The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-06 11:58:32

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

ธรรมะชุดเตรียมพร้อม โดย หลวงตามหาบัว

Keywords: หลวงตามหาบัว,ธรรมะชุดเตรียมพร้อม

๓๘๘

เพราะฉะนั้นเพื่อความจริง เพ่ือความไมเ หลวไหลตอ งใหทราบ ทกุ ขม นั เกดิ ขน้ึ มากนอ ย

ตองใหทราบวาทุกขเกิดขึ้นคือเรื่องของทุกข มนั ตง้ั อยกู ค็ อื เรอ่ื งของทกุ ข มนั ดับไปก็คือ

เรื่องของทุกข เราผูรูทั้งทุกขที่เกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไปเปนเรื่องของเรา เปน เรอ่ื งของ
ความรูน!ี่

“สญั ญา” จําไดแลวมันดับ เราเห็นไหม มนั เกดิ มนั ดบั อยอู ยา งนน้ั เปน “เรา”ได
อยา งไร เอาความแนน อนกบั มนั ไดท ไ่ี หน ทานจึงวา “สญฺ า อนิจฺจา สญฺ า อนตตฺ า”

“สงั ขาร” ปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงเทาไรมันก็ดับไปพรอมกันทั้งนั้น ถาเราจะเอา“เรา”

เขาไปสูสังขาร มันเกิดดับวันยังค่ํา หาความสขุ ไมไ ดเ ลย
“วญิ ญาณ” มันกระทบทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ กระทบเมื่อไรมันรู ๆ รแู ลว

ดับไปพรอมๆ กนั ทง้ั ขณะทเ่ี กดิ ทด่ี บั มนั ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั เราจะเกิดดับ ๆ เกดิ ดับ

อยอู ยา งนน้ั หาความแนน อนเทีย่ งตรงไดอ ยา งไร

เพราะฉะนั้นสง่ิ เหลา นจ้ี งึ เปน อาการอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั ผูท ร่ี ูส่งิ ทั้งหลายเหลา

นแ้ี ลคอื ใจ ความรเู ปน สง่ิ ทแ่ี นน อน เปนสิ่งที่ตายตัว ขอใหร สู ง่ิ ภายนอกอนั จอมปลอม

ทง้ั หลายน้ี วา เปน สภาพอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั จติ นีจ้ ะตั้งตวั ไดอ ยา งตรงแนว ไมหวน่ั ไหว

จะเกดิ ขน้ึ กไ็ มห วน่ั ไหว จะไมเกิดขน้ึ ก็ไมห วัน่ ไหว จะดับไปก็ไมมีอะไรหวั่นไหว เพราะ

จติ รเู รอ่ื งทกุ สง่ิ ทกุ อยา งบรรดาอาการทอ่ี าศยั กนั อยู และรูทั้งตัวจริงคือธรรมชาติ

ของจิตแทวาเปนตัวของตัวแท ดว ยความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ ดว ยปญ ญาซกั ฟอกดว ยดแี ลว ผนู ้ี

เปน ผแู นน อน นแ่ี หละทา นผแู นน อน คือทา นผรู ธู รรมชาตทิ แ่ี นน อน และรูถึงสิ่งที่เกี่ยว

ของทั้งหลายตามความเปนจริง ปลอ ยวาง สลดั ปด ท้ิงออกตามสว นของมัน สว นไหนท่ี

จริงใหอยูตามธรรมชาติแหงความจริงของตน เชน จิต เปนตน

นห่ี ลกั ความจรงิ หรอื หลกั วชิ าทเ่ี รยี นมาเพอ่ื ปอ งกนั ตวั เพื่อรักษาตัว เพอ่ื ความ

พนภัย เปลอ้ื งทกุ ขท ง้ั หลายออกจากตวั นค่ี อื หลกั วชิ าแท เรียนธรรมเรียนอยางนี้เรียน
เรื่องของตัวเอง เรียนเรื่อง “ความร”ู ความคดิ ตา งๆ เรียนเรื่องกาย เรื่องเวทนา สัญญา
สังขาร วญิ ญาณ อนั เปน “อาการ ๕ อยาง” น้ี ซง่ึ เปน สง่ิ ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั ใจ ถึงกับเหมา

วา นี่เปนตนเปนของตน ใหรูตามความเปนจริงของมันทุกอาการ แลว ปลอ ยวางไวต าม

สภาพแหง อาการของมนั
น่ี เรียกวา “เรยี น” เรียกวา “ปฏบิ ตั ิ” เรียกวา “รู” รกู ล็ ะกถ็ อน!

ถา รจู รงิ แลว ตอ งละตอ งถอน เมอ่ื ละถอนแลว ความหนักซึ่งเคยกดถวงจิตใจที่
เนื่องมาจาก “อปุ ทาน” ก็หมดไป ๆ เรียกวา “จิตพนจากโทษ” คอื ความจองจาํ จากความ
สําคัญมั่นหมายที่เปนเหตุใหจองจํา พนอยางนี้แลที่วา “จิตหลุดพน” ไมไดเหาะเหิน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๘

๓๘๙

เดินฟาขึ้นไปที่ไหน พนตรงที่มันของนั่นแหละ ทม่ี นั ถกู จองจาํ นน่ั แหละ ไมไดพนที่

ไหน รูท ี่มันหลงน่ีแหละ สวางทม่ี ันมืดนนั่ เอง นี่จิตสวาง คือสวางที่ตรงมืดๆ มืดมน

อนธการ มดื อยภู ายในตวั เอง

ทนี เ้ี วลาพจิ ารณาปฏบิ ตั ไิ ป สติปญญาเกิดขึ้น ๆ สอ งแสงสวา งใหเ หน็ ความจรงิ

ในสง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ตน ทราบวา เปน เพยี งสง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ ง สลดั ออกไดโ ดยลาํ ดบั ๆ เมื่อ

ความสวา งรอบตวั กป็ ลอ ยไดห มด
“ธมฺโม ปทโี ป” จะหมายถึงอะไร ถา ไมห มายถงึ “จิต” ดวงที่สวางรอบตัวไมมี

อะไรเจอื ปนเลยจะหมายถงึ อะไร! นเ่ี รยี กวา “ธรรมแท” ธรรมแทที่เปนสมบัติของเรา

หมายถึงธรรมนี้ ที่เปนสมบัติของเราแท ที่เปนสมบัติของพระพุทธเจาก็ที่ประทานไว
เปนตํารับตํารา!

เราเรียนเทาไรกม็ แี ตค วามจาํ ไมใชเปนตัวของตัวแท เอาความจาํ นน้ั เขา มา
ปฏบิ ตั ใิ หเ ปน ความจรงิ จนปรากฏขน้ึ เปน “ธมฺโม ปทโี ป” เฉพาะภายในใจเรานี้เปน
สมบัติของเราแท นแ้ี ลคอื “ธรรมสมบัต”ิ ของผปู ฏบิ ตั ิ

พระพุทธเจา มีพระประสงคอยางนี้ที่ประทานศาสนาไว ใหรูจริงเห็นจริงตามนี้
“สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” ไมทรงผูกขาด ผูปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเอง “ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ”
ทานผูรูทั้งหลายจะพึงรูเฉพาะตน คอื หมายถงึ รอู ยา งน”้ี นี่เปนผลของการปฏิบัติธรรม

เมื่อไดผลเต็มที่แลว อยไู หนกอ็ ยเู ถอะ แสนสบาย หมดกงั วล โลกจะมีมากมีนอยเพียง

ใดมคี วามวนุ วายขนาดไหน ผูนี้ไมวุน เพราะผูนี้ไมเปนโลก ผนู ้ไี มห ลง

เรื่องโลกมันกวางขวางมาก ไกลจากตวั ของเราออกไป เฉพาะอยา งยง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ ง
อยูทั้งวันทั้งคืน กค็ อื “ขันธห า” กบั “จิต” นแ่ี หละ มนั เกย่ี วขอ งกนั จนจะแยกกนั ไมอ อก
แตน เ้ี รายงั สามารถแยกออกได ทําไมเราจะไปหลงวาเปน “โลก” ดว ยกนั

นแ่ี หละการปฏบิ ตั ิ ผลเปน อยา งน้ี เปน อยางน้แี นนอนไมเปน อ่ืน ขอใหผ ลติ ขน้ึ

มาพิจารณาขึ้นมา ปญญาหุงตมกินไมได ใชไดแตแกกิเลส ใชแกความงมงายของเจา

ของเทานั้น ใหพ จิ ารณา เรียนตรงนี้แหละเรียนธรรม อยา ไปเรยี นทอ่ี น่ื ใหม ากมายกา ย

กอง เพราะพิษอยูตรงนี้ โทษภัยก็อยูตรงนี้ แกต รงนแ้ี ลว คณุ คา อนั สาํ คญั กเ็ กดิ อยทู น่ี ่ี
เอง!

เอาละ การแสดงธรรมขอยุติ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๙

๓๙๐

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙

อะไรตายกันแน

ถาเทยี บเคยี งอนั ตรายระหวางกิเลสกบั เรา กเ็ หมอื นกบั แมเ นอ้ื กบั นายพราน แม
เนือ้ เทย่ี วหากินไป ถกู นายพรานยงิ เอา ๆ ยงิ จนกระทง่ั แมเ นอ้ื ตาย แมเ น้ือเองไมมี
โอกาสจะทราบวาใครเปนคนยิง ใครเปนคนทําลายตัว เพราะมองไมเห็นนายพรานนี่
เปน แตย งิ ปง มาถกู แลว กต็ าย ตวั ทพ่ี อจะรเู หน็ ไดบ า งกถ็ กู ความเจ็บปวดอยา งมากครอบ
งําเสีย สตปิ ญ ญาในเวลานน้ั ไมม ี ตองตายเปลา

เรากถ็ กู กเิ ลสยงิ เอาใหเ กดิ ความทกุ ข ความทรมานทางรางกายและจิตใจ เฉพาะ
อยา งยง่ิ คอื จติ ทถ่ี กู กเิ ลสยงิ เอา ๆ ไดรับแตความทุกขความทรมาน แตไมทราบวา
สาเหตุที่ทําใหเกิดความทุกขนี้เปนมาจากอะไร เปนมาจากลูกศรของกิเลสประเภทใด
บางทเ่ี สียบเอาแทงเอา เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งเรยี น “วชิ ากเิ ลส” และ “วชิ าธรรม” คอื สติ
ปญญา ศรทั ธา ความเพียร ใหท นั กนั ทนั กนั ในทใ่ี ดในระยะใด หรอื ในข้ันใด กพ็ อแกไ ข
หรอื ถอดถอนกนั ไดใ นขน้ั นน้ั ๆ ที่ยังไมทราบเพลงอาวุธหรือยังไมรูลูกศรของกิเลส กจ็ าํ
ตองยอมใหเขายิงเอา ๆ ไปกอน แตตอ งเรยี นและแกไ ขกนั ไปเรอ่ื ยๆ

วิชาทเ่ี รยี นเพอื่ จะรเู ร่อื งของกิเลสน้ีก็มหี ลายประเภท ที่พระพุทธเจาทรงสอนไว
เฉพาะผูปฏิบัติเพื่อความรูจริงเห็นจริงจริงๆ ทานก็สอน “สมาธิ” สอน “ปญญา” ให น่ี
เปนอาวธุ ทที่ นั สมยั หรอื เปน เครอ่ื งแกเ ครอ่ื งถอดถอนลกู ศร คือกิเลสทุกประเภทที่ทัน
สมยั และปราบปรามกิเลส ตวั ทาํ ลายสตั วโ ลกใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก เวยี นวา ย
ตายเกดิ ใน “วฏั สงสาร” ไมแลวไมเลาสักที และไมมีตนมีปลาย ใหหมอบราบไปไดโดย
ไมสงสัย

ถา ไมม เี ครอ่ื งมอื แก กเ็ ปน อนั วา ตอ งทนทกุ ขท รมานไปตลอดอนนั ตกาล หาเวลาํ่
เวลาพนกองทุกขไปไมได การแกห รอื ปลดเปลอ้ื งสง่ิ ใด การเรียนรูเรื่องใดก็ตามนั้น ไม
ยากไมล าํ บากเหมอื นการเรยี นรเู รอ่ื งความเคลอ่ื นไหวทผ่ี ดิ ถกู ของตวั ที่เปนไปกับดวย
กเิ ลสภายในใจ เพราะเคยถือสิ่งเหลานี้วาเปน “เรา” เปน “ของเรา” มานมนาน

การกระทํา การพูดที่แสดงออกมาจากตัวเราดีหรือชั่ว เราถือวาเปนเราเปนของ
เราทั้งนั้น ไมทราบอะไรผิดอะไรถูก เมอ่ื เปน เชน นน้ั จึงตองมาเรียนเรื่องตัวเรา เรื่องโง
เรอ่ื งฉลาด เรื่องดี เรื่องชั่ว นม้ี อี ยกู บั ตวั เราดว ยกนั เฉพาะอยา งยง่ิ เวลานเ้ี ราเรยี น
เรื่อง “จิต”

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๐

๓๙๑

เรื่องของเราแทๆ คือเรื่องของจิต จิตแสดงอาการแงง อนตา งๆ ลว นแลว แตเ ปน
มายาของกิเลสท่พี าใหแ สดงทั้งนั้น ตามธรรมดาของจิตแลวจะมีแต “รู” เทา นน้ั การ
แสดงอาการ “คดิ ปรงุ ” การเปลี่ยนแปลงตางๆ ในแงดีแงรายเปนตน นเ้ี ปน สง่ิ หนง่ึ ท่ี
แสดงออกทางจติ ซง่ึ มกี เิ ลสเปน เครอ่ื งหนนุ เปน เคร่อื งผลกั ดันออกมาใหคดิ ปรงุ ให
พูดใหทําเชนนั้น

ทา นนกั ปฏบิ ตั จิ งึ ตง้ั หนา ปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ ใหม เี วลาโดยเฉพาะทาํ งานอันเดยี ว เชน
นกั บวช รสู กึ สะดวกมากกวา ฆราวาสอยพู อสมควรในเรอ่ื งน้ี จะตองตั้งหนาตั้งตา
ประพฤติปฏิบัติจริงๆ ตามหนา ทแ่ี ละเพศของตนซง่ึ บอกไวแ ลว วา “เพศนกั บวช” คือ
เพศแหง นกั รบภายในใจ แตไ มว า ใครกพ็ น อาํ นาจความขเ้ี กยี จออ นแอไปไมไ ด แมอ อก
สแู นวรบแลว กย็ งั ตายใจนอนใจ สนกุ นอนหลบั ครอกๆ อยใู นแนวรบได ใหก เิ ลสมนั ยงิ
เอา ๆ ตายตวั แขง็ อยบู นหมอนไมร จู กั ตน่ื ตวั กม็ เี ปน จาํ นวนมาก บางวนั ตายสนทิ จนลมื
เวลาหาภกิ ขาจารวตั รกม็ ี หรือจนเลยเถิดไปใครก็ไมทราบได ทั้งนี้เพราะฤทธิ์ของกิเลส
มันแกหรือธรรมแก กส็ ดุ แตจ ะคดิ กนั เอาเถอะ เรามนั เรียนนอ ยรูน อยไมอาจทราบได

ฉะน้นั พระพุทธเจา จึงทรงสอนใหม คี วามต่ืนเน้อื ต่ืนตัว มคี วามขยนั หมน่ั
เพียร สถานทใ่ี ดเหมาะสมเปน เครอ่ื งดดั สนั ดานกเิ ลสซง่ึ ถอื วา เปน ตนๆ นน้ั ทา นสอน
ใหไ ปอยใู นสถานทน่ี น้ั แตส ว นมากไมอ ยากไปกนั ชอบอยสู ถานทซ่ี ง่ึ กเิ ลสเบอ่ื ๆ จะตม
แกงเปน อาหารนน่ั แล พวกเรานกั บวชนกั ปฏบิ ตั มิ นั ชอบกลา หาญในสง่ิ ทก่ี เิ ลสเบอ่ื ๆ
นน้ั แล

นไ่ี ดเ คยเหน็ ผลมาตามกาํ ลงั อยใู นทธ่ี รรมดากบั ครอู าจารย เพื่อนฝูง ความรสู กึ
เปน อยา งหน่ึง ความขเี้ กยี จขีค้ รานก็รูส ึกวา เดนไมมใี ครแขง ได แทนท่ี “ธรรม” จะเดน
กลบั เปน ความขเ้ี กยี จออ นแอเดน เรื่องของกิเลสเดน แตพ อแยกตวั ออกจากครจู าก
อาจารยไปแลว ความรสู กึ กเ็ ปลย่ี นไปตามสถานท่ี และคิดไปวา ไมไดอยูกับเพื่อนฝูงไม
ไดอยใู นสถานท่ธี รรมดา นเ่ี ปน สถานทห่ี นง่ึ ตา งหาก แลว มคี วามรสู กึ แปลกประหลาด
ขึ้นมา สวนมากจะเปนความระมัดระวังตัว เพราะเราไปหาที่ที่ตองระวังตัว ไมไปหาที่
นอนใจ คือหาที่ที่ตองตั้งใจระวังตัว มีสติ กลางวนั กม็ สี ติ เพราะความกลวั สง่ิ แวดลอ ม
มนั บงั คบั อยตู ลอดเวลา ในทบ่ี างแหง หา งจากหมบู า นตง้ั ๗-๘ กโิ ลกม็ ี และอยใู นปา ใน
เขาดวย ทเ่ี ชน นน้ั ถา เราไมอ อกมาเกย่ี วกบั หมบู า น เชน มาบณิ ฑบาต ก็ไมมีวันที่จะพบจะ
เจอคนเลย เจอกเ็ จอแตเ ราคนเดยี วเทา นน้ั เพราะอยใู นปา ในเขา และเปนปาเปนเขา
ไมใชเปนทําเลหากินของคน เขาก็ไมไปยุงกับเรา แมเขาจะผานไปมาก็ไปที่อื่นไมไดไป
เกี่ยวของกับเรา จึงไมมองเห็นใคร นอกจากไดย นิ เสยี งสตั วต า งๆ สงเสียงรองไปตาม
ประสาของเขาเทานั้น

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๑

๓๙๒

สถานทก่ี ส็ งบงบเงยี บเปน ทน่ี า กลวั อยแู ลว มหิ นาํ ซาํ้ สง่ิ ทเ่ี รากลวั ๆ กแ็ สดงออก
มา เชนเสียงเสือรอง เปนตน รอ งคาํ รามตามประสาของมนั นน่ั แหละ นิสัยของคนเรา
ชอบกลวั อยแู ลว ไมว า คนวา สตั วส ง่ิ ทน่ี า กลวั ตอ งกลวั เมื่อความกลัวเกิดขึ้นเราไมมีที่พึ่ง
เพราะเจตนาของเราทไ่ี ปอยใู นทเ่ี ชน นน้ั ก็เพ่อื พึ่งตนเองหรือพง่ึ ธรรมเทา น้ัน ไมได
หวงั พง่ึ ศาสตราวธุ ใดๆ ทั้งสิ้น พึ่งอรรถพึ่งธรรม พึ่งตัวเองดวยอรรถดวยธรรม เปน
เครื่องมือหรือเปนที่เกาะเปนที่ยึด จติ ใจจงึ หมนุ ตวั เขา มาสภู ายใน จะเปนจะตายก็ไม
หวังพึ่งอะไรทั้งนั้น แมเ สือเดินเขามากัดกินเปน อาหารในขณะน้นั ก็ไมยอมไปควาเอา
อาวธุ หรอื เอามดี เอาไมอ ะไรออกมาฟน มาตี เพือ่ เปนการตอสูป องกันตวั เลย ปลอ ยให
มันกินตามธรรมชาติไปเลย เมื่อเปนเชนนั้นก็แสดงวา ไมม ที พ่ี ง่ึ ใดแลว สาํ หรบั ภาย
นอกเกย่ี วกบั ดา นวตั ถุ นอกจากนามธรรม คือ “ใจ” กบั “ธรรม” จะเปน “พุทโธ ธัมโม
สังโฆ” กแ็ ลว แตต ามขน้ั ของจติ ถา เปน ขน้ั สงู ยง่ิ กวา นน้ั “พุทโธ ธัมโม สงั โฆ”กเ็ ปลย่ี น
ไป มคี วามรสู กึ อยกู บั ตวั เอง ซง่ึ เทา กบั “พุทโธ” “ธัมโม สงั โฆ” เหมอื นกนั ใจเปน
ธรรมอยใู นนน้ั ไมย อมเผลอ จติ ทม่ี สี ติ จติ ทม่ี สี ง่ิ แวดลอ มทน่ี า กลวั เขา เกย่ี วขอ งยอ ม
เปนจิตที่ต้งั ตัวไดด ี เปนจิตที่ระมัดระวัง ความระมดั ระวงั เปน เรอ่ื งของสติ

ความระมัดระวังตัวนี้ ไมใชจะระมัดระวังตัวเพื่อจะเผนหนีไปไหน จะเปนจะตาย
กย็ อมแลว แตร ะมดั ระวงั ตวั เพอ่ื รกั ษาจติ ใจไมใ หเ คลอ่ื นคลาดจากหลกั ธรรม ซึ่งจะ
ทําใหเสียหลักไปได จติ มงุ หนา ตอ ธรรมเทา นน้ั จะเปนจะตายกไ็ มตอ งหมายปาชา ตาย
ทไ่ี หนกย็ อมกนั ทน่ี น่ั แตขณะที่จะตายก็ดีหรือไมตายก็ดี ขณะที่กลัวนั้นตองมธี รรมอยู
ภายในจติ ใจเสมอ คอื สตไิ มเ ผลอจากธรรมทก่ี าํ ลงั พจิ ารณาหรอื กาํ ลงั ยดึ จิตเมื่อถกู สง่ิ
แวดลอ มบงั คบั อยเู ชน นน้ั กเ็ ปน เหตใุ หส งบตวั ไดเ รว็ หรอื มหี ลกั ยดึ อยา งรวดเรว็ ถงึ
กบั สงบตวั เขา รวมอยโู ดยเฉพาะ

เมื่อจิตรวมตัวเขาเปนอันเดียว เปน ตวั ของตวั ในขน้ั นน้ั แลว ความทเ่ี คยหวาด
กลวั ตา งๆ กห็ ายไปหมด นี่เปนผลที่เกิดขึ้นจากการระมัดระวัง และ ความกลวั เปน สง่ิ ท่ี
กระตุนใหเราประกอบความพากเพียรดวยสติ ดวยความจริงใจ เมื่อจติ สงบตัวเขามา
เปนตัวของตัวโดยไมไปเกี่ยวของกับสิ่งใดแลว อยทู ไ่ี หนกส็ บาย ไมก ลวั อะไรแลว จะ
เดินจะนั่งจะนอนอยูตามรมไมชายเขาหรือที่ไหนๆ กไ็ มม ปี ญ หากบั ส่ิงตา งๆ วา จะมาทาํ
อยา งนน้ั มาทาํ อยา งนแ้ี กต น เปน ความสะดวกสบายผาสกุ ใจ เพียงเทานี้ก็เห็นผลของ
การอยใู นสถานทท่ี น่ี า กลวั ซง่ึ เราตอ งการ และเปนไปตามความประสงคของเรา

กลางวนั กต็ ามกลางคนื กต็ าม จิตตั้งตัวอยูเสมอไมละความเพียร กแ็ สดงวา จติ
ถกู บาํ รงุ รกั ษาอยเู สมอดว ยสติ เมื่อพิจารณาเขามาขางใน กถ็ อื เอาภยั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายใน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๒

๓๙๓

ตัวเองมีรางกายเปนสําคัญ เพราะความทกุ ขค วามลาํ บากนเ้ี ปน ภยั อนั หนง่ึ ภยั อนั สาํ คญั

กค็ อื กเิ ลสท่ีเสียดแทงจติ ใจอยูต ลอดเวลานี้เปนภยั อยางยิง่ อนั นเ้ี ปน ภยั เรอ้ื รงั ไมมี

เวลาจะหายไดโดยลําพงั ถาไมไดชําระมัน คอื ถา เราไมม ยี าคอื ธรรมโอสถเขา ไปแกใ ห

หาย จะไมมีวันหายจากภัยอันนี้เลย ฉะนน้ั จติ จะตอ งไดพ จิ ารณาแกไ ขถอดถอนเตม็

ความสามารถ
วนั คนื ปเดอื นเปน เพยี ง “มืด” กบั “แจง” เทา น้นั ไมเ หน็ มอี ะไรสาํ คญั พอจะแก

กิเลสได สาํ คญั ท่ี “สัจธรรม” ซง่ึ มอี ยกู บั ตวั ปกปดกําบงั ใจใหม ืดมดิ ปด ตา ก็เพราะ “สจั
ธรรม” ฝา ย “ทกุ ข” กบั “สมทุ ัย” โดยที่เราไมรูไมเห็นวาสิ่งนี้เปน “สัจธรรม” เครื่องปก
ปด กาํ บงั เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ เปน “สจั ธรรมฝา ยมรรค” คือสติปญญา จนเปนความจริง

ลว นๆ ทุกอยางไป สง่ิ เหลา นก้ี เ็ ปด เผยออกมาตามความจรงิ ของเขาเอง

เนอ่ื งจากใจไดเ หน็ ความจรงิ จากสง่ิ เหลา นน้ั แลว ถอนตวั เขา มาสคู วามจรงิ ของ

จิต จติ กส็ งา ผา เผย ไมอ ับเฉาเมามวั มดื มิดเหมอื นแตก อ นทยี่ ังไมเ ขาใจ
อะไรเปน กเิ ลส? เราอา นในคมั ภรี ใ บลาน ตาํ รับตาํ รา อา นมาเสยี จนพอ คาํ วา

“กเิ ลส” ๆ คือเครื่องเศรา หมองที่ใหเ กิดทกุ ขแกส ตั ว เพียงแตชื่อของมันไมทําใหเกิด
ทุกขได แตต วั กเิ ลสจรงิ ๆ คืออะไร อยทู ไ่ี หน? สดุ ทา ยกม็ ารวมทใ่ี จนแ่ี หละ ซึ่งเปน

ภาชนะของสิ่งสกปรกโสมมทง้ั หลายเหลา นัน้ จงึ ตอ งพยายามชะลา งสง่ิ เหลา นอ้ี อก ให

ธรรมอันเปนคูเคียงกับใจเขามาแทนที่โดยลําดับๆ ผลกั ไลส ง่ิ ทส่ี กปรกออกไปดว ยสติ

ปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร

พิจารณาใหเห็นความจริงที่มีอยูกับตัวทุกคนไมมีอะไรบกพรอง ความทกุ ขค วาม

ลําบากเหน็ ประจักษอยทู ้ังวนั ทัง้ คืน ในรา งกายกแ็ สดงใหเ หน็ อยู จติ ทว่ี นุ กบั สง่ิ ใดก็

ปรากฏเปน ความทกุ ขข น้ึ มาภายในใจ กร็ เู หน็ อยู นแ่ี หละภยั ของใจ

พิจารณาสรางปาชาขึ้นดวยตัวเองนี่แหละดี คือสรางปา ชาข้ึนมาพิจารณาใหเห็น

ชดั ในเรอ่ื งความตาย ถา ปลอ ยใหก เิ ลสสรา งใหม นั ไมส น้ิ ไมส ดุ ใหเ ราสรา งปาชา ขนึ้ ท่ี
เราดวยปญญาของเราวา ปา ชาอยูที่ไหน? อยทู เ่ี รากาํ หนดลงท่นี ั่นใหเหน็ ชดั ปาชามีอะไร
ตายจริงๆ หรือ? ดูไปใหต ลอดทั่วถึง ทาํ ไมกลวั กนั นกั กลวั กนั หนาในโลกธาตนุ ้ี กลวั แต
เรื่องความตาย ใครมาบอกใหก ลวั ? ไมม ใี ครบอกมนั กก็ ลวั เอง ไมตองตั้งโรงร่ําโรงเรียน
สอนกนั เรอ่ื งความตาย สตั วโ ลกรกู นั ทง้ั นน้ั ทําไมจงึ กลัวโดยไมตองพรํา่ สอนกนั ? ตัวเรา

เองกเ็ ชน เดยี วกนั ทาํ ไมกลวั เราเรยี นธรรมนน้ั เรยี นเรอ่ื งความกลวั ตายไมใ ชห รอื แต
แลว จิตทาํ ไมกลวั ตายละ ? ทาํ ไมไมเ ชอ่ื ธรรมทา นสอนบา ง อะไรมนั ตาย?มนั ถึงไดกลัว
กนั นกั หนา มันตายจริงๆ หรือ?

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๓

๓๙๔

จงเรียนลงไปใหเห็นเหตุเห็นผลของมัน ดเู รอ่ื งธาตุ ๔ ดิน นาํ้ ลม ไฟ เฉพาะ
อยางยิ่งรางกายของเรานี้ เราเรยี นอยแู ลว วา เปน ธาตุ คอื สว นทแ่ี ขง็ ๆ ทม่ี ใี นรา งกายน้ี
ทานเรียกวา “ธาตดุ นิ ” ธาตนุ าํ้ เรากท็ ราบวา ธาตนุ าํ้ มอี ะไรบา ง มนี ้าํ ลายเปน ตน ธาตลุ ม
ธาตไุ ฟ สง่ิ เหลา นอ้ี ะไรตาย? แยกลงไปใหเห็นปาชาของสิ่งเหลานี้จริงๆ ถา สง่ิ นต้ี าย
จริงๆ มปี า ชา จรงิ ๆ แลว ดิน นาํ้ ลม ไฟ มอี ยใู นโลกไดอ ยา งไร?

ดูเร่อื งขนั ธ ๕ เวทนาตายแลว ที่เผาศพของเวทนาอยูที่ไหนเลา สัญญา เวลาดบั
ไปแลว มสี ถานท่ีเผาศพมนั อยูท ีไ่ หน? สงั ขาร วิญญาณ สถานทเ่ี ผาศพมนั อยทู ไ่ี หน?รา ง
กายของเรานเ้ี วลาตายแลว สถานทเ่ี ผาศพจรงิ ๆ มนั อยทู ไ่ี หน แมเ ผาลงไปแลว มนั ก็
เปน ธาตดุ นิ ตามเดมิ สวนจิตละ ? สถานทเ่ี ผาศพของจติ อยทู ไ่ี หน? มนั ไมม ี ! จงคน
คิดดวยสติปญญาใหเห็นตามความจริง อยา คาดคะเน อยา เดาเอาเฉยๆ เม่ือถึงข้นั ควร
จริงจังแลวอยาดนเดา ตองคิดคนใหถึงความจริงที่มีอยู จึงจะสมนามวา “ผแู สวงหา
ความจริง”

ทแี รกกต็ อ งคาดไปเสยี กอ น เพราะยังไมชํานาญ คาดหรอื วาดมโนภาพสมมตุ ิ
จนเขา ถงึ ความจรงิ แลว ความคาดหมายทง้ั หลายกห็ ายไป ไมมีอะไรที่จะรูจริงยิ่งกวา
ปญญารูความจริง ไมม อี ะไรมนี าํ้ หนกั ยง่ิ กวา ความจรงิ เพราะสามารถลบลา งความ
จอมปลอมไดหมด การเรยี นวชิ านเ้ี รยี นเพอ่ื ถงึ ความจรงิ จริงๆ เรยี นใหถ งึ สถานทท่ี ่ี

อะไรตายกนั แน เมือ่ รูชดั ภายในใจวา ไมมอี ะไรตาย นอกจากความสาํ คญั ผดิ ของจิตท่ี
หลอกตนเองมาเปน เวลานานนเ้ี ทา นน้ั และผนู แ้ี หละเปน ผหู ลอก ผนู แ้ี หละเปน ผกู ลวั ผู
น้ีแหละเปนผทู ุกข ธาตุ ๔ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เขาไมมีความหมายในตัวเขาเอง เขาไมทราบ
วาเขาเปนทุกข ผทู ห่ี ลอกตนเองนแ้ี หละเปน ทกุ ข

เรยี นใหร เู รอ่ื งกเิ ลสอาสวะท่ีมีมายารอยสันพันคม ตามไมคอยทันมันงาย ๆ
เวลามันสลายไปจริง ๆ แลวมันไมมีปาชา ไมมีหีบโลงเก็บศพ เพราะมันเกิดขึ้นจากใจ
เปน ความสาํ คญั อนั หนง่ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มาจากภายในใจ เรยี นเขา ไปใหถ งึ จติ แยกดูธาตุ ๔

ดิน นาํ้ ลม ไฟ ปกตกิ เ็ ปน ธาตอุ ยเู ชน น้ี สลายไปกก็ ลบั ไปเปน ธาตเุ ดมิ อยเู ชน นน้ั จิต
เวลาหลงกเ็ ปน ธาตุ เปน “มโนธาตุ” อยเู ชน น้ี

เวลารกู เ็ ปน มโนธาตอุ ยเู ชน น้ี เปนแตเพียงวารดู ว ยความบรสิ ทุ ธต์ิ ามหลกั ธรรม

ชาติของตนจริงๆ ไมไ ดร ดู ว ยความแปลกปลอม หรือมคี วามลมุ หลงแฝงอยู นี่เรียก
วา เรยี นความเกิดและความตาย ความตายอยกู บั เรา เรากลัวอะไร จึงเรียนใหรู ? ใหร ู
เรอ่ื งของความกลวั เมอ่ื รชู ดั เจนแลว ความกลวั กห็ ายไป

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๔

๓๙๕

อะไรๆ มันไมมีตายดังที่วานั้น นั่นเปนเพราะความสําคัญผิดตางหาก ความ
สาํ คญั ผดิ นต้ี อ งถอื วา เปน ขา ศกึ ตอ เรา เพราะโกหกเราใหหลงและเปนทุกข แลวเรายังจะ
เชอ่ื ความสาํ คญั นน้ั อยหู รอื ?

พอปญญาพิจารณาและตัดลงไป ๆ สิ่งเหลานี้ก็สลายไปเชนเดียวกันไมมีอะไรมา

หลอก เหลือแตความจริง นเ่ี รยี กวา เรยี นวชิ าธรรมโดยภาคปฏบิ ตั ิ

เรียนเรื่องของเราเรียนอยางนี้ ไมม อี ะไรทจ่ี าํ เปน ยง่ิ กวา เรอ่ื งของเรา เพราะเรา

เปนผูรับผิดชอบ อะไรมาสมั ผสั มากนอ ยกก็ ระเทอื นเรา เปนทุกขขึ้นกับเรา เมื่อเรียนรู

ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว ใจไมก ระเทอื น ใจไมห วน่ั ไหว เปน ธรรมทั้งดวง
ทว่ี า “กเิ ลสๆ” คอื อะไร ? ตวั กเิ ลสอยทู ไ่ี หน กด็ งั ทว่ี า นแ้ี ล ธรรมชาตทิ ห่ี ลอกตวั

นน้ั แหละคอื ตวั กเิ ลส อยา เขา ใจวา นน้ั เปน อะไร และอยา เขา ใจวา นน้ั เปน เราเลย! ถา

เขาใจวานั้นเปนเรา เรากห็ ลงเชอ่ื มนั มนั กห็ ลอกเรา แลวเชอื่ วามนั เปนเราไปเรอ่ื ยๆ หา
ที่ยับยั้งไมได เหมือนกระตายตน่ื ตูม

นิทานเรื่องกระตายตื่นตูมก็เปนคติไดดี กระตา ยกาํ ลงั นอนหลบั นอนฝน อยใู ต
ตนตาล ไมรูเรื่องรูราวอะไร ลมพัดมาที่ตนมะตูม มะตมู ถกู ลมพดั กห็ ลน ลงมาถกู กา น
ตาล แลว ตกปง ปง มาทก่ี ระตา ยกาํ ลงั นอนหลบั กระตายสะดุงตื่นทั้งหลับ กระโดดออก
วิ่งทันที สตั วอ น่ื ๆ เจอกระตา ยกาํ ลงั วง่ิ ผา นไปกถ็ ามวา “วิ่งทําไม ?” กระตา ยรอ งบอกไป
คาํ เดียววา “ฟา ถลม ๆ ! ” สตั วน อกนน้ั กลวั ตาย ไมทนั พิจารณาเหตผุ ลตน ปลายใดๆ ก็

วง่ิ หนีตามกระตา ยไป จนขาหกั แขง หกั กย็ งั ไมย อมหยดุ ว่งิ ไปคลานไปตามกระตายตัว
แสนโงต วั นน้ั ไป จนกระทั่งไปถึงพระยาราชสีห พระยาราชสีหต วาดขูว า “วง่ิ มาอะไรกนั

เปนหมูเปนฝูงมากมาย จนลน้ิ หอ ยปากแบบ็ ไมไดสติสตังกันบางเลย จะวิ่งไปอะไร
กนั !สตั วเ หลา นน้ั กต็ อบวา “ฟา ถลม ๆ! ” พระยาราชสหี ร บี ถามหาความจรงิ วา ฟาถลม

ยังไง ซกั ไปซกั มากม็ าจนตรอกทก่ี ระตา ย พระยาราชสหี จ ึงหา มใหห ยดุ วง่ิ และใหก ลบั
ไปดูตรงที่วา “ฟา ถลม ” นน้ั เมอ่ื กลบั มาดู ที่ไหนไดเห็นมะตูมลูกหนึ่งหลนอยูตรงนั้น มี

กา นตาลตกลงมาดว ย พวกสัตวท ่ตี ื่นหลงตามกระตา ย ก็เจ็บแขงเจ็บขาแทบเปนแทบ
ตาย ขาหกั ไปกม็ เี ยอะ แนะ !

เรื่องกระตายตื่นตูมนั้น เมื่อนํามาเทียบเคียงแลวจะไดแกอะไร ก็ไดแ กพ วกเราท่ี
ตื่นเรื่องการเกิด การแก การเจ็บ การตาย หลงกนั ไปตน่ื กนั มาอยนู เ่ี อง!

พอพวกสตั วโ งว ง่ิ ไปถงึ พระยาราชสหี ซ ง่ึ เปน สตั วฉ ลาดหา มไว และพาไปดูตน
เหตุ จึงพากันไดสติ ไมตายกันระนาวเพราะกระตายตัวโงพาใหลมจม

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๕

๓๙๖

คาํ วา “พระยาราชสีห” ทเ่ี ปน สตั วฉ ลาดนน้ั ไดแ กใ คร ? ไดแ กศ าสดาผสู อนธรรม

สอนความจรงิ ใหแ กส ตั วโ ลกนน่ั เอง เพื่อใหพิจารณาความจริงกัน ไมตื่นขาว ตื่นลมตื่น

ฝนกันไมหยุด ซง่ึ กค็ อื ความทกุ ขล ม จมแกต วั เองผโู งน น้ั แล สิ่งจอมปลอมทั้งหลายเคย

หลอกมาเปน เวลานานนน้ั กห็ ายไป เพราะบรรดาผูที่รูตามความจริงทั้งหลายแลว เรื่อง

ความหลอกอยา งนจ้ี ะหลอกไมไ ดเ ลย

ดังพระพุทธเจาและพระสาวกทั้งหลายที่เปนพระอรหัตอรหันต ทา นไมห ลงใน
เรือ่ งความเปนความตาย แตพ วกเรามนั พวก “กระตายตื่นตูม” จึงตองใหเรียนใหฟงคํา

สั่งสอน อนั เปนความจรงิ ของพระพทุ ธเจา เหมอื นกบั พระยาราชสหี ข ใู หส ตั วเ หลา นน้ั มา
ดูตนเหตุที่วา “ฟา ถลม ” มันถลมจริงๆ หรือ เทยี บกบั การใหด เู รอ่ื งความตายวา มนั ตาย
จริงๆ หรือ?

เอา คน หากนั ใหเ จออะไรมนั ตาย? มนั กเ็ หมอื นผลมะตมู หลน ลงถกู กา นตาลนน้ั
แล มะตมู หลน คอื อะไร? กค็ อื ความจรงิ มนั อยตู ามธรรมชาตขิ องตนๆ เทานั้น เรามาตื่น
เอาเฉยๆ จะวายังไง!

แตผูที่หลอกจริงๆ คอื อะไร? มนั คอื “อวิชชา” ออกมาจาก “อวชิ ชา” จรงิ ๆ คน
ดภู ายในจติ ใหล ะเอยี ดลออกร็ กู นั ทน่ี น่ั สลดั ปด ทง้ิ กนั ทน่ี น่ั เหลอื แตธ รรมชาติ “รู”
ลวนๆ นน้ั แลคอื ความจรงิ สดุ สว น เปน ความบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยสน้ิ เชงิ

เรื่องกระตายตื่นตูมก็หมดไมมีอะไรเหลือเลย นน่ั แหละ พระยาราชสหี ห มายถงึ

ปญญา คือถาหมายถึงสมมตุ ขิ องเราโดยเฉพาะก็ไดแ กปญญา ถา พดู ถงึ ศาสนากห็ มาย

ถึงองคศาสดาประกาศธรรมสอนโลก ฉะนนั้ จงเรียนใหถึงความจริง เพราะความจรงิ มี

อยกู บั ทกุ คน ความจอมปลอมกม็ อี ยกู บั ทกุ คน จึงไดหลงกัน เรยี นใหเ ขา ใจถงึ ความ

จรงิ แลว ไมห ลง อยทู ไ่ี หนกส็ บาย ความเปน ความตายกส็ กั แตเ ปน กริ ยิ าทผ่ี า นไปผา นมา
คําวา “เกิด” อยตู ามสมมตุ วิ า เกดิ วา ตายเทา นน้ั

สว นตา งๆ ของธาตรุ วมกนั เขา เปน สว นผสมแลว สลายตวั ลงไป รวมกนั เขา แลว ก็

สลายตวั ลงไป มีเทานั้น ไมม อี ะไรแปลกกวา นน้ั ไป เขาใจ รูเสียอยางเดียวเทานั้น รูทั้ง

ตัวรูทั้งเงาแลวก็ไมมีปญหา อยา งแบบตาบอดคลาํ ชา งมนั ถงึ ยงุ ถกเถยี งกนั อยตู ลอด

เวลาภายในพวกตวั เองนน้ั แหละ พอถึงความจริงแลว มนั ก็ชาง คอื ความจรงิ อนั เดยี วนน้ั

แล

เขาถึงความจริงแลวก็มีธรรมแทงเดียวภายในใจ หายความตน่ื ตระหนกตกใจ

อะไรทั้งสิ้น เรอื่ งกระตายตืน่ ตมู มันหมดไปทนั ทีภายในใจ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๖

๓๙๗

โลกธาตุจะมีอะไร? แมมากมายก็ไมตื่นไมเตน เห็นไปตามความจริงทั้งหมด น่ี
เรียกวา “โลกวทิ ”ู รูแจงโลก โลกเปนอยางไรรูแจงชัดเจนหมด เปนสภาพอยางไรรูแจง

ชัดเจนโดยตลอดทั่วถึง
คาํ วา “โลกวทิ ”ู เปนไปไดทั้งสาวก เปนไปไดทั้งพระพุทธเจา แตพระพุทธเจา

ทา นรลู กึ ซง้ึ กวา งขวางยง่ิ กวา สาวกอกี มากมาย เรากใ็ หเ ปน “โลกวทิ ู” ในตวั ของเราน้ี รู

แจงเห็นจริงในโลกแหง ขนั ธน ้ชี ัดเจน ไมห ลงขนั ธไ มย ดึ ขนั ธ รูตามความเปนจริงของ

ขันธนี้ก็ไมมีอะไรเปนภัย

ทกุ ขจ ะเกดิ ขน้ึ มากนอ ยภายในรา งกาย เอา เกิดขึ้น ความจริงมีอยางไรก็แสดง

ขึ้น ผูท่รี ูกร็ จู นกระทัง่ ถงึ วาระสดุ ทา ย อะไรจะสลาย เอา ทนไมไดก็สลายไป ผูทนไดหรือ

ผูอยูไดจงอยู จติ นน้ั เองเปน ผอู ยู เพราะผนู ไ้ี มใ ชผ สู ลาย สิ่งใดที่ทนไมไดก็สลายไป สง่ิ
ที่ทนไดก็ทนไป ถา พดู ในฐานะทว่ี า “ทน” นะ แตผูรูนี้ไมไดทนเพราะเปนความจริง ผูรู

ๆ ๆ อยอู ยา งนน้ั อะไรจะเกิดขึ้นอะไรจะดับไปก็รู อะไรจะสุขอะไรจะทุกขก็รู เมอ่ื หมด

ปญ หาเรอ่ื งความสขุ ความทกุ ขท เ่ี ปน สว นสมมตุ นิ แ้ี ลว กห็ มดปญ หาภายในใจ คอื ไม

รบั เร่ืองทว่ี นุ วายตอ ไป
นน่ั แหละทท่ี า นวา “ปรมํ สขุ ํ” เปน ความสขุ ลว นๆ อยกู บั จติ ลว นๆ ไมปลอม

แปลง เราจะไปหา “ปรมํ สุข”ํ ทไ่ี หน? ทาํ จติ ใหบ รสิ ทุ ธเ์ิ ทา นน้ั ก็ “ปรมํ สขุ ํ” อยใู นนน้ั
เอง นก้ี เ็ ปน ชอ่ื สมมตุ อิ นั หนง่ึ แมท า นจะใหช อ่ื วา “ปรมํ สุข”ํ แตเมื่อถึงที่นั่นแลวจะวา
“ปรมํ สขุ ”ํ หรือไมป รมํ ก็ไมมีปญหาอะไร ใหรูเหมือนอยางเรารับประทานจนอิ่มหนํา
สาํ ราญแลว จะประกาศหรอื ไมป ระกาศวา “อม่ิ แลว ” กต็ าม มันก็ไมมีปญหา เพราะรูอยู

ในธาตใุ นขนั ธข องตวั เองอยแู ลว
อะไรจะกวา งขวางเหมอื นอยา ง “มหาสมมตุ ิ มหานยิ ม” ซึ่งทําใหจ ติ แหวกเวยี น

วา ยวนนเ้ี ลา อนั นแ้ี หละกวา งกก็ วา งทต่ี รงน้ี ถา เรยี นจบทต่ี รงนแ้ี ลว กแ็ คบนดิ เดยี ว ไม
ตอ งมาแหวกวา ย เปน อนั วา เลกิ แลว กนั ไป ที่เคยพูดวา “ปา ชา ๆ” ความเกดิ แก เจ็บ
ตาย นน้ั ไมม ปี ญ หากนั ละทนี !้ี

เอาละ วนั นร้ี สู กึ เหนอ่ื ย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๗

๓๙๘

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘

ชุดหัดตาย วธิ ปี ฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน

มนุษยเราตา งจากสัตว สัตวเขาอยูโดยธรรมชาติ คอื เกดิ มาโดยธรรมชาติ
อะไรๆ กต็ ามธรรมชาติ อยอู ยา งธรรมชาติ ตลอดความเปน อยหู ลบั นอน เปนไปตาม
ธรรมชาติจนกระทั่งวันตาย เขามีธรรมชาติของสัตวเปนประจําสัตวของเขา สัตวทุก
จาํ พวกมักเปนไปตามธรรมชาตเิ หมือนกนั ทั้งในน้ํา บนบก ใตด นิ เหนอื ดนิ

มนุษยเราไมเหมือนสัตว จึงตองมีศาสนาเปนเครื่องปกครอง ถาจะเปรียบเทียบ
แลว ศาสนากเ็ หมอื นแปลนบา นแปลนเมอื ง การปลกู สรา งทจ่ี ะทาํ ใหแ นน หนามน่ั คงให
สวยงามไดมาตรฐาน ตอ งอาศยั แปลนเปน สาํ คญั ไมไดท ําสุมสส่ี ุม หา เหมอื นสรา งกฏุ วิ ดั
ปา บา นตาด เพราะนเ่ี ปน อกี แบบหนง่ึ คอื แบบปา แบบกรรมฐาน

การกอ สรา งใหถ กู ตอ งตามแบบแปลนแผนผงั นน้ั มนั นา อยแู ละนา ดู เพราะสวย
งามดวยความเปนระเบียบงามตา การทจ่ี ะสรา งมนษุ ยใ หถ กู ตอ งกบั ความเปน มนษุ ย
ซง่ึ มีภูมิสงู กวาสตั ว จงึ ตอ งอาศยั “ศาสนา” ซ่งึ เปนเหมือนแบบแปลน ชแ้ี นวทางให
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นความเปน อยขู องคนหมมู าก เพราะมนุษยเราอยูลําพังคนเดียวไมได
อยูที่ไหนก็ตองมีหมูมีพวกมีเพื่อนเปนธรรมดา จะอยูโดดเดี่ยวโดยลําพังไมได เพราะ
มนุษยเราเปนนิสัยขี้ขลาดแตไหนแตไรมา เมอ่ื อยดู ว ยกนั ถา ไมม กี ฎหมายบา นเมอื ง ไม
มีศีลธรรมเปนเครื่องปกครอง ความเห็นแกต ัวก็ไมมอี ะไรจะเกินหนามนษุ ย นแ่ี หละ
สาํ คญั

ถา ความเหน็ แกต วั มาก การแสดงออกอยา งความเหน็ แกต วั กต็ อ งเปน การ
กระทบกระเทือนเพอ่ื นมนษุ ยท อ่ี ยูร ว มกัน เพราะไมมีศาสนา ไมทราบวาอะไรผดิ อะไร
ถกู ทาํ อะไรไดอ ยา งใจแลว กเ็ ปน ทพ่ี อใจ มนษุ ยม นี สิ ยั ชอบสรา งความทกุ ขค วามลาํ บาก
ใหแ กผ อู น่ื เพอ่ื ใหค วามสขุ สาํ หรบั ตน ซง่ึ ไมถ กู กบั ลกั ษณะของมนษุ ยผ มู คี วามฉลาด ที่
ควรจะมองเหน็ คณุ คา ของผอู นื่ ทอ่ี ยรู วมกนั

แมม ศี าสนาเปน เครอ่ื งชกั จงู อยู กย็ งั ไมเ หน็ ความสาํ คญั ของศาสนายง่ิ กวา ความรู
ความเห็นและคุณคาของตน ซง่ึ เตม็ ไปดว ยความมดื หนาสาโหด ศาสนาโปรดไมได การ
มีศาสนาก็เพ่อื เปนแนวทางเทยี บเคยี งทดสอบในหมูมนุษยดว ยกัน วา สง่ิ ใดถกู สง่ิ ใดผดิ
สิ่งใดถูกใจเราแตผิดใจคนอื่น อะไรเปนการกระทบกระเทือนกัน หรอื ไมเ ปน การ
กระทบกระเทอื นกนั จากการแสดงออกของตนแตล ะอาการในวงมนษุ ยด ว ยกนั ดว ย
ความเหน็ แกต วั ของมนษุ ยผ จู องหองพองตวั เปน เหตุ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๘

๓๙๙

แมม ศี าสนาแลว ยงั ตอ งมกี ฎหมายบา นเมอื งไวป กครอง ไมเ ชน นน้ั โลกตอ งรอ น
เพราะมนุษยผูเปนไฟเที่ยวกอไฟเผาผลาญผูอื่น ศาสนาจงึ จาํ เปน ทห่ี มมู นษุ ยต อ งมกี นั
ทว่ั โลก เวนแตเดนนรก

ทใ่ี ดเปน แดนนรกทน่ี น้ั ไมม ศี าสนา หรอื ผใู ดอยากจะเปน สมาชกิ ของจาํ พวก
แดนนรก ผนู น้ั กไ็ มม ศี าสนา ถอื ความโหดรา ยทารณุ แทนศาสนา

ศาสนาสอนคนใหเ ปน คนดี ใหร ูจกั ความสําคญั ของมนุษยที่อยูรวมกัน ใครจะ
ถอื ศาสนาใดกต็ ามแตอ ธั ยาศยั คนนน้ี บั ถอื ศาสนานน้ั คนนน้ี บั ถอื ศาสนาน้ี ลว นแตเ ปน
เครอื่ งปกครองใหค นมีความสงบรม เย็นตอกนั นน่ั เอง อยา งพวกเราก็มีพระพทุ ธศาสนา
เปนเครื่องเทิดทูน เปน ทย่ี ดึ ของใจ เปนชีวิตจิตใจ พึ่งเปนพึ่งตายกับศาสนา มคี วาม
ระลึกนอมถึงพระพุทธเจา อยูเสมอ การระลึกถึงพระพุทธเจาหรือการระลึกถึงศาสนา
กบั การระลกึ ถงึ ตน มสี ว นเก่ียวโยงกัน

การระลึกถึงศาสนา มคี วามหมายถงึ สง่ิ ทด่ี วี เิ ศษ ที่ผูระลึกจะพึงหวังหรือไดรับ
จากศาสนา อนั เปน ความเหมาะสมกบั มนษุ ยผ มู คี วามหวงั อยตู ลอดเวลา วา จะไดค วาม
สงบสขุ ตามกาํ ลงั แหง ความนบั ถอื และปฏบิ ตั ิ ไมเปนโมฆะแบบลมๆ แลงๆ ดงั โมฆบรุ ษุ
สตรีโกหกกันเตม็ โลกในสมัยปจ จุบนั

ศาสนามีหลายชั้นตามพื้นเพของจิตใจผูปฏิบัติ มีสูงมีต่ํา และมีสูงสุด ตามแต
ความสามารถของผูประพฤติปฏิบัติจะทําไดมากนอยเพียงไร อยา งนอ ยควรมศี ลี หา กย็ งั
ดี มีความรมเย็นเปนสุข จากนน้ั กม็ กี ารเจรญิ เมตตาภาวนา การทาํ บญุ ใหท านไปตาม
อธั ยาศยั เพราะคุณธรรมเหลานี้เปนหนาที่ของมนุษยจะพึงทํากัน เปน กจิ จาํ เปนสําหรบั
มนษุ ยท อ่ี ยดู ว ยกนั เปน จาํ นวนมาก จะตองมีการสงเคราะห การเสยี สละเพอ่ื กนั และกนั
มคี วามเหน็ อกเหน็ ใจและใหอ ภยั กนั ใหค วามเปน ใหญห รอื ใหส ทิ ธแ์ิ กก นั และกนั ไป
ตามสทิ ธ์ิ ตางคนตา งใหส ิทธ์ิ ตา งคนตา งใหค วามเปน ใหญใ นสมบตั ขิ องกนั และกนั ไม
ลว งลาํ้ กลาํ้ กรายสทิ ธแิ ละสมบตั ขิ องผอู น่ื ใหค วามเสมอภาคกนั โดยธรรมตามหลกั
ศาสนา

เม่อื ตางคนตางมีกฎขอ บงั คบั สําหรบั ตวั อยา งเครงครดั อยแู ลว โลกมนุษยแมมี
มากอยรู วมกนั กเ็ ปน ความสงบสขุ ได และดกี วา คนจาํ นวนนอ ยทห่ี าความสงบสขุ ไมไ ด
เพราะความเห็นแกตวั เปน เครื่องทําลายความสงบความสามัคคเี สยี อีก

การกระเทือนจิตใจกนั เปน ส่งิ ที่กระเทือนมาก เสยี หายมากยง่ิ กวา สมบตั ติ า งๆ
เสียไป สมบัติใดเปนของใครก็ตาม เมื่อสูญหายไปเพราะถูกลักขโมยหรือปลนจี้อะไรก็
ตาม เหลาน้ีเปน สงิ่ ทก่ี ระเทอื นจิตใจมาก เฉพาะอยา งยง่ิ การปลน การจน้ี ส่ี าํ คญั มากที

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙๙

๔๐๐

เดียว เพราะกระเทือนใจมาก การขโมยกเ็ ปน อกี อยา ง เพลากวา กนั ลงบา ง ทง้ั นแ้ี ม
สมบตั นิ น้ั จะไมม คี ณุ คา มากนกั กต็ าม แตส าํ คญั ทค่ี ณุ คา ของใจทเ่ี ปน เจาของสมบตั นิ น้ั ๆ

ใจเปนสมบัติที่มีคามาก การกระทาํ ดงั กลา วจงึ เปน ความกระทบกระเทอื นใจให
เสยี หายมาก จงึ ควรรกั ษาท้งั สองอยา ง คอื รกั ษาสมบตั ดิ ว ย รกั ษาดา นจติ ใจของกนั และ
กนั ดว ย นห่ี มายถงึ “ศลี ” และ “ธรรม” ที่มนุษยควรมีควรรักษา เพื่อความสงบสุขรมเย็น
แกต นเองและผอู น่ื ทง้ั ปจ จบุ นั และอนาคต

สง่ิ ใดกต็ ามเกย่ี วกบั ศลี ยอ มมคี วามเกย่ี วโยงกนั กบั เพอ่ื นมนษุ ยท อ่ี ยรู ว มกนั ทง้ั
นน้ั ถา ตา งคนตา งมี “ศีลหา” มธี รรมในใจดว ยกันแลว โลกยอมมีความรมเย็นเปนสุข
นบั แตส ว นยอ ยไปหาสว นใหญไ มม ปี ระมาณ เพราะศีลธรรมเปนทํานบกั้นกิเลสบาป
ธรรมตางๆ ไมใ หร ว่ั ไหลออกจากใจ กาย วาจาไปทวมหัวใจและสมบัติของมนุษย ทอ่ี ยู
รว มโลกกนั ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นฉบิ หาย

ผไู มเ ขา ใจศาสนาอาจเหน็ วา ศาสนาไมจ าํ เปน ไมสําคัญ ความจรงิ นน้ั กค็ อื ผนู น้ั
ไมเ หน็ ความสาํ คญั ของตวั ลาํ พงั ตวั เองไมอ าจชว ยตวั เองได เกย่ี วกบั ความสงบสขุ เปน
ลําดับทางดานธรรม นอกจากศาสนาชแ้ี นวทางใหเ ขา ใจ ใครจะเกง กลา เหน็ วา ศาสนาไม
เปนของสําคญั จะเกงกลาสามารถฉลาดแหลมคมเพียงไรก็ตามเถอะ การแกก เิ ลสซง่ึ
เปน ศาสตราจารยผใู หก าํ เนิดความฉลาดอนั เปนเรือนรงั แหง ทุกขท ั้งหลาย ถา ไมแ กด ว ย
“วิชาธรรม” จะไมมที างแกใ หเกดิ ความสขุ อันพงึ พอใจได!

ครั้งไหนๆ กม็ คี นฉลาดประจาํ โลกมาโดยลาํ ดบั เชน กนั แมพระพุทธเจาและ
สาวกทง้ั หลายกม็ ใิ ชค นโงบ ดั ซบ ทา นยงั ตอ งแสวง “วิชาธรรม” มาแกค วามฉลาดแกม
โกงนน้ั จนเปน ความฉลาด ทางยอดความจรงิ ขน้ึ มาลา งกเิ ลสตวั ฉลาดแกมโกงนน้ั ออก
จากใจโดยสิ้นเชงิ จึงเปนศาสดาสอนโลกไดเต็มภูมิ

การเกิดมาไดพบพระพุทธศาสนานี่ก็เปนบุญลาภของเรา ทไ่ี มพ บศาสนาเลยนน้ั
มจี ํานวนไมน อ ย มีมากมายที่ไมทราบวา “พุทธ” เปน อยา งไร “ธรรม” เปนอยางไร“สงฆ”
เปนอยางไร นน้ั มมี ากและมมี ากขน้ึ ทกุ วนั เวลา จนสาระสําคัญของจิตใจไมมีเลย เพียง
อยไู ปวนั หนง่ึ กนิ ไปวนั หนง่ึ นอนไปวนั หนง่ึ อาศยั ดา นวตั ถพุ อใหเ พลนิ ไปวนั หนง่ึ เทา
นน้ั กเ็ ขา ใจวา ตนมคี วามสขุ ทง้ั ๆ ทห่ี าหลกั ยดึ ของจติ ไมม เี ลย คอื จติ ใจจะหา“ธรรม”
ซึมซาบและบํารุงไมมี นแ่ี ลโลกทไ่ี มม ศี าสนาภายในใจ จงึ ขาดหลกั อนั สาํ คญั ไปอยา ง
นา เสยี ดาย ทง้ั ที่มนุษยควรจะรจู ักคุณคา และมีคณุ คากวาสิ่งใดๆ ในโลก

เพราะฉะนน้ั การนยิ มทางดา นวตั ถจุ นลมื ดา น “นามธรรม” คอื ศาสนา ที่เปน
“ธรรมโอสถ” เครื่องบํารุงรักษาใจใหมีหลักแหลงและชุมเย็น ผลจึงเปนความทุกขรอน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๐

๔๐๑

ทั้งๆ ที่สิ่งบํารุงบําเรอมีเต็มบานเต็มเมืองและเต็มแผนดินถิ่นอาศัย เนื่องจากใจไมมี
“ธรรม” เปนอาหารเครื่องบํารุง เวลาเกดิ ความหอ เหย่ี วแหง ใจ เพราะอารมณต า งๆ มี
วตั ถเุ ปน ตน เขา มาบบี คน้ั ยาํ่ ยใี จ ใจหาที่หลบซอนไมไดจึงเกิดความทุกขรอนขึ้นมา และ
หาที่ปลงวางไมได ถงึ กบั เปนโรคประสาทไปก็มี แตยังไมยอมเห็นโทษของมัน กย็ ง่ิ นบั
วันจะจมดิ่งลงไปอยางไมมีจุดหมายปลายทางเลย

ทถ่ี กู ดา นวตั ถกุ ท็ าํ เพราะกายของเราเปนดานวัตถุ ตอ งอาศยั วตั ถเุ ขา มาเยยี วยา
รักษา รา งกายอยไู ดด ว ยวตั ถุ เชน อาหาร บา นเรอื น เปนตน สว นจติ ใจกม็ คี วามรมเย็น
ไดดวยศีลดวยธรรม ไมใชตองอาศัยวัตถุอยางเดียว จึงควรมีศีลมีธรรมอันเปนคุณงาม
ความดีทางใจ ทจี่ ะพึงสั่งสมอบรมขึน้ ใหมมี าก และควรจะกลวั จติ อดอยากขาดแคลน
อาหาร คอื “กุศลธรรม” เชน เดยี วกบั ความกลวั อาหารจะขาดแคลนจากรา งกาย จิตใจ
จะไดมีหลักฐานเปนเครื่องยึด เพื่อปลดเปลื้องหรือบรรเทาทุกขในเวลาตองการและจํา
เปน

เฉพาะอยา งยง่ิ ใจเปน สง่ิ สาํ คญั มาก ควรจะมีหลักยึดของใจ ทใ่ี จวอกแวกคลอน
แคลนเนอ่ื งจากหาหลกั ยดึ ไมไ ด แมถงึ ส่ิงภายนอกจะมีสมบรู ณบริบรู ณ ใจเมื่อขาดคุณ
งามความดีคือศีลธรรมอันเปนเครื่องทําใหชุมเย็นแลว จติ ใจกร็ อ น รอ นทง้ั ๆ ทม่ี คี วาม
รคู วามสามารถ รอ นทง้ั ๆ ทม่ี สี มบตั มิ ากมาย รอนทั้งๆ ทอ่ี ะไรเรากไ็ มอ ดอยากขาด
แคลนทางดา นวตั ถุ ตลอดญาติมติ ร บริษัทบริวาร เพอ่ื นฝงู แตค วามรอ นของใจจะรอ น
อยูไมลดละ เพราะขาดอาหารภายในใจ ขาดเครื่องบํารุงภายในใจ คอื “กุศลธรรม” ยา
บํารุงรักษาใจ”!

ใครจะมคี วามเฉลยี วฉลาดยง่ิ ไปกวา พระพทุ ธเจาในโลกทง้ั สาม ปรากฏวา ไมม ี
เลย พระพุทธเจาทรงทราบความจําเปนทั้งสองอยาง คือทางดา นวตั ถุ ทเ่ี กย่ี วกบั รา ง
กาย ทางดานศีลธรรมคอื คณุ งามความดี ทเ่ี กย่ี วกบั จติ ใจโดยเฉพาะทง้ั ในปจ จบุ นั
และอนาคต ทรงทราบโดยตลอดทั่วถงึ เพราะฉะนนั้ จึงตอ งทรงสั่งสอนบรรดาสตั วใ ห
ทราบ ทง้ั สง่ิ ภายนอกทง้ั สง่ิ ภายใน คอื ใจ ทั้งปจจุบันทั้งอดีตทผ่ี า นมาแลว ทั้งอนาคตที่
จะเปนไปขางหนา ที่เปนเรื่องของจติ ใจจะพาเปน พาไปหาสขุ พาทุกข พาโง พาฉลาด
พามีพาจน ตลอดพาใหพนทุกข เปน เร่ืองของใจทง้ั ส้นิ ซึ่งเปนเรื่องใหญ แตโลกไม
คอยสนใจคิดกัน จงึ มกั มแี ตค วามทกุ ขรอ นเปนเพลิงเผาใจอยเู สมอ

อดตี ทผ่ี า นมาแลว กไ็ ดแ ก ความเกดิ แก เจ็บ ตาย ในภพนน้ั ๆ จนมาถงึ
ปจจุบันในฐานะทีเ่ ปนอยูเวลานี้ ความสุข ความทกุ ข ก็ทราบกันอยูตามเหตุปจจัยวา
เกดิ สขุ บา งทกุ ขบ า ง ดงั ทท่ี ราบกนั อยเู วลาน้ี และอนาคตที่จะเปนไปขางหนา มีอะไรที่

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๑

๔๐๒

จะเปนหลักของจิตใจ ทีจ่ ะสืบภพสบื ชาติไปไดด ว ยดี ไมมีความทุกขรอน พระพุทธเจา ก็
ทรงทราบและทรงสั่งสอนใหบําเพ็ญ “สาระ” อนั สาํ คญั คอื คณุ งามความดไี วส าํ หรบั ใจ
จะไดมีความรมเย็นเปนสุข ไปเกิดในภพใดชาติใดก็เปน “สุคติ สคุ โต” ไมวาจะเปน
ศาสนาของพระพทุ ธเจาพระองคใ ด ทท่ี รงสง่ั สอนไวใ นโลกในยคุ นน้ั ๆ ทรงสั่งสอนเปน
แบบเดยี วกนั

ในโอวาทปาฏโิ มกข “ทา นสอนไวย อ ๆ
สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ -การไมท าํ ชว่ั อนั จะใหเ กดิ ความเสยี หายทง้ั ปวง หนง่ึ
กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา - การยงั กศุ ลคอื ความฉลาดในทางทช่ี อบใหถ งึ พรอ ม หนึ่ง
สจิตฺตปริโยทปนํ - การทาํ จติ ใหผ อ งใสจนถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ หนง่ึ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ -เหลา นเ้ี ปน คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย

นห่ี ลกั ใหญข องศาสนาทา นสอนเปน แบบเดยี วกนั เพราะกิเลสและสัตวโลกเปน
ชนิดเดียวกัน มคี วามทกุ ขค วามลาํ บาก มีกิเลสตัณหาเปนเครื่องผูกพัน เปนเครื่องรอย
รัดภายในจิตใจ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วายเชน เดยี วกนั การสั่งสอนธรรมจึงตอง
อาศัยเรื่องของสัตวโลกเปนตนเหตุ ที่จะสั่งสอนอยางไรจึงจะถูกตองเหมาะสม และเปน
ประโยชนแ กม วลสตั ว

เวลานเ้ี ราทกุ คนถา ไมม หี ลกั ใจ เรากไ็ มแ นใ จตวั เองอยตู ลอดเวลา วา ถา ตาย
แลวจะไปไหน? จะไปสุขไปทุกขไปคติใด? ไปเกิดเปนภพอะไรบาง เปนสัตวหรือ
บุคคลชนดิ ใด หรือจะไปลงนรกขุมไหน? เมื่อเชื่อตัวเองไมได การไมท ราบไดน้ี เรากไ็ ม
ควรเสี่ยงตอการไมทราบไดอยูเสมอไป จงึ ควรสรา งความแนใ จใหม ภี ายในตน การ
สรา งความแนใ จกค็ อื สรางตนดวยหลักธรรมของพระพุทธเจา การใหท าน การรกั ษา
ศีล การเจรญิ ภาวนา นเ่ี ปน สิง่ ทแ่ี นใ จสําหรบั ใจอยางยง่ิ ไมมีสิ่งใดที่จะแนใจยิ่งไปกวา
ความดีเปนเครื่องประกันนี้เลย

ความดนี ม้ี อี ยภู ายในจติ ใด จติ น้ันเรียกวา “ประกนั ตวั ได” เพราะความดีเปน
เครื่องประกัน จึงควรสรา งความแนน อนไวใ หจ ติ เสยี แตใ นบดั น้ี อยา ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาท่ี
เกิดมาเปน มนุษยท ัง้ คนทงั้ ชาติ กาลเวลาลว งเลยมาแลว เปน หลายเดอื น โดยไมคิดอาน
ไตรตรองอะไรเลย ในบรรดาสาระสาํ คัญทจ่ี ะเปน คณุ สมบตั ขิ องจิตน้ัน ไมสมควร!

สง่ิ สมควรอยา งยง่ิ นัน้ คอื พยายามทาํ เสยี แตใ นบดั น้ี ไมมีใครจะพูดใหเปนที่เชื่อ
ถือและพูดถกู ตอ งแมนยําไดย ิ่งกวาพระพทุ ธเจา คนพูดกนั ทงั้ โลกมคี วามปลอมแฝงอยู
เรื่อยๆ สว นมากพดู ออกมาดว ยความลมุ หลง ไมไดพูดออกมาดวยความจริงจัง เพราะ
ตางคน ตางก็ไมรูจริงเห็นจริง จะเอาความจริงมาพูดอยางอาจหาญไดอยางไร

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๒

๔๐๓

สวนพระพุทธเจา ในธรรมทุกบททุกบาทที่ไดประทานไวนี้ ลว นแตท รงทราบ

ดวยเหตุดวยผลประจักษพระทัยมาแลว จึงไดนํามาสง่ั สอนสตั วโ ลก คาํ สง่ั สอนนน้ั จงึ

เปนที่แนใจได ผูปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองคทรงสอนไว จึงเปนผูแนใจในตนเองไป

เรื่อยๆ จนกระทั่งแนใจเต็มภูมิหาที่สงสัยไมได เมอ่ื ถงึ ขน้ั แนใ จเตม็ ภมู แิ ลว เปน อยา งนน้ั

เมื่อความดีเขาสัมผัสใจแลว ยอมเปนที่แนใจไดเองสําหรับผูปฏิบัติบําเพ็ญ

ปกติธรรมของพระพุทธเจาเปนที่แนใจสําหรับโลกทั่วไป ไมม โี ลกใดผใู ดคดั คา น
ได นอกจาก“โลกเทวทัต” และพวกเทวทตั จําพวกเดยี ว ที่ไมยอมเปนคนดีและไมยอม

ลงกับใคร แมน ายยมบาล ก็ไมแนใจวาเทวทัตจะทะลึ่งทะเลาะไมได ถาไมมีมารเปนสิ่ง

ดลบนั ดาลใจ โดยเห็นสิ่งที่แนใจนั้นวาเปนของไมแนใจไปเสีย เห็นสิ่งที่เปนพิษเปนภัย
วาเปนของดแี ลวยดึ ถอื หรือความาเผาผลาญตนนัน้ ก็ไมม ีใครชว ยได ยกให“เวรกรรม
ของสัตว”

เราทง้ั หลายทราบอยดู ว ยกนั วา ดี ชว่ั บาป บญุ นรก สวรรค นิพพาน เปน ของ

มีมาดั้งเดมิ ไมใชเปนสง่ิ เสกสรรขึ้นมาเฉยๆ แตเปนสิ่งที่มีมาดั้งเดิมแลว พระพุทธเจา

ทรงสอนตามสิ่งที่มีอยูดั้งเดิม ไมไดมาร้ือมาถอน มาปรงุ มาแตงเอาใหมว ามี ทั้งๆ ที่

สิ่งนั้นไมมี นน่ั ไมม ใี นโอวาทคาํ สง่ั สอนของพระพุทธเจา ทกุ ๆ พระองค ที่ทรงนามวา
“สวากขาตธรรม” ซง่ึ เปน ธรรมตรสั ไวช อบแลว ทกุ บททกุ บาท ทกุ แงท กุ มมุ “นยิ ยานกิ
ธรรม” เออ้ื มมอื รอฉดุ ลากชาวพทุ ธ ชว ยเหลอื ชาวพุทธอยตู ลอดเวลา “อกาลโิ ก” !

เชน คาํ วา “บาป” กห็ มายถงึ ความเศรา หมอง ความสกปรกโสมม เหมอื นมตู ร
คถู นน่ั เอง ผลกค็ อื ทกุ ข ถา “บาป” มันไมมี แตสตั วโ ลกแตล ะราย ๆ กม็ ีความทกุ ข
ประจกั ษตนนัน้ เพราะอะไรถงึ เปน ทกุ ข? กเ็ พราะบาปมีนน่ั เอง และเพราะสาเหตุคือ
“กรรม” เมอื่ โลกนี้ยงั มกี ารทํากรรมอยตู ราบใด ไมวาฝายดีฝายชั่ว ผลจะแสดงใหเ หน็ อยู
เสมอวา “เปนสุขเปนทุกข” เรื่อยๆ ไป หากตองการจะลบลางกรรม กต็ อ งลบลา งการ

กระทําเสียทั้งหมด คอื ลบลา งบญุ ดว ยการไมท าํ บญุ ลบลา งบาปดว ยการไมท าํ บาปทต่ี วั
เราเอง ถาจะเปนไปได แตอ ยา ไปรอ้ื ถอน “เรอื นจาํ ” ซ่งึ เปนทีอ่ ยูของนกั โทษเสยี กแ็ ลว
กนั ชาวเมอื งจะเดอื ดรอ นและรมุ ตเี อาตายจะวา ไมบ อก! อยา ไปรอ้ื ถอน “นรกสวรรค”
จงรอ้ื ถอนทก่ี ารกระทาํ “ดี ชว่ั ” ของตัวเอง จะเปน การลบลา ง “บาป บญุ ”ไปในตวั

“นรก” กเ็ ปน สถานทอ่ี ยขู องสตั วผ หู ยาบชา ลามก “สวรรค” เปน สถานทอ่ี ยขู องผู

มีความดหี รอื ของผูม บี ุญ เราก็รเู ห็นอยแู ลว แมใ นโลกมนษุ ยเ รากย็ งั มสี ถานทแ่ี ละ

เครื่องดัดสันดานมนุษยที่ทําไมดี เชน เรอื นจาํ เปน สถานทอ่ี ยขู องใคร ก็เปนท่ีอยูข อง

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๓

๔๐๔

มนุษยบาปหนา มีสติปญญาที่นําไปใชในทางไมเขาเรื่อง สถานทด่ี กี วา นน้ั กย็ งั มอี กี
เยอะแยะ นอกจากเรอื นจาํ ที่ไมไดถูกกักขังไมไดถูกทําโทษทํากรรม กเ็ หน็ ๆ กนั อยู
เพียงโลกนี้เราก็เห็น ทําไมโลกอื่นจะไมมี เมอ่ื โลกนม้ี โี ลกอน่ื มี วนั นม้ี วี นั อน่ื กม็ ี มันเปน
คกู นั มาอยา งน้ี แตเราไมสามารถมองเห็น ถงึ จะมมี ากนอ ยกวา งแคบเพยี งใด แตสายตา
เราสั้น เพียงมองดูขวากดูหนามตามสายทางเดิน ก็ยังไมเห็นและเหยียบมันจนได หวั
ตอโดนหัวแมเ ทาก็ยังไมเ ห็น โดนเอาจนนวิ้ เทาแตก แนะ ! คิดดูซิ ขณะจะโดนขณะจะ
เหยียบกต็ องเขาใจวา “สิ่งนั้นไมม”ี แตค วามไมม นี น้ั ลบลา งความมอี ยไู ดไ หม เวลาเดิน
ไปเหยียบและโดนเอาอยางนี้ หนามปกเทาหรือไมปก มนั กป็ ก เพราะสง่ิ น้ันมีอยู ไป
เหยยี บถกู มนั กป็ ก ไปโดนหัวตอหัวแมเทาแตกจนได ทั้ง ๆ ทห่ี วั ตอไมม ี นแ่ี หละลอง
คิดดู ความคิดดนเดากับความจริงมันเขากันไมได

สายตาเรามนั สน้ั อยา งนแ้ี หละ ประกอบกบั ความประมาทดว ย จึงโดนโนนชนนี่
อยเู สมอ เพียงแตมองดูหัวแมเทาตนมันก็ยังไมทั่วถึง ยงั ตอ งโดนขวากโดนหนามโดน
หวั ตอจนได แลว ยง่ิ สง่ิ ทจ่ี ะกลา วเหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทล่ี ะเอยี ดยง่ิ กวา ขวากหนามเปน ตน มาก
มาย เปน วสิ ยั ของผทู ม่ี คี วามรคู วามเชย่ี วชาญ เฉลยี วฉลาด มญี าณหยง่ั ทราบความ
จรงิ อนั ละเอยี ดทง้ั หลายเหลา นเ้ี ทา นน้ั ไมใ ชฐ านะของคนอยางเราๆ ทา นๆ ทก่ี าํ ลงั
บอดๆ หนวกๆ แมมีดวยกันเต็มโลก จะมองเหน็ ได

แตพ วกทบ่ี อดๆ หนวกๆ นแ้ี หละ ชอบอวดเกงแขงพระพุทธเจา ไมม พี วกอน่ื
ส่ิงทที่ า นวา “มี” กล็ บลา งเสยี วา “ไมม”ี สง่ิ ทท่ี านวา “ไมม”ี กล็ บเสยี เอาคาํ วา “ม”ี มา
แทน ทา นวา สง่ิ นด้ี กี ล็ บเสยี เอาชว่ั เขา มาแทน ทท่ี า นวา สง่ิ นน้ั ชว่ั กล็ บเสยี เอาคาํ วา “ด”ี
เขามาแทน ผลแหง การ “แขง” กค็ อื ความแพต ัวเองตลอดไป ไมย อมเหน็ โทษ ความ
เกงไมเขาเรื่องของตน

พูดถึงการเชื่อ เราจะเชื่อคนตาดีหรือเชื่อคนตาบอด เราจะเชื่อคนโงหรือเชื่อคน
ฉลาด เราจะเชื่อคน “เปนธรรม” หรอื เชอ่ื คน “จอมโกหก” พระพุทธเจาเปนคนจอม
โกหกหรือเปนจอมปราชญ ? นน่ั ! ถา เช่อื คนตาบอดก็ตอ งโดนไมเรือ่ ยๆ ไป เพราะคน
ตาบอดไมไดเดินตามทาง ชนนน้ั ชนนไ้ี ปเร่อื ยๆ ตามประสีประสาของคนตาไมเห็นหน
ทาง ถา คนตาดกี ไ็ มโ ดน นอกจากจะเผลอตัวหรือประมาท จงึ ไปโดนหรอื เหยียบขวาก
เหยยี บหนาม คนตาดีเหยียบไดในขณะที่เผลอ ขณะที่ไมเห็น แตค นตาบอดนเ่ี หน็ ไม
เห็นก็ไมทราบละ เหยยี บและชนดะไปเลย อะไรไมขาดหลุดไปในขณะนั้น คอ ยใสย ากนั
ทหี ลงั

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๔

๔๐๕

แลว คนอยา งเราๆ ทา นๆ จะยอมเชอ่ื คนตาบอดไหมละ ? ถา ไมเ ชอ่ื กค็ วรคาํ นงึ
ในบทวา “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” บา ง เวลาคนตาบอดเออ้ื มมอื มาจะจงู ดว ย
ความเมตตาของเขาจะไดร ะลกึ ทนั ไมจมไปแบบ “ไมเปนทา” นา อบั อายขายขห้ี นา ไป

ตลอดวนั ตาย

การเกิดของสัตวโลกก็เกิดดะไปเลย เหมอื นคนตาบอดโดนไมน น่ั แล เพราะไม

เห็นไมทราบแลวแตกรรมจะพาไป กรรมจูงกรรมลากกรรมฉุดไปไหนก็จําตองไป

เพราะไมม อี ํานาจไมม ีกําลังทีจ่ ะฝา ฝนกรรมทั้งหลายได กรรมตองเปน ผูฉุดลากไป ถา

เปน กรรมชว่ั มันกฉ็ ุดลากเขา ปาเขารกตกเหวลงบอไปเรื่อยๆ จนตกนรกอเวจไี มมีสนิ้ สุด

ถาเปนกรรมดีก็พยุงสงเสริมใหไปในทางที่ดี ตามแตกาํ ลังกรรมทีม่ มี ากมีนอ ย

พวกเกิดที่เกิดไมรูเรื่องรูราว ที่เกิดไมมีบุญพาไปเกิด ที่เกิดไมมีความสามารถ
อาจรูดวยญาณ กม็ นั เปน แบบ “เกิดดะ” ดะไปเลย สุขก็มีทุกขก็มี อะไรกค็ อ ยรบั เสวย

และแบกหามเอา ไมทราบวามันจะมีมาเมื่อไร แมแตเราเกิดมานี้ก็ยังไมทราบวา มาจาก
“ภพอะไร”

คิดดูซิ เราเปนตัวภพตัวชาติ ตวั เกดิ ตวั ตายอยแู ลว ยงั ไมส ามารถทราบเรอ่ื งของ

ตัวได จะไปพูดถึงขางหนาอะไรได อะไรท่จี ะเปน เครอ่ื งใหเราเปน ทแี่ นนอนใจ เรากค็ วร
ทราบเสียตั้งแตบัดนี้ และรีบบําเพญ็ เสียแตบัดนอ้ี ยา ประมาท! เพราะผลแหงความ
ประมาทเคยทําสตั วโลกใหลม จมมานับไมถ วนแลว

การตายแบบสมุ ๆ เดาๆ การเกดิ แบบสมุ ๆ เดาๆ ทไ่ี มแ นใ จตวั เอง ตลอดความ
เปน อยกู ไ็ มแ นใ จอยา งน้ี เรายังจะตายใจกับความไมแนใจอยูหรือ ? นั่นไมสมควรแกเรา
เลย ! ไมสมกบั เราเปนมนุษยผ ูฉลาดในวงพระศาสนา อนั เปน ยอดคาํ สอนใหค นฉลาด

ตอ เหตกุ ารณแ ละปฏบิ ตั ติ อ ตวั เอง

เฉพาะอยา งยง่ิ การผลติ ความดคี วามเฉลยี วฉลาดขน้ึ ภายในใจ ดว ยจิตตภาวนาน้ี
เปน สงิ่ สําคญั มาก อาจมองเหน็ ไดแ ละสามารถมองเหน็ ไดใ น “บาป บญุ นรกสวรรค
หรือนิพพาน” เพราะเปนสิ่งมีอยูดั้งเดิมแลว จึงอาจมองเหน็ ไดด ว ยจติ ตภาวนาทม่ี ี
ความสามารถตา งกนั บญุ อยทู ไ่ี หนใจกท็ ราบ ทราบอยทู ไ่ี หน อยทู จ่ี ติ ทราบวา บญุ อยทู ่ี

ใจอยา งประจกั ษแ ลว ใจกเ็ ยน็ สบาย ความรุมรอนเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะสาเหตุอันใดก็

ทราบทใ่ี จดวงคอยรบั ทราบอยแู ลว นน่ั เอง นรก สวรรค กท็ ราบ ทราบอยภู ายในใจ

ทราบทั้งที่จะไปขางหนา ตัวนี้เปนผูพาไป จะไปอยูในสถานทใ่ี ดเลา คนชั่วก็ไปเขาเรือน

จํา คือติดคุกติดตะราง จิตที่ชั่วก็ไปลงนรก จติ ดีมกี ุศลกไ็ ปสูสุคติภูมนิ น้ั ตามกาํ ลงั แหง

บุญของตนของตน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๕

๔๐๖

เมอื่ ปฏบิ ตั ไิ ป ๆ สง่ิ ทปี่ ด บงั จติ ใจคอยหมดไปจางไป ๆ ความสวา งกระจางแจง
คอยเกิดขึ้นแทนที่ และสามารถมองเหน็ สง่ิ ตา งๆ ไดโดยลําดับๆ กค็ อ ยฉายแสงออกมา
จนเต็มภูมิของจิต จะไปเกดิ ทไ่ี หนกท็ ราบอยใู นฐานของจติ ในชน้ั ภมู ขิ องจติ จะไมเกิดก็
ทราบตามชั้นภูมิของจิตวา “หมดเชื้อแลว” ไมมีการที่จะเกิดตอไปอีกแลว ตอ งทราบ
เมื่อถึงขนั้ ที่จะทราบแลว ปดไมอ ยู

ฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหอ บรมจติ จิตนีเ้ ปน ตัวรูตวั ฉลาดแหลมคมมาก ตอ งสอนให
แหลมคม อบรมใจละเอยี ดสขุ มุ เตม็ ภมู จิ นมคี วามเฉลยี วฉลาด มคี วามสามารถมากกวา
สิ่งใดในโลกไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน แตเ ราไมไ ดอ บรมสง่ั สอน จิตจงึ อาภพั และอาภพั อยู
ตลอดเวลา ยนื เดิน นั่ง นอน อาภพั ทัง้ นน้ั เพราะสิ่งอาภัพมนั ปกปดกาํ บังไว มนั มี
อาํ นาจเหนอื กวา จิตจึงเลยกลายเปนจิตอาภัพไปตามๆ มัน

จําตองชวยจิตดวยสติปญญา ใหมีความสงบรมเย็นทรงตัวได ไมถ กู เขยา กอ กวน
อยูตลอดเวลาดังที่เคยเปนมา เมอ่ื ใจสงบภายในกเ็ หน็ คณุ คา ของใจ สงบมากกเ็ หน็ มาก
รูมาก เขาใจมาก และผลิตสตปิ ญญา

พิจารณาดูโลกธาตุอันนี้ไมมีอะไรที่ควรชื่นชมเทิดทูนรื่นเริงอะไรนักหนา สถานท่ี
อยูอาศัยอาหารปจจัยเครื่องปรนปรือ เต็มไปดวย อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า คอยจะใหหลง่ั
นา้ํ ตากบั มนั อยเู รือ่ ยๆ นอนใจไมไดเลย มองไปรอบดา นลว นแตป า ชา ของสตั วข องคน
เต็มไปดวย “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” เขา ในบา นกไ็ ดย นิ เสยี งบน ออกนอกบา นกไ็ ดย นิ
เสียงบน เขา ในเมอื งกไ็ ดย นิ เสยี งบน เพอ ไปทว่ั ทกุ หนทกุ แหง เพราะเรื่องความทุกข
ความทรมานของสัตวข องคน มอี ยทู กุ แหง ทกุ หนตาํ บลหมบู า น จะสงสยั ทไ่ี หนวา จะมี
ความสขุ ความสบาย ไมม อี ะไรมากอ กวนใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก แทจริงมัน
ลว นกองทกุ ขอ ยรู อบตวั นอกจากการสรา งจิตใจเราใหม คี วามแนน หนามน่ั คงขน้ึ ดว ยศลี
ดวยธรรมเทานั้น

นี่แหละเปน ทีป่ ลอดภัยไรทุกข อยทู ไ่ี หนกไ็ มม อี ะไรมากวน นเ้ี ปน สง่ิ สาํ คญั มาก
เมอ่ื สรา งใหเ ต็มภูมิแลว ตอ งเย็น สถานที่นั่นเปนยังไง ? สถานทนี่ ี่เปน ยงั ไง ? ไมถ ามให
เสียเวลา เพราะความเยน็ อยกู บั เจา ของ ความสขุ อยกู บั เจา ของ หลกั ใหญอ ยกู บั เจา ของ
แลว ก็ไมทราบจะถามเอาสมบตั ทิ ี่ไหนกัน ตัวจริงอยูกับเรา เรารูอยู เห็นอยู ครองอยูจะ
ไปเจอทกุ ขทไ่ี หนกนั !

นแ่ี หละทา นวา การสรา งตวั ในดา นธรรมสรา งอยา งน้ี สรา งตวั ทางโลกกด็ งั ท่ี
ทราบๆ กนั อยคู อื สรา งเนอ้ื สรา งตวั ดว ยการขวนขวายในดา นกจิ การทาํ มาหาเลย้ี งชพี

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๖

๔๐๗

ใหม ที รพั ยส มบตั ิเงินทอง เรียกวา “สรา งเนอ้ื สรางตัว สรางฐานะในทางโลก” ผูนั้นก็พอ
เปนพอไปเกี่ยวกับสมบัติฐานะ ตลอดความเปนอยูตางๆ

สรา งภายในคอื สรา งจิตใจใหม หี ลกั มฐี านมน่ั คง ใหรูสิ่งดีสิ่งชั่ว พยายามแกไ ข
ดัดแปลงไปโดยสม่ําเสมอ จนจิตใจมีความเชื่อถือตัวเองได มีความแนใจได อยทู ไ่ี หนก็
เปน หลกั เกณฑ มคี วามสขุ ความสบาย ตายแลว กเ็ ปน สขุ นผ่ี มู หี ลกั จติ ใจเปน อยา งน้ี ผดิ
กบั ผไู มม หี ลกั ใจอยมู าก

บรรดาทเ่ี ปน คนดว ยกนั กไ็ มเ หมอื นกนั ในความรสู กึ จติ กว็ าจติ เหมอื นกัน แตก ็
ตางกันในฐานะสูงตํา่ ของจติ ความโงค วามฉลาดผดิ แปลกกนั อยมู าก ทา นวา “เปน นสิ ยั
สมบัต”ิ เปน ตามบญุ กรรมอํานาจวาสนาทสี่ รา งมา จะเหมือนกันไมได

ถา อยากเหน็ ใจมสี ารคณุ เดน ดวง จงพยายามสรา งใจใหด ี สรา งใหม คี วามแนน
หนามั่นคง สรา งจนเหน็ ประจักษกับตวั เอง คําพระพุทธเจาทานสอน “ใหรู ใหเห็น
ประจักษในสิ่งที่มีอยู เชน บญุ บาป เปน ตน เพราะบาปนนั้ ถา เปน หนามกป็ ก เสยี บอยู
ทห่ี วั ใจตนนน่ั แล ไมป ก เสยี บทอ่ี น่ื บญุ กม็ แี ตส นบั สนนุ คนใหม แี ตค วามสขุ ความสมหวงั
เฉพาะอยา งยง่ิ สนบั สนนุ อยทู ห่ี วั ใจคน เพราะใจเปนภาชนะที่ควรแกบุญคุณธรรมทั้ง
หลาย

การสรา งความดที ใ่ี จดว ย “จติ ตภาวนา” จะเปนความดปี ระจักษใจ เริ่มแตขั้น
สงบเย็นเปนสมาธิขึ้นไปจนขั้นละเอียด และละเอียดสุดคือ “วิมุตติพระนิพพาน” จะ
ประจักษที่ใจดวงนี้เอง

คาํ วา “สงบ” ใจสงบกบั ใจไมส งบผดิ กนั อยา งไรบา ง? ความสงบของใจเกิดขึ้น
มากนอ ย ความสุขเปนธรรมที่เกิดขึ้นกับความสงบ เพราะปราศจากสิ่งกอกวนในเวลา
นน้ั ใจจะมีความสุขขึ้นมาโดยลําดับ เบากายเบาใจ บางครง้ั เบามากจนไมป รากฏวา กาย
มใี นความรสู กึ เลย มีแตค วามรลู วนๆ เหมอื นกบั อยใู นอากาศ หรอื เหมอื นอยกู ลางหาว
หรืออะไรพูดไมคอยถกู ตามความเปนจรงิ นน่ั แหละจติ สบายมาก จิตปลอยวางทงั้ หมด
ในขณะนน้ั เมื่อจิตสงบเต็มที่จึงไมทราบวา ตนอยูในท่ีสูงท่ีต่ําหรือในทเ่ี ชนไร นั่งอยูหรือ
นอนอยูไมส นใจท้งั นนั้

ปรากฏแตค วามรลู ว นๆ ซึ่งไมมีรูปไมมีลักษณะอะไรปรากฏเลย มแี ตค วามรู
อยางเดียว ถา จะดลู กั ษณะก็มแี ตค วามสวา งไสวปรากฏอยภู ายในใจ ซง่ึ เปน สขุ อยา ง
อัศจรรย ผดิ กบั สง่ิ ทง้ั หลายทเ่ี คยผา นมาในโลก ความสงบมาก ความสวา งไสวมาก
ความสขุ กม็ าก แตค วามสงบผดิ กบั ความไมส งบอยา งไรนน้ั กรุณาไปดูมังกี้ (ลงิ ) ก็จะ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๗

๔๐๘

เขาใจเอง เพราะสงิ่ ดงั กลา วมอี ยูกบั ใจของทุกคนหญิงชาย กระทง่ั นกั บวช ถา ไมส นใจ
อบรมใจ

จิตที่เคยมืดๆ ดาํ ๆ ทเ่ี คยตาํ หนอิ ยทู กุ วนั นแ้ี ล เปลย่ี นอาการขนึ้ มา เพราะการ
ชําระสะสางจนเห็นไดชัด ดังที่กลาวมาทั้งนี้ เพราะความมืดดํามันไมใชจิต เปนสิ่งปดบัง
ตางหาก เหมอื นกบั ไฟฟา ลองเอาแกว หรอื ผา สดี าํ มาใสเ ขา ซิ มันก็ดํา เอาแดงมาใสม นั
กแ็ ดง เอาขาวมาใสม นั กข็ าว มนั ขน้ึ อยกู บั สง่ิ ภายนอกทน่ี าํ มาใสต า งหาก ไมไดข้ึนอยกู ับ
ดวงไฟ จงึ มกี ารเปลย่ี นแปลงไดต ามสง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ ง จติ กเ็ กย่ี วกบั สง่ิ เกย่ี วขอ ง จึงมี
อาการตางๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยูเสมอ ไมคงที่เหมือนจิตที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ

จิตก็เปนจิตอยูอยางนั้น เมื่อสิ่งที่ดําสิ่งที่มัวหมองเขาไปแทรกไปปดบังจิต ก็
เหมือนวา มันเศรามนั หมองมันดาํ ไปหมด ความจรงิ กค็ อื สง่ิ นน้ั แลทาํ ใหด าํ ชําระสิ่งนั้น
ออกแลว จติ กส็ วา งไสวออกมาในขณะนน้ั จะผานทะลุไปหมด ไมติดของกับอะไรขึ้นชื่อ
วา “สมมุติ” จึงไมมีอะไรจะแหลมคมยิ่งกวาใจ ใจนถ้ี งึ ขน้ั มอี าํ นาจกม็ อี าํ นาจอยา งน้ี
สาระสาํ คญั กค็ อื ใจนเ่ี ทา นน้ั จงพยายามบาํ รงุ !

เชอ้ื ทจ่ี ะไปเกดิ ภพหนา กค็ อื ใจดวงน้ี พยายามสรา งใจใหด ี เปน ทแ่ี นใ จเสยี แต
บดั น้ี

การตายเปน ธรรมดา ธรรมดา ไมน า ตน่ื เตน ตกใจกลวั อะไรเลย เมื่อเรียนกล
มายาของกเิ ลสทห่ี ลอกลวงใจจบสน้ิ แลว ปญ หาทง้ั หลายในแหลง แหง “ไตรภพ” กจ็ บลง
ที่ใจดวงที่เคยเปน “เจาปญหา” นี้แหงเดียว

การแสดงธรรมก็เห็นวาสมควร

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๘

๔๐๙

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๔ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

สแู คต าย

ความหนกั ทส่ี ดุ กค็ อื “ใจ” ความเบาทส่ี ดุ กค็ อื “ใจ” ความหยาบทส่ี ดุ กค็ อื “ใจ”
ความละเอยี ดหรอื อศั จรรยอ ยา งยง่ิ กค็ อื “ใจ” อยทู ี่ใจนีท้ ัง้ นัน้ !

โลกจะมีความสงบรมเย็น หรอื เกดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วายมากนอ ย กข็ น้ึ อยกู บั

ใจ เพราะใจเปน ผคู รองรา งและครองโลก ใจจึงควรไดรับการอบรมศึกษาไปตามเหตุ

ตามผลซง่ึ เปน แนวทางทช่ี อบ เพื่อจะไดผูนําที่ดี แสดงออกเปน กจิ การงานทช่ี อบธรรม

การแสดงออกทกุ อาการ เมอื่ ใจไดรับการอบรมโดยเหตผุ ลอันเปนแนวทางทด่ี ที ี่
เรยี กวา “ธรรม” แลว กิจการงานตลอดความประพฤติยอมเปนไปดวยความราบรื่นดี

งาม ไมแ สลงตาแทงใจระหวา งเพ่ือนมนษุ ยด ว ยกัน ไมว า สว นยอ ยสว นใหญ ขน้ึ อยกู บั ใจ

เปนสําคัญ ใจนจ้ี ะวา หนกั กห็ นกั จนเจา ของยกไมข น้ึ ถา ยกขน้ึ สคู วามดงี ามไดด งั ทา นผดู ี

ทั้งหลาย กค็ วรจะผานพนความทกุ ขความไมด ที ้ังหลายไปไดแลว นใ่ี ครกน็ อนจมอยใู น

กองทุกขและความสกปรกโสมมเรื่อยมา ทําไมจึงไมยกใจของตนขึ้นใหพนไปเสีย ทั้งที่รู

อยดู ว ยกนั วา ทุกขอันเกิดจากเหตุชั่วนั้นเปนของไมดี ก็เพราะมันยกไมขึ้นนั่นเอง ใจมัน

ชอบอยใู นทุกขโดยไมรูสกึ ตัว
สิ่งที่เราไมรูนั่นแหละคือสิ่งที่เปนนายเรา พูดแลวก็ไมพนจาก “กเิ ลส” อนั เปนตวั

กอ เหตสุ าํ คญั ความไมรกู ็ตอ งทําไปแบบสมุ เดา ทาํ แลว กเ็ กดิ ผลขน้ึ มาเปน ความเดอื ด
รอ นแกต นและผอู น่ื ตอ เนอ่ื งกนั ไปไมม ที ส่ี น้ิ สดุ มนั ตดิ อยทู ว่ี า “ยกของหนกั คอื ใจไม
ไหว!” ถา ยกไหว กย็ กใหพ น จากสง่ิ กดถว งทง้ั หลายทต่ี าํ่ ชา เลวทรามไปนานแลว ไมต อง

มาวกวนบน ทกุ ขบ น ยากกนั ดงั ทโ่ี ลกเปน อยเู วลานเ้ี ลย ทง้ั นี้กเ็ พราะยกไมไหวไปไมร อด

จอดไมถูกตามกฎจราจรของธรรมนั่นเอง มันถึงเกิดข้ึนมาอยใู นสภาพท่ีเกะกะคละเคลา
กบั ความทกุ ขย าก ทางปากกดั ทางมอื ฉกี ทางใจบนเพอ รําพึงอยูภายใน ที่เรียกวา“กรรม
ของเรา กรรมของเขา ตา งคนตา งมแี ละรมุ ลอ มอยทู ใ่ี จ”

ไปกอ กาํ เนดิ ทไ่ี หนกต็ อ งเสวยสขุ ทกุ ขม ากนอ ยทจ่ี ติ พกไปดว ย สว นกศุ ลกรรม

นน้ั ตา งกนั สง เสรมิ จติ ใหเ บาและมคี วามสขุ
คาํ วา “ธรรม” เปนความละเอียดสุขุมคัมภีรภาพมาก เมอ่ื จติ กบั ธรรมมคี วาม

เกย่ี วขอ งกนั ใจแมเ คยหนกั ยง่ิ กวา ภเู ขา กก็ ลายเปน จิตเบาและเบาบางจากกเิ ลสกอง
ทุกขโดยลําดับ จะทําอะไรที่เปนกุศลก็งาย ชื่อความดคี วามชอบแลว ทาํ งา ย!

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐๙

๔๑๐

แตใ นระหวา งทจ่ี ติ จมอยกู บั ความหนกั หนว งถว งใจนน้ั มนั ยกอะไรท่ีเปน ความดี
งามไมขึ้น ออ นไปหมด ราวกบั ไมม กี ระดกู ตดิ ตอ กนั ในรา งกาย สยู อมจมอยอู ยา งนน้ั ไม
ได เพราะธรรมชาตทิ จ่ี ะใหจ มนน้ั มนั มนี าํ้ หนกั มากกวา เทียบเหมือน “แมเ หลก็ ” ที่ดึง
ดูดเหล็ก เศษเหล็กเล็กๆ นอ ยๆ กว็ ง่ิ เขา หา “แมเหล็ก” ทั้งหมด เพราะแมเหล็กมีกําลัง
มาก สามารถดึงดูดเศษเหล็กไดตามกําลังของมัน

กเิ ลสตณั หาอาสวะกม็ อี าํ นาจดงึ ดดู จติ ใจ ใหห ลงกลมายาและรกั ชอบมนั ไมม วี นั
จืดจาง เชน ความโลภ โกรธ หลง ราคะตัณหา เปนตน ทั้งที่รูแกใจวาไมดี แตก ไ็ มม ใี คร
พอใจ “ละ” มัน นอกจากพอใจสงเสริม พอใจคลอยตามมัน โดยไมมีการฝาฝนตาน
ทานดว ยความพอใจ เหมือนเวลาพอใจหลงและติดมันสงเสริมมัน ฉะนน้ั จึงยากทจ่ี ะมผี ู
ผานพนฝมือของมันไปได เพราะตา งเคล้ิมหลบั ใหม ันกลอ มจนหมดเพลง ความไมเบื่อ
ความลมุ หลง ไมม สี ตริ ะลกึ รตู วั บา ง กค็ อื กเิ ลสกลอ มสตั วโ ลกนน่ั แล

ทานที่อยากเปลี่ยนฟงเพลงคือ “ธรรม” ก็จงพยายามยับยั้งชั่งตวงตัวเอง หมนุ ใจ
เขาหาธรรมดว ยความพยายาม ยากกพ็ ยายามลากเขน็ พยายามตอ สู พยายามบกึ บนึ
อยา ยน่ื มอื ใหก เิ ลสฉดุ ลาก เดี๋ยวจะไมมีหนังติดเนื้อ จะเปอยผุพังไปเพราะมันเสียหมด

กเิ ลสมนั เคยดดั สนั ดานสตั วโ ลกมานาน ถา จะเขด็ กค็ วรเขด็ ไดแ ลว ไมมีอะไรจะ
วิเศษวิโสไปกวา เทา ทรี่ ูอยเู หน็ อยูใ นวงของกิเลสครอบงาํ นี้

ความพากเพียรในธรรมมีเทาไรจงทุมลงไป อยา กลวั กเิ ลสเจ็บ อยา กลวั กเิ ลส
รองไห ใหกลัวเราจมอยูในกองทุกขเพราะกิเลสทําเหตุจะประเสริฐกวา กเิ ลสไมใ ชข อง
ประเสริฐ ธรรมตา งหากประเสรฐิ เหนอื โลก สติ ปญญา ศรทั ธา ความเพียร ในธรรม
ทั้งหลาย ไมใ ชเ นอ้ื ไมใ ชป ลาพอจะสงวนไวเ พอ่ื ตม แกงกนิ จงนาํ ออกมาใชเพื่อ
ประโยชน เพอ่ื ประโยชนม หาศาลแกต นในอตั ภาพน้ี อยารอใหเขานิมนตพระมาจัด
การ “กสุ ลา มาตกิ า” ให ทั้งที่เรากําลังโงอยู การนั้นจะไมเปนประโยชนยิ่งกวาเราสราง
“กสุ ลา ธมมฺ า” คือ ความฉลาดขน้ึ มาเองภายในใจขณะทย่ี งั มชี วี ติ อยเู วลาน้ี

จงทราบวา “กสุ ลา ธมมฺ า” นน้ั ทา นสอนคนเปน ใหฉ ลาด ไมไ ดส อนใหค นโง เรา
เปนชาวพุทธและเปนนกั ปฏิบัติ จงพิจารณาไตรตรองความหมายของธรรมใหถูกตอง
อยา คอยเสวยผลบญุ และความฉลาดในเวลาเขา โลงดว ย “กสุ ลา มาตกิ า บงั สกุ ลุ ” นน่ั คอื
งานทเ่ี ขาทาํ ใหใ นเวลาผตู ายหมดหวงั จากการบาํ เพญ็ ดว ยตนเองแลว เขาก็ทําสงเดชให
อยา งนน้ั เอง ตามนสิ ยั คนทร่ี กั และเคยมบี ญุ คณุ ตอ กนั มันไมแ นเหมือนเราทาํ เอง คือ
สรางกุศลเอาเองขณะที่มีชีวิตอยู

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๐

๔๑๑

ถา แนใ จในกศุ ลของตวั ทส่ี รา งขน้ึ มาวา เตม็ ภมู ภิ ายในใจแลว กไ็ มจาํ เปน ตองไป
รบกวนพระทานมา “กสุ ลา มาตกิ า” ใหล าํ บากในเวลาตายหรอื เวลาเขา โลงแลว เพราะ
เราสมบูรณแลว กสุ ลา หรอื ไมเรากพ็ อตวั แลว การตายทง้ั “อม่ิ ” ไมใชตายทั้ง ‘หวิ ” นด้ี ี
มาก คาํ วา “ตายทง้ั อม่ิ ” นน้ั คอื ความเพยี รพอในกศุ ลธรรมทง้ั มวลภายในใจ ดังพระ-
อรหนั ตท า นตาย ไมเ หน็ ใครกลา ไปอาจเออ้ื มไปกสุ ลาใหท า นถา ไมอ ยากขายตวั การตาย
ของทา นกไ็ มเ หน็ ลาํ บากราํ คาญ ทานมักตายคนเดียว อยา งสบายหายวนุ แมลงหว่ี
แมลงวนั กไ็ มต อมเหมอื นพวกเราชาวยงุ ชาววนุ ตายแตล ะรายราวกบั เกดิ ขา ศกึ กลาง
เมือง

เรอ่ื งของทา นผสู น้ิ กเิ ลสความกงั วลและกวนใจกบั เรอ่ื งของพวกเรา ตา งกนั มาก
ราวกบั เกดิ อยคู นละโลก ทั้งที่ทานก็เปนมนุษยเหมือนพวกเรา ฉะนั้นเราผูเปนศิษยมีครู
สั่งสอน ควรพยายามดัดจิตใจของตนใหเดินตามรองรอยแหงธรรม

แมไ มไ ดอ ยา งทา น ก็พอเปนเครื่องหมายแหง “ลกู ศษิ ย” ทม่ี คี รสู อนบา ง สง่ิ ท่ี
ควรตัดก็ตัด สง่ิ ทค่ี วรละกล็ ะบา งตามโอกาส ไมค วรปลอ ยตวั ใหต ดิ จมอยกู บั เรอ่ื งตา งๆ
สิ่งตาง ๆ จนไมค ดิ หาทางออกจากทกุ ขเ พอ่ื ตวั เอง ก็ดูวาโงเสียจนเลยขอบเขตเหตุผล

ตามธรรมดาทั่ว ๆ ไป ใครมอี ะไรมากนอ ยใครกร็ กั สงวน โลกเปน กนั มาอยา ง
นั้นไมปฏิเสธ แตธ รรมเครอ่ื งปอ งกนั ตวั รกั ษาตวั ก็ควรใหมีเปนคูเคียงกันไป จะไมเสีย
เปรียบโลกคอื กิเลสของตวั จนเกนิ ไป

คิดดู ! พระพุทธเจาผูเปนศาสดา ก็ทรงเสียสละและเสียสละจนหวั่นไหวทั้งแผน
ดินถิ่นที่ทรงปกครอง การเสยี สละขนาดนน้ั เปน สง่ิ เลก็ นอ ยไดห รอื ตองเปนเรื่องใหญโต
มาก จนไมมีใครสามารถทําไดอยางพระองค เวลาเสด็จออกไปทรงผนวชแลว มใี คร
บา งทม่ี คี วามสามารถอาจหาญทางความเพยี ร ความอดความทนในทุกสิ่งบรรดาปจจัย
ทั้งสี่เหมือนอยางพระพุทธเจา การลดฐานะจากความเปนกษัตริยลงเปนนักบวชอันเปน
เพศแหงคนขอทาน ตองเปนเรื่องใหญโตมาก ฉะนน้ั ศาสนธรรมจงึ เกดิ ขน้ึ ในทา มกลาง
แหงความลําบากทรมานของพระพุทธเจา ไมใ ชเ กดิ ขน้ึ เพราะความขเ้ี กยี จออ นแอแบบ
สกุ เอาเผากนิ แตเ กดิ ขน้ึ จากความรอดตายของพระสทิ ธตั ถราชกมุ ารองคอ าชาไนย

ใครจงึ ไมค วรดดุ า ลกู ๆ หลานๆ ดวยการประมาทพระศาสนาวา “ไอน ม่ี นั
เกียจครานนัก เอาไปบวชเสีย” เพราะพระพุทธเจาไมใชชางทําสวม ธรรมของทานไมใช
สวมพอจะเปน เครือ่ งรบั ถายมูตรคถู เชนนั้น ศาสนาไมใ ชห อ งนาํ้ หอ งสว มหลมุ มตู รหลมุ
คูถ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๑

๔๑๒

ผูที่ประกอบความเพียร ความเสยี สละ ความอดความทน จนถึงเปนถึงตาย จะมี
ใครเกินพระพุทธเจาไปไดเลา นี่แหละตนเหตุที่จะไดธรรมอันประเสริฐเลิศโลกเกิดขึ้น
และนํามาประกาศสอนโลกทั่วไป ทา นไดม าดว ยวธิ นี น้ั ดว ยอาการนน้ั ฉะนั้นการที่จะรื้อ
ถอนตนใหพ น จากทกุ ข จึงตอ งอาศยั ความพากเพยี รอยา งเตม็ กาํ ลงั ความสามารถขาด
ดิ้นไมยอมลดละ ไมย อมถอยหลงั ถา ถอยกต็ อ งจมอกี ไมถ อยก็ไมจ ม คอ ยคบื คลานขน้ึ
มาดวยความเพียรโดยสม่ําเสมอ กย็ อ มจะผา นพนไปได

รางกายเรานี้ไมมีประโยชนอะไร ถาไมพาทําประโยชนเสียแตเวลานี้ ตายแลว มี
แตเ รอ่ื งยงุ กนั “โอโห ยุงมหายุง นั่นซิมันดูไมได ไอเ รอ่ื งตายนถ้ี อื กนั วา เปน เรอ่ื งใหญโ ต
มาก ยุงกันไปหมด คนเปน นน่ั แหละตวั ยงุ หาอะไรมายงุ กนั ไปหมด เหน็ แตพ ระตายก็
ยังยุงมาก ซง่ึ ไมน า จะเปน อยา งนน้ั เลยกย็ งั เปน ได ทา นตายแลว เกบ็ หมกั เกบ็ ดองเอาไว
ไมท ราบวากเ่ี รอื่ งกีร่ าย จะทาํ ปลารา หรอื นาํ้ ปลากไ็ มไ ด แตใ จชอบอยา งนน้ั หลั่งไหลมา
ยุงดวยกันโดยไมมีเหตุมีผลอะไรที่ไมควรเปนเลย มันก็ยังเปน เพราะใจมนุษยนิยมชอบ
อยา งนน้ั

เวลายงั มชี วี ติ อยู จะสนใจประพฤตปิ ฏบิ ตั คิ ณุ งามความดใี หเ กดิ จากสกลกายนก้ี ็
ไมค อ ยสนใจ เวลาตายแลว จะใหร า งกายนเ้ี ปน ประโยชน มันจะเปนประโยชนไดอยางไร
กนั ถาไมพาทําเสียตั้งแตบัดนี้ ทําใหพอ ! ตายแลว กท็ ง้ิ ไปนน่ั เอง จะเปนประโยชนอ ะไร
อกี ถาเปนประโยชนอยูจะตายไปทําไม มันไมเปนประโยชน เพราะหมดกําลังความ
สามารถสบื ตอ แลว มนั ถงึ ตาย ตายแลวทิ้งลงไป อันใดท่ีเปนสาระสําคญั ซึ่งไดจากการ
กระทาํ ของรา งกายนี้ ก็ถือเอาเปนประโยชนตอไป ชื่อวาเปนผูไมประมาท

เวลานช้ี วี ติ รา งกายของเรากาํ ลงั เปน ประโยชน ทํากิจการทางโลกก็เปนประโยชน
ทางธรรมก็เปนประโยชน ฉะน้ันงานท้งั สองประเภทนท้ี ่เี รายงั มคี วามสามารถทาํ ไดอ ยู
เรากต็ อ งทาํ ไมอ ยเู ปลา

งานทางโลกกต็ อ งทาํ เพราะสงั ขารรา งกายมคี วามจําเปน ตอ สงิ่ เยยี วยารกั ษา อยู
เฉยๆ ไมได ตองมีเครื่องนุงเครื่องหมปกปดสกลกาย มีที่อยูอาศัย มีปจจัยเครื่อง
สนบั สนนุ อาหารการบรโิ ภคตลอดหยกู ยา ไมก าํ หนดกฎเกณฑว า มมี ากมนี อ ย เรื่อง
มนษุ ยเปนอยา งนน้ั

สัตวเ ขาไมม ีอะไรมากเหมอื นมนษุ ย ผานุงผาหมเขาก็ไมมี ทน่ี อนหมอนมงุ เขาก็
ไมมี หยกู ยาแกโ รคเขากไ็ มม ี เขายังมีความสืบตอ เปน สตั วมาได

แตม นษุ ยเ รานซ่ี ิ ถา พดู ตามความจรงิ กว็ า ออ นแอมากกวา สตั ว ไปที่ไหน
พะรุงพะรังดวยเครื่องนุงหม ดว ยเครอ่ื งอยเู ครอ่ื งกนิ เตรียมกันไปเต็มที่เต็มทางกลัวแต
จะอดตาย หยกู ยาปลาแปง อะไรพากนั หอบหว้ิ ใหย งุ ไปหมด แมจะไปวัดเพื่อภาวนาตัด

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๒

๔๑๓

กังวล ยงั ไมส นใจคิดวาความพะรุงพะรงั นะ คอื ความกงั วลเปนหว งรา งกายกลวั จะอด
ตาย ยง่ิ กวา จะหว งใจ

การกลา วทง้ั นม้ี ไิ ดเ จตนาตาํ หนมิ นษุ ยโ ดยถา ยเดยี ว แตเ ปน อบุ ายเตอื นมนษุ ย
ใหมีความเขมแข็ง และรจู กั ผอ นหนกั ผอ นเบา ไมเ ปน คลงั แหง ความกงั วลบนหวั ใจโดย
ถายเดียว แทนทจ่ี ะเปน คลงั แหง ธรรม

ตามธรรมดาแลว มนษุ ยม คี วามฉลาดเหนอื สตั ว ความตา นทานของมนษุ ยก ไ็ ม
เหมอื นสตั ว มนั ผดิ กัน มนษุ ยเ ราเกดิ มาในทา มกลางแหง ความชว ยเหลอื จากผอู น่ื
ฉะนั้นความเปนอยูตางๆ จึงตางจากสัตวเปนธรรมดา แตนักปฏิบัติธรรมควรคิดเรื่องนี้
ไวเ สมอเพอ่ื กนั ความลมื ตวั และออ นแอ เวลาไมสบายมีเจบ็ ไขเปนตน จิตใจจะไมเขม
แข็งเพื่อคนหาความจริงตามหลักสัจธรรม

ครั้งพุทธกาลพระบางองคทานไดสําเร็จอรหันต เพราะทุกขเวทนาเวลาเจ็บไขก็มี
ทั้งนี้เพราะจติ ใจเขมแข็ง เพราะฉะนน้ั การกลา วนจ้ี งึ กลา วเพอ่ื จติ ใจ โดยเฉพาะใจสําคัญ
มาก เพื่อใจไมสะดุงกลัว ไมระส่ําระสาย ขาดสตปิ ญ ญาเครอ่ื งพจิ ารณาในเวลาเจบ็ ปว ย
ดังพระกรรมฐานทานเที่ยวตามปาตามเขา ตวั อยา งมที า นอาจารยม น่ั เปนตน หยกู ยาก็
ไมไดติดเนื้อติดตัวไปเลย เวลาเจ็บไข

“เอา โรคน้ีเวลาจะเปน ข้นึ มา เปนมาจากทไ่ี หน กเ็ กดิ ขน้ึ ภายในรา งกายน้ี เชน
เจ็บไข ปวดหัว เปนตน เวลาเกิดมนั กเ็ กิดข้ึนทีน่ ี่ เวลาหายมนั จะหาหยกู ยาจากทไ่ี หน
มนั เกดิ ทน่ี ม่ี นั กด็ บั ทน่ี ่ี ถา รา งกายหรอื จติ ใจไมม คี วามสามารถตา นทานกนั มนั กต็ ายทน่ี ่ี
เกดิ กบั ตายเปน ของคกู ัน โรคภัยไขเจ็บที่เกิดขึ้นกับดับไป มนั กเ็ ปน ของคกู นั มันจะเกิด
จะดบั ทไ่ี หนถาไมเ กดิ ดบั ทนี่ ่ี” ทา นวา

“พวกสตั วสาราสงิ มอี ยูเตม็ ในปาในเขานี้ เขาไมไดมีหยูกมียา เขากม็ ธี าตขุ นั ธ
เชนเดียวกัน เขาอาจมีเจ็บไขไดปวยไดเชนเดียวกับมนุษยเรา แตทําไมเขาจึงไมสูญพันธุ
ทาํ ไมเราจงึ กลวั ตายนกั ออ นแอนกั !“ นท่ี า นพลกิ ใจของทาน

“เราตองพิจารณาใหรู “สัจธรรม” เปน ธรรมโอสถเครอ่ื งแกก นั ไมใหจิตใจลุม
หลงสา ยแสไ ปกบั สง่ิ เหลา นน้ั อนั จะกอ ความทกุ ขใ หก บั ตนมากขน้ึ ”

ทานก็พิจารณาจนกระทั่งทราบเรื่องเหตุเรื่องผล ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งภายในรา งกาย
เวทนาจิตโดยตลอด โรคภัยไขเจ็บหายไปเลยก็มีดังที่เขียนไวในประวัติของทานอาจารย
มั่น

แมโรคมันจะไมหายก็ตาม เรื่องจิตใจนั้นจะตองมีความเขมแข็ง มคี วามเฉลยี ว
ฉลาดตอ วธิ กี ารปฏบิ ตั ติ อ ตนเอง ซึ่งเกี่ยวกับโรคภัยไขเจ็บเปนพิเศษ ผิดกับคนธรรมดา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๓

๔๑๔

อยมู าก นก่ี เ็ คยไปปฏบิ ตั มิ าอยา งนน้ั เชน เดยี วกนั เวลาเจ็บไขไดปวยมากๆ หามใครเขา
ไปเกี่ยวของเลย ถา สมมตุ วิ า อยกู บั หมเู พอ่ื นอยา งน้ี ก็ปด ประตแู ละบอกทันที และหา ม
เด็ดขาดเลยวา “ใครอยามาแตะตองหรือเปดประตูเปนอันขาด ถาประตูนี้ไมเปดหามไม
ใหใ ครเขา มาเกย่ี วของ วันนี้จะตองพิจารณาขุดคนกันอยางเต็มภูมิเต็มฐานทีเดียว
เพราะวานี่เปนทุกขเวทนาซึ่งเกิดขึ้นจากการเจ็บไข”

ทุกขเวทนาทีเ่ ราเคยพบเพราะน่งั ภาวนามาตง้ั หลายชว่ั โมง เรายังสูได พิจารณา
แทงทะลุปรุโปรงไปได ไดเหตุไดผล ไดอรรถไดธรรม ไดค วามเฉลยี วฉลาด ไดค วาม
ศักดส์ิ ทิ ธ์ิที่สาํ คัญข้ึนมาภายในใจแตล ะครง้ั ๆ ไมเคยพลาดไปเลย แตเวลาเจ็บไขได
ปวยนี้เราจะปฏิบัติอยางไร ถาไมปฏิบัติอยางนั้นเราจะปฏิบัติทางไหน ไมมีทางหลีกเรน
ได เพราะรางกายนี้เปนที่เกิดแหงโรคตางๆ ไมมีประมาณ

สติปญญาเปนเครื่องพิจารณาความจริงซึ่งเกิดขึ้นนั้น โรคแตล ะชนดิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ก็
ทําใหเกิดทุกขเวทนา ทกุ ขเวทนานน้ั เปน สจั ธรรม เราไมพิจารณาสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับ
เราเวลานี้เราจะพิจารณาอะไร เรากลวั สัจธรรมกเ็ ทา กับเรากลัวกิเลส เราสูกิเลสไมไดก็
เทากับเรา “แพก เิ ลส” โดยตรง ถา เราพจิ ารณาสัจธรรมเขา ใจแจมแจง จริงแลว กช็ อ่ื วา
เรามีความเฉลียวฉลาดเอาตัวรอดได เอา คนลงไปทีเดียว!

ทุกขเ กดิ ข้ึนมาจากไหน เปนขึ้นที่ตรงไหน คนลงไป สติปญญาหมุนติว้ ไปตาม
อาการของเวทนาทแ่ี สดงตวั อยใู นรา งกายสว นตา งๆ กระทั่งทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นอยาง
เต็มที่ในขณะนั้นไดหายไป ขยายตวั ออกไป ๆ เพราะสติปญญาไลตอนเขาสูความจริงไป
โดยลาํ ดบั เม่ือเจอความจริงทตี่ รงไหน ทกุ ขเวทนากก็ ระจายออก ๆ เห็นอยางชัดเจน
ภายในใจ จนกระทั่งรา งกายทกุ สว นทเ่ี ปน กองทกุ ขซ ึ่งเกิดจากการเจ็บไขนั้น หายไป
หมดเลย เหลอื แตค วามรลู ว นๆ ทส่ี วา งไสวครอบรา งกายในขณะนน้ั แมแ ตร า งกายท่ี
เคยปรากฏอยใู นขณะนัน้ พรอ มกบั ทกุ ขท ก่ี ลมกลนื เปน อนั เดยี วกนั นน้ั เหมอื นกบั จะ
แยกกนั ไมอ อก กก็ ลบั กลายหายไป ทง้ั รา งกายกห็ ายไป ทุกขเวทนาท่เี กิดข้นึ ภายในรา ง
กายกห็ ายไป คอื รา งกายหายไปในความรสู กึ เหลอื แตค วามรซู ง่ึ เปน สง่ิ ทอ่ี ศั จรรยล ว นๆ
ทรงตัวอยู โดยไมม กี าํ หนดกฎเกณฑว า อยสู งู อยตู าํ่ อยใู นดนิ ฟา อากาศทไ่ี หน หายเงียบ
ไมม รี า งเปนทีส่ ิงสถิตอยใู นความรสู ึกเวลานั้น นน่ั ! เหน็ ความอศั จรรยข น้ึ มาแลว ! พอ
ถอนออกมาเทา นน้ั “โรคหายไปเลย!”

นเ่ี รยี กวา “สตปิ ญ ญาพจิ ารณาสจั ธรรม” เมื่อรูสัจธรรมแลวจะไมถอนทุกขไม
ถอนกเิ ลสอาสวะจะถอนอะไร เพราะสัจธรรมก็เปนความจริงแตละอยาง ๆ คอื ทกุ ขก ็
เปนความจริง สมทุ ยั กเ็ ปน ความจรงิ สติปญญาที่เรียกวา “มรรค” ก็เปนความจริง ตา ง

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๔

๔๑๕

อันตางจริง เมอ่ื เขา ถงึ กนั แลว ตา งกเ็ ปน ความจรงิ ลว นๆ จิตจะปลอมมาจากที่ไหนอีก

เมื่อไดใชสติปญญาเปนเครื่องซักฟอกแลว
เพราะฉะนน้ั จติ จงึ แนว แนอ ยตู ามความจรงิ ของตน คาํ วา “ยา” หายไปหมด

เร่อื งความคิดถึงหยกู ถงึ “ยา” คิดไมได ไมมีเวลาไปคดิ คดิ ไปไหน เมอ่ื คดิ ไปแลว มนั ก็

ไมไดผล จึงไมคิดใหเสียเวลา

คิดที่ตรงนี้ ตรงที่ควรจะคิดนี้ เวทนามากนอ ยเกดิ ทีต่ รงน้ี การเจ็บไขไดปวยเกิด

ขน้ึ ทร่ี า งกายน้ี พิจารณาที่ตรงนี้ สตปิ ญ ญากม็ อี ยทู น่ี ่ี คนกนั ลงท่นี ี่ หมนุ ตว้ิ ๆ ลงไปท่นี ่ี
พอไดท แ่ี ลว ทกุ ขเวทนากห็ ายหมด! นเ่ี รยี กวา “ไมเสียผลเสียประโยชน” เรียกวา “รบ
ขาศึกไดชัยชนะ!”

หากจะตายในเวลานน้ั จิตกไ็ มย อ ทอ จิตกส็ ามารถรบั รองตวั ได หรอื ชว ยตวั เอง

ได ไมใ หท กุ ขเวทนาทง้ั หลายเขา มาครอบงาํ จติ ไดเ ลย เพราะอํานาจของสติปญญารอบ
ตัว หากวา จะตายลงในขณะนน้ั กต็ ายไปอยา ง “สคุ โต” ทาํ ใหเ บาทง้ั กายทง้ั ใจอยา งน้ี

เอง ใจนที้ ําใหฉ ลาดก็ไดทําใหโ งกไ็ ด แลวแตผูนัน้ จะปฏิบัตติ ัวอยา งไร
ถา จะให “จมอย”ู ตั้งกัปตั้งกัลปก็จมได ไมม วี นั อม่ิ พอในความจม จมอยูใน

“วฏั สงสาร” นั่นเอง มีความ เกิด แก เจ็บ ตาย นั้น มนั อิ่มพอทไี่ หนกัน ถา อม่ิ พอกนั ได

สตั วโ ลกกไ็ มค วรจะมาเกดิ ตายกนั ไมห ยดุ อยา งน้ี
ทา นจงึ สอนวา “นตถฺ ิ ตณหฺ าสมา นที” แมน าํ้ เสมอดว ยตณั หาไมม ี” กต็ ณั หาน้ี

แลพาใหสตั วเ กิดตายไมม ีเวลาอิม่ พอ เพราะตัวเหตุคือตัณหาไมเคยมีความอิ่มพอ

ความเกิดตายอนั เปนเครอื่ งผลกั ดนั จากตัณหา จะหยุดตัวและอิ่มตัวไดอยางไรเลา

ฉะนน้ั การจะใหค วามอม่ิ พอของความทกุ ขแ ละการเกดิ ตายเปน ไปเอง โดย
ไมก าํ จดั ตน เหตคุ อื “ตณั หาอวชิ ชา” ใหส น้ิ ไปจากใจ จึงเปนความหวังที่ลอยลม ไมม ี
ความหมายใดๆ ทง้ั สน้ิ อยา พากนั หาญคดิ !

การเกดิ นน้ั เกดิ เทาไรตายเทา น้นั ตายเทาไรเกิดเทานั้น หรอื มากยง่ิ ขน้ึ ไป
เพราะสิ่งที่จะทําใหเกิดคือกิเลสอวิชชาพอตัวเมื่อไร มนั ไมเ คยมคี วามพอตวั เลย“นตถฺ ิ
ตณหฺ าสมา นที” แมน า้ํ ทะเลหลวงมหาสมุทร กส็ คู วามอยากทจ่ี ติ ทเ่ี ตม็ ไปดว ย “ตณั หา”

นี้ไมได ความอยากกค็ อื กเิ ลสนเ่ี อง มนั มคี วามพอตวั ทไ่ี หน จงทาํ ความเขา ใจอยา งถงึ ใจ

วา ถา จะปลอ ยใหส ง่ิ เหลา นพ้ี อตวั ไปเอง กก่ี ปั กก่ี ลั ปก ไ็ มม หี วงั ไมมีฝงไมมีแดนเลย

เพราะฉะนั้นจึงควรพยายามแก พยายามคลค่ี ลาย พยายามบกึ บนึ พยายามตอ สสู ลดั

ปด กเิ ลสเครอ่ื งพวั พนั ทง้ั หลายออก เพื่อเขาหาฝงหาแดนพนทุกขไปไดโดยลําดับ ดว ย
ศรัทธา ความเพยี ร มีสติปญญาเปนสําคัญ!

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๕

๔๑๖

จงคนคิด พิจารณาลงที่นี่!
พระพุทธเจา สาวกทง้ั หลายทา นพน ทกุ ข ทานไมไดพนจากที่ไหน ทา นพน ทก่ี อง
ทุกขนี้แล แตถ า ไมพ จิ ารณากองทกุ ขก ไ็ มพ น ตอ งถอื เอาทกุ ขเ ปน หนิ ลบั สตปิ ญ ญาใหม ี
ความแกลว กลา สามารถรเู ทา ทนั กนั กบั สจั ธรรมทง้ั ส่ี ทกุ ขท ง้ั หลายจะไมเ ปน ภยั ตอ จติ
ใจอกี ตอ ไป ทุกขจะปรากฏตัว “สกั แตว า ทกุ ข” แมจะไมดับไปก็ตาม เพราะอํานาจแหง
สติปญญาพิจารณารูรอบทั่วถึงแลว ทกุ ขเวทนาจะตง้ั อยตู ามความจรงิ ของตน ไม
สามารถเขามากระเทือนจิตใจไดเลย เพราะปญ ญารอบตวั อยแู ลว จิตก็จะตั้งอยูตาม
ความจริงของตัว ตา งอนั ตางจริง ไมมีอะไรกระทบกระเทือนกัน เมอ่ื ความจรงิ เขา ถงึ

กนั แลว ไมเ กดิ เรอ่ื งตอ กนั
อนั เรอ่ื งความจรงิ กบั ความปลอมทม่ี นั วนุ กนั อยนู ้ี ก็เพราะความจอมปลอมขน้ึ

แซงหนาไปเรื่อยๆ มันจึงทาํ ใหจ ติ จมอยเู รอ่ื ยๆ เราเคยบน กนั มากเหลอื เกนิ คอื บน
อยากจะพบความสุขความเจริญ แลว ความสขุ ความเจรญิ นน้ั อยทู ไ่ี หน ? เวลานผ้ี ู
ตองการความสุขความเจรญิ จมอยูก ับอะไร ? ถึงหาความสุขความเจริญไมไดไมเจอ
ทั้งๆ ที่เราปรารถนาความสขุ ความเจรญิ ดวยกันทั้งโลก ถา ไมแ กส าเหตใุ นจดุ นแ้ี ลว ก็ไม
มีทางพบความสุขความเจริญไดอยางพึงใจเลย การปลอ ยใหจ ติ พอตวั แลว พน ทกุ ขไ ป
เอง และการปลอ ยใหก เิ ลสพอตวั แลว สลดั ปด ทง้ิ คน ปลอ ยคนใหเ ปน อสิ ระ เหมือนเขา
ปลอยนักโทษออกจากเรือนจํานไ่ี มม หี วงั ! อยางไรๆ กเิ ลสจะตอ งผกู มดั คนไปเรอ่ื ยๆ
อยูอยางนี้! นอกจากจะใชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาดงั ท่วี า แลวเทาน้ัน จึงจะมีหวังดังใจหมาย!

ฉะนน้ั ศาสนาจงึ มคี วามจําเปน อยา งยง่ิ กบั มนษุ ย ผตู อ งการความสงบสขุ แกต น
และครอบครัว ตลอดการหลดุ พน จากการจองจาํ ทง้ั หลาย มนษุ ยเ ราจาํ เปน อยา งยง่ิ ท่ี
จะนาํ ศาสนาเขา มาเปน เครอ่ื งมอื ดาํ เนนิ เปน ขน้ั ๆ ไมปลอ ยตัวตามอําเภอใจ เพราะ
กิเลสเครื่องทําลายความสุขมีหลายประเภทมาก ทา นจึงสอนตง้ั แต ทาน ศีล ภาวนา

“ทาน” เพื่อประโยชนอะไร เพอื่ ความเสียสละความตระหนี่ถ่เี หนียว เกย่ี วเนอ่ื ง
มาจากความเห็นแกต ัว และสงเสริมความละโมบโลภมากใหพอกพูนหัวใจ เห็นอะไรๆ
มีแตจะเอาทาเดียวไมมองดูสังขาร

การใหท านยอ มเกดิ ประโยชนแ กผ รู บั จากการเสยี สละนน้ั ๆ ดังพระเวสสันดร
ทา นใหท านเปน ตวั อยา งอนั ดเี ลศิ มาแลว จนกระเทอื นโลก “ทาน” แปลวา การใหโ ดยไม
หวังสิง่ ตอบแทนจากผูรบั ดังเขาซอ้ื ขายกนั ใหด ว ยความสงสาร ใหด ว ยความอนเุ คราะห
ใหด ว ยความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ใหด ว ยการบชู าคณุ แกท า นผมู คี ณุ แกเ รา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๖

๔๑๗

การใหท านดว ย “วตั ถุ” ดวยกาํ ลงั ดว ยวชิ าความรู เรียกวา “ทาน” เชน วตั ถทุ าน

เปนตน ผูรับทานกไ็ ดรบั ความสขุ และความภาคภมู ิ เยน็ ใจ เปน ความสขุ ความสบายทง้ั

สองฝาย ผูที่ไดรับการสงเคราะหจากเรานั้นก็มีความสุข เราที่เสียสละใหทานได กเ็ ทา

กบั เราตัดความตระหนเ่ี หนยี วแนน อนั เปน สง่ิ ทผ่ี กู มดั จติ ใจออกไดด ว ยเราเองกเ็ ปน สขุ

ทท่ี า นสอนไวน เ้ี ปน วธิ กี ารปราบกเิ ลสทง้ั นน้ั การทาํ ใดทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสอน

ไว ตอ งมคี วามหมายทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง
“ศีล” ก็เปนเครื่องระงับกิเลสประเภทหนึ่ง
“ภาวนา” ภาวนานเ้ี ปน “ธรรมรวบยอด” ทจ่ี ะฆา กเิ ลสทง้ั หลายที่รวมตัวเขาไป

อยใู นใจ นเ่ี คยสอนมาแลว การภาวนาก็คือการเรียนรูค วามจริงของตวั เอง ซึ่ง “ม”ี
และ “เกิดขึ้น” กบั “กาย” และ “ใจ” อยเู สมอ เวลานี้เรายังรูความจริงไมได เพราะจิต

เรามนั เทย่ี วตาํ หนโิ นน ตาํ หนนิ ้ี หาความจรงิ ในตวั ไมไ ดว า รา งกายเปน อยา งไร รา งกาย

เปน อยา งน้นั สว นนน้ั เปน อยา งนน้ั สว นนเ้ี ปน อยา งน้ี ตําหนิเขาวันยังค่ําคืนยังรุงทั้งที่ไม
เกิดประโยชนอะไร หากตาํ หนอิ ยนู น่ั แล ตามนสิ ยั มนษุ ยท ใ่ี จ “หลกุ หลกิ ” เพราะจติ มนั
ปลอมไมมีความจริง จงึ ชมสง่ิ ใดวา จรงิ อยา งมเี หตผุ ลไมไ ด

การปฏิบัติคือการคอยสอดสองดูจิต เฉพาะอยา งยง่ิ รา งกาย จิตใจ จิตใจมี

ความปรุงแตงไปอยางไรบาง หนกั เบาในทางใด พิจารณาจิตของตัว และคอยตาํ หนติ ิ
เตยี นตวั เอง คอยกําจัด คอยหกั หา ม คอยแกไ ขกนั ดว ย “สตปิ ญ ญา” รางกายเปน
อะไร มีความเจบ็ ไขไดป วยประการใดบา ง จงพิจารณาลงเปน “สัจธรรม” ใหเ หน็ ตาม
ความจริงอยา ไปฝน อยา ฝน “คติธรรมดา” คอื ความจรงิ อยา เอาความ “อยากหาย”เขา

ไปต้งั ในทกุ ขเวทนาน้นั ๆ จะทาํ ใหทุกขน ้นั กาํ เรบิ มากขึ้น เพราะความอยากนั้นเปนเรื่อง

ของกิเลสตัณหา แตความตองการรูความจริงนั้นเปนเรื่องของธรรม จงพินิจพิจารณา

ดวยปญญาใหเห็นแจมแจง ชัดเจนแลว มันจะแยกตัวออกจากกันเองไมตองสงสัย

ศาสนาทา นสอนใหม คี วามเขม แขง็ ไมยอทอ ไมต าํ หนวิ าสนาของตวั วา มนี อ ย จง

ปราบปรามกเิ ลสซง่ึ มอี ยภู ายในใจออกใหส น้ิ ไป แมปรมาณูอยาใหมีเศษเหลือได เพราะ
มัน “ตัวจัญไร” ทั้งสิ้นไมใชของดีเลย การทโ่ี ลกบน กนั วา “ทกุ ขๆ ” นน้ั ลว นเปน สาเหตุ

มาจากกเิ ลสท้ังหมดไมใชสิ่งอนื่ ใด กิเลสนี้แลเปน เครอ่ื งกดถวงจิตใจของสัตวโ ลกใหไ ด

รบั ความทกุ ขค วามลาํ บากเรอ่ื ยมา อยา เขาใจวา เปน เพราะอะไรอ่ืน

ความทกุ ขเ พราะดนิ ฟา อากาศหรอื จากสง่ิ อน่ื ๆ นน้ั ไมกระเทือนจิตใจมาก
เหมอื นกเิ ลสอนั เปน “ขา ศกึ ” ของใจเลย แตเ รอื่ งของกิเลสนก้ี ระเทือนมากทเี ดยี ว
เพราะเปนตัวพิษตัวภัยของใจโดยตรง ไมม คี าํ วา “ออ ม” ส่ิงอน่ื ๆ อะไรจะขาดตกบก

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๗

๔๑๘

พรองไปบาง ถา จติ ใจยงั มคี วามผาสกุ อยดู ว ยอรรถดว ยธรรมแลว ยงั พออยูพ อเปนพอ
ไปพออดพอทนกนั ได

แตถ า เปน เรอ่ื งของกเิ ลสแลว มนั ทาํ ใหเ ดอื ดรอ นวนุ วายมาก ทําใหกระเสือก
กระสนกระวนกระวายมาก ทาํ ใหท ะเยอทะยานมาก ทาํ ใหอ ยากใหห วิ โหยมาก เปน ราคี
ตอ จติ ใจมาก เวลากเิ ลสกาํ เรบิ มากๆ แมจ ะมสี มบตั หิ รอื มกี องเงนิ กองทองอยเู ทา ภเู ขา
มันก็หาความสุขไมได เพราะตัวกิเลสพาใจใหเปนทุกข จะเอาความสุขมาจากไหน แม
ขน้ึ ไปนง่ั บนกองเงนิ กองทอง ก็จะไปรองครางเพราะความทุกขรอนวุนวายระส่ําระสาย
ทง้ิ เนอ้ื ทง้ิ ตวั อยบู นกองเงนิ กองทองนน้ั แล เพราะนี้เปนตัวโรคอันสําคัญ จงึ ตอ งแกก นั
ตรงนี้

ความโลภ ความโกรธ ความหลง แตล ะชนดิ ๆ เปนโรครายอันใหญโตมาก เปน
โรคอนั สาํ คญั ทเ่ี กาะกนิ อยภู ายในจติ และเอาจติ ใจเปน อาหาร ขูดรีดจิตใจวันยังค่ําคืน
ยังรุงไมมเี วลาอม่ิ พออยูอยางนน้ั

แตจิตใจนี้ทนทานมาก ถึงจะถูกทรมานดวยกิเลสประเภทใดๆ กย็ งั ทนทานตวั
อยอู ยา งนน้ั เราถึงไดมองเห็นความทนทานของจิตเราอยูเรื่อยมา ถา หากจติ นไ้ี มแ นน
หนามน่ั คงทนตอ การเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายของกเิ ลสประเภทตา งๆ แลว จิตนี้จะตองแหลก
เปนผุยผงไปนานแลว ไมมีจติ สงิ อยูใ นรางคนรางสตั วเลย เพราะความทนทานของจติ
สาระสาํ คญั ของจติ จงึ ทนไดอ ยูไดเรื่อยมาจนถึงปจจุบัน ไมถ กู ทาํ ลายหายสญู ไป ฉะนน้ั
จติ จงึ ควรไดร บั ความเหลยี วแลจากเจา ของอยา งใกลช ดิ เสมอ ไมควรปลอยไปตาม
บุญตามกรรม จะเปนการซ้ําเติมจิตใหมีความทุกขและเศราหมองยิ่งขึ้น จนถึงขั้น “หมด
หวงั ” ดังคนไขเขาหอง “ไอ.ซี.ยู.”

ใจทม่ี กี เิ ลสยอ มเปน ใจทม่ี ภี าระหนกั มาก เวลาจะพาทําความดีใจมันฝนไมอยาก
ใหท าํ เหมอื นจะถอนหนามออกจากฝา เทา กลวั แตจะเจ็บปวดถา ยเดียว ฉะนั้นพอจะทํา
ความดีมภี าวนาเปนตน ทีไร เหมือนจะพาเขาตะแลงแกง (เขาสูที่ประหารชีวิต) เหมอื น
จูงสนุ ัขเขา ใสฝน เหมอื นกบั สตั วถ กู ไลจ ะเขา โรงฆา สตั ว เหมือนจะถูกประหัตประหาร
ชีวิต เหมอื นจะถกู โยนลงในเหวในบอ นน่ั แล เพราะความเปนขาศึกระหวางกิเลสกับ
ธรรมเหมือนขมิ้นกับปูน

พอจะนง่ั ภาวนาบา ง ใจเริ่มหาเรื่องมาขัดขวางนานาประการจนนั่งไมลง ราวกับ
พน้ื ทม่ี แี ตข วากหนาม ใจอยูดีๆ ก็เกิดความรุมรอนขึ้นมา เพราะแรงขี้เกียจมันเผาลน
แขนขายกไมข น้ึ ออ นเปย กไปหมดราวกบั ไมม เี สน เอน็ ตดิ ตอ กนั การเดนิ จงกรมนง่ั สมาธิ
สวดมนตไหวพระ ภาวนาเพอ่ื ชาํ ระจติ ใจใหส ะอาดปราศจากความฟงุ ซา นวนุ วาย ใจขดั

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๘

๔๑๙

ขืนไมอยากทํา มแี ตค วามอดื อาดเนอื ยนาย เรอ่ื งกเิ ลสเขา ครองใจ มนั ทาํ ใจใหเ ปน

ขา ศกึ และเปน อปุ สรรคตอ ความดที ง้ั หลายอยา งนแ้ี ล

แตเ มื่อพยายามตะเกยี กตะกาย พยายามบกึ บนึ หลายครง้ั หลายหนเขา ใจขดั ขนื

ธรรมไมได กย็ อมทาํ ตามบา งขดั ขนื บา ง ระหวา งบาปกบั บญุ ตอ สกู นั ไป แพบ า งชนะบา ง

สว นผลดกี ค็ อ ยปรากฏขน้ึ ธรรมกค็ อยแทรกถึงใจเขาโดยลําดับๆ จติ กค็ อ ยเบาขน้ึ

มาเรอ่ื ยๆ ทาํ ความเพยี รกน็ บั วนั คลอ งแคลว แกลว กลา สตปิ ญ ญากค็ อ ยเกดิ ขน้ึ ๆ

กเิ ลสคอ ยๆ หลดุ ลอยไป ใจนบั วนั เบาและผอ งใสขน้ึ มาโดยลาํ ดบั สตปิ ญ ญากย็ ง่ิ มี

ความขยนั หมน่ั เพยี รจะคดิ อา นไตรต รอง ความพากเพยี รทกุ ดา นดไี ปตามๆ กนั จน

สามารถชาํ ระไดห มด
ทนี อ้ี ะไรเลา จะประเสรฐิ ยง่ิ กวา จติ ! เอาอะไรมาเทียบไมไดเลย นแ่ี หละ “จิต

คนเรา” ถา วา “เยี่ยม” กเ็ ยย่ี มทส่ี ดุ ดีก็ดีที่สุด ดที ส่ี ดุ กค็ อื “จิต” เมอ่ื ชาํ ระแลว ไมม ี

อะไรเสมอเหมอื นในโลก เปน แกว สารพดั นกึ อยภู ายในตวั แตเ วลาเลวและผาดโผนก็

เลวและผาดโผนที่สุดเชนกัน กอนที่ยังไมไดรับการอบรมฝกฝน
ศาสนธรรมเทา นน้ั ทจ่ี ะฉดุ ลากจติ ใจทใ่ี ฝต าํ่ ทาํ ตวั ใหเ สยี คน ขน้ึ มาเปน “จิตด”ี

เปนจิตเลิศเปนคนประเสริฐได เพราะธรรมเหนือและประเสริฐกวากเิ ลสบาปธรรมแต

ไหนแตไรมา จงึ มอี าํ นาจปราบปรามกนั ไดท นั เหตกุ ารณเ รอ่ื ยมาทกุ ยคุ ทกุ สมยั
“พุทธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมทง้ั หลายจนซาบซง้ึ ถงึ ใจแลว อยทู ใ่ี ดกม็ ี

“พุทธ” เขา ถงึ “พุทธ” ไมเ ลอื กกาลสถานท่ี เปน “อกาลโิ ก” “ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ” กถ็ งึ
ใจ “สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ กถ็ งึ ใจ อยูที่ไหนก็ปรากฏพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ

สถิตอยทู ใี่ จน้เี ลย ทงั้ สามรตั นะซึ้งถงึ ใจอยูต ลอดเวลา
คาํ วา “พระพุทธเจานิพพานไปเปนเวลานานเทานั้นเทานี้ป” กไ็ มม ปี ญ หาขอของ

ใจหนักใจอะไรเลย ไมส นใจคดิ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา เพราะธรรมอันแทจริงคืออะไร พุทธะ

อันแทจริงคืออะไร สังฆะอันแทจริงคืออะไร กค็ อื ธรรมทป่ี รากฏชดั อยภู ายในจติ เรา

จิตทานที่บริสุทธิ์เทานั้น
“ธรรม” กบั ใจนเ้ี ปน ฉนั ใด พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆก เ็ ปน ฉนั นน้ั ฉะนน้ั

ทา นผสู น้ิ สงสยั ในธรรมแลว ทา นจงึ ไมค ดิ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาวา “พระพุทธเจานิพพานไป
นานแลว ” เสียใจเกิดไมทันทาน ปฏิบัติอยางไรก็ไมไดมรรคไดผล !” ตามเรื่องของ
“กิเลส” มันหลอกลวงไป

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑๙

๔๒๐

สําหรับทานผูรูธรรม ทา นไมค ดิ แบบคนโงต ดั หนามกน้ั ตวั เองอยา งนน้ั พระพุทธ

เจา เราอยทู ไ่ี หนทา นกอ็ ยทู น่ี น่ั ความรทู บ่ี รสิ ทุ ธอ์ิ นั นก้ี บั พระพทุ ธเจา เทยี บกนั ไดท นั ที
อนั นฉ้ี นั ใดอนั นน้ั ฉนั นน้ั ขอใหเ ขา ถงึ ความบรสิ ทุ ธเ์ิ ถดิ “พุทธะ” ของเรากับ“พุทธะ”

ของพระพุทธเจา ไมแ ยกจากกนั เลย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั ไมมีเรื่องอะไรจะพูดใหยืดยาวยิ่ง
กวา นน้ั เพราะเปนเรื่อง “ตะครุบเงา” ไมมีสิ้นสุด

เอาตวั จรงิ มาพดู เลยดกี วา “พุทธะ” นฉ้ี นั ใด “พุทธะ” ของพระพทุ ธเจา กฉ็ นั นน้ั
“พุทธะ” อนั นจ้ี ะอนั ตรธานสญู ไปไหน รูอยูใ นตวั เองแลว แลวพระพุทธเจาเปนอยางไร
ก็หมดปญหา ธรรมแทคืออะไร กอ็ ยทู ใ่ี จนก้ี ลมกลนื เปน อนั เดยี วกนั พระพุทธเจา พระ

ธรรม พระสงฆ โดยหลักธรรมชาติแลว คอื ธรรมท้ังแทงอยูภายในใจของผบู รสิ ทุ ธิ์

นน้ั แล ผูนั้นจงึ ไมมีความสงสัยพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ แมแ ตน อ ย แมจะไม

เคยเห็นพระองคก็ตาม ไมเคยเห็นพระสงฆอรหัตอรหันตที่เปนสาวกทานก็ตาม ความ

บรสิ ทุ ธน์ิ แ้ี ลเปน สกั ขพี ยานใหท ราบชดั วา พระพุทธเจา คืออะไร พระธรรมคืออะไร พระ

สงฆคืออะไร เวลานี้พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ สถติ อยใู นทเ่ี ชน ไร แลว วนั นพ้ี ทุ ธ
ทานกับพุทธเรา ? ใจรูรูอยางไร วิเศษวิโสอยางไรบาง เปนธรรมชาติอยางไรบาง อนั นน้ั

กธ็ รรมชาตอิ ยา งนน้ั เหมอื นกนั จึงหาที่สงสัยไมได
นแ่ี หละการเขา ถงึ “พุทธะ” ธรรมะ สงั ฆะ แท เขา ถงึ ทใ่ี จ เมอ่ื กเิ ลสหลดุ ลอย

ออกไปหมดแลว กม็ ีแตธ รรมชาตทิ อี่ ศั จรรยนเี้ ทานั้น “จิต” เมือ่ ทาํ ใหป ระเสริฐก็
ประเสริฐไดอยางนี้ !

แตกอนที่ไมประเสริฐก็เพราะมันโง โงท่สี ดุ ก็คอื จติ ดวงน้ี กเิ ลสผทู ท่ี าํ ใหโ งน น้ั
แหละมนั ถงึ ไดโง แต “ธรรมชาติที่ทําคนใหโง” นั้นมันอยูบนหัวใจของเราจึงโง ถา เอา
อนั นน้ั ออกแลว จะวา “โง” วา “ฉลาด” ก็ไมมีปญหาที่จะพูดกันอีก โลกทง้ั โลกจะมคี วาม

สงบรมเย็นก็เพราะใจที่ไดรับการอบรม ซง่ึ เปน ผพู าดาํ เนนิ งานทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ทง้ั กาย

และวาจาที่จะเอียงไปทางใด สอ ออกมาจากใจผบู งการ บงการถกู หรอื บงการผดิ กริ ยิ าก็

ออกมาตามนน้ั

จิตไดรับการอบรมมาอยางไรบาง การแสดงออกจะเปน ไปตามท่ีอบรม ถาไมได

อบรม ไมมีเหตุมีผล มแี ตก เิ ลสเตม็ หวั ใจและบงการ แลว กย็ ง่ิ พาคนอน่ื ใหเ ดอื ดรอ น

ดวยมากมาย โลกที่รอนก็เพราะใจดวงนี้พาใหรอน คนเราที่กระสับกระสายระส่ําระสาย

หาที่ยึดที่ถือไมได อะไรกว็ า ดี ๆ ทั้งนี้เพราะกิเลสเผาลนจนยับยั้งตั้งตัวไมได ความเปน

บาเพราะกิเลสรุมนี้ยากที่จะมีวันสรางลงได ถาไมแ สวงหาครูอาจารยท่เี ปนอรรถเปน

ธรรมในการอบรมสง่ั สอน คนๆ นน้ั ตอ งเปน บา โลภ บาโกรธ บา หลง บา ยศ บา อาํ นาจ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๐

๔๒๑

บาความมง่ั มดี ีเดน ไปเร่อื ยจนวนั ตาย ไมมีทางระลึกรูตัวไดโดยลําดับ ดับไปตายไป
เพราะบาเหลาน้ันฉดุ ลากไปไมมีวันโผลตวั ขึน้ มาได

ฉะนน้ั คาํ วา “ปณฑฺ ติ านจฺ เสวนา” การคบคา สมาคม ไดยินไดฟงธรรมของ
ปราชญและครูอาจารยอยูเสมอ จงึ เปนมงคลอันสูงสุด

แตก าร “สง่ั สมกเิ ลส คือ โลภ โกรธ หลง ราคะ ตณั หามากๆ อยา ใหบ กพรอ งได
เปนมงคลอันสูงสุด” นน้ั ไมเ คยไดย นิ ! และไมเคยเหน็ ใครในโลกมีความสุขความเจริญ
ทง้ั ภายในใจทง้ั ภายนอกใจ แขงธรรมของพระพุทธเจาบทนีแ้ ละบทอนื่ ๆ เลยในบรรดา
“สวากขาตธรรม”

อยา ยอ หยอ นออ นขอ ตอ กเิ ลสทกุ ประเภทใหม นั ไดใ จและหวั เราะเยาะเยย ทเ่ี คย
อยใู ตอ าํ นาจมนั มาแลว กแ็ สนอาภพั นา อบั อายมนั มาพอแลว ขออยา ใหเ รอ่ื งทาํ นองนม้ี ี
ในใจของเราอกี ตอ ไป จงเอาใหก เิ ลสเสยี นาํ้ ตาบา งซิ ที่เปนมามีแตเราเสียน้ําตาเพราะ
แพก เิ ลส เพราะความบอบชา้ํ ความทุกขทรมานจากกิเลสดัดสันดาน คราวนช้ี าตนิ เ้ี อา
ใหก เิ ลสมว นเสอ่ื กลบั บา นลองดู จะมีความสขุ ความสงา ผาเผยเพยี งไรเมอ่ื ปลดแอกออก
จากคอแลว

ขอยุติเพียงเทานี้

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๑

๔๒๒

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙

สรา ง อตตฺ า หิ กอ นตาย

จติ ของคนเรากเ็ หมอื นกบั เดก็ คือไมสามารถจะรักษาตัวได ตอ งอาศยั พอ แมพ ี่
เลยี้ งคอยเกาะอยูตลอดเวลา เกาะคนนน้ั เกาะคนน้ี แตเ ดก็ ยงั มผี คู อยรักษา มีพอแมพี่
เลี้ยงคอยตามรักษาเสมอ เด็กจึงมีความปลอดภัย ไมคอยไดรับอันตรายตางๆ

สวนจิตใจที่คอยจะเกาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ จึงไมเปนความแนนอนเหมือนเด็กเกาะพอ
แมพี่เลี้ยงซึ่งเปนที่ปลอดภัย จิตที่เกาะเพราะความพึ่งตนไมได ตอ งชอบเกาะสง่ิ ตา งๆ
อยตู ลอดเวลา ซ่งึ สวนมากมักเกาะสงิ่ ท่ผี ิดใหโทษแกจติ ใจ การชอบเกาะหรอื การแสวง
หาส่ิงทเ่ี กาะนั้น กเ็ พอ่ื หาความปลอดภยั หาความสะดวกสบายสาํ หรบั ตน แตส ง่ิ ทเ่ี กาะ
ของจิตนั้นไมเปนสิ่งที่แนใจ จึงมักเปนภัยแกจิตเรื่อยๆ แมจะเปนผูใหญแลวก็ตามเด็ก
กต็ าม วสิ ยั ของจติ ยอ มเปน เชน นน้ั ไมหวังพึ่งตนเอง มีแตห วงั พง่ึ ผูอ ื่นส่งิ อื่นอยเู สมอ
ไมเ ปน ตวั ของตวั ได ทง้ั นเ้ี พราะจติ ไมฉ ลาดตอ อารมณท ต่ี นเขา เกาะ วา ผดิ ถกู ดชี ว่ั
ประการใด ไมร วู ธิ ปี ฏบิ ตั ิ ไมร ูวธิ ชี วยตวั เอง เพราะไมมีใครสอน ไมม ใี ครบอก ไมม ใี คร
แนะนาํ วธิ ใี ห พอจะทราบไดวาสิ่งใดเปนภัยสิ่งใดเปนคุณ สิ่งใดที่ควรเกาะสิ่งใดไมควร
เกาะ จึงตองเกาะไปเรื่อยๆ และเกาะดะไปหมดไมวาสิ่งดีสิ่งชั่ว ขอใหเ ปน ทช่ี อบใจหรอื
แมไมชอบใจ เปนนิสัยของจิตจะตองเกาะเรื่อยๆไป ไมช อบใจกเ็ กาะ ทาํ ไมจงึ เปน เชน
นน้ั ?

ตามธรรมดาสง่ิ หรอื อารมณท ไ่ี มช อบใจไมน า เกาะ แตจ ติ ไมช อบใจกเ็ กาะ เชน
โกรธก็เกาะ หลงหรอื รกั กเ็ กาะ ชงั กเ็ กาะ เกลยี ดกเ็ กาะ เพราะจติ เปน อารมณอ ยกู บั สง่ิ
นน้ั ๆ ไมม คี าํ วา รเู ปน ตวั ของตวั โดยเฉพาะ มีแต “ไปเปน อารมณอ ยกู บั สง่ิ นน้ั ๆ”
และเกาะอยกู บั สง่ิ นน้ั ๆ ตลอดไป ส่งิ เหลานน้ั สวนมากไมใชของดี

ทําไมจิตจึงตองไปเกาะ ? ทั้งนี้เพราะเปนความติดใจของจิต โดยทจ่ี ติ เองกไ็ ม
รวู า การเกาะนน้ั จะมผี ลอยา งไรบา ง ตนเองกอ็ ยากจะแยกตวั ออกไป แตม นั แยกไม

ออกเพราะสิ่งท่ีเหนือจติ ยงั มี เปน เครอ่ื งบงั คบั ใหจ ติ จาํ เปน ตอ งไดเ กาะไดย ดึ ไดเ ปน
อารมณ ใหเ กดิ ความขนุ มวั แกต นอยเู สมอ นี่พดู ถงึ อารมณ

พูดถึงวัตถุ มอี ะไรใจกต็ อ งเกาะสง่ิ นน้ั ยดึ สง่ิ นน้ั จนได ไมว า สว นยอ ยสว นใหญ
หรอื มคี ณุ คา ราคา ราคามากนอยเพียงไร ใจยึดไดถ อื ไดท ัง้ นัน้ แมจ ะใหน ามวา “จติ เปน
นกั ยดึ นกั เกาะ” กไ็ มผ ดิ เพราะยังไมสามารถพึ่งตนเองได จงึ ตอ งอาศยั สง่ิ ภายนอกไป

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๒

๔๒๓

จนกวา จะถงึ ทส่ี ดุ ของธาตขุ นั ธ ที่พาใหเปลี่ยนแปลงไป ดไี มดียังอาศยั สิ่งภายนอกเปน
อาํ นาจจนลมื ตวั กม็ ี ทง้ั ๆทไ่ี มม อี าํ นาจไมถ กู ทาง

พระพุทธเจาทรงสอนวา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” ใหพ ยายามแกไ ขความเกาะ
เกี่ยวของจิตที่หวังพึ่งพิงสิ่งตางๆ และแยกตวั หนั เขา มาพง่ึ ตนเองดว ยความสามารถของ
ตนบา ง ไมอ าศยั พอ อาศยั แม อาศยั เพอ่ื นฝงู อาศัยใครๆ อน่ื ๆ ไปเสียจนลืมตัว นสิ ยั
มนุษยเราที่อาศัยผูอื่นอยูเปนประจํา เลยติดเปนนิสัยประจําตัวทั่วประเทศเขตแดน สู
สัตวบางชนดิ กไ็ มไ ด ทา นจงึ สอนใหห วงั พง่ึ ตวั เอง

เรอ่ื งหยาบๆ เชน หนา ทก่ี ารงาน ก็ควรหวังพ่งึ ตนเองบาง ยน เขา มาทางดาน
“ธรรม” คอื การปฏบิ ตั ธิ รรมภายในใจ เมื่อไดรับการฝกอบรมจากครูอาจารยพอเปน
ปากเปน ทางแลว การบําเพ็ญธรรมตองเปนหนาที่จะหวังพึ่งตนเองโดยเฉพาะ จะเปนที่
แนใ จในการพ่ึงตนเองตามหลักธรรม เชน ทานสอนใหบําเพ็ญคณุ งามความดี มที าน
ศีล ภาวนา เปน ตน กเ็ พอ่ื ความพง่ึ ตนเอง คือจิตไดย ดึ เหนยี่ วในสิ่งดงี าม และมี
ความรมเย็นเปนสุขทั้งปจจุบันและภพชาติตอไป เพราะสิ่งนี้เปนสิ่งที่ดี เกดิ จากการ
กระทําที่ดี เปน อารมณห รอื อาหารทด่ี ขี องใจ

และสอนใหภาวนา ซึ่งละเอียดขึ้นไปเปนลําดับ การพยายามอบรมทางดา น
“จิตตภาวนา” อนั เปน วธิ กี ารพง่ึ ตวั เองใหแ นบแนน เขา ไปตามลาํ ดบั โดยอาศัยธรรม
บทนน้ั ๆ เขา มาเปน เครอ่ื งกาํ กบั ใจ โดยอาศัยพึ่งธรรมบทนั้นเปนอารมณ กลอ มเกลา
จิตใจใหสงบเย็น กอนที่จิตยังไมสามารถดํารงตนไดโดยลําพัง เชน กาํ หนด “พุทโธ ๆ
ๆ” เปนตน เปนอารมณท ่ีถกู ตองเหมาะสมในการพงึ่ ธรรม

การเริ่มฝกหัดใหมใจยังฟุงซาน ยงั หาหลกั หาเกณฑไ มไ ด ยังเปนตัวของตัวไมได
ตอ งอาศยั บทธรรมกาํ กบั รกั ษา จนกระทั่งจติ มีความกลมกลืนกันกบั บทธรรมนน้ั ๆ แลว
หดตวั เขา สคู วามสงบ แมบ ทธรรมทเี่ คยไดอาศยั บรกิ รรมมาแตกอ น กห็ มดปญ หาไปใน
ขณะที่ใจกา วเขาสูค วามสงบ นเ่ี รยี กวา “พง่ึ ตนเองไดข น้ั หนง่ึ ” ขณะใจกําลังสงบยอม
ปลอ ยคาํ บรกิ รรมได ใจมคี วามสงบอยดู ว ยดี นก่ี เ็ ปน หลกั เปนที่พึ่งอันหนึ่งของจิต
อยา งเห็นไดชัด เพียงเทานี้ก็มีความรมเย็นในใจที่เคยฟุงซานจนหาความสงบสุขไมได
เพราะจิตใจตามธรรมดาแลวไมเคยเปนสุขรมเย็น มแี ตค วามรมุ รอ น มแี ตค วามหวิ
กระหาย มีแตความระเวียงระวังดวยเรื่องตางๆ ซึ่งไมเปนประโยชนอะไรกับจิตใจเลย
สว นมากกค็ อื ความคดิ ปรงุ ของจติ เปนยาพิษเผาลนตนเองโดยไมม ใี ครมายงุ ดว ย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๓

๔๒๔

พระพุทธเจาทรงรูทรงเห็นแลวในวิธีที่ถูกตอง ตลอดผลที่ไดรับเปนที่พึงพอ
พระทัย จงึ ไดน าํ ทง้ั เหตคุ อื วธิ กี าร และผลที่พึงใจมาสอนพวกเรา “วธิ กี ารพง่ึ ตวั เอง”

นน้ั คอื
การบาํ เพ็ญ “จติ ตภาวนา” เปน ทางตรงแนว ตอ การพง่ึ ตนไดอยา งมน่ั คง จิตผู

ใดมีความสงบ มหี ลกั มเี กณฑม ากนอ ยเพยี งใด จะเปน ความแนใ จและมน่ั ใจตนเองยง่ิ
ขึ้นไปโดยลําดับ ไมตองถามใคร รอู ยภู ายในตวั เองทเ่ี รยี กวา “ปจฺจตฺต”ํ หรอื “สนทฺ ฏิ ฐ ิ
โก” สิ่งที่รูเห็นดีชั่ว ควรแกค วรถอดถอนควรบาํ เพญ็ ยอ มปรากฏขน้ึ ภายในใจ เมื่อใจ

แนน หนามน่ั คงขน้ึ โดยลาํ ดบั กท็ ราบเอง

เพยี งขน้ั สมาธกิ พ็ อเปน หลกั ใจ พอเปนเรือนใจไดใหมีความรมเย็น ขณะที่เรา
คดิ อะไรมากรสู กึ ออ นเพลยี ในใจ ยอนจิตเขาสู “จติ ตภาวนา” ใจพักสงบจากอารมณทั้ง
หลาย ใจกส็ งบรม เยน็ นช่ี อ่ื วา “เขาหาที่พึ่ง เขา หาทพ่ี กั ผอ นหยอ นใจ” เขา หาทอ่ี าศยั อนั

รมเย็น เปนทีพ่ ่งึ ขน้ั หนง่ึ
ขน้ั ตอ ไปแมจะเปน “สมาธ”ิ ดว ยกนั กต็ าม แตเปนความละเอียดของจติ “ขณิ

กะ” บา ง “อุปจาระ” บา ง “อปั ปนา” บาง เปน ขน้ั ๆ “อปั ปนา” หมายถงึ ความละเอยี ด

ของสมาธิ เตม็ ภมู ขิ องสมาธิเพียงเทานั้น เลยนน้ั ไปไมไ ดใ นขน้ั สมาธิ

เมื่อจิตมีความสงบเปนสมาธิขั้นนั้นๆ แลว ถา ไมใ ชส ตปิ ญ ญาพจิ ารณา จิตจะมี

ความสงบและละเอยี ดอยใู นสมาธขิ น้ั นน้ั ๆ โดยไมม ปี ญ ญาเปน เครอ่ื งถอดถอนกเิ ลส

เลย ถา กเิ ลสเปน เหมอื นตน ไม กเ็ พยี งแตต ดั กง่ิ กา นของมนั ออก แตตนของมันยังไม

ตัดยังไมโคน มนั กแ็ ตกแขนงออกมาอกี จนได
ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณาทางดา นปญ ญา “ปญญา” คอื ความเฉลยี วฉลาดแหลม

คม คิดอานไตรตรองไปเทาไรไมมีที่สิ้นสุด เมอ่ื ละเอยี ดกวา ปญ ญาขน้ึ ไปทา นเรยี กวา
“ปญ ญาญาณ” ไปแลว ดังที่ทานแสดงไวใน “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” “ญาณํ อุทปาทิ
ปญฺ า อทุ ปาทิ วชิ ชฺ า อทุ ปาทิ อาโลโก อุทปาท”ิ ฟงซี

“วิชชา” กค็ อื วชิ ชาสาม เปน หลกั ใหญ
“ปญฺ า อทุ ปาท”ิ ปญญาเกิดขึ้น “ญาณํ อุทปาท”ิ ญาณอนั ละเอยี ดเปน ลาํ ดบั
เกิดขึ้นแลว กเ็ กดิ ขน้ึ จากใจอนั เดยี วนน้ั แล “ปญ ญา” เปน เครอ่ื งถอดถอนกเิ ลสที่ปก

คลุมใจ สมาธเิ ปน แตเ พยี งกวาดตอ นกเิ ลสเขา มาใหร วมตวั สงบอยภู ายในใจเทา นน้ั

ยังไมสามารถตัดกิเลสใดๆ ได อปุ ทานของจติ ทเ่ี กย่ี วกบั สง่ิ ตา งๆ นั้นยังมีอยู และเบา

บางลงไป พอจติ ไดร บั ความสงบรม เยน็ บา งแลว ปญ ญาซง่ึ เปน อาวธุ สาํ คญั จึงฟาดฟน

ถอดถอนกเิ ลสประเภทตา งๆ บรรดาทม่ี อี ยใู นใจมากนอ ยออกไปเปน ลาํ ดบั ๆ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๔

๔๒๕

“สมาธปิ รภิ าวติ า ปญฺ า มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า” นน่ั ! “ปญ ญาทส่ี มาธอิ บ
รมแลว ยอ มมผี ลมากมอี านสิ งสม าก” การพจิ ารณาคลอ งแคลว แกลว กลา วอ งไว

สามารถตัดกิเลสไดโดยลําดับๆ
“ปญฺ าปรภิ าวติ ํ จิตฺตํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วมิ จุ ฺจติ” “จิตที่มีปญญาอบรมแลว

ยอ มหลดุ พน จากกเิ ลสทง้ั ปวงโดยชอบ” นน่ั ! ฟงซี “ปญญา” เทานั้นที่จะเปนผูสามารถ

ถอดถอนกเิ ลส ไมว า สว นหยาบ สว นกลาง สว นละเอยี ดไดโ ดยตลอดทว่ั ถงึ ไมม กี เิ ลส

ตวั ใดทจ่ี ะเหนอื ปญ ญาไปได นเ่ี ปน ธรรมดง้ั เดมิ คือธรรมรับรองคุณภาพ คณุ สมบตั ิ

ในการปฏบิ ตั ิ เพอ่ื กาํ จดั กเิ ลสออกจากใจโดยสน้ิ เชงิ ของพระพุทธเจาและพระสาวกที่
ทา นไดด าํ เนนิ มาแลว “สมาธิ ปญ ญา” นจ้ี งึ แยกกนั ไมอ อก แมจะเปนจริตนิสัยใดๆ ก็
ตาม สมาธิน้จี ะตองมีแนบอยเู สมอ คอื ความพกั สงบของจติ ความพกั งานของจติ ดว ย
การสงบอารมณค ดิ อา นในสมาธิ

งานทางโลกเขายงั ตอ งพกั เมอื่ ถงึ เวลาพัก ไมพักไมได การพกั นน้ั จะเสยี เวลาํ่
เวลาไปบา ง การรับประทานอาหารเพื่อบํารุงรางกาย จะสิ้นเปลืองสมบัติ สน้ิ เปลอื ง
อาหารทก่ี นิ ลงไป สิ้นเปลืองเงินทอง เพอ่ื ซอ้ื อาหารมารบั ประทานกต็ าม แตส น้ิ เปลอื ง
ไปเพอ่ื บาํ รงุ รา งกายใหม กี าํ ลงั ควรแกห นา ทก่ี ารงานตอ ไปอกี การพกั ผอ นนอนหลบั ถงึ
จะเสียเวลาไปบาง กเ็ พอ่ื กาํ ลงั วงั ชาของรา งกายทค่ี วรตอ หนา ทก่ี ารงานตอ ไปอกี ไมเชน
น้ันกไ็ ปไมต ลอด

เพราะฉะนน้ั การเสยี เวลากด็ ี การเสียวัตถุอะไรก็ดีที่เรานํามารับประทาน เพื่อ
เยยี วยาธาตขุ นั ธใ หม กี าํ ลงั นน้ั จึงไมใชเปนการเสีย แตเ ปน การเพม่ิ กาํ ลงั แกร า งกาย ถา
เปนรถก็เติมน้ํามัน ไมมีน้ํามันรถก็วิ่งไปไมได สมาธิ ปญญา กม็ คี วามเกย่ี วเนอ่ื งกนั เชน
นน้ั ตอ งมเี วลาพกั สงบอารมณใ นสมาธนิ น้ั ๆ หลงั จากการพกั สงบแลว กท็ าํ การคดิ คน
ดวยสติปญญา ตามความสามารถของแตล ะราย ๆ

คาํ วา “ปญ ญา” นี้ละเอียดมาก กวา งขวางมากไมม สี น้ิ สดุ ตามแตจ รติ นสิ ยั ของผู
ทน่ี าํ มาใช ความคดิ อา นใดทพ่ี จิ ารณาลงไปเพอ่ื ถอดถอนกเิ ลสไดโ ดยลาํ ดบั ความคดิ
อา นนน้ั ทา นเรยี กวา “ปญ ญาชอบ” ไมจําเปนจะตองไปอานตํารับตํารา และไดจ ากตํารบั
ตํารามาแกกิเลสทุกประเภทไปถึงจะเปน “ธรรม” เพราะในตาํ รานน้ั กถ็ อดออกไปจาก
จิตใจซึ่งเปน “ธรรม” และ “ผูทํา” เปนผูถอดถอนกิเลสจนไดเห็นผลประจักษแลว จงึ
ไดเขียนลงในตํารานน้ั ๆ ไมใ ชต าํ รานน้ั เกดิ กอ นความจรงิ คอื การปฏบิ ตั ิ

พระพุทธเจา ทานทรงบําเพ็ญพระองคแรก ไมปรากฏวา มตี าํ ราที่ไหน เวลาสง่ั
สอนสาวกหรอื เรยี น “อรยิ สจั ” นน้ั กเ็ หมอื นกนั ไมไดจ ารึกลงในคัมภรี ใบลาน ทรงสอน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๕

๔๒๖

ดวยพระโอษฐของพระองคเอง สาวกกส็ อนดว ยปากทง้ั นน้ั ทา นเอาอะไรมาสอน? กเ็ อา

มาจากความจรงิ ทม่ี อี ยภู ายในใจ ซง่ึ ไดร ไู ดเ หน็ จากการปฏบิ ตั มิ าแลว นไ้ี ปสอน เพราะ

ฉะนน้ั อบุ ายของสตปิ ญ ญา จงึ สาํ คญั อยทู ผ่ี คู ดิ ผพู จิ ารณาจะแยกแยะออกมาใชด ว ยอบุ าย

ความฉลาดของแตล ะราย ๆ ไป ตามสตกิ าํ ลงั ความสามารถของแตล ะราย ๆ ไปไมมีสิ้น
สดุ จึงไมจําเปนที่จะไปเอาจากตํารับตําราเสียทุกแงทุกมุมจึงจะเปน “ธรรม” “เราคิดขึ้น
เองไมส ามารถจะแกก เิ ลสได” น้เี ปนความคิดเหน็ ท่ีผิดจากหลักธรรม ไมอาจเรียกวา
“ปญ ญาชอบ” ได แมจํามาจากตํารา แตไ มส ามารถแกก เิ ลสนอ ยใหญใ หข าดจากใจได ก็
ไมอ าจเรยี กไดว า “ปญ ญาชอบ” สาํ หรบั ผนู น้ั เปน “ปญญาชอบ” เฉพาะในตํารา แต
“ไมช อบ” สาํ หรบั นาํ มาใช

ธรรมที่ทานแสดงไวตามตํารับตํารานั้นมีพอประมาณเทานั้น ไมไดม ากมายอะไร
นกั เลย ถา เปน ยาก็เปน “ยาหมอ ใหญ” ไมใชยาที่เจาะจงโรคนั้นๆ โดยเฉพาะ ที่เราคิด
คน ไดข ้นึ มาใหเหมาะสมกับการแกกเิ ลสแตล ะประเภทนีเ้ ปน “ยา” ทเ่ี หมาะสมกบั กเิ ลส

ประเภทนั้นๆ ทจ่ี ะถอดถอนกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ใหหมดไปไดโดยลําดับ เพราะฉะนั้น

ทา นผูปฏิบตั ใิ นทางปญญา อยทู ไี่ หนทา นกม็ อี รรถมธี รรม มสี ตปิ ญ ญาคน ควา อยตู ลอด
เวลา ดังที่ทานอาจารยมั่นเคยแสดงไววา “ฟงธรรมทั้งกลางวันกลางคืน” นั่น! ฟงซิ อะไร

ก็สมั ผัสอยูตลอดเวลาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย สมั ผสั กนั อยเู รอ่ื ยๆ

การสัมผัสเมื่อไมเขาไปรับทราบที่จิตซึ่งเปนผูคอยรับทราบ จะไปรับทราบกันที่

ไหน และอะไรจะเปนผูรับทราบ การที่จิตรับทราบก็กระเทือนถึงสติปญญา ที่จะตองคน

ควา พจิ ารณาตามเหตุตามผลในส่งิ ที่มาเกี่ยวของน้นั ๆ วา เปน อยา งไรบา ง เม่ือทราบแลว
กถ็ อดถอนหรอื ปลอ ยวางกนั ไปไดโ ดยลาํ ดบั นท้ี านเรยี กวา “ฟงธรรมทั้งกลางวัน กลาง
คืน” คอื ธรรมในหลกั ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยดู ง้ั เดมิ กเิ ลสกเ็ ปน หลกั ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยภู ายในจติ

ธรรมคือ ศีล สมาธิ ปญ ญากเ็ ปน หลกั ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยภู ายในใจ สุดแลวแตผ จู ะผลิตคดิ

คน ขน้ึ มาพนิ จิ พจิ ารณา ใชป ระโยชนต ามสตกิ าํ ลงั ความสามารถแหง สติปญญาทเ่ี ปน

เครื่องมือ
ธาตขุ นั ธ แนะ ! ฟง ซวี า ธาตวุ า ขนั ธ วา สกลกาย พระพุทธเจาก็มี สาวกทง้ั หลายก็

มี และทานเคยตดิ เคยยดึ เคยถอื เคยเปนอุปาทานในขันธเชนเดยี วกับพวกเรา เปน

กิเลสไดเชนเดียวกับพวกเรา เมอ่ื ยดึ ใหเ ปน กเิ ลสเมอ่ื ทาํ ใหเ ปน กเิ ลส สิ่งเหลา นี้ก็เปน ตน

เหตุจะใหสั่งสมกิเลสขึ้นมาที่ใจได

พระพทุ ธเจา และสาวกทเ่ี ปน อรหตั อรหนั ตเ หลา นน้ั แตก อ นทา นกม็ อี ยเู ชน เดยี ว

กับพวกเรา แตท าํ ไมทา นจงึ ถอดถอนออกได รา งของทา นกเ็ หมอื นกบั รา งกายของพวก

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๖

๔๒๗

เรา ขนั ธห า ของทา นกเ็ หมอื นขนั ธห า ของพวกเรา ทาํ ไมทา นถอดถอนได แตพวกเรา
ทําไมจะถอดถอนไมไดจะรูไมได ทําไมทานรูได ทําไมพวกเรารูไมได ใจเราก็มี สติ
ปญญาเปนสิ่งที่ผลิตขึ้นไดในแงตางๆ ตามแตผ ูชอบคิดในแงใดขน้ึ มาพิจารณา

ธาตขุ ันธทเี่ ปน อยูก ับตนนีเ้ ปน ส่งิ ทที่ าํ ไดร ูไ ด น่แี หละจติ ท่ีวา พงึ่ ตวั เองไมไ ด
สรปุ ลงมาในตวั เรากค็ อื ตอ งพง่ึ ธาตขุ นั ธ นอกจากพง่ึ ขนั ธแ ลว ยงั ถอื ขนั ธเ ปน ตนอกี
นน่ั !พง่ึ เขาแลว ยงั ถอื วา เขาเปน ตนอกี โดยไมล ะอายเลย จะวายังไง ? แมล ะอายขนาด
ไหนมันก็ยังจําเปนไดทนถือเมื่อยังไมรูเทาและปลอยวางได จะวา ไมล ะอายกถ็ กู และ
ยอมรบั วา โง แตต อ งพยายามฝก ตนใหฉ ลาด จนรูและปลอยวางได ดวยความเขมแข็ง
แหง “ความเพยี ร”

พดู ใหถ งึ เหตถุ งึ ผลกนั เสยี ที เขาเปนเขาตามหลักธรรมชาติ แตเ รายงั อตุ สา หไ ป
ยึดเอาเขามาเปนตัวของเราอีก มนั กย็ งุ นะ ซี เพราะมนั ฝน ความจริงนี่ เพื่อใหตรงกับ
ความจริง จงพิจารณาเหน็ ตามความจรงิ ของมนั พจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ซาํ้ ๆ ซากๆ
เอาจนเปนที่เขาใจ เมอ่ื เขา ใจแลว ไมต อ งบอกปลอ ยบอกวาง ปลอยเองวางเองทีเดียว
เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปนพิษเปนภัย เปน โทษแกเ รา เพราะการยดึ ถอื ของเราเอง ไมใช
เปนคุณอะไรดวยการยึดถือ ! หากเปน บญุ เปน คณุ แลว พระพุทธเจาก็ตองสอนใหยึดถือ
หรอื ไมต อ งสอนใจกย็ ดึ อยแู ลว แตนี่มันเปนพิษเปนภัยเพราะการยึดถือสิ่งเหลานี้

แมเขาจะเปนภัยตอเราก็ตาม แตเราก็ไปยึดเอามาเปนภัย ดว ยความสาํ คญั วา
เราเปนอยางนั้น เราเปนอยางนี้ เขาเปนเรา เขาเปนของเรา เปนตน มันยุงตรงที่ไป
สาํ คญั ไปหมายเอาดวยความลมุ หลงของเราน้แี ล

ขนั ธน น้ั ๆ ก็ไมมีความหมายอะไรในตัวของมันเอง อยูตามความจริง เชนเดียว
กับตน ไม ภเู ขา ฯลฯ นน้ั แล ท่รี บั ทราบในแงต า งๆ ก็เปนเรื่องของจิต คนตายแลว รบั
ทราบไมได นม่ี นั ไปจากจติ ตวั อยไู มเ ปน สขุ ไปไมเปนสุข ยึดไมเปนสุข อยูร่ําไป นี้แลจึง
นา โมโห!

จิตนี่บรรจุไวซึ่งความลุมหลงเต็มตัว แสดงออกมาในแงใ ดมแี ตค วามลมุ หลง
ความยดึ ความถอื อนั จะเปน ภยั แกต นทง้ั นน้ั ทว่ี า “จติ พึ่งตนเองไมได” กม็ ันยังตอ งไป
เกาะนน้ั เกาะนอ้ี ยรู าํ่ ไปน่ี การพจิ ารณาทางดา นปญ ญากเ็ พอ่ื จะใหร เู รอ่ื งสง่ิ ทง้ั หลาย แลว
ผลกั ออกไป ดนั ออกไป แกอ อกไป เพื่อเปนตัวของตัวโดยลําดับๆ นน่ั เอง

เราดูส่ิงอื่นยงั ดตู ลอดทั่วถึง พอเขา อกเขา ใจ ดตู กึ รามบา นชอ ง ดูอะไรๆ ดูหญิง
ดูชาย ดูสัตว ดบู คุ คล ดูวัตถุสิ่งของตางๆ เรายงั ทราบวา สง่ิ นน้ั ดี ส่ิงนชี้ วั่ สิ่งนั้นมีราคา
สงู สิง่ นม้ี รี าคาตา่ํ ส่งิ นน้ั ควรจะเอา สิ่งนี้ไมควรเอา เรายังรู แตด รู า งกายเราน้ี ทาํ ไมไม

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๗

๔๒๘

รู ไมร แู ลว กร็ กั ดว ย ยึดดวย ติดดวย สง่ิ ภายนอกเรายงั ไมก ลา รกั ไมก ลา ถอื เอา ย่งิ รูวาไม
ดแี ลว เรากไ็ มก ลา เอา

อนั นด้ี ไี มด เี อาทง้ั หมด ยึดทั้งสิ้น จะวา อยา งไร ? ตอนนซ้ี ิ ตอนมนั โง ตาเนอ้ื ก็
เห็นอยวู า รางกายเปน ยังไง จติ ใจก็ทราบอยู แตมนั ทราบอยางผิวเผิน ทราบอยา ง
ธรรมดาสามัญชน จึงชนดะไมยอมถอย ไมไดทราบตามความจริง ทราบอยา งสามญั ชน
กค็ อื ทราบอยา งสามญั อวชิ ชานน่ั เอง สามญั ของความลมุ หลงในวงแหง ความรนู น่ั เอง
ไมไดเปนไปตามความจริง เพราะเหตุนั้นจึงตองแสวงหาความจริงแทรกเขาในจิต คือ
ปญญา เมือ่ ปญญามแี ลว เราจะทราบความจริงของตนท่มี ีอยูในรางกายน้ี ซึ่งไมปดบัง
อะไรเลย!

ดใู หช ดั มนั ไมไ ดก วางขวางอะไรเลยรา งกายนี้ กวา งศอกยาววาหนาคบื เทา นน้ั
มันนาจะทวั่ ถึง ดภู ายนอกครเู ดยี วกท็ ว่ั ถงึ ภายในกด็ ใู หซ ง้ึ พิจารณาใหซึ้ง ตามอาการ
ตามความเปนอยูของมัน ตลอดถงึ ความสลาย ความแตกสลาย ไมไปไหน จะเขา สคู วาม
แตกสลายทาํ ลายโดยถา ยเดยี ว และลงสธู าตตุ ามเดมิ เทา นน้ั ไมเ ปน อยา งอน่ื พจิ ารณาให
ซึ้งตามความเปนจริงนี้ดวยปญญา เมือ่ ซึง้ ตามความจรงิ น้อี ยางหาทคี่ า นตัวเองไมไดแ ลว
เรื่องอปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั จะถอนตวั ทนั ที เมื่อยังไมซึ้ง พิจารณาใหซึ้ง ใหช ดั
เจนดวยปญญา

ปญญาน้ไี มมีใครบอก ปญญาที่จะซึ้งไปในรางกายซึ่งมีอยูกับตัวเรานี้ เปน สง่ิ ท่ี
เราพิจารณาเองเขาใจเอง เมื่อเขาใจเต็มภูมิก็ปลอยเต็มท!ี่ เราเปนคนถือเอง คนอื่นจะ
ปลอยวางใหเราไมได เราตองพิจารณาเพื่อปลอยวางเอาเอง ใหเ หน็ วา เปน สง่ิ ทอ่ี าศยั
เพียงเทานั้น จะเห็นวาเปนเราเปนของเราดวยความโงเขลาเบาปญญา กจ็ ะกอ ความทกุ ข
ใหเราไมมีสิ้นสุด ยง่ิ ในวาระสดุ ทา ยขนั ธจ ะแตกสลาย กจ็ ะเกดิ ความเสียดายความหว ง
ใย ความรัก ความสงวน ก็ยิ่งจะไปกันใหญ ยง่ิ กวา “วา วเชอื กขาดบนอากาศ” หมนุ ตว้ิ
ไปตามลม ตกทิศไหนไมมีใครทราบได ทัง้ ๆทไ่ี มม ีอะไรใหน ารักใหน าเสียดายเลย หมด
ทงั้ รางมีแตส ิ่งทจี่ ะแตกสลายถายเดียวเทา นั้น

เรายังจะฝนความจริงอยูหรอื ขนั ธจ ะแตกสลายไปตามกาลเวลาของมนั อยา งไม
มีที่แยง นี่เปนความจริง เรายังจะฝนความจริงไมอยากใหมันแตก ไมอ ยากใหม นั ดบั ยงั
รกั ยงั สงวนอยอู ยา งน้ี คือการฝนความจริง การฝน ความจรงิ นจ้ี ะตอ งกอ ทกุ ขใ หเ รามาก
มายจนไมมีที่ปลง ถาไมรีบปลงเสยี ดว ยปญ ญาแตบดั นี้ แตถาปลงไดสําเร็จบัดนี้ จะมี
ลาภใหญห ลวงคอื “นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ”ํ !

ถา ฝน ธรรม ดีไมดไี มไ ดส ตสิ ตงั ในขณะนน้ั เสยี ดว ย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๘

๔๒๙

ปญ ญาเปน อาวธุ ทนั สมยั จงึ ตองพิจารณาใหถ ึงความจรงิ ทุกส่ิงทุกอยางแลว
ปลอ ยวางไวต ามความจรงิ ทั้งยงั มชี ีวิตอยูเ วลาน้ี ทงั้ เวลาสลายไป ปญญาไดเห็นชัดเจน
ทง้ั ปจ จบุ นั และอนาคตแลว ไมมีอะไรเปนปญหา

ความสขุ ความทกุ ขย งั มอี ยู เพราะขันธย ังทรงตัวอยู สง่ิ เหลา นอ้ี าศยั กนั เกดิ ขน้ึ
จติ เปน ผรู บั ผดิ ชอบเปน ผรู บั ทราบ รูแตไมติด ความรตู ามความจรงิ เปน อยา งหนง่ึ
ความรดู ว ยความยดึ ถอื เปน อกี อยา งหนง่ึ โปรดเขาใจเอาไว

เวทนาทกุ ขน้ั ทกุ ภมู มิ อี ยกู บั ขนั ธน เ้ี ทา นน้ั ไมม ใี นจติ เมื่อจติ บริสุทธแิ์ ลว พระ
อรหนั ตจ งึ ไมแ บกหามเวทนาทง้ั ทางขนั ธแ ละทางจติ เหมอื นเรากองรบั เหมากอ สรา ง
“วฏั จกั ร” เพียงอาการของขันธตางๆ เอนเราก็เอน เขาเอียงเราก็เอียง เขาลม เรากล็ ม
แบบไมเปนทา! เพราะเราอาศัยเขานี้ เขาพาเอียงก็เอียง เขาพาลม กล็ ม เขาพาตง้ั อยกู ็
พอตั้งไดบาง แตมันไมยอมตั้ง ถงึ เขาตั้งอยู ยังไมตาย เราก็เดือดรอนจะตายกอนเขา
เสยี อกี

เพราะฉะนั้นจึงตองพจิ ารณาใหเหน็ ชัดดว ยปญญาของเราวา เปนเครื่องอาศัยทั้ง
นน้ั วนั เวลานาทกี นิ เขา ไปโดยลาํ ดบั ๆ ถา เราเหน็ ความกดั กนิ ความแทะของวนั เวลา ของ
ธรรมชาติที่มันสึกหรอ มนั กรอ นไปโดยลาํ ดบั ๆ แลว กเ็ หมอื นสุนขั ทงึ้ เน้ือและกระดูก
นั่นเองไมผิดอะไรกัน ทึ้งอยูตลอดเวลา กดั แทะ ทึ้งอยูอยางนั้นจนกระทั่งหมดไมมีอะไร
จะกัดจะแทะ

นก้ี ก็ ดั อยอู ยา งนน้ั แหละ คอื สลายไปโดยลาํ ดบั ๆ จนกระทั่งถึงความจริงของมัน
นงั่ อยู ยนื อยู นอนอยู เดนิ อยกู ต็ าม หลบั สนทิ อยกู ต็ าม มันกัดมันแทะมันทึ้ง คอื เวลาํ่
เวลาความสลาย ความหมดไป ๆ มันกดั มันแทะมนั ทึง้ อยูเสมอๆ เรายังจะแยงเขาไมให
เปน อยา งนน้ั ไดเ หรอ ? แยง ไมไ ด นน่ั เปน คตธิ รรมดาซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ความ
สําคัญของเรานั้นผิด ความผดิ จงึ แยง ความถกู ไปไมไ ด ความสลายเปน ความถกู ตอ ง
เปนหลักธรรมชาติของเขา ความฝนหลักธรรมชาตินั้นเปนความผิดของใจ จึงตองเกิด
ความทุกขแกเรา

พจิ ารณาใหร อบคอบในสง่ิ เหลา นเ้ี สยี แตเ วลาน้ี ถงึ เวลาแลว จะไมต อ งหวน่ั ไหว
เพราะไดพิจารณารูหมดแลววา สิ่งเหลา นจ้ี ะเปน ไปตามน้ันแนน อน ไมเ ปน อยา งอน่ื

เอา ตา งอันตา งเปน ไป อะไรจะแสดงอาการขึ้นมาก็ใหเปนไป อยา หกั หา มความ
จรงิ ทกุ ขเวทนามนั เผารา งกายน้ี รา งกายนี้คอ ยกรอบเกรยี มลงไปโดยลําดับๆ และแตก
สลายลงไป

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒๙

๔๓๐

จิตใจมีสติปญญารอบตัวแลวไมแตกไมดับ ไมติด เปน ตวั ของตวั โดยลาํ พงั !พึ่ง
ตัวเองได ไมตองพึ่งสิ่งเหลาน!ี้ แสนสบาย!

การพจิ ารณามคี วามสาํ คญั อยา งน้ี มคี ุณคา ตอ จติ ใจอยา งน้ี นกั ปราชญท า นมี

พระพุทธเจาเปนตน จงึ ตอ งสอนเรอ่ื งสตกิ บั ปญ ญานเ้ี ปน สาํ คญั เพอ่ื นาํ จติ ฉดุ ลาก

จติ ออกจากกองเพลงิ ใหพ น จากภยั ไป

ศาสนาของพระพุทธเจาองคไหนๆ กส็ อนแบบเดยี วกนั เพราะธรรมชาติเหลานี้

มแี บบเดยี วกนั กเิ ลสแบบเดยี วกนั ไมม อี งคใ ดทจ่ี ะสอนใหแ ตกใหแ ยกออกไปจากน้ี

เลย ทา นสอนแบบเดยี วกนั การประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื จะถอดถอนกเิ ลสมากนอ ยออกจาก

ใจ กเ็ ปน แบบเดยี วกนั คอื ตามหลกั ธรรมทท่ี า นสอนไว ดาํ เนนิ ตามแบบนน้ั ถา ผดิ จาก
แบบนน้ั กเิ ลสกห็ วั เราะ!

เอา พิจารณาได ไมว า กวา งวา แคบ เอาทั้งโลกธาตนุ ี้ จิตจะหวังพึ่งอะไรพอให
ปลอดภัย ? เพราะคําวา “พึ่ง” ฟงดูใหดี แมแ ตส่ิงทีต่ ิดแนบอยูกบั ตวั ของเรานีม้ ันยงั ไม
ปลอดภัย และเราจะหวังพึ่งอะไรที่นอกไปจากรางกายนจี้ งึ จะปลอดภยั หาไมเ จอ!

แตส ง่ิ ทตี่ ิดอยกู บั ตวั ยังไมปลอดภัย ยังเปนตัวภัยอยูได เรายังไมเห็นตัวภัยนี้จะ
ไปเห็นภัยที่ไหน? ตองเห็นภัยที่นี่ แลว ถอดถอนจิตใจออกจากตวั ภยั น้ี ก็เปนคุณขึ้นมา
นเ่ี รยี กวา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” โดยสมบูรณ ไมพึ่งอะไรทั้งสิ้น! แมทส่ี ุดคาํ วา “ศลี ”
กด็ ี “สมาธิ” กด็ ี “ปญญา” กด็ ี เมือ่ ถงึ ขน้ั สดุ ทายปลายแดนแหง ความหลดุ พน แลว ก็ไม
พึ่ง! จะพึ่งอะไรกับเครื่องมือ แกกเิ ลสท้ังหมดสิ้นไปแลว เครอ่ื งมอื กป็ ลอ ยวางไวต าม

สภาพเชนเดียวกับมีดเราเอาไปหั่นผัก ปอกผลไมตา งๆ เอาผักและผลไมมารับประทาน

แลว มีดกท็ ิง้ ไวอ ยางน้ัน เราไมรับประทานมีดนี่

ศลี สมาธิ ปญญา เปน เครอ่ื งมอื แกก เิ ลส พอกิเลสหมดสน้ิ ไปแลว กห็ มดปญหา

กบั ใจเอง เวลามชี วี ติ อยจู ะนาํ มาใช ก็ใชเพื่อโลกสงสารไปตามสมมุตินิยมเทานั้น ไมได

ใชเ พอ่ื มาแกก เิ ลสแตอ ยา งใดอกี ตอ ไป ยง่ิ วาระสดุ ทา ยทจ่ี ะผา นธาตผุ า นขนั ธด ว ยแลว ก็

ยิ่งไมมีอะไรเลย

สติปญญาก็เรียกวาไมมีปญหา ธาตขุ นั ธก ไ็ มม ปี ญ หา เพราะหมดปญหาภายใน

ใจแลว อะไรๆ ก็หมดปญหาไปโดยสิ้นเชิง กา วเขา สคู วามหมดปญ หาเสยี มนั กห็ มด
กังวล!

ถา ยงั มปี ญ หาอยมู นั กเ็ ปน ปญ หา ฟง แตว าปญหาเร่ืองของความทกุ ขความ
ลาํ บาก ความเกดิ แก เจ็บ ตาย มนั กต็ ามกนั ไปกบั คาํ วา “ปญหา” นะ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๐

๔๓๑

พอสน้ิ ปญ หาแลว กห็ มดสน้ิ ดว ยประการทง้ั ปวง จงพิจารณาใหรู สง่ิ ทก่ี ลา วมาทง้ั
หลายนม้ี อี ยกู บั กายกบั ใจเรา แยกแยะใหไดดวยอํานาจของสติปญญา พจิ ารณาวัน
หนึ่งๆ อยา นอนใจ สติปญญาเอามาหุงตมกินไมได ไดแ ตเ อามาแกก เิ ลส ถา เราจะผลิต
เอามาใชใ นการแกก เิ ลสแกไ ดว นั ยงั คาํ่ ถา จะพานอนจมกจ็ มกนั อยอู ยา งนน้ั ไมเกิด
ประโยชนอะไร ผลที่สดุ ปญ ญากไ็ มทราบวาอยูท่ไี หน เวลาจนตรอกจนมุมก็เอาหัวชนฝา
ใชไมไดเลย!

เราไมใชลูกศิษยของ “ตถาคต” ผเู อาหวั ชนฝา พระพุทธเจาไมใชผูเอาหัวชนฝานี่
“สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” พระสงฆที่เรานบั ถือกไ็ มใ ชผ เู อาหัวชนฝา เราจะไปเอาหัวชนฝายัง
ไง เมอ่ื มที างพอจะปลกี ตวั ออกไดด ว ยอบุ ายใดตอ งพยายาม จนหมดความสามารถขาด
ดิ้น

เมอ่ื หมดความสามารถแลว กส็ ดุ วสิ ยั เอา ! อยไู ป ถงึ ขน้ั ใดภมู ใิ ดกอ็ ยกู นั ไป
เพราะมันสุดวิสัยจะทํายังไงได เมื่อยังไมสุดวิสัย เอา พยายามตะเกยี กตะกาย เสอื ก
คลานไปใหได

การมาลม จมใน “วฏั สงสาร” มันก็เหมือนเรือลม อะไรกล็ ม ไปดว ยกันหมดจะวา
ยังไง เรอื กล็ ม วัตถุสิ่งของตางๆที่อยูในเรือก็จม คนกต็ าย แนะ ! เรามาลม มาจมกับธาตุ
กบั ขนั ธด ว ยความลมุ หลงนะ ธาตขุ นั ธก ล็ ม ไปตามสภาพของเขา จิตใจของเรากล็ มจมไป
ดวยความโงของตนมันดีแลวเหรอ ความลมจมไมใชของดี จิตใจลมจมเพราะความลุม
หลงบีบบังคับใหจมดิ่งลงไปก็ไมใชของดี นอกจากเหลวหรอื เลวถา ยเดยี วทไ่ี มพ งึ
ปรารถนากนั เพราะฉะนน้ั ตอ งเอาใหเ ลด็ ลอดออกไปไดโ ดยลาํ ดบั

พิจารณาใหเห็นความจริง เฉพาะอยา งยง่ิ ทกุ ขเวทนาทม่ี อี ยใู นกายในจิตนแ้ี หละ
สําคัญมาก จิตเขาไปยึดจนกลายเปนโรคในจิตซ้ําเขาไปอีก ใหท ราบวา อาการหา ไมใ ช
เรา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ เปน อาการอนั หนง่ึ ๆ ทอ่ี าศยั กนั อยใู นธาตใุ น
ขนั ธน เ้ี ทา นน้ั จติ เปน อนั หนง่ึ ตา งหาก แยกแยะกนั ใหไ ดด ว ยสตปิ ญ ญาของตนจะเปน ผู
พนภัย

ตายกต็ ายไปเถอะ โลกตายกนั ทง้ั นน้ั มันของตายจะใหเที่ยงไดยังไง ถงึ คราว
ตายมันตองตาย ถงึ วาระแลว หา มไมไ ด แมแ ตพ ระอรหนั ตท า นกต็ อ งตาย จะผดิ กนั ท่ี
ทานตายอยางแบบหายหวง สว นเราหว งทง้ั ๆ ทย่ี งั ไมต ายกห็ ว งกห็ วง เวลาตายไปแลว ก็
ยิ่งหวงยิ่งหวงไปใหญ เลยเปน ภยั ทง้ั กองใหญย ง่ิ กวา ภเู ขา ระวงั อยา ใหเ ปน อยา งนน้ั เอา
ใหห ายหว งเลย ดังไดเคยพูดเสมอ “กสลุ า ธมมฺ า สรา งใหพ อ ความเฉลยี วฉลาดใหเ รา
นน่ั แหละ” “กสุ ลา” เราเอง “กสุ ลา ธมมฺ า อกสุ ลา ธมมฺ า” แนะ ! อกุศลที่ตรงไหน มันโง

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๑

๔๓๒

ทต่ี รงไหนใหก าํ จดั มนั ออกไปดว ยกศุ ลคอื ความฉลาด ไดแกสติปญญาของเราเอง น่ี
แหละทท่ี า นเรยี กวา “สวดกสุ ลาใหต วั เอง” พึ่งตัวเองตองทําอยางนี้ พง่ึ คนอน่ื นน้ั เวลา
ตายแลว เทย่ี วกวา นเอาพระมาสวด “กสุ ลา ธมมฺ า” ยุงไปหมด เฮอ! ไมเอา

“กสุ ลา ธมมฺ า” ทาํ ความฉลาดใหต วั เองใหม นั พอ รอบคอบทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว
ไมจ าํ เปน กบั อะไร ไมต อ งยงุ เหยงิ วุนวาย ตายอยา ง “สุคโต”

เอาละ แสดงเพียงเทานี้

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๒

๔๓๓

เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๗ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

ไมม อี ะไรตาย

การประพฤติตัวก็เหมือนเราเดินทาง ยอ มสาํ คญั ทางผดิ วา เปน ทางถกู แลว เดนิ

ไป ถาไมห ลงกไ็ มเ ดินทางผดิ เดินทางที่ถูกเรื่อย ๆ ไป ถา ไมห ลงกไ็ มท ําผิด ไมพูดผิด

ไมคิดผิด ไมถ อื ผดิ ผลก็ไมเ ปนพิษเปน ภัยแกต วั เอง

การหลงทางกเ็ ปน โทษอนั หนง่ึ ทท่ี าํ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาและเหนอ่ื ยเปลา ๆ การทํา

ผิด การพูดผิด คิดผิด กท็ าํ ใหท ง้ั เสยี เวลา ทั้งเปนโทษทุกขเกิดขึ้นแกตัว นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ

ขน้ึ จากการทาํ ผิด พูดผิด คิดผิด ของผูประพฤติตามอารมณใจชอบ

พระพุทธเจา ทรงสอนเพื่อใหทราบวา ใจเรามกั มคี วามเหน็ ผดิ อยเู สมอ ให

พยายามแกส ง่ิ ทผ่ี ดิ อยภู ายในใจ ทจ่ี ะระบายออกทางกาย วาจา ทางใจ ใหเปนความผดิ

นน้ั กลบั ใหเ ปน ความถกู ตอ งดงี ามอยเู สมอ ใหพ ยายามแกส ง่ิ ทผ่ี ดิ อยภู ายในจิต ผลจะ
ถงึ “สมหวงั ” เพราะเหตุทถ่ี กู ตอ งผลยอมดีเสมอไป ถา เหตผุ ิดผลนั้นจะลบลางเหตุไม

ได คอื จะปด กน้ั ไวไ มอ ยู ตองแสดงเปนความทกุ ขร อนตาง ๆ ออกมา
คาํ วา “ความหลง” น้ี เมอ่ื นบั จาํ นวนคนหลงจะมีเทาไร คนทร่ี จู ะมีเทาใด ถาจะ

เทียบกับ “คนรู” วา มเี ทา ใดนน้ั กเ็ หมอื นกบั เอาฝา มอื หยอ นลงไปในแมน าํ้ มหาสมทุ รฝา
มอื กวา งขนาดไหน แมน าํ้ มหาสมทุ รกวา งขนาดไหน เมอ่ื เทยี บกนั แลว ตา งกนั ยง่ิ กวา “ฟา
กบั นาํ้ ” ซง่ึ นา ใจหายใจควาํ่ ทเี ดยี ว

สตั วโ ลกทล่ี มุ หลงอยใู น “วฏั สงสาร” นี้มีจํานวนมากเพียงไร ในแมน้ํา
มหาสมุทรยังแคบ เพราะสตั วโ ลกทต่ี กอยใู นหว งแหง ความลมุ หลงนน้ั มถี งึ “สามโลก”
ดว ยกนั ฉะนัน้ มหาสมทุ รจงึ แคบนิดเดียว จะพดู กนั เพียงวา ผูร ูมีจํานวนนอย ผูที่หลงมี

จํานวนมากมาย
คาํ วา “ความหลง” เพียงคาํ เดียวเทานม้ี นั ถูกกบั ทุกรปู ทุกนาม บรรดาสตั วส งั ขาร

ทม่ี วี ญิ ญาณครองกระเทอื นไปทว่ั โลกธาตุ รวมแลว ทง้ั สามโลกธาตุ เปนท่ีอยแู หงปวง

สัตวที่ลุมหลงทั้งนั้น ผูที่รูจริง ๆ ไมม อี ยใู นโลกทง้ั สามเลย ไปนพิ พานกนั หมด

สตั วโ ลกทอ่ี ยดู ว ยความลมุ หลงไมว า ทา นวา เรามจี าํ นวนมาก เพียงแตเราไมอาจ
จะนบั ได ทั้ง ๆ ที่มีรูปรางมองเห็นกันดวย “ตาเนอ้ื ” ทั้งที่ไมมองเห็นดวยตาเนื้อ กอ็ ยู
ในอาํ นาจแหง ความหลงทค่ี รอบงาํ ไว และผทู จ่ี ะมาแนะนาํ สง่ั สอน ใหอ บุ ายวธิ กี ารแก

ความหลงนก้ี ม็ นี อ ยมาก

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๓

๔๓๔

ครั้งแรกก็มีพระพุทธเจาทรงเปนผูลุมหลงกอนหนาตรัสรู เมื่อตรัสรูธรรมเปน
ความรูแจมแจงขึ้นมา ก็ทรงนํา “ธรรม” มาสอนเพอ่ื แกค วามหลง และแสดงใหเห็นโทษ
ของความหลง ใหเ หน็ คณุ คา แหง ความรู โดยแสดงทั้งเหตุทั้งผล ทั้งฝายดีฝายชั่ว จน

กระทั่งประชาชนที่มุงหวังตอความรูความฉลาด เพือ่ ความหลุดพนจากทุกขอยางเต็มใจ
อยแู ลว ไดยินไดฟ งก็เกดิ ความเชื่อความเลอ่ื มใส ประพฤติปฏิบัติตาม “ธรรม” ทา น จึง
กลายเปน “ผูร”ู ขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา ท่ีเราใหน ามวา “สาวกอรหนั ต” เปนลําดับมา
และทา นเหลา นน้ั ได “ปรินิพพาน” ไปเรื่อย ๆ หรือลวงเลยไปเปนลําดับ ความมืดมิด
ปด ตาของโลกกย็ ง่ิ มกี าํ ลงั มากขน้ึ ทงั้ โลกเต็มไปดวยความหลง

ผูทจ่ี ะมาช้แี จงส่งั สอนใหร ูแ จงเห็นจริงในความหลงท้งั หลายเหลานั้น กไ็ มค อ ยมี

เสยี แลว โลกนี้จึงอยดู วยความมืดมิดปดตากัน ถงึ จะมหี ตู าอนั สวา งอยู กส็ วา งตาม

กระแสของโลกไปเสีย ไมใ ชส วา งดว ยความจรงิ คือรูจริงเห็นจริงดังพระพุทธเจาและ
พระสาวกทานรูเห็นมา กเ็ ลยกลายเปน “หหู นาตาเถอ่ื น” ไป

คาํ วา “เถอ่ื น” กค็ อื ปา เถอ่ื นหรอื ปลอมนน่ั เอง ตามอี ยกู ป็ ลอม หมู อี ยกู ป็ ลอม
คอื รบั ทราบหรอื ไดย นิ แตส ง่ิ ท่ี “จอมปลอม” เขามาแทรกสิงใจสัตวใหมืดมิดขึ้นโดย
ลาํ ดบั เพราะการไดเห็นและการไดยินเปนตน ซง่ึ ลว นแตส ง่ิ จอมปลอมหลอกลวงใหล มุ
หลงเรื่อยมา อนั เปน การเสรมิ สรา งใหค นปา เถอ่ื นมากขน้ึ ทุกวนั นีค้ นรขู น้ั “ปญ ญาชน”
หรอื คนปา เถอ่ื นกนั แน? ทําไมจึงกอแต “วินาศกรรม” “ฆาตกรรม” แกก นั อยทู กุ แหง ทกุ
หนทั้งที่การศึกษาวาเจริญเต็มที่

ทั้งนี้เพราะสิ่งที่แสดงออกทั้งหลายมันมีแตสิ่งที่ใหหลงใหโง เปนทางอบายมุข

แทบทั้งนั้น จติ กล็ มุ หลงอยา งเตม็ ตวั อยแู ลว เมอ่ื สมั ผสั กนั กย็ ง่ิ เขา กนั ไดง า ย และกลม

กลนื กนั ไดอ ยา งรวดเรว็ ความจริงคืออรรถธรรมจึงแทรกเขาไปไดยาก เพราะฉะนน้ั การ

ประพฤติปฏิบัติธรรมและการฟงธรรมที่เปนความดี จงึ รสู กึ ฝน ใจแทบจะลากกนั ไปไม

ไหว ลากจากสง่ิ ทจ่ี ติ ชอบนน้ั แล ซึ่งสวนมากเปนของเลว คอื ความโลภ ความโกรธ

ความหลง ราคะตัณหา ซง่ึ มอี ยภู ายในจนแทบมองหาใจไมเ หน็ ใจมีแตของปลอมบรรจุ

ไวเ ตม็ เอย๊ี ดจนนา กลวั ทั้ง ๆ ที่ตา งคนตางมดี ว ยกันยังอดกลวั ไมไ ด ทั้งนี้เพราะมีมาก

ตอ มากเหลอื หเู หลอื ตา ลน หวั ใจแทบหาทเ่ี กบ็ ไมไ ด

สิ่งท่ปี ลอมกับของปลอมจึงเขากันไดง าย เชน เดยี วกบั คนชว่ั กบั คนชว่ั เขา กนั ได

งาย เปน เพอื่ นเปนมิตรสนทิ สนมกนั งา ย คนดกี เ็ ขา กบั คนดไี ดง า ย เปนพวกของใครของ

เราไป ขา งนอกกเ็ ปน เครอ่ื งหลอก ขา งในกเ็ ปน ผชู อบรบั สง่ิ หลอกลวง จงึ เขา กันไดอยา ง

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๔

๔๓๕

สนิทติดจม จนไมส นใจคดิ จะถอนหรอื ถอนไมข น้ึ นอกจากจะเชอ่ื ตายใจกับสง่ิ น้ัน ๆ
แทบหลบั สนทิ ไปถา ยเดยี ว

การปฏบิ ตั ติ นเพอ่ื แกส ง่ิ จอมปลอมทง้ั หลายที่เคยเปน “นาย” บนหวั ใจมานาน
ออกจากใจ จึงตองฝน ปราชญทานเคยฝนมาตั้งแตครั้งพระพุทธเจา องคไหน ๆ พาฝน
มาเปน ลาํ ดับลําดา เพราะทานเคยถูกผูกถูกมัดถกู ทรมานจาก “กเิ ลสวฏั วน” มามากตอ
มากนานแสนนาน จนเหน็ ภยั และพน ภยั ดว ยการฝน การตอ สู และนํา “ธรรม” ทเี่ ปนผล
อนั เกดิ จากการตอ สมู าสอนพวกเรา เพอ่ื การฝน การตอ สกู เิ ลสทกุ ประเภท ไมใ หท อ ถอย
ปลอ ยตวั ใหก เิ ลสยาํ่ ยเี หมอื นผกั ปลาซง่ึ ขายขห้ี นา ชาวพทุ ธ ไมน า ใหอ ภยั เลย

ผเู หน็ ตนเปน ของมคี า มากกวา สง่ิ ใด จึงควรนํา “ธรรมอันลนคา” มาเปนเครื่อง
ปฏบิ ตั ิดําเนนิ ดว ยความไมนอนใจ อยา งไรกต็ ามขน้ึ ชอ่ื วา “ความด”ี จาํ ตอ งฝน ความชว่ั
ของชั่วอยูโดยดี ดังพวกเราประพฤติปฏิบัติอยูเวลานี้ กค็ อื ความฝน สง่ิ ไมด เี พอ่ื ความดี
ดวยหวั ใจชาวพุทธ แมอ อกมาอยใู นวดั เพอ่ื ปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ อยแู ลว ความรสู กึ อนั ดง้ั เดมิ
ยอ มมอี ยภู ายในใจเสมอ คอื ความขเ้ี กยี จมกั งา ยออ นแอ ความคลอ ยตามสง่ิ เคยคลอ ย
ตาม ความเชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อ คอื กเิ ลสชนดิ ตา ง ๆ ซึ่งเปรียบเหมือนเพลงลูกทุง ยอ ม
ยงั มอี ยใู นใจ

การฝน สง่ิ เหลา นจ้ี งึ เปน ความยากลาํ บากลาํ บนสาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ แมจะมีความมุง
มั่นตออรรถตอธรรมมากเพียงไร กจ็ าํ ตอ งไดฝ น สง่ิ ทเ่ี ปน ขวากเปน หนามอยภู ายในใจ
เราอยูโดยดี กระทง่ั ไมม เี หลอื อยใู นใจเลยนน่ั แล จงึ หาอะไรมาขวางหนา ไมไ ด

การปฏิบัติธรรมเปนของยาก ของลาํ บากมาแตกาลไหน ๆ ก็เพื่อเบิกทางที่ถูก
กิเลสปดบัง ใหเห็นเหตุเห็นผล เหน็ ตนเหน็ ปลาย ของอรรถของธรรมภายในใจ จนกวา
จะปรากฏผลขน้ึ มาเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ จติ ใจใหม กี าํ ลงั ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ความ
พากเพยี ร ความอตุ สา หพ ยายามขน้ึ โดยลาํ ดบั จากนน้ั กค็ อ ยสะดวกสบาย ถงึ จะยาก
ลาํ บาก ผลที่พึงใจเปนขั้น ๆ กป็ รากฏอยภู ายในใจแลว แมจ ะมกี ารฝน อยบู า งกฝ็ น ดว ย
ความพอใจ ที่จะเพิ่มพูนความสงบสุขที่ตนมีอยูแลว ใหม กี าํ ลงั และความสวา งไสวยง่ิ ขน้ึ

ขอ สาํ คญั กค็ อื ความเหน็ โทษแหง ความเปน อยดู ว ยความหลง ความเพลิดเพลิน
เลอ่ื นลอยบงั อยดู ว ยความหลง คอื ความประมาทนอนใจ ไมมีสติปญญาคิดประโยชนใส
ตน ยนื อยดู ว ยความหลง นอนอยดู ว ยความหลง เดนิ ไปดว ยความหลง ในอริ ยิ าบถทง้ั ส่ี
เปนไปดวยความหลง ความใฝฝ น ลม ๆ แลง ๆ การมาเกดิ กม็ าดว ยความหลง มาอยใู น
โลกกม็ าอยดู ว ยความหลง จะไปขา งหนา ภพหนา กไ็ ปดว ยความหลง ความเหน็ โทษสง่ิ
เหลานี้ยอมเปนเครื่องเตือนใจตนไดดีเพื่อไมใหประมาทนอนใจ ใชปญญาพิจารณา
ใครครวญอยเู สมอ จะมีทางเห็นโทษสิ่งเหลานี้ขึ้นเรื่อย ๆ อนั เปน หนทางใหเ กดิ ความ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๕

๔๓๖

อตุ สา หพ ยายามพจิ ารณาแยกแยะสง่ิ เหลา นอ้ี อกจากใจ พอมีทางเล็ดลอดไปไดตาม

กาํ ลงั ความสามารถ
อยา งไรกอ็ ยา ลมื คาํ วา “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” จะอยใู นสภาพใดอริ ยิ าบถใดก็

ตาม ใหระลึกถึงทานเสมอ ทั้งฝายเหตุฝายผลที่พระองคไดทรงดําเนินมากอนแลว และ

ทรงไดรับผลเปนที่พอพระทัยมาแลว จึงทรงนํามาประกาศสอนโลกทั้งหลาย วาพระ

พุทธเจาทรงดําเนินอยางไร ความทุกขความลําบากก็ไมมีใครจะเกินพระพุทธเจาไปได

เพื่อความรูความเห็นในธรรมทั้งหลาย จนทรงรแู จงเหน็ ชดั ไมมีสิ่งใดปดบังลี้ลับ นํา
ธรรมที่เปดเผยในพระทัยนั้นมาสั่งสอนโลกเพื่อไดทําตามพระองค ทเี่ รียกวา “ตาม
เสด็จ”

“ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ” ไมมีอันใดจะประเสริฐเลิศยิ่งกวา “ธรรม” ในบรรดาโลก
ทั้งสาม คอื กามโลก รูปโลก อรูปโลก ธรรมเปนธรรมชาติประเสริฐสุด ที่ควรยึดถือเปน

สรณะทั้งฝายเหตุและฝายผล ไมมที างปลกี และเปนอยางอ่ืน นอกจากนาํ ผปู ฏบิ ตั ใิ หถ งึ
แดนแหงความเกษมโดยถายเดียว สมนามวา “ธรรมเปนของประเสริฐ” ทั้งโดยสมมุติ
และโดยหลกั ธรรมชาติ

ดงั นน้ั การปฏบิ ตั ติ นตามธรรมแมจ ะยากลาํ บากเพยี งไร กค็ วรถอื วา นค้ี อื งานอนั

ประเสริฐเพื่อความพนจากกองทุกข ไมใชงานเพื่อความลมจมฉิบหาย อยา ถอื เอาความ

กลวั ตายเพราะความพากเพยี รมาเปน ใหญ จะมากีดขวางทางเดินเพื่อความหลุดพน

แลว กา วไมอ อก เพราะกลวั ลาํ บาก กลวั แตจ ะตาย เพราะความออนแอฉุดลากใหเปนไป
“สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ใหร ะลกึ ถงึ พระสงฆส าวกทา น ทา นเปน คนเหมอื นกนั กบั

เรา ออกมาจากตระกลู ตา ง ๆ เวลาออกมาทา นกเ็ ปน เหมอื นเรา ๆ ทา น ๆ นแ้ี ล เมื่อมา

บวชเปนพระแลว กค็ อื คนเปนพระนั่นเอง แตท า นอตุ สา หพ ยายามดาํ เนนิ อยา งไรบา ง
จงึ ไดเปน “สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” ของพวกเรา ทา นกเ็ ปน คนเหมอื นกนั ทําไมทานเลิศ
ทานประเสริฐยิ่งกวาเรา เรายดึ นเ้ี ปน หลกั หากวา ทา นไมม คี วามอตุ สา หพ ยายามฝา ฝน

อยา งจรงิ จงั ทานจะเปนผูวิเศษวิโสและเปนสรณะของโลกไดอยางไร ขอใหยึดทานเปน
หลกั ใจจะไดม กี าํ ลงั ใจ เวลากเิ ลสตวั ขเ้ี กยี จออ นแอ ตวั ขีส้ งสยั ตวั ตาํ หนติ นวา “บญุ นอ ย
วาสนานอ ย” ไมมีความเพียรเกิดขึ้น เพราะ “สรณะทั้งสาม” เปนเครื่องประกันมรรคผล
นพิ พานอยา งมน่ั ใจอยแู ลว

จะเอาความตายเขามาฝงไวในใจทั้ง ๆ ทใ่ี จนน้ั คอื ความรไู มเ คยตายเลย ทําไม
จึงเอาความตายเขาไปฝงไวในหัวใจเรา เอาปาชาไปทับถมใจเราซึ่งไมเคยตายทําไม?นน่ั

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๖

๔๓๗

เปนความเห็นผดิ อยา งยิ่ง จะทําอะไรกลัวแตจะตาย ไมทราบวา “ความตาย” มคี วาม
หมายกวา งแคบขนาดไหน อะไรเปน ผตู าย?

ใจเคยเปน อยา งน้ี ไมเ คยตายแตไ หนแตไ รมา เปน แตเ พยี งเปลย่ี นรปู เปลย่ี น
รา ง เปลย่ี นสถานขน้ั ภมู กิ าํ เนดิ ไปตามบญุ ตามกรรมเทา นน้ั ที่โลกวา “เกิด” วา “ตาย”
แตก ค็ อื เวลาตายแลว กไ็ ปถอื “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” “วญิ ญาณ” เกิดใหมเรื่อย ๆ สงู ๆ ต่ํา
ๆ ลมุ ๆ ดอน ๆ ตามยถากรรม หรอื ตามบญุ ตามกรรมที่ตนไดสรางสมอบรม อบรม

มามากนอ ยนน่ั เอง สว นใจไมเ คยตาย จึงไมควรเอาความตายไปผูกมัดจิตใจ
พดู งาย ๆ ไมตองเอา “ความตาย” ไปแขวนคอหวั ใจ จะเปนการสรางอุปสรรค

สรา งความทอ ถอย ความออ นแอ หมดความพากเพยี รใหแกต น แทนที่จะผานไปได แต

ความกลัวตายไปกีดกั้นทางเดินเสียก็ไปไมได สิ่งไมมีอยาไปหาเรื่องใสใหมีขึ้น มนั เกดิ

โทษแกต นเอง
คาํ วา “สิ่งไมมี” คอื อะไร? คอื ความตายนน่ั แหละไมม อี ยใู น “จิต” จิตเปนธรรม

ชาตไิ มต าย แมม กี เิ ลสตณั หาอาสวะปกคลมุ อยมู ากนอ ยกต็ าม จิตเปนผูทนทานตอสิ่ง

เหลานี้เร่ือยมา ทกุ ขก ย็ อมรบั วา ทกุ ข แตไ มย อมฉบิ หายสลายตวั ไปเพราะถกู ทกุ ขท ง้ั

หลายบบี คน้ั ทาํ ลายเลย เปนความรูอ ยเู ชน น้ัน เปน จิตอยเู ชน น้นั แมจะตกนรกอเวจกี ไ็ ม

ตาย หากทนทกุ ขท รมานไปตามความหนกั เบาแหงกรรมทตี่ นทาํ มาเทานั้น จึงไมมีอะไร

ในโลกจะเหนยี วแนน ทนทานเหมอื นใจเลย

มาเปน มนษุ ยเ ปน สตั วเ ปน อะไร กค็ ือจิตดวงไมตายนี้แลไปเกิดและมาเกิด
เปนเจาของแหง “ภพกาํ เนดิ ” นน้ั ๆ ขณะนใ้ี จกอ็ ยใู นธาตขุ นั ธท เ่ี ราเหน็ อยนู ้ี ธาตขุ นั ธ
อนั นเ้ี ปน ของเรา รางกายนี้เปนของเรา จิตมาอาศยั ธาตขุ นั ธน อ้ี ยไู ปชว่ั กาล แลว ก็
เปลย่ี นภพเปลย่ี นชาตไิ ปตามความจาํ เปน ท่ี “วบิ ากกรรม” จะพาใหเ ปน ไป

เพราะฉะนั้นการพิจารณาทุกข มที กุ ขเวทนาเปน ตน ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในขนั ธ กก็ ลวั

จะตาย นก่ี เ็ พราะสรา งขวากสรา งหนามกดี กนั ทางดาํ เนนิ ใหเดินเพื่อความรูจริงเห็นจริง

ในเวทนาไมได ความจรงิ มอี ยไู มย อมเดนิ ใหเ ขา ถงึ ความจรงิ เพราะความหลงมันบังคับ
นั่นเอง “ความหลงบงั คบั ” คอื อะไร” กค็ วามกลวั ตายทง้ั ๆ ทค่ี วามตายไมม อี ยภู ายใน
จติ แตก ก็ ลวั ตายนแ้ี ล เราเคยเชื่อ “กเิ ลส” ในคาํ วา “ตายๆ ” นม้ี านาน จะทําอะไรก็กลัว
แตจ ะตาย ๆ ธรรมทานจึงสอนใหรูเขาไปถึงตรงนี้ ใหเขาถึงความจริงวา “จติ ไมต าย” น้ี
คือความจริงแท!

สง่ิ เหลา นน้ั สลายตวั ลงไปตามสภาพของมนั มนั กไ็ มต าย ทุกขเวทนาจะเกิดขึ้น

มากนอ ยภายในธาตใุ นขนั ธ ใหก ําหนดพิจารณาตามความจรงิ ของมัน เพราะมันเปน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๗


Click to View FlipBook Version