The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-06 11:58:32

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Keywords: หลวงตามหาบัว,ธรรมะชุดเตรียมพร้อม

๙๕

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๔ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘

กําจัดกิเลสพนทุกข

ทท่ี า นพดู วา “โลก” กค็ อื หมสู ตั ว “สตฺต” แปลวา ผขู อ ง ผูยังติดยังของ อะไร
ทาํ ใหข อ ง? เพียงเทานั้นก็ทราบแลว ทา นพรรณนาไวห ลายสง่ิ หลายอยา งหลายภพ
หลายภมู ิ ลวนแตภูมิสถานที่ที่ใหจติ ติดจิตของและจะตองไปทั้งนั้น ทา นจงึ วา จิตนเ้ี ปน
นักทองเที่ยว เพราะเที่ยวไปไมหยุดไมถอย กลวั หรอื กลา กต็ อ งไป เพราะกาํ ลงั ตกอยใู น
ความเปน นกั ตอ สู ขน้ึ ชอ่ื วา “นัก” แลว มนั ตอ งตอ สอู ยา งไมล ดละทอ ถอย ถาไมเปน
อยา งนน้ั กไ็ มเ รยี กวา “นกั ” คอื สไู มถ อย

ภพภูมิตางๆ ไปเกิดไดทั้งนั้น แมแ ตน รกอเวจซี ง่ึ เปน สถานทม่ี ที กุ ขเ ดอื ดรอ น
มากผดิ ทกุ ขท ง้ั หลาย จิตยังตองไปเกิด! อะไรทําใหจิตเปนนักตอส?ู

เชอ้ื แหง ภพชาตคิ อื กเิ ลสทง้ั มวลนน่ั เอง ที่ทําใหสัตวทํากรรม กรรมเกิดวิบาก
เปนผลดีผลชั่ว วนไปเวียนมาในภพตางๆ ภพนอยภพใหญไมมีประมาณ วาจะหลุดพน
จากความเกดิ ในภพนน้ั ๆ ไดเมื่อใด เกดิ เปน ภพอะไรตวั ประธานกอ็ ยทู ่ี “ใจ” เปนผูจะ
ไปเกิด เพราะอํานาจกิเลส กรรม วบิ าก พาใหเ ปน ไป

ในโลกเรานี้มีสัตวเกิดมากนอยเพียงไรใครจะไปนับได! เพียงในบริเวณวัดนี้
สัตวต า งๆ ทส่ี ดุ วสิ ยั “ตาเนอ้ื ” จะมองเห็นไดมีจํานวนมากเทาใด สัตวที่เกิดที่อยูในที่
มองเหน็ ไดด ว ยตาเนอื้ นก้ี ม็ ี ที่ไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเนื้อ เพราะละเอียดก็มี แม
แตส ตั วเ ล็กๆ ซ่งึ เปน ดา นวัตถุ แตไมส ามารถมองเห็นไดด วยตาเนอื้ กม็ ี สัตวที่เกิดเปน
“ภพ” เปนทั้งลี้ลับทั้งเปดเผยในโลกทั้งสามจึงมีมากมาย ถาเปนสิ่งที่มองเห็นดวยตา
เนอ้ื ไดแ ลว จะหาที่เหยียบย่ําลงไปไมไดเลย เต็มไปดวยจติ วิญญาณของสัตว เต็มไป
ดวยภพดวยชาติของสัตวประเภทตางๆ ทง้ั หยาบทัง้ ละเอยี ด เต็มไปทั้งสามภพสามภูมิ
แมแตชองลมหายใจเรายังไมวาง

ในตัวของเรานีก้ ม็ ีสัตวช นดิ ตางๆ อยมู ากจนนา ตกใจ ถา มองเหน็ ดว ยตาเนอ้ื
เชน เชื้อโรค เปนตน ไมเพียงแตวิญญาณ คอื จติ เราดวงเดยี วทอ่ี าศยั อยใู นรา งนเ้ี ทา นน้ั
ยงั มอี กี กพ่ี นั กห่ี มน่ื วญิ ญาณอาศยั อยใู นรา งนด้ี ว ย ฉะนน้ั ในรา งกายเราแตล ะคน จึงเต็ม
ไปดว ยวญิ ญาณปรมาณขู องสตั วห ลายชนดิ จนไมอ าจคณนา มีอยูทุกแหงได เพราะมี
มากตอ มาก และละเอียดมากจนไมสามารถเห็นไดดวยตา ฟงไดดวยหู

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๕

๙๖

ในอากาศกลางหาว ในนาํ้ บนบก ทั่วทิศตางๆ มีสัตวเต็มไปหมด แลวยังมัว
สงสยั อยหู รอื วา “ตายแลวสญู ไมไดเ กดิ อีก” กอ็ ะไรๆ มนั เกดิ อยเู วลานเ้ี กลอ่ื นแผน ดนิ
ภพหยาบก็มีมนุษย ซง่ึ กาํ ลงั หาโลกจะอยไู มไ ด ยังจะมาสงสัยอะไรอีก

ความเกดิ กแ็ สดงใหเ หน็ อยทู กุ แหง หน ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทง้ั ในนาํ้ บนบกมไี ป
หมด ตลอดบนอากาศ ยงั จะสงสยั อยหู รือวาตายแลวไมเ กดิ แลว อะไรมนั มาเกดิ ดูเอาซี
เครื่องยืนยัน “ไมสูญ” มอี ยกู บั ทกุ คน ถาสตั วตายแลว สญู ดังทเ่ี ขา ใจกัน สัตวเอาอะไร
มาเกิดเลา? ลงตายแลวสูญไปจริงๆ จะเอาอะไรมาเกิดได สิ่งที่ไมสูญนั้นเองพาใหมา
เกดิ อยเู วลาน้ี ไปลบลา งส่งิ ท่มี อี ยใู หสญู ไปไดอ ยา งไร ความจริงมันมีอยูอยางนั้น ทล่ี บ
ไมส ูญกค็ อื ความจริงนัน่ แล

จะมใี ครเปนผูฉลาดแหลมคม รไู ดล ะเอียดลออทุกสง่ิ ทุกอยางตามส่ิงท่ีมอี ยู
เหมือนพระพุทธเจาเลา?

พวกเราตาบอดมองไมเห็นตัวเอง ไดแ ตล บู คลาํ ไปลบู คลาํ มา คลําไมเจอก็วาไม
มี แตไปโดนอยูไมหยดุ หยอนในสิง่ ทเ่ี ขา ใจวา ไมม ีนั้น ตางคนตางโดน “ความเกดิ ”
อยา งไรละ โดนกันทุกคนไมมีเวน เหมือนเราไมเห็น เดนิ ไปเหยยี บขวากเหยยี บหนาม
นน่ั นะ เราเขาใจวาหนามไมมีขณะที่เหยียบ แตก ็เหยียบหนามท่ีตนเขาใจวา ไมม ีน่ัน
แหละ มันปกคนผูไมเห็นแตไปเหยียบเขา เพียงเทานี้ก็พอทราบไดวา ควรเชื่อแลวหรือ
ความรูความเห็นอนั มดื บอดของตัวเองนะ เพียงหนามอันเปนของหยาบๆ ยังไมเห็น
และไปเหยียบจนได ถา รวู า ทน่ี น่ั มหี นามจะกลา ไปเหยยี บไดอ ยา งไร เชน หัวตอไปโดน
มนั ทําไม ไมไปโดนมันทําไม ถา แนใ จวา มใี ครจะกลา ไปโดน ใครจะกลา ไปเหยยี บหนาม
ซึ่งไมใชเรื่องเล็กนอย มันเปน เรื่องเจ็บปวดขนาดไหน แลว ทาํ ไมถงึ โดนกนั เรอ่ื ยๆ เลา ?
ก็เพราะความเขา ใจวา หนามไมมนี นั่ เอง

ฉะนน้ั สง่ิ ตา งๆ จงึ ไมอ ยใู นความสาํ คญั วา มหี รอื ไมม ี มันอยูที่ความจริงอยาง
ตายตัว ไมม ใี ครอาจแกไ ขใหเ ปน อน่ื ไปได

นก่ี เ็ หมอื นกนั เรอ่ื งภพเรอ่ื งชาตขิ องคนและสตั ว มีเกิดใหเห็นมีตายใหเห็นอยู
เกลอ่ื นแผน ดนิ เฉพาะในโลกเรานก้ี เ็ หน็ เกลอ่ื นแผน ดนิ อยแู ลว เมื่อเปนเชนนี้จะปฏิเสธ
จะไปลบลางไดอยางไรวามันไมเกิด วา มนั ตายแลว สญู สน้ิ ไป

เราไมเชื่อพระพุทธเจา แตเราเชื่อเราเปนอยางไรบาง? ผลของมนั ทแ่ี สดงตอบ!
ความรูค วามเหน็ ของเรามสี ูงต่ําหรือแหลมคมขนาดไหนถึงจะเชือ่ ตนเอง จนสามารถลบ
ลางความจริงทั้งหลายที่มีอยูใหสูญไปตามความรูความเห็นของตน ทั้งๆ ที่ตนไม
สามารถรูความจริงนั้นๆ ทาํ ไมจงึ สามารถอาจเออ้ื มไปลบลา งสง่ิ ทเ่ี คยมอี ยใู หส ญู ไปเมอ่ื

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๖

๙๗

เราไมรู ลบเพอ่ื เหตผุ ลอนั ใด? ความรนู ม่ี นั โงส องชน้ั สามชน้ั แลว ยงั จะวา ตนฉลาดอยู
หรือ?

ถามงุ ตอ งการความจริงดวยใจเปนนกั กีฬา กค็ วรยอมรับตามความจริงที่ปรากฏ
อยู ลองคดิ ดู มนี กั ปราชญท ไ่ี หนบา งสอนอยา งถกู ตอ งแมน ยาํ ตามหลกั ความจรงิ เหมอื น
พระพุทธเจา จะแหก นั ไปหาทไ่ี หน ลองไปหาดูซี หมดแผนดินทั้งโลกนี้จะไมมีใคร
เหมอื นเลย ใครจะมาสอนใหตรงตามหลักความมีความเปนและความจริงดังพระพุทธ
เจา แนใ จวา ไมม ี!

ประการสาํ คญั กค็ อื การคดิ วา “ตายแลวสูญ” นน้ั เปน ภยั อนั ตรายแกผ คู ดิ และผู
เกี่ยวของไมมีประมาณ เพราะคนเราเมอ่ื คดิ วา ตายแลว สญู ยอ มเปน คนสน้ิ หวงั อยากทาํ
อะไรกท็ าํ ตามใจชอบในเวลามชี วี ติ อยู สวนมากกม็ ักทําแตส ่ิงท่ีเปน โทษเปน ภัยแกต วั
เองและผูอื่น เพราะชาติหนาไมมี ทําอะไรลงไปผลจะสนองตอบไมมี ฉะนน้ั ความคดิ
ประเภทนี้จึงทําคนสิ้นใหหวัง หลงั จากนน้ั กท็ าํ อะไรแบบไมค าํ นงึ ดชี ว่ั บญุ บาป นรก
สวรรค พอตายแลว กไ็ ปเกดิ ในกาํ เนดิ สตั วผ สู น้ิ ทา เชน สัตวนรก เปน ตน อยา งชว ย
อะไรไมได ทั้งนี้พวกเรายังไมเห็นเปนของสําคัญอีกหรือ? ถา ยงั ไมเห็นศาสนธรรมซ่ึง
เปนของแทของจรงิ วา เปน ของสําคัญ ตัวเราเองก็หาสาระอะไรไมไดนั่นเอง ในขณะ
เดียวกันการปฏิเสธความจริงก็เทากับมาลบลางสารคุณของเราเอง กลายเปน คนไม
สาํ คญั คนไมมีสารคุณ คนหมดความหมาย คนทาํ ลายตวั เอง ชนดิ บอกบญุ ไมร บั
เพราะความคดิ ทล่ี บลา งความจรงิ ทม่ี อี ยนู น้ั เปน ความคดิ ทาํ ลายตนเอง สงิ่ ทมี่ คี วาม
หมายแตไปลบลา งส่งิ ท่จี ริง แตไปขัดความจริง สุดทายก็สะทอนกลับสิ่งที่จริงมาหาตัว
เอง เปนผูรับเคราะหกรรมเสียเองโดยไมมีใครอาจชวยได กลายเปนคนขาดทุนท้งั ข้นึ
ทั้งลองซี!

พวกเรานับวาดีมาก วาสนาเรามคี วามดคี มุ ครองถงึ ไดม าพบพระพทุ ธศาสนาอนั
เปน ศาสนาทถ่ี กู ตอ งตายตวั บอกขวากหนามใหส ตั วโ ลกรแู ละหลบหลกี กนั และบอก
สวรรค นิพพาน ใหส ตั วโ ลกไดไ ป ไดนอมใจเขามาประพฤติปฏิบัติ ถวายกาย วาจา ใจ
ตลอดชีวิตทกุ ส่ิงทกุ อยางกบั พระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ ดาํ รงตนอยดู ว ยศลี ดว ย
ธรรม ประพฤติคุณงามความดีตลอดมา เพ่อื เปนการเพม่ิ พูนบญุ วาสนาบารมขี องตนๆ
ใหสูงสงยิ่งขึ้นไป

ผไู มม โี อกาสทาํ ไดอ ยา งนม้ี จี าํ นวนมากมาย อยากจะพูดวา ราว ๙๙ % ประเภท
เปน อยดู ว ยความเชอ่ื บญุ เชอ่ื บาป ยงั เหลอื เปอรเ ซน็ ตเ ดยี วหรอื ไมถ งึ เปอรเ ซน็ ตก อ็ าจ
เปนได เมอ่ื เทยี บกบั โลกทง้ั โลก

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๗

๙๘

ความเกดิ ความตายมนั เหน็ อยชู ดั ๆ ภายในจติ เพราะฉะนน้ั ขอใหเ รยี นความ
จริงซึ่งมีอยูที่จิต มันเกิดอยูที่นั่น มนั ตายอยทู น่ี น่ั เชอ้ื ใหเ กดิ ใหต ายมอี ยทู จ่ี ติ เมื่อเรียน
และประพฤติปฏิบัติทางดานจิตตภาวนา ทดสอบเขา ไปหาความจรงิ ทม่ี อี ยภู ายในจติ
ทั้งเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องความเกี่ยวของพัวพันตางๆ เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป
เรียนเขาไปตรงนั้น จะเจอเขากับความจริงในแงตางๆ ที่นั่นโดยไมมีทางสงสัย

เมื่อเจอดวยใจตนเองอยางประจกั ษแลว ก็เหมือนเราไปเห็นดวยตาเนื้อเรา
จรงิ ๆ เราจะลบลา งไดอ ยา งไร ปฏิเสธไดอยา งไรวา สงิ่ นน้ั ไมม ี แตกอนเขาใจวาไมมี แต
ไปเห็นดวยตาแลวจะปฏิเสธไดอยางไร เพราะตนเปนผูเห็นเอง ถา ลบกต็ อ งลบดว ยการ
ควักลูกตาตนออกเพราะลูกตาโกหก

ที่ลบลางไมลงลบลางไมไดเพราะตนเห็นดวยตาวา สง่ิ นน้ั มนั มอี ยจู รงิ ถา เปน
ดานวัตถุที่จับตองดูไดก็จับตองดูได เมื่อเปนเชนนั้นตนจะลบลางไดเหรอ? วา สง่ิ นน้ั ไม
มี คอื สง่ิ ทต่ี นถอื และดอู ยนู น้ั ลบลา งไมไ ด ดังนั้นความจริงที่มีอยู ทา นผใู ดรเู หน็ ทานผู
นั้นตองยอมรับความจริงนั้น นอกจากผไู มส นใจอยากรอู ยากเหน็ ยง่ิ กวา การเชอ่ื ตวั เอง
เทานั้น ก็สุดวิสัยที่ธรรมจะชวยได

เรื่องของความจริงเปนอยางนี้ และพวกทร่ี คู วามจริงกร็ อู ยา งน้ี ทานจงึ ไมล บลาง
และสอนตามความมีความจรงิ พวกเราเปนคนมืดบอด จึงควรเชื่อและดําเนินตามทาน
จะเปนทางที่ถกู ตองดงี าม เปน ความสวสั ดมี งคลแกต วั เอง ผูมุงหวังความหลุดพนทั้ง
ปวงนับแตขั้นต่ําจนถึงขั้นสูงสุด เปนความจริงไปตามขั้นของธรรมและขั้นของผูเรียน
“จิตตภาวนา” นน่ั แหละ เปนผูจะทราบไดชัดเจน

ในวงขนั ธม ีความกระเพื่อม กระเทือนดวยภพชาติ โดยอาศยั อารมณเ ปน ผชู กั
ใยอยตู ลอดเวลา ดว ยความเกดิ ความดบั ๆ อนั มเี ชอ้ื อยภู ายในใหเ ปน ผผู ลกั ดนั ให
อาการของจติ ออกแสดงตวั จิตยังไปไมไดเพราะยังมีอัตภาพเปนความรับผิดชอบอยู
จิตจึงกระเพื่อมอยู อารมณเปนความเกิดดับ ๆ อยเู พยี งเทา นน้ั ถา ใจสามารถออกจาก
รางได ใจจะเขา ปฏสิ นธสิ กั กอ่ี ตั ภาพกไ็ ดใ นวนั หนง่ึ ๆ จะไดเ ปน ลา นอตั ภาพในคนๆ
หนง่ึ เพราะมีความติดความของความรักความชอบใจเปนสายใย รกั กต็ ดิ ชังก็ติด โกรธ
กต็ ดิ เกลียดก็ตดิ ติดไดทั้งนั้นไมมีอั้น อะไรๆ มันติดทั้งนั้น ถาใจติดอะไรทําใหเปนภพ
เปนชาติขึ้นมาอยางเปดเผยในขณะที่ติดแลว วนั หนง่ึ ๆ จะมกี ี่ลานอัตภาพในตัวเราเอง
แตนี่มันไดอัตภาพอยางเปดเผยเพียงอันเดียวเทานั้น ใจจงึ เปนเพียงไปติดไปยึดอยูกับ
อารมณน น้ั ๆ เทา น้ัน ไมอ าจถอนตวั ออกจากอตั ภาพนไ้ี ปเขา สอู ยกู บั อารมณท ใ่ี จตดิ ได
คนเราจึงมีไดเพียงอัตภาพเดียว ความเปนจริงอยางนี้ การเรียนก็เรียนอยางนี้ เรยี นให
ทราบวิถีของจิตซึ่งพรอมที่จะติดอยูเสมอ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๘

๙๙

คิดเรื่องอะไรคอยแตจะติด ตําหนิติชมส่งิ ใดก็ไปตดิ กบั สงิ่ นั้น ตําหนิก็ติด ชมก็
ตดิ ถาจิตอยูในขั้นที่ควรจะติดเปนติดทั้งนั้น ไมถอยในเรื่องติด เพราะฉะนน้ั เรือ่ งเกดิ
เรื่องตายของจิตจึงไมมถี อย เรื่องสุขเรื่องทุกขของจิตจึงมีประจําตน เพราะความคดิ
ปรงุ พาใหเ ปน ไป จิตเปนผูไมถ อยในการทํากรรมดีชวั่ ผลสุขทุกขจึงเปนเงาตามตัวแลว
ปฏิเสธไดอ ยา งไร เรอ่ื งความเปนของจติ ก็เปนอยูอยา งน้ี เห็นชัดๆ ภายในตวั เอง การ
เรียนจึงเรียนลงที่นี่ เมื่อเรียนลงไปที่นี่ซึ่งเปนเปาหมายแหงความจริงทั้งหลาย กร็ ูชดั
เจนโดยลําดับๆ

อนั ใดทค่ี วรปลอ ย เมอ่ื มีความสามารถรไู ดดว ยสตปิ ญ ญาแลวมนั ปลอ ยของมัน
เอง เมอ่ื ปลอ ยแลว สง่ิ นน้ั ไมม มี าขอ งใจอกี คอ ยๆ หมดไป ๆ ใจหดตัวเขามาเลื่อนเขามา
จากทเ่ี คยอยวู งกวา ง ปลอ ยแลว ปลอ ยเขา มา ๆ วงก็แคบเขา จนกระทัง่ เหลอื นดิ เดียวคือ
ที่ใจนี้ กร็ วู า “นี่เชอื้ แหง ภพยังมอี ยูภายในใจ” น่เี ชอ้ื แหงภพน้เี ปน ส่งิ หลอกตาไดเปน
อยางดี ถา ไมใ ชส ตปิ ญ ญาพจิ ารณาอยา งละเอยี ดสขุ มุ จะตดิ เชือ้ แหง ภพอยางไม
สงสยั ไดเ คยบอกแลว วา จติ มันรูตัวเองอยางชัดๆ จากการปฏบิ ตั ิ จะลบลา งไดอ ยา งไร
วา “จติ นเ้ี มอ่ื ตายไปแลว จะไมพ าเกดิ อกี ” เพราะตัวเกิดก็อยูกับจิต จิตก็รูวาการจะ
เกิดอีกนั้นเพราะเช้อื นเี้ ปน เหตุ รูๆ เหน็ ๆ กันอยางเปดเผยจากการปฏิบัติทางจิตต
ภาวนา ซึ่งเปนทางดําเนินที่ทรงดําเนินแลว ทรงรูประจักษพระทัยมาแลว เชอ้ื แหง ภพ
ชาตมิ อี ยใู นจติ มากนอ ย จติ จะตองเกิดในภพอกี

เมอ่ื ปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาเขา สขู น้ั ละเอยี ด กเิ ลสยงั มมี ากนอ ยยอ มรไู ดช ดั ดว ย
ปญญา เพราะสติปญญาอันละเอียดนี้คมมาก ไมมีอะไรจะหนีรอดไปได เพราะปญญา
ความรเู หน็ สง่ิ ตา งๆ ที่มาเกี่ยวของกับจิตไดอยางรวดเร็ว จติ จะมสี าเหตใุ หไ ปเกดิ ทน่ี น่ั
ไปเกิดที่โนน สตปิ ญ ญาตามแกไ ขทนั กบั เหตกุ ารณไ มเนิ่นชา และสามารถตดั ขาดได
ในโอกาสทเ่ี หมาะสม

ประการหนง่ึ จิตขั้นละเอียดนี้พรอมที่จะหลุดพนอยูแลว เมอ่ื สตปิ ญ ญาถงึ
พรอ มกบั สง่ิ ทค่ี วรตดั ในโอกาสทค่ี วร จนสามารถตัดขาดเสียได ไมม เี งอ่ื นสบื ตอ ภายใน
จิต จนเปน จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ ขึ้นมา

เมอ่ื จติ บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว จะสญู ไปไหน? ถา มกี ารสญู ไปอยจู ะเอาอะไรมาบรสิ ทุ ธ?์ิ
และเอาอะไรมาศกั ดส์ิ ทิ ธว์ิ เิ ศษ? แมพิจารณาเทาไรๆ กไ็ มม เี งอ่ื นสบื ตอ เพราะ
กเิ ลสหมดไปแลว จิตถึงความบริสุทธิ์แทแ ลว จึงเปนอันหมดปญหากับจิตดวงนี้
ความที่จิตนี้จะเกิดจะตายตอไปอีกไมมี! ความสญู กไ็ มป รากฏวา มี เพราะฉะนั้นพระ
พุทธเจาผูบริสุทธิ์ จงึ ไมทรงแสดงความสญู ไวก ับจิตพระอรหนั ต และจิตของสัตว
โลก จึงขอยาํ้ อกี วา จติ ทจ่ี ะหมดปญ หาแลว มนั สญู ไหม? จติ ยิ่งเดน แลวจะเอาอะไรมา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๙

๑๐๐

สญู เลา ? เมอ่ื ความจรงิ เปน อยา งนจ้ี ะเอาอะไรมาสญู ? ขุดคนเรื่องสูญเทาไร จิตยิ่งเดน
ยิ่งชัดไมมีอะไรสงสัย เดนจนพูดไมถูก บอกไมถ กู ตามโลกนยิ มสมมตุ ซิ ง่ึ หาทส่ี น้ิ สดุ ยตุ ิ
ไมได ถา ใครยงั อวดเกง ตอ ความคดิ วา “ตายแลว สญู ” เวลาไปโดยผลที่ไมคาดฝนใน
ภพหนา ก็จงเรียก “ความตายแลว สญู ” มาชว ยถา จะสมหวงั

จิตที่เดนนอกวงสมมุตินี้ แมเดนเพียงไรก็พูดใหถูกตองความจริงไมได!
เมอ่ื ปญ หาเกย่ี วกบั การตายเกดิ ตายสญู สน้ิ ไปจากใจแลว กเ็ ปน ผู “สิ้นเรื่อง”
โดยประการทง้ั ปวง ถึงความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมินี้สูญไหม? เมื่อรูชัด
เห็นชัดอยางนี้แลวธรรมชาตินี้จะสูญไปไหน? ลงความจรงิ ทร่ี อู ยนู จ่ี ะลบไดไ หม? จะให
สูญไดไหม? ใครจะไปลบเลา? นอกจากคนตาฝาฟางมองไมเหน็ หนทาง เหยียบแต
ขวากแตห นามแลว กบ็ อกวา หนทางไมด ี สง่ิ ทม่ี กี ค็ อื ขวากหนามเตม็ ฝา เทา เทา นน้ั เมอื่
เปน เชน นน้ั เราจะเชอ่ื คนตาดหี รอื คนตาบอด จงตดั สนิ ใจดว น! อยา ใหเ สยี ดายเดย๋ี ว
ตายเปลา จะวาไมบอกไมเตือน ทอ่ี ธบิ ายมาทง้ั นเ้ี ปน คาํ บอกคาํ เตอื นอยแู ลว
ความบริสุทธิ์ที่ไมตองฝนอะไรๆ กค็ อื อนั นแ้ี ล แลวอันนี้จะสูญไปไดอยางไร แต
จะมาตั้งอยูเหมือนหมอไหโองน้ําไมได เพราะคนไมใชหมอ และนเ่ี ปน จติ จิตธรรมดา
กบั จติ บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั ผดิ กนั มากมาย จะมาตง้ั กฎเกณฑใ หเ ปน อยา งน้ี ใหอ ยแู บบนๆ้ี ไม
ได ไมวาแบบใดๆ เพราะไมใ ช “ฐานะ” ของจิตประเภทนท้ี จ่ี ะมาตง้ั แบบนห้ี รอื แบบ
ใดๆ ดังทานวา “นพิ พฺ านํ ปรมํ สุ ฺญํ” นพิ พานสญู แบบนเ้ี อง คอื สญู แบบนพิ พาน
มใิ ชส ญู แบบโลกๆ ทเ่ี ขา ใจกนั
“สญู แบบนพิ พาน” คอื ไมม อี ะไรบรรดาสมมตุ เิ หลอื อยภู ายในจติ ผูที่รูวาสิ่ง
ทง้ั หลายสญู สน้ิ แลว จากใจนน่ั เลย นั่นแหละคือตัวจริง นน่ั แหละคอื ผบู รสิ ทุ ธ์ิ ผูนี้จะ
สูญไปไมได ยง่ิ เดน ยง่ิ ชดั ยง่ิ เขา ใจแจม แจง ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ผูนี้ไมสูญ ผูนี้แลเปนผูทรง
คณุ สมบตั อิ นั ยอดเยย่ี ม ในบททส่ี องวา “นพิ พฺ านํ ปรมํ สุข”ํ ผนู แ้ี ลเปน สขุ อยา งยง่ิ
นอกสมมตุ ทิ ้ังปวง
ถาจิตบริสุทธิ์ไดสูญไปจริงๆ ธรรมบทนี้จะขึ้นมารับไมได เพราะก็สูญไปหมด
แลว ไมมีอะไรจะมาเปนสุขอยางยิ่งไดเลย การปฏิบัติใหเขาใจความจริงความแทของ
ธรรม ตอ งปฏบิ ตั ใิ หถ กู ธรรม อยาฝนธรรม จะไมรูความจริงแมมีอยูในตน
คาํ วา “โลก” คอื “หมูส ตั ว” กห็ มสู ตั วต รงนเ้ี อง คือตรงที่มีเชื้อไดแกอวิชชา
ตณั หาอปุ าทานพาใหเ กดิ อยไู มห ยดุ กอ นจะไปเกดิ ใหมต อ งเกดิ อยภู ายในจติ นเ้ี อง
ทา นเรยี กวา “หมสู ตั วพ ากนั เกดิ อยทู ว่ั โลกดนิ แดน” “ตายทว่ั โลกดนิ แดน” กค็ อื ธรรม
ชาตทิ ว่ี า นน่ั เอง ไมมีอันใดเปนผูพาใหเกิดพาใหตาย

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๐

๑๐๑

สว น ความทกุ ขค วามลาํ บากทม่ี าจากธรรมชาตทิ ก่ี อ ภพ ไดแ ก “ชาตปิ  ทกุ ขฺ า
ชราป ทกุ ขฺ า มรณมปฺ  ทกุ ขฺ ํ” ธรรมชาตอิ นั นเ้ี อง เมื่อละหมดโดยตลอดทั่วถึงไมมีเชื้อ
“วฏั ฏะ” ทจ่ี ะพาใหเ กดิ อกี แลว ธรรมชาตนิ ก้ี เ็ ปน “ววิ ฏั ฏะ”

คาํ วา “โลกคอื หมสู ตั ว” ก็พูดไมไดอีกแลว หมดปญ หาทจ่ี ะพดู วา โลกคอื หมู
สตั วข องผบู รสิ ทุ ธน์ิ น้ั ฉะน้ันพวกเราจงพยายามปฏิบตั ิตามหลกั ความจริงทพ่ี ระพุทธ
เจาทรงสั่งสอนไวแ ลวนี้ ในธรรมทา นวา “สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม” พระธรรมอัน
พระพทุ ธเจา ตรสั ไวช อบแลว ชอบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ไมวาเบื้องตน คอื “อาทกิ ลยฺ าณ”ํ
ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปดวยเหตุดวยผลในเบื้องตนแหงธรรม “มชเฺ ฌกลยฺ าณํ”
ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปดวยเหตุดวยผล เตม็ ไปดว ยความถกู ตอ งดงี ามในทา มกลาง
แหงธรรม “ปรโิ ยสานกลยฺ าณ”ํ ไพเราะในที่สุด ทาํ ใหผูฟ งซาบซึง้ เต็มไปดวยเหตุดวย
ผล ดว ยความถกู ตอ งดงี ามสดุ สว นแหง ธรรม ทุกชั้นทุกวรรคทุกตอน

ส่ิงที่นา ตเิ ตยี นและควรแกไขอยางยิง่ กค็ อื จติ ใจของสตั วโ ลกผฝู น หลกั ธรรมอยู
ตลอดเวลา เพราะกเิ ลสมอี าํ นาจมากกวา จงึ ทาํ ใหฝ น ธรรม เมื่อฝนธรรมก็ตองไดรับ
ความทุกข เกิดก็เปนเรา แกกเ็ ปนเรา เจ็บก็เปนเรา ตายก็เปนเรา ทกุ ขย ากลาํ บากชนดิ
ไหนๆ ตนกเ็ ปน คนรบั เสยี เอง กิเลสมันไมมารับแทนพอจะใหมันกลัวทุกข แลว แสวงหา
ธรรมเปนที่พึ่งดังพวกเรา

พระพุทธเจาทานไมรับทุกข สาวกทา นไมร บั ทกุ ข ดงั ทม่ี วลสตั วร บั กนั !
เพราะฉะนั้นจึงควรเห็นโทษแหงการฝนธรรมวาเปนของไมดี จะทําใหเกิดไป
เรื่อยๆ ตามความฝา ฝน จงพยายามแกไขดัดแปลงหรือฝกทรมาน ชําระสะสางสิ่งที่พา
ใหฝ น นน้ั ออกจากใจ เราจะคลอยตามธรรมซาบซึ้งในธรรมไปเรื่อยๆ ความซาบซง้ึ ใน
ธรรมนั้น เพราะธรรมเริ่มเขาถึงใจเรา และกเิ ลสกเ็ รม่ิ ถอยทพั กิเลสเบาบางลงไปแลว จึง
ทําใหมีความซาบซึ้งดื่มด่ํา มีความพอใจบําเพ็ญศีลบําเพ็ญธรรม
ถา มแี ตก เิ ลสลว นๆ เต็มหวั ใจ ไมมีธรรมเขาขัดขวางตานทานไวบางเลย ยอมไม
มีใครจะสนใจในอรรถในธรรมกัน ชาตนิ น้ี บั วา มเี ราวาสนา เพราะมีธรรมคอยสะกิดใจ
ใหเรามีความชอบความพอใจอยากไปวัดไปวา บาํ เพญ็ ศลี บาํ เพญ็ ทาน บาํ เพญ็ ภาวนา
ใหมีชองทางปฏิบัติบําเพ็ญธรรม มีความดูดดื่ม มคี วามพออกพอใจ มคี วามเชอ่ื ความ
เลื่อมใสในธรรม อนั เปนธรรมรสภายในใจ มีธรรมคุมครองจิตใจ กเิ ลสแมย งั มอี ยใู นใจ
ก็จริง แตธรรมที่ไดสั่งสมมาจึงพอตอสูตานทานกัน หากมแี ตเ รอ่ื งกเิ ลสลว นๆ แลว การ
ทาํ ความดียอ มเปน การทํายากยงิ่ ทั้งไมสนใจจะทํา สนใจแต “บาปกรรม” นาํ ตนเขา สู
ความลามกตกนรกทั้งเปนทงั้ ตาย ไมมีวันผลุบโผลไดเลย

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๑

๑๐๒

ผูไมมีธรรมในใจ ก็คือผูมีบาปเต็มไปทั้งดวงใจนั้นแล ผลของบาปจึงไดรับแต
ความทกุ ขค วามลาํ บากเรอ่ื ยๆ ไป ไมว า อยใู นภพใดกาํ เนดิ ใด แดนใดภาษาใด เพราะ
ใจนั้นมันไมมีชาติชั้นวรรณะ ไมมีภาษา แตเปนแหลงผลิตกรรมดีชั่วทั้งปวง และเปน
คลงั แหง วบิ ากคอื ผรู บั ผล จึงตองรบั ทัง้ ความสุขความทุกขท ี่ตนสรา งข้นึ ทาํ ขึ้นมากนอย
จะหลบหลีกปลีกตัวไปที่ไหนไมได ถา ไมส รา งปอ มปราการคอื บญุ กศุ ลไวเ สยี แตบ ดั น้ี
ซึ่งยังไมสายเกินไป เพื่อบรรเทาหรือลบลางบาปใหลดนอยลงจนไมมีบาปติดตัวติดใจ
ผนู แ้ี ลคอื ผมู คี วามสขุ แท ไมเ พยี งแตค วามสขุ ทเ่ี กดิ จากการเสกสรรปน ยอซง่ึ หาความ
จริงมิได

การกลา วทง้ั หมดน้ี ใหตางคนตางนอมเขาสูใ จของตนเอง ซึ่งเปนตัวการกอ
กรรมทําเข็ญดวยกัน เปน ตวั การทง้ั เรอ่ื งทเ่ี ปน มาน้ี เปนตัวการทั้งเรื่องชําระคือแกไข
ตอ งฝน ตอ สกู บั กเิ ลส ตองฝน อยา ถอยมนั จะไดใ จ เพราะกิเลสเคยฝนเราและเคยบังคับ
เรามานานแลว คราวนี้เราพอมีทางสู เพราะไดอรรถไดธรรมมาจากพระพุทธเจา จากครู
บาอาจารยเ ปน เครอ่ื งมอื ตอ สกู บั กเิ ลส สไู มถ อย ขนึ้ ชอ่ื วาสูแ ลวจะตอ งมชี ัยชนะจนไดใ น
วนั เวลาหนง่ึ ทแี รกเรายอมมนั แบบหมอบราบเลย ถา ไมส มู นั กไ็ มเ รยี กวา “ลูกศิษยพระ
ตถาคต” ผเู กง กลา ในการรบกบั กเิ ลส การตอ สยู ังดกี วายอมแพเ สยี ทีเดียว คราวนี้แพ
เพราะกําลังยังไมพอ กต็ อ งยอมแพไ ปกอ น คดิ อบุ ายขน้ึ มาใหม สเู ร่อื ยๆ สกู นั ไปสกู นั
มา ยอมมีทางชนะกันไปเรื่อยๆ เมอ่ื สบู อ ยเขา ความชาํ นาญยอ มตามมา และความชาํ นะ
มมี ากขน้ึ ๆ ตอไปความแพไมค อยบอ ยไมคอยมี นน่ั ! ฟงซิ

ทําไมจึงเปนเชนนั้น? เพราะจิตถึงธรรมข้นั ไมยอมถอยทัพกลับแพแลว ถา จะ
แพก เิ ลสนอ ยใหญต อ ไปอกี กข็ อใหต ายเสยี ดกี วา ทจ่ี ะมาเจอความแพน ้ี ซึ่งเปนความต่ํา
ตอยดอยสติปญญา ศรทั ธา ความเพียร จึงขอใหต ายเสยี ดกี วา ขอใหช นะกเิ ลสทกุ
ประเภทโดยถายเดียวเทานั้น ไมข ออยา งอน่ื ทโ่ี ลกขอกนั ถา ไมช นะ กใ็ หต าย นั่น! ฟงซิ
เด็ดไหม? จิตดวงเดียวนี่แหละ ดวงที่เคยแพ เคยลม ลกุ คลกุ คลาน นแ่ี หละ

เมอื่ เวลาพลิกตวั ข้นึ สธู รรม ดว ยไดร บั การฝก ฝนอบรมจากครอู าจารยม าแลว
ดวยดี จติ มกี าํ ลงั วงั ชาพอมคี วามรคู วามฉลาด ตลอดถึงผลที่ไดรับประจักษใจ เปน
เครอื่ งสนับสนนุ จติ ใจใหถึงข้ันท่วี า “ใหต ายเสยี ดกี วา ทจ่ี ะเจอความแพก บั กเิ ลสนอ ย
ใหญอ กี ” ไมประสงคอีกแลว เรื่องความแพนี้ ไมเปนของดีพอจะสงเสริมเลย

เขาแขง กฬี ากนั แพก นั ผแู พกย็ อมเสียใจ แมจ ะเปน การเลน สนกุ กนั กต็ าม ยังทํา
ใหผูแพเสียใจได

เรื่อง “วฏั สงสาร” คอื เรอ่ื งความเกดิ ความตาย เรื่องกิเลสซึ่งเปนภัยตอเราโดย
ตรง ไมใ ชเ รอ่ื งเลน ๆ ดังเขาเลนกีฬากัน เปนเรอ่ื งของความทกุ ขกองทกุ ขใ นตัวเราแทๆ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๒

๑๐๓

การแพส งิ่ นถี้ ือเปน ของเลนของดีแลว หรือ เราคิดดูใหดี ความจริงแลวไมใชของดีเลย
ความแพก เิ ลสเปน ความเสยี หายแกต วั เราไมม ที ส่ี น้ิ สดุ ฉะนั้นการแพกิเลสจึงเปนเรื่อง
ใหญโ ตมาก ทําไมถึงยอมแพมันเรื่อยๆ เอา! สมู นั ไมถ อย จนไดชัยชนะไปเปนลําดับๆ
จนถงึ ขน้ั ไมใ หม คี าํ วา “แพ” กระทั่งชนะไปเลย!

ผูนี้แลเปนผูประเสริฐ เมื่อชนะไปเลยแลว ทนี ค้ี าํ วา “ตายแลวเกดิ ตายแลว
สญู ” นั้นหมด! ไมม อี ะไรเหลอื อยใู นใจเลย เพราะความสําคัญมั่นหมายเปนกิเลสทั้ง
นน้ั คําวา “ตายแลว เกดิ ตายแลว สญู นรกมีหรือไมมี สวรรคมีหรือไมมี นเ้ี ปน เรอ่ื งของ
กิเลสพาไปใหคิดดนเดาทั้งสิ้น

พอมาถงึ ขน้ั “ชนะไปเลย” เรอ่ื งเหลา นก้ี ห็ มดไปในทนั ทที นั ใด ไมมีการเกิดได
อีกเพราะไมมสี ่งิ ผลักดันใหเ กดิ ความลังเลสงสัยปลงใจลงกับธรรมไมได ทานเรียกวา
“นิวรณ” เครอ่ื งกน้ั กางทางดี แตเ ปด ทางชว่ั ใหท าํ ผูมีนิวรณเขาเปนใหญในใจ จึง
ตองตัดสินใจเพื่อความดีงามอะไรไมได นอกจากงานที่จะลงทางต่ําไปเรื่อยๆ นั้น เปน
งานที่สนใจจดจอ โดยไมคิดวาจะผิดพลาดประการใดและใหผลเชนไรบาง ดวยเหตุนี้
ความชว่ั สตั วโ ลกจงึ ทาํ ไดง า ย แตความดีนน้ั ทาํ ไดยาก ผูโดนทุกขจึงมีมากแทบทุกตัวคน
และมอี ยทู กุ หนทกุ แหง แมจ ะพูดวาหลงกองทกุ ขก ันก็ไมผ ิด แตผูเปนสุขกายสุขใจนั้นมี
นอ ยมาก แทบไมนาเชื่อวาจะมีได

การทเ่ี ราเหน็ เขาแสดงความรน่ื เรงิ ออกมาในทา ตา งๆ และ สถานที่ตางๆ เชน ใน
หนาหนังสือพิมพเปนตน นน่ั เปน เพยี งเครอ่ื งหลอกกนั เลน ไปอยา งนน้ั เอง ความจริง
ตางอมความทุกขไ วภายในใจแทบระเบิด โดยไมเลือกชาติชั้นวรรณะใดๆ เลย ทั้งนี้
เพราะสงิ่ ท่ีทาํ ใหซ อ นความจริงไวน ั้น ไดแ กค วามอาย กลัวเสียเกียรติ และเปน คนใหญ
คนโตที่โลกนิยม น่ี จงึ นาํ ออกใหโ ลกและสงั คมเหน็ แตอ าการทเ่ี หน็ วา เปน ความสขุ รน่ื
เริงเทานั้น

ตวั ผลติ ทกุ ขแ กม วลสตั วม นั ผลติ อยภู ายในใครไมอ าจรเู หน็ ได นอกจากปราชญ
ที่เรียนรูและปลอยวางมัน และกลมารยาของมนั แลว เทา นน้ั จึงทราบไดอยางชัดเจนวา
ภายในหวั ใจของสตั วโ ลกคกุ รนุ อยดู ว ยไฟราคะตณั หา ไฟความโลภ หาความอม่ิ เพยี ง
พอไมเจอ แมจะแสดงออกในทาราเริง ทา ฉลาดแหลมคม ทาผูดีมีความสุขฐานะดีเพียง
ไร ก็ไมสามารถปดความจริงที่มีอยูในหัวใจใหมิดไดเลย ปราชญทั้งหลายรูเห็นจับได
เพราะกลมายาของกเิ ลสกับธรรมละเอียดตางกนั อยูมาก ทานผูเปนปราชญโดยธรรม
จึงทราบไดไมยากเย็นอะไรเลย

ดว ยเหตนุ จ้ี งึ ควรพยายามสรา งความดใี หพ อแกค วามตอ งการ จิตใจเปนของแก
ไขได ใจชัว่ แกใ หดีก็ได ทําไมจะแกไมได ถาแกไมไดพระพุทธเจาจะฝกพระองคใหดีได

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๓

๑๐๔

อยา งไร บาปนน้ั มดี ว ยกนั เพราะเราทุกคนเกิดมาทามกลางแหงบาป เกดิ มากบั กเิ ลส
และอยใู นวงลอ มของกเิ ลสดว ยกนั เกดิ มากบั บญุ กบั บาป และอยใู นทา มกลางส่งิ ท่ดี ีช่วั
เหลา นแ้ี ล เนื่องจากยงั ไมม คี วามดีพอจะใหอยเู หนือสง่ิ เหลานี้ได แดนมนษุ ยเ ปน สถาน
ทแ่ี ละกาํ เนดิ อนั เหมาะสมดอี ยแู ลว จะสรางอะไรก็ไดเต็มภูมิ แตก ารสรา งความดนี น้ั
เหมาะสมกบั ภมู มิ นษุ ยอ ยา งยง่ิ ดงั พวกเราสรา งหรอื บาํ เพ็ญอยเู วลานี้ อนั ใดควรแกไ ข
ดัดแปลง กแ็ กไ ขและดดั แปลง สิ่งที่ควรสงเสริมก็สงเสริมไปเรื่อยๆ ดวยความไม
ประมาทนอนใจ

การไมป ระมาท สรางประโยชนเพื่อโลกและตัวเองอยูเสมอ แมไปเกิดภพใดก็ไม
เสียทา คนที่มีความดีแลวไมเสียที มีแตความสุขความเจริญไปเรื่อยๆ ในภพนน้ั ๆ มี
ความสขุ สบายตลอดไป จนอปุ นสิ ยั วาสนาสามารถเตม็ ทแ่ี ลว กผ็ า นไปยงั แดนเกษม
สาํ ราญ การผา นไปกผ็ า นไปดว ยดี อยดู ว ยความดี ความดเี ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ใหผ า น
กองทกุ ขต า งๆ ไปไดโดยไมมีอุปสรรค ถาไมมีความดีก็ไปไมได การไปสคู วามสขุ ความ
เจริญนั้น โลกอยากไปดว ยกนั ทกุ คนนน่ั แล แตทําไมจึงไปไมได? ก็เพราะกําลังไมพอที่
จะไปนน่ั เอง

ถา ไปไดด ว ยความอยากไปเทา นน้ั โลกท้ังโลกใครจะไมท นรับความทกุ ขความ
ลาํ บากทเ่ี ปน อยนู เ้ี ลย แมแ ตสตั วเ ขายงั กลัวทกุ ข ทําไมมนุษยฉลาดกวาเขาจึงจะไมกลัว
ทุกข จะทนแบกหามทกุ ขอ ยทู าํ ไม? ทั้งๆ ทีร่ ูอ ยวู าทกุ ขน ะ สตั วอ ยากพน จากทกุ ขอ ยา ง
เต็มใจดวยกัน ทําไมไมพนไปเสีย? ทั้งนี้ก็เพราะกรรมยังมี วาสนาบารมียังไมสมบรู ณ
สุดวิสัยที่จะไปได จึงยอมอยกู นั และเสวยทกุ ขต ามทป่ี ระสบ

ย่งิ หลวงตาบัวซึ่งเปน คลังแหงกองทกุ ขอยางเตม็ ตัวเต็มใจอยแู ลว มีใครมา
กระซบิ วา “โนน! ความเกษมสาํ ราญอยโู นน นะ มานอนกอดทกุ ขอ ยทู าํ ไม ไปซี!” จะ
โดดผางเดียวก็ถึงแดนเกษมนะ เอา! โดด ๆ ๆ เดี๋ยวนี้ จะถงึ เดย๋ี วน้”ี ถาเปนไปไดดัง
ทว่ี า น้ี ขาขาดแขนขาดไปขณะที่โดดก็ขาดไปเถอะ ขรัวตาบัวตองโดดผึงเลยอยางไมเสีย
ดาย เพอ่ื ไปเสวยความสขุ ใหบ านใจหนอ ยกย็ งั ดี ดกี วา นอนกอดทกุ ขอ ยตู ลอดภพชาตทิ ่ี
เต็มไปดวยทุกข ไมมีความสุขมาเยย่ี มเยยี นบางเลย แตน ม่ี นั สดุ วสิ ยั จึงยอมนั่งหาเหา
เกาหมดั แบบคนสน้ิ ทา อยอู ยา งน้ี

ฉะนั้นขอทกุ ทา นจงเห็นคุณคาแหง ความเพยี รเพ่อื ไปสูแดนเกษม อยา เอาเพยี ง
ความอยากไปมาหลอกลอ ใหจ มอยใู นทกุ ขเ ปลา ธรรมทา นกลา วไวว า “คนจะลวงพน
จากทกุ ขไ ปไดโ ดยลาํ ดบั ๆ เพราะความเพยี รพยายามเปน หลกั ใหญ” นเ่ี ปน ธรรม
ของพระพุทธเจาผูพนจากความทุกขเพราะความเพียร ไมใชเพราะความอยากพนเฉยๆ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๔

๑๐๕

และความทอ ถอยออ นแอแยล งทกุ วนั กระทง่ั รบั ประทานอาหารกน็ อนรบั เพราะขเ้ี กยี จ
ลกุ นี่ขําดี

เราเปนลูกศิษยพระตถาคต เปนพุทธบริษัท ทา นหมายถงึ อะไร หมายถงึ ลูกเตา
เหลากอของพระพุทธเจา พระองคทรงพาเราดําเนินไปอยางใด พระองคท รงดาํ เนนิ กา ว
หนา เราเดินถอยหลังมันจะเขากันไดไหม? เรากต็ อ งเดนิ กา วหนา ไปดว ยความ
พากเพียรไมลดละทอถอย จะชา หรือเร็วก็ตาม ขอใหค วามพยายามนน้ั เปน ไปตามกาํ ลงั
สติปญญาความสามารถ อยา ละเวน ความเพียรเทา น้นั กเ็ ชอ่ื วา “เปนลูกศิษยที่มีครู
สอน ดําเนินตามคร”ู วาสนาเราสรา งทกุ วนั ทําไมจึงจะไมเจริญกาวหนา พระพทุ ธเจา ก็
ทรงสอนใหส รางคณุ งามความดีเพอ่ื เปนอํานาจวาสนา ทาํ ไมวาสนาจะไมส นบั สนนุ เรา
ความจรงิ ตามธรรมแลว ธรรมเหลา นน้ั ตอ งสนบั สนนุ อยโู ดยดี จงทาํ ใหย ง่ิ ๆ ขึ้นไปโดย
ลาํ ดบั ผลสุดทายก็เปนไปไดเชนเดียวกับพระพุทธเจา นั้นแล

ดงั ทก่ี ลา วเมอ่ื สกั ครนู ว้ี า ทแี รกกย็ อมแพไ ปกอ น สูไปแพไป ๆ ตอไปสูไปแพ
บา งชนะบา งสลบั กนั ไป ทั้งแพทั้งชนะมีสลับขั้นกันไป ทีเขาทีเรา ตอไปทีเราชนะมาก
กวาทีเขาชนะ ตอไปทีเราชนะมากเขา ๆ สุดทายมีแตทีเราชนะ!

กเิ ลสหมอบลงเรอ่ื ยๆ นอกจากหมอบแลว เราฆามันจนฉิบหายไปหมดไมมี
อะไรเหลือ เมอ่ื ฆา กเิ ลสใหต ายแลว ไมต อ งบอกเรอ่ื งความพน ทกุ ข ใจหากพนไปเอง
เทาที่หาความสุขอันพึงหวังไมเจอ กเ็ พราะกเิ ลสเปน กาํ แพงขวางกน้ั ไวน น่ั เอง พอ
ทาํ ลายมนั ใหว อดวายไปแลว ความพนทุกขกเ็ จอเองไมต อ งถามใคร!

การทสี่ ัตวม าเกดิ และทนทุกขท รมาน กเ็ พราะมาอยใู ตอ าํ นาจของกองกเิ ลสเทา
นน้ั ไมม เี รอื่ งอื่นใดเลยเปนสาํ คญั กวา เรือ่ งกิเลสชนิดตา งๆ ซง่ึ เปน นายเหนอื หวั สตั วโ ลก
เราจึงไมควรมองขามกิเลสวาเปนของเล็กนอย เรอื่ งของกิเลสก็คอื เร่อื งกองทกุ ขน ่ันเอง
มองใหซึ้งๆ กเิ ลสอยใู นใจของเรานี่แล มองใหเ หน็ กนั ทน่ี ่ี ฝก กนั นท่ี ่ี แกก นั ทน่ี ่ี ฆากันที่
น่ี ตายกนั ทน่ี ่ี ไมต อ งเกดิ กนั กท็ น่ี แ่ี หละ! ทส่ี น้ิ ทกุ ขก อ็ ยทู น่ี ไ่ี มอ ยทู อ่ี น่ื

ขอใหพากันนําไปพินิจพิจารณา และบาํ เพ็ญคณุ งามความดใี หม ากเทา ท่ีจะมาก
ได ไมตองกลัวจะพนทุกขเพราะความดีมีมาก นน่ั คดิ ผดิ กเิ ลสหลอกลวงอยา เชอ่ื มนั
เดี๋ยวจมจะวาไมบอก กิจการใดก็ตามที่จะใหเกิดความดี จะเกิดจากการใหทานก็ตาม
ศลี กต็ าม ภาวนากต็ าม เปน ความดดี ว ยกนั ทง้ั นน้ั รวมกนั เขา กเ็ ปน มหาสมบตั ิ เปน
เครื่องสนับสนุนจิตใจเราใหเปนสุข เปนสุขเรียกวา “สคุ โตๆ” อยูก็สุคโต ไปกส็ ุคโต
ถา คนมบี ญุ เพราะการสรางบุญ ไมมีอยางอื่น มอี นั นเ้ี ปน สาํ คญั ของคนใจบญุ

จึงขอยุติการแสดงแตเพียงเทานี้

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๕

๑๐๖

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

สญุ ญกปั -ภทั รกปั

ตามหลกั ธรรมทา นกลา วไวว า “สญุ ญกปั ” คอื ระยะทว่ี า งเปลา จากศาสนา ไมมี
อรรถไมมีธรรม คาํ วา “ศลี ” วา “ธรรม” วา “บาป” วา “บญุ ” นี้ไมปรากฏในความรู
สึกของประชาชนทั้งหลาย คงไมมีความสนใจกันและไมทราบวา “ศีลธรรม” หรือ
“บาป-บญุ -คุณ-โทษ” เปนประการใดบาง ทานวาเปนระยะที่รอนมาก แตไมไดหมาย
ถงึ ดนิ ฟา อากาศรอ นผดิ ปกตธิ รรมดาทเ่ี คยเปน แตมันรอนภายในจิตใจของสัตวโลกที่
เต็มไปดวยกิเลสซึ่งเปนธรรมชาติที่เผาลนใจสัตว เพราะเปนธรรมชาติที่รอนอยูแลว
เมอ่ื เขา ไปสิงในสถานทใ่ี ดจดุ ใด จุดนั้นตองรอน ในหวั ใจใดหวั ใจนน้ั ตอ งรอ น เพราะไม
มนี าํ้ ดบั คอื ศาสนธรรม

คาํ วา “นาํ้ ” กไ็ ดแ ก “ศีลธรรม” เปนเครื่องดับความรุมรอนภายใน คอื กิเลสที่
สมุ ใจ แมศ าสนามอี ยเู ชน ทกุ วนั น้ี ถา ไมส นใจนาํ “น้าํ ศลี ธรรม” เขามาชะลางเขามาดับ
ความรุม รอ นนกี้ ็ไมว ายที่จะรอ น เชนเดียวกับ “สญุ ญกปั ” คาํ วา “สุญญกัป” ในครง้ั
โนนกับ”สญุ ญกปั ” ของเราในบางเวลา หรอื ของบคุ คลบางคนนน้ั มีอยูเปนประจํา ผูที่
ไมเคยสนใจกับศลี กับธรรม หรอื กบั คณุ งามความดอี ะไรเลยนน้ั นะ เปน “สญุ ญกปั ”
ผไู มส นใจอยา งนน้ั เราอยา เขา ใจวา เขามเี กยี รตมิ ีคณุ งามความดี เขาเปนคนเฉลียว
ฉลาด เขาเปน คนมฐี านะดี เขาเปนมนุษยที่มีสงาราศี ตรงกนั ขา มหมด! คอื ภายในจติ
ใจที่ไมมีศีลธรรมเปนเครื่องหลอเลี้ยงและเปนน้ําดับไฟแลว จะใหความรมเย็นเกิดขึ้น
ไดอยางไร

เพราะกิเลสมันฝงลึกอยูภายในจิตใจนั้นเปนประจํา แมมีสิ่งที่จะดับแตไมสนใจที่
จะนาํ มาดบั แลว จะหาความสขุ ความสบายมาจากทไ่ี หน โลกเรามองกนั สว นมาก มอง
อยา งเผนิ ๆ คอื มองตามความคาดความหมาย ตามความรูสึกของโลกและของตัวเอง
โดยไมไดนําเหตุนําผลนําอรรถนําธรรมเขามาเทียบเคียง หรอื วดั ตวงกบั คนและสง่ิ เหลา
นน้ั เนื่องจากเราไมมีความรูและมีปญญาลึกซึ้งทางดานธรรมซึ่งเปนความจริง และเปน
หลกั เกณฑอ นั ตายตวั มาทดสอบกบั เรอ่ื งทง้ั หลาย จงึ ไมทราบความจริงซึ่งมีอยูในหัวใจ
ดว ยกนั ทกุ คน

ที่ลวนแลวแตความจริงคือธรรม ทา นสอนอรรถสอนธรรมแกส ตั วโ ลกนน้ั ทาน
สอนความจรงิ ไมไ ดส อนความปลอม แตจิตใจของเรามันชอบปลอมกับธรรมอยูเสมอ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๖

๑๐๗

เปนขาศึกตอ ตวั เองอยูเ รอื่ ยๆ เวลาจะประกอบศีลธรรมคุณงามความดีเขาสูจิตใจ มัก
จะหาเรอ่ื งหาราวกอ อปุ สรรคใหข ดั ขอ งตอ การประกอบความดนี น้ั ๆ กลายเปน มาร
สังหารตนเองโดยไมรูสึก โดยที่เราก็คิดวาเปนทางออกของเราอยางดี นี่ก็เปนเรื่องไฟที่
จะทาํ ความรมุ รอ นใหแ กเ ราแงห นง่ึ

เพราะฉะนน้ั คาํ วา “สญุ ญกปั ” อันเปนเรื่องใหญนั้น จึงมาเปนไดกับเรื่องยอยๆ
ในบรรดาเราทั้งหลาย แมจ ะนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาอยกู ต็ าม ระยะใดท่หี างเหนิ จากศลี
ธรรม จากการประกอบคณุ งามความดี เฉพาะอยางยิ่งคือการอบรมจิตใจใหมีความรม
เย็น ระยะนั้นมันก็เปน “สญุ ญกปั ” ได ระยะใดที่เปนสุญญกัปภายในใจ ระยะนน้ั ใจก็
รอ น ความรอ นนน้ั มนั เปน “สญุ ญกปั ” ในหวั ใจคน มนั จะรอ นของมนั ไปเรอ่ื ยๆ

คาํ วา “สุญญกัป” คอื วา งเปลา จากเหตจุ ากผล จากคาํ วา “อรรถ” วา “ธรรม”
คาํ วา “บาป” วา “บญุ ” ไมไดระลึกพอที่จะหาทางแกไขและสงเสริมเลย ทา นเรยี กวา
“สุญญกัปภายในจติ ใจของสัตวโลก” และ เม่ือ “สุญญกัป” เขาสูจิตใจได แมจะมี
ศาสนาอยโู ดยทต่ี นกป็ ฏญิ าณตนวา นบั ถอื ศาสนากต็ าม แตขณะที่ไมมีศาสนา ไมมีเหตุมี
ผลเปน เครอ่ื งยบั ยง้ั ชง่ั ตวงทดสอบตนเองวา ผดิ หรอื ถกู ประการใดบา ง ระยะนั้นเปน
ความวนุ วายรมุ รอ นของจติ ไมน อ ย ท่ีเรียกวา “สุญญกัป” ฉะนน้ั สญุ ญกปั คอื ความวา ง
เปลาจากศีลธรรมเครื่องใหความรมเย็น จงึ มักเดนอยทู จ่ี ติ ใจคนไมเ ลือกกาลวา เขา ถงึ
สุญญกัปหรือไม นเ่ี ราเทยี บเขา มาใหท ราบเรอ่ื ง “สญุ ญกปั ” ตามหลกั ธรรมทท่ี า น
กลา วไว พอเลยจากนน้ั กม็ พี ระพทุ ธเจา มาตรสั รู และทรงสั่งสอนธรรมแกโ ลก โลกก็
เริ่มรูศีลรูธรรมแลวปรับตัวเปนคนดี มีความรมเย็นไปโดยลําดับ เพราะอํานาจแหงศีล
ธรรมเปน “นาํ้ ” สาํ หรบั ดบั “ไฟกเิ ลสตณั หาอาสวะ” ซึ่งเปนความรุมรอนโดยหลัก
ธรรมชาติของมัน

ทา นกลา วไวอ ยา งนน้ั นเ่ี รายน เขา มาดว ย “โอปนยิโก นอ มเขา มาสตู วั ของ
เรา” ในวนั หนง่ึ คนื หนง่ึ เดือนหนึ่งปหนึ่ง ตั้งแตวันเกิดมานี้ กว่ี นั กค่ี นื กเ่ี ดอื นกป่ี  กี่ชั่ว
โมงนาที ระยะใดบางในชวงที่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ซึ่งเปน “สุญญกัป” ภายในตวั เรา?
ในระยะใดบางที่มีศาสนาประจําใจ เฉพาะอยา งยง่ิ แมใ นขณะทน่ี ง่ั ภาวนามนั กเ็ ปน
“สุญญกัป” ไดอ กี นง่ั ภาวนา “พุทโธ ๆ” สักประเดี๋ยวเผลอไปลงนรกแลว คอื ยงุ กบั
เรื่องนั้น ยงุ กับเร่ืองน้ี วนุ วายกบั อารมณน น้ั วนุ วายกบั อารมณน ้ี นน่ั แหละมนั เปน
“สุญญกัป” แลวโดยที่เราไมรูตัว ทั้งๆ ทเ่ี รากว็ า เรานง่ั ภาวนาน่ี แตม ันนงั่ วนุ นนั่ นง่ั วนุ
น่ี จึงกลายเปนนั่ง นั่งสุญญกัปไป! ในหวั ใจของนกั ภาวนาทช่ี อบนง่ั สปั หงกงกงนั และ
จติ ใจฟุงซานไปตามอารมณ โดยไมมีสติปญญาตามรักษาและแกไข

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๗

๑๐๘

เพื่อใหเขาใจในเรื่องเหลานี้ และเพอ่ื ใหท นั กบั กลมารยาของกเิ ลส คอื ความลมุ
หลงอันเปนกิเลสประเภทหนึ่ง จําตองตั้งสตติ ั้งทาตั้งทางระมัดระวังและพินิจพิจารณา
มเี จตนามงุ หนา ตอ การงานของตนในขณะทท่ี าํ อยา ใหค วามพลง้ั เผลอเหลา นน้ั เขา มา
แบง สนั ปน สว นเอาไปกนิ และเอาไปกินเสียหมดกระทั่งไมมีอะไรเหลือติดตัว

พอออกมาจากทภ่ี าวนา “เฮอ! ทําไมนั่งภาวนาจึงไมไดเรื่องไดราวอะไรเลยวัน
น!้ี ” สิ่งที่ไดเรื่องไมพูดไดเรื่องอะไร? กเ็ รอ่ื งยงุ เรอ่ื งวนุ วายนะซี เรื่องไปตกนรกทั้ง
เปนที่ไหนบางนั้นไมพูด แลว จะมาทวงเอาหนเ้ี อาสนิ จากอรรถจากธรรม เหมือนศาสนา
เปนหนี้สินของตน ทาํ เหมอื นเราเปน เจา หนศ้ี าสนา ทวงอรรถทวงธรรมเอากับทาน มัน
ก็ไมไดนะซี เพราะเราทําเหตุไมดีใหแกตัวตางหากนี่

“นงั่ ภาวนาตั้งนมตง้ั นานไมเ ห็นเกิดผลเกิดประโยชนอ ะไร! วาสนานอ ย เรานี่
อยเู ฉยๆ ไมทําเสียดีกวา นั่น! เอาอกี แลว นน่ั หลอกไปเรอ่ื ยๆ

แตน่ังภาวนาอยูมันยงั ไมไ ดเร่อื ง สิ่งที่ตองการมันไมไดเพราะเหตุไร? เพราะ
เปนเพียงเจตนาขณะหนึ่งเทานั้นที่วาตองการจะทําภาวนา แตเจตนาที่แฝงข้นึ มาและ
เพิ่มพูนขึ้นโดยลําดับๆ จนถงึ ฉดุ ลากจติ ไปสทู ไ่ี หนๆ ไมรู ไมม ศี ลี มธี รรมประจาํ จติ ใจ
ในขณะนน้ั เลย ใจไปตกนรกทั้งเปนอยูที่ไหนก็ไมรู นน่ั เราไมค ดิ ไมเ อามาบวกมาลบ ไม
เอามาเทียบเคียงดูทดลองดูพอใหทราบขอเท็จจริงกัน แลว กไ็ ปทวง “เอาหนเ้ี อาสนิ ”
จากอรรถจากธรรมวา “ทําแลวไมเกิดประโยชน ไมเ กดิ ความสขุ ความสบาย ไมเกิด
ความสงบเยน็ ใจ” แนะ !

กเ็ ราไมห าความสงบ หาแตค วามวนุ ผลมนั กไ็ ดแ ตค วามทกุ ขค วามวนุ นน่ั นะ ซี
ความจริงตามหลักธรรมทที่ านแสดง ทท่ี า นสอนไวโ ดยถกู ตอ งนน้ั ทานไมได
สอน “ของปลอม” ใหพวกเราเลย สิ่งใดที่มีอยูภายในจิตใจเราทั้งดีทั้งชั่ว ทา นสอนให
เขาใจดังที่กลาวมา ซึ่งมีอยูกับจิตใจของทุกคนที่เรียกวา “สญุ ญกปั ”ๆ นะ ความวา ง
เปลาจากอรรถจากธรรม ทั้งๆ ท่นี ง่ั ภาวนาอยแู ตใจเผลอไปไหนก็ไมรู ปลอยไปเรื่อย ๆ
แลว วา ตนนง่ั ภาวนา ผลก็ไมปรากฏอยูโ ดยดี เพราะใจเปน “สุญญกัป”!
ถา หากมสี ตสิ ตงั กาํ หนดดอู ยนู น่ั สมมตุ วิ า จะกาํ หนดลมหายใจ ก็ตั้งหนาตั้งตา
ใหร เู ฉพาะลมหายใจไมย งุ กบั อะไร กย็ อมจะปรากฏผลเทา ท่คี วรเปน ไดตามกําลงั อนั
ความอยากมนั เปน เครอ่ื งผลกั ดนั ออกมาใหค ดิ ใหป รงุ มันอยากอยตู ลอดเวลาไมม ี
ความอิ่มพอในการคิดปรุงเพื่ออารมณ ใหท ราบวา ความอยากนเ้ี ปน ภยั ตอ ความสงบ
เพราะมันผลักดันจิตใจใหคิดปรุงในเรื่องตางๆ ตามนิสัยที่เคยเปนมา พยายามใหเ หน็
ภัยในจุดนี้ แลว บงั คบั ไวไ มใ หใ จคดิ ในแงท เ่ี ราไมต อ งการจะคดิ เราตอ งการรใู นสง่ิ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๘

๑๐๙

ใดใหก าํ หนดจติ ใจไวด ว ยดเี พอ่ื รสู ง่ิ นน้ั เชน รอู านาปานสตหิ รอื ลมหายใจเขา ออก ลม
เขา ออกกใ็ หร อู ยดู ว ยสติ ใจยอ มจะสงบเยน็ ได

พระพุทธเจาจะหลอกคนโกหกคนจริงๆ หรือ? หากพระองคเ ปน นกั โกหกคน
ทําไมพระพุทธเจาไดตรัสรูดวยธรรมของจริงละ ถา ไมทําจริงจะรู “ธรรม” ของจริงได
อยา งไร? เมื่อรูตามความจริงแลวจะมาโกหกโลกไดอยางไร มันเขากันไมได เหตผุ ลไม
ม!ี ทานทําจริง รูจริงเห็นจริง สอนจริง!ทีม่ นั ขดั กนั กต็ รงทเ่ี ราเรยี กเอาผลกอ นทาํ
เหตนุ เ่ี อง! หากการดําเนินของตนขัดกับธรรมที่ตรงไหน ควรรีบแกไขดัดแปลงจนเขา
กับธรรมไดใจก็สงบ

สว นมากผทู ่ี “ปลอม” ก็คือเราผูรับโอวาทจากทานมา เอามาขยข้ี ยาํ แหลกเหลว
หมด ทั้งๆ ที่เราวาเรานับถือทาน นบั ถอื ศาสนาเทดิ ทนู ศาสนา แตเราทําลายศาสนาซึ่งมี
อยภู ายในตวั ของเรา และทาํ ลาย “ตัวเอง” โดยไมรูสึก เพราะความเผลอความไม
รอบคอบในตวั เรานน้ั แลเปน ขา ศกึ ตอ เรา

ฉะนนั้ เพ่อื ใหไ ดผลเทา ทค่ี วรหรือใหไ ดผลย่งิ ๆ ขน้ึ ไป จึงควรคํานึงถึงเหตุที่ตน
ทํา คอยจดจอ งมองดจู ดุ ท่ีทาํ อยาใหเผลอ เชน กาํ หนด “พุทโธ” ก็ใหเปน “พุทโธ”
จรงิ ๆ ใหร อู ยกู บั “พุทโธ” เทา นน้ั ไมต องการสวรรควมิ านท่ไี หนละ นอกจากคาํ วา
“พุทโธ” ใหก ลมกลนื กนั กบั ความรู มสี ตกิ าํ กบั งานอยเู ทา นน้ั เราจะเห็นความสงบ
ที่เคยไดยินแตชื่อก็จะมาปรากฏที่ตัวของเรา ความเยน็ ความสบายความเปนสุขทเี่ กดิ ข้ึน
เพราะจิตใจสงบ ก็จะเห็นภายในตัวเรา เราจะเปนผูรู จะเปนผูเห็น เราจะเปนผูรับผล
อนั นเ้ี พราะเปน ผทู าํ เอง ดว ยเจตนาทถ่ี กู ตอ งตามหลกั ธรรม จะไมเ ปน อยา งอน่ื

ศาสนาเคยสอนโลกมาอยา งน้ี ถา ผปู ฏบิ ตั ทิ าํ ตามหลกั ธรรมทท่ี า นสอนนแ้ี ลว จะ
ไมเ ปน อน่ื ใจตอ งหยง่ั เขาถึงความสงบเปนอยา งนอ ย และจะสงบขึ้นไปเรื่อยๆ โทษที่
เคยกลุมรุมภายในจิตใจก็จะเห็นกันรูกัน เพราะอยกู บั ใจ คุณคาที่เกิดขึ้นจากใจเพราะ
การชาํ ระการฝก ทรมานปราบปรามกเิ ลสออกไปไดม ากนอ ย กจ็ ะปรากฏขน้ึ ภายในใจ
เราเอง เราจะเปนผูเห็นเองรูเองโดยไมตองฟงขาวของใครๆ ทั้งนั้น เราเปนตัวจริง เรา
เปนตัวรู ผรู บั ทราบ เราเปนผเู สวยผลเกดิ ขน้ึ จากการกระทาํ ของเรา เราจะทราบ
เรื่องตางๆ เอง

เรอ่ื งภาวนาไมใ ชเ รอ่ื งเลก็ นอ ย เปน งานทอ่ี ศั จรรยม ากมายในผลทเ่ี กดิ ขน้ึ
พระพทุ ธเจา เปน ผรู โู ลกดกี เ็ พราะการทาํ ภาวนา ทรงกาํ หนด “อานาปานสต”ิ ตาม
หลกั ทา นกลา วไวอ ยา งนน้ั แตก อ นทรงอดพระกระยาหาร โดยมุงหวังความตรัสรูจาก
การอดพระกระยาหารเทานั้น ไมเ สวย แตไ มไ ดท รงพจิ ารณาทางใจซง่ึ เปน ความถกู

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐๙

๑๑๐

ตอ งประกอบกนั เลย จึงไมไดสําเร็จ เมือ่ ยอ นพระทัยหวนกลบั ไประลกึ ถึงเร่ืองเมอ่ื
คราวยังทรงพระเยาว ที่พระราชบิดาทรงพาเสด็จไปแรกนาขวัญ ไดทรงเจริญอานา
ปานสติ จิตใจมีความสงบ จงึ ทรงนาํ เรอ่ื งนน้ั เขา มาพจิ ารณาดว ยอานาปานสติ และ
ทรงปรากฏผลขน้ึ มาแตเ รม่ิ แรกพจิ ารณา เพราะพระจิตมีความสงบ และสงบละเอยี ด
ไปโดยลาํ ดบั ก็ทรงมีทางที่จะทรงพิจารณาไตรตรองโดยทางพระสติปญญา

ทรงยก “ปฏิจจสมุปบาท” ขึ้นมา “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” เปนตน เพราะมี
อยใู นพระกาย มอี ยใู นพระจิตนน้ั ดว ยกนั ทรงไตรตรองตามเหตุตามผล ตามความสัตย
ความจริงที่มีอยูดวยพระปญญาปรีชาสามารถ และไดตรัสรู “เญยยธรรม” โดยตลอด
ทว่ั ถงึ ในปจ ฉมิ ยามแหง ราตรขี องเดอื นหกเพญ็

เมื่อ “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา” ทจี่ ูงมนษุ ยจูงสัตวท ง้ั หลายใหทอ งเท่ียวอยูใน “วฏั วน”
เหมอื นกบั คนหหู นวกสตั วต าบอด มาตั้งกัปตั้งกัลป พระองคไดทรงสลัดปดทิ้งบรรดา
ความบอดหนวกทง้ั ปวงในราตรวี นั นน้ั ปรากฏในพระทัยวา “อาสวกั ขยญาณ” ไดส้ิน
ไปแลว จากอาสวะความมดื มนอนธการทง้ั หลาย นอกจากนน้ั ยงั ทรงรู “ปพุ เพนิวาสา
นสุ สตญิ าณ” ทรงระลึกชาติยอนหลังของพระองคไดจนไมมีประมาณ และทรงรู
“จตุ ปู ปาตญาณ” รูความเกิดความดับของสัตวทั้งหลายไมมีประมาณ ญาณไหนๆ ก็
ทรงทราบโดยทั่วถึง แลวก็ทรงนําส่งิ ท่ที รงทําแลว ทรงรูเห็นแลวทั้งเหตุทั้งผลนั่นอันเปน
ความถกู ตอ งแมน ยาํ มาสง่ั สอนโลกใหพ อลมื ตาอา ปาก พูดเปนเสียงผูเสียงคนขึ้นมา
เปนลําดับ ไมห ลบั หหู ลบั ตาอา ปากพดู แบบปา เถอ่ื นเลอ่ื นลอย เหมือนแตกอนที่ยังไมมี
ศาสนธรรมมาโสรจสรง ซง่ึ ไมม โี อวาทคาํ สง่ั สอนของผใู ดทจ่ี ะถกู ตอ งแมน ยาํ และ
สะอาดยิ่งกวาพระโอวาทของพระพุทธเจา “เอกนามกึ” คอื พระโอวาทคาํ สง่ั สอนของ
พระพุทธเจา ที่เปนหนึ่งไมมีสองนั่นแล และ “พระญาณ” ความหยั่งทราบในเหตุ
การณตางๆ กเ็ ปน หน่ึงไมมีสอง ทรงรูทรงเห็นตรัสมาอยางใด ตองเปนไปตามความ
จรงิ นน้ั โดยไมเ ปน อน่ื ไปไดเ ลย นแ่ี หละ “เอกนามกึ” แปลวา หนง่ึ ไมม สี อง

พระพุทธเจาที่ตรัสรูขึ้นมาแตละพระองคนั้น ไมไ ดต รสั รซู าํ้ กนั มีพระองคเดียว
เทานั้นที่ตรัสรูแตละครั้ง ๆ นอ่ี นั หนง่ึ ทเ่ี รยี กวา “เอกนามกึ” มีพระพุทธเจาครั้งละพระ
องคเดียวเทานั้น

เอา!ทีนี้ยนเขามาหาพวกเรา ที่กลาวมาทั้งนี้เปนไดทั้งเราทั้งพระพุทธเจา เปน
แตเ พยี งวา กวา งแคบตา งกนั สาํ หรบั หลกั ฐานแหง ความจรงิ นน้ั เหมอื นกนั

“จตุ ปู ปาตญาณ” ความรูความเกดิ ความดับ รทู ่ีไหนถา ไมร สู งั ขารทเ่ี กดิ ขน้ึ
และดบั ไปทง้ั ดีท้งั ชัว่ อยภู ายในจิตใจ เอาตรงนี้ ปรุงแตงเรื่องภพเรื่องชาติ เรอ่ื งกเิ ลส

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๐

๑๑๑

ตณั หาอาสวะ กค็ อื ตวั นแ้ี หละ ปญ ญาพิจารณาใหเห็นอยา งน้ี “อาสวะ”กห็ มายถึง
กเิ ลส รูกันที่ตรงไหนก็ดับไป ๆ ทต่ี รงนน้ั จนกลายเปน “อาสวกั ขยญาณ” ความรู
แจง ในความสน้ิ อาสวกเิ ลสทง้ั หลายโดยสน้ิ เชงิ เราอยใู นกปั ไหนเวลาน?้ี

เราตอ งทดสอบเราวา อยใู นภทั รกปั หรอื ในสญุ ญกปั ?
“ภทั รกปั ” แปลวา กัปที่เจริญ เจริญในการประกอบความพากเพียร ในความมี
สารคณุ ภายในใจ ในวนั หนง่ึ ๆ ถาไดสรางสารธรรมขึ้นมาภายในจิตใจ กเ็ ปน
“ภัทรกัป”เปน ขณะเปน เวลา เปน กาลทเ่ี จรญิ รงุ เรอื ง นง่ั สมาธภิ าวนากเ็ ปน สมาธิ
ภาวนา ไมเปน “หวั ตอ” ไมมีสติสตัง ทั้งๆ ทไ่ี มห ลบั แตก ห็ ลบั อยเู รอ่ื ยๆ ดวยความไม
มีสติ คดิ ฟงุ ซา นวนุ วาย ฝนดิบฝนสุกไปเรื่อยๆ เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งนต้ี อ กนั ไป ถงึ ลกู ถงึ หลาน
ถงึ บา นถงึ เรอื น ถงึ กจิ การตางๆ ตลอดเมืองนอกเมอื งนาที่ไหนไปหมด อดตี อนาคตยงุ
ไปไมหยุดหยอน นเ่ี ปน “กปั ” อะไร? ดซู ี
ถา ไมม สี ตสิ ตงั กเ็ ปน อยา งนน้ั ถา มสี ตแิ ลว จะไมไ ป เราบงั คับนี่ เวลานี้เรา
ตอ งการจะทาํ หนา ทน่ี อ่ี ยา งเดยี ว “ใหเปนภัทรกัป อยาเปน สุญญกัป” นน่ั มนั เปน
“สุญญกัป”ทก่ี ลา วไปแลว นน้ั มนั นาํ “ไฟ” มาเผาเจาของผูเ ปน “สญุ ญกปั ”ทไ่ี มม ี
ศาสนาแฝงเลยขณะนน้ั นะ คือไมมีสติสตัง ไมมีปญญาตามรักษาเลย ปลอ ยแตก เิ ลส

ใหก เิ ลสฉดุ ลากจติ ใจถา ยเดยี วโดยเจา ของไมร สู กึ กวาจะรูสึกนะเขากินของดีหมดแลว

เขาปลอยแลว ถึงรตู ัว เวลาถกู เขาฉดุ เขาลากไปนน้ั ฝนสดไปกับเขา เวลาเขาปลอ ยแลว
จึงมารูตัว!

“โอย ตาย! มันคิดไปอะไร? เรื่องราวอะไร!” กย็ งั ดอี ยทู ร่ี วู า คดิ ไป ไอที่ไมรูเลย
นน่ั ซิ พอรตู วั ลากกลบั มา “เอ!มันยังไง? มานง่ั ภาวนาเปน เวลาตง้ั หลายนาที หรือเปน
ชว่ั โมงๆ ไมเห็นไดเรื่องอะไร นั่งอะไรไมไดเรื่องอยางนี้นะ นอนเสยี ดกี วา !” ลมไปเลย
สิ่งที่ไดเรื่องไดราวก็คือ “หมอน” แมห มอนเองถา มวี ญิ ญาณ ก็จะเบื่อคนประเภท
ธรรมไมไ ดเ รอ่ื งนี้เต็มประดา เพราะ “สญุ ญกปั ” บนหมอนไมย อมปลอ ย เมื่อเปนเชน
นั้นมันจะดีกวายังไง? นอกจากมนั “ดีหมอน” เทา นน้ั

ถา ดกี วา ดว ยหมอนดงั ความเขา ใจนน้ั ใครๆ ก็พนทุกขไ ปไดดวยกนั ทง้ั นัน้
แหละ! แตนี่มันไมดีกวา มันเปนเรื่องกิเลสหลอกเรา กลอ มเราใหห ลบั วา เปน ของดกี วา
คอื ดกี วา ภาวนา!

กเิ ลสมนั ตอ งแทรกธรรมอยเู สมอ พวกนพ้ี วกกอ กวน พวกยุแหย พวกทาํ ลาย

หาทาํ ลายทกุ แงท กุ มมุ ทกุ กาลทกุ เวลาทกุ อริ ยิ าบถ ลวนเปน เรือ่ งของกิเลส พระพุทธ

เจา จงึ ทรงสอนใหป ราบกเิ ลสพวกทแ่ี ทรกซมึ อยภู ายในใจ ดวยสติปญญา มีความเพียร

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๑

๑๑๒

เปน เครือ่ งหนนุ หลัง ความอดความทน ความพยายาม เราทาํ หนา ทก่ี ารงานอนั เปน สาร
ประโยชนสําคัญเพื่อเรา ใหเปน “ภทั รกปั บคุ คล” ขน้ึ ภายในใจ จงึ ตองอาศยั ความขยัน
หมน่ั เพยี ร

งานทกุ ดานทเ่ี ปน ผลเปนประโยชน เราอยา สรา งอปุ สรรคมากดี ขวางไมใ หง าน
นน้ั ๆ เปนผลสําเร็จ

จติ ถา สงบกส็ บาย ถาไมส งบไมว า แตก าลไหนๆ จนกระทง่ั วนั ตายกห็ าความ
สบายไมได เพราะจติ วนุ นจ่ี ะหาความสบายทไ่ี หน จงทาํ ความเขา ใจไวว า “สญุ ญกปั ” ก็
อยกู บั ความไมเ อาไหนนน่ั แล สว น “ภทั รกปั ” กอ็ ยใู นผมู คี วามเพยี ร มีสติปญญาเปน
เครื่องรักษาตัว “สญุ ญกปั ” กค็ ือการปลอยตามเรื่องตามราว ตามอารมณ ตามบญุ ตาม
กรรม ไมทราบบุญที่ไหนกรรมที่ไหน ปลอ ยเรอ่ื ยไป ความปลอ ยเรอ่ื ยไปนน้ั คอื ความ
ผกู มดั ตนเองโดยไมรูสึกตัว แลว ก็จนตรอกจนมมุ เจอแตสิ่งที่ไมพึงปรารถนา ความ
ทกุ ขใ ครปรารถนาเลา ในโลกน้ี? แตท ําไมเจอกันท่วั โลกดนิ แดน นก่ี เ็ พราะความปลอ ย
ตามบญุ ตามกรรมนั่นเอง มันไมมีเหตุผลนีก่ ารปลอยอยางน้นั

ถา ปลอ ยกเิ ลสวางกเิ ลสดว ยสตปิ ญ ญา นั่นมีเหตุมีผล! พระพุทธเจาทานทรง
ปลอ ยอยา งนน้ั รเู หตุรผู ลทกุ สิ่งทุกอยางแลวปลอ ยไปโดยลาํ ดบั จนกระทั่งปลอยไดโดย
สิ้นเชิง สดุ ทา ยกป็ ลอ ยกเิ ลสหมด เหลือแตพระทัยที่บริสุทธิ์ พระพทุ ธเจา ทา นสอนให
ปลอ ยอยา งน้ี

พวกเรามีแตเที่ยวยึดเที่ยวถือ เทย่ี วแบกเทย่ี วหาม หนกั เทา ไรอยา งมากกบ็ น เอา
แลว กไ็ มว ายทจ่ี ะแบกจะหาม หามาเพิ่มเติมเรื่อยๆ ไมวาหนุมสาวเฒา แกชราเปนตัว
ขยนั ทสี่ ดุ กค็ อื การแบกการหามอารมณค วามคดิ ความปรงุ ตา งๆ นน่ั เอง ไมไดคิดคํานึง
ถงึ วยั ถึงปถึงเดือน อายสุ งั ขารเจา ของบา งเลย

ขยนั ทส่ี ดุ กค็ อื เรอ่ื งแบกเรอ่ื งหามกองทกุ ข แบกสญั ญาอารมณ การพูดเชนนี้
ก็เพื่อใหเราระลึกถึงตัวเรา ใหร วู า เราเคยเปน อยา งนม้ี านานเทา ไร แลว ยงั จะฝน ใหเ ปน
อยา งนอ้ี ยหู รอื ผลทเ่ี ปนมาเพราะการกระทําอยา งน้ีเปน อยางไร? เราก็ทราบในตัวเรา
เองเวลานี้ เราจะแกไขตัวเราอยางไรบาง? พอไดม คี วามผอ นคลายภายในใจ ไดรับ
ความสะดวกกายสบายใจ

ดังท่ีทานท้ังหลายไดอตุ สาหม าน้ี กน็ บั วา เปน บญุ เปน กศุ ล เปนเจตนาดีที่สุดที่มา
บําเพ็ญ นช่ี อ่ื วา “มาหาสารประโยชน” เพราะฉะนั้นจึงกรุณาบําเพ็ญจิตตภาวนาให
เหมาะสมกบั กาลเวลาทม่ี า นง่ั สมาธภิ าวนาดตู วั ของเรา ตัวของเราเปนอยางไรถึงตอง
ดู ถา เปน คนไขก ต็ อ งหมอเปน ผตู รวจผรู กั ษา เวลานี้จิตเรามันเปน “โรค” เปนโรค
อะไร ใครจะเปนผูตรวจผูรักษา นแ่ี หละสาํ คญั

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๒

๑๑๓

โรคของจิตคือเรื่องของกิเลส “ยา” ก็คือธรรม “หมอ” กไ็ ดแ กค รแู กอ าจารย
หรอื ตาํ รบั ตาํ ราทท่ี า นสอนไว เรานํามาประพฤติปฏบิ ัติกําจัดเชือ้ โรคอนั สําคัญท่ีฝงอยู
ภายในอยา งจมมดิ น้ี ใหถ อนดว ยความพากเพยี รอยา ลดละทอ ถอย ความหวงั ท่ี
ปรารถนาดวยกันนั้นจะพึงสําเร็จไปโดยลําดับๆ

เฉพาะอยา งยง่ิ คอื การพจิ ารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ เรอ่ื งความเปน ความตายใน
สกลกายน้ี เปน สง่ิ สาํ คญั มากยง่ิ กวา ไปคดิ ถงึ เรอ่ื งอน่ื ๆ เรอ่ื งความตายตดิ แนบกบั ตวั
เราทกุ คน ความเจ็บ ความทุกข ความลาํ บาก ในรา งกายและจติ ใจ กต็ ดิ แนบอยกู บั รา ง
กายและจิตใจเราไมไดปลอยไมไดวาง นอนอยมู นั กท็ บั นง่ั อยมู นั กท็ บั อิริยาบถทั้งสม่ี ี
แตเ รอ่ื งความแก ความเจ็บ ความตาย นี่ทับเราอยูทั้งนั้น ความทกุ ขค วามลาํ บากทบั เรา
อยตู ลอดเวลา เราจะหาอบุ ายวธิ ไี หนเพอ่ื จะใหร เู ทา ทนั กบั สง่ิ เหลา น้ี เพอ่ื จะถอดถอนสง่ิ
ทค่ี วรถอดถอนดว ยอบุ ายวธิ ใี ดบา ง?

นเ่ี รยี กวา “เรียนรูตัวเราเอง” สง่ิ ทเ่ี กย่ี วกบั ตวั เรามอี ะไรบา งใหร ใู หเ ขา ใจ สม
กบั ศาสนาทอ่ี อกมาจากทา นผฉู ลาดแหลมคม มาสอนเราซึ่งเปนพุทธบริษัท เพอ่ื ความ
ฉลาดแหลมคมใหท นั กบั กลมารยาแหง ความโงข องตนทม่ี อี ยภู ายใน ความโงก ค็ อื กเิ ลส
พาใหโง ธรรมพาใหฉลาด เราวากิเลสมันโงนะ แตความจริงกเิ ลสมนั ฉลาดทส่ี ดุ แตทํา
คนใหโ งแ ละโงท ส่ี ดุ ไดอ ยา งสบายมาก เชน เราถกู กลอ มไวเ รอ่ื ยอยา งน้ี ดว ยความ
แหลมคมของกิเลสทัง้ นนั้ แลว จะวา กเิ ลสมนั โงไ ดอ ยา งไร ผูทเี่ ชอื่ กิเลสน้นั แลคือผโู ง
วา อยา งนถ้ี กู ตอ งดี แลวใครละ เชื่อกเิ ลสโดยลําดบั ลําดา มใี ครบา ง? กส็ ตั วโ ลกนเ้ี องเปน
พวกโงเพราะเชื่อ กเิ ลส มนั กลอ มเมอ่ื ไรกห็ ลบั เมอ่ื นน้ั เคลิ้มเมื่อนั้น ราบไปเมื่อนั้น ยง่ิ
กวา เดก็ ถกู กลอ มดว ยบทเพลง ไมเคยตื่นเนื้อตื่นตัว ไมเ คยเหน็ ภยั แหง การกลอ มของ
มนั กค็ อื พวกเรานแ่ี ล

พระพุทธเจาและพระสาวกทาน เปนผูรูสึกพระองคและรูสึกตัว ไดนําธรรมเขา
ไปรอ้ื ถอนตนออกจากไฟทง้ั หลายเหลา นเ้ี สยี ได แลว นาํ ธรรมเหลา นน้ั มาสง่ั สอนพวกเรา
ประกาศทั้งคุณทั้งโทษ “โทษ” ไดแ กค วามลมุ หลงไปตามกเิ ลสตณั หาอาสวะ คุณก็ได
แกส ติปญ ญาศรัทธาความเพียร ทจ่ี ะรอ้ื ถอนสง่ิ เหลา นอ้ี อกจากใจ ใหก ลายเปน ผฉู ลาด
แหลมคมขึน้ มา และหลดุ พน ออกจาก “แอก”ทม่ี นั กดถว งอยบู นคอ ไดแ กห วั ใจของ
เรานี่ จนกลายเปน อิสระขน้ึ มาได ดังพระพุทธเจาและพระสาวกทาน พระพุทธเจา ทาน
หมด หมดสง่ิ กดถว งใจ ยดึ อะไรหลงอะไร อนั นน้ั แหละกดถว ง ความยดึ ความถอื ของ
ตวั เองนน้ั แลมนั กดถว งตวั เอง ไปยึดภูเขาทั้งลูก ภเู ขาน้นั ไมไ ดม ากดถวงเรา แตความ
ยึดภเู ขาทง้ั ลูกน้ันแลมนั มากดถวงเรา ยดึ อะไรหลงอะไร ความยดึ ความหลงอนั นน้ั
แหละมันมากดถวง มาบีบบังคับจิตใจเรา สง่ิ ทเ่ี ราไปยดึ ไปถอื นน่ั มนั ไมไ ดม าทาํ เรา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๓

๑๑๔

เชน เงินทอง ขาวของ ตกึ ราม บา นชอ ง ทไ่ี รท น่ี าอะไรกต็ าม มนั ก็อยูต ามเรอ่ื งของมัน
มันไมถือวามันเปนขาศึก หรือเปนคุณเปนโทษแกผูใด แตผ ทู ไ่ี ปหลงไปยดึ ไปถอื สง่ิ
เหลา นน้ั นน่ั แหละมนั กลบั มาทบั ตวั เอง จงึ ตอ งแกต วั นด้ี ว ยสตปิ ญ ญา

การภาวนากเ็ พอ่ื ใหร เู รอ่ื งความคะนองของใจ ที่คิดไมเขาเรื่องเขาราวอยางนี้
แหละ สั่งสมทุกขใหแกตัวมากเทาไรยังไมเคยเห็นโทษของมัน เมอ่ื ไดเ รียนทางดาน
ภาวนาแลว เรม่ิ จะทราบขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ จนมาถงึ เรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธอ นั เปน สมบตั สิ าํ คญั
ของเรา ไดแ กรางกาย เลื่อนเขามาตรงนี้ รา งกายทกุ สว นนม้ี นั กจ็ ะตอ งสลายไปในวนั
หนง่ึ ทกุ วนั นม้ี นั กเ็ รม่ิ ของมนั แลว ตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงอยูเรื่อยๆ ความเปลย่ี น
แปลงของธาตขุ นั ธแ ตล ะชน้ิ ละอนั น้ี มนั ทาํ ความทกุ ขใ หแ กเ รามากนอ ยเพยี งไร ถา มนั
แสดงออกอยา งเปด เผยกท็ ราบชดั วา นี่มันเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ เชน เจ็บทอง ปวดหัว
เปนตน ถามันไมแสดงอยางเปดเผย เปนไปอยูอยางลับๆ เราไมทราบได เรื่องธาตุเรื่อง
ขนั ธเ ปน อยา งน้ี “เวทนา” กค็ วามทกุ ข คอื ทกุ ขเวทนาบบี อยอู ยา งนน้ั แหละ ยนื เดิน
นง่ั นอน มนั กบ็ บี บงั คบั อยอู ยา งนน้ั พจิ ารณาใหร นู แ้ี ลว แมธ าตขุ นั ธจ ะยงั อยกู บั เราก็
ตามก็ไมกดถวงเราได เพราะความยึดถือของเราไมมี เนื่องจากเรารูเทาทันกับสิ่งเหลานี้
ปลอยวางไดต ามความเปน จรงิ เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทัง้ หลาย ใจกส็ บาย อยใู น
ทา มกลางแหง ธาตขุ นั ธก ไ็ มห ลงธาตขุ นั ธ ธาตุขันธก็ไมมาทับถมเราได เราก็เปนอิสระอยู
ภายในจติ ใจ

นเ่ี รยี กวา “ผฉู ลาดครองขนั ธ ผฉู ลาดรกั ษาขนั ธ ขนั ธไ มสามารถมาเปน ภยั ตอ
เราได เพราะมปี ญ ญาความเฉลยี วฉลาดทนั กบั มนั นักปราชญทานวา “นค้ี อื ความฉลาด
ฉลาดแกตัวใหรอดพนไปได” นน้ั แลเปน ความฉลาดของนกั ปราชญท ง้ั หลาย มีพระ
พุทธเจาเปนตน

ความฉลาดนอกนน้ั พาใหเ จาของเสยี มาก พระพุทธเจาจึงไมทรงชมเชยวา นน้ั
เปนความฉลาดอยา งแทจ ริง ความฉลาดใดที่เปน ไปเพื่อความสขุ ความเจรญิ แกตนและ
สว นรวมนน้ั แล เปน ความฉลาดแท เฉพาะอยา งยง่ิ ความฉลาดเอาตวั รอดนเ่ี ปน สาํ คญั !
เอาตัวรอดไดกอน แลว กน็ าํ ผอู น่ื ใหร อดพน ไปไดโ ดยลาํ ดบั ๆ นช่ี อ่ื วา ความฉลาดแท!

จงึ ขอยุติการแสดง ฯ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๔

๑๑๕

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

ปรยิ ตั ,ิ ปฏบิ ตั ,ิ ปฏเิ วธ

วนั นเ้ี ทศนเ รอ่ื งมนษุ ยส งู กวา บรรดาสตั ว โลกสงู กวา มนษุ ย ธรรมสงู กวา โลก
เพราะฉะนั้นธรรมกับมนุษยจึงเปนคูควรกัน มนุษยก็เหมาะสมกับธรรมที่จะรับธรรมไว
บนดวงใจเพื่อประพฤติปฏิบัติ ธรรมกส็ มควรแกม นษุ ยท จ่ี ะเทดิ ทนู สกั การบชู า นอก
เหนือจากธรรมแลวก็ยังมองไมเห็นอะไรที่เปนความเลิศประเสริฐในสกลโลกนี้ ไมมี
อะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งกวาธรรม

ความฉลาดของโลกกไ็ มม ใี ครจะเยย่ี มยง่ิ ไปกวา มนษุ ย ในโลกมนุษยที่มีพุทธ
ศาสนาประจาํ จึงเหมาะสมกับมนุษยผูใครธรรมและมีธรรมในใจ แตศาสนธรรมไม
เหมาะสมกับผูเปนมนุษยเพียงแตรางไมมีธรรมภายในใจบางเลย ทง้ั นา เสยี ดายภมู แิ หง
มนุษยชาติ สูสัตวบางประเภทบางตัวที่มีจิตใจสูงสงก็ไมได นบั วา ขาดทนุ สญู ดอก ไมมี
ความดีงามงอกเงยไดบางเลย เกิดมาเปนมนุษยทั้งท!ี

เราทั้งหลายไดประพฤติปฏิบัติ ไดนับถือพระพุทธศาสนาซึ่งเปนสิ่งที่เลิศ
ประเสริฐอยูแลวโดยหลักธรรมชาติของธรรม ชอ่ื วา เราเปน ผเู หมาะสม ทั้งไดเกิดมาเปน
มนุษย ทง้ั ไดน บั ถอื พระพทุ ธศาสนา ไดตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมตามกําลังความ
สามารถของตนๆ

เฉพาะอยา งยง่ิ ทางจติ ตภาวนาเปน สง่ิ สาํ คญั มาก ที่จะทําใหมองเห็นเหตุผล
ตางๆ ซง่ึ มอี ยภู ายในตวั เราใกลไ กลรอบดา น จะรูเ ห็นไดด วยภาคปฏบิ ตั คิ อื “จิตต
ภาวนา” การภาวนาทา นถอื เปน สาํ คญั ในภาคปฏบิ ตั ศิ าสนา ครั้งพุทธกาลจึงถือภาค
ปฏบิ ตั เิ ปน เยย่ี ม เชน ทา นกลา วไวว า “ปรยิ ตั ิ, ปฏบิ ตั ,ิ ปฏเิ วธ” แนะ !

“ปริยัต”ิ ไดแกการศึกษาเลาเรียน
“ปฏบิ ตั ิ” ไดแกศึกษาเลาเรียนมาเปนที่เขาใจแลว ออกไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม
เข็มทิศทางเดินของธรรมที่ไดเรียนมาแลวนั้น
“ปฏเิ วธ” คอื ความรแู จง แทงตลอดไปเปน ลาํ ดบั ๆ กระทั่งรูแจงแทงตลอดโดย
ทว่ั ถงึ ธรรมท้ังสามนเ้ี กย่ี วเนือ่ งกัน เหมอื นเชอื กสามเกลยี วทฟ่ี น ตดิ กนั ไว
คาํ วา “ปริยัต”ิ นน้ั เมื่อครั้งพุทธกาล สวนมากทานเรียนเฉพาะเรียนจากพระ
โอษฐข องพระพุทธเจามากกวา อยางอ่นื ผูจะมาเปนสาวกอรหัตอรหันต สว นมากเรยี น
จากพระโอษฐข องพระพุทธเจา เรียนอะไร? ขณะที่จะบวชทานทรงสั่งสอน “ตจปญจก

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๕

๑๑๖

กรรมฐาน” ให คอื “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ, ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา” โดย
อนโุ ลมปฏโิ ลม ยอ นกนั ไปกนั มาเพอ่ื ความชาํ นชิ าํ นาญ นค่ี อื ทา นสอนธรรมเปน เครอ่ื ง
ดําเนินของนักบวช การสอนธรรมเปน เครอ่ื งดาํ เนนิ นน้ั แลเปน การใหโ อวาท ผูที่สดับฟง
ในขณะที่พระพุทธเจาประทานพระโอวาทก็ไดชื่อวา การเรียนดว ยและการปฏบิ ัตไิ ปใน
ตัวดวย

การสอนวา “สง่ิ นน้ั เปน นน้ั ๆ” เชน ทา นสอนวา “เกสา โลมา นขา ทันตา
ตโจ” อยา งนเ้ี ปน ตน นี่คือทานสอนธรรมซึ่งเปนปริยัติจากพระโอษฐ เราก็เรียนให
ทราบวา “เกสาคอื อะไร โลมา นขา ทันตา ตโจ แตล ะอยา ง ๆ คอื อะไร

ผูเรียนก็เรียน และปฏบิ ตั ิดว ยความสนใจใครรูใครเหน็ จรงิ ๆ ไมส กั วา เรยี นวา
ปฏิบัติเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ พระพุทธเจาทรงสอนสภาพความเปนจริง ความเปน
อยแู ละเปน ไปของสง่ิ เหลา นท้ี ม่ี อี ยกู บั ตวั เอง ตลอดถงึ อาการ ๓๒ ทุกแงทุกมุมโดย
ลาํ ดบั ใหท ราบวา สง่ิ นน้ั เปน นน้ั สิ่งนั้นเปนจริงๆ ตลอดความเปนอยูของสิง่ นนั้ ความ
แปรสภาพของสง่ิ น้ันวาเปน อยา งไร และธรรมชาตนิ น้ั คอื อะไรตามหลกั ความจรงิ ของ
มัน ใหพ จิ ารณาทราบอยา งถงึ ใจ เพื่อจะแก “สมมุติ” ที่เปนเครื่องผูกพันจิตใจมานาน

ความสมมุติของโลกวา สง่ิ นน้ั เปน นน้ั สิ่งนี้เปนนี้ ไมมีสิ้นสุด แมจะสมมุติวาสิ่ง
ใดเปน อะไรกย็ ดึ ถอื ในสง่ิ นน้ั รกั กย็ ดึ ชังก็ยึด เกลียดก็ยดึ โกรธกย็ ดึ อะไรๆ กย็ ึดทัง้ น้นั
เพราะเรอื่ งของโลกก็คือกิเลสเปนสาํ คัญ มีแตเรื่องยึดและผูกพัน ไมมีคําวา “ปลอ ย
วาง” กนั บา งเลย ความยดึ ถอื เปน สาเหตใุ หเ กดิ ทกุ ขก งั วล โลกจงึ มแี ตค วามทกุ ขค วาม
กงั วลเพราะความยดึ ถอื ถา ความยดึ ถอื เปน เหมอื นวตั ถมุ องเห็นไดดว ยตาเนอ้ื แลว
มนษุ ยเ ราแบกหามกนั ทง้ั โลกคงดูกันไมได เพราะบนหวั บนบา เตม็ ไปดว ยภาระความ
แบกหามพะรุงพะรัง ที่ตางคนตางไมมีที่ปลงวาง ราวกบั เปน บา กนั ทง้ั โลกนน่ั แล ยังจะ
วา “ดี มีเกียรติยศชื่อเสียง” อยหู รอื ? จนปราชญทานไมอาจทนดูไดเพราะทานสงสาร
สังเวชความพะรุงพะรังของสัตวโลกผูหา “เมืองพอดี” ไมมี ภาระเต็มตัวเต็มหัวเต็มบา

ธรรมทา นสอนใหร แู ละปลอ ยวางเปน ลาํ ดบั คอื ปลอ ยวางภาระความยดึ มน่ั ถอื
มน่ั ซง่ึ เปน ภาระอนั หนกั เพราะความลุมหลงพาใหยึด พาใหแ บกหาม ตนจงึ หนกั และ
หนกั ตลอดเวลา ทา นจึงสอนใหร ทู ว่ั ถึงตามหลักธรรมชาตขิ องมัน แลว ปลอ ยวางโดยสน้ิ
เชิง ทง้ั นส้ี บื เนอ่ื งมาจากการไดย นิ ไดฟ ง มาจากพระพทุ ธเจา แลว นาํ ไปปฏบิ ตั ิ จนกลาย
เปน “ปฏเิ วธ” คือความรูแจง เห็นจรงิ ข้นึ โดยลาํ ดบั

ครง้ั พทุ ธกาลทา นสอนกนั อยา งนเ้ี ปน สว นมาก สอนใหม คี วามหนกั แนน มน่ั คง
ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ยิ ง่ิ กวา สง่ิ อน่ื ใด พระในครง้ั พทุ ธกาลทอ่ี อกบวชจากตระกลู ตา งๆ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๖

๑๑๗

มีตระกูลพระราชา เปนตน ทานตั้งหนาบวชเพื่อหนีทุกขจริงๆ จึงสนใจอยากรอู ยากเหน็
ธรรมดว ยการปฏบิ ัตเิ ปน อยางย่ิง ทั้งตั้งใจฟงทั้งตั้งใจปฏิบัติดวยความจดจอตอเนื่อง
ในทางความเพียร พยายามสอนตนใหร เู หน็ ธรรมกอ น แลว จงึ นาํ ธรรมนน้ั มาสง่ั สอน
โลก ทานเปน “พระธรรมกถึก” เพอ่ื องคท า นเองกอ นแลว จงึ เพอ่ื ผอู น่ื ธรรมทานจึง
สมบรู ณด ว ยความจรงิ มากกวา จะสมบรู ณด ว ยความจดจาํ

พระธรรมกถกึ ในครงั้ พุทธกาลเชน “พระปุณณมันตานบี ุตร” ทานเปนพระ
ธรรมกถกึ เอก ซึ่งไดรับคํายกยองชมเชยจากพระศาสดา ทา นมกั ยก “สลั เลขธรรม”
ขึ้นแสดง กลา วถงึ เรอ่ื งควรขดั เกลากเิ ลสทง้ั นน้ั นับแต “อปั ปจ ฉตา” ความมกั นอ ยขน้ึ
ไปจนถึง “วิมุตติ วมิ ตุ ตญิ าณทัสสนะ” คือความรูแจงแหงการหลุดพน

พระพุทธเจาทานทรงยกยองใหเปน “เอตทัคคะ” ในทางธรรมกถกึ เรยี กวา
เปนธรรมกถกึ เอก พระปุณณมันตานีบุตรนั้นทานเปนพระอรหันตดวย รแู จง สจั ธรรม
ทั้งสี่โดยตลอดทั่วถึงดวย เพราะฉะนั้นทานจึงสอนดวยเหตุดวยผล ดว ยความสตั ยค วาม
จริง ซึ่งออกมาจากจิตใจของทานที่รูแลวจริงๆ ไมไ ดส อนแบบ “ลบู ๆ คลาํ ๆ” ตามที่
เรียนมา ซึง่ ตนเองกไ็ มแนใจวาเปนอะไรกนั แน เพราะจิตใจยังไมสัมผัสธรรม เปนแต
เรียนจําชื่อของธรรมไดเทานั้น เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ อธบิ าย “สัลเลขธรรม ทั้ง ๑๐
ประการน้ไี ดโดยถูกตอ งถองแท ไมมีอะไรคลาดเคลื่อนจากหลักความจริง เนื่องจากจิต
ทานทรงหลักความจริงไวเต็มสวน นธ่ี รรมกถกึ ทเ่ี ปน อรรถเปน ธรรม เปน ความถกู
ตองดีงามแทเปนอยางนั้น

สวนธรรมกถึกอยา งเราๆ ทา นๆ ทม่ี กี เิ ลสนน้ั ผดิ กนั แตไ มต อ งกลา วไปมากก็
เขา ใจกนั เพราะตางคนตางมี ตา งคนตา งรูด ว ยกนั ครง้ั พทุ ธกาลกย็ งั มอี ยบู า งทท่ี า น
เรียนจนจบพระไตรปฎก และมลี กู ศษิ ยล กู หาเปน จาํ นวนมากนบั รอ ยๆ ที่ไปเรียนธรรม
กบั ทา น ทา นสอนทางดา นปรยิ ตั ถิ า ยเดยี ว พระพทุ ธเจาทรงตาํ หนิ

ที่ทรงตําหนินั้นดวยทรงเห็นอุปนิสัยของทานสมควรแกมรรคผลนิพพาน ทาน
ชอ่ื “โปฐิละ” ซง่ึ แปลวา “ใบลานเปลา ” ทานเปนผูทรงธรรมไวไดมากมายจนเปน
“พหสู ตู ” แตไมใช “พหสู ตู ”อยางพระอานนท ทา นเปน ผเู รยี นมาก มีลกู ศษิ ยบริวาร
ตง้ั ๕๐๐ ทา นมอี ปุ นสิ ยั อยู แตก ล็ มื ตวั ในเวลานน้ั เมื่อไปเฝาพระพุทธเจา พระองคจึง
ทรงแสดงเปนเชิงตําหนิ เพราะพระพุทธเจาทรงตําหนิใครก็ตาม ทรงสรรเสริญใครก็
ตาม ตองมีเหตุมีผลโดยสมบูรณในความติชมนั้นๆ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๗

๑๑๘

เมื่อทานทรงตําหนิ “พระโปฐิละ” พระโปฐิละจึงเกิดสังเวชสลดใจ ขณะที่เขาไป
เฝา พระองคท รงยาํ้ แลว ยาํ้ เลา อยนู น่ั แหละวา “โปฐิละ” กแ็ ปลวา “ใบลานเปลา ”
เรยี นเปลา ๆ ไดแตความจําเต็มหัวใจ สว นความจรงิ ไมส นใจ

อยา งทา นอาจารยม น่ั ทา นเคยเทศนอ ยา งนน้ั น่ี! “เรยี นเปลา ๆ”, “หวั โลน
เปลาๆ” “กนิ เปลา ๆ นอนเปลาๆ” ย้ําไปย้ํามาจนผูฟงตัวชาไปโนนแนะ ทา นวา ไป
ทานแปลศพั ทของทา น “โปฐิละ” องคเ ดียวนแ่ี หละ คอื ทา นสอนพระลกู ศษิ ยข องทา น
ทานยกเอาเรื่องพระโปฐิละมาแสดง ใหเปนประโยชนสําหรับพระผูที่ฟงอยูในขณะนั้น
ซ่งึ มุง ถอื เอาประโยชนอ ยแู ลว อยา งเตม็ ใจ

เมื่อพระพุทธองคทรงเรียก “พระโปฐิละ” วา “โปฐิละ เขามา,โปฐิละ จงไป,
อะไรๆ กโ็ ปฐลิ ะๆ โปฐิละ...ใบลานเปลา ๆ เรียนเปลาๆ แกก เิ ลสสกั ตวั เดยี วกไ็ มไ ด
เรียนเปลาๆ กิเลสมากและพอกพูนขน้ึ โดยลาํ ดบั ทานประทานอุบายใหพระโปฐิละรูสึก
ตวั และเห็นโทษแหงความลืมตัวมั่วสุมเกลื่อนกลนดวยพระเณรทั้งหลาย ไมห าอบุ ายสง่ั
สอนตนเองบา งเพอ่ื ทางออกจากทกุ ขต าม “สวากขาตธรรม”

เวลาทลู ลากลบั ไปแลว ดวยความสลดสังเวชเปนเหตุใหฝงใจลึก พอไปถึงวัดเทา
น้นั กข็ โมยหนีจากพระทงั้ หลายซ่ึงมจี ํานวนต้งั ๕๐๐ องคดวยกันบรรดาที่เปนลูกศิษย
ออกปฏบิ ตั กิ รรมฐานโดยลาํ พงั องคเ ดยี วเทา นน้ั ทา นมุงหนา ไปสูสํานักหน่ึงซง่ึ มีแตเปน
พระอรหันตทั้งนั้น นับแตพระมหาเถระลงไปจนกระทั่งถึงสามเณรนอย เปนพระ
อรหนั ตดวยกนั ทงั้ หมด เหตทุ ท่ี า นออกไปทา นเกดิ ความสลดสงั เวชวา “เราก็เรียนมาถึง
ขนาดนี้ แทนที่พระพุทธเจาจะทรงชมเชยในการที่ไดศึกษาเลาเรียนมาของเรา ไมมีเลย
มีแตอะไรๆ ก็ “โปฐิละ ๆ” ไปเสียหมด ทุกอาการเคลื่อนไหวไมมีแงใดที่จะทรงชมเชย
เลย แสดงวาเรานี้ไมมีสารประโยชนอะไรจากการศึกษาเลาเรียนมา หากจะเปน
ประโยชนอยูบางพระองคยอมทรงชมเชยในแงใดแงหนึ่งแนนอน” ทานนําธรรมเหลานี้
มาพิจารณาแลว กอ็ อกประพฤตปิ ฏิบัติธรรม ดว นความเอาจริงเอาจงั

พอกา วเขา ไปสสู าํ นกั พระมหาเถระดงั ทก่ี ลา วแลว นน้ั กไ็ ปถวายตวั เปน ลกู ศษิ ย
ทา น แตบ รรดาพระอรหนั ตท า นฉลาดแหลมคมอยา งลกึ ซง้ึ ฉลาดออกมาจากหลกั ธรรม
หลกั ใจทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ เวลาพระโปฐลิ ะเขาไปมอบกายถวายตัวตอ ทาน ทา นกลบั พดู ถอ มตวั
ไปเสียทุกองค เพอ่ื จะหลกี เลย่ี งภาระหนกั นน้ั เพราะราวกบั สอนพระสงั ฆราช หรือจะ
เปนอบุ ายอะไรกย็ ากท่ีจะคาดคะเนทานไดถ กู

ทา นกลบั พดู วา “อา ว! ทา นกเ็ ปน ผทู ไ่ี ดศ กึ ษาเลา เรยี นมาจนถงึ ขนาดนแ้ี ลว
เปนคณาจารยมาเปน เวลานาน จะใหพ วกผมสอนทา นอยา งไรได ผมไมมีความสามารถ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๘

๑๑๙

จะสั่งสอนทานได” ทั้งๆ ที่ทานเปนพระอรหันตทั้งองค เตม็ ไปดว ยความสามารถฉลาด
รูทุกแงทุกมุม

“ทา นกลบั ไปถามทา นองคน น้ั ลองดู บางทที า นอาจมอี บุ ายแนะนาํ สง่ั สอนทา น
ได”

ทา นกไ็ ปจากองคน แ้ี ลว ไปถวายตวั ตอ องคน น้ั องคน น้ั กห็ าอบุ ายพดู แบบเดยี ว
กนั ใหไ ปหาองคน น้ั ๆๆ องคไ หนกพ็ ดู อยา งเดยี วกนั หมด จนกระทั่งถึงสามเณรองค
สดุ ทา ย แนะ ! ยงั พดู แบบเดยี วกนั คอื ทา นขอถวายตวั เปน ลกู ศษิ ยเ ณร เณรก็พูด
ทาํ นองเดยี วกนั

ทีนี้พระมหาเถระทานเห็นทาจะไมไดการ หรอื วา ทา นจะหากลอบุ ายใหเ ณรรบั
พระองคนี้ หรือใหองคนี้เขาไปเปนลูกศิษยเณรเพื่อดัดเสียบาง เพราะทา นเปน พระที่
เรียนมาก อาจมที ิฐมิ ามากก็คาดไมถ งึ คาดยาก พระมหาเถระทานวา “ก็ทดลองดูซิ
เณร จะพอมอี บุ ายสง่ั สอนทา นไดบ า งไหม?”

พอทราบอบุ ายเชน นน้ั แลว พระโปฐลิ ะกม็ อบกายถวายตวั ตอ สามเณรนน้ั ทนั ที
แลว เณรกส็ ง่ั สอนดว ยอบุ ายตา งๆ อยางเต็มภูมิ

เราลองฟงซิเณรสอนพระที่เปนมหาเถระ หาอบุ ายสอนดว ยวธิ ตี า งๆ เชนใหพระ
มหาเถระไปเอาอนั นน้ั มาให ไปเอาอนั นม้ี าใหบ า ง แลว ใหค รองจวี ร เชน ตอ งการสง่ิ ของ
อะไรทีอ่ ยใู นน้ํา ก็ใหมหาเถระครองผาไป ถาจะเปยกจวี รจริงๆ กใ็ หข น้ึ มาเสยี “พอ
แลว ไมเ อา” ความจริงเปนการทดลองทั้งนั้น

ทานมหาเถระที่เปนธรรมกถึกเอกนั้นไมมีขัดขืนไมมีทิฐิมานะ สมกบั คาํ วา
“มอบกายถวายตวั ” จรงิ ๆ เณรใชใหไปไหนไปหมด บางทีใหไปเอาอะไรอยูใ นกอไผ
หนามๆ รกๆ ทา นกไ็ ป แลว ใหค รองผา ไปดว ยทา นกท็ าํ เวลาถึงหนามเขาจริงๆ เณรก็
ใหถ อยมาเสยี “หยดุ เสยี อาจารย ผมไมเ อาละมนั ลาํ บาก หนามเกาะผา ” เณรหาอบุ าย
หลายแงหลายมุมจนกระทั่งทราบชัดวาพระองคนั้นไมมีทิฐิมานะ เปนผมู ุงหนาตอ อรรถ
ตอธรรมจริงๆ แลวเณรจึงไดเริ่มสอนพระมหาเถระดวยอุบายตางๆ

เณรสอนพระมหาเถระโดยอุบายวา “มจี อมปลวกแหง หนง่ึ มีรูอยู ๖ รู เหี้ยใหญ
มนั อยใู นจอมปลวกน้ี และเทย่ี วออกหากนิ ทางชอ งตา งๆ เพื่อจะจับตัวเหี้ยใหได ทาน
จงปด ๕ ชองเสีย เหลือเอาไวเพียงชองเดียว แลว นง่ั เฝา อยทู ช่ี อ งนน้ั เหี้ยไมมีทางออก
จะออกมาทางชอ งเดยี วน้ี แลวก็จบั ตวั เหย้ี ได”

นี่เปนขอเปรียบเทียบ แมภายในตัวของเรานก้ี ็เปน เหมอื นจอมปลวกนัน่ แล

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑๙

๑๒๐

ทานแยกสอนอยา งน้ี ทา นอปุ มาอปุ มยั เขา มาใน “ทวาร ๖” คอื ตาเปนชอ งหนึ่ง
หูเปน ชองหนึ่ง จมูกเปนชองหนึ่ง ลน้ิ ชอ งหนง่ึ กายชอ งหนง่ึ ใจชองหนึ่ง ใหท า นปด เสยี
๕ ทวารนน้ั คือ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย เหลือไวแตใจเพียงชองเดียว แลว ใหม สี ตริ กั ษาอยู
ที่ใจแหงเดียว ขณะรักษาใจดวยสติ จงทําเหมือนไมรูไมเห็นไมรูไมชี้อะไรทั้งหมดที่มา
สัมผัส ทาํ เหมอื นวา โลกอนั นไ้ี มม เี ลย มเี ฉพาะความรคู ือใจอันเดยี วทีม่ ีสติควบคุมรกั ษา
อยเู ทา นน้ั ไมเปนกังวลกับสิ่งใดๆ ในโลกภายนอกมรี ปู เสียง เปนตน จงตั้งขอสังเกต
ดใู หด วี า อารมณต า งๆ มันจะเกดิ ขึ้นท่จี ติ แหง เดยี ว ไมว า อารมณด ีอารมณชัว่ มันจะ
ปรากฏขึ้นที่จิตซึ่งมีชองเดียวเทานั้น เมือ่ เรามีสตจิ องมองดูอยตู ลอดเวลาไมป ระมาท
แลว กจ็ ะจบั เหย้ี คอื จติ และความคิดปรุงตางๆ ของจิตได

จิตจะปรุงออกในทางดที างชัว่ อดตี อนาคต ปรุงไปรัก ปรุงไปชัง เกลียดโกรธกับ
อะไร ก็จะทราบไดทุกระยะๆ เพราะความมสี ตกิ าํ กบั รกั ษาอยกู บั ความรคู อื ใจ ใหท าํ
อยา งนอ้ี ยตู ลอดไป จนกวา จะมกี ารเปลย่ี นแปลงโดยทางอารมณ และวธิ ดี ดั แปลงแกไ ข

พระเถระพยายามทาํ ตามอบุ ายทเ่ี ณรสอนทกุ ประการ ไมมีมานะความถือตัว
พระเถระองคนั้นเมื่อไดฟงและปฏิบัติตามสามเณร กไ็ ดส ตแิ ละไดอ บุ ายขน้ึ มาโดยลาํ ดบั
จนมีหลักใจ เณรเห็นวาสมควรที่จะพาไปเฝาพระพุทธเจาไดแลว ก็พาพระเถระนี่ไป
เณรเปน อาจารย พระมหาเถระเปน ลกู ศษิ ย

เมื่อไปถึงสํานักพระศาสดา พระองคตรัสถามวา “เปนอยางไรเณร, ลกู ศษิ ยเ ธอ
นะ ?” เณรกราบทูล “ดีมากพระเจาคะ ทานไมมีทิฐิมานะใดๆ ทั้งสิ้น และตั้งใจปฏิบัติ
ดีนาเคารพเลื่อมใสมาก แมจะเปนผูเรียนมากและเปนขนาดมหาเถระก็ตาม แตก ริ ยิ า
อาการทท่ี า นแสดงเปน ความสนใจ เปน ความออ นนอ มถอ มตน เปนความสนใจที่จะรู
เห็นความจริงทั้งหลายตลอดมา” นน่ั ! ฟงซิเปนยังไง นกั ปราชญส นทนากนั และปฏบิ ตั ิ
ตอ กนั ระหวางพระมหาเถระกับสามเณรผูเปนอาจารย ซึ่งหาฟงไดยาก

หลังจากนั้นพระพุทธเจาก็ทรงสอนพระมหาเถระวา “ปญฺ า เว ชายเต ภูร”ิ
ปญญาซง่ึ มคี วามหนกั แนน มั่นคงเหมอื นแผนดิน ยอมเกิดขึ้นแกผูใครครวญเสมอ!
ฉะนน้ั จงพยายามทาํ ปญ ญาใหม น่ั คงเหมอื นแผน ดนิ และสามารถจะแทงทะลุอะไรๆ ได
ใหเ กดิ ขน้ึ ดว ยการพจิ ารณาอยเู สมอ ไมมีอะไรจะแหลมคมยิ่งกวาปญญา ปญญานี้แล
เปนเครื่องตัดกิเลสทั้งมวล ไมมีอะไรจะเหนือปญญาไปได พระองคทรงสอน
“วปิ ส สนา”ในขณะนน้ั โดยสอนใหแ ยกธาตแุ ยกขนั ธ อายตนะ สว นตา งๆ ออกเปน
ชิ้นเปนอัน อนั นเ้ี ปน อยา งน้ี อนั นน้ั เปน อยา งนน้ั ใหพระมหาเถระเขาใจเปนลําดับๆ
โดยทาง “วปิ ส สนา” จากนั้นก็แสดงเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แตละ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๐

๑๒๑

อยาง ๆ อนั เปน อาการของจติ สรุปธรรมที่ทรงแสดงแก พระโปฐิละ กค็ อื อรยิ ะสจั ส่ี
ปรากฏวา ทา นไดบ รรลอุ รหตั ผลในวาระสดุ ทา ยแหง การประทานธรรม

จะอธบิ ายขนั ธห า ตอ สว นมากจติ ไปหลงอาการเหลา น้ี จึงไมทราบวาตัวของ
ตวั อยทู ไ่ี หน ไปองิ อยกู บั อาการคอื รปู วารูปเปนตนบาง วา เวทนาเปน ตนบา ง สัญญา
เปน ตนบาง สงั ขาร วญิ ญาณ เปนตนบาง เลยหาตนไมได อะไรๆ กว็ า “ตน” เสยี สน้ิ
เวลาจะจับ “ตน” เพอ่ื เอาตัวจรงิ เลยหาตัวจริงไมได! ทั้งนี้ก็เพราะจิตหลงไปควาไป
ยึดเอาส่ิงไมใ ชต นมาเปน ตนเปน ตัวน่นั แล ซึ่งเปนเพียงอาการหนึ่งๆ ทอ่ี าศยั กนั อยชู ว่ั
ระยะกาลเทา นน้ั จงึ ทาํ ใหจ ติ เสยี เวลาเพราะความเกดิ ตาย ๆ อยเู ปลา ๆ แตล ะภพ
ละชาต!ิ

นอกจากเสยี เวลาเพราะความหลงกบั สง่ิ เหลา นแ้ี ลว ยังไดรบั ความทกุ ขค วาม
บอบชาํ้ ทง้ั ทางกายและทางจติ ใจอกี ดว ย เพราะฉะนั้นจงใชปญญาพิจารณาใหเห็นตาม
ความจรงิ ของมนั เสยี แตบ ดั นซ้ี ง่ึ เปน กาลอนั ควรอยู ตายแลว หมดวสิ ยั จะรคู วามจรงิ ได

พระพุทธเจาประทานพระโอวาทไวอยางชัดเจนแลว ไมนาสงสัยวาจะมีอะไรดี
กวา ความพน จากทกุ ข อันมีการเกิดตายเปนตนเหตุ เอา! พิจารณาลงไป!

“รูป” มีอะไรบางที่เรียกวา “รูป?” มนั ผสมกบั อะไรบา ง? คาํ วา “รูป” นี้มีกี่
อาการ? อาการหนง่ึ ๆ คอื อะไร? ท่รี วมกนั อยู สภาพความเปน อยขู องมนั เปน อยา ง
ไร? เปน อยดู ว ยความบาํ บดั รกั ษา เปน อยดู ว ยความปฏกิ ลู โสโครก เหมอื นกบั ปา ชา ผี
ดบิ ซง่ึ เตม็ อยภู ายในรา งกายน้ี แตใ จเรากย็ งั ดอ้ื ดา นอาจหาญถอื วา รูปนี้เปนเราเปนของ
เรา ไมท ราบวา สง่ิ นเ้ี ปน ของสกปรกโสมม เปน กอง อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เปน ปา ชา ผดี บิ
บา งเลย ตางคนตางมีปาชาเต็มตัว ทําไมมัวเพลิดเพลิน มวั เสกสรรปน ยอ ชนิดไมรูเนื้อ
รตู วั วา เปน ปา ชา ผดี บิ กนั บา งเลย เวลา “เขา” แตกดับไป “เรา” จะเอาสาระอะไรเปน
เครอ่ื งอบอนุ ใจ ถา ปญ ญาไมถ ากถางใหเ หน็ ความจรงิ ไวก อ นแตบ ดั น้ี

ในหลกั ธรรมชาตขิ องมนั กค็ อื ธาตุ สมมตุ เิ พม่ิ เขา มากค็ อื สกลกาย เต็มไปดวย
“ปุพโพ โลหิต” นาํ้ เหลอื ง นาํ้ เลอื ด แสดงความปฏิกูลโสโครก และความทกุ ขใ หร ใู ห
เหน็ อยตู ลอดเวลานบั แตว นั เกดิ มา ไมเคยขาดวรรคขาดตอนเลย มีอันใดสิ่งใดที่จะควร
ยึดวาเปน “เรา” เปน “ของเรา” ดวยความสนทิ ใจ? ไมมีเลย!

จึงควรพจิ ารณาดตู ามหลกั ความจรงิ นี้ ทั้งความเปนอยู ทง้ั ความสลายทาํ ลายลง
ไป มันลงไปเปนอยางนั้น คือลงไปเปนธาตุดิน ธาตนุ าํ้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ

สว น “เวทนา” ก็พิจารณาแยกแยะใหเห็น ความสขุ กด็ ี ความทกุ ขก ด็ ี ความ
เฉยๆ กด็ ี มนั เกดิ ขน้ึ ไดท ง้ั ทางกายและทางใจ สกั แตว า อาการอนั หนง่ึ ๆ เกดิ ขน้ึ และ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๑

๑๒๒

ดับไปเทานั้น รอู ยเู หน็ อยปู ระจกั ษต าประจกั ษใ จ ทกุ ขป รากฏขน้ึ มากเ็ ปน เพยี งความ
จรงิ อนั หนึ่งของมนั ตวั มันเองกไ็ มทราบความหมายของมัน การทเ่ี ราไปใหค วามหมาย
มนั นน้ั กเ็ ทา กบั ผกู มดั ตนเอง เทา กบั เอาไฟมาเผาลนตนเอง เพราะความลุมหลงนี้เองจึง
ไปหมาย “เขา” ในทางที่ผิด โดยท่ีถอื เอาวา เปน “เรา” ทุกขก็เปนเรา เปนไฟทั้งกอง
ยงั ถอื วา เปน เรา อะไรๆ ก็เปนเรา ๆ หมดทั้งที่หาตัวเราไมเจอ ไปเจอแตความทุกข
ตลอดเวลาทส่ี าํ คญั มน่ั หมาย

สญั ญา กค็ อื ความจาํ จําแลวหายไป ๆ เมอ่ื ตอ งการกจ็ าํ ขน้ึ มาใหม มคี วามเกดิ
ความดับ ๆ ประจําตัวของเขา ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ มีลกั ษณะเชน
เดียวกัน ถา พจิ ารณาสง่ิ หนง่ึ ใหเ ขา ใจแจม แจง หรอื ประจกั ษด ว ยปญ ญาแลว อาการทง้ั
หา นก้ี เ็ หมอื นกนั หมด ความเขา ใจหากกระจายทว่ั ถงึ กนั ไปเอง

เมอ่ื สรปุ ความแลว กองธาตกุ องขนั ธเ หลา นไ้ี มใ ชเ ราไมใ ชข องเราทง้ั นน้ั เปน
ความจริงของเขาแตละอยาง ๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมกเ็ ปนสาเหตุมาจากจิต แต
เพราะ “ใจ” เปน ใหญ ใจเปน ประธาน จงึ สดุ ทา ยกใ็ จเปน “บอยเขา” เพราะรับใชดวย
ความลมุ หลง ตวั เองยงั ยนื ยนั วา “เขา” เปน “เรา” “เปนของเรา” กเ็ ทา กบั ถอื
“เขา” เปน นายเรานน่ั เอง ฟงซิฟงใหถึงใจ จะไดถึงตัวกิเลสเสียบางและทําลายมันลงได
ดวยสติปญญา

ธรรมของนักปราชญทานสอนพวกเรา ยังจะพากันมามัวเมาไปหาความวิเศษวิโส
จากธาตขุ นั ธ ซง่ึ เหมอื นปา ชา อะไรกนั อกี ! นอกเหนอื จากความรยู ง่ิ เหน็ จรงิ ในสง่ิ เหลา น้ี
เทา นั้น พวกเราพากนั หลงตามความเสกสรรธาตุขันธ วาเปนเราเปนของเรา มากก่ี ปั ก่ี
กลั ปแ ลว สว นผลเปน อยา งไร? เราภาคภมู ใิ จกบั คาํ วา “เรา” “ของเรา” เหมือนเรามี
อาํ นาจวาสนาเหนอื สง่ิ เหลา น้ี และเปนผูปกครองสิ่งเหลานี้

ความจริงเราเปน “คนรับใช” สง่ิ เหลา น้ี ลุมหลงก็คือเรา ไดร บั ความทกุ ขค วาม
ลาํ บาก ไดร บั ความกระทบกระเทอื นและแบกหามสง่ิ เหลา นด้ี ว ยความลมุ หลง กค็ ือเรา
ผลสุดทายเราเปน คนแยและแยก วา อะไรบรรดามใี นโลกเดียวกนั สิ่งทั้งหลายไมใชผู
หลงผยู ดึ ถอื ไมใ ชผ แู บกหาม ไมใชผูรับความทุกขทรมาน ผูร บั ภาระทั้งปวงจากสิง่ เหลา
น้ี คือเราคนเดียวตางหากนี่

เพราะฉะนั้นจึงควรแยกสิ่งเหลานี้ออกใหเห็นตามความจริงของมัน จิตจะได
ถอนตนออกมาอยตู ามหลกั ธรรมชาตไิ มม เี คร่อื งจองจํา การพจิ ารณานน้ั เมอ่ื ถงึ ความ
จรงิ แลว กต็ า งอนั ตา งจรงิ ไมกระทบกระเทือนกัน และปลดเปลื้องภาระทั้งหลายจาก
ความยดึ ถอื คอื อปุ าทานเสยี ได ใจเปนอิสรเสรีและเรืองฤทธิ์เรืองเดชตลอดกาล

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๒

๑๒๓

ระหวา งใจกบั ขนั ธก ท็ ราบกนั ตามความจรงิ และไมย ดึ ไมถ อื กนั การพะวกั พะวน
กนั เรอ่ื งขนั ธเ พราะอาํ นาจแหง อปุ าทานนไ้ี มม ี เวลายงั ครองขนั ธอ ยกู อ็ ยดู ว ยกนั ราวกบั
มติ รสหาย ไมหาเรื่องรายปายสีกันดังที่เคยเปนมา ฉะนั้นจึงอยากใหเราชาวปฏิบัติธรรม
พจิ ารณาเขา ไปถงึ ตวั จติ นน้ั แล “เหย้ี จรงิ ๆ คือตัวจิต”เหย้ี นน้ั มนั ออกชอ งนถ้ี งึ ได
พิจารณาชองนี้ จนกระทั่งเขาไปหาตัวมัน คือจิต

“จิต” คอื อะไร? คือรังแหง “วฏั จกั ร” เพราะกเิ ลสอาสวะสว นละเอยี ดสดุ ฝง
จมอยภู ายในจติ ตองใชปญญาพิจารณาแยกแยะ กาํ หนดเอาจติ นน้ั เปน เปา หมายแหง
การพิจารณา เชนเดยี วกับอาการตา งๆ ที่เราไดพิจารณาลงไปเปนลําดับๆ ดวยปญญา
มาแลว

เมอ่ื ถอื จติ เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา ดว ยความไมสงวนส่ิงใดไวท้ังสนิ้
ตองการทราบความจริงจากจิตที่เปนแหลงสรางปญหาทั้งมวลนี้โดยตลอดทั่วถึง การ
พจิ ารณาไมห ยดุ ยง้ั กจ็ ะทราบดว ยปญ ญาวา ในจติ นน้ั มอี ะไรฝง จมอยอู ยา งลกึ ลบั
สลบั ซบั ซอ น อยดู ว ยกลมารยาของกเิ ลสทง้ั ปวง

จงกําหนดเขาไป พิจารณาเขาไป จิตถา พดู ตามหลกั การพจิ ารณาแลว จิตก็เปน
ตวั อนิจฺจํ เปนตัวทกุ ขฺ ํ เปนตัวอนตตฺ า เพราะยังมีสมมุติแทรกอยูจึงตองเปนลักษณะ
สาม คอื “ไตรลักษณ” ได จงฟาดฟนหั่นแหลกลงไปที่ตรงนั้น โดยไมตองยึดมั่นถือมั่น
วาจิตนี้เปนเรา จิตนี้เปนของเรา ไมเพียงแตไมยึดมั่นถือมั่นในรูป เวทนา สญั ญา สังขาร
วญิ ญาณ วาเปนเราเปนของเราเทานั้น ยงั กาํ หนดใหเ หน็ ชดั เจนในตวั จติ อกี วา ควรจะ
ถือเปนเราเปนของเราหรือไม เพราะเหตุไร! เอา กําหนดลงไปพิจารณาลงไป แยกแยะ
ใหเห็นชัดตามความเปนจริง

สิ่งที่เปน อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า ภายในจติ นจ้ี ะกระจายออกหมดไมม อี ะไรเหลอื
เลย เมื่อธรรมชาตินี้ไดกระจายหายไปไมมีอะไรเหลือแลว อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า ที่มีอยู
ภายในจติ กห็ ายไปพรอ มกนั เปนจิตที่สิ้นสมมุติโดยประการทั้งปวงแลว!

การใชค าํ วา “จิต” เราจะเรียก “จิต” ก็ไดไมเรียกก็ได เพราะนอกโลกนอก
สมมุติไปแลว เมื่อจิตแยกตัวออกจากสมมุติแลว คําวา “อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า” จึง
ไมม ใี นจติ อกี ตอ ไปตลอดอนนั ตกาล

เมอ่ื ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งสลายตวั ไปแลว แตค วามรนู น้ั กลบั บรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ไมส ลาย
หรอื ไมฉ บิ หายไปกบั สง่ิ ทง้ั หลาย นเ่ี รยี กวา “จับตวั เหี้ยไดแลว!” เหย้ี ใหญค อื จติ นเ้ี อง!
ที่เณรสั่งสอนพระโปฐิละนะ! จงจับตัวนี้ใหไดจะเปนผูสิ้นจากทุกข พระโปฐิละก็ไดหลุด
พนจากกิเลสอาสวะในขณะที่พระพุทธเจาประทานพระโอวาทจบลง เพราะเขาถึงจุดนี้

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๓

๑๒๔

คอื เหย้ี ใหญต วั น้ี และทําลายเหี้ยใหญตัวนี้ไดดวยปญญา ที่ทานวา “ปญฺ า เว ชายเต
ภูร”ิ ทําปญญาใหเปนเหมือนแผนดิน มั่นคงตอ ความจริงทั้งหลาย พิจารณาใหเขาถึง
ความจริงใหรูความจริง สมกับปญญาคือความจริงอันฉลาดแหลมคมมากในองค
“มรรคแปด”

ทท่ี า นสอนใหห ยง่ั เขา ถงึ จดุ สดุ ยอดแหง กเิ ลสทง้ั หลายคอื อะไร? กค็ อื จิตท่เี ต็ม
ไปดว ย “อวชิ ชา” นน่ั แล เมอ่ื พจิ ารณาธรรมชาตนิ ใ้ี หแ ตกกระจายออกไปแลว จิตก็
บรสิ ทุ ธ์ิ เมื่อจิตบริสุทธิ์ขึ้นแลว คําวา “เหี้ย” จะเรียกวา “ถูกจับไดและทําลายได” ก็
ถกู “ถึงตัวจริงของธรรม” กถ็ กู และหมดปญหา!

นี่แหละการพิจารณาธรรม พระพทุ ธเจาของพวกเราชาวพทุ ธทา นสอนอยา งน้ี
สว นพวกเราชาวพทุ ธพากนั งวั เงยี ตน่ื หรอื ยงั ? หรอื ยงั หลบั สนทิ พากนั ฝนเพลนิ
วาดวมิ านเพอ่ื ราคะตณั หาอยรู าํ่ ไป?
วันนี้พูดเรื่อง “ปริยัต,ิ ปฏบิ ตั ิ, ปฏเิ วธ” ในครง้ั พทุ ธกาลกม็ มี าอยา งนน้ั เหมอื น
กนั แตท า นมคี วามหนกั แนน ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั มิ ากกวา อยา งอน่ื ไมเหมือนสมัย
ปจจุบันนี้ซึ่งมีแตการเรียนมากๆ ไมส นใจในการประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ นั บา งเลย ความจํา
อรรถจําธรรมไดมันก็ไมผิดอะไรกับนกขุนทองที่วา “แกวเจาขา ๆ”แตเ วลาเอาแกว มา
ใหน กขนุ ทองดจู รงิ ๆ แลว มนั กไ็ มท ราบเลยวา นน่ั คอื อะไร นอกจากเปน ผลไมน ก
ขนุ ทองจะทราบและทราบดกี วา คน แตแกวนกขุนทองไมสนใจทราบ!
ธรรมเปรียบเหมือนแกวดวงประเสริฐ อยา พากนั จาํ แตช อ่ื จะเปน นกขนุ ทองไป
จงคน ดแู กว คือธรรมภายในใจใหรู เมื่อรูแลว ชอ่ื ของธรรมกเ็ จอกนั ทน่ี น่ั เอง
คําวาธรรมคืออะไร? ถา ไมสนใจกบั การประพฤติปฏิบตั ิตามหลักธรรมทีไ่ ดร่ํา
เรียนมา กเ็ ทา กบั วา “แกว คอื อะไร” นน้ั เอง “ธรรมคืออะไรก็ไมทราบ “สมาธิ” คือ
อะไรใจไมเคยสัมผัส เพราะไมเคยนั่งสมาธิ “ปญ ญา” คืออะไร?กไ็ มไดส ัมผสั อีก
เพราะไมไดเจริญปญญาทางดานการปฏิบัติ “วิมุตติ” คอื อะไร? ไมทราบ เพราะจิตไม
เคยหลุดพน นอกจากจะสง่ั สมกเิ ลสใหเ ตม็ หวั ใจจนแบกไมไ หว นง่ั อยกู ค็ ราง นอนอยกู ็
คราง ไปไหนกบ็ น เปน ทกุ ขย งุ ไปตลอดกาลสถานท่ี ทั้งๆ ที่เขาใจวาตนฉลาดเรียนรูมาก
แตก บ็ น วา “ทุกขๆ” ไมไดวายแตละวัน
เพราะฉะนั้นเพื่อทราบธรรมชาติความจริงนี้และหายบน จึงตองเรียนและปฏิบัติ
ใหเขาถึงความจริง ใหส มั ผสั สมาธถิ งึ ความสงบเยน็ ใจ ดวยการปฏิบัติ ใหส มั ผสั ปญ ญา
คอื ความฉลาดแหลมคม ดว ยการปฏบิ ตั ภิ าวนา ใหสัมผัส “วิมุตต”ิ ความหลดุ พน จาก
กิเลสทั้งมวล ดว ยการปฏบิ ตั ภิ าวนา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๔

๑๒๕

การสมั ผสั สมาธิ ปญญา วิมุตติ ดวยการปฏิบัติของตัว และธรรมเหลานี้เปน
สมบัตขิ องตัวแทแ ลว ยอ มหายสงสยั ไมถ ามใคร แมพระพุทธเจาประทับอยูตรงหนาเรา
นก้ี ต็ าม จะไมท ูลถามพระพทุ ธเจา ใหท รงราํ คาญและเสียเวลาํ่ เวลาเลย เพราะเปนการ
แสดงความโงออกมาทั้งๆ ทต่ี นรแู ลว ใครจะแสดงออกมาละกร็ ูแลว ถามทาํ ไม นน่ั !
เพราะความจริงเหมือนกันและเสมอกัน กห่ี มน่ื กแ่ี สนองค กพ่ี นั กห่ี มน่ื คน ที่ไดสัมผัส
วิมุตติธรรมดวยใจตัวเองแลว ไมมแี มรายหน่งึ จะทลู ถามพระพุทธเจาใหทรงลาํ บาก
ราํ คาญเลย

เพราะคําวา “สนฺทิฏฐิโก” ผูปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเองนั้น พระพุทธเจาไมทรง
ผกู ขาด แตม ไี วส าํ หรบั ผปู ฏบิ ตั โิ ดยทว่ั กนั ตั้งแตครั้งนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ตามหลัก
ธรรมทท่ี า นทรงสอนไวไ มม เี ปลย่ี นแปลงแตอ ยา งใด ตั้งแตครั้งพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้
ธรรมเปนธรรมชาติที่คงเสนคงวาเสมอมา ถา ผปู ฏิบัติใหเ ปนไปตามหลกั ธรรมนัน้ เรื่อง
มรรคผลนิพพานไมตองไปถามใคร ผูปฏิบัติจะพึงขุดคนขึ้นมาชมอยางเต็มใจไดดวย
การปฏิบัติโดยทางศลี สมาธิ ปญญา ที่เปน “สวากขาตธรรม” ไมตองสงสัย และไมมี
สง่ิ อืน่ ใดท่ีจะมอี าํ นาจมาปดกั้นมรรคผลนพิ พานใหสิน้ เขตสิน้ สมัยได และไมมีสิ่งใดที่จะ
ขุดคนมรรคผลนิพพานขึ้นมาใหรูเห็นได นอกจากการประพฤตปิ ฏบิ ตั ดิ ว ยศลี สมาธิ
ปญญา นเ้ี ทา นน้ั

เพราะฉะนั้นหลักมรรคแปด มีสัมมาทิฏฐิ เปนตน มสี มั มาสมาธเิ ปน ทส่ี ดุ ที่ทาน
เรยี กวา “มชั ฌมิ า” จึงเปนธรรมคงเสนคงวาตอทางมรรคทางผลอยางสมบูรณ และ
เปนธรรมสม่ําเสมอ เปนธรรมศนู ยก ลางในการแกกิเลสอาสวะทกุ ประเภทตลอดมา ตง้ั
แตโ นน จนบดั นี้และตลอดไปไมมีทางส้นิ สดุ ตอ งเปน “มัชฌิมาปฏิปทา” แกผูปฏิบัติ
ถกู ตอ งตามนน้ั ตลอดกาลสถานท่ี

ผลที่พึงไดรับจากการปฏิบัติจะไมตองไปถามใคร ขอใหด าํ เนนิ ไปตามหลกั
ธรรมนใี้ หถ ูกตองเทา นัน้ จะเหมาะสมอยางยิ่งตอมรรคผลนิพพาน อนั เปนสมบตั ิลนคา
ของตน ๆ แตผูเดียวไมมีใครเขายุงได

ทว่ี า “มรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัยไปแลว” นน้ั ก็คือคนทีไ่ มเคยปฏบิ ัติ คน
ไมเคยสนใจกับธรรมเลย แตอุตริตั้งตนเปนศาสดาเหนือพระพุทธเจา พระธรรม พระ
สงฆ คอยใหคะแนนตัดคะแนนพระรัตนตรัยและชาวพุทธทั้งหลาย เขาคนน้นั คือ “ตัว
แทนเทวทัต” จะไปรูเรื่องมรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัยไดอยางไร ไมมีอะไรมาคุย
อวด มอี ยางไรก็พูดไปอยางนั้นตามประสาของคนท่ีมนี ิสยั ตางกนั เพื่อคนอื่นแมไมเชื่อ
แตสนใจฟงบางชั่วขณะก็ยังดี

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๕

๑๒๖

พระพุทธเจา สัตวโลกรูและกราบไหวกันท้ังนน้ั แตสัตวแปลกประหลาดไมมีตน
มีตัว ปรากฏแตค าํ อวดฉลาด ไมม ใี ครนบั ถอื และกราบไหวก พ็ ดู อยา งนน้ั เอง ผลของ
การพดู ก็ทําใหคนอื่นพลอยโงไ ปดวย ถา ผตู อ งการจะโงอ ยแู ลว กโ็ งไ ดจ รงิ ๆ เพราะคํา
พูดคาํ นีเ้ ปนคาํ พดู ทท่ี าํ คนใหโง ไมใ ชเ ปน คาํ พดู ใหค นฉลาด ถา ผปู ฏบิ ตั มิ เี หตมุ ผี ลถอด
แบบ “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” แลว จะไมส นใจกบั คาํ นเ้ี ลย แตส นใจกบั หลกั ธรรมทพี่ ระ
พุทธเจาทรงสอนไว แลว ปฏบิ ตั ติ ามนน้ั นน่ั แลเปนสิง่ ที่เหมาะสมหรือถกู ตองท่สี ดุ เรา
ทง้ั หลายไดร บั พระโอวาท คือศาสนธรรมจากพระพุทธเจามาโดยถูกตองแลว จึงพากัน
นําไปประพฤติปฏิบัติกําจัดสิ่งที่เปนภัยแกตน ผลที่จะพึงไดรับจะเปนที่พึงพอใจ เพราะ
เราจะเปนผูรับ จะเปน ผคู รอง จะเปนเจาของสมบัติที่ตนปฏิบัติไดโดยทั่วกัน ตามหลัก
ธรรมวา “ผูทําดียอมไดดี ผูทําชั่วยอมไดชั่ว ผทู าํ ตนถงึ ขน้ั บรสิ ทุ ธย์ิ อ มพน จากทกุ ขท ง้ั
มวล”

จงจําใหถ ึงใจ ปฏิบัติใหถึงธรรม ผลพึงใจทั้งมวลคือเราเปนผูเสวย ไมมีใครแยง
ชิงไดตลอดไป จึงขอยุติเพียงนี้

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๖

ภาค ๒ ''เรา กับ จติ ''

รปู เน่อื งในงานมุทิตาจิตหลวงตามหาบัว เนือ่ งในโอกาสครบรอบอายุ 96 ป ณ วัดปา บา นตาด

รูปจาก คณุ Blessing (www.larndham.com)



๑๒๖

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด

เมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘

อะไรคอื จติ –จิตพระอรหันต

ทา นอาจารยม น่ั ทา นวา “ใจ” มภี าษาเดยี วเหมอื นกนั หมด ไมวาจะเปนชาติใด
ภาษาใด มเี พยี งความรคู อื ใจน้ี ฉะนน้ั ทา นจึงวา เปน ภาษาเดยี ว พอนกึ ออกมากเ็ ขา ใจ
แตเ วลาแยกออกมาพดู ตอ งเปน ภาษานน้ั ภาษาน้ี ไมค อ ยเขา ใจกนั ความรสู กึ ภายในจติ
ใจน้นั เหมือนๆ กนั ธรรมกบั ใจจงึ เขา กนั สนทิ เพราะธรรมกไ็ มไดเปนภาษาของอะไร
ธรรมกค็ อื ภาษาของใจ ธรรมอยกู บั ใจ”

ความสขุ ความทกุ ขอ ยกู บั ใจ การทําใหส ขุ หรอื ใหทกุ ขเ กดิ ขึ้นก็ใจเปนผคู ิดขึ้นมา
ผลที่ปรากฏขึ้นเปนสุขเปนทุกข ใจเปนผูรับรู เปนผูรับภาระในผลของตนที่คิดขึ้นมา ใจ
กับธรรมจึงเขากันไดสนิท ไมวาจะเปนชาติใดภาษาใด เรื่องธรรมนั้นเขากันไดทั้งนั้น
เพราะใจกับธรรมเปนของคูควรกันอยูแลว

ใจนค้ี อื แกน ในสกลกายของเรา เปนแกนอันหน่ึงหรือเปน ของแขง็ หรือเปน
สาระสาํ คญั ทม่ี อี ยใู นรา งกายน้ี ไดแ กใ จเปน หลกั ใหญ อาการทเ่ี กดิ ขน้ึ จากใจ เชน ความ
คิดความปรุง เกิดแลวดับ ๆ ก็หมายถึงความกระเพื่อมของใจกระเพื่อมขึ้นมา คอื ความ
คิดปรุง ความหมายเกย่ี วกบั การคาดการจดจาํ นน้ั หมายถงึ สญั ญา ยาวออกไปกเ็ ปน
สญั ญา สน้ั กเ็ ปน สงั ขาร คือปรุงแพล็บก็เปนสังขาร สญั ญา คอื ความหมายความจาํ
วญิ ญาณหมายถงึ การรบั รใู นขณะทส่ี ง่ิ ภายนอกเขา มาสมั ผสั อายตนะภายใน เชน ตากบั
รูปสัมผัสกันเกิดความรูขึ้นมา เปนตน เหลานี้มีการเกิดการดับอยูประจําตัวของเขาเอง
ทานจึงเรียกวา “ขันธ” แตล ะหมวดแตล ะกองรวมแลว เรยี ก วา “ขนั ธ”

ขนั ธห า กองนม้ี กี ารเกดิ การดบั กนั อยเู ปน ประจํา แมแตพระขีณาสพทานก็มี
อาการเหลา นเ้ี ชน เดยี วกบั สามญั ชนทว่ั ๆ ไป เปน แตว า ขนั ธข องทา นเปน ขนั ธล ว นๆ ไม
มกี เิ ลสเปน เครอ่ื งบังคบั บัญชาใชใหท ํานี้ ปรุงนี้คิดนั้น เปนขันธที่คิดโดยธรรมชาติของ
มันเอง เปนอสิ ระของขนั ธ ไมมีอะไรมาบังคับใหคิดนั่นปรุงนี่เหมือนจิตสามัญชนทั่วๆ
ไป ถาจะเทยี บขนั ธข องสามญั ชนทัว่ ไป กเ็ หมอื นนกั โทษทถ่ี กู บงั คบั บญั ชาอยตู ลอดเวลา
ความคดิ ความปรงุ ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ เหลา น้ี ลว นแตม ผี บู งั คบั บญั ชาออกมา
ใหค ดิ อยา งนน้ั ใหป รงุ อยา งน้ี ใหส าํ คญั มน่ั หมายอยา งนน้ั อยา งน้ี คอื มกี เิ ลสเปน นาย หวั
หนา บงั คบั บญั ชาขนั ธเ หลา นใ้ี หแ สดงตวั ขน้ึ มา

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๖

๑๒๗

สวนพระขีณาสพคือพระอรหันตทานไมมี ปรุงก็ปรุงธรรมดา พอปรงุ แลว กด็ บั
ไปธรรมดาไมมีเชื้อตอ ไมมีเชื้อกดถวงจิตใจ เพราะไมมีอะไรบังคับเหมือนดังขันธที่มี
กเิ ลสปกครองหรอื มกี เิ ลสเปน หวั หนา ผิดกันตรงนี้ แตค วามจรงิ นน้ั เหมอื นกนั

ทกี่ ลาวมาท้ังหมดน้เี ปนอนิจจงั คือความไมเที่ยง ความแปรสภาพของแตละ
ขันธๆ มีประจําตัวดวยกัน นับแตรูปขันธคือกายของเรา เวทนาขนั ธ ไดแ กค วามสขุ
ความทกุ ข ความเฉยๆ นก่ี เ็ กดิ ดบั ๆ สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ มีเกิดมีดับประจําตนอยู
ตลอดไป

สว นความรจู รงิ ๆ ทเ่ี ปน รากฐานแหง ความรเู กย่ี วกบั สง่ิ ตา งๆ ที่เกิดดับๆ นี้ไม
ดบั เราจะพูดวา “จิตนี้ดับไมได” เราจะพูดวา “จิตนี้เกิดไมได” เพราะฉะนั้นจิตที่บริสุทธิ์
แลวจึงหมดปญหาในเรื่องเกิดเรื่องตาย ทเ่ี กย่ี วกบั ธาตขุ นั ธไ ปถอื กาํ เนดิ เกดิ ทน่ี น่ั ทน่ี ่ี
แสดงตวั อนั หยาบออกมา เชน เปน สตั วเ ปน บุคคลเหลานนั้ เปนตน จึงไมมีสําหรับจิต
ทา นทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว

แตถ า ไมบ รสิ ทุ ธ์ิ กพ็ วกนแ้ี หละไปเกดิ ไปตาย หมายปา ชา อยไู มห ยดุ เพราะจติ
ทไ่ี มต ายนแ้ี หละ

ฉะนน้ั พระพทุ ธเจาจงึ ทรงสอนโลก เฉพาะอยางยิ่งคือโลกมนุษยเรา ผูที่รูดีรูชั่ว รู
บาปบญุ คณุ โทษ และรูวิธีการที่จะแกไขดัดแปลงหรือสงเสริมได เขาใจในภาษาธรรมที่
ทา นแสดง ทา นจงึ ไดป ระกาศสอนโลกมนษุ ยเ ปน สาํ คญั กวา โลกอน่ื ๆ เพ่อื จะไดพยายาม
ดัดแปลงหรือแกไขสิ่งที่เห็นวาไมเกิดประโยชนและเปนโทษ ออกจากจติ ใจกายวาจา
และสอนใหพ ยายามบาํ รงุ สง เสรมิ ความดที พ่ี อมอี ยบู า งแลว หรอื มอี ยแู ลว และที่ยังไมมี
ใหมีใหเกิดขึ้น สงิ่ ที่มีแลวบาํ รุงรกั ษาใหเ จริญ เพื่อเครื่องหลอเลี้ยงจิตใจใหมีความชุม
เย็นมีความสงบสุข มหี ลกั มเี กณฑด ว ยคณุ ธรรมคอื ความดี หากไดเ คลอ่ื นยา ยจากธาตุ
ขนั ธป จ จบุ นั นไ้ี ปสสู ถานทใ่ี ด ภพใดชาติใด จิตที่มีความดีเปนเครื่องหลอเลี้ยงอยูเสมอ
ยอมเปนจิตที่ดี ไปก็ไปดี แมจะเกิดก็เกิดดี อยกู อ็ ยดู ี มีความสุขเรื่อยๆไป

จนกวา จติ นจ้ี ะมกี าํ ลงั สามารถอาํ นาจวาสนา มีบุญญาภิสมภารที่ไดสรางโดย
ลาํ ดบั ลาํ ดา นับตงั้ แตอ ดตี มาจนกระท่ังปจ จุบันนี้ตอ เนอ่ื งกันมา เชน วานนเ้ี ปน อดตี
สาํ หรบั วนั น้ี วนั นเ้ี ปน อดตี สาํ หรบั วนั พรงุ น้ี ซึ่งเปนวันที่เราไดสรางความดีมาดวยกันทั้ง
นน้ั และหนนุ กนั เปน ลาํ ดบั จนกระทั่งจิตมีกําลังกลาสามารถ เพราะอํานาจแหงความดี
นี้เปนเครอื่ งสนบั สนนุ แลว ผานพนไปได

คาํ วา “สมมุต”ิ คอื การเกดิ การตายดงั ทเ่ี ปน อยนู น้ั จะไปเกิดในภพที่เงียบๆ
ละเอียดขนาดไหนก็ตาม ที่เปนเรื่องของสมมุติแฝงอยูนั้นจงึ ไมมี ทานผานไปหมดโดย
ประการทั้งปวง นี่ไดแกจิตพระอรหันตและจิตพระพุทธเจา พูดถึงเรอื่ งนี้ก็ยงั มเี รื่องของ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๗

๑๒๘

“พระวังคีสะ” พระวังคีสะ ทา นเกง มากในการทด่ี จู ติ ผทู ต่ี ายแลว ไปเกิดในภพใดแดนใด

ต้งั แตท านเปนฆราวาส ใครตายกต็ าม จะวา ทา นเปน หมอดกู พ็ ดู ไมถนดั ทา นเกง ทาง

ไสยศาสตรน น่ั แหละ เวลาใครตายเขานําเอากะโหลกศีรษะมาใหเคาะ ปอ ก ๆๆ

กาํ หนดดทู ราบวา อนั นน้ั ไปเกดิ ทน่ี น่ั ๆ เชน ไปเกดิ เปน สตั วน รกกบ็ อก ไปเกิดในสวรรค

กบ็ อก ไปเกิดเปนสัตวเดรัจฉาน ไปเกิดเปนเปรตเปนผีอะไรทานบอกหมดไมมีอัดมีอั้น

บอกไดท ง้ั นน้ั ขอใหไ ดเ คาะกะโหลกศรี ษะของผตู ายนน้ั กแ็ ลว กนั

พอทานวังคีสะไดทราบจากเพื่อนฝูงเลาใหฟงวา พระพุทธเจายังเกงกวานี้อีก

หลายเทา ทา นอยากไดค วามรเู พม่ิ เตมิ จึงไปยังสํานักพระพุทธเจา เพื่อขอเรียนวิชา
แขนงนี้เพิ่มเติมอีก พอไปถึงพระพุทธเจาทานก็เอาศีรษะพระอรหันตมาใหเคาะ “เอา
ลองดูซิไปเกิดที่ไหน?” เคาะแลว ฟง เงียบ, เคาะแลว ฟง เงียบ, คดิ แลว เงยี บ กาํ หนด
แลวเงียบ ไมป รากฏวา เจา ของกะโหลกศรี ษะนไ้ี ปเกดิ ทไ่ี หน!

ทานจนตรอก ทานพูดสารภาพอยางตรงไปตรงมาวา “ไมทราบที่เกิด”

ทแี รกพระวงั คสี ะนว้ี า ตวั เกง เฉลยี วฉลาด จะไปแขงกับพระพุทธเจาเสียกอนกอน

จะเรียนตอ พอไปถึงพระพุทธเจา พระองคเอากะโหลกศีรษะพระอรหันตมาใหเคาะนี่
ซิ ! ทานมาติดตรงนี!้ ทนี ก้ี อ็ ยากจะเรยี นตอ ถาเรียนไดแลวก็จะวิเศษวิโสมาก เมอ่ื

การณเ ปนไปเชนนั้นกข็ อเรียนทส่ี ํานักพระพุทธเจา พระพทุ ธเจากท็ รงสอนวชิ าให สอน

วธิ ใี ห คอื สอนวชิ าธรรมนใ่ี ห ฝกปฏิบัติไป ๆ พระวังคีสะก็เลยสําเร็จพระอรหันตขึ้นมา

เลยไมสนใจจะไปเคาะศีรษะใครอีก นอกจากเคาะศีรษะเจาของ รูแจงชัดเจนแลวหมด
ปญหาไปเลย นี่เรียกวา “เคาะศีรษะที่ถูกตอง”!

เมอ่ื ยกเรอ่ื งจติ ทไ่ี มเ กดิ ขน้ึ มา กะโหลกศรี ษะของทา นผบู รสิ ทุ ธแ์ิ ลว เคาะเทา
ไรกไ็ มร วู า ไปเกดิ ทไ่ี หน! ทั้งๆ ท่ีพระวังคีสะแตกอนเกงมาก แตจิตที่บริสุทธิ์แลวหาที่
เกดิ ไมไ ด ! เชน “พระโคธิกะ” กเ็ หมอื นกนั นก้ี น็ า เปน คตอิ ยไู มน อ ย ทานไปบาํ เพญ็

สมณธรรมเจริญขึ้นไปโดยลําดับๆ แลว เสอ่ื มลง เจริญขึ้นเสื่อมลง ฟง วา ถงึ หกหน หนที่
เจ็ดทานจะเอามีดโกนมาเชือดคอตนเอง “โอ เสียใจ” แตกลับไดสติขึ้นมา จึงได

พิจารณาธรรมจนไดเปนพระอรหันตในวาระสุดทาย อันนีเ้ ราพดู ยอเอาเลย ตอนทา น
นพิ พาน พวกพญามารกม็ าคน หาวญิ ญาณของทา น พูดตามภาษาเราก็วา “ตลบเมฆ
เลย” การขุดการคน หาวญิ ญาณของทานนัน้ ไมเ จอเลย ไมทราบวาทานไปเกิดที่ไหน

พระพุทธเจาจึงรับสั่งวา “การที่จะคนหาวิญญาณของพระโคธิกะที่เปนบุตรของ

เรา ซึ่งเปนผูสําเร็จเสร็จสิ้นไปแลวโดยประการทั้งปวงนั้น จะขุดจะคนจะพิจารณาเทาไร

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๘

๑๒๙

หรอื พลกิ แผน ดนิ คน หาวญิ ญาณทา นกไ็ มเ จอ มนั สดุ วสิ ยั ของ “สมมตุ ”ิ แลวจะเจอ
อยา งไร! มนั เลยวสิ ยั ของคนทม่ี กี เิ ลสจะไปทราบอาํ นาจจติ ของพระอรหนั ตท า นได!

ในวงสมมตุ ทิ ง้ั หลาย ไมมีผูใดจะสามารถตามวิถีจิตของพระอรหันตทานได
เพราะทานนอกสมมุติไปแลว จะเปน จติ เหมอื นกนั กต็ าม ลองพิจารณาดูซิ จิตของเราที่
กาํ ลงั ลม ลกุ คลกุ คลานอยเู วลานก้ี ต็ าม เมื่อไดถูกชําระเขาไปโดยสม่ําเสมอไมหยุดไม
ถอย ไมละความเพียรแลว จะคอยละเอียดไปได จนละเอยี ดถงึ ที่สดุ ความละเอยี ดก็
หมดไป เพราะความละเอียดนั้นเปนสมมุติ เหลือแตธรรมชาติทองทั้งแทงหรือธรรมทั้ง
ดวง ที่เรียกวา “จิตบริสุทธิ์” แลว กห็ มดปญ หาอกี เชน เดยี วกนั เพราะกลายเปนจิต
ประเสริฐ เชน เดยี วกบั จิตของทา นทพ่ี น ไปแลว นน้ั นน่ั แล

จติ ประเภทนเ้ี ปนเหมอื นกนั หมด ไมนิยมเปนผูหญิงผูชาย นี่เปนเพศหรือสมมุติ
อนั หนง่ึ ตา งหาก สว นจิตนน้ั ไมไ ดน ยิ มวา เปน หญงิ เปน ชาย ความสามารถในอรรถใน
ธรรมจึงมีไดทั้งหญิงทั้งชาย และความสามารถทีบ่ รรลุธรรมข้นั ตางๆ จนกระทง่ั ถงึ
วิมุตติหลุดพนไปได ก็เปนไปไดท ้ังผูหญงิ ผชู าย ไมมีกฎเกณฑที่จะบังคับกันได ขอแต
ความสามารถอาํ นาจวาสนาของตนพอแลว เปน อนั ผา นไปไดด ว ยกนั ทง้ั นน้ั

เพราะฉะนั้นเราจึงควรพยายามอบรมจิตใจของเรา อยา งนอ ยกใ็ หไ ดค วามสงบ
เย็น จะดวยธรรมบทใดก็ตาม ทเ่ี ปน ธรรมซง่ึ จะกลอ มใหจ ิตมคี วามสงบ แลว ปรากฏ
เปนความรม เยน็ เปน สุขข้ึนมาภายในจิตใจ พงึ นาํ ธรรมบทนน้ั มาเปน เครอ่ื งกาํ กบั มา
เปนเครื่องพึ่งพึง เปนเครื่องยึดของจิต เชน อานาปานสติ ซ่ึงเปน กรรมฐานสาํ คญั บท
หนง่ึ ในวงปฏบิ ตั ทิ ง้ั หลาย รสู กึ วา อานาปานสตจิ ะเปน ธรรมทถ่ี กู กบั จรติ นสิ ยั ของคน
จํานวนมากกวา ธรรมบทอน่ื ๆ และนําเขามาประพฤติปฏิบัติภายในจิตใจของเราใหได
รับความสงบเย็น

เมื่อใจเริ่มสงบ เราก็จะเริ่มเห็นสาระของใจ หรือจะเรม่ิ เหน็ ใจวา เปน อะไร เปน
อยา งไร กค็ อื ความทจ่ี ติ รวมกระแสของตวั เขา มาสจู ดุ เดยี ว เปน ความรลู ว นๆ อยู
ภายในตวั นน้ั แหละทา นเรยี กวา “จิต” ความรวมตวั เขา มาของจติ น้ี รวมเขา มาตามข้ัน
ตามความสามารถ ตามความละเอียดของจิต ตามขั้นของจิตที่มีความละเอียดเปน
ลาํ ดบั ถาจิตยังหยาบ รวมตัวเขา มากพ็ อทราบไดเหมอื นกนั เมื่อจิตละเอียดเขาไปก็
ทราบความละเอยี ดลงไปอกี วา จิตนี้ละเอียด จิตนี้ผองใส จติ นส้ี งบยง่ิ จิตนี้เปนของ
อศั จรรยย ง่ิ ยิ่งขึ้นไปโดยลําดับๆ จิตดวงเดียวนี้แหละ!

การชําระการอบรมเพื่อความสงบ การพจิ ารณาคน ควา แกไ ขสง่ิ ทข่ี ดั ขอ งภายใน
จิตดวยปญญา ซ่งึ เปนวธิ ที จ่ี ะทาํ ใหจ ติ กา วหนา หรือทําใหถึงความจริงของจิตไดโดย
ลําดับ ดว ยการกระทาํ ดงั ทก่ี ลา วน้ี ใจจะหยาบขนาดไหนกห็ ยาบเถอะ ถาลงความเพียร

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒๙

๑๓๐

ไดพ ยายามตดิ ตอ กนั อยเู สมอดว ยความอตุ สา หพ ยายามของเราอยแู ลว ความหยาบนน้ั
ก็จะคอยหมดไป ๆ ความละเอียดจะคอยปรากฏขึ้นมาเพราะการกระทําหรือการ
บําเพ็ญของเรา จนกระทั่งสามารถผานพนดวยการฟาดฟนกิเลสใหแหลกไปไดเชนเดียว
กนั หมดไมว า ผหู ญงิ ผชู าย

ในขณะที่เรายังไมสามารถจะทําอยางนั้นไดก็ไมตองเดือดรอนใจ ขอใหท าํ ใจให
มหี ลกั มเี กณฑ เปนที่ยึดเปนที่พึ่งของตนเองได สว นสกลกายนเ้ี รากพ็ ง่ึ เขามาแลว ตง้ั แต
วนั เกดิ ทราบไดด ว ยกนั พาอยพู านอน พาขบั พาถา ย พาทาํ งานทาํ การ ทาํ มาหาเลย้ี ง
ชพี ทั้งเราใชเขา ทั้งเขาใชเรา ทั้งเขาบังคับเรา ทั้งเราบังคับเขา เชน บงั คบั ใหท าํ งาน
แลวเขาก็บังคับเราใหเปนทุกข ปวดนน่ั เจบ็ น่ี ตอ งไปหาหยกู หายามารกั ษา กเ็ ขานน่ั
แหละเปนคนเจ็บ และกเ็ ขานน่ั แหละเปน คนหาหยกู หายา เงนิ ทองขาวของก็เขาแหละ
หามา มนั หนนุ กนั ไปหนนุ กนั มาอยอู ยา งน้ี

ไมท ราบวา ใครเปน ใหญก วา ใคร ธาตขุ นั ธก บั เรา? เราบงั คบั เขาไดช ว่ั กาล และ
เขาก็บังคับเราไดตลอด! การเจ็บไขไดปวย การหวิ กระหาย การอยากหลบั อยากนอน
ลวนแตเ ปน เรอ่ื งกองทกุ ขซ งึ่ เขาบังคับเราท้ังนัน้ และบงั คบั ทกุ ดา น แตเราบังคับเขาได
เพียงเล็กๆ นอ ยๆ ฉะนน้ั ในกาลอนั ควรทเ่ี ราจะบงั คบั เขา ใหพ าเขาภาวนา เอา ทําลงไป
เมอ่ื ธาตขุ นั ธม นั ปกตอิ ยู จะหนกั เบามากนอ ยเพยี งไรกท็ าํ ลงไป แตถาธาตุขันธไมปกติ
มีการเจ็บไขไดปวย เรากต็ อ งรคู วามหนกั เบาของธาตขุ นั ธ เรอ่ื งใจใหเ ปน ความเพยี ร
อยภู ายในตวั อยา ลดละปลอ ยวาง เพราะเปน กจิ จาํ เปน

เราอาศยั เขามานานแลว เวลาน้ีมนั ชํารดุ ทรุดโทรมกใ็ หทราบวา มันชาํ รุด อนั ไหน
ที่ควรจะใชได อนั ไหนที่ใชไ มได เราเปนเจาของทราบอยูแกใจ ทค่ี วรลดหยอ นผอ นผนั
กผ็ อ นผนั ไป

สวนใจที่ไมเจ็บปวยไปตามขันธ ก็ควรเรงความเพียรอยูภายใน ไมขาดประโยชน
ที่ควรไดรับ ใหใ จมหี ลกั มเี กณฑ อยกู ม็ หี ลกั ตายกม็ หี ลัก เกดิ ทไ่ี หนกใ็ หม หี ลกั เกณฑ
อนั ดเี ปน ท่พี ึงพอใจ คําวา “บญุ ” กไ็ มใหผ ดิ คาดผดิ หมาย ไมใหผิดหวัง ใหมีสิ่งที่พึงพอ
ใจอยตู ลอดเวลา สมกับเรา “สรา งบญุ ” คอื ความสขุ ทโ่ี ลกตอ งการดว ยกนั ไมมีใครอิ่ม
พอกค็ อื ความสขุ นแ่ี หละ จะเปนสุขทางไหนก็ตามเปนสิ่งที่โลกตองการ เฉพาะอยา งยง่ิ
สุขทางใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นเพราะการทําคุณงามความดีเปนลําดับๆ มภี าวนา เปนตน

นเ่ี ปน ความสขุ อนั เปน แกน หรอื เปน สาระสาํ คญั ภายในใจ ฉะนน้ั ใหพ ากนั
บาํ เพญ็ ในเวลารา งกายหรอื ธาตขุ นั ธย งั เปน ไปอยู เมอ่ื ถงึ อวสานแหง ชวี ติ แลว มนั สดุ วสิ ยั
ดว ยกนั ทาํ ไดม ากนอ ยกต็ อ งหยดุ ในเวลานน้ั เรยี กวา หยดุ งานพกั งาน และเสวยผลใน
อนั ดบั ตอ ไป

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๐

๑๓๑

โนน! ภพตอไปโนน! ควรจะทําไดเราก็ทํา ถาผานไปเสยี หรือหลุดพน ไปได ก็
หมดปญหาดวยประการทั้งปวง ไมมีอะไรมาเกี่ยวของยุงเหยิงตอไป นี่พูดถึงเรื่องจิต
เพราะจิตเปนหลักใหญ ที่จะพาเราไปดีไปชั่ว ไปสุขไปทุกข ก็คือจิต ไมใชสิ่งอื่นใดที่จะ
พาใหเปนไป

คาํ วา “กรรม” วา “เวร” ก็อยทู ่จี ิตเปนผสู รา งไว ตนจะจําไดหรือไมไดก็ตาม แต
เชอ้ื ของมนั ซง่ึ มอี ยภู ายในใจนน้ั กป็ ด ไมอ ยใู นการใหผ ล เพราะเปนรากเหงาอยูในจิต
เราก็ยอมรับไปตามกรรมนั้น แตเ ราอยา ไปตาํ หนมิ นั เมื่อเราทําลงไปแลวก็เปนอันทํา
จะไปตําหนิไดอยางไร มือเขียนตองมือลบ ยอมรบั กันไปเหมอื นนกั กีฬา เรื่องของกรรม
เปน อยา งน้นั จนกวาจะพนไปได มนั กห็ มดปญ หานน่ั แหละ

ตอ ไปใหท า นปญ ญา (ภิกษุปญ ญาวัฑโฒ Peter John MORGAN ชาวองั กฤษ)
อธบิ ายใหท า นเหลา นฟ้ี ง เพราะมีชาวตางประเทศอยูดวย

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๑

๑๓๒

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘

จะฝกจิต ตอ งฝน

เราเปน ชาวพทุ ธ พระพุทธเจาของเราเปนนักเหตุผล เปน นักอรรถนกั ธรรม นักรู
นกั ฉลาดแหลมคม และเปนคลังแหงธรรม ผลธรรมท่อี ยใู นคลงั คอื พระทัยอนั บริสุทธ์ิ
ของพระองคนั้น มีแตพระธรรมดวงประเสริฐเลิศโลก ทา นไดม าดว ยเหตผุ ลอนั ใดทา น
จงึ ไดร่ําลือ เราก็เปนคนๆ หนึ่งไมเห็นเปนที่ร่ําลือ พระพทุ ธเจา กเ็ ปน คนๆ หนง่ึ แต
ทาํ ไมทา นจึงราํ่ ลอื ทว่ั โลกธาตุ “สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ” เปนครูของเทวดาและมนุษยทั้ง
หลาย ทา นราํ่ ลอื ทกุ อยา งบรรดาความดที ง้ั หลายไมว า ฝา ยเหตไุ มว า ฝา ยผล ทานเปน
“คลังแหงพระธรรมดวงประเสริฐ”

พระธรรมทป่ี รากฏใหโ ลกผสู นใจกราบไหวบ ชู าอยนู ้ี พระพุทธเจาทรงขุดคนได
มากอนใครทั้งโลก แลว ทรงนาํ ออกแจกจา ยโลก แมกระนั้นโลกยังไมเห็นสําคัญในธรรม
ดวงประเสริฐนั้น เห็นสําคัญแตเรื่องไมประเสริฐเรื่องเหลวไหล ทก่ี มุ อาํ นาจอยภู ายใน
จิตใจ ความเคลื่อนไหวไปมาของใจกายวาจา จึงเปนไปตามอํานาจเหลานี้เสียโดยมาก

เมื่อเชนนั้น แมความตองการสิ่งประเสริฐเลิศโลกก็ “สกั แตค วามตอ งการเทา
นน้ั ” เพราะไมไดสนใจดําเนินตามเทาที่ควร ไมไ ดฝ น สง่ิ ทก่ี มุ อาํ นาจไวภ ายในใจเพอ่ื การ
ปฏิบัตบิ ําเพ็ญธรรม สมกับเปนลูกศิษยพระตถาคตผูทรงฝนอยางยิ่ง

การฝนเพื่อเหตุเพื่อผลเพื่ออรรถเพื่อธรรมนั้นแล เปนความดียิ่งสําหรับเรา
เพราะครูเราคือพระศาสดาและสาวก ทานพาฝนและไดดีสิริมหามงคลสูงเดนแกโลก
เพราะความฝน ความดีมีคุณคาของคนเรามีอยูที่ตรงนี้ ไมใชมอี ยทู ี่เนือ้ ทหี่ นงั เหมอื น
สัตว ตายแลว นาํ เขา สตู ลาด ผลปรากฏออกมาเปน เงนิ เปน ทอง เปน อาหารการบรโิ ภคท่ี
สําเร็จประโยชนไดทั่วโลกดินแดน

สว นมนษุ ยเ ราน้ี ไมไ ดมีคุณคาอยทู เ่ี น้ือที่หนงั อยางสตั วเหลา นนั้ แตม คี ณุ คา ทาง
จิตใจ มคี ณุ คา ทางความประพฤตอิ ธั ยาศยั หนา ทก่ี ารงาน อนั เปน ประโยชนแ กต นและ
สว นรวม

ความประพฤติ ถาไมดําเนินมาจากจิตใจก็ไมมีทางดําเนิน จิตใจถาไมมีเหตุผล
เปนเครื่องดําเนินก็ไมปลอดภัย เพราะฉะนั้นมนุษยเราจึงควรมีเหตุผลแนบสนิทกับใจ
ใจตองใครครวญเหตุวาดีหรือไมดีอยูเสมอ ทกุ อาการทเ่ี คลอ่ื นไหวไปมา ผลทีส่ ําเรจ็
ออกไปจากเหตนุ จ้ี ะเปน อยา งไร? เมื่อเหตุไมดีแลวผลก็ตองไมดี เพราะไมขึ้นอยูกับ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๒

๑๓๓

ความเสกสรรปน ยอหรอื เสกเปา แลว กว็ า ดี ดังที่โลกๆ มกั นยิ มใชก นั เสมอมา แตด แี ละ
ชว่ั อยทู ก่ี ารทาํ เหตเุ ปน สาํ คญั กวา การ “เสก” ใดๆ นี่เปนหลักธรรมชาติที่ใครๆ ไมควร
ฝน เพราะเปนความจริง เมื่อเหตุดีผลตองดี ใครจะติเตียนวันยังค่ํา หรอื ยกโลกธาตมุ า
ตําหนิติเตียนวา “ทําชั่วไดดี ทาํ ดกี ลบั ไดช ว่ั ” อยา งน้ี กส็ กั แตค าํ พดู หรอื ความเสกสรร
ปน ยอของคนตา งหาก แตน าํ มาใชเ ปน การยนื ยนั รบั รองไมไ ด เพราะเปนความคดิ การ
กระทําของคนผูจะทําลายตนและสังคมตางหาก ธรรมแทไ มเ กย่ี วกบั เรอ่ื งจอมปลอม
อยา งน้ี เพราะความจริงเปนเรื่องใหญโตมาก ในโลกทั้งสามไมมีอะไรจะจริงยิ่งกวา
ความจรงิ ดงั ทก่ี ลา วมาน้ี

พระพทุ ธเจา ทานกท็ รงสัง่ สอนโลกตามหลกั ความจรงิ น้ที ง้ั นั้น ไมวาธรรมในแง
ใด ไมวาพระสูตร พระวนิ ยั พระปรมัตถ ลว นแสดงตามหลกั ความจรงิ จะเคล่อื นคลาด
จากนี้ไปไมมี ฉะน้นั พวกเราทเี่ ปนชาวพุทธ จึงตองพยายามประพฤติปฏิบัติตน และพึง
คํานึงถึงพระพุทธเจาเสมอ แมจะไมไดมุงความเปนพระพุทธเจาเหมือนพระองคก็ตาม
แตก็ควรคํานงึ ถึงความเปน “ลกู ศษิ ยข องตถาคต” คือพุทธบริษัท ไดแ กอ บุ าสก
อบุ าสกิ า เปน ตน แลวพยายามปฏิบัติบําเพ็ญตามธรรมของพระองค พระพุทธเจาทรง
ฝน ทกุ สิ่งทกุ อยางบรรดาที่เปน ขา ศึกตอความดี เราก็ตองฝนเชนเดียวกับพระพุทธเจา
เพราะตอ งการความดหี รอื ของดที ป่ี ราชญท า นวา ดี ไมใชดีแบบเสกสรรปนยอเสกเปา
แลว กต็ น่ื ลมกนั โดยไมย อมเหลอื บมองดปู ราชญท า นวา เปน อยา งไรบา ง

อนั ความไมด นี น้ั มอี ยแู ลว ภายในจติ ใจ สิ่งที่ฝนไมใหทําความดีนี้ลวนแตสิ่งที่ชั่ว
ทั้งนั้น ถา เราไมย อมฝน ก็แสดงวา เรายอมจาํ นนตอ ความชว่ั ความตาํ่ ทรามทม่ี อี ยภู ายใน
จิตใจมากนอ ยนน้ั ถาเราฝนก็แสดงวาเราเห็นโทษแหงความไมดีนั้น และฝนใหห ลดุ พน
จากความไมด ี หรอื ทําลายความไมดีโดยลาํ ดบั ดว ยความฝน ความบากบน่ั กลน่ั กรอง
ตวั เอง ความเห็นโทษเปนเหตุปจจัยใหฝนสิ่งต่ําทรามเหลานี้ เพอื่ ความดีทั้งหลาย

เรื่องของศาสนาเปนเรื่องฝนสิ่งที่ไมดีทั้งหลาย ไมใชเปนสิ่งที่คลอยตามของไมดี
แตเปนสิ่งที่ฝน ฝนตั้งแตเบื้องตนจนถึงที่สุด จนหาสิ่งที่ใหฝนไมได จติ กส็ ะดวกสบาย
ไมม อี ะไรมาฝน กนั อกี ตอ ไป ส่ิงทีฝ่ นมมี ากมนี อยเพยี งไรนน้ั แลคือตวั ภัย สิ่งนั้นเมื่อเรา
ดาํ เนนิ ไปตามหรอื คลอ ยไปตาม จะมกี าํ ลงั มากขน้ึ โดยลาํ ดบั จนกลายเปน นสิ ยั คาํ วา
“กลายเปน นสิ ยั ” คอื ทโ่ี ลกเขาวา “ตามใจตัวเองจนเปนนิสัย” แตความจริงก็ตามธรรม
ชาตฝิ า ยตาํ่ นน้ั แหละ เพราะใจไมมีอํานาจเหนือสิ่งนั้น และสง่ิ นน้ั อยเู หนอื ใจ โลกเลย
พูดเสียวา “เอาแตใจตัวเอง ไมคํานึงถึงเหตุผลบางเลย”

ทีนี้การที่เรามาประพฤติปฏิบัติ เราจําตองฝน ดงั ทท่ี า นทง้ั หลายมาสสู ถานทน่ี ้ี
หรอื ไปสสู ถานทใ่ี ดเพอ่ื คณุ งามความดที ง้ั หลาย ก็ตองฝนเชนเดียวกัน ถาไมฝนก็ไมได

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๓

๑๓๔

ของดี ปกตขิ องคนสว นมาก เวลาํ่ เวลาจะมมี ากนอ ยเทา ไร สง่ิ ทม่ี นั กดขบ่ี งั คบั อยภู ายใน
ใจ ซง่ึ เปน ผกู มุ อาํ นาจหรอื ผคู มุ อาํ นาจนน้ั จะแยงชิงเอาไปกินจนหมดไมมีเหลือเลย จน
กระทั่งโนนละ ขณะที่จะสิ้นลมหายใจมันจึงจะปลอย กอ นนน้ั มนั ไมค อ ยปลอ ยใหม เี วลา
วา งกนั ! ดวยเหตุนโี้ ลกจงึ ไมค อยมเี วลาทาํ ความดกี ัน จาํ ตองมืดทั้งมา มืดทั้งอยูและมืด
ทั้งเวลาจะไปและไปกัน ไมมีเวลาสวางสรางซา

วันคืนปเดือนมีอยูเทาเดิม ปหนึ่งมี ๓๖๕ วนั วนั หนง่ึ คนื หนง่ึ มี ๒๔ ชั่วโมง ก็ไม
มวี า ง! สําหรับธรรมชาติเจาอาํ นาจนี้จะไมยอมวางใหใครเลย กมุ อาํ นาจอยตู ลอดเวลา
จนขณะจะสิ้นลมหายใจถึงจะเปดโอกาสใหวา “เวลานว้ี า ง จึงไดต าย!” นั่น จงพจิ ารณา
ใหถ งึ ใจ เคียดเเคนใหถึงธรรม ดาํ เนนิ ใหถ งึ แดนปลดปลอ ยอยา ถอยมนั เปน อนั ขาด
ชาตมิ นุษยพุทธบริษทั ทฉี่ ลาดและแข็งแกรงในโลก มีศาสดาเปนจอมทัพ ไมเคยพาพวก
เราใหก ลบั แพน ่ี

เมอ่ื คดิ เรอ่ื งเหลา นม้ี นั นา สลดสงั เวชมากทส่ี ดุ เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี คยกดถว ง เคย
ทรมาน เคยทาํ ใหเ ราไดรับความทุกขม ามากตอมากจนไมอ าจคณนาได แมเ ชน นน้ั กย็ งั
ไมท ราบวา สง่ิ เหลา นเ้ี ปน ภยั แกต วั เอง ถึงจิตใจจะวุนวายเดือดรอนขนาดหนักแทบไมมี
สติ กว็ า “วันนี้ใจไมดีเลย!” แลว กไ็ มท ราบวา ไมดีเพราะอะไรเปนเหตุทําใหใจไมดี

ความจรงิ กค็ อื ธรรมชาตอิ นั นน้ั แลทาํ คน จะเปนอะไรมาจากโลกไหนเลา? แตเรา
ไมอาจทราบได จงึ ตอ งอาศยั การอบรมใหท ราบวา สง่ิ ไหนผดิ ส่งิ ไหนถกู สง่ิ ไหนดสี ิ่ง
ไหนชั่ว ความดีเปนคุณแกจิตใจ ความชว่ั เปน ภยั ตอ จติ ใจ มันติดอยูกับใจดวงเดียวทั้ง
สองอยา ง มเี พยี งมากกบั นอ ยทต่ี า งกนั

เพราะฉะนน้ั เราจะหาอบุ ายวธิ ใี ด แกส ง่ิ ไมด ซี ง่ึ มอี ยใู นจติ อนั เดยี วกนั ใหอ อกไป
ไดโดยลําดับ? นอกจากอรรถธรรมและตัวเราเองที่จะฝน โดยอาศัยหลักธรรมเปน
เครื่องมือเทานั้น ไมมวี นั ทจ่ี ะไดรบั การปลดปลอ ยตัวออกสูค วามวางไดตลอดไป

“พระพุทธเจา ทานทําไมจึงวาง?” เราตอ งคดิ ไปเชน นน้ั เพอ่ื แกต วั เอง “ทา นกเ็ ปน
ถึงพระมหากษัตริย ทําไมทานถึงวางและออกบําเพ็ญพระองคได” เราไมมุงบําเพ็ญตาม
แบบพระพทุ ธเจา กต็ าม แตเรายกทานเปนครูในสวนที่เราจะยึดได มาปฏิบัติเพื่อตัวเอง

ทําไมพระพุทธเจาทานวาง ทานไมมีกิเลสหรือ? ทานไมหึงไมหวงอะไรบางหรือ?
ลกู กม็ ี เมียก็มี สมบตั พิ สั ถานมากนอ ย ไพรฟาประชาชีทั้งหลายเต็มแผนดิน ซึ่งเปน
สมบัติอันมีคามหาศาลของพระองคทั้งนั้น ทําไมพระองควางได พระองคปลอยไดและ
วางได จนไดตรัสรูและสะเทือนโลกธาตุ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๔

๑๓๕

เราไมถึงกับจะตองปลอยอยางพระพุทธเจา แตป ลอ ยแบบลกู ศษิ ยม คี รู จึงควร
หาเวลาวา งสาํ หรบั ตนใหไ ดบ า ง อะไรที่มีสาระสําคัญที่สุดในโลกนี้? จติ ของเรามุงตอ
อะไรทุกวันน?้ี วา อะไรเปน ศกั ดส์ิ ทิ ธแ์ิ ละวเิ ศษทส่ี ดุ ที่จะเปนสารคุณอันสําคัญพึ่งเปนพึ่ง
ตายไดจริง ๆ มอี ะไรบา งอยใู นโลกน้ี? เราเปนมนุษยพุทธบริษัททั้งคน ควรคิดใหเต็ม

ใจกอ นจะหมดโอกาสคดิ และทาํ เพื่อสิ่งที่พึงหวังดังใจหมาย คิดรอบ ๆ ตวั กพ็ อสะดดุ

สะเทือนใจไมเสียผล ดเู อาซไี ปท่ไี หนเห็นมแี ตปาชา เกล่อื นไปหมด ไมว า สตั วว า บคุ คล
“ปาชา ” เต็มตัวดวยกัน เราหวังอะไรเปน “สรณะ” เราหวังอะไรเปนหลักเปนฐานเปนที่
มั่นใจเรา? เมื่อมองไปไหนมีแตภ ัยรอบดาน จนจะหาทางคบื คลานออกไมม ี

ทง้ั นถ้ี า ไมม อี รรถมธี รรมภายในใจบา งแลว คนเราจะหาหลักเกณฑไมไดเลย จะ

รวนเรเลื่อนลอย จนกระทง่ั วนั สน้ิ ชพี วายชนมก เ็ ลอ่ื นลอยไปอยา งนน้ั ไมมีอะไรเปนหลัก

ในอนาคต ถา ไมร บี สรา งหลกั ยดึ ไวเ สยี แตใ นบดั น้ี เมอ่ื จติ ใจในปจ จบุ นั มนั เลอ่ื นลอย

อยา งไร ไมม หี ลกั เกณฑอ ยา งไร อนาคตไมต อ งพูด กค็ อื ผนู แ้ี หละ ผเู ลอ่ื นลอยนแ้ี หละ

จะไปเปนผูเดือดรอนระทมขมขื่นในอนาคต ไมใชอะไรจะพาใหเปน ตองใจดวงรวนเร

เลอ่ื นลอยนแ้ี ลจะพาใหเ ปน
พระสาวกทา นมจี าํ นวนมาก ทานทําไมวางได? ทานทําไมฝนได คาํ วา “ฝน” เปน

สิง่ สําคญั มาก ทําไมทานฝนได กิเลสของทานเปนกิเลสประเภทใดทานจึงฝนได? กเิ ลส

ของเราเปนกิเลสประเภทใดเราจึงฝนไมได ก็เปนกิเลสประเภทเดียวกัน ธรรมเครื่องแก
ไขก็เปนประเภทเดียวกัน ทําไมจะนํามาแกสิ่งที่ฝนธรรมไมได!

บคุ คลผจู ะตอ สแู กไ ข หาเวลาํ่ เวลาหรอื หาโอกาสเพอ่ื ตวั เอง ก็เปน บคุ คลเชน

เดยี วกบั เราไมผ ดิ กนั เลย ถา ผดิ กผ็ ดิ แตว า ทา นมคี วามเขม แขง็ เรามคี วามออ นแอ ทาน
เปน “นกั ตอ ส”ู เราเปน “นกั ถอยหลงั ” ทา นกลา หาญ เราขข้ี ลาดหวาดกลวั เทา นน้ั ทผ่ี ดิ
กนั ! แลว จะทาํ อยา งไรกบั ตวั เราจงึ จะเขา กนั ไดก บั ทา นและหลกั ธรรมของทา น จะไมเปน

ขา ศกึ กนั

ความออ นแอ เปนตน นแ้ี ลเปน สง่ิ ทจ่ี ะทาํ ใหเ ราไดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บากบน

เพอ อยูต ลอดเวลา ทั้งๆ ที่ความบนไมเกิดประโยชนอะไรเลย แตเ มอ่ื ไดบ น บา งกอ็ าจ

เปน ทางระบายออกแหง ความทกุ ขท างหนง่ึ ความจริงไมใชทางระบายออกแหงทุกข

ความบน มนั เปน แงท น่ี า คดิ อนั หนง่ึ เหมอื นกนั เพราะความคิดที่จะบนก็เปนงานของจิต

การบน ออกมากเ็ ปน งาน นอกจากนน้ั ยงั ทาํ ใหบ างคนราํ คาญ อกี อยา งหนง่ึ เขากม็ อี ะไร

อยใู นใจของเขา พอมาพบเรอ่ื งของเรากม็ าบวกกนั เขา เลยไปกนั ใหญ สดุ ทา ยมแี ตก อง
ทุกขทั้งสองฝาย จึงตา งคนตา งหาบหามอยางเตม็ กําลังไมมีคําวา “ปลง”!

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๕

๑๓๖

เพราะฉะนั้นเพื่อปลดเปลื้องสิ่งที่เราไมพึงปรารถนาทั้งหลาย จึงขน้ึ อยกู บั
“ความฝน ” ฝน มากฝน นอ ย ฝนเถอะ การฝนเรา ฝนสิ่งไมดีของเราเปนความชอบธรรม
ไมผิด ฝนไดมากไดนอยเปนสิริมงคล เปนความดีประจําตัวของเรา จนกลายเปน นสิ ยั
แหงการฝนสิ่งไมดีทั้งหลาย ใจจะมีความองอาจกลาหาญขึ้นมา ผลสดุ ทา ยเรอ่ื งทเ่ี ราฝน
นน้ั กเ็ ลยยอมจาํ นน

จะไปไหนมาไหน จะพูดอะไร มีเหตุผลอยางไร ทเ่ี หน็ วา ถกู วา ควรแลว กด็ าํ เนนิ
ตามนั้น ไมมีอะไรมาขัดแยงกีดขวาง ยอมเปนไปตามเหตุผลนั้นอยางเดียว สิ่งที่จะมา
ฝน สิ่งที่มาคอยกีดกันขวางทางเดินของเรานั้น มนั คอ ยสลายคอ ยละลายไป ในทส่ี ดุ ก็
ลม ละลายไป เมื่อเราเคยฝนเสมอๆ เคยตอ สตู า นทานมนั เสมอ และเคยไดรับชัยชนะมา
แลว สิ่งนั้นจะมาชนะเราอีกไมได เราไดชัยชนะโดยลําดับ ชนะไปเรื่อยๆ และชนะจนไม
มอี ะไรจะตอ สกู บั เราอกี นน่ั ! ความฝนเปน ผลอยา งนแ้ี ล

ใจชอบอยา งน้ี แตเหตุผลเปนอยางนั้น เราตองฝนความชอบใจเพื่อเหตุผลนั้นๆ
ซง่ึ เปน ความถกู ตอ ง ถา จะดาํ เนนิ หรอื ทาํ ไปตามความชอบใจ กค็ วามชอบใจน้มี ีเหตุผล
อะไรบา ง? สว นมากไมม ี นอกจากเหตผุ ลของกเิ ลสเพอ่ื หาทางเลด็ ลอดธรรมเทา นน้ั ซึ่ง
มอี ะไรกอ็ า งมาตามเรอื่ งของมัน สว นมากเราชอบเหตผุ ลของกเิ ลสมากกวา เหตผุ ลของ
ธรรม ฉะนน้ั ผลทไ่ี ดร บั จงึ มแี ตค วามทกุ ขค วามรอ นภายในใจ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการทาํ ตาม
เหตุผลของกิเลส

แมน ง่ั อยนู ง่ิ ๆ แตจิตไมไดนิ่ง จิตมีความคิดปรุงยุงเหยิงอยูตลอดเวลา ไมมี
อริ ยิ าบถใดมาหา มมนั ไดน อกจาก “สติปญญา” ปกตแิ ลว จิตลว นสรา งความทกุ ขข น้ึ แก
ตน ดว ยความคิดปรุงในแงตา งๆ ซึ่งเปนทางไมดี เราก็ไมยอมเห็นโทษ น่ีแหละเหตุผล
ของกเิ ลสเปน อยา งน้ี หาความถกู ตองไมไดเลยแตไหนแตไรมา

สว นเหตผุ ลของธรรมนน้ั มคี วามถกู ตอ ง ผลท่ีไดร ับคอื ความสขุ ความเยน็ ใจ
ตลอดไป ตง้ั แตข น้ั เรม่ิ ฝก หดั จนถงึ ขน้ั สงู สดุ

การปฏบิ ตั ติ วั หรอื การปฏบิ ตั ศิ าสนา เปน ความลาํ บากผดิ ธรรมดาอยบู า ง ถึงจะ
ผิดธรรมดา เราก็ทราบวาเราหักหามใจ ไมใหเปนไปตามสิ่งต่ําทรามที่กิเลสตั้งชื่อตั้ง
นามในสง่ิ ทต่ี นชอบวา “ธรรมดา” ฉะนน้ั จําตอ งฝน กนั เมื่อฝนครั้งนี้ไดผล ครั้งตอไปสิ่ง
ทจ่ี ะใหเ ราฝน กอ็ อ นลง ๆ ความเขมแข็งทางดานเหตุผลและความเพียรก็เพิ่มขึ้น เลยไม
คํานึงถึงสิ่งที่จะมาขัดขวางเรายิ่งกวาเหตุผลที่จะดําเนินไปตามที่เห็นวาถูกตอง นแ่ี หละ
นักธรรมะมีพระพุทธเจาเปนตน ทา นทรงดําเนินอยา งน้ี!

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๖

๑๓๗

ทําไมทานจึงไมหึงไมหวงไมหวงไมใยครอบครัวเหยาเรือน ทานเปนมนุษย
ปถุ ชุ นเชน เดยี วกนั ทานตองหวง ทา นตอ งฝนอยา งยง่ิ เพื่อธรรมดวงเลิศ นน่ั แลครขู อง
พวกเรา! สาวกทง้ั หลายทา นกฝ็ น เตม็ กาํ ลงั ของทา น จนไดเปน “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ
คจฺฉามิ” เขามาสูใจของพวกเรา

เราที่เปนผูรับเอา “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เขามาสูใ จ กอ็ ยา เอาเขา มา
เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายทา นเลน โดยไมค าํ นงึ ถงึ คณุ สมบตั แิ หง ธรรมนน้ั ๆ หรอื แหงพทุ ธ แหง
ธรรม แหงสงฆ วา มคี ณุ คา มากเพยี งไร จึงเอามาเหยยี บยา่ํ ทาํ ลายกับความข้ีเกียจออ น
แอ ความเหน็ แกต วั ความไมมีเหตุผล นําพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ มาสกปรก
ดวยทําไม ตองคิดอยางนี้เสมอ ซึ่งเปนเครื่องเตือนใจเราใหตื่นตัว จะไดพยายามแกไข
ตนตามทานไปโดยลําดับ

อะไรโลงก็สูจิตใจโลงไมได อะไรคับแคบตีบตันก็สูจิตใจคับแคบตีบตันไมได
อะไรจะทุกขก็สูจิตทุกขไมได อะไรจะสุขก็สูจิตสุขไมได แนะ ! รวมลงที่จิตแหงเดียว!

ดนิ ฟา อากาศกโ็ ลง อยา งนน้ั เอง เมอ่ื มคี วามทกุ ขภ ายในจติ ใจ แมจ ะอยใู นกลาง
ทุงโลงๆ นน้ั อากาศโลง ๆ ก็ชวยอะไรไมได จงึ วา มันอยทู ่ีจิต ถาจิตมีความปลอดโปรง
โลง สบายแลว อยทู ไ่ี หนกส็ บาย อยใู นถาํ้ ในเหว ในกระตอบ อยูในรมไมชายภูเขา ก็
สบายทง้ั นน้ั ไมจาํ เปนตองคิดหาวา อากาศโปรงที่นนั่ อากาศโปรงที่นี่ เพราะผขู ัดของ
จรงิ ๆ กค็ อื จติ ซง่ึ เปน ตวั กอ เรอ่ื งเทา นน้ั ฉะนน้ั ความสขุ ความทกุ ข ตลอดทั้งสาเหตุให
เกิดสุขเกิดทุกข จึงรวมอยูที่จิตเปนสําคัญกวาสิ่งอื่นๆ ปราชญท า นจึงสอนลงท่ีใจอันเปน
ตวั การสาํ คญั ใครจะสอนไดถูกตองยิ่งกวาปราชญคือพระพุทธเจาไมม!ี อยา พากนั ลบู
คลาํ ทน่ี น่ั ทน่ี ่ี เดี๋ยวเวลามือไปโดนเอาแมงปองเขาจะรองไมเปนเสียงคน จะวา “ไมบ อก”

สมบตั อิ นั มคี า มากกค็ อื ใจ เปน หลกั เปน ประธานของสง่ิ ทง้ั หลายกค็ อื ใจ จงึ ไม
ควรปลอ ยใจใหส ง่ิ เลวทรามทง้ั หลายเขา มาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย จนแหลกเหลวไปอยา งนา
เสยี ดาย สวนผลอันไมพึงปรารถนามันโยนใหเราเปนคนรับเคราะห แมทกุ ขแทบเปน
แทบตายกค็ อื เราเองเปน ผรู บั ! สวนกเิ ลสความต่ําทรามเหลาน้ันไมไ ดมารบั ทกุ ขก ับเรา
เลย ผเู สยี เปรยี บจงึ คอื เรา ผูโงเขลาตอเลหเหลี่ยมของมันอยูเรื่อยไป

ฉะนน้ั จงพยายามแกไ ขถอดถอนมนั ดว ยเหตดุ ว ยผล ความสุขอันพึงหวังนั้นเรา
จะไปหาทไ่ี หนในโลกน้ี มันกเ็ พียงผา นๆ ไปดังที่เคยไดประสบพบเห็นกันมาแลว ผาน
มาชั่วขณะๆ เทา นน้ั แลว กผ็ า นไป มันไมเปนความสุขที่จีรังถาวรอะไรเลย

แตความสุขที่เปนขึ้นในจิตใจ เกิดขึ้นตามหลักธรรมชาติของจิตดวยการ
ประพฤติปฏิบัติธรรม นเ้ี ปน ความสขุ ทจ่ี รี งั ถาวร จนกลายเปน ความสขุ อนั ตายตวั เปน

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๗

๑๓๘

“อกุปปธรรม” คือเปนความสุขที่ไมกําเริบ เพราะจิตใจไมกําเริบไมเปลี่ยนแปลง
ตลอดอนนั ตกาล

สมบตั ใิ นโลกนก้ี ค็ อื ใจซง่ึ เปน สมบตั อิ นั ลน คา จงพยายามรักษาใจใหด โี ดย
สม่ําเสมอ เฉพาะอยา งยง่ิ จติ ตภาวนาอยา ถอื เปน เรอ่ื งเลก็ นอ ย เชน ทาํ พอเปน พิธรี ตี อง
ก็เราไมใชเปนคนพิธี แตเราเกิดมาเปนคนทั้งคนไมใชตุกตา พอจะภาวนาเปน พธิ ี นง่ั
ภาวนาทลี ะ ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที กแ็ ทบลม แทบตาย แทบจะหามกายเขา โรง
พยาบาล ซง่ึ เปน เรอ่ื งอบั อายขายหนา ชาวพทุ ธและนกั ปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ เกนิ กวา จะอภยั กนั
ได

เวลากเิ ลสพาเอาไปถลงุ ทง้ั วนั ทง้ั คนื ยงั สนุกกับมนั ไดช นดิ ลืมตัวลืมตายลมื ปาชา
ท่มี ีอยูกับตัว นั่นเรารูไหม? กเิ ลสมนั กลอ มคนดขี นาดไหนดเู อากร็ เู อง เพราะเคยถูก
กลอ มถกู ถลงุ มาดว ยกนั แมผูเ ทศนก ไ็ มม ีการยกเวนในการถกู ตมตนุ ฟงเอามันกลอมดี
ขนาดนน้ั แหละ กลอ มจนเคลม้ิ หลบั ไมร สู กึ ตวั เลย แมจ ะเขา โลงผอี ยแู ลว ยงั อยากฟง
เสียงเพลงลูกทุงมันอยูเลยไมมีวันเวลาอิ่มพอ จนหมดลมหายใจไปเปลาๆ

สง่ิ เหลา นน้ี กั ปราชญท า นตาํ หนนิ กั แตพวกเราทําไมจึงชอบนัก ชอบอะไรมนั ก็
ไมรู ตามความจริงแลวคนเราชอบอะไรยอมจะเจอสิ่งนั้น ชอบกเิ ลสกเ็ จอกเิ ลสและทกุ ข
ทีแ่ ฝงมากบั กิเลส ชอบธรรมก็เจอธรรมและสุขที่แฝงมากับธรรม เพราะสิ่งเหลานี้มีอยู
ในโลกไมบ กพรอ งจงึ หาไดด ว ยกนั สุขก็หาไดจากเราคนเดียว ทกุ ขก ห็ าไดจ ากเราคน
เดียวตามสาเหตุที่เราดําเนินไป ผลกต็ อ งเปน อยา งนน้ั ไมเ ปน อยา งอน่ื

นี่เราแนใจแลววาเราเกิดเปนมนุษย เปน ภมู ทิ สี่ งู สง ในโลกนถ้ี อื วา มนษุ ยส งู กวา
สัตว และไดพ บพระพทุ ธศาสนาซง่ึ เปน คาํ สง่ั สอนทถ่ี กู ตอ งแมน ยาํ มาจากหลกั แหง
“สวากขาตธรรม” พระพุทธเจาตรัสไวชอบแลว พยายามดาํ เนนิ ใหเ ปน ไปตามหลกั แหง
“สวากขาตธรรม” ผลที่พึงไดรับจะเปนที่พึงพอใจ เราอยา ถอื ใครเปน หลกั เปน เกณฑย ง่ิ
ไปกวาพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ในการยดึ และการดาํ เนนิ

วถิ ที างแหง การครองชพี กต็ าม วถิ ที างแหง การปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื ความอบอนุ แก
จิตใจก็ตาม ไมม ใี ครจะเกนิ พระพุทธเจา ไปไดใ นความฉลาดแหลมคม ดว ยอบุ ายวธิ ี
ปอ งกนั หรอื รกั ษาตวั ทง้ั เกย่ี วกบั สง่ิ ภายนอกและสง่ิ ภายใน พระพุทธเจาเปน “นกั รนู กั
ฉลาดแหลมคมทกุ อยา ง” “นกั ปกครองบา นเมอื ง” ก็เปนพระองคหนึ่ง “นกั ปกครองดา น
จิตใจ” ก็เปนพระองคหนึ่ง นกั ปกครองโลกทว่ั ๆ ไปดว ยอบุ ายวธิ กี ารอบรมสง่ั สอนโดย
ถกู ตอ งเหมาะสม ไมมีศาสดาองคใดจะแซงพระองคไปได โดยความฉลาดแหลมคมยง่ิ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๘

๑๓๙

กวาพระพุทธเจา พระองคท รงสอนจนถงึ ขั้น “นพิ พาน” เราจะหาขนาดไหนอีก มีใครที่
จะสอนใหเลย ‘นิพพาน” ไปเคยไดยินบางไหม? ไมเคยไดยิน!

เพราะถงึ ทน่ี น่ั แลว เปน สถานทส่ี ดุ จุดหมายปลายทางโดยสมบรู ณแ ลว เชนเดียว

กบั เราขน้ึ มาถงึ บนบา นแลว เปนที่เหมาะสมและถึงจุดที่หมายแลว เพราะไมใชขรัวตา
ดังที่ทานอาจารยมั่นทานเคยนํามาพูดเปนอุบายเพื่อเปนคติแกพระเสมอวา “ทําอะไร
ทําแบบเถรตรงนี่ มันไมไดเรื่องอะไร? ทา นวา แลว ทา นกย็ กนทิ านขรวั ตาขน้ึ มาวา “ขรัว

ตาคนนน้ั เดนิ เขา ไปในบา น ถกู เขานมิ นตข น้ึ ไปบนบา น การนมิ นตข น้ึ ไปบนบา นกค็ อื

นมิ นตข น้ึ นง่ั บนบา นนน่ั เอง แตขรัวตาไมเขาใจอยา งน้นั พอถกู เขานมิ นตใ หข น้ึ ไปบน
บา นกป็ น ขน้ึ ไปบนขอ่ื โนน “อา ว! ทา นปน ขน้ึ ไปบนขอ่ื โนน ทาํ ไมละ แลว กนั พสิ ดารเกนิ
เหตุแลวนี่ นิมนตทานลงมา” พอขรวั ตาองคน น้ั ลงมาแลว กเ็ ผน ออกจากบา นเขาไปเลย
ไมม องหนา มองหลงั นน่ั ! เปนอยางนั้นไปเสีย

ความจริงเขานิมนตข น้ึ ไปน่งั บนบานเขาตา งหาก แตท า นกลบั ปน ขน้ึ ไปบนขอ่ื

บา นเขาโนน เวลาถกู นมิ นตใ หล งมากล็ งและเตลดิ เลยบา นเขาไปเสยี นี่คือความไมพอดี

ไมมีประมาณ ไมมเี หตุมผี ลเอาเลย เพราะความซอื่ เสยี จนเซอ ไปแบบไมร สู กึ ตัว

การสง่ั สอนนน้ั เมอ่ื สอนถงึ นพิ พานแลว จะสอนไปไหนกนั อกี เมอ่ื จติ บรรลถุ งึ

นพิ พานแลว จะเตลดิ ไปไหนกนั อกี ถา ไมค วา เอาแบบขรวั ตามาใชก ต็ อ งยตุ กิ ารกา วไป

เพียงเทานี้ เพราะสุดยอดแหงธรรมแลว หรอื สดุ ยอดแหง สมมตุ ิ จิตเปนวิมุตติเต็มภูมิ

อรรถภูมิธรรมแลว ปญ ญาทง้ั มวลกย็ ตุ กิ นั ลงแคน ้ี

การกลา วนทิ านเรอ่ื งขรวั ตามาแทรกกเ็ พอ่ื ใหทราบวา เรื่องความไมใครครวญ
คนไมใครครวญพินิจพิจารณา คนแบบ “เถรตรง” ตรงเสียจนเซอนั้น ไมยังประโยชน

ใดๆ ใหเกิดขึ้น จงึ ควรถือเปนคติตัวอยางไดดี
ในวงปฏบิ ตั ขิ องเรานม้ี บี า งไหมทป่ี น ขน้ึ บนขอ่ื มีซิ! มแี ตจ าํ พวกทค่ี อยจะปน ขน้ึ

บนขอ่ื นน่ั แหละเปน สว นมาก ไมไปกันละตามหลัก “มัชฌิมา” ตามหลักที่พระพุทธเจา

ทรงสอน ชอบปน ขน้ึ บนขอ่ื กนั แทบทง้ั นน้ั ทา นยกนทิ านขรวั ตาปน ขน้ึ บนขอ่ื มาประกอบ
การแสดงธรรม นา ฟง ! เพราะขบขันดี “พวกบนขอ่ื ” ทา นวา อยา งนน้ั เปนคติสําคัญนา

ฟงมาก ฟงแลวซึ้งใจ ทั้งอดหัวเราะอยูภ ายในไมได นี่ทานพูดถึงเรื่องคนไมใชความคิด
ไมใชความพินิจพิจารณาเหตุผลวาควรไมควร เรียกวา “เถรตรง” คาํ วา “เถรตรง” นบ้ี าง

ทานก็จะไมเขาใจ นท่ี า นพดู ถงึ ครบู าอาจารย

ทา นลา งบาตรและเชด็ บาตรแหง แลว ทา นเอาปากบาตรควาํ่ ลง แลว ทา นสองดู

กน บาตรทา น สอ งใหต รงกบั ตะวนั การสอ งดกู น บาตรตรงตะวนั นน้ั ทา นมคี วามหมาย

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๙

๑๔๐

วา บาตรนอ้ี าจมกี น ทะลุ เปน ชอ งเปน รตู รงไหนบา ง สอ งออกไปทแ่ี จง หรอื สอ งกบั แสง

พระอาทิตย มองออกไป ถามีชองทะลุก็จะมองเห็นชัดเจนตรงที่ทะลุนั้น แลว กจ็ ะไดอ ดุ

ยาเสยี
ทนี ล้ี กู ศษิ ย “เถรตรง” เหน็ อาจารยส อ งดกู น บาตร ตนกท็ าํ ตามบา งโดยไมท ราบ

เหตผุ ลความมุง หมายวา ทานทําเพื่ออะไร เวลาถกู ถามวา “ทําเพื่ออะไร?” กบ็ อกแบบ
เถรตรงวา “เหน็ ครอู าจารยท า นสอ งเรากเ็ ลยสอ งบา ง เพราะทานขลังดี บางทีเราอาจ
ขลัง” นฟ่ี ง ซิ เรือ่ งบนขอ่ื ขาํ ดไี หม? ฟงไดไหม ในวงผูปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม ในคําที่
วา “บางทเี ราอาจขลงั อยา งทา นบา ง” ถา อยา งนก้ี ป็ ฏบิ ตั เิ พอ่ื “ความขลัง” ไมไดปฏิบัติ
เพื่อ “ความหลุดพน” อยา งนอ ยกเ็ พอ่ื ความเปน คนดมี คี วามสงบสขุ

ครอู าจารยผฉู ลาดมีเหตุผล ทานทําอะไรยอ มเปน ไปตามเหตผุ ลทุกอยา ง ไมได

ทาํ แบบลอยๆ เราผมู าศกึ ษากบั ทา นควรพจิ ารณาดว ยดใี นสง่ิ ทต่ี นทาํ ไมสักแตวาพูดวา

ทําไปแบบสุมเดา เพราะความไมสนใจดูตัวอยางทาน จงึ เปนราวกบั ทัพพีอยกู ับแกง ไม

รูรสชาตขิ องแกงวา เปรี้ยวหวานเค็มประการใดบางเลย จึงหาความฉลาดรอบรูอะไรไม

ได นอกจากแสวงหาความขลงั ไปแบบโลกๆ ทท่ี าํ กนั

การศกึ ษาขน้ึ อยกู บั สติ ปญญา ศรัทธา ความเพียร เปน สาํ คญั มไิ ดข น้ึ อยกู บั การ

กนิ อยหู ลบั นอนในสาํ นกั ของทา นเฉยๆ โดยไมสนใจกับอะไร การปฏิบัติธรรมของพวก

เราทกุ วนั นก้ี เ็ หมอื นกนั เหน็ ทา นเดนิ จงกรมกเ็ ดนิ แตไมมีสติสตัง มีแตค วามคดิ ผดิ คดิ
เพลินเลินเลอเผลอตัวยุงไปหมด พอออกจากทางจงกรม “แหม วันนี้จิตไมเห็นมีความ
สงบบา งเลย เราเดินจงกรมตั้งนานไมเห็นไดเรื่องอะไร?” จะไดเรื่องอะไร เพราะไมเอา

เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องความสงบเปนอารมณบางเลย เอาแตเ รอ่ื งวนุ วายมาพวั พนั หน่ั

แหลกอยกู บั จติ ตลอดเวลาในทางจงกรม
จากนน้ั กม็ านง่ั ภาวนา พอนง่ั ก็ “เอาละ เทานี้พอ!” เวลานั่งก็นั่งคิดนั่งปรุงยุง

เหยงิ วนุ วายแบบ “ตามรอยโคในคอก” นั่นแล แลว กม็ าตาํ หนแิ บบลมๆ แลง ๆ ไปวา
“นง่ั ไดเ ทา นน้ั นาทเี ทา นน้ี าที ไมเห็นไดเรื่องอะไร นอนเสยี ดกี วา ” นน่ั ! ไปลงเอยทหี่ มอน
นน่ั แล เลยกลายเปน ทต่ี ดั สนิ กเิ ลสอยบู นหมอนไปเสยี คาํ วา “นอนเสียดีกวา” นน้ั แม
นอนกไ็ มไ ดเ รอ่ื งอยนู น่ั แล เพราะคนไมไดเรื่องอยูแลว ก็ไดแตเรื่อง “หมอน” เทา นน้ั
นะ ซี ไมไดมรรคผลนิพพานอะไร จิตลง “ภวงั คห ลวง” หลบั ครอกๆ จนตะวนั สอ งกน ก็
ไมถ อนขน้ึ มา (ไมต น่ื นอนนน่ั เอง)

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๐

๑๔๑

อยทู ใ่ี ดไปทใ่ี ดกม็ แี ตก เิ ลสตามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยตู ลอดเวลา ที่จะไดเหยียบย่ํา
ทาํ ลายกเิ ลสบา งไมป รากฏ เพราะสติสตังไมมี ความจงใจไมม ี มแี ตก เิ ลสตามลา อยู
ตลอดทุกอิรยิ าบถ เรามันพวก “กิเลสตามลา’ จะวายังไง? ถา ไมว า อยา งนน้ั

เอา! พยายามตามลา กเิ ลสนะ ทนี เ้ี ปน นายกเิ ลสเสยี บา ง ตองฝนกันบาง! ทน
และฝนตรงนี้! จิตไมอยากคิดไปในอรรถในธรรม เราตอ งบงั คบั ใหค ดิ ทําไมจะบังคับ
ไมไดจิตเปนของเรา เราเปนเจาของจิต เราบังคับไมได ใครจะบังคับไดละ ถา จติ แหวก
แนวแลวจิตจะมีหลักแหลงที่ตรงไหน ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการแหวกแนวจะเปน อยา งไร เรา
ตองรับเคราะหกรรมอยูดี ฉะนน้ั เราตองคดิ ตอ งรูไวล วงหนา จึงเรียกวา “ปญญา” มัน
อยากไปไมย อมใหไ ป เอา! มนั อยากทาํ สง่ิ นน้ั ไมย อมใหท าํ มันจะฝนเราไปไดอยางไร!
เมื่อเหตุผลพรอมแลวที่จะไมทํา เราตองไมทํา เมื่อเหตุผลพรอมแลวที่จะทํา ตอ งทาํ ลง
ไป เปนก็เปน ตายกต็ าย! นี่คือนักธรรมะแท อยางไรกิเลสก็ไปไมพนมือ ตอ งตายใน
เงอ้ื มมอื ไมว นั ใดเวลาหนง่ึ แนน อน

ทําไมโลกเขาทําได ทําไมเราทําไมได โลกเขาทําไมตาย ทําไมเราทําจะตาย ตายก็
ใหต าย ปา ชา มที กุ หนทกุ แหง ไมต อ งเปน กงั วลกบั ความเปน ความตาย ขอใหทําสง่ิ ที่ถูก
ตองดีงามอยางสมใจเถอะ ถา ทาํ อยา งนน้ั บา งกเิ ลสมนั กห็ มอบและตอ งไดผ ล ไมมีอะไร
มีอํานาจเหนือธรรมของพระพุทธเจาซึ่งเปนเครื่องแกและปราบปรามกิเลส เพราะกิเลส
ทุกประเภทกลัวธรรมเทานั้น อยา งอน่ื กเิ ลสไมย อมและไมก ลวั ยง่ิ ความคลอ ยตามดว ย
แลว กเิ ลสยง่ิ รอ งเพลงรืน่ เรงิ สนุกสนานอยบู นหวั ใจ ไมมีวันจบเพลงเลยนั่นแล

ขณะทฟ่ี ง เทศนน จ้ี ติ มคี วามสงบจติ อยกู บั ตวั ถา จติ อยกู บั ตวั เวลาฟงทา นอธบิ าย
ก็เขาอกเขาใจไปโดยลําดับๆ ใหจ ติ อยกู บั ตวั นน่ั แหละถกู ตอ ง ในการฟงเทศนไมจําตอง
สง ใจออกมาขา งนอก ใหอ ยกู บั ตวั กระแสธรรมจะเขาไปสัมผัสกับความรูคือใจ เมื่อ
สมั ผสั กนั เรอ่ื ยๆ จิตจะไดรับความสงบในขณะที่ฟง เมอ่ื จิตสงบแลว ความสขุ นน้ั เกดิ ขน้ึ
เอง ที่ความสุขไมเกิดความสุขไมมีเพราะจิตไมสงบ จติ ยงุ อยตู ลอดเวลา กอ กวนตนเอง
อยไู มห ยดุ ความทุกขกม็ เี รือ่ ยๆ นะ ซี เพราะปอ นเหตใุ หเรอื่ ยๆ ทานจึงวา

“การฟงธรรมมีผล ๕ ประการ ประการสดุ ทา ยคอื จติ ผฟู ง ยอ มผอ งใส” จติ จะ
ผองใสไดจ ติ จะตองอยูก บั ตวั รบั สมั ผัสกระแสแหงธรรมทท่ี า นแสดงไปโดยลาํ ดับไมให
ขาดวรรคขาดตอน ตง้ั ความรไู วเ ทา นน้ั แหละ ไมต อ งไปเสยี ดายอะไรกบั สง่ิ ภายนอก ไม
ตอ งไปวนุ วายกบั สง่ิ ใด ที่เราเคยรูเคยคิดเคยปรุงเคยเห็นมาแลว ไมเห็นเกิดประโยชน!

คราวนี้เราตองการใหรูใหเห็นใหเขาใจในอรรถในธรรม จึงใหธรรมเหลานั้น
สัมผัสจิตใจ เพราะใจถูกสิ่งอื่นมาสัมผัสเสียมากมายจนใจไมเปนใจของตน มันเปนใจ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๑


Click to View FlipBook Version