๓๘๘
เพราะฉะนั้นเพื่อความจริง เพ่ือความไมเ หลวไหลตอ งใหทราบ ทกุ ขม นั เกดิ ขน้ึ มากนอ ย
ตองใหทราบวาทุกขเกิดขึ้นคือเรื่องของทุกข มนั ตง้ั อยกู ค็ อื เรอ่ื งของทกุ ข มนั ดับไปก็คือ
เรื่องของทุกข เราผูรูทั้งทุกขที่เกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไปเปนเรื่องของเรา เปน เรอ่ื งของ
ความรูน!ี่
“สญั ญา” จําไดแลวมันดับ เราเห็นไหม มนั เกดิ มนั ดบั อยอู ยา งนน้ั เปน “เรา”ได
อยา งไร เอาความแนน อนกบั มนั ไดท ไ่ี หน ทานจึงวา “สญฺ า อนิจฺจา สญฺ า อนตตฺ า”
“สงั ขาร” ปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงเทาไรมันก็ดับไปพรอมกันทั้งนั้น ถาเราจะเอา“เรา”
เขาไปสูสังขาร มันเกิดดับวันยังค่ํา หาความสขุ ไมไ ดเ ลย
“วญิ ญาณ” มันกระทบทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ กระทบเมื่อไรมันรู ๆ รแู ลว
ดับไปพรอมๆ กนั ทง้ั ขณะทเ่ี กดิ ทด่ี บั มนั ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั เราจะเกิดดับ ๆ เกดิ ดับ
อยอู ยา งนน้ั หาความแนน อนเทีย่ งตรงไดอ ยา งไร
เพราะฉะนั้นสง่ิ เหลา นจ้ี งึ เปน อาการอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั ผูท ร่ี ูส่งิ ทั้งหลายเหลา
นแ้ี ลคอื ใจ ความรเู ปน สง่ิ ทแ่ี นน อน เปนสิ่งที่ตายตัว ขอใหร สู ง่ิ ภายนอกอนั จอมปลอม
ทง้ั หลายน้ี วา เปน สภาพอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั จติ นีจ้ ะตั้งตวั ไดอ ยา งตรงแนว ไมหวน่ั ไหว
จะเกดิ ขน้ึ กไ็ มห วน่ั ไหว จะไมเกิดขน้ึ ก็ไมห วัน่ ไหว จะดับไปก็ไมมีอะไรหวั่นไหว เพราะ
จติ รเู รอ่ื งทกุ สง่ิ ทกุ อยา งบรรดาอาการทอ่ี าศยั กนั อยู และรูทั้งตัวจริงคือธรรมชาติ
ของจิตแทวาเปนตัวของตัวแท ดว ยความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ ดว ยปญ ญาซกั ฟอกดว ยดแี ลว ผนู ้ี
เปน ผแู นน อน นแ่ี หละทา นผแู นน อน คือทา นผรู ธู รรมชาตทิ แ่ี นน อน และรูถึงสิ่งที่เกี่ยว
ของทั้งหลายตามความเปนจริง ปลอ ยวาง สลดั ปด ท้ิงออกตามสว นของมัน สว นไหนท่ี
จริงใหอยูตามธรรมชาติแหงความจริงของตน เชน จิต เปนตน
นห่ี ลกั ความจรงิ หรอื หลกั วชิ าทเ่ี รยี นมาเพอ่ื ปอ งกนั ตวั เพื่อรักษาตัว เพอ่ื ความ
พนภัย เปลอ้ื งทกุ ขท ง้ั หลายออกจากตวั นค่ี อื หลกั วชิ าแท เรียนธรรมเรียนอยางนี้เรียน
เรื่องของตัวเอง เรียนเรื่อง “ความร”ู ความคดิ ตา งๆ เรียนเรื่องกาย เรื่องเวทนา สัญญา
สังขาร วญิ ญาณ อนั เปน “อาการ ๕ อยาง” น้ี ซง่ึ เปน สง่ิ ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั ใจ ถึงกับเหมา
วา นี่เปนตนเปนของตน ใหรูตามความเปนจริงของมันทุกอาการ แลว ปลอ ยวางไวต าม
สภาพแหง อาการของมนั
น่ี เรียกวา “เรยี น” เรียกวา “ปฏบิ ตั ิ” เรียกวา “รู” รกู ล็ ะกถ็ อน!
ถา รจู รงิ แลว ตอ งละตอ งถอน เมอ่ื ละถอนแลว ความหนักซึ่งเคยกดถวงจิตใจที่
เนื่องมาจาก “อปุ ทาน” ก็หมดไป ๆ เรียกวา “จิตพนจากโทษ” คอื ความจองจาํ จากความ
สําคัญมั่นหมายที่เปนเหตุใหจองจํา พนอยางนี้แลที่วา “จิตหลุดพน” ไมไดเหาะเหิน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๘
๓๘๙
เดินฟาขึ้นไปที่ไหน พนตรงที่มันของนั่นแหละ ทม่ี นั ถกู จองจาํ นน่ั แหละ ไมไดพนที่
ไหน รูท ี่มันหลงน่ีแหละ สวางทม่ี ันมืดนนั่ เอง นี่จิตสวาง คือสวางที่ตรงมืดๆ มืดมน
อนธการ มดื อยภู ายในตวั เอง
ทนี เ้ี วลาพจิ ารณาปฏบิ ตั ไิ ป สติปญญาเกิดขึ้น ๆ สอ งแสงสวา งใหเ หน็ ความจรงิ
ในสง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ตน ทราบวา เปน เพยี งสง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ ง สลดั ออกไดโ ดยลาํ ดบั ๆ เมื่อ
ความสวา งรอบตวั กป็ ลอ ยไดห มด
“ธมฺโม ปทโี ป” จะหมายถึงอะไร ถา ไมห มายถงึ “จิต” ดวงที่สวางรอบตัวไมมี
อะไรเจอื ปนเลยจะหมายถงึ อะไร! นเ่ี รยี กวา “ธรรมแท” ธรรมแทที่เปนสมบัติของเรา
หมายถึงธรรมนี้ ที่เปนสมบัติของเราแท ที่เปนสมบัติของพระพุทธเจาก็ที่ประทานไว
เปนตํารับตํารา!
เราเรียนเทาไรกม็ แี ตค วามจาํ ไมใชเปนตัวของตัวแท เอาความจาํ นน้ั เขา มา
ปฏบิ ตั ใิ หเ ปน ความจรงิ จนปรากฏขน้ึ เปน “ธมฺโม ปทโี ป” เฉพาะภายในใจเรานี้เปน
สมบัติของเราแท นแ้ี ลคอื “ธรรมสมบัต”ิ ของผปู ฏบิ ตั ิ
พระพุทธเจา มีพระประสงคอยางนี้ที่ประทานศาสนาไว ใหรูจริงเห็นจริงตามนี้
“สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” ไมทรงผูกขาด ผูปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเอง “ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ”
ทานผูรูทั้งหลายจะพึงรูเฉพาะตน คอื หมายถงึ รอู ยา งน”้ี นี่เปนผลของการปฏิบัติธรรม
เมื่อไดผลเต็มที่แลว อยไู หนกอ็ ยเู ถอะ แสนสบาย หมดกงั วล โลกจะมีมากมีนอยเพียง
ใดมคี วามวนุ วายขนาดไหน ผูนี้ไมวุน เพราะผูนี้ไมเปนโลก ผนู ้ไี มห ลง
เรื่องโลกมันกวางขวางมาก ไกลจากตวั ของเราออกไป เฉพาะอยา งยง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ ง
อยูทั้งวันทั้งคืน กค็ อื “ขันธห า” กบั “จิต” นแ่ี หละ มนั เกย่ี วขอ งกนั จนจะแยกกนั ไมอ อก
แตน เ้ี รายงั สามารถแยกออกได ทําไมเราจะไปหลงวาเปน “โลก” ดว ยกนั
นแ่ี หละการปฏบิ ตั ิ ผลเปน อยา งน้ี เปน อยางน้แี นนอนไมเปน อ่ืน ขอใหผ ลติ ขน้ึ
มาพิจารณาขึ้นมา ปญญาหุงตมกินไมได ใชไดแตแกกิเลส ใชแกความงมงายของเจา
ของเทานั้น ใหพ จิ ารณา เรียนตรงนี้แหละเรียนธรรม อยา ไปเรยี นทอ่ี น่ื ใหม ากมายกา ย
กอง เพราะพิษอยูตรงนี้ โทษภัยก็อยูตรงนี้ แกต รงนแ้ี ลว คณุ คา อนั สาํ คญั กเ็ กดิ อยทู น่ี ่ี
เอง!
เอาละ การแสดงธรรมขอยุติ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๙
๓๙๐
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
อะไรตายกันแน
ถาเทยี บเคยี งอนั ตรายระหวางกิเลสกบั เรา กเ็ หมอื นกบั แมเ นอ้ื กบั นายพราน แม
เนือ้ เทย่ี วหากินไป ถกู นายพรานยงิ เอา ๆ ยงิ จนกระทง่ั แมเ นอ้ื ตาย แมเ น้ือเองไมมี
โอกาสจะทราบวาใครเปนคนยิง ใครเปนคนทําลายตัว เพราะมองไมเห็นนายพรานนี่
เปน แตย งิ ปง มาถกู แลว กต็ าย ตวั ทพ่ี อจะรเู หน็ ไดบ า งกถ็ กู ความเจ็บปวดอยา งมากครอบ
งําเสีย สตปิ ญ ญาในเวลานน้ั ไมม ี ตองตายเปลา
เรากถ็ กู กเิ ลสยงิ เอาใหเ กดิ ความทกุ ข ความทรมานทางรางกายและจิตใจ เฉพาะ
อยา งยง่ิ คอื จติ ทถ่ี กู กเิ ลสยงิ เอา ๆ ไดรับแตความทุกขความทรมาน แตไมทราบวา
สาเหตุที่ทําใหเกิดความทุกขนี้เปนมาจากอะไร เปนมาจากลูกศรของกิเลสประเภทใด
บางทเ่ี สียบเอาแทงเอา เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งเรยี น “วชิ ากเิ ลส” และ “วชิ าธรรม” คอื สติ
ปญญา ศรทั ธา ความเพียร ใหท นั กนั ทนั กนั ในทใ่ี ดในระยะใด หรอื ในข้ันใด กพ็ อแกไ ข
หรอื ถอดถอนกนั ไดใ นขน้ั นน้ั ๆ ที่ยังไมทราบเพลงอาวุธหรือยังไมรูลูกศรของกิเลส กจ็ าํ
ตองยอมใหเขายิงเอา ๆ ไปกอน แตตอ งเรยี นและแกไ ขกนั ไปเรอ่ื ยๆ
วิชาทเ่ี รยี นเพอื่ จะรเู ร่อื งของกิเลสน้ีก็มหี ลายประเภท ที่พระพุทธเจาทรงสอนไว
เฉพาะผูปฏิบัติเพื่อความรูจริงเห็นจริงจริงๆ ทานก็สอน “สมาธิ” สอน “ปญญา” ให น่ี
เปนอาวธุ ทที่ นั สมยั หรอื เปน เครอ่ื งแกเ ครอ่ื งถอดถอนลกู ศร คือกิเลสทุกประเภทที่ทัน
สมยั และปราบปรามกิเลส ตวั ทาํ ลายสตั วโ ลกใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก เวยี นวา ย
ตายเกดิ ใน “วฏั สงสาร” ไมแลวไมเลาสักที และไมมีตนมีปลาย ใหหมอบราบไปไดโดย
ไมสงสัย
ถา ไมม เี ครอ่ื งมอื แก กเ็ ปน อนั วา ตอ งทนทกุ ขท รมานไปตลอดอนนั ตกาล หาเวลาํ่
เวลาพนกองทุกขไปไมได การแกห รอื ปลดเปลอ้ื งสง่ิ ใด การเรียนรูเรื่องใดก็ตามนั้น ไม
ยากไมล าํ บากเหมอื นการเรยี นรเู รอ่ื งความเคลอ่ื นไหวทผ่ี ดิ ถกู ของตวั ที่เปนไปกับดวย
กเิ ลสภายในใจ เพราะเคยถือสิ่งเหลานี้วาเปน “เรา” เปน “ของเรา” มานมนาน
การกระทํา การพูดที่แสดงออกมาจากตัวเราดีหรือชั่ว เราถือวาเปนเราเปนของ
เราทั้งนั้น ไมทราบอะไรผิดอะไรถูก เมอ่ื เปน เชน นน้ั จึงตองมาเรียนเรื่องตัวเรา เรื่องโง
เรอ่ื งฉลาด เรื่องดี เรื่องชั่ว นม้ี อี ยกู บั ตวั เราดว ยกนั เฉพาะอยา งยง่ิ เวลานเ้ี ราเรยี น
เรื่อง “จิต”
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๐
๓๙๑
เรื่องของเราแทๆ คือเรื่องของจิต จิตแสดงอาการแงง อนตา งๆ ลว นแลว แตเ ปน
มายาของกิเลสท่พี าใหแ สดงทั้งนั้น ตามธรรมดาของจิตแลวจะมีแต “รู” เทา นน้ั การ
แสดงอาการ “คดิ ปรงุ ” การเปลี่ยนแปลงตางๆ ในแงดีแงรายเปนตน นเ้ี ปน สง่ิ หนง่ึ ท่ี
แสดงออกทางจติ ซง่ึ มกี เิ ลสเปน เครอ่ื งหนนุ เปน เคร่อื งผลกั ดันออกมาใหคดิ ปรงุ ให
พูดใหทําเชนนั้น
ทา นนกั ปฏบิ ตั จิ งึ ตง้ั หนา ปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ ใหม เี วลาโดยเฉพาะทาํ งานอันเดยี ว เชน
นกั บวช รสู กึ สะดวกมากกวา ฆราวาสอยพู อสมควรในเรอ่ื งน้ี จะตองตั้งหนาตั้งตา
ประพฤติปฏิบัติจริงๆ ตามหนา ทแ่ี ละเพศของตนซง่ึ บอกไวแ ลว วา “เพศนกั บวช” คือ
เพศแหง นกั รบภายในใจ แตไ มว า ใครกพ็ น อาํ นาจความขเ้ี กยี จออ นแอไปไมไ ด แมอ อก
สแู นวรบแลว กย็ งั ตายใจนอนใจ สนกุ นอนหลบั ครอกๆ อยใู นแนวรบได ใหก เิ ลสมนั ยงิ
เอา ๆ ตายตวั แขง็ อยบู นหมอนไมร จู กั ตน่ื ตวั กม็ เี ปน จาํ นวนมาก บางวนั ตายสนทิ จนลมื
เวลาหาภกิ ขาจารวตั รกม็ ี หรือจนเลยเถิดไปใครก็ไมทราบได ทั้งนี้เพราะฤทธิ์ของกิเลส
มันแกหรือธรรมแก กส็ ดุ แตจ ะคดิ กนั เอาเถอะ เรามนั เรียนนอ ยรูน อยไมอาจทราบได
ฉะน้นั พระพุทธเจา จึงทรงสอนใหม คี วามต่ืนเน้อื ต่ืนตัว มคี วามขยนั หมน่ั
เพียร สถานทใ่ี ดเหมาะสมเปน เครอ่ื งดดั สนั ดานกเิ ลสซง่ึ ถอื วา เปน ตนๆ นน้ั ทา นสอน
ใหไ ปอยใู นสถานทน่ี น้ั แตส ว นมากไมอ ยากไปกนั ชอบอยสู ถานทซ่ี ง่ึ กเิ ลสเบอ่ื ๆ จะตม
แกงเปน อาหารนน่ั แล พวกเรานกั บวชนกั ปฏบิ ตั มิ นั ชอบกลา หาญในสง่ิ ทก่ี เิ ลสเบอ่ื ๆ
นน้ั แล
นไ่ี ดเ คยเหน็ ผลมาตามกาํ ลงั อยใู นทธ่ี รรมดากบั ครอู าจารย เพื่อนฝูง ความรสู กึ
เปน อยา งหน่ึง ความขเี้ กยี จขีค้ รานก็รูส ึกวา เดนไมมใี ครแขง ได แทนท่ี “ธรรม” จะเดน
กลบั เปน ความขเ้ี กยี จออ นแอเดน เรื่องของกิเลสเดน แตพ อแยกตวั ออกจากครจู าก
อาจารยไปแลว ความรสู กึ กเ็ ปลย่ี นไปตามสถานท่ี และคิดไปวา ไมไดอยูกับเพื่อนฝูงไม
ไดอยใู นสถานท่ธี รรมดา นเ่ี ปน สถานทห่ี นง่ึ ตา งหาก แลว มคี วามรสู กึ แปลกประหลาด
ขึ้นมา สวนมากจะเปนความระมัดระวังตัว เพราะเราไปหาที่ที่ตองระวังตัว ไมไปหาที่
นอนใจ คือหาที่ที่ตองตั้งใจระวังตัว มีสติ กลางวนั กม็ สี ติ เพราะความกลวั สง่ิ แวดลอ ม
มนั บงั คบั อยตู ลอดเวลา ในทบ่ี างแหง หา งจากหมบู า นตง้ั ๗-๘ กโิ ลกม็ ี และอยใู นปา ใน
เขาดวย ทเ่ี ชน นน้ั ถา เราไมอ อกมาเกย่ี วกบั หมบู า น เชน มาบณิ ฑบาต ก็ไมมีวันที่จะพบจะ
เจอคนเลย เจอกเ็ จอแตเ ราคนเดยี วเทา นน้ั เพราะอยใู นปา ในเขา และเปนปาเปนเขา
ไมใชเปนทําเลหากินของคน เขาก็ไมไปยุงกับเรา แมเขาจะผานไปมาก็ไปที่อื่นไมไดไป
เกี่ยวของกับเรา จึงไมมองเห็นใคร นอกจากไดย นิ เสยี งสตั วต า งๆ สงเสียงรองไปตาม
ประสาของเขาเทานั้น
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๑
๓๙๒
สถานทก่ี ส็ งบงบเงยี บเปน ทน่ี า กลวั อยแู ลว มหิ นาํ ซาํ้ สง่ิ ทเ่ี รากลวั ๆ กแ็ สดงออก
มา เชนเสียงเสือรอง เปนตน รอ งคาํ รามตามประสาของมนั นน่ั แหละ นิสัยของคนเรา
ชอบกลวั อยแู ลว ไมว า คนวา สตั วส ง่ิ ทน่ี า กลวั ตอ งกลวั เมื่อความกลัวเกิดขึ้นเราไมมีที่พึ่ง
เพราะเจตนาของเราทไ่ี ปอยใู นทเ่ี ชน นน้ั ก็เพ่อื พึ่งตนเองหรือพง่ึ ธรรมเทา น้ัน ไมได
หวงั พง่ึ ศาสตราวธุ ใดๆ ทั้งสิ้น พึ่งอรรถพึ่งธรรม พึ่งตัวเองดวยอรรถดวยธรรม เปน
เครื่องมือหรือเปนที่เกาะเปนที่ยึด จติ ใจจงึ หมนุ ตวั เขา มาสภู ายใน จะเปนจะตายก็ไม
หวังพึ่งอะไรทั้งนั้น แมเ สือเดินเขามากัดกินเปน อาหารในขณะน้นั ก็ไมยอมไปควาเอา
อาวธุ หรอื เอามดี เอาไมอ ะไรออกมาฟน มาตี เพือ่ เปนการตอสูป องกันตวั เลย ปลอ ยให
มันกินตามธรรมชาติไปเลย เมื่อเปนเชนนั้นก็แสดงวา ไมม ที พ่ี ง่ึ ใดแลว สาํ หรบั ภาย
นอกเกย่ี วกบั ดา นวตั ถุ นอกจากนามธรรม คือ “ใจ” กบั “ธรรม” จะเปน “พุทโธ ธัมโม
สังโฆ” กแ็ ลว แตต ามขน้ั ของจติ ถา เปน ขน้ั สงู ยง่ิ กวา นน้ั “พุทโธ ธัมโม สงั โฆ”กเ็ ปลย่ี น
ไป มคี วามรสู กึ อยกู บั ตวั เอง ซง่ึ เทา กบั “พุทโธ” “ธัมโม สงั โฆ” เหมอื นกนั ใจเปน
ธรรมอยใู นนน้ั ไมย อมเผลอ จติ ทม่ี สี ติ จติ ทม่ี สี ง่ิ แวดลอ มทน่ี า กลวั เขา เกย่ี วขอ งยอ ม
เปนจิตที่ต้งั ตัวไดด ี เปนจิตที่ระมัดระวัง ความระมดั ระวงั เปน เรอ่ื งของสติ
ความระมัดระวังตัวนี้ ไมใชจะระมัดระวังตัวเพื่อจะเผนหนีไปไหน จะเปนจะตาย
กย็ อมแลว แตร ะมดั ระวงั ตวั เพอ่ื รกั ษาจติ ใจไมใ หเ คลอ่ื นคลาดจากหลกั ธรรม ซึ่งจะ
ทําใหเสียหลักไปได จติ มงุ หนา ตอ ธรรมเทา นน้ั จะเปนจะตายกไ็ มตอ งหมายปาชา ตาย
ทไ่ี หนกย็ อมกนั ทน่ี น่ั แตขณะที่จะตายก็ดีหรือไมตายก็ดี ขณะที่กลัวนั้นตองมธี รรมอยู
ภายในจติ ใจเสมอ คอื สตไิ มเ ผลอจากธรรมทก่ี าํ ลงั พจิ ารณาหรอื กาํ ลงั ยดึ จิตเมื่อถกู สง่ิ
แวดลอ มบงั คบั อยเู ชน นน้ั กเ็ ปน เหตใุ หส งบตวั ไดเ รว็ หรอื มหี ลกั ยดึ อยา งรวดเรว็ ถงึ
กบั สงบตวั เขา รวมอยโู ดยเฉพาะ
เมื่อจิตรวมตัวเขาเปนอันเดียว เปน ตวั ของตวั ในขน้ั นน้ั แลว ความทเ่ี คยหวาด
กลวั ตา งๆ กห็ ายไปหมด นี่เปนผลที่เกิดขึ้นจากการระมัดระวัง และ ความกลวั เปน สง่ิ ท่ี
กระตุนใหเราประกอบความพากเพียรดวยสติ ดวยความจริงใจ เมื่อจติ สงบตัวเขามา
เปนตัวของตัวโดยไมไปเกี่ยวของกับสิ่งใดแลว อยทู ไ่ี หนกส็ บาย ไมก ลวั อะไรแลว จะ
เดินจะนั่งจะนอนอยูตามรมไมชายเขาหรือที่ไหนๆ กไ็ มม ปี ญ หากบั ส่ิงตา งๆ วา จะมาทาํ
อยา งนน้ั มาทาํ อยา งนแ้ี กต น เปน ความสะดวกสบายผาสกุ ใจ เพียงเทานี้ก็เห็นผลของ
การอยใู นสถานทท่ี น่ี า กลวั ซง่ึ เราตอ งการ และเปนไปตามความประสงคของเรา
กลางวนั กต็ ามกลางคนื กต็ าม จิตตั้งตัวอยูเสมอไมละความเพียร กแ็ สดงวา จติ
ถกู บาํ รงุ รกั ษาอยเู สมอดว ยสติ เมื่อพิจารณาเขามาขางใน กถ็ อื เอาภยั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายใน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๒
๓๙๓
ตัวเองมีรางกายเปนสําคัญ เพราะความทกุ ขค วามลาํ บากนเ้ี ปน ภยั อนั หนง่ึ ภยั อนั สาํ คญั
กค็ อื กเิ ลสท่ีเสียดแทงจติ ใจอยูต ลอดเวลานี้เปนภยั อยางยิง่ อนั นเ้ี ปน ภยั เรอ้ื รงั ไมมี
เวลาจะหายไดโดยลําพงั ถาไมไดชําระมัน คอื ถา เราไมม ยี าคอื ธรรมโอสถเขา ไปแกใ ห
หาย จะไมมีวันหายจากภัยอันนี้เลย ฉะนน้ั จติ จะตอ งไดพ จิ ารณาแกไ ขถอดถอนเตม็
ความสามารถ
วนั คนื ปเดอื นเปน เพยี ง “มืด” กบั “แจง” เทา น้นั ไมเ หน็ มอี ะไรสาํ คญั พอจะแก
กิเลสได สาํ คญั ท่ี “สัจธรรม” ซง่ึ มอี ยกู บั ตวั ปกปดกําบงั ใจใหม ืดมดิ ปด ตา ก็เพราะ “สจั
ธรรม” ฝา ย “ทกุ ข” กบั “สมทุ ัย” โดยที่เราไมรูไมเห็นวาสิ่งนี้เปน “สัจธรรม” เครื่องปก
ปด กาํ บงั เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ เปน “สจั ธรรมฝา ยมรรค” คือสติปญญา จนเปนความจริง
ลว นๆ ทุกอยางไป สง่ิ เหลา นก้ี เ็ ปด เผยออกมาตามความจรงิ ของเขาเอง
เนอ่ื งจากใจไดเ หน็ ความจรงิ จากสง่ิ เหลา นน้ั แลว ถอนตวั เขา มาสคู วามจรงิ ของ
จิต จติ กส็ งา ผา เผย ไมอ ับเฉาเมามวั มดื มิดเหมอื นแตก อ นทยี่ ังไมเ ขาใจ
อะไรเปน กเิ ลส? เราอา นในคมั ภรี ใ บลาน ตาํ รับตาํ รา อา นมาเสยี จนพอ คาํ วา
“กเิ ลส” ๆ คือเครื่องเศรา หมองที่ใหเ กิดทกุ ขแกส ตั ว เพียงแตชื่อของมันไมทําใหเกิด
ทุกขได แตต วั กเิ ลสจรงิ ๆ คืออะไร อยทู ไ่ี หน? สดุ ทา ยกม็ ารวมทใ่ี จนแ่ี หละ ซึ่งเปน
ภาชนะของสิ่งสกปรกโสมมทง้ั หลายเหลา นัน้ จงึ ตอ งพยายามชะลา งสง่ิ เหลา นอ้ี อก ให
ธรรมอันเปนคูเคียงกับใจเขามาแทนที่โดยลําดับๆ ผลกั ไลส ง่ิ ทส่ี กปรกออกไปดว ยสติ
ปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร
พิจารณาใหเห็นความจริงที่มีอยูกับตัวทุกคนไมมีอะไรบกพรอง ความทกุ ขค วาม
ลําบากเหน็ ประจักษอยทู ้ังวนั ทัง้ คืน ในรา งกายกแ็ สดงใหเ หน็ อยู จติ ทว่ี นุ กบั สง่ิ ใดก็
ปรากฏเปน ความทกุ ขข น้ึ มาภายในใจ กร็ เู หน็ อยู นแ่ี หละภยั ของใจ
พิจารณาสรางปาชาขึ้นดวยตัวเองนี่แหละดี คือสรางปา ชาข้ึนมาพิจารณาใหเห็น
ชดั ในเรอ่ื งความตาย ถา ปลอ ยใหก เิ ลสสรา งใหม นั ไมส น้ิ ไมส ดุ ใหเ ราสรา งปาชา ขนึ้ ท่ี
เราดวยปญญาของเราวา ปา ชาอยูที่ไหน? อยทู เ่ี รากาํ หนดลงท่นี ั่นใหเหน็ ชดั ปาชามีอะไร
ตายจริงๆ หรือ? ดูไปใหต ลอดทั่วถึง ทาํ ไมกลวั กนั นกั กลวั กนั หนาในโลกธาตนุ ้ี กลวั แต
เรื่องความตาย ใครมาบอกใหก ลวั ? ไมม ใี ครบอกมนั กก็ ลวั เอง ไมตองตั้งโรงร่ําโรงเรียน
สอนกนั เรอ่ื งความตาย สตั วโ ลกรกู นั ทง้ั นน้ั ทําไมจงึ กลัวโดยไมตองพรํา่ สอนกนั ? ตัวเรา
เองกเ็ ชน เดยี วกนั ทาํ ไมกลวั เราเรยี นธรรมนน้ั เรยี นเรอ่ื งความกลวั ตายไมใ ชห รอื แต
แลว จิตทาํ ไมกลวั ตายละ ? ทาํ ไมไมเ ชอ่ื ธรรมทา นสอนบา ง อะไรมนั ตาย?มนั ถึงไดกลัว
กนั นกั หนา มันตายจริงๆ หรือ?
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๓
๓๙๔
จงเรียนลงไปใหเห็นเหตุเห็นผลของมัน ดเู รอ่ื งธาตุ ๔ ดิน นาํ้ ลม ไฟ เฉพาะ
อยางยิ่งรางกายของเรานี้ เราเรยี นอยแู ลว วา เปน ธาตุ คอื สว นทแ่ี ขง็ ๆ ทม่ี ใี นรา งกายน้ี
ทานเรียกวา “ธาตดุ นิ ” ธาตนุ าํ้ เรากท็ ราบวา ธาตนุ าํ้ มอี ะไรบา ง มนี ้าํ ลายเปน ตน ธาตลุ ม
ธาตไุ ฟ สง่ิ เหลา นอ้ี ะไรตาย? แยกลงไปใหเห็นปาชาของสิ่งเหลานี้จริงๆ ถา สง่ิ นต้ี าย
จริงๆ มปี า ชา จรงิ ๆ แลว ดิน นาํ้ ลม ไฟ มอี ยใู นโลกไดอ ยา งไร?
ดูเร่อื งขนั ธ ๕ เวทนาตายแลว ที่เผาศพของเวทนาอยูที่ไหนเลา สัญญา เวลาดบั
ไปแลว มสี ถานท่ีเผาศพมนั อยูท ีไ่ หน? สงั ขาร วิญญาณ สถานทเ่ี ผาศพมนั อยทู ไ่ี หน?รา ง
กายของเรานเ้ี วลาตายแลว สถานทเ่ี ผาศพจรงิ ๆ มนั อยทู ไ่ี หน แมเ ผาลงไปแลว มนั ก็
เปน ธาตดุ นิ ตามเดมิ สวนจิตละ ? สถานทเ่ี ผาศพของจติ อยทู ไ่ี หน? มนั ไมม ี ! จงคน
คิดดวยสติปญญาใหเห็นตามความจริง อยา คาดคะเน อยา เดาเอาเฉยๆ เม่ือถึงข้นั ควร
จริงจังแลวอยาดนเดา ตองคิดคนใหถึงความจริงที่มีอยู จึงจะสมนามวา “ผแู สวงหา
ความจริง”
ทแี รกกต็ อ งคาดไปเสยี กอ น เพราะยังไมชํานาญ คาดหรอื วาดมโนภาพสมมตุ ิ
จนเขา ถงึ ความจรงิ แลว ความคาดหมายทง้ั หลายกห็ ายไป ไมมีอะไรที่จะรูจริงยิ่งกวา
ปญญารูความจริง ไมม อี ะไรมนี าํ้ หนกั ยง่ิ กวา ความจรงิ เพราะสามารถลบลา งความ
จอมปลอมไดหมด การเรยี นวชิ านเ้ี รยี นเพอ่ื ถงึ ความจรงิ จริงๆ เรยี นใหถ งึ สถานทท่ี ่ี
อะไรตายกนั แน เมือ่ รูชดั ภายในใจวา ไมมอี ะไรตาย นอกจากความสาํ คญั ผดิ ของจิตท่ี
หลอกตนเองมาเปน เวลานานนเ้ี ทา นน้ั และผนู แ้ี หละเปน ผหู ลอก ผนู แ้ี หละเปน ผกู ลวั ผู
น้ีแหละเปนผทู ุกข ธาตุ ๔ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เขาไมมีความหมายในตัวเขาเอง เขาไมทราบ
วาเขาเปนทุกข ผทู ห่ี ลอกตนเองนแ้ี หละเปน ทกุ ข
เรยี นใหร เู รอ่ื งกเิ ลสอาสวะท่ีมีมายารอยสันพันคม ตามไมคอยทันมันงาย ๆ
เวลามันสลายไปจริง ๆ แลวมันไมมีปาชา ไมมีหีบโลงเก็บศพ เพราะมันเกิดขึ้นจากใจ
เปน ความสาํ คญั อนั หนง่ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มาจากภายในใจ เรยี นเขา ไปใหถ งึ จติ แยกดูธาตุ ๔
ดิน นาํ้ ลม ไฟ ปกตกิ เ็ ปน ธาตอุ ยเู ชน น้ี สลายไปกก็ ลบั ไปเปน ธาตเุ ดมิ อยเู ชน นน้ั จิต
เวลาหลงกเ็ ปน ธาตุ เปน “มโนธาตุ” อยเู ชน น้ี
เวลารกู เ็ ปน มโนธาตอุ ยเู ชน น้ี เปนแตเพียงวารดู ว ยความบรสิ ทุ ธต์ิ ามหลกั ธรรม
ชาติของตนจริงๆ ไมไ ดร ดู ว ยความแปลกปลอม หรือมคี วามลมุ หลงแฝงอยู นี่เรียก
วา เรยี นความเกิดและความตาย ความตายอยกู บั เรา เรากลัวอะไร จึงเรียนใหรู ? ใหร ู
เรอ่ื งของความกลวั เมอ่ื รชู ดั เจนแลว ความกลวั กห็ ายไป
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๔
๓๙๕
อะไรๆ มันไมมีตายดังที่วานั้น นั่นเปนเพราะความสําคัญผิดตางหาก ความ
สาํ คญั ผดิ นต้ี อ งถอื วา เปน ขา ศกึ ตอ เรา เพราะโกหกเราใหหลงและเปนทุกข แลวเรายังจะ
เชอ่ื ความสาํ คญั นน้ั อยหู รอื ?
พอปญญาพิจารณาและตัดลงไป ๆ สิ่งเหลานี้ก็สลายไปเชนเดียวกันไมมีอะไรมา
หลอก เหลือแตความจริง นเ่ี รยี กวา เรยี นวชิ าธรรมโดยภาคปฏบิ ตั ิ
เรียนเรื่องของเราเรียนอยางนี้ ไมม อี ะไรทจ่ี าํ เปน ยง่ิ กวา เรอ่ื งของเรา เพราะเรา
เปนผูรับผิดชอบ อะไรมาสมั ผสั มากนอ ยกก็ ระเทอื นเรา เปนทุกขขึ้นกับเรา เมื่อเรียนรู
ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว ใจไมก ระเทอื น ใจไมห วน่ั ไหว เปน ธรรมทั้งดวง
ทว่ี า “กเิ ลสๆ” คอื อะไร ? ตวั กเิ ลสอยทู ไ่ี หน กด็ งั ทว่ี า นแ้ี ล ธรรมชาตทิ ห่ี ลอกตวั
นน้ั แหละคอื ตวั กเิ ลส อยา เขา ใจวา นน้ั เปน อะไร และอยา เขา ใจวา นน้ั เปน เราเลย! ถา
เขาใจวานั้นเปนเรา เรากห็ ลงเชอ่ื มนั มนั กห็ ลอกเรา แลวเชอื่ วามนั เปนเราไปเรอ่ื ยๆ หา
ที่ยับยั้งไมได เหมือนกระตายตน่ื ตูม
นิทานเรื่องกระตายตื่นตูมก็เปนคติไดดี กระตา ยกาํ ลงั นอนหลบั นอนฝน อยใู ต
ตนตาล ไมรูเรื่องรูราวอะไร ลมพัดมาที่ตนมะตูม มะตมู ถกู ลมพดั กห็ ลน ลงมาถกู กา น
ตาล แลว ตกปง ปง มาทก่ี ระตา ยกาํ ลงั นอนหลบั กระตายสะดุงตื่นทั้งหลับ กระโดดออก
วิ่งทันที สตั วอ น่ื ๆ เจอกระตา ยกาํ ลงั วง่ิ ผา นไปกถ็ ามวา “วิ่งทําไม ?” กระตา ยรอ งบอกไป
คาํ เดียววา “ฟา ถลม ๆ ! ” สตั วน อกนน้ั กลวั ตาย ไมทนั พิจารณาเหตผุ ลตน ปลายใดๆ ก็
วง่ิ หนีตามกระตา ยไป จนขาหกั แขง หกั กย็ งั ไมย อมหยดุ ว่งิ ไปคลานไปตามกระตายตัว
แสนโงต วั นน้ั ไป จนกระทั่งไปถึงพระยาราชสีห พระยาราชสีหต วาดขูว า “วง่ิ มาอะไรกนั
เปนหมูเปนฝูงมากมาย จนลน้ิ หอ ยปากแบบ็ ไมไดสติสตังกันบางเลย จะวิ่งไปอะไร
กนั !สตั วเ หลา นน้ั กต็ อบวา “ฟา ถลม ๆ! ” พระยาราชสหี ร บี ถามหาความจรงิ วา ฟาถลม
ยังไง ซกั ไปซกั มากม็ าจนตรอกทก่ี ระตา ย พระยาราชสหี จ ึงหา มใหห ยดุ วง่ิ และใหก ลบั
ไปดูตรงที่วา “ฟา ถลม ” นน้ั เมอ่ื กลบั มาดู ที่ไหนไดเห็นมะตูมลูกหนึ่งหลนอยูตรงนั้น มี
กา นตาลตกลงมาดว ย พวกสัตวท ่ตี ื่นหลงตามกระตา ย ก็เจ็บแขงเจ็บขาแทบเปนแทบ
ตาย ขาหกั ไปกม็ เี ยอะ แนะ !
เรื่องกระตายตื่นตูมนั้น เมื่อนํามาเทียบเคียงแลวจะไดแกอะไร ก็ไดแ กพ วกเราท่ี
ตื่นเรื่องการเกิด การแก การเจ็บ การตาย หลงกนั ไปตน่ื กนั มาอยนู เ่ี อง!
พอพวกสตั วโ งว ง่ิ ไปถงึ พระยาราชสหี ซ ง่ึ เปน สตั วฉ ลาดหา มไว และพาไปดูตน
เหตุ จึงพากันไดสติ ไมตายกันระนาวเพราะกระตายตัวโงพาใหลมจม
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๕
๓๙๖
คาํ วา “พระยาราชสีห” ทเ่ี ปน สตั วฉ ลาดนน้ั ไดแ กใ คร ? ไดแ กศ าสดาผสู อนธรรม
สอนความจรงิ ใหแ กส ตั วโ ลกนน่ั เอง เพื่อใหพิจารณาความจริงกัน ไมตื่นขาว ตื่นลมตื่น
ฝนกันไมหยุด ซง่ึ กค็ อื ความทกุ ขล ม จมแกต วั เองผโู งน น้ั แล สิ่งจอมปลอมทั้งหลายเคย
หลอกมาเปน เวลานานนน้ั กห็ ายไป เพราะบรรดาผูที่รูตามความจริงทั้งหลายแลว เรื่อง
ความหลอกอยา งนจ้ี ะหลอกไมไ ดเ ลย
ดังพระพุทธเจาและพระสาวกทั้งหลายที่เปนพระอรหัตอรหันต ทา นไมห ลงใน
เรือ่ งความเปนความตาย แตพ วกเรามนั พวก “กระตายตื่นตูม” จึงตองใหเรียนใหฟงคํา
สั่งสอน อนั เปนความจรงิ ของพระพทุ ธเจา เหมอื นกบั พระยาราชสหี ข ใู หส ตั วเ หลา นน้ั มา
ดูตนเหตุที่วา “ฟา ถลม ” มันถลมจริงๆ หรือ เทยี บกบั การใหด เู รอ่ื งความตายวา มนั ตาย
จริงๆ หรือ?
เอา คน หากนั ใหเ จออะไรมนั ตาย? มนั กเ็ หมอื นผลมะตมู หลน ลงถกู กา นตาลนน้ั
แล มะตมู หลน คอื อะไร? กค็ อื ความจรงิ มนั อยตู ามธรรมชาตขิ องตนๆ เทานั้น เรามาตื่น
เอาเฉยๆ จะวายังไง!
แตผูที่หลอกจริงๆ คอื อะไร? มนั คอื “อวิชชา” ออกมาจาก “อวชิ ชา” จรงิ ๆ คน
ดภู ายในจติ ใหล ะเอยี ดลออกร็ กู นั ทน่ี น่ั สลดั ปด ทง้ิ กนั ทน่ี น่ั เหลอื แตธ รรมชาติ “รู”
ลวนๆ นน้ั แลคอื ความจรงิ สดุ สว น เปน ความบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยสน้ิ เชงิ
เรื่องกระตายตื่นตูมก็หมดไมมีอะไรเหลือเลย นน่ั แหละ พระยาราชสหี ห มายถงึ
ปญญา คือถาหมายถึงสมมตุ ขิ องเราโดยเฉพาะก็ไดแ กปญญา ถา พดู ถงึ ศาสนากห็ มาย
ถึงองคศาสดาประกาศธรรมสอนโลก ฉะนนั้ จงเรียนใหถึงความจริง เพราะความจรงิ มี
อยกู บั ทกุ คน ความจอมปลอมกม็ อี ยกู บั ทกุ คน จึงไดหลงกัน เรยี นใหเ ขา ใจถงึ ความ
จรงิ แลว ไมห ลง อยทู ไ่ี หนกส็ บาย ความเปน ความตายกส็ กั แตเ ปน กริ ยิ าทผ่ี า นไปผา นมา
คําวา “เกิด” อยตู ามสมมตุ วิ า เกดิ วา ตายเทา นน้ั
สว นตา งๆ ของธาตรุ วมกนั เขา เปน สว นผสมแลว สลายตวั ลงไป รวมกนั เขา แลว ก็
สลายตวั ลงไป มีเทานั้น ไมม อี ะไรแปลกกวา นน้ั ไป เขาใจ รูเสียอยางเดียวเทานั้น รูทั้ง
ตัวรูทั้งเงาแลวก็ไมมีปญหา อยา งแบบตาบอดคลาํ ชา งมนั ถงึ ยงุ ถกเถยี งกนั อยตู ลอด
เวลาภายในพวกตวั เองนน้ั แหละ พอถึงความจริงแลว มนั ก็ชาง คอื ความจรงิ อนั เดยี วนน้ั
แล
เขาถึงความจริงแลวก็มีธรรมแทงเดียวภายในใจ หายความตน่ื ตระหนกตกใจ
อะไรทั้งสิ้น เรอื่ งกระตายตืน่ ตมู มันหมดไปทนั ทีภายในใจ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๖
๓๙๗
โลกธาตุจะมีอะไร? แมมากมายก็ไมตื่นไมเตน เห็นไปตามความจริงทั้งหมด น่ี
เรียกวา “โลกวทิ ”ู รูแจงโลก โลกเปนอยางไรรูแจงชัดเจนหมด เปนสภาพอยางไรรูแจง
ชัดเจนโดยตลอดทั่วถึง
คาํ วา “โลกวทิ ”ู เปนไปไดทั้งสาวก เปนไปไดทั้งพระพุทธเจา แตพระพุทธเจา
ทา นรลู กึ ซง้ึ กวา งขวางยง่ิ กวา สาวกอกี มากมาย เรากใ็ หเ ปน “โลกวทิ ู” ในตวั ของเราน้ี รู
แจงเห็นจริงในโลกแหง ขนั ธน ้ชี ัดเจน ไมห ลงขนั ธไ มย ดึ ขนั ธ รูตามความเปนจริงของ
ขันธนี้ก็ไมมีอะไรเปนภัย
ทกุ ขจ ะเกดิ ขน้ึ มากนอ ยภายในรา งกาย เอา เกิดขึ้น ความจริงมีอยางไรก็แสดง
ขึ้น ผูท่รี ูกร็ จู นกระทัง่ ถงึ วาระสดุ ทา ย อะไรจะสลาย เอา ทนไมไดก็สลายไป ผูทนไดหรือ
ผูอยูไดจงอยู จติ นน้ั เองเปน ผอู ยู เพราะผนู ไ้ี มใ ชผ สู ลาย สิ่งใดที่ทนไมไดก็สลายไป สง่ิ
ที่ทนไดก็ทนไป ถา พดู ในฐานะทว่ี า “ทน” นะ แตผูรูนี้ไมไดทนเพราะเปนความจริง ผูรู
ๆ ๆ อยอู ยา งนน้ั อะไรจะเกิดขึ้นอะไรจะดับไปก็รู อะไรจะสุขอะไรจะทุกขก็รู เมอ่ื หมด
ปญ หาเรอ่ื งความสขุ ความทกุ ขท เ่ี ปน สว นสมมตุ นิ แ้ี ลว กห็ มดปญ หาภายในใจ คอื ไม
รบั เร่ืองทว่ี นุ วายตอ ไป
นน่ั แหละทท่ี า นวา “ปรมํ สขุ ํ” เปน ความสขุ ลว นๆ อยกู บั จติ ลว นๆ ไมปลอม
แปลง เราจะไปหา “ปรมํ สุข”ํ ทไ่ี หน? ทาํ จติ ใหบ รสิ ทุ ธเ์ิ ทา นน้ั ก็ “ปรมํ สขุ ํ” อยใู นนน้ั
เอง นก้ี เ็ ปน ชอ่ื สมมตุ อิ นั หนง่ึ แมท า นจะใหช อ่ื วา “ปรมํ สุข”ํ แตเมื่อถึงที่นั่นแลวจะวา
“ปรมํ สขุ ”ํ หรือไมป รมํ ก็ไมมีปญหาอะไร ใหรูเหมือนอยางเรารับประทานจนอิ่มหนํา
สาํ ราญแลว จะประกาศหรอื ไมป ระกาศวา “อม่ิ แลว ” กต็ าม มันก็ไมมีปญหา เพราะรูอยู
ในธาตใุ นขนั ธข องตวั เองอยแู ลว
อะไรจะกวา งขวางเหมอื นอยา ง “มหาสมมตุ ิ มหานยิ ม” ซึ่งทําใหจ ติ แหวกเวยี น
วา ยวนนเ้ี ลา อนั นแ้ี หละกวา งกก็ วา งทต่ี รงน้ี ถา เรยี นจบทต่ี รงนแ้ี ลว กแ็ คบนดิ เดยี ว ไม
ตอ งมาแหวกวา ย เปน อนั วา เลกิ แลว กนั ไป ที่เคยพูดวา “ปา ชา ๆ” ความเกดิ แก เจ็บ
ตาย นน้ั ไมม ปี ญ หากนั ละทนี !้ี
เอาละ วนั นร้ี สู กึ เหนอ่ื ย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๗
๓๙๘
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
ชุดหัดตาย วธิ ปี ฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน
มนุษยเราตา งจากสัตว สัตวเขาอยูโดยธรรมชาติ คอื เกดิ มาโดยธรรมชาติ
อะไรๆ กต็ ามธรรมชาติ อยอู ยา งธรรมชาติ ตลอดความเปน อยหู ลบั นอน เปนไปตาม
ธรรมชาติจนกระทั่งวันตาย เขามีธรรมชาติของสัตวเปนประจําสัตวของเขา สัตวทุก
จาํ พวกมักเปนไปตามธรรมชาตเิ หมือนกนั ทั้งในน้ํา บนบก ใตด นิ เหนอื ดนิ
มนุษยเราไมเหมือนสัตว จึงตองมีศาสนาเปนเครื่องปกครอง ถาจะเปรียบเทียบ
แลว ศาสนากเ็ หมอื นแปลนบา นแปลนเมอื ง การปลกู สรา งทจ่ี ะทาํ ใหแ นน หนามน่ั คงให
สวยงามไดมาตรฐาน ตอ งอาศยั แปลนเปน สาํ คญั ไมไดท ําสุมสส่ี ุม หา เหมอื นสรา งกฏุ วิ ดั
ปา บา นตาด เพราะนเ่ี ปน อกี แบบหนง่ึ คอื แบบปา แบบกรรมฐาน
การกอ สรา งใหถ กู ตอ งตามแบบแปลนแผนผงั นน้ั มนั นา อยแู ละนา ดู เพราะสวย
งามดวยความเปนระเบียบงามตา การทจ่ี ะสรา งมนษุ ยใ หถ กู ตอ งกบั ความเปน มนษุ ย
ซง่ึ มีภูมิสงู กวาสตั ว จงึ ตอ งอาศยั “ศาสนา” ซ่งึ เปนเหมือนแบบแปลน ชแ้ี นวทางให
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นความเปน อยขู องคนหมมู าก เพราะมนุษยเราอยูลําพังคนเดียวไมได
อยูที่ไหนก็ตองมีหมูมีพวกมีเพื่อนเปนธรรมดา จะอยูโดดเดี่ยวโดยลําพังไมได เพราะ
มนุษยเราเปนนิสัยขี้ขลาดแตไหนแตไรมา เมอ่ื อยดู ว ยกนั ถา ไมม กี ฎหมายบา นเมอื ง ไม
มีศีลธรรมเปนเครื่องปกครอง ความเห็นแกต ัวก็ไมมอี ะไรจะเกินหนามนษุ ย นแ่ี หละ
สาํ คญั
ถา ความเหน็ แกต วั มาก การแสดงออกอยา งความเหน็ แกต วั กต็ อ งเปน การ
กระทบกระเทือนเพอ่ื นมนษุ ยท อ่ี ยูร ว มกัน เพราะไมมีศาสนา ไมทราบวาอะไรผดิ อะไร
ถกู ทาํ อะไรไดอ ยา งใจแลว กเ็ ปน ทพ่ี อใจ มนษุ ยม นี สิ ยั ชอบสรา งความทกุ ขค วามลาํ บาก
ใหแ กผ อู น่ื เพอ่ื ใหค วามสขุ สาํ หรบั ตน ซง่ึ ไมถ กู กบั ลกั ษณะของมนษุ ยผ มู คี วามฉลาด ที่
ควรจะมองเหน็ คณุ คา ของผอู นื่ ทอ่ี ยรู วมกนั
แมม ศี าสนาเปน เครอ่ื งชกั จงู อยู กย็ งั ไมเ หน็ ความสาํ คญั ของศาสนายง่ิ กวา ความรู
ความเห็นและคุณคาของตน ซง่ึ เตม็ ไปดว ยความมดื หนาสาโหด ศาสนาโปรดไมได การ
มีศาสนาก็เพ่อื เปนแนวทางเทยี บเคยี งทดสอบในหมูมนุษยดว ยกัน วา สง่ิ ใดถกู สง่ิ ใดผดิ
สิ่งใดถูกใจเราแตผิดใจคนอื่น อะไรเปนการกระทบกระเทือนกัน หรอื ไมเ ปน การ
กระทบกระเทอื นกนั จากการแสดงออกของตนแตล ะอาการในวงมนษุ ยด ว ยกนั ดว ย
ความเหน็ แกต วั ของมนษุ ยผ จู องหองพองตวั เปน เหตุ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๘
๓๙๙
แมม ศี าสนาแลว ยงั ตอ งมกี ฎหมายบา นเมอื งไวป กครอง ไมเ ชน นน้ั โลกตอ งรอ น
เพราะมนุษยผูเปนไฟเที่ยวกอไฟเผาผลาญผูอื่น ศาสนาจงึ จาํ เปน ทห่ี มมู นษุ ยต อ งมกี นั
ทว่ั โลก เวนแตเดนนรก
ทใ่ี ดเปน แดนนรกทน่ี น้ั ไมม ศี าสนา หรอื ผใู ดอยากจะเปน สมาชกิ ของจาํ พวก
แดนนรก ผนู น้ั กไ็ มม ศี าสนา ถอื ความโหดรา ยทารณุ แทนศาสนา
ศาสนาสอนคนใหเ ปน คนดี ใหร ูจกั ความสําคญั ของมนุษยที่อยูรวมกัน ใครจะ
ถอื ศาสนาใดกต็ ามแตอ ธั ยาศยั คนนน้ี บั ถอื ศาสนานน้ั คนนน้ี บั ถอื ศาสนาน้ี ลว นแตเ ปน
เครอื่ งปกครองใหค นมีความสงบรม เย็นตอกนั นน่ั เอง อยา งพวกเราก็มีพระพทุ ธศาสนา
เปนเครื่องเทิดทูน เปน ทย่ี ดึ ของใจ เปนชีวิตจิตใจ พึ่งเปนพึ่งตายกับศาสนา มคี วาม
ระลึกนอมถึงพระพุทธเจา อยูเสมอ การระลึกถึงพระพุทธเจาหรือการระลึกถึงศาสนา
กบั การระลกึ ถงึ ตน มสี ว นเก่ียวโยงกัน
การระลึกถึงศาสนา มคี วามหมายถงึ สง่ิ ทด่ี วี เิ ศษ ที่ผูระลึกจะพึงหวังหรือไดรับ
จากศาสนา อนั เปน ความเหมาะสมกบั มนษุ ยผ มู คี วามหวงั อยตู ลอดเวลา วา จะไดค วาม
สงบสขุ ตามกาํ ลงั แหง ความนบั ถอื และปฏบิ ตั ิ ไมเปนโมฆะแบบลมๆ แลงๆ ดงั โมฆบรุ ษุ
สตรีโกหกกันเตม็ โลกในสมัยปจ จุบนั
ศาสนามีหลายชั้นตามพื้นเพของจิตใจผูปฏิบัติ มีสูงมีต่ํา และมีสูงสุด ตามแต
ความสามารถของผูประพฤติปฏิบัติจะทําไดมากนอยเพียงไร อยา งนอ ยควรมศี ลี หา กย็ งั
ดี มีความรมเย็นเปนสุข จากนน้ั กม็ กี ารเจรญิ เมตตาภาวนา การทาํ บญุ ใหท านไปตาม
อธั ยาศยั เพราะคุณธรรมเหลานี้เปนหนาที่ของมนุษยจะพึงทํากัน เปน กจิ จาํ เปนสําหรบั
มนษุ ยท อ่ี ยดู ว ยกนั เปน จาํ นวนมาก จะตองมีการสงเคราะห การเสยี สละเพอ่ื กนั และกนั
มคี วามเหน็ อกเหน็ ใจและใหอ ภยั กนั ใหค วามเปน ใหญห รอื ใหส ทิ ธแ์ิ กก นั และกนั ไป
ตามสทิ ธ์ิ ตางคนตา งใหส ิทธ์ิ ตา งคนตา งใหค วามเปน ใหญใ นสมบตั ขิ องกนั และกนั ไม
ลว งลาํ้ กลาํ้ กรายสทิ ธแิ ละสมบตั ขิ องผอู น่ื ใหค วามเสมอภาคกนั โดยธรรมตามหลกั
ศาสนา
เม่อื ตางคนตางมีกฎขอ บงั คบั สําหรบั ตวั อยา งเครงครดั อยแู ลว โลกมนุษยแมมี
มากอยรู วมกนั กเ็ ปน ความสงบสขุ ได และดกี วา คนจาํ นวนนอ ยทห่ี าความสงบสขุ ไมไ ด
เพราะความเห็นแกตวั เปน เครื่องทําลายความสงบความสามัคคเี สยี อีก
การกระเทือนจิตใจกนั เปน ส่งิ ที่กระเทือนมาก เสยี หายมากยง่ิ กวา สมบตั ติ า งๆ
เสียไป สมบัติใดเปนของใครก็ตาม เมื่อสูญหายไปเพราะถูกลักขโมยหรือปลนจี้อะไรก็
ตาม เหลาน้ีเปน สงิ่ ทก่ี ระเทอื นจิตใจมาก เฉพาะอยา งยง่ิ การปลน การจน้ี ส่ี าํ คญั มากที
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๙
๔๐๐
เดียว เพราะกระเทือนใจมาก การขโมยกเ็ ปน อกี อยา ง เพลากวา กนั ลงบา ง ทง้ั นแ้ี ม
สมบตั นิ น้ั จะไมม คี ณุ คา มากนกั กต็ าม แตส าํ คญั ทค่ี ณุ คา ของใจทเ่ี ปน เจาของสมบตั นิ น้ั ๆ
ใจเปนสมบัติที่มีคามาก การกระทาํ ดงั กลา วจงึ เปน ความกระทบกระเทอื นใจให
เสยี หายมาก จงึ ควรรกั ษาท้งั สองอยา ง คอื รกั ษาสมบตั ดิ ว ย รกั ษาดา นจติ ใจของกนั และ
กนั ดว ย นห่ี มายถงึ “ศลี ” และ “ธรรม” ที่มนุษยควรมีควรรักษา เพื่อความสงบสุขรมเย็น
แกต นเองและผอู น่ื ทง้ั ปจ จบุ นั และอนาคต
สง่ิ ใดกต็ ามเกย่ี วกบั ศลี ยอ มมคี วามเกย่ี วโยงกนั กบั เพอ่ื นมนษุ ยท อ่ี ยรู ว มกนั ทง้ั
นน้ั ถา ตา งคนตา งมี “ศีลหา” มธี รรมในใจดว ยกันแลว โลกยอมมีความรมเย็นเปนสุข
นบั แตส ว นยอ ยไปหาสว นใหญไ มม ปี ระมาณ เพราะศีลธรรมเปนทํานบกั้นกิเลสบาป
ธรรมตางๆ ไมใ หร ว่ั ไหลออกจากใจ กาย วาจาไปทวมหัวใจและสมบัติของมนุษย ทอ่ี ยู
รว มโลกกนั ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นฉบิ หาย
ผไู มเ ขา ใจศาสนาอาจเหน็ วา ศาสนาไมจ าํ เปน ไมสําคัญ ความจรงิ นน้ั กค็ อื ผนู น้ั
ไมเ หน็ ความสาํ คญั ของตวั ลาํ พงั ตวั เองไมอ าจชว ยตวั เองได เกย่ี วกบั ความสงบสขุ เปน
ลําดับทางดานธรรม นอกจากศาสนาชแ้ี นวทางใหเ ขา ใจ ใครจะเกง กลา เหน็ วา ศาสนาไม
เปนของสําคญั จะเกงกลาสามารถฉลาดแหลมคมเพียงไรก็ตามเถอะ การแกก เิ ลสซง่ึ
เปน ศาสตราจารยผใู หก าํ เนิดความฉลาดอนั เปนเรือนรงั แหง ทุกขท ั้งหลาย ถา ไมแ กด ว ย
“วิชาธรรม” จะไมมที างแกใ หเกดิ ความสขุ อันพงึ พอใจได!
ครั้งไหนๆ กม็ คี นฉลาดประจาํ โลกมาโดยลาํ ดบั เชน กนั แมพระพุทธเจาและ
สาวกทง้ั หลายกม็ ใิ ชค นโงบ ดั ซบ ทา นยงั ตอ งแสวง “วิชาธรรม” มาแกค วามฉลาดแกม
โกงนน้ั จนเปน ความฉลาด ทางยอดความจรงิ ขน้ึ มาลา งกเิ ลสตวั ฉลาดแกมโกงนน้ั ออก
จากใจโดยสิ้นเชงิ จึงเปนศาสดาสอนโลกไดเต็มภูมิ
การเกิดมาไดพบพระพุทธศาสนานี่ก็เปนบุญลาภของเรา ทไ่ี มพ บศาสนาเลยนน้ั
มจี ํานวนไมน อ ย มีมากมายที่ไมทราบวา “พุทธ” เปน อยา งไร “ธรรม” เปนอยางไร“สงฆ”
เปนอยางไร นน้ั มมี ากและมมี ากขน้ึ ทกุ วนั เวลา จนสาระสําคัญของจิตใจไมมีเลย เพียง
อยไู ปวนั หนง่ึ กนิ ไปวนั หนง่ึ นอนไปวนั หนง่ึ อาศยั ดา นวตั ถพุ อใหเ พลนิ ไปวนั หนง่ึ เทา
นน้ั กเ็ ขา ใจวา ตนมคี วามสขุ ทง้ั ๆ ทห่ี าหลกั ยดึ ของจติ ไมม เี ลย คอื จติ ใจจะหา“ธรรม”
ซึมซาบและบํารุงไมมี นแ่ี ลโลกทไ่ี มม ศี าสนาภายในใจ จงึ ขาดหลกั อนั สาํ คญั ไปอยา ง
นา เสยี ดาย ทง้ั ที่มนุษยควรจะรจู ักคุณคา และมีคณุ คากวาสิ่งใดๆ ในโลก
เพราะฉะนน้ั การนยิ มทางดา นวตั ถจุ นลมื ดา น “นามธรรม” คอื ศาสนา ที่เปน
“ธรรมโอสถ” เครื่องบํารุงรักษาใจใหมีหลักแหลงและชุมเย็น ผลจึงเปนความทุกขรอน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๐
๔๐๑
ทั้งๆ ที่สิ่งบํารุงบําเรอมีเต็มบานเต็มเมืองและเต็มแผนดินถิ่นอาศัย เนื่องจากใจไมมี
“ธรรม” เปนอาหารเครื่องบํารุง เวลาเกดิ ความหอ เหย่ี วแหง ใจ เพราะอารมณต า งๆ มี
วตั ถเุ ปน ตน เขา มาบบี คน้ั ยาํ่ ยใี จ ใจหาที่หลบซอนไมไดจึงเกิดความทุกขรอนขึ้นมา และ
หาที่ปลงวางไมได ถงึ กบั เปนโรคประสาทไปก็มี แตยังไมยอมเห็นโทษของมัน กย็ ง่ิ นบั
วันจะจมดิ่งลงไปอยางไมมีจุดหมายปลายทางเลย
ทถ่ี กู ดา นวตั ถกุ ท็ าํ เพราะกายของเราเปนดานวัตถุ ตอ งอาศยั วตั ถเุ ขา มาเยยี วยา
รักษา รา งกายอยไู ดด ว ยวตั ถุ เชน อาหาร บา นเรอื น เปนตน สว นจติ ใจกม็ คี วามรมเย็น
ไดดวยศีลดวยธรรม ไมใชตองอาศัยวัตถุอยางเดียว จึงควรมีศีลมีธรรมอันเปนคุณงาม
ความดีทางใจ ทจี่ ะพึงสั่งสมอบรมขึน้ ใหมมี าก และควรจะกลวั จติ อดอยากขาดแคลน
อาหาร คอื “กุศลธรรม” เชน เดยี วกบั ความกลวั อาหารจะขาดแคลนจากรา งกาย จิตใจ
จะไดมีหลักฐานเปนเครื่องยึด เพื่อปลดเปลื้องหรือบรรเทาทุกขในเวลาตองการและจํา
เปน
เฉพาะอยา งยง่ิ ใจเปน สง่ิ สาํ คญั มาก ควรจะมีหลักยึดของใจ ทใ่ี จวอกแวกคลอน
แคลนเนอ่ื งจากหาหลกั ยดึ ไมไ ด แมถงึ ส่ิงภายนอกจะมีสมบรู ณบริบรู ณ ใจเมื่อขาดคุณ
งามความดีคือศีลธรรมอันเปนเครื่องทําใหชุมเย็นแลว จติ ใจกร็ อ น รอ นทง้ั ๆ ทม่ี คี วาม
รคู วามสามารถ รอ นทง้ั ๆ ทม่ี สี มบตั มิ ากมาย รอนทั้งๆ ทอ่ี ะไรเรากไ็ มอ ดอยากขาด
แคลนทางดา นวตั ถุ ตลอดญาติมติ ร บริษัทบริวาร เพอ่ื นฝงู แตค วามรอ นของใจจะรอ น
อยูไมลดละ เพราะขาดอาหารภายในใจ ขาดเครื่องบํารุงภายในใจ คอื “กุศลธรรม” ยา
บํารุงรักษาใจ”!
ใครจะมคี วามเฉลยี วฉลาดยง่ิ ไปกวา พระพทุ ธเจาในโลกทง้ั สาม ปรากฏวา ไมม ี
เลย พระพุทธเจาทรงทราบความจําเปนทั้งสองอยาง คือทางดา นวตั ถุ ทเ่ี กย่ี วกบั รา ง
กาย ทางดานศีลธรรมคอื คณุ งามความดี ทเ่ี กย่ี วกบั จติ ใจโดยเฉพาะทง้ั ในปจ จบุ นั
และอนาคต ทรงทราบโดยตลอดทั่วถงึ เพราะฉะนนั้ จึงตอ งทรงสั่งสอนบรรดาสตั วใ ห
ทราบ ทง้ั สง่ิ ภายนอกทง้ั สง่ิ ภายใน คอื ใจ ทั้งปจจุบันทั้งอดีตทผ่ี า นมาแลว ทั้งอนาคตที่
จะเปนไปขางหนา ที่เปนเรื่องของจติ ใจจะพาเปน พาไปหาสขุ พาทุกข พาโง พาฉลาด
พามีพาจน ตลอดพาใหพนทุกข เปน เร่ืองของใจทง้ั ส้นิ ซึ่งเปนเรื่องใหญ แตโลกไม
คอยสนใจคิดกัน จงึ มกั มแี ตค วามทกุ ขรอ นเปนเพลิงเผาใจอยเู สมอ
อดตี ทผ่ี า นมาแลว กไ็ ดแ ก ความเกดิ แก เจ็บ ตาย ในภพนน้ั ๆ จนมาถงึ
ปจจุบันในฐานะทีเ่ ปนอยูเวลานี้ ความสุข ความทกุ ข ก็ทราบกันอยูตามเหตุปจจัยวา
เกดิ สขุ บา งทกุ ขบ า ง ดงั ทท่ี ราบกนั อยเู วลาน้ี และอนาคตที่จะเปนไปขางหนา มีอะไรที่
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๑
๔๐๒
จะเปนหลักของจิตใจ ทีจ่ ะสืบภพสบื ชาติไปไดด ว ยดี ไมมีความทุกขรอน พระพุทธเจา ก็
ทรงทราบและทรงสั่งสอนใหบําเพ็ญ “สาระ” อนั สาํ คญั คอื คณุ งามความดไี วส าํ หรบั ใจ
จะไดมีความรมเย็นเปนสุข ไปเกิดในภพใดชาติใดก็เปน “สุคติ สคุ โต” ไมวาจะเปน
ศาสนาของพระพทุ ธเจาพระองคใ ด ทท่ี รงสง่ั สอนไวใ นโลกในยคุ นน้ั ๆ ทรงสั่งสอนเปน
แบบเดยี วกนั
ในโอวาทปาฏโิ มกข “ทา นสอนไวย อ ๆ
สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ -การไมท าํ ชว่ั อนั จะใหเ กดิ ความเสยี หายทง้ั ปวง หนง่ึ
กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา - การยงั กศุ ลคอื ความฉลาดในทางทช่ี อบใหถ งึ พรอ ม หนึ่ง
สจิตฺตปริโยทปนํ - การทาํ จติ ใหผ อ งใสจนถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ หนง่ึ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ -เหลา นเ้ี ปน คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย
นห่ี ลกั ใหญข องศาสนาทา นสอนเปน แบบเดยี วกนั เพราะกิเลสและสัตวโลกเปน
ชนิดเดียวกัน มคี วามทกุ ขค วามลาํ บาก มีกิเลสตัณหาเปนเครื่องผูกพัน เปนเครื่องรอย
รัดภายในจิตใจ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วายเชน เดยี วกนั การสั่งสอนธรรมจึงตอง
อาศัยเรื่องของสัตวโลกเปนตนเหตุ ที่จะสั่งสอนอยางไรจึงจะถูกตองเหมาะสม และเปน
ประโยชนแ กม วลสตั ว
เวลานเ้ี ราทกุ คนถา ไมม หี ลกั ใจ เรากไ็ มแ นใ จตวั เองอยตู ลอดเวลา วา ถา ตาย
แลวจะไปไหน? จะไปสุขไปทุกขไปคติใด? ไปเกิดเปนภพอะไรบาง เปนสัตวหรือ
บุคคลชนดิ ใด หรือจะไปลงนรกขุมไหน? เมื่อเชื่อตัวเองไมได การไมท ราบไดน้ี เรากไ็ ม
ควรเสี่ยงตอการไมทราบไดอยูเสมอไป จงึ ควรสรา งความแนใ จใหม ภี ายในตน การ
สรา งความแนใ จกค็ อื สรางตนดวยหลักธรรมของพระพุทธเจา การใหท าน การรกั ษา
ศีล การเจรญิ ภาวนา นเ่ี ปน สิง่ ทแ่ี นใ จสําหรบั ใจอยางยง่ิ ไมมีสิ่งใดที่จะแนใจยิ่งไปกวา
ความดีเปนเครื่องประกันนี้เลย
ความดนี ม้ี อี ยภู ายในจติ ใด จติ น้ันเรียกวา “ประกนั ตวั ได” เพราะความดีเปน
เครื่องประกัน จึงควรสรา งความแนน อนไวใ หจ ติ เสยี แตใ นบดั น้ี อยา ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาท่ี
เกิดมาเปน มนุษยท ัง้ คนทงั้ ชาติ กาลเวลาลว งเลยมาแลว เปน หลายเดอื น โดยไมคิดอาน
ไตรตรองอะไรเลย ในบรรดาสาระสาํ คัญทจ่ี ะเปน คณุ สมบตั ขิ องจิตน้ัน ไมสมควร!
สง่ิ สมควรอยา งยง่ิ นัน้ คอื พยายามทาํ เสยี แตใ นบดั น้ี ไมมีใครจะพูดใหเปนที่เชื่อ
ถือและพูดถกู ตอ งแมนยําไดย ิ่งกวาพระพทุ ธเจา คนพูดกนั ทงั้ โลกมคี วามปลอมแฝงอยู
เรื่อยๆ สว นมากพดู ออกมาดว ยความลมุ หลง ไมไดพูดออกมาดวยความจริงจัง เพราะ
ตางคน ตางก็ไมรูจริงเห็นจริง จะเอาความจริงมาพูดอยางอาจหาญไดอยางไร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๒
๔๐๓
สวนพระพุทธเจา ในธรรมทุกบททุกบาทที่ไดประทานไวนี้ ลว นแตท รงทราบ
ดวยเหตุดวยผลประจักษพระทัยมาแลว จึงไดนํามาสง่ั สอนสตั วโ ลก คาํ สง่ั สอนนน้ั จงึ
เปนที่แนใจได ผูปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองคทรงสอนไว จึงเปนผูแนใจในตนเองไป
เรื่อยๆ จนกระทั่งแนใจเต็มภูมิหาที่สงสัยไมได เมอ่ื ถงึ ขน้ั แนใ จเตม็ ภมู แิ ลว เปน อยา งนน้ั
เมื่อความดีเขาสัมผัสใจแลว ยอมเปนที่แนใจไดเองสําหรับผูปฏิบัติบําเพ็ญ
ปกติธรรมของพระพุทธเจาเปนที่แนใจสําหรับโลกทั่วไป ไมม โี ลกใดผใู ดคดั คา น
ได นอกจาก“โลกเทวทัต” และพวกเทวทตั จําพวกเดยี ว ที่ไมยอมเปนคนดีและไมยอม
ลงกับใคร แมน ายยมบาล ก็ไมแนใจวาเทวทัตจะทะลึ่งทะเลาะไมได ถาไมมีมารเปนสิ่ง
ดลบนั ดาลใจ โดยเห็นสิ่งที่แนใจนั้นวาเปนของไมแนใจไปเสีย เห็นสิ่งที่เปนพิษเปนภัย
วาเปนของดแี ลวยดึ ถอื หรือความาเผาผลาญตนนัน้ ก็ไมม ีใครชว ยได ยกให“เวรกรรม
ของสัตว”
เราทง้ั หลายทราบอยดู ว ยกนั วา ดี ชว่ั บาป บญุ นรก สวรรค นิพพาน เปน ของ
มีมาดั้งเดมิ ไมใชเปนสง่ิ เสกสรรขึ้นมาเฉยๆ แตเปนสิ่งที่มีมาดั้งเดิมแลว พระพุทธเจา
ทรงสอนตามสิ่งที่มีอยูดั้งเดิม ไมไดมาร้ือมาถอน มาปรงุ มาแตงเอาใหมว ามี ทั้งๆ ที่
สิ่งนั้นไมมี นน่ั ไมม ใี นโอวาทคาํ สง่ั สอนของพระพุทธเจา ทกุ ๆ พระองค ที่ทรงนามวา
“สวากขาตธรรม” ซง่ึ เปน ธรรมตรสั ไวช อบแลว ทกุ บททกุ บาท ทกุ แงท กุ มมุ “นยิ ยานกิ
ธรรม” เออ้ื มมอื รอฉดุ ลากชาวพทุ ธ ชว ยเหลอื ชาวพุทธอยตู ลอดเวลา “อกาลโิ ก” !
เชน คาํ วา “บาป” กห็ มายถงึ ความเศรา หมอง ความสกปรกโสมม เหมอื นมตู ร
คถู นน่ั เอง ผลกค็ อื ทกุ ข ถา “บาป” มันไมมี แตสตั วโ ลกแตล ะราย ๆ กม็ ีความทกุ ข
ประจกั ษตนนัน้ เพราะอะไรถงึ เปน ทกุ ข? กเ็ พราะบาปมีนน่ั เอง และเพราะสาเหตุคือ
“กรรม” เมอื่ โลกนี้ยงั มกี ารทํากรรมอยตู ราบใด ไมวาฝายดีฝายชั่ว ผลจะแสดงใหเ หน็ อยู
เสมอวา “เปนสุขเปนทุกข” เรื่อยๆ ไป หากตองการจะลบลางกรรม กต็ อ งลบลา งการ
กระทําเสียทั้งหมด คอื ลบลา งบญุ ดว ยการไมท าํ บญุ ลบลา งบาปดว ยการไมท าํ บาปทต่ี วั
เราเอง ถาจะเปนไปได แตอ ยา ไปรอ้ื ถอน “เรอื นจาํ ” ซ่งึ เปนทีอ่ ยูของนกั โทษเสยี กแ็ ลว
กนั ชาวเมอื งจะเดอื ดรอ นและรมุ ตเี อาตายจะวา ไมบ อก! อยา ไปรอ้ื ถอน “นรกสวรรค”
จงรอ้ื ถอนทก่ี ารกระทาํ “ดี ชว่ั ” ของตัวเอง จะเปน การลบลา ง “บาป บญุ ”ไปในตวั
“นรก” กเ็ ปน สถานทอ่ี ยขู องสตั วผ หู ยาบชา ลามก “สวรรค” เปน สถานทอ่ี ยขู องผู
มีความดหี รอื ของผูม บี ุญ เราก็รเู ห็นอยแู ลว แมใ นโลกมนษุ ยเ รากย็ งั มสี ถานทแ่ี ละ
เครื่องดัดสันดานมนุษยที่ทําไมดี เชน เรอื นจาํ เปน สถานทอ่ี ยขู องใคร ก็เปนท่ีอยูข อง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๓
๔๐๔
มนุษยบาปหนา มีสติปญญาที่นําไปใชในทางไมเขาเรื่อง สถานทด่ี กี วา นน้ั กย็ งั มอี กี
เยอะแยะ นอกจากเรอื นจาํ ที่ไมไดถูกกักขังไมไดถูกทําโทษทํากรรม กเ็ หน็ ๆ กนั อยู
เพียงโลกนี้เราก็เห็น ทําไมโลกอื่นจะไมมี เมอ่ื โลกนม้ี โี ลกอน่ื มี วนั นม้ี วี นั อน่ื กม็ ี มันเปน
คกู นั มาอยา งน้ี แตเราไมสามารถมองเห็น ถงึ จะมมี ากนอ ยกวา งแคบเพยี งใด แตสายตา
เราสั้น เพียงมองดูขวากดูหนามตามสายทางเดิน ก็ยังไมเห็นและเหยียบมันจนได หวั
ตอโดนหัวแมเ ทาก็ยังไมเ ห็น โดนเอาจนนวิ้ เทาแตก แนะ ! คิดดูซิ ขณะจะโดนขณะจะ
เหยียบกต็ องเขาใจวา “สิ่งนั้นไมม”ี แตค วามไมม นี น้ั ลบลา งความมอี ยไู ดไ หม เวลาเดิน
ไปเหยียบและโดนเอาอยางนี้ หนามปกเทาหรือไมปก มนั กป็ ก เพราะสง่ิ น้ันมีอยู ไป
เหยยี บถกู มนั กป็ ก ไปโดนหัวตอหัวแมเทาแตกจนได ทั้ง ๆ ทห่ี วั ตอไมม ี นแ่ี หละลอง
คิดดู ความคิดดนเดากับความจริงมันเขากันไมได
สายตาเรามนั สน้ั อยา งนแ้ี หละ ประกอบกบั ความประมาทดว ย จึงโดนโนนชนนี่
อยเู สมอ เพียงแตมองดูหัวแมเทาตนมันก็ยังไมทั่วถึง ยงั ตอ งโดนขวากโดนหนามโดน
หวั ตอจนได แลว ยง่ิ สง่ิ ทจ่ี ะกลา วเหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทล่ี ะเอยี ดยง่ิ กวา ขวากหนามเปน ตน มาก
มาย เปน วสิ ยั ของผทู ม่ี คี วามรคู วามเชย่ี วชาญ เฉลยี วฉลาด มญี าณหยง่ั ทราบความ
จรงิ อนั ละเอยี ดทง้ั หลายเหลา นเ้ี ทา นน้ั ไมใ ชฐ านะของคนอยางเราๆ ทา นๆ ทก่ี าํ ลงั
บอดๆ หนวกๆ แมมีดวยกันเต็มโลก จะมองเหน็ ได
แตพ วกทบ่ี อดๆ หนวกๆ นแ้ี หละ ชอบอวดเกงแขงพระพุทธเจา ไมม พี วกอน่ื
ส่ิงทที่ า นวา “มี” กล็ บลา งเสยี วา “ไมม”ี สง่ิ ทท่ี านวา “ไมม”ี กล็ บเสยี เอาคาํ วา “ม”ี มา
แทน ทา นวา สง่ิ นด้ี กี ล็ บเสยี เอาชว่ั เขา มาแทน ทท่ี า นวา สง่ิ นน้ั ชว่ั กล็ บเสยี เอาคาํ วา “ด”ี
เขามาแทน ผลแหง การ “แขง” กค็ อื ความแพต ัวเองตลอดไป ไมย อมเหน็ โทษ ความ
เกงไมเขาเรื่องของตน
พูดถึงการเชื่อ เราจะเชื่อคนตาดีหรือเชื่อคนตาบอด เราจะเชื่อคนโงหรือเชื่อคน
ฉลาด เราจะเชื่อคน “เปนธรรม” หรอื เชอ่ื คน “จอมโกหก” พระพุทธเจาเปนคนจอม
โกหกหรือเปนจอมปราชญ ? นน่ั ! ถา เช่อื คนตาบอดก็ตอ งโดนไมเรือ่ ยๆ ไป เพราะคน
ตาบอดไมไดเดินตามทาง ชนนน้ั ชนนไ้ี ปเร่อื ยๆ ตามประสีประสาของคนตาไมเห็นหน
ทาง ถา คนตาดกี ไ็ มโ ดน นอกจากจะเผลอตัวหรือประมาท จงึ ไปโดนหรอื เหยียบขวาก
เหยยี บหนาม คนตาดีเหยียบไดในขณะที่เผลอ ขณะที่ไมเห็น แตค นตาบอดนเ่ี หน็ ไม
เห็นก็ไมทราบละ เหยยี บและชนดะไปเลย อะไรไมขาดหลุดไปในขณะนั้น คอ ยใสย ากนั
ทหี ลงั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๔
๔๐๕
แลว คนอยา งเราๆ ทา นๆ จะยอมเชอ่ื คนตาบอดไหมละ ? ถา ไมเ ชอ่ื กค็ วรคาํ นงึ
ในบทวา “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” บา ง เวลาคนตาบอดเออ้ื มมอื มาจะจงู ดว ย
ความเมตตาของเขาจะไดร ะลกึ ทนั ไมจมไปแบบ “ไมเปนทา” นา อบั อายขายขห้ี นา ไป
ตลอดวนั ตาย
การเกิดของสัตวโลกก็เกิดดะไปเลย เหมอื นคนตาบอดโดนไมน น่ั แล เพราะไม
เห็นไมทราบแลวแตกรรมจะพาไป กรรมจูงกรรมลากกรรมฉุดไปไหนก็จําตองไป
เพราะไมม อี ํานาจไมม ีกําลังทีจ่ ะฝา ฝนกรรมทั้งหลายได กรรมตองเปน ผูฉุดลากไป ถา
เปน กรรมชว่ั มันกฉ็ ุดลากเขา ปาเขารกตกเหวลงบอไปเรื่อยๆ จนตกนรกอเวจไี มมีสนิ้ สุด
ถาเปนกรรมดีก็พยุงสงเสริมใหไปในทางที่ดี ตามแตกาํ ลังกรรมทีม่ มี ากมีนอ ย
พวกเกิดที่เกิดไมรูเรื่องรูราว ที่เกิดไมมีบุญพาไปเกิด ที่เกิดไมมีความสามารถ
อาจรูดวยญาณ กม็ นั เปน แบบ “เกิดดะ” ดะไปเลย สุขก็มีทุกขก็มี อะไรกค็ อ ยรบั เสวย
และแบกหามเอา ไมทราบวามันจะมีมาเมื่อไร แมแตเราเกิดมานี้ก็ยังไมทราบวา มาจาก
“ภพอะไร”
คิดดูซิ เราเปนตัวภพตัวชาติ ตวั เกดิ ตวั ตายอยแู ลว ยงั ไมส ามารถทราบเรอ่ื งของ
ตัวได จะไปพูดถึงขางหนาอะไรได อะไรท่จี ะเปน เครอ่ื งใหเราเปน ทแี่ นนอนใจ เรากค็ วร
ทราบเสียตั้งแตบัดนี้ และรีบบําเพญ็ เสียแตบัดนอ้ี ยา ประมาท! เพราะผลแหงความ
ประมาทเคยทําสตั วโลกใหลม จมมานับไมถ วนแลว
การตายแบบสมุ ๆ เดาๆ การเกดิ แบบสมุ ๆ เดาๆ ทไ่ี มแ นใ จตวั เอง ตลอดความ
เปน อยกู ไ็ มแ นใ จอยา งน้ี เรายังจะตายใจกับความไมแนใจอยูหรือ ? นั่นไมสมควรแกเรา
เลย ! ไมสมกบั เราเปนมนุษยผ ูฉลาดในวงพระศาสนา อนั เปน ยอดคาํ สอนใหค นฉลาด
ตอ เหตกุ ารณแ ละปฏบิ ตั ติ อ ตวั เอง
เฉพาะอยา งยง่ิ การผลติ ความดคี วามเฉลยี วฉลาดขน้ึ ภายในใจ ดว ยจิตตภาวนาน้ี
เปน สงิ่ สําคญั มาก อาจมองเหน็ ไดแ ละสามารถมองเหน็ ไดใ น “บาป บญุ นรกสวรรค
หรือนิพพาน” เพราะเปนสิ่งมีอยูดั้งเดิมแลว จึงอาจมองเหน็ ไดด ว ยจติ ตภาวนาทม่ี ี
ความสามารถตา งกนั บญุ อยทู ไ่ี หนใจกท็ ราบ ทราบอยทู ไ่ี หน อยทู จ่ี ติ ทราบวา บญุ อยทู ่ี
ใจอยา งประจกั ษแ ลว ใจกเ็ ยน็ สบาย ความรุมรอนเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะสาเหตุอันใดก็
ทราบทใ่ี จดวงคอยรบั ทราบอยแู ลว นน่ั เอง นรก สวรรค กท็ ราบ ทราบอยภู ายในใจ
ทราบทั้งที่จะไปขางหนา ตัวนี้เปนผูพาไป จะไปอยูในสถานทใ่ี ดเลา คนชั่วก็ไปเขาเรือน
จํา คือติดคุกติดตะราง จิตที่ชั่วก็ไปลงนรก จติ ดีมกี ุศลกไ็ ปสูสุคติภูมนิ น้ั ตามกาํ ลงั แหง
บุญของตนของตน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๕
๔๐๖
เมอื่ ปฏบิ ตั ไิ ป ๆ สง่ิ ทปี่ ด บงั จติ ใจคอยหมดไปจางไป ๆ ความสวา งกระจางแจง
คอยเกิดขึ้นแทนที่ และสามารถมองเหน็ สง่ิ ตา งๆ ไดโดยลําดับๆ กค็ อ ยฉายแสงออกมา
จนเต็มภูมิของจิต จะไปเกดิ ทไ่ี หนกท็ ราบอยใู นฐานของจติ ในชน้ั ภมู ขิ องจติ จะไมเกิดก็
ทราบตามชั้นภูมิของจิตวา “หมดเชื้อแลว” ไมมีการที่จะเกิดตอไปอีกแลว ตอ งทราบ
เมื่อถึงขนั้ ที่จะทราบแลว ปดไมอ ยู
ฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหอ บรมจติ จิตนีเ้ ปน ตัวรูตวั ฉลาดแหลมคมมาก ตอ งสอนให
แหลมคม อบรมใจละเอยี ดสขุ มุ เตม็ ภมู จิ นมคี วามเฉลยี วฉลาด มคี วามสามารถมากกวา
สิ่งใดในโลกไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน แตเ ราไมไ ดอ บรมสง่ั สอน จิตจงึ อาภพั และอาภพั อยู
ตลอดเวลา ยนื เดิน นั่ง นอน อาภพั ทัง้ นน้ั เพราะสิ่งอาภัพมนั ปกปดกาํ บังไว มนั มี
อาํ นาจเหนอื กวา จิตจึงเลยกลายเปนจิตอาภัพไปตามๆ มัน
จําตองชวยจิตดวยสติปญญา ใหมีความสงบรมเย็นทรงตัวได ไมถ กู เขยา กอ กวน
อยูตลอดเวลาดังที่เคยเปนมา เมอ่ื ใจสงบภายในกเ็ หน็ คณุ คา ของใจ สงบมากกเ็ หน็ มาก
รูมาก เขาใจมาก และผลิตสตปิ ญญา
พิจารณาดูโลกธาตุอันนี้ไมมีอะไรที่ควรชื่นชมเทิดทูนรื่นเริงอะไรนักหนา สถานท่ี
อยูอาศัยอาหารปจจัยเครื่องปรนปรือ เต็มไปดวย อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า คอยจะใหหลง่ั
นา้ํ ตากบั มนั อยเู รือ่ ยๆ นอนใจไมไดเลย มองไปรอบดา นลว นแตป า ชา ของสตั วข องคน
เต็มไปดวย “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” เขา ในบา นกไ็ ดย นิ เสยี งบน ออกนอกบา นกไ็ ดย นิ
เสียงบน เขา ในเมอื งกไ็ ดย นิ เสยี งบน เพอ ไปทว่ั ทกุ หนทกุ แหง เพราะเรื่องความทุกข
ความทรมานของสัตวข องคน มอี ยทู กุ แหง ทกุ หนตาํ บลหมบู า น จะสงสยั ทไ่ี หนวา จะมี
ความสขุ ความสบาย ไมม อี ะไรมากอ กวนใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก แทจริงมัน
ลว นกองทกุ ขอ ยรู อบตวั นอกจากการสรา งจิตใจเราใหม คี วามแนน หนามน่ั คงขน้ึ ดว ยศลี
ดวยธรรมเทานั้น
นี่แหละเปน ทีป่ ลอดภัยไรทุกข อยทู ไ่ี หนกไ็ มม อี ะไรมากวน นเ้ี ปน สง่ิ สาํ คญั มาก
เมอ่ื สรา งใหเ ต็มภูมิแลว ตอ งเย็น สถานที่นั่นเปนยังไง ? สถานทนี่ ี่เปน ยงั ไง ? ไมถ ามให
เสียเวลา เพราะความเยน็ อยกู บั เจา ของ ความสขุ อยกู บั เจา ของ หลกั ใหญอ ยกู บั เจา ของ
แลว ก็ไมทราบจะถามเอาสมบตั ทิ ี่ไหนกัน ตัวจริงอยูกับเรา เรารูอยู เห็นอยู ครองอยูจะ
ไปเจอทกุ ขทไ่ี หนกนั !
นแ่ี หละทา นวา การสรา งตวั ในดา นธรรมสรา งอยา งน้ี สรา งตวั ทางโลกกด็ งั ท่ี
ทราบๆ กนั อยคู อื สรา งเนอ้ื สรา งตวั ดว ยการขวนขวายในดา นกจิ การทาํ มาหาเลย้ี งชพี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๖
๔๐๗
ใหม ที รพั ยส มบตั ิเงินทอง เรียกวา “สรา งเนอ้ื สรางตัว สรางฐานะในทางโลก” ผูนั้นก็พอ
เปนพอไปเกี่ยวกับสมบัติฐานะ ตลอดความเปนอยูตางๆ
สรา งภายในคอื สรา งจิตใจใหม หี ลกั มฐี านมน่ั คง ใหรูสิ่งดีสิ่งชั่ว พยายามแกไ ข
ดัดแปลงไปโดยสม่ําเสมอ จนจิตใจมีความเชื่อถือตัวเองได มีความแนใจได อยทู ไ่ี หนก็
เปน หลกั เกณฑ มคี วามสขุ ความสบาย ตายแลว กเ็ ปน สขุ นผ่ี มู หี ลกั จติ ใจเปน อยา งน้ี ผดิ
กบั ผไู มม หี ลกั ใจอยมู าก
บรรดาทเ่ี ปน คนดว ยกนั กไ็ มเ หมอื นกนั ในความรสู กึ จติ กว็ าจติ เหมอื นกัน แตก ็
ตางกันในฐานะสูงตํา่ ของจติ ความโงค วามฉลาดผดิ แปลกกนั อยมู าก ทา นวา “เปน นสิ ยั
สมบัต”ิ เปน ตามบญุ กรรมอํานาจวาสนาทสี่ รา งมา จะเหมือนกันไมได
ถา อยากเหน็ ใจมสี ารคณุ เดน ดวง จงพยายามสรา งใจใหด ี สรา งใหม คี วามแนน
หนามั่นคง สรา งจนเหน็ ประจักษกับตวั เอง คําพระพุทธเจาทานสอน “ใหรู ใหเห็น
ประจักษในสิ่งที่มีอยู เชน บญุ บาป เปน ตน เพราะบาปนนั้ ถา เปน หนามกป็ ก เสยี บอยู
ทห่ี วั ใจตนนน่ั แล ไมป ก เสยี บทอ่ี น่ื บญุ กม็ แี ตส นบั สนนุ คนใหม แี ตค วามสขุ ความสมหวงั
เฉพาะอยา งยง่ิ สนบั สนนุ อยทู ห่ี วั ใจคน เพราะใจเปนภาชนะที่ควรแกบุญคุณธรรมทั้ง
หลาย
การสรา งความดที ใ่ี จดว ย “จติ ตภาวนา” จะเปนความดปี ระจักษใจ เริ่มแตขั้น
สงบเย็นเปนสมาธิขึ้นไปจนขั้นละเอียด และละเอียดสุดคือ “วิมุตติพระนิพพาน” จะ
ประจักษที่ใจดวงนี้เอง
คาํ วา “สงบ” ใจสงบกบั ใจไมส งบผดิ กนั อยา งไรบา ง? ความสงบของใจเกิดขึ้น
มากนอ ย ความสุขเปนธรรมที่เกิดขึ้นกับความสงบ เพราะปราศจากสิ่งกอกวนในเวลา
นน้ั ใจจะมีความสุขขึ้นมาโดยลําดับ เบากายเบาใจ บางครง้ั เบามากจนไมป รากฏวา กาย
มใี นความรสู กึ เลย มีแตค วามรลู วนๆ เหมอื นกบั อยใู นอากาศ หรอื เหมอื นอยกู ลางหาว
หรืออะไรพูดไมคอยถกู ตามความเปนจรงิ นน่ั แหละจติ สบายมาก จิตปลอยวางทงั้ หมด
ในขณะนน้ั เมื่อจิตสงบเต็มที่จึงไมทราบวา ตนอยูในท่ีสูงท่ีต่ําหรือในทเ่ี ชนไร นั่งอยูหรือ
นอนอยูไมส นใจท้งั นนั้
ปรากฏแตค วามรลู ว นๆ ซึ่งไมมีรูปไมมีลักษณะอะไรปรากฏเลย มแี ตค วามรู
อยางเดียว ถา จะดลู กั ษณะก็มแี ตค วามสวา งไสวปรากฏอยภู ายในใจ ซง่ึ เปน สขุ อยา ง
อัศจรรย ผดิ กบั สง่ิ ทง้ั หลายทเ่ี คยผา นมาในโลก ความสงบมาก ความสวา งไสวมาก
ความสขุ กม็ าก แตค วามสงบผดิ กบั ความไมส งบอยา งไรนน้ั กรุณาไปดูมังกี้ (ลงิ ) ก็จะ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๗
๔๐๘
เขาใจเอง เพราะสงิ่ ดงั กลา วมอี ยูกบั ใจของทุกคนหญิงชาย กระทง่ั นกั บวช ถา ไมส นใจ
อบรมใจ
จิตที่เคยมืดๆ ดาํ ๆ ทเ่ี คยตาํ หนอิ ยทู กุ วนั นแ้ี ล เปลย่ี นอาการขนึ้ มา เพราะการ
ชําระสะสางจนเห็นไดชัด ดังที่กลาวมาทั้งนี้ เพราะความมืดดํามันไมใชจิต เปนสิ่งปดบัง
ตางหาก เหมอื นกบั ไฟฟา ลองเอาแกว หรอื ผา สดี าํ มาใสเ ขา ซิ มันก็ดํา เอาแดงมาใสม นั
กแ็ ดง เอาขาวมาใสม นั กข็ าว มนั ขน้ึ อยกู บั สง่ิ ภายนอกทน่ี าํ มาใสต า งหาก ไมไดข้ึนอยกู ับ
ดวงไฟ จงึ มกี ารเปลย่ี นแปลงไดต ามสง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ ง จติ กเ็ กย่ี วกบั สง่ิ เกย่ี วขอ ง จึงมี
อาการตางๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยูเสมอ ไมคงที่เหมือนจิตที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
จิตก็เปนจิตอยูอยางนั้น เมื่อสิ่งที่ดําสิ่งที่มัวหมองเขาไปแทรกไปปดบังจิต ก็
เหมือนวา มันเศรามนั หมองมันดาํ ไปหมด ความจรงิ กค็ อื สง่ิ นน้ั แลทาํ ใหด าํ ชําระสิ่งนั้น
ออกแลว จติ กส็ วา งไสวออกมาในขณะนน้ั จะผานทะลุไปหมด ไมติดของกับอะไรขึ้นชื่อ
วา “สมมุติ” จึงไมมีอะไรจะแหลมคมยิ่งกวาใจ ใจนถ้ี งึ ขน้ั มอี าํ นาจกม็ อี าํ นาจอยา งน้ี
สาระสาํ คญั กค็ อื ใจนเ่ี ทา นน้ั จงพยายามบาํ รงุ !
เชอ้ื ทจ่ี ะไปเกดิ ภพหนา กค็ อื ใจดวงน้ี พยายามสรา งใจใหด ี เปน ทแ่ี นใ จเสยี แต
บดั น้ี
การตายเปน ธรรมดา ธรรมดา ไมน า ตน่ื เตน ตกใจกลวั อะไรเลย เมื่อเรียนกล
มายาของกเิ ลสทห่ี ลอกลวงใจจบสน้ิ แลว ปญ หาทง้ั หลายในแหลง แหง “ไตรภพ” กจ็ บลง
ที่ใจดวงที่เคยเปน “เจาปญหา” นี้แหงเดียว
การแสดงธรรมก็เห็นวาสมควร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๘
๔๐๙
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๔ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
สแู คต าย
ความหนกั ทส่ี ดุ กค็ อื “ใจ” ความเบาทส่ี ดุ กค็ อื “ใจ” ความหยาบทส่ี ดุ กค็ อื “ใจ”
ความละเอยี ดหรอื อศั จรรยอ ยา งยง่ิ กค็ อื “ใจ” อยทู ี่ใจนีท้ ัง้ นัน้ !
โลกจะมีความสงบรมเย็น หรอื เกดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วายมากนอ ย กข็ น้ึ อยกู บั
ใจ เพราะใจเปน ผคู รองรา งและครองโลก ใจจึงควรไดรับการอบรมศึกษาไปตามเหตุ
ตามผลซง่ึ เปน แนวทางทช่ี อบ เพื่อจะไดผูนําที่ดี แสดงออกเปน กจิ การงานทช่ี อบธรรม
การแสดงออกทกุ อาการ เมอื่ ใจไดรับการอบรมโดยเหตผุ ลอันเปนแนวทางทด่ี ที ี่
เรยี กวา “ธรรม” แลว กิจการงานตลอดความประพฤติยอมเปนไปดวยความราบรื่นดี
งาม ไมแ สลงตาแทงใจระหวา งเพ่ือนมนษุ ยด ว ยกัน ไมว า สว นยอ ยสว นใหญ ขน้ึ อยกู บั ใจ
เปนสําคัญ ใจนจ้ี ะวา หนกั กห็ นกั จนเจา ของยกไมข น้ึ ถา ยกขน้ึ สคู วามดงี ามไดด งั ทา นผดู ี
ทั้งหลาย กค็ วรจะผานพนความทกุ ขความไมด ที ้ังหลายไปไดแลว นใ่ี ครกน็ อนจมอยใู น
กองทุกขและความสกปรกโสมมเรื่อยมา ทําไมจึงไมยกใจของตนขึ้นใหพนไปเสีย ทั้งที่รู
อยดู ว ยกนั วา ทุกขอันเกิดจากเหตุชั่วนั้นเปนของไมดี ก็เพราะมันยกไมขึ้นนั่นเอง ใจมัน
ชอบอยใู นทุกขโดยไมรูสกึ ตัว
สิ่งที่เราไมรูนั่นแหละคือสิ่งที่เปนนายเรา พูดแลวก็ไมพนจาก “กเิ ลส” อนั เปนตวั
กอ เหตสุ าํ คญั ความไมรกู ็ตอ งทําไปแบบสมุ เดา ทาํ แลว กเ็ กดิ ผลขน้ึ มาเปน ความเดอื ด
รอ นแกต นและผอู น่ื ตอ เนอ่ื งกนั ไปไมม ที ส่ี น้ิ สดุ มนั ตดิ อยทู ว่ี า “ยกของหนกั คอื ใจไม
ไหว!” ถา ยกไหว กย็ กใหพ น จากสง่ิ กดถว งทง้ั หลายทต่ี าํ่ ชา เลวทรามไปนานแลว ไมต อง
มาวกวนบน ทกุ ขบ น ยากกนั ดงั ทโ่ี ลกเปน อยเู วลานเ้ี ลย ทง้ั นี้กเ็ พราะยกไมไหวไปไมร อด
จอดไมถูกตามกฎจราจรของธรรมนั่นเอง มันถึงเกิดข้ึนมาอยใู นสภาพท่ีเกะกะคละเคลา
กบั ความทกุ ขย าก ทางปากกดั ทางมอื ฉกี ทางใจบนเพอ รําพึงอยูภายใน ที่เรียกวา“กรรม
ของเรา กรรมของเขา ตา งคนตา งมแี ละรมุ ลอ มอยทู ใ่ี จ”
ไปกอ กาํ เนดิ ทไ่ี หนกต็ อ งเสวยสขุ ทกุ ขม ากนอ ยทจ่ี ติ พกไปดว ย สว นกศุ ลกรรม
นน้ั ตา งกนั สง เสรมิ จติ ใหเ บาและมคี วามสขุ
คาํ วา “ธรรม” เปนความละเอียดสุขุมคัมภีรภาพมาก เมอ่ื จติ กบั ธรรมมคี วาม
เกย่ี วขอ งกนั ใจแมเ คยหนกั ยง่ิ กวา ภเู ขา กก็ ลายเปน จิตเบาและเบาบางจากกเิ ลสกอง
ทุกขโดยลําดับ จะทําอะไรที่เปนกุศลก็งาย ชื่อความดคี วามชอบแลว ทาํ งา ย!
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๙
๔๑๐
แตใ นระหวา งทจ่ี ติ จมอยกู บั ความหนกั หนว งถว งใจนน้ั มนั ยกอะไรท่ีเปน ความดี
งามไมขึ้น ออ นไปหมด ราวกบั ไมม กี ระดกู ตดิ ตอ กนั ในรา งกาย สยู อมจมอยอู ยา งนน้ั ไม
ได เพราะธรรมชาตทิ จ่ี ะใหจ มนน้ั มนั มนี าํ้ หนกั มากกวา เทียบเหมือน “แมเ หลก็ ” ที่ดึง
ดูดเหล็ก เศษเหล็กเล็กๆ นอ ยๆ กว็ ง่ิ เขา หา “แมเหล็ก” ทั้งหมด เพราะแมเหล็กมีกําลัง
มาก สามารถดึงดูดเศษเหล็กไดตามกําลังของมัน
กเิ ลสตณั หาอาสวะกม็ อี าํ นาจดงึ ดดู จติ ใจ ใหห ลงกลมายาและรกั ชอบมนั ไมม วี นั
จืดจาง เชน ความโลภ โกรธ หลง ราคะตัณหา เปนตน ทั้งที่รูแกใจวาไมดี แตก ไ็ มม ใี คร
พอใจ “ละ” มัน นอกจากพอใจสงเสริม พอใจคลอยตามมัน โดยไมมีการฝาฝนตาน
ทานดว ยความพอใจ เหมือนเวลาพอใจหลงและติดมันสงเสริมมัน ฉะนน้ั จึงยากทจ่ี ะมผี ู
ผานพนฝมือของมันไปได เพราะตา งเคล้ิมหลบั ใหม ันกลอ มจนหมดเพลง ความไมเบื่อ
ความลมุ หลง ไมม สี ตริ ะลกึ รตู วั บา ง กค็ อื กเิ ลสกลอ มสตั วโ ลกนน่ั แล
ทานที่อยากเปลี่ยนฟงเพลงคือ “ธรรม” ก็จงพยายามยับยั้งชั่งตวงตัวเอง หมนุ ใจ
เขาหาธรรมดว ยความพยายาม ยากกพ็ ยายามลากเขน็ พยายามตอ สู พยายามบกึ บนึ
อยา ยน่ื มอื ใหก เิ ลสฉดุ ลาก เดี๋ยวจะไมมีหนังติดเนื้อ จะเปอยผุพังไปเพราะมันเสียหมด
กเิ ลสมนั เคยดดั สนั ดานสตั วโ ลกมานาน ถา จะเขด็ กค็ วรเขด็ ไดแ ลว ไมมีอะไรจะ
วิเศษวิโสไปกวา เทา ทรี่ ูอยเู หน็ อยูใ นวงของกิเลสครอบงาํ นี้
ความพากเพียรในธรรมมีเทาไรจงทุมลงไป อยา กลวั กเิ ลสเจ็บ อยา กลวั กเิ ลส
รองไห ใหกลัวเราจมอยูในกองทุกขเพราะกิเลสทําเหตุจะประเสริฐกวา กเิ ลสไมใ ชข อง
ประเสริฐ ธรรมตา งหากประเสรฐิ เหนอื โลก สติ ปญญา ศรทั ธา ความเพียร ในธรรม
ทั้งหลาย ไมใ ชเ นอ้ื ไมใ ชป ลาพอจะสงวนไวเ พอ่ื ตม แกงกนิ จงนาํ ออกมาใชเพื่อ
ประโยชน เพอ่ื ประโยชนม หาศาลแกต นในอตั ภาพน้ี อยารอใหเขานิมนตพระมาจัด
การ “กสุ ลา มาตกิ า” ให ทั้งที่เรากําลังโงอยู การนั้นจะไมเปนประโยชนยิ่งกวาเราสราง
“กสุ ลา ธมมฺ า” คือ ความฉลาดขน้ึ มาเองภายในใจขณะทย่ี งั มชี วี ติ อยเู วลาน้ี
จงทราบวา “กสุ ลา ธมมฺ า” นน้ั ทา นสอนคนเปน ใหฉ ลาด ไมไ ดส อนใหค นโง เรา
เปนชาวพุทธและเปนนกั ปฏิบัติ จงพิจารณาไตรตรองความหมายของธรรมใหถูกตอง
อยา คอยเสวยผลบญุ และความฉลาดในเวลาเขา โลงดว ย “กสุ ลา มาตกิ า บงั สกุ ลุ ” นน่ั คอื
งานทเ่ี ขาทาํ ใหใ นเวลาผตู ายหมดหวงั จากการบาํ เพญ็ ดว ยตนเองแลว เขาก็ทําสงเดชให
อยา งนน้ั เอง ตามนสิ ยั คนทร่ี กั และเคยมบี ญุ คณุ ตอ กนั มันไมแ นเหมือนเราทาํ เอง คือ
สรางกุศลเอาเองขณะที่มีชีวิตอยู
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๐
๔๑๑
ถา แนใ จในกศุ ลของตวั ทส่ี รา งขน้ึ มาวา เตม็ ภมู ภิ ายในใจแลว กไ็ มจาํ เปน ตองไป
รบกวนพระทานมา “กสุ ลา มาตกิ า” ใหล าํ บากในเวลาตายหรอื เวลาเขา โลงแลว เพราะ
เราสมบูรณแลว กสุ ลา หรอื ไมเรากพ็ อตวั แลว การตายทง้ั “อม่ิ ” ไมใชตายทั้ง ‘หวิ ” นด้ี ี
มาก คาํ วา “ตายทง้ั อม่ิ ” นน้ั คอื ความเพยี รพอในกศุ ลธรรมทง้ั มวลภายในใจ ดังพระ-
อรหนั ตท า นตาย ไมเ หน็ ใครกลา ไปอาจเออ้ื มไปกสุ ลาใหท า นถา ไมอ ยากขายตวั การตาย
ของทา นกไ็ มเ หน็ ลาํ บากราํ คาญ ทานมักตายคนเดียว อยา งสบายหายวนุ แมลงหว่ี
แมลงวนั กไ็ มต อมเหมอื นพวกเราชาวยงุ ชาววนุ ตายแตล ะรายราวกบั เกดิ ขา ศกึ กลาง
เมือง
เรอ่ื งของทา นผสู น้ิ กเิ ลสความกงั วลและกวนใจกบั เรอ่ื งของพวกเรา ตา งกนั มาก
ราวกบั เกดิ อยคู นละโลก ทั้งที่ทานก็เปนมนุษยเหมือนพวกเรา ฉะนั้นเราผูเปนศิษยมีครู
สั่งสอน ควรพยายามดัดจิตใจของตนใหเดินตามรองรอยแหงธรรม
แมไ มไ ดอ ยา งทา น ก็พอเปนเครื่องหมายแหง “ลกู ศษิ ย” ทม่ี คี รสู อนบา ง สง่ิ ท่ี
ควรตัดก็ตัด สง่ิ ทค่ี วรละกล็ ะบา งตามโอกาส ไมค วรปลอ ยตวั ใหต ดิ จมอยกู บั เรอ่ื งตา งๆ
สิ่งตาง ๆ จนไมค ดิ หาทางออกจากทกุ ขเ พอ่ื ตวั เอง ก็ดูวาโงเสียจนเลยขอบเขตเหตุผล
ตามธรรมดาทั่ว ๆ ไป ใครมอี ะไรมากนอ ยใครกร็ กั สงวน โลกเปน กนั มาอยา ง
นั้นไมปฏิเสธ แตธ รรมเครอ่ื งปอ งกนั ตวั รกั ษาตวั ก็ควรใหมีเปนคูเคียงกันไป จะไมเสีย
เปรียบโลกคอื กิเลสของตวั จนเกนิ ไป
คิดดู ! พระพุทธเจาผูเปนศาสดา ก็ทรงเสียสละและเสียสละจนหวั่นไหวทั้งแผน
ดินถิ่นที่ทรงปกครอง การเสยี สละขนาดนน้ั เปน สง่ิ เลก็ นอ ยไดห รอื ตองเปนเรื่องใหญโต
มาก จนไมมีใครสามารถทําไดอยางพระองค เวลาเสด็จออกไปทรงผนวชแลว มใี คร
บา งทม่ี คี วามสามารถอาจหาญทางความเพยี ร ความอดความทนในทุกสิ่งบรรดาปจจัย
ทั้งสี่เหมือนอยางพระพุทธเจา การลดฐานะจากความเปนกษัตริยลงเปนนักบวชอันเปน
เพศแหงคนขอทาน ตองเปนเรื่องใหญโตมาก ฉะนน้ั ศาสนธรรมจงึ เกดิ ขน้ึ ในทา มกลาง
แหงความลําบากทรมานของพระพุทธเจา ไมใ ชเ กดิ ขน้ึ เพราะความขเ้ี กยี จออ นแอแบบ
สกุ เอาเผากนิ แตเ กดิ ขน้ึ จากความรอดตายของพระสทิ ธตั ถราชกมุ ารองคอ าชาไนย
ใครจงึ ไมค วรดดุ า ลกู ๆ หลานๆ ดวยการประมาทพระศาสนาวา “ไอน ม่ี นั
เกียจครานนัก เอาไปบวชเสีย” เพราะพระพุทธเจาไมใชชางทําสวม ธรรมของทานไมใช
สวมพอจะเปน เครือ่ งรบั ถายมูตรคถู เชนนั้น ศาสนาไมใ ชห อ งนาํ้ หอ งสว มหลมุ มตู รหลมุ
คูถ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๑
๔๑๒
ผูที่ประกอบความเพียร ความเสยี สละ ความอดความทน จนถึงเปนถึงตาย จะมี
ใครเกินพระพุทธเจาไปไดเลา นี่แหละตนเหตุที่จะไดธรรมอันประเสริฐเลิศโลกเกิดขึ้น
และนํามาประกาศสอนโลกทั่วไป ทา นไดม าดว ยวธิ นี น้ั ดว ยอาการนน้ั ฉะนั้นการที่จะรื้อ
ถอนตนใหพ น จากทกุ ข จึงตอ งอาศยั ความพากเพยี รอยา งเตม็ กาํ ลงั ความสามารถขาด
ดิ้นไมยอมลดละ ไมย อมถอยหลงั ถา ถอยกต็ อ งจมอกี ไมถ อยก็ไมจ ม คอ ยคบื คลานขน้ึ
มาดวยความเพียรโดยสม่ําเสมอ กย็ อ มจะผา นพนไปได
รางกายเรานี้ไมมีประโยชนอะไร ถาไมพาทําประโยชนเสียแตเวลานี้ ตายแลว มี
แตเ รอ่ื งยงุ กนั “โอโห ยุงมหายุง นั่นซิมันดูไมได ไอเ รอ่ื งตายนถ้ี อื กนั วา เปน เรอ่ื งใหญโ ต
มาก ยุงกันไปหมด คนเปน นน่ั แหละตวั ยงุ หาอะไรมายงุ กนั ไปหมด เหน็ แตพ ระตายก็
ยังยุงมาก ซง่ึ ไมน า จะเปน อยา งนน้ั เลยกย็ งั เปน ได ทา นตายแลว เกบ็ หมกั เกบ็ ดองเอาไว
ไมท ราบวากเ่ี รอื่ งกีร่ าย จะทาํ ปลารา หรอื นาํ้ ปลากไ็ มไ ด แตใ จชอบอยา งนน้ั หลั่งไหลมา
ยุงดวยกันโดยไมมีเหตุมีผลอะไรที่ไมควรเปนเลย มันก็ยังเปน เพราะใจมนุษยนิยมชอบ
อยา งนน้ั
เวลายงั มชี วี ติ อยู จะสนใจประพฤตปิ ฏบิ ตั คิ ณุ งามความดใี หเ กดิ จากสกลกายนก้ี ็
ไมค อ ยสนใจ เวลาตายแลว จะใหร า งกายนเ้ี ปน ประโยชน มันจะเปนประโยชนไดอยางไร
กนั ถาไมพาทําเสียตั้งแตบัดนี้ ทําใหพอ ! ตายแลว กท็ ง้ิ ไปนน่ั เอง จะเปนประโยชนอ ะไร
อกี ถาเปนประโยชนอยูจะตายไปทําไม มันไมเปนประโยชน เพราะหมดกําลังความ
สามารถสบื ตอ แลว มนั ถงึ ตาย ตายแลวทิ้งลงไป อันใดท่ีเปนสาระสําคญั ซึ่งไดจากการ
กระทาํ ของรา งกายนี้ ก็ถือเอาเปนประโยชนตอไป ชื่อวาเปนผูไมประมาท
เวลานช้ี วี ติ รา งกายของเรากาํ ลงั เปน ประโยชน ทํากิจการทางโลกก็เปนประโยชน
ทางธรรมก็เปนประโยชน ฉะน้ันงานท้งั สองประเภทนท้ี ่เี รายงั มคี วามสามารถทาํ ไดอ ยู
เรากต็ อ งทาํ ไมอ ยเู ปลา
งานทางโลกกต็ อ งทาํ เพราะสงั ขารรา งกายมคี วามจําเปน ตอ สงิ่ เยยี วยารกั ษา อยู
เฉยๆ ไมได ตองมีเครื่องนุงเครื่องหมปกปดสกลกาย มีที่อยูอาศัย มีปจจัยเครื่อง
สนบั สนนุ อาหารการบรโิ ภคตลอดหยกู ยา ไมก าํ หนดกฎเกณฑว า มมี ากมนี อ ย เรื่อง
มนษุ ยเปนอยา งนน้ั
สัตวเ ขาไมม ีอะไรมากเหมอื นมนษุ ย ผานุงผาหมเขาก็ไมมี ทน่ี อนหมอนมงุ เขาก็
ไมมี หยกู ยาแกโ รคเขากไ็ มม ี เขายังมีความสืบตอ เปน สตั วมาได
แตม นษุ ยเ รานซ่ี ิ ถา พดู ตามความจรงิ กว็ า ออ นแอมากกวา สตั ว ไปที่ไหน
พะรุงพะรังดวยเครื่องนุงหม ดว ยเครอ่ื งอยเู ครอ่ื งกนิ เตรียมกันไปเต็มที่เต็มทางกลัวแต
จะอดตาย หยกู ยาปลาแปง อะไรพากนั หอบหว้ิ ใหย งุ ไปหมด แมจะไปวัดเพื่อภาวนาตัด
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๒
๔๑๓
กังวล ยงั ไมส นใจคิดวาความพะรุงพะรงั นะ คอื ความกงั วลเปนหว งรา งกายกลวั จะอด
ตาย ยง่ิ กวา จะหว งใจ
การกลา วทง้ั นม้ี ไิ ดเ จตนาตาํ หนมิ นษุ ยโ ดยถา ยเดยี ว แตเ ปน อบุ ายเตอื นมนษุ ย
ใหมีความเขมแข็ง และรจู กั ผอ นหนกั ผอ นเบา ไมเ ปน คลงั แหง ความกงั วลบนหวั ใจโดย
ถายเดียว แทนทจ่ี ะเปน คลงั แหง ธรรม
ตามธรรมดาแลว มนษุ ยม คี วามฉลาดเหนอื สตั ว ความตา นทานของมนษุ ยก ไ็ ม
เหมอื นสตั ว มนั ผดิ กัน มนษุ ยเ ราเกดิ มาในทา มกลางแหง ความชว ยเหลอื จากผอู น่ื
ฉะนั้นความเปนอยูตางๆ จึงตางจากสัตวเปนธรรมดา แตนักปฏิบัติธรรมควรคิดเรื่องนี้
ไวเ สมอเพอ่ื กนั ความลมื ตวั และออ นแอ เวลาไมสบายมีเจบ็ ไขเปนตน จิตใจจะไมเขม
แข็งเพื่อคนหาความจริงตามหลักสัจธรรม
ครั้งพุทธกาลพระบางองคทานไดสําเร็จอรหันต เพราะทุกขเวทนาเวลาเจ็บไขก็มี
ทั้งนี้เพราะจติ ใจเขมแข็ง เพราะฉะนน้ั การกลา วนจ้ี งึ กลา วเพอ่ื จติ ใจ โดยเฉพาะใจสําคัญ
มาก เพื่อใจไมสะดุงกลัว ไมระส่ําระสาย ขาดสตปิ ญ ญาเครอ่ื งพจิ ารณาในเวลาเจบ็ ปว ย
ดังพระกรรมฐานทานเที่ยวตามปาตามเขา ตวั อยา งมที า นอาจารยม น่ั เปนตน หยกู ยาก็
ไมไดติดเนื้อติดตัวไปเลย เวลาเจ็บไข
“เอา โรคน้ีเวลาจะเปน ข้นึ มา เปนมาจากทไ่ี หน กเ็ กดิ ขน้ึ ภายในรา งกายน้ี เชน
เจ็บไข ปวดหัว เปนตน เวลาเกิดมนั กเ็ กิดข้ึนทีน่ ี่ เวลาหายมนั จะหาหยกู ยาจากทไ่ี หน
มนั เกดิ ทน่ี ม่ี นั กด็ บั ทน่ี ่ี ถา รา งกายหรอื จติ ใจไมม คี วามสามารถตา นทานกนั มนั กต็ ายทน่ี ่ี
เกดิ กบั ตายเปน ของคกู ัน โรคภัยไขเจ็บที่เกิดขึ้นกับดับไป มนั กเ็ ปน ของคกู นั มันจะเกิด
จะดบั ทไ่ี หนถาไมเ กดิ ดบั ทนี่ ่ี” ทา นวา
“พวกสตั วสาราสงิ มอี ยูเตม็ ในปาในเขานี้ เขาไมไดมีหยูกมียา เขากม็ ธี าตขุ นั ธ
เชนเดียวกัน เขาอาจมีเจ็บไขไดปวยไดเชนเดียวกับมนุษยเรา แตทําไมเขาจึงไมสูญพันธุ
ทาํ ไมเราจงึ กลวั ตายนกั ออ นแอนกั !“ นท่ี า นพลกิ ใจของทาน
“เราตองพิจารณาใหรู “สัจธรรม” เปน ธรรมโอสถเครอ่ื งแกก นั ไมใหจิตใจลุม
หลงสา ยแสไ ปกบั สง่ิ เหลา นน้ั อนั จะกอ ความทกุ ขใ หก บั ตนมากขน้ึ ”
ทานก็พิจารณาจนกระทั่งทราบเรื่องเหตุเรื่องผล ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งภายในรา งกาย
เวทนาจิตโดยตลอด โรคภัยไขเจ็บหายไปเลยก็มีดังที่เขียนไวในประวัติของทานอาจารย
มั่น
แมโรคมันจะไมหายก็ตาม เรื่องจิตใจนั้นจะตองมีความเขมแข็ง มคี วามเฉลยี ว
ฉลาดตอ วธิ กี ารปฏบิ ตั ติ อ ตนเอง ซึ่งเกี่ยวกับโรคภัยไขเจ็บเปนพิเศษ ผิดกับคนธรรมดา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๓
๔๑๔
อยมู าก นก่ี เ็ คยไปปฏบิ ตั มิ าอยา งนน้ั เชน เดยี วกนั เวลาเจ็บไขไดปวยมากๆ หามใครเขา
ไปเกี่ยวของเลย ถา สมมตุ วิ า อยกู บั หมเู พอ่ื นอยา งน้ี ก็ปด ประตแู ละบอกทันที และหา ม
เด็ดขาดเลยวา “ใครอยามาแตะตองหรือเปดประตูเปนอันขาด ถาประตูนี้ไมเปดหามไม
ใหใ ครเขา มาเกย่ี วของ วันนี้จะตองพิจารณาขุดคนกันอยางเต็มภูมิเต็มฐานทีเดียว
เพราะวานี่เปนทุกขเวทนาซึ่งเกิดขึ้นจากการเจ็บไข”
ทุกขเวทนาทีเ่ ราเคยพบเพราะน่งั ภาวนามาตง้ั หลายชว่ั โมง เรายังสูได พิจารณา
แทงทะลุปรุโปรงไปได ไดเหตุไดผล ไดอรรถไดธรรม ไดค วามเฉลยี วฉลาด ไดค วาม
ศักดส์ิ ทิ ธ์ิที่สาํ คัญข้ึนมาภายในใจแตล ะครง้ั ๆ ไมเคยพลาดไปเลย แตเวลาเจ็บไขได
ปวยนี้เราจะปฏิบัติอยางไร ถาไมปฏิบัติอยางนั้นเราจะปฏิบัติทางไหน ไมมีทางหลีกเรน
ได เพราะรางกายนี้เปนที่เกิดแหงโรคตางๆ ไมมีประมาณ
สติปญญาเปนเครื่องพิจารณาความจริงซึ่งเกิดขึ้นนั้น โรคแตล ะชนดิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ก็
ทําใหเกิดทุกขเวทนา ทกุ ขเวทนานน้ั เปน สจั ธรรม เราไมพิจารณาสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับ
เราเวลานี้เราจะพิจารณาอะไร เรากลวั สัจธรรมกเ็ ทา กับเรากลัวกิเลส เราสูกิเลสไมไดก็
เทากับเรา “แพก เิ ลส” โดยตรง ถา เราพจิ ารณาสัจธรรมเขา ใจแจมแจง จริงแลว กช็ อ่ื วา
เรามีความเฉลียวฉลาดเอาตัวรอดได เอา คนลงไปทีเดียว!
ทุกขเ กดิ ข้ึนมาจากไหน เปนขึ้นที่ตรงไหน คนลงไป สติปญญาหมุนติว้ ไปตาม
อาการของเวทนาทแ่ี สดงตวั อยใู นรา งกายสว นตา งๆ กระทั่งทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นอยาง
เต็มที่ในขณะนั้นไดหายไป ขยายตวั ออกไป ๆ เพราะสติปญญาไลตอนเขาสูความจริงไป
โดยลาํ ดบั เม่ือเจอความจริงทตี่ รงไหน ทกุ ขเวทนากก็ ระจายออก ๆ เห็นอยางชัดเจน
ภายในใจ จนกระทั่งรา งกายทกุ สว นทเ่ี ปน กองทกุ ขซ ึ่งเกิดจากการเจ็บไขนั้น หายไป
หมดเลย เหลอื แตค วามรลู ว นๆ ทส่ี วา งไสวครอบรา งกายในขณะนน้ั แมแ ตร า งกายท่ี
เคยปรากฏอยใู นขณะนัน้ พรอ มกบั ทกุ ขท ก่ี ลมกลนื เปน อนั เดยี วกนั นน้ั เหมอื นกบั จะ
แยกกนั ไมอ อก กก็ ลบั กลายหายไป ทง้ั รา งกายกห็ ายไป ทุกขเวทนาท่เี กิดข้นึ ภายในรา ง
กายกห็ ายไป คอื รา งกายหายไปในความรสู กึ เหลอื แตค วามรซู ง่ึ เปน สง่ิ ทอ่ี ศั จรรยล ว นๆ
ทรงตัวอยู โดยไมม กี าํ หนดกฎเกณฑว า อยสู งู อยตู าํ่ อยใู นดนิ ฟา อากาศทไ่ี หน หายเงียบ
ไมม รี า งเปนทีส่ ิงสถิตอยใู นความรสู ึกเวลานั้น นน่ั ! เหน็ ความอศั จรรยข น้ึ มาแลว ! พอ
ถอนออกมาเทา นน้ั “โรคหายไปเลย!”
นเ่ี รยี กวา “สตปิ ญ ญาพจิ ารณาสจั ธรรม” เมื่อรูสัจธรรมแลวจะไมถอนทุกขไม
ถอนกเิ ลสอาสวะจะถอนอะไร เพราะสัจธรรมก็เปนความจริงแตละอยาง ๆ คอื ทกุ ขก ็
เปนความจริง สมทุ ยั กเ็ ปน ความจรงิ สติปญญาที่เรียกวา “มรรค” ก็เปนความจริง ตา ง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๔
๔๑๕
อันตางจริง เมอ่ื เขา ถงึ กนั แลว ตา งกเ็ ปน ความจรงิ ลว นๆ จิตจะปลอมมาจากที่ไหนอีก
เมื่อไดใชสติปญญาเปนเครื่องซักฟอกแลว
เพราะฉะนน้ั จติ จงึ แนว แนอ ยตู ามความจรงิ ของตน คาํ วา “ยา” หายไปหมด
เร่อื งความคิดถึงหยกู ถงึ “ยา” คิดไมได ไมมีเวลาไปคดิ คดิ ไปไหน เมอ่ื คดิ ไปแลว มนั ก็
ไมไดผล จึงไมคิดใหเสียเวลา
คิดที่ตรงนี้ ตรงที่ควรจะคิดนี้ เวทนามากนอ ยเกดิ ทีต่ รงน้ี การเจ็บไขไดปวยเกิด
ขน้ึ ทร่ี า งกายน้ี พิจารณาที่ตรงนี้ สตปิ ญ ญากม็ อี ยทู น่ี ่ี คนกนั ลงท่นี ี่ หมนุ ตว้ิ ๆ ลงไปท่นี ่ี
พอไดท แ่ี ลว ทกุ ขเวทนากห็ ายหมด! นเ่ี รยี กวา “ไมเสียผลเสียประโยชน” เรียกวา “รบ
ขาศึกไดชัยชนะ!”
หากจะตายในเวลานน้ั จิตกไ็ มย อ ทอ จิตกส็ ามารถรบั รองตวั ได หรอื ชว ยตวั เอง
ได ไมใ หท กุ ขเวทนาทง้ั หลายเขา มาครอบงาํ จติ ไดเ ลย เพราะอํานาจของสติปญญารอบ
ตัว หากวา จะตายลงในขณะนน้ั กต็ ายไปอยา ง “สคุ โต” ทาํ ใหเ บาทง้ั กายทง้ั ใจอยา งน้ี
เอง ใจนที้ ําใหฉ ลาดก็ไดทําใหโ งกไ็ ด แลวแตผูนัน้ จะปฏิบัตติ ัวอยา งไร
ถา จะให “จมอย”ู ตั้งกัปตั้งกัลปก็จมได ไมม วี นั อม่ิ พอในความจม จมอยูใน
“วฏั สงสาร” นั่นเอง มีความ เกิด แก เจ็บ ตาย นั้น มนั อิ่มพอทไี่ หนกัน ถา อม่ิ พอกนั ได
สตั วโ ลกกไ็ มค วรจะมาเกดิ ตายกนั ไมห ยดุ อยา งน้ี
ทา นจงึ สอนวา “นตถฺ ิ ตณหฺ าสมา นที” แมน าํ้ เสมอดว ยตณั หาไมม ี” กต็ ณั หาน้ี
แลพาใหสตั วเ กิดตายไมม ีเวลาอิม่ พอ เพราะตัวเหตุคือตัณหาไมเคยมีความอิ่มพอ
ความเกิดตายอนั เปนเครอื่ งผลกั ดนั จากตัณหา จะหยุดตัวและอิ่มตัวไดอยางไรเลา
ฉะนน้ั การจะใหค วามอม่ิ พอของความทกุ ขแ ละการเกดิ ตายเปน ไปเอง โดย
ไมก าํ จดั ตน เหตคุ อื “ตณั หาอวชิ ชา” ใหส น้ิ ไปจากใจ จึงเปนความหวังที่ลอยลม ไมม ี
ความหมายใดๆ ทง้ั สน้ิ อยา พากนั หาญคดิ !
การเกดิ นน้ั เกดิ เทาไรตายเทา น้นั ตายเทาไรเกิดเทานั้น หรอื มากยง่ิ ขน้ึ ไป
เพราะสิ่งที่จะทําใหเกิดคือกิเลสอวิชชาพอตัวเมื่อไร มนั ไมเ คยมคี วามพอตวั เลย“นตถฺ ิ
ตณหฺ าสมา นที” แมน า้ํ ทะเลหลวงมหาสมุทร กส็ คู วามอยากทจ่ี ติ ทเ่ี ตม็ ไปดว ย “ตณั หา”
นี้ไมได ความอยากกค็ อื กเิ ลสนเ่ี อง มนั มคี วามพอตวั ทไ่ี หน จงทาํ ความเขา ใจอยา งถงึ ใจ
วา ถา จะปลอ ยใหส ง่ิ เหลา นพ้ี อตวั ไปเอง กก่ี ปั กก่ี ลั ปก ไ็ มม หี วงั ไมมีฝงไมมีแดนเลย
เพราะฉะนั้นจึงควรพยายามแก พยายามคลค่ี ลาย พยายามบกึ บนึ พยายามตอ สสู ลดั
ปด กเิ ลสเครอ่ื งพวั พนั ทง้ั หลายออก เพื่อเขาหาฝงหาแดนพนทุกขไปไดโดยลําดับ ดว ย
ศรัทธา ความเพยี ร มีสติปญญาเปนสําคัญ!
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๕
๔๑๖
จงคนคิด พิจารณาลงที่นี่!
พระพุทธเจา สาวกทง้ั หลายทา นพน ทกุ ข ทานไมไดพนจากที่ไหน ทา นพน ทก่ี อง
ทุกขนี้แล แตถ า ไมพ จิ ารณากองทกุ ขก ไ็ มพ น ตอ งถอื เอาทกุ ขเ ปน หนิ ลบั สตปิ ญ ญาใหม ี
ความแกลว กลา สามารถรเู ทา ทนั กนั กบั สจั ธรรมทง้ั ส่ี ทกุ ขท ง้ั หลายจะไมเ ปน ภยั ตอ จติ
ใจอกี ตอ ไป ทุกขจะปรากฏตัว “สกั แตว า ทกุ ข” แมจะไมดับไปก็ตาม เพราะอํานาจแหง
สติปญญาพิจารณารูรอบทั่วถึงแลว ทกุ ขเวทนาจะตง้ั อยตู ามความจรงิ ของตน ไม
สามารถเขามากระเทือนจิตใจไดเลย เพราะปญ ญารอบตวั อยแู ลว จิตก็จะตั้งอยูตาม
ความจริงของตัว ตา งอนั ตางจริง ไมมีอะไรกระทบกระเทือนกัน เมอ่ื ความจรงิ เขา ถงึ
กนั แลว ไมเ กดิ เรอ่ื งตอ กนั
อนั เรอ่ื งความจรงิ กบั ความปลอมทม่ี นั วนุ กนั อยนู ้ี ก็เพราะความจอมปลอมขน้ึ
แซงหนาไปเรื่อยๆ มันจึงทาํ ใหจ ติ จมอยเู รอ่ื ยๆ เราเคยบน กนั มากเหลอื เกนิ คอื บน
อยากจะพบความสุขความเจริญ แลว ความสขุ ความเจรญิ นน้ั อยทู ไ่ี หน ? เวลานผ้ี ู
ตองการความสุขความเจรญิ จมอยูก ับอะไร ? ถึงหาความสุขความเจริญไมไดไมเจอ
ทั้งๆ ที่เราปรารถนาความสขุ ความเจรญิ ดวยกันทั้งโลก ถา ไมแ กส าเหตใุ นจดุ นแ้ี ลว ก็ไม
มีทางพบความสุขความเจริญไดอยางพึงใจเลย การปลอ ยใหจ ติ พอตวั แลว พน ทกุ ขไ ป
เอง และการปลอ ยใหก เิ ลสพอตวั แลว สลดั ปด ทง้ิ คน ปลอ ยคนใหเ ปน อสิ ระ เหมือนเขา
ปลอยนักโทษออกจากเรือนจํานไ่ี มม หี วงั ! อยางไรๆ กเิ ลสจะตอ งผกู มดั คนไปเรอ่ื ยๆ
อยูอยางนี้! นอกจากจะใชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาดงั ท่วี า แลวเทาน้ัน จึงจะมีหวังดังใจหมาย!
ฉะนน้ั ศาสนาจงึ มคี วามจําเปน อยา งยง่ิ กบั มนษุ ย ผตู อ งการความสงบสขุ แกต น
และครอบครัว ตลอดการหลดุ พน จากการจองจาํ ทง้ั หลาย มนษุ ยเ ราจาํ เปน อยา งยง่ิ ท่ี
จะนาํ ศาสนาเขา มาเปน เครอ่ื งมอื ดาํ เนนิ เปน ขน้ั ๆ ไมปลอ ยตัวตามอําเภอใจ เพราะ
กิเลสเครื่องทําลายความสุขมีหลายประเภทมาก ทา นจึงสอนตง้ั แต ทาน ศีล ภาวนา
“ทาน” เพื่อประโยชนอะไร เพอื่ ความเสียสละความตระหนี่ถ่เี หนียว เกย่ี วเนอ่ื ง
มาจากความเห็นแกต ัว และสงเสริมความละโมบโลภมากใหพอกพูนหัวใจ เห็นอะไรๆ
มีแตจะเอาทาเดียวไมมองดูสังขาร
การใหท านยอ มเกดิ ประโยชนแ กผ รู บั จากการเสยี สละนน้ั ๆ ดังพระเวสสันดร
ทา นใหท านเปน ตวั อยา งอนั ดเี ลศิ มาแลว จนกระเทอื นโลก “ทาน” แปลวา การใหโ ดยไม
หวังสิง่ ตอบแทนจากผูรบั ดังเขาซอ้ื ขายกนั ใหด ว ยความสงสาร ใหด ว ยความอนเุ คราะห
ใหด ว ยความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ใหด ว ยการบชู าคณุ แกท า นผมู คี ณุ แกเ รา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๖
๔๑๗
การใหท านดว ย “วตั ถุ” ดวยกาํ ลงั ดว ยวชิ าความรู เรียกวา “ทาน” เชน วตั ถทุ าน
เปนตน ผูรับทานกไ็ ดรบั ความสขุ และความภาคภมู ิ เยน็ ใจ เปน ความสขุ ความสบายทง้ั
สองฝาย ผูที่ไดรับการสงเคราะหจากเรานั้นก็มีความสุข เราที่เสียสละใหทานได กเ็ ทา
กบั เราตัดความตระหนเ่ี หนยี วแนน อนั เปน สง่ิ ทผ่ี กู มดั จติ ใจออกไดด ว ยเราเองกเ็ ปน สขุ
ทท่ี า นสอนไวน เ้ี ปน วธิ กี ารปราบกเิ ลสทง้ั นน้ั การทาํ ใดทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสอน
ไว ตอ งมคี วามหมายทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง
“ศีล” ก็เปนเครื่องระงับกิเลสประเภทหนึ่ง
“ภาวนา” ภาวนานเ้ี ปน “ธรรมรวบยอด” ทจ่ี ะฆา กเิ ลสทง้ั หลายที่รวมตัวเขาไป
อยใู นใจ นเ่ี คยสอนมาแลว การภาวนาก็คือการเรียนรูค วามจริงของตวั เอง ซึ่ง “ม”ี
และ “เกิดขึ้น” กบั “กาย” และ “ใจ” อยเู สมอ เวลานี้เรายังรูความจริงไมได เพราะจิต
เรามนั เทย่ี วตาํ หนโิ นน ตาํ หนนิ ้ี หาความจรงิ ในตวั ไมไ ดว า รา งกายเปน อยา งไร รา งกาย
เปน อยา งน้นั สว นนน้ั เปน อยา งนน้ั สว นนเ้ี ปน อยา งน้ี ตําหนิเขาวันยังค่ําคืนยังรุงทั้งที่ไม
เกิดประโยชนอะไร หากตาํ หนอิ ยนู น่ั แล ตามนสิ ยั มนษุ ยท ใ่ี จ “หลกุ หลกิ ” เพราะจติ มนั
ปลอมไมมีความจริง จงึ ชมสง่ิ ใดวา จรงิ อยา งมเี หตผุ ลไมไ ด
การปฏิบัติคือการคอยสอดสองดูจิต เฉพาะอยา งยง่ิ รา งกาย จิตใจ จิตใจมี
ความปรุงแตงไปอยางไรบาง หนกั เบาในทางใด พิจารณาจิตของตัว และคอยตาํ หนติ ิ
เตยี นตวั เอง คอยกําจัด คอยหกั หา ม คอยแกไ ขกนั ดว ย “สตปิ ญ ญา” รางกายเปน
อะไร มีความเจบ็ ไขไดป วยประการใดบา ง จงพิจารณาลงเปน “สัจธรรม” ใหเ หน็ ตาม
ความจริงอยา ไปฝน อยา ฝน “คติธรรมดา” คอื ความจรงิ อยา เอาความ “อยากหาย”เขา
ไปต้งั ในทกุ ขเวทนาน้นั ๆ จะทาํ ใหทุกขน ้นั กาํ เรบิ มากขึ้น เพราะความอยากนั้นเปนเรื่อง
ของกิเลสตัณหา แตความตองการรูความจริงนั้นเปนเรื่องของธรรม จงพินิจพิจารณา
ดวยปญญาใหเห็นแจมแจง ชัดเจนแลว มันจะแยกตัวออกจากกันเองไมตองสงสัย
ศาสนาทา นสอนใหม คี วามเขม แขง็ ไมยอทอ ไมต าํ หนวิ าสนาของตวั วา มนี อ ย จง
ปราบปรามกเิ ลสซง่ึ มอี ยภู ายในใจออกใหส น้ิ ไป แมปรมาณูอยาใหมีเศษเหลือได เพราะ
มัน “ตัวจัญไร” ทั้งสิ้นไมใชของดีเลย การทโ่ี ลกบน กนั วา “ทกุ ขๆ ” นน้ั ลว นเปน สาเหตุ
มาจากกเิ ลสท้ังหมดไมใชสิ่งอนื่ ใด กิเลสนี้แลเปน เครอ่ื งกดถวงจิตใจของสัตวโ ลกใหไ ด
รบั ความทกุ ขค วามลาํ บากเรอ่ื ยมา อยา เขาใจวา เปน เพราะอะไรอ่ืน
ความทกุ ขเ พราะดนิ ฟา อากาศหรอื จากสง่ิ อน่ื ๆ นน้ั ไมกระเทือนจิตใจมาก
เหมอื นกเิ ลสอนั เปน “ขา ศกึ ” ของใจเลย แตเ รอื่ งของกิเลสนก้ี ระเทือนมากทเี ดยี ว
เพราะเปนตัวพิษตัวภัยของใจโดยตรง ไมม คี าํ วา “ออ ม” ส่ิงอน่ื ๆ อะไรจะขาดตกบก
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๗
๔๑๘
พรองไปบาง ถา จติ ใจยงั มคี วามผาสกุ อยดู ว ยอรรถดว ยธรรมแลว ยงั พออยูพ อเปนพอ
ไปพออดพอทนกนั ได
แตถ า เปน เรอ่ื งของกเิ ลสแลว มนั ทาํ ใหเ ดอื ดรอ นวนุ วายมาก ทําใหกระเสือก
กระสนกระวนกระวายมาก ทาํ ใหท ะเยอทะยานมาก ทาํ ใหอ ยากใหห วิ โหยมาก เปน ราคี
ตอ จติ ใจมาก เวลากเิ ลสกาํ เรบิ มากๆ แมจ ะมสี มบตั หิ รอื มกี องเงนิ กองทองอยเู ทา ภเู ขา
มันก็หาความสุขไมได เพราะตัวกิเลสพาใจใหเปนทุกข จะเอาความสุขมาจากไหน แม
ขน้ึ ไปนง่ั บนกองเงนิ กองทอง ก็จะไปรองครางเพราะความทุกขรอนวุนวายระส่ําระสาย
ทง้ิ เนอ้ื ทง้ิ ตวั อยบู นกองเงนิ กองทองนน้ั แล เพราะนี้เปนตัวโรคอันสําคัญ จงึ ตอ งแกก นั
ตรงนี้
ความโลภ ความโกรธ ความหลง แตล ะชนดิ ๆ เปนโรครายอันใหญโตมาก เปน
โรคอนั สาํ คญั ทเ่ี กาะกนิ อยภู ายในจติ และเอาจติ ใจเปน อาหาร ขูดรีดจิตใจวันยังค่ําคืน
ยังรุงไมมเี วลาอม่ิ พออยูอยางนน้ั
แตจิตใจนี้ทนทานมาก ถึงจะถูกทรมานดวยกิเลสประเภทใดๆ กย็ งั ทนทานตวั
อยอู ยา งนน้ั เราถึงไดมองเห็นความทนทานของจิตเราอยูเรื่อยมา ถา หากจติ นไ้ี มแ นน
หนามน่ั คงทนตอ การเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายของกเิ ลสประเภทตา งๆ แลว จิตนี้จะตองแหลก
เปนผุยผงไปนานแลว ไมมีจติ สงิ อยูใ นรางคนรางสตั วเลย เพราะความทนทานของจติ
สาระสาํ คญั ของจติ จงึ ทนไดอ ยูไดเรื่อยมาจนถึงปจจุบัน ไมถ กู ทาํ ลายหายสญู ไป ฉะนน้ั
จติ จงึ ควรไดร บั ความเหลยี วแลจากเจา ของอยา งใกลช ดิ เสมอ ไมควรปลอยไปตาม
บุญตามกรรม จะเปนการซ้ําเติมจิตใหมีความทุกขและเศราหมองยิ่งขึ้น จนถึงขั้น “หมด
หวงั ” ดังคนไขเขาหอง “ไอ.ซี.ยู.”
ใจทม่ี กี เิ ลสยอ มเปน ใจทม่ี ภี าระหนกั มาก เวลาจะพาทําความดีใจมันฝนไมอยาก
ใหท าํ เหมอื นจะถอนหนามออกจากฝา เทา กลวั แตจะเจ็บปวดถา ยเดียว ฉะนั้นพอจะทํา
ความดีมภี าวนาเปนตน ทีไร เหมือนจะพาเขาตะแลงแกง (เขาสูที่ประหารชีวิต) เหมอื น
จูงสนุ ัขเขา ใสฝน เหมอื นกบั สตั วถ กู ไลจ ะเขา โรงฆา สตั ว เหมือนจะถูกประหัตประหาร
ชีวิต เหมอื นจะถกู โยนลงในเหวในบอ นน่ั แล เพราะความเปนขาศึกระหวางกิเลสกับ
ธรรมเหมือนขมิ้นกับปูน
พอจะนง่ั ภาวนาบา ง ใจเริ่มหาเรื่องมาขัดขวางนานาประการจนนั่งไมลง ราวกับ
พน้ื ทม่ี แี ตข วากหนาม ใจอยูดีๆ ก็เกิดความรุมรอนขึ้นมา เพราะแรงขี้เกียจมันเผาลน
แขนขายกไมข น้ึ ออ นเปย กไปหมดราวกบั ไมม เี สน เอน็ ตดิ ตอ กนั การเดนิ จงกรมนง่ั สมาธิ
สวดมนตไหวพระ ภาวนาเพอ่ื ชาํ ระจติ ใจใหส ะอาดปราศจากความฟงุ ซา นวนุ วาย ใจขดั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๘
๔๑๙
ขืนไมอยากทํา มแี ตค วามอดื อาดเนอื ยนาย เรอ่ื งกเิ ลสเขา ครองใจ มนั ทาํ ใจใหเ ปน
ขา ศกึ และเปน อปุ สรรคตอ ความดที ง้ั หลายอยา งนแ้ี ล
แตเ มื่อพยายามตะเกยี กตะกาย พยายามบกึ บนึ หลายครง้ั หลายหนเขา ใจขดั ขนื
ธรรมไมได กย็ อมทาํ ตามบา งขดั ขนื บา ง ระหวา งบาปกบั บญุ ตอ สกู นั ไป แพบ า งชนะบา ง
สว นผลดกี ค็ อ ยปรากฏขน้ึ ธรรมกค็ อยแทรกถึงใจเขาโดยลําดับๆ จติ กค็ อ ยเบาขน้ึ
มาเรอ่ื ยๆ ทาํ ความเพยี รกน็ บั วนั คลอ งแคลว แกลว กลา สตปิ ญ ญากค็ อ ยเกดิ ขน้ึ ๆ
กเิ ลสคอ ยๆ หลดุ ลอยไป ใจนบั วนั เบาและผอ งใสขน้ึ มาโดยลาํ ดบั สตปิ ญ ญากย็ ง่ิ มี
ความขยนั หมน่ั เพยี รจะคดิ อา นไตรต รอง ความพากเพยี รทกุ ดา นดไี ปตามๆ กนั จน
สามารถชาํ ระไดห มด
ทนี อ้ี ะไรเลา จะประเสรฐิ ยง่ิ กวา จติ ! เอาอะไรมาเทียบไมไดเลย นแ่ี หละ “จิต
คนเรา” ถา วา “เยี่ยม” กเ็ ยย่ี มทส่ี ดุ ดีก็ดีที่สุด ดที ส่ี ดุ กค็ อื “จิต” เมอ่ื ชาํ ระแลว ไมม ี
อะไรเสมอเหมอื นในโลก เปน แกว สารพดั นกึ อยภู ายในตวั แตเ วลาเลวและผาดโผนก็
เลวและผาดโผนที่สุดเชนกัน กอนที่ยังไมไดรับการอบรมฝกฝน
ศาสนธรรมเทา นน้ั ทจ่ี ะฉดุ ลากจติ ใจทใ่ี ฝต าํ่ ทาํ ตวั ใหเ สยี คน ขน้ึ มาเปน “จิตด”ี
เปนจิตเลิศเปนคนประเสริฐได เพราะธรรมเหนือและประเสริฐกวากเิ ลสบาปธรรมแต
ไหนแตไรมา จงึ มอี าํ นาจปราบปรามกนั ไดท นั เหตกุ ารณเ รอ่ื ยมาทกุ ยคุ ทกุ สมยั
“พุทธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมทง้ั หลายจนซาบซง้ึ ถงึ ใจแลว อยทู ใ่ี ดกม็ ี
“พุทธ” เขา ถงึ “พุทธ” ไมเ ลอื กกาลสถานท่ี เปน “อกาลโิ ก” “ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ” กถ็ งึ
ใจ “สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ กถ็ งึ ใจ อยูที่ไหนก็ปรากฏพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ
สถิตอยทู ใี่ จน้เี ลย ทงั้ สามรตั นะซึ้งถงึ ใจอยูต ลอดเวลา
คาํ วา “พระพุทธเจานิพพานไปเปนเวลานานเทานั้นเทานี้ป” กไ็ มม ปี ญ หาขอของ
ใจหนักใจอะไรเลย ไมส นใจคดิ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา เพราะธรรมอันแทจริงคืออะไร พุทธะ
อันแทจริงคืออะไร สังฆะอันแทจริงคืออะไร กค็ อื ธรรมทป่ี รากฏชดั อยภู ายในจติ เรา
จิตทานที่บริสุทธิ์เทานั้น
“ธรรม” กบั ใจนเ้ี ปน ฉนั ใด พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆก เ็ ปน ฉนั นน้ั ฉะนน้ั
ทา นผสู น้ิ สงสยั ในธรรมแลว ทา นจงึ ไมค ดิ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาวา “พระพุทธเจานิพพานไป
นานแลว ” เสียใจเกิดไมทันทาน ปฏิบัติอยางไรก็ไมไดมรรคไดผล !” ตามเรื่องของ
“กิเลส” มันหลอกลวงไป
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๙
๔๒๐
สําหรับทานผูรูธรรม ทา นไมค ดิ แบบคนโงต ดั หนามกน้ั ตวั เองอยา งนน้ั พระพุทธ
เจา เราอยทู ไ่ี หนทา นกอ็ ยทู น่ี น่ั ความรทู บ่ี รสิ ทุ ธอ์ิ นั นก้ี บั พระพทุ ธเจา เทยี บกนั ไดท นั ที
อนั นฉ้ี นั ใดอนั นน้ั ฉนั นน้ั ขอใหเ ขา ถงึ ความบรสิ ทุ ธเ์ิ ถดิ “พุทธะ” ของเรากับ“พุทธะ”
ของพระพุทธเจา ไมแ ยกจากกนั เลย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั ไมมีเรื่องอะไรจะพูดใหยืดยาวยิ่ง
กวา นน้ั เพราะเปนเรื่อง “ตะครุบเงา” ไมมีสิ้นสุด
เอาตวั จรงิ มาพดู เลยดกี วา “พุทธะ” นฉ้ี นั ใด “พุทธะ” ของพระพทุ ธเจา กฉ็ นั นน้ั
“พุทธะ” อนั นจ้ี ะอนั ตรธานสญู ไปไหน รูอยูใ นตวั เองแลว แลวพระพุทธเจาเปนอยางไร
ก็หมดปญหา ธรรมแทคืออะไร กอ็ ยทู ใ่ี จนก้ี ลมกลนื เปน อนั เดยี วกนั พระพุทธเจา พระ
ธรรม พระสงฆ โดยหลักธรรมชาติแลว คอื ธรรมท้ังแทงอยูภายในใจของผบู รสิ ทุ ธิ์
นน้ั แล ผูนั้นจงึ ไมมีความสงสัยพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ แมแ ตน อ ย แมจะไม
เคยเห็นพระองคก็ตาม ไมเคยเห็นพระสงฆอรหัตอรหันตที่เปนสาวกทานก็ตาม ความ
บรสิ ทุ ธน์ิ แ้ี ลเปน สกั ขพี ยานใหท ราบชดั วา พระพุทธเจา คืออะไร พระธรรมคืออะไร พระ
สงฆคืออะไร เวลานี้พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ สถติ อยใู นทเ่ี ชน ไร แลว วนั นพ้ี ทุ ธ
ทานกับพุทธเรา ? ใจรูรูอยางไร วิเศษวิโสอยางไรบาง เปนธรรมชาติอยางไรบาง อนั นน้ั
กธ็ รรมชาตอิ ยา งนน้ั เหมอื นกนั จึงหาที่สงสัยไมได
นแ่ี หละการเขา ถงึ “พุทธะ” ธรรมะ สงั ฆะ แท เขา ถงึ ทใ่ี จ เมอ่ื กเิ ลสหลดุ ลอย
ออกไปหมดแลว กม็ ีแตธ รรมชาตทิ อี่ ศั จรรยนเี้ ทานั้น “จิต” เมือ่ ทาํ ใหป ระเสริฐก็
ประเสริฐไดอยางนี้ !
แตกอนที่ไมประเสริฐก็เพราะมันโง โงท่สี ดุ ก็คอื จติ ดวงน้ี กเิ ลสผทู ท่ี าํ ใหโ งน น้ั
แหละมนั ถงึ ไดโง แต “ธรรมชาติที่ทําคนใหโง” นั้นมันอยูบนหัวใจของเราจึงโง ถา เอา
อนั นน้ั ออกแลว จะวา “โง” วา “ฉลาด” ก็ไมมีปญหาที่จะพูดกันอีก โลกทง้ั โลกจะมคี วาม
สงบรมเย็นก็เพราะใจที่ไดรับการอบรม ซง่ึ เปน ผพู าดาํ เนนิ งานทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ทง้ั กาย
และวาจาที่จะเอียงไปทางใด สอ ออกมาจากใจผบู งการ บงการถกู หรอื บงการผดิ กริ ยิ าก็
ออกมาตามนน้ั
จิตไดรับการอบรมมาอยางไรบาง การแสดงออกจะเปน ไปตามท่ีอบรม ถาไมได
อบรม ไมมีเหตุมีผล มแี ตก เิ ลสเตม็ หวั ใจและบงการ แลว กย็ ง่ิ พาคนอน่ื ใหเ ดอื ดรอ น
ดวยมากมาย โลกที่รอนก็เพราะใจดวงนี้พาใหรอน คนเราที่กระสับกระสายระส่ําระสาย
หาที่ยึดที่ถือไมได อะไรกว็ า ดี ๆ ทั้งนี้เพราะกิเลสเผาลนจนยับยั้งตั้งตัวไมได ความเปน
บาเพราะกิเลสรุมนี้ยากที่จะมีวันสรางลงได ถาไมแ สวงหาครูอาจารยท่เี ปนอรรถเปน
ธรรมในการอบรมสง่ั สอน คนๆ นน้ั ตอ งเปน บา โลภ บาโกรธ บา หลง บา ยศ บา อาํ นาจ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๐
๔๒๑
บาความมง่ั มดี ีเดน ไปเร่อื ยจนวนั ตาย ไมมีทางระลึกรูตัวไดโดยลําดับ ดับไปตายไป
เพราะบาเหลาน้ันฉดุ ลากไปไมมีวันโผลตวั ขึน้ มาได
ฉะนน้ั คาํ วา “ปณฑฺ ติ านจฺ เสวนา” การคบคา สมาคม ไดยินไดฟงธรรมของ
ปราชญและครูอาจารยอยูเสมอ จงึ เปนมงคลอันสูงสุด
แตก าร “สง่ั สมกเิ ลส คือ โลภ โกรธ หลง ราคะ ตณั หามากๆ อยา ใหบ กพรอ งได
เปนมงคลอันสูงสุด” นน้ั ไมเ คยไดย นิ ! และไมเคยเหน็ ใครในโลกมีความสุขความเจริญ
ทง้ั ภายในใจทง้ั ภายนอกใจ แขงธรรมของพระพุทธเจาบทนีแ้ ละบทอนื่ ๆ เลยในบรรดา
“สวากขาตธรรม”
อยา ยอ หยอ นออ นขอ ตอ กเิ ลสทกุ ประเภทใหม นั ไดใ จและหวั เราะเยาะเยย ทเ่ี คย
อยใู ตอ าํ นาจมนั มาแลว กแ็ สนอาภพั นา อบั อายมนั มาพอแลว ขออยา ใหเ รอ่ื งทาํ นองนม้ี ี
ในใจของเราอกี ตอ ไป จงเอาใหก เิ ลสเสยี นาํ้ ตาบา งซิ ที่เปนมามีแตเราเสียน้ําตาเพราะ
แพก เิ ลส เพราะความบอบชา้ํ ความทุกขทรมานจากกิเลสดัดสันดาน คราวนช้ี าตนิ เ้ี อา
ใหก เิ ลสมว นเสอ่ื กลบั บา นลองดู จะมีความสขุ ความสงา ผาเผยเพยี งไรเมอ่ื ปลดแอกออก
จากคอแลว
ขอยุติเพียงเทานี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๑
๔๒๒
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
สรา ง อตตฺ า หิ กอ นตาย
จติ ของคนเรากเ็ หมอื นกบั เดก็ คือไมสามารถจะรักษาตัวได ตอ งอาศยั พอ แมพ ี่
เลยี้ งคอยเกาะอยูตลอดเวลา เกาะคนนน้ั เกาะคนน้ี แตเ ดก็ ยงั มผี คู อยรักษา มีพอแมพี่
เลี้ยงคอยตามรักษาเสมอ เด็กจึงมีความปลอดภัย ไมคอยไดรับอันตรายตางๆ
สวนจิตใจที่คอยจะเกาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ จึงไมเปนความแนนอนเหมือนเด็กเกาะพอ
แมพี่เลี้ยงซึ่งเปนที่ปลอดภัย จิตที่เกาะเพราะความพึ่งตนไมได ตอ งชอบเกาะสง่ิ ตา งๆ
อยตู ลอดเวลา ซ่งึ สวนมากมักเกาะสงิ่ ท่ผี ิดใหโทษแกจติ ใจ การชอบเกาะหรอื การแสวง
หาส่ิงทเ่ี กาะนั้น กเ็ พอ่ื หาความปลอดภยั หาความสะดวกสบายสาํ หรบั ตน แตส ง่ิ ทเ่ี กาะ
ของจิตนั้นไมเปนสิ่งที่แนใจ จึงมักเปนภัยแกจิตเรื่อยๆ แมจะเปนผูใหญแลวก็ตามเด็ก
กต็ าม วสิ ยั ของจติ ยอ มเปน เชน นน้ั ไมหวังพึ่งตนเอง มีแตห วงั พง่ึ ผูอ ื่นส่งิ อื่นอยเู สมอ
ไมเ ปน ตวั ของตวั ได ทง้ั นเ้ี พราะจติ ไมฉ ลาดตอ อารมณท ต่ี นเขา เกาะ วา ผดิ ถกู ดชี ว่ั
ประการใด ไมร วู ธิ ปี ฏบิ ตั ิ ไมร ูวธิ ชี วยตวั เอง เพราะไมมีใครสอน ไมม ใี ครบอก ไมม ใี คร
แนะนาํ วธิ ใี ห พอจะทราบไดวาสิ่งใดเปนภัยสิ่งใดเปนคุณ สิ่งใดที่ควรเกาะสิ่งใดไมควร
เกาะ จึงตองเกาะไปเรื่อยๆ และเกาะดะไปหมดไมวาสิ่งดีสิ่งชั่ว ขอใหเ ปน ทช่ี อบใจหรอื
แมไมชอบใจ เปนนิสัยของจิตจะตองเกาะเรื่อยๆไป ไมช อบใจกเ็ กาะ ทาํ ไมจงึ เปน เชน
นน้ั ?
ตามธรรมดาสง่ิ หรอื อารมณท ไ่ี มช อบใจไมน า เกาะ แตจ ติ ไมช อบใจกเ็ กาะ เชน
โกรธก็เกาะ หลงหรอื รกั กเ็ กาะ ชงั กเ็ กาะ เกลยี ดกเ็ กาะ เพราะจติ เปน อารมณอ ยกู บั สง่ิ
นน้ั ๆ ไมม คี าํ วา รเู ปน ตวั ของตวั โดยเฉพาะ มีแต “ไปเปน อารมณอ ยกู บั สง่ิ นน้ั ๆ”
และเกาะอยกู บั สง่ิ นน้ั ๆ ตลอดไป ส่งิ เหลานน้ั สวนมากไมใชของดี
ทําไมจิตจึงตองไปเกาะ ? ทั้งนี้เพราะเปนความติดใจของจิต โดยทจ่ี ติ เองกไ็ ม
รวู า การเกาะนน้ั จะมผี ลอยา งไรบา ง ตนเองกอ็ ยากจะแยกตวั ออกไป แตม นั แยกไม
ออกเพราะสิ่งท่ีเหนือจติ ยงั มี เปน เครอ่ื งบงั คบั ใหจ ติ จาํ เปน ตอ งไดเ กาะไดย ดึ ไดเ ปน
อารมณ ใหเ กดิ ความขนุ มวั แกต นอยเู สมอ นี่พดู ถงึ อารมณ
พูดถึงวัตถุ มอี ะไรใจกต็ อ งเกาะสง่ิ นน้ั ยดึ สง่ิ นน้ั จนได ไมว า สว นยอ ยสว นใหญ
หรอื มคี ณุ คา ราคา ราคามากนอยเพียงไร ใจยึดไดถ อื ไดท ัง้ นัน้ แมจ ะใหน ามวา “จติ เปน
นกั ยดึ นกั เกาะ” กไ็ มผ ดิ เพราะยังไมสามารถพึ่งตนเองได จงึ ตอ งอาศยั สง่ิ ภายนอกไป
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๒
๔๒๓
จนกวา จะถงึ ทส่ี ดุ ของธาตขุ นั ธ ที่พาใหเปลี่ยนแปลงไป ดไี มดียังอาศยั สิ่งภายนอกเปน
อาํ นาจจนลมื ตวั กม็ ี ทง้ั ๆทไ่ี มม อี าํ นาจไมถ กู ทาง
พระพุทธเจาทรงสอนวา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” ใหพ ยายามแกไ ขความเกาะ
เกี่ยวของจิตที่หวังพึ่งพิงสิ่งตางๆ และแยกตวั หนั เขา มาพง่ึ ตนเองดว ยความสามารถของ
ตนบา ง ไมอ าศยั พอ อาศยั แม อาศยั เพอ่ื นฝงู อาศัยใครๆ อน่ื ๆ ไปเสียจนลืมตัว นสิ ยั
มนุษยเราที่อาศัยผูอื่นอยูเปนประจํา เลยติดเปนนิสัยประจําตัวทั่วประเทศเขตแดน สู
สัตวบางชนดิ กไ็ มไ ด ทา นจงึ สอนใหห วงั พง่ึ ตวั เอง
เรอ่ื งหยาบๆ เชน หนา ทก่ี ารงาน ก็ควรหวังพ่งึ ตนเองบาง ยน เขา มาทางดาน
“ธรรม” คอื การปฏบิ ตั ธิ รรมภายในใจ เมื่อไดรับการฝกอบรมจากครูอาจารยพอเปน
ปากเปน ทางแลว การบําเพ็ญธรรมตองเปนหนาที่จะหวังพึ่งตนเองโดยเฉพาะ จะเปนที่
แนใ จในการพ่ึงตนเองตามหลักธรรม เชน ทานสอนใหบําเพ็ญคณุ งามความดี มที าน
ศีล ภาวนา เปน ตน กเ็ พอ่ื ความพง่ึ ตนเอง คือจิตไดย ดึ เหนยี่ วในสิ่งดงี าม และมี
ความรมเย็นเปนสุขทั้งปจจุบันและภพชาติตอไป เพราะสิ่งนี้เปนสิ่งที่ดี เกดิ จากการ
กระทําที่ดี เปน อารมณห รอื อาหารทด่ี ขี องใจ
และสอนใหภาวนา ซึ่งละเอียดขึ้นไปเปนลําดับ การพยายามอบรมทางดา น
“จิตตภาวนา” อนั เปน วธิ กี ารพง่ึ ตวั เองใหแ นบแนน เขา ไปตามลาํ ดบั โดยอาศัยธรรม
บทนน้ั ๆ เขา มาเปน เครอ่ื งกาํ กบั ใจ โดยอาศัยพึ่งธรรมบทนั้นเปนอารมณ กลอ มเกลา
จิตใจใหสงบเย็น กอนที่จิตยังไมสามารถดํารงตนไดโดยลําพัง เชน กาํ หนด “พุทโธ ๆ
ๆ” เปนตน เปนอารมณท ่ีถกู ตองเหมาะสมในการพงึ่ ธรรม
การเริ่มฝกหัดใหมใจยังฟุงซาน ยงั หาหลกั หาเกณฑไ มไ ด ยังเปนตัวของตัวไมได
ตอ งอาศยั บทธรรมกาํ กบั รกั ษา จนกระทั่งจติ มีความกลมกลืนกันกบั บทธรรมนน้ั ๆ แลว
หดตวั เขา สคู วามสงบ แมบ ทธรรมทเี่ คยไดอาศยั บรกิ รรมมาแตกอ น กห็ มดปญ หาไปใน
ขณะที่ใจกา วเขาสูค วามสงบ นเ่ี รยี กวา “พง่ึ ตนเองไดข น้ั หนง่ึ ” ขณะใจกําลังสงบยอม
ปลอ ยคาํ บรกิ รรมได ใจมคี วามสงบอยดู ว ยดี นก่ี เ็ ปน หลกั เปนที่พึ่งอันหนึ่งของจิต
อยา งเห็นไดชัด เพียงเทานี้ก็มีความรมเย็นในใจที่เคยฟุงซานจนหาความสงบสุขไมได
เพราะจิตใจตามธรรมดาแลวไมเคยเปนสุขรมเย็น มแี ตค วามรมุ รอ น มแี ตค วามหวิ
กระหาย มีแตความระเวียงระวังดวยเรื่องตางๆ ซึ่งไมเปนประโยชนอะไรกับจิตใจเลย
สว นมากกค็ อื ความคดิ ปรงุ ของจติ เปนยาพิษเผาลนตนเองโดยไมม ใี ครมายงุ ดว ย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๓
๔๒๔
พระพุทธเจาทรงรูทรงเห็นแลวในวิธีที่ถูกตอง ตลอดผลที่ไดรับเปนที่พึงพอ
พระทัย จงึ ไดน าํ ทง้ั เหตคุ อื วธิ กี าร และผลที่พึงใจมาสอนพวกเรา “วธิ กี ารพง่ึ ตวั เอง”
นน้ั คอื
การบาํ เพ็ญ “จติ ตภาวนา” เปน ทางตรงแนว ตอ การพง่ึ ตนไดอยา งมน่ั คง จิตผู
ใดมีความสงบ มหี ลกั มเี กณฑม ากนอ ยเพยี งใด จะเปน ความแนใ จและมน่ั ใจตนเองยง่ิ
ขึ้นไปโดยลําดับ ไมตองถามใคร รอู ยภู ายในตวั เองทเ่ี รยี กวา “ปจฺจตฺต”ํ หรอื “สนทฺ ฏิ ฐ ิ
โก” สิ่งที่รูเห็นดีชั่ว ควรแกค วรถอดถอนควรบาํ เพญ็ ยอ มปรากฏขน้ึ ภายในใจ เมื่อใจ
แนน หนามน่ั คงขน้ึ โดยลาํ ดบั กท็ ราบเอง
เพยี งขน้ั สมาธกิ พ็ อเปน หลกั ใจ พอเปนเรือนใจไดใหมีความรมเย็น ขณะที่เรา
คดิ อะไรมากรสู กึ ออ นเพลยี ในใจ ยอนจิตเขาสู “จติ ตภาวนา” ใจพักสงบจากอารมณทั้ง
หลาย ใจกส็ งบรม เยน็ นช่ี อ่ื วา “เขาหาที่พึ่ง เขา หาทพ่ี กั ผอ นหยอ นใจ” เขา หาทอ่ี าศยั อนั
รมเย็น เปนทีพ่ ่งึ ขน้ั หนง่ึ
ขน้ั ตอ ไปแมจะเปน “สมาธ”ิ ดว ยกนั กต็ าม แตเปนความละเอียดของจติ “ขณิ
กะ” บา ง “อุปจาระ” บา ง “อปั ปนา” บาง เปน ขน้ั ๆ “อปั ปนา” หมายถงึ ความละเอยี ด
ของสมาธิ เตม็ ภมู ขิ องสมาธิเพียงเทานั้น เลยนน้ั ไปไมไ ดใ นขน้ั สมาธิ
เมื่อจิตมีความสงบเปนสมาธิขั้นนั้นๆ แลว ถา ไมใ ชส ตปิ ญ ญาพจิ ารณา จิตจะมี
ความสงบและละเอยี ดอยใู นสมาธขิ น้ั นน้ั ๆ โดยไมม ปี ญ ญาเปน เครอ่ื งถอดถอนกเิ ลส
เลย ถา กเิ ลสเปน เหมอื นตน ไม กเ็ พยี งแตต ดั กง่ิ กา นของมนั ออก แตตนของมันยังไม
ตัดยังไมโคน มนั กแ็ ตกแขนงออกมาอกี จนได
ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณาทางดา นปญ ญา “ปญญา” คอื ความเฉลยี วฉลาดแหลม
คม คิดอานไตรตรองไปเทาไรไมมีที่สิ้นสุด เมอ่ื ละเอยี ดกวา ปญ ญาขน้ึ ไปทา นเรยี กวา
“ปญ ญาญาณ” ไปแลว ดังที่ทานแสดงไวใน “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” “ญาณํ อุทปาทิ
ปญฺ า อทุ ปาทิ วชิ ชฺ า อทุ ปาทิ อาโลโก อุทปาท”ิ ฟงซี
“วิชชา” กค็ อื วชิ ชาสาม เปน หลกั ใหญ
“ปญฺ า อทุ ปาท”ิ ปญญาเกิดขึ้น “ญาณํ อุทปาท”ิ ญาณอนั ละเอยี ดเปน ลาํ ดบั
เกิดขึ้นแลว กเ็ กดิ ขน้ึ จากใจอนั เดยี วนน้ั แล “ปญ ญา” เปน เครอ่ื งถอดถอนกเิ ลสที่ปก
คลุมใจ สมาธเิ ปน แตเ พยี งกวาดตอ นกเิ ลสเขา มาใหร วมตวั สงบอยภู ายในใจเทา นน้ั
ยังไมสามารถตัดกิเลสใดๆ ได อปุ ทานของจติ ทเ่ี กย่ี วกบั สง่ิ ตา งๆ นั้นยังมีอยู และเบา
บางลงไป พอจติ ไดร บั ความสงบรม เยน็ บา งแลว ปญ ญาซง่ึ เปน อาวธุ สาํ คญั จึงฟาดฟน
ถอดถอนกเิ ลสประเภทตา งๆ บรรดาทม่ี อี ยใู นใจมากนอ ยออกไปเปน ลาํ ดบั ๆ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๔
๔๒๕
“สมาธปิ รภิ าวติ า ปญฺ า มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า” นน่ั ! “ปญ ญาทส่ี มาธอิ บ
รมแลว ยอ มมผี ลมากมอี านสิ งสม าก” การพจิ ารณาคลอ งแคลว แกลว กลา วอ งไว
สามารถตัดกิเลสไดโดยลําดับๆ
“ปญฺ าปรภิ าวติ ํ จิตฺตํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วมิ จุ ฺจติ” “จิตที่มีปญญาอบรมแลว
ยอ มหลดุ พน จากกเิ ลสทง้ั ปวงโดยชอบ” นน่ั ! ฟงซี “ปญญา” เทานั้นที่จะเปนผูสามารถ
ถอดถอนกเิ ลส ไมว า สว นหยาบ สว นกลาง สว นละเอยี ดไดโ ดยตลอดทว่ั ถงึ ไมม กี เิ ลส
ตวั ใดทจ่ี ะเหนอื ปญ ญาไปได นเ่ี ปน ธรรมดง้ั เดมิ คือธรรมรับรองคุณภาพ คณุ สมบตั ิ
ในการปฏบิ ตั ิ เพอ่ื กาํ จดั กเิ ลสออกจากใจโดยสน้ิ เชงิ ของพระพุทธเจาและพระสาวกที่
ทา นไดด าํ เนนิ มาแลว “สมาธิ ปญ ญา” นจ้ี งึ แยกกนั ไมอ อก แมจะเปนจริตนิสัยใดๆ ก็
ตาม สมาธิน้จี ะตองมีแนบอยเู สมอ คอื ความพกั สงบของจติ ความพกั งานของจติ ดว ย
การสงบอารมณค ดิ อา นในสมาธิ
งานทางโลกเขายงั ตอ งพกั เมอื่ ถงึ เวลาพัก ไมพักไมได การพกั นน้ั จะเสยี เวลาํ่
เวลาไปบา ง การรับประทานอาหารเพื่อบํารุงรางกาย จะสิ้นเปลืองสมบัติ สน้ิ เปลอื ง
อาหารทก่ี นิ ลงไป สิ้นเปลืองเงินทอง เพอ่ื ซอ้ื อาหารมารบั ประทานกต็ าม แตส น้ิ เปลอื ง
ไปเพอ่ื บาํ รงุ รา งกายใหม กี าํ ลงั ควรแกห นา ทก่ี ารงานตอ ไปอกี การพกั ผอ นนอนหลบั ถงึ
จะเสียเวลาไปบาง กเ็ พอ่ื กาํ ลงั วงั ชาของรา งกายทค่ี วรตอ หนา ทก่ี ารงานตอ ไปอกี ไมเชน
น้ันกไ็ ปไมต ลอด
เพราะฉะนน้ั การเสยี เวลากด็ ี การเสียวัตถุอะไรก็ดีที่เรานํามารับประทาน เพื่อ
เยยี วยาธาตขุ นั ธใ หม กี าํ ลงั นน้ั จึงไมใชเปนการเสีย แตเ ปน การเพม่ิ กาํ ลงั แกร า งกาย ถา
เปนรถก็เติมน้ํามัน ไมมีน้ํามันรถก็วิ่งไปไมได สมาธิ ปญญา กม็ คี วามเกย่ี วเนอ่ื งกนั เชน
นน้ั ตอ งมเี วลาพกั สงบอารมณใ นสมาธนิ น้ั ๆ หลงั จากการพกั สงบแลว กท็ าํ การคดิ คน
ดวยสติปญญา ตามความสามารถของแตล ะราย ๆ
คาํ วา “ปญ ญา” นี้ละเอียดมาก กวา งขวางมากไมม สี น้ิ สดุ ตามแตจ รติ นสิ ยั ของผู
ทน่ี าํ มาใช ความคดิ อา นใดทพ่ี จิ ารณาลงไปเพอ่ื ถอดถอนกเิ ลสไดโ ดยลาํ ดบั ความคดิ
อา นนน้ั ทา นเรยี กวา “ปญ ญาชอบ” ไมจําเปนจะตองไปอานตํารับตํารา และไดจ ากตํารบั
ตํารามาแกกิเลสทุกประเภทไปถึงจะเปน “ธรรม” เพราะในตาํ รานน้ั กถ็ อดออกไปจาก
จิตใจซึ่งเปน “ธรรม” และ “ผูทํา” เปนผูถอดถอนกิเลสจนไดเห็นผลประจักษแลว จงึ
ไดเขียนลงในตํารานน้ั ๆ ไมใ ชต าํ รานน้ั เกดิ กอ นความจรงิ คอื การปฏบิ ตั ิ
พระพุทธเจา ทานทรงบําเพ็ญพระองคแรก ไมปรากฏวา มตี าํ ราที่ไหน เวลาสง่ั
สอนสาวกหรอื เรยี น “อรยิ สจั ” นน้ั กเ็ หมอื นกนั ไมไดจ ารึกลงในคัมภรี ใบลาน ทรงสอน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๕
๔๒๖
ดวยพระโอษฐของพระองคเอง สาวกกส็ อนดว ยปากทง้ั นน้ั ทา นเอาอะไรมาสอน? กเ็ อา
มาจากความจรงิ ทม่ี อี ยภู ายในใจ ซง่ึ ไดร ไู ดเ หน็ จากการปฏบิ ตั มิ าแลว นไ้ี ปสอน เพราะ
ฉะนน้ั อบุ ายของสตปิ ญ ญา จงึ สาํ คญั อยทู ผ่ี คู ดิ ผพู จิ ารณาจะแยกแยะออกมาใชด ว ยอบุ าย
ความฉลาดของแตล ะราย ๆ ไป ตามสตกิ าํ ลงั ความสามารถของแตล ะราย ๆ ไปไมมีสิ้น
สดุ จึงไมจําเปนที่จะไปเอาจากตํารับตําราเสียทุกแงทุกมุมจึงจะเปน “ธรรม” “เราคิดขึ้น
เองไมส ามารถจะแกก เิ ลสได” น้เี ปนความคิดเหน็ ท่ีผิดจากหลักธรรม ไมอาจเรียกวา
“ปญ ญาชอบ” ได แมจํามาจากตํารา แตไ มส ามารถแกก เิ ลสนอ ยใหญใ หข าดจากใจได ก็
ไมอ าจเรยี กไดว า “ปญ ญาชอบ” สาํ หรบั ผนู น้ั เปน “ปญญาชอบ” เฉพาะในตํารา แต
“ไมช อบ” สาํ หรบั นาํ มาใช
ธรรมที่ทานแสดงไวตามตํารับตํารานั้นมีพอประมาณเทานั้น ไมไดม ากมายอะไร
นกั เลย ถา เปน ยาก็เปน “ยาหมอ ใหญ” ไมใชยาที่เจาะจงโรคนั้นๆ โดยเฉพาะ ที่เราคิด
คน ไดข ้นึ มาใหเหมาะสมกับการแกกเิ ลสแตล ะประเภทนีเ้ ปน “ยา” ทเ่ี หมาะสมกบั กเิ ลส
ประเภทนั้นๆ ทจ่ี ะถอดถอนกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ใหหมดไปไดโดยลําดับ เพราะฉะนั้น
ทา นผูปฏิบตั ใิ นทางปญญา อยทู ไี่ หนทา นกม็ อี รรถมธี รรม มสี ตปิ ญ ญาคน ควา อยตู ลอด
เวลา ดังที่ทานอาจารยมั่นเคยแสดงไววา “ฟงธรรมทั้งกลางวันกลางคืน” นั่น! ฟงซิ อะไร
ก็สมั ผัสอยูตลอดเวลาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย สมั ผสั กนั อยเู รอ่ื ยๆ
การสัมผัสเมื่อไมเขาไปรับทราบที่จิตซึ่งเปนผูคอยรับทราบ จะไปรับทราบกันที่
ไหน และอะไรจะเปนผูรับทราบ การที่จิตรับทราบก็กระเทือนถึงสติปญญา ที่จะตองคน
ควา พจิ ารณาตามเหตุตามผลในส่งิ ที่มาเกี่ยวของน้นั ๆ วา เปน อยา งไรบา ง เม่ือทราบแลว
กถ็ อดถอนหรอื ปลอ ยวางกนั ไปไดโ ดยลาํ ดบั นท้ี านเรยี กวา “ฟงธรรมทั้งกลางวัน กลาง
คืน” คอื ธรรมในหลกั ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยดู ง้ั เดมิ กเิ ลสกเ็ ปน หลกั ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยภู ายในจติ
ธรรมคือ ศีล สมาธิ ปญ ญากเ็ ปน หลกั ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยภู ายในใจ สุดแลวแตผ จู ะผลิตคดิ
คน ขน้ึ มาพนิ จิ พจิ ารณา ใชป ระโยชนต ามสตกิ าํ ลงั ความสามารถแหง สติปญญาทเ่ี ปน
เครื่องมือ
ธาตขุ นั ธ แนะ ! ฟง ซวี า ธาตวุ า ขนั ธ วา สกลกาย พระพุทธเจาก็มี สาวกทง้ั หลายก็
มี และทานเคยตดิ เคยยดึ เคยถอื เคยเปนอุปาทานในขันธเชนเดยี วกับพวกเรา เปน
กิเลสไดเชนเดียวกับพวกเรา เมอ่ื ยดึ ใหเ ปน กเิ ลสเมอ่ื ทาํ ใหเ ปน กเิ ลส สิ่งเหลา นี้ก็เปน ตน
เหตุจะใหสั่งสมกิเลสขึ้นมาที่ใจได
พระพทุ ธเจา และสาวกทเ่ี ปน อรหตั อรหนั ตเ หลา นน้ั แตก อ นทา นกม็ อี ยเู ชน เดยี ว
กับพวกเรา แตท าํ ไมทา นจงึ ถอดถอนออกได รา งของทา นกเ็ หมอื นกบั รา งกายของพวก
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๖
๔๒๗
เรา ขนั ธห า ของทา นกเ็ หมอื นขนั ธห า ของพวกเรา ทาํ ไมทา นถอดถอนได แตพวกเรา
ทําไมจะถอดถอนไมไดจะรูไมได ทําไมทานรูได ทําไมพวกเรารูไมได ใจเราก็มี สติ
ปญญาเปนสิ่งที่ผลิตขึ้นไดในแงตางๆ ตามแตผ ูชอบคิดในแงใดขน้ึ มาพิจารณา
ธาตขุ ันธทเี่ ปน อยูก ับตนนีเ้ ปน ส่งิ ทที่ าํ ไดร ูไ ด น่แี หละจติ ท่ีวา พงึ่ ตวั เองไมไ ด
สรปุ ลงมาในตวั เรากค็ อื ตอ งพง่ึ ธาตขุ นั ธ นอกจากพง่ึ ขนั ธแ ลว ยงั ถอื ขนั ธเ ปน ตนอกี
นน่ั !พง่ึ เขาแลว ยงั ถอื วา เขาเปน ตนอกี โดยไมล ะอายเลย จะวายังไง ? แมล ะอายขนาด
ไหนมันก็ยังจําเปนไดทนถือเมื่อยังไมรูเทาและปลอยวางได จะวา ไมล ะอายกถ็ กู และ
ยอมรบั วา โง แตต อ งพยายามฝก ตนใหฉ ลาด จนรูและปลอยวางได ดวยความเขมแข็ง
แหง “ความเพยี ร”
พดู ใหถ งึ เหตถุ งึ ผลกนั เสยี ที เขาเปนเขาตามหลักธรรมชาติ แตเ รายงั อตุ สา หไ ป
ยึดเอาเขามาเปนตัวของเราอีก มนั กย็ งุ นะ ซี เพราะมนั ฝน ความจริงนี่ เพื่อใหตรงกับ
ความจริง จงพิจารณาเหน็ ตามความจรงิ ของมนั พจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ซาํ้ ๆ ซากๆ
เอาจนเปนที่เขาใจ เมอ่ื เขา ใจแลว ไมต อ งบอกปลอ ยบอกวาง ปลอยเองวางเองทีเดียว
เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปนพิษเปนภัย เปน โทษแกเ รา เพราะการยดึ ถอื ของเราเอง ไมใช
เปนคุณอะไรดวยการยึดถือ ! หากเปน บญุ เปน คณุ แลว พระพุทธเจาก็ตองสอนใหยึดถือ
หรอื ไมต อ งสอนใจกย็ ดึ อยแู ลว แตนี่มันเปนพิษเปนภัยเพราะการยึดถือสิ่งเหลานี้
แมเขาจะเปนภัยตอเราก็ตาม แตเราก็ไปยึดเอามาเปนภัย ดว ยความสาํ คญั วา
เราเปนอยางนั้น เราเปนอยางนี้ เขาเปนเรา เขาเปนของเรา เปนตน มันยุงตรงที่ไป
สาํ คญั ไปหมายเอาดวยความลมุ หลงของเราน้แี ล
ขนั ธน น้ั ๆ ก็ไมมีความหมายอะไรในตัวของมันเอง อยูตามความจริง เชนเดียว
กับตน ไม ภเู ขา ฯลฯ นน้ั แล ท่รี บั ทราบในแงต า งๆ ก็เปนเรื่องของจิต คนตายแลว รบั
ทราบไมได นม่ี นั ไปจากจติ ตวั อยไู มเ ปน สขุ ไปไมเปนสุข ยึดไมเปนสุข อยูร่ําไป นี้แลจึง
นา โมโห!
จิตนี่บรรจุไวซึ่งความลุมหลงเต็มตัว แสดงออกมาในแงใ ดมแี ตค วามลมุ หลง
ความยดึ ความถอื อนั จะเปน ภยั แกต นทง้ั นน้ั ทว่ี า “จติ พึ่งตนเองไมได” กม็ ันยังตอ งไป
เกาะนน้ั เกาะนอ้ี ยรู าํ่ ไปน่ี การพจิ ารณาทางดา นปญ ญากเ็ พอ่ื จะใหร เู รอ่ื งสง่ิ ทง้ั หลาย แลว
ผลกั ออกไป ดนั ออกไป แกอ อกไป เพื่อเปนตัวของตัวโดยลําดับๆ นน่ั เอง
เราดูส่ิงอื่นยงั ดตู ลอดทั่วถึง พอเขา อกเขา ใจ ดตู กึ รามบา นชอ ง ดูอะไรๆ ดูหญิง
ดูชาย ดูสัตว ดบู คุ คล ดูวัตถุสิ่งของตางๆ เรายงั ทราบวา สง่ิ นน้ั ดี ส่ิงนชี้ วั่ สิ่งนั้นมีราคา
สงู สิง่ นม้ี รี าคาตา่ํ ส่งิ นน้ั ควรจะเอา สิ่งนี้ไมควรเอา เรายังรู แตด รู า งกายเราน้ี ทาํ ไมไม
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๗
๔๒๘
รู ไมร แู ลว กร็ กั ดว ย ยึดดวย ติดดวย สง่ิ ภายนอกเรายงั ไมก ลา รกั ไมก ลา ถอื เอา ย่งิ รูวาไม
ดแี ลว เรากไ็ มก ลา เอา
อนั นด้ี ไี มด เี อาทง้ั หมด ยึดทั้งสิ้น จะวา อยา งไร ? ตอนนซ้ี ิ ตอนมนั โง ตาเนอ้ื ก็
เห็นอยวู า รางกายเปน ยังไง จติ ใจก็ทราบอยู แตมนั ทราบอยางผิวเผิน ทราบอยา ง
ธรรมดาสามัญชน จึงชนดะไมยอมถอย ไมไดทราบตามความจริง ทราบอยา งสามญั ชน
กค็ อื ทราบอยา งสามญั อวชิ ชานน่ั เอง สามญั ของความลมุ หลงในวงแหง ความรนู น่ั เอง
ไมไดเปนไปตามความจริง เพราะเหตุนั้นจึงตองแสวงหาความจริงแทรกเขาในจิต คือ
ปญญา เมือ่ ปญญามแี ลว เราจะทราบความจริงของตนท่มี ีอยูในรางกายน้ี ซึ่งไมปดบัง
อะไรเลย!
ดใู หช ดั มนั ไมไ ดก วางขวางอะไรเลยรา งกายนี้ กวา งศอกยาววาหนาคบื เทา นน้ั
มันนาจะทวั่ ถึง ดภู ายนอกครเู ดยี วกท็ ว่ั ถงึ ภายในกด็ ใู หซ ง้ึ พิจารณาใหซึ้ง ตามอาการ
ตามความเปนอยูของมัน ตลอดถงึ ความสลาย ความแตกสลาย ไมไปไหน จะเขา สคู วาม
แตกสลายทาํ ลายโดยถา ยเดยี ว และลงสธู าตตุ ามเดมิ เทา นน้ั ไมเ ปน อยา งอน่ื พจิ ารณาให
ซึ้งตามความเปนจริงนี้ดวยปญญา เมือ่ ซึง้ ตามความจรงิ น้อี ยางหาทคี่ า นตัวเองไมไดแ ลว
เรื่องอปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั จะถอนตวั ทนั ที เมื่อยังไมซึ้ง พิจารณาใหซึ้ง ใหช ดั
เจนดวยปญญา
ปญญาน้ไี มมีใครบอก ปญญาที่จะซึ้งไปในรางกายซึ่งมีอยูกับตัวเรานี้ เปน สง่ิ ท่ี
เราพิจารณาเองเขาใจเอง เมื่อเขาใจเต็มภูมิก็ปลอยเต็มท!ี่ เราเปนคนถือเอง คนอื่นจะ
ปลอยวางใหเราไมได เราตองพิจารณาเพื่อปลอยวางเอาเอง ใหเ หน็ วา เปน สง่ิ ทอ่ี าศยั
เพียงเทานั้น จะเห็นวาเปนเราเปนของเราดวยความโงเขลาเบาปญญา กจ็ ะกอ ความทกุ ข
ใหเราไมมีสิ้นสุด ยง่ิ ในวาระสดุ ทา ยขนั ธจ ะแตกสลาย กจ็ ะเกดิ ความเสียดายความหว ง
ใย ความรัก ความสงวน ก็ยิ่งจะไปกันใหญ ยง่ิ กวา “วา วเชอื กขาดบนอากาศ” หมนุ ตว้ิ
ไปตามลม ตกทิศไหนไมมีใครทราบได ทัง้ ๆทไ่ี มม ีอะไรใหน ารักใหน าเสียดายเลย หมด
ทงั้ รางมีแตส ิ่งทจี่ ะแตกสลายถายเดียวเทา นั้น
เรายังจะฝนความจริงอยูหรอื ขนั ธจ ะแตกสลายไปตามกาลเวลาของมนั อยา งไม
มีที่แยง นี่เปนความจริง เรายังจะฝนความจริงไมอยากใหมันแตก ไมอ ยากใหม นั ดบั ยงั
รกั ยงั สงวนอยอู ยา งน้ี คือการฝนความจริง การฝน ความจรงิ นจ้ี ะตอ งกอ ทกุ ขใ หเ รามาก
มายจนไมมีที่ปลง ถาไมรีบปลงเสยี ดว ยปญ ญาแตบดั นี้ แตถาปลงไดสําเร็จบัดนี้ จะมี
ลาภใหญห ลวงคอื “นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ”ํ !
ถา ฝน ธรรม ดีไมดไี มไ ดส ตสิ ตงั ในขณะนน้ั เสยี ดว ย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๘
๔๒๙
ปญ ญาเปน อาวธุ ทนั สมยั จงึ ตองพิจารณาใหถ ึงความจรงิ ทุกส่ิงทุกอยางแลว
ปลอ ยวางไวต ามความจรงิ ทั้งยงั มชี ีวิตอยูเ วลาน้ี ทงั้ เวลาสลายไป ปญญาไดเห็นชัดเจน
ทง้ั ปจ จบุ นั และอนาคตแลว ไมมีอะไรเปนปญหา
ความสขุ ความทกุ ขย งั มอี ยู เพราะขันธย ังทรงตัวอยู สง่ิ เหลา นอ้ี าศยั กนั เกดิ ขน้ึ
จติ เปน ผรู บั ผดิ ชอบเปน ผรู บั ทราบ รูแตไมติด ความรตู ามความจรงิ เปน อยา งหนง่ึ
ความรดู ว ยความยดึ ถอื เปน อกี อยา งหนง่ึ โปรดเขาใจเอาไว
เวทนาทกุ ขน้ั ทกุ ภมู มิ อี ยกู บั ขนั ธน เ้ี ทา นน้ั ไมม ใี นจติ เมื่อจติ บริสุทธแิ์ ลว พระ
อรหนั ตจ งึ ไมแ บกหามเวทนาทง้ั ทางขนั ธแ ละทางจติ เหมอื นเรากองรบั เหมากอ สรา ง
“วฏั จกั ร” เพียงอาการของขันธตางๆ เอนเราก็เอน เขาเอียงเราก็เอียง เขาลม เรากล็ ม
แบบไมเปนทา! เพราะเราอาศัยเขานี้ เขาพาเอียงก็เอียง เขาพาลม กล็ ม เขาพาตง้ั อยกู ็
พอตั้งไดบาง แตมันไมยอมตั้ง ถงึ เขาตั้งอยู ยังไมตาย เราก็เดือดรอนจะตายกอนเขา
เสยี อกี
เพราะฉะนั้นจึงตองพจิ ารณาใหเหน็ ชัดดว ยปญญาของเราวา เปนเครื่องอาศัยทั้ง
นน้ั วนั เวลานาทกี นิ เขา ไปโดยลาํ ดบั ๆ ถา เราเหน็ ความกดั กนิ ความแทะของวนั เวลา ของ
ธรรมชาติที่มันสึกหรอ มนั กรอ นไปโดยลาํ ดบั ๆ แลว กเ็ หมอื นสุนขั ทงึ้ เน้ือและกระดูก
นั่นเองไมผิดอะไรกัน ทึ้งอยูตลอดเวลา กดั แทะ ทึ้งอยูอยางนั้นจนกระทั่งหมดไมมีอะไร
จะกัดจะแทะ
นก้ี ก็ ดั อยอู ยา งนน้ั แหละ คอื สลายไปโดยลาํ ดบั ๆ จนกระทั่งถึงความจริงของมัน
นงั่ อยู ยนื อยู นอนอยู เดนิ อยกู ต็ าม หลบั สนทิ อยกู ต็ าม มันกัดมันแทะมันทึ้ง คอื เวลาํ่
เวลาความสลาย ความหมดไป ๆ มันกดั มันแทะมนั ทึง้ อยูเสมอๆ เรายังจะแยงเขาไมให
เปน อยา งนน้ั ไดเ หรอ ? แยง ไมไ ด นน่ั เปน คตธิ รรมดาซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ความ
สําคัญของเรานั้นผิด ความผดิ จงึ แยง ความถกู ไปไมไ ด ความสลายเปน ความถกู ตอ ง
เปนหลักธรรมชาติของเขา ความฝนหลักธรรมชาตินั้นเปนความผิดของใจ จึงตองเกิด
ความทุกขแกเรา
พจิ ารณาใหร อบคอบในสง่ิ เหลา นเ้ี สยี แตเ วลาน้ี ถงึ เวลาแลว จะไมต อ งหวน่ั ไหว
เพราะไดพิจารณารูหมดแลววา สิ่งเหลา นจ้ี ะเปน ไปตามน้ันแนน อน ไมเ ปน อยา งอน่ื
เอา ตา งอันตา งเปน ไป อะไรจะแสดงอาการขึ้นมาก็ใหเปนไป อยา หกั หา มความ
จรงิ ทกุ ขเวทนามนั เผารา งกายน้ี รา งกายนี้คอ ยกรอบเกรยี มลงไปโดยลําดับๆ และแตก
สลายลงไป
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๙
๔๓๐
จิตใจมีสติปญญารอบตัวแลวไมแตกไมดับ ไมติด เปน ตวั ของตวั โดยลาํ พงั !พึ่ง
ตัวเองได ไมตองพึ่งสิ่งเหลาน!ี้ แสนสบาย!
การพจิ ารณามคี วามสาํ คญั อยา งน้ี มคี ุณคา ตอ จติ ใจอยา งน้ี นกั ปราชญท า นมี
พระพุทธเจาเปนตน จงึ ตอ งสอนเรอ่ื งสตกิ บั ปญ ญานเ้ี ปน สาํ คญั เพอ่ื นาํ จติ ฉดุ ลาก
จติ ออกจากกองเพลงิ ใหพ น จากภยั ไป
ศาสนาของพระพุทธเจาองคไหนๆ กส็ อนแบบเดยี วกนั เพราะธรรมชาติเหลานี้
มแี บบเดยี วกนั กเิ ลสแบบเดยี วกนั ไมม อี งคใ ดทจ่ี ะสอนใหแ ตกใหแ ยกออกไปจากน้ี
เลย ทา นสอนแบบเดยี วกนั การประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื จะถอดถอนกเิ ลสมากนอ ยออกจาก
ใจ กเ็ ปน แบบเดยี วกนั คอื ตามหลกั ธรรมทท่ี า นสอนไว ดาํ เนนิ ตามแบบนน้ั ถา ผดิ จาก
แบบนน้ั กเิ ลสกห็ วั เราะ!
เอา พิจารณาได ไมว า กวา งวา แคบ เอาทั้งโลกธาตนุ ี้ จิตจะหวังพึ่งอะไรพอให
ปลอดภัย ? เพราะคําวา “พึ่ง” ฟงดูใหดี แมแ ตส่ิงทีต่ ิดแนบอยูกบั ตวั ของเรานีม้ ันยงั ไม
ปลอดภัย และเราจะหวังพึ่งอะไรที่นอกไปจากรางกายนจี้ งึ จะปลอดภยั หาไมเ จอ!
แตส ง่ิ ทตี่ ิดอยกู บั ตวั ยังไมปลอดภัย ยังเปนตัวภัยอยูได เรายังไมเห็นตัวภัยนี้จะ
ไปเห็นภัยที่ไหน? ตองเห็นภัยที่นี่ แลว ถอดถอนจิตใจออกจากตวั ภยั น้ี ก็เปนคุณขึ้นมา
นเ่ี รยี กวา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” โดยสมบูรณ ไมพึ่งอะไรทั้งสิ้น! แมทส่ี ุดคาํ วา “ศลี ”
กด็ ี “สมาธิ” กด็ ี “ปญญา” กด็ ี เมือ่ ถงึ ขน้ั สดุ ทายปลายแดนแหง ความหลดุ พน แลว ก็ไม
พึ่ง! จะพึ่งอะไรกับเครื่องมือ แกกเิ ลสท้ังหมดสิ้นไปแลว เครอ่ื งมอื กป็ ลอ ยวางไวต าม
สภาพเชนเดียวกับมีดเราเอาไปหั่นผัก ปอกผลไมตา งๆ เอาผักและผลไมมารับประทาน
แลว มีดกท็ ิง้ ไวอ ยางน้ัน เราไมรับประทานมีดนี่
ศลี สมาธิ ปญญา เปน เครอ่ื งมอื แกก เิ ลส พอกิเลสหมดสน้ิ ไปแลว กห็ มดปญหา
กบั ใจเอง เวลามชี วี ติ อยจู ะนาํ มาใช ก็ใชเพื่อโลกสงสารไปตามสมมุตินิยมเทานั้น ไมได
ใชเ พอ่ื มาแกก เิ ลสแตอ ยา งใดอกี ตอ ไป ยง่ิ วาระสดุ ทา ยทจ่ี ะผา นธาตผุ า นขนั ธด ว ยแลว ก็
ยิ่งไมมีอะไรเลย
สติปญญาก็เรียกวาไมมีปญหา ธาตขุ นั ธก ไ็ มม ปี ญ หา เพราะหมดปญหาภายใน
ใจแลว อะไรๆ ก็หมดปญหาไปโดยสิ้นเชิง กา วเขา สคู วามหมดปญ หาเสยี มนั กห็ มด
กังวล!
ถา ยงั มปี ญ หาอยมู นั กเ็ ปน ปญ หา ฟง แตว าปญหาเร่ืองของความทกุ ขความ
ลาํ บาก ความเกดิ แก เจ็บ ตาย มนั กต็ ามกนั ไปกบั คาํ วา “ปญหา” นะ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๐
๔๓๑
พอสน้ิ ปญ หาแลว กห็ มดสน้ิ ดว ยประการทง้ั ปวง จงพิจารณาใหรู สง่ิ ทก่ี ลา วมาทง้ั
หลายนม้ี อี ยกู บั กายกบั ใจเรา แยกแยะใหไดดวยอํานาจของสติปญญา พจิ ารณาวัน
หนึ่งๆ อยา นอนใจ สติปญญาเอามาหุงตมกินไมได ไดแ ตเ อามาแกก เิ ลส ถา เราจะผลิต
เอามาใชใ นการแกก เิ ลสแกไ ดว นั ยงั คาํ่ ถา จะพานอนจมกจ็ มกนั อยอู ยา งนน้ั ไมเกิด
ประโยชนอะไร ผลที่สดุ ปญ ญากไ็ มทราบวาอยูท่ไี หน เวลาจนตรอกจนมุมก็เอาหัวชนฝา
ใชไมไดเลย!
เราไมใชลูกศิษยของ “ตถาคต” ผเู อาหวั ชนฝา พระพุทธเจาไมใชผูเอาหัวชนฝานี่
“สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” พระสงฆที่เรานบั ถือกไ็ มใ ชผ เู อาหัวชนฝา เราจะไปเอาหัวชนฝายัง
ไง เมอ่ื มที างพอจะปลกี ตวั ออกไดด ว ยอบุ ายใดตอ งพยายาม จนหมดความสามารถขาด
ดิ้น
เมอ่ื หมดความสามารถแลว กส็ ดุ วสิ ยั เอา ! อยไู ป ถงึ ขน้ั ใดภมู ใิ ดกอ็ ยกู นั ไป
เพราะมันสุดวิสัยจะทํายังไงได เมื่อยังไมสุดวิสัย เอา พยายามตะเกยี กตะกาย เสอื ก
คลานไปใหได
การมาลม จมใน “วฏั สงสาร” มันก็เหมือนเรือลม อะไรกล็ ม ไปดว ยกันหมดจะวา
ยังไง เรอื กล็ ม วัตถุสิ่งของตางๆที่อยูในเรือก็จม คนกต็ าย แนะ ! เรามาลม มาจมกับธาตุ
กบั ขนั ธด ว ยความลมุ หลงนะ ธาตขุ นั ธก ล็ ม ไปตามสภาพของเขา จิตใจของเรากล็ มจมไป
ดวยความโงของตนมันดีแลวเหรอ ความลมจมไมใชของดี จิตใจลมจมเพราะความลุม
หลงบีบบังคับใหจมดิ่งลงไปก็ไมใชของดี นอกจากเหลวหรอื เลวถา ยเดยี วทไ่ี มพ งึ
ปรารถนากนั เพราะฉะนน้ั ตอ งเอาใหเ ลด็ ลอดออกไปไดโ ดยลาํ ดบั
พิจารณาใหเห็นความจริง เฉพาะอยา งยง่ิ ทกุ ขเวทนาทม่ี อี ยใู นกายในจิตนแ้ี หละ
สําคัญมาก จิตเขาไปยึดจนกลายเปนโรคในจิตซ้ําเขาไปอีก ใหท ราบวา อาการหา ไมใ ช
เรา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ เปน อาการอนั หนง่ึ ๆ ทอ่ี าศยั กนั อยใู นธาตใุ น
ขนั ธน เ้ี ทา นน้ั จติ เปน อนั หนง่ึ ตา งหาก แยกแยะกนั ใหไ ดด ว ยสตปิ ญ ญาของตนจะเปน ผู
พนภัย
ตายกต็ ายไปเถอะ โลกตายกนั ทง้ั นน้ั มันของตายจะใหเที่ยงไดยังไง ถงึ คราว
ตายมันตองตาย ถงึ วาระแลว หา มไมไ ด แมแ ตพ ระอรหนั ตท า นกต็ อ งตาย จะผดิ กนั ท่ี
ทานตายอยางแบบหายหวง สว นเราหว งทง้ั ๆ ทย่ี งั ไมต ายกห็ ว งกห็ วง เวลาตายไปแลว ก็
ยิ่งหวงยิ่งหวงไปใหญ เลยเปน ภยั ทง้ั กองใหญย ง่ิ กวา ภเู ขา ระวงั อยา ใหเ ปน อยา งนน้ั เอา
ใหห ายหว งเลย ดังไดเคยพูดเสมอ “กสลุ า ธมมฺ า สรา งใหพ อ ความเฉลยี วฉลาดใหเ รา
นน่ั แหละ” “กสุ ลา” เราเอง “กสุ ลา ธมมฺ า อกสุ ลา ธมมฺ า” แนะ ! อกุศลที่ตรงไหน มันโง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๑
๔๓๒
ทต่ี รงไหนใหก าํ จดั มนั ออกไปดว ยกศุ ลคอื ความฉลาด ไดแกสติปญญาของเราเอง น่ี
แหละทท่ี า นเรยี กวา “สวดกสุ ลาใหต วั เอง” พึ่งตัวเองตองทําอยางนี้ พง่ึ คนอน่ื นน้ั เวลา
ตายแลว เทย่ี วกวา นเอาพระมาสวด “กสุ ลา ธมมฺ า” ยุงไปหมด เฮอ! ไมเอา
“กสุ ลา ธมมฺ า” ทาํ ความฉลาดใหต วั เองใหม นั พอ รอบคอบทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว
ไมจ าํ เปน กบั อะไร ไมต อ งยงุ เหยงิ วุนวาย ตายอยา ง “สุคโต”
เอาละ แสดงเพียงเทานี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๒
๔๓๓
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๗ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
ไมม อี ะไรตาย
การประพฤติตัวก็เหมือนเราเดินทาง ยอ มสาํ คญั ทางผดิ วา เปน ทางถกู แลว เดนิ
ไป ถาไมห ลงกไ็ มเ ดินทางผดิ เดินทางที่ถูกเรื่อย ๆ ไป ถา ไมห ลงกไ็ มท ําผิด ไมพูดผิด
ไมคิดผิด ไมถ อื ผดิ ผลก็ไมเ ปนพิษเปน ภัยแกต วั เอง
การหลงทางกเ็ ปน โทษอนั หนง่ึ ทท่ี าํ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาและเหนอ่ื ยเปลา ๆ การทํา
ผิด การพูดผิด คิดผิด กท็ าํ ใหท ง้ั เสยี เวลา ทั้งเปนโทษทุกขเกิดขึ้นแกตัว นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ
ขน้ึ จากการทาํ ผิด พูดผิด คิดผิด ของผูประพฤติตามอารมณใจชอบ
พระพุทธเจา ทรงสอนเพื่อใหทราบวา ใจเรามกั มคี วามเหน็ ผดิ อยเู สมอ ให
พยายามแกส ง่ิ ทผ่ี ดิ อยภู ายในใจ ทจ่ี ะระบายออกทางกาย วาจา ทางใจ ใหเปนความผดิ
นน้ั กลบั ใหเ ปน ความถกู ตอ งดงี ามอยเู สมอ ใหพ ยายามแกส ง่ิ ทผ่ี ดิ อยภู ายในจิต ผลจะ
ถงึ “สมหวงั ” เพราะเหตุทถ่ี กู ตอ งผลยอมดีเสมอไป ถา เหตผุ ิดผลนั้นจะลบลางเหตุไม
ได คอื จะปด กน้ั ไวไ มอ ยู ตองแสดงเปนความทกุ ขร อนตาง ๆ ออกมา
คาํ วา “ความหลง” น้ี เมอ่ื นบั จาํ นวนคนหลงจะมีเทาไร คนทร่ี จู ะมีเทาใด ถาจะ
เทียบกับ “คนรู” วา มเี ทา ใดนน้ั กเ็ หมอื นกบั เอาฝา มอื หยอ นลงไปในแมน าํ้ มหาสมทุ รฝา
มอื กวา งขนาดไหน แมน าํ้ มหาสมทุ รกวา งขนาดไหน เมอ่ื เทยี บกนั แลว ตา งกนั ยง่ิ กวา “ฟา
กบั นาํ้ ” ซง่ึ นา ใจหายใจควาํ่ ทเี ดยี ว
สตั วโ ลกทล่ี มุ หลงอยใู น “วฏั สงสาร” นี้มีจํานวนมากเพียงไร ในแมน้ํา
มหาสมุทรยังแคบ เพราะสตั วโ ลกทต่ี กอยใู นหว งแหง ความลมุ หลงนน้ั มถี งึ “สามโลก”
ดว ยกนั ฉะนัน้ มหาสมทุ รจงึ แคบนิดเดียว จะพดู กนั เพียงวา ผูร ูมีจํานวนนอย ผูที่หลงมี
จํานวนมากมาย
คาํ วา “ความหลง” เพียงคาํ เดียวเทานม้ี นั ถูกกบั ทุกรปู ทุกนาม บรรดาสตั วส งั ขาร
ทม่ี วี ญิ ญาณครองกระเทอื นไปทว่ั โลกธาตุ รวมแลว ทง้ั สามโลกธาตุ เปนท่ีอยแู หงปวง
สัตวที่ลุมหลงทั้งนั้น ผูที่รูจริง ๆ ไมม อี ยใู นโลกทง้ั สามเลย ไปนพิ พานกนั หมด
สตั วโ ลกทอ่ี ยดู ว ยความลมุ หลงไมว า ทา นวา เรามจี าํ นวนมาก เพียงแตเราไมอาจ
จะนบั ได ทั้ง ๆ ที่มีรูปรางมองเห็นกันดวย “ตาเนอ้ื ” ทั้งที่ไมมองเห็นดวยตาเนื้อ กอ็ ยู
ในอาํ นาจแหง ความหลงทค่ี รอบงาํ ไว และผทู จ่ี ะมาแนะนาํ สง่ั สอน ใหอ บุ ายวธิ กี ารแก
ความหลงนก้ี ม็ นี อ ยมาก
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๓
๔๓๔
ครั้งแรกก็มีพระพุทธเจาทรงเปนผูลุมหลงกอนหนาตรัสรู เมื่อตรัสรูธรรมเปน
ความรูแจมแจงขึ้นมา ก็ทรงนํา “ธรรม” มาสอนเพอ่ื แกค วามหลง และแสดงใหเห็นโทษ
ของความหลง ใหเ หน็ คณุ คา แหง ความรู โดยแสดงทั้งเหตุทั้งผล ทั้งฝายดีฝายชั่ว จน
กระทั่งประชาชนที่มุงหวังตอความรูความฉลาด เพือ่ ความหลุดพนจากทุกขอยางเต็มใจ
อยแู ลว ไดยินไดฟ งก็เกดิ ความเชื่อความเลอ่ื มใส ประพฤติปฏิบัติตาม “ธรรม” ทา น จึง
กลายเปน “ผูร”ู ขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา ท่ีเราใหน ามวา “สาวกอรหนั ต” เปนลําดับมา
และทา นเหลา นน้ั ได “ปรินิพพาน” ไปเรื่อย ๆ หรือลวงเลยไปเปนลําดับ ความมืดมิด
ปด ตาของโลกกย็ ง่ิ มกี าํ ลงั มากขน้ึ ทงั้ โลกเต็มไปดวยความหลง
ผูทจ่ี ะมาช้แี จงส่งั สอนใหร ูแ จงเห็นจริงในความหลงท้งั หลายเหลานั้น กไ็ มค อ ยมี
เสยี แลว โลกนี้จึงอยดู วยความมืดมิดปดตากัน ถงึ จะมหี ตู าอนั สวา งอยู กส็ วา งตาม
กระแสของโลกไปเสีย ไมใ ชส วา งดว ยความจรงิ คือรูจริงเห็นจริงดังพระพุทธเจาและ
พระสาวกทานรูเห็นมา กเ็ ลยกลายเปน “หหู นาตาเถอ่ื น” ไป
คาํ วา “เถอ่ื น” กค็ อื ปา เถอ่ื นหรอื ปลอมนน่ั เอง ตามอี ยกู ป็ ลอม หมู อี ยกู ป็ ลอม
คอื รบั ทราบหรอื ไดย นิ แตส ง่ิ ท่ี “จอมปลอม” เขามาแทรกสิงใจสัตวใหมืดมิดขึ้นโดย
ลาํ ดบั เพราะการไดเห็นและการไดยินเปนตน ซง่ึ ลว นแตส ง่ิ จอมปลอมหลอกลวงใหล มุ
หลงเรื่อยมา อนั เปน การเสรมิ สรา งใหค นปา เถอ่ื นมากขน้ึ ทุกวนั นีค้ นรขู น้ั “ปญ ญาชน”
หรอื คนปา เถอ่ื นกนั แน? ทําไมจึงกอแต “วินาศกรรม” “ฆาตกรรม” แกก นั อยทู กุ แหง ทกุ
หนทั้งที่การศึกษาวาเจริญเต็มที่
ทั้งนี้เพราะสิ่งที่แสดงออกทั้งหลายมันมีแตสิ่งที่ใหหลงใหโง เปนทางอบายมุข
แทบทั้งนั้น จติ กล็ มุ หลงอยา งเตม็ ตวั อยแู ลว เมอ่ื สมั ผสั กนั กย็ ง่ิ เขา กนั ไดง า ย และกลม
กลนื กนั ไดอ ยา งรวดเรว็ ความจริงคืออรรถธรรมจึงแทรกเขาไปไดยาก เพราะฉะนน้ั การ
ประพฤติปฏิบัติธรรมและการฟงธรรมที่เปนความดี จงึ รสู กึ ฝน ใจแทบจะลากกนั ไปไม
ไหว ลากจากสง่ิ ทจ่ี ติ ชอบนน้ั แล ซึ่งสวนมากเปนของเลว คอื ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ราคะตัณหา ซง่ึ มอี ยภู ายในจนแทบมองหาใจไมเ หน็ ใจมีแตของปลอมบรรจุ
ไวเ ตม็ เอย๊ี ดจนนา กลวั ทั้ง ๆ ที่ตา งคนตางมดี ว ยกันยังอดกลวั ไมไ ด ทั้งนี้เพราะมีมาก
ตอ มากเหลอื หเู หลอื ตา ลน หวั ใจแทบหาทเ่ี กบ็ ไมไ ด
สิ่งท่ปี ลอมกับของปลอมจึงเขากันไดง าย เชน เดยี วกบั คนชว่ั กบั คนชว่ั เขา กนั ได
งาย เปน เพอื่ นเปนมิตรสนทิ สนมกนั งา ย คนดกี เ็ ขา กบั คนดไี ดง า ย เปนพวกของใครของ
เราไป ขา งนอกกเ็ ปน เครอ่ื งหลอก ขา งในกเ็ ปน ผชู อบรบั สง่ิ หลอกลวง จงึ เขา กันไดอยา ง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๔
๔๓๕
สนิทติดจม จนไมส นใจคดิ จะถอนหรอื ถอนไมข น้ึ นอกจากจะเชอ่ื ตายใจกับสง่ิ น้ัน ๆ
แทบหลบั สนทิ ไปถา ยเดยี ว
การปฏบิ ตั ติ นเพอ่ื แกส ง่ิ จอมปลอมทง้ั หลายที่เคยเปน “นาย” บนหวั ใจมานาน
ออกจากใจ จึงตองฝน ปราชญทานเคยฝนมาตั้งแตครั้งพระพุทธเจา องคไหน ๆ พาฝน
มาเปน ลาํ ดับลําดา เพราะทานเคยถูกผูกถูกมัดถกู ทรมานจาก “กเิ ลสวฏั วน” มามากตอ
มากนานแสนนาน จนเหน็ ภยั และพน ภยั ดว ยการฝน การตอ สู และนํา “ธรรม” ทเี่ ปนผล
อนั เกดิ จากการตอ สมู าสอนพวกเรา เพอ่ื การฝน การตอ สกู เิ ลสทกุ ประเภท ไมใ หท อ ถอย
ปลอ ยตวั ใหก เิ ลสยาํ่ ยเี หมอื นผกั ปลาซง่ึ ขายขห้ี นา ชาวพทุ ธ ไมน า ใหอ ภยั เลย
ผเู หน็ ตนเปน ของมคี า มากกวา สง่ิ ใด จึงควรนํา “ธรรมอันลนคา” มาเปนเครื่อง
ปฏบิ ตั ิดําเนนิ ดว ยความไมนอนใจ อยา งไรกต็ ามขน้ึ ชอ่ื วา “ความด”ี จาํ ตอ งฝน ความชว่ั
ของชั่วอยูโดยดี ดังพวกเราประพฤติปฏิบัติอยูเวลานี้ กค็ อื ความฝน สง่ิ ไมด เี พอ่ื ความดี
ดวยหวั ใจชาวพุทธ แมอ อกมาอยใู นวดั เพอ่ื ปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ อยแู ลว ความรสู กึ อนั ดง้ั เดมิ
ยอ มมอี ยภู ายในใจเสมอ คอื ความขเ้ี กยี จมกั งา ยออ นแอ ความคลอ ยตามสง่ิ เคยคลอ ย
ตาม ความเชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อ คอื กเิ ลสชนดิ ตา ง ๆ ซึ่งเปรียบเหมือนเพลงลูกทุง ยอ ม
ยงั มอี ยใู นใจ
การฝน สง่ิ เหลา นจ้ี งึ เปน ความยากลาํ บากลาํ บนสาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ แมจะมีความมุง
มั่นตออรรถตอธรรมมากเพียงไร กจ็ าํ ตอ งไดฝ น สง่ิ ทเ่ี ปน ขวากเปน หนามอยภู ายในใจ
เราอยูโดยดี กระทง่ั ไมม เี หลอื อยใู นใจเลยนน่ั แล จงึ หาอะไรมาขวางหนา ไมไ ด
การปฏิบัติธรรมเปนของยาก ของลาํ บากมาแตกาลไหน ๆ ก็เพื่อเบิกทางที่ถูก
กิเลสปดบัง ใหเห็นเหตุเห็นผล เหน็ ตนเหน็ ปลาย ของอรรถของธรรมภายในใจ จนกวา
จะปรากฏผลขน้ึ มาเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ จติ ใจใหม กี าํ ลงั ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ความ
พากเพยี ร ความอตุ สา หพ ยายามขน้ึ โดยลาํ ดบั จากนน้ั กค็ อ ยสะดวกสบาย ถงึ จะยาก
ลาํ บาก ผลที่พึงใจเปนขั้น ๆ กป็ รากฏอยภู ายในใจแลว แมจ ะมกี ารฝน อยบู า งกฝ็ น ดว ย
ความพอใจ ที่จะเพิ่มพูนความสงบสุขที่ตนมีอยูแลว ใหม กี าํ ลงั และความสวา งไสวยง่ิ ขน้ึ
ขอ สาํ คญั กค็ อื ความเหน็ โทษแหง ความเปน อยดู ว ยความหลง ความเพลิดเพลิน
เลอ่ื นลอยบงั อยดู ว ยความหลง คอื ความประมาทนอนใจ ไมมีสติปญญาคิดประโยชนใส
ตน ยนื อยดู ว ยความหลง นอนอยดู ว ยความหลง เดนิ ไปดว ยความหลง ในอริ ยิ าบถทง้ั ส่ี
เปนไปดวยความหลง ความใฝฝ น ลม ๆ แลง ๆ การมาเกดิ กม็ าดว ยความหลง มาอยใู น
โลกกม็ าอยดู ว ยความหลง จะไปขา งหนา ภพหนา กไ็ ปดว ยความหลง ความเหน็ โทษสง่ิ
เหลานี้ยอมเปนเครื่องเตือนใจตนไดดีเพื่อไมใหประมาทนอนใจ ใชปญญาพิจารณา
ใครครวญอยเู สมอ จะมีทางเห็นโทษสิ่งเหลานี้ขึ้นเรื่อย ๆ อนั เปน หนทางใหเ กดิ ความ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๕
๔๓๖
อตุ สา หพ ยายามพจิ ารณาแยกแยะสง่ิ เหลา นอ้ี อกจากใจ พอมีทางเล็ดลอดไปไดตาม
กาํ ลงั ความสามารถ
อยา งไรกอ็ ยา ลมื คาํ วา “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” จะอยใู นสภาพใดอริ ยิ าบถใดก็
ตาม ใหระลึกถึงทานเสมอ ทั้งฝายเหตุฝายผลที่พระองคไดทรงดําเนินมากอนแลว และ
ทรงไดรับผลเปนที่พอพระทัยมาแลว จึงทรงนํามาประกาศสอนโลกทั้งหลาย วาพระ
พุทธเจาทรงดําเนินอยางไร ความทุกขความลําบากก็ไมมีใครจะเกินพระพุทธเจาไปได
เพื่อความรูความเห็นในธรรมทั้งหลาย จนทรงรแู จงเหน็ ชดั ไมมีสิ่งใดปดบังลี้ลับ นํา
ธรรมที่เปดเผยในพระทัยนั้นมาสั่งสอนโลกเพื่อไดทําตามพระองค ทเี่ รียกวา “ตาม
เสด็จ”
“ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ” ไมมีอันใดจะประเสริฐเลิศยิ่งกวา “ธรรม” ในบรรดาโลก
ทั้งสาม คอื กามโลก รูปโลก อรูปโลก ธรรมเปนธรรมชาติประเสริฐสุด ที่ควรยึดถือเปน
สรณะทั้งฝายเหตุและฝายผล ไมมที างปลกี และเปนอยางอ่ืน นอกจากนาํ ผปู ฏบิ ตั ใิ หถ งึ
แดนแหงความเกษมโดยถายเดียว สมนามวา “ธรรมเปนของประเสริฐ” ทั้งโดยสมมุติ
และโดยหลกั ธรรมชาติ
ดงั นน้ั การปฏบิ ตั ติ นตามธรรมแมจ ะยากลาํ บากเพยี งไร กค็ วรถอื วา นค้ี อื งานอนั
ประเสริฐเพื่อความพนจากกองทุกข ไมใชงานเพื่อความลมจมฉิบหาย อยา ถอื เอาความ
กลวั ตายเพราะความพากเพยี รมาเปน ใหญ จะมากีดขวางทางเดินเพื่อความหลุดพน
แลว กา วไมอ อก เพราะกลวั ลาํ บาก กลวั แตจ ะตาย เพราะความออนแอฉุดลากใหเปนไป
“สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ใหร ะลกึ ถงึ พระสงฆส าวกทา น ทา นเปน คนเหมอื นกนั กบั
เรา ออกมาจากตระกลู ตา ง ๆ เวลาออกมาทา นกเ็ ปน เหมอื นเรา ๆ ทา น ๆ นแ้ี ล เมื่อมา
บวชเปนพระแลว กค็ อื คนเปนพระนั่นเอง แตท า นอตุ สา หพ ยายามดาํ เนนิ อยา งไรบา ง
จงึ ไดเปน “สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” ของพวกเรา ทา นกเ็ ปน คนเหมอื นกนั ทําไมทานเลิศ
ทานประเสริฐยิ่งกวาเรา เรายดึ นเ้ี ปน หลกั หากวา ทา นไมม คี วามอตุ สา หพ ยายามฝา ฝน
อยา งจรงิ จงั ทานจะเปนผูวิเศษวิโสและเปนสรณะของโลกไดอยางไร ขอใหยึดทานเปน
หลกั ใจจะไดม กี าํ ลงั ใจ เวลากเิ ลสตวั ขเ้ี กยี จออ นแอ ตวั ขีส้ งสยั ตวั ตาํ หนติ นวา “บญุ นอ ย
วาสนานอ ย” ไมมีความเพียรเกิดขึ้น เพราะ “สรณะทั้งสาม” เปนเครื่องประกันมรรคผล
นพิ พานอยา งมน่ั ใจอยแู ลว
จะเอาความตายเขามาฝงไวในใจทั้ง ๆ ทใ่ี จนน้ั คอื ความรไู มเ คยตายเลย ทําไม
จึงเอาความตายเขาไปฝงไวในหัวใจเรา เอาปาชาไปทับถมใจเราซึ่งไมเคยตายทําไม?นน่ั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๖
๔๓๗
เปนความเห็นผดิ อยา งยิ่ง จะทําอะไรกลัวแตจะตาย ไมทราบวา “ความตาย” มคี วาม
หมายกวา งแคบขนาดไหน อะไรเปน ผตู าย?
ใจเคยเปน อยา งน้ี ไมเ คยตายแตไ หนแตไ รมา เปน แตเ พยี งเปลย่ี นรปู เปลย่ี น
รา ง เปลย่ี นสถานขน้ั ภมู กิ าํ เนดิ ไปตามบญุ ตามกรรมเทา นน้ั ที่โลกวา “เกิด” วา “ตาย”
แตก ค็ อื เวลาตายแลว กไ็ ปถอื “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” “วญิ ญาณ” เกิดใหมเรื่อย ๆ สงู ๆ ต่ํา
ๆ ลมุ ๆ ดอน ๆ ตามยถากรรม หรอื ตามบญุ ตามกรรมที่ตนไดสรางสมอบรม อบรม
มามากนอ ยนน่ั เอง สว นใจไมเ คยตาย จึงไมควรเอาความตายไปผูกมัดจิตใจ
พดู งาย ๆ ไมตองเอา “ความตาย” ไปแขวนคอหวั ใจ จะเปนการสรางอุปสรรค
สรา งความทอ ถอย ความออ นแอ หมดความพากเพยี รใหแกต น แทนที่จะผานไปได แต
ความกลัวตายไปกีดกั้นทางเดินเสียก็ไปไมได สิ่งไมมีอยาไปหาเรื่องใสใหมีขึ้น มนั เกดิ
โทษแกต นเอง
คาํ วา “สิ่งไมมี” คอื อะไร? คอื ความตายนน่ั แหละไมม อี ยใู น “จิต” จิตเปนธรรม
ชาตไิ มต าย แมม กี เิ ลสตณั หาอาสวะปกคลมุ อยมู ากนอ ยกต็ าม จิตเปนผูทนทานตอสิ่ง
เหลานี้เร่ือยมา ทกุ ขก ย็ อมรบั วา ทกุ ข แตไ มย อมฉบิ หายสลายตวั ไปเพราะถกู ทกุ ขท ง้ั
หลายบบี คน้ั ทาํ ลายเลย เปนความรูอ ยเู ชน น้ัน เปน จิตอยเู ชน น้นั แมจะตกนรกอเวจกี ไ็ ม
ตาย หากทนทกุ ขท รมานไปตามความหนกั เบาแหงกรรมทตี่ นทาํ มาเทานั้น จึงไมมีอะไร
ในโลกจะเหนยี วแนน ทนทานเหมอื นใจเลย
มาเปน มนษุ ยเ ปน สตั วเ ปน อะไร กค็ ือจิตดวงไมตายนี้แลไปเกิดและมาเกิด
เปนเจาของแหง “ภพกาํ เนดิ ” นน้ั ๆ ขณะนใ้ี จกอ็ ยใู นธาตขุ นั ธท เ่ี ราเหน็ อยนู ้ี ธาตขุ นั ธ
อนั นเ้ี ปน ของเรา รางกายนี้เปนของเรา จิตมาอาศยั ธาตขุ นั ธน อ้ี ยไู ปชว่ั กาล แลว ก็
เปลย่ี นภพเปลย่ี นชาตไิ ปตามความจาํ เปน ท่ี “วบิ ากกรรม” จะพาใหเ ปน ไป
เพราะฉะนั้นการพิจารณาทุกข มที กุ ขเวทนาเปน ตน ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในขนั ธ กก็ ลวั
จะตาย นก่ี เ็ พราะสรา งขวากสรา งหนามกดี กนั ทางดาํ เนนิ ใหเดินเพื่อความรูจริงเห็นจริง
ในเวทนาไมได ความจรงิ มอี ยไู มย อมเดนิ ใหเ ขา ถงึ ความจรงิ เพราะความหลงมันบังคับ
นั่นเอง “ความหลงบงั คบั ” คอื อะไร” กค็ วามกลวั ตายทง้ั ๆ ทค่ี วามตายไมม อี ยภู ายใน
จติ แตก ก็ ลวั ตายนแ้ี ล เราเคยเชื่อ “กเิ ลส” ในคาํ วา “ตายๆ ” นม้ี านาน จะทําอะไรก็กลัว
แตจ ะตาย ๆ ธรรมทานจึงสอนใหรูเขาไปถึงตรงนี้ ใหเขาถึงความจริงวา “จติ ไมต าย” น้ี
คือความจริงแท!
สง่ิ เหลา นน้ั สลายตวั ลงไปตามสภาพของมนั มนั กไ็ มต าย ทุกขเวทนาจะเกิดขึ้น
มากนอ ยภายในธาตใุ นขนั ธ ใหก ําหนดพิจารณาตามความจรงิ ของมัน เพราะมันเปน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๗