๔๓๘
ความจริงแตละอยาง ๆ อยแู ลว หากไมพิจารณาใหเห็นตามความเปนจริงแลว จิตเรา
ไมเ วน ทีจ่ ะหว่ันไหว ทจ่ี ะเปน ทกุ ขล าํ บากลาํ บนไปนาน ซง่ึ แมป จ จุบนั ทร่ี า งกายจะสลาย
ตัวไปที่เรียกวา “ตาย” นน้ั บางรายถงึ กบั ไมม สี ติประคองตวั เลย ตายไปแบบ “ไมเ ปน
ทา” ราวกบั สตั วต าย ไมม สี ตสิ ตงั เอาเลย นเ่ี พราะความไมไ ดฝ ก หดั ใหร เู รอ่ื งตา ง ๆ
ที่มีอยูรอบตัว มที กุ ขเวทนาเปน ตน นน่ั เอง
ถาจิตพิจารณาตามธรรม เชื่อพระพุทธเจา กไ็ มค วรจะเอา “ปาชา ” เขา มาตง้ั ภาย
ในจติ ไมควรจะเอา “ปา ชา ” เอาความกลัวตายไปมัดจิตซึ่งไมใชผูตาย ใหก ลายเปน
ความออ นแอทอ ถอยไปได ซง่ึ เปน การสรา งขวากหนามไวก ดี กน้ั ทางเดนิ ตวั เองใหห า
ทางออกไมได
ความจริงมีอยางใดใหพิจารณาไปตามความจริง ตามหลกั ธรรมทา นสอนไว
“เอา ทกุ ขจ ะเกดิ ขน้ึ มากนอ ยภายในธาตขุ นั ธ จะหมดทั้งตัวนี้ก็ใหทราบ ทกุ ขน ม้ี ี
อยูรอบตัว แตไ มใ ชจ ติ แมจิตจะเปนทุกขก็เปนเวทนาอยางหนึ่งตางหาก ไมใชจิตเปน
เวทนา ไมใชเวทนาเปนจิต “เวทนา อนิจฺจา” “เวทนา อนตตฺ า” นน่ั !
ฟงซิ ทา นบอกวา เปน “จิต”ไหมละ? แตจิตหลงไปยึดเวทนามาเปนตนตางหาก
จงึ เปนทุกขไมมีประมาณจนดับไมลง และตายไปกบั ความสาํ คญั วา “เวทนาเปน ตน”
ตนเปนเวทนาอยางไมรูตัว
“เวทนา อนิจฺจา” คืออะไร? มันมีเกิดขึ้น มีตั้งอยู มีดับ มสี ลายไป นี่เปนอนิจฺจา
หรืออนิจฺจํ “เวทนา อนตฺตา” มนั เปน สภาพอนั หนง่ึ ทป่ี รากฏตวั ขน้ึ มาเทา นน้ั โดยมนั
เองก็ไมไ ดส าํ คญั วา ตนเปนอนตตฺ า หรืออตตฺ า หรอื เปน อะไร แตเ ปน ความปรากฏขน้ึ
แหงสภาพธรรมอนั หน่ึงเทา นัน้
ใหจิตผูเปน “นกั ร”ู อยูตลอดเวลาไดรูสิ่งนี้ตามความเปนจริงของมัน ไมใชส ่ิง
เหลา นจ้ี ะมาประหารจติ ใหฉ บิ หาย จึงไมเปนสิ่งนากลัว แตเ ปน สง่ิ ทจ่ี ะพจิ ารณาใหร ู ที่
ทานเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่มาปรากฏตัวนั้น ทา นรทู า นเหน็ อยา งทอ่ี ธบิ ายมา
“สญั ญา” กห็ ลอกวา “อันนั้นเปนเรา อนั นเ้ี ปน ของเรา” “อนั นท้ี กุ ขม ากขน้ึ แลว
น”่ี “ทกุ ขม ากอยา งน”้ี “เดย๋ี วตายนะถา ไมห ยดุ ภาวนา” มนั หลอกจงทราบไว “สัญญา”
นน้ั กเ็ กดิ มาจาก “จติ ” นน่ั แหละ เปนอาการของจิต แตก ลบั มาหลอกจติ ใหเ อนเอยี ง
ใหหวั่นไหวไปได ถาจิตไมมีปญญาไมมีสติ ไมทราบความจริงของสัญญาวา “อนิจฺจา
อนตฺตา”
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๘
๔๓๙
ความจริง “สญฺ า อนิจฺจา” จะมาทําลายจิตใจเราไดอยางไร? “สญฺ า อนตฺ
ตา”มนั กเ็ ปน สภาพอนั หนง่ึ เชน เดยี วกบั ขนั ธท ง้ั หลาย ไมมีอะไรผิดกัน “รปู อนตฺตา”
นั่นฟงซิ รปู มันก็เปน อนตตฺ า จะอาศัยมันไดที่ไหน จะวา เปน “เรา” เปน “ของเรา” ได
ท่ีไหน เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ เทา นน้ั !
จงอยา ฝนความจริง อยาไปแยงความจริงของเขา ความจริงจงหาเอาดวย “สติ
ปญญา” ของเราเอง จะไมยุงไมแยงเขา จะสบายใจหายหว งไมม บี ว งผกู มดั จติ ใจตอ ไป
รูปมันก็ “สักแตวา” รปู แหง ธาตขุ นั ธ เวทนาก็ “สกั แตว า ” เวทนา ไมใชเราไม
ใชของเรา เราจะไปควาเอามาทับถมจิตใจใหเกิดความเดือดรอนไปทําไม เพราะเวทนา
นน้ั กเ็ ปน ของรอ นอยแู ลว แบกหามเขามาเผาตนทําไม ถา เปน ความฉลาดแลว จะไมเ ขา
ไปยึด ไมเขาไปแบกหาม จะตองพจิ ารณาตามความจรงิ ของมนั ทุกขเวทนาขนาดไหนก็
รูตามความจริงของมันดวยสติปญญา เพราะจิตเปนนักรู ไมมีถอยเรื่องรู ๆ ๆ รอู ยกู บั
จิต
ขอใหส ง เสรมิ สติ เปน ผคู อยกาํ กบั ใหด เี ถดิ แมข ณะทจ่ี ติ จะดบั กจ็ ะไมเ ผลอ
เพราะสตกิ าํ กบั จิต จิตทําหนาที่รคู วามหมายตา ง ๆ แตก ารพจิ ารณาแยกแยะตา ง ๆ
เปน เร่อื งของ “ปญ ญา” แยกแยะใหเ หน็ เปน ตามความจรงิ จะไดชื่อวา “เปน ผฉู ลาดใน
การเรียนเรื่องของตัว” ตามหลกั ศาสนาทใ่ี หเ รยี นรตู วั เองเปน สาํ คญั
คาํ วา “โลกวทิ ”ู ถาไมรูแจงเห็นจริงในโลกในขันธนี่ จะหมายถงึ “โลกวิท”ู แหง
โลกใด ? นเ้ี ปน อนั ดบั แรกทเี ดยี ว พระพุทธเจา ทรงรูและสั่งสอนไว คาํ วา “โลกวทิ ู” “รู
แจงโลก” รูแจงโลกของพระพุทธเจา ก็ตองรูแจงธาตุแจงขันธ และรูพ รอมทง้ั ละกิเลส
ตณั หาอาสวะนโ้ี ดยสน้ิ เชงิ กอ น แลวจงึ ไปรสู ภาพแหง โลกทั่ว ๆ ไปที่เรียกวา
“โลกวทิ ”ู รูแจง โลกทั่วไป
คณุ สมบตั ขิ องสาวกในบทนก้ี ม็ ไี ดเ หมอื นกนั ทเ่ี ปน “โลกวทิ ”ู คอื รูแจงโลกใน
ธาตใุ นขนั ธโ ดยรอบขอบชดิ พรอมทั้งละกิเลสทั้งมวล แลวยังมี “ญาณ” หยง่ั ทราบ
สภาพทง้ั หลายตามกาํ ลงั แหง นสิ ยั วาสนาของแตล ะองค สว น “โลกวทิ ”ู ซึ่งเปน “อตั
สมบัต”ิ ไดแ กร เู ทา ปลอ ยวางอปุ าทานในขนั ธแ ละกเิ ลสทง้ั ปวงนน้ั สาวกมไี ดด ว ยกนั ทกุ
องคบรรดาที่เปนอรหันต สว น “โลกวทิ ู” เกย่ี วกบั ความหยง่ั ทราบเหตกุ ารณ ตลอดรู
อปุ นสิ ยั ของโลกในแงต า ง ๆ นน้ั มกี วา งแคบตา งกนั
จติ เปน รากเปน ฐานสาํ คญั ภายในตวั เรา ทําไมจึงไปหลงไปงมงาย ไปจับนน้ั ควา
นเ้ี อาสง่ิ นน้ั ๆ มาเผาตน เอาสิ่งนมี้ าเผาตน ไมมีความเข็ดหลาบ? ทกุ ขอ ยกู บั ทกุ ขมัน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๙
๔๔๐
ไมมีความหมายอะไร เชนเดียวกับไฟมันแสดงเปลวสูงจรดฟา ถา เราไมไ ปเกย่ี วขอ ง
กบั ไฟ หรอื ถอยตวั ออกใหห า งไฟ ไฟกเ็ ผาไมไ ด ก็ “สกั แตว า ” สง เปลวอยเู ทา นน้ั ไม
สามารถยังความรุมรอนมาสูตัวเราได แตถ า เราเขา ไปเกย่ี วขอ งกบั ไฟ ไฟก็เผาไหมได
ทกุ ขเวทนากเ็ หมอื นกนั มนั เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ของมนั ทแ่ี สดงอยภู ายในรา งกายของ
เรา เมื่อจิตเราก็รดู ว ยสตปิ ญ ญา พิจารณาสงิ่ เหลา นใี้ หเหน็ ตามความเปนจรงิ อยแู ลว
สภาพความรอนที่เปนธรรมชาติของเวทนานั้น กไ็ มส ามารถจะแผดเผาจติ ใจเราใหร อ น
ไปตามได นช่ี อ่ื วา “เรียนธรรม คอื ทกุ ขเวทนาในขนั ธ” ใหซ าบซง้ึ ดว ยปญ ญาแลว ปลอ ย
วาง
เวทนาก็เปนธรรม สัญญาก็เปนธรรม สังขารก็เปนธรรม วิญญาณกเ็ ปน ธรรม
รูปกายนี้ก็เปนธรรม ถาเราเปนธรรมสิ่งเหลานี้ก็เปนธรรมหมด ถาเราเปน “ผหู ลง”เปน
“อธรรมโง” สง่ิ เหลา นก้ี เ็ ปน ขา ศกึ ตอ เราได ตามหลักธรรมของพระพุทธเจาเปนอยาง
น้ี
เราจะเชื่อกิเลสตัณหาอาสวะ หรือจะเชื่อพระพุทธเจา? ถา เชอ่ื กเิ ลสตณั หากย็ ดึ
ถอื วา อนั น้ี ๆ เปน ตวั ตนหมด รูปก็เปนตน เวทนากเ็ ปน ตน สัญญาเปนตน สังขารเปน
ตน วิญญาณเปนตน อะไร ๆ เปนตน ทั่วโลกสงสารเปนตนเปนของตนหมดสิ้น พอสง่ิ
เหลา นน้ั เปลย่ี นแปลงยกั ยา ยไปหนอ ยใจหายไปเลย เปน ทกุ ขข น้ึ มาแบบไมม สี ตสิ ตงั
ประคองตัว ฉะนน้ั เครอ่ื งกอ กวนเครอ่ื งทาํ ลายจงึ เกดิ ขน้ึ จากความสาํ คญั ของจติ ดว ย
ความลุมหลงวาอันน้ันเปน เรา อันนี้เปนของเรา อะไร ๆ เปลี่ยนแปลงไปเล็ก ๆ นอ ย ๆ
จงึ เปน เหมอื นสง่ิ นั้นมาฟนหวั ใจเราใหขาดสะบัน้ ไปดวยกนั เปนทุกขดวยกันไปหมดหา
ที่ปลงวางไมได
ธรรมที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไมเปนเชนนั้น กลบั ทวนกระแสโลกทย่ี ดึ ถอื
กนั !เชน “รปู อนิจฺจํ รปู อนตฺตา” วา “นี้เปน อนิจฺจํ เปนของไมเที่ยง” พอเราจะอาศัย
ไดบางเทานั้น “อนตตฺ า” ไมใชเรา ไมใชของเรา” ทรงสอนใหท ราบวา “ไมใชของใครทั้ง
นน้ั ” ! เปน แตส ภาพของสว นตา ง ๆ ที่รวมกันอยตู ามธรรมชาตขิ องเขาเทา นัน้ ” เวทนา
ก็เชนเดียวกัน เปน ธรรมชาตกิ ลาง ๆ ถาเราไมไปหลงเสียเทานั้นก็ไมเกิดปญหายุงยาก
สงั ขาร วญิ ญาณ กเ็ หมอื นกนั เปนธรรมกลาง ๆ ขอใหพ จิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน
จริง จิตก็เปนกลางได เมอ่ื จติ เปน กลางจติ กเ็ ปน ความจรงิ ขน้ึ มา เมื่อจิตเปนความจริง
สิ่งนั้นก็เปนความจริง เพราะสิ่งเหลานั้นเปนความจริงมาแลวแตดั้งเดิม เปนเพียงใจ
หลงไปสาํ คญั มน่ั หมายเทา นน้ั เหลา นค้ี อื หลกั ธรรมทส่ี อนใหร ทู กุ สง่ิ จนปลอ ยวางได ใจ
กเ็ ปน กลาง คือเห็นตามความจริง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๐
๔๔๑
“ความตายตามโมหะนยิ ม” นน้ั ตัดออก อยา ใหเ ขา ไปแทรกสงิ ในจติ ได จะกลาย
เปน ความทอ ถอยออ นแอและลม ละลายไปได เพราะคําวา “ความตาย” นั้นเปนสิ่ง
จอมปลอม เปน กเิ ลสเสกสรรหลอกลวงเรามาเปน เวลานาน ทั้ง ๆ ที่จิตไมตายตาม
ความเสกสรรของกิเลสนั่นเลย แลวจะกลัวตายไปทําไม ถา พจิ ารณาตามหลกั ธรรมดว ย
ความเช่อื ธรรมแลวจะกลัวตายไปหาอะไร อะไรตาย? ไมม อี ะไรตาย!
จิตก็เปนจิต และเคยเปนจติ มาแตดั้งเดิม ไปกอ ภพกอ ชาตทิ ไ่ี หนกม็ แี ตเ ปลย่ี น
รางไปตาม “กรรมวบิ าก” เทาน้นั สว นจติ ไมต ายน่ี หลักเดิมเปนมาอยางนี้
ทนี เ้ี วลาพจิ ารณาเวทนา เพื่อความเขาใจความจริงของมัน ทําไมจิตจะตาย! และ
ทาํ ไมเราถงึ กลวั ตาย อะไรตาย? คน หาความตาย ใหเ หน็ ชดั เจนลงดว ยความจริงโดยทาง
ปญญาดูซี เมื่อทราบประจักษใจแลวจะไมกลัวตาย เพราะความตายไมมีในจิต มแี ต
ความเสกสรรปนยอลม ๆ แลง ๆ เทานนั้
ตามโลกสมมุติ กไ็ ดแ ก “อวิชชา” ความรแู บบงู ๆ ปลา ๆ นน่ั แหละพาใหโ ลก
เปนอยา งนี้ พาโลกใหต ง้ั ชอ่ื ตง้ั นามกนั วา “เกิด” วา “ตาย” อยา งน้ี ความจรงิ แลว ไมม ี
อะไรตาย เมอื่ พิจารณาใหถงึ ความจริงทกุ ส่ิงทุกอยา งแลวจะไดความข้นึ มาเองวา ตา ง
อันตางจริงตางอันตางอยู ไมมีอะไรตาย จิตยิ่งเดนยิ่งรูชัดภายในตัวขึ้นมา ลงไดเ หน็ ชดั
ขึ้นมาวา “ที่เคยเขาใจวาจิตตายนั้นเปนจิตโงที่สุด” ในขณะเดียวกันก็เปนจิตที่ฉลาดพอ
ตัวแลว จงึ สามารถรูความจริงอยางถงึ ฐาน
เม่ือจติ ไมตายและไมกลวั ตายแลว ก็สนุกที่จะพิจารณาตัวเองละซิ อะไรจะเปน
ขน้ึ มาหนกั เบากส็ นกุ เพลินที่จะพิจารณาใหเห็นเหตุเห็นผลโดยถายเดียวไมสะทก
สะทา น เพราะจิตไมอั้นกับการรูสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวของกับตน รอู ยตู ลอดเวลา ขอให
พยายาม บาํ รงุ “สต”ิ รกั ษาสติใหดี บํารุง “ปญญา” ใหม กี าํ ลงั แกก ลา สามารถ จะรูทุก
ระยะจนขณะทข่ี าดจากกนั ระหวา งขนั ธก บั จติ คือจะตายตามโลกสมมุตินั่นแหละ จน
กระทั่งขาดจากกันเปนวาระสุดทาย ระหวา งขนั ธก บั จติ แยกจากกนั
นค้ี อื รชู นดิ หนง่ึ ซง่ึ ทาํ หนา ทใ่ี นเวลาตายตามสมมตุ ิ
ทนี ร้ี อู กี ชนดิ หนง่ึ คอื รขู ณะกเิ ลสทง้ั มวลขาดกระเดน็ ออกจากใจ ดว ยอาํ นาจ
ของสตปิ ญ ญา ไมมีอะไรเหลืออยูภายในใจเลย นก่ี ร็ ู รูทุกระยะ จิตไมเคยลดละความรู
รูทุกระยะทุกเวลา “อกาลโิ ก” แลวจิตจะตายไปไหนเลา จะเสกสรรใหจิตเปนอะไรไป
จากเดมิ จะไปจับไปยัดจิตใหเปนปาชาขึ้นเหมือนสิ่งทั้งหลายนั่นเหรอ จิตไมใชปาชา
จติ เปน “อมต”ํ ทง้ั ทย่ี งั มกี เิ ลสและสน้ิ กเิ ลสแลว ฉะนั้นจงเอาจิตพิจารณาสภาวธรรม
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๑
๔๔๒
ทั้งปวงมีขันธเปนตนใหชัดเจน จะไดเ ห็นความอัศจรรยข้ึนมาในวงการพจิ ารณาอยูใน
ขนั ธใ นธาตอุ นั นแ้ี ล
จะเปนขันธใดก็ตาม ถาไดจอสติปญญาลงไปจะเห็นชัด เฉพาะอยา งยง่ิ
ทกุ ขเวทนาในเวลาเกดิ ข้ึนมาก ๆ หรือในวาระสุดทาย ใหจิตฝกซอมไวเสียแตบัดนี้ อยา
ใหเสียทาเสียทีของการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติ ไมใ ชป ฏบิ ตั เิ พอ่ื แพข า ศกึ ปฏบิ ตั ิ
เพ่อื ชยั ชนะ ปฏบิ ัตเิ พอ่ื ความเห็นจรงิ เพอ่ื ปลอ ยวาง เพอ่ื อยเู หนอื สง่ิ เหลา นน้ั ไมใ หก ด
ขี่บังคับใจไดอีกตอไป มแี ตค วามเปน อสิ ระเตม็ ตวั
ใจจะเปนอิสระไดดวยเหตุใด? กด็ ว ยสติ ดวยปญญา ดวยการพนิ จิ พจิ ารณาไม
ลดละทอ ถอย เปน กบั ตายขอใหเ หน็ ความจรงิ เทา นน้ั กเ็ ปน ทอ่ี บอนุ ใจ เปนก็เปน ตายก็
ตาย นี่เปนคติธรรมดา ไมจ าํ เปน ตอ งไปกน้ั กางหวงหา ม เพราะเปนหลักธรรมชาติ
ธรรมดา แมก น้ั กางหวงหา มกไ็ มอ ยใู นอาํ นาจ นอกจากจะกอ ความทกุ ขข น้ึ มา เมอ่ื สง่ิ นน้ั
ไมเปนไปตามใจหวังเทานั้น เพราะฉะน้ันสิ่งใดที่เปนไปตามความจรงิ ใหป ลอ ยไปตาม
ความจริง อยา กดี ขวางความจริงใหเ กิดทกุ ข อยา ไปปลกู บา นปลกู เรอื นขวางถนนหลวง
จะถูกปรับไหมใสโทษ คตธิ รรมดานม้ี อี าํ นาจยง่ิ กวา ถนนหลวงเสยี อกี
คติธรรมดา คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า ทเ่ี ตม็ อยใู นธาตใุ นขนั ธ จงพจิ ารณาให
เห็นตามเปนจรงิ ปลอ ยวางลงตามลาํ ดบั เราจะมคี วามสขุ ความสบายหายหว ง หายหลง
ใหลใฝฝน อนั เปน การรบกวนตวั เองอยไู มห ยดุ
มีกเิ ลสเทา นน้ั เปน เคร่อื งหลอกลง เปน เครอ่ื งใหท กุ ขแ กส ตั วโ ลก ถา แกก เิ ลส
ดว ยสตปิ ญ ญาใหส น้ิ ซากไปแลว จะหมดหว งหมดใยทง้ั ภายในภายนอก ความสวา ง
ไสวจะเกดิ ขนึ้ ภายในจิตใจ ใจทง้ั ดวงทแ่ี สนกลวั ตายกห็ มดความกลวั และจะมาเห็นโทษ
ตวั เองและตําหนติ นเองวา “โอย” ความกลวั ตายมาตง้ั แตว นั เกดิ เปน เวลาหลายป นบั
แตจ าํ ความไดจ นกระทง่ั บดั น้ี โกหกเราทั้งเพ! เราโงช ะมัด แมจะมีผูมาจัดเขาในประเภท
สตั วท ก่ี ลวั ตายดว ยกนั กย็ งั ได ดวยใจเปน “นักธรรม” และ “นกั กฬี า” ไมมีอะไรจะถือสา
ถอื โกรธเลย!
เพราะเมื่อคนดูแลวความตายไมมี มีแตความจริงเต็มตัว ฉะนั้นจงพิจารณาอยาง
นแ้ี หละ คือ “นักรบ” ตองสูจนไดชัยชนะ ถา “นกั หลบ” แลว มแี ตห ลบ ๆ ซอ น ๆ หลบ
ๆ หลกี ๆ จะเอาความจริงที่ไหนเอาไมได เวลาทกุ ขเ กดิ ขน้ึ มากนอ ยกม็ แี ตค วามกระวน
กระวาย ความกระวนกระวายก็ไมมีใครชวยได ใครจะชวยได ถาเราไมชวยตัวเราเองไม
มีใครจะชวยไดเลย มแี ตสติปญญาเทานั้นท่ีจะชวยใหความกระจางตามความจรงิ ความ
กระวนกระวายนก้ี ห็ ายไปเอง ใจสงบไดอยางอศั จรรย กระทั่งวาระสุดทายที่ลมหายใจจะ
ขาดไป ก็ไมมีสะทกสะทานเลย นแ้ี ลคอื ความจรงิ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๒
๔๔๓
ขอใหจริงในใจเถิด ใจของใครเหมือนกันหมด ถา ไดร คู วามจรงิ อยา งเตม็ ใจแลว
เพราะความจริงนี้เหมือนกัน เมอ่ื เขา ถงึ ความจรงิ แลว จติ จะเปน เหมอื นกนั หมด ไมมี
ความสะทกสะทา น เพราะรูความจริงแลวตื่นอะไร! ตอนทตี่ ่นื กค็ อื ตอนท่ยี งั ไมร คู วาม
จริงเทานั้นถึงไดตื่น ตน่ื มากตน่ื นอ ยตามความรมู ากรนู อ ย หรอื หลงมากหลงนอ ยตา ง
กนั ถารูจริงๆ คอื รรู อบตลอดทว่ั ถงึ แลว ไมต น่ื เรื่องความเปนความตายมีน้ําหนักเสมอ
กนั
ธาตทุ ง้ั สน่ี น้ั เอามาจากไหน? กเ็ อามาจากของทม่ี อี ยู คอื ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เปนของ
มอี ยใู นโลก เม่อื ผสมกนั เขา เปนรูปเปนกาย เปนหญิงเปนชาย จติ ซง่ึ เปน ของทม่ี อี ยกู ็
เขา อาศยั สง่ิ น้ี แลว กย็ ดึ ถอื วา เปน เราเปนของเรา เวลาสลายไปแลว จะไปไหน? กล็ งไป
สธู าตุ คอื ดิน นาํ้ ลม ไฟตามเดิม จิตก็เปนจิตจะเปนอะไรไปอีก
ถา จติ บรสิ ทุ ธก์ิ เ็ ปน “ธรรมทั้งแทง” เทานั้น เราจะใหชื่อวา “ธรรมทั้งดวง” กไ็ ด
“ธรรมทั้งแทง” กถ็ กู จะเรียกวา “จิตบรสิ ุทธ”์ิ ก็ได ไมม คี วามสาํ คญั ใดในการใหช อ่ื ให
นาม ขอใหเปนความจริงประจักษใจเทานั้นก็พอ ไมห วิ โหยกบั ชอ่ื กบั นามอะไรอกี เรื่อง
ชื่อเรื่องนามไมจําเปน ขัน้ นนั้ ขน้ั รูวา ไปเถอะ เหมือนเรารับประทานอิ่มเต็มที่แลว “เวลา
นี้เรารบั ประทานไดข น้ั ไหนน?่ี ” ไมต อ งไปถามเอาข้ันเอาภูมิ มันเต็มพุงแลวก็หยุดเทา
นั้นเองฝนรับประทานไปไดเหรอ ถา ไมอ ยากสบื ตอ ประวตั ขิ อง “ชูชกพราหมณ” ใหย ดื
ยาวไปอกี การรับประทานเมื่อถึงขั้นพอกับธาตุแลวก็รูเองทําไมจะไมรู “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก”
พระพุทธเจาไมทรงผูกขาดเฉพาะพระองคผูเดียว!
คาํ วา “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” นี่ พระพุทธเจาไมทรงผูกขาด มอบใหผ ูป ฏบิ ตั ิรูเ องเหน็ เอง
ดวยตนเองทั้งนั้น ธรรมนี้เปน “ของกลาง” ผใู ดปฏบิ ตั ิผูนนั้ กร็ คู วามจริง นแ่ี หละการแก
ความหลงดวยธรรมมีสติปญญาเปนตน เราจะไปแกกับสิ่งใดไมได เราตอ งแกก บั ตวั
เราเอง แมแตกอนเราเต็มไปดวยความลุมหลง จงพยายามแกตนใหเต็มไปดวยความรู
ในเวลานช้ี าตนิ อ้ี ยา นอนใจ จงอยสู บายในทา มกลางแหง โลกทว่ี นุ วาย
เอา รางกายนี้จะเปนไฟทั้งกองก็ใหเปน จิตที่มีความรูรอบ “ไฟทั้งกอง” นแ้ี ลว
เปน แตเ พียงอยูใ นทา มกลางแหงกองไฟดว ยความสงบสุขของ “เกราะเพชร” คอื สติ
ปญ ญาทท่ี นั กบั เหตกุ ารณน แ่ี ล
มีจิตดวงเดียวเทานี้ที่เปนเหตุสําคัญ เพราะสิ่งที่เปนตัวเหตุนี้มันลุมหลง จงึ อยู
ใตบ งั คบั บญั ชาของ “วฏั วน” วนไปเวยี นมาดว ยการเกดิ ตายซาํ้ ๆ ซาก ๆ เหมือนมดไต
ขอบกระดง เห็นขอบกระดงเปนของใหมอยูเรื่อยไป จิตก็เปน “วฏั วน” คอื เหน็ การเกดิ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๓
๔๔๔
ตายเปน ของใหมอ ยเู รอ่ื ยไป พอเอาสิง่ ทีเ่ ปนพษิ เปนภยั ท่ีอยใู นดวงใจออกไดหมดดว ย
สตปิ ญ ญาแลว แสนสบาย! เปนก็เปน ตายกต็ าย ไมมีความหมายอะไร เรื่องเปนเรื่อง
ตายเปน เรอ่ื งความเปลย่ี นแปลงของธาตขุ นั ธเ ทา นน้ั เอง จิตไมไดเปลี่ยนแปลงไปดวย มี
อะไรเปนทุกขละ? มนั แสนสบายอยทู ค่ี วามบรสิ ทุ ธห์ิ มดจดนน้ี ะ
เพราะฉะนน้ั ขอใหพ ากนั พจิ ารณา เอาชัยชนะภายในจิตใจเราใหได แพก เ็ คยแพ
มานานแลว เกดิ ประโยชนอ ะไร ผลแหง ความแพก ม็ แี ตค วามทกุ ขค วามลาํ บาก ผลที่เกิด
จากชัยชนะจะเปนอยางไรบาง เอาใหเ หน็ ชาตนิ เ้ี ดย๋ี วน!้ี
พระพุทธเจาประเสริฐดวยความชนะ สาวกทง้ั หลายทา นประเสรฐิ ดว ยความชนะ
กเิ ลส อยเู หนอื อาํ นาจของกเิ ลส เราอยใู ตอ าํ นาจกเิ ลสเรามที กุ ขแ คไ หนทราบดว ยกนั ทกุ
คน ถา เราพยายามใหอ ยเู หนอื อาํ นาจแหง กเิ ลสทพ่ี าใหล มุ หลงจะมคี วามสขุ แคไ หน ไม
ตองไปถามใคร ผลทเ่ี กดิ จะประกาศขน้ึ อยา งเตม็ ตวั ภายในใจของผปู ฏบิ ตั นิ แ้ี ล ขอให
ปฏิบัติเถิด ธรรมอยา งนอ้ี ยกู บั ใจของเราทกุ คน เปนแตสิ่งไมพึงปรารถนามันครอบหัว
ใจอยเู ทา นน้ั หลอกเราอยตู ลอดเวลา มนั มอี าํ นาจออกหนา ออกตา คนเราที่แสดงตัว
อยา ง “ออกหนา ออกตา” กด็ ว ยสิง่ เหลานพ้ี าใหเปนไป ธรรมของจริงจึงออกหนาออกตา
ไมได เพราะสง่ิ เหลา นม้ี อี าํ นาจมากกวา จงพยายามแกอ นั นอ้ี อกใหห มด จติ ที่เปน
ธรรมทง้ั ดวงจะไดอ อกหนา ออกตาสวา งกระจา งแจง ครอบโลกธาตุ ใหไดเห็นไดชม
ประจักษใจ ไมเสียทีที่เปนมนุษยและเปนชาวพุทธผูปฏิบัติจนเห็นผล “อยัมภทันตา”
นี่คืออํานาจของจิตของธรรมแท ผิดกบั อาํ นาจกเิ ลสเปน ไหน ๆ อาํ นาจกเิ ลสมี
มากเทาไรทําโลกใหเดือดรอนมาก ตัวเองก็เดือดรอน คนอน่ื กเ็ ดอื ดรอ น เมอ่ื ปราบ
กิเลสตัวเปนพิษเปนภัยออกหมดกลายเปน “ธรรมทั้งดวง” ขน้ึ มาแลว ตวั กเ็ ยน็ โลกก็
เย็น เย็นไปหมด
เอาละพดู ยอ ๆ เพียงเทานี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๔
๔๔๕
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กมุ ภาพนั ธ พุทธศักราช ๒๕๑๙
งานลางปา ชา
คาํ วา “จิต” โดยปกตกิ ม็ คี วามละเอยี ดยง่ิ กวา สง่ิ ใด ๆ อยแู ลว แมจะมีสิ่งละเอียด
ดวยกัน ซง่ึ เปน ฝา ยตาํ่ ฝา ยมวั หมองปกคลมุ หมุ หอ อยา งหนาแนน กต็ าม จิตก็ยอมจะมี
ความละเอยี ดยง่ิ กวา สง่ิ ทง้ั หลายอยนู น่ั แล คิดด!ู
พระทานตัดเย็บจีวร โดยโยมอปุ ฏ ฐากทา นถวายผา มาใหต ดั เยบ็ เปน จวี ร ซึ่งมี
พระสงฆในวัดชวยตัดเย็บ เพราะแตกอนเย็บดว ยมอื พอเยบ็ ยอ มเสรจ็ กน็ าํ จีวรนน้ั ไป
ตากไว ขณะนน้ั ทา นคงมคี วามรกั ชอบและยนิ ดใี นจวี รผนื นน้ั มาก บงั เอญิ ตอนกลางคนื
เกิดโรคเจ็บทองขึ้นมาในปจจุบัน และตายในกลางคนื นน้ั ดว ยความหว งใยในจวี ร ทา น
เลยเกดิ เปน เลน็ เกาะอยทู จ่ี วี รผนื นน้ั
บรรดาพระสงฆม จี ํานวนมากทอ่ี ยใู นวดั นน้ั กไ็ มม อี งคใ ดพดู วา อยา งไร พระพุทธ
เจาตองเสด็จมารับสั่งวา “จีวรผืนนี้จะแจกใครไมไดภายใน ๗ วนั น้ี เพราะพระติสสะ
ตายแลวมาเกิดเปน “เล็น” เกาะอยทู จ่ี วี รนแ้ี ลว และหงึ หวงอยใู นจวี รน้ี ตอ งรอจนกวา
“เล็น” นต้ี ายไปแลว จงึ จะแจกกนั ได สมควรจะแจกใหอ งคไ หนกค็ อ ยแจกไป แตใ นระยะ
เจ็ดวันนี้ยังแจกไมได”
พระติสสะตายแลวมาเกิดเปน “เล็น” มาเกาะอยูที่จีวรนี้ และมคี วามหงึ หวงจวี ร
นม้ี ากมายเวลาน้ี กลวั ใครจะมาแยง เอาไป นน่ั ! ฟงดูซี จนกระทั่ง ๗ วนั ผา นไปแลว จงึ
รับสั่งวา “เวลานี้แจกไดแลว เลน็ ตวั นน้ั ตายแลว ไปสวรรคแลว” นน่ั ! ไปสวรรคแลว !
ตอนที่ไปไมไดทีแรกก็คงเปนเพราะความหวงใยนั่นเอง จึงตองมาเกิดเปนเล็น
แตเ วลาจะตายจากความเปน เลน็ นค้ี งหายหว งแลว จึงไปสวรรคได นี่เปนเรื่องของพระ
พุทธเจาตรัสไวมีใน “ธรรมบท” ซึ่งเปนพยานทางดานจิตใจอยางชัดเจน นแ่ี หละความ
เกาะความหว งใย เหมอื นกบั สตั วต วั กาํ ลงั รออยปู ากคอก เชน ววั เปน ตน จะเปน ตวั เลก็
ตัวใหญ ตวั ผตู วั เมยี กต็ าม ตวั ไหนอยปู ากคอกตวั นน้ั ตอ งออกกอ น
จติ ใจขณะใดทจ่ี ะออกกอ นได จะเปน ฝา ยตาํ่ ฝา ยสงู กอ็ อกแสดงผลกอ นได เรื่อง
ความจรงิ เปน อยา งนน้ั ทานจึงสอนใหระมัดระวัง เพราะจิตเปนของละเอยี ดและไมมี
กาํ ลงั โดยลาํ พงั ตนเอง ตอ งอาศยั สง่ิ อน่ื ผลกั ดนั เชน ฝา ยตาํ่ ผลกั ดนั ฝายสูงพยุงสงเสริม
ใหเปนอยางไรกเ็ ปนไปได
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๕
๔๔๖
เราจึงตองสั่งสมความดีอันเปน “ฝายสูง” ใหม าก ๆ เพื่อจะผลักดันหรือสงเสริม
ไปในทางดี กระทั่งจิตหมดสิ่งผลักดันโดยประการทั้งปวงแลว ไมมี “ฝายต่ํา” “ฝา ยสงู ”
หรอื วา “ฝายดี” ฝายชั่ว” เขาเกี่ยวของ จิตเปนอิสระโดยลําพังแลวนั้นจึงหมดปญหา
โดยสิ้นเชิง นน่ั ทา นเรยี กวา “จติ บรสิ ุทธ”ิ์
จะมผี ใู ดสามารถมาสง่ั สอนอบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ในการแกจ ติ ใจ ในการชาํ ระความ
พยศของใจ ในการชําระสิ่งที่มัวหมองของใจ ใหออกจากใจไดโดยสิ้นเชิงเหมือนพระ
โอวาทของพระพุทธเจาบางไหม?
การเกดิ ของโลกมนษุ ยน น้ั ยอมรบั กนั วา เกดิ กนั มานานแสนนาน แตไ มอ าจยอม
รบั วา มนุษยท เ่ี กิดมานนั้ ๆ จะมคี วามสามารถสง่ั สอนโลกไดเ หมอื นศาสดา
โลกเรากวา งแสนกวา ง มปี ระมาณสกั กล่ี า นคน? ใครจะมอี บุ ายวธิ หี รอื ความรู
ความสามารถในทางความรคู วามฉลาด เกี่ยวกับทางดานจิตใจ และส่ิงทเ่ี ก่ยี วของกบั ใจ
น้ี และสง่ั สอนใหท ราบทง้ั สองอยา ง คือจิตหนึ่ง สง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ งกบั ใจมอี ะไรบา ง
หนง่ึ จะแกไ ขกนั ดว ยวธิ ใี ดหนง่ึ ไมมีใครสามารถเหมือนพระพุทธเจาแมรายเดียว ทา น
จึงกลา ววา “เอกนามกึ” หนง่ึ ไมม สี อง คอื อะไร คือพระพุทธเจาแตละพระองคที่ได
ตรสั รขู ึน้ มาในโลกแตล ะครง้ั มีเพียงพระองคเดียวเทานั้น เพราะความหาไดยาก ได
แกผ เู ปน “สพั พญั ”ู แลว มาสอนโลกนน่ั เอง
สว นผทู ค่ี อยรบั จากผอู น่ื เพราะไมสามารถที่จะชวยตัวเองไดนั้นมีมากมาย เชน
พระสาวก “สาวก” แปลวา ผฟู ง ตองไดยินไดฟงอุบายตาง ๆ จากพระพุทธเจา มาแลว ถงึ
จะรูวิธีปฏิบัติตอไปได แมก ระนน้ั กย็ งั ตอ งอาศยั พระองคค อยตกั เตอื นสง่ั สอนอยตู ลอด
เวลา คอื ตอ งคอยสง่ั สอนอยเู รอ่ื ย ๆ
สมนามวา “เอกนามกึ” คอื หนง่ึ ไมม สี อง ไดแ กพ ระพทุ ธเจา ทม่ี าตรสั รไู ดแ ต
เพียงครั้งละหนึ่งพระองคเทานั้น มจี าํ นวนนอ ยมาก เพราะเปน สง่ิ ทเ่ี กดิ ไดย าก น่ี
ประการหนง่ึ
ประการทส่ี อง พระวาจาทแ่ี สดงออก แสดงออกดว ยความรคู วามฉลาดอาจ
หาญที่เต็มไปดวยความจริงทุกอยาง ไดต รสั อยา งไรแลว ส่ิงนนั้ ตอ งเปนความจริงแท
ไมม สี อง พระญาณหยง่ั ทราบเหตกุ ารณท ง้ั หลายไดอ ยา งแนน อนแมน ยาํ
โลกไมเ ปน อยา งนน้ั ไดน ่ี ชอบหยง่ั ทราบแตเ รอ่ื งหลอกลวงตวั เอง หยง่ั ทราบ
อยา งนน้ั หยง่ั ทราบอยา งน้ี หลอกตวั เองแบบนน้ั หลอกตวั เองแบบน้ี อยวู นั ยงั คาํ่ คนื ยงั
รุงก็ยังไมเห็นโทษแหงความหลอกลวงนั้น ๆ ยงั อตุ สา หเ ช่อื ไปตาม ไมม วี นั เวลาถอย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๖
๔๔๗
กลบั ตะเกยี กตะกายลม ลกุ คลกุ คลาน บกึ บนึ ไปกบั ความหลอกลวงโดยไมเ หน็ โทษของ
มันบา งเลย พากนั เชอ่ื ตามมนั อยา งเอาจรงิ เอาจงั
นน่ั ! ดูซิ มันผิดกันแคไหนละกับพระญาณของพระพุทธเจา ที่ทรงหยั่งทราบ
อะไร ๆ แลว สง่ิ นน้ั ๆ จรงิ ทกุ อยา ง ไมมีโกหกพกลมเลย แตพวกเราหยั่งทราบอะไร แม
เรื่องผานไปตั้งกัปตั้งกัลปนานกาเล ยังอุตสาหไปหยั่งทราบจนได และกวานเขา มาเผา
ตัวเอง หลอกตัวเองใหเปนไฟไปจนได พวกเราคอื พวกตน่ื “เงา” ตวั เอง พวกเลนกับ
“เงา” ตวั เอง
ก็ “เงาเรา” นะซิ อารมณน ะ ไมรูหรือ อารมณอ ดตี เปน มาสกั กป่ี ก เ่ี ดอื น ดชี ว่ั
อะไร ยังมาครุนมาคิดมาบริกรรมมาคุกรุนอยูในใจ เผาเจา ของใหยุงไปหมด ทง้ั นีส้ ว น
มากไมใชของดี มีแตของชั่วแทบทั้งนั้น อารมณอดีตไปคิดขึ้นมายุงเจาของยิ่งกวาสุนัข
เกาหมดั อยทู น่ี น้ั กว็ า ไมส บาย อยทู น่ี ก่ี ว็ า ไมส บาย ก็จะสบายไดอยา งไร มัวเกาแต
อารมณท ง้ั อดตี อนาคตยงุ ไปตลอดเวลาและอริ ยิ าบถ
สง่ิ ทก่ี ลา วมานกั ปฏบิ ตั จิ ําตอ งพจิ ารณาดว ยปญ ญา ไมเ ชน นน้ั จะเปน ทาํ นอง
“หมาเกาหมดั ” เกาหมดั อยนู น่ั แล หาความสขุ กายสบายใจไมไ ดเ ลย ตลอดวนั ตายกต็ าย
เปลา อยา งนา สงสาร เอา พูดอยางถึงเหตุถึงผลเปนที่แนใจสําหรับเราผูปฏิบัติ
ไมวามนุษยจะมีมากนอยเพียงไร คนในโลกนม้ี เี ทา ไร เราจะเชื่อผูใด เพราะตาง
คนตา งหหู นวกตาบอด ทางความรคู วามเหน็ อนั เปน อรรถเปน ธรรม มีแตดน ๆ เดาๆ
ไปดวยกัน ถามใครกแ็ บบเดยี วกบั ถามเรอ่ื งแสงเรอ่ื งสกี บั คนตาบอด มันไดอะไรที่เปน
คาํ ตอบทเ่ี ชอ่ื ถอื ได? เปลาทั้งเพ ! ถามเรอ่ื งเสยี งกบั คนหหู นวก มกี ค่ี นถา เปน คนหู
หนวกมาแตก าํ เนดิ ดว ยกนั แลว มันก็ไมไดเรื่องทั้งนั้น !
คนประเภท “หนวก บอด ภายในใจ” นก้ี ท็ าํ นองเดยี วกนั จําพวกนไ้ี มว า ทา นวา
เราโกหกตวั เองและโกหกผอู น่ื เกง ไมม ใี ครเกนิ หนา เราจะเชอ่ื ผใู ดใหย ง่ิ กวา พระ
โอวาทคําสั่งสอนของพระพุทธเจา ทแ่ี สดงออกมาจากความรจู รงิ เหน็ จรงิ จริง ๆ ใน
สามโลกธาตนุ ไ้ี มม ใี ครเกนิ พระองค !
เมื่อคดิ โดยทางเหตุผลเปน ท่ลี งใจไดแลวอยา งน้ี กาํ ลงั ทางดา นจติ ใจกเ็ พม่ิ
ข้นึ ศรัทธาก็เพิ่ม วิริยะก็เพิ่ม สติ สมาธิ ปญ ญา กเ็ พม่ิ ขน้ึ ตามๆ กนั เพราะอํานาจ
แหงความเชื่อ “พุทธ ธรรม สงฆ” เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ใหม กี าํ ลงั ใจ เพราะเราเชื่อตัวเอง
ก็ยังเชื่อไมได รวนเรเรรอนอยูตลอดเวลา ไมทราบวาจะไปทางไหน จะยึดอะไรเปนหลัก
ใจ สถานที่จะไปของจิตก็ยังไมทราบ จะไปยังไงก็ไมรู ไมทราบจะไปดีไปชั่ว เพราะความ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๗
๔๔๘
แนน อนใจไมม ี เนอ่ื งจาก “ธรรม” ซง่ึ เปนความแนนอนไมไ ดห ย่งั หรอื ไมซ ึมซาบเขาถงึ
จติ ใจพอจะเปน ทเ่ี ชอ่ื ถอื ตนได
ใจเมื่อมีสิ่งที่แนนอน มสี ง่ิ ทอ่ี าจหาญ มีสิง่ ท่แี นใจเขา แทรกใจได ยอมสามารถ
ยอ มแนใ จได เพราะฉะนน้ั จงึ ควรสรา งความแนใจขึ้นภายในจิตใจดว ยขอ ปฏิบัติ
เอา ทุกขก็ทุกข ทราบกนั มาตง้ั แตว นั เกดิ ! เกดิ กเ็ กดิ มากบั กองทกุ ขน ่ี เราไมได
เกดิ มากบั สวรรคน พิ พานทไ่ี หน ในขณะเกดิ กเ็ กดิ มากบั กองทกุ ข รอดจากทุกขขึ้นมา
เมื่อไมตายถึงมาเปนคน เราจะไปตืน่ เตนตกใจเสยี อกเสยี ใจกลัวอะไรกบั ทุกข ก็เกิดมา
กับความทุกข อยกู บั ความทกุ ขต ลอดเวลาน่ี หากจะเปนอะไรก็เปนไปแลว เวลานไ้ี มไ ด
เปนอะไร จะฉบิ หายวายปวงหรอื ตายไปเรากไ็ มไดตาย เราผา นพน มาโดยลาํ ดบั จนถงึ
ปจจุบนั นี้
ยิ่งเวลานี้เปนเวลาที่เราจะประพฤติปฏิบัติตัว ดวยความรูแจงเห็นจริงโดยทางสติ
ปญญา เราจะกลัวทุกข ซึ่งขัดกับหลักเหตุผลที่จะใหทราบเรื่องของทุกข จะทราบความ
จริงไดอยางไร? ถา กลวั ตอ งกลวั ดว ยเหตผุ ล อยา งพระพทุ ธเจาทานกลวั ทกุ ข พระสาวก
ทา นกลวั ทกุ ข ทา นพจิ ารณาเพอื่ หาทางหลบหลีกจากทุกขโดยทางสติปญ ญา ศรทั ธา
ความเพียร นน้ั ถกู ตอ ง ! การกลวั ทกุ ขด ว ยความทอ แทอ อ นแอนไ้ี มใ ชท าง ! ทกุ ขเ ปน ยงั
ไงกาํ หนดใหร ู เกิดกับทุกขทําไมไมรูเรื่องของทุกข เกดิ กบั “สมุทัย” คอื กเิ ลสตณั หาอา
สวะ ทําไมจะไมรูเรื่องของสมุทัย สิ่งที่จะใหรูมีอยู สติ ปญญา มอี ยกู บั ทกุ คน
ศาสนาธรรมทา นสอนไวก บั “หวั ใจของบคุ คล” แท ๆ สตไิ ดห ามาจากไหน ไม
ตอ งไปซอ้ื หามาจากตลาด ปญ ญาก็เชน น้นั จงพินิจพิจารณา พยายามคดิ อา นซอกแซก
ทบหนา ทวนหลงั อยา คดิ ไปหนา เดยี ว ถา คดิ ไปหนา เดยี วไมร อบคอบ มีชองโหวตรง
ไหนนน่ั แหละ ถา เปน บา นโจรผรู า ยกเ็ ขา ชอ งนน้ั ชองโหวของจิตอยูที่ตรงไหน กเิ ลสอา
สวะเขาที่ตรงนั้น เพราะกเิ ลสอาสวะ “คอยทีจ่ ะแทรกจติ ใจ” อยตู ลอดเวลา ตองฝกหัด
สตปิ ญ ญาใหด ี อยา ใหเ สยี เวลาํ่ เวลากบั สง่ิ ใดยง่ิ กวา เสยี กบั ความเพยี ร ซง่ึ เปน ผล
ประโยชนอ ยา งยง่ิ กบั ตวั เราโดยเฉพาะ
นเ่ี ปน จดุ สาํ คญั พระพุทธเจาไดทรงสอนบรรดาสงฆสาวก พระสงฆที่ทูลลาพระ
องคไปเที่ยวกรรมฐาน ไปเที่ยวบําเพ็ญสมณธรรมในที่ตาง ๆ ทา นเหลา นเ้ี ปน ผกู าํ ลงั
ศึกษา ถาสําเร็จเปนอริยบุคคล กต็ อ งอยใู นขน้ั “เสขบุคคล” ที่จะตองศึกษาเพื่อธรรมขั้น
สูงขั้นไป เวลามาทูลลาพระพุทธเจาจะไปบําเพ็ญสมณธรรม ทา นกร็ บั สง่ั วา
“เธอทง้ั หลายไปอยใู นสถานทใ่ี ด อยา ปราศจาก “ที่พึ่ง” นะ” “การอยไู มม ีที่พ่ึง
นน้ั หาความหมายไมไ ดเ ลย ไมม คี วามหมายในตวั เอง หาคุณคาไมได พวกเธอทง้ั หลาย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๘
๔๔๙
จงหาธรรมที่มีคุณคามากเปนที่พึ่ง ธรรมที่มีคุณคานั้นจะเกิดขึ้นไดเพราะสถานใดเหตุ
ใด ถา ไมเ กดิ ขน้ึ ไดก บั ความมสี ติ ความมคี วามเพยี ร มสี ตปิ ญ ญาอยตู ลอดเวลาใน
อริ ยิ าบถตา ง ๆ นี้แลธรรมมีคุณคาที่จะใหสมณธรรมเจริญรุงเรือง กลายเปน คนทม่ี คี ณุ
คา ขน้ึ มาภายในตน”
เราฟงพระโอวาททานซี นา ฟง ไหม !
บรรดาพระสงฆที่ไดรับพระโอวาทจากพระองคแลว ตา งองคตางเสาะแสวงหา
“สมณธรรม” บาํ เพญ็ ธรรมอยใู นสถานทใ่ี ด ทานจึงไดไปดวยความสงบเสงย่ี มเปน สขุ
ใจ เปน ไปดว ยความเจยี มเนอ้ื เจยี มตวั อยตู ลอดเวลา ไมป ระมาท แลว หาทเ่ี ดด็ ๆ
เดี่ยว ๆ เพอ่ื ความเหมาะสมแกก ารแกก เิ ลส การฆา กเิ ลสนน่ั เอง พูดงาย ๆ
เมอ่ื เขา ไปอยใู นสถานทเ่ี ชน นน้ั แลว เรอ่ื งความเพยี รกม็ าเองแหละ ตามปกติมีแต
ความข้ีเกียจทบั ถมอยตู ลอดเวลามองหาตัวจนแทบไมเห็นไมเ จอนั่นแล มแี ตความเกียจ
คราน มกั งา ย ความออ นแอ เตม็ อยใู นตวั ของบคุ คลทง้ั คน เหยยี บยา งไปไหนโดนแต
ความขี้เกียจของตน
แตเ วลาเขา ไปสสู ถานทเ่ี ชน นน้ั ความขเ้ี กยี จมนั หมอบตวั ความขยนั หมน่ั เพยี ร
คอ ยปรากฏตวั ขน้ึ มา เพราะสถานทเ่ี ปน สง่ิ แวดลอ มอนั สาํ คญั ประมาทไมได เรามี
ความมงุ หมายอยา งไรจงึ ตอ งมาอยสู ถานทน่ี ?้ี
ความมุงหมายเดิม เจตนาเดมิ เปน อยา งไร กค็ อื มงุ หาสมณธรรม มาหาท่ี
สําคัญที่เด็ด ๆ เดี่ยว ๆ เพื่อจะไดตั้งสติ คดิ อา นดว ยปญ ญา พยุงความเพียรอยาง
เขม แขง็ เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทง้ั ไปอยสู ถานทเ่ี ชน นน้ั ดว ยแลว “สต”ิ กม็ าเอง เพราะความ
ระวังตัว ใครจะไมกลัวและเสียดายชีวิตละ ไมเสียดายชีวิต ไมหึงหวงชีวิตมีเหรอ? คน
ทั้งคนนะ แมวาธรรมจะมีคุณคามาก แตใ นระยะทจ่ี ติ มคี วามหงึ หวงในชวี ติ ซง่ึ กลาย
เปนของมีคุณคามากยิ่งกวาธรรมยังมี ซึ่งเปนเรื่องของกิเลสอันหนึ่ง แตก เิ ลสคอื ความ
หงึ หวงชวี ติ เปน กเิ ลสทจ่ี ะใหเ กดิ “ธรรม” ได คอื ใหเ กดิ ความขยนั หมน่ั เพยี รในการ
ที่จะประกอบความเพียร
เอา เปนก็เปน ตายกต็ าย ทนี ม้ี อบไดแ ลว ตายกบั ธรรมอยา งเดยี วไมเ กย่ี ว
เกาะกบั อะไร มสี ตสิ ตงั อยตู ลอดเวลา เดนิ อยใู นสถานทใ่ี ด นง่ั อยใู นสถานทใ่ี ด เปน
กบั ตายไมต อ งเอามายงุ ขอใหรูเรื่องของจิตทก่ี ระดกิ ตวั ออกมาหลอกลวงตนเองวา มนั
ปรงุ เรอ่ื งอะไร ปรุงเรื่องเสือ เรื่องชาง เรื่องอันตราย เรื่องงู เร่อื งอะไรกแ็ ลว แต มนั ปรงุ
ขน้ึ ทต่ี รงไหนกแ็ ลว กนั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๙
๔๕๐
มนั ปรงุ ขน้ึ ทใ่ี จ ตวั นเ้ี ปน ตวั หลอกลวง จติ ขยบั เขา ไปตรงน้ี ๆ เรอ่ื งวา เสอื วา
ชา งทเ่ี ปน อนั ตรายภายนอก มนั เลยหายกงั วล เพราะตัวนี้เปนตัวกอกรรม ตัวนี้เปนตัว
หลอกลวง สตปิ ญ ญาโหมตวั เขา มาจบั จดุ ทต่ี รงน้ี ซึ่งเปนตัว ”โจรผูราย”ยแุ หยก อ กวน
จนไดที่ เมอ่ื เหน็ จดุ สาํ คญั ทเ่ี ปน ตวั กอ เหตแุ ลว จดุ ทก่ี อ เหตนุ ก้ี ร็ ะงบั ตวั ลงได เพราะ
อาํ นาจของสติ อาํ นาจของปญ ญาคน ควา ลง จนขาศึกที่จะปรุงเปนเสือเปนชางเปนตน
หมอบราบลง
เรอ่ื งความกลวั หายหมด จะไมหายยังไง ก็ผูไปปรุงมันไมปรุงนี่ เพราะรูตัวของ
มนั แลว วา “นต่ี วั อนั ตรายอยทู น่ี ่ี ไมไ ดอ ยกู บั เสอื กบั ชา งอะไรทไ่ี หน ถงึ ความตายอยทู ่ี
ไหนกต็ าย คนเรามี “ปาชา ” อยทู กุ แหง ทกุ หนทกุ อริ ยิ าบถ แนะ ! ไปหวั่นไปไหวอะไรกับ
เร่ืองความเปนความตาย กเิ ลสทม่ี นั ครอบคลมุ อยทู ห่ี วั ใจนเ้ี ปน ภยั อนั สาํ คญั อยตู ลอด
เวลา ทุกภพทุกชาติดวย จึงควรจะแกที่ตรงนี้ เชน ความกลวั มนั เปน กเิ ลสอยา งหนง่ึ
ตองใชสติปญญาหันเขามาที่นี่ ยอ นเขา ทน่ี ่ี จิตก็สงบตัวลงไปเทานั้น เมอ่ื จติ สงบตวั ลง
ไป ถึงจะคิดจะปรุงไดอยูก็ตาม แตความกลัวไมมี เพราะจิตไดฐานที่มั่นคงภายในใจ
แลว นเ่ี ราเหน็ คุณคา เราเห็นผลประโยชนจากสถานที่นี้ดวยความเพียรอยางนี้ กย็ ิง่ ขยัน
เขาไปเรื่อย ๆ เพื่อธรรมขั้นสูง ตองหาที่เด็ดเดี่ยวไปโดยลําดับ เพ่อื ธรรมข้นั สงู ยิ่งกวานี้
ขึ้นไป
การประกอบความเพียรในทคี่ ับขันเชน นัน้ เปนผลประโยชนไดเร็วยิ่งกวาที่
ธรรมดา เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทนุ มนี อ ยกอ็ ยากจะไดก าํ ไรมาก ๆ จะทําอยางไรถึงจะเหมาะ
สม กต็ อ งหาทเ่ี ชน นน้ั เปน ทาํ เลหากนิ และซอ้ื ขายละซิ
เมอ่ื กเิ ลสหมอบลงแลว ใจรื่นเริงบันเทิงอยูกับอรรถกับธรรม เห็นทั้งโทษเห็นทั้ง
คณุ ภายในจติ ใจผหู ลอกลวง ผกู อ กวน ผยู แุ หยต า ง ๆ ใหเ กดิ ความสะทกสะทา นหวน่ั
ไหว ใหเ กดิ ความกลวั เปน กลวั ตายอะไร มนั อยใู นจติ ใจ รเู ร่ืองของมันในท่นี ่ีแลว กเิ ลส
กส็ งบ ธรรมกก็ า วหนา
เรือ่ งเหลาน้ีสงบก็เรียกวา “ขา ศกึ สงบ” ใจกเ็ ยน็ สบาย เอา เดนิ เสือจะกระหึ่ม ๆ
อยกู ็กระหึม่ ไป เพยี งเสยี งอนั หนง่ึ เทา นน้ั เขากต็ ายน่ี เสือก็มปี าชา เตม็ ตัวของมัน เราก็
มีปาชาเต็มตัวของเรา กลวั อะไรกบั สตั วก บั เสอื ! กเิ ลสกดั หวั ใจอยตู ลอดเวลาทาํ ไมไม
กลวั น!่ี เอาที่ตรงนี้!
บทเวลาจะพาเอาจริงเอาจัง ใหหมุนติ้ว ๆ จนเกดิ ความกลา หาญชาญชยั ขน้ึ มาท่ี
น่ี จิตก็จริงจังอยางเต็มภูมิ เสอื จะมสี กั กร่ี อ ยตวั กพ่ี นั ตวั กม็ าเถอะ เสอื นน่ั นะ ! เรากเ็ ปน
สัตวเกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกนั เหมอื นสตั วท ง้ั หลายเหลา นน้ั หมด ไมเห็นมีอะไรยิ่ง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๐
๔๕๑
หยอ นกวา กนั จิตมันคิดไปอยางนั้นเสีย มนั รูไปอยา งนั้นเสยี จิตก็เลยรื่นเริงบันเทิง
สบาย แลว กเิ ลสคอ ยหมดไป ๆ หรอื หมอบลง ๆ ราวกบั ตวั แบนแนบตดิ พน้ื นน่ั แล โผล
หัวขึ้นมาไมไดเดี๋ยวถูกสังหารเรียบไป
อา ว ทนี ค้ี น ทางดา นปญ ญา เมอ่ื สง่ิ กงั วลภายนอกทจ่ี ติ ไปเกย่ี วขอ งระงบั ตวั ลง
ไป ๆ เพราะไมคิดไมยุง เนอ่ื งจากสตปิ ญ ญาตตี อ นเขา มาแลว เราคน วงภายในทน่ี ้ี เอา
คน ลงไปเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ เรื่องอายตนะ
เอาหลักพระพุทธเจา เอาหลกั “สวากขาตธรรม” เขาไปเปนเครื่องพิสูจนเปน
เครื่องยืนยัน เพราะเปนธรรมชาติที่ใหความเชื่อถือได คนลงไป!
ทา นวา “อนิจฺจ”ํ อะไรเปนอนิจฺจํ ? ดูใหเห็นชัดเจนตามความจริงที่พระองคทรง
สอนไวซ ง่ึ เปน ความจรงิ ลว น ๆ นั้น เวลานจ้ี ติ ของเรามนั ปลอม อนั นเ้ี ปน “อนิจฺจ”ํ มันก็
วาเปน “นิจฺจ”ํ อนั นเ้ี ปน ทกุ ขฺ ํ มันกว็ า “สขุ ํ” อนั นเ้ี ปน “อนตตฺ า” มนั กว็ า เปน “อตฺตา”
ตวั ตนอยอู ยา งนน้ั แหละ อะไร ๆ มันกไ็ ปกวา นมาเปน ตวั เปน ตนไปหมด มันฝนธรรม
ของพระพุทธเจาอยูร่ําไป
เมอ่ื เขา ไปอยใู นทค่ี บั ขนั เชน นน้ั แลว มนั ไมฝ น มนั ยอม! เมื่อยอมพระพุทธเจา
แลว มนั กเ็ ปน ธรรมเทา นน้ั เอง
(๑) อยา งนอ ยก็ “สมณธรรม” คอื ความสงบเยน็ ใจ
(๒) ยง่ิ กวา นน้ั กค็ อื ความเฉลยี วฉลาดทางดา นปญ ญา แยกธาตแุ ยกขนั ธเ หน็
อยางประจักษ เวลาเห็นชัดเจนแลวก็ไมเห็นมีปญหาอะไรนี่
พระพทุ ธเจา ตรสั ไวชอบแลว ชอบจรงิ ๆ เปดเผยอยูดวยความจริง สอนดว ย
ความจริง สิ่งที่สอนก็เปนความเปดเผยอยูตามธรรมชาติของตน ไมมีอะไรปดบังลี้ลับ
นอกจากความโงซ ง่ึ เปน เรอ่ื งของกเิ ลสเทา นน้ั ปดบังตัวเองไมใหรูความจริงที่เปดเผยอยู
ตามหลักธรรมชาติของตนได เม่อื พิจารณาไมห ยดุ ไมถอย มนั กร็ เู ขามาเอง ใหถ อื ธาตุ
ขนั ธ อายตนะนแ้ี ลเปน สนามรบ เปน สถานทท่ี าํ งาน ทเ่ี รยี กวา “กมั มฏั ฐาน ๆ” นะ
กรรมฐานก็ใชไดไมเปนกรรมฐานปลอม พิจารณาตรงนี้แหละ มันติดที่ตรงนี้ ไมติด
อะไรเปนสําคัญ แตติดตรงนี้
จงคน ควา ดเู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ ดทู กุ แงทุกมมุ แหงอวยั วะ เมื่อถึงกาลที่ธรรมจะ
ซมึ ซาบแลวกเ็ หมอื นไฟไดเ ชอ้ื มันสืบตอไปไหมลุกลามไปเรื่อย จนหมดเชื้อจึงจะหยุด
(๓) พอถงึ ขน้ั ปญ ญาทจ่ี ะซมึ ซาบใหเ หน็ อวยั วะสว นตา ง ๆ ซ่ึงมีความเสมอกัน
มันแทงทะลุปรุโปรงไปหมด หายสงสัย ปลอยวางไดตามความจริง เบาหววิ ไปเลย
แนะ !การพจิ ารณา พจิ ารณาอยา งนน้ั น่ีแหละตัวจรงิ ! ตาํ รบั ตาํ ราทา นสอนไวม ากนอ ยก่ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๑
๔๕๒
คัมภีร สอบเขา มาหาตวั จรงิ นแ่ี ล เชน “สมาธิ” อะไรเปนสมาธิ หนงั สอื ไมไ ดเ ปน สมาธิ
เปนตัวหนังสือ กเิ ลส หนังสือไมไ ดเ ปน กเิ ลส ใจของเราเปนกิเลส แนะ ! ปญญา หนังสือ
ไมไดเปนปญญา เปนชอื่ ของปญญาตา งหาก เปนช่ือของกิเลส เปน ชอ่ื ของกองทกุ ขตาง
หาก ตวั ทกุ ขจรงิ ๆ คือตัวเรา ตวั กเิ ลสจรงิ ๆ คือใจของเรา ตัวปญญาจริง ๆ อยทู ใ่ี จ
ของเรา ตาํ ราทา นสอนชเ้ี ขา มาทน่ี ่ี ๆ จึงวา “ใหโ อปนยโิ ก นอ มเขา มาสตู วั เรา” ใหเห็น
ความจรงิ อยใู นสถานทน่ี ้ี ความมืดมิดปด ตากป็ ดอยทู ี่น่ี เวลาสวา งกส็ วา งขน้ึ ทน่ี !่ี
การพจิ ารณาดว ยปญ ญา กเ็ พอ่ื จะเปด สง่ิ ทป่ี ด กาํ บงั อนั ฝน ธรรมทง้ั หลายนน้ั
ออกไปถงึ ขน้ั ความจรงิ จิตใจของเรากจ็ ะโลง และเหน็ ตามความจรงิ “โลกวทิ ู” รูแจง
โลก รอู ะไร ถา ไมร แู จง สง่ิ ทป่ี ด บงั อยภู ายในธาตใุ นขนั ธข องเรานก้ี อ นอน่ื ไมม อี ะไร
จะรู ตองรูที่นี่กอน!
ทกุ ขก ป็ ด บงั สมุทัยก็ปดบัง เมื่อเกิดทุกขขึ้นมา ธรรมอยูที่ไหนก็ลมเหลวไปหมด
แนะ ! มนั ปด บงั มนั ทาํ ลายธรรมของเราไดหมด วริ ยิ ธรรมก็ถกู ทาํ ลาย สตปิ ญ ญา
ธรรมกถ็ กู ทาํ ลาย ขนั ตธิ รรมกถ็ กู ทาํ ลายดว ยอาํ นาจแหง ความทกุ ข
ถา สตปิ ญ ญาไมส ามารถแกก ลา ไมม คี วามอาจหาญจรงิ ๆ จะเปด ความทกุ ข
นข้ี น้ึ มาใหเ หน็ เปน ของจรงิ ไมไ ด ทั้ง ๆ ที่ทุกขนั้นเปนของจริงอันหนึ่ง แตเ รากค็ วา เอา
มาเปนของปลอม เปนฟนเปนไฟเผาจิตใจของตนจนแหลกเหลวไปได ทาํ ความเพยี ร
ติดตอกันไมไดเลยเพราะทุกขเขาไปทําลาย
อะไรปดบังจิตใจ? กท็ กุ ขน เ่ี องเปนเครื่องปดบัง สมทุ ยั กเ็ หมอื นกนั คดิ อะไร
หลอกข้นึ มาตัง้ แตเร่อื งปด บังเร่อื งจอมปลอมทง้ั นั้น เราก็เชื่อมันไปโดยลําดับ ๆ กย็ ง่ิ
เพม่ิ ทกุ ขข น้ึ มามากมาย
ตองใช “สติ ปญ ญา” เปดสิ่งเหลานี้ใหเห็นตามความจริงของมัน เมอ่ื สตปิ ญ ญา
“จอ” เขา ไปถงึ ไหน รูเขาไปถึงไหน ความรูแ จงเหน็ จริงและการปลอยวาง จะปรากฏขึ้น
มา เดนขึ้นมา แลว ความปลอ ยวางจะเปน ไปเอง คอ ยปลอ ยวางไปเรอ่ื ย ๆ ปลอ ยวางไป
เรื่อย ๆ ตามความซาบซง้ึ ของปญ ญาทม่ี กี าํ ลงั เปน ลาํ ดบั จนหมดปญ หา
คาํ วา “ธาตขุ นั ธ” พระพทุ ธเจา ทา นทรงสอนไวได ๒๕๐๐ กวา ปน ้ี ลว นแตเ ปน
ความจริงตลอดมาจนกระทั่งปจจุบัน ทาํ ไมถงึ เพง่ิ มาทราบกนั วนั นร้ี กู นั วนั น้ี ธาตขุ นั ธม ี
มาตั้งแตวันเกิดทําไมแตกอนไมเห็น กายของเราวาเปน “อนิจฺจ”ํ ก็ไมเห็น เปน “ทุกฺขํ”ก็
ไมเ หน็ เปน “อนตตฺ า” ก็ไมเห็น เปน “อสภุ ะอสภุ งั อะไร ๆ” ก็ไมเห็น ทั้งที่มันก็เปน
ความจริงของมันอยูอยางนั้นแตใจก็ไมเห็น แลว ทาํ ไมเพง่ิ มาเหน็ กนั วนั น้ี! สง่ิ เหลา น้ี
เพิ่งมีวันนี้เทานั้นหรือ? เปลา ! มมี าตง้ั แตว นั เกดิ ! แตเพราะความมืดมิดปดตาบังอยู
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๒
๔๕๓
อยา งหนาแนน แมสิ่งเหลานี้จะมีอยูกับตัวเราก็ไมเห็น ตวั เราอยกู บั “อนิจฺจ”ํ ก็ไมเห็น
อนิจฺจํ อยกู บั ทกุ ขฺ ํก็ไมเห็นทกุ ขฺ ํ อยกู บั อนตฺตาก็ไมเห็นอนตฺตา แลว จะเหน็ “ธรรมหรือ
ความจริงแทแนนอน” ไดท ไ่ี หนกนั !
เม่ือสตปิ ญญาหยั่งลงไปกเ็ ปดเผยออกมาเรอื่ ย ๆ ไมต อ งบอกเรอ่ื ง “อปุ าทาน”
จะขาดสะบน้ั ไปมากนอ ยเพยี งใดนน้ั ขน้ึ อยกู บั สตปิ ญ ญา ใหพ จิ ารณาเตม็ พลงั ฉะนน้ั
จงผลิตสติปญ ญาขึน้ ใหมาก อยา กลัวจติ ตาย อยา กลวั จิตฉบิ หาย อยากลัวจิตลมจม
ธรรมชาตินี้ไมลมจม เพราะธรรมชาตินี้เทานั้นที่จะพิจารณาสิ่งทั้งหลาย สง่ิ เหลา นก้ี ็
อาศยั ธรรมชาตนิ อ้ี ยดู ว ยกนั ไป ถาเราหลงถือวาเปนเรา สิ่งนั้นก็เปนภัยตอเราได ถาเรารู
กต็ า งอนั ตา งจรงิ อยดู ว ยกนั สะดวกสบายในทท่ี ง้ั หลาย!
นกั รบตอ งเปน ผกู ลา หาญตอ ความจรงิ ใหเ หน็ ความจรงิ จิตเปนผทู ่ชี อบรชู อบ
เห็น มนี สิ ยั อยากรอู ยากเหน็ อยตู ลอดเวลา ขอใหน อ มความอยากรอู ยากเหน็ นน้ั เขา
มาสู “สัจธรรม” ใหอ ยากรอู ยากเหน็ ใน “สัจธรรม” คือความจริง
พระพุทธเจา ทรงสอนวา เปน ความจริง จริงแคไหนใหเห็นดวยสติปญญาของตัว
เอง จะเปนที่หายสงสัยวา ออ พระพุทธเจาทานวาสัจธรรมเปนของจริง จริงอยาง
น้!ี อยา งทเ่ี ราเหน็ ในปจ จบุ นั น้ี ทกุ ขกจ็ รงิ อยางน้ี สมทุ ยั กจ็ รงิ อยา งน้ี ปญ ญากจ็ รงิ อยา งน้ี
จิตก็จริงอยางนี้ เห็นไดชัด ๆ หายสงสยั เรื่องพระพทุ ธเจา กห็ ายสงสัย เรอ่ื งความ
พากเพียรของพระพุทธเจาที่ทรงบําเพ็ญอยางไรมาบาง กห็ ายสงสยั อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ที่
ทรงสอนไวอ ยางไร หายสงสยั ไปหมด นั่น! เมอ่ื ถงึ ขน้ั นน้ั หายสงสยั หายไปโดยลําดับจน
ไมมีอะไรเหลืออยูเลย
เพราะฉะนั้นจงพิจารณา “ขนั ธ” ของเราน้ี เอาใหดี ยง่ิ เปน หวั เลย้ี วหวั ตอ ดว ย
แลวเราจะนอนใจไมได เอาลงใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลกนั จนกระทั่งสิ้นลม
เอา ลมมนั สน้ิ ไปจากตวั ของเรานก้ี ไ็ มฉ บิ หาย มันก็ไปเปน “ลม” ตามเดิม มัน
เพียงผานจากเราไปตางหาก คําวา “เรา” เอาดินเอาน้ําเอาลมเอาไฟมาเปน “เรา”ดนิ
สลายลงไปจากคาํ วา เรานก้ี ไ็ ปเปน ดนิ นาํ้ สลายลงไปจากคาํ วา เรานก้ี ไ็ ปเปน “นาํ้ ”ไปเปน
ลม ไปเปนไฟ ธรรมซาติคือใจนี้ก็เปน “ใจ” แยกกนั ใหเ หน็ ตามกาํ ลงั ของสตปิ ญ ญาของ
เราอยาทอเลย!
นเ่ี หละความชว ยตวั เองชว ยอยา งน้ี ไมม ผี ใู ดทจ่ี ะสามารถชว ยเราได ยิ่งถึงขั้น
จาํ เปนจําใจ ขั้นจนตรอกจนมมุ จริง ๆ แลว มแี ตน ง่ั ดกู นั เฉย ๆ นน่ั แหละ ไมมีใครที่
จะชวยเราได ถา เราไมร บี ชว ยเราดว ยสตปิ ญ ญา ศรทั ธา ความเพยี ร ของเราเสยี ตง้ั
แตบัดนี้ จนเปนที่พอใจ เปน ทแ่ี นใ จ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๓
๔๕๔
สว นความตอ งการเฉย ๆ โดยไมทําอะไรนั้นไมม คี วามหมาย ถา ความเพยี รไม
เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ความเพียรจึงเปนสิ่งสําคัญ อดทนตอ ความจริง อดทนตอ อรรถ
ตอ ธรรมไมเ สยี หาย เราอดทนตอสิ่งอนื่ ตรากตราํ ตอ สง่ิ อน่ื ๆ เราเคยตรากตรํามามาก
แลว เราเคย! คาํ วา “เราเคย” แลวส่ิงนท้ี ําไมเราจะไมสามารถ
ธรรมของพระพุทธเจาไมใช “เพชฌฆาต” พอจะฆาคนทีม่ ีความเพียรอันกลา
หาญใหฉ บิ หายวายปวงไปน่ี นอกจากฆา กเิ ลสอาสวะซง่ึ เปน ตวั ขา ศกึ อยภู ายในจติ ใจให
เราลุมหลงไปตามเทานั้น
จงพิจารณาลงใหเห็นชัดเจน ดใู หด สี ง่ิ เหลา นก้ี บั จติ มนั สนทิ กนั มาเปน เวลานาน
ติดจมกันมาเปนเวลานาน จนแยกไมออกวา “อะไรเปน เรา อะไรเปน ธาตเุ ปน ขนั ธ” จึง
รวมเอามาหมดนว้ี า เปน เรา ทั้ง ๆ ที่มันไมใชเรา ตามหลกั ความจรงิ ของทา นผรู ไู ปแลว
ทา นเหน็ อยา งนน้ั จรงิ แตจิตของเรามันฝนอยางนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องทุกขมันจึงแทรกเขา
มาตามความฝนซึ่งเปนของผิดนั้น ใหไ ดร บั ความลาํ บากอยเู สมอ
ถา เดนิ ตามหลกั ความจริงทพี่ ระพุทธเจาทรงสอนไวแลวน้ี และรูตามนี้แลวจะไม
มปี ญ หาอะไร ธาตกุ เ็ ปน ธาตุ ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธ ใหช อ่ื มนั วา อยา งไรกเ็ ถอะ “เขา” เปน
สภาพของเขานั่นแหละ เราเปนผูใหชื่อ “เขา” วา “นี่เปนธาตุ นน่ั เปน ขนั ธ นี่เปนรูป นน่ั
เปนเวทนา นน่ั เปน สัญญา นี่เปนสังขาร นน่ั เปน วญิ ญาณ”
ขอใหป ญ ญารทู ว่ั ถงึ เทา นน้ั แหละ มนั หมดสมมตุ ไิ ปเอง แมไมไปสมมุติมันก็
เปน “อาการหนง่ึ ๆ” เทานั้น เมื่อทราบความหมายของจิตเสียอยางเดียวเทานั้น ส่ิง
นน้ั ๆ กเ็ ปน ความจรงิ ของมนั ลว น ๆ จิตก็มาเปนความจริงของตนลวน ๆ ไมคละเคลา
กนั
จงพิจารณาใหเห็นชัดอยางนี้ เหน็ สง่ิ เหลา นน้ั แลว กค็ น ลงไป มันอะไรกัน จิตดวง
นี้ทําไมถึงไดขยันนักกับเรื่องเกิดเรื่องตาย ทั้ง ๆ ทโ่ี ลกกก็ ลวั กนั นกั หนา เราเองกก็ ลวั
ความตาย แตท ําไมความเกดิ นจ้ี งึ ขยันนกั ตายปบเกิดปุบ แนะ! เกดิ ปบุ กแ็ บกเอาทกุ ข
ปุบ แน! ทําไมจึงขยันนัก พิจารณาใหเห็น
มนั เกดิ ไปจากอะไร? เรื่องอะไรพาใหเกิด? ถาไมใชจากจิตที่มีเชื้ออันสําคัญแฝง
อยภู ายในน้ี จะเปนอะไรพาใหเกิดพาใหเปนทุกข การเกดิ เปน บอ เกดิ แหง ทกุ ข
พิจารณาลงไปคนลงไป เอา อะไรจะฉบิ หายใหเ หน็ ใหร ู เพราะเราตองการความจริงนี่
อะไรจะฉิบหายลงไปใหมันรูดวยปญญาของเรา รูดวยจิตของเรา อะไรมันไมฉ บิ หายก็
ใหรูด วยจติ ของเราอกี น่นั แหละ จะหมดปญ หาอยทู จ่ี ดุ นน้ั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๔
๔๕๕
ปญ หาใหญอ ยทู จ่ี ติ กวา นอะไร ๆ รวมเขา มาไวใ นตวั หมด ไปกวา นเอาขา ง
นอกเขามา พอถกู ตดั ดว ยสตปิ ญ ญาแลว กห็ ดตวั ไปอยภู ายใน ไปหลบซอ นอยภู ายในจติ
นน้ั จติ กถ็ อื อนั นว้ี า เปน ตนอกี กห็ ลงอกี เพราะฉะนั้นจึงตองใชปญญาพิจารณาเขาไป
อกี ฟนเขาไป ฟาดเขาไปใหแหลกละเอียดไปตาม ๆ กนั หมด
อะไรท่ีไมใ ชของจรงิ ในหลักธรรมชาตซิ ึง่ มีอยูภายในจติ นัน้ แลว มนั จะสลายตวั
ลงไป อนั ใดเปน ธรรมชาตขิ องตวั เองแลว จะไมส ลาย เชน ความรู เมื่อแยกสิ่งที่แปลก
ปลอม สง่ิ ทแ่ี ทรกซมึ ทง้ั หลายออกหมดแลว จิตก็เลยเปนจิตลวน ๆ เปน ความบรสิ ทุ ธ์ิ
จะฉบิ หายไปไหนความบรสิ ทุ ธน์ิ ะ ! ลองคน หาดซู ิ ปา ชา แหง ความบรสิ ทุ ธ์ิ ปา ชา แหง
จติ นไ้ี มม ี ไมป รากฏ!
ยิ่งชําระสิ่งจอมปลอมที่พาใหไปเที่ยวเกิดในรางนั้น ถอื ในรา งนน้ั รา งน้ี ออกหมด
แลว ยิ่งเปนความเดนชัด นแ้ี ลทา นวา “ธรรมประเสริฐ” ! ประเสริฐที่ตรงนี้ แตก อ นผนู ้ี
แหละเปน ตวั สาํ คญั หลอกลวงตวั เองอยตู ลอดเวลา สง่ิ ทพ่ี าใหห ลอกมนั อยใู นจติ จติ น้ี
จงึ เปน เหมอื นลกู ฟตุ บอลนน่ั แหละ ถูกเตะกลิ้งไปกลิ้งมา กิเลสนี้แหละมันเตะ ฟนขา
กเิ ลสใหแ หลกเสยี มนั จะไดไ มเตะ ฟนดวยปญญาของเรา ดว ยสตขิ องเราใหแ หลกหมด
ใหตรงแนว นิพพานเที่ยงจะไปถามที่ไหนเลา? พอถึงจุดที่เที่ยง คือไมมีอะไรที่จะเขา
มาแทรกสงิ ไดอ กี แลว มันก็ไมเอนไมเอียง นน่ั แหละ “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” รูกันตรงนี้ เปน“สนฺ
ทิฏฐิโก” อนั เตม็ ภมู ิ
“ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ” ทานผูรูทั้งหลายรูจําเพาะตน รูที่ตรงนี้เปนจุดสุด
ทา ย รูที่ตรงนี้แลวเรื่องก็หมดที่ตรงนี้
เรื่อง “ปาชา” ทง้ั หลาย เคยเปนความเกิดความตายมาเทาไร ๆ แลว มาดบั กนั ท่ี
ตรงนี้ นเ่ี รยี กวา “งานลา งปา ชา ” คืองานกรรมฐาน! ฐานนแ่ี หละ งานลา งปา ชา ของ
ตนลางที่ตรงนี้ ภพนอ ยภพใหญลา งออกใหหมดไมมีอะไรเหลือ นผ่ี ลทเ่ี กดิ ขน้ึ จาก
ประพฤติปฏิบัติตั้งแตขั้นเริ่มแรก เขา อยใู นปา ในเขา การฝกฝนทรมานตนไมวาจะอยูใน
สถานทใ่ี ด ๆ ที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนใหไป “เที่ยวกัมมัฏฐาน” ไปเทย่ี วแบบนแ้ี หละ
ทนี ค้ี าํ วา “กมั มฏั ฐาน” (กรรมฐาน) นม้ี อี ยดู ว ยกนั ทกุ คน ไมว า นกั บวช ไมวา
ฆราวาส “กมั มฏั ฐาน” คืออะไร? เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นน่ั ! “ตจปญ จก
กัมมัฏฐาน” แปลวา กมั มฏั ฐานมี “หนงั ” เปน ทห่ี า เปน คาํ รบหา กม็ อี ยกู นั ทกุ คนนไ่ี ม
วา พระวา เณร พิจารณาตรงนี้เรียกวา “พิจารณากัมมัฏฐาน” เที่ยวอยูตรงนี้เรียกวา“เที่ยว
กัมมัฏฐาน” หลงกห็ ลงอนั น้ี พจิ ารณาอนั นร้ี แู ลว กร็ กู มั มฏั ฐาน ถอดถอนกมั มฏั ฐาน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๕
๔๕๖
ถอดถอนภพถอดถอนชาติ รือ้ วัฏสงสารก็ร้ือทต่ี รงนี้ รวมเขาไปก็ไปรื้อที่ใจ กห็ มด
ปญหาที่ตรงนั้น นน่ั แหละกรรมฐานสมบรู ณแ ลว “วสุ ติ ํ พฺรหฺมจริยํ” พรหมจรรยไดอยู
จบแลว หรอื วา งานกรรมฐานเสรจ็ สน้ิ แลว จบที่ตรงนี้ จบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง
ศาสนาลงทจ่ี ดุ น้ี เมอ่ื ถงึ จดุ นแ้ี ลว พระพทุ ธเจา ไมท รงสง่ั สอนอะไรตอ ไปอกี
เพราะศาสนาธรรมมุงจุดนี้ คือมุงลางปาชาของสัตวที่ตรงนี้ เมอ่ื ถงึ จดุ นแ้ี ลว กเ็ ปน อนั
วา หมดปญหา
สาวกจะอยดู ว ยกนั กร่ี อ ยกพ่ี นั องค ทานจะไมมีอะไรสอนกัน เพื่อการบํารุงอยาง
โนน บาํ รงุ อยา งน้ี แมจะรุมลอมพระพุทธเจาอยูก็ตาม พระองคก ไ็ มท รงสอนเพอ่ื การละ
กเิ ลส เพราะไดละกันหมดทุกสิ่งทุกอยางแลว ดังใน “โอวาทปาฏโิ มกข” ในวนั มาฆบชู าท่ี
ไดเทศนเมื่อคืนนี้
“สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาส
นํ ” แนะ ! ทา นประกาศ แสดงเปนสัมโมทนียกถา เครอ่ื งร่ืนเริงสําหรบั สาวกเทา นัน้ ไม
ไดจ ะแสดงใหส าวกจะถอนอะไร เพราะบรรดาสาวกเหลาน้ันลวนแตเปน พระอรหนั ต
เปนผูสิ้นกิเลสอาสวะโดยประการทั้งปวงแลว การทาํ บาปกไ็ มม ี ความฉลาดกถ็ งึ พรอ ม
จติ กบ็ รรลถุ งึ ขน้ั บรสิ ทุ ธห์ิ มดจดทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว ถกู ตอ งตามหลกั วา “เอตํ พุทฺธาน
สาสน”ํ น่ีเปน คําสอนของพระพทุ ธเจา ทุก ๆ พระองคแลว ทา นไมส อนเพอ่ื ใหล ะกเิ ลส
อันใดอีกตอไปเลย
พระอรหนั ตท า นอยกู นั จาํ นวนเทา ไรทา นจึงสะดวกสบาย ทานไมมีอะไรกระทบ
กระเทอื นตนและผอู น่ื เพราะเปนความบริสทุ ธล์ิ ว น ๆ ดว ยกนั แลว
แตพ วกเรามนั มกี เิ ลสอยภู ายในน่ี ไมไดทะเลาะกับคนอื่นก็ทะเลาะกับตนเอง ยงุ
กบั ตวั เอง นอกจากยงุ กบั ตวั เองแลว กเ็ อาเรอ่ื งตวั เองนไ้ี ปยงุ กบั คนอน่ื อกี ระบาดไป
หมด ขโ้ี ลภ ขี้โกรธ ขห้ี ลง เอาไปปา ยไปทาคนนน้ั คนนแ้ี หลกเหลวไปหมด รอ งกนั
อลหมา นวนุ ไปหมด เลยเปนสภามวยฝปาก สภามวยนาํ้ ลายขน้ึ มาในวดั ในวาอยา งนก้ี ม็ ี
มากมายหลายแหง แขง ดกี นั กเ็ พราะของสกปรกทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจนเ้ี อง ถา หมดนแ่ี ลว
ก็หมดปญหา
เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นสมควร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๖
๔๕๗
ธรรมะ
จากจดหมายของทา นพระอาจารยม หาบวั ญาณสมฺปนฺโน
มีถึง นางเพาพงา วรรธนะกลุ
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๑๙
การปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ที่ประทานไวดวยพระเมตตาสุดสวนไมมีใคร
เสมอในโลก นน้ั คอื การบชู าพระองคท า นแท การเหน็ ความจรงิ ทม่ี อี ยกู บั ตวั ตลอดเวลา
ดวยปญญาโดยลําดับ น้ันก็คอื การเหน็ พระตถาคตโดยลาํ ดับ การเหน็ ความจรงิ อยา ง
เต็มใจดวยปญญานั้นแล คือการเห็นพระพุทธเจาเต็มพระองค พระพุทธเจาแท ธรรม
แทอ ยทู ใ่ี จ การอุปฏฐากใจตัวเอง คอื การอปุ ฏ ฐากพระพทุ ธเจา การเฝา ดูใจตวั เองดว ย
สติปญญา คือการเขาเฝาพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ อยางแทจริง พญามัจจุราช
เตือน และบกุ ธาตขุ นั ธข องสตั วโ ลกตามหลกั ความจรงิ ของเขา เราตองตอนรับการเตือน
และการบกุ ของเขาดว ยสติ ปญ ญา ศรัทธา ความเพียรไมถอยหลัง และขนสมบตั ิ คือ
มรรค ผล นพิ พาน ออกมาอวดเขาซง่ึ ๆ หนา ดว ยความกลา ตาย โดยทางความเพียร
เขากบั เราทถ่ี อื วา เปน อรศิ ตั รกู นั มานาน จะเปนมิตรกันโดยความจริงดวยกัน ไมมีใครได
ใครเสยี เปรยี บกนั อกี ตอ ไปตลอดอนนั ตกาล
ธาตุขันธเปนสิ่งที่โลกจะพึงสละทั้งที่เสียดาย เราพึงสละดว ยสตปิ ญ ญากอ นหนา
ทจ่ี ะสละขนั ธแ บบโลกสละกนั นน่ั คอื ความสละอยา งเอก ไมม สี องกบั อนั ใด กรณุ าฟง ให
ถงึ ใจ เพราะเขียนดวยความถึงใจ เอวํ ฯ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๗
๔๕๘
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
จงสรา งสมณะขน้ึ ทใ่ี จ
ทา นอาจารยม น่ั ทา นพดู เสมอ เวลาเทศนไปสมั ผสั หรือพูดไปสัมผสั ดงั ที่เขยี นไว
ใน “มุตโตทัย” ก็ดูเหมือนมี แตทานไมแยก ทานพูดรวม ๆ เอาไว ทีนี้เวลาเราเขียนเรา
ถงึ ไดแ ยกออกเปน ตอน ๆ คือผูเขียน “มุตโตทัย“ ไมแ ยกออกเปน ขน้ั ตอน ทานพูดบาง
ครั้งทา นก็ไมแยก แตก็พอทราบได เพยี งยกตน ขน้ึ มาแลว กง่ิ กา นกม็ าดว ยกนั โดยทา น
วา
“ธรรมของพระพุทธเจาตามธรรมชาติแลวเปนของบริสุทธิ์ แตเ มอ่ื มาสถติ อยใู น
ปถุ ชุ นกก็ ลายเปน “ธรรมปลอม” เมื่อสงิ สถติ อยูในพระอรยิ บุคคลจึงเปน “ธรรมจริง
ธรรมแท” นี่ทานพูดรวม ๆ เอาไว
คาํ วา “อรยิ บคุ คล” มหี ลายขน้ั คอื
“พระโสดา” เปน อรยิ บคุ คลชน้ั ตน ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกทิ าคา, อนาคา,
อรหันต” เปนสี่ เมือ่ แยกแลวพระอริยบุคคลผูบรรลุ “พระโสดาบัน” ธรรมในขั้นพระ
โสดาบันก็เปนธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สําหรับพระโสดา แตธรรมขั้น “สกทิ าคา, อนาคา,
อรหันต” เหลา น้ี พระโสดายงั ตอ งปลอมอยภู ายในใจ แมจะจดจําได รูแนวทางท่ีปฏบิ ตั ิ
อยอู ยา งเตม็ ใจก็ตามก็ยังปลอม ทั้ง ๆ ที่รู ๆ อยนู น่ั เอง
“พระสกทิ าคา” กย็ งั ปลอมอยใู นขน้ั “อนาคา”, อรหนั ต” , พระอนาคา” กย็ งั
ปลอมอยใู นขน้ั “อรหัตธรรม” จนกวาจะบรรลุถึงขั้น “อรหตั ภมู ิ” แลว นน่ั แล ธรรมทุก
ขั้นจึงจะบริบูรณสมบูรณเต็มเปยมในจิตใจ ไมม ปี ลอมเลย
บางรายกค็ า นวา “ธรรมของพระพุทธเจาเปนของจริงของบริสุทธิ์ อยทู ไ่ี หนก็
ตองบริสุทธิ์ เชน เดยี วกบั ทองคาํ จะเปนตมเปนโคลนไปไมได”
ถา ไมแ ยกออกพอใหเ ขา ใจ “ทองคําตองเปนทองคํา ไมเปนตมเปนโคลนไปได”
แตเราจะปฏเิ สธไดอยางไรวา ไมมีตมมโี คลนติดเปอนทองคําน้ัน ขณะทค่ี ละเคลา กนั
อย?ู ทองคาํ ทไ่ี มต กในตมในโคลนกบั ทองคาํ ทต่ี กในตมในโคลน มันตางกันหรอื ไม มนั
ตา งกนั นะ !
ทองคาํ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ หนง่ึ ทองคาํ ทเ่ี จือไปดว ยตมดว ยโคลนหนง่ึ เราจะวามัน
บรสิ ทุ ธเ์ิ หมอื นกนั ไดอ ยา งไร? นน่ั ! ตอ งตา งกนั ! ถา เราจะแยกมาพดู เปน ประการท่ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๘
๔๕๙
สอง เชน อาหารทค่ี วรแกก ารรบั ประทานอยแู ลว หยบิ ยกขน้ึ มากาํ ลงั จะรบั ประทาน แต
พลดั จากมอื ลงไปถูกสิง่ สกปรกเสีย อาหารแมจะควรแกการรับประทานก็ไมควร เพราะ
มันเปอนสกปรก จนกลายเปน สง่ิ นา เกลยี ดไปหมดแลว หรือภาชนะที่เปอน อาหารแม
จะสะอาดนารับประทานเพียงไรก็ตาม เมอื่ นาํ มาสูภาชนะทีเ่ ปอ น อาหารนน้ั กเ็ ปอ นไป
ตาม แลวมนั จะบริสทุ ธิ์ไดอยา งไร เมื่อมันเจือดวยของเปอนหรือสกปรกอยูเชนนั้น
นี่ธรรมของพระพุทธเจาก็เชนเดียวกัน ภาชนะในทน่ี ก้ี ห็ มายถงึ ใจ มีใจเทานั้น
เปนคูควรแกธรรม
ทีนใี้ จน้นั มีความสกปรกมากนอยเพยี งไร ธรรมที่เขามาเกี่ยวของก็ตองมีความ
สกปรกไปดวยเพียงนั้น ทท่ี า นเรยี กวา “ปลอม” หมายถึงไมบริสุทธิ์แท ทีนี้ถัดจากนั้นมา
เชน มาดกู นั ในคมั ภรี ใ บลานตามตาํ รบั ตาํ รากเ็ ปน ธรรม แตเราไปเรียนจากนั้น จดจํา
เอามาไวใ นใจ แตใจเราเต็มไปดวยกิเลส ธรรมที่เขามาสูจิตใจเราก็กลายเปน “ธรรมจด
จํา” ไปเสียไมใชธรรมจริง!
ถา วา เปน ธรรมจรงิ ซง่ึ ตา งคนตา งเรยี นและจดจาํ มาดว ยกนั แลว ทาํ ไมกิเลสจงึ ไม
หมดไปจากใจ ยังมีเต็มใจอยู ทั้งๆ ทเ่ี รียนรอู ยูแลว ทกุ สิง่ ทุกอยา งจนกระท่ังถงึ นิพพาน
แตใจก็ยังไมพนจากความมีกิเลสอยูเต็มตัว ฉะนั้นธรรมจึงปลอมอยา งนเ้ี อง
ถาเราไดนําธรรมของพระพุทธเจา ทั้งดานปริยัติและดานปฏิบัติ ออกคลค่ี ลาย
ดว ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทท่ี า นสอนไวโ ดยถกู ตอ งแลว ธรรมจะเรมิ่ จริงไปตง้ั แต
ความจดจํา เมื่อจดจําเพื่อเปนแบบแปลนแผนผังจริงๆ ไมใ ชจ ดจําสกั แตว า จดจาํ
แลว ไมท าํ ตามแบบแปลนแผนผงั เชน เดยี วกบั บา นเรอื นจะมกี แ่ี ปลนกต็ าม ยอ มไม
สําเร็จเปนบานเปนเรือนขึ้นมาได จะมีแต “แปลน” เทา นั้น กร่ี อ ยกพ่ี นั ชน้ิ กม็ แี ตแ ปลน
เรียกวาเปน “บา น” ไมได จนกวา ทาํ การปลกู สรา งขน้ึ มาจนแลว เสรจ็ สมบรู ณต ามแปลน
นั้นๆ จึงจะเรียกวา “บา นเรอื น” โดยสมบูรณได
การจดจาํ เพอ่ื ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ปน อกี อยา งหนง่ึ การจดจําเฉยๆ ไมส นใจ
ประพฤติปฏิบัติเปนอีกอยางหนึ่ง แตถึงยังไงก็ไมพนจากการปฏิบัติตามที่เรียนมา ตอ ง
ไดป ฏบิ ตั ิ
เมอ่ื ปฏบิ ตั แิ ลว “ปฏเิ วธ” คือความรูแจงแทงทะลุไปโดยลําดับ ไมต อ งหว งไม
ตองสงสัย จติ จะตอ งเปน ไปโดยลาํ ดบั ตามความสามารถแหง การปฏบิ ตั นิ น้ั แล
หากชาวพทุ ธเราไดห ยบิ ยก “ปรยิ ตั ิ” และ “ปฏบิ ตั ”ิ ขน้ึ เปน ความจาํ เปน
ความจาํ เปน เปน ความสาํ คญั ภายในตวั สมกับศาสนาเปนธรรมสําคัญ แลว ศาสนาหรอื
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๙
๔๖๐
บคุ คลจะเปน ผูเดน อยดู วยคุณธรรม เดนดวยความประพฤติ เดน ดว ยความรคู วาม
เห็น ทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความสงบรม เยน็ แกต นและสว นรวมมากมายทเี ดยี ว
นศ่ี าสนากส็ กั แตว า จาํ ได และมอี ยใู นคมั ภรี ใ บลานเฉยๆ คนกไ็ ปอกี แบบหนง่ึ
ความจดจาํ กไ็ ปอกี แบบหนง่ึ ภาคปฏบิ ตั กิ เ็ ปน อกี แบบหนง่ึ เขากันไมได ทะเลาะกันทั้ง
วนั ทง้ั คนื ภายในบคุ คลคนเดยี วนน้ั แลว ยงั ทาํ ใหแ สลงแทงตาแทงใจบคุ คลอน่ื สะดุดใจ
คนอน่ื อกี ดว ยวา “ทาํ ไมชาวพทุ ธเรานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาถงึ เปน อยา งนน้ั !” นน้ั มนั ถกู
ทเ่ี ขาตาํ หนิ เราหาที่คานเขาไมได! สว นไหนทผ่ี ดิ ตอ งยอมรบั วา ผดิ
หากไดน าํ การปฏบิ ตั อิ อกแสดงเปน คเู คยี งกบั ปรยิ ตั แิ ลว ผลจะพงึ ปรากฏ
เปน คเู คยี งกนั สิ่งที่ปรากฏขึ้นดวยใจจากการปฏิบัติที่ไดรูจริงเห็นจริงตามขั้นตามภูมิ
ของตนแลว ยอมพดู ไดถ ูกตอ งตามหลักแหง การปฏบิ ัติทไ่ี ดร ไู ดเหน็ ตามขัน้ นน้ั ๆ ไม
สงสัย และการพดู กจ็ ะมคี วามอาจหาญไมส ะทา นหวน่ั ไหว และเกรงกลัวใครจะคัดคาน
เพราะรูจริงๆ เห็นจริงๆ จะสะทกสะทานเพื่ออะไร! ไมมีการสะทกสะทาน เพราะไมได
ลบู ไดค ลาํ แบบสมุ เดา ไมไดยืมเอาของใครมาพูด แตน าํ ออกจากสง่ิ ทเ่ี ปน ทเ่ี หน็ ทเ่ี ขา ใจ
แลวมาพูดจะผิดไปไหน! แลว จะสะทกสะทา นหาอะไร เพราะตางคนตางหาความจริงอยู
แลว เราก็รูความจริงตามกําลังของเรา พูดออกตามความรูความสามารถของตน จะมี
ความสะทกสะทา นทไ่ี หนกนั ไมม!ี
พระพุทธเจา เราก็ไมเคยทราบวา พระองคไปเรียนเรื่องพระนิพพานมาจากไหน
มรรคมีองคแปด ที่เรียกวา “มัชฌิมาปฏิปทา” ก็ไมไดไปเรียนมาจากไหน ทรงขุดคนขึ้น
ตามพระกําลังความสามารถในพระองคเอง จนกระทั่งไดทรงรูทรงเห็นธรรมเปนที่พอ
พระทัย แลว นาํ มาสอนโลกไดท ง้ั นน้ั ใครจะมคี วามสามารถยิง่ กวาพระพุทธเจา ซึ่งมิได
ทรงเรียนมาจากไหน ยังเปน “สัพพัญ”ู รูดวยพระองคเองได
พทุ ธศาสนาถา อยากใหม คี ณุ คา สมกบั ศาสนาเปน ของมคี ณุ คา จรงิ ดงั กลา ว
อา งแลว คนกค็ วรจะทาํ ตวั ใหม คี ณุ คา ขน้ึ มาตามหลกั ศาสนาทท่ี า นสอนไว ตวั เองก็
ไดร บั ประโยชน ไมต อ งแบกคมั ภรี อ ยเู ฉยๆ ใหห นกั บา นอกจากนน้ั จิตใจกย็ งั ไมม ี
กเิ ลสตวั ไหนทพ่ี อถลอกบา ง จึงไมเกิดประโยชน ไมส มชอ่ื สมนาม สมกับพระประสงคที่
พระพุทธเจา ทรงสง่ั สอนไวเ พื่อถอดถอนกิเลสอาสวะตามหลกั ธรรม
เรากลบั มาแบกกเิ ลสดว ยการจดจํา การเรยี นไดม ากนอ ย เลยเขา กนั ไมไ ด
กบั ความมงุ หมายของศาสนา นแ้ี ลธรรมกลายเปน โลก! เปน ไดอยา งน้เี อง
ธรรมเปนธรรมก็ดังที่วาการเรียนมาแลวก็ตองปฏิบัติ เม่ือปฏิบตั ติ ามธรรมแลว
ตองรูความจริง เพราะแนวทางแหงการสอนนั้น พระพุทธเจาทรงสอนไวแลวโดยถูก
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๐
๔๖๑
ตองเปน “สวากขาตธรรม” ดว ยกนั ทง้ั สน้ิ ไมมีทางปลีก และไมเปนความผิด นอกจากผู
ปฏิบัติจะเห็นผิดโดยลําพังตนเองก็ชวยไมได เพราะปน เกลยี วกบั ความจรงิ คอื ธรรม
ถาศาสนธรรมของพระพุทธเจาเปนดังสินคาตางๆ ซึ่งสามารถประกาศทาทาย
ดวยคุณภาพและการพิสูจน ไมว า จะนาํ ไปสตู ลาดใดทม่ี สี นิ คา อน่ื ๆ อยูมากมายหลาย
ชนิด พอนาํ สนิ คา คอื ศาสนธรรมนอ้ี อกไปถงึ ทใ่ี ด ทน่ี น้ั ตลาดสนิ คา ชนดิ ตา งๆ ลมไปใน
ทันทีทันใด เพราะคนหาของดี ของจริงอยูแลว เมื่อเจอเขากับสิ่งที่ตองตาตองใจทําไม
จะไมทราบ แมแตเด็กยังทราบได
แตน ไ้ี มใ ชว ตั ถทุ จ่ี ะออกประกาศขายหรอื แขง ขนั กนั ไดด งั สนิ คา ทง้ั หลาย นอก
จากความประทับใจของผูสัมผัส และผูปฏิบัติจะพึงรูพึงเห็นโดยลําพังตนเองเทานั้น
เพราะการที่รูเห็นก็ไมใชอยากเห็นเพื่อสั่งสมกิเลส เพอ่ื สง่ั สมความโออ วด ความ
เยอหยิ่งจองหองลําพองตนซึ่งเปนเรื่องของกิเลส
ทา นผใู ดมคี วามรคู วามเหน็ มากนอ ยเพยี งไร กเ็ ปน การถอดถอนกเิ ลส ซึ่งเปน
ขา ศกึ แกต นและผอู น่ื ออกไดม ากนอ ยเพยี งนน้ั แลว ไหนจะไปทโ่ี ออ วด ซึ่งเปน การสง
เสริมกิเลสขึ้นมาใหโลกเอือมระอา ซง่ึ ไมส มกบั ตวั วา ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกเ พอ่ื ถอดถอนกเิ ลส
เลย
ดวยเหตุนี้ผูปฏิบัติเปนธรรม รูมากรูนอยเพียงไร ทานจึงเปนไปดวยความสงบ
ควรจะพดู หนกั เบามากนอ ย ทานกพ็ ูดไปตามควรแกเ หตุ ไมควรพูดก็นิ่งไปเสีย ไมห วิ
โหย ไมเ สยี ดาย อยไู ปแบบ “สมณะ” คือ สงบดว ยเหตดุ ว ยผล พดู กพ็ ดู ดว ยเหตดุ ว ย
ผล นแ่ี หละทา นวา
“สมณานจฺ ทสสฺ นํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ” “การเหน็ สมณะผสู งบจากบาป
ความลามก เปน มงคลอนั สงู สดุ ”
คาํ วา “สมณะ” ตั้งแต “สมณะ ทห่ี นง่ึ สมณะ ท่สี อง ทส่ี าม ที่สี่ สมณะทห่ี นง่ึ ก็
คือ “พระโสดา”ที่สองคือ “สกทิ าคา” ทส่ี ามคอื “อนาคา” ทส่ี ค่ี อื ”พระอรหันต” เรียกวา
“สมณะ” เปนขั้นๆ”
ถาเราพูดเปนบุคคลาธิษฐาน กห็ มายถงึ ทานผูเปนสมณะตามขั้นภูมิแหงธรรม
นั้นๆ เชน พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต ซึ่งเปนมงคลแกผูไดเห็น
ไดก ราบไหวบ ชู าทา น นเ้ี ปน สมณะภายนอก
เมอ่ื ยอ นเขา มาภายใน การเหน็ สมณะที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ภายในจติ ใจ ดวย
การพิจารณา “สจั ธรรม” ซึ่งเปนเครื่องเปดมรรคผลขึ้นมาประจักษใจนั้น เปน มงคลอนั
สงู ยง่ิ ประการหนง่ึ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๑
๔๖๒
ตองยนเขามาเปนประโยชนสําหรับตัว ไมง น้ั เรากค็ อยมองหาแต “สมณะภาย
นอก” สมณะองคใดทานเปนพระโสดา องคไ หนทา นเปน พระสกทิ าคา องคไ หนทา น
เปนพระอนาคา องคไหนทานเปนพระอรหันต” แมองคไ หนๆ ทานก็ไมมี “เบอร”
เหมือนเบอร นายรอ ย นายพนั ติดตัวติดบา จะไปรูทานไดยังไง!
ถาทานเปนพระโสดา พระสกทิ าคา พระอนาคา หรือ พระอรหันตจริงๆ จะไมมี
ทางทราบได ดว ยอากปั กริ ยิ าทท่ี า นจะมาแสดงออกทา ออกทาง ดงั ทโ่ี ลกสกปรกทาํ กนั
อยนู เ้ี ลย ทา นไมท าํ ทา นทาํ ไมล ง ไมใ ชว สิ ยั ของทา นผสู ะอาด ผูมุงตออรรถตอธรรมจะ
ทําไดอ ยา งน้นั การที่จะหา “สมณะ” อยา งนม้ี ากราบมาไหวน น้ั ไกลมาก อยหู า งเหนิ มาก
ไมทราบจะไดพบปะทานเมื่อไร
โอวาทใดท่ีทา นสอนเพอื่ บรรลุถงึ “สมณะ ทห่ี นง่ึ ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่ี “ นาํ โอวาท
นน้ั เขา มาปฏบิ ตั ติ อ ตวั เอง เพื่อใหสําเร็จเปน “สมณะ ที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่”ี ขึ้นมา
ภายในน้ี เปนความเหมาะสมอยางยิ่ง เรยี กวา ”จับถูกตัว” เลย ไมตองไปตามหารอง
รอยหรือตะครุบเงาที่ไหนใหเสียเวล่ําเวลา
เอา! เราพบครูบาอาจารยที่ทานเปนอรรถเปนธรรม ผมู กี ายวาจาใจสงบ หรือ
ทานผูเปนสมณะที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ก็เปน การดี เมอ่ื ไดพ บแลว อยา ใหพ ลาดจาก
สมณะที่หนง่ึ ที่สอง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ซงึ่ จะเกดิ ข้ึนไดภายในใจเราเอง ดวยการปฏิบัตขิ องเราน่ี
พระพุทธเจาไมทรงผูกขาด จะพึงไดผ ลโดยทว่ั ถงึ กนั เม่ือเหตุสมบูรณแลว เราจึงควร
นอ มธรรมเหลา นน้ั เขา มาเพอ่ื ตน
“โสตะ” แปลวา กระแส คือบรรลุถึงกระแสพระนิพพาน แตพ วกเรามกั คาดกนั
ไปตางๆ จนไมมีประมาณวา กระแสพระนิพพานนั้นเปน อยา งไรบาง กระแสกวา งแคบ
ลกึ ตน้ื หยาบละเอยี ดขนาดไหน ซึ่งกลายเปน สญั ญาอารมณไ ป โดยไมเกิดประโยชน
อะไรเลย
ความจรงิ กระแสกค็ อื แดนแหงความแนนอน ทจ่ี ะกา วถงึ ความพน ทกุ ขไ ม
เปน อน่ื นน่ั เอง
ผปู ฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ ขอใหม คี วามรม เยน็ ภายในใจเถอะ จะกระแสไมกระแสก็
ตามคือจิตดวงนี้เอง ซึง่ ไดรบั การบํารุงสงเสริมในทางดีอยูเสมอไมลดละลา ถอย
อะไรจะเปนพระนิพพานได บา นเปน บา น เรือนเปนเรือน ดินเปนดิน น้ําเปนน้ํา
ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ ดนิ ฟา อากาศ แตละชิ้นละอันไมสามารถที่จะเปนพระนิพพาน
หรือนํามาเปนพระนิพพานไดเลย จะปรับปรุงใหเปนพระนิพพานก็ไมได จะปรับปรุงให
เปนพระโสดาบันก็ไมได พระสกิทาคาก็ไมได พระอนาคากไ็ มไ ด พระอรหันตก็ไมได
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๒
๔๖๓
แลวจะปรับปรุงใหเปนพระนิพพานไดอยางไร นอกจากจติ ดวงเดียวเทานเี้ ปน ผทู ่ี
สามารถจะเปนไปได ดวยการประพฤติปฏิบัติ กําจัดสิ่งที่ปกปดกําบังซึ่งมืดมิดปดตาอยู
ภายในใจนอ้ี อกไปไดโ ดยลาํ ดบั ความสงบสขุ หากเกดิ ขน้ึ มาเอง ที่ไมสงบก็เพราะสิ่ง
เหลา นเ้ี ปน ผกู อ กวน เปน ผยู แุ หยใ หก งั วลวนุ วายอยทู ง้ั วนั ทง้ั คนื ยนื เดิน นง่ั นอน ทุก
อริ ยิ าบถ หาแตเรื่อง วนุ วายตวั เอง กค็ อื เรื่องของกิเลส จะใหใจสงบไดอยางไร เรื่องของ
กิเลสจึงไมใชของดีสําหรับสัตวโลกแตไหนแตไรมา
สตั วท ง้ั หลายชอบถอื วา เปน ของดไี มค ดิ ปลอ ยวาง ฤทธข์ิ องมนั จงึ ทาํ ใหบ น กนั ออ้ื
ไปหมด ถามันดีจริงๆ ทําไมจึงไดบนกัน การท่ีบน กันก็เพราะเร่อื งของกิเลสพาใหเ กดิ
ทกุ ขเ กดิ ความลาํ บาก ทา นจงึ สอนใหส รา ง “สมณธรรม” ข้นึ ท่นี ี่!
“สมณะ” แปลวา ความสงบ เมอ่ื สงบแลว กค็ อ ยๆ กลายเปน “สมณะทห่ี นง่ึ ” ที่
สอง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ขึ้นไปโดยลําดับภายในใจเรา
การปฏิบัติเพื่อบรรลุ “สมณธรรม” ทั้งสี่นี้ปฏิบัติอยางไร?
ใน “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทานแสดงไวเปนรวมๆ ไมค อ ยละเอยี ดลอออะไร
ผูเ รม่ิ ปฏิบัติอาจเขา ใจยากนัก
“ทกุ ขฺ ํ อริยสจฺจ”ํ สัจธรรมหนึ่ง ทา นวา อยา งนน้ั “ชาตปิ ทกุ ขฺ า ชราป ทกุ ขฺ า
มรณมปฺ ทกุ ขฺ ํ โสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสาป ทุกฺขา” เรื่อยไป วา นเี้ ปนเรอื่ งความ
ทุกข ทกุ ขท่แี สดงตวั ออกมาน้มี ีสาเหตเุ ปน มาจากอะไร? กม็ าจากความเกดิ เกิดเปนตน
เหตุที่ใหเกิดความทุกข ทีนี้ตัวเกิดจริงๆ มีตนเหตุมาจาก “อวชิ ชา” “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺ
ขารา” แลวอะไรท่ีทาํ ใหเ กดิ ถา ไมใ ช “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” จะเปนเพราะอะไร ทา น
ขึ้นตรงนี้เลย
ทา นอาจารยม น่ั ทา นแยกยงั งอ้ี กี นา ฟง มาก ทา นวา “ฐตี ิภูตํ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺ
ขารา” อวิชชา ไมมีที่อยูอาศัย ไมมีพอแมเปนที่เกิดจะเกิดไดอยางไร อยไู ดอ ยา งไร ก็
ตองอาศัย “ฐตี ิภูตํ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” นี่เปนสาเหตุที่จะใหเกิดเปนภพเปนชาติ
ขึ้นมา อนั นม้ี แี ยกออกเปน สามประเภท “นนทฺ ริ าคสหคตา ตตรฺ ตตฺราภินนฺทิน.ี เสยฺย
ถีท.ํ กามตณหฺ า ภวตณฺหา วภิ วตณหฺ า” น!่ี ทา นวา นแ้ี ลคอื “สมุทัย” “สมุทัย อริยสจฺ
จ”ํ นก่ี เ็ ปน อรยิ สจั แลว จะนาํ อะไรเขา มาแก!
“สมุทัย อรยิ สจั ” น้ี ลวนแตสิ่งที่จะทําจิตใหขุนมัว เปนเรื่องหรือเปนธรรมชาติที่
รบกวนจติ ใจใหข นุ มวั จนเปน ตมเปน โคลนไปได ถา เปน วตั ถุ ในบรรดาสมทุ ยั มากนอ ยท่ี
กลา วมาน้ี กามตณั หากต็ าม ภวตณั หากต็ าม วภิ วตณั หากต็ าม เปน ความหวิ ความโหย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๓
๔๖๔
ความทนอยูเปนปกติสุขไมได หมดความสงบสขุ อยูโดยลําพังตนเองไมได เพราะคํา
วา “ตัณหา” ตองหิวโหยดิ้นรน ดน้ิ ไปทางโนนดิน้ มาทางน้ี ดิ้นไปทางหนึ่งเปน
กามตณั หา ดน้ิ มาทางหนง่ึ เปน ภวตณั หา ดน้ิ ไปอกี ทางหนง่ึ เปน วภิ วตณั หา มนั ลว นแต
ความหิวโหย ที่จะทําใหจิตใจดิ้นดวยอํานาจของกิเลสสามเหลานี้เปนเครื่องกดขี่บังคับ
หรือรีดไถ พูดงายๆ เอาอยา งนถ้ี งึ ใจดี สาํ หรบั นกั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกไ ขกเิ ลสตวั ใหโ ทษ
ตลอดมา
จิตที่ทรงตัวไมไดตามปกติของตน กเ็ พราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ผทู าํ ลายหรอื กอ กวน
เปนผูยุแหย เปน ผทู าํ ความวนุ วายอยตู ลอดเวลาหาความสงบไมไ ด แลว จะแกอ นั นด้ี ว ย
วธิ ใี ด?
ทา นกส็ อน “สมมฺ าทฏิ ฐ ิ สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ขน้ึ เลย โดยทาง “มคฺค อริยสจฺจ”ํ
เปน เครอ่ื งแกธ รรมชาตทิ ก่ี อ กวนวนุ วายระสาํ่ ระสาย เพราะอํานาจแหงความหิวโหยทน
อยูไมไดเหลานี้ ไมว า สตั วไ มว า บคุ คลถา เกดิ ความหวิ โหยขน้ึ มาแลว ไมไดสุจริตก็เอา
ทางทุจริต ไมไดทางที่แจง ก็เอาที่ลับ เอาจนได เพราะความหวิ โหยมนั บบี บงั คบั ใหต อ ง
ทํา หรอื เพราะความทะเยอทะยานอยากตางๆ ตลอดความหวิ โหยนน่ั เอง มนั บบี บงั คบั
จิตใจใหตองเสือกตองคลานไปตางๆ นานา เพราะอยใู ตอ าํ นาจของมนั ตอ งเปน ความ
ทุกข ทกุ ขท รมานทว่ั หนา กนั
ทุกขเพราะอะไร ทุกขเพราะ “สมุทัย” เปนผูลากผูเข็นใจสัตวโ ลก จนถลอกปอก
เปกไปทุกภพทุกชาติ ทง้ั วนั ทั้งคืน ยนื เดิน นั่ง นอน อาการทค่ี ดิ ออกมาแงใ ด มีแตถูก
สมุทัยฉุดลากเข็นเขนตีทั้งนั้น แลวเราจะเอาอะไรมาดับสิ่งเหลานี้ เอาอะไรมาแกไขสิ่ง
เหลา น้ี ?
“สมมฺ าทฏิ ฐ ิ สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป สมมฺ าวาจา สมมฺ ากมมฺ นโฺ ต สมมฺ าอาชโี ว สมมฺ า
วายาโม สมมฺ าสติ สมมฺ าสมาธิ” นี้แลเปนเครื่องมือที่ทันสมัย และเหมาะสมที่สุด ที่จะ
ปราบปรามกเิ ลสทง้ั สามประเภทนีใ้ หส ้นิ ซากลงไปจากใจ ไมม เี ครอ่ื งมอื อน่ื ใดทจ่ี ะ
เหนอื ไปกวา “มชั ฌมิ าปฏปิ ทา” น้ี
“สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ ความเหน็ ชอบนน้ั เหน็ อะไรเลา ? เวลานใ้ี จเรามนั เหน็ ผดิ ทง้ั นน้ั
กามตณั หา กค็ อื ความเหน็ ผดิ ภวตณั หา กค็ อื ความเหน็ ผดิ วภิ วตณั หา ลว นแตเ รอ่ื ง
ความเห็นผิดทั้งนั้น มนั ถงึ ไดเปนทางกายทางใจไมลดหยอ นผอ นคลาย ทําไมถึงรัก รัก
เพราะเหตุใด เอาสติปญญาคนลงไป ซง่ึ กไ็ มห นจี ากกายน้ี รกั กร็ กั กายนก้ี อ นอน่ื รกั กาย
นก้ี ร็ กั กายนน้ั ! กามตัณหามันมอี ยทู ต่ี รงน้ี แยกหาเหตหุ าผลออกมา มันรักเพราะอะไร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๔
๔๖๕
รักเนื้อ รกั หนงั รักเอ็น รักกระดูก รกั ผม รักขน ยังงั้นเหรอ? ของใครของเรามันก็
เหมอื นกนั น้ี รักอะไรมัน ?
กริ ยิ าทแ่ี ยกหรอื ทาํ การแยกน้ี ทานเรียกวา “มรรค สมมฺ าทฏิ ฐ ิ” คือ ปญญา
ไตรตรองกลั่นกรองดหู าสง่ิ ท่ีมันยึดมันถอื วา มนั ยดึ ถอื เพราะเหตใุ ด มีสารคุณอะไรมัน
ถึงไดยึดไดถือ ความยึดถือแทนที่จะเกิดผลเกิดประโยชน เกดิ ความสขุ ความสบาย แต
มนั กลายเปน ไฟขน้ึ มาทง้ั กองภายในใจ ทาํ ใหเ กดิ ความลาํ บากลาํ บน ทนทุกขทรมาน
เพราะความยึดความถือ
ความยดึ ถอื มาจากความสาํ คญั ผดิ เขาใจวานั่นเปนเรา นี่เปนของเรา มันเปน
ความผิดไปทั้งนั้น ปญญาจึงตองตามแกใหเห็นตามความเปนจริงของมัน ทานจึงสอน
ใหพ จิ ารณากาย “กายคตาสติ” เอา ! พิจารณาลงไป ทง้ั ขา งนอกขา งใน ขา งบนขา งลา ง
ภายในกายนอกกาย พจิ ารณาใหล ะเอียดทัว่ ถึง ซาํ้ แลว ซาํ้ เลา จนเปนที่เขาใจแจมแจง
ชัดเจน นค้ี อื เรอ่ื งของปญ ญา ซง่ึ เปนเครื่องปราบความอยากความหวิ ความกระหาย ซึ่ง
เกิดข้ึนจากอํานาจของกิเลส ไมม อี นั ใดทจ่ี ะระงบั ดบั สง่ิ เหลา นใ้ี หห ายความอยากได
นอกจาก “สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” อันเปนองคแหงมรรคแปดนี้เทานั้น
“มคฺค อริยสจฺจํ” นี่คอื เครอื่ งมือปราบกเิ ลสทุกประเภท ควรดําเนินตามนี้ สติ
ปญญาเปนเครื่องมือที่ทันกลมารยาของกิเลส ฟาดฟนลงไปพิจารณาลงไปอยารั้งรอ
ตรงไหนที่มืดดํา ตรงนั้นนะอสรพิษมันอยูตรงนั้น ปญญายังตามไมทันที่ตรงไหน ตรง
นั้นจะเปนตัวเปนตน เปนสัตวเปนบุคคล เปนเราเปนเขา เปน ของเราของเขาขึ้นมาท่ี
ตรงนั้น
ปญญาสอดแทรกลงไป เห็นลงไปตามคัมภีรธรรมชาติ คอื กายกบั จิต แลว ความ
จริงจะเปดเผยขึ้นมา ไมมีคําวา “บคุ คล“ คําวา “สตั ว” คาํ วา “เขา,เรา” ไมมี ! มีไดยังไง
ปญ ญาลงหย่ังถงึ ความจริงแลว ความเสกสรรเหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งจอมปลอม ทเ่ี กดิ จาก
กเิ ลสจอมหลอกลวงตา งหาก
ทนี ้ีปญ ญาตามชะลางใหส ะอาดลงไปโดยลาํ ดบั จนตลอดท่ัวถึง จติ ทถ่ี กู กดถว ง
เพราะอาํ นาจ “อปุ าทาน” มาเปน เวลานาน ยอ มถกู สตปิ ญ ญาเปน ผถู อดถอนขน้ึ มา ถอน
กรรมสิทธิ์ ไมปกปนเขตแดนไววา อันนั้นเปนเราเปนของเรา นั่นเปนเขตแดนของเรา
เฉพาะอยา งยง่ิ กใ็ นวงขนั ธห า น้ี มันเปนเขตแดนที่เราปกปนมาตั้งแตวันเกิด นี่เปนเรา น่ี
เปนของเรา เนื้อเปนเรา เอ็นเปนเรา กระดูกเปนเรา แขนเปนเรา ขาเปนเรา เปนของ
เรา อวัยวะทุกชิ้นทุกสวนเปนเราเปนของเราเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่สิ่งเหลานั้นเขาไมไดรับ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๕
๔๖๖
ทราบรับรูอะไรจากเราเลย แตเราปกปนเขตแดนเอาเอง เมื่อมีอะไรลวงล้ําหรือมา
สมั ผัสสัมพันธใหเ กิดความเจ็บความไมสบายขน้ึ มา กเ็ กิดความทุกขข น้ึ ภายในจิตใจ
นอกจากเกดิ ความทกุ ขข น้ึ ภายในกายแลว ยงั เกดิ ความทกุ ขข น้ึ ภายในใจอกี
เพราะความรักความสงวน ความปกปนเขตแดน อันนั้นเปนตนเหตุ
การพิจารณาดูใหเหน็ ตามความจริงน้ันทา นเรยี กวา “พิจารณา สัจธรรม” ดว ย
ปญญาสมมฺ าทฏิ ฐ ิ สรุปแลวกไ็ ดแกค วามเห็นชอบในสจั ธรรมท้ังส่ี มีทุกขสัจ เปนตน
ความดาํ รทิ เ่ี ปน ไปเพอ่ื การถอดถอนกเิ ลสทง้ั มวลนน้ั แล “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ทา น
แยกเปน ๓ คอื (๑) ความไมพ ยาบาทปองรา ยผอู น่ื ที่เปนบาลีวา “อพยฺ าปาทสงกฺ ปโฺ ป”
เรอ่ื งของกเิ ลสนน้ั ใฝท างพยาบาทเปน พน้ื ฐาน
(๒) “อวหิ สึ าสงกฺ ปโฺ ป” คอื ไมเบียดเบยี นตนและผอู ื่น และ
(๓) “เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปโฺ ป” ความคดิ ดาํ รเิ พอ่ื ออกจากเครอ่ื งผกู พนั มกี ามฉนั ทะ
เปนตน
โดยหลักธรรมชาติกอนทจี่ ะออกไปกระทบกระเทอื นคนอื่น ตองกระทบ
กระเทอื นตนเสยี กอ น เพราะความเหน็ ผดิ ของจติ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสนแ้ี ล สมฺ
มาสงกฺ ปโฺ ป จงึ ตอ งแกก นั ตรงน้ี รวมกนั แลว สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป สมมฺ าทฏิ ฐ ิ กเ็ หมอื น
เชอื กสองเกลียวท่ีฟนกนั เขาเปนเกลียวเดียวใหเ ปนเชอื กเสนหน่งึ ขน้ึ มา เพอ่ื ใหม กี าํ ลงั
นั่นเปนเพียงอาการของจิตที่คิดในแงตางกัน รวมแลว กค็ อื ปญ ญาความแยบคายของจติ
ดวงเดยี วนนั่ แลว เหมอื นเชอื กหนง่ึ เสน หรอื เชอื กเสน หนง่ึ เอง รวมทั้งแปดนั้นก็มาเปน
เชือกเสน หนง่ึ คอื “มัชฌิมาปฏิปทา” ทางสายกลาง หรอื เครอ่ื งมอื แกก เิ ลส ที่เหมาะ
สมอยา งยงิ่ ตลอดมาแตค รั้งพทุ ธกาลน้ันแล
จะพิจารณาอะไร ถา ไมพ จิ ารณาสง่ิ ทพ่ี วั พนั จติ ใจเราอยเู วลาน้ี และแกที่ตรงนี้
ดวย “มรรค” คอื “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” เปนตนนี้แล มรรคเทานั้นที่จะแกกิเลสออกจากจิต
ใจได ถอื รา งกายหรอื ขนั ธเ ปน เวที คน ควา ดว ยสตปิ ญ ญา ตอ สกู บั ความลมุ หลงของตน
สกู นั บนเวที คอื รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ นี้เปนที่พิสูจนสิ่งเหลานี้ อันเปน
เปาหมายแหงการพิจารณา จนเห็นตามความจริงของมัน
เทศนไปทอ่ี ื่นไมสะดวกใจ ถาเทศนลงตรงน้รี สู ึกถนดั ใจ จุใจ เพราะนเี้ ปนตวั จริง
กิเลสก็อยูท ีต่ รงนี้ มรรคก็อยูที่ตรงนี้ หรือสัจธรรม ทกุ ข สมุทัย ก็อยูที่ตรงนี้ นโิ รธกบั
มรรคก็อยูที่ตรงนี้ เมื่อ “มรรค” ทาํ การดบั กเิ ลสไปโดยลาํ ดบั นโิ รธคอื ความดบั ทกุ ขก ็
ปรากฏขน้ึ มาเอง ตามกําลังของมรรคซึ่งเปนผูดําเนินงาน สติปญญาเปนผูฟาดฟนกิเลส
ใหฉ บิ หายลงไปเปน ลาํ ดบั กเ็ ปน การดบั ทกุ ขไ ปโดยลาํ ดบั ใครจะไปตั้งหนาตั้งตาดับ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๖
๔๖๗
ทุกขโดยไมตองดําเนิน “มรรค” ยอมเปนไปไมได ทา นบอกวา “นิโรธ ควรทาํ ใหแ จง ”จะ
เอาอะไรไปทํา? ถาไมเอามรรคไปทําใหแจงขึ้นมาซึ่งนิโรธ เราจะพยายามทํานิโรธใหแจง
เฉยๆ โดยไมอาศัยมรรคเปนเครื่องบุกเบิกทางแลวไมมีทางสําเร็จ เพราะธรรมนี้เปนผล
ของมรรคที่ผลิตขึ้นมา
ทา นสอนไวเ ปน อาการเฉยๆ หลกั ใหญแ ลว พอสตปิ ญ ญาจอ ลงไป เพียงจุดหนึ่ง
เทานั้นจะกระเทือนไปถึง “สัจธรรมทั้งสี่” นั้นโดยลําดับ ทาํ งานพรอ มกนั เหมอื นกบั จกั ร
ตวั เลก็ ตวั ใหญ ทาํ งานพรอ มกนั ในวงงานอนั เดยี วกนั ถา ไปแยกแยะยงั งน้ั แลว ยอ มจะวก
วน เหมอื นตามรอยววั ในคอกนน่ั แล หาทางไปไมได
จึงควรพิจารณาลงในอาการใดก็ได ในรูปธรรมหรือนามธรรม มอี ยใู นกายอนั
เดียวกัน เชน รปู กม็ หี ลายอาการดว ยกนั ขณะพิจารณารูป แมเ วทนาเกิดขึน้ กไ็ มห วนั่
ไหว รูปเปนรูป เวทนากส็ กั เปน “นามธรรม” หาตนหาตวั หาสตั วห าบคุ คล หาเราหาเขา
ไดที่ไหน ไมวาจะสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา มลี กั ษณะคลา ยคลงึ กนั เขาเปนตนหรือเปน
ตัว เปน สตั วเ ปน บคุ คลทไ่ี หน เพียงเปนนามธรรมอยางเดียวเทานั้น ปรากฏขึ้นในจิต
เมือ่ จิตไดทราบวา อาการปรากฏข้ึนเปน ลักษณะแหง ความทกุ ข เปน ลกั ษณะแหง
ความสุข แลวก็ดับลงไปตามเหตุปจจัยที่พาใหดับ แนะ ! ปญญาจึงมีทางที่จะทราบได
ตามสิ่งที่มีอยู เพราะไมใชสิ่งที่ลี้ลับ แตเ ปนสง่ิ ท่เี ปดเผยดวยความมอี ยแู ละปรากฏข้ึน
ตามเหตุปจจัยที่พาใหเปนเทานั้น
รูปขันธ กอ็ ยทู กุ วนั ทกุ เวลา พาหลบั พานอน พาขบั พาถา ย พายืนพาเดิน ก็รูป
ขนั ธน เ่ี อง เวทนาขนั ธกแ็ สดงตวั อยทู กุ เวลา แมในขณะนม้ี ันกแ็ สดงใหเรารอู ยเู ชน กัน
ไมส ขุ กท็ กุ ขส บั เปลย่ี นกนั ไปมาอยา งนแ้ี หละ สาํ คญั ทใ่ี จอยา ใหท กุ ขด ว ย ทกุ ขก ใ็ หท ราบ
วาขันธน ้เี ปน อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อยาใหจิตไปยุงกับเขา จติ ก็ไมเปนทุกข
คาํ วา “เวทนา” เวทนานี้เทศนทุกวัน จึงควรฟงใหเขาใจ กเิ ลสมนั เกาะแนน อยู
กบั ขนั ธห า น้ี ไมมีวันมีคืน มีปมีเดือน ไมทราบวาของเกา ของใหม แตเ กาะเสยี แนน
เกาะมากป่ี ก เ่ี ดอื นกก่ี ปั กก่ี ลั ปม าแลว เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณาวนั หนง่ึ ๆ เวลาหนง่ึ ๆ
จึงไมพอ การเทศนวันหนึ่งเวลาหนึ่งจึงไมพอ ตองเทศนซ้ํากันใหเขาใจ เปน ทแ่ี นใ จ
พจิ ารณากพ็ จิ ารณาซาํ้ ใหเ ปน ทเ่ี ขา ใจแลว กป็ ลอ ยเอง เอาใหเห็นชัดเวทนา,
ทกุ ขเวทนามที ไ่ี หนบา ง? มีที่ไหนก็เปนทุกขเวทนาจะใหเปนอื่นไปไมได ตองเปนธรรม
ชาติความจริงของเขาอยูเชนนั้น
“สญั ญา” กจ็ ําได เคยจํามาเทาไรแลวตั้งแตวันเกิดจนบัดนี้ แลวหาอะไรเปน
สาระไดบ า ง ถามันเปนตัวเปนตน เปน สตั วเ ปน บคุ คลจรงิ ๆ นํามาใสตูก็คงไมมีตูที่ไหน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๗
๔๖๘
ใส เพราะมันจําไมหยุดไมถอย แตพ อจาํ ไดแ ลว กผ็ า นไป ๆ ไมม อี ะไรเหลอื อยเู ลย นน่ั !
ฟงซิ เอาสาระแกน สารอะไรกบั สง่ิ เหลา น้ี
“สงั ขาร” ปรุงวันยังค่ําคืนยังรุง ปรงุ เสียจนรอนหวั อกกม็ ี ถา ปรงุ มากๆ ปรุงเสีย
จนหวั ใจแทบจะไมท าํ งาน เพลียไปหมด สังขารคือความปรุง ถา ไมร ะงบั มนั ดว ยสติ
ปญญาไมมีทางระงับไดตลอดไป และตายดวยมันไดจริงๆ เชนคนคิดมากเพราะความ
เสียใจ เรื่องของกิเลสมันเอาสังขารเปนเครื่องปรุง เปนเครื่องมือ และผลกั ดนั ออกมาให
ปรุงไมหยุดไมถอย ปรุงสิ่งนั้น สาํ คญั สง่ิ น้ี
ทั้งสัญญา ทั้งสังขารเปนเครื่องมือของกิเลส แลวก็พุงลงไปที่หัวใจของเรา ให
เกิดความทุกขความทรมานไมใชนอยๆ มากกวา นน้ั กเ็ ปน บา ได คนเราเปนทุกขเพราะ
คิดมากมันดีนกั เหรอ สงั ขาร ?
“วญิ ญาณ” ก็เพียงรับทราบ รบั ทราบแลว กด็ บั ไปพรอ มๆ ในขณะทีร่ ับทราบจาก
สิ่งที่มาสัมผัส มสี าระแกน สารทไ่ี หน เราหลงสิ่งเหลานี้แหละเราไมไดหลงสิ่งอื่นๆ นะ
นอกนน้ั มนั กเ็ ปน ผลพลอยไดข องกเิ ลสไปอกี ประเภทหนง่ึ
หลักใหญจริงๆ มันอยูตรงนี้ จึงตองพิจารณาตรงนี้ใหเห็นชัด นเ่ี รยี กวา “ดาํ เนนิ
มรรคปฏิปทา” หรอื เรียกวา “มรรคสัจจะ” เครอ่ื งแกค วามหลง วนุ วาย ความยดึ มน่ั ถอื
มน่ั ของใจใหถ อยตวั ออกมา ใจจะไดส บายหายหว งจากสง่ิ เหลา น้ี เพราะการปลอยวาง
ได
อนั ความตายเปน หลกั ใหญเ หนอื โลกจะหา มได กฎอนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า เปน
เหมือนทางหลวง เพราะเปนคติธรรมดา ไมถ งึ กาลเวลามนั กไ็ มส ลาย ถงึ แมจ ะยดึ ถอื มนั
สกั เทา ใดกต็ าม เมอ่ื ถงึ กาลมนั แลว หา มไมฟ ง มันก็ไปของมัน ซง่ึ เรียกวา “ทางหลวง”
ตามคติธรรมดา ซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ทว่ั โลกดนิ แดนเปน อยา งนด้ี ว ยกนั ทง้ั นน้ั จะไม
เรยี กวา เปน ทางหลวงไดอ ยา งไร ใครจะไปกีดขวางหวงหามไมได มันตองเดินตามทาง
หลวงตามคติธรรมดาซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ทว่ั โลกดนิ แดนเปน อยา งนด้ี ว ยกนั ทง้ั นน้ั
พิจารณาใหเปนไปตามความจริงของมัน ทเ่ี รยี กวา “โคน ไมต ามลม”
อยาไปขัดขวางธรรมของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอนไวตามหลักคติธรรมดา ใหรู
ตามความจริง ใจกจ็ ะสบาย การอยกู บั กเิ ลสใจอยกู บั ความวนุ วาย ผลแหง ความวนุ วายก็
คอื ความทุกข เราเคยเห็นโทษของมันมาแลว
ทีนใ้ี หใ จอยูก บั ธรรม ใจอยกู บั สติ ใจอยกู บั ปญ ญา ใจนน้ั จะไดม คี วามปลอดภยั
ใจจะไดมีความรมเย็นขึ้น ชอ่ื วา “กเิ ลส” แลว ไมว า อยทู ไ่ี หนพยายามแกใ หห มด ! แก
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๘
๔๖๙
ภายนอกไดแ ลว เขา มาแกภ ายในธาตใุ นขนั ธ แลว กภ็ ายในจติ ดว ยปญ ญาอกี จนรอบตัว
ทะลุปรุโปรงไปหมดไมมีอะไรเหลือเลย
คาํ วา “ตน” วา “ตวั ” วาสัตว วาบุคคล มนั หมดปญ หาไปในทนั ทที นั ใด เมื่อกิเลส
ซึ่งเปนตัวเสกสรรวาเปนสัตวเปนบุคคลไดสิ้นไปจากใจแลว คาํ วา สตั วก ต็ าม บคุ คลก็
ตามไมค ดิ ใหเ สยี เวลํา่ เวลา จริงอยางไรก็อยตู ามความจรงิ ลว นๆ เพอ่ื หายกงั วล เวลา
หายจริงๆ หายที่ตรงนี้
อนั นไ้ี มใ ช “สัจธรรม”! สัจธรรมก็คือทุกข ทกุ ขก าย ทกุ ขใ จ นเ่ี รยี กวา “ทกุ ข
สจั จะ” “สมทุ ัย” เปนเรื่องของกิเลสอาสวะทั้งมวล นเ้ี รยี กวา “สมุทัยสัจจะ” “มรรค” มสี มฺ
มาทฏิ ฐ ิ เปนตน สมมฺ าสมาธเิ ปนที่สุด คือเครื่องมือ เปน “สัจธรรม” ประเภทหนึ่ง
เครอ่ื งแกกเิ ลสคือตวั “สมุทัย” ใหหมดสิ้นไป “นิโรธ” กท็ าํ หนา ทด่ี บั ทกุ ขไ ปตามๆ กนั
โดยลาํ ดบั จนกระทั่งรูแจงแทงตลอดในสมุทัยตัวสําคัญซึ่งมีอยูภายในใจโดยเฉพาะ ไม
มีอะไรเหลือแลว นิโรธแสดงความดับทุกข เพราะกเิ ลสดบั ไปจากใจในขณะนน้ั อยา ง
เต็มภูมิ
ผทู ร่ี วู า ทุกขดับไป กิเลสดับไปเพราะมรรคเปนเครื่องทําลาย นั่นคือ “วมิ ตุ ต”ิ
ไมใช “สัจธรรม” นน่ั คอื ผบู รสิ ทุ ธ์ิ ไมใชสัจธรรมทั้งสี่นั้น
“สัจธรรม” เปน เครอ่ื งกา วเดนิ เทา นน้ั เมอ่ื ถงึ จดุ หมายปลายทางแลว สัจธรรมทง้ั
สกี่ ห็ มดหนา ท่ีไปตามหลักธรรมชาตขิ องตน โดยไมตอ งไปกดขบี่ ังคับใหสนิ้ ใหส ุด ให
หมดความจําเปน หากเปนไปตามเรื่อง เชน เดยี วกบั เรากา วจากบนั ไดขน้ึ สสู ถานทอ่ี นั
เปนจุดที่ตองการแลว บนั ไดกบั เรากห็ มดความจาํ เปน กนั ไปเอง
ฉะนน้ั เรอ่ื งของ “มรรค” คือสติปญญาเปนตน ทําหนาที่ใหสมบูรณเต็มภูมิ จิต
ไดถ งึ ขัน้ แหงความหลุดพนแลว เรื่องสติปญญาที่จะชวยแกไขกิเลสอาสวะทั้งมวล ก็
หมดปญหาไปตามๆ กนั
นี่แลคือความเดนของเรา น่ีแลคือ “สมณะธรรม” หรอื สมณะทส่ี ดุ ยอดแหง
สมณะที่สี่ ! สมณะที่หนึ่งคือพระโสดา สมณะที่สองคือพระสกิทาคา สมณะทส่ี าม
พระอนาคา เราเจอมาเปนลําดับดวยการปฏิบัติ สมณะทีส่ ่คี อื อรหนั ต อรหัตธรรมเจอ
เต็มภูมิดวย “มรรคปฏิปทา อนั แหลมคม” นี่เปนผูทรงไวแลว ซึ่งสมณะทั้งสี่รวมลงในใจ
ดวงเดียว “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ มงคลอนั สงู สดุ นอ้ี ยทู ใ่ี จเราเอง ไมตองไปหา “สิริมงคล”
มาจากไหน ! ใจที่พนจากเครื่องกดถวงทั้งหลายถึงความบริสุทธิ์เต็มภูมิแลว นน้ั แลเปน
มงคลอันสูงสุดเต็มภูมิ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๙
๔๗๐
ทก่ี ลา วมาทง้ั หมดนไ้ี มอ ยใู นทอ่ี น่ื สัจธรรมทั้งสี่ก็ดี สมณธรรมทั้งสี่ก็ดี ตั้งแตที่
หนง่ึ , ทส่ี อง, ทส่ี าม จนกระทั่งถึงที่สี่ ก็ผูที่รู ๆ นแ่ี หละ เปน ผทู รงไวซ ง่ึ สมณธรรมทง้ั ส่ี
และเปน ผทู ่จี ะทําหนา ท่ีปลดเปลื้องตนออกจากสิ่งท่กี ดขบี่ งั คบั ท้ังหลาย จนถึงขั้น “อสิ ร
เสร”ี คือสมณะทั้งสี่รวมอยูกับเรานี้ทั้งสิ้น สรปุ แลว อยกู บั ผทู ร่ี ู ๆ ผนู เ้ี ปน ผู “ที่ตายตัว
อยางยิ่ง” คงเสน คงวาทจ่ี ะรบั ทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง กเิ ลสกท็ าํ ลายจติ ใจนใ้ี หฉ บิ หายไปไม
ได กเิ ลสจะทาํ ลายสง่ิ ใดไดก ต็ าม แตไมสามารถทําลายจิต ไดแ กก ารทาํ จติ ใจใหไ ดร บั
ความลาํ บากนน้ั มฐี านะเปน ไปได แตจ ะทาํ จติ นน้ั ฉบิ หายยอ มเปน ไปไมไ ด เพราะ
ธรรมชาตินี้เปนธรรมชาติที่ตายตัว หรอื เรยี กวา “คงเสนคงวา” เปนแตสงิ่ ทม่ี าเกีย่ วขอ ง
หรือสิ่งที่มาคละเคลา ทําใหเปนไปในลักษณะตางๆ เทา นัน้ นั่นเปนไปได
เมื่อสลัดตัด หรือชําระชะลางสิ่งเหลานั้นหมดไมมีอะไรเหลือแลว ธรรมชาตินี้จึง
ทรงตัวไดอยางเต็มภูมิ เปน บคุ คลกเ็ รยี กวา “สมณะที่สี”่ อยางเต็มภูมิ ถาเรียกวาเปน
“ธรรม” ก็เรียก “อรหัตธรรม” อยภู ายในจติ ดวงนน้ั
จิตดวงนั้นเปนธรรมทั้งดวง จิตเปนธรรม ธรรมเปนจิต เปนไดทั้งนั้น ไมมีอะไร
ที่คาน ไมมีอะไรที่จะแยง เมอื่ ไมมกี เิ ลสมาแยงแลว มันก็ไมม อี ะไรแยง กเิ ลสหมดไป
แลวจะเอาอะไรมาแยง
นั่นแหละความหมดเรื่องหมดราว หมดอะไร ๆ หมดที่ตรงนั้น ความดับทุกข
ดับที่ตรงนั้น ดบั ภพดบั ชาตดิ บั ทต่ี รงนน้ั ที่อื่นไมมีที่ใดเปนที่ดับ! การไปเกดิ ภพเกดิ
ชาติก็ผูนี้แลเปนเชื้อแหงภพแหงชาติ มาจากกเิ ลสซง่ึ อยกู บั จติ จิตจึงตองเร ๆ รอ น ๆ
ไปเกดิ ในภพนอ ยใหญ ไดรบั ความทุกขเ ดือดรอ นลําบากราํ คาญมาโดยลําดับ เพราะมี
เชื้อพาใหเปนไป มีเครื่องหมุนพาใหเปนไป
เมอ่ื สลดั ตดั สง่ิ ฉาบทาหรอื เชอ้ื ออกหมดแลว จึงหมดปญหา หมดลงที่ตรงนี้ !
ขอใหพ ากนั พนิ จิ พจิ ารณาใหไ ด ใจนี่สามารถรูไดเห็นไดทั้งหญิงทั้งชาย นกั บวช
และฆราวาส ดวยการปฏิบัติของตน ๆ ไมขึ้นอยูกับเพศวัยอะไรทั้งสิ้น !
จึงขอยุติเพียงเทานี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๐
๔๗๑
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ
ธรรมของพระพุทธเจาทรงแสดงไวอยางถูกตองไมมีปดบังลี้ลับ แสดงตามความ
จรงิ ทม่ี อี ยทู กุ อยา งไมว า ขน้ั ไหนแหง ธรรม เชน วา บาป บญุ นรก สวรรค นิพพานมจี ริง
อยางนี้เปนตน จนกระทั่งเขาถึงเรื่องราวของกิเลสซึ่งเปนสิ่งที่มีอยูเปนอยู เปน ความจรงิ
ดว ยกนั หมด จงึ หาที่คานไมได แตทําไมสิ่งเหลานี้จึงเปนปญหาสําหรับพวกเรา ?
ธรรมทานแสดงไวอยางเปดเผยไมมีอะไรเปนปญหา ไมมีอะไรลี้ลับเลย แสดง
ตามความจริงลวนๆ ซึ่งความจริงนั้นก็มีอยู แสดงตามความจริงนั้นๆ ทกุ ขน้ั แหง ความ
จรงิ แตพวกเราก็ไมเขาใจ เหมอื นทา นบอกวา “ นน่ี ะ , ๆ !” ซง่ึ ชใ้ี หค นตาบอดดู คนหู
หนวกฟง คงจะเปน อยา งนน้ั มอื คลาํ ถกู แตต าไมเ หน็ ไปทไ่ี หนกโ็ ดนกนั แตท กุ ข ทั้งๆ ที่
ทา นสอนวา ทกุ ขเ ปน อยา งไรกร็ อู ยู แตก โ็ ดนเอาจนได ! บอกวา ทกุ ขไ มใ ชข องดี กโ็ ดน
แตทุกข เพราะสาเหตุ และเดินตามสาเหตกุ ารกอบโกยทุกขข น้ึ มาเผาตัวเองทัง้ น้ัน
ใน “ธรรมคุณ” ทา นแสดงวา “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” สุขทกุ ขเ ปน สงิ่ ท่รี เู หน็ อยกู ับตนดว ย
กนั มกี ารตายเปนตน “เอหปิ สสฺ โิ ก” “โอปนยิโก” นเ่ี ปน หลกั สาํ คญั มาก “เอหิปสฺสิโก”
ทานจงยอนจิตเขามาดูธรรมของจริง ไมไ ดห มายถงึ ใหไ ปเรยี กคนอน่ื มาดูธรรมของ
จรงิ “เอหิ” กค็ อื สอนผนู น้ั แหละผฟู ง ธรรม ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมนน่ั แหละ ใหทานจงยอนใจเขา
มาดูที่นี่แล คอื ความจรงิ อยทู น่ี ่ี
ถา พดู แบบ “โลกๆ” กว็ า “ความจริง” ประกาศตนใหท ราบอยตู ลอดเวลา หรือ
ทาทายอยูตลอดเวลาจรงิ ขนาดทเี่ รียกวา “ทา ทาย” วา งน้ั แหละ ใหดูที่นี่ “เอหิ” ใหด ทู น่ี ่ี
ไมไ ดหมายความวา ใหเรียกคนอืน่ มาดู ใครจะมาดูได! ก็เขาไมเห็นของจริง ไมรูของ
จริง! ของจริงอยูกับเขาเขายังไมเห็น เขายังไมรู จะใหมาดูของจริงอยูทเี่ ราไดอ ยา งไร
“เอหปิ สสฺ โิ ก“ทานสอนใหดูความจริงของจริงของเจาของซึ่งมีอยูนี้ตางหาก “โอปนยโิ ก”
เห็นอะไรไดยินอะไร สมั ผสั อะไร ใหนอมเขามาเปนประโยชนสําหรับตน เรื่องดีเรื่องชั่ว
เรื่องสุขเรื่องทุกข ที่สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรอื ปรากฏขน้ึ ภาย
ในใจเกย่ี วกบั เรอ่ื งภายนอก คอื อดีตอนาคต เปนเรื่องอะไรของใครก็ตาม ใหโ อปนยโิ ก
นอ มเขา มาสใู จซง่ึ เปน ตน เหตสุ าํ คญั อันจะกอเรื่องตางๆ ใหเ กดิ ขน้ึ ภายในตน ไมนอก
เหนอื ไปจากจติ นเ้ี ลย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๑
๔๗๒
จิตจึงเปนเรื่องใหญโตมาก “มโนปุพฺพงฺคมา ธมมฺ า” เทา นก้ี ก็ ระเทอื นโลกธาตุ
แลว จะเคล่อื นเล็กนอ ยกใ็ จเปน ตน เหตุ ธรรมทง้ั หลายจงึ มใี จเปน สาํ คญั มีใจเทานั้นจะ
เปนผูรับทราบสิ่งตางๆ ไมมีอันใดที่จะรับทราบไดนอกจากใจ
ธรรมทั้งหลายคืออะไร? กุศลธรรม อกุศลธรรม มอี ยใู นสถานทใ่ี ดถา ไมม อี ยทู ่ี
ใจ กุศลธรรมเกิดขึ้นเพราะความฉลาดของใจ ปรบั ปรงุ ใจใหม คี วามเฉลยี วฉลาดทนั กบั
เหตุการณตางๆ ซง่ึ ออกมาจากภายในใจของตนเอง เมื่อ “อกศุ ลธรรม” เกิดขึ้นที่ใจ ก็
ให “กุศลธรรม” อันเปนเรื่องของปญญาพินิจพิจารณาแกไขความโงของตน ความโงของ
ตนที่เรียกวา “อกศุ ล” นน้ั ใหห มดไปจากใจ
“โอปนยิโก” นอ มเขามาทนี่ ี่ เห็นเรื่องโงเรื่องฉลาด เรอ่ื งสขุ เรอ่ื งทกุ ขข องใครก็
ตาม ใหน อมเขา มาเปน คตเิ ตอื นใจ “เอหปิ สสฺ โิ ก” ใหดูที่ตรงนี้ บอแหงเหตุท้งั หลายคอื
ใจ แสดงอยตู ลอดเวลาไมม วี นั เวลาหยดุ ยง้ั ทาํ งานอยอู ยา งนน้ั ยง่ิ กวา เครอ่ื งจกั รเครอ่ื ง
ยนต ซึ่งเขาเปดเปนเวล่ําเวลาและปดไปตามกาลเวลา ใจไมม ที ป่ี ด เปดจนกระทั่งวัน
ตายไมม ปี ด แลว กบ็ น วา “ทุกข” บน ไปเทา ไรกไ็ มเ กดิ ประโยชน เพราะไมแ กท่ตี น
เหตุที่ควรแก ซง่ึ ถา แกไ ดแ ลว ทกุ ขก ด็ บั ไปเปน ลาํ ดบั ตามความสามารถและความเฉลยี ว
ฉลาดรอบคอบ
ฉะนน้ั จงึ ไมส อนไปทอ่ี น่ื นอกจากใจผปู ฏบิ ตั ิ ถา สอนไปกเ็ หมอื นสอนให
ตะครบุ เงา โนน ๆ ๆ ไมม องดตู วั จรงิ อนั เปน ตน เหตุ
สอนทต่ี น เหตเุ ปน สาํ คญั เพราะกิเลสเกิดขึ้นที่นี่ จะเอายังไง? อะไรเปน ตวั เหตุ
ทจ่ี ะใหเ กดิ ความทกุ ขค วามลาํ บากแกส ตั วโ ลกทง้ั หลาย? ตลอดถงึ ความเกดิ แก
เจ็บ ตาย ? น่เี ปน ผลมาจากกเิ ลสซึง่ เปน เช้อื เปนตวั เหตสุ ําคญั มนั เกดิ ขน้ึ อยา งไร? ถา
ไมเ กดิ ขน้ึ จากใจ มนั อยทู น่ี ่ี จึงไมไปสอนที่อื่น เพราะเวลาพจิ ารณาก็เอาจริงเอาจัง
เอาเหตเุ อาผลใหร คู วามจรงิ และถอดถอนกิเลสไปไดโดยลาํ ดับ กถ็ อดถอนทต่ี รงน้ี
เพราะตรงนเ้ี ปน ผผู กู มดั ตวั เอง เปน ผสู ง่ั สมกเิ ลสขน้ึ มาในขณะทโ่ี งเ ขลาเบาปญ ญา
ไมร ูเ รื่องรรู าว เวลาถอดถอนดว ยอบุ ายของสตปิ ญ ญาทม่ี คี วามเฉลยี วฉลาด พอถอด
ถอนไดกถ็ อดถอนกนั ทต่ี รงน้ี สติใหมีอยูที่ตรงนี้ จุดนี้เปนจุดที่ควรระวังอยางยิ่ง เปน
จดุ ทค่ี วรบาํ รงุ รกั ษาอยา งยง่ิ คอื ใจ! บํารุงก็บํารงุ ทนี่ ี่ ดว ยการภาวนาและสง เสรมิ สตทิ ม่ี ี
อยแู ลว ใหม คี วามเจรญิ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ อยา ใหเ สอ่ื ม และรักษาจิตดวยดี อยา ใหอ ะไรเขา มา
เกย่ี วขอ ง ระมัดระวังอยาใหจ ติ นีแ่ สออกไปยงุ กบั เรือ่ งตา งๆ แลว นาํ สง่ิ นน้ั เขา มาเผา
ตน นท่ี านเรียกวา “รักษา”
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๒
๔๗๓
กาํ จดั กค็ อื คน ควา หาเหตผุ ลของมนั อันใดที่มีอยูแลวและเปนของไมดี ให
พยายามแกไ ขและคน ควา หาเหตหุ าผล เพือ่ แกไ ขถอดถอนตามจุดของมันท่ีเกดิ ขึน้
เรื่องใหญโตแทๆ อยูที่จิต เรื่องเกิดก็คือจิตที่ทองเที่ยวอยูใน “วฏั สงสาร” จน
ไมรูประมาณวานานเทาไร เพยี งคนคนเดยี วเทา นก้ี เ็ ตม็ โลกแลว ละซากศพทเ่ี กดิ ตาย
เกิดตายซ้ําๆ ซากๆ แตเจาของรูไมได นับไมได นบั ไมถ ว น ไมรูจ ักนบั เพราะมีมากตอ
มาก และความโงปดบังตัวเอง ความจริงของตัวที่เปนมาเทาไรก็ถูกปดบังเสียหมด ยงั
เหลอื แตค วามหลอกลวง โลๆ เลๆ หาความจริงไมได ทา นจงึ สอนใหแ กส ง่ิ เหลา นใ้ี ห
หมดไป
พยายามอบรมสตใิ หด ใี หท นั กนั กบั ความคดิ ปรงุ มันปรุงขึ้นที่จิตและปลุกปนจิต
อยตู ลอดเวลา ถามีสติอยแู ลวเพยี งความกระเพอ่ื มของจติ ปรุงแยบ็ ออกมาเทานั้น จะ
เปน การปลกุ สตปิ ญ ญาใหเ กดิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั เรานัง่ อยูกับท่ี เราเฝา มนั อยกู บั ท่ี ที่จะ
เกิดขึ้นแหงเหตุทั้งหลายไดแกใจ เราตองทราบ พอกระเพอ่ื มตวั ออกมากท็ ราบ ทราบ
โดยลาํ ดบั นแ่ี หละ
การหลอกลวงของจติ กห็ ลอกลวงทน่ี ่ี จิตที่จะเขาใจความจริงก็เขาใจดวยปญญา
นอกจากนน้ั กพ็ จิ ารณาดเู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธใ หเ หน็ จนกระทั่งฝงจิต คือมันซึ้งในจิตวา
อาการแตล ะอาการนน้ั เปน ความจรงิ อยา งนน้ั ใหพ จิ ารณาหลายครง้ั หลายหนหากซง้ึ ไป
เอง คราวนี้ก็ทราบ คราวนน้ั กท็ ราบ คราวนก้ี เ็ ขา ใจ คราวนน้ั กเ็ ขา ใจ เขา ใจหลายครง้ั
หลายหน เลยเปน ความซาบซง้ึ แนใ จ
รูป แนะ ฟงซิ ! อะไรเปนรูป รวมทั้งหมดผมก็เปนรูป ขน เล็บ ฟน หนงั เนื้อ
เอ็น กระดูกก็เปนรูป รวมเขาไปทั้ง “อวยั วะ” ทเ่ี ปน ดา นวตั ถุ ทา นเรยี กวา “กองรปู ”
หรือเรยี กวา “กาย”
เอา ! ดนู ่ี เวลาทอ งเทย่ี วใหส ตติ ามความรทู เ่ี ดนิ ไปในอวยั วะสว นใดอาการใด
ของรางกาย ใหส ตเิ ปน ผคู มุ งาน ปญ ญาเปน ผตู รองไป ความรู รไู ปตามอาการนน้ั ๆ
ปญ ญาตรองไปใหซึ้ง ๆ สตริ บั ทราบไปทกุ ระยะ นี่คืองานของเราแท
สว นงานเรๆ รอนๆ งานคิดปรุงโดยไมมีสตินั้นเราเคยทาํ มาพอแลว และเคย
เปนโทษ เกิดโทษ กระทบกระเทือนจิตใจเรามามากแลวเพราะความคิดปรุงนั้นๆ
งานเชน นเ้ี ปน งาน เปน งานรอ้ื ถอนทกุ ขภ ยั ออกจากใจโดยตรง เปน งานจาํ
เปน งานคอื การกาํ หนดดว ยความมีสติ ประกอบดว ยปญ ญา ไตรตรองใน “ขนั ธ”โดย
สม่ําเสมอไมลดละ ความรเู ดนิ ไปตามอาการน้ันๆ และถอื อาการนน้ั ๆ เปน เหมอื น
“เสน บรรทดั ” ใหใ จเดนิ ไปตามนน้ั สติปญญาแนบไปตามไมล ดละ เหมอื นกบั เขยี น
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๓
๔๗๔
หนังสือไปตามเสนบรรทัด ใหใจเดินไปตามนั้น สติปญญาแนบไปตามไมลดละ เหมอื น
กับเขียนหนังสือไปตามเสนบรรทัด สติประคองไปดวย ดูไปดวย นเ่ี รยี กวา “เที่ยว
กรรมฐานตามปาชาซึ่งมีอยูกับตัว”
ความอยากรอู ยากเหน็ อยา งรวดเรว็ ตามใจนน้ั อยา เอาเขา มาเกย่ี วขอ งใหเ หนอื
ความจริงที่กําลังพิจารณา รอู ยา งไรใหเ ขา ใจตามความรนู น้ั แลว กาํ หนดตามไปเรอ่ื ยๆ
แยกดคู วามเปน อยขู องขนั ธต า งๆ วา เปน อยา งไร มหี นงั หมุ อยภู ายนอกบางๆ เทา น้นั
แลทห่ี ลอกลวงตาโลก ลวงตาทานลวงตาเรา ไมไดห นาเทาใบลานเลย นน่ั คอื ผวิ หนงั
เราจะพิจารณาในแงหนึ่งแงใด กเ็ ปน การพจิ ารณาเพอ่ื ถอดถอนความหลงของ
ตัว เวลาพจิ ารณาอยา งนท้ี าํ ใหเ พลนิ ดี เอา! ดขู น้ึ ไปขา งบน ดูลงไปขางลาง ดอู อกไปขา ง
นอกขา งในกายเรานแ้ี ล เปน การทองเท่ยี วใหเพลินอยูในน้ี สตติ ามอยา ให “สกั แตว า
ไป” ใหสติตามไปดวย ปญญาตรองไปตามความรูที่รูกับอาการนั้นๆ ไปดวย ขน้ึ ขา งบน
ลงขางลางที่ไหนถูก “สัจธรรม” ทง้ั นน้ั
งานนี้เรียกวา “งานรื้องานถอนพิษภัย” ที่ “อปุ าทาน” เขาไปแทรกสิง ไปยึดไป
ถอื ทกุ ชน้ิ ทกุ อนั ภายในรา งกายนอ้ี อก จนไมมอี ะไรเหลืออยภู ายในใจอีกตอ ไป เพราะ
ฉะนน้ั ทกุ ขจ งึ มอี ยทู กุ แหง ทกุ หน เพราะ “อปุ าทาน” เปน ตวั การสาํ คญั คาํ วา “ทุกข มอี ยู
ทกุ แหง ทกุ หน” หมายถงึ ทกุ ขเ พราะความยึดถอื ทําใหไปเปนทุกขที่ใจ ไมใ ชเ ปน ทกุ ขท ่ี
อน่ื
เพยี งรา งกายเจ็บไขไดปวยแลวเปนทุกขนั้น พระพุทธเจา ก็เปนได พระสาวกก็
เปนได เพราะขนั ธน อ้ี ยใู นกฎของ “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า” อยแู ลว จะตองแสดงตามกฎ
ของมัน แตส าํ หรบั จติ ผูพนจาก อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา และมีฐานะที่จะพนจาก อนิจฺจํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา น้ี ใหพ จิ ารณาสง่ิ ทว่ี า น้ี อยา ใหก ระทบกระเทอื นตวั เองไดด ว ยความ
เผอเรอใดๆ เพราะการวาดภาพของตัวเอง เพื่อพิจารณารูความจริงนั้นเปนสิ่งสําคัญ ที่
จะไมใหสิ่งเหลานี้มากระทบกระเทือนใจได คอื ไมใหทกุ ขเ กดิ ขนึ้ ภายใน เพราะความ
เสกสรรวา “กายเปนเรา, เปนของเรา,” เปนตน
พิจารณาลงไป ดูลงไป จนกวา จะเหน็ ชดั ดว ยปญ ญาจรงิ ๆ เอา! หนงั เปนอยา ง
ไร หนังสัตวที่เขาใชทําเปนกระเปานั้นเปนอยางไร หนังรองเทาเปนอยางไร ดกู นั ให
หมด ตลอดเนื้อ เอ็น กระดูก เอา!ดเู นอื้ สัตว ดเู นอ้ื บคุ คล มนั กเ็ หมอื นกนั ดูเขาไป
กระดกู เปน อยา งไร กระดูกสัตว กระดูกคน ตางกันที่ตรงไหน ดูเขาไปใหเต็มความจริง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๔
๔๗๕
ทมี่ อี ยกู ับตัว ดูเขาไป ดภู ายในรา งกายนแ้ี หละ เพราะอนั นเ้ี ปน สง่ิ ทท่ี า ทายอยแู ลว ตาม
ความจริงของเขา
ทําไมใจเราจึงไมรู ไมอาจหาญ เพียงเห็นตามความจริงนั้นแลว ก็เร่ิมทา ทายของ
ปลอมไดดวยความจริงที่ตนรูตนเห็น ความจรงิ ทร่ี เู หน็ ดว ยปญ ญานม้ี อี าํ นาจมาก
สามารถลบลา งความเหน็ อันจอมปลอมไดโดยลําดับ จนความปลอมหมดสน้ิ ไป
ความจริงที่เกิดขึ้นกับใจยอมเกิดไดดวยสติปญญา คาํ วา “ความจริง” นน้ั ถกู ทง้ั
สองเงื่อน เง่อื นหนึง่ ความจริงทั้งหลาย ไมว า ฝายรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ก็
เปนความจริง เปน ของมอี ยู ทาทายอยูดวยความมีอยูของตน และปญ ญากห็ ยง่ั
ทราบตามความจรงิ ของเขา จนปรากฏเปน ความจรงิ ขน้ึ มาภายในใจ นค่ี อื วธิ กี าร
ถอดถอนกเิ ลสเปน อยา งน้ี
นแ่ี หละความจรงิ กบั ความจรงิ เขา ถงึ กนั แลว ไมเ ปน ภยั นอกจากถอดถอนพษิ
ภยั ทั้งหลายไดโดยสนิ้ เชงิ เทานนั้
ตอนที่พิจารณาเดินกรรมฐาน เทย่ี วกรรมฐานตามทว่ี า น้ี เทย่ี วไปตามอวยั วะ
นอยใหญ ตรวจไปตรองไป ออกจากกรรมฐานตอนนน้ั แลว ก็เทยี่ วกรรมฐานใหถึงทสี่ ดุ
วา รา งกายนจ้ี ะสลายแปรสภาพไปอยา งไรบา ง กําหนดลงไป มันจะเปอยจะผจุ ะพังอยาง
ไร ? ใหก าํ หนดลงไป ๆ จนสลายจากกนั ไปหมดไมม เี หลอื อยเู ลย เพราะรางกายนี้จะ
ตอ งเปน เชน นน้ั แนน อน
แตก ารกาํ หนดนน้ั ตางๆ กนั ตามความถนดั ใจ สมมตุ วิ า จะกาํ หนดอาการนน้ั ให
เหน็ ชดั ภายในจติ เราจะจับอาการใด เชน หนัง เปนตน ใหจ บั อาการนน้ั ไวใ หแ น ให
ภาพนน้ั ปรากฏอยภู ายในจิต สติจับหรือจดจองอยูที่ตรงนั้น
ภาพนน้ั จะปรากฏสงู ตาํ่ ไปไหนกต็ าม เราอยาไปคาดไปหมาย ความสูง ความต่ํา
สถานทท่ี เ่ี ราจะพจิ ารณานน้ั ใหถ อื เอาเปา หมายของการทาํ งาน ใหค วามรตู ดิ แนบกนั อยู
นน้ั ดว ยสตเิ ปน ผคู วบคมุ อยาเผลอตัวคิดไปที่อื่น
อาการนจ้ี ะขยายตวั มากนอ ยกใ็ หเ หน็ ประจกั ษใ จในปจ จบุ นั คือขณะที่ทํา จะสูง
จะตาํ่ กใ็ หร อู ยอู ยา งนน้ั อยา ไปคาดวา นส้ี งู เกนิ ไป นี่ต่ําเกินไป นน่ี อกจากกายไปแลว
ทีแรกเรานึกวาเราพิจารณาอยูภายในกาย อาการนอ้ี ยใู นกาย ทาํ ไมจึงกลายเปน
นอกกายไป เราอยา ไปคดิ อยา งนน้ั แมจะสูงจะต่ํา จะออกนอกออกในกต็ าม ถาเราไม
ปลอ ยความรใู นเปาหมายท่ีเรากาํ ลังพิจารณาน้นั นน่ั แหละจะเหน็ ความแปลกประหลาด
และจะเหน็ ความอศั จรรยข น้ึ มาจากอาการนน้ั แหละ เชนเรากําหนดเนื้อ จะเปนเนื้อ
อวยั วะสว นใดกต็ าม กาํ หนดลงตรงนน้ั ใหเ หน็ ชดั อยภู ายในนน้ั แลว จะคอ ยกระจายไป
กระจายไปเอง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๕
๔๗๖
เม่ือสตติ ง้ั มนั่ อยูด วยดี คอื รสู กึ ตวั จาํ เพาะหนา จิตกร็ วู า ทาํ งาน ปญ ญากต็ รอง
ตามนั้น สกั ประเดย๋ี วอาการนน้ั กจ็ ะคอ ยกระจายลงไป คอื หมายความวา มันเปอยลงไป
ๆ อนั นน้ั กพ็ งั อนั นก้ี พ็ งั
ดูใหมันชัดเจนลงไป เราไมต อ งกลวั ตาย จะกลัวอะไรเราดูความจริงนี่ ไมใชดูวา
เราจะตายนน่ี า! เอา ! สลายลงไป ๆ นเ่ี ราเคยพจิ ารณาอยา งนน้ั อนั นน้ั ขาดลงไปอนั น้ี
ขาดลงไป มันเพลินขณะที่พิจารณา พิจารณารางกายตัวเรานี้เองแหละ แตในขณะท่ี
พิจารณาดวยความเพลินนั้น รา งกายปรากฏวา หายไปหมดไมร สู กึ ตวั เลย ทั้งๆ ที่เรา
กาํ หนดพจิ ารณากายอยูนั้นแล
เอา ! รางกายพังลงไป ๆ หัวขาดลงไป แขนขาดลงไป ตกลงไปตอหนาตอตา
แขนทอ นนน้ั กระดกู ทอ นนน้ั ขาดลงไป กระดูกทอนนี้ขาดลงไป ภายในกายนท้ี ะลกั ออก
ไป เอา ! ดูไปเรื่อยๆ เพลิน ดูเรื่อยๆ แตกลงไป ๆ
สว นนาํ้ กซ็ มึ ลงไปในดนิ และเปน ไอไปในอากาศ ฉะนน้ั เวลาปรากฏนาํ้ ซมึ ซาบลง
ไปในดนิ และออกเปน อากาศไปหมดแลว สว นตา งๆ กแ็ หง อวยั วะสว นนแ้ี หง แหง แลว
กรอบเขา ๆ แหงเขาไปจนกลายเปนดินไป ดนิ กบั กระดกู ของอวยั วะเลยกลมกลนื เปน
อนั เดยี วกนั ไป ! นี่เห็นชัด
สว นทแ่ี ขง็ คอื กระดกู กาํ หนดเหน็ เปน ลาํ ดบั และกาํ หนดเปน ไฟเผาบา ง
กาํ หนดใหค อ ยผพุ งั ลงไปบา ง กระจายลงไปตามลาํ ดบั บา ง จนกลนื เขา เปน อนั เดยี วกบั
ดินอยางเห็นไดชัด
ทช่ี ดั ทส่ี ดุ เกย่ี วกบั การพจิ ารณาน้ี คอื ธาตดุ นิ กบั ธาตนุ าํ้ สง่ิ ทต่ี ดิ ใจซง่ึ ภายในใจก็
คอื ธาตดุ นิ สว นนาํ้ นน้ั กป็ รากฏเปน อยา งนน้ั ลม ไฟ ไมคอยจะมีปญหาอะไรนัก ไมเปน
ขอ หนกั แนน สาํ หรบั การพจิ ารณา และไมเปนสิ่งที่จะซึ้งภายในใจเหมือนอยางเรา
พจิ ารณารา งกายซง่ึ เปน อวยั วะหยาบ
พออันนก้ี ระจายลงไป กลายเปน “ดิน” หมด จติ กเ็ วง้ิ วา งละซิ ! ขณะนน้ั เวง้ิ วา ง
ไปหมด! อยา งนก้ี ม็ ี
แตเ วลาพจิ ารณากรณุ าอยา ไดค าดไดห มาย ใหเ อาความจริงในตน เปน สมบัติ
ของตน เปนสักขีพยานของตน อยา เอาความคาดคะเนมาเปน สกั ขพี ยาน มาเปนขอ
ดําเนิน จะไมใชสมบัติของเรา นนั่ เปน สมบตั ิของทาน สมบัติของเราคือเรารูเอง เราเปน
อยางไรใหเปน ข้ึนภายในตัวเราเอง นนั้ แลคอื ความรูของเรา ความเห็นของเราแล เปน
สมบัติของเราแท! ควรกาํ หนดอยา งน้ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๖
๔๗๗
บางครั้งไมเปนอยางนั้นเสมอไป หากเปนไปของมันเองโดยหลักธรรมชาติ พอ
การสลายลงไปเปนดนิ เชน นั้นแลว บางทีกระดูกมันคอยผุพังลงไป ๆ ยังไมหมด แตอ นั
หนง่ึ มนั ปรากฏขน้ึ ภายในจติ ใจวา “ที่มันยังไมหมด สวนท่ีเหลอื จะตองเปน ดินเชน เดียว
กนั อกี ” มนั มคี วามปรงุ ขน้ึ ในจติ ทั้งๆ ทใ่ี นขณะนน้ั ไมม กี ายเลยในความรสู กึ แตจิต
หากปรงุ ขน้ึ อยา งนน้ั
สกั ประเดย๋ี วไมท ราบวา แผน ดนิ มาจากไหน มาทบั กระดกู ทย่ี งั เหลอื อยู พรึบ
เดียว คอื มาทบั สว นที่ยงั ผพุ ังไมหมดใหกลายเปนดนิ ไปหมดดวยกนั พอกระดกู สว นท่ี
เหลือกลายเปน ดนิ ไปหมดแลว จติ ไมทราบวาเปนอยางไร มนั พลกิ ตวั ของมนั อกี แงห นง่ึ
ขณะทจ่ี ติ พลกิ กลบั อกี ทเี ลยหมด! แผน ดนิ กไ็ มมี ทั้งๆ ทแ่ี ผน ดนิ มนั ไหลมาทบั กนั
อยางรวดเร็ว พลิกมาทับกองกระดูกของเราที่ยังละลายไมหมดลงเปนดิน
ทีนี้ก็รูขึ้นมาพับ! อกี วา “ออ่ื ! ทกุ สิ่งทกุ อยางมันกเ็ ปน ดินหมด ในรา งกายอนั นท้ี ่ี
มันลงไปก็เปนดินหมด!” หลงั จากนน้ั ครหู นง่ึ จติ กพ็ ลกิ ตวั อกี ที และพลิกอยา งไรไม
ทราบความสมมุติได ดินเลยหายไปหมด อะไรๆ หายไปหมด เหลอื แตค วามรลู ว นๆ
โลงไปหมดเลย เกดิ ความอศั จรรยข น้ึ มาอยา งพดู ไมถ กู ซง่ึ การพจิ ารณาเชน นเ้ี ราไม
เคยเปน! มันเปนขึ้นมาใหรูใหเห็นอยางชัดเจน จติ เลยอยนู น้ั เสยี คอื อยอู นั เดยี วเทา
นน้ั จะมีขณะใดขณะหนึ่งของจิตวาเปนสองไมมีเลย! เพราะมนั ตายตวั ดว ยความเปน
หนึ่งแทๆ
พอขยบั จิตข้นึ มากแ็ สดงวา เปน สองกบั ความปรงุ แตนี่ไมมีความปรุงอะไรทั้ง
สน้ิ เหลือแตค วามรูท ีส่ ักแตวารู และเปน ของอศั จรรยอ ยใู นความรูน น้ั ขณะนั้นมันเวิ้ง
วา งไปหมดเลยโลกธาตนุ ้ี ตน ไม ภูเขา อะไรไมมีในความรสู ึกตอนนน้ั จะวา เปน อากาศ
ไปหมด แตผ นู น้ั กไ็ มส าํ คญั วา เปน อากาศอกี เหมอื นกนั มอี ยเู ฉพาะความรนู น้ั เทา นน้ั !
แตจติ สงบตัวอยูเปนเวลาชั่วโมงๆ! พอจติ ถอนออกมาแลว แมจ ะกาํ หนดอะไรก็
เวง้ิ วา งไปอกี เหมอื นกนั นอ่ี าจเปน ไดค นละครง้ั เทา นน้ั นี้ก็เคยเปนมาเพียงครั้งเดียวไม
เคยซาํ้ อกี เลย! สวนการพิจารณาลงไปโดยเฉพาะๆ มันเปนไดตามความชํานาญของจิต
จนกระทั่งเปนไปทุกครั้งที่เราพิจารณา
การพิจารณาความแปรสภาพเปนดิน เปน นาํ้ เปนลม เปนไฟ ยังชัดเจนอยูทุก
เวลาที่เราพิจารณา ความทเ่ี ปน เชน นแ้ี ลเปน ความสามารถ ทจ่ี ะทาํ จติ เราใหม กี าํ ลงั และ
ความเคยชินกบั ความจริงคือ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ แท สามารถถอดถอนความเปน “เรา”
เปน “ของเรา” ออกไดโดยลาํ ดบั เพราะตามความจริงแลว รา งกายนถ้ี า วา ธาตมุ นั กธ็ าตุ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๗
๔๗๘
ถา วา “ธาตุดนิ ” มนั ก็ธาตุดนิ เราดีๆ นเ่ี อง ไมใชเราไมใชของเราตามคําเสกสรรมั่นหมาย
ตางๆ
การพจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ รูไมหยุดยั้ง รูเรื่อยๆ เพราะการพิจารณาอยูเรื่อยๆ
ยอมจะเพิ่มความซาบซึ้งโดยลําดับจนเขาใจชัด แลว ถอดตวั ออกจากคาํ ทว่ี า “กายเปน
เราเปน ของเรา” กเ็ ลยกายสกั แตว า กาย ถา ใหช อ่ื วา กายกส็ กั แตว า กาย ถา จะใหชือ่ วา
กายสกั แตว า ปรากฏสภาพเทา นน้ั กพ็ ดู ได เมื่อจิตรูอยางพอตัวแลวไมมีอะไรเปนปญหา
ใจจะวาเขาเปนอะไรเขาไมมีปญหา เพราะเปนปญหาอยูกับใจดวงเดียว
ฉะนน้ั จาํ ตอ งแกป ญ หาเราเองออกจากความลมุ หลง ความสาํ คญั มน่ั หมาย
ตางๆ ใหเ ขา สคู วามจรงิ แหง ธรรม คอื รูลวนๆ นน้ั กธ็ าตลุ ว นๆ แมจะสมมุติวา “กาย”
กค็ อื ธาตลุ ว นๆ ยอ นเขา มาในจติ กจ็ ติ ลว นๆ ทั้งสอง “ลว นๆ”น้ตี า งก็เปน ความจรงิ
ลว นๆ เมื่อทราบความจริงชัดอยางนี้แลว เอา! เวทนาจะเกิดขึ้นก็เกิด เพราะเวทนาก็
เปน ธาตอุ นั หนง่ึ หรอื เปน สภาวธรรมอนั หนง่ึ เชน เดยี วกบั รา งกาย มนั วง่ิ ถงึ กนั อยา งนน้ั
“สัญญา” ความหมาย พอปรงุ แผลบ็ เรากท็ ราบเสยี วา มันออกไปจากจิตนี้ไปปรุง
อยา งนน้ั ไปสาํ คญั อยา งน้ี เมอ่ื ทราบแลว จิตกถ็ อนตวั สัญญาก็ดบั ไปทนั ที ถาเราไมทราบ
มนั กต็ อ อนั นด้ี บั อนั นน้ั ตอ สบื ตอ กนั ไปเรอ่ื ยๆ เหมอื น “ลูกโซ” พอทราบมนั กด็ บั ของ
มัน ดับในขณะที่สติรูทัน และไมปรุงเปนเรื่องเปนราวอะไรขึ้นมาได นี่เรียกวา “สติทัน”
ถา ไมท นั เรอ่ื งกต็ อ เรอ่ื ยๆ การพจิ ารณาความจรงิ ในรา งกายจงึ เปน เรอ่ื งใหญท ส่ี ดุ
พระพุทธเจา จงึ ทรงสอน “สติปฏฐานส”่ี ซึ่งมีอยูในรางกายจิตใจนี้ทั้งนั้น สจั
ธรรมกม็ อี ยทู น่ี ่ี ทา นจงึ สอนลงทน่ี ่ี สรุปแลวลงที่จิต การที่วาพิจารณาไปทั้งหมดนั้น
พิจารณาเพื่ออะไร? ก็พิจารณาเพื่อใหจิตรูตามความเปนจริง แลว จะไดป ลอ ยวางความ
งมงายในการยดึ ถอื เขามาสูความเปนตน
เอา! เมอ่ื หมดความงมงายในธาตสุ ่ี ดนิ นาํ้ ลม ไฟ นแ่ี ลว เลยหมดความงมงาย
ในเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ อนั เกย่ี วกบั ขนั ธห า น้ี แลว กเ็ ขา มาพจิ ารณาความงม
งายของจิตอีก แนะ ! มันยังมีเรื่องของมันอีก!
ความงมงายตามขน้ั ของกเิ ลสทล่ี ะเอยี ดน้ี เรยี กวา “เปนความละเอียดของกิเลส”
เปนความงมงายอันละเอียดของจติ ยอนเขามาพิจารณาเขามาอีก จะเอาอะไรเปนหลัก
เกณฑที่นี่ ?
ก็เราพิจารณาจิต จิตเปน นามธรรม เวทนาก็เปนนามธรรม กเิ ลสก็เปน
นามธรรม ปญ ญากเ็ ปน นามธรรม ไมวาแตเพียงจิตจะเปนนามธรรม สง่ิ ทเ่ี ปน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๘
๔๗๙
“นามธรรม” กบั สง่ิ ทเ่ี ปน “นามธรรม” มนั อยดู ว ยกนั ได ติดกนั ได กเิ ลสกบั จิตตา งก็
เปนนามธรรมดวยกันจึงติดกันได
เอา! ปญญาคนลงไปเพราะเปนนามธรรมดวยกัน จะพิจารณาเชนเดียวกับเรา
พิจารณารูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ แยกแยะใหเห็นตามความจริงของมัน แลว
จบั จติ นข้ี น้ึ มาเปน ตวั ผตู อ งหา เปน ตวั นกั โทษทีเดียว ฟาดฟน หน่ั แหลกลงในตวั ผตู อ ง
หาหรอื นกั โทษน้ี
นแ่ี หละคอื ผตู อ งหาหรอื นกั โทษ มันเปน “โทษ” เขา มารวมไวในตวั นีห้ มด ถอื วา
ตวั เกง ตวั รตู วั ฉลาด สง่ิ นน้ั สง่ิ นร้ี ไู ปหมดแลว ในโลกธาตนุ ้ี รูป เสียง กลน่ิ รส เครื่อง
สัมผัส รูหมด! รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณภายในรา งกาย ทเ่ี ปน ขนั ธห า นก้ี ร็ ู
หมด! แตไ มย อมรูตวั เอง! นน่ั นะซ!ี มาติดตรงนี้ มาโงตรงนี!้ พรอ มทง้ั ยอ นปญ ญาเขา
ภายในจิตนี้อีก ฝาฟนตรงนี้ออกใหทะลุไป แทงเขาไปตรงนี้ เขาไปหาความรูนี้ ความรู
ที่วาเกงๆ นน่ั แหละคือ “ตัวงมงายของจิต” แท!
เมอ่ื พจิ ารณาคลค่ี ลายโดยละเอยี ดถถ่ี ว นแลว สภาพทแ่ี ทรกอยกู บั จติ กเ็ ปน
สภาวธรรมอนั หนง่ึ เทา นน้ั จิตจะคงตัวอยูไมฉบิ หายเพราะการพิจารณาหาความจริง ก็
ใหฉ บิ หายไป ไมต อ งอาลยั เสยี ดาย ถา จติ มน่ั คงตอ ความจรงิ แลว ! จติ คงอยไู มฉ บิ หาย!
ถาจิตทรงความจริงไวตามธรรมชาติของตัวเองซึ่งเปนความจริงจริงๆ แลว ก็จิตนี้แลจะ
พนโทษ ถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ จิตจะสูญหรือไมสูญก็ใหรูกัน!
คนลงไปไมตองเสียดายอะไรทั้งสิ้น จติ ก็ไมตองเสียดาย ไมตองกลัววาจิตจะ
ตอ งถกู ทาํ ลายจะสลาย จิตจะฉิบหายไป จิตจะสูญสิ้นไปไหน!
เมอ่ื ถกู ปญ ญาทาํ ลายส่ิงแทรกซมึ หมดแลว กิเลสทุกประเภทสูญสิ้นไปเอง
เพราะเปนสิ่งจอมปลอมอยูภายในจิต เมื่อกําหนดพิจารณาลงไปจริงๆ แลว ไอส ง่ิ ทค่ี วร
สูญสิ้นไปยังไงก็ทนอยูไมได มนั ตองสญู สวนธรรมชาติที่สูญไมได ทาํ ยงั ไงกต็ อ งอยู คง
ตัวอยู คอื จติ นจ้ี ะสญู ไปไหน! นน่ั แหละผทู ถ่ี กู กเิ ลสนค้ี รอบงาํ อยกู ค็ อื จติ ปญญาฟาดฟน
กิเลสแหลกละเอียดลงไปจากจิตแลว จติ นก่ี เ็ ลยกลายเปน ความบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ผนู แ้ี ล
คือผบู ริสทุ ธ์แิ ท จะเอาอะไรไปสูญ! สญู แลว จะบรสิ ทุ ธไ์ิ ดอ ยา งไร ? อนั นน้ั ตาย อนั นฉ้ี บิ
หาย แตอ นั นเ้ี ปน “อมตํ แท” อมตํ ดว ยความบรสิ ทุ ธ์ิ ไมใ ช อมตํ ทก่ี ลง้ิ ไปมาตาม “วัฏ
วน” ทง้ั หลายทเ่ี คยเหน็ มา อนั นน้ั กไ็ มต าย แตม นั กลง้ิ ไปอยอู ยา งนน้ั ตามกฎ “วฏั จกั ร”
แต “อมต”ํ นี้ไมต ายดว ยไมก ลิ้งดว ย นน้ั เปน “ววิ ฏั ฏะ” คือไมตายและไมหมุน น่ี
ตัวจริงอยูภายในทามกลางขันธของเรา อนั นแ้ี หละตวั สาํ คญั !
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๙
๔๘๐
เจา ตวั ยแุ หยก อกวนมนั เขาไปกลมุ รมุ จิตนี่ใหห ลงไปตามโลก ตามธาตตุ ามขนั ธ
ตามทุกขเวทนา ความเจ็บไขไดปวยตางๆ วนุ วายไปหมด ความจรงิ เขาไมไ ดว า อะไรน่ี
รา งกายมอี ะไรกม็ อี ยอู ยา งนน้ั เวทนาเกิดขึ้นก็เกิดตามเรื่องของมัน มันไมทราบวาตน
เปนเวทนา ไมท ราบวาตนเปนทกุ ข เปนสุข เปนเฉยๆ อะไรเลย กจ็ ติ นเ้ี ปน ผไู ปใหค วาม
หมาย แลวก็ไปหลงความหมายของตัวเองโดยไมเกิดประโยชนอะไร นอกจากเกดิ โทษ
แกต วั ถา ยเดยี วเทา นน้ั
เพราะฉะนั้นจงึ ตองพิจารณาดวยปญญา ใหเห็นตามความเปนจริงของมัน แลว
อะไรจะฉบิ หาย เราจะขาดทุนเพราะอะไร รา งกายแตกกแ็ ตกไปซี ก็ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺ
ตา ทา นบอกไวแ ลว วา ธรรมเหลา นค้ี รอบโลกธาตุ จะไมค รอบขนั ธอ ยา งไร ไตรลักษณ
เคยครอบโลกธาตอุ ยแู ลว ทาํ ไมจะไมค รอบขนั ธเ ราได นี่เมื่อมันเปนไปตามกฎ อนิจฺจํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เราจะไปขัดขวางไดอยางไร
เอา! ปลอ ยมนั ไป อะไรไมทน เออ! แตกไป มนั มแี ตส ง่ิ ทแ่ี ตกทส่ี ลายทง้ั นน้ั อยู
ในโลกธาตนุ ้ี เปน แตเ พยี งวา ชา หรอื เรว็ ตา งกนั มีเทานั้น แลวขันธของเราจะทนไปได
อยางไรตั้งกัปตั้งกัลป เพราะอยใู นกรอบอนั เดยี วกนั เอา! พิจารณาใหเ หน็ ตามความ
จริงไวกอนที่ยังไมแตกซึ่งเปนความรอบคอบของปญญา ใหเ หน็ ชดั เมอ่ื ถงึ เวลา
ทุกขเวทนาเกิดขึ้น เอา! ขน้ึ เวทกี นั วนั น้ี วา งน้ั เลย!
วนั นเ้ี ราจะขน้ึ เวทเี พอ่ื เหน็ ความจรงิ รูความจริงตามหลักธรรม ไมใชขึ้นเวทีเพื่อ
ลม จม ทุกขเวทนาเกิดขึ้นเปน เรือ่ งของทุกขเวทนา การพิจารณาเรื่องของทุกขเวทนาซึ่ง
มอี ยใู นขนั ธน ้ี เปนเรื่องของสติปญญา เราตองการทราบความจริงจากการพิจารณา มัน
จะลม จมไปไหน เพราะเราไมไดทําเพื่อความลมจม เราไมไ ดท าํ เพอ่ื ความฉบิ หายใสต วั
เรา เราทําเพื่อชัยชนะ เพื่อความรูตามสัดสวนของความจริง ทม่ี อี ยทู เ่ี ปน อยใู หร อบภาย
ในใจตา งหาก แลวรอดพน ไปไดจากสงิ่ นี้ นน่ั เปน มงคลอนั สงู สดุ !
ทท่ี า นวา “เปนมงคลอันสูงสุด” “นพิ พฺ านสจฉฺ ิกิริยา จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ น่ี
แหละ การทําพระนิพพานใหแ จงทาํ อยางน้แี หละ พระนิพพานถูกปดบัง กค็ อื จติ นน้ั
แหละถกู ปด บงั ดวยกิเลสตณั หาอวิชชา มันปดบังใหมืดมิดปดตา จงึ แกไ ขกนั ดว ยวธิ นี ้ี
คอื พจิ ารณาแยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ เปนการเปดสิ่งที่ปดบังทั้งหลายออก ที่เรียก
วา “ทําพระนิพพานใหแจง” ใหแ จง ชดั ภายในใจ เมอ่ื แจง ชดั หมดแลว ก็ “เอตมฺมงฺคล
มุตฺตม”ํ เปนมงคลอันสูงสุด!
อะไรจะสูงยิ่งกวา “นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ” อนั นเ้ี ปน สงู สดุ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๐
๔๘๑
นอกจากนน้ั ก็ “ผฏุ ฐ สสฺ โลกธมเฺ มหิ จิตฺตํ ยสสฺ น กมปฺ ติ อโสกํ วิรชํ เขมํ
เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ จติ นอ้ี ะไรมาสมั ผสั กต็ าม ไมมีความหวั่นไหวพรั่นพรึง สิง่ ทั้งหลาย
เขามาแตะตองสัมผัสไมได ที่เขาไมไดเพราะมันหมดสิทธิ์
“เขมํ” ทา นวาเปนจิตดวงเกษม “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ มงคลสองขอ ทก่ี ลา วมาน้ี
อยูที่ใจน่นี ะไมไดอ ยูท่ีไหน ใจนแ่ี หละเปน ตวั มงคลและเปน อปั มงคล กอ็ ยใู นฉากเดยี ว
กนั
เวลานเ้ี ราแกอ ปั มงคล เพราะมันมีติดใจเราอยู ใหเปน “มงคล” ขึ้นมา “นิพฺ
พานสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ” เอา! แกเปดเผยลงไป “ตโป จ พฺรหฺมจริยฺจ อริยสจฺจาน ทสสฺ น”ํ
น่ี ตโป คอื ความแผดเผากเิ ลส กิเลสเปนของรอน จงึ เผากเิ ลสดว ย “ตปธรรม” คอื สติ
ปญญา ซง่ึ เปนของรอนสําหรบั กิเลส และแผดเผากเิ ลสลงไป
“อริยสจฺจาน ทสฺสนํ” คอื รเู หน็ อรยิ สจั ทกุ ขก ็รูเต็มจิต สมทุ ยั ก็ละไดเต็มใจ
มรรคก็บําเพ็ญไดเต็มภูมิของมหาสติ มหาปญญา แนะ ! จะวา อยา งไรอกี นิโรธกแ็ สดง
ความดบั ทกุ ขเ ตม็ ภมู ิ
คาํ วา “เห็นสัจธรรม” ทา นเหน็ อยา งนน้ั ผูเห็นผูรู “สัจธรรม” โดยสมบรู ณน น้ั แล
คอื ผทู ําพระนพิ พานใหแ จง และผไู มหวัน่ ไหวในโลกธรรมทั้งหลายคอื จติ นแ้ี ล อยทู น่ี !่ี
นพ่ี วกเรานา จะเอาสาระสาํ คญั นใ้ี หไ ด! จิตเปนตวั สําคัญ สว นรา งกายอะไรๆ
ในขนั ธห า กอ็ ยา งวา ! อยางที่เราเห็นเราพิจารณาแลวแล! ขอใหไดตัวนี้ซึ่งเปนตัวสําคัญ!
เอา! อะไรจะขาดก็ขาดไปเถอะ โลกนม้ี นั เปน อยา งนอ้ี ยแู ลว มันเปน มาแตไ หน
แตไร เราก็เคยเปนมาแลว กก่ี ปั กก่ี ลั ปเ กดิ ตาย ๆ นแ่ี หละ คราวนก้ี เ็ ดนิ ตามทางหลวงท่ี
เคยเดินนั่นแล
“ทางหลวง” คือคติธรรมดาใครหามไมได ตองเดินไปตามนี้ เรากร็ ูความจริงของ
คตธิ รรมดาอยบู า งแลว นจ่ี ะวา อยา งไรตอ ไปอกี ความรใู นการแสดงกม็ เี ทา น้ี กรณุ านาํ ไป
พิจารณาอยาไดประมาทนอนใจ
คาํ วา “นพิ ฺพานสจฺฉิกิรยิ า จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ การทําพระนิพพานใหแจงเปน
มงคลอันสูงสูด” ยอมจะเปนสมบัติของทานพุทธบริษัทผูพยายามไมลดละ ในวนั หนง่ึ
แนน อน
จึงขอยุติการแสดงเพียงเทานี้ ฯ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๑
๔๘๒
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๗ กมุ ภาพนั ธ พุทธศักราช ๒๕๑๙
อตมธรรม
เวลาฟง เทศนกรณุ าใหจิตอยูกบั ตัว อยา ไดส ง ออกไปดอู ารมณน น้ั น้ี อยา เสยี ดาย
อารมณที่เคยคิดปรุงมาซึ่งไมเกิดประโยชนอะไรในเวลานี้ จงพยายามบรรจุธรรมนี้เขาสู
ดวงใจ ใจนี้เคยแหงผากจากธรรมเปนเวลานาน เชน เดยี วกบั สถานทป่ี า ไมท ใ่ี ดกต็ ามท่ี
แหงผาก ไมมีน้ําเปนที่ชุมชื่นบางเลย สถานที่นั้นเปนเชื้อไฟไดเร็ว แผดเผาไมทุกชนิด
ทกุ ลาํ เปน ทกุ ลาํ ตายใหพ นิ าศไปได เพราะความชุมชื้นไมมี หนาฝนไฟไมคอยจะไหมท ่ี
นน่ั ท่ีนต่ี ามปา เขาลาํ เนาไพร แตหนาแลงไฟชอบไหมที่ตางๆ แมท ส่ี ดุ ภายในวดั กไ็ หมถ า
แหง สถานทีแ่ หง ไฟไหมไดง าย อยา งวดั ปา บา นตาดเคยถกู ไฟไหมม าแลว หลายหน น่ี
เพราะความแหงแลงนั่นเอง
จิตใจแหง แลง จากธรรม ไมมีธรรมเปนเครื่องหลอเลี้ยง ไมมีธรรมเปนเครื่องทํา
ความเย็น ไฟกเิ ลสตณั หาอาสวะยอ มกอ ตวั ขน้ึ ไดเ รว็ อะไรผานเขามาเปนไหมและไหม
หมดไมมียกเวน ไหมใ นสถานทใ่ี ดสถานทน่ี น้ั ยอ มเสยี หาย กเ็ มอ่ื กเิ ลสตณั หาอาสวะไหม
ภายในจติ ใจ ทําไมจิตใจจะไมเสียหาย แมม คี ณุ คา ขนาดไหนกอ็ บั เฉาไปได จนกระทั่ง
หาคณุ คา ราคาไมไ ดภ ายในใจ ดวงใจดวงท่ถี ูกไฟไหมอ ยตู ลอดเวลานัน้ แล จะลดคุณคา
ของตวั ลงอยา งนา ใจหาย สมบัติใดก็ตามที่ถูกไฟไหมแลว ยอ มเสยี หายมากนอ ยไปตาม
สวนทถ่ี ูกไฟไหม นอกจากเกบ็ ไวใ นทป่ี ลอดภยั ทเ่ี ขาเรยี กวา “ตูนิรภัย” เชน ธนาคาร
ตางๆ เขามีไวประจํา
เรามี “ตูนิรภัย” บา งหรอื ไมภ ายในจิตใจเวลาน้ี ? หรือเปดรับภัยอยูทั้งวันทั้งคืน
ยนื เดิน นง่ั นอน เปดไมหยุดไมถอยไมมีอะไรเหลือหลอ ไมคิดเสียดายใจที่มีคุณคา
บา งหรอื ? นเ่ี ปน อบุ ายแหง ความคดิ สง่ั สอนตนเอง!
ทจ่ี ติ ใจหาความผาสกุ ไมไ ดก เ็ พราะถกู ไฟกเิ ลสไหมอ ยตู ลอดเวลา “ไฟคือ ราคคฺ
คินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา” ตาม อาทิตตปริยายสูตร ทานแสดงไวแลวไมมีอะไรที่จะ
นา สงสยั เปน ความถกู ตอ งมาตลอดกาล ถา เราไมน าํ แงแ หง ธรรมทท่ี า นแสดงไวน น้ี อ ม
เขามาสูตัว และเทียบเคยี งเหตุผลตามหลักธรรมทที่ านแสดงไวแลวน้ัน ก็พอมีทางพอ
จะหลบหลกี ปลกี ตวั หาทช่ี มุ เยน็ ไดต ามกาลเวลา ไมถ กู ไฟเหลา นไ้ี หมไ ปเสยี ตลอดกาล
ดงั ทท่ี า นทง้ั หลายไดอ ตุ สา หม าบาํ เพญ็ ในเวลานก้ี ช็ อ่ื วา “มาเสาะแสวงหาที่เก็บทรัพย”
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๒
๔๘๓
คือบุญ แสวงหา “ตูนิรภัย” สรางตูนิรภัย เพอ่ื ความปลอดภยั จากไฟทง้ั สามกองอนั เปน
กองใหญๆท้ังสิน้ ไมใหเผาไหมไปเสียจนหมดตัวโดยไมมีอะไรเหลือเลย
การดบั ไฟภายนอกกเ็ ปน ความยากลาํ บาก ถา ตดิ มากๆ ดีไมดี นํ้ายงั สมู นั ไมได!
และหวั สบู กม็ กั อดุ ตนั อยเู สมอ ถาไมมีเครื่องเปดบางไมได! เดี๋ยวตึกรามบานชองจะเห็น
แตเ ถา ถา น
ฉะนน้ั การดบั ไฟภายในจงึ ตอ งพยายามสง่ั สมอบรมความดโี ดยสมาํ่ เสมอ มกี าร
เจริญเมตตาภาวนาเปนตน เพื่อใหจิตใจสงบตัวรวมตัว สงบเยน็ และมกี าํ ลงั มาก ควรแก
การปราบปรามสิ่งที่เปนภัยแกจิตใจคือไฟดังที่กลาวมาไดดี
ขน้ึ ชอ่ื วา “ไฟ”แลว ตอ งรอ นทง้ั นน้ั แมแตด อกของมนั กระเด็นออกมาถูกตัวเรา
ยังรอนและเจ็บ ยง่ิ ถา ปลอ ยใหเ ผาทง้ั คนื ทง้ั วนั แลว จะหาอะไรมาเหลอื ตองไมมีเหลือ
แนน อนภายในจติ ใจ!
รา งกายของเรากเ็ หลอื แตร า งกาย จิตใจกเ็ หลอื “สกั แตว า ร”ู ไมม คี ณุ คา แฝงอยู
ไดเลย เพราะถกู นาํ ไปทมุ เทใหก บั ไฟคอื กเิ ลสเผาผลาญอยตู ลอดเวลา รูก็รูไปดวยทุกข
ไมใ ชรูไปดว ยความสบาย ไมใชรูไปดวยความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ความรอู นั นอ้ี ยู
ในใตอ าํ นาจแหง ความทกุ ข ใหค วามทกุ ขเ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยตู ลอดเวลา จึงเปนเหมือน
ใจที่ไมมีประโยชนอะไรเลย
การสรา ง “จิตตภาวนา”ขน้ึ โดยสมาํ่ เสมอดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ความขยัน
หมั่นเพียร นี้เปนทางที่จะดับไฟภายในจิตใจของเรา ใหปรากฏความรมเย็นขึ้นมาโดย
ลําดับได สง่ิ ทท่ี าํ ได สง่ิ ทเ่ี ปน ฐานะ คือคูควรแกสัตวโลกจะทําได พระพุทธเจาทรง
แสดงไวทั้งสิ้น สง่ิ ทไ่ี มเ ปน “ฐานะ”คอื เปน ไปไมไ ด กไ็ มท รงนาํ มาสง่ั สอนโลก
การที่นํามาสอนมากนอยในบรรดาธรรมทั้งหลาย ลว นแตอ ยใู นวสิ ยั ของ “พุทธ
บริษัท” จะพึงประพฤติปฏิบัติได ไมใชพระพุทธเจา จะทรงสั่งสอนแบบสุมเดา
เราผูปฏิบัติพึงเห็นอรรถเห็นธรรมเปนสําคัญและซาบซึ้งถึงใจ เชน เดยี วกบั เรอ่ื ง
ที่เราขยะแขยงไมปรารถนาในความทุกขทั้งหลาย อนั จะเกิดขนึ้ ทางกายและทางใจ เปน
สิ่งที่โลกไมพึงปรารถนาดวยกัน กส็ ง่ิ ใดท่ีจะพงึ นํามาแกสิง่ ทีไ่ มพ งึ ปรารถนาน้นี อกจาก
ธรรม!
เม่ือไดท ราบโดยเหตผุ ลแลวเชนนี้ การบาํ เพญ็ ธรรมจะยากหรอื งา ยน้ันไมสําคัญ
เพราะความปลงใจเชื่อ ความพอใจ และเหตุผลเปนเครื่องบังคับอยูแลวใหตองทํา คน
ตองทําไดตามกําลังของตน ความขเ้ี กยี จ ใครจะไมขี้เกียจเพราะอยูใตอํานาจของกิเลส
ตัวข้เี กียจ ไมอยากทําในส่งิ ท่ีดมี ีประโยชน มดี ว ยกนั ทกุ คน ความขี้เกียจตองขึ้นหนา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๓
๔๘๔
เสมอ แตความข้ีเกยี จไมใชธรรมท่ีจะยงั บคุ คลใหพน จากทุกข เปน สง่ิ ทจ่ี ะทาํ ใหน อนใจ
ประมาท และลมจมลงไปโดยลําดับ ตามอาํ นาจของกเิ ลสจอมโกหกพกลมเทา นน้ั
พระพทุ ธเจา ทา นกเ็ คยมมี าแลว แตทําไมพระองคจึงมีความสามารถนอกเหนือ
สิ่งที่เคยกดถวงจิตใจนี้ได เราควรนําเขามาเทียบเคียงแลวยึดหลักของทานไวเปนคติ
เตือนใจ เวลาความเกยี จครา นออ นแอเกดิ ขน้ึ จะมที างพอตอ สกู นั บา ง ไมห มอบราบไปที
เดียว ยากกท็ าํ ไป!
ถาเราเห็นทุกขว า เปนทุกขจ รงิ การแกท กุ ขก ต็ อ งถอื เปน ของสาํ คญั ไมเ ชน น้นั สิ่ง
ทเ่ี ราขยะแขยง สง่ิ ทเ่ี ราเกลยี ดกลวั นน้ั จะไมพนจากการเจอกันตลอดไปจนได จะหาทาง
หลบหลกี ปลกี ตวั ดว ยความคดิ เฉยๆ โดยไมมีการกระทําหรือแกไขดัดแปลงยอมเปนไป
ไมได
เพราะฉะนน้ั สง่ิ ใดทค่ี วรแกก ารทาํ ดว ยวธิ ใี ด จะยากหรอื งา ย เราตองทําตามวิธี
นั้นๆ ซง่ึ เปน ทางถอดถอนสง่ิ ทไ่ี มพ งึ ปรารถนาออกจากจติ ใจ
เรานี้เปน “หนง่ึ ” ดว ยกนั ทกุ คน พูดถึงเรื่องการเกิดตายแลว พูดถึงเรื่องความ
ทกุ ขในระหวางภพน้ันๆ จนกระทั่งบัดนี้ เปน “หนง่ึ ” ดว ยกนั ทกุ คน ไมมีใครเปน “สอง”
รองลงไป! เพราะตางคนตางเกิด ตางคนตางทุกข ตา งคนตา งเปน มาอยา งนน้ั ดว ยกนั
ภพนอ ยภพใหญ ทุกขนอยทุกขใหญ ทกุ ขม าดว ยกนั ไมมีใครจะนําภพชาติมาแขงขัน
กนั ไดเ พราะมมี ากดว ยกนั ความทุกขก็มีเต็มกายเต็มใจเชนเดียวกัน เรานาํ มาแขงขนั กนั
ไมได ทท่ี า นเรยี กวา “หนง่ึ ดว ยกนั ” พวกเรานี่ไดคะแนน “เอก” ดว ยกนั มนั ไดแ บบน้ี
ทนี ค้ี วรให “เอก” ดวยจิต “เอก” ดวยธรรม ! เรือ่ งกองทุกขความทรมานนเี้ คย
“เอก” มาดวยกันแลว ไมม ใี ครจะสามารถอาจหาญนาํ มาแขง ขนั กนั ได วา ใครมที ุกขมาก
นอ ยกวา กนั อยา งไรบา ง เพราะมีเหมือนๆ กนั พอๆ กนั
ขน้ึ ชอ่ื วา “กเิ ลส” เปน ผนู าํ ทาง เปน ผฉู ดุ ลากแลว เปนผูพาเดินแลว ตองเดินไป
เพอ่ื ความเปน ทกุ ขม ากนอ ยโดยลาํ ดบั เชน เดยี วกนั หมด ถาหากวาเราจะขืนยอมเชื่อ
กเิ ลสอยรู าํ่ ไปแลว เราก็จะตองไดรับความทุกขเ พราะอาํ นาจของกิเลสรํา่ ไป เรื่อยไป ไม
มีเบื้องปลายวาเมื่อไรเราจะพนจากกองทุกขนี้ได ถาเราไมฝน!
การฝนกิเลสเปนเรื่องของธรรม ฝน ดวยเหตดุ ว ยผลของเราทที่ ราบแลว วา สง่ิ นน้ั
เปนภัย สิ่งนั้นเปนทุกข จะตอ งแกด ว ยวธิ นี ้ี แกด ว ยวธิ นี น้ั วธิ ใี ดทถ่ี กู ตอ งในการแกก เิ ลส
แกก องทกุ ขเ ราตอ งนาํ มาใช จะยากหรอื งา ยไมส าํ คญั เชน เดยี วกบั เครอ่ื งมอื ทาํ งาน จะ
หนกั หรอื เบา นายชา งตอ งยกมาทาํ หยบิ มาทาํ ทง้ั นน้ั ถงึ วาระงานใดท่ีจะตองทําดว ย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๔
๔๘๕
เครื่องมือใด หนกั กต็ อ งยกเอาขน้ึ มาทาํ เบากต็ อ งเอามาทาํ จนสงิ่ ท่ีตองการน้ันสําเร็จลุ
ลวงไปโดยลําดับ ถึงขั้นสําเร็จอันสมบูรณ
นเ่ี ครอ่ื งมอื ทจ่ี ะบาํ เพญ็ เพอ่ื แกก เิ ลสตณั หาอาสวะ ที่จะปลูกสรางจติ ใจขึ้นใหเปน
รากเปนฐาน เปนตัวเปนตนขึ้นมาอยางแทจริง กจ็ ะตอ งสรา งดว ยเครอ่ื งมอื คอื “ธรรม”
ธรรมที่เปนเครื่องมือมีหลายประเภทที่เราจะตองนํามาใชในเวลานั้นๆ บางกาลบางเวลา
จติ ใจไมถูกกิเลสยั่วเยา ไมถ กู กเิ ลสกอ กวนใหฟ งุ ซา นรําคาญมากนกั การแกไ ขดว ยการ
ฝาฝน การปราบปรามกันกไ็ มห นักมอื เทา ไร การใชส ติปญ ญาอนั เปนเคร่ืองมอื กไ็ มห นกั
มาก อาการแหง การกระทาํ โดยทา ตา งๆ กไ็ มห นกั มาก เชน นง่ั นานไมนานไมส าํ คญั
เดนิ นานไมน านไมส าํ คญั การพจิ ารณานานไมน านกไ็ มค อ ยสาํ คญั เพราะงานยังไม
สาํ คญั
เมอ่ื จติ ถกู กเิ ลสกอ กวนวนุ วายมากจนหาทป่ี ลงทว่ี างไมไ ด กาลนน้ั เราจะอยเู ฉยๆ
ไมได ข้ึนชอ่ื วาความเพยี รแลวมีเทา ใดตองทุม เทลงเพือ่ ตอ สกู นั ในเวลานัน้ เปนก็เปน
ตายก็ตาย ไมย อมแพไ มย อมถอย นอกจากตายเสียเทา นน้ั เพราะมันสดุ วสิ ยั สติปญญา
มเี ทา ไรจะตอ งนาํ มาใชใ นเวลานน้ั หนกั กต็ อ งใช ลาํ บากยากเยน็ เขญ็ ใจขนาดไหนกต็ อ ง
ใช ทุกขขนาดไหนเพราะความเพียรก็ตองนํามาใช ทุกขเพราะความเพียรไมเปนไร ทกุ ข
เพราะกิเลสนี้พิลึก จมแลว หาวนั ผดุ วนั โผลห นา ขน้ึ มาไมไ ด สว นทกุ ขด ว ยการประกอบ
ความพากเพียรนี้เราทราบ ทกุ ขท างกายเรากท็ ราบ เชน นง่ั นานเดนิ นานเราทราบ
อบุ ายวธิ ตี า งๆ ที่เราคิดคนขึ้นมาเพื่อตอสูกับกิเลสประเภทตางๆ เปน ความยากลาํ บาก
เพียงไรก็ทราบ แตผ ลทป่ี รากฏขน้ึ มาจากความยากลาํ บากเพราะความเพยี รน้ี นน้ั เปน
ความสขุ ความอศั จรรยแ ละความแยบคายของใจ ซึ่งเปนสิ่งที่เราพึงหวังพึงปรารถนากัน
อยแู ลว น่ี
เมื่อมีเหตุมีผลเปนเครื่องเทียบเคียงกันอยูเสมอ และมเี ครอ่ื งตอบรบั กนั อยู
เรื่อยๆ อยา งน้ี แมจ ะลําบากเพยี งไรกพ็ อตะเกยี กตะกายไปไดด วยกนั ถา จะมีแตความ
ลาํ บากอยา งเดยี ว ไมม ีผลคือความสขุ ความสบายเปนเคร่ืองตอบแทนเลย ใครก็เปนไป
ไมไดในโลกนี้ อยา วา แตค นเราสามญั ธรรมดาเลย แมพระพุทธเจาก็ตรัสรูขึ้นมาไมได
สาวกอรหตั อรหนั ตท เ่ี ราเปลง วาจาหรอื อทุ ศิ นาํ้ ใจตอ ทา นวา “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฺ
ฉาม”ิ กไ็ มป รากฏมใี นโลกเลย
ความจริงมันก็ตองมีจังหวะมีโอกาสที่จะพอสูกันได คนเราสาํ คญั ทค่ี วาม
พยายาม เหตผุ ลอยา ปลอ ยวางสาํ หรบั นกั ธรรมะ ถาเหตุผลจางไปเมื่อไรกิเลสจะแหลม
คมเขามาทุกที ถาความเพยี รจืดจางกิเลสตองเค็ม ถาความเพียรเขมแข็ง สติปญญาเขม
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๕
๔๘๖
แขง็ กิเลสจะคอยจางลงไป ๆ เพราะกิเลสกลัวธรรมเทา น้นั ไมก ลวั อะไรในโลกนี้ ธรรม
เทานั้นเปนเครื่องปราบกิเลส
ธรรมกไ็ ดแ ก ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญ ญา!
“ศรทั ธา” ความเชื่อตอผลที่พระพุทธเจาทรงไดรับแลว และประกาศธรรมสอน
โลกวา เปน “นยิ ยานกิ ธรรม” จริงๆ นี่เปนศรัทธาความเชื่อ แมเราเองเมื่อประพฤติ
ปฏิบัติดังที่พระองคสอนไว ก็แนใจวาจะตองไดรับผลเปนที่พึงพอใจโดยลําดับ น่ี
ศรัทธา
“วิริยะ” คอื ความพากเพยี ร ทําอะไรกท็ ําดวยความพากเพียรแลวดีทง้ั น้นั ไมวา
กจิ นอกการใน ถา มคี วามพากเพยี รเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ตอ งสาํ เรจ็ และสวยงามนา ดูนา
ชม
“สต”ิ เปน สง่ิ สาํ คญั ทค่ี อยกาํ กบั งานนน้ั ๆ ไมใหพลั้งเผลอผิดพลาดไปได
“สมาธ”ิ มีความมุงมั่นตอกิจการของตน ไมห วน่ั ไหวคลอนแคลน เอาจนถึงขั้น
สําเร็จ นเ่ี รยี กวา “สมาธิในทางเหต”ุ , สว น “สมาธใิ นทางผล” ปรากฏขน้ึ มาเปน ความ
แนว แนม น่ั คงของจติ เปน ความสขุ ความสบายเกดิ ขน้ึ จากเหตุ คอื ความมน่ั คงในการ
กระทํา ไมว อกแวกคลอนแคลน ไมเ อนเอยี ง ตั้งหนา ตัง้ ตาทําจรงิ ๆ นค่ี อื สมาธฝิ า ยเหตุ
สมาธฝิ า ยผลคอื ความสงบของใจ จนกระทั่งเปน “เอกคั คตา” ทท่ี า นเรยี กวา มอี ารมณ
เปนอันเดียวเทานั้น ไมมีอะไรเขามาพึ่งพิง
“ปญ ญา” คือความสอดสองมองทะลุไปหมด อะไรๆ ก็ตามตองใชปญญาเปนสิ่ง
สาํ คญั สอดสอ งมองดเู หตกุ ารณ หนา ทก่ี ารงานอนั นน้ั จะไดผ ลเสยี หายหรอื ผลสมบรู ณ
อยา งไรบา ง ตอ งอาศยั ปญ ญาพนิ จิ พจิ ารณา บวก ลบ คณู หาร ไปในตัว นี่แหละธรรม
ทจ่ี ะยงั บคุ คลใหพ น จากทกุ ขไ ปไดโ ดยลาํ ดบั
ไมวากจิ การงานอะไรท่จี ะสาํ เรจ็ สมบรู ณไปได ประการหนง่ึ ทา นกเ็ รยี กวา “อทิ ธิ
บาทส”่ี นนั่ ก็เปนสิ่งสําคัญพอๆ กบั ธรรมหมวดทก่ี ลา วมาแลว คอื
(๑) ฉันทะ เราพอใจกับอะไร ฉันทะพอใจกับกิเลส มันกเ็ ปน กิเลสขึน้ มา คนมี
ความพอใจในสง่ิ ใด ยอ มเสาะแสวงหาในสง่ิ นน้ั ตองเปน “นน้ั ” ขน้ึ มา แต “อทิ ธบิ าทส่”ี
นี้มิไดหมายถึงความต่ําทรามเชนนั้น หมายถงึ ความดที จ่ี ะใหเ ปน ผลสาํ เรจ็ ขน้ึ มาตาม
ความมงุ หวงั ทานเรียกวา “อทิ ธบิ าท” คือสิ่งที่จะทําใหสําเร็จตามความมุงหวัง ไมสุด
วิสัยของมนุษยที่จะพึงทําได “ฉนั ทะ” มีความพอใจ
(๒) วริ ยิ ะ ความพากเพยี ร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๖
๔๘๗
(๓) จิตตะ ใฝใ จ ไมใ หห า งเหนิ กับกจิ การทีท่ าํ
(๔) วมิ งั สา คือปญญา ความเฉลยี วฉลาดรอบตวั รวมแลว กเ็ ปน อนั เดยี วกนั คือ
เพอ่ื งานและผลงานอนั เดยี วกนั
นแ่ี หละธรรมทจ่ี ะสรางมนษุ ยใ หเ ปน มนษุ ยส มบรู ณแ บบ ที่จะสรางจิตใจใหมีราก
มีฐาน สรา งหนา ทก่ี ารงานใหเ ปน ชน้ิ เปน อนั เปนสัดเปนสวน มีกฎมีระเบียบ มีขนบ
ประเพณีอันดีงาม
สาํ หรบั ตนเองผบู าํ เพญ็ ในธรรมทง้ั หลาย ไมใ หป น เกลยี วกบั หลกั ธรรมทท่ี า น
สอนไวน ้ี เมอ่ื จติ ใจมคี วามเปน ไปกบั ธรรมดงั ทก่ี ลา วแลว กช็ อ่ื วา “จิตใจมีอารักขา” คือ
ธรรมรักษา ธรรมเปนเครื่องรักษาจิตใจ ใจยอมมีความเจริญขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เคยเปนภัย
ตอ จติ ใจกค็ อ ยจางลงไป ๆ ใจทเ่ี คยอาภพั อบั เฉามาเปน เวลานาน กเ็ พยี งอบั เฉาเทา นน้ั
ไมใ ชจ ติ ฉบิ หายไปจนหาอะไรคดิ อะไรรไู มไ ด เมอ่ื ถกู ชาํ ระดว ยความพากเพียรวธิ ี
ตางๆ ยอมจะมีความผองใส มคี วามสงบเยน็ ใจ มคี วามสขุ ความสบายขน้ึ มา เพราะ
ขา ศกึ หา งไกลออกไปดว ยการชาํ ระจติ ของผมู ี “ความเพยี ร”
นเ่ี ปน กญุ แจดอกสาํ คญั ที่จะไขสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งหลายใหสําเร็จขึ้นมาโดย
สมบรู ณไ ด ไมใชเพียงความคิดความตองการเฉยๆ โดยมคี วามทอ แทอ อ นแอเปน
เครอ่ื งฉดุ ลากเอาไว ไมใหดําเนินงานนน้ั ๆ เปนไปโดยสมบูรณ
เราจะทําอะไรคิดอะไรก็ตาม อยาลืมพระพุทธเจาซึ่งเปนศาสดาของพวกเรา การ
กระทาํ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ถา เมอ่ื เกดิ ความทอ แทอ อ นแอขน้ึ มา ใหระลึกถึงพระพุทธเจา
พระพุทธเจาตรัสรูดวยความพากเพียรในธรรมที่กลาวมานี้ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ
ปญญานี้แล หรือตรัสรูดวยอะไรถาไมใชดวยธรรมเหลานี้
เราจะเอาอะไรมาบํารุงจิตใจของตน มาสงเสริมจิตใจของตนใหเปนความสุข
ความเจริญ อยา งนอ ยกเ็ ปน “ศิษยที่มีคร”ู ถาไมใชธรรมดังที่พระพุทธเจาทรงบําเพ็ญ
และทรงรูเหตุรูผลมาแลวนี้ ไมมีทางอื่นเปนที่นาดําเนินเลย
คาํ วา “ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เกิดขึ้นมาไดดวยเหตุใด ถาไมเกิดขึ้นไดดวยธรรม
ทั้ง ๕ ประการนี้ คอื ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา นี้ไมมีทางเกิดขึ้นได “ธมมํ สรณํ
คจฺฉามิ” เกิดขึ้นไดดวยเหตุนี้เอง เกิดขึ้นจากพระพุทธเจาผูมีธรรมทั้ง ๕ ประการนี้
ประจําพระองค
“สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” กไ็ ปในแนวเดยี วกนั พระสงฆสาวกทัง้ หลายไมใ ชผอู อน
แอทอ ถอย แมจ ะออกมาจากสกลุ ใดๆ กต็ าม ตั้งแตพระราชามหากษัตริยลงมาพอคา
เศรษฐี กฎุ ม พี ถึงบุคคลธรรมดา เมอ่ื กา วเขา สคู วามเปน “พุทธชิโนรส” ที่ปรากฏใน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๗