๑๔๒
กเิ ลสตณั หาอาสวะ หรือเปนใจเปรตใจผีอะไรไปก็ไมรูละ ใจเปนนรกอเวจีไปหมดเพราะ
สง่ิ ไมเ ปน ทา เขา มากอ กวนวนุ วาย เวลานี้ใหจ ิตเปน ภาชนะสําหรับรับธรรม ตั้งหนาตั้งตา
ฟงโดยเฉพาะ จิตก็สงบ เมอ่ื สงบแลว กเ็ ยน็ พอจติ เยน็ เทา นน้ั แหละกส็ บายไปเองคน
เรา! เราหาความสบายไมใชเหรอ? เราไมหาความทุกข!
นแ่ี หละจดุ แหง ความสบายอยทู ต่ี รงน้ี ใหพยายามระงับจิต อยา ปลอ ยใหค ดิ มาก
เกินไป ความคิดมากไมใชของดี คดิ มากๆ ไปจนจะเปน บา กม็ ี เพราะเหตุไร? เพราะสิ่ง
ที่ไมด ีนน่ั แหละจติ ชอบคิด จิตชอบไปเกี่ยวของพัวพัน ยิ่งความโกรธแคนจิตยิ่งติดยิ่ง
ชอบคดิ กย็ ง่ิ เพม่ิ ความรอ นใหจ ติ ใจมากขน้ึ โดยลาํ ดบั ไมม ปี ระมาณ ตั้งตัวไวไมได
ฉะนน้ั ตอ งหกั หา มดว ยการฝน ใจ ใจจะขาดกใ็ หข าดไป จิตเปนสมบัติของเราทําไมเราจะ
บังคับไมได และจะมอบใหใครเปนคนบังคับใหเรา? ใครเปนคนรับผิดชอบในจิตของ
เรา? เราเองเทานั้นเปนผูรับผิดชอบ
จงทมุ กาํ ลงั ลงไปไมท อ ถอยจติ จะยอมจาํ นนเอง แลว สงบตวั ลง เหน็ ผลละทนี ้ี!
วา “ออ ! ผลแหงการบังคบั จติ เปนอยางนห้ี รอื !” ตอ ไปกม็ แี กใ จ หรอื เกดิ ความกลา หาญ
ที่จะบังคับทรมานตน สดุ ทา ยจติ กเ็ ปน สมบตั อิ นั มคี า ขน้ึ มาเปน ลาํ ดบั ๆ อยไู หนกส็ บาย
และมีความยับยั้งตั้งตัวไดดวยเหตุดวยผล ดว ยสตปิ ญ ญาซง่ึ เคยไดบ าํ เพญ็ มาและเคย
ไดห ลักไดเกณฑมาแลว
นค่ี อื การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ศาสนา ความอดความทนตอ หลกั ศาสนา การพร่ํา
สอนตามหลกั ศาสนาดกี วา การพราํ่ สอนใครทง้ั นน้ั ยง่ิ ผทู ส่ี อนตนดแี ลว พดู ใหค นอน่ื ฟง
หรอื สง่ั สอนกจ็ บั ใจไพเราะและเชอ่ื ถอื ไมจ ดื จาง
ถา ตนยงั เหลวไหลพดู ออกไปกไ็ มม รี สชาตแิ กผ ฟู ง ถงึ แมจ ะนาํ คาํ สอนของพระ
พุทธเจาไปพูดเปนตูๆ หบี ๆ มันก็ไมนาฟง มันมีลักษณะ จืดๆ ชดื ๆ ราวกับอาหารไมมี
รสอรอ ยนน่ั แล ถาจิตใจเขมแข็ง ความรสู กึ อยภู ายในกม็ น่ั คง ใจมีพลังธรรมการแสดง
ออกกม็ รี สชาตดิ ี จบั ใจซาบซง้ึ เพราะธรรมออกไปจากใจที่เปนตัวการสําคัญ ซึ่งบรรจุไว
แลวหรือบรรจุเต็มแลว
จงึ ขอใหพ ยายามรกั ษาจติ ใจใหมสี ารคณุ ปรากฏเดน ข้ึนโดยลําดับ ๆ จากการ
ปฏิบัติ มีจิตตภาวนาเปนตน อยา เหน็ วา เปน กจิ นอกประเดน็ หรอื เปน กจิ พเิ ศษนอกจาก
ความสาํ คญั ไปเสีย การภาวนานน้ั แหละคอื เรอ่ื งสาํ คญั ทส่ี ดุ ในชวี ติ จติ ใจของเรา มีธรรม
นแ้ี หละเปน สาํ คญั มากกวา สง่ิ อน่ื ใด นอกนัน้ ก็เปน เพยี งปริยาย อาศยั กนั ไปชว่ั คราวชว่ั
กาลชว่ั เวลา แลวก็พลัดพรากจากกันไปทั้งเขาทั้งเรา จะหาความจีรังถาวรไมได ทว่ั ทง้ั
แดนโลกธาตอุ นั เปน สมมตุ มิ นั เปน อยา งเดยี วกนั จึงขอยุติเพียงเทานี้
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๒
๑๔๓
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๙ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘
จติ วนุ วาย
คนทม่ี นี สิ ยั วาสนาพรอ มแลว คือจําพวก “อุคฆฏิตัญ”ู เชนพระยสกุลบุตร
และพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน เปนตน นี่คือทานผูที่เปน “อุคฆฏิตัญู” ซึ่งคอยจะรู
จะเขาใจในธรรม และบรรลุมรรคผลนิพพานไดอยางรวดเร็วกวาทุกๆ จําพวกที่เปน
เวไนยชน ที่ควรจะรูหรือบรรลุธรรมตามศาสนธรรม
พระยสกุลบุตร อยใู นบา นอยไู มไ ด เมอ่ื ถงึ กาลแลว บน วา “วนุ วายๆ,ขัดของๆ”
จนถงึ กบั ออกจากบา นหนไี ปในเวลาเชา ตรู โดยไมม จี ุดหมายปลายทางวา จะกลบั มาอยู
บา นอกี หรอื ไมก ลบั เพราะความขดั ขอ งวนุ วายภายในใจ พอดีไปพบพระพุทธเจาซึ่ง
กําลังทรงจงกรมอยูขางทางที่พระยสกุลบุตรเดินผานไป พระองคจึงรับสั่งวา “มาทน่ี ่ี ที่นี่
ไมย ุงไมว ุน วาย ที่นี่ไมขัดของ ทน่ี แ่ี สนสบาย เธอจงเขามาหาเราที่นี่”
พระยสกุลบุตรเขาไป ก็ประทานพระโอวาท จนสําเร็จมรรคผลขึ้นในขณะนั้น
อยางรวดเร็ว
ถา อยา งนก้ี เ็ หมอื นงา ยๆ งายนิดเดียว และงายจนอาจลมื ความทกุ ขค วามลําบาก
ของผูเปนศาสดา ซึ่งไดสลบไสลไปถึงสามครั้ง กอนไดตรัสรูธรรมนํามาสอนโลกที่มี
นิสัยมักงายเปนเจาเรือน พระยสกลุ บตุ รนน้ั เหมอื นกบั คนเปน โรคซง่ึ คอยรบั ยาอยแู ลว
ยากพ็ รอ มทจ่ี ะยงั โรคใหห ายอยดู ว ย พอรับประทานยาเขาไป โรคกห็ ายวนั หายคนื และ
ระงบั ดบั ไปโดยลาํ ดบั จนหายขาด ไมยากอะไรเลย! ถา เปน อยา งนห้ี มอกไ็ มต อ งเรยี น
มากมายนกั คนไขก ไ็ มต อ งเปน ทกุ ขเ ดอื ดรอ นและทรมานไปนาน พอเปน ขน้ึ หมอใหร บั
ประทานยากห็ ายไปเลย
นถ่ี า เราพดู ขน้ั งา ยกเ็ ปน อยา งน้ี แตพ งึ ทราบในหลายแงข องโรคทเ่ี กิดและฝงกาย
ฝงใจในมวลสัตว วามีประเภทตางๆ กนั ทั้งรักษายากทั้งรักษางาย เพราะมิใชโรคหวัด
แตอ ยา งเดยี ว พอจะนดั ยาแลว กห็ ายไปเลยอยา งนน้ั
อกี ขน้ั หนง่ึ กห็ นกั ลงไปกวา น้ี หนกั ลงไปเปนข้นั ๆ จนถงึ ขนาดทก่ี เิ ลสไมฟ ง
เสียงธรรม โรคไมฟงยา ธรรมจะดี ยาจะดีวิเศษวิโส พระพุทธเจา พระอรหันต และ
หมอ จะมีความรดู ีเช่ยี วชาญฉลาดขนาดไหน มันก็เขากันไมไดกับกิเลสและโรคชนิดไม
รับยารับธรรม สุดทายก็ตองปลอยไปตามบุญตามกรรมไมมีใครชวยไวได นอกจาก “กุ
สลา ธมมฺ า” ทเ่ี ชอ่ื ถอื กนั วา รบั ไดท ง้ั คนตายคนเปน ไมเ ลอื กหนา จนพระที่มุงตอ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๓
๑๔๔
“ธรรมาภิสมัย” ยุง แทบเปนแทบตายเพราะหาเวลาบําเพญ็ ไมยุงกับ กสุ ลา ธมมฺ า
มาตกิ าบงั สกุ ลุ แทบเปนลมตาย
จติ ของสตั วโ ลกทม่ี กี เิ ลสเครอ่ื งวนุ วายสบั สน กม็ กั เปน กนั อยา งน้แี ตไหนแต
ไรมาตาํ หนกิ นั ไมล ง เพราะตางคนตางมี
โรคท่คี อยรับยาคือธรรมอยูแลว เชนประเภท “อุคฆฏิตัญ”ู ถัดลงมาคือ “วิปจิ
ตัญ”ู และถัดลงมาประเภท “เนยยะ” ทพ่ี อแนะนาํ สง่ั สอนหรอื พอฉดุ ลากกนั ไปได ดงั
เราทง้ั หลายทไ่ี ดพ ากนั อตุ สา หพ ยายามตะเกยี กตะกายดว ยวธิ ตี า งๆ หลายครง้ั หลายหน
บําเพ็ญและฟงการอบรมซ้ําๆ ซากๆ ไมล ดละทอ ถอย ธรรมกค็ อ ยๆ หยั่งเขาถึงใจ ๆ
เมื่อรับธรรมดวยการปฏิบัติบําเพ็ญไมหยุดไมถอย ธรรมก็เขาถึงใจและหลอเลี้ยงใจให
ชมุ ชน่ื เบกิ บานดว ยคณุ ธรรมในอริ ยิ าบถตา งๆ กเิ ลสทง้ั หลายภายในใจทเ่ี คยหนาแนน ก็
คอ ยๆ จางออกไป เบาบางลงไป ใจคอยดีดตัวขึ้นสูธรรม นาํ ความสขุ เขา ไปหลอ เลย้ี ง
น้ําใจไมขาดสาย ราวกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ไหลรนิ เยน็ ฉาํ่ อยตู ลอดเวลา ความหวงั ทง้ั หลายก็
คอ ยเตม็ ตน้ื ขน้ึ มาเรอ่ื ยๆ
ความจริงธรรมมมี ากเพยี งไร อาํ นาจใจกม็ มี าก กเิ ลสกม็ อี าํ นาจนอ ยลง ถา
ธรรมไมมีเลย กิเลสก็มีอํานาจเต็มที่ อยากแสดงอาํ นาจอยา งไรกแ็ สดงออกมาอยา งเตม็
เม็ดเต็มหนวย ความเดือดรอนจึงมีมาก เพราะกเิ ลสมมี ากและมอี าํ นาจมาก กอ ความ
เดอื ดรอ นใหแ กโ ลกไดม าก เมอ่ื ธรรมแทรกซมึ เขา ถงึ ใจมากนอ ย กเิ ลสกค็ อ ยออ นกาํ ลงั
ลงไป ธรรมกม็ อี ํานาจมากข้ึนไปโดยลําดบั ๆ
ฉะนน้ั การปฏบิ ตั ธิ รรมจงึ มคี วามจาํ เปน อยา งยง่ิ ที่จะพยายามใหธรรมเขาสูใจ
อยา งสมาํ่ เสมอ ไมวา จะอยใู นสถานท่ใี ดๆ ควรมีธรรมเปนสรณะ เปนที่ยึดเหนี่ยวใจอยู
เสมอ เพราะกิเลสไมไดมีกาล ไมม สี ถานท่ี เวลาํ่ เวลา อดตี อนาคต ไมข นึ้ อยูก บั สง่ิ ใดทัง้
สน้ิ แตข น้ึ อยกู บั การผลติ การกระทาํ ของมนั เทา นน้ั อยไู หนกเิ ลสกส็ รา งตวั ใหเ ปน ปก
แผน มน่ั คงบนหวั ใจของสตั วโ ลกไมเ วน วนั เวลาเลย กิเลสจึงไมม ขี าดแคลนบนหัวใจสตั ว
แตไหนแตไรมา
ถาเราไมระมัดระวังตัว มนั ตอ งผลติ ผลออกมาเรอ่ื ยๆ ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วาม
ลาํ บากไมม สี น้ิ สดุ จดุ หมายปลายทางเลย ความหวังในสิ่งที่พึงใจของสัตวโลก กม็ แี ตน บั
วนั เลอื นรางหายไป เพราะกิเลสที่ตนผลิตขึ้นลบลางไปเสียหมด
การสง่ั สมธรรม การประพฤติปฏิบัติธรรม ซึ่งเปนคูแขงหรือเครื่องปราบปราม
กเิ ลส จงึ เปนสิ่งจําเปนสําหรับเราผูมีความหวังประจาํ ใจ และตองการความสงบรมเยน็
เปนมิ่งขวัญของใจ ตลอดหนา ทก่ี ารงานทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความราบรน่ื ดงี ามสมาํ่ เสมอและ
ผลที่พึงพอใจ ตองอาศัยการอบรมการประพฤติปฏิบัติทางดานศีลธรรม เมื่อธรรมเขาสู
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๔
๑๔๕
จติ ใจมากนอย ใจกค็ อ ยๆ เกดิ ความยม้ิ แยม แจม ใส มีรัศมีแพรวพราว เพราะมี
ความสงบรม เยน็ ภายในตวั เปน พน้ื ฐานแหง ธรรม พรอ มกบั เหน็ คณุ คา แหง ใจและคณุ
คาแหงความพากเพียรไปโดยลําดับ ธรรมเปน สมบตั ทิ จ่ี าํ เปน สาํ หรบั ผตู อ งการความ
สขุ ความเจรญิ ทง้ั ภายในและภายนอกโดยทว่ั กนั จึงควรอบรมศลี ธรรมใหม ขี น้ึ ภาย
ในจติ ใจอยา ไดล ดละปลอ ยวาง แมจ ะยากแสนยาก ลาํ บากกายใจเพยี งไร ก็ควรทํา
ความดเี ปน คเู คียงกันไป จะเปน ผสู มหวังทั้งเบอ้ื งหลงั เบื้องหนา ไมขาดทุนสูญดอกไป
เปลาจากความเปนมนุษย
ความยากลาํ บากเราไมต อ งยดึ มาเปน อปุ สรรค ทเ่ี คยไดอ ธบิ ายมาหลายครง้ั
หลายหนแลว การแกก เิ ลสจะไมย ากไดอ ยา งไร เพราะกเิ ลสมนั กอ ตวั และแสนเหนยี ว
แนนมาแตเมื่อไรไมมีใครทราบไดเลย และไมทราบจนกระทั่งปูยาตายายของมันคือ
อะไร โคตรแซของกเิ ลสคอื อะไร ไมทราบไดเลย ทราบไดแตเพียงวา มนั เปน โคตรแซท ่ี
เหนยี วแนน แสนเอาเปรยี บสตั วโ ลกมาเปน ประจาํ ไมยอมเสียเปรียบใครอยางงายๆ
เลยแตไหนแตไรมาเทานั้น ฉะนน้ั จงพากนั ผกู อาฆาตมนั ใหถ งึ ใจทเี ดยี ว
เราจะทาํ ลายกเิ ลสซง่ึ ฝง รากฐานลงอยา งลกึ ทะลขุ ว้ั หวั ใจ จะทาํ ลายเอาอยา งใจ
คิดใจหวัง ใหง า ยอยา งปอกกลว ยมนั เปน ไปไมไ ด เพราะกเิ ลสไมใ ชก ลว ยพอทจ่ี ะปอก
แลว เอามารบั ประทานเลยอยา งนน้ั ได ผูปฏิบัติธรรมจึงตองเปนผูมีหลักใจแนนหนามั่น
คง มคี วามมงุ มน่ั เปน ตน นค่ี อื คนมหี ลกั ใจหรือใจมีหลัก ใจหนกั แนน พูดงายๆ มี
เหตุมีผลประจําใจเสมอ เปนเครื่องบังคับใหใจดําเนินตาม หรือเดินตามเหตุผลที่
พจิ ารณาเหน็ วา ถกู ตอ งแลว นน้ั ๆ เมอื่ ใจดําเนินตามหลกั ของเหตุผลอยูโดยสมา่ํ เสมอ
ความเคยชนิ ของใจกม็ ดี ว ย สิง่ ทีจ่ ะมากอ กวนจิตใจใหไ ดร บั ความทุกขความลําบาก ก็จะ
มนี อ ยลงเปน ลาํ ดบั ดว ย ไมก าํ เรบิ เสบิ สานดงั ทม่ี นั มอี าํ นาจสงั หารโลกใหย อ ยยบั ทางจติ
ใจ และศีลธรรมอยูในทา มกลางทใ่ี ครๆ กว็ า “โลกเจริญๆ” อยเู วลานแ้ี บบไมล มื หลู มื ตา
ดังผูเทศนอยูเวลานี้เองซึ่งกําลังมืดบอดเต็มที่
นแ่ี หละทท่ี า นสอนใหไ ปอยปู า หาที่สงบสงัดดังที่พระทานอยูกันเรื่อยมา เชน
พระในครั้งพุทธกาลมีจาํ นวนมากมายทม่ี งุ ตอ แดนพน ทกุ ข ไดประพฤติปฏิบัติตนดวย
วธิ ที ไ่ี ดก ลา วมาน้ี องคน น้ั สาํ เรจ็ มรรคผลอยทู ป่ี า นน้ั องคน บ้ี รรลธุ รรมอยทู ภ่ี เู ขาลกู นน้ั
เรื่อยมาโดยลําดับ ขาวของทานมีแตขาวดีวิเศษวิโส บทขาวของเรามีแตความโลภโกรธ
หลงเต็มตัว แทบเคลอ่ื นยา ยตวั ไปไมไ ด เพราะมนั หนกั สง่ิ เหลา นเ้ี หลอื ประมาณเกนิ กวา
จะหาบหามไปได
ถา ดเู ผนิ ๆ แบบคนขี้เกยี จทงั้ หลายสมัยจรวดดาวเทียม กเ็ หมอื นทา นลา งมอื
เปบเอา ๆ งายเหลือเชื่อ ของคนสมยั ทไ่ี มอ ยากเชอ่ื ใคร นอกจากเชอ่ื ตวั ผเู ดยี วทก่ี าํ ลงั
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๕
๑๔๖
จะพาจมลงเหวลึกทั้งเปนๆ อยทู ุกขณะไมมขี อบเขตอยูแลว แตเ หตุคือการบําเพญ็ ของ
ทา น ทา นสละเปน สละตายมาแทบทุกองค ไมว า จะออกมาจากสกลุ ใดๆ เมื่อไดมุงหนา
มาประพฤติปฏิบัติธรรม ดว ยความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสตอ พระโอวาทคาํ สง่ั สอนของพระ
พทุ ธเจา แลว ตอ งเปน ผเู ปลย่ี นเครอ่ื งแบบใหมเ สยี ทง้ั หมด จริตนิสัยใจคอที่เคยเปน
อะไรบา ง ซึ่งไมดีไมงามมาแตกอน ทา นพยายามสลดั ปด ทง้ิ หมด เหลือแตนิสัยดี
ประจาํ เพศความเปน นกั บวช ที่กลา หาญตอความเพียรเพอื่ แดนพน ทุกขโดยถา ยเดียว
ทา นพยายามดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสง่ั สอนเทา นน้ั
เอา! หนกั กห็ นกั ,เปนก็เปน, ตายกต็ าย, อดกย็ อมอด อม่ิ กย็ อมรบั วา อม่ิ ขอให
ไดบ าํ เพญ็ ธรรมเพอ่ื ความพน ทกุ ขส มความมงุ หมายกเ็ ปน ทพ่ี อใจแลว สาวกทา นดาํ เนนิ
อยา งน้ี แลว กถ็ า ยทอดขอ ปฏบิ ตั ปิ ฏปิ ทาเครอ่ื งดาํ เนนิ อนั ดงี ามนน้ั มาจนถงึ พวกเรา ซึ่ง
เปนปฏิปทาที่ราบรื่นดีงามสม่ําเสมอควรแกมรรคผลนิพพาน และเปนปฏิปทาที่
สามารถแกก เิ ลส ถอดถอนกิเลสทุกประเภทออกจากใจไดโดยสิ้นเชิงไมสงสัย ไมว า กาล
ใดสมัยใด เมื่อผูปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองคทรงสอนไวแลว ตองไดผลเปนที่พอใจ
โดยลําดบั ทกุ ยคุ ทกุ สมยั เพราะ “สวากขาตธรรม” ไมข น้ึ กบั โลกกบั สมยั แตข น้ึ กบั ความ
จริงอยางเดียว
คาํ วา “ทน่ี น่ั วนุ วาย ทน่ี ว่ี นุ วาย” จะหมายถึงอะไร? ถา ไมห มายถงึ ใจตวั กอ เหตนุ ้ี
เทานั้นพาใหเปนไปตางหาก สถานทเ่ี ขาไมไ ดว นุ วาย นอกจากใจเปน ผวู นุ วายแตผ ู
เดียว ดนิ ฟา อากาศเขาไมไ ดว า เขาเปน ทกุ ขเ ปน รอ นและวนุ วายอะไร ถา ดแู บบนกั
ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมอยางจริงใจ จะเหน็ แตใจดวงเดยี วนเี้ ทา นนั้ ดนิ้ รนวุนวายอยตู ลอด
เวลา ยง่ิ กวา หางจง้ิ เหลนขาด (หางจิ้งเหลนขาดมันด้ินรดิ ๆ) สถานทใ่ี ดกเ็ ปน สถานทน่ี น้ั
อยูตามสภาพของเขา ผทู ว่ี นุ วายกค็ อื หวั ใจทเ่ี ตม็ ไปดว ยกเิ ลสเครอ่ื งกอ กวนใหว นุ วาย
นน้ั เอง ขน้ึ ชอ่ื วา “กเิ ลส” แลว ทกุ ประเภทตอ งทําคนและสตั วใหอ ยูเปนปกตสิ ุขไดย าก
ตอ งลกุ ลล้ี กุ ลนกระวนกระวายสา ยแสไ ปตามความผลกั ดนั ของมนั มากนอ ยอยนู น่ั เอง
ที่พระพุทธเจาทานวา “จงมาสสู ถานทน่ี ้ี ทน่ี ไ่ี มว นุ วาย!” คอื พระองคไ มว นุ วาย
พระองคไ ดชาํ ระความวุน วายหมดแลว บรรดาสิ่งที่ทําใหวุนวายภายในพระทัยไมมี
เหลอื แลว สถานทน่ี จ้ี งึ ไมว นุ วายไมข ดั ขอ ง
“ยสกลุ บตุ ร” ถาพูดถึงชื่อ กว็ า “ยส” เขา มาน่ี ทน่ี ไ่ี มว นุ วาย ที่นี่ไมขัดของ ที่นี่ไม
เศรา หมองขนุ มวั ไปดว ยตมดว ยโคลนคอื กเิ ลสโสมมตา งๆ แตครั้งนั้นพระพุทธเจาจะ
ทรงทราบชื่อทราบนามของเขาหรือไมก็ตาม กห็ มายเอาผนู น้ั นน่ั แหละ เมื่อเราทราบชื่อ
ของทา นแลว กถ็ อื เอาความวา สถานทน่ี น้ั กค็ อื สถานทบ่ี าํ เพญ็ เพอ่ื ความไมว นุ วายนน่ั เอง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๖
๑๔๗
สถานที่ที่พระพุทธเจาประทับอยูเวลานั้น กเ็ ปน สถานทท่ี ฆ่ี า กเิ ลส ทําลายกิเลสทง้ั มวล
ไมใชเปนที่สั่งสมกิเลส เปน สถานทไ่ี มว นุ วายกบั อะไรบรรดาขา ศกึ เครอ่ื งกอ กวน จึงทรง
เรียกพระยสเขามาวา
“มาทน่ี ่ี ที่นี้ไมยุงเหยิง ทน่ี ไ่ี มว นุ วาย ทน่ี ไ่ี มเ ดอื ดรอ น” ทน่ี เ่ี ปน ทอ่ี บรมสง่ั สอน
ธรรมเพื่อแกความเดือดรอนวุนวายภายในใจโดยตรง จนยสกลุ บุตรไดบรรลุธรรมเปน
ทพ่ี อใจในทน่ี น้ั
ทน่ี น้ั ควรเปน เครอ่ื งระลกึ ใหเ ราท้งั หลายไดค ดิ ถึงเรอ่ื งความวนุ วายวา มันอยู
ในสถานทใ่ี ดกนั แน? ถา ไมอ ยใู นหวั ใจนไ้ี มม ใี นทอ่ี น่ื ใด เมอ่ื ความวนุ วายทก่ี อ กวนอยู
ภายในใจระงบั ดบั ลงไปแลว ดว ยความประพฤติปฏิบัติธรรมในสถานทอ่ี นั เหมาะสม
ความสงบเยน็ ใจกเ็ กดิ ขน้ึ ไปทใ่ี ดอยทู ใ่ี ดกไ็ มว นุ วาย เมอ่ื หวั ใจไมว นุ วายเสยี อยา ง
เดียว อยทู ไ่ี หนกอ็ ยเู ถอะไมว นุ วายทง้ั สน้ิ สบายไปหมด! จะอดบา งอม่ิ บา งกส็ บาย
เพราะใจอิ่มธรรม ไมห วิ โหยในอารมณเ ครอ่ื งกอ กวนใหว นุ วาย เราสังเกตดูเผินๆ ก็
พอทราบได ดว ยอาการทแ่ี สดงออกของสตั วแ ละบคุ คล ในเวลามคี วามทุกขเ ขา ทบั ถม
มากนอ ย เฉพาะอยา งยง่ิ ขณะจะตายสัตวจะดิ้นรน คนจะอยูเปนปกติสุขไมได ตอ ง
กระวนกระวายทิ้งเนื้อทิ้งตัว จนไมมีสติประคองใจ กระทั่งตายไป
ฉะนน้ั จงึ มใี จดวงเดยี วเปนตัวกอ เหตใุ หเกดิ ความวุนวาย แตใจนัน้ มสี งิ่ ทพ่ี าให
กอ เหตุ ไมใชเฉพาะใจเฉยๆ จะกอ เหตขุ น้ึ มาอยา งดอ้ื ๆ สง่ิ ทแ่ี ทรกสงิ อยนู น้ั คอื สง่ิ วนุ
วายหรอื ตวั วนุ วาย เมื่อเขาไปสิงในจิตใจของผูใด ผนู น้ั กต็ อ งวนุ วายไปดว ยมนั การแก
กเิ ลสคอื ธรรมชาตทิ ท่ี าํ ใหว นุ วายน้ี จงึ แกล งท่ีใจดว ยขอปฏบิ ัติ เชน ทา นสอนให
กาํ หนด “พุทโธ,ธัมโม,สังโฆ” เปนเครื่องบริกรรม หรอื กาํ หนด “อานาปานสต”ิ เปน
อารมณ เพื่อใจไดรับความสงบระงับในขน้ั เรม่ิ แรก ซึ่งเปนธรรมเครื่องระงับความวุน
วาย ตอ ไปกต็ ามดใู จวา มนั วนุ วายกบั เรอ่ื งอะไร? นค่ี อื ขน้ั เรม่ิ แรกทป่ี ญ ญาจะเรม่ิ
ออกกา วเดนิ เพอ่ื คน หาสาเหตุ คอื ตวั กเิ ลสทท่ี าํ ใหใ จวนุ วายไมห ยดุ หยอ น จนกวาจะรู
เรื่องของมันไปโดยลําดับ ไมย อมถอยทพั กลบั แพขา ศกึ ตัวแทรกซมึ กอ กวนทแ่ี อบซอน
อยภู ายในจิต
เชน ใจวนุ วายกบั เรอ่ื งรปู รส กลน่ิ เสียง เครื่องสัมผัส ซง่ึ เขา ใจวา อนั นน้ั ดี อนั น้ี
ชว่ั อนั นน้ั เปน อยา งนน้ั อนั นเ้ี ปน อยา งน้ี ดว ยความสาํ คญั ตา งๆ ปญ ญา พิจารณาคลี่
คลายดใู หเ หน็ ตามความเปน จรงิ ในสง่ิ นน้ั ๆ แลว ยอ นเขา มาดจู ติ ใจผมู คี วามสาํ คญั
มน่ั หมายในสง่ิ นน้ั ๆ วา เปน นน่ั เปน น่ี จนเกดิ ความวนุ วายขน้ึ ภายในตวั ใหเห็นชัดเจน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๗
๑๔๘
ทง้ั ภายในภายนอก ใจก็สงบระงับลงไปได เปนอรรถเปนธรรม พอมที ผ่ี อ นคลายหาย
ทุกขไปไดไมรุนแรง
การแกค วามวนุ วายแกต รงทค่ี วามวนุ วายมอี ยู คอื ใจนเ่ี อง แกไ มห ยดุ ไมถ อย ใจ
จะฝนเราไปที่ไหน จะตองสงบระงับความกําเริบลงจนไดไมเหนือธรรมเครื่องฝกทรมาน
ไปได ปราชญทานเคยฝกทรมานจนเห็นผลมาแลว จงึ ไดน าํ อบุ ายวธิ นี น้ั ๆ มาสอนสตั ว
โลกเชน พวกเรา ชาวปฏบิ ตั ธิ รรมทางใจ
อยา ลมื ! อยา หนจี ากจดุ น!้ี “วฏั จกั ร” กค็ อื จติ เรอ่ื งเกดิ เรอ่ื งตาย เรอ่ื งทกุ ข
ลาํ บากทง้ั หมด คอื จติ เปน สาํ คญั เอา! เอาลงที่นี่เลย! ตวั นเ้ี ปน ตวั กอ เหตุ คําวา “คือ
จิตนี”้ กค็ อื กเิ ลสมอี ยใู นจติ นน่ั เอง จติ ยงั สาํ รอกปอกกเิ ลสออกไมไ ดห มด จึงตองมี
เรื่องไมพึงปรารถนาเกิดขึ้นภายในจิตอยูเสมอ ทั้งๆ ที่ไมตองการใหมันเกิดแตมันก็เกิด
เพราะธรรมชาติของมันเปนอยางนั้น ทางเดินของมันอยูที่นั่น จึงลบลางไมไดด วย
ความสาํ คญั ดว ยความตอ งการเฉยๆ
แตต อ งลบลา งดว ยการปฏบิ ตั ิ กาํ จดั สง่ิ นน้ั ๆ ดวยเหตุผลที่ควร ไดแกอ รรถ
ธรรมนแ่ี หละเปน หลกั ใหญ เอา! บําเพ็ญลงไป คาํ วา “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ” “ตน
เปนที่พึ่งของตน” ดังที่เคยแสดงแลว ใหเ ดน ภายในใจและความสามารถของเราเอง
อยา หวงั พง่ึ ใครอน่ื อนั เปน การออ นความสามารถไมฟ ต ตวั ใหเ ขม แขง็ ดังธรรมทาน
สอน
มนษุ ยเ ราเกดิ มาชอบอาศยั ผอู น่ื อยเู ปน นสิ ยั อะไรๆ ตองพึ่งผูอื่น อาศยั ผอู น่ื ตง้ั
แตเ ลก็ จนโต ราวกับไมมีแขงมีขาไมมีมือมีเทา ไมมีสติปญญาใดๆ เลย มแี ตป ากกบั
ทอง เวลาเขาจนตรอกจนมุมไมมีผูอาศัยจะไมจมไปละหรือ? ฉะนั้นเราเปนนักปฏิบัติ
ธรรม ตองหัดพึ่งตัวเองตามหลักธรรมที่สอนไว จะเปนผูไมจนมุมในเวลาจําเปน
พยายามสรา ง “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ” ขน้ึ ในตวั สติไมมีพยายามสรางใหมี ปญญาไม
มีพยายามสรางใหมี ความขเ้ี กยี จพยายามปราบปรามมนั ลงไปใหส น้ิ ซาก อยา ใหม ากดี
ขวางลวงใจอกี ตอ ไป ความขยันผลิตขึ้นมาดวยความมีเหตุมีผล เมื่อมีเหตุมีผลความ
ขยนั มนั เกดิ ขน้ึ ไดเ อง
ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นน้ี เราเคยไดเงินหมน่ื เงินแสนเงนิ ลานจากมนั บา งไหม? ถา
เราสรา งโลกดว ยความขเ้ี กยี จ จะเปน คนมง่ั มไี ดไ หม? ความโงมันจะทาํ ใหคนฉลาด
แหลมคมไดไหม? คนโงจ ะทาํ อะไรใหส ําเร็จลลุ วงไปดวยความนา ชมมไี หม? ความโง
ความขเ้ี กยี จออ นแอนาํ หนา ทําอะไรทันเขาไหม? ความโง ความขเ้ี กยี จ เมื่อไดเขาเปน
อนั เดียวกันแลว ทําอะไรไมส าํ เรจ็ ทส่ี าํ เรจ็ ของมนั คอื บนหมอน “กอนแลว นนิ กนิ แลว
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๘
๑๔๙
นอน!” อยนู น่ั แล นี่แหละโทษของมันเปนอยางนี้ แตคุณของมันยังมองไมเห็น อาจเปน
เพราะขรัวตาเรียนนอยจึงไมอาจรูเทาทันมัน จงึ ขอมอบใหผเู รยี นมากนําไปวินจิ ฉัยเอง
จะเหมาะสมกวา
ที่ตองการเห็นอรรถเห็นธรรม เหน็ ความจริงของศาสนธรรมซึ่งมีอยูภายในใจ
เรา ดังที่พระพุทธเจาไดทรงสอนไว เราจะทาํ วธิ ไี หน? จะนําความขี้เกียจขี้ครานนี้เขามา
เปนผูนําทางเหรอ? หรอื จะเอาความโงเขา มาเปนเคร่อื งบกุ เบิกทาง นอกจากมันจะเพิ่ม
ความขี้เกียจและความโงขึ้นอีก หาอะไรเปนชน้ิ เปนอันบา งไมไดเทา น้ัน ไมมีอยางอื่นจะ
เปนสารคุณของทั้งสองสิ่งนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่จะแกสิ่งทั้งสองนี้ได จะตองพยายามผลิตสิง่ นั้นขึ้นมา ความ
ฉลาดผลติ ได ความพยายามคิดอานไตรต รองอยเู สมอ เปนสิ่งที่ผลิตไดทําไดไมสุด
วิสัยมนุษยเรา ทีแรกตองพยายามพาคิดพาคนไปกอนเพราะยังไมเห็นผล ก็ยังไมมี
กําลังใจดูดดื่มในงานคิดคนไตรตรองเปนธรรมดา จนกวา ผลปรากฏขน้ึ มาแลว เรื่อง
ความอตุ สา หพ ยายาม ความบกึ บนึ ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ความดูดดื่มภายในจิต จะ
เปนไปเอง เพราะผลเปนเครื่องดึงดูดใหเปนไป
จงนําสติปญญาแกลงที่นี่ กเิ ลสมนั อยทู ใ่ี จ อยา ไปคาดไปหมายทโ่ี นน ทน่ี ่ี เปน
ความผิดทั้งนั้น กเิ ลสตวั พาเปน พาคาดพาหมายเราไมดูมัน คาดวาที่นั่นจะดี ที่นี่จะดี
ที่นั่นจะเปนสุข ทน่ี จ่ี ะสบาย ลว นแตม นั หลอกเรา เมอ่ื ไปแลว กอ็ ยา งวา นน่ั เอง เพราะ
“ตวั น”้ี มนั รอ น ไปไหนๆ กต็ องรอ น ตัวนี้มันทุกข ไปไหนๆ กท็ กุ ข ถา ไมด ตู วั มนั กอ
ทกุ ขก อ เหตกุ อ ความวนุ วายอยเู สมอภายในใจน้ี จะไมเห็นที่จอดแวะ จะไมเห็นที่แกไข
จะไมเห็นที่ระงับดับมันลงไปไดเลย ความสงบสขุ ความเยน็ ใจจะไมป รากฏ ถา ไมร ะงบั
ดับลงที่นี่ ดวยการพิจารณาท่นี ี่ แกมันที่ตรงนี้
มนั รอ นทจ่ี ดุ ไหนกาํ หนดดทู ม่ี นั รอ นนน้ั มนั วนุ วายทต่ี รงไหนกาํ หนดดทู ม่ี นั วนุ
วายนน้ั ตง้ั สตจิ อ เขา ไป! ที่ตรงนั้น ใหเ หน็ ความจรงิ และความวนุ วายนว้ี า มันเกิดขึ้นมา
จากอะไร? ความทุกขเกิดขึ้นมาจากอะไร? อะไรเปนสาเหตุใหเกิดทุกข คนมันลงไปที่จิต
นน้ั ทกุ ขน น้ั มนั เปน สนามรบดว ยดแี ลว น่ี ความทุกขเ กดิ ข้นึ กเ็ อาความทกุ ขเปน เปา
หมาย กาํ หนดลงไป หาเหตมุ นั เกดิ ขน้ึ มาจากอะไร คนความันอยูที่ตรงนั้น คนมันที่ตรง
นน้ั ความวนุ วายกบั ความทกุ ขม นั เกย่ี วพนั กนั อยู มันเกิดขึ้นมาจากอะไร เกดิ มาจาก
ความสาํ คญั มน่ั หมายนน้ั แลไมใชเกิดจากอื่น วา อนั นน้ั เปน นน้ั อนั นเ้ี ปน อยา งน้ี ทั้งๆ
ที่มันไมเปน จิตไปสําคญั เอาเองแลว หลงความสําคญั ของตวั ก็โกยทุกขขนึ้ มาเผาลนตน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๙
๑๕๐
เองใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น มเี ทา น้ี เรอ่ื งสาํ คญั อยทู ต่ี รงน้ี เพราะฉะนน้ั จงึ
ใหย อ นจติ เขา มาดทู จ่ี ดุ น้ี
เอา! เปนก็ใหรู ตายกใ็ หร ู ใหเ หน็ ความจรงิ กบั สง่ิ ทป่ี รากฏอยใู นเวลาน้ี มันทุกข
แคไ หนใหดตู วั ทกุ ข แตก อ นมนั ยงั ไมเ กดิ ทําไมมาเกิดในขณะนี้ แลวมันเกิดขึ้นมาจาก
อะไร ตัวทุกขมันเปน “ทุกฺขํ” อยแู ลว น่ี และเปนตัว “อนิจฺจํ อนตฺตา” อยแู ลว น่ี ดใู หช ดั
ดวยปญญาจริงๆ นแ่ี หละเปน หนิ ลบั ปญ ญา กําหนดพิจารณาลงที่จุดนั้น แลว ความ
เปลี่ยนแปลงของมันจะแสดงใหเราเห็น เมื่อสติจดจออยูที่ตรงนั้น ไมย อมใหจ ติ คดิ ไป
ทางอื่น ซง่ึ เปน การเพม่ิ กเิ ลสขน้ึ มาอกี ไมมีสิ้นสุดยุติลงไดสักที
จงดูเฉพาะจิตทวี่ า มนั เปน ทกุ ขน้นั ดว ยปญ ญา ดว ยสติ ใครค รวญดว ยความ
ละเอยี ดถถ่ี ว น นแ่ี หละชอ่ื วา พจิ ารณาถกู ตอ ง และเปนทางระงับดับทุกขลงไดโดยไม
ตอ งสงสัย ปราชญท า นดบั ทกุ ขท า นดบั ทน่ี ่ี ผมู สี ตปิ ญ ญาทา นดบั กนั ทน่ี ่ี ตรงนแ้ี หละ
คือสถานที่ทําความเพียรใหเกิดปญญา ไมต อ งไปปรารถนาวา ใหท กุ ขน ด้ี บั ไปเสยี ไม
ตอ งไปตั้งความอยากใหท ุกขมันดับ ความอยากนเ้ี ปน สง่ิ กอ กวนและเปน สมทุ ยั จะ
เพิ่มทุกขขึ้นมาเมื่อมันไมดับอยางใจหมาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกตองเหมาะสมกับสิ่งที่
ปรากฏอยคู อื ความทกุ ขเ วลาน้ี กค็ อื การกาํ หนดใหร เู รอ่ื งราวรรู าวของความทกุ ขว า เกดิ
ขึ้นมาจากอะไร จะเหน็ ความจริงทงั้ ทกุ ขด วย จะเห็นความจริงทง้ั สง่ิ ทท่ี าํ ใหเ กดิ ทกุ ข
ดว ยปญ ญา นี่แหละเปนอุบายที่จะยุติความทุกขได และเปนอุบายทจี่ ะระงับดบั ทกุ ขล ง
ไดโดยไมตองสงสัย มจี ดุ นเ้ี ปน จดุ สาํ คญั
ไมตองไปปรารถนา ไมตองไปหมาย มันจะเพิ่มทุกข ตองการแตความจริง ใหรู
ความจรงิ ดูความจริงใหเห็น เมือ่ ทุกขไ มด บั มันจะตายไปดว ยกันก็ใหร ู “มันจะไปไหน
วะ?” เอายังงี้เลย เอาลงใหเด็ดถึงคราวเด็ด จติ ไมต ายไมต อ งกลัว! เอา! พิจารณาใน
สนามรบน้ี ระหวา งขนั ธก บั จติ นเ่ี ปน สนามรบของสตปิ ญ ญากบั กเิ ลสทต่ี อ สกู นั สติ
ปญ ญา กเิ ลส นน้ั เปน อนั หนง่ึ ขนั ธเ ปน อนั หนง่ึ มนั เปน คนละอยา งกนั ตามความจรงิ
ถา ขนั ธไ มป กตจิ ะเปน ขนั ธใ ดกต็ าม จิตตองกระเทือน ถา สตปิ ญ ญาไมท นั จติ ตอ ง
กระเทือนและทุกขรอนไปดวย เพราะตามปกติจติ แลว ตอ งยดึ ถอื ขนั ธเ หลา นว้ี า เปน ตน
อยางฝงใจ เพราะอะไร? เพราะกเิ ลสพาใหฝ ง การพจิ ารณาสง่ิ เหลา นโ้ี ดยแยกสว นแบง
สว นออกไป ยอ มเปน การถอดถอนกเิ ลส คอื ความสาํ คญั นน้ั ๆ ใหเ บาบางลง จนกระทั่ง
ความสาํ คญั เหลา นห้ี มดไป คําวา “นน่ั เปน เรา,นี่เปนเรา” กห็ มดไปไมต องบงั คบั แตมัน
หมดไปดวยการพิจารณา น่ีแหละที่วา “ปญญาตัดขาด ตดั ขาดอยา งนเ้ี อง”
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๐
๑๕๑
กรณุ าฟง ใหถ งึ ใจ เพราะเทศนอยางเต็มภูมิแบบถึงใจ ทไ่ี ดปฏบิ ัตหิ รือสูร บกับส่ิง
เหลา น้ี ชนิดเอาชีวิตเขาประกันความเปนความตาย ไมอ าลยั เสยี ดายชวี ติ มาแลว จงตัด
ความสาํ คญั วา “นั้นเปนเรา นี้เปนของเรา” ออกใหไ ด เพราะทุกขจะพาใหจม ยงั วา เปน
เราเปนของเราอยูอีกหรือ? ยึดเอามาทําไม ทกุ ขน้นั เปน เหมอื นไฟ ยังวาเปนเราและนํา
มาเผาเราทําไมกัน ความรอ นกร็ วู า รอ น ความทกุ ขก ร็ วู า ทกุ ข ยงั จะกวาดเขา มาเผาเจา
ของเขาไปอีกหรือ ทกุ ขก ใ็ หร วู า มนั เปน ทกุ ข กาํ หนดดตู รงทว่ี า มนั ทกุ ขด ว ยปญ ญา นน่ั
เปน ความถกู ตอ งทส่ี ดุ แลว อยา ไปลบู คลาํ หาขวากหาหนามมาทม่ิ แทงหวั ใจเพม่ิ เขา อีก
ถา ไมอ ยากจมไปกบั กองทกุ ขไ มม วี นั โผลข น้ึ มาไดน ะ
เอา ทกุ ขต ัง้ อยูก ใ็ หรูวา ทุกขต้ังอยู ทุกขเกิดขึ้นขณะนี้ ตั้งอยูขณะนี้ แลวมันจะดับ
ไปขณะตอไปนั้น กค็ วรจะรเู หน็ ตามความเคลอ่ื นไหวของมนั แตจ ติ ทาํ ไมไมเ หน็ มนั
เกดิ มนั ดบั จิตกับทุกขมันเปนผูเดียวกันหรือ? ทุกขเกิดทุกขดับ ทาํ ไมไมเ หน็ จติ ดบั ไป
ดว ยกนั ? นอกจากรอู ยตู ลอดเวลาเทา นน้ั ถามีสติคอยดูจองดูมัน ฉะน้ันจงพจิ ารณา
ใหชัดเจน เมื่อทุกขไมดับและมันจะตายไปดวยกันก็ใหมันตายไป จิตยังไงมันก็ไมตาย
แนน อน ขอใหร ตู ามความจรงิ อนั นเ้ี ถดิ อยา กลวั ทกุ ขก ลวั ตายซง่ึ เปน สจั ธรรม
น่ีคือวธิ เี ผาผลาญกเิ ลสในหลกั ปจ จุบันธรรมตามทางของพระพทุ ธเจา ทานสอน
อยา งน้ี ทานประพฤติปฏิบัติอยางนี้ ทา นรเู หน็ มาอยา งน้ี ไดผ ลมาอยา งน้ี ไมเ ปน อยา ง
อน่ื เพราะกิเลสไมเปนอยางอื่น คือเปนกิเลสอยูโดยดี และธรรมคือสติปญญาก็สามารถ
แกไ ดจ รงิ ๆ ไมสงสัย
การแกก เิ ลสชนดิ ตา งๆ ดว ยศลี สมาธิ ปญ ญา ทเ่ี ราบาํ เพญ็ ปฏบิ ตั อิ ยเู วลาน้ี
เปน การกระทาํ ทถ่ี กู ตอ ง และเหมาะสมแกการแกกิเลสทุกประเภทดังพระพุทธเจาพา
ดําเนินมา อยทู ไ่ี หนกต็ ามอยา ละกจิ ทค่ี วรแกไ ข ควรถอดถอน กิจที่ควรจดจอ กิจที่ควร
สอดรู กิจที่ควรพยายามใหเขาใจ อยา เผลอตวั นอนใจวา กเิ ลสจะตายไปเองโดยไมถ กู ฆา
ดวยความเพียรทาตางๆ เพราะกเิ ลสไมใ ชห นพู อจะใหแ มวชว ยกดั ชว ยฆา ได โดยเจาตัว
ไมตองทํางาน
สว นอาการของจติ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงไปเรอ่ื ยๆ ถา มกี ารชาํ ระสะสางดว ย
ขอปฏิบตั อิ ยเู สมอ แมแ ตส มาธกิ ย็ งั ตอ งเปลย่ี นสภาพไป จากความหยาบในเบอ้ื งตน
จนเขาสูความละเอียดขน้ึ ไปเร่อื ยๆ ฐานของจติ คอื ความแนน หนามน่ั คง กจ็ ะแนน
หนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความละเอยี ดของสมาธิ
สตปิ ญ ญาเมอ่ื เรานาํ มาใชอ ยเู สมอ กจ็ ะคอ ยมกี าํ ลงั ขน้ึ เรอ่ื ยๆ และรวดเร็วขึ้น
โดยลําดับเพราะฝกซอมอยูเสมอ นแ่ี หละสง่ิ ทจ่ี ะทาํ หนา ทป่ี ราบปรามกเิ ลสคอื สตกิ บั
ปญญา มีมากเพียงไรกิเลสยิ่งกลัวมากขึ้น ถา มนี อ ยกเิ ลสกเ็ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายจนแทบไม
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๑
๑๕๒
ปรากฏสติปญญาเลย มีแตนั่งเฝาทุกขอยูเทานั้น ปลอ ยใหท กุ ขม นั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเอา
และบน อยเู ทา นน้ั บนเทาไรก็ไมเปนประโยชน จะบนไปทําไม
หนาที่ของเรามียังไง ฟาดฟนมันลงไปใหเห็นเหตุเห็นผล เหน็ ความสตั ยค วาม
จริงซ่ึงมีอยูภายในจิตใจดวงน้ี เมื่อเห็นชัดเจนแลวกิเลสไมตองบอก มันแตกกระจายไป
หมด นน่ั ! และจะสูเหนือปญญาไปไมได
นั่นแหละจึงเห็นไดชัดวาอะไรเปนกิเลส อะไรเปนกงจักร อะไรเปนตัวพาใหเกิด
ใหต าย อะไรเปน ตวั ทกุ ขตัวลําบากท้งั หลาย อะไรเปนตัวยุงเหยิงวุนวาย ที่ไหนเปนที่
เดือดรอน ทไ่ี หนเปน ทว่ี นุ วาย ปญญารูชัดประจักษใจสิ้นสงสัย เพราะความเดือดรอน
วนุ วายหมดไป เพราะกเิ ลสตวั กอ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วาย สน้ิ ไปดวยอาํ นาจของ
ปญญา นน่ั !
ความหมดทกุ ขห มดทใ่ี จ รางกายมีก็เปนเรื่องของมันจะเปนไรไป มันมีของ
มนั อยจู นกระทง่ั วนั สลายนน่ั แหละ ยังเปนอยูเดี๋ยวแสดงนูน เดี๋ยวแสดงนี้ เดี๋ยวเจ็บ
ทอ ง เด๋ียวปวดหวั ไหล ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนป้ี วดนน้ั อยยู งั งน้ั เรื่องของขันธไมมี
เวลาเปนปกติสุขไดจะวายังไง เราอยา ไปสาํ คัญมน่ั หมายมัน ใหเห็นความจริงของมันจะ
ไมเดือดรอน ถึงคราวจริงๆ มนั กเ็ ปน อยา งนน้ั นี่เราเห็นชัดตามเปนจริงอยูแลว มันจะ
แตกกแ็ ตก ยม้ิ กบั มนั ไดจ ะวา ยงั ไง เพราะไมม อี ะไรจะมาทาํ ลายใจไดน ่ี
การตายของธาตขุ องขนั ธ การสลายของธาตขุ องขนั ธ ไมใชสิ่งที่จะมาลบลางหรือ
ทําลายจิตใจใหฉิบหายไป มนั เปนเร่อื งของเขาทาํ หนาทต่ี ามธรรมชาตขิ องเขา คือเขาทํา
หนา ทต่ี าม “ไตรลกั ษณ” ไดแ ก “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า” เขาก็ทําของเขาไป สติปญญาเรา
มีเพียงไรก็พิจารณาไปไมหยุดยั้ง จนรูรอบตัวโดยสมบูรณ
ผูที่รูกฎไตรลักษณก็พิจารณาเห็นตามความเปนจริงไปชื่อวา “ผฉู ลาด” นแ่ี หละ
ทา นวา “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหฉ ลาดที่ตรงนี้ สวดใหด นี ะ “กสุ ลา ธมมฺ า” อยา คอยแตจ ะให
เขาเอาพระไปสวดใหเวลาตาย เคาะโลง ปก ๆ แปก ๆ เฮอ! ราํ คาญจะตายไป เรานะไม
อยากพบอยากเหน็ “กสุ ลา” แบบนน้ั นน่ั มนั แบบคนตายสน้ิ ทาแลว ตอ ง”กสุ ลา” แบบ
มีทา นา กเิ ลสกลวั ซ!ิ คือคดิ คนลงที่ “เบญจขันธ” ใหเ กดิ ความฉลาดขน้ึ มา และฆา กเิ ลส
ไปดวยซิ ตอนยงั เปน คนอยไู มอ ยากฉลาด เวลาตายแลว ไปกวา นเอาพระมาสวด “กสุ ลา
ธมมฺ า” ยุงไปหมด กสุ ลา ธมมฺ า ก็เทาเดิมนั่นแหละจะวายังไง ตองสวดใหถ ูกจุด
ประสงคแ ละความหมายซิ
สวด “กสุ ลา ธมมฺ า” แปลวา ความฉลาด เรยี นเรอ่ื งของตวั ใหร อบคอบใหร รู อบ
ความโงก อ็ ยใู นตวั น่ี ความฉลาดกอ็ ยใู นตวั ผลติ ข้นึ มาได “อกสุ ลา ธมมฺ า” กอ็ ยทู จ่ี ติ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๒
๑๕๓
แกจ ิตจนบริสุทธิ์แลว ไมต อ งพดู ไมต อ งสวด! “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหเ สยี เวลา “อกสุ ลา ธมฺ
มา” กเ็ สยี เวลา “อพยฺ ากตา ธมมฺ า” กเ็ สยี เวลา ถาตัวเราเปน “โมฆะ” ไมส นใจกบั “กสุ ลา
ธมมฺ า” เพอ่ื ความฉลาดดว ยสตปิ ญ ญา ดังพระพุทธเจาไดสั่งสอนไว ขณะที่ยังมีชีวิตอยู
และสามารถทาํ ไดอ ยขู ณะนย้ี อ มฉลาด รอบรตู ามความจรงิ แลว สบายดี ตายแลว ไมต อ ง
หาพระมา กสุ ลา ธมมฺ า นะ ! จงทาํ ใหถ งึ เหตถุ งึ ผลเถอะ เวลารูมันรูจริงๆ นะภายในจิต
ใจนี่ เพราะความจริงมอี ยูกบั ทกุ คน ถา ตง้ั ใจคน หาตอ งเจอ
พระพุทธเจาไมหลอกลวงโลกนี่ พระองคเ หน็ กอ นแลว รกู อ นแลว จึงนําความรู
จรงิ เหน็ จรงิ มาสอนโลก แลว ธรรมนน้ั ๆ จะปลอมไปไหน! นอกจากจติ ใจเรามนั ถกู กเิ ลส
พาใหป ลอมเทา นน้ั เอง มนั ถงึ ปลอมไดว นั ยงั คาํ่ คืนยังรุง ไดยินไดเห็นอะไรปลอมไป
หมด เพราะกเิ ลสมนั พาใหป ลอม ถาสติปญญาไดหยั่งเขาไปตรงไหน ความจริงก็ชัดขึ้น
มาตรงนั้น ปญญาเต็มที่ความจริงแสดงเต็มภูมิไมสงสัย น่แี หละทานเรยี กวา “เรยี น
ธรรมปฏบิ ัตธิ รรมจบ” จบทดี่ วงใจน้ี
เรียนเรื่องของ “วฏั จกั ร” “แก วฏั จกั ร” จบทจ่ี ติ แลว แสนสบาย! ทา นวา
โลกุตรธรรม ธรรมเหนอื โลก” ทั้งๆ ทอ่ี ยใู นโลกอยใู นขนั ธ กเ็ หนอื โลกเหนอื ขนั ธ ไม
ยอมใหข นั ธก ดขบ่ี งั คบั ไดเ หมอื นแตก อ น รูตามความจริงของมันเสียทุกอยางแลวไมมี
อะไรมากระเทือนจิตใจ ไมม ากดขบ่ี งั คบั จติ ใจไดเ ลย จึงเรียกวา “เหนอื โลก” “โลก” คือ
“ขนั ธ” เหนือที่ตรงนี้เอง
“โลกุตรธรรม” แปลวา “ธรรมเหนือโลก” “นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ”ํ ถามหาอะไร? ขอ
ใหจิตบริสุทธิ์เทานั้น กบั คาํ “นพิ พฺ านํ ปรมํ สุข”ํ กเ็ ขา กนั ไดเ อง เพราะเปนธรรมอนั
เดียวกัน
สวดไมส วด วา ไมว า กอ็ นั เดยี วกนั จงพยายามสวด “กสุ ลา ธมฺมา” ใหต วั เองนะ
อยา ไปคอยเอาพระมาสวด “กสุ ลา ธมฺมา” ใหยุงไป โดยทต่ี นไมส นใจกบั “กสุ ลา ธมมฺ า”
ทม่ี อี ยใู นตนนเ้ี ลย
ถาเปนพระผูมุงอรรถมุงธรรมจริงๆ ทา นไมอ ยากยงุ ทานราํ คาญทา นไมอ ยาก
ไป เพราะเสียเวลาบําเพ็ญเพียร นอกจากเปน “พระหากิน” นน่ั แลทอ่ี ยากไป เชน หลวง
ตาบวั อยา งนน้ี ะ ไมแ นน ะอาจเปน ขรัวตา “กสุ ลา” กไ็ ดใ ครอยา ดว นเชอ่ื นกั ใหใชสติ
ปญญาดวยดี
“เฮอ! วนั นค้ี นตายนะ กสุ ลาอาหารวา งเถดิ วนั น!้ี ” มันอาจเปนไปได
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๓
๑๕๔
แตพระทานมุงอรรถมุงธรรมทานไมสนใจอะไร ทา นขเ้ี กยี จยงุ เวลาสอนให “กุ
สลา ธมมฺ า” ไมส นใจ เวลาตายแลว มากวา นพระไป “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหย งุ ทาํ ไม? นน่ั !
ทา นวา อยา งน้ี เพราะทานแสวงธรรม ไมไดแสวงอะไรอื่นนี่
เอาละ เอวงั จบเสยี ที ขืนพูดไปมากคนเขาจะแชงเอา
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๔
๑๕๕
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๔ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
อบุ ายฝก จติ ทางลดั
มผี ถู ามปญ หาพอระลกึ ไดบ า งกป็ ญ หา “ปากคอก” นแ่ี หละ มอี ยกู บั ทกุ คน วา
“โลกหนา มไี หม? โลกหนา กบั ผไู ปโลกหนา โลกหลงั อะไรเหลา น้ี มันก็ไมใชเรื่องของใคร
แตเ ปน เร่อื งของเราทุกคนที่กําลงั แบกภาระอยนู ้ี มผี ถู ามอยา งนน้ั เราก็ถามเขาวา “เม่อื
วานนม้ี ไี หม แลวเมื่อเชานี้มีไหม? ปจ จบุ นั ณ บดั น้ีมีไหม?” เขากย็ อมรับวา มี “แลว วนั
พรุงนี้จะมีไหม วนั มะรนื เดอื นนเ้ี ดอื นหนา ปน ป้ี ห นา ปตอๆ ไปจะมีไหม?
สง่ิ ทม่ี มี าแลว พอจาํ ไดก พ็ อเดาไปได ถึงเรื่องยังไมมาถึงก็ตาม ก็เอาสิ่งที่จําไดซึ่ง
ผา นมาแลว มาเทยี บเคยี งกบั สง่ิ ทเ่ี คยมเี คยเปน มาแลว ขางหนาจะตองเปนไปตามที่เคย
เปนมานี้ เชน เมอ่ื วานนม้ี มี าแลว วนั นก้ี ม็ ี มนั เคยผา นมาอยา งนเ้ี ปน ลาํ ดบั เรารแู ละจาํ
ไดไมลืม แลว ตอนบา ย ตอนคาํ่ ตอนกลางคนื จนถงึ วันพรุงนีเ้ ชา เราก็เคยรูเคยเห็นมา
แลว เรื่องมันเปนมาผานมาอยางนั้นซึ่งไมมีอะไรผิดกัน และยอมรบั วา มดี ว ยกนั
ความสงสยั โลกนโ้ี ลกหนา หรอื เกย่ี วขอ งกบั ตวั ก็คอื ความหลงเรอ่ื งของตวั นน่ั
แหละ มันจึงกลายเปนเรื่องใหญโ ต และกวนใจใหย งุ อยไู มห ยดุ ทว่ั โลกสงสาร วา “โลก
หนา มไี หม? คนตายแลว ไปเกดิ อกี ไหม?” นน่ั มนั คกู นั กท็ ี่เกิดท่ตี ายน้คี ือใครละ ? กค็ อื
เรานน่ั เองทเ่ี กดิ ทต่ี ายอยตู ลอดมา มาโลกนไ้ี ปโลกหนา กค็ อื เราจะเปน ใคร ถา ไมใ ช
“สตั วโ ลก” ผูเปนนักทองเที่ยวนี้ ไมม ใี ครเปนผแู บกหามปญหาและภาระเหลาน!ี้
นี่โทษแหง ความหลง ความจําไมได มนั มาแสดงอยกู ับตวั เรา แตเ ราจบั สาเหตุ
ของมนั ไมไ ดว า เปน มาเพราะเหตใุ ด สิ่งที่เปนมาที่ผานมาแลวมันก็จําไมได เรอ่ื งของ
ตวั เลยหมนุ ตวั เอง พันตัวเอง ไมทราบจะไปทางไหน ความหลงตัวเองจึงเปนเรื่องยุง
ยากอยไู มห ยดุ หลงสง่ิ อน่ื กย็ งั คอ ยยงั ชว่ั หลงตวั เองนี้มนั ปด ตันหาทางออกไมได ผลก็
สะทอ นกลบั มาหาตวั เราเองไมไ ปทอ่ี น่ื คอื นาํ ความทกุ ขม าสตู วั เรานน่ั แล เพราะความ
สงสยั เชน นเ้ี ปน ปญ หาผกู มดั ตวั เอง มิใชปญหาเพื่อแกตัวเองใหหลุดไปไดเพราะความ
สงสยั นน้ั ถาไมพิสูจนดวยธรรมทางจิตตภาวนาไมม หี วงั เขาใจได
พระพุทธเจาจึงทรงสอนใหคลี่คลายดูเรื่องของตัว แตการจะคลี่คลายเรื่อง
ของตวั นน้ั สาํ คญั มาก จะทาํ แบบดน เดาเอาดว ยวธิ คี าดคดิ หรอื ดว ยวธิ อี น่ื ใดไมส าํ เรจ็
ได! นอกจากจะทาํ คุณงามความดีขน้ึ มาโดยลาํ ดบั เปน เครื่องสนบั สนุน และยนเขา มาสู
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๕
๑๕๖
“จิตตภาวนา” เพื่อคลี่คลายดูเรื่องของตัว อนั รวมอยใู นวงของจติ ตภาวนา ซึ่งจะพาใหรู
แจงแทงความสงสัยนั้นใหทะลุไปได พรอมทั้งผลอันเปนที่พึงใจ หายสงสยั ทง้ั การตาย
เกิดตายสูญ
เรอ่ื งของตวั คอื อะไร? ก็คือเรื่องของใจ ใจเปน ผแู สดง เปนผูกอ เหตุกอ ผลใสตวั
อยตู ลอดเวลา ทงั้ ความสุขความทกุ ข ความยงุ เหยงิ วนุ วายตา งๆ สว นมากมกั แสดง
ความผกู มดั ตวั เองมากกวา การบาํ รงุ สง เสรมิ ถา ไมใ ชค วามบงั คบั บญั ชาในทางทด่ี ี ใจ
จึงมีแตความรุมรอนเปนผล คอื ความทกุ ขท เ่ี กดิ ขน้ึ จากความฟงุ ซา นวนุ วาย ใจคดิ สา ย
แสไปในแงตางๆโดยหาเหตุหาสาระไมได แตผลที่จะพึงไดรับนั้น มนั เปน สง่ิ สาํ คญั อนั
หนึ่งที่จะทําใหเราเกิดความทุกขความกระทบกระเทือนได จึงเปนเรื่องยากเรื่องหนัก
สาํ หรบั บรรดาผยู งั หลงโลกหลงตวั เอง และตน่ื โลกตน่ื ตวั เองอยู โดยไมสนใจพสิ ูจนตัว
เองดวยหลักธรรมอันเปนหลักรับรองความจริงทั้งหลาย เชน ตายแลว ตอ งเกดิ อกี
เปนตน เมอ่ื ยงั มเี ชอ้ื ใหง อกทพ่ี าใหเ กดิ อยภู ายในใจ ตอ งเกดิ อีกอยูราํ่ ไปไมเปนอยางอ่นื
เชน ตายแลว สญู เปนตน
พระพุทธเจาทานทรงสอนใหดูตัวเรื่อง คอื ดใู จตวั เองผพู าใหเ กดิ ตาย ถายังไม
เขา ใจกต็ อ งบอกวธิ กี ารในแงต า งๆ จนเปน ทเ่ี ขา ใจและปฏบิ ตั ไิ ดถ กู ตอ ง เฉพาะอยา ง
ยิ่งการสอนใหภ าวนา โดยนําธรรมบทใดก็ตามมาบริกรรมภาวนา เพื่อใหจิตดวงที่หา
หลักยึดยังไมได กาํ ลังวุนวายหาท่พี ึ่งยงั ไมเ จอ จนกลายเปนความหลงใหลใฝฝนไมมี
ประมาณ ไดยึดเปนหลักพอตั้งตัวได และมคี วามสงบเยน็ ใจไมว อกแวกคลอนแคลน
อนั เปน การทาํ ลายความสงบสขุ ทางใจทเ่ี ราตอ งการ เชน ทานสอนใหภาวนา “พุทโธ ธมั
โม สังโฆ” หรือ “อฏั ฐิ เกสา โลมา” บทใดบทหนง่ึ ตามแตจ รติ ชอบ โดยความมสี ตคิ วบ
คมุ ในคาํ บรกิ รรมภาวนาของตน อยา ใหเ ผลอสง ใจไปทอ่ี น่ื จากคาํ บรกิ รรมภาวนา เพื่อ
ใหจ ติ ที่เคยสงไปในที่ตางๆ นน้ั ไดเ กาะหรอื อาศยั อยกู บั อารมณแ หง ธรรม คือคํา
บรกิ รรมภาวนานน้ั ๆ ความรทู ี่เคยฟุงซานไปในอารมณตางๆ กจ็ ะรวมตวั เขา มาอยใู น
จุดนั้น คือจิตซึ่งเปนที่รวมแหงความรู กระแสแหงความรูทั้งหมดจะรวมตัวเขามาสู
อารมณแหงธรรม ทบ่ี รกิ รรมหรอื ภาวนาอยดู ว ยความสนใจ ก็เพราะบทธรรมบรกิ รรม
อันเปน เครอ่ื งเกาะของจิต เปน เครือ่ งยึดของจิต ใหต ง้ั หลกั ขน้ึ มา เปน ความรอู ยา ง
เดน ชดั เปน ลาํ ดบั นน้ั แล ฉะนน้ั ขน้ั เรม่ิ แรกของการภาวนา คาํ บรกิ รรมจงึ สาํ คญั มาก
เมอ่ื ไดเ หน็ คณุ คา สารธรรม ทป่ี รากฏขน้ึ เปน ความสงบสขุ เชน นแ้ี ลว ในขณะ
เดียวกันกเ็ หน็ โทษแหง ความฟงุ ซา นวนุ วายของจติ ทห่ี าหลกั ยดึ ไมไ ด และกอ ความ
เดอื ดรอ นใหแ กต วั อยา งประจกั ษใ จในขณะนน้ั โดยไมตองไปถามใคร คณุ และโทษของ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๖
๑๕๗
จติ ทสี่ งบและฟุงซาน เราทราบภายในจติ ของเราเองดว ยการปฏิบัตจิ ิตตภาวนา นี่
เปน ขน้ั หนง่ึ อนั เปน ขน้ั เรม่ิ แรกทท่ี า นสอนใหร เู รอ่ื งของจติ
แลว พยายามทาํ จติ ใหม คี วามสงบแนว แนล งไปเปน ลาํ ดบั ดว ยการภาวนากบั บท
ธรรมดังที่กลาวมานี้ เจรญิ แลว เจรญิ เลา จนมคี วามชาํ นชิ าํ นาญ กระทั่งจิตสงบไดตาม
ความตอ งการ ความสุขเกิดขึ้นเพราะใจสงบก็ยิ่งเดนชัดขึ้นทุกวันเวลา พอจิตสงบตัวขึ้น
มาปรากฏเปน ความรเู ดน ชดั แลว ในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน การรวมกเิ ลสเขา มาสจู ดุ
เดยี วกนั เพอ่ื เหน็ ไดช ดั และสังเกตความเคลื่อนไหวของมันไดงายขึ้น และสะดวกแก
การแกก ารถอดถอนดว ยปญ ญา ตามขน้ั ของปญญาทีค่ วรแกก เิ ลสประเภทหยาบ กลาง
ละเอยี ด ตามลาํ ดบั ไป
คาํ วา “กเิ ลส” ซึ่งเปนเครื่องบังคับจิตใจใหฟุงซานไปในแงตางๆ จนคาํ นงึ
คํานวณไมไดนั้น เราไมส ามารถทจ่ี ะจบั ตวั ของมนั ไดว า อะไรเปน กเิ ลส อะไรเปน จติ
เปน ธรรม ตอ งอาศยั ความสงบของใจเปน พน้ื ฐานกอ น เมื่อจติ สงบตัวเขามา กเิ ลสก็
สงบตัวเขา มาดว ย เมอ่ื จติ หดตวั เขา มาเปน ตวั ของตวั หรอื เปน จดุ หมายพอเขา ใจได
เรอ่ื งของกเิ ลสกร็ วมตวั เขา สวู งแคบในจดุ เดยี วกนั คือรวมตัวเขามาที่จิต ไมค อ ยออก
เพน พา นกอ กวนจิตใจเหมอื นแตก อ นทจ่ี ติ ยงั ไมส งบ พอจิตสงบเย็นพอตง้ั ตวั ไดบ า ง
แลว หรือตั้งตัวไดแลว จากนน้ั ทา นสอนใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายดอู าการตางๆ ของรา ง
กายอนั เปน ทซ่ี มุ ซอ นของกเิ ลสทางดา นปญ ญาวา “จิตไปสนใจกับอะไร? ในขณะที่ไม
สงบใจไปยงุ กบั เรอ่ื งอะไรบา ง?” แตใ นขณะทใ่ี จสงบเปน อยา งน้ี ไมก อ กวนตวั เอง
แตปกตินิสัยของคนเรา พอมคี วามสงบสบายบา งมกั ขเ้ี กยี จ คอยแตล ม ลง
หมอน ไมอ ยากคลค่ี ลายรา งกายธาตขุ นั ธด ว ยสตปิ ญ ญาเพอ่ื รคู วามจรงิ และถอดถอน
กิเลสตางๆ ออกจากใจ โดยไมคํานึงวาการละการตัดกิเลสประเภทตางๆ ที่แทรกสิงอยู
ในกายในขนั ธน น้ั ทา นละทา นถอนดว ยสตปิ ญ ญา สว นความสงบของจติ หรอื “สมาธ”ิ
นน้ั เปน เพยี งการรวมตวั ของกเิ ลสเขา มาสวู งแคบเทา นน้ั มใิ ชเ ปน การละการถอน
กเิ ลส จงึ กรณุ าทราบไวอ ยา งถงึ ใจ
ใจขณะที่ยังไมสงบ มกั ไมย งุ กบั รปู เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส แลว นํามาเปน
อารมณก วนใจ บรรดารปู เสยี ง ฯลฯ นั้น จิตไปหนักในอารมณอะไร ซึ่งพอทราบได
ดวยสติปญญา ขณะพจิ ารณาจิตแสดงออกไปเก่ยี วของกบั อารมณอันใด กพ็ อทราบกนั
ไดโดยทางสติปญญา เร่อื งราวของจิตกพ็ อมองเห็นได เพราะจติ เคยสงบ พอเริ่มออกไป
สูอารมณตางๆ กท็ ราบ ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายดว ยปญ ญาเพอ่ื ใหท ราบวา สง่ิ
ทจ่ี ติ ไปเกย่ี วขอ งนน้ั คอื อะไรบา ง พยายามดูใหรูใหเห็นอยางชัดเจนดวยสติปญญาขณะ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๗
๑๕๘
ออกพจิ ารณา เวนแตข ณะทาํ ใจใหส งบโดยทางสมาธกิ ไ็ มพ จิ ารณา เพราะ “สมาธ”ิ
กบั “ปญ ญา” นน้ั ผลดั เปลย่ี นทาํ งานคนละวาระ ดงั ทไ่ี ดเ คยอธบิ ายแลว
ขณะที่พิจารณา “รูป” คอื รปู อะไรทใ่ี จไปเกย่ี วขอ งมากกวา เพอ่ื น เพราะเหตุใด?
ดรู ูปขยายรูป แยกสว นแบง สว นรปู นน้ั ใหเห็นชัดเจนตามความจริงของมัน เม่ือแยก
แยะสว นรปู จะเปนรูปอะไรก็ตาม ใหเห็นตามเปนจริงของมันดวยปญญา ในขณะเดียว
กนั กจ็ ะไดเ หน็ ความเหลวไหลหลอกลวงของจติ ทไ่ี ปยดึ มน่ั ถอื มน่ั สาํ คญั ผดิ ตา งๆ โดย
หาสาเหตุอะไรไมได หามูลความจริงไมได เพราะเมอ่ื พจิ ารณาละเอยี ดแลว ไมม อี ะไร
เปน สาระตามทใ่ี จไปสาํ คญั มน่ั หมาย มแี ตค วามสําคญั ของจิตไปลมุ หลงเขาเทา น้นั
เมอ่ื พจิ ารณาแยกแยะสว นตา งๆ ของรางกาย “เขา” หรอื รา งกาย “เรา” ออกดโู ดย
ละเอยี ดถถ่ี ว นแลว ไมเ หน็ สาระอะไร ใจกเ็ หน็ โทษของความสาํ คญั มน่ั หมาย ความยดึ
มน่ั ถอื มน่ั ของใจไปเอง เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนเทาไรก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งรูป
และเสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัสตางๆ ทง้ั อาการของจติ ทไ่ี ปเกย่ี วขอ งกบั อาการนน้ั ๆ
จนรูแจงเห็นชัดดวยปญญา เพราะคลค่ี ลายอยอู ยา งสมาํ่ เสมอทง้ั ภายนอกและภายใน รู
แจงเห็นชัดอาการของจิตทางภายในที่ไปเกี่ยวของวา เปนเพราะเหตุนั้นๆ อันเปนเร่อื ง
เหลวไหลทั้งเพ
แตก อนไมทราบวามันเก่ียวของกนั เพราะเหตุไร ตอ มากท็ ราบชดั วา มนั ไปเกย่ี ว
ของเพราะเหตุนั้นๆ คือเพราะความหลงความสําคัญผิด เมื่อพิจารณาตามความจริง
เหน็ ความจรงิ ในสง่ิ ภายนอกแลว กท็ ราบชดั ทางภายในวา “จิต ไปสาํ คญั วา สภาวธรรม
ตางๆ เปน อยา งนน้ั ๆ จงึ เกดิ อปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั หรอื เกดิ ความรกั ความชงั ขน้ึ
มา เปนกิเลสเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ ใจก็ทราบถึงความเหลวไหลของตน
จิตเมอ่ื ทราบวาตวั เปน ผูลมุ หลงเหลวไหลแลวกถ็ อนตัวเขามา เพราะแมจะฝน
คิดไปยึดมั่นถือมั่น สง่ิ เหลานั้นก็ถูกปญญาแทงทะลไุ ปหมดแลว ไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั หา
อะไร! การพจิ ารณาทราบชดั แลว วา สง่ิ นน้ั เปน นน้ั สง่ิ นเ้ี ปน น้ี ตามความจริงของแตละสิ่ง
ละอยา ง นีแ่ หละคือวิธีคลี่คลาย “กองปญ หาใหญ” ทร่ี วมแลว เปน ผลคอื กองทกุ ขภ าย
ในใจ ทา นสอนใหค ลค่ี ลายอยา งน้ี
เม่อื ปญญาคล่ีคลายอยูโดยสม่าํ เสมอไมล ดละ จนเขาใจแจมแจงชัดเจนแลว ไม
ตอ งบอกใหป ลอ ย จิตรแู ลว ปลอ ยเอง ยอ มปลอ ยเอง จิตที่ยึดคือจิตที่ยังไมรูไมเขาใจ
ดวยปญญา เมื่อรูอยางเต็มใจแลวก็ตองปลอยเต็มที่ ไมม อี าลยั เสยี ดาย ความกงั วลทง้ั
หลายทจ่ี ติ เคยกงั วลเสยี ดายนน้ั กห็ ายไปเอง เพราะปญญาสอดสองมองทะลุเห็นแจง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๘
๑๕๙
เห็นชัดไปหมดแลวจะไปงมอะไรอีก ปญหาของใจทีเ่ คยกวา งขวางก็แคบเขามา เกย่ี วกบั
เรื่องตางๆ ภายนอกกห็ มดไป ๆ เขาทํานองที่เคยเทศนนั้นเอง
จากนน้ั กม็ าคลค่ี ลายดจู ติ อนั เปน ทร่ี วมของกเิ ลสสว นละเอยี ดวา แยบ็ ออกไป
หาเรอ่ื งอะไรบา ง?” และ “แยบ็ ออกไปจากทไ่ี หน? มอี ะไรเปน เครอ่ื งผลกั ดนั ใหจ ติ
คิดปรุงเรอื่ งตา งๆข้นึ มา?” พอสตปิ ญ ญาทนั ความคดิ ปรงุ ทแ่ี ยบ็ ออกในขณะนน้ั มนั ก็
ดบั ในขณะนน้ั ไมถ งึ กบั เปน เรอ่ื งเปน ราวอะไรขน้ึ มาใหย งุ ยากเหมอื นแตก อ น เพราะ
สตทิ นั ปญ ญาทนั คอยตีตอนปราบปรามกนั อยูเสมอ เพราะขยบั ตามรอ งรอยแหง ตน
เหตเุ ขา ไปเรอ่ื ยๆ จนถึง “ตน ตอกเิ ลส” วา มอี ยู ณ ทใ่ี ดกนั แน ลกู เตา หลานเหลน
กเิ ลสมนั ออกมาจากไหน สัตวตางๆ ยังมีพอแม พอ แมข องกเิ ลสเหลา นค้ี อื อะไร? และ
อยทู ไ่ี หน? ทําไมจึงปรุงแลวปรุงเลา คิดแลวคิดเลา ทาํ ใหเ กดิ ความสาํ คญั มน่ั หมาย
ขยายทุกขอยูไมหยดุ ไมถอย?
ความจริงการคิดปรุงก็คิดปรุงขึ้นที่จิต ไมไ ดค ดิ ปรงุ จากที่อนื่ จงพิจารณาตาม
เขา ไปโดยลาํ ดบั ๆ ไมล ดละรอ งรอยอันจะเขาหาความจรงิ จนถงึ ตวั นคี่ อื การคิดคนดู
เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั มวลดว ยกาํ ลงั ของสตปิ ญ ญาอยางแทจริง จนทราบวา จิตนีไ้ ดขาด
จากสง่ิ ใดแลว สง่ิ ใดทย่ี งั มคี วามสมั ผสั สมั พนั ธ และสนใจอยากรอู ยากเหน็ กนั อยเู วลาน้ี
จงึ ตามสอ่ื ตามเชอ้ื นเ้ี ขา ไป กเิ ลสกน็ บั วนั เวลาแคบเขา มา ๆ เพราะถกู ตดั สะพานท่ี
สบื ตอ กบั รูป เสียง กลน่ิ รส เครอ่ื งสมั ผสั สมั พนั ธ และสิ่งตางๆ ทั่วโลกดินแดน ออก
จากใจดวยสติปญญาไปเรื่อยๆ จนหายสงสัย เหมอื นโลกภายนอกไมม ี เหลือแต
อารมณท ี่ปรงุ ยบิ แยบ็ ๆ ไปภายในจติ เทา นน้ั ซึ่ง “กษตั รยิ ใ หญต วั คะนอง” กอ็ ยทู น่ี ้ี ตัว
ปรุงแตง ตวั ดน้ิ รนกระวนกระวายนอ ยใหญ จึงอยูที่นี่
แตก อ นใจดนิ้ ไปไหนบางก็ไมทราบ ทราบแตผลท่ปี รากฏขึน้ มาเทาน้ัน ซึ่งไม
เปนที่พึงใจเลยทุกระยะไป คือมีแตความทกุ ขซึ่งโลกไมต อ งการกนั ใจเราเองก็แบกแต
กองทกุ ขจ นหาทางออกไมไ ด เพราะไมทราบเงื่อนแกเ งื่อนไขกัน ทนี พ้ี อทราบแลว เรื่อง
เหลา นี้คอยหมดไปส้นิ ไป ก็ยิ่งรูชัดเห็นชัดที่จิต ซึ่ง”อวชิ ชา” มาแสดงเปนตัวละคร เปน
ตวั เรอ่ื งราวอยภู ายในตวั เอง หาทีย่ ดึ ที่เกาะอะไรกบั ภายนอกไมไ ด เปน แตแ สดงอยภู าย
ในตัว เพราะเหตุใดจึงไมยึดไมเกาะ ก็เพราะสติปญญาเขาใจและหวานลอมไวแลว จะ
ไปยึดไปเกาะอะไรไดอีก เรื่องมันก็มีแต “ยบิ แยบ็ ๆๆ” อยเู ฉพาะภายในจติ ยงิ่ เหน็ ได
ชดั กาํ หนดเขาไปพิจารณาเขาไป คยุ เขย่ี ขดุ คน ดว ยสตปิ ญ ญาเขาไปจนรอบตัว ทุก
ขณะทอ่ี าการของจติ เคลอ่ื นไหวไมม กี ารพลง้ั เผลอ ดังสติปญญาขั้นเริ่มแรกที่ลมลุก
คลกุ คลาน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๙
๑๖๐
ความเพยี รขณะนไ้ี มว า ทกุ อริ ยิ าบถเสยี แลว แตก ลายเปน ทุกขณะทจี่ ิตกระเพอื่ ม
ตวั ออกมา สตปิ ญ ญาตอ งรทู ง้ั ขณะทก่ี ระเพอ่ื มออก รูทั้งขณะที่ดับไป เรื่องราวที่จะเกิด
ขึ้นขณะที่จิตปรุงแตงและสําคัญมั่นหมายจึงไมมี เพราะสติปญญาประเภทจรวดดาว
เทียมตามทันกัน พอกระเพื่อมก็รู รูแลวก็ดับ เรื่องราวไมเกิดไมตอ เกิดขึ้นมาขณะใดก็
ดับไปพรอมขณะนั้น ไมแ ตกกง่ิ แตกกา นออกไปไหนได เพราะถกู ตดั สะพานออกแลว
จากเรื่องภายนอกดวยปญญา
เมอ่ื สตปิ ญ ญาคน ควา อยอู ยา งไมล ดละไมท อ ถอย ดว ยความสนใจอยากรอู ยาก
เหน็ และอยากทาํ ลายสง่ิ ที่เปนภัย ทใ่ี หก อ กาํ เนดิ เกดิ เปน สตั วเ ปน บคุ คล พาทอง
เทย่ี วในวฏั สงสาร คอื อะไรกนั ? อะไรเปน เหตเุ ปน ปจ จยั ใหส บื ตอ และมอี ยทู ไ่ี หน
เวลาน้?ี นี่เรียกวา “คยุ เขย่ี ขดุ คน ” จิตอวชิ ชาดวยสตปิ ญญา กไ็ มพ น ทจ่ี ะรจู ะเหน็ และ
ตดั ขาดตวั เหตปุ จ จยั อนั สาํ คญั ทก่ี อ ทกุ ขใ หแ กส ตั วโ ลก คอื กเิ ลสอวชิ ชา ที่แทรกอยู
ในจติ อยา งลกึ ลบั นี้ไปได นน่ั ! เหน็ ไหม อาํ นาจของสตปิ ญ ญา ศรัทธา ความเพียรขั้นนี้
ทีผ่ ูปฏิบัตทิ งั้ หลายไมเ คยคาดคดิ มากอ น วาจะเปนไปไดถงึ ขนาดนี้
ทีนี้กิเลสเริ่มเปดเผยตัวขึ้นมาแลว เพราะไมมีที่หลบซอน รูป เสยี ง กลน่ิ รส
เครื่องสัมผัส ซ่ึงเปน ท่เี คยหลบซอ นแตกอนไมมแี ลว เพราะไดตัดสะพานออกหมดแลว
กม็ ที ห่ี ลบซอ นอยเู ฉพาะจิตแหง เดยี วเทา นน้ั คอื จติ เปน ทห่ี ลบซอ นของ “อวชิ ชา” เมื่อ
คนควาลงไปที่จิตจนแหลกแตกกระจายไปหมดไมมีอะไรเหลือ เหมอื นกบั พจิ ารณา
สภาวธรรมทว่ั ๆ ไปที่เคยดําเนินมาโดยทางปญญา “จติ อวชิ ชา” นก่ี ถ็ กู พจิ ารณาแบบ
นน้ั สุดทายกเิ ลสช้นั ยอดคืออวชิ ชา จอมกษตั รยิ ข องวฏั จกั ร กแ็ ตกกระจายออกจากใจ
หมด! ทนี เ้ี ราจะไมท ราบยงั ไงวา ตวั ไหนเปน ตวั กอ เหตใุ หเ กดิ ภพนน้ั ภพน้ี สว นจะ
เกิดที่ไหนไมเกิดที่ไหนนั้นไมสําคัญ สาํ คญั ทต่ี วั นเ้ี ปน ตวั เหตใุ หเ กดิ ตายอยางประจกั ษ
ใจ
นแ้ี ลการพสิ จู นก ารตายแลว เกดิ อกี หรอื ตายแลว สญู ตองพิสูจนตัวจิตดวย
การปฏบิ ตั ติ ามหลกั จติ ตภาวนา ดังพระพุทธเจาและสาวกทรงปฏิบัติและทรงรูเห็น
ประจักษพระทัยมาแลว อยา งอน่ื ๆ ไมม ที างรไู ด อยา พากนั ลบู คลาํ ดน เดาเกาหมดั จะ
กลายเปนขี้เรื้อนเปอนไปทั้งตัว โดยไมเกิดผลใดๆ เลย
เมอ่ื ถงึ ขน้ั น้ี เรยี กวา ไดท าํ ลายความเกดิ ซง่ึ เปน เชอ้ื สาํ คญั อยภู ายใน ออกโดยสน้ิ
เชิงแลว ตั้งแตบัดนี้เปนตนไปไมมีสิ่งใดจะสืบตอกอแขนงไปอีกแลว สติปญญาขั้น
“ธรรมภิสมัย” ทราบไดอยา งสมบรู ณ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๐
๑๖๑
นแ่ี หละทว่ี า “โลกหนา มไี หม?” คอื ตวั นแ้ี ลเปน ผไู ปจบั จองโลกหนา ตวั นแ้ี ลเปน
ผเู คยจองโลกทผ่ี า นมาแลว ตวั นแ้ี ลเปน ตวั ทเ่ี คยเกดิ เคยตายซาํ้ ๆ ซากๆ ไมห ยดุ ไมถ อย
จนไมส ามารถจดจาํ เรอ่ื งความเกดิ ความตาย ความสขุ ความทุกข ความลาํ บากมากนอ ย
ในภพกาํ เนดิ นน้ั ๆ ของตนได คือตัวนี้แล!
กรณุ าจาํ หนา ตาของมนั ไวใ หถ งึ ใจ และขดุ คน ฟน ลงไปอยา งสะบน้ั หน่ั แหลกอยา
ออมแรง จะเปนการทําอาหารไปเลี้ยงมันใหอิ่มหมีพีมัน แลว กลบั มาทาํ ลายเราอกี
เมื่อประมวลกิเลสทั้งหลายก็มาอยูที่จิตดวงเดียว รวมกันที่นี่ ทาํ ลายกนั ทน่ี ่ี พอ
ทาํ ลายมนั เสรจ็ สน้ิ ลงไปโดยไมมีอะไรเหลือแลว ปญ หาเรอ่ื งความเกดิ ความตาย
ความทกุ ขค วามลาํ บาก อนั เปน ผลมาจากความเกดิ ความตายน้ีกไ็ มม ี รูไดอยางชัดๆ
โดย “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” อยางเต็มภูมิ
เรอ่ื งโลกหนา มีไหม? กห็ มดปญ หา โลกทเ่ี คยผา นมาแลว กล็ ะมาแลว โลกหนา ก็
ตดั สะพานขาดกระเด็นออกไปหมดแลว ปจจุบันก็รูเทา ไมม อี นั ใดเหลอื อยใู นจติ นน้ั เลย
ขน้ึ ชอ่ื วา “สมมุติ” แลวแมละเอียดเพียงไร! นแี่ ลคอื จิตที่หมดปญหาแท! การแกป ญ หา
ใหจิตก็แกที่ตรงนี้ เมื่อแกตรงนี้หมดแลวจะไมมีปญหาอะไรอีก!
โลกจะกวา งแสนกวา งหรอื มกี จ่ี กั รวาลนน้ั เปน เรอ่ื งหนง่ึ ตา งหากของ “สมมุติ”
ซึ่งหาประมาณไมได ใจทร่ี รู อบตวั แลว ไมย งุ เกย่ี วดว ย
เร่อื งสาํ คญั ที่ทําความกระทบกระเทอื นแกต นอยูเสมอมาไมล ดละกระทั่งปจจบุ ัน
และจะเปนไปขางหนาก็คือเรื่องของจิต ตวั มภี ยั ฝง จมอยภู ายในตวั นเ้ี ทา นน้ั เมอ่ื แกภ ยั
นอ้ี อกหมดแลว ก็ไมมีอะไรจะเปนพิษเปนภัยตอไปอีก เรอ่ื งโลกหนา โลกหลงั จะมหี รอื
ไมมนี ั้นหมดความสนใจท่ีจะคดิ เพราะทราบอยางถึงใจแลววาตัวนี้หมดปญหาที่จะไป
สบื ตอ ในโลกไหนๆ อกี แลว นแ่ี หละการเรยี นแกป ญ หาตนเอง จงแกลงที่ตรงนี้จะมี
ทางสิ้นสุดลงได ทง้ั ไมเ ปน โทษภยั แกต วั และผอู น่ื แตอ ยา งใด
พระพุทธเจาก็ทรงแกที่ตรงนี้ สาวกอรหตั อรหนั ตท า นกแ็ กท ต่ี รงน้ี รูกันที่ตรงนี้
ตัดไดขาดโดยสิ้นเชิงที่ตรงนี้ การประกาศองคศ าสดาขน้ึ มาวา “เปน ผสู น้ิ แลว จากทกุ ข
เปน ศาสดาเอกของโลก” กป็ ระกาศขน้ึ มาจากความรแู ละความหมดเรอ่ื งอนั นเ้ี อง การ
เรยี น”โลก” จบก็จบลงที่จิตอันนี้เอง! การเรียนธรรมจบก็จบโดยสมบูรณที่ตรงนี้
“โลก” คอื หมสู ตั ว สตั วแ ปลวา “ผูของ” ของอยูที่จิต ตัดขาดกันตรงนี้ เรียนรูกัน
ทน่ี ่ี สาวกอรหตั อรหนั ตก เ็ รยี นรกู นั ทน่ี อ่ี ยา งเตม็ ใจ หมดปญ หา! ทา นเหลา นเ้ี ปน ผแู ก
ปญ หาตก ไมมีสิ่งใดเหลือหลอเลย
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๑
๑๖๒
พวกเราเปน ผูรับเหมากองทุกขท ้ังมวล เปน ผรู บั เหมาปญ หาทง้ั มวล แตไ มย อม
แกป ญ หา มแี ตจ ะกวาดตอ นเขา มาแบกหามอยตู ลอดเวลา กองทุกขจึงเต็มที่หัวใจอะไร
ก็ไมเทา เพราะไมหนกั เทาหวั ใจท่แี บกกองทุกข การแบกกองทกุ ขแ ละปญ หาทง้ั หลาย
มนั หนกั ทห่ี วั ใจ เพราะเรียนไมจบ แบกแตก องทกุ ขเ พราะความลมุ หลง!
เรื่อง “วชิ ชา” คือ ความรจู รงิ ไดป รากฏขน้ึ แลว และทาํ ลายสง่ิ ทเ่ี ปน ภยั ทง้ั
หมดออกจากใจแลว ชื่อวา ‘เปนผูเรียนจบ” โดยหลักธรรมชาติ ไมมีการเสกสรรปนยอ
ทั้งที่หลอกตัวเองใหลุมหลงเพิ่มเขาไปอีก แตการเรียน “ธรรมในดวงใจ” จบ เปน การ
ลบลา งความลมุ หลงออกไดโ ดยสน้ิ เชงิ ไมม ซี ากเหลอื อยเู ลย
คาํ วา ‘ไตรภพ” กามภพ รูปภพ อรปู ภพ กห็ มดปญ หาลงในขณะนน้ั เพราะมนั
อยทู ใ่ี จ “กามภพ” กค็ อื จติ ใจทก่ี อ ตวั ดว ยสง่ิ นน้ั (กาม) “รูปภพ อรูปภพ” กค็ อื สมมุติสิ่ง
นน้ั ๆ ในสามภพนฝ้ี ง อยทู ใ่ี จ เมอ่ื ใจไดถ อดถอนสง่ิ เหลา นอ้ี อกไปแลว กเ็ ปน อนั หมด
ปญ หา นแ่ี กป ญ หาแกท ต่ี รงน้ี โลกนโ้ี ลกหนา อยทู น่ี ่ี เพราะการกาวไปในโลกไหนๆ กอ็ ยู
ทน่ี ่ี จะกา วไปรบั ทกุ ขม ากนอ ย ก็ตัวจิตนี้แล กงจกั รเครอ่ื งพดั ผนั มอี ยภู ายในใจน้ีไม
มใี นทอ่ี น่ื
พระพุทธเจาจึงทรงสอนลงที่จุดอันถูกตองเหมาะสมที่สุด คอื ใจ อนั เปน ตวั การ
สาํ คญั สง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา นม้ี อี ยกู บั ใคร ถา ไมม อี ยกู บั เราทกุ ๆ คน การแกถ า ไมแ กท ต่ี รง
นจ้ี ะไปแกท ไ่ี หนกนั ?
สตั วโ ลกจาํ เปน ทจ่ี ะตอ งไปตามโลกนน้ั ๆ ดว ยอาํ นาจแหง กรรมด-ี ชว่ั ทม่ี อี ยู
กบั ใจ ผทู จ่ี ะไปสโู ลกสกู องฟน กองไฟคอื ใจน้ี ถา ไมแ กต รงนแ้ี ลว กไ็ มพ น จะไปโดนกอง
ไฟคือความทุกขรอ น ถา แกต รงนไ้ี ดแ ลว กไ็ มม ปี ญ หาวา ไฟอยทู ไ่ี หน เพราะรกั ษาตวั ได
แลว มันก็มีเทานั้น! เหลา นเ้ี ปน โลกหนกั มากสาํ หรบั มวลสตั ว ปญหาอะไรเกดิ ขึ้นมันก็
เกิดขึ้นที่ตรงนี้ วา “ตายแลว เกดิ หรอื ตายแลว สญู ” “โลกหนา มไี หม?” นรกมไี หม?
สวรรคมีไหม? “บาป บญุ มีไหม?”
ไปทไ่ี หนมแี ตค าํ ถามวา “นรก สวรรค มีไหม?” เราขี้เกียจจะตอบ ไมทราบจะ
ตอบไปทาํ ไมกนั กผ็ แู บกนรก สวรรค กค็ อื หวั ใจซง่ึ มอี ยกู บั ทกุ คนอยแู ลว จะตอบไป
ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาทาํ ไมกนั เพราะเราไมไดเปน “สมุหบัญชนี รก สวรรค น”่ี
แกตัวเหตุที่จะไปนรกสวรรคนี่ซ!ิ แกเ หตชุ ว่ั และบาํ รงุ เหตดุ ี คําวา “ทุกข” มนั ก็
ไมม ี ถา แกถ กู จดุ แลว มนั จะผดิ ไปไหน! เพราะ “สวากขาตธรรม” สอนใหแ กถ กู จดุ ไม
ผิดจุด! คาํ วา “นยิ ยานกิ ธรรม” กเ็ ปน เครอ่ื งนาํ ผทู ต่ี ดิ อยใู นความทกุ ขร อ นดว ยอาํ นาจ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๒
๑๖๓
แหง ความลมุ หลงออกไป ดวย “สวากขตธรรม” อยแู ลว จะแกท ไ่ี หนถา ไมแ กท จ่ี ติ
ปญ หาอนั ใหญโ ตกม็ อี ยทู จ่ี ติ นเ่ี ทา นน้ั ความรอู นั นแ้ี หละ หยาบกอ็ ยกู บั ความรนู ้ี
ละเอยี ดกอ็ ยกู บั ความรนู ้ี ทาํ ใหค นหยาบทาํ ใหค นละเอยี ดกค็ อื ความรนู ้ี เพราะกเิ ลส
เปน ผหู นนุ หลงั ทําใหค นละเอยี ดใจละเอียด ก็เพราะความดีเปนเครื่องหนุน ละเอยี ด
จนกระทง่ั สดุ ความละเอยี ดแลว กส็ ดุ สมมตุ ิ ยตุ ดิ ว ยความพน ทกุ ข ไมม เี ชอ้ื สบื ตอ อกี
ตอไป
มปี ญ หาทม่ี คี นมกั ถามอยเู สมอวา การแกค วามขเ้ี กยี จจะแกว ธิ ไี หน? ถา จะเอา
ความขี้เกียจไปแกความขี้เกียจ มนั กเ็ ทา กบั สอนคนนน้ั ใหเ ปน ขา ศกึ กบั ทน่ี อนหมอนมงุ
ดว ยการนอนจนไมร จู กั ตน่ื และเหมอื นคนนน้ั ตายแลว นน่ั เอง เพราะความขี้เกียจมันทํา
ใหอ อ นเปย กไปหมดเหมอื นคนจะตายอยแู ลว จะเอาความขเ้ี กยี จไปแกค วามขเ้ี กยี จ
อยา งไรกนั เมอ่ื ไดทีน่ อนดๆี กเ็ ปน เครอ่ื งกลอ มใหค นนอนจมแบบตายแลว นน่ั เอง ตาย
อยบู นหมอน นะ ! จะวายังไง! ตน่ื แลว กย็ งั ไมย อมลกุ กค็ วามขเ้ี กยี จมนั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย
และบงั คบั ไมใ หล กุ น่ี การเอาความขเ้ี กยี จไปแกค วามขเ้ี กยี จมนั กเ็ ปน อยา งนน้ั แหละ
ถาเอาความขยันหม่ันเพียรเขาไปแก กล็ กุ ปบุ ปบ ขน้ึ มาสกู นั ถา มกี ารตอ สมู นั กม็ ี
หวงั ชนะจนได ถา ยอมหมอบราบไปเลยมนั กม็ แี ตแ พท า เดยี ว แตจะเรียกวา “แพ” หรือ
เรียกอะไรก็เรียกไมถูก เพราะไมม กี ารตอ สจู ะวาแพอยางไรได ถา มกี ารตอ สู สูเขาไมได
เชน คนนี้แพ คนนน้ั ชนะ แตน หี่ าทางตอ สูไมม เี ลย ยอมราบไปโดยถา ยเดยี ว จะไมวา
“บอ ยกลางเรือนของกเิ ลส” จะวาอะไร? มัน กบ็ อ ยกลางเรอื นของมนั นน่ั แหละ จะเอา
ความขเ้ี กยี จจนเปน บอ ยมนั ไปแกก เิ ลส กย็ ง่ิ กลบั เสรมิ กเิ ลสใหม ากมนู ยง่ิ ขน้ึ จะวา ยงั ไง!
โดยปกตมิ นั กเ็ ตม็ หวั ใจอยแู ลว จะสงเสริมใหม ากมายอะไรอีก จะเอาไปไวที่ตรงไหน?
ใจก็มีดวงเดียว นอกจากจะแกม นั ออกพอใหห ายใจไดบ า ง ไมย อมใหม นั นง่ั ทบั นอนทบั
จมูกจนหายใจไมไดตลอดไป
จงปลดเปลื้องมันออกพอใหม องดูตวั เองไดบ างวา ‘โอโห! นบั แตเ รม่ิ ภาวนามา
วนั นเ้ี หน็ เหลนของกเิ ลส คอื ตวั ขเ้ี กยี จ หลดุ ลอยจากตวั ไปหนง่ึ สะเกด็ เทา กนั กบั สะเกด็
ไมห ลดุ ออกจากตน ของมนั วนั นพ้ี อดตู วั เองไดบ า ง ไมมีแตกิเลสเอาปากเอาจมูกไปใช
เสียหมด นาโมโห!”
ความขยนั หมน่ั เพยี ร ความอตุ สา หพ ยายาม โดยทางเหตุผลที่เกิดประโยชน
เปน ทางของปราชญท า นดาํ เนนิ กนั แมย ากลาํ บากเรากส็ ู เหมอื นถอนหวั หนามออกจาก
เทาของเรา เจ็บก็ตองทนเอา ถาจะยอมใหมนั ฝงจมอยอู ยางน้นั ฝาเทาก็จะเนาเฟะไปทั้ง
เทาแลวกาวไปไหนไมไดเลย และเสียกระทั่งเทาดวย เพราะฉะนน้ั เหตผุ ลมอี ยอู ยา ง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๓
๑๖๔
เดียว คอื ตอ งถอนหนามออกใหไ ด! เจบ็ ขนาดไหนตอ งอดทน ถอนหนามออกใหไ ด
เหตุผลนี้ตองยอมรับ เมอ่ื ถอนออกหมดแลว มนั กห็ มดพษิ ใสยาลงไปเทาก็จะหายเจ็บ
ไมม กี ารกําเริบอกี ตอไปเหมือนท่หี นามยงั จมอยู
กเิ ลสกค็ อื หวั หนามเราดๆี นเ่ี อง เราจะยอมใหมันฝงจมอยูในหัวใจตลอดเวลา
มนั กฝ็ ง จมอยอู ยา งนน้ั ใจเนาเฟะอยูใน “วฏั สงสาร” เปนทน่ี าเบอื่ หนา ยรําคาญไมมีทส่ี น้ิ
สดุ เราตองการอยูหรือ? การเปน คนเนา เฟะนะ จงถามตัวเองอยาไปถามกิเลส จะเพิ่ม
โทษเขาอีก ถา ไมต อ งการตอ งตอ สมู นั เมื่อตอสูแลวตองมีทางชนะจนได หรอื จะแพก ่ี
ครั้งก็ตาม แตจะตองมีทางชนะมันครั้งหนึ่งจนได ลงชนะครั้งนี้ตอไปก็ชนะไปเรื่อยๆ
ชนะๆๆ เรื่อยไปเลย กระทั่งไมมีอะไรจะมาใหเราตอสู เพราะกเิ ลสหมดประตสู แู ลว !
คาํ วา “ชนะ” นน้ั ชนะอะไร! กช็ นะความขเ้ี กยี จดว ยความขยนั ชนะกเิ ลสดว ยวริ ยิ
ธรรมนะซี แลว กพ็ น จากทกุ ข นแ่ี หละการแกป ญ หาเรอ่ื งความเกดิ ตาย คอื แกท ด่ี วงใจ
มจี ดุ นเ้ี ทา นน้ั ทค่ี วรแกท ส่ี ดุ เปนจดุ ที่เหมาะสมอยางยิ่ง เปน จดุ ทถ่ี กู ตอ งในการแก แกท ่ี
ตรงนี้ แกที่อื่นไมมีทาง จะสําคัญมั่นหมายไปตงั้ กัปตงั้ กลั ป กแ็ บกปญ หาพาเกดิ พาตาย
พาทกุ ขพ าลาํ บากไปอยนู น่ั แหละ จึงไมค วรหาญคิดดน เดาเสียเวลาและตายเปลา เพราะ
เปน “อฐานะ” คือสิ่งเปนไปไมไดตามความคาดหมายดนเดา
วา “ทุกขไมมี บญุ บาปไมม ี หรือทุกขมี บญุ บาปม”ี เรากเ็ สวยกนั อยทู กุ คนไมม ี
การหลกี เวน ได คาํ วา ‘บาป” กค็ อื ความเศรา หมองความทกุ ข “คาํ วา บญุ ” กค็ อื ความสขุ
ความสบายใจนน่ั เอง กม็ อี ยใู นกายในใจของคนทกุ คนแลว จะปฏเิ สธอยา งไร? คาํ วา
“บญุ ” กช็ อ่ื ความสขุ นน้ั แลทา นใหช อ่ื วา ‘บญุ ” ความทกุ ขท า นใหช อ่ื วา “บาป” ทั้งบุญทั้ง
บาปเรากส็ มั ผสั อยทู กุ วนั เวลา จะอยโู ลกนห้ี รอื ไปโลกหนา กต็ อ งเจอ “บญุ บาป” อยโู ดย
ดี!
นรกหรอื ไมน รกกต็ ามเถอะ ถามีทุกขอยูเต็มกายเต็มใจแลว ใครอยากมาเกดิ มา
เจอละ? เรารอู ยดู ว ยกนั อยา งน้ี จะไปถามเร่อื งนรกนเรกทไี่ หนอกี เลา เพราะอยดู ว ยกนั
อยา งน้ี ทกุ ขม นั เผาอยทู ไ่ี หนกร็ อ นเชน เดยี วกบั ไฟจน้ี น่ั แล จี้เขาตรงไหนก็จี้เขาซิ มัน
ตอ งรอ นเหมอื นกนั หมด จะวา นรกหรอื ไมน รกกต็ ามใจ แตใ ครกไ็ มต องการ เพราะ
ความทกุ ขร อู ยกู บั ตวั จะหาสวรรคท ไ่ี หน? ใหย งุ ยากในหวั ใจละ
เจอความสุขซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม เฉพาะอยา งยง่ิ คอื ความสขุ ทางใจ
นับตั้งแตความสงบเย็นใจขึ้นไปโดยลําดับ จนกระทั่งตั้งหลักตั้งฐานของจิตไดแนนหนา
มน่ั คงภายในใจ แนใ จในตวั เอง ยง่ิ กวา นน้ั เราไดห ลดุ พน ไป แลว จะไปถามหาทไ่ี หน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๔
๑๖๕
สวรรค นพิ พานนะ ไมจําเปนตองถาม เรารอู ยกู ับใจของเรา เราเปนเจาของใจ ซึ่งเปน
ตวั เหตตุ วั การอยอู ยา งชดั ๆ และครองกนั อยเู วลาน้ี จะไปหากนั ทไ่ี หนอกี ชอ่ื นรกสวรรค
นะ งมหาอะไร!
เราไดต วั มนั แลว กอ็ ยกู บั ตวั นน่ั ซิ เรื่องก็มีเทานั้น ธรรมของพระพุทธเจาไมได
หลอกคนใหล บู นน้ั คลาํ น้ี เอาตัวจริงที่ตรงน!ี้
เอาละ การแสดงกเ็ หน็ วา สมควรฯ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๕
๑๖๖
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๑๘
อบุ ายชาํ ระจติ ใหเ ปน ธรรม
จิตที่ไดชําระดวยดีมีความผองใสเปนประจํา ขณะทเี่ ราอยใู นสถานทท่ี ีเ่ งียบๆ ไม
มีเสียงตางๆ ปรากฏเลย เชน เวลากลางคนื ดกึ สงดั จิตทั้งๆ ที่ไมรวมไมสงบลงเปน
สมาธกิ ต็ าม เมอ่ื กาํ หนดดทู จ่ี ดุ แหง ความรนู น้ั จะเหน็ วา เปน ความละเอยี ดออ นมากท่ี
สุดจนพูดอะไรไมถูก ความละเอยี ดนน้ั เลยกลายเปน เหมอื นกบั รศั มแี ผก ระจายไป
รอบตวั และรอบทศิ สิ่งที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กไ็ ม
ปรากฏในขณะนน้ั ทั้งๆ ทจ่ี ติ ไมไ ดร วม ไมไ ดเ ปน องคแ หง สมาธิ แตเ ปน ฐานมน่ั คง
ของจติ ทช่ี าํ ระกนั ดว ยดมี าแลว แสดงความรคู วามสงา งามออ ยอง่ิ ใหเ ดน ชดั อยภู าย
ในตวั เอง
ความรชู นดิ นเ้ี หมอื นไมม รี า งมกี ายเปน ทอ่ี าศยั อยเู ลย เปน ความรทู ล่ี ะเอยี ด
มาก เดน อยเู ฉพาะตวั แมจิตไมรวมเปนสมาธิก็ตาม เพราะความละเอียดของจิต
เพราะความเดนของจิต เลยกลายเปน ความรเู ดน ทไ่ี มม ภี าพนมิ ติ ใดๆ มาปรากฏ รู
เดนอยูโดยลําพังตนเอง นเ่ี ปน ระยะหนง่ึ ของจติ
อกี ระยะหนง่ึ จิตท่ไี ดช ําระดว ยดีแลวน้หี ยงั่ เขาสูความสงบ ไมคิดไมปรุงอะไร
พักกิริยาคอื ความกระเพ่ือมความคิดความปรงุ ตางๆ ภายในจติ พกั โดยส้นิ เชงิ เหลือ
แตค วามรลู ว นๆ ทเ่ี รยี กวา “จติ เขาสคู วามสงบ” ยิ่งไมมีอะไรๆ ปรากฏเลย จะปรากฏ
เฉพาะความรนู น้ั อยา งเดยี ว เหมอื นครอบโลกธาตไุ ปหมด เพราะกระแสของจติ ไม
เหมอื นกระแสของไฟ กระแสของไฟมที ส่ี น้ิ สดุ มรี ะยะใกลห รอื ไกลตามกาํ ลงั ของไฟ
เชน แสงสวา งของไฟฟา ถา แรงเทยี นสงู กส็ วา งไปไกล แรงเทยี นตาํ่ กส็ วา งใกล
แตกระแสจิตนี้ไมเปนเชนนั้น คาํ วา “ใกล ไกล”ไมมี ทพ่ี ดู ไดช ดั ๆ กว็ า ไมม ี
กาลสถานทน่ี น่ั แหละ จิตครอบไปไดหมด ไกลกเ็ หมอื นใกล ใกลห รอื ไกลพดู ไมถ กู
เหน็ แตค วามรนู น้ั ครอบไปหมดสดุ ขอบจกั รวาล โลกทั้งโลกเลยปรากฏมแี ตความรูอัน
เดียวเทานั้น เหมือนไมมีอะไรเลยในความรูสึก ทง้ั ทท่ี กุ สง่ิ ทกุ อยา งทเ่ี คยมกี ม็ อี ยตู าม
ปกติของตน นี่แหละอํานาจของจิต กระแสของจติ ทช่ี าํ ระสง่ิ ปด บงั มวั หมองออกไป
แลว เปน อยา งนน้ั
ยิ่งจติ มคี วามบริสุทธิห์ มดจดดว ยแลว อนั นย้ี ง่ิ พดู ไมถ กู เลย ไมทราบจะพูดจะ
คาดวา อยา งไร เพราะไมใชสิ่งที่คาดไมใชสิ่งที่หมาย ไมใชสิ่งที่จะนํามาพูดไดเชนสมมุติ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๖
๑๖๗
ทว่ั ๆ ไป เนอ่ื งจากสง่ิ นน้ั ไมใ ชส มมตุ แิ ลว เปน วสิ ยั ของผมู ใิ ชส มมตุ ิ รูเรื่องความไม
ใชส มมตุ ขิ องตนเทา นน้ั จงึ นาํ มาพูดอะไรไมไ ด
ทีนี้โลกเต็มไปดวยสมมุติ พูดอะไรก็ตองมีภาพสมมุติขึ้นมาเปรียบเทียบทุกๆ
เรื่องไป เชนเห็นจะเปน อยา งนนั้ เห็นจะเปนอยางนี้ หรอื เปน อยา งนน้ั เปนอยา งน้ี
คลา ยกบั สง่ิ นน้ั เปนตน ยกตัวอยางเชน ยกคาํ วา “นพิ พาน” ขน้ึ มาพดู เร่ืองของกเิ ลส
สามญั คือจิตสามัญธรรมดาเรา จะตอ งคาดวา นพิ พานจะตอ งกวา งขวางเวง้ิ วา งไปหมด
ไมมีอะไรปรากฏอยูในนั้นเลย แตไมไดคิดในคําวา ‘นพิ พาน” ที่เปนคําสมมุติที่ยังมีหลง
เหลอื อยู ดไี มด กี อ็ าจคดิ ไปวา มแี ตผคู นทีบ่ ริสุทธ์ิเดนิ ขวักไขวกันอยใู นพระนพิ พานนนั้
เทาน้นั ซึ่งมีทั้งหญิงทั้งชายเพราะถึงความบริสุทธิ์ดวยกัน มีแตพ วกทบี่ รสิ ทุ ธ์เิ ทาน้นั เดิน
ขวกั ไขวก นั ไปมา หรอื นง่ั อยอู ยา งสะดวกสบายผาสกุ เจรญิ ไมมีความโศกเศราเหงา
หงอยเขา ไปเกย่ี วขอ งพวั พนั เหมอื นโลกสมมตุ เิ รา ที่เต็มไปดวยความทุกขวุนวาย
ความจริงหาไดทราบไมวา ความที่วามีผูหญงิ ผชู ายทบี่ รสิ ุทธเ์ิ ดินขวักไขว หรือ
นั่งอยูตามธรรมชาติตามธรรมดาของตน ดว ยความสขุ ความเกษม ไมมีอะไรเขาไปยุง
กวนนน้ั กเ็ ปน สมมตุ อิ นั หนง่ึ ซง่ึ เขา กบั “วิมุตต”ิ นพิ พานแทๆ ไมไ ด การทน่ี าํ มา
กลาวในสิ่งที่สุดวิสัยของสมมุติ แมผ นู น้ั ไมส ดุ วสิ ยั แหง ความรกู ต็ าม เปน วสิ ยั แหง ความ
รขู องตนดวยดกี ็ตาม แตไมสามารถที่จะนําออกมาพูดไดในทางสมมุติ พดู ออกมากต็ ี
ความหมายไปผดิ ๆ ถกู ๆ เพราะตามธรรมดาจิตก็คอยแตจะผิดอยูแลว หรอื ยงั มคี วาม
ผดิ ภายในตวั อยู พอแยบ็ อะไรออกมากต็ อ งคาด และดนเดาไปตามความเขาใจที่ไมถูก
ตอ งไมแ นน อนเสมอไป
อยางพระยมกพูดกับพระสารีบุตรวา “พระอรหนั ตต ายแลวสญู ” เพราะพระ
ยมกเปน ปถุ ชุ นอยู พระสารีบุตรเปนพระอรหันต และเปนผูชี้แจงใหฟงยังไมยอมเขาใจ
จนพระพุทธเจา เสด็จมาชี้แจงใหฟงเสียเอง แมเชนนั้นถาจําไมผิดก็ปรากฏวาพระยมก
ยังไมเขาใจตามความจริงที่ทรงชี้แจงนั้น ตามคัมภีรวา พระยมกก็ดูเหมือนไมไดสําเร็จ
มรรคผลนิพพานอะไร แตตองมีเหตุผลพระพุทธเจาจงึ จะทรงแสดง หากไมม คี วาม
หมายในการแสดงนั้นพระองคจะไมแสดงเลย เพราะธรรมบางอยางแมผูฟงนั้นจะไมได
รับประโยชนเทาที่ควร แตผอู นื่ ท่เี กีย่ วของยอ มไดร ับ วสิ ยั ของพระพทุ ธเจา เปน อยา งนน้ั
จะรับสั่งเรื่องอะไรออกมาตองมีเหตุมีผล คือมีสิ่งที่จะไดรับประโยชนสําหรับผูฟง จงึ จะ
ทรงแสดงออกมา หากไมมีอะไรเลยก็ไมทรงแสดง
นี่เปนเรื่องของพระพุทธเจาที่พรอมดวยเหตุดวยผล รูรอบขอบชิดทุกสิ่งทุก
อยา ง ไมพูดไปแบบปาวๆ เปลาๆ เหมอื นโลกทว่ั ๆ ไป เพราะฉะนั้นในเวลารับสั่งอะไร
กับพระยมกนน้ั เราชกั ลมื เสียแลว เพราะผา นเรอ่ื งนม้ี านานแลว จนลืมวามีใครไดผล
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๗
๑๖๘
บา งในเวลานน้ั หรือวาพระยมกก็ได น่สี งสยั ไมแนใจแลว เรามาถอื เอาตอนทว่ี า “พระ
อรหนั ตต ายแลว สญู ” เปน ธรรมอนั สาํ คญั กแ็ ลว กนั
พระองคทรงแสดงวา “พระอรหนั ตเปนรูปหรือถึงตายแลวสูญจากรูป พระ
อรหนั ตเ ปน เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ” หรือ พระอรหันตเปน ดนิ นาํ้ ลม ไฟหรือ
เมอ่ื ตายแลว จงึ ไดส ญู จากสง่ิ นน้ั ๆ” รับสั่งถามไปเรื่อย สรปุ ความแลว วา รูปไมเที่ยง รูป
กส็ ลายไป,เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ไมเที่ยง กม็ คี วามสลายไป เมอ่ื เรอ่ื งของ
สมมุติ เปนไปตามสมมุติอยางนั้น
สว นเรอ่ื งของ “วิมุตต”ิ คอื เร่อื งของความบรสิ ทุ ธ์ิ จะใหเ ปน อยา งนน้ั ไมไ ด
เพราะไมใ ชอ นั เดยี วกนั จะนาํ เรอ่ื ง “วิมุตติธรรม” หรือ “วิมุตติจติ ” เขามาคละเคลา
หรอื มาบวกกบั ขนั ธห า ซง่ึ เปน เรอ่ื งของสมมตุ ยิ อ มไมถ กู ไมใชฐานะจะเปนไปได ขนั ธ
หา เปน สมมตุ ขิ น้ั หนง่ึ จติ แบบเปน “สามญั จติ ” กเ็ ปน สมมตุ ขิ น้ั หนง่ึ
ความละเอยี ดของจิต ละเอียดจนอัศจรรย แมขณะที่ยังมีสิ่งพัวพันอยู กอ็ อก
แสดงความอัศจรรยตามขั้นภูมิของตนใหเห็นไดอยางชัดเจน ยิ่งสิ่งที่พัวพันทั้งหลาย
หมดไปแลว ก็จิตนั้นแลเปนดวงธรรม หรอื ธรรมนนั้ แลคอื จติ หรือจิตนั้นแลคือ
ธรรม ธรรมทั้งแทงก็คือจิตทั้งดวง จิตทั้งดวงก็คือธรรมทั้งแทงอยูโดยดี ทนี ก้ี ส็ มมตุ ิ
อะไรไมไ ด เพราะเปน ธรรมลว นๆ แลว แมทา นจะครองขันธอ ยู ธรรมชาตนิ น้ั กเ็ ปน
อยา งนน้ั โดยสมบรู ณ
ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธอ ยอู ยา งพวกเราๆ ทา นๆ นเ้ี อง ใครมีรูปลักษณะมีกิริยามารยาท
มจี รติ นสิ ยั อยา งใด ก็แสดงออกตามจริตนิสัยของตน ตามเรื่องของสมมุติที่มีการแสดง
ตวั อยา งนน้ั จึงนาํ มาคละเคลา ใหเปนอนั หนง่ึ อนั เดยี วกันไมได เมื่อจิตหลุดพนแลว
ธรรมชาติของ “วมิ ตุ ต”ิ นน้ั เปน อกี อยา งหนง่ึ
ขนั ธโ ลกกเ็ ปน อกี โลกหนง่ึ แมใ จทบ่ี รสิ ทุ ธจ์ิ ะอยใู นโลกแหง ขนั ธ ก็เปน “จิต
วิมุตต”ิ อยตู ลอดเวลา จะเรียกวา “โลกุตรจิต” ก็ไมผิด เพราะอยเู หนอื สมมตุ คิ อื ธาตุ
ขนั ธแ ลว
“โลกุตรธรรม” คอื ธรรมเหนอื โลก ทา นถงึ ทราบไดใ นเรอ่ื งความสบื ตอ ของจติ
เมื่อชําระเขามาโดยลําดับๆ ยอ มเหน็ เงอ่ื นตน เงอ่ื นปลาย เห็นความแสดงออกของ
จติ วา หนกั ไปทางใด ยงั มอี ะไรเปน เครอ่ื งใหส บื ตอ หรอื เกย่ี วขอ งกนั อยู ทา นกท็ ราบ
ทานทราบชัด เมอ่ื ทราบชดั ทา นกห็ าวธิ ตี ดั วธิ ปี ลดเปลอ้ื งสง่ิ ทส่ี บื ตอ นน้ั ออกจากจติ
โดยลําดับ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๘
๑๖๙
เวลากเิ ลสมนั หนาแนน ภายในจติ มดื ดาํ ไปหมด ระยะนไ้ี มท ราบวา จติ เปน
อะไร และสง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ งพวั พนั คอื อะไร เลยถอื เปน อนั เดยี วกนั หมด ทั้งสิ่งที่มา
ขอ งทง้ั ตวั จติ เองคละเคลา เปน อนั เดยี วกนั ไมมีทางทราบได ตอ เมอ่ื ไดช าํ ระสะสางไป
โดยลําดับๆ จึงมีทางทราบไดเปนระยะๆ ไป จนทราบไดอยางชัดเจนวา เวลานี้จิตยังมี
อะไรอยภู ายในตวั มากนอ ย แมย งั มอี ยนู ดิ กท็ ราบวา มอี ยนู ดิ เพราะความสืบตอใหเห็น
ชัดเจนวา นค่ี อื เชอ้ื ทจ่ี ะทาํ ใหไ ปเกดิ ในสถานทใ่ี ดทห่ี นง่ึ ซง่ึ บอกอยภู ายในจติ เมื่อได
ทราบชดั อยา งนก้ี ต็ อ งพยายามแกไ ข ดว ยวธิ กี ารตา งๆ ของสติปญญา จนกระทั่งสิ่งนั้น
ขาดไปจากจิตไมมีอะไรติดตอกันแลว จิตก็เปนจิตที่บริสุทธิ์ลวนๆ หมดทางติดตอ เห็น
ไดอยางชัดเจนแลว นี่คือ “ผูหลุดพนแลว” นค่ี อื ผไู มไ ดต าย
เพราะการปฏิบัติจริง เปนผูรูจริงๆ ตามหลักความจริง เห็นไดชัดเจนประจกั ษ
ใจ ทานพูดจริงทําจริงและรูจริง แลว นาํ สง่ิ ทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ ออกมาพดู จะผิดไปไดอยาง
ไร! พระพุทธเจาของเราแตกอนพระองคก็ไมทรงทราบวาเคยเกิดมากี่ภพกี่ชาติ เกิด
เปนอะไรบาง แมป จ จบุ นั จติ มคี วามตดิ ตอ เกย่ี วเนอ่ื งกบั อะไรบา ง เพราะกิเลสมีมากตอ
มาก ในระยะนั้นพระองคก็ยังไมทราบไดเหมือนกัน
ตอเมื่อทรงบําเพ็ญ จนกระทั่งตรัสรูเปนธรรมทั้งดวงขึ้นมาในพระทัยแลว จึง
ทราบไดชัด เมื่อทรงทราบอยางชัดเจนแลว จงึ ทรงนาํ ความจรงิ อนั นน้ั ออกมาประกาศ
ธรรมสอนโลก และใครผูที่จะสามารถรูธรรมประเภทนี้ไดอยางรวดเร็ว กท็ รงเล็งญาณ
ทราบ ดังทา นทราบวา ดาบสท้งั สองและปญจวัคคยี ทัง้ หา มีอุปนิสัยพรอมจะบรรลุธรรม
อยแู ลว เปนตน แลวเสด็จมาโปรดปญจวัคคียทั้งหา ก็สมพระประสงคที่ทรงกําหนด
ทราบดวยพระญาณไวแ ลว
ทานเหลานี้ก็ไดบรรลุธรรมเปนขั้นๆ โดยลาํ ดบั จนกระทั่งบรรลุธรรมเปน “พระ
ขณี าสพ” ดว ยกนั ทง้ั ๕ องค เพราะเอาของจริงออกมาแสดงตอ ผูมุงความจริงอยูด วยกนั
อยางเต็มใจอยูแลว จึงรับกันไดง าย ผูตองการหาความจริงกับผูแสดงความจรงิ สมดุล
กนั แลว เมอ่ื แสดงออกตามหลกั ความจรงิ ผูนั้นจึงรับไดอยางรวดเร็ว และรูตามพระ
องคเปนลําดับจนรูแจงแทงตลอด บรรดากเิ ลสทม่ี อี ยมู ากนอ ยสลายตวั ไปหมด คว่ํา
“วฏั จกั ร” ลงไดอ ยา งหายหว ง นี้แลผูรูจริงเห็นจริงแสดงธรรม ไมวาจะเปนแงธรรมเกี่ยว
กับทางโลกหรือทางธรรม ยอมเปนที่แนใจได เพราะเห็นมาดวยตา ไดย นิ มาดว ยหู ได
สมั ผสั ดว ยใจตวั เอง แลวจาํ นํามาพูดจะผิดไปไหน ผิดไมได เชนรสเค็ม ไดท ราบทล่ี น้ิ
แลว วา เคม็ พดู ออกมาจากความเคม็ ของเกลอื นน้ั จะผดิ ไปไหน รสเผ็ด พริกมันเผ็ด มา
สมั ผสั ลน้ิ กท็ ราบแลว วา พรกิ นเ้ี ผด็ แลว พดู ออกดว ยความจรงิ วา พรกิ นเ้ี ผด็ จะผิดไปที่
ตรงไหน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๙
๑๗๐
การรูธรรมก็เหมือนกัน ปฏิบัติถึงขั้นที่ควรรูตองรูเปนลําดับลําดา รธู รรมหรอื
การละกิเลสยอมเปน ไปในขณะเดียวกันนน้ั กเิ ลสสลายตวั ลงไป ความสวา งทถ่ี กู ปด บงั
อยนู น้ั กแ็ สดงขน้ึ มาในขณะเดยี วกนั กบั กเิ ลสสลายตวั ไป ความจริงไดปรากฏอยางชัด
เจน กเิ ลสซง่ึ เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ กท็ ราบอยา งชดั เจน แลวตัดขาดไดดวย “มรรค” อนั
เปนหลักความจริง คือสติปญญา แลวนํามาพูดมาแสดงเพื่อผูฟงดวยความตั้งใจตองเขา
ใจ
ธรรมเหลานี้พระองคแสดงไว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ ไมไ ดน อกเหนอื ไป
จาก “เบญจขนั ธข องเรา” มใี จเปน ประธานสาํ หรบั รบั ผดิ ชอบชว่ั ดที กุ สง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ ง
สัมผัส ธรรมแมจะมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธก็ตาม ทา นแสดงไปตามอาการ
ของจิต อาการของกเิ ลส อาการของธรรม เพื่อบรรดาสัตวทม่ี ีนิสยั ตา งๆ กนั จึง
ตอ งแสดงออกอยา งกวา งขวางถงึ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ เพื่อใหเหมาะสมกับจริต
นสิ ยั นน้ั ๆ จะไดนําไปประพฤติปฏิบัติและแกไขตนเองในวาระตอไป และควรจะทราบ
ไวว า ผูฟงธรรมจากผูรูจริงเห็นจริง ควรจะแกก เิ ลสอาสวะได ในขณะสดับธรรมจาก
พระพุทธเจาและพระอรหันต หรอื ครอู าจารยท ง้ั หลาย โดยไมเ ลอื กกาลสถานท่ี
ธรรมทั้งหลายรวมลงที่จิต จิตเปนภาชนะที่เหมาะสมอยางยิ่งในธรรมทุกขั้น การ
แสดงธรรมมีอะไรเปนเครื่องเกี่ยวเนื่องพัวพันกันอยู ที่จําตองพูดถึงสิ่งนั้นๆ เพอ่ื ความ
เขา ใจและปลอ ยวาง สาํ หรบั ผฟู ง ทง้ั หลายกม็ ธี าตขุ นั ธ รูป เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส
ภายนอกอันหาประมาณมิได เขามาเกี่ยวของกับตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ของเรา ซึ่งเปน
ภายในตัวเรา จึงตองแสดงทั้งภายนอกแสดงทั้งภายใน เพราะจิตหลงและติดไดทั้งภาย
นอกและภายใน รกั ไดช งั ไดท ัง้ ภายนอกภายใน
เมอื่ แสดงใหท ราบตามเหตผุ ลท้งั ขางนอกขางในตามหลกั ความจรงิ จิตที่
ใครครวญหรือพิจารณาตามหลักความจริงอยูโดยเฉพาะแลว ตองทราบไดโดยลําดบั
และปลอยวางได เมอ่ื ทราบสง่ิ ใดแลว กย็ อ มปลอ ยวางสง่ิ นน้ั และหมดปญ หาในการทจ่ี ะ
พสิ จู นพ จิ ารณาอกี ตอ ไป คือสิ่งใดที่เขาใจแลว ส่งิ น้นั กห็ มดปญหา เพราะเมื่อเขาใจแลว
กป็ ลอ ยวางสง่ิ นน้ั ๆ ปลดปลอ ยไปเรอื่ ยๆ เพราะความเขา ใจถงึ ความจรงิ ของสิ่งน้นั ๆ
โดยสมบูรณแลว
การพจิ ารณาธรรมในขน้ั ทค่ี วรแคบกแ็ คบ ในขน้ั ทค่ี วรกวา งกต็ อ งกวา งขวางเตม็
ภูมิจิตภูมิธรรม ดงั นน้ั ใจของนกั ปฏบิ ตั ธิ รรมทค่ี วรใหอ ยใู นวงแคบ กต็ อ งจาํ กดั ใหอ ยใู น
วงนั้น เชน การอบรมในเบอ้ื งตน จติ มแี ตค วามวา วนุ ขนุ มวั อยตู ลอดเวลาหาความ
สงบสขุ ไมไ ด จึงตองบังคับใหจิตอยูในวงแคบ เชน ใหอ ยกู บั คาํ บรกิ รรม “พุทโธ”
หรอื ลมหายใจเขา ออก เปนตน เพื่อจะตั้งตัวไดดวยบทบริกรรม เพอื่ ความสงบนัน้
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๐
๑๗๑
เปน บาทเปน ฐานหรือเปน รากฐานของใจพอตั้งตัวไดในการปฏิบัติตอไป จึงตองสอน
ใหจ ิตมีความสงบจากอารมณตา งๆ ดวยธรรมบทใดบทหนึ่งตามจริตชอบไปกอน พอ
เปน ทพ่ี ักผอ นหยอนใจทางความสงบ
เมื่อจิตไดรับความสงบเพราะธรรมบทนั้นๆ พอเปนปากเปนทางแลว กเ็ รม่ิ พนิ จิ
พิจารณาปญญา ความรกู ค็ อ ยแตกแขนงออกไปโดยลาํ ดบั หรือตีวงกวางออกไปจนไมมี
ประมาณ เมอ่ื ถงึ กาลอนั ควรทจ่ี ะพกั จติ ดว ยสมาธภิ าวนา กก็ าํ หนดทาง “สมถะ” ดว ยบท
ธรรมดงั ทเ่ี คยทาํ มาแลว โดยไมต อ งสนใจทางดา นปญ ญาแตอ ยา งใด ในขณะนน้ั ตง้ั หนา
ตั้งตาทําความสงบดวยธรรม บทที่เคยเปนคูเคียงของใจ หรอื ทเ่ี คยไดป ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความ
สงบมาแลว กาํ หนดธรรมบทนน้ั เขา ไปโดยลาํ ดบั ดว ยความมสี ติควบคุม จนปรากฏเปน
ความสงบขึ้นมา แลว มคี วามสขุ ความเยน็ ใจ เรยี กวา “การพกั ผอ นหยอ นจติ ดว ยสมาธิ
ภาวนา”
เมอ่ื จติ ถอนออกจากการพกั สงบนน้ั แลว ปญ ญากต็ อ งคลค่ี ลายพจิ ารณาดสู ง่ิ
ตางๆ อันใดที่ควรจะพิจารณาในระยะใดเวลาใด กพ็ จิ ารณาในเวลานน้ั ๆ จนเปนที่เขา
ใจ เมอ่ื ปญ ญาไดเ รม่ิ ไหวตวั เพราะพลงั คอื สมาธเิ ปน เครอ่ื งหนนุ แลว ปญ ญาจะตอ ง
ทาํ การพจิ ารณาอยา งกวา งขวางโดยลาํ ดบั ๆ ตอนนป้ี ญ ญาจะวา กวา งกก็ วา ง ธรรมจะวา
กวา งกก็ วา งตอนน้ี ปญ ญามคี วามเฉลยี วฉลาดมากนอ ยเพยี งใด ก็ยิ่งพิจารณากระจาย
ออกไปจนรูเ หตุรูผลในสภาวธรรมทง้ั หลายตามความเปน จรงิ แลว หายสงสยั และปลอ ย
วางไปโดยลาํ ดบั ตามขน้ั ของสตปิ ญ ญาทค่ี วรแกก ารถอดถอนกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ออก
จากใจเปน ลาํ ดบั ๆ ไป
จิตคอยถอนตวั เขา มาสวู งแคบเทา ที่เหน็ จําเปนโดยลาํ พงั ไมต อ งถกู บงั คบั
เหมอื นแตก อ น ก็เมื่อพิจารณารูตามความเปนจริงแลว จะไปพัวพันไปกังวลกับสิ่งใดอีก
เลา เทา ทก่ี งั วลวนุ วายนน้ั ก็เพราะความไมเขาใจจึงไดเปนเชนนั้น เมื่อเขาใจดวยปญญา
ที่ไดพิจารณาคลี่คลายเห็นความจริงของสิ่งนั้นๆ แลว จติ กถ็ อยและปลอ ยกงั วลเขา มา
เรื่อยๆ จนกลายเปนวงแคบเขามา ๆ จนถงึ ธาตถุ งึ ขนั ธถ งึ จติ ตวั เองโดยเฉพาะ ระยะนี้
จติ ทาํ งานในวงแคบ เพราะตัดภาระเขามาโดยลําดับแลว
ธาตขุ นั ธม อี ะไรบา ง? แจงลงไป ทั้งรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ พิจารณา
จนหายสงสยั ในเงอ่ื นหนง่ึ เงอ่ื นใดกต็ าม เชน พิจารณาในรูป เร่อื งเวทนานนั้ ก็เปนอัน
เขาใจไปตามๆ กนั หรือพิจารณาเวทนา กว็ ง่ิ มาถงึ รปู ถึงสัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ อันมี
ลักษณะเชนเดยี วกนั เพราะออกจากกระแสจิตอนั เดียวกัน สรปุ ความแลว ขนั ธท ง้ั หา
ทา นกบ็ อกวา “เปนคลังแหงไตรลักษณ หรือเปนกองแหงไตรลักษณ” ทง้ั สน้ิ อยา ง
สมบรู ณอ ยแู ลว
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๑
๑๗๒
มสี ง่ิ ใดทค่ี วรจะถอื เอา รูปธาตุรูปขันธ รูปทั้งปวง กเ็ ปน กองแหง ธาตอุ ยแู ลว
เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แตล ะอยา ง ก็เปนเพียงนามธรรม ปรากฏ “ยบิ
แยบ็ ๆๆ” แลว หายไปในขณะๆ จะถอื เปนสาระแกน สารอะไรจากสิง่ เหลานเี้ ลา ปญญา
หยั่งทราบเขาไปโดยลําดับคือทราบความจริง และซง้ึ ถงึ จติ จรงิ ๆ แลว กป็ ลอ ยวางดว ย
ความรูซึ้งนั้น คอื ปลอ ยวางอยา งถงึ ใจ เพราะรอู ยางถงึ ใจก็ปลอ ยอยา งถงึ ใจ งานกแ็ คบ
เขาไป ๆ ตามความจาํ เปน ของการทาํ งานทางดานปญ ญา
นแ่ี หละการพจิ ารณาและรวู ถิ ที างเดนิ ของจติ ทไ่ี ปเกย่ี วขอ งกบั อารมณต า งๆ
ยอมทราบเขา มาและปลอ ยวางเขา มาโดยลําดบั ตัดทางเสือโครงที่เคยออกเที่ยวหากิน
ดงั ทา นวา ไวใ นหนงั สอื ธรรมบทหนง่ึ “ตัดทางเสือโครงออกเที่ยวหากิน” คอื ออกจากทาง
ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปเทีย่ วเก่ียวขอ งกบั ทางรปู ทางเสยี ง กลน่ิ รส
เครื่องสัมผัส แลว กวา นเอาอาหารทเ่ี ปน พษิ เขา มาเผาใจ ปญญาจึงตอ งเทย่ี วพจิ ารณา
ตามรูป ตามเวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เพื่อตัดทางเสือโครงที่เคยหากิน โดยการ
คิดคนเขาไป ๆ ตามสายทางเสอื โครง เสอื ดาวทช่ี อบเทย่ี วทางน้ี ทา นวา คนเขามาตัด
ทางของมันเขามา จนกระทั่งเอาเสือโครงเขาใสกรงได คอื “อวชิ ชา” ทเ่ี ปรยี บเหมอื น
เสือโครงเขารวมตัวในจิตดวงเดียว กเิ ลสอาสวะท้งั มวลรวมลงในจิตดวงเดยี ว กง่ิ กา น
สาขาตัดขาดไปหมด เหลือแตจิต กิเลสอยูในจิตดวงเดียว ไมม ที อ่ี อกเทย่ี วเพน พา นหา
อาหารกนิ ไดด งั แตก อ น
“จิตอวิชชา” นจ้ี ะวา เปน เหมอื นลกู ฟตุ บอลกไ็ ด เพราะปญญาคลี่คลายถีบเตะไป
เตะมาจนแตกแหลกละเอียด คอื กเิ ลสอวชิ ชาแตกกระจายภายในนน้ั จติ ขน้ั นเ้ี ปน ขน้ั
รวมตวั ของกเิ ลส ขณะท่ีถกู ปญญาคลีค่ ลายไปมา จงึ เหมอื นลกู ฟตุ บอลถกู ถบี ถกู เตะ
นน่ั แหละ ถกู เตะไปเตะมาอยใู นวงขนั ธเสยี จนแตกกระจายดว ยปญ ญา เมอ่ื จติ ทเ่ี ปน
“สมมตุ ”ิ แตกกระจายไป จิตที่เปน “วมิ ตุ ต”ิ กแ็ สดงตวั ขน้ึ มาอยา งเตม็ ท่ี
ทาํ ไมจงึ เรยี กวา “จติ เปน สมมตุ ิ” กบั “จติ เปน วมิ ตุ ติ” เลา ? มนั กลายเปน จติ
สองดวงอยางนั้นเหรอ? ไมใ ชอ ยา งนน้ั ! จิตดวงเดียวนั้นแหละที่มี “สมมตุ ิ คือกิเลส
อาสวะครอบอยนู น้ั ” เปนจิตลักษณะหนึ่ง แตเมื่อไดถูกชําระขยี้ขยําดวยปญญาจนจิต
ลกั ษณะนั้นแตกกระจายไปหมดแลว สวนจิตแทธรรมแทที่ทนตอการพิสูจนไ มได
สลายไปดว ย สลายไปแตส ง่ิ ทเ่ี ปน “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” ทแ่ี ทรกอยใู นจติ เทา นน้ั
เพราะกิเลสอาสวะแมจะละเอียดเพียงใดก็ตาม มันกเ็ ปน “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา” และ
เปน “สมมุต”ิ อยโู ดยดนี น่ั แล
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๒
๑๗๓
เมอ่ื สง่ิ นส้ี ลายไป จติ แทเหนือสมมุติจึงปรากฏตัวอยางเต็มที่ ทีเ่ รยี กวา “วิมุตติ
จติ ” สง่ิ นแ้ี ลทา นเรยี กวา “จติ บริสุทธ”์ิ ขาดจากความสบื ตอ เกย่ี วเนอ่ื งใดๆ ทง้ั สน้ิ
เหลอื แตค วามรลู ว นๆ ทบ่ี ริสุทธสิ์ ดุ สว นอยา งเดียว
ความรลู ว นๆ นี้ เราพดู ไมไ ดว า เปน จดุ อยู ณ ทใ่ี ดในรา งกายเรา แตก อ น
เปน จดุ เดน รูเห็นไดอยางชัดเจน เชน สมาธิ เราก็ทราบวาอยใู นทา มกลางอก ความรู
เดนอยูตรงนั้น ความสงบเดนอยูที่ตรงนั้น ความสวา งความผอ งใสของจติ เดนอยทู ต่ี รง
นั้นอยางชัดเจนโดยไมตองไปถามใคร บรรดาทา นผมู จี ติ สงบเปน ฐานแหง สมาธแิ ลว จะ
ปรากฏชดั เจนวา จุดผูรเู ดน อยใู นทามกลางอกนีจ้ ริงๆ ทั้งสิ้น ไมม กี ารถกเถยี งกนั วา
อยมู นั สมอง เปน ตน ดงั ทผ่ี ไู มเ คยรเู หน็ ทางดา นสมาธภิ าวนาพดู กนั หรอื ถกเถยี งกนั
เสมอในที่ทั่วไป
ทนี เ้ี วลาจติ นก้ี ลายเปน จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว จดุ นน้ั หายไป จึงพูดไมไดวาจิตอยู
เบื้องบน เบอ้ื งลา ง หรอื อยสู ถานทใ่ี ด เพราะเปนความรูที่บริสุทธิ์ดวย เปนความรูที่
ละเอียดสุขุมเหนือสมมุติใดๆ ดวย แมเชนนั้นก็ยังแยกเปนสมมุติมาพูดวา “ละเอยี ด
สดุ ” ซึ่งไมตรงตอความจริงนั่นนักเลย คาํ วา “ละเอียดสุด” นม่ี นั ตอ งเปน สมมตุ อิ นั หนง่ึ
นะ ซิ พดู ไมไ ดว า อยสู งู อยตู าํ่ มจี ดุ มตี อ มอยทู ไ่ี หน ไมม เี ลย! มีแตความรูเทานั้นไมมี
อะไรเขาไปแทรกซึม แมจ ะอยใู นธาตใุ นขนั ธซ ง่ึ เคยคละเคลา กนั มากอ น กไ็ มเ ปน เชน
นน้ั อกี แลว กลบั เปน คนละโลกไปแลว !
ทราบไดอยางชัดเจน ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธ จิตก็เปนจิต กายกเ็ ปนกาย เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ทม่ี อี ยภู ายในรา งกายน้ี ก็เปนขนั ธแ ตล ะอยางๆ สว นเวทนาในจติ นน้ั
ไมม ี นบั แตจ ติ ไดห ลดุ พน กเิ ลสทง้ั มวลไปแลว เพราะฉะนน้ั คาํ วา “ไตรลกั ษณ” ใดก็
ตามซง่ึ เปน ตวั สมมตุ ิ จึงไมมใี นจิตดวงนั้น จติ ดวงนน้ั ไมม กี ารเสวยเวทนา นอกจาก
“ปรมํ สขุ ํ” อนั เปนธรรมชาติของตัวเอง และคาํ วา “ปรมํ สุข”ํ ไมใ ชส ขุ เวทนา
ทท่ี า นวา “นพิ ฺพานํ ปรมํ สขุ ’ํ พระนิพพานเปนสุขอยางยิ่ง คาํ วา “สุขอยางยิ่ง”
นน้ั ไมใ ชส ขุ เวทนา เหมอื นเวทนาของจติ ทย่ี งั มกี เิ ลส และเวทนาของกายซึ่งเปนสุข
เปนทุกขแสดงอยูเสมอๆ “ปรมํ สุข”ํ นน้ั ไมใ ชเ วทนาเหลา น้ี ทานนักปฏิบัติพึงทราบ
อยา งถงึ ใจ และปฏบิ ตั ใิ หร ดู ว ยตวั เองนน่ั แลจะหมดปญหา สมดังธรรมทานวา “สนทฺ ฏิ
ฐิโก” ซึ่งไมทรงผูกขาดไวโดยเฉพาะพระองคผูเดียว
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๓
๑๗๔
จิตที่ “บรสิ ทุ ธล์ิ ว นๆแลว ” เราจะเรียกวา “จิตมีเวทนา” จึงเรียกไมได จติ นไ้ี มม ี
เวทนา คาํ วา “ปรมํ สขุ ”ํ นน้ั เปน สขุ ในหลกั ธรรมชาตแิ หง ความบรสิ ทุ ธ์ิ จึงหา อนิจฺจํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เขา ไปแทรกใน “ปรมํ สขุ ํ” นน้ั ไมไ ด
นพิ พานเทย่ี ง ปรมํ สขุ ํ เที่ยง อนั เดยี วกนั ทา นวา “นพิ พานเทย่ี ง ปรมํ สขุ ํ ก็
เที่ยง ปรมํ สุ ญฺ ํ ก็เที่ยง เปน อนั เดยี วกนั ” แตสูญแบบพระนิพพานที่นอกสมมุติ ไมไ ด
สญู แบบโลกสมมตุ กิ นั
จะพูดอะไรแยกอะไรก็ไดถารูประจักษใจแลว ถา ไมเ ขา ใจพดู วนั ยงั คาํ่ กผ็ ดิ วนั ยงั
ค่ําไมมีทางถูก เพราะจิตไมถูก พูดออกมาดว ยความเขา ใจวา ถกู ตามอรรถตามธรรม
เพียงใดก็ตาม แตจ ติ ผแู สดงตวั ออกมานน้ั ไมถ กู อยแู ลว จะถกู ไดอ ยา งไร เหมอื นอยา ง
เราเรียกคําวา “นพิ ฺพานํ ปรมํ สขุ ํ นพิ ฺพานํ ปรมํ สุ ญฺ ํ” เรียกจนติดปากติดใจก็ตาม
จติ กค็ อื จติ ทม่ี กี เิ ลสอยนู น่ั แล มันถูกไปไมได เม่ือจติ ไมพ าถูกเสยี อยา งเดยี วอะไรกถ็ กู
ไปไมได!
พอจติ ถูกเสยี อยา งเดียว ไมพ ดู ก็ถูก เพราะธรรมชาตินั้นถูกอยูแลว พูดหรือไม
พดู กถ็ กู เมอ่ื ถงึ ขน้ั ทถ่ี กู แลว ไมม ีผดิ นแ่ี หละความอศั จรรยท เ่ี กดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ิ
ศาสนธรรม
พระพุทธเจาก็ทรงสอนถึงภูมินี้เทานั้น ไมทรงสอนอะไรตอไปอีก หมดสมมตุ ิ
หมดบญั ญตั ิ หมดกเิ ลส หมดทกุ ข ดว ยประการทง้ั ปวง! จึงไมทรงแสดงอะไรตอไป
อกี เพราะถงึ จุดท่มี ุงหมายอยางเต็มท่แี ลว หรือเตม็ ภูมิของจิตของธรรมแลว
ในเวลาจะปรนิ พิ พานทรงแสดงพระโอวาท เรยี กวา “ปจฉมิ โอวาท”วา
ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราเตอื นทา นทง้ั หลาย สังขารมีความเกิดขึ้นและดับไป
ตลอดเวลา ทานทั้งหลายจงพิจารณาสังขารที่เจริญขึ้นแลวเสื่อมไป หรอื เกดิ แลวดบั ไป
ดว ยความไมป ระมาทเถดิ !”
เทา นน้ั แลว ปด พระโอษฐไ มรับสั่งอะไรอีกตอไปเลย
ในพระโอวาททเ่ี ปนขนาดนั้น “ปจ ฉมิ โอวาท” แลว เราจะถอื หรือเขาใจคําวา
“สงั ขาร” นี้เปนสังขารประเภทใด โดยแยกออกเปน สงั ขารภายนอกหรอื สงั ขารภายในก็
ไดไมผิด
แตใ นขณะนน้ั สว นมากแนใ จวา มีแตพระสงฆผูเปนนักปฏิบัติที่มีภูมิจิตภูมิธรรม
สูงทั้งนั้น นับแตพ ระอรหันตลงมา ที่เขาเฝาพระองคในขณะที่ประทาน “ปจ ฉิมโอวาท”
ในปจฉิมยามนั้น
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๔
๑๗๕
หลกั ใหญจ งึ คดิ วา พระองคประทานเพื่อสังขารภายในที่คิดปรุงอยูภายในจิต รบ
กวนจติ อยตู ลอดเวลา ใหพ จิ ารณาถงึ ความเกดิ ความดบั แหง สงั ขารอนั นน้ั ดวยความไม
ประมาท คือพจิ ารณาดวยสติปญญาอยตู ลอดเวลานั่นเอง สงั ขารอนั นค้ี รอบโลกธาต!ุ
ถา เราจะแยกไปเปน “สงั ขารภายนอก” กไ็ ด เชน ตนไม ภเู ขา สตั ว บคุ คล ก็ได
แตไ มเหมาะกับภมู พิ ระสงฆที่สันนิบาตอยูในทีน่ ัน่ และไมเ หมาะกบั กาลเวลาทเ่ี ปน เวลา
สุดทายของพระพุทธเจาที่จะปรินิพพาน แลว ประทานพระโอวาทอนั เปน ยอดคาํ สอนใน
วาระสุดทายใหแกพระสงฆในขณะนนั้
การแสดงปจ ฉมิ โอวาทเกย่ี วกบั เรอ่ื งสงั ขารในขณะทจ่ี ะปรนิ พิ พานนน้ั จึง
ควรหมายถงึ สงั ขารทล่ี ะเอยี ดทส่ี ดุ ทม่ี อี ยภู ายในใจโดยเฉพาะ เมอ่ื ทราบ “สงั ขารภาย
ใน” นี้ชัดเจนแลว ทําไมจะไมทราบรากฐานของสังขารนี้วามันเกิดขึ้นมาจากอะไร กต็ อ ง
หยั่งเขาไปถึง ‘บอแหงวัฏจักร” คอื “จิตอวิชชา” อนั เปน ทางทีจ่ ะหย่ังเขาในจดุ สําคญั น้นั
ผทู อ่ี ยใู นภมู นิ น้ั จะตอ งทราบ ผทู ก่ี าํ ลงั กา วเขา ไปโดยลาํ ดบั ลาํ ดาทย่ี งั ไมถ งึ ภมู นิ น้ั สนทิ ก็
ทราบชัดเจน เพราะกําลังพิจารณาอยูแลว ซึ่งเปนพระโอวาทในทามกลางเหตุการณอ นั
สาํ คญั อยา งยง่ิ ดว ย
นค่ี ดิ วา เหมาะกบั โอกาสและเวลาํ่ เวลาทพ่ี ระองคป ระทานพระโอวาท เพราะเหตุ
ใด เพราะปกติของจิตที่ไดพิจารณา มีภมู ธิ รรมสูงขนึ้ ไปโดยลําดับแลว สงั ขารภายในคอื
ความคิดปรุงตางๆ จงึ เปน สง่ิ สาํ คญั มากตอ การพจิ ารณา เพราะอนั นี้แสดงอยทู ั้งวันท้งั
คนื และเปน ไปอยูท กุ ระยะภายในจิต จติ ทม่ี ภี มู คิ วรพจิ ารณาธรรมขน้ั ภายในแลว กต็ อ ง
ถอื เอาสงั ขารนน้ั เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา ซง่ึ เปน เรอ่ื งเกย่ี วเนอ่ื งกนั กบั ปจ ฉมิ
โอวาทอยางยิ่งทีเดียว
การทจ่ี ะ ‘ควาํ่ อวชิ ชา” ใหลมจมลงไปได ก็ตองสืบทอดไปจากการพิจารณา
“สงั ขารภายใน” เปน สาํ คญั พอกาํ หนดตามลงไป ๆ เขาไปถึงรากเหงาเคามูลของกิเลส
และทาํ ลายสงั หารกนั ลงได หลงั จากนน้ั สงั ขารนก้ี ไ็ มม คี วามหมายทจ่ี ะยงั กเิ ลสใหเ กดิ
อีก นอกจากนํามาใชใหเปนประโยชนในดานอรรถธรรม ใชคิดปรุงแตงอรรถธรรมเพื่อ
ประโยชนแ กโ ลก การแสดงธรรมกต็ องใชสงั ขาร สงั ขารประเภทนก้ี เ็ ลยกลายเปน เครอ่ื ง
มือของธรรมไป
สังขารที่เปนเครื่องมือของ “อวิชชา” บงั คบั ใหใ ชน น้ั เปน อนั วา เปลย่ี นตวั ผปู ก
ครองขันธไปแลว กลายมาเปนสังขารซึ่งเปนเครื่องมือของธรรมไป คือเครื่องมือของใจ
ทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ทา นนาํ สงั ขารนอ้ี อกแสดงธรรมแกโ ลก ดวยการปรุงอรรถปรุงธรรมตางๆ
ธรรมที่กลาวมาทั้งนี้ไมไดมีอยูในครั้งพุทธกาล หรอื อดตี ทผ่ี า นมาแลว ไมไดมีอยู
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๕
๑๗๖
อนาคตที่ยังไมมาถึงโดยถายเดียว พอท่จี ะใหผูปฏิบตั ดิ ปี ฏบิ ัตชิ อบหมดหวงั แตม อี ยใู น
ระหวางขันธกบั จิตของเราเอง หรอื อยใู นธาตใุ นขนั ธใ นจติ ใจของเราน้ี ไมม อี ยทู อ่ี น่ื ใด
นอกจากกายกบั จติ ของมนษุ ยห ญงิ ชาย ทั้งฝายกิเลสทั้งฝายมรรค ทง้ั ความบรสิ ทุ ธม์ิ อี ยู
ที่ใจนี้ ไมอ ยทู ก่ี าลโนน สมยั โนน กบั คนโนน คนน้ี แตอ ยูกับผูปฏิบตั ิ ผูมีสติปญญา
พจิ ารณาอยเู วลาน้ี
เพราะเหตุไร เพราะวาเราตางคนตางมุงตออรรถตอธรรม มุงตอความจริง เชน
เดียวกบั ธรรมของจรงิ ทที่ า นแสดงไวแลว ในสมัยน้ันๆ และเขา กบั หลกั วา “มชั ฌมิ า”
เปน ศูนยกลางเสมอ ไมเอียงไปสมัยโนน ไมเอียงมาสมัยนี้ ไมเอียงไปกาลโนน สถานท่ี
น้ี เปนธรรมคงเสนคงวา เพราะอยใู นทามกลางแหงธาตุแหง ขันธข องเราน้ี มชั ฌมิ า
ทา มกลางหรอื เหมาะกบั การแกก เิ ลสอยตู ลอดเวลา ขอจงปฏิบัติใหถูกตองตามธรรมนี้
เถิด จะเห็นผลแหง “มชั ฌมิ า” อนั เปน ธรรมเหมาะสมตลอดกาลสถานทแ่ี สดงออก ดงั
กลา วมาวา ‘นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ํ” จะไมพนไปจากจิตดวงรูๆ นเ้ี ลย จึงขอยุติเพียงเทานี้
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๖
๑๗๗
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วันที่ ๙ กุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๕๑๙
จติ ตานปุ ส สนา
“จติ ” “ธรรม”
จติ ทห่ี วิ ธรรมและอม่ิ ธรรม ผดิ กบั ความหวิ และอม่ิ ในสง่ิ ทง้ั หลาย
คาํ วา “หวิ ธรรม” นี่เรามาแยกออกพูด จติ มคี วามรกั ใครช อบใจพอใจในธรรม
อา นธรรมฟง ธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมไมเ บอ่ื หนา ยจดื จาง จิตมีความดูดดื่มอยูกับธรรมมากนอย
เพียงไร ยอมมีความสุขมากนอยเพียงนั้น ไมเหมือนความดูดดื่มกับสิ่งอื่นๆ มี รปู เสยี ง
กลิ่น รส เปน ตน ซึ่งมีเคลือบแฝงกันไป และอยางหลังนี้มีทุกขสอดแทรกสับปนไปดวย
เสมอ
ความ “อม่ิ ธรรม” ตง้ั แตเ รม่ิ แรกปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ ทา นเรยี กวา “ปต”ิ คือความอิ่ม
ใจ ปตินี้จะมีไปเรื่อยๆ ตามขน้ั แหง ธรรม ถา ทาํ จติ ใจใหล ะเอยี ด ปติก็ละเอียด จติ ใจหยาบ
คือยงั หยาบอยู ปติแสดงขึ้นกห็ ยาบ บางรายและบางครง้ั ทา นกเ็ รยี ก “อุเพงคาปต”ิ คือ
เกิดปติอยางผาดโผนก็มี อนั นก้ี ข็ น้ึ อยกู บั นสิ ยั เปน รายๆ ไป ไมใชจะปรุงแตงใหเปนดังนั้น
ได
การแนะนาํ สง่ั สอนบรรดาทา นผมู าอบรมศกึ ษาไมว า พระไมว า ฆราวาส มีความมุง
หวังอยางเต็มใจ อยากใหไ ดอยากใหเ หน็ อยากใหร ใู นธรรมทง้ั หลาย เพราะความรคู วาม
เหน็ ความไดธ รรม ผดิ กบั ความรคู วามเหน็ ความไดส ง่ิ อน่ื ใดในโลก ฉะนน้ั เวลาครบู า
อาจารยท า นแสดงธรรม ย่งิ แสดงธรรมข้ันสูงเทาไร ลักษณะสุมเสียงและเนื้อธรรมจะมี
ความเขม ขน ขน้ึ เปน ลาํ ดบั ๆ จนถึงกับอาจคิดไดวาทานอาจมีโทสะ หรือมีอะไรในทํานอง
นน้ั ขณะไดยินสมุ เสยี งและเนื้อธรรมเขม ขนมากๆ ความจรงิ แลว เพราะความอยากใหร ู
อยากใหเ ห็นเปนพลังอนั หนงึ่ เหมอื นกนั ที่ใหแสดงออกมาดวยความเขมขนนั้น ทา นแสดง
ออกมาจากจิตใจที่มีความมุงมั่น มคี วามหวงั ตอ บรรดาทา นผฟู ง ทง้ั หลาย และถอดออกมา
จากความจริงทไี่ ดรูไดเหน็ อยแู ลวประจกั ษใ จ ไมตองไปควาเอามาจากที่ใด ไมว า ฝา ยเหตุ
และฝา ยผล เปน สง่ิ ทส่ี มบรู ณอ ยกู บั ใจทไ่ี ดร ไู ดเ หน็ จากการบาํ เพญ็ มาแลว ทง้ั นน้ั
การรกู ารเหน็ ซง่ึ เปน ผลของการปฏบิ ตั จิ ากหลกั ธรรมชาติ เปนสิง่ ทีเ่ ปด เผยอยกู บั ใจ
ตลอดเวลา ไมม คี วามปด บงั ลล้ี บั แมแ ตว นิ าทหี นง่ึ เปนสิ่งเปดเผยอยูตามความจริงของตน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๗
๑๗๘
ทุกๆ สภาวธรรม ไมว า ภายในรา งกายและจติ ใจ ตลอดจนกิจการภายนอก เปนสิ่งที่มีอยู
ตามหลักธรรมชาติของตน และรูไดตามหลักธรรมชาติของจิตที่ไดรับการอบรมมาจนพอ
ตวั แลว
แตค วามลมุ หลง ที่จะไปติดอยูในสิ่งตางๆ ของผูไมไดรับการฝกฝนอบรมมากอน
หรอื เคยอบรมแตย งั ไมส มบรู ณ จึงมักหลงและติดไดไมเลือกกาลสถานที่ ท่ีใจมีความคดิ
ความปรุงได สําคัญมัน่ หมายได รักได ชังได เกลียดได โกรธได ทกุ กาลสถานทแ่ี ละ
อิริยาบถตางๆ เพราะสิ่งที่จิตไปคิดไปเกี่ยวของ ก็เปนของที่มีอยูตามธรรมชาติของตน สิ่งที่
คดิ ทป่ี รงุ ขน้ึ มาภายในจติ ใจ ก็ปรุงออกจากสิ่งที่มีอยู ตางอันตางมีอยูดวยกันจึงคิดไดติดได
ดวยกัน
ทา นวา “ธรรม” นน้ั เปด เผยอยตู ลอดเวลา นอกจากสติปญญาของเรายังไม
สามารถทจ่ี ะทราบความจรงิ นน้ั ได แมส ง่ิ นน้ั ๆ จะเปด เผยความจริงน้นั ออกมาตลอดเวลา
นาที สง่ิ เหลา นน้ั เราจะพงึ ทราบไดด ว ยอาํ นาจของสตปิ ญ ญานเ้ี ทา นน้ั ฉะนั้นใจของปุถุชน
เราจึงมักเปน ลกั ษณะลมุ ๆ ดอนๆ อยเู สมอ วนั นภ้ี าวนาเปน อยา งน้ี แตว นั นน้ั เปน อยา งนน้ั
ไมสม่ําเสมอ บางวนั ไมร เู รอ่ื งอะไรเลย บางวนั ใจมคี วามสวา งไสว บางวนั มคี วามสงบเยน็ ใจ
เพราะจติ ขน้ั นเ้ี ปน ลมุ ๆ ดอนๆ ยังไมสม่ําเสมอ เรยี กวา “ตั้งตัวยังไมได” จึงตองมีไดบาง
เสยี บา งเปน ธรรมดา
อยา งไรกต็ ามเราไมต อ งเสยี อกเสยี ใจกบั การไดก ารเสยี เหลา น้ี เพราะเปน การเรม่ิ
แรก จิตของเรายังตั้งตัวไมไดแนนอน หรือยังเกาะธรรมไมไดถนัด ก็เปนอยางนี้เหมือนกัน
แมค รอู าจารยท ส่ี ง่ั สอนพวกเราทา นกเ็ คยเปน อยา งนน้ั มาแลว ไมใชปุบปบก็จะตั้งเนื้อตั้งตัว
ไดปจจุบันทันที แลว เปน ครสู อนโลกไดดีเตม็ ภูมิจิตภมู ิธรรมถา ยเดยี ว ตองผา นความลม
ลุกคลกุ คลานมาดว ยกนั แทบท้งั น้ัน
คิดดู พระพทุ ธเจากท็ รงบําเพ็ญดวยความลาํ บากอยา งยิง่ อยถู ึง ๖ พรรษา ชนิดเอา
จรงิ เอาจงั เอาเปน เอาตายเขา วา ทเ่ี รยี กวา “ตกนรกทั้งเปน” ดว ยความอตุ สา หพ ยายาม
ตะเกียกตะกายทุกดานทุกทาง ซง่ึ ลว นแตเ ปน ความทกุ ขเ พราะความเพยี รทง้ั นน้ั ตลอดเวลา
๖ ป จะไมเ รยี กวา ลาํ บากลาํ บนไดอ ยา งไร ขนาดสลบไสลไปก็มี พวกเรากเ็ ปน ลกู ศษิ ยท า น
มคี วามหนาบางตางกนั ตามจริตนิสยั หรืออุปนสิ ัยของแตละคน เชน เดยี วกบั นาํ้ ในพน้ื ดนิ
ในพน้ื ดนิ นน้ี าํ้ มอี ยู ขุดลงไปก็เจอ เปนแตลึกตื้นตางกัน บางแหงขุดลงไปไมกี่เมตร
ก็เจอน้ํา บางแหงขุดลงไปเสียจนลึกแสนลึกถึงเจอน้ําก็มี เรอ่ื งเจอนาํ้ นน้ั ตอ งเจอเพราะแผน
ดินนเ้ี ตม็ ไปดว ยนา้ํ ทําไมจะไมเ จอ ถา ขดุ ไมห ยดุ กอ นทจ่ี ะถงึ นาํ้ !
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๘
๑๗๙
ความเพยี รเพอ่ื เจออรรถเจอธรรมกเ็ ชน เดยี วกนั ตองเจอโดยไมตองสงสัย เพราะ
ธรรมมีอยูตลอดเวลา “อกาลิโก” เรอ่ื งความจรงิ มอี ยู เปน แตสติปญญาของเราอาจรไู ด
เพยี งเทา นน้ั ซึ่งตางกันเกี่ยวกับ “อุปนิสัย” การปฏิบตั ิจงึ มียากมีงาย มชี า มเี รว็ ตางกัน ดัง
ทท่ี า นสอนไวว า
“ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ทง้ั ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก ทั้งรูไดชา นป่ี ระเภทหนง่ึ
“ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเ รว็ นป่ี ระเภทหนง่ึ
“สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ทั้งปฏิบัติสะดวก ท้ังรไู ดเ รว็ นป่ี ระเภทหนง่ึ
“สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ปฏบิ ตั สิ ะดวก แตรูไดชา นป่ี ระเภทหนง่ึ
นเ่ี ปน พน้ื ฐานแหง อปุ นสิ ยั ของสตั วโ ลกผจู ะควรบรรลธุ รรมทง้ั หลาย ซึ่งจะตอง
เปนไปตามธรรมสี่ประการน้ีอยา งหลกี เลยี่ งไมไ ด เปน แตเ พยี งไมท ราบวา รายใดจะเขา ใน
ลักษณะใดแหง การปฏบิ ตั แิ ละรธู รรมตามปฏิปทาสีน่ ้ี เราเองก็นาจะอยูในขายแหงปฏิปทา
ทั้ง ๔ นอี้ ยางใดอยา งหนึ่ง
แตจ ะเปน ประการใดกต็ าม กเ็ ปน หนาทข่ี องเราควรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ตะเกียกตะกาย
ไปตามความสามารถและวาสนาของตน เพราะไมใช “อภัพบุคคล” ถา เราอยปู ระเภททว่ี า
“ตานาํ้ อยลู กึ ”ก็ตองขุดลงไปจนถึงน้ํา ถา อยใู นประเภท “ตานาํ้ ตน้ื ” เรากข็ ดุ ไดสะดวก
และเจอนาํ้ เรว็ นา น !
เรอ่ื งสัจธรรมน้ันนะมอี ยตู น้ื ๆ รไู ดเ หน็ ไดด ว ยตาดว ยใจธรรมดาอยา งชดั เจน แต
ความรคู วามเขา ใจ ความสามารถของสติปญญา อาจมีกําลังยังไมพอ ซึ่งกวาจะพอใหขุดคน
สจั ธรรม คอื ความจรงิ นข้ี น้ึ มาอยา งเปด เผยและประจกั ษภ ายในเวลาอนั สมควร จึงตอง
อาศยั ความพยายาม แตส าํ คญั ทค่ี วามพากเพยี รพยายามเปน เครอ่ื งหนนุ
เราอยาทอถอย นี่เปนทางของนักปราชญ เปนทางแหงความพนทุกขไปโดยลําดับ
ไมใ ชท างอบั เฉาเบาปญ ญาหรอื ตกนรก เปน ทางทจ่ี ะพยงุ เราใหม คี วามเจรญิ รงุ เรอื งโดย
ลาํ ดบั การปฏบิ ตั เิ ราอยา ไปคาดวนั นน้ั เดอื นน้ี ปน ้นั ซึ่งจะทําใหเรามีความทอถอยออนแอ
ทอใจ แลวหมดกําลังใจไปดวย
เมอื่ หมดกาํ ลงั ใจเสยี อยา งเดียว ความพากเพียรโดยวธิ ตี างๆ นั้นจะลดลงไปโดย
ลาํ ดบั จนกระทั่งไมมีความพากเพียรเอาเลยซึ่งไมใชของดี พึงระมัดระวังเรื่องความคิดที่จะ
เปนภัยตอ การดําเนนิ ของตน!
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๙
๑๘๐
เราตง้ั หนา เขา สแู นวรบดว ยกนั อยแู ลว ตั้งหนาจะถอดถอนสิ่งที่เปนขาศึกอยูแลว
ดวยกัน ทําไมเราจะเปนคนนอกบัญชีไปได บญั ชมี อี ยกู บั การกระทาํ ของเราอยแู ลว เวลาน้ี
บญั ชเี พอ่ื ความรแู จง เหน็ จรงิ เพื่อความปลดเปลื้องทุกขไปโดยลําดับๆ อยูกับการกระทํา
ของเราซึ่งกระทําอยูทุกวันทุกเวลา เราเองจะเปน ผรู บั รอง หรอื เปน ผปู ระกนั ตวั ของเรา โดย
อาศัยธรรมของพระพุทธเจามาเปนเครื่องมือพิสูจนหรือขุดคน
ทา นไดมอบใหแ ลว เปน หนา ทข่ี องเราจะเขา สแู นวรบ เมื่อไดอาวุธแลวก็ไมใชหนา
ที่ของผูอื่นใด ทจ่ี ะทาํ หนา ทใ่ี นการรบดว ยเครอ่ื งมอื ทไ่ี ดร บั มาแลว นน้ั ทุกขเพียงไรก็ให
ทราบ ทุกขเพราะความเพียรไมใชทุกขที่ไรประโยชน ไมใชทุกขที่ทรมานอยางการเจ็บไขได
ปว ย ซง่ึ ไมม ปี ระโยชนอ ะไรสาํ หรบั ผทู ไ่ี มพ จิ ารณาใหเ ปน อรรถเปน ธรรม นเ่ี ราพจิ ารณาเปน
อรรถเปน ธรรมอยแู ลว ทุกขจะเกิดขึ้นมากนอย กใ็ หท ราบไปในตวั วา นค้ี อื สจั ธรรม ซึ่งเปน
“หนิ ลบั สติปญ ญา” ใหค มกลาไปกับความเพยี รของเรา
คนมคี วามเพยี ร คนมีสติปญญา ยอมจะทราบเรื่องตางๆ ที่ปรากฏขึ้นกับตัวไดเปน
อยางดีมีทุกขสัจ เปน ตน เราอยาไปทอถอยในเรื่องความทุกข อยาไปออนใจในเรือ่ งความ
ทุกข การออ นใจในเรือ่ งความทกุ ข คือการออนใจตอการประพฤติปฏิบัติ คอื ความออ นใจ
ตอ ทางดาํ เนนิ เพอ่ื ความพน ทกุ ขข องตน ซึ่งไมใชของดีเลย
ทุกขมากทุกขนอยในขณะปฏิบัติ เปนหนาที่ของสติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร
หรือกําลังวังชาของเราจะขุดคน เพื่อเห็นความจริงของทุกขทุกดาน จะเกดิ ในดา นใดสว นใด
ของอวัยวะ หรอื จะเกดิ ขน้ึ ภายในจติ กเ็ รยี กวา “ทุกข” เชน เดยี วกนั สง่ิ เหลา นจ้ี ะเหน็ จรงิ
เหน็ แจง กนั ดว ยสติปญ ญา ศรัทธา ความเพยี รของเราเทา นน้ั ไมมีอยางอื่นที่จะขุดคนความ
จริงที่มีอยูนี้ใหเห็นไดอยางประจักษใจจนกระทั่งปลอยวางกันได เรยี กวา “หมดคดีเกี่ยว
ของกัน” ทจ่ี ะพาเราใหห มนุ เวยี นเกดิ ตาย ซง่ึ เปน เหมอื นหลมุ ถา นเพลงิ เผามวลสตั ว
ครบู าอาจารยท พ่ี าดาํ เนนิ และทด่ี าํ เนนิ มาแลว มาสอนพวกเรา องคไหนที่ปรากฏชื่อ
ลือนามวาเปน ท่เี คารพนบั ถอื ของประชาชนพระเณรมากๆ รสู กึ วา ทา นจะเปน “พระที่เดน
ตาย” มาแลว ดว ยกนั ไมใชคอยๆ ทาํ ความเพยี รธรรมดา แลว รขู น้ึ มาเปน ครเู ปน อาจารย
ของบรรดาลูกศิษยทัง้ หลาย ควรเรยี กไดว า “เปน อาจารยเ ดนตายมาแลว ” ดว ยกนั แทบท้งั
นน้ั
องคทา นเองมแี ตบ าตร บาตรกม็ ีแตบ าตรเปลา ๆ ผา สามผนื เปน ไตรจวี ร คือ
สบง จวี ร สงั ฆาฏิ และผา อาบนาํ้ เทา นน้ั ความที่ไมมีอะไรเปนของของตัว ตองอาศัยคนอื่น
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๐
๑๘๑
ทุกชิ้นทุกอันเชนนี้ จะหาความสะดวกความสบายมาจากไหน เพราะเรอ่ื งของพระจะตอ ง
เปน ผสู มาํ่ เสมอ เปนผูอ ดผทู น จะหวิ กระหาย จะลาํ บากลาํ บนแคไ หน ตองอดตองทนเต็ม
ความสามารถ ดว ยความพากเพยี รแหง สมณะ หรอื แหง “ศากยบตุ ร”หรอื “ลูก
ตถาคต” เพ่อื อรรถเพอ่ื ธรรมทต่ี นมุงหวงั เปน สําคญั กวาสงิ่ อ่นื ใด
เวลาทําความเพียรกไ็ ปทุกขอ ยูก ับความเพียร การแกก เิ ลส สกู นั กบั กเิ ลสประเภท
ตางๆ เพราะกเิ ลสบางประเภทนน้ั ผาดโผนมาก เนอ่ื งจากเคยอยบู นหวั ใจของเรามานาน
การที่จะกดเขาลงอยูใตอํานาจนั้นยอมเปนของลําบากไมใชนอย แมเราเองก็ยังไมอยากจะ
ปลดเปลื้องเขาอีกดวย ความรสู กึ บางเวลาแทรกขน้ึ มาวา “เขาดอี ยแู ลว ” บา งวา “เขากค็ ือ
เรานน่ั เอง” บา ง “ความขเ้ี กยี จ” กค็ อื เรานน่ั เองบา ง “เห็นจะไปไมไหว” กค็ อื เรานน้ั เอง
บา ง “พกั ผอ นนอนหลบั ใหส บาย” กค็ อื เรานน่ั เองบา ง “ทอดธรุ ะเสยี บา ง” “วาสนานอ ย
คอยเปนคอยไปเถอะ” กค็ อื เราบา ง หลายๆ อยางบวกกันเขา แทนทจ่ี ะเปน ความเพยี ร
เพื่อแกกิเลส เลยกลายเปน เรอ่ื ง “พอกพูนกิเลส” โดยเจา ตวั ไมร ตู วั เพราะฉะนน้ั ในการ
ประกอบความเพยี รในทา ตา งๆ เชน ในทา ยนื ทา เดนิ ทา นง่ั หรือทานอน จงึ เปน ความ
ลําบากไปตามกัน
คาํ วา “ทานอน”ไมใชนอนหลบั ทา นอนคอื ทา ทาํ ความเพยี รของผปู ฏบิ ตั ธิ รรม เชน
เดยี วกบั ทา ยนื ทา เดนิ ทา นง่ั นน่ั เอง บางจริตนิสัยชอบนอนก็มี แตไมหลับ นอนพจิ ารณา
อยอู ยา งนน้ั เชน เดยี วกบั นง่ั พจิ ารณา ทา นจงึ เรยี กวา “จรติ นิสัยตางกนั ” ชอบภาวนาดี
เวลานอน เวลานง่ั เวลายนื เวลาเดนิ ตา งกันอยางน้ตี ามจริตนสิ ยั และความพากเพยี รทกุ
ประเภทเปนเรื่องที่จะถอดถอนกิเลส ขุดคนกิเลสออกจากใจของตน จะเปน เรอ่ื งงา ยๆ
เบาๆ สบายๆ ไดอยางไร ตอ งลาํ บาก เพราะความรกั กเ็ หนยี ว ความเกลยี ดกเ็ หนยี ว ความ
โกรธกเ็ หนยี ว ขึ้นชื่อวา “กเิ ลส” แลว เหนยี วแนน และฝงหยั่งลกึ ลงถึงขว้ั หวั ใจน่นั แล
เราจะถอดถอนไดงายๆ เมื่อไร และเคยฝงมากี่กัปกี่กัลป ฝงอยูที่หัวใจของสัตวโลก
นะ การถอดถอนสิ่งที่ฝงจมลึกอยางนี้ตองเปนของยาก เปน ภาระอนั หนกั ไมใ ชน อย เมอ่ื
เปน ภาระอนั หนกั ความทุกขเ พราะความเพียรก็ตองมาก ไมว า จะเปน กเิ ลสประเภทใดก็
ตาม มนั ออกมาจากรากเหงา เคา มูลของมนั คอื หวั ใจ ฝงอยางลึกดวยกันทั้งนั้น เพราะฝง จม
กนั มานาน เราตองใชความพยายามเต็มที่เพื่อถอดถอนตัวอุบาทวเหลานี้ออกใหได จะได
เปน บคุ คลสน้ิ เคราะหส น้ิ กรรมเสยี ที ไมเปนคนอุบาทวโดนแตทุกขถายเดียวตลอดไป
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๑
๑๘๒
แตก ารกลา วดงั นอ้ี ยา คาดคะเนหรอื สาํ คญั เอาวา “เรานย้ี ง่ิ ลกึ กวา เพอ่ื น” นี่ก็จะยิ่ง
เปนการจมลงไปอกี ดว ยอุบายของกิเลสหลอกเรา
นเ่ี ราพดู ถงึ ความเพยี ร หรือความทุกขค วามลาํ บากของครูของอาจารย ที่ทานมา
แนะนาํ สง่ั สอนใหเ รา ทา นตองใชความอุตสาหพยายาม จนกระทั่งไดเหตุไดผลจากการ
ประพฤติปฏิบัติ เรยี กวา “มตี น ทนุ ขน้ึ มาภายในจติ ใจ” ใจก็ตั้งหลักได สติปญญาก็พอคิด
อานไตรตรองได
ตอนน้ันแหละเปน ตอนท่เี พลิน เพลินตอการถอดถอนกิเลสทุกประเภท ไมมีการทอ
ถอยออนใจ มุงหนามุงตาที่จะถอดถอนใหหมด จนไมม อี ะไรเหลอื อยภู ายในจติ ใจเลย ทีนี้
ความเพยี รกเ็ กง ไมวาทาไหนเกง ท้ังนนั้ อตุ สาหพยายามพากเพยี ร ความคดิ ใครค รวญ
ตางๆ ละเอียดลออไปตามๆ กัน หรอื “สุขุมไปตามๆ กัน” เพราะธรรมรวมตวั เขา แลว มี
กําลังดวยกัน ศรทั ธากร็ วม วริ ยิ ะกร็ วม รวมไปในจุดเดยี วกนั “พละ ๕” รวมอยใู นนน้ั
“อทิ ธบิ าท ๔” รวมลงไปภายในจติ ทเ่ี คยเตม็ ไปดว ยกเิ ลสทง้ั หลาย
แมจะยากก็เถิด ! อารมณค าํ วา “ยาก” ก็คอยหมดไปเมื่อปรากฏผลขึ้นภายในที่
เรยี กวา “ตนทุน” นน้ั แลว ยากกเ็ หมอื นไมยาก แตกอนเรายังไมมีตนทุน คาดวยกาํ ปน มัน
กล็ าํ บากอยบู า ง พอมีเครื่องมือมีตนทุนบางแลว ถงึ จะลาํ บากกเ็ หมอื นไมล าํ บาก เพราะ
ความพอใจ สติปญญามีพอตอสู ความพากเพียรไมถอยหลังไมลดละ จติ ใจกม็ คี วามเจรญิ
รงุ เรอื งขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ เปน ความสงา ผา เผยขน้ึ ทด่ี วงใจดวงทเ่ี คยอบั เฉามาเปน เวลานานนน้ั
แล นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั การปฏบิ ตั ดิ ว ยความทกุ ขย ากลาํ บาก ดว ยความเพยี รทา ตา งๆ จติ
โลงดวยความสงบเย็น พูดถึงความสงบก็สงบ คือสงบจิต ไมใ ชส งบแบบคนสน้ิ ทา สงบ
อยางเยือกเย็น เวลาถงึ กาลปญ ญาจะออกพจิ ารณาคน ควา กเ็ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย สูไมถอย
กลางคนื กลางวันเตม็ ไปดวยความพากเพยี ร ความลาํ บากลาํ บนดว ยปจ จยั สไ่ี มส นใจ ขอให
ไดป ระกอบความพากเพียรเตม็ สตกิ ําลังความสามารถ เปนที่พอใจของนักปฏิบัติเพื่อหวังรู
ธรรม ผหู วงั รแู จง เหน็ จรงิ ในธรรมโดยถา ยเดยี วเทา นน้ั
ผลสุดทายจิตที่เคยมืดดําก็เปดเผยตัวออกมา ใหเ หน็ เปน ความสวา งกระจา งแจง
เปน ความอศั จรรย ! อุบายสติปญญาที่เคยมืดมิดปดตาคิดอะไรไมออก กก็ ลายเปนสติ
ปญ ญาทห่ี มนุ ตวั ออกมาดว ยลวดลายแหง ความเฉลยี วฉลาด ทันกบั เหตุการณข องกิเลสท่ี
แสดงตัวออกมาทุกแงทุกมุม
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๒
๑๘๓
เมอ่ื สตปิ ญ ญาเขา ขน้ั นแ้ี ลว กเิ ลสท่ีเคยสง่ั สมตัว สัง่ สมกาํ ลงั มาน้ัน ก็ลดนอยลงไป
โดยลาํ ดบั ๆ จนสามารถพูดไดวากิเลสไมมีทางสั่งสมตัวได แมแตกิเลสที่มีอยูก็ถูกทําลายไป
โดยลําดบั ดวยสติปญญาขุดคน ไมมีวันมีคืน มีปมีเดือน มอี ริ ยิ าบถใดๆ เปน อปุ สรรคกดี
ขวางความเพยี ร มีแตธาตุแหงความเพียรไปทั้งวันทั้งคืน นห่ี มายถงึ สตปิ ญ ญาหมนุ ตวั อยู
ตลอดเวลาไมว า อริ ยิ าบถใดๆ
ยง่ิ เหน็ ชดั เจน จิตยิ่งเดน เหนอื กเิ ลสขน้ึ มาเปน ลาํ ดบั ๆ เพราะฉะนน้ั คาํ วา “ไมยอม
แพก เิ ลสน”้ี ทําไมจะพูดไมได ! เมอ่ื เหน็ ประจกั ษใ จในกาํ ลงั ของตวั วา เปน ผสู ามารถแค
ไหนอยแู ลว
สตปิ ญ ญาทอ่ี อกตระเวนคน ควา หากเิ ลสนน้ั หมนุ รอบตวั อยตู ลอดเวลา กเิ ลสตวั ไหน
จะสามารถออกมาเพนพานกลาหาญตอสติปญญาประเภทนี้ก็ออกมา ตองโดนดีกับสติ
ปญญาชนิดสะบ้นั ห่นั แหลกแตกกระจายไมสงสยั นอกจากจะหลบซอนตัว แมหลบซอนก็
ตองตามขุดคนกันไมหยุดหยอนอยูนั่นแล เพราะถงึ คราวธรรมะไดท แี ลว นแ่ี หละทท่ี า นวา
“สติปญญาอัตโนมัต”ิ หรอื “มหาสติ มหาปญญา” ตองทํางานขุดคนไมหยุดไมถอย
อยางน้ีแล
เวลาไปเจอกบั กเิ ลสชนดิ ใดเขา แลว นน่ั ถอื วา เจอขา ศกึ เขา แลว และพลั วนั หรอื
ตะลมุ บอนกนั เลยจนเหน็ เหตเุ หน็ ผล จนกระทงั่ ถึงความปลอ ยวาง หรอื ละกเิ ลสประเภทนน้ั
ได เมื่อหมดประเภทนี้แลวก็เหมือนไมมีอะไรปรากฏ แตสติปญญาขั้นนี้จะไมมีหยุดไมมี
ถอย จะคุยเขี่ยขุดคนอยูอยางนั้น มนั อยูทีต่ รงไหนขดุ คนหาสาเหตุ เสาะทา นน้ั แสวงทา น้ี
ขุดคน ไปมาจนเจอ พอปรากฏตัวกิเลสขึ้นมาปบ จบั เงอ่ื นนน้ั ปบุ ตามเขา ไปคน ควา เขา ไป
ทนั ทจี นไดเ หตไุ ดผ ลแลว ปลอ ยวาง
นก่ี ารแกก เิ ลสขน้ั น้ี ตองแกไปเปนลําดับๆ เชนนี้กอน จนกระทง่ั กเิ ลสมนั รวมตวั ที่
เคยพดู เสมอวา “อวิชชา” นน่ั นะ รวมตวั ธรรมชาตนิ น้ั ตอ งผา นการขดุ คน ภายในจติ
ขดุ คน เฉพาะจติ เมื่อไดที่แลว เวลาถอนกถ็ อนพรวดเดยี วไมมีเหลอื เลย สวนกิ่งกานของ
มนั นน้ั ตองไดตัดกานนั้นกิ่งนี้เรื่อยไป สาขาไหนที่ออกมากนอย เล็กโตขนาดไหน ตัดดวย
ปญญา ๆ ขาดลงไป ๆ ผลสดุ ทา ยกย็ งั เหลอื “หวั ตอ” ถอดหัวตอถอนหัวตอนี้ยากแสน
ยาก แตถอนเพียงครัง้ เดยี วเทานัน้ คือพรวดเดยี วหมด ! ก็ไมมีอะไรเหลือแลว ! สน้ิ วฏั
จกั รสน้ิ ทจ่ี ติ พน ทจ่ี ติ บรสิ ทุ ธท์ิ จ่ี ติ หมดปญ หาเกิดตายทั้งมวลที่จิตนี่แล
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๓
๑๘๔
นแ่ี หละความทกุ ขค วามลาํ บากในการประกอบความเพยี รมามากนอ ย เราจะไมเ หน็
คณุ คา อยา งไรเลา เมื่อกองทุกขทั้งมวลมากนอยซึ่งทับอยูบนหัวใจ ไดทลายลงไปหมดดวย
อาํ นาจแหง ความเพยี รทว่ี า ทุกขๆ ยากๆ ลาํ บากของเรานน้ั คมุ คา ! ตายก็ตายไปเถอะตาย
ดว ยความทกุ ขเ พราะความเพยี ร ไมเ สยี ดายชวี ติ เพราะไดเ หน็ คณุ คา หรือไดเห็นผลของ
ความเพียรเปนอยางไรบางประจักษกับจิตของตนเองแลว
ฉะนน้ั การบาํ เพญ็ เพยี ร ตองเปนผูไมทอถอย มอี ะไรพจิ ารณากนั ภายในจติ ใจ มืด
เรากท็ ราบวา มดื จิตไมเคยมืด ความรจู รงิ ๆ ไมปดตัวเอง ทุกขขนาดไหนก็ทราบวาทุกข
สขุ ขนาดไหนกท็ ราบ มดื กท็ ราบวา มดื สวา งกท็ ราบวา สวา ง หนกั เบาแคไ หน ผรู บั รู รบั รอู ยู
ตลอดเวลา ไมยอมอาภัพกับสิ่งใดทั้งหมด ไมปดกั้นตัวเองเลย ผนู ค้ี อื ผรู บั รอู ยตู ลอดเวลา
แมจะถูกกิเลสรุมลอมอยูขนาดไหน ความรอู นั นจ้ี ะรเู ดน อยเู สมอ รูต ัวเองอยเู สมอ สมกับ
ชื่อวา “ผรู คู อื จติ ”
นแ่ี หละจะเอาผนู แ้ี หละใหพ น จากสง่ิ เกย่ี วขอ งหรอื สง่ิ พวั พนั ทง้ั หลาย มาเปน อสิ ระ
ภายในตนเอง เหลอื แตค วามรลู ว นๆ น้ี จึงตองไดพิจารณาแกไขกันเต็มกําลัง ยากงา ย
ลําบากเพียงไรก็ตองทํา เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เปน ภยั ตอ เรา ไมม ีช้ินสวนท่ปี ราชญท ้งั หลายนา
จะยกยองกันบางเลย! เรารเู หน็ มนั วา เปน ตวั ทกุ ขป ระจกั ษใ จ ถาไมถอดถอนพิษภัยออก
จากจติ ใจแลว เราก็ไมมีทางกาวเดินออกจากทุกขไดเลย เชน เดยี วกบั การถอนหวั หนาม
ออกจากเทา เรานน่ั แล
การถอดถอนหัวหนามออกจากเทา ถาเราถือวาเจ็บปวดมากไมกลาถอน นน่ั แหละ
คือเทาจะเสียหมด เพราะหนามฝงจมอยทู ีน่ นั่ เปน ตน เหตสุ าํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหเ ทา เรากาํ เรบิ
มากถึงกับเสียไปหมด เพราะฉะนน้ั โดยทางเหตผุ ลแลว จะทุกขล าํ บากขนาดไหน ตองถอน
หวั หนามออกจากเทาจนได ไมถอนหนามนั้นออกเสียเปนไปไมได เทา จะกาํ เรบิ ใหญ และ
จะทาํ ใหอ วยั วะสว นอน่ื เสยี ไปดว ยมากมาย ฉะนั้นแมจะทุกขขนาดไหน ก็ตองถอนออกให
ไดโดยถายเดียว
การบาํ เพ็ญเพียรเพ่อื ถอดถอนหนาม คือกิเลสเปนเครื่องเสียดแทงจิตใจอยูตลอด
เวลา ถาไมถอนมันเสียจะเปนอยางไร? การถอนหวั หนามคอื กเิ ลสดว ยความเพยี ร จะทุกข
ยากลําบากขนาดไหนก็ตอ งทาํ โดยเหตุผล ตายก็ตองยอม เพื่อใหหนามนี้ออกจากจิตใจ จะ
ไมตองเสียดแทงกันไปนานตลอดกัปนับไมจบสิ้นได!
พูดถึงกิเลส มอี ยทู กุ แหง หนในบรรดาสตั วบ คุ คล มีอยูรอบตัวของเรามากมายไมมี
เวลาบกพรอ งเบาบางลงบา งเลย แตห าไดท ราบไมว า นน่ั คอื กเิ ลสทง้ั มวล เวลาพจิ ารณาแลว
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๔
๑๘๕
ถงึ ไดร วู า มนั มอี ยรู อบตวั เรา และกวาดเขา มาหาตวั เราทกุ วนั เวลา ไมม ีคําวา “หนกั ” วา
“พอแลว” เลย มันติดรูป ตดิ เสยี ง ติดกลิ่น ติดรส ติดสมบัติพัสถานตางๆ มากตอมากจน
กลายเปน กิเลสไปหมด เพราะจติ พาใหเ ปน สง่ิ เหลา นน้ั เขาไมเ ปน กเิ ลส แตจิตไปติดกับ
สง่ิ ใด เรากถ็ อื วา สง่ิ นน้ั เปน กเิ ลส จาํ ตอ งพจิ ารณาใหเ หน็ ชดั เจนตามสง่ิ นน้ั เพื่อจิตจะได
หายสงสยั และถอนตวั เขา มาสว นแคบ และพจิ ารณางา ยเขา จนสุดทายก็มาอยูที่ในธาตุขันธ
ของเรานแ่ี หละ!
กเิ ลสคอื ความรกั ความสงวนตวั นส่ี าํ คญั มาก ไมมอี ันใดจะเหนอื ความรักตัวสงวน
ตัวไปได เมื่อกิเลสประเภทนไี้ มมีทเ่ี กาะแลว จึงตอ งยอ นกลับเขา มารวมตวั อยูในใจดวง
เดยี ว มันตองไดใชสติปญญาขับไลกันที่ตรงนี้ ไลตรงนี้ไลยากหนอย ยากก็ไล เพราะแมต วั
จญั ไรเขา มารวมทน่ี ่ี กม็ าเปนกิเลสอยูทน่ี ่ีเหมอื นกนั กบั เวลาซา นอยขู า งนอก เปน เสย้ี นเปน
หนามทิ่มแทงเหมือนกัน เปนพิษเปน ภัยเหมอื นกัน ตองไลใ หออกดว ยการพจิ ารณาเรอื่ ง
ธาตุขันธ แยกแยะออกดูใหเห็นตามความเปนจริงทุกแงทุกมุม พจิ ารณาแลว พจิ ารณาอกี
จนเปนพื้นเพของจิตไดอยางมั่นคงและชัดเจนวา “สกั แตวา ธาตุ สักแตวาขันธ เทา นน้ั ”!
เมอ่ื พจิ ารณาเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยแลว มนั เปน เชน นน้ั “มนั สกั แตวา .ๆ” เมอ่ื
พจิ ารณาถึงขน้ั “สกั แตว า แลว ” จะไปยึดมั่นถือมั่นไดอยางไร! เพราะปญ ญาหวา นลอ มไป
หมด ปญญาชําระไปหมด ชะลางไปหมด มลทินคือกิเลสที่ไปติดพันอยูกับใจ ความสาํ คญั
มนั่ หมายตางๆ ที่เกี่ยวของติดพันอยูที่ตรงไหน สติปญญาชะลางไปหมด ปลดเปลื้องไป
โดยลาํ ดบั ๆ สดุ ทา ยกร็ ขู น้ึ มาอยา งชดั เจน “สวากขาตธรรมทง้ั ปวง ก็เปน ธรรมทซ่ี ึง้ ใจ
สดุ สว น ใจไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในธรรมและสง่ิ ใด”
รปู กส็ กั แตว า รปู ไมว า อาการใดทเ่ี ปน อยใู นรา งกายเราทใ่ี หน ามวา “รปู ” ก็สัก
แตว า เทา นน้ั ไมยิ่งกวานั้นไป จะยิ่งไปไดอยางไรเมื่อจิตไมสงเสริมใหมันยิ่ง ความจรงิ จติ
เปน ผสู ง เสรมิ จติ เปน ผกู ดถว งตวั เองตา งหาก เมอ่ื สตปิ ญ ญาพจิ ารณารตู ามหลกั ความ
จรงิ แลว ทุกสิ่งทุกอยางก็จริงของมันเอง “สักแตวา” นน่ั ! เมอ่ื “สักแตว า” แลว จติ ไม
เหน็ สง่ิ นน้ั สง่ิ นม้ี คี ณุ คา มรี าคายง่ิ กวา ตนพอจะไปหลงยดึ ถอื จติ กห็ ายกงั วล รูปกส็ กั
แตว า ถึงยังเปนอยูก็สักแตวา ตายไปแลว กส็ กั แตว า ความเปลย่ี นแปรสภาพของมนั เทา นน้ั
เวทนาเกดิ ขน้ึ มากส็ กั แตว า เมื่อสลายลงไปก็สักแตวา ตามสภาพของมันและตาม
สภาพของทุกอาการ ๆ ปญหาทั้งปวงในขันธในจิตก็หมดไปโดยลําดับ
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๕
๑๘๖
สดุ ทา ยจติ ทม่ี คี วามรกั ความสงวนดว ยอาํ นาจแหง กเิ ลสประเภทหนง่ึ ซ่งึ เปน สง่ิ
สาํ คญั ทเ่ี กาะอยใู นนน้ั กพ็ จิ ารณาลงไป ซึ่งเรียกวา “จติ ตานปุ ส สนา” คอื ความเหน็
แจงในจิตและอาการของจิตทุกอาการวา “สกั แตว า จติ ” คอื เปน สภาพหนง่ึ ๆ เชน เดยี ว
กบั สภาวธรรมทง้ั หลาย ไมถือจิตเปนตน ไมสําคัญจติ วาเปน ตน ถา ถอื จติ วา เปน ตนเปน
ของตนจะพจิ ารณาไมไ ด เพราะความรกั ความสงวนความหงึ หวง กลัววาจิตจะเปนอะไร
ตออะไรไปเสีย แลว กลายเปน กาํ แพงกน้ั ไว จึงตอ งพจิ ารณาตามท่ีทา นวา “จติ ตานปุ ส ส
นา” พจิ ารณาลงไปใหเ หน็ “สกั แตว า จติ ” คิดก็สักแตวาคิด ปรุงขึ้นมาดีชั่วก็สักแตวา
ปรงุ แลวกด็ ับไป ๆ สกั แตว า ๆ จนถงึ รากฐานของ “จิตอวิชชา”
รากฐานของ “จิตอวิชชา” คืออะไร? คอื กเิ ลสชนดิ ละเอยี ดสดุ อยภู ายในจติ
ไมพ จิ ารณาจติ นน้ั ไมไ ด จติ จะสงวนจติ ไว แลว พจิ ารณากเิ ลสประเภทนต้ี า งหากนน้ั
ยอ มหาทางไมได! เพราะกเิ ลสประเภทสงวนตวั มนั หลบอยใู นอโุ มงค คอื จติ นแ้ี หละ!
จะเสียดายอุโมงคอยูไมได ถา โจรเขา ไปอาศยั อยใู นอโุ มงคน เ้ี ราจะเสยี ดายอโุ มงคไ มไ ด
ตองระเบิดหมดทั้งอุโมงคนั่นนะ ใหม นั แตกทลายกลายเปน ชน้ิ สว นไปหมด นี่ก็เหมือน
กัน ระเบดิ ดว ยสตปิ ญ ญาใหห มดเลยทต่ี รง “อุโมงค คือจิตอวิชชา” นใ้ี หส น้ิ ซากไป
เอา ถา จติ เปน จติ จรงิ ทนตอการพิสจู น ทนตอความจริงจริงๆ จติ จะไมฉ บิ หาย
จะฉบิ หายไปแตส ง่ิ ทเ่ี ปน สมมตุ เิ ทา นน้ั ! ธรรมชาติตัวจริงของจิตแทๆ จะไมฉ บิ หาย
และอะไรจะเปน “วิมุตต”ิ ? ถาจิตสามารถเปน วมิ ุตตไิ ด ทนตอการพิสูจน ทนตอการ
พิจารณาทุกอยางได กใ็ หจ ติ รตู ัวเอง จิตนั้นจะยังคงเหลืออยู
อันใดที่ไมทนตอการพิจารณา อันใดที่เปนสิ่งจอมปลอม ก็จะสลายตัวของมันไป จง
พจิ ารณาลงทจ่ี ติ ดีชั่วเกิดขึ้นก็แตเพียงแย็บๆๆ อยภู ายในจติ ดับไปก็ดับที่จิต คนลงไป
พจิ ารณาลงไป เอาจติ เปน สนามรบ
เราเอาเสยี ง เอากล่ิน เอารส เปน สนามรบ พจิ ารณาดว ยปญ ญา ผา นเขา มาถึงข้นั
เอารปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เปน สนามรบ พจิ ารณาจนรแู จง เหน็ จรงิ แลว ปลอ ย
วาง ๆ ปลอ ยวางไปตามเปนจริง
อา ว!ที่นี่กิเลสมันไมมีที่ซอนก็วิ่งเขาไปอยูในจิต ตอ งเอาจติ เปน สนามรบอกี ฟาด
ฟน กนั ดว ยปญ ญาสะบน้ั หน่ั แหลกลงไปเปน ลาํ ดบั ๆ โดยไมมีขอแมขอยกเวนวาจะควร
สงวนอะไรไวเ ลย อันใดทีป่ รากฏจะพจิ ารณาฟาดฟนใหอนั นัน้ แหลกไปหมด ใหร เู ขา ใจไป
หมด นน่ั !
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๖
๑๘๗
สุดทายกิเลสก็ทนตัวอยูไมได กระจายออกไป นน่ั ! ของจอมปลอมตองสลายตัวไป
ของจริงอันดั้งเดิมแทไดแกจิต กเ็ ปนธรรมชาติทีบ่ รสิ ทุ ธขิ์ ้ึนมาแทนทท่ี ก่ี เิ ลสหายไป หา
ความสลายหาความฉบิ หายไปไมม เี ลย นแ้ี ลคอื ความประเสรฐิ แท เราชนะเพอ่ื อนั น้ี
ธรรมชาติแทไมตายไมฉ บิ หาย ถงึ จะถกู พจิ ารณาขนาดไหนกต็ าม แตส ตปิ ญ ญาจะฟาด
ฟน จติ ใหแ หลกละเอยี ดจนฉบิ หายไปหมดนน้ั เปน ไปไมไ ด นน่ั
สุดทายจิตก็บริสุทธิ์ไดดวยปญญา พอจิตบริสุทธิ์เต็มที่แลว ปญญาก็หมดหนาที่ไป
เอง หรือหมดภาระหนาที่ของตนไปเองตามหลักธรรมชาติของสติปญญา พอจิตบริสุทธิ์
เต็มที่แลวปญญาก็หมดหนาที่ไปเอง หนาที่ของตนไปเอง ตามหลักธรรมชาติของสติปญญา
ที่เปนสมมุติฝายแกกิเลสทั้งมวล นอกจากเราจะนาํ ไปใชบ างกาลบางเวลาในแงธ รรมตา งๆ
หรอื ธรุ ะหนาทตี่ า งๆ เทา นน้ั
ท่จี ะนาํ มาแก มาทาํ ลายกเิ ลส ถอดถอนกิเลสดวยปญญาดังที่ไดทํามาแลวนั้น ไมมี
กิเลสจะใหแกใหถอน สติปญญาจะถอนอะไร ตางอันตางหมดหนาที่ของตัวไปเองโดย
อัตโนมัติหรือธรรมชาติ
สิ่งที่ยังเหลืออยู เหนอื สจั ธรรมทง้ั ส่ี คือ ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค กไ็ ดแ กค วาม
บรสิ ทุ ธ์ิ คอื ผรู ลู ว นๆ ผนู ีแ้ ลเปน ผูพน จากสมมุตโิ ดยประการทงั้ ปวง พนจากกิเลสโดย
ประการทั้งปวง ทรงไวซึ่งความบริสุทธิ์ที่ทานเรียกวา“วิมุตต”ิ เราจะไปหา “วิมุตต”ิ ที่
ไหน? ความหลุดพน อยูท ไ่ี หน? ก็มันติดของอยูที่ไหน? เมื่อพนจากความติดของแลว มัน
กเ็ ปน ความหลดุ พน ทเ่ี รยี กวา “วิมุตต”ิ เทา นน้ั เอง การแสดงธรรมจงึ ยุตเิ พียงเทา นี้ ไมมี
ความรคู วามสามารถแสดงใหย ง่ิ กวา นไ้ี ด
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๗
๑๘๘
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
จิตผองใส คอื อวชิ ชา
ปกติจิตเปนสิ่งที่ผองใส และพรอมที่จะสัมผัสสัมพันธกับทุกสิ่งทุกอยางอยูเสมอ
สภาพทง้ั หลายเปน “ไตรลักษณ” ตกอยูในกฎแหง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ดวยกันทั้งนั้นไม
มเี วน แตธรรมชาติของจิตที่แทจริงนั้นไมไดอยูในกฎนี้ เทาที่จิตเปนไปตามกฎของ “อนจิ จฺ ํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ” ก็เพราะสิ่งที่เปนไตรลักษณ คอื สง่ิ ทห่ี มุนเวียนเขาไปเก่ยี วขอ งกับจติ จิตจึง
หมนุ เวยี นไปตามเขา แตหมนุ เวียนไปดวยธรรมชาติที่ไมแตกไมส ลาย หมุนไปตามสิ่งที่มี
อาํ นาจใหห มนุ ไป แตที่เปนอํานาจของจิตอยูโดยหลักธรรมชาตินั้น คือ “รแู ละไมต าย”
ความไมต ายนแ้ี ลเปน สง่ิ ทเ่ี หนอื ความแตก ความไมแตกสลายนีแ้ ลเปน สิ่งทเี่ หนอื กฎไตร
ลักษณและ “หลกั สากลนยิ ม” ทง้ั หลาย แตท ไ่ี มทราบก็เพราะธรรมชาติทเ่ี ปนสมมตุ เิ ขาไป
เกี่ยวของรุมลอมจิตเสียหมด จิตจงึ กลมกลืนกบั เรื่องเหลานี้ไปเสยี
ทเ่ี ราไมท ราบวา การเกดิ ตายเปน ของมมี าดง้ั เดมิ ประจาํ จติ ทม่ี กี เิ ลสเปน เชอ้ื กเ็ พราะ
ความไมทราบเปน เรื่องของกเิ ลส ความเกดิ ตายเปนเรอ่ื งของกเิ ลส เรอ่ื งเราจรงิ ๆ เรอ่ื งเรา
ลว นๆ คอื เร่อื งจิตลวนๆ ไมมีอํานาจเปนตัวของตัวเองได อาศัยของจอมปลอมมาเปนตัว
ของตัวเรื่อยมา การแสดงออกของจิตจึงไมตรงตามความจริง มีการแสดงออกตางๆ ตาม
กลมารยาของกิเลส เชน ทาํ ใหก ลวั ทําใหสะทกสะทา น กลวั จะเปน กลวั จะตาย กลัวอะไร
กลัวไปหมด แมทุกขนอยทุกขใหญอะไรมาปรากฏก็กลัว อะไรกระทบกระเทือนไมไดเลยมี
แตกลัว ผลทส่ี ดุ ในจติ จงึ เตม็ ไปดว ยความหวาดความกลวั ไปเสยี สน้ิ นน่ั ! ทั้งๆ ทเ่ี รอ่ื งความ
หวาดความกลวั เหลา นไ้ี มใ ชเ รอ่ื งของจติ โดยตรงเลย แตกท็ าํ ใหจิตหว่นั ไหวไปตามจนได
เราจะเหน็ ไดเ วลาทจ่ี ติ ชาํ ระจนบรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ แลว ไมมีอะไรเขาไปเกี่ยวของไดแลว
จะไมป รากฏเลยวา จติ นก้ี ลวั กลาก็ไมปรากฏ กลัวก็ไมปรากฏ ปรากฏแตธรรมชาติของตัว
เองอยูโดยลาํ พงั หรอื โดยหลกั ธรรมชาติตลอดเวลา “อกาลิโก” เทา นน้ั นเ้ี ปน จติ แท จิตแท
นี้ตองเปน “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ หรอื “สอุปาทิเสสนิพพาน” ของพระอรหนั ตท านเทาน้นั นอก
จากนไ้ี มอ าจเรยี ก “จิตแท” อยางเต็มปากเต็มใจได สาํ หรบั ผแู สดงกระดากใจไมอ าจเรยี ก
ได
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๘
๑๘๙
“จิตดั้งเดิม” หมายถึงจิตดั้งเดิมแหง “วฏั ฏะ” ของจิตที่เปนอยูนี่ ซึ่งหมุนไปเวยี น
มา ดังที่พระพุทธเจาทรงสอนไวในหลักธรรมวา “ดูกอน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย จิตเดิมแทผองใส”
นน่ั ! “แตอ าศยั ความคละเคลา ของกเิ ลสหรอื กเิ ลสจรมา จงึ ทาํ ใหจ ติ เศรา หมอง” ทา นวา
“จิตเดิมแท” นั้นหมายถึงเดิมแทของสมมุติตางหาก ไมไดหมายถึงความเดิมแท
ของความบริสุทธิ์ เวลาทานแยกออกมา “ปภสฺสรมิทํ จิตตฺ ํ ภกิ ขฺ เว” “ปภสสฺ ร” หมายถึง
ประภสั สร คือความผองใส ไมไดหมายถึงความบริสุทธิ์ นี่หลักเกณฑของทานพูดถูกตองหา
ที่แยงไมไดเลย ถา วา จติ เดมิ เปน จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธน์ิ น้ั จะมที ค่ี า นกนั วา “ถา บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว มาเกดิ
ทําไม?” นน่ั แนะ !
ทานผชู ําระจิตบรสิ ุทธ์ิแลว ทา นไมไ ดมาเกิดอีก ถา จติ บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว ชาํ ระกนั ทาํ ไม มัน
มีที่แยงกันตรงนี้ จะชําระเพื่ออะไร? ถาจิตผองใสก็ชําระ เพราะความผอ งใสนน้ั แลคอื ตวั
“อวิชชา” แทไมใชอื่นใด ผปู ฏิบัตจิ ะทราบประจกั ษใจของตนในขณะท่จี ิตไดผา นจากความ
ผอ งใสนไี้ ปแลวเขา ถึง “วิมุตติจิต” ความผอ งใสนจ้ี ะไมป รากฏตวั เลย นน่ั ! ทราบไดต รงน้ี
อยางประจักษกับผูปฏิบัติ และคา นกันไดกค็ านกนั ตรงนี้ เพราะความจริงนัน้ จะตอ งจริงกบั
ใจของบุคคล เมื่อใครทราบใครรูก็ตองพูดไดเต็มปากทีเดียว
ฉะนั้นจิตของพวกเรากําลังตกอยูในวงลอม ทาํ ใหห วาดใหก ลวั ใหร กั ใหช งั ใหเ ปน
ทุกสิ่งทุกอยางชื่อวาเปนอาการของสมมุติ เปน อาการของกเิ ลสโดยสน้ิ เชงิ ตัวเราเองไมได
พลังจิตเปนของตนเอง มีแตพลังของกิเลสตัณหาอาสวะ มันผลักมันดันอยูทั้งวันทั้งคืน ยนื
เดนิ นง่ั นอน แลว เราจะหาความสขุ ความสบายมาจากทไ่ี หน เมื่อธรรมชาตินี้ซึ่งเปนของ
แปรสภาพอยตู ลอดเวลา ยังมาย่ัวยจุ ติ ใหเ ปนไปตามอีกดว ยโดยทเี่ ราไมร สู กึ
โลกนจ้ี ะหาความสขุ ทไ่ี หน หาไมได ถาไมไดถอดถอนธรรมชาติเหลานี้ออกจากจิต
ใจโดยสน้ิ เชงิ เสียเมื่อไร จะหาความทรงตวั อยอู ยา งสบายหายหว งไมไ ดเ ลย จะตองกระดิก
พลิกแพลงหรือตองเอนโนนเอนนี้ ตามสิ่งที่มาเกี่ยวของยั่วยวนมากนอย ฉะนั้นทานจึงสอน
ใหช าํ ระจติ ซง่ึ เปน การชําระความทุกขท รมานของตนนัน้ แล
ไมมีผูใดที่จะหยั่งถึงหลักความจริงไดอยางแทจริงดั่งพระพุทธเจา มีพระองคเดียวที่
เรยี กวา “สยมั ภู” โดยไมตอ งไดร บั การอบรมสัง่ สอนจากผูหน่งึ ผูใดเลย ในการแกก เิ ลส
ออกจากพระทัยของพระองค ทรงทาํ หนา ท่ีทง้ั เปน นักศึกษาท้งั เปน ครไู ปในตัวลําพังพระ
องคเดียว จนไดตรัสรูถึงขั้น “ยอดธรรม ยอดคน ยอดศาสดา”
สว นทางสมาธดิ า นความสงบนน้ั ทานคงไดศกึ ษาอบรมมาบา งเหมือนกันกบั ดาบส
ทั้งสอง ไมปฏิเสธ แตนั่นไมใชทางถอดถอนถึงความเปน “สัพพัญู” ได เวลาจะเปน
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๙
๑๙๐
“สัพพัญู” ก็เสด็จออกจากดาบสทั้งสองไปบําเพ็ญลําพังพระองคเดียว และทรงรเู องเหน็
เองโดยไมม ีครสู ง่ั สอนเลย แลว นาํ ธรรมนน้ั มาสง่ั สอนโลก พอไดร บู ญุ รบู าป รนู รกสวรรค
ตลอดนิพพานมาจนกระทั่งปจจุบันนี้ หากไมม ใี ครมาสง่ั สอนเลย สัตวโลกก็จะแบกแตกอง
เพลงิ เตม็ หวั ใจไมม วี นั เวลาปลอ ยวางไดเ ลย เมอ่ื เปน เชน นค้ี วรจะเหน็ คณุ คา แหง ธรรมท่ี
ทา นนาํ มาสอนโลกไดโ ดยยาก ไมม ใี ครในโลกสามารถทาํ ไดอ ยา งทา นเลย
เวลานอ้ี ะไรเปน เครอ่ื งหมุ หอ จติ ใจ หาความ “ผองใส” และ “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ ไมได
ทั้งๆ ทเ่ี ราตอ งการหาความบรสิ ทุ ธด์ิ ว ยกนั ทกุ คน อะไรเปน เครอ่ื งปด บงั อยเู วลาน้ี? ถาพูด
ตามหลกั ธรรมชาตแิ ลว ก็มีขันธห า เปนท่ีหนงึ่ สว น “จิตอวิชชา” นั้นยกไวกอน เอาแตที่
เดน ๆ คอื ขนั ธห า นน้ั เปน ทห่ี นง่ึ และทเ่ี ปน สหายกนั นน้ั กค็ อื รปู เสยี ง กลิ่น รส เครือ่ งสมั ผัส
ซึ่งติดตอสื่อสารกันกับตา หู จมูก ลน้ิ กาย และเขา ไปประสานกบั ใจ จากนน้ั กเ็ ปน “ความ
สาํ คญั ” ขน้ึ มาอยา งนน้ั อยา งนจ้ี ากรปู เสยี ง กลิ่น รส เคร่ืองสัมผสั แลว นาํ เอาอารมณท ผ่ี า น
ไปแลว นน้ั แล เขา มาผกู มดั วนุ วาย หรือมาหุมหอตัวเองใหมืดมิดปดตาไปดวยความรัก
ความชงั ความเกลยี ด ความโกรธ และอะไรๆ เต็มไปหมด ซึ่งไดมาจากสิ่งดังกลาวทั้งนั้น
สวนที่ฝงอยูลึกก็คือขันธของเรานี้ เราถอื วาเปน ตัวเปน ตนของเรามาตงั้ แตดกึ ดาํ
บรรพก าลไหนๆ ทุกชาติทุกภาษา แมจ ะเปน สตั วกต็ อ งถอื วาเรานเ้ี ปน ของเรา นเ้ี ปน สตั ว
เปนตัวของสัตว เปนตวั ของเรา จะเปนกายทิพย รางกายทิพยก็เปนตัวของเรา จะเปน เปรต
เปนผีเปนอะไรก็ตามเถอะ สง่ิ ทอ่ี าศยั อยรู า งหยาบรา งละเอยี ด ตอ งถือวา เปนเราเปนของ
เราดว ยกนั ทง้ั นน้ั จนกระทง่ั ทม่ี าเปน มนุษยท ่รี จู กั ดรี ูจกั ชวั่ บางแลว ก็ยังตองถือวา “นเ้ี ปน
เราเปน ของเรา” ในขนั ธห า รปู กเ็ ปน เรา เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ กเ็ ปน เราเปน ของ
เรา เหลา นี้ยังฝงอยูอยางลกึ ลับ
ฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณา การพจิ ารณากเ็ พอ่ื จะใหร ชู ดั เจนตามความจรงิ ของ
มัน แลวถอนความยึดมัน่ ถือม่นั สําคญั ผดิ วา ตน เพื่อความเปนอิสระนั่นเองไมใชเพื่ออะไร
ตามปกติของเขาแลวจะพจิ ารณาเขาทาํ ไม? รปู กเ็ ปน รปู เสยี งเปน เสยี ง กล่ินเปน กลิน่ รสก็
เปน รส เครื่องสัมผัสตางๆ เปนธรรมชาติของเขาอยูดั้งเดิม เขาไมไดวาเขาเปนขาศึกอะไร
ตอ เราเลย ไปพจิ ารณาเขาทาํ ไม?
การพจิ ารณากเ็ พอ่ื ใหท ราบความจรงิ ของสง่ิ นน้ั ๆ ตามความเปนจรงิ ของเขา แลว
ทราบความลมุ หลงของตนดว ยการพจิ ารณาน้ี และถอนตวั เขา มาดว ยความรู การที่จิตเขา
ไปจับจองยึดขันธวาเปนตนเปนของตน กเ็ พราะความลมุ หลงนน่ั เอง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙๐
๑๙๑
เมอ่ื พจิ ารณาเขา ใจวา สง่ิ นน้ั เปน อะไรอยา งชดั เจนแลว จติ ก็ถอนตวั เขามาดว ยความ
รคู วามเขา ใจดว ยปญ ญา หมดกงั วลกบั สง่ิ เหลา นน้ั การพจิ ารณาอนั ใดทเ่ี ดน ชดั ในบรรดา
ขนั ธห า น้ี ไมตองไปสําคัญมั่นหมาย คอื คาดคะเนวา เราไมไ ดพ จิ ารณาขนั ธห า โดยทว่ั ถงึ คือ
ทุกขันธไปโดยลําดับ ไมตองไปทําความสําคัญ ขอแตวาขันธใดเปนที่เดนชัดซึ่งควร
พจิ ารณาในเวลานน้ั และเหมาะสมกบั จรติ นสิ ยั ของเรา กใ็ หพ จิ ารณาคน ควา ในขนั ธน น้ั ให
ชดั เจน เชน รูปขันธ เปน ตน
ในรูปขันธ มอี าการใดเดน ในความรสู กึ ของเรา ทเ่ี กดิ ความสนใจอยากจะพจิ ารณา
มากกวาอาการอนื่ ๆ เราพงึ จบั จดุ นน้ั กาํ หนดพจิ ารณาใหเ หน็ ความจรงิ ของมนั วา “ทกุ ขฺ ํ
คืออะไร?”
ตามหลกั ธรรมทา นกลา วไวว า “ทกุ ขฺ ํ” คือความทนไมได มนั ไมค อ ยสนทิ ใจเราซง่ึ
เปน คนมนี สิ ยั หยาบ จงึ ชอบแปลแบบลางเนอ้ื ชอบลางยาเปน สว นมากวา “ทกุ ขฺ ํ คอื ความ
บบี บงั คบั อยตู ลอดเวลานแ้ี ล” นเ่ี หมาะกบั ใจเราทห่ี ยาบมาก ดังธรรมบทวา “ยมปฺ จ ฉฺ ํ น
ลภติ ตมฺป ทกุ ขฺ ํ” นต้ี รงกบั คาํ ทว่ี า น้ี คือปรารถนาสิ่งใดไมไดสมใจก็เปนทุกข เปนทุกขคือ
อะไร? กค็ อื บบี คน้ั ตวั เองนน้ั แล หรอื เกดิ ความไมส บายนน่ั แลว ปรารถนาสง่ิ ใดไมไดสง่ิ น้ัน
ก็ไมสบาย ปรารถนาสง่ิ ใดแมไ ดแ ลว แตสิ่งนั้นพลัดพรากจากไปเสียก็เปนความทุกขขึ้นมา
ความทุกขอ นั น้ีเขา กันไดก ับคาํ วา “มนั บบี บงั คบั ” ความบบี บงั คบั นน้ั แลคอื ความทกุ ข
ความทนไมได เมื่อทนไมไดก็เปนไปตามเรื่องของเขา ไปยุงกับเขาทําไม! ความจรงิ จะเปน
ขันธใดหรือไตรลักษณใดก็ตาม ใจของเราไปยึดไปถือเขาตางหาก จงึ ตองมาพิจารณาใหชดั
เจนในขนั ธ
รูปขันธ อาการใดดใู หเ หน็ ชดั เจน ถายงั ไมทราบชัดใน “ปฏิกูล” ซึ่งมีอยูในรูปขันธ
ของเรา กใ็ หด ปู า ชา ในตวั ของเรานใ้ี หเ หน็ ชดั เจน คาํ วา “เยย่ี มปา ชา ” ใหเ ยย่ี มทน่ี ่ี แมเ ยย่ี ม
ปาชา นอกกเ็ พ่อื นอ มเขามาสปู าชา ในตวั ของเรา “ปา ชา นอก” คนตายในครั้งพุทธกาล มัน
ปาชาผีดิบทิ้งเกลื่อน ไมคอยจะเผาจะฝงกันเหมือนอยางทุกวันนี้ ทานจึงสอนใหพระไป
เยย่ี มปา ชา ทต่ี ายเกา ตายใหมเ กลอ่ื นกลาดเตม็ ไปหมดในบรเิ วณนน้ั เวลาเขา ใหเ ขา ทางทศิ
นน้ั ทศิ น้ี ทานก็สอนไวโดยละเอียดถี่ถวน ดวยความฉลาดแหลมคมของพระพุทธเจาผูเปน
“สยมั ภู” หรอื “ผเู ปน ศาสดาของโลก” ทา นสอนใหไ ปทางเหนอื ลม ไมใหไปทางใตลม จะ
เปน อนั ตรายตอ สขุ ภาพ เพราะกลน่ิ ซากศพทต่ี ายเกา ตายใหมน น้ั ๆ
เมอ่ื ไปเจอซากศพเชน นีเ้ ขา แลว ความรสู กึ เปน อยา งไร แลวใหไปดูซากศพชนิด
นน้ั ๆ ความรสู กึ เปน อยา งไร ใหป ระมวลหรอื “โอปนยิโก” นอมเขามาสตู ัวเองซง่ึ เปนซาก
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙๑