The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-06 11:58:32

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Keywords: หลวงตามหาบัว,ธรรมะชุดเตรียมพร้อม

๔๘๘

พระพทุ ธศาสนาแลว เปนผูพรอมดวยความเพียรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความเพียรจึงเปน
ธรรมสําคัญมาก ที่จะยกฐานะของจิตใจบุคคลใหขึ้นสูระดับสูงโดยลําดับ

สรปุ ความแลว เรยี กวา ธรรมหาประการ คือ “ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา”
นี้แหละสามารถยกจิตใจแมจะลมจมลงขนาดไหนก็ตาม ถาไดยกธรรมท้งั หา นม้ี าเปน
เครื่องพยุงแลว ตองดีดขึ้นมาโดยลําดับ จนถึงความพนทุกขไดโดยไมสงสัย

อทิ ธบิ าททั้งส่ีก็พึงทราบวาเปนธรรมเกี่ยวโยงกัน นี่แหละธรรมที่จะยกฐานะของ
จิตใจใหส งู สง ไมไ ดถ กู กดถว งเหมอื นอยา งสง่ิ ทเ่ี คยกดถว งอยภู ายในใจของสตั วโ ลก

ทา นเดนิ จงกรม บางองคฝ า เทา แตก นน่ั ! ฟงซิ เพียรหรือไมเพียรขนาดฝาเทา
แตก บางองคไ มน อนตลอดไตรมาสคอื สามเดอื นจนจกั ษแุ ตกบอด เชนพระจักขุบาล
เปนตน ทา นลาํ บากไหมทา นประกอบความเพยี ร

เราพิจารณาดูซิ เราไมถ งึ กบั ใหต าแตกขนาดนน้ั ขนาดกเิ ลสทรุ นทรุ ายหาทห่ี ลบ
ทซ่ี อ นกย็ งั ดี อยา ใหกิเลสมันเรรวนปวนเปย นไปหมด ทั้งทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลน้ิ
ทางกาย ทางใจ มีแตเรื่องของกิเลสปวนเปยนไปหมด หาตัวหาตนหาอรรถหาธรรมภาย
ในใจไมมเี ลย แลวเราจะหาความรมเย็นมาจากไหนพอเปนกําลังเพื่อตัดกิเลสซึ่งเคย
เปนใหญเปนโตภายในจิตใจของเรา จึงตอ งอาศยั หลกั ธรรมทก่ี ลา วนใ้ี หแ นบสนทิ ตดิ กบั
ใจ อยา รกั อนั ใดยง่ิ กวา ธรรมนซ้ี ง่ึ เปน เครอ่ื งแกก เิ ลสใหก บั ใจ อนั เปน ทร่ี กั ทส่ี งวนอยา ง
ยิ่งในชีวิตของเรา พอไดมีอิสรเสรีขึ้นไปโดยลําดับ

ใจอสิ ระกบั ใจทห่ี มอบอยภู ายใตอ าํ นาจกเิ ลส อนั ไหนดี ?
คนเราทห่ี มอบอยใู ตอ าํ นาจของเขาไมม อี สิ รภาพในตนเลย กบั คนทม่ี อี สิ รเสรี
คนไหนดี?
จติ ใจทห่ี มอบอยกู บั กเิ ลสตณั หาอาสวะทง้ั หลายมาเปน เวลานาน ถาเรายังไมเบื่อ
พออยแู ลว เราจะตองหมอบราบไปเรื่อยๆ ถา หากมคี วามเบอ่ื ความพอ ความอดิ หนา
ระอาใจ ความเหน็ โทษของสง่ิ เหลา นบ้ี า ง ก็จะพอมีทางตอสู และสกู นั ดว ยวธิ กี ารตา งๆ
สุดทา ยก็มาลงในธรรมหา ขอที่เปน เครอื่ งมอื อนั สาํ คัญ กาํ ราบปราบปรามกเิ ลสทง้ั หลาย
เหลานี้ใหแหลกละเอียดไปได
สนามรบของผปู ฏบิ ตั คิ อื สถานทใ่ี ด ? เชน ทานเดินจงกรม นง่ั สมาธภิ าวนาหาม
รุงหามค่ํา ทา นเอาอะไร “เปนสนามรบ” เปน สถานทพ่ี จิ ารณา ?
ในหลกั ธรรมทา นสอนวา “สัจธรรมทั้งสี่” “สัจธรรมทั้งสี่” นน้ั มอี ยใู นทใ่ี ด ถาไมมี
อยภู ายในกายในจติ ของมนษุ ยเ ราน้ี เรากเ็ ปน มนษุ ยคนหน่งึ เราเดินจงกรม นง่ั สมาธิ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๘

๔๘๙

ภาวนา เพื่อหาอรรถหาธรรม เราจะหาที่ตรงไหน ? ถา ไมห าใน “สัจธรรม” การหาในสจั
ธรรมหาอยางไร ?

ทุกขก ท็ ราบแลว วา ทกุ ข มนั เกดิ ขน้ึ ในกายในจติ ของบคุ คลและสตั ว สัตวเขาไมรู
เรอ่ื งวธิ ปี ฏบิ ตั แิ กไ ข แตเรารูวิธีแกไข คําวา “ทกุ ข” เปนสิ่งที่พึงปรารถนาแลวหรือ ?เกิด
ขึ้นในกายก็ไมเปนสิ่งที่พึงปรารถนาเลย กายอยเู ปน ปกตสิ ขุ กต็ าม ถาทุกขเกิดขึ้นจะมี
ความระส่ําระสาย อากปั กริ ยิ าจะไมน า ดเู ลย ถา มนั เกดิ ขน้ึ มากๆ ยิ่งดูไมได จิตใจที่มี
ความทุกขเกดิ ขึน้ มากๆ มนั นา ดแู ลว หรอื ? แสดงมาทางใดเปนภัยไปหมด คอื ระบาย

ทกุ ขด ว ยอาการตา งนน้ั ความจริงเปนการเพิ่มทุกขขึ้นทั้งนั้นโดยเจาตัวไมทราบเลย คน
ทม่ี คี วามทกุ ขม ากจึงตอ งระบายออกในทา ตา งๆ ดังที่เราทราบกัน นน่ั เขาถอื วา เปน ทาง
ระบายออกแหงทกุ ข แตความจริงแลวเปนการสั่งสมหรือสงเสริมทุกขใหมากขึ้น เปน
ความเขาใจเฉยๆ วา ตนระบายทกุ ขอ อก คนอน่ื เดอื ดรอ นกนั แทบตาย เพราะความดุดา
วา กลา วแสดงกริ ยิ าอาการทไ่ี มด ไี มง าม ออกมาจากของไมด ไี มง ามซง่ึ มอี ยภู ายในใจของ
ตน เมื่อระบายออกไปที่ตรงไหนมันก็เดือดรอนที่ตรงนั้น สกปรกไปดวยกันหมด

เรอ่ื งความทกุ ขเ กดิ ขน้ึ มาเพราะเหตใุ ด เราคน หาสาเหตุ นี่แหละคือสัจธรรม

ขอ หนง่ึ

เราทราบแลววาทกุ ข เราจะแกดวยวธิ ีใดถา ไมแ กส าเหตุท่ีเปนเครอื่ งผลิตทกุ ขขนึ้
มา คอื “สมุทัย” “สมุทัย” คอื อะไร คอื “กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา” นส้ี ว นใหญ
ทานเรียกวา”สมทุ ัย”ความอยากในสง่ิ ทต่ี นรกั ใคร ความเกลียดในสิ่งที่ตนไมชอบ แลว
ใหเกิดทุกขขึ้นมา เหลา นล้ี ว นแตเ รอ่ื งของ “สมทุ ัย”

ความคิดความปรุงอันใดที่จะเปนเครื่องสั่งสมกิเลส เปนเครื่องสั่งสมทุกขขึ้นมา
ทานเรียกวา “สมุทัย” ทง้ั นน้ั เปน กง่ิ เปน กา นแตกแขนงออกไปจากไมต น เดยี ว คอื ใจน่ี
แหละ

ความโกรธ ความโลภ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ รากเหงา ของมนั จรงิ ๆ อยทู ่ี
ไหน กอ็ ยทู ใ่ี จ มันฝงอยูที่ใจนี้ทั้งนั้นไมไดฝงอยูที่ไหน เราพิจารณาคนควาเขาไปภายใน
รางกายเรานี้ แลว กย็ อ นเขามาหาใจ มันคิดมันปรุงเรื่องอะไร ปรุงทั้งวันทั้งคืน ปรุงแต
เรือ่ งความทกุ ขค วามรอ นใหต นและผูอ ื่นจนหาท่ดี บั ไมไ ด ทานจึงสอนใหใชสติปญญา
พิจารณาตรวจตราความคิดความปรุงของตน มนั หวงในขนั ธห วงไปอะไร เกิดมาแลวจะ
ไมม ปี า ชา เหมอื นโลกทง้ั หลายเขาหรอื ? ถึงไดหวงไดหวงนัก แลวจะสําเร็จประโยชน
ไหม? ความหวงของเรานส้ี าํ เรจ็ ไหม? มันจะไมกลายเปน “ยมฺปจฺฉํ น ลภติ ตมปฺ  ทุกฺ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๙

๔๙๐

ข”ํ ขน้ึ อกี เหรอ? ปรารถนาเมื่อไมสมหวังแลว “มันจะเกิดความทุกข” ขน้ึ มาภายในหวั ใจ
อกี ทานจึงไมใ หปรารถนา ทา นใหพ จิ ารณาตามความจรงิ

รปู ขนั ธน ้ี มนั ตง้ั ขน้ึ มาแลว เพอ่ื จะแตกไป ไมใ ชเ พอ่ื อน่ื ใด ตง้ั เพอ่ื แตกไปเราก็
ทราบ ถาพิจารณาทางดานปญญาหาที่ขัดแยงไมได เม่อื หาที่ขัดแยง ไมไ ดแ ลว จะไปหวง
หามมนั ทําไม ทราบดว ยปญ ญาแลว กว็ างไวต ามความจรงิ ของรปู ขนั ธ ที่มันกําลังจะแตก
หรือมันทรงอยู กท็ ราบวามันทรงอยูเพอื่ จะแตกจะสลายไปทา เดียวเทา น้นั โลกอนั นม้ี ี
ปาชาเต็มไปหมดทุกตัวสัตวทุกบุคคล เราสงสยั ปา ชา ทไ่ี หนจงึ ไมอ ยากตาย?

ถา เราพจิ ารณาตามหลกั ธรรมนแ้ี ลว เราจะไมส งสยั ปา ชา และเราจะไมสงสัยตัว
ของเราวาจะไมตาย เมื่อเราไมสงสัยวาเราไมตายแลวเราก็ไมหวั่น เราทราบชดั ภายใน
จิตใจเราแลวปลอ ยวาง เพราะเรื่องความตายเปนหลักธรรมชาติหามไมได ปลดปลอ ย
ลงตามหลักธรรมชาติของมัน จะลงที่ไหนก็ใหลงไป ดินเปนดิน นาํ้ เปน นาํ้ ลมเปน ลม
ไฟเปนไฟ ไปตามสภาพ

ผูรูใหเปนผูรู อยา ไปหลงเอานาํ้ เอาไฟ เอาลม มาเปน ตน มนั เปน กาฝาก แลว ก็
มากดั มาไชเกย่ี วขอ งอยกู บั จิตใจเราใหเ ดอื ดรอ นไปดว ย เพราะนั่นไมใชเรา แตเ ราถอื วา
เปนเรา มันกเ็ กิดความทุกขม ากัดมาไชเราน่แี หละ

เวทนากเ็ หมอื นกนั ความสุขความทุกขเราเคยปรากฏมาตั้งแตวันเกิดจนกระทั่ง
บัดน้ี ไมวาสขุ ทางกาย ทุกขทางกาย สุขทางใจ ทกุ ขท างใจ มันก็เปนเรื่อง อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ
อนตฺตา เหมอื นกนั มันเกิดมาเพื่อดับไป ๆ ข้ึนช่ือวา “สมมตุ ”ิ แลว ไมม ีอะไรจีรังถาวร
ท่ีจะคงเสนคงวาอยไู ด

มนั ทกุ ขท ต่ี รงไหนเวทนา? เวทนาในรา งกายเราพอพิจารณาได ปญญายังพอ
สอดสองมองทะลุไปได ทกุ ขภ ายในใจนซ่ี สิ าํ คญั ทกุ ขภ ายในกายแลว เกดิ ทกุ ขภ ายในใจ
ข้ึนมาอกี ก็เพราะเรื่องของสมุทัย คอื เรื่องของกิเลสตวั เดยี วเทานั้นแหละ หลอกคน
หลอกสตั วโ ลกใหล มุ หลงไปตาม จงใหทราบชัดเจน การพจิ ารณารา งกายกเ็ พอ่ื จะแก
ความลมุ หลงของตนทส่ี าํ คญั วา “กายน้เี ปน ตน”

การพิจารณาเวทนา คอื ทกุ ขเวทนา สุขเวทนา กเ็ พอ่ื จะลบลา งทกุ ขเวทนาเหลา น้ี
ทส่ี าํ คญั วา เปน ตนออกจากใจ ใหตางอันตางจริง เวทนาใหเปนเวทนา เราใหเปนเรา คือ
ความรู อยา นาํ มาคละเคลา กนั มนั เปน ไปไมไ ด เพราะอนั หนง่ึ เปน อนั หนง่ึ จะมารวมเปน
อวัยวะเดียวกนั ไดอ ยา งไร เชน คนสองคนมารวมเปนคนเดียวไดหรือ คนคนเดยี วมนั ก็
หนกั พอแลว เอา ๒ คน ๓ คน ๔ คน ๕ คน มาแบก มันยิ่งหนักไปไมไดเลย แบกรปู
แลว กแ็ บกเวทนา แบกสัญญา แบกสงั ขาร แบกวญิ ญาณ ซง่ึ ลว นแลว แตเ ปน ของหนกั

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๐

๔๙๑

ดวยอุปาทาน แลว ทนี ผ้ี ลทจ่ี ะสะทอ นกลบั มาจะมาไหน ? ถา ไมม ใี จซง่ึ เปน ผรู บั ผดิ ชอบน้ี

จะตองรับทุกขแตผูเดียว ทั้งๆ ที่ไมไดรับประโยชนอะไรจากการถือนั้นเลย เรายังจะฝน
ไปยดึ ถอื อยหู รอื ? นี่การพิจารณาทุกขเวทนาใหเห็นตามความเปนจริงของมัน

เอา สญั ญาความจํา จําไดเทาไรลืมเทานั้น เมอ่ื ตอ งการกค็ ดิ ขน้ึ มาใหมจ าํ ใหม
แลว กล็ มื ไป ลืมไปเรื่อยๆ จาํ ไดแ ลวหลงลมื “สญฺ า วาสสฺ วมิ ยุ หฺ ติ” พระพุทธเจาสอน
ไวแ ลว หาท่แี ยง ทต่ี รงไหน สัญญาเปนของไมแนนอน จําไดกห็ ลงลืมไป “สญฺ า อนิจฺ
จา” แนะ ! ทา นกบ็ อกแลว คําวา “อนจิ ฺจาๆ”นน่ั มแี ตท า นสวดใหค นตายฟง วา “อนิจฺจา
วต สงขฺ ารา” เรายังจะมาสวดมาเสกมาสรรเราใหเปนคนขึ้นมา ที่ๆ ไหนใหเ ปน เรา เอา
มาทั้งขันธหาอยางนี้วาเปนเราไดอยางไร! มันเปน อนจิ จา “อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา”

ใหพิจารณาดวยปญญา แยกแยะกนั ใหเ หน็ ละเอยี ดลออ เราไมต อ งกลวั ตาย

ความตายไมมีในจิตเรา อยา หาเรอ่ื งกลวั มาหลอกจติ เปน การโกหกตวั เอง แลว กอ ความ
ทุกขขึ้นมาโดยไมเกิดประโยชนอะไร เรยี กวา “ฝนธรรม” คือความจริงของพระพุทธเจา

ใครเชอ่ื พระพทุ ธเจา แลว อยา ฝน ความจรงิ พิจารณาใหเห็นตามความจริงดว ยอาํ นาจ
ของปญญาของตนนั้นแล ผนู น้ั แหละชอ่ื วา “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ อยางแทจริง ไมใชพูด

แตป าก ใหเ หน็ อยภู ายในใจดว ย พรอมทั้งความจริงที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไวแลว

อยา งไร สอนไวใ นวงของมวลสตั ว เรากเ็ ปน มวลสตั วโ ลกคนหนง่ึ ในจาํ นวนแหง มวลสตั ว

โลกทง้ั หลาย ทําไมเราจะไมทราบตามความจริงที่พระพุทธเจาทรงสอนไวแลวที่มีอยูโดย

สมบรู ณ
ภายในตัวของเราคือสัจธรรมทั้งสี่ “สงั ขาร” ฟงซิ คอื ความปรงุ มันจริงพอเชื่อ

ถือไดเมื่อไร! มันปรุงมันแตงมันเสกขึ้นมาทั้งนั้น ปรุงรูปนี้ขึ้นมารูปนั้นขึ้นมา จากสง่ิ นน้ั

สิ่งนี้ เชน รูปตุกตา เปนตน เดย๋ี วกแ็ ตก นค่ี วามปรงุ กเ็ หมอื นกนั ปรุงดีปรุงชั่วปรุงอะไร

มา กม็ าหลอกตนเองนแ่ี หละไมห ลอกทไ่ี หน เพราะจิตมันเจาจอมโง อะไรๆ มาหลอก

มนั กเ็ ชอ่ื หมดจะวา ยงั ไง มนั นา หลอกมนั กห็ ลอกนะ ซิ

ถา มปี ญ ญาแฝงอยดู ว ยคอยสกดั กน้ั ไว อะไรเขา มากก็ ลน่ั กก็ รองดว ยดแี ลว แม

สังขารจะปรุงกี่รอยกี่พันครั้งในวินาทีหนึ่งก็ตาม มนั จะหมนุ รอบตวั อยกู ร่ี อ ยกพ่ี นั ครง้ั
เชนเดียวกัน โดยทางปญญาอะไรจะมาหลอกได! สงั ขารกท็ ราบแลว วา สงั ขาร ความรูคือ

ใจกท็ ราบแลว วา เปน ใจ จะไปหลงเขาทาํ ไม เขาเกิดมาจากตัวเองไปตื่นเขาทําไม สงั ขาร

เหลานี้มันเปนเงา

วญิ ญาณกเ็ หมอื นกนั มนั แยบ็ ๆ ๆ ๆ เวลามีอะไรมาสัมผัสทางตา ทางหู ทาง

จมกู ทางลิ้น ทางกาย ก็ไปรับทราบที่จิต จิตก็ปรุงแตงขึ้นมาดวยสังขาร ดว ยสญั ญา เอา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๑

๔๙๒

หลอกขน้ึ มาปน ขน้ึ มา หาตัวจริงไมได! กห็ ลอกขน้ึ มาหลงอารมณข องตวั เองอยทู ง้ั วนั ทง้ั

คืน แลวก็ความหลงอารมณน น้ั แลใหเ ปน ทุกขข ้นึ มา เปน ผลแหง ความหลง เราไมเห็น
โทษของมันที่ตรงนี้จะเห็นที่ตรงไหน!

การเรียน “สัจธรรม” ไมเรียนที่ตรงนี้รูที่ตรงนี้จะรูที่ตรงไหน ไลเลียงเขาไปอยาง

ละเอยี ดลออ กต่ี ลบทบทวนไมส าํ คญั สําคญั ทีค่ วามเขาใจดว ยปญ ญาอยางแจม แจงแลว

ไมต อ งบอก อปุ าทานแมจ ะไมใ หญโ ตยง่ิ กวา ภเู ขา มันจะขาดสะบั้นลงไปไมมีอะไรเหลือ

อยเู ลย

เมื่อถูกไลตอนเขาไปดวยปญญาแลวมันไมไปไหน กจ็ ะเขา ถาํ้ ใหญ นน่ั แหละท่ี
เรยี กวา “คหุ าสย”ํ มนั เขา มาหาจติ ตีเขาไปดวยปญญา ดวย “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา”น่ี
มันเปนเงาๆ ๆ ตัวจริงๆ อยทู ไ่ี หน? ไลเขาไปหาตัวจรงิ มันจริงอยูที่จิต รวมตัวอยูที่จิต

นอกนน้ั เปน เงาของมนั ตน่ื รปู ตื่นเวทนา ตื่นสญั ญา ตน่ื สงั ขาร ตน่ื วญิ ญาณ หลงรปู

เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ

พอปญญาสอดสองมองทะลุไปหมดแลว มนั กว็ ง่ิ เขา ไปสภู ายในคอื จติ ไปรวมอยู

ที่จิตดวงเดียว ถาจิตไมโงเสียเทานั้นจิตก็ยอนเขามาพิจารณาตรงนั้นเอง คอื จติ นน่ั
แหละ !

มนั วง่ิ เขา ไปหลบซอ นอยใู นจติ ตอ งยอ นเขา ไปทาํ ลายในจติ เลย มันวิ่งเขาไป
หลบซอ นในทน่ี น้ั แลว โจรผนู น้ั แหละมนั จะยงิ หวั เราออกมา เอา ! มนั เขา ไปหลบซอ นอยู

ในตึกใดรานใดราคาแพงเทาใดก็ตาม ระเบิดขวางเขาไป มันพังทลายจนหมด โจรก็
ตาย! เอา! อนั นน้ั มนั จะฉบิ หายกใ็ หฉ บิ หายไป เรายังมีชีวิตอยูเราทําไดสรางได ขอเรา
อยา ตายไปดว ยกนั นก่ี เ็ หมอื นกนั ฟาดฟน มนั ลงไป! กเิ ลสอยา งละเอยี ดเขา รวมอยใู น

จิต

พจิ ารณาเปน กอง อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ดว ยกัน เพราะกิเลสเหลานี้มันเปนตัว

สมมุติ ฟาดฟน ใหม นั แหลกแตกกระจายไปจากจติ นน้ั เมื่อแหลกกระจายลงไปแลว
เอา!จติ จะฉบิ หายกใ็ หร กู นั แตจ ติ มไิ ดฉ บิ หายน!่ี เพราะจิตไมมีปาชา จิตเปน “อมต”ํ

โดยธรรมชาติแมยังมีกิเลส
พอกเิ ลสทง้ั มวลสลายไปหมดแลว ทา นเรยี กวา “พน ภยั ราคคคฺ นิ า โทสคฺคินา

โมหคฺคินา” หมด เมื่อน้ําอมตธรรมสาดลงที่ตรงนั้นเรียบวุธ! กิเลสไมมีอะไรเหลือเลย

สง่ิ ทเ่ี หลอื กค็ อื ความบรสิ ทุ ธ์ิ เมื่อจติ บริสุทธิ์เต็มที่แลว นน่ั แหละคอื ความสขุ เตม็
ที่มีอยูที่ตรงนั้น งานอะไรตองยุติกันที่ตรงนั้น ทา นวา “วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณยี ํ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๒

๔๙๓

นาปรํ อติ ถฺ ตตฺ ายาติ ปชานาต”ิ “เสร็จกิจหรือพรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจทจี่ ะทําใหย ง่ิ
กวา นอ้ี กี ไมม ี!”

กจิ อน่ื ใดก็ตามทีจ่ ะทําใหย ิ่งกวา นไี้ มม ี! เพราะความรูชอบขอบชิดโดยสมบูรณ
แลว นค่ี อื ทีส่ ดุ แหง ทุกขม าสุดกันท่ตี รงน!ี้

ยอดแหงธรรมก็อยทู ีใ่ จดวงท่ีบริสุทธ์นิ ้ี “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ที่เรา

กลา วถงึ นอ มระลกึ ถงึ ทา น รวมเขาในธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้หมด นกึ ถงึ พระพทุ ธเจากบั

อนั นเ้ี ลยเปน อนั เดยี วกนั พุทโธ ธัมโม สังโฆ ในหลกั ธรรมชาตแิ ท ไดแ กค วามบรสิ ทุ ธ์ิ

ลว นๆ

ทีนี้เรื่องปญหาวาพระพุทธเจาปรินิพานไปนานแลวเทานั้นปเทานี้เดือน นพิ พาน

ในสถานทน่ี น่ั ทน่ี ่ี ยอมหมดปญหาโดยประการทั้งปวง เพราะหลักธรรมชาติที่เปนพุทธะ

ธรรมะ สังฆะ แทอยูที่ใจของตน เปน สมบตั อิ นั ลน คา อยภู ายในใจอนั นฉ้ี นั ใด อนั นน้ั ฉนั
นน้ั หมดปญ หา!

พระพุทธเจานิพพานไปไหน? รูปรางเฉยๆ สลายไปตามธรรมชาติของรูปขันธ

อนั นน้ั เชน เดยี วกบั ธาตขุ นั ธท ว่ั ๆไป สถานทน่ี น่ั ทน่ี ต่ี ามสมมตุ นิ ยิ ม แตธรรมชาติที่
บรสิ ทุ ธ์ิ “พุทโธ” ทั้งดวงนั้นไมไดฉิบหายไมไดตาย ไมมีกาลไมมีสถานที่เขาไปเหยียบย่ํา
ทาํ ลายเลย นน้ั แลคอื “พุทธะ” แท นน้ั แลทเ่ี ราอา งถงึ “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ

ธรรมชาตนิ น้ั จะสญู ไปไหน ใหเห็นชัดๆ คอื ใหเ หน็ ภายในจติ ใจของตน เอาอนั น้ี

เปน หลกั ฐานพยาน ธรรมชาตินี้เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มที่แลว อนั นแ้ี ลไดเ ปน หลกั ฐาน

พยานอยางเต็มภูมิทีเดียว เมอ่ื อนั นไ้ี มส ญู อนั นเ้ี ปน อยา งไร อนั นน้ั กเ็ ปน ฉนั นน้ั เมอ่ื อนั

นี้ไมสูญ อนั นน้ั สญู ไดอ ยา งไร เปนธรรมอนั เดียวกัน

นั่นแหละบรรดาพระสาวกอรหันตทานเมื่อไดเขาถึงธรรมประเภทนี้แลว อยทู ่ี
ไหนทา นกอ็ ยกู บั ธรรม อยกู บั “พุทธะ ธรรมะ สังฆะ” ไดเฝาพระพุทธเจาอยูตลอดเวลา

อกาลโิ ก หมดความหวน่ั ไหว เพราะน้ําอมตธรรมปราบไฟราคะตัณหาภายในจิตใจจน
ราบเรียบลงไปเลยไมมีอะไรเหลือ “เตสํ วูปสโม สโุ ข ความระงับดับเสียซึ่งสังขารทั้ง
หลายเปน ความสขุ อยา งยง่ิ !”

สงั ขารธรรมภายในใจ สังขารที่เปนตัว “สมุทัย” นี่แหละระงับดับไปหมดถึงบรม

สขุ กบ็ รมสขุ ทก่ี ลา วมาทง้ั หมดนม้ี อี ยใู นสถานทใ่ี ด ทั้งฝายเหตุฝายผล ทั้งฝายดีฝายชั่วมี

กบั เราทุกทา นท่ีรูๆ อยเู วลาน้ี ธรรมชาติที่รูนี้แลเปนสิ่งที่ควรอยางยิ่งแกธรรมทั้งหลาย
จนถงึ “วิสุทธิธรรม” คอื ความบรสิ ทุ ธ์ิ ไมม อี ะไรนอกเหนือไปจากความรนู ้ี

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๓

๔๙๔

ขอใหช าํ ระธรรมชาตคิ วามรนู ใ้ี หพ น จากสง่ิ กดถว ง หรอื กดขบ่ี งั คบั ทง้ั หลายออก
ไปโดยลาํ ดบั ๆ เถิด คาํ วา “นพิ พาน” จะไปถามหาวา อยทู ไ่ี หน เมอ่ื ถงึ จติ บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว จะ
หมดปญหาโดยประการทั้งปวง

การแสดงธรรมกเ็ ห็นวาสมควร

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๔

๔๙๕

มชั ฌมิ าปฏปิ ทา

ใน “มัชฌิมาปฏิปทา” ทา นตรสั ไวว า “สมมฺ าทฏิ ฐ ิ ความเหน็ ชอบ” คาํ วา “เหน็
ชอบ” ทั่วๆไปก็มี เหน็ ชอบในวงจาํ กดั กม็ ี และเหน็ ชอบในธรรมสว นละเอยี ดยง่ิ กม็ ี

ความเห็นชอบของผูถือพระพุทธศาสนาทั่วๆไปโดยมีวงจํากัด เชน เหน็ วา บาปมี

จรงิ บญุ มจี รงิ นรก สวรรค นพิ พาน มีจรงิ ผูทาํ ดีไดร ับผลดี ผทู าํ ชว่ั ไดร บั ผลชว่ั เปนตน
นก่ี เ็ รยี กวา “สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ ขน้ั หนง่ึ (๑)

ความเหน็ ในวงจาํ กดั ของนกั ปฏบิ ตั ผิ ปู ระกอบการพจิ ารณา “สติปฏฐาน” หรอื
“อรยิ สจั ส”่ี โดยกําหนดกาย เวทนา จิต ธรรม เหน็ วา เปน “ไตรลักษณ” คอื อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ

อนตฺตา ประจําตนทุกอาการดวยปญญา ปลกู ศรทั ธาความเชอ่ื ลงในสจั ธรรม เพราะการ
พจิ ารณา “ไตรลักษณ” เปนตนเหตุ และถอื ไตรลกั ษณที่มอี ยูในสภาวธรรมนัน้ ๆ เปน ทาง

เดินของปญญา และพจิ ารณาในอรยิ สจั เห็นทุกขที่เกิดขึ้นจากกายและจากใจทั้งของตน

และของคนอื่นสัตวอื่น วา เปน สง่ิ ไมค วรประมาทนอนใจ พรอมทั้งความเห็นโทษใน
“สมทุ ยั ” คือแหลงผลิตทุกขใหเกิดขึ้นแกสัตวเสวยผลไมมีประมาณตลอดกาล และ
เตรียมรื้อถอนสมุทัยดวยปญญา เพื่อกาวขึ้นสู “นโิ รธ” คอื แดนสงั หารทุกขโดยส้นิ เชิง นี่
เรยี กวา “สมฺมาทิฏฐิ” ขน้ั หนง่ึ (๒)

“สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ ความเหน็ ชอบในธรรมสว นละเอยี ดนน้ั ไดแกค วามเหน็ ชอบใน
ทุกขวาเปนของจริงอยางหนึ่ง ความเหน็ ชอบใน “สมุทยั ” วา เปนของจริงอยา งหนึ่ง
ความเหน็ ชอบใน “นโิ รธ” วาเปนของจริงอยางหน่งึ และความเหน็ ชอบใน “มรรค” คือ

ศีล สมาธิ ปญญา วาเปนของจริงอยางหนงึ่ ซง่ึ เปน ความเหน็ ชอบโดยปราศจากการ
ตาํ หนติ ชิ มในอรยิ สจั และสภาวธรรมทว่ั ๆ ไป จัดเปน “สมฺมาทิฏฐิ” ขน้ั หนง่ึ (๓)

สมมฺ าทฏิ ฐ ิ มีหลายขั้น ตามภูมขิ องผูปฏิบัติในธรรมขน้ั น้นั ๆ ถา สมฺมาทิฏฐิ มี

เพยี งข้นั เดียว ปญญาจะมีหลายขั้นไปไมได เพราะกเิ ลสความเศรา หมองมหี ลายขน้ั

ปญญาจึงตองมีหลายขั้น เพราะเหตนุ เ้ี อง สมฺมาทิฏฐิ จงึ มหี ลายข้ันตามทอ่ี ธบิ ายผา นมา

แลว
ในปฏิปทาขอสองตรัสวา “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ความดาํ รชิ อบ มี ๓ ประการ คือ
(๑) ดาํ รใิ นการไมเ บยี ดเบยี น หนง่ึ
(๒) ดาํ รใิ นการไมพ ยาบาทปองรา ย หนึ่ง
(๓) ดําริเพื่อออกจากเครื่องผูกพัน หนง่ึ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๕

๔๙๖

ดาํ รใิ นทางไมเ บยี ดเบยี นนน้ั คอื ไมค ดิ เบยี ดเบยี นคนและสตั ว ไมค ดิ เบยี ดเบยี น
ตนเองดวย ไมค ดิ ใหเ ขาไดร บั ความทรมานลาํ บากเพราะความคดิ ของเราเปน ตน เหตุ
และคดิ หาเรอ่ื งลาํ บากฉบิ หายใสต นเอง ไมคิดดําริจะกินยาเสพยติดมี สุรา ฝน และ
เฮโรอีน เปนตน

ดาํ รใิ นความไมพ ยาบาท คือไมคิดปองรายหมายฆาใครๆ ทั้งสัตวทั้งมนุษย ไม
คิดเพื่อความชอกช้ําและฉิบหายแกใคร ไมค ดิ ใหเ ขาไดร บั ความเจบ็ ปวดบอบชาํ้ หรอื ลม
ตายลงไปเพราะความคดิ ของเราเปน ตนเหตุ และไมคิดปองรายหมายฆาตัวเอง เชน คดิ
ฆาตัวเองดวยวิธีตางๆ ดังปรากฏในหนาหนังสือพิมพเสมอ

น่ีคอื ผลจากความคดิ ผิด ตวั เองเคยมคี ณุ แกต วั และเปน สมบตั อิ นั ลน คา แกต วั
เอง เพราะความคิดผดิ จึงปรากฏวาตัวกลับเปน ขา ศึกแกตัวเอง เรอ่ื งเชน นเ้ี คยมบี อ ยๆ
ซึ่งมิใชเรื่องของมนุษยผูฉลาดจะทํากันละ ทง้ั นพ้ี งึ ทราบวา เปน ผลเกดิ จาก “ความดาํ ริ
ผิดทาง” ผรู กั ษาตวั และสงวนตวั แท เพยี งแตจ ติ คดิ เรอ่ื งไมส บายขน้ึ ภายในใจเทา นน้ั ก็
รบี ระงบั ดบั ความคดิ ผดิ นน้ั ทนั ทดี ว ย “เนกขมั มอบุ าย” ไหนจะยอมปลอยความคิดที่ผิด
ใหร นุ แรงขน้ึ ถงึ กบั ฆา ตวั ตาย เปนตวั อยางแหงความรกั ตัวท่ไี หนม!ี นอกจากความเปน
เพชฌฆาตสงั หารเทา นน้ั

ความดําริเพื่อออกจากเครื่องผูกมัดนี่ ถา เปน ความดาํ รทิ ว่ั ๆ ไป ตนคดิ อา นการ
งานเพื่อปลดเปลื้องตนออกจากความยากจนขนแคน เพอ่ื ความสมบรู ณพ นู ผลในสมบตั ิ
ไมอดอยากขาดแคลน ก็จัดเขาใน “เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป อยา งอนโุ ลม” ของโลกประการ
หนง่ึ

ผดู าํ รใิ หท าน รักษาศีล ภาวนา คดิ สรา งถนนหนทาง กอพระเจดีย ทะนบุ าํ รงุ
ปูชนยี สถานทชี่ ํารุดทรุดโทรม สรางกุฏิ วหิ าร ศาลา เรอื นโรงตา งๆ โดยมุงกุศลเพื่อยก
ตนใหพนจากกองทุกข กจ็ ดั เปน “เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป” ประการหนง่ึ

ผดู าํ รเิ หน็ ภยั ในความ เกิด แก เจบ็ ตาย ซง่ึ เปน ไปในสตั วแ ละสงั ขารทว่ั ๆ ไปทั้ง
เราทง้ั เขาไมม เี วลาวา งเวน เหน็ เปน โอกาสอนั วา งสาํ หรบั เพศนกั บวชจะบาํ เพญ็ ศลี
สมาธิ ปญญา ใหเ ปน ไปตามความหวงั ดาํ รจิ ะบวชเปน ชี ปะขาว เปน พระเปน เณร นี่ก็
จดั วา เปน ”เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป” ประการหนง่ึ

นกั ปฏบิ ตั มิ คี วามดาํ รพิ จิ ารณาอารมณแ หง กรรมฐานของตน เพอ่ื ความปลด
เปลื้องจิตออกจากนิวรณธรรมทั้งหลายโดยอุบายตางๆ จากความดาํ รคิ ดิ คน ไมม เี วลา
หยุดยั้ง เพื่อเปลือ้ งกเิ ลสทุกประเภทดว ย “สัมมาสังกัปปะ” เปน ขน้ั ๆ จนกลายเปน “สมฺ
มาสงฺกปฺโป อัตโนมัต”ิ กาํ จดั กเิ ลสเปน ขน้ั ๆดว ยความดาํ รคิ ดิ คน ตลอดเวลา จนกเิ ลสทกุ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๖

๔๙๗

ประเภทหมดสน้ิ ไปเพราะความดาํ รนิ น้ั นี่ก็จัดเปน “สมฺมาสงฺกปฺโป” ประการสดุ ทา ย

แหงการอธิบายปฏิปทา ขอ ๒
ปฏิปทาขอที่ ๓ ตรสั ไวว า “สมมฺ าวาจา” กลา ววาจาชอบ ที่กลาวชอบทั่วๆ ไปก็มี

ที่กลาวชอบยิ่งในวงแหงธรรมโดยเฉพาะก็มี กลา วชอบตามสภุ าษติ ไมเปนพิษเปนภัย

แกผูฟง กลา วมเี หตผุ ลนา ฟง จบั ใจ ไพเราะเสนาะโสต กลา วสภุ าพออ นโยน กลาวถอม

ตนเจียมตัว กลาวขอบบุญขอบคุณตอผูมีคุณทุกชั้น เหลา นจ้ี ดั เปน สมมฺ าวาจา ประการ

หนง่ึ
“สมมฺ าวาจา ที่ชอบย่งิ ” ในวงแหง ธรรมโดยจาํ เพาะนน้ั คือกลาวใน “สลั เลข

ธรรม”เครอ่ื งขดั เกลากเิ ลสโดยถา ยเดยี ว ไดแก กลา วเรอ่ื งความมกั นอ ยในปจ จยั ส่ี

เครื่องอาศัยของพระ กลา วเรอ่ื งความสนั โดษ ยินดีตามมีตามไดแหงปจจัยที่เกิดขึ้นโดย
ชอบธรรมกลา วเรอ่ื ง “อสังสัคคณิกา” ความไมคลุกคลีมั่วสุมกับใครๆทั้งนั้น, “วิเวกก
ตา” กลา วเรอ่ื งความสงดั วเิ วกทางกายและทางใจ “วริ ยิ ารมั ภา” กลา วเรอ่ื งการประกอบ

ความเพยี ร กลา วเรอ่ื งการรกั ษาศลี ใหบ รสิ ทุ ธ์ิ กลาวเรือ่ งทาํ สมาธิใหเกิด กลา วเรอ่ื ง
การอบรมปญ ญาใหเ ฉลยี วฉลาด กลา วเรอ่ื ง “วิมุตต”ิ คือความหลุดพน และกลา วเรอ่ื ง
“วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ” ความรเู หน็ อนั แจง ชดั ในความหลดุ พน นจ่ี ดั เปน “สมมฺ าวาจา
สว นละเอยี ด”

การกลา วนน้ั ไมใ ชก ลา วเฉยๆ กลา วราํ พนั กลา วราํ พงึ กลา วดว ยความสนใจและ
ความพออกพอใจ ใครต อ การปฏบิ ตั ติ อ “สลั เลขธรรม” จรงิ ๆ

ในปฏปิ ทาขอ ๔ ตรสั ไวว า “สมมฺ ากมมฺ นโฺ ต” การงานชอบ การงานชอบทว่ั ๆ ไป

ประเภทหนง่ึ การงานชอบในธรรมประการหนง่ึ

การงานท่ีทาํ โดยชอบธรรมไมผ ิดกฎหมายบานเมอื ง เชน ทาํ นา ทาํ สวน การซื้อ

ขายแลกเปลย่ี น เหลา นจ้ี ดั เปน การงานชอบ

การปลกู สรา งวดั วาอาราม และการใหท าน รักษาศีล เจรญิ เมตตาภาวนา ก็จัด

เปน การงานชอบแตล ะอยา งๆ เปน สมฺมากมฺมนฺโต ประการหนง่ึ การเดนิ จงกรม นง่ั

สมาธิก็จัดเปนการงานชอบ ความเคลอ่ื นไหวทางกาย วาจา ใจ ทุกอาการ พงึ ทราบวา
เปน “กรรม” คอื การกระทํา การทําดวยกาย พดู ดว ยวาจา และคดิ ดว ยใจ เรยี กวา “เปน
กรรม” คอื การกระทาํ ทําถูก พูดถูก คิดถูก เรยี กวา “สัมมากัมมันตะ” การงานชอบ

คาํ วา “การงานชอบ” มคี วามหมายกวา งขวางมาก แลวแตทานผูฟงจะนอมไปใช

ในทางใด เพราะโลกกบั ธรรมเปน คเู คยี งกนั มา เหมือนแขนซา ยแขนขวาของคนคน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๗

๔๙๘

เดียว จะแยกโลกกับธรรมจากกันไปไมได และโลกก็มีงานทํา ธรรมกม็ ีงานทาํ ดว ยกนั
ทั้งนี้เนื่องจากภาวะของคนและการประกอบไมเหมือนกัน การงานจะใหถูกรอยพิมพอัน
เดียวกันยอมเปนไปไมได

ฉะนน้ั ผอู ยูในฆราวาสก็ขอใหป ระกอบการงานถกู กับภาวะของตน ผูที่อยูใน
ธรรมคอื นกั บวช เปนตน ก็ขอใหประกอบการงานถูกกับภาวะของตน อยา ใหก ารงาน
และความเหน็ กา วกา ยและไขวเ ขวกนั ก็จดั วาตางคนตาง “สัมมากัมมันตะ” การงานชอบ
ดวยกัน โลกและธรรมกน็ บั วนั เจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ โดยลาํ ดบั เพราะตางทา นตา งชว ยกันพยงุ

ปฏิปทาขอ ๕ ตรสั วา “สมมฺ าอาชโี ว” การแสวงหาเพอ่ื เลย้ี งชพี ดว ยการรบั
ประทานตามธรรมดาของมนุษยและสัตวทั่วๆ ไป ประการหนง่ึ การหลอ เลย้ี งจติ ใจดว ย
อารมณจ ากเครอ่ื งสมั ผสั ประการหนง่ึ การแสวงหาอาชพี โดยชอบธรรม ปราศจากการ
ปลนสะดมฉกลักของใครๆ มาเลย้ี งชพี หามาไดอ ยา งไรก็บรโิ ภคเทาทมี่ พี อเลยี้ งอัต
ภาพไปวันหนึง่ ๆ หรอื จะมมี ากดว ยความชอบธรรม ก็จัดวาเปน “สมมฺ าอาชโี ว”
ประการหนง่ึ

ใจไดร บั ความสมั ผสั จากสง่ิ ภายนอก คอื รปู หญิง ชาย เสยี ง กลิ่น รส ความ
สัมผัสของหญิงชาย และสิ่งของที่ถูกกับจริตชอบ เกดิ เปน อารมณเ ขา ไปหลอ เลย้ี งจติ ใจ
ใหม คี วามแชม ชน่ื เบกิ บาน หายความโศกเศรา เหงาหงอย มแี ตค วามรน่ื เรงิ บนั เทงิ ใจ
กลายเปนยาอายุวัฒนะขึ้นมา แตถาแสวงผดิ ทางกก็ ลายเปนยาพษิ เคร่อื งสงั หารใจ นี่ก็
ควรจดั วา เปน “สมฺมาอาชีโว” ตามโลกนิยม แตไ มใช “สมมฺ าอาชโี ว” ของธรรมนิยม
เพราะมิใชอารมณเครื่องถอดถอนกิเลสออกจากใจ สาํ หรบั โลก ผมู ี “มตฺตฺุตา” รจู กั
ประมาณและขอบเขตที่ควรหรือไมค วร ก็พอเปน “สมมฺ าอาชโี ว” ไปตามภูมิ สาํ หรบั นกั
บวชไมค วรเกย่ี วขอ งอาหารใจประเภทรปู เสยี ง เปน ตน นอกจากพจิ ารณาตรงขา มเทา
นน้ั จงึ จดั เปน สามจี กิ รรม

สว นนกั บวชพงึ ปฏบิ ตั ิ คือการบํารุงจิตใจดวยธรรม ไมนําโลกซึ่งเปนยาพิษเขา
มารงั ควานใจ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ กระทบรูป เสียง กลน่ิ รส เครอ่ื งสมั ผสั
ธรรมารมณ ใหพ งึ พจิ ารณาเปน ธรรมเสมอไป อยา ใหเ กดิ ความยนิ ดยี นิ รา ย จะกลาย
เปน ความขดั เคอื งขน้ึ มาภายในใจ ซึ่งขัดตอ “สมั มาอาชวี ธรรม” อนั เปน ธรรมเครอ่ื ง
ถอดถอนกเิ ลส

การพจิ ารณาเปน ธรรม จะนาํ อาหารคือโอชารสแหงธรรม เขา มาหลอ เลย้ี งหวั
ใจ ใหม คี วามชน่ื บานดว ยธรรมภายในใจ ใหม คี วามชมุ ชน่ื ดว ยความสงบแหง ใจ ใหม ี

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๘

๔๙๙

ความชุม ชื่นดว ยความเฉลยี วฉลาดแหง ปญ ญา ไมแสวงหาอารมณอันเปนพิษเขามา
สังหารใจของตน พยายามนาํ ธรรมเขา มาหลอ เลย้ี งเสมอ เรยี กวา “สมมฺ าอาชโี ว” ที่ชอบ

ธรรม

อายตนะภายในมี ตา หู เปนตน กระทบกบั อายตนะภายนอก มี รปู เสยี ง

เปนตน ทกุ ขณะทส่ี มั ผสั จงพจิ ารณาเปน ธรรม คอื ความรเู ทา และปลดเปลื้องดวย

อุบายเสมอไป อยา พจิ ารณาใหเ ปน เรอ่ื งของโลกแบบจบั ไฟเผาตวั จะกลายเปน ความ
รอนขึ้นที่ใจ ซึ่งมิใชทางของ “สมั มาอาชวี ะ” ของผบู าํ รงุ ใจดว ยธรรม

ควรพยายามกลน่ั กรองอารมณทเ่ี ปน ธรรม เขาไปหลอเลี้ยงจิตใจอยูตลอด

เวลา อาหารคอื โอชารสแหง ธรรม จะหลอ เลย้ี งและรกั ษาใจใหป ลอดภยั เปน ลาํ ดบั ที่
อธิบายมานี้จัดเปน “สมั มาอาชวี ะ” ประการหนง่ึ

ปฏิปทาขอ ๖ ตรสั ไวว า “สมมฺ าวายาโม” ความเพยี รชอบ ทา นวา เพยี รในทส่ี ่ี

สถานคอื
(๑) เพยี รระวงั อยา ใหบ าปเกดิ ขน้ึ ในสนั ดาน หนง่ึ
(๒) เพยี รละบาปท่เี กดิ ขึ้นแลวใหห มดไป หนง่ึ
(๓) เพียรยังกุศลใหเกิดขึ้น หนง่ึ และ
(๔) เพียรรักษากุศลท่เี กดิ ขน้ึ แลวอยาใหเ สอ่ื มสญู ไป หนง่ึ
“โอปนยโิ ก” นอมเขาในหลักธรรมที่ตนกําลังปฏิบัติไดทุกขั้น แตทน่ี จ่ี ะนอ มเขา

ในหลกั “สมาธกิ บั ปญ ญา” ตามโอกาสอันควร
(๑) พยายามระวงั รักษาจติ ที่เคยฟงุ ซา นไปตามกระแสแหงตณั หา เพราะความโง

เขลาฉดุ ลากไป หนง่ึ
(๒) ศลี สมาธิ ปญญา เปน ธรรมแกก เิ ลสทกุ ประเภท จงพยายามอบรมใหเ กดิ

ขึ้นกับใจของตน ถาตองการไปนิพพานดับไฟกังวลใหสิ้นซาก! หนง่ึ
(๓) ศลี สมาธิ ปญญา ทุกๆ ขน้ั ถาไดปรากฏขึ้นกับตนแลว อยายอมใหหลุดมือ

ไปดว ยความประมาท จงพยายามบาํ รงุ ศลี สมาธิ ปญ ญา ทุกๆ ขน้ั ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ให
เจรญิ เต็มท่ี จนสามารถแปรรปู เปน “มรรคญาณ” ประหารกเิ ลสสมทุ ยั ใหส น้ิ ซากไป
แดนแหง “วมิ ตุ ตพิ ระนพิ พาน” ทเ่ี คยเหน็ วา เปน ธรรมเหลอื วสิ ยั จะกลายเปน ธรรม

ประดับใจทันทที ่ีกเิ ลสสนิ้ ซากลงไป หนึ่ง
ในปฏปิ ทาขอ ๗ ตรสั วา “สมมฺ าสต”ิ ไดแกการตั้งสติระลึกตามประโยคของ

ความเพยี รของตน ตนกาํ หนดธรรมบทใดเปน อารมณข องใจ เชน “พุทโธ” หรอื อานา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๙๙

๕๐๐

ปานสติ เปนตน ก็ใหมีสตริ ะลกึ ธรรมบทน้นั ๆ หรือตั้งสติกําหนดใน “สตปิ ฏ ฐานส”ี่ คือ
กาย เวทนา จติ ธรรม ทั้งกําหนดเพื่อสมาธิ ทั้งการพิจารณาทางปญญา ใหม สี ตคิ วาม
ระลกึ ในประโยคความเพยี รของตนทุกๆ ประโยค จดั เปน สมฺมาสติ ที่ชอบ ขอหนึ่ง

ปฏิปทาขอ ๘ ตรสั ไวว า “สมมฺ าสมาธ”ิ คือ สมาธิที่ชอบ ไดแก สมาธทิ ส่ี มั ปยตุ
ดว ยสตปิ ญ ญา ไมใ ชส มาธแิ บบหวั ตอ และไมใชสมาธิที่ติดแนนทั้งวันทั้งคืนไมยอม
พจิ ารณาทางดา นปญ ญาเลย โดยเหน็ วา สมาธเิ ปน ธรรมประเสรฐิ พอตวั จนเกดิ ความ
ตําหนิติโทษปญญาหาวาเปนของเก และกวนจติ ใจทเ่ี ปน อยดู ว ยความสงบเยน็ ไปเสยี
สมาธปิ ระเภทนเ้ี รยี กวา “มิจฉาสมาธ”ิ ไมจดั วา เปน สมาธทิ ี่จะทาํ ใหบ คุ คลพน จากทุกข
โดยชอบธรรม

สว นสมาธทิ เ่ี ปน ไปเพือ่ ความพนทกุ ขนั้น ตอ งกาํ หนดลงไปในหลกั ธรรม หรอื
บทธรรมตามจริตชอบ ดวยความมีสติกํากับรักษา จนจติ รวมลงเปน สมาธไิ ด จะเปน
สมาธปิ ระเภทใดกต็ าม เมอ่ื รสู กึ จติ ของตนสงบ หรอื หยดุ จากการคดิ ปรงุ ตา งๆ รวม
อยูเปนเอกเทศอันหนึ่ง จากสิ่งแวดลอมทง้ั หลาย จนกวาจะถอนขึ้นมา จดั เปน สมาธทิ ่ี
ชอบ และไมเ หมือนสมาธิซึง่ รวมลงไปแลว ไมทราบกลางวันกลางคนื เปนตายไมทราบ
ทง้ั นน้ั เหมอื นคนตายแลว พอถอนขึ้นมาจึงจะรูยอนหลังวาจิตรวมหรือจิตไปอยูที่ไหน
ไมท ราบ นเ่ี รยี กวา “สมาธหิ วั ตอ” เพราะรวมลงแลว เหมอื นหวั ตอ ไมม ีความรูส กึ สมาธิ
ประเภทนจ้ี งพยายามละเวน แมเ กดิ ขน้ึ แลว รบี ดดั แปลงเสยี ใหม สมาธทิ ก่ี ลา วนเ้ี คย
มใี นวงนกั ปฏิบตั ิดวยกนั อยูเสมอ

วิธีแกไข คอื หักหามอยาใหรวมลงตามทีเ่ คยเปนมา จะเคยตัวตลอดกาล จง
บงั คบั ใหท อ งเทย่ี วในสกลกาย โดยมีสติบังคับเขมแข็ง บงั คับใหท อ งเท่ยี วกลบั ไปกลับ
มา และขน้ึ ลงเบอ้ื งบนเบอ้ื งลา ง จนควรแกป ญ ญาและมรรคผลตอ ไป

สว น สมั มาสมาธิ เมื่อจิตรวมลงไปแลว มสี ติรูประจาํ อยูใ นองคสมาธินั้น เมื่อ
ถอนขน้ึ มาแลว ควรจะพจิ ารณาทางปญ ญาในสภาวธรรมสว นตา งๆทม่ี อี ยใู นกายในจติ
ก็พิจารณาในโอกาสอันควร สมาธกิ บั ปญ ญาใหเ ปน ธรรมเกย่ี วเนอ่ื งกนั เสมอไป อยา
ปลอ ยใหสมาธิเดนิ เหินไปแบบไมม องหนา มองหลัง โดยไมคํานึงถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น

สรปุ ความแลว สติ สมาธิ ปญ ญา ท้ังสามนี้ เปน ธรรมเกย่ี วเนือ่ งกนั โดยจะแยก
จากกันใหเดนิ แตอ ยางใดอยา งหนง่ึ ไมได สมาธกิ บั ปญ ญาตอ งผลดั เปลย่ี นกนั เดนิ
โดยมีสติเปนเครื่องตามรักษา ทง้ั สมาธแิ ละปญ ญา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๐

๕๐๑

นแ่ี ลปฏปิ ทาทง้ั ๘ ที่ไดอธบิ ายมาโดยอิงหลกั ธรรมบา ง โดยอตั โนมัตบิ า ง ตั้งแต
“สมฺมาทิฏฐิ จนถึง สมฺมาสมาธ”ิ ถงึ ทราบวา เปน ธรรมหลายชน้ั แลว แตท า นผฟู ง จะนํา
ไปปฏบิ ัติตามภูมิแหง ธรรมและความสามารถของตน

ในปฏปิ ทาทัง้ ๘ ประการน้ี ไมเ ลอื กวา นกั บวชหรอื ฆราวาส ใครสนใจปฏบิ ตั ใิ ห
บรบิ รู ณไ ด ผล คือ “วมิ ตุ ติ” และ “วิมุตติญาณทัสสนะ” เปนสมบัติอนั ลาํ้ คาของผูน ้ัน
เพราะ ศลี สมาธิ ปญญา รวมอยใู นมรรคน้ี และเปน เหมอื น “กุญแจ” ไข “วิมุตต”ิ ทั้ง
สองใหประจักษกับใจอยางเปดเผย

อนง่ึ ทา นนกั ปฏบิ ตั อิ ยา เขา ใจวา “วิมุตต”ิ กับ “วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ” ทั้งสองนี้แยก
กันไปอยูในที่ตางแดน หรอื แยกกนั ทาํ หนา ทค่ี นละขณะ ทถ่ี กู ไมใ ชอ ยา งนน้ั !

เราตดั ไมใ หข าดดว ยขวาน ขณะไมขาดจากกัน ตาก็มองเห็น ใจกร็ วู า ไมท อ นน้ี
ขาดแลว ดว ยขวาน เหน็ ดว ยตากบั รดู ว ยใจ! เกดิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั ฉนั ใด

วมิ ตุ ตแิ ละวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ก็ทําหนาที่รูเห็นกิเลสขาดออกจากใจ ดว ยศลี
สมาธิ ปญ ญา ในขณะเดยี วกนั นน้ั แล

จากนั้นแลวก็ไมมีปญหาอะไรใหยุงยากอีกตอไป เพราะปญ หายงุ ยากกค็ อื
ปญ หากเิ ลสกบั ใจเทา นน้ั ที่ใหญยิ่งในไตรภพ

เมื่อปลอยใจจากสิ่งทั้งปวงอันเปนปญหาใหญที่สุดแลว กเิ ลสซึง่ เปน ส่งิ อาศยั อยู
ในใจก็หลุดลอยไปเอง ศลี สมาธิ ปญ ญา และ วิมุตติ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ก็ปลอยวางไว
ตามความจริง เรยี กวา ตา งฝา ยตา งจรงิ แลวก็หมดคดีคูความลงเพียงเทานี้

วนั นไ้ี ดอ ธบิ ายธรรมใหแ กน กั ปฏบิ ตั ทิ ง้ั หลายฟง โดยยกสมเด็จพระผมู พี ระภาค
และพระสาวกทง้ั หลายมาเปน แนวทาง จะไดตั้งเข็มทิศ คือขอปฏิบัติของตน ของตนให
เปนไปตามพระองคทานโดยไมลดละ

เมอ่ื ศีล สมาธิ ปญญา เปน ธรรมทท่ี า นทง้ั หลายบาํ เพญ็ ไดบ รบิ รู ณแ ลว วิมุตติ
และวิมตุ ติญาณทสั สนะ อนั เปน องคพ ระนพิ พาน ก็จะเปนของทานทั้งหลายอยางไมมี
ปญหา เพราะเหตฉุ ะน้ั ธรรมทง้ั หมดท่ไี ดกลา วในวนั น้ี ทานผูฟงทุกๆ ทา น ยอมจะเขา
ใจวา มอี ยใู นกายในใจของเราทกุ ทา น ขอใหน อ มธรรมเหลา นเ้ี ขา มาเปน สมบตั ขิ องตน
ทั้งการดําเนินเหตุ ทัง้ ผลท่ปี รากฏขึน้ จากเหตอุ นั ดี คือวิมุตติพระนิพพาน จะเปนของ
ทา นทง้ั หลายในวนั นว้ี นั หนา โดยนัยที่ไดแสดงมา

ขอยตุ ดิ ว ยเวลาเพยี งเทา น้ี เอวังก็มีดวยประการฉะนี้ ฯ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๑

๕๐๒

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๕๑๙

คนื อาํ ลา

การที่อยากใหคนดีไมมีใครที่จะเกินพระพุทธเจาไปได พระโอวาททป่ี ระทานไว
แกโลกก็เพื่อใหโลกเปนคนดีกันทั้งนั้น เปน คนดมี คี วามสขุ ไมตองการใหโลกเกิดความ
เดือดรอนเสียหายอันเกดิ จากความชว่ั ของการกระทํา เพราะความไมร เู รอ่ื งวธิ ปี ฏบิ ตั ติ วั
เองนน้ั เลย

เพราะฉะนน้ั การทจ่ี ะสรา งพระบารมใี หถ งึ ความเปน พระพทุ ธเจา ผูมีพระเมตตา
อันเปยมตอสัตวโลกนั้น จงึ เปน การลาํ บาก ผดิ กบั บารมที ง้ั หลายอยมู าก ความสามารถ
กับพระเมตตามีกําลังไปพรอมๆ กัน ถาตางคนตางไดยินไดฟงพระโอวาทของพระพุทธ
เจา ในทเ่ี ฉพาะพระพกั ตรก ต็ าม ไดฟ ง ตามตาํ รบั ตาํ รากต็ าม มคี วามเชือ่ ตามหลกั ความ
จรงิ ทป่ี ระทานไวน น้ั ตา งคนตา งพยายามปรบั ปรงุ แกไขตนเองใหเ ปนคนดี นบั เปน
จาํ นวนวา คนนก้ี เ็ ปน คนดี คือคนท่ีหนงึ่ ก็เปน คนดี คนที่สองก็เปนคนดี ในครอบครวั มกี ่ี
คน ไดรบั การอบรมสั่งสอนเพ่ือความเปน คนดดี วยกนั ครอบครวั นน้ั กเ็ ปน คนดี ในบา น
นั้นก็เปนคนดี เมืองนี้ก็เปนคนดี เมืองนั้นก็เปนคนดี ประเทศนป้ี ระเทศนน้ั กเ็ ปน คนดี
ดวยกันแลว เรื่องความสงบสุขของบานเมืองเราไมตองถามถึงก็ได ตองไดจากความดี
ของผูทําดีทั้งหลายแนนอน

ความทุกขรอนตางๆ ท่ีเกิดข้ึนมานัน้ เกดิ ขน้ึ เพราะความไมด ตี า งหาก คนไมดีมี
จาํ นวนมากนอ ยเพยี งใด กเ็ หมอื นมเี สย้ี นหนามจาํ นวนมากนอ ยเพยี งนน้ั ยิ่งมีมากเทา
ไรโลกนี้ก็เปน “โลกนั ตนรก” ได ซึ่งมืดทั้งกลางวันกลางคืน มีความรุมรอนอยูตลอด
เวลาโดยไมตองไปถามหานรกขุมไหนลูกไหน เพราะสรา งอยทู หี่ ัวใจของคน แลว ก็
ระบาดสาดกระจายออกไปทุกแหงทุกหน เลยกลายเปน ไฟไปดว ยกนั เสยี สน้ิ นเ้ี พราะ
ความผิดทั้งนั้นไมใชเพราะความถูกตองดีงาม

ถา หากเปนไปตามหลกั ธรรมของพระพุทธเจา แลว เรอ่ื งเหลา นจ้ี ะไมม ผี ู
พิพากษาศาลอุทธรณ ศาลฎีกาอะไรยอมไมมี เพราะไมม เี รอ่ื งจะให ตางคนตางมเี จตนา
มุงหวังตอความเปนคนดี พยายามฟงเหตุฟงผลเพื่อความเปนคนดีดวยกัน การพูดกัน
กร็ เู รอ่ื ง ไมว า เดก็ ผูใหญ หญงิ ชาย นกั บวช ฆราวาส พูดกันรูเรื่องทั้งนั้น

ความพดู กันรเู รอื่ งกค็ อื รเู รอ่ื งเหตผุ ลดชี ว่ั ภายในใจอยา งซาบซง้ึ ทั้งมีความมุง
หวงั อยากรเู หตผุ ล ความสตั ยค วามจรงิ ความดีงามอยูแลว ฟงกันยอมเขาใจไดงายและ
ปฏิบัติกันไดอยางสม่ําเสมอ ไมมีที่แจงที่ลบั เทา นั้น ที่โลกไมไดเปนไปตามใจหวัง! ไป

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๒

๕๐๓

อยใู นสถานทใี่ ด บนแตความทุกขความรอน ระสาํ่ ระสายวนุ วายไปหมดทง้ั แผน ดนิ
ทั้งๆ ทต่ี า งคนตา งเรยี น ตา งคนตา งหาความรู ความรูนั้นก็ไมเกิดประโยชนอะไรนอก
จากเอามาเผาตวั เทา นน้ั เพราะความรปู ระเภทนน้ั ๆ ไมม ธี รรมเขา เคลอื บแฝง ไมมี
ธรรมเขา อดุ หนนุ ไมม ธี รรมเขา เปน “เบรก” เปน “คนั เรง ” เปนพวงมาลยั จงึ เปน ไป
ตามยถากรรมไมมีขอบเขต

เมอ่ื พจิ ารณาอยา งน้ี ยอมจะเห็นคุณคาแหงธรรมของพระพุทธเจาวามีมากมาย
เพียงไร เพยี งแตเ ราพยายามทาํ ตวั ใหเ ปน คนดี แมไ มส ามารถแนะนาํ สง่ั สอนผใู ดให
เปนคนดีไดก็ตาม ลําพังประพฤติปฏิบัติตัวใหเปนคนดี อยใู นสถานทใ่ี ด อริ ยิ าบถใด
เรากเ็ ยน็ ความเยน็ ความผาสุกสบายเกิดข้ึนจากความถูกตองแหงการกระทําของตนเอง
ความเยน็ จงึ ปรากฏขน้ึ กบั บคุ คลนน้ั

คาํ วา “ความถูกตอง” “ความรม เยน็ ” นน้ั มเี ปน ขน้ั ๆ ขั้นทั่วๆ ไปก็มีไดทุกคนถา
ตั้งใจประพฤติปฏิบัติใหมี ไมมองขามตนไปเสีย โลกนีก้ ็เปน โลกผาสกุ รม เย็น นา อยนู า
อาศัย นา รน่ื เรงิ บนั เทงิ

ยงิ่ ไปกวา นนั้ ผจู ะปฏบิ ตั ใิ หไ ดค วามสขุ ความเจรญิ ภายในจติ ใจกวา ภาคทว่ั ๆ ไป
ก็พยายามบําเพ็ญตนใหเขมงวดกวดขัน หรอื ขยบั ตวั เขา ไปตามลาํ ดบั แหง ความมงุ หวงั
ความสุขอันละเอียดสุขุมก็จะปรากฏขึ้นมา

เฉพาะอยา งยง่ิ ผสู นใจทางจติ ตภาวนา ถา ถอื วา เปน แนวรบ เปน การกา วเขา สู
สงคราม กเ็ รยี กวา เปน แนวหนา ทเี ดยี ว จาํ พวกนจ้ี าํ พวกแนวหนา ถา มุงหวังขนาดน้ัน
แลวเจา ตวั จะทําออ นแอไมได ทุกสิ่งทุกอยางตองมีความเขมงวดกวดขันตนเองอยูเสมอ
สุดทายก็คอยกลายเปนผูมีสติอยูตลอดเวลาได ไมงั้นก็ไมจัดวาเปนผูเขมแข็งเพื่อชัย
ชนะในสงคราม ความเขมแข็งตองขึ้นอยูกับความเพียรและสติปญญา สงั เกตความ
เคลื่อนไหวไปมาของตนวาจะเปนไปในทางถูกหรือผิด ซง่ึ เปน สว นละเอยี ดไปโดยลาํ ดบั
วา ตองอาศัยสติปญญาเปนเครื่องระงับ ระวังรักษาอยางเขมงวดกวดขันอยูตลอดเวลา

กระแสของจิตหรือความคิดปรุงตางๆ กไ็ มไปเที่ยวกวา นเอาอารมณท ่เี ปน พิษ
เปน ภยั เขา มาเผาลนตนใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ น จติ เมอื่ ไดร ับความบาํ รงุ รกั ษาโดยถูก
ทาง ยง่ิ จะมคี วามสงบผอ งใสและผาสกุ รม เยน็ ไปโดยลาํ ดบั ไมอ บั เฉาเมามวั ดงั ทเ่ี คย
เปนมา

ฉะนน้ั บรรดาลกู ศษิ ยท ง้ั หลายไดม าอบรมในสถานทน่ี ้ี กเ็ ปน เวลานานพอสมควร
จึงกรุณานําเอาธรรมของพระพุทธเจานอมเขามาสถิตไวที่จิตใจของตนเถิด อยาไดคิดวา
“เราจากครจู ากอาจารยไ ป เราจากวดั วาอาวาสไป” นน่ั เปน เพยี งกริ ยิ าเทา นน้ั สง่ิ สาํ คญั
ควรคิดถึงขอธรรมที่พระพุทธเจาทรงสอนไววา “ผใู ดปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม ผนู น้ั

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๓

๕๐๔

ไดช อ่ื วา บชู าเราตถาคต“ไดแก ประพฤติปฏิบัติตัวเราดวยสติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร

อยูในสถานที่ใดอิริยาบถใดมีความเขมงวดกวดขัน มคี วามประพฤติปฏบิ ัตอิ ยภู ายในจิต
ใจ อยดู ว ยความระมดั ระวงั ตวั เชน นช้ี อ่ื วา “เปน ผปู ฏบิ ตั สิ มควรแกธ รรมและบชู า
ตถาคต” คือพระพุทธเจาอยูตลอดเวลา

บทที่สอง “ผใู ดเหน็ ธรรมผนู น้ั เหน็ เราตถาคต” เหน็ ธรรมนเ้ี หน็ อยา งไร ? รู
ธรรมนี้รูอยางไร? กด็ งั ทเ่ี ราปฏบิ ตั อิ ยนู แ้ี หละ ทางจติ ตภาวนาเปน สาํ คญั นี่คือการ

ปฏบิ ตั ธิ รรม การเหน็ ธรรมกจ็ ะเห็นอะไร ถา ไมเ หน็ สง่ิ ทก่ี ดี ขวางอยภู ายในตนเองเวลาน้ี
ซง่ึ เราถอื วา มนั เปน ขา ศกึ ตอ เรา ไดแก “สจั ธรรม สองบทเบื้องตน คือทุกขหนึ่ง สมทุ ยั
หนง่ึ ”

เราพจิ ารณาสง่ิ เหลา นใ้ี หเ ขา ใจตามความจรงิ ของมนั ทม่ี อี ยกู บั ทกุ คน ทกุ ตวั สตั ว

ไมมีเวน เวนแตพ ระอรหนั ตเทานน้ั ทส่ี มทุ ัยไมเ ขา ไปแทรกทา นได นอกนั้นตองมีไมมาก
ก็นอย ทท่ี า นเรยี กวา “สจั ธรรม”

พจิ ารณาใหเ หน็ ความจรงิ ของสง่ิ เหลา นแ้ี ลว กช็ อ่ื วา “เหน็ ธรรม” ละไดถอนได

เกดิ เปน ผลความสงบสขุ เย็นใจขนึ้ มาจากการละการถอน การปลอ ยวางสง่ิ ทง้ั หลายเหลา
นี้ได เรยี กวา “เหน็ ธรรม” คอื เหน็ เปน ขน้ั ๆ เหน็ เปน ระยะๆ จนกระทั่งเห็นองคตถาคต

โดยสมบรู ณ

ถา เราจะพดู เปน ขน้ั เปน ภมู กิ เ็ ชน
(๑) ผปู ฏบิ ตั ไิ ดส าํ เรจ็ พระโสดาปตติมรรค โสดาปต ติผล ชอ่ื วา ไดเ หน็ พระ

พทุ ธเจา ขน้ั หนง่ึ ดว ยใจทห่ี ยง่ั ลงสกู ระแสธรรม เรยี กวา เรม่ิ เหน็ พระพทุ ธเจา แลว ถาเปน

ทงุ นากเ็ รม่ิ เหน็ ทา นอยทู างโนน เราอยทู างน้ี
(๒) สกทิ าคา ก็เห็นพระพุทธเจาใกลเขา ไป
(๓) อนาคา ใกลเขาไปอีกโดยลําดับ
(๔) ถงึ อรหัตผลแลว ชอ่ื วา เหน็ พระพทุ ธเจา โดยสมบรู ณ และธรรมทจ่ี ะให

สาํ เรจ็ มรรคผลนน้ั ๆ ในทางภาคปฏิบัติก็อยูกับเราดวยกันทุกคน
การที่เรายึดถือการประพฤติปฏิบัติอยูตลอดเวลาก็ชื่อวา “เราเดนิ ตามตถาคต

และมองเหน็ พระตถาคตดว ยขอ ปฏบิ ตั ขิ องเราอกี แงห นง่ึ เห็นตถาคตโดยทางเหตุ

คอื การปฏบิ ตั ิ เหน็ โดยทางผลคือสิ่งที่พึงไดรับโดยลําดับ เชน เดยี วกบั พระพทุ ธเจา ทรง
รูทรงเห็นทรงไดร บั และทรงผา นไปโดยลาํ ดบั แลว นน้ั ”

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๔

๕๐๕

เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจา ก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆก็ดี ไมไดห างเหินจากใจ

ของผูปฏิบัติธรรม เพื่อบูชาพระตถาคต หรอื บชู าพระธรรม พระสงฆน เ้ี ลย นเ่ี ปน การ

บชู าแท นเ่ี ปน การเขา เฝา พระพทุ ธเจา อยตู ลอดเวลาดว ยความพากเพยี รของเรา

การจากไปเปน กริ ยิ าอาการอนั หนง่ึ เทา นน้ั อยทู น่ี ก่ี จ็ าก เชน นั่งอยูที่นี่ แลว ก็

จากไปที่นั่น นั่งที่นั่น ลุกจากที่นั่นก็จากมาที่นี่ มนั จากอยตู ลอดเวลานะเรอ่ื งความจากน่ี

เราอยา ไปถอื วา จากนน้ั จากน้ี จากเมืองนั้นมาเมืองนี้ จากบา นนไ้ี ปบา นนน้ั จากสถานท่ี
นี่ไปสูสถานที่นั่น กเ็ รยี กวา “จาก” คอื จากใกลจากไกล จากอยโู ดยลาํ ดบั ลาํ ดาแหง โลก

อนิจจัง มันเปนของไมเที่ยงอยูเชนนี้ มคี วามเปลย่ี นแปลงแปรปรวนอยเู สมอ
สง่ิ นเ้ี รานาํ มาพจิ ารณาใหเ ปน อรรถเปน ธรรมได โดยหลักของ “ไตรลักษณ” เปน

ทางเดนิ ของผรู จู รงิ เหน็ จรงิ ทง้ั หลาย ตองอาศัยหลักไตรลักษณเปนทางเดิน เราอยทู น่ี ่ี

เรากบ็ าํ เพญ็ ธรรม เราไปอยทู นี่ ั่นเราก็บําเพญ็ ธรรมเพือ่ ละเพอื่ ถอดถอนกเิ ลส เพือ่ ระงับ

ดับความทุกขทั้งหลายที่มีอยูในจิตใจ อยูท ่ีไหนเรากบ็ ําเพญ็ เพ่อื ความละความถอน

ยอมจะละไดถอนไดดวยการบําเพ็ญดวยกัน โดยไมห มายถงึ สถานทีน่ นั่ สถานท่นี ่ี เพราะ

สําคัญอยูที่การปฏิบัติเพื่อการถอดถอนนี้เทานั้น
พระพุทธเจา จงึ ทรงสงั่ สอนสาวกวา “ไปเถิดภิกษุทั้งหลาย เธอไปหาอยูในที่สงบ

สงัด เปน ผเู หนยี วแนน แกน นกั รบ อยสู ถานทเ่ี ชน นน้ั ชอ่ื วา เธอทง้ั หลายเขา เฝา เราอยู

ตลอดเวลา ไมจ าํ เปนทีเ่ ธอท้งั หลายจะมาน่ังหอ มลอ มเราอยเู ชนนี้ถือวาเปนการเขาเฝา
ไมใชอยางนั้น ! ผูใดมีสติผูใดมีความเพียร อยใู นอริ ยิ าบถใดๆ ชื่อวา “ผบู ชู าเรา
ตถาคต” หรอื เฝา ตถาคตอยตู ราบนน้ั แมจ ะนง่ั อยตู รงหนา เราตถาคต ถาน่งั อยูดว ย

ความประมาทก็หาไดพบตถาคตไม หาไดเ ห็นตถาคตไม เราไมถอื วาการเขามาการออก

ไปเชน นเ้ี ปน การเขา เฝา ตถาคต และการออกไปจากตถาคต แตเ ราถอื ความเพยี รเพอ่ื

ถอดถอนกิเลสภายในใจตางหาก
การถอดถอนกิเลสไดมากนอยชื่อวา “เขา เฝา เราโดยลาํ ดบั ” นช่ี อ่ื วา “เราเหน็

ตถาคตไปโดยลําดับๆ !” ซึ่งเปนหลักใหญที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนพุทธบริษัททั้ง
หลายวา “ไปเถิด ไปหาประกอบความพากเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสที่เปนขาศึกอยูภาย

ในจิตใจของตนใหห มดสนิ้ ไปโดยลําดบั แลวพวกเธอทั้งหลายจะเหน็ ตถาคตเองวา อยู

ในสถานทใ่ี ด โดยไมจําเปนตองมามองดูตถาคตดวยดวงตาอันฝาฟาง ไมม สี ตนิ ีว้ าเปน

ตถาคต ขอใหถอดถอนสิ่งที่เปนขาศึกแกจิตใจของพวกเธอทั้งหลายใหได จนกระทั่ง
หมดไปโดยสิ้นเชิงแลว เธอทง้ั หลายจะเห็นตถาคตอนั แทจ รงิ ซึ่งเปน “สมบตั ขิ องพวก
เธอแท” อยภู ายในใจพวกเธอนน้ั แล “แลว นาํ ธรรมชาตนิ น้ั มาเทยี บเคยี งกบั ตถาคตวา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๕

๕๐๖

เปนอยางไร ? ไมมีอะไรสงสัย เพราะธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธน์ิ น้ั เหมอื นกนั !” น่ี ! ฟงพระ
โอวาทของพระพุทธเจาซึ่งเปนหลักสําคัญอยางนี้ !”

การทาํ จติ ใจ การทาํ ตวั ใหเ ปน คนดี ชอ่ื วา เปน การสง่ั สมความสขุ ความเจรญิ ขน้ึ
ภายในจติ ใจโดยลาํ ดบั ผลกค็ อื ความสขุ นน่ั เอง

ท่ีหาความสุขไมไดห รือมคี วามสุขไมส มบรู ณ ก็เพราะมสี ่ิงทก่ี ีดขวางอยูภายใน
จติ ใจของเรา ไดแกกิเลสนั่นเองไมใชอะไรอื่น มกี เิ ลสเทา นน้ั ทเ่ี ปน เครอ่ื งกดี ขวางเสยี ด
แทงจิตใจของสัตวโลกอยู ไมใ หเ หน็ ความสขุ ความสมบรู ณ ความทกุ ขค วามลําบากท้ัง
ภายในภายนอกสว นมากเกิดข้ึนจากกิเลสไมใ ชเร่ืองอน่ื เชน มเี จบ็ ไขไ ดป ว ยภายในรา ง
กาย ก็จะมีเรื่องของกิเลสแทรกเขามาวา “เราเจบ็ นน้ั เราปวดน”้ี เกดิ ความกระวน
กระวายระสาํ่ ระสายขน้ึ มาภายในใจ ซึ่งเปนทุกขทางใจอีกประการหนึ่ง แทรกขึ้นมาจาก
โรคภายในรา งกาย

ถา เพียงโรคกายธรรมดา พระพุทธเจา พระสาวกทานก็เปนได เพราะขนั ธอ นั น้ี
เปนกฎธรรมชาติแหงสมมุติอยูแลว คือไตรลักษณ ใครจะมาขามพนสิ่งนี้ไปไมได เมื่อมี
ธาตุมีขันธก็ชื่อวา “สมมุติ” และตองอยูใตกฎธรรมชาติกฎธรรมดา ตองมีความแปร
สภาพไปเปน ธรรมดา

แตใ จนน้ั ไมม คี วามหวน่ั ไหว เพราะรเู ทา ทนั กบั สง่ิ ทง้ั หลายเหลา นน้ั แลว โดยรอบ
คอบ ไมม ชี อ งโหวภ ายในใจ แตพ วกเราไมเ ปน เชน นน้ั เมอ่ื ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ภายในรา งกาย
มากนอย ก็เปนการสอถึงจิตใจที่จะสั่งสมความทุกขขึ้นภายในตนอีกมากนอยไมมี
ประมาณ ดไี มดีความทุกขภ ายในใจย่ิงมากกวา ความทุกขภ ายในรางกายเสยี อีก

เพราะฉะนน้ั จงึ เรยี กวา “กิเลสมันเขาแทรกไดทุกแงทุกมุม” ถา เราเผลอไมม สี ติ
ปญ ญารเู ทา ทนั มนั กิเลสเขาไดทุกแงทุกมุมโดยไมอ า งกาลอา งเวลา อา งสถานท่ี
อริ ยิ าบถใดๆ ทั้งสิ้น มันเกิดไดทุกระยะ ขอแตความเคลื่อนไหวของจิตแสดงออกโดย
ไมมีสติ ปญ ญากก็ ลายเปน สญั ญา จิตจึงกลายเปนเรื่องของกิเลส ชวยกเิ ลสโดยไมร ตู ัว
แลวจะเปน อรรถเปนธรรมขึน้ มาไดอ ยางไร ! นอกจากเปนกิเลสทั้งตัวของมัน แลว เพม่ิ
พนู ขน้ึ โดยลาํ ดบั เทา นน้ั

จึงตองทุมเทสติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ของเราลงใหท นั กบั เหตกุ ารณท เ่ี ปน
อยภู ายในใจ

เรยี นธาตเุ รยี นขนั ธเ ปน บคุ คลประเสรฐิ เรียนอะไรจบก็ยังไมพอกับความ
ตองการ ยงั มคี วามหวิ โหยเปน ธรรมดาเหมอื นโลกทว่ั ไป แตเ รยี นธาตเุ รยี นขนั ธเ รยี น
เรื่องของใจจบ ยอมหมดความหิวโหย อิ่มตัวพอตัวอยางเต็มที่ประจักษใจ !

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๖

๕๐๗

เวลานเ้ี รายงั บกพรอ งใน “วิชาขันธ” และภาคปฏบิ ตั ใิ น “ขันธวิชา” คือ สติปญญา

ความรูแจงแทงทะลใุ นธาตุในขันธว า เขาเปน อะไรกนั แนต ามหลกั ความจรงิ แยกแยะให

เหน็ ความจรงิ วา อะไรจรงิ อะไรปลอม เรียนยังไมจบ เรยี นยงั ไมเ ขา ใจ มนั จงึ วนุ วายอยู

ภายในธาตใุ นขนั ธใ นจติ ไมม เี วลาจบสน้ิ

ความวนุ วาย ไมมีที่ไหนวุนไปกวาที่ธาตุขันธและจิตใจ ซึง่ เกิดเรื่องเกดิ ราวอยู

ตลอดเวลาทช่ี าํ ระสะสางกนั ยงั ไมเ สรจ็ สน้ิ นแ้ี ล เพราะฉะนน้ั การเรยี นทน่ี ร่ี ทู น่ี ่ี จึงเปน

การชําระคดีซึ่งมีความเกี่ยวของกันอยูมากมาย มีสติปญญาเปนผูพิพากษาเครื่องพิสูจน

และตัดสินไปโดยลาํ ดบั

เอา เรยี นใหจ บ ธาตุขนั ธม ีอะไรบา ง ดังเคยพูดใหฟงเสมอ
“รปู ขนั ธ” ก็รางกายทั้งรางไมมีอะไรยกเวน รวมแลว เรยี กวา “รูปขันธ” คือกาย

ของเราเอง
“เวทนาขนั ธ” ความสขุ ความทกุ ข เฉยๆ เกดิ ขน้ึ ภายในรา งกายและจติ ใจ ทา น

เรยี กวา “เวทนาขนั ธ”
“สญั ญาขนั ธ” คือ ความจาํ ไดห มายรใู นสง่ิ ตา งๆ ทา นเรยี กวา “สัญญาขันธ”
“สงั ขารขนั ธ” คอื ความปรุงของใจ คิดดีคิดชั่ว คิดเรื่องอดีตอนาคต ไมมี

ประมาณ ทา นเรยี กวา “สังขารขันธ” เปนหมวดเปนกอง
“วญิ ญาณขนั ธ” ความรบั ทราบ เวลารปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มากระทบ

ตา หู จมกู ลน้ิ กาย รายงานเขา ไปสใู จใหร บั ทราบในขณะทส่ี ง่ิ นน้ั ๆ สมั ผสั แลว ดบั ไป
พรอมตามสิ่งนั้นที่ผานไป นท่ี า นเรยี กวา “วิญญาณขันธ” ซึ่งเปน “วญิ ญาณในขนั ธห า ”

“วญิ ญาณในขนั ธห า ” กับ “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” นน้ั ตา งกนั ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณหมาย
ถึง “มโน” หรอื หมายถงึ จติ โดยตรง จิตท่จี ะกาวเขา สู “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” ในกาํ เนดิ ตา งๆ
ทา นเรยี กวา “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” คอื ใจโดยตรง

สว น “วญิ ญาณในขนั ธห า ” นี้ มีความเกิดดับไปตามสิ่งที่มาสัมผัส สิ่งนั้นมา

สมั ผสั แลว ดบั ไป วิญญาณก็ดับไปพรอม คอื ความรบั ทราบ ดับไปพรอมขณะที่สิ่งนั้น

ผานไป
แต “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” นั้นหมายถึงใจ ซึ่งมีความรูอยูโดยลําพังแมไมมีอะไรมา

สมั ผัสอันน้ี อันนี้ไมดับ !

เรยี นขนั ธห า เรยี นทบทวนใหเ ปน ทเ่ี ขา ใจ เรยี นใหห ลายตลบทบทวน คุยเขี่ยขุด

คน คน จนเปน ทเ่ี ขา ใจ นี่คือสถานที่ทํางานของผูที่จะรื้อกิเลสตัณหาอาสวะออกจากจิต

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๗

๕๐๘

ใจทเ่ี รยี กวา “รอ้ื ถอนวฏั วน” คือความหมุนเวยี นแหงจิตท่ไี ปเกดิ ในกาํ เนิดตา งๆ ไป
เทย่ี วจบั จองปา ชา ไมม สี น้ิ สดุ ทั้งๆ ที่ยังไมตายก็ไปจับจองไวแลว กเ็ พราะเหตแุ หง
ความหลงในขนั ธ ความไมรูเรื่องของขันธ จึงตองไปหายึดขันธ ทั้งๆ ที่ขันธยังอยูก็ยังไม
พอ ยังไปยึดไปหลงติดเรื่อยๆ ไมมคี วามสน้ิ สุด ถาไมเอาปญญาเขาไปพิสูจน

พิจารณาจนกระทั่งรูจริงและตัดได ทา นจงึ ใหเ รยี นธาตขุ นั ธ รูปขันธ “ก็คือ ตวั
สจั ธรรม” ตัว “สติปฏฐานส”่ี นน่ั เอง อะไรๆ เหมอื นกนั หมด เปนไวพจนของกันและกัน
ใชแทนกันได เราพิจารณาอาการใดอาการหนึ่งก็ถูกเรื่องของสัจธรรม ถูกเรื่องของสติ
ปฏฐานสี่ ปกติไมมีโรคภัยไขเจ็บเกิดขึ้น กายกเ็ ปนกายอยูอยา งนี้ รปู กเ็ ปน รปู อยเู ชน น้ี
เอง

แตความวิการของธาตุขันธก็วิการไปตามเรื่องของมัน ทกุ ขเวทนาเกิดขึ้นจาก
ความวกิ ารของสง่ิ นน้ั ที่ไมอยูคงที่ยืนนาน จิตก็ใหทราบตามเรื่องของมัน ชื่อวา “เรยี น
วิชาขันธ” อยา ไปตน่ื เตน อยาไปตระหนกตกใจ อยา ไปเสียอกเสยี ใจกบั มัน เพราะสง่ิ
เหลา นเ้ี ปน ธรรมชาตธิ รรมดาของสมมตุ ิ จะตองแปรอยูโดยลําดับ แปรอยางลล้ี บั ก็มี
แปรอยา งเปด เผยกม็ ี แปรอยูตามหลักธรรมชาติของตน ทุกระยะทุกวินาที หรอื วา วนิ าที
ก็ยังหางไป ทุกขณะหรือทุกเวลาไปเลย มันแปรของมันอยางนั้น แปรเรอ่ื ยๆ ไมม กี าร
พกั ผอนนอนหลับเหมอื นสตั วเ หมือนคน

เรื่องของทุกขก็แสดงตัวอยูเรื่อยๆ ไมเ คยหยดุ นง่ิ นอนเลย คนเรายงั มกี ารหลบั
การนอนการพักผอนกันบาง เรอ่ื งสัจธรรมเร่ืองไตรลกั ษณนีไ้ มเคยหยุด ไมเ คยผอ นผนั
สน้ั ยาวกบั ใคร ดําเนินตามหนาที่ของตัวทั้งวันทั้งคืน ยนื เดนิ นั่ง นอน กบั สง่ิ ตา งๆ
เปนสภาพจะตองหมุนไปอยูเชนนั้น ในรางกายของเราน่ีกห็ มุนของมนั อยา งนนั้ เหมอื น
กัน คอื แปรสภาพ นเ่ี รานง่ั สกั ประเดย๋ี วกเ็ จบ็ ปวดขน้ึ มาแลว นม่ี ันแปรไหมละ มันไม
แปรจะเจบ็ ปวดขน้ึ มาทาํ ไม!

ความเจบ็ ปวดนเ้ี รยี กวา “ทุกขเวทนา” มนั เปน อาการหนง่ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหเ ราทราบท่ี
เรยี กวา “สจั ธรรม” ประการหนง่ึ พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ ของมนั เวลาจาํ เปน
จาํ ใจขน้ึ มาเราจะอาศยั ใครไมไ ด จะไปหวงั พง่ึ คนนน้ั พง่ึ คนนเ้ี ปน ความเขา ใจผดิ ซง่ึ จะ
ทําใหกําลังทางดานจิตใจลดลงไป จนเกดิ ความทอ ถอยอดิ หนาระอาใจตอ การชวยตวั
เอง นเ่ี ปน ความเขา ใจผดิ หรือเปนความเห็นผิดของจิตซึง่ มีกิเลสเปน เคร่อื งกระซิบหลอ
กลวงอยูเ ปน ประจํา ทั้งเวลาปกติ ทง้ั เวลาเจบ็ ไขไ ดป ว ย ทง้ั เวลาจวนตวั เพอ่ื ใหเ ราเสยี
หลกั แลว ควา นาํ้ เหลวไปตามกลอบุ ายของมนั จนได

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๘

๕๐๙

เวลาจวนตวั เขา จรงิ ๆ กเ็ หมือนนักมวยขึน้ เวที ครูเขาจะส่ังสอนอบรมกันตง้ั แต

ยังไมขึ้นเวที เมอื่ กา วขน้ึ สูเ วทแี ลวไมมีทางทีจ่ ะแนะนําสัง่ สอนอยางใด ผิดกับถูก ดีกับ

ชั่ว เปน กบั ตาย ก็ตองพึ่งตัวเอง ตองชวยตัวเองอยางเต็มกําลังความสามารถ อบุ ายวธิ ที ่ี

จะชกตอยอยางไรนั้น จะไปสอนกันไมไดเ วลานน้ั

เวลาเราเขา สสู งคราม คอื ตาจน ระหวา งขนั ธก บั จติ จะแยกทางกนั คือเวลา

จะแตกสลายนน้ั แล ซึ่งเหมือนกับอีแรงอีกาที่มาจับตนไม เวลามาจับก็ไมคอยทํากิ่งไม

ใหสะเทอื นนกั แตเ วลาจะบนิ ไปละ มันเขยากิ่งจนไหวทั้งตน ถาเปนกิ่งที่ตายแลวตอง

หักไปก็มี

นเ่ี วลาธาตขุ นั ธจ ะจากเราไปมนั จะเขยา เราขนาดไหน เราจะทนตอ การเขยา ได
ดวยอะไร ? ถาไมดวยสติกับปญญา เม่อื ทนไมไดก แ็ นน อนวา ตองเสยี หลัก ฉะนน้ั เรา

ตองสูใหเต็มสติปญญากําลังความสามารถทุกดาน ไมตองคิดวาเราจะลมจม เพราะการ
สู การพิจารณาขันธใหเ ห็นตามความเปนจรงิ เพ่อื ปลดเปลอ้ื งไมใชทางใหลมจม ! นี่คือ
การชว ยตวั เองโดยเฉพาะอยา งเตม็ ความสามารถในเวลาคบั ขนั ! และเปนการถูกตอง

ตามทางดําเนนิ ของปราชญท านดวย

เมอ่ื ถงึ คราวจาํ เปน เขา มาจรงิ ๆ จะมแี ตทกุ ขเวทนาเทา นั้นแสดงอยางเดนชัดที

เดียว ภายในกายทุกชิ้นทุกสวนจะเปนเหมือนกองไฟหมดทั้งตัว ภายในกายของเราจะ
กลายเปนไฟทั้งกองไปเลย แดงโรไปหมดดวยความรุมรอน แลว เราจะทาํ อยา งไร ?

ตองนาํ สติปญญาหยง่ั ลงไปใหเ หน็ ความทกุ ขค วามรอ นนน้ั ประจักษดวยปญญา แลว
ยอนดูใจเรามนั แดงโรอยา งนนั้ ดวยไหม? มนั รอนอยา งน้ันดว ยไหม? หรือมันรอนแต
ธาตแุ ตข นั ธ ?

ถาเปนผูมีสติปญญา เคยพจิ ารณาทางดา นปญ ญาอยโู ดยสมาํ่ เสมอแลว ใจจะไม
รอน ! ใจจะเย็นสบายอยใู นทามกลางกองเพลงิ คือธาตุขันธที่กําลังลุกโพลงๆ อยูดว ย
ความทุกขน ้ันแล น่ีผปู ฏบิ ัตติ องใหเ ปน อยางน้ี ! นช่ี อ่ื วา เราชวยตัวเราเอง ใหพ ิจารณา
อยา งน้ี ไมตองไปหวังพึ่งใครในขณะนั้น เรยี กวา “ขน้ึ เวทแี ลว ” เม่อื ตั้งหนาตอ สกู ันแลว
สูใหถึงเหตุถึงผลเต็มเม็ดเต็มหนวย เอา! เปนก็เปน ตายกต็ าย! ใครจะหามลงเวทหี รอื

ไมไมสําคัญ สจู นเตม็ กาํ ลงั ความสามารถขาดดน้ิ ดว ยปญ ญานน้ั แล อยา สเู อาเฉยๆ แบบ
ทนทื่อเอาเฉยๆ ก็ไมใช ! เชน ขึ้นไปใหเขาชกตอย เขาตอ ยเอา ๆ โดยที่เราไมมีปดมี
ปองไมชกตอยสูเขาเลย นี่ใชไมได! เราตองสูเต็มกําลังเพื่อความชนะกัน เอาความตาย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๙

๕๑๐

เปนเดิมพัน แมจะตายก็ยอมตายแตไมยอมถอย ! ตองตอสูทางสติปญญาอันเปนอาวุธ
ทันสมัย!

การตอ สกู บั เวทนากค็ อื พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ ของมนั อยาไปบงั คบั

ใหม นั หาย ถาบังคับใหหายยอมฝนคติธรรมดา นอกจากการพจิ ารณาใหร ตู ามความ
เปน จรงิ และหายเอง! ถา ไมห ายกร็ เู ทา ทนั เวทนา ไมหลงยึดถือ

รปู กเ็ ปน รปู อยาไปเอาอะไรมาขัดมาแยงมาแทรกแซงใหเปนอยางอื่น รปู เปน
รปู กายเปน กาย สกั แตว า กาย สกั แตว า รปู , เวทนาสกั แตว า เวทนา, จะสุขก็ตาม จะทุกข

ก็ตาม เฉยๆ ก็ตาม มนั เปน เรอ่ื งเวทนาอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั
ผทู ร่ี วู า กาย รวู า เวทนา ความสขุ ความทกุ ข ความเฉยๆ คอื ใคร? ถาไมใชใจ! ใจ

ไมใชธรรมชาตินั้นๆ ใหแ ยกกนั ออกใหเ หน็ กนั ดว ยปญ ญาอยางชัดเจน ชอ่ื วา เปน ผู
พิจารณาสัจธรรมโดยถูกตอง แลว จะไมห วน่ั ไหว ถงึ รา งกายจะทนไมไ หว เอา! ตั้งทา
สู ! ตั้งหนารู อะไรจะดบั ไปกอนไปหลังใหร ูม นั ! เพราะเราแนใ จแลว ดว ยสตปิ ญ ญา ทั้ง
ความจรงิ กเ็ ปน อยา งนน้ั ดว ยวา “ใจ ไมใ ชผ ดู บั ผตู าย” ใจเปน แตผ คู อยรบั ทราบทุกสิ่ง
ทุกอยาง

เอา! อะไรไมท นทานใหไป! รา งกายไมท น เอา แตกไป! เวทนาไมทน เอา สลาย
ไป! อะไรไมทนใหสลายไปหมด เอา สลายไป อะไรทนจะคงตัวอยู สวนทีค่ งตวั อยูนนั้
คืออะไร? ถาไมใชผูรูคือใจจะเปนอะไร? นน่ั ! ก็คือผูรูเดนอยูตลอดเวลา!

เมื่อไดฝกหัดตนโดยทางสติปญญาจนมีความสามารถแลว จะเปน อยา งนแ้ี น

นอนไมเปนอื่น แตถาสติปญญาอาภัพ จิตใจก็ทอแทออนแอถอยหลังอยางไมเปนทา

ความทุกขทั้งหลายจะรุมกันเขามาอยูที่ใจทั้งหมด เพราะใจเปนผูส ง่ั สมทุกขขน้ึ มาเอง

ทั้งนี้อยูกับความโงของตัวเอง เพราะฉะนั้นความทอถอยจึงไมใชทางที่จะชําระตนใหพน

จากภัยท้งั หลายได นอกจากความขยนั หมน่ั เพยี ร นอกจากความเปน นกั ตอสดู วยสติ

ปญ ญาเทา นน้ั ไมมีอยางอื่นที่จะไดชัยชนะ ไมมีอยางอื่นที่จะไดความเดน ความดบิ

ความดี ความสงา ผา เผย ความองอาจกลา หาญขน้ึ ภายในใจ

ใหพ จิ ารณาอยา งน้ี สมมตุ วิ า เราอยใู นบา น ปราศจากครูปราศจากอาจารย ครู
อาจารยไดสอนไวแลว อยางไร ปราศจากทไ่ี หน? ทา นสอนวา อยา งไร นั่นแลคือองคทาน!
นั่นแลคือองคตถาคต! นั่นแลคือองคพระธรรม! เราอยกู บั พระธรรม เราอยูกับพระพุทธ

เจา เราอยกู ับพระสงฆตลอดเวลา โดยพระโอวาททนี่ าํ มาประพฤติปฏบิ ัติ กล็ ว นแลว แต

เรื่องของทานทั้งนั้น เราไมไ ดป ราศจากครปู ราศจากอาจารย เราอยดู ว ยความมที พ่ี ึง่ คือ

มีสติปญญา มีศรัทธา ความเพยี ร รบฟน หน่ั แหลกอยกู บั สง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ อยเู วลาน้ี จะวา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๑๐

๕๑๑

เราปราศจากครอู าจารยไ ดอ ยา งไร ! เราอยกู บั ครู และรกู ต็ อ งรแู บบมคี รู ! สูก็ตองสู
แบบมคี รู !

นค่ี อื วธิ กี ารแหง การปฏบิ ตั ติ น ไมม คี วามวา เหว ไมม คี วามหวน่ั ไหว ใหม คี วาม
แนว แนต ามความจรงิ แหง ธรรมทค่ี รอู าจารยไ ดส ง่ั สอนไวแ ลว ยึดถือเปนหลักเกณฑอยู
ภายในใจโดยสมาํ่ เสมอ อยทู ไ่ี หนกเ็ รยี กวา เราอยกู บั ครกู บั อาจารย กับพระพุทธเจา
พระธรรม พระสงฆ เพราะพุทธะ ธรรมะ สังฆะ อนั แทจ รงิ แลว อยกู บั จติ มจี ติ เทา นน้ั จะ
เปน “พุทธ ธรรม สงฆ” ได หรือธรรมทั้งดวงได มีจิตเทานั้นที่จะอยูกับพระพุทธเจา
พระธรรม พระสงฆ ได ไมใชอะไรทั้งหมด!

กายไมร เู รอ่ื ง จะไปรูเรื่องพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไดอยางไร เวทนาก็
ไมรูเรื่อง สญั ญาเพยี งจาํ มาใหแ ลว หายเงยี บไป สงั ขารปรงุ ขน้ึ แลว หายเงยี บไป จะเปน
สาระอะไรทีพ่ อจะรบั พระพทุ ธเจาเขาไวภ ายในตนได ผทู ร่ี บั ไวไ ดจ รงิ ๆ คือผูที่เขาใจ
เรื่องของพระพุทธเจาจริงๆ และเปน ผูท ี่ “เปน พุทธะ” อันแทจริง กค็ อื จติ นเ้ี ทา นน้ั

ฉะนั้นจงึ ใหพ จิ ารณาจติ ใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย อยาทอถอยออนแอ อยา งไรเรา
ทุกคนตองกาวเขาสูสงครามที่เปนเรื่องใครชวยไมไดดวยกันทุกคน นอกจากเราจะชว ย
ตัวเอง และแนท ีส่ ุดวา เราตอ งชว ยตวั เองทุกคน ถงึ คราวจาํ เปน มาไมม ใี ครจะชว ยได

พอก็พอ แมกแ็ ม ลูกก็ตาม สามีก็ตาม ภรรยากต็ าม เปนแตเพยี งดูอยูเฉยๆ
ดว ยความอาลยั รกั เสยี ดาย อยากชวยแตชวยไมได สดุ วสิ ยั !

ถงึ วาระแลว ทจ่ี ะชว ยเราใหพ น จากความทกุ ขค วามทรมาน ใหพนจากสิ่งพัวพัน
ทง้ั หลายนน้ั เครื่องชว ยนัน้ นอกจากปญ ญา สติ และความเพียรของเราเองแลว ไมมี!

ฉะนนั้ เราจงึ เขมงวดกวดขันและมีความเขม แข็งอยกู บั ใจ แมร า งกายจะหมด
กําลัง และใหเ ขา ใจในเรอ่ื งเหลา นเ้ี สยี ตง้ั แตบ ดั นเ้ี ปน ตน ไป จะไมเสียทา เสียที

ไมว าเรอ่ื งของขนั ธจ ะแสดงขึ้นอยางไร มนั ไมเ หนอื ตาย แสดงขน้ึ มามากนอ ย
เพียงไรมันกถ็ งึ แคต ายเทา น้ัน

ผรู กู ร็ กู นั ถงึ ตาย เมอ่ื ธาตขุ นั ธส ลายไปแลว ผรู กู ห็ มดปญ หาเรอ่ื งความรบั ผดิ
ชอบ ขณะนต้ี อ งพจิ ารณาใหเ ตม็ ท่ี เอาใหมันถึงพริกถึงขิงถึงเหตุถึงผล เราก็ถึงธรรม
อันแทจ ริงภายในใจ

การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร ขอยุติเพียงแคนี้

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๑๑


Click to View FlipBook Version