเชน นช้ี อ่ื วา
อปณณกปฏิปทา
ผทู จ่ี ะรบี เรง ยง่ิ กวา นใ้ี นบางกาลกย็ ง่ิ เปน ความชอบยง่ิ ขน้ึ ไป แตห ยอ นกวา นน้ั
ทานไมไดสอน วา ใหห ยอ นกวา นไ้ี ด กินแลวอยากหลับอยากนอนเมื่อใดก็นอนเอาตาม
ใจชอบเถอะ อยากกินอยากขบอยากฉันอะไรก็ฉันไปเถอะเลี้ยงไปเถอะ ตถาคตไดตรัสรู
ดว ยวธิ นี แ้ี หละ เรอ่ื งของธาตขุ นั ธน เ้ี ลย้ี งใหม นั มคี วามอม่ิ หนาํ สาํ ราญใหม คี วามบรบิ รู ณ
แลว เอาไปแขงหมูตัวกําลงั จะข้ึนเขยี ง นี่ทา นไมไดว า
สาํ คญั ทห่ี ลอ เลย้ี งจติ ใจ นาํ ธรรมเขา มาหลอ เลย้ี งจติ ใจใหม คี วามชมุ เยน็ การ
หลอ เลย้ี งจติ ใจดว ยอรรถดว ยธรรมนม้ี คี วามชมุ เยน็ จนกระท่งั รา งกายกพ็ ลอยมีความ
ผาสุกไปดวยใจที่เปนหลักใหญของกาย แตการหลอเล้ยี งรา งกายโดยไมเ กี่ยวของกบั
ธรรมเลยนน้ั ไมผ ดิ กบั ทเ่ี ขาเลย้ี งหมไู วส าํ หรบั ขน้ึ เขยี ง เพื่อหอมกระเทียมจะไดเปน
ญาติกันสนิทดี ถาใครตองการผูกญาติมิตรอันสนิทกับหอมกระเทียมละก็ใหเรงการกิน
การนอนความขเ้ี กยี จเขา ใหม าก มีหวังไดขึ้นเวทีคลุกเคลากับหอมกระเทียมโดยไม
สงสัย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔
๓๕
ศาสนธรรมทป่ี ระทานไวน น้ั จงึ หาทแ่ี ทรกหาทค่ี ดั คา นไมไ ด ไมว า จะเปน ธรรมขน้ั
ใด อุบายวิธีทรงสั่งสอนไวเพื่อปดกั้นกิเลส เพื่อขับไลกิเลส ไมมีอุบายของผูใดที่จะมี
ความฉลาดแหลมคมย่ิงกวาอบุ ายของพระพุทธเจา ท่ที รงนํามาสง่ั สอนสตั วโลก เพราะ
การขบั ไลก เิ ลส การหกั หา มใจทก่ี าํ ลงั มกี เิ ลสครอบงาํ พระพุทธเจาไดทรงดําเนินมาแลว
จนไดผลเปนที่พอพระทัยถึงขั้นศาสดา เม่ือไดท รงประสบพบเหน็ มาดวยขอปฏบิ ัตหิ รือ
อบุ ายใด พระองคก ท็ รงนาํ ขอ ปฏบิ ัตหิ รอื อุบายนนั้ ๆ มาสง่ั สอนโลก ดวยความถูกตอง
แมนยาํ ไมผิดพลาดคลาดเคล่ือน ถาปฏิบัติตามแนวทางที่พระองคทรงแสดงไวแลว
เรยี กวา ดาํ เนนิ ตามหลกั มชั ฌมิ า คอื เหมาะสมอยางยิง่ กับการแกกเิ ลสทุกประเภท ดว ย
อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ตามขัน้ ของกเิ ลสท่ีหยาบละเอยี ด
เพราะคาํ วา มชั ฌมิ านน้ั เหมาะสมกบั การแกก เิ ลส โดยทางสตปิ ญ ญาศรทั ธาความ
เพียร ซึ่งอยูในองคมรรคของมัชฌิมาที่ประทานไวแลว กเิ ลสประเภทหนาแนน หรอื
เหนยี วแนน แกน แหง วฏั ฏะกต็ อ งทาํ ใหห นกั มอื เชน เดยี วกบั เขาถากไม ไมที่ตรงไหนคด
งอมากก็ตองถากใหหนักมือเพื่อใหตรง ถาที่ไหนตรงอยูแลวก็ไมตองถากมากมายนัก ที่
ไหนตรงอยูแลวจะถากมากก็เสียไม ถากพอไดสัดไดสวนก็พอแลว
เรอ่ื งกเิ ลสนก้ี เ็ ชน เดยี วกนั บางขั้นบางตอนหรือบางประเภทของกิเลส หรอื บาง
เวลาทก่ี เิ ลสแสดงออกมาอยา งผาดโผนรนุ แรงมาก ตองใชความเพียรอยางแข็งแกรง
และแกกันอยางหนัก จะออนแอทอถอยไมได ถงึ จะพอกนั หรือเหนอื กวากิเลสประเภท
นน้ั ๆ ถึงจะยอม ถึงคราวจะทําอยางนี้ก็ตองทํา จะผดั เพย้ี นเลอ่ื นเวลาวา เชา สายบา ย
เย็นอยูไมได ความเพยี รชนดิ เอาเปน เอาตายเขา วา กนั เชน นท้ี า นกเ็ รยี กวา มชั ฌมิ า
สาํ หรบั กเิ ลสประเภททแ่ี สดงขน้ึ เฉพาะกาลนเ้ี วลานเ้ี กดิ ขน้ึ ลกั ษณะน้ี เราตอ งใชว ธิ กี าร
แบบนถ้ี งึ จะทนั กัน หรอื สามารถปราบปรามกนั ไดด ว ยวธิ กี ารน้ี วิธนี เี้ รียกวามชั ฌิมาของ
กเิ ลสประเภทนเ้ี ชน เดยี วกนั
คาํ วา มชั ฌมิ าจงึ มหี ลายขน้ั เปน คปู รบั กนั กบั กเิ ลสประเภทตา ง ๆ เชน เดยี วกบั
เครื่องมือทํางานของนายชางตองมีหลายชนิดดวยกัน เพื่อสะดวกแกงานและควรแกการ
ปลกู สรา งนน้ั ๆ กิเลสประเภทหยาบก็ตองใชมัชฌิมาแบบแผลงฤทธิ์ใหทันกันกับกิเลส
ประเภทหยาบนน้ั จงึ เรยี กวา มชั ฌมิ า สว นหยาบ สวนกลางกใ็ ชสตปิ ญ ญาศรัทธาความ
เพียรแหงมัชฌิมาใหเปนไปตามนั้น เพอ่ื ใหก เิ ลสหลุดลอยไปดว ยขอปฏิบัติน้นั ๆ นี่ก็
เรยี กวา มชั ฌมิ าสาํ หรบั กเิ ลสขน้ั นน้ั ถึงขั้นละเอียดสติปญญาก็ตองละเอียด ความเพยี รก็
ตองละเอียดลออ นั่งอยูที่ใด ยืนเดินอยทู ใ่ี ดอยใู นอิริยาบถใด กเ็ ปน ความเพยี รอยใู นทา
นน้ั ๆ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕
๓๖
ไมใ ชว า เดนิ จงกรมจงึ จะเรยี กวา เปน ความเพยี ร นง่ั สมาธจิ งึ จะเรยี กวา เปน ความ
เพียร นั่งอยูก็ตาม ยืนอยกู ต็ าม เดินอยูก็ตาม ไมว า อริ ยิ าบถใด ๆ เวน แตห ลบั เทา นน้ั
ตองเปนความเพียรโดยตลอด ไมมีระยะใดที่จะไมมีความเพียร ดวยสติปญญาซึ่งเปน
อัตโนมัติเกิดขึ้นกับตนเพื่อแกกิเลสซึ่งมีอยูภายใน นเ่ี รยี กวา มชั ฌมิ าขน้ั ละเอยี ด คือสติ
ปญ ญาไหลรนิ อยดู ว ยความคดิ ตลอดเวลา เชน เดยี วกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ทไ่ี หลรนิ อยทู ง้ั หนา
แลง หนา ฝนไมม เี วลาเหอื ดแหง ไหลซมึ อยตู ลอดกาลเวลาฉะนนั้ การแกก เิ ลสประเภทน้ี
กเ็ ปน เชน นน้ั เหมอื นกนั สติปญญาก็ละเอียด พนิ จิ พิจารณากนั อยา งละเอียดอยภู ายใน
นเ่ี รยี กวา มชั ฌมิ า
การปฏิบัติ ถาปฏิบัติไมถูกตองเหมาะสมตามวิธีการของการแกกิเลสประเภท
นน้ั ๆ ก็ไมไดผล ขณะกเิ ลสกาํ ลงั หนา ๆ ความขี้เกียจมันตองมีมากขึ้น ความออนแอ
มันก็ตองมาก ความมาก ๆ เหลา น้ลี ว นแตเ ปน กองทพั ของกิเลสดว ยกัน เมื่อเปนเชนนี้
ความเพียรก็ตองดอยถอยกําลังแลวมันจะเขากันไดอยางไร กิเลสหนานั่นเองมันถึงทํา
ใหคนขี้เกียจและมีทุกขมาก ถา กเิ ลสเบาบางบา งความทกุ ขก น็ อ ยลง ความพากเพียรก็
ไหวตวั และตง้ั หนา ทาํ งานเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยไปโดยลาํ ดบั ไมอ ยดู ว ยความอบั จนแบบ
คนขค้ี กุ
ตอนท่จี ะทาํ กเิ ลสท่ีกาํ ลงั หนา ๆ ใหเ บาบางลงไปจะทาํ ดว ยวธิ ใี ด ความเพยี ร
เพียงจะนง่ั แค ๑๐ นาทกี ็เอาละ เทา นพ้ี อแลว ถาขืนทํามากกวานี้จะผิดหลักมัชฌิมา ทํา
๑๐ นาทีนี้ถูกตองกับมัชฌิมาแลว ซ่ึงเปน อุบายของกเิ ลสมนั หลอกเราตางหากวาพอ
แลว ๆ นี่คือมัชฌิมาของกิเลสไมใชมัชฌิมาของธรรม นกั ปฏบิ ตั จิ งึ ควรทราบไวแ ละตน่ื
ตัววาถูกหลอกแลว เพราะอบุ ายแกก เิ ลสไมท ราบวา เปน อยา งไรบา งไมป รากฏ เมอื่ เปน
เชน นก้ี ม็ แี ตเ รอ่ื งกเิ ลสใหอ บุ ายโดยถา ยเดยี ว เขาจะเอาอบุ ายแหง ธรรมยน่ื ใหเ รานน้ั อยา
หวงั ถา เปน มดี พรา เขากย็ น่ื ทางปลายมาใหเ รา เขาจะจบั ทางดา มไวแ ลว ฟน เราโดย
ถา ยเดยี ว
ทาํ ความเพยี รกก็ เิ ลสเปน คนสง่ั ใหท าํ ไมใ ชธรรมเปนผสู ั่งใหท ํา นั่งทําสมาธิ
ภาวนากใ็ หก เิ ลสเปน ผสู ง่ั ใหท าํ น่ังสมาธิ เอา นง่ั เสยี ประมาณ ๑๐ นาทเี อาละนะ เดี๋ยว
วนั พรงุ นจ้ี ะเหนอ่ื ยลาํ บากลาํ บน นง่ั มากกวา นส้ี ขุ ภาพจะไมด เี ดย๋ี วเกดิ โรค จะอดนอน
ผอนอาหารบางกเ็ ดี๋ยวสุขภาพทรดุ โทรมนะจะวาไมบ อก นน่ั รไู หมเหน็ ไหมอบุ ายของ
กเิ ลสมนั หลอกนะ อะไร ๆ ก็ตองทําตามกิเลสหลอก ทีนี้กิเลสมันจะหลุดลอยไปได
อยางไร ก็อุบายของมันเพื่อสงเสริมมันเอง ไมใชอุบายของธรรมเพื่อกําราบปราบปราม
มนั ใหห ายซากลงไปน่ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖
๓๗
เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ผลกาํ ไรชยั ชนะ จึงตองใชอุบายของธรรมตามหลักที่พระพุทธ
เจา ทรงสง่ั สอน ไมเ อาอบุ ายของกิเลสดังทก่ี ลาวมาน้ีมาใชม าทําความพากเพียร จะเปน
การเพิ่มกิเลสโดยไมรูสึกตัว เพราะเหตใุ ด กเ็ พราะเวลานง่ั ทาํ ความเพยี รเรากค็ อยนบั
เอาเวลาํ่ เวลา วา เรานง่ั ไดเ ทา นน้ั นาทเี ทา นน้ี าที นเ่ี ปน ความเพยี รของเรา แลว กเิ ลสมนั
หายไปสักกี่ตัวละ พอเคลื่อนที่ขยับ ๆ บางสักตัวไหม ไมป รากฏเลย เรากไ็ ดแ ตเวลาํ่
เวลาวา นง่ั ไดเ ทา นน้ั เทา น้ี เวลาเทา นน้ั นาทเี ทา นช้ี ว่ั โมง สวนกิเลสเพียงหนังถลอกปอก
เปก บา งเพราะความถไู ปไถมาไมมเี ลย
หลงั จากนง่ั นบั เวลานาทแี ลว กเ็ อะอะขน้ึ มาวา เอ นง่ั เวลานานขนาดนไ้ี มเ หน็ ได
เรอ่ื งไดร าวอะไรน่ี จติ ใจไมเ หน็ สงบ จะนั่งไปทําไม นี่ก็เปนอุบายของกิเลสหลอกย้ําเขา
ไปอีก สว นอบุ ายของธรรมทจ่ี ะทาํ ลายกเิ ลสเลยไมม ี นแ่ี หละทเ่ี ราเสยี เปรยี บกเิ ลสนะ
เสยี เปรยี บอยา งนเ้ี อง อุบายที่คิดในแงใดก็ตามถาสติปญญาไมทันกลมายาของกิเลส
ตองถูกตมถูกตุนอยูร่ําไป
การพดู ทัง้ นไี้ มไ ดพดู ดวยเจตนาจะตําหนติ เิ ตยี นทานผูหนึ่งผูใ ด มิไดตําหนิ
ศาสนาหรอื ตาํ หนอิ รรถตาํ หนธิ รรมแตอ ยา งใด แตเรื่องของกิเลสตองตําหนิอรรถตําหนิ
ธรรม เพราะกเิ ลสกบั ธรรมเปน ขา ศกึ กนั สาํ หรบั บคุ คลนน้ั ไมม คี วามรสู กึ วา กเิ ลสพา
ตาํ หนธิ รรม เชน วา นง่ั เทา นน้ั ชว่ั โมงเทา นน้ี าทไี มเ หน็ ไดเ รอ่ื งไดร าวอะไรเลย ทาํ ไปเสยี
เวลาํ่ เวลาเปลา ๆ ทําไปทําไม หยดุ เสยี ดกี วา นน่ั ลว นแลว แตเ ปน เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั หมด
ทีนี้ตัวเองก็อยูในกรอบของกิเลสหาทางออกไมได เพราะอบุ ายไมทนั มัน เนื่องจากกิเลส
มเี ลห เ หลย่ี มรอ ยสนั พนั คมไมย อมลม จมเพราะเรางา ย ๆ ถา ไมเ อาจรงิ ๆ จัง ๆ กับมัน
ใหเ ราทราบไวว า ลว นแลว แตเ ปน อบุ ายของกเิ ลสทจ่ี ะพอกพนู ใจเราและทาํ ลายเรา โดย
การเพิ่มกําลังของตนตามลําดับ ดวยอบุ ายหลอกเราใหห ลงเช่อื อยา งสนิทติดจม
ผูปฏิบัติพึงคํานึงศาสนธรรมคือคําสั่งสอนของพระพุทธเจา เฉพาะอยางยิ่งพึง
คาํ นงึ ถึงพระพุทธเจาผูท รงเปนบรมศาสดา ทา นเปน บรมศาสดาไดเ พราะเหตใุ ด ได
เพราะความนบั เวลาํ่ เวลา ไดเพราะความทอถอยออนแอ ไดเ พราะความโงเ ขลาเบา
ปญญา หรอื ไดเพราะความขยันหมน่ั เพียร ไดเ พราะความอดความทน ไดเ พราะความ
ฉลาดแหลมคม พระพทุ ธเจา ไดเ ปน ศาสดาดว ยการฆา กเิ ลสตายไปโดยลาํ ดบั ๆ จนไมมี
เหลอื ในพระทยั ทา นฆา ไดโ ดยวธิ ใี ด ทา นปราบกเิ ลสดว ยวธิ ใี ด ดว ยความเพยี รนน่ั เอง
ฟง แตว า ความเพยี รเถดิ เพียรอยางไมถอย ติดตามเรื่อย ๆ กิเลสออกชองไหน
ตามรตู ามเหน็ ไปเรอ่ื ย ๆ ความโลภเกิดขน้ึ ตดิ ตามความโลภใหร วู า มนั เกดิ ขน้ึ เพราะ
เหตไุ ร ที่มันไปโลภไปโลภอยากไดอะไร อยากไดไปทําไม เทา ทม่ี อี ยเู พราะความโลภไป
เทย่ี วกวา นเอามากห็ นกั เหลอื กาํ ลงั อยแู ลว ยังหาที่ปลงวางไมไดนี่ ในใจเตม็ ไปดว ย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗
๓๘
ความโลภคอื ความหวิ โหยไมม เี วลาอม่ิ พอ เมื่อคิดคนยอนกลับไปกลับมาก็จะมาถึงตัว
คอื ใจซง่ึ เปน ผดู น้ิ รนหวิ โหย
ความโกรธเกิดขึ้นก็เหมือนกัน ไมเพง เลง็ ผูท ี่ถกู เราโกรธ ตองยอนเขามาดูตัว
โกรธซึ่งแสดงอยูที่ใจและออกจากใจ วา ไมม อี นั ใดทจ่ี ะรนุ แรง ไมมีอันใดที่จะใหเกิด
ความเดอื ดรอ นเสยี หายยง่ิ กวา ความโกรธทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในใจเรา ทาํ ลายเรากอ นแลว ถงึ
ไปทาํ ลายคนอน่ื เพราะไฟเกิดท่นี แี่ ละรอนท่นี ี่แลว จงึ ไปทาํ ผอู น่ื ใหรอ นไปตาม ๆ กนั
เมื่อพิจารณาอยางนี้ไมลดละตนเหตุของผูกอเหตุ ความโลภกด็ ี ความโกรธก็ดี ความ
หลงก็ดี ยอมระงับดับลง เพราะการยอนเขามาพจิ ารณาดับทตี่ นตอของมนั ซึ่งเปนจุดที่
ถกู ตองและเปนจุดทีส่ าํ คญั ทค่ี วรทาํ ลายกิเลสประเภทตาง ๆ ได
พระพทุ ธเจา ทา นเคยทรงชาํ ระอยา งนม้ี าแลว เรอ่ื งเปน เรอ่ื งตาย เรือ่ งกลวั อยา ง
โนน กลวั อยา งนท้ี า นไมเ คยคดิ และสง เสรมิ ใหค ดิ เพราะนน่ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลส ทา นเคย
มที า นเคยรแู ละเหน็ พษิ ของมนั มาเปน เวลานาน ทา นจงึ ทรงพยายามละเตม็ ความ
สามารถทกุ วถิ ที าง กระทง่ั ละไดและไดเปน ศาสดาข้ึนมาดวยความขยนั หม่นั เพียร ดว ย
ความอดทน ดว ยความเปน นกั รบ โดยอุบายสติปญญาอันแหลมคมทันกับการแกกิเลส
หรอื ปราบปรามกเิ ลสทง้ั หลายใหห ลดุ ลอยไปจากพระทยั กลายเปน ความบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา
ลว น ๆ
พวกเราเปน ศากยบตุ รพทุ ธชโิ นรสคอื เปน พทุ ธบรษิ ทั เรยี กวา เปน ลกู เตา เหลา
กอของพระพุทธเจา ถาไมดําเนินตามรอยของพระพุทธเจาจะดําเนินอยางไร ถึงจะสม
ชอ่ื สมนามวา เปน ศากยบตุ รเปน พทุ ธชโิ นรสทป่ี รากฏตวั วา เปน พทุ ธบรษิ ทั จาํ ตอ ง
ดาํ เนนิ แบบลกู ศษิ ยม คี รสู อนและเดนิ ตามครรู ตู ามครหู ลดุ พน ตามครู เพราะกเิ ลสกเ็ ปน
ประเภทเดยี วกนั ซง่ึ จะตอ งดาํ เนนิ แบบเดยี วกนั เปนแตวามีมากมีนอยตางกัน ความ
เพียรเพื่อละกิเลสก็จะตองดําเนินไปตามกําลังหรือสติปญญาของตน เทาที่กิเลส
ประเภทนน้ั ๆ จะสงบตัวลงไปและขาดกระเด็นออกไปจากใจ ดวยความพากเพียรของ
ศิษยท มี่ คี รฝู กสอนวชิ ารบ ใครจะนําไปปฏบิ ัตกิ ็นาํ ไปปฏิบัตเิ ถิด
ตามทก่ี ลา วมาเหลา นเ้ี ปน สวากขาตธรรม แนนอนตอความพนทุกขไมมีทาง
สงสัย การดําเนนิ ตามธรรมนจี้ ะไมหนีจากรอ งรอยของพระพุทธเจา จะไมหนีจากรอง
รอยของพระสาวก ทท่ี า นแกก เิ ลสไดด ว ยอบุ ายใด เรากจ็ ะแกไ ดด ว ยอบุ ายนน้ั ทานถึง
ไหนเรากจ็ ะถงึ น้นั ตา งกนั เพยี งชา หรอื เรว็ เทา นน้ั ไมเ ปน อยา งอน่ื และสมนามวา สวาก
ขาตธรรมแท ผปู ฏบิ ตั ติ ามสวากขาตธรรม ไมป ลกี จากรอ งรอยแหง ธรรม กิเลสตอง
หลุดลอยจากใจโดยลาํ ดบั ดว ยอาํ นาจแหง ธรรมนี้โดยไมต องสงสัย เพราะนเ่ี ปน ธรรม
ตายตัว การปฏิบัติจะแยกแยะธรรมเปนอยางอื่นตามชอบใจของตนไมได
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘
๓๙
เพราะความชอบใจคนเรา รอยทั้งรอยมักเปนความชอบใจของกิเลสผลักดันให
เปน ไป โดยทเ่ี ราไมร วู า เราเปน กเิ ลสและความคดิ ของเราเปน กเิ ลส ความอยากของเรา
เปน กเิ ลส ความตอ งการของเราเปน กเิ ลส ความจรงิ มนั เปน กเิ ลสดว ยกนั ทง้ั นน้ั นอก
จากจะเลอื กเฟน ดว ยวจิ ารณปญ ญาคน หาเหตผุ ล แมจะไมชอบและฝนใจอยูก็ตาม เมื่อ
เหน็ วา นน้ั เปน ธรรมแลว นน้ั เปนเคร่ืองแกกิเลสไดโ ดยตรงแลว จะตองยึดนั้นเปนหลัก
แลวฟาดฟนเปลือกกระพี้ที่หุมหอธรรมลงไป ใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลกนั จรงิ ๆ แบบนก้ี เิ ลส
กลวั มาก
ผดู าํ เนนิ อยา งนก้ี เิ ลสกลวั ผูมีเครื่องมืออยางนี้กิเลสกลัว เพราะเครอ่ื งมอื นเ้ี ปน
ธรรมเพชฌฆาต ธรรมนเ้ี คยปราบปรามกเิ ลสมาแลว นบั แตพ ระพทุ ธเจา องคไ หน ๆ มา
เพราะอยางนน้ั กิเลสจงึ กลัวและยอมทงั้ สนิ้ เหตุทยี่ อมก็เพราะกิเลสเห็นอํานาจของ
ธรรมแลว วา ไมส ามารถจะตา นทานหรือตอ สไู ด ตองถูกทลายลงไปดวยอํานาจของธรรม
นน้ั ๆ ไมส งสยั ผปู ฏบิ ตั ทิ ต่ี อ งการเรอื งอาํ นาจเหนอื กเิ ลสตอ งทาํ แบบน้ี คือเปนก็เปน
ตายก็ตายในทาตอสู ไมยอมถอยทัพกลับแพ
นอกจากนี้มักเปนเรื่องของกิเลสเรืองอํานาจ ทั้งที่ผูปฏิบัตินั้น ๆ เขา ใจวา ตนมี
ความเพยี รดี ผมู คี วามเพยี รทก่ี เิ ลสกลวั บา งไมก ลวั บา งนน้ั คือขณะที่กิเลสกลัวนิ่งหรือ
หมอบ ใจก็สงบเย็นเปนสมาธิ ขณะมันสูเราไมไดมันก็วิ่งหนีหาที่หลบซอน ขณะเราสมู นั
ไมไดเรากว็ งิ่ หนีเชนกันจะวา ยังไง เราวง่ิ หนคี อื อยา งไร วง่ิ หนจี ากทางจงกรมบา ง ว่ิงหนี
จากการนง่ั สมาธภิ าวนาบา ง วง่ิ หนจี ากความความพากความเพยี รทา ตา ง ๆ บา ง คือ
ความเพยี รลดนอ ยถอยกําลงั ลงเปนลําดับ ๆ นแ่ี ลทเ่ี รยี กวา วง่ิ หนี ความไมสู ความออน
แอหมดกําลังเปนการวง่ิ หนีท้ังน้นั แหละ
สูมันไมไดก็ถอย ๆ ถอยเทา ไรมนั ยง่ิ ตามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายลงไปเปน ลาํ ดบั ๆ เรา
อยาเขา ใจวาถอยแลว จะพน การถอยกิเลสไมมีทางพน นอกจากจะสเู ทา น้ันจงึ จะพน
จากอํานาจของกิเลส กลัวอยางอื่นวิ่งหนียังพอเอาตัวรอดได แตก ารวง่ิ หนกี เิ ลสนน้ั นน้ั
แลคอื การเอาคอเขา ไปสวมใหก เิ ลสฟน เอา ๆ ฟนเอาแหลกไปหมด เราจะหาอบุ ายใด
เปน ทางออก
วัฏวนนีเ้ คยเกิดมาก่ภี พกชี่ าติแลว แมจ ะจาํ ไมไดก ็ตาม เราถอื หลกั ปจ จบุ นั อตั
ภาพปจ จบุ นั นก้ี พ็ อจะทราบไดแ ลว วา เบอ้ื งหลงั ทเ่ี คยผา นมาแลว เคยมี อดีตเคยมีมา
แลวจึงตองมีอยางนี้ได ฉะนั้นกาลขางหนามันจะตองมีอยางนี้ได เชน เดยี วกบั เมอ่ื วานน้ี
มีแลววันนี้ทําไมจะมีไมได แลววันพรุงนี้เดือนนี้ปหนาทําไมจะมีไมได เพราะมนั สบื
เนื่องไปจากอันเดียวกันนี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙
๔๐
เฉพาะในชาตปิ จ จบุ นั ยงั ดอี ยเู ราเปน มนษุ ย มสี ทิ ธมิ อี าํ นาจยง่ิ กวา บรรดาสตั ว จงึ
พอมคี วามสขุ ความสบายบา ง นเ้ี รากท็ ราบวา อยใู นโลกอนจิ จงั เปนของแนนอนเมื่อไร
แตกอนเราอาจเปนภพเปนชาติอะไรมาก็ได มาปจ จบุ นั นเ้ี รามาเปน มนษุ ย แมในอัต
ภาพนม้ี นั ยงั มคี วามเปลย่ี นแปลงใหเ ราเหน็ อยู ตั้งแตวันแรกเกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
มันคงเสนคงวาเม่อื ไร สังขารรางกายกําลงั วังชาสติปญญาอะไรมนั กท็ รุดโทรมเปลีย่ น
แปลงของมันไปเรื่อย ๆ ตอจากนี้ก็เปลี่ยนไปจนถึงที่สุดของมัน สุดทายก็ลงธาตุเดิม
แลวจิตนี่มีกําลังมากนอยเพียงใด ทีจ่ ะสามารถทรงตวั ไวไ ดใหอ ยูในภมู ินี้หรอื ภมู ิสูงยิ่ง
กวา น้ี ก็เปนเรื่องของเราจะคิดหาอุบายชวยตัวเองในทางดีตอไปไมนิ่งนอนใจ ทเ่ี รยี กวา
เตรียมพรอมเพื่อตัวเองทั้งปจจุบันและอนาคต ไมใ หอ บั จนในสถานทแ่ี ละกาลใด ๆ
จงทาํ การสง เสรมิ กาํ ลงั ในทางดขี องเราใหม ากขน้ึ อยา งนอยเพ่ือรับอนาคต หาก
จะยงั เปนไปอยใู นวฎั สงสาร ซึ่งเปรียบเหมือนหองขังนักโทษที่มีกิเลสย่ํายีนี้ พอไดอยูใน
ฐานะทด่ี บี า ง หากวาพอจะผานพนไปไดเพราะมีกําลังสติปญญาพอตัว เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย
กิเลสอันเปนกงจักรใหทองเที่ยวในวัฏวนนี้ไปได กท็ าํ ลายใหส น้ิ ซากไปในชาตปิ จ จบุ นั น้ี
อยา เขา ใจวา สตปิ ญ ญาเราจะไมม ี มีอยูดวยกันทุกคนถาทําใหมี ความเพยี รอยา เขา ใจวา
ไมมี ถาเราจะทําใหมีมีไดทั้งนั้น นอกจากมีกิเลสเปนผูกั้นกางกดี ขวางไมใ หมีความ
เพียร ไมใหมีสติปญญา ใหมีแตความทอแทออนแอเปนเจาเรือน ความดที ง้ั หลายจงึ หา
ทางเกิดขึ้นไมได
เร่อื งความดที งั้ หลายหาทางเดินไมค อ ยไดนนั้ มักขึ้นอยูกับกิเลสเปนเครื่องกีด
กันไมใชอันใด ไมใ ชอ าํ นาจไมใ ชว าสนา ไมใชมื้อวันเดือนป ไมใชกาลสถานที่ แตเ ปน
เรื่องของกิเลสโดยตรงเปนผูกีดกันและหักหาม อยา งลกึ ลบั บา ง อยา งเปด เผยบา ง แต
เรามันตาบอดมองไมเหน็ ความลกึ ลับ ความเปดเผยของกิเลสทแ่ี สดงตัวกีดกันหวงหาม
อยูตลอดเวลา เพราะกลัวจะพนจากเขา เขาเปน เจา อาํ นาจครองใจมานาน พอขยับออก
มาอกี นดิ หน่งึ แสดงกิริยาจะออกจากเขานิดหน่ึงเขากห็ าม เรากเ็ ชอ่ื เชอ่ื มนั เสยี แลว มัน
ไมต อ งยกบทบาทคาถาบาลีอะไรมาแสดงเลย
กเิ ลสสอนมนษุ ยน ะ สอนงายจะตายไป แตมนษุ ยจะสอนมันบา ง เดย๋ี วเดยี วถกู
มนั เอาคมั ภรี ว ฏั จกั รฟาดหวั เอาหมอบและหลบั ครอก ๆ ไมมีทางสู นอกจากหมอบบน
หมอน ฉะนน้ั ศาสตราจารยข องวฏั จกั รกค็ อื กเิ ลสบนหวั ใจสตั วน น้ั แล การเรยี นรมู ากรู
นอยจะตองถูกกลอมมันทั้งนั้นแหละ นอกจากวิชาธรรมดังที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน
ตามทท่ี รงดาํ เนนิ มาและสาวกทานดาํ เนนิ มา ทา นเอาจรงิ เอาจงั ลงถงึ เหตถุ งึ ผลถงึ ความ
สตั ยค วามจรงิ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐
๔๑
ไมเพียงแตจ ําชือ่ ของกิเลสไดแ ลว กจ็ ะสาํ เรจ็ ประโยชน หาเปน เชน นน้ั ไม การจํา
ชื่อจําไดกันทั้งนั้นแหละ เชน เดยี วกบั เราจาํ ชอ่ื ของเสอื นน้ั เสอื น้ี มีกี่รอยกี่พันเสือก็ตามที่
มนั กอ ความวนุ วายใหแ กบ า นเมอื ง เราจําชื่อของมันไดเทานั้นยังไมพอ จําไดกระทั่ง
โคตรแซม นั กต็ าม ถา ยงั จบั ตวั เสอื นน้ั ๆ ไมไ ดเ มอ่ื ไรบา นเมอื งจะหาความรม เยน็ เปน สขุ
ไมได เสอื ตวั ทจ่ี าํ ชอ่ื มนั ไดน น้ั แลกอ ความวนุ วายใหแ กบ า นเมอื ง นอกจากเราจบั มนั ได
แลวจะทําอะไรกับมันก็ทําได ทนี ้บี า นเมืองก็ไดรับความสุขสงบรมเย็น ไมมีเสือรายมา
กอ กวนลวนลามเขยาขวัญประชาชนดังท่ีเคยเปน มา
เรอ่ื งกเิ ลสทา นวา กเิ ลสพนั หา ตณั หารอ ยแปด อยา วา แตร อ ยแปด พันแปด หมื่น
แปดก็ตามเถิด ถาเราตามจับตัวมันไมได ปราบมันไมได ทาํ ลายมนั ไมไ ดแ ลว เราจาํ ได
แตชื่อมัน จําไดสักเทาไรก็ไมมีปญหาพอสะเทือนขนมันเลย คือไมมีผลดีอะไรเกิดขึ้น
เพราะการจาํ ไดน น้ั เลย เพราะฉะนน้ั เราตอ งทําลายมนั ดว ยความพากเพยี รจนใหถ งึ
ความจริงของกิเลส ถงึ ความจรงิ ของธรรม จะชอ่ื วา จบั ตวั เสอื รา ยมาประหารได จากนน้ั
กน็ อนหลับเต็มตา อาปากพูดไดเต็มเม็ดเต็มหนวย
คาํ วา กเิ ลสแตล ะประเภทนม้ี นั แสดงอาการอยา งไร กอนที่มันจะแสดงผลขึ้นมา
มนั แสดงเหตขุ น้ึ มาอยา งไรบา ง จงตามรูแ ละฆามันดว ยสตปิ ญ ญา สวนมากกแ็ สดงข้ึน
ในขันธนี่แหละไมไดแสดงขึ้นที่ไหน ออกทางตาก็เกี่ยวกับรูป ออกทางเสียงก็เกี่ยวกับหู
จมูก ลน้ิ กาย มันสืบเนอ่ื งกบั จิตและเคร่ืองสัมผัส ผลสุดทายก็เกี่ยวกับเบญจขันธของ
เราเอง รปู ก็แสดงขึ้นอยางหน่งึ เวทนากแ็ สดงอยา งหนง่ึ สญั ญาแสดงข้ึนอยางหนง่ึ
สงั ขารแสดงขน้ึ อยา งหนง่ึ วิญญาณแสดงขึ้นอยางหนึ่งจากกิเลสเปนผูบัญชาออกมา เรา
ก็คลอยตามหลงตาม หลงตามมันอยูเรอ่ื ย ๆ หลงตามมนั มาเทาไรแลว ลวนแลว แตก ล
มายาของกิเลสทั้งนั้น ทุกขทั้งมวลเรายังไมทราบวามันเปนพิษของกิเลส จะใหม คี วาม
ฉลาดแหลมคมไดอยางไร แลว ยงั เขา ใจวา ตนมคี วามฉลาดแหลมหลกั นกั ปราชญช าตกิ วี
อยหู รอื ไมอ บั อายกเิ ลสทค่ี อยหวั เราะเยาะเยย อยเู บอ้ื งหลงั บา งหรอื มนั นา อบั อายจรงิ
ๆ น่ี
การที่จะฉลาดแหลมคมพอรูทนั กิเลสก็ตองคนดูกเิ ลสใหด ี ทุกขเวทนาเกิดขึ้นที่
ไหน เอา คนลงไป เอาใหเ หน็ ฐานเกดิ ของมนั วา เกดิ เพราะเหตไุ ร คนตายแลว มเี วทนา
ไหม เอา ดซู ิ ถา ทกุ ขเวทนาเกดิ ขน้ึ ภายในรา งกาย และกายเปน ตัวทราบเวทนาจรงิ ๆ
เวลาคนตายแลว ทกุ ขเวทนามไี หม เอาไปเผาไฟกายวาอยางไร เอาไปฝงดินกายวายังไง
มันไมวายังไง แลวทําไมถือมันเปนตัวทุกขอยูละเมื่อยังเปนอยู กเ็ พราะจติ นน่ั แลเปน ผู
รบั รแู ละทรงไว ความยดึ มน่ั สาํ คญั วา ขนั ธ ๕ เปน ตนกเ็ พราะกเิ ลสนน้ั แลเปน ผกู ระซบิ
เปนผูหลอกลวงใหยึดมั่นถือมั่น ใหส าํ คญั วา เวทนาเปน ตนเปน ของตน ใหถ อื วา กายน้ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑
๔๒
เปน เราเปน ของเรา เมอ่ื มนั มอี ะไรมากระทบกระเทอื นสง่ิ ทเ่ี รารกั เราสงวนและปก ปน
เขตแดนเอาไว กเ็ กิดความกระทบกระเทือนทุกขรอนข้นึ ภายในใจ เพราะกเิ ลสมนั
หลอกอยางนี้
เมอ่ื แยกแยะพจิ ารณาใหถ งึ ฐานของความจรงิ ดว ยสตปิ ญ ญาจรงิ ๆ แลว สง่ิ
เหลา นก้ี ห็ มดปญ หาไปเอง ใจกห็ ายสงสยั ความเปนขาศึกตอกันระหวางขันธกับจิตก็ไม
มี เพราะสติปญญาเปนผูพิพากษาวินิจฉัยตัดสินโดยถูกตองใหเลิกแลวกันไป รปู กร็ กู นั
แลว วา รปู ซง่ึ เปน ความจรงิ ของรา งกายทกุ สว น เวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในรา งกายของเรา
สว นใด นน่ั กท็ ราบวา เปน ความจรงิ ของตน ๆ สญั ญา สังขาร วิญญาณ แตละอยางก็เปน
ความจริงแตละอยางของมันอยูแลว จิตจะมีความกระทบกระเทือนเพราะอะไรกันอีก
เพราะจติ เปน ผรู แู ละรดู ว ยปญ ญาอยา งประจกั ษแ ลว นน่ั แหละทา นเรยี กวา เหน็ ความ
จริงคือสัจธรรมที่มีอยูกับตัว จะไปรเู หน็ ทไ่ี หน เหน็ ในแบบกเ็ ปน แบบ เหน็ ในคมั ภรี ก ็
เปน คมั ภรี เห็นในหนงั สอื ก็เปนตวั หนังสอื ไมใ ชตวั กิเลส มนั ไมใชส จั ธรรมท่ีแทจรงิ
ที่แทจริงมันอยูที่กาย ทเ่ี วทนา ทจ่ี ติ ทต่ี วั ของเรานเ่ี ทา นน้ั ความทุกขทั้งมวลที่
เกี่ยวกับกายก็แสดงขึ้นที่นี่ การทพ่ี จิ ารณาทกุ ขก พ็ จิ ารณากนั ทน่ี ่ี รูเทาเรอ่ื งทกุ ขเรอ่ื ง
สมุทัยทง้ั หลายกร็ เู ทา กันอยางเปด เผยท่นี ่ี รูแจงแทงตลอดก็รูกันที่นี่ พนทุกขกันที่นี่ นี่
ทา นเรยี กวา รสู จั ธรรมแทร อู ยา งน้ี ไมตองรูที่ไหน ไมวาครั้งพุทธกาลหรือครั้งไหน ๆ สจั
ธรรมมีอยูที่กายที่ใจของสัตวโลกเทานั้น การเรยี นจงึ เรยี นยอ นเขา มาทน่ี ่ี ปฏบิ ัตใิ หร ูวถิ ี
จติ ทเี่ ปน ไปดวยอาํ นาจของกิเลสอาสวะอนั เปน ตวั สมทุ ัย เมอ่ื รอู นั นแี้ ลว จะไปสงสยั อะไร
ที่ไหนกันอีก โลกวทิ รู แู จง โลก ก็คือรูแจงธาตุแจงขันธรูแจงจิตใจของตนเปนสําคัญ
นแ่ี ลอบุ ายวธิ แี กก เิ ลสปราบปรามกเิ ลส ปราบปรามลงทต่ี รงน้ี อยาไปลูบไปคลํา
ทอ่ี น่ื ใหเ สยี เวลาเปลา ประโยชน รวมลงที่นี่หมด พระไตรปฎกก็อยูที่นี่ ไตรจักรก็อยูที่นี่
วัฏจกั รไตรจกั รมนั อยูท่นี ีแ่ ล เวลาธรรมไมเ กดิ สตปิ ญ ญาไมส ามารถ จติ กเ็ ปน ไตรจกั ร
ไตรภพ และหมนุ ไปใน ๓ ภพ คอื กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ พอสติปญญาเพียงพอแก
ไขไตรจักรนี้ออกไดหมดก็เปนความบริสุทธิ์ขึ้นมา หรอื เปน ธรรมจกั รหมนุ รอบตวั ขน้ึ มา
ภายในจติ ทั้งวัฏจักร ธรรมจกั รและวิวัฏจักร มีอยูที่ใจนี้ไมอยูไหน จงพจิ ารณากนั ทน่ี ่ี
ปฏบิ ตั ใิ หเ ขา ใจ
เรยี นอะไรกไ็ มย ากเหมอื นเรยี นเรอ่ื งของจติ เลย จิตนี้สลับซับซอนละเอียดลออ
มาก ตองใชความพินิจพิจารณา ตองใชสติปญญา ใชความพากเพียร ความอดความทน
เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ บางครง้ั แทบจะตายเรากย็ อมเสยี สละชวี ติ เพราะความ
อยากรอู ยากเขา ใจความจรงิ ทง้ั หลาย ดังที่พระพุทธเจาไดรูไดเขาใจแลว เปน ความ
ประเสรฐิ อยา งยง่ิ เราอยากเหน็ ความจรงิ เปน สมบตั สิ าํ หรบั เราเอง ไมเพียงแตไดยิน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒
๔๓
กิตติศัพทกิตติคุณทานวาประเสริฐ ทา นหลดุ พน อยา งนน้ั ทา นประเสรฐิ อยา งนเ้ี ทา นน้ั
เรายงั ไมพ อใจ ยังอยากทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยางบรรดาธรรมทีท่ านรทู านเห็นดว ยจิตใจของ
เราเอง เมอ่ื อยากทราบและดาํ เนนิ ตามทา นเรากต็ อ งทราบ ทั้งธรรมฝายต่ําฝายสูง ทั้ง
ฝายดีฝายช่ัว
ในวงสจั ธรรมนท้ี กุ ข สมทุ ยั เปน ฝายตาํ่ นโิ รธคือความดับทุกขเปนฝา ยสูง มรรค
คือขอปฏิบัติเพื่อถอดถอนกิเลสเปนฝายสูง เราอยากทราบความจรงิ ของสจั ธรรมทง้ั สน่ี ้ี
ประจกั ษใ จเราเอง และการพน จากกเิ ลสอาสวะเพราะรรู อบในสจั ธรรมนน้ั เรากอ็ ยากจะ
พน ดว ยความประจกั ษใ จเราเอง ไมอ ยากทราบอยางอืน่ ใหมากไปกวา อยากจะทราบ
เรอ่ื งของเรา
เพราะเราเปน กองทกุ ข เราเปนกงจักร เราเปน ผมู ดื หนาสาโหด เราตอ งการ
ความฉลาด เราตอ งการความแหลมคมภายในจติ ใจ เราตอ งการความหลดุ พน เราจงึ
พยายามเตม็ ความสามารถในทางความเพยี ร เพอ่ื รแู ละละสจั ธรรม ใจถูกบีบถูกบังคับ
ถูกผูกถูกมัดถูกจําจองอยูที่ตรงไหน จงแกมันดวยสติปญญา ฟาดฟนลงไปที่ตรงนั้นจน
แหลกแตกกระจายไมมีชิ้นใดเหลือ ใจถงึ ความจรงิ ลว น ๆ นน้ั แลทา นเรยี กวา หลดุ พน
หลดุ พน แลว จากกเิ ลสซง่ึ เคยเปน นายเรามากก่ี ปั กก่ี ลั ป หรอื เคยเปน ศาสตราจารยพ ราํ่
สอนเรามาเปน เวลานาน ไดเห็นโทษของมันและถอดถอนมันออกไปหมดโดยสิ้นเชิง
แลว ใจเปน อสิ ระเตม็ ภูมิ นี้แลคือที่สุดแหงทุกข ที่สุดแหงธรรม ทีส่ ดุ แหง วัฏจักร สน้ิ สดุ
ทใี่ จน้เี องไมส ้นิ สดุ ในทอี่ ่ืนใด เพราะกิเลสและธรรมไมมีอยูที่อื่น จึงขอใหยอนจิตเขามา
พจิ ารณาในกายในใจดว ยดี ความสมหวงั ทเ่ี คยหวงั มานานจะสมบรู ณใ นใจทช่ี าํ ระถงึ ขน้ั
บริสทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว
ขอย้ําอีกครั้ง จงเรยี นจติ ใหร ู เรยี นจติ รทู ว่ั ถงึ แลว ไมม อี ะไรสงสยั ในโลกน้ี กวา ง
แคบไมส าํ คญั สําคัญทีเ่ รยี นจิตใหร เู รอื่ งของจิต รกู เิ ลสชนดิ ตา ง ๆ ทแ่ี ทรกอยภู ายในจติ
จรงิ ๆ เปน พอกบั ความตอ งการ พระพุทธเจาเมื่อถึงนี่แลวไมตองการอะไรอีก สาวกทั้ง
หลายพอ ใคร ๆ ก็พอ เมื่อถึงขั้นเพียงพอแลวพอ พอทั้งนั้น เพราะเปน จติ เปน ธรรมท่ี
สมบรู ณเ ตม็ ทแ่ี ลว ตลอดอนนั ตกาล
จงึ ขอยตุ ธิ รรมเทศนาเพยี งเทา น้ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓
๔๔
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
มายากเิ ลส
การฟงธรรมทางดานปฏิบัติ ทั้งผูเทศนทั้งผูฟง สว นมากไมค อ ยมคี าํ วา “พิธี”
เชน ฟงพอเปนพิธี เทศนพอเปนพิธี อยา งนท้ี างภาคปฏบิ ตั ไิ มไ ดน าํ มาใชก นั สาํ หรบั ผู
มุงอรรถมุงธรรมจริงๆ ไมน าํ มาใช ถา มงุ โลกามสิ อยแู ลว อาจนาํ มาใช แตถามุงตอ
โลกามิสก็ไมเรียกวา “ปฏิบัติ” มันขัดกันตรงน.ี้
ทางดานปฏบิ ัติแลว ไมม ีพิธอี ะไรมาก ผูเทศนตั้งใจเทศนใหผูฟงไดรับความเขา
ใจจริงๆ ดว ยเจตนา ผูฟงก็ตั้งใจฟงดวยความสํารวมระวังจติ ของตน ไมใหสงไปที่อื่นๆ
ในขณะที่ฟง ทาํ ความรสู กึ อยกู บั ใจของตนเทา นน้ั โดยไมจําเปนตองสงกระแสจิตออก
มาภายนอกเพอ่ื รบั เสยี ง เชน สง ออกมาสผู เู ทศน เปนตน อยา งนไ้ี มค วร เพราะจะขาด
กาํ ลงั ภายในใจ ที่จะพึงไดรับจากการฟง ดว ยจิตจดจอ ตอ เนอ่ื งกนั อยเู ฉพาะภายใน
เมอ่ื ไดต ง้ั จติ ไวเ ฉพาะหนา คอื มคี วามรสู กึ อยกู บั ตวั นน้ั แลถา จะเทยี บกค็ อื คนอยู
ในบา น แขกคนมาจากทไ่ี หนเขา มาเกย่ี วขอ งในบา นนน้ั เจา ของกร็ บั ทราบวา แขกนน้ั มา
ธุระอะไรบา ง นอกจากเจา ของไมอ ยบู า นเสยี เทา นน้ั แมเขาจะมาขโมยของไปกี่ชิ้น ก่ี
รอ ยกพ่ี นั อยา ง ก็ไมทราบไดเลย
จติ ท่อี ยกู ับตัว ขณะทา นแสดงธรรมหนกั เบา จะตองรับทราบทุกระยะ เพราะใจ
อยกู บั ตวั เหมอื นคนอยใู นบา น ถา ความรสู กึ ไดส ง ออกไปจากตวั เสยี การฟงเทศนก็ไม
เขาใจ ไมคอยรูเรื่อง ผลไมค อ ยเกดิ ถา เปน กเิ ลสลว งเขา ไป เอาอะไรไปหมด เหมอื นกบั
โจรผูรายขโมยของอะไรภายในบานก็ไมรู เราไมเคยทําจริงทําจัง จะไปตําหนิติเตียนตู
โทษพระพุทธเจา พระสาวก และพทุ ธบรษิ ทั ทง้ั หลายวา “เวลาพระพุทธเจาทรงเทศน
คนไดสําเร็จมรรค ผล นิพพาน” จะสําเร็จอยางไรเพียงเทศนเทานั้น โดยผูฟงไมตั้งใจ
ฟง นอกจากคุยกันแขง พระเทศนเทานน้ั บางคนไมเชื่อก็มีวาผูเทศนจะสามารถยังผูฟง
ใหสําเร็จ มรรค ผล นพิ พาน ได และผูฟงก็ไมสามารถจะบรรลุธรรมไดในขณะที่ฟง
นเี้ ปน ความคดิ เหน็ ของคนประเภทลอยลม หาหลกั เกณฑไ มไ ด สกั แตว า เทา นน้ั
ตามความลอยลมของตน ถอื ศาสนากส็ กั แตว า ถอื ถามวา ถอื ศาสนาอะไร ถอื ศาสนา
พุทธ ก็มีแตชื่อของพระพุทธเจาเต็มปากเต็มคอ แตไมเคยมีธรรมเขาไปเกี่ยวของกับหัว
ใจเลย ข้นึ ชื่อวาพทุ ธ วาธรรม วาสงฆ ไมใ ชเปนของเล็กนอย ไมใชเปนของเลน ไมใช
ของพิธี ที่จะนํามาทําเลนๆ อยา งนน้ั ประเภทที่เลนๆ นี้แลเปน ประเภททีท่ าํ ลายศาสนา
ไดอยางแทจริง ดังที่เราทราบๆ กนั จะมีเจตนาหรือไมมีไมสําคัญ เชนไมหลุดจากมือ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๔