๓๓๘
สุดจุดสุดทายของทุกขวา มันจะแสดงไปถึงไหน มนั เกดิ แลว มนั กต็ อ งดบั เหมอื นกนั
ไมดับในขณะหนึ่งก็ดับในขณะหนึง่ หรือดับในขณะที่ตาย !
นีแ่ หละหลกั สําคญั มีสองส่ิง (๑) รางกายทั้งรางนี้เราก็แบก ทั้ง ๆ ที่ทุกข ทั้ง ๆ
ทเ่ี ปน ไฟ เราก็แบกวาเปนเราเปนของเราอยางแยกไมออก ถาไมพิจารณาใหทราบชัดวา
รา งกายเปน รา งกาย (๒) รา งกายเปน ธาตอุ นั หนง่ึ ตา งหาก มโนธาตคุ อื ใจน้ี กเ็ ปน ธาตุ
อันหนึ่งตา งหาก ไมใ ชอนั เดียวกนั แตอ าศยั กนั อยเู พยี งเทา น้ี นเ่ี ปน ความรเู หน็ อนั ถกู
ตอง
ทนี ร้ี ะหวา งจติ กบั รา งกายกเ็ หมือนกัน แมจ ะอาศยั กนั อยู เราก็เปนเรา คอื จติ
อวยั วะคอื รา งกายกเ็ ปน รา งกาย เวทนาก็เปนเวทนา เปนแตจิตเปนผูรับทราบในเรื่อง
เวทนาที่เกิดขึ้นวาเปนสุขเปนทุกข รบั ทราบแลว เราตอ งมปี ญ ญาเปน เครอ่ื งปอ งกนั ตวั
เราอีก เวทนาไมวาจะเกิดขน้ึ เพยี งเทา น้ี แมจ ะเกดิ ขน้ึ มากกวา น้ี จนกระทั่งเวทนาทนไม
ไหว มันจะแตกลงไป ก็ตอ งเปน เวทนาอยวู ันยังค่ํา คอื เวทนาเกดิ เวทนาตั้งอยู เวทนา
ดับ มเี ทา นน้ั ไมม อี ยา งอน่ื ถา เราไมเอาเราเขา ไปแทรกแลว มันมีเทานั้นตามความจริง
นเ่ี ปน ขอ หนง่ึ ทเ่ี ราจะทาํ ความเขา ใจใหก บั สง่ิ นโ้ี ดยถกู ตอ ง ถาทําความเขาใจกบั สิง่ เหลา
นโ้ี ดยถกู ตอ งดว ยปญ ญาแลว ถึงจะอยูในทามกลางกองไฟ คอื ธาตขุ นั ธนเ้ี หมอื นกองไฟ
กต็ าม แตเขาไมท ราบความหมายของตวั เองวาเขาเปนไฟ เราพดู เพอ่ื แกเ รานน้ั เอง ตวั
อยใู นทา มกลางกองไฟ แตเราไมเปนไฟดวยนี่
เราเปนเรา รทู ุกส่งิ ทกุ อยา งท่ีปรากฏข้ึน ตง้ั อยกู ร็ ู มากนอยเพียงไรก็รู ความรนู ้ี
ไมไดอาภัพ มีรอู ยตู ลอดเวลา ขอใหม สี ติเถิดจะรบั ทราบกนั ตลอดสาย
เอา ทนไมไหว หรือเวทนามันขึ้นขนาดไหน ทนไมไหว จะแตก เอา แตกไป
เวทนาดับไป ผรู นู ไ้ี มไ ดด บั ผรู คู อื ใจ ใจมปี า ชา ทไ่ี หน ใจไมด บั ไมม กี ารดบั ตง้ั แตไ หน
แตไรมา ถกู ทอ งเทย่ี วเกดิ อยใู น “วฏั สงสาร” ก็คือใจดวงนี้เอง เปน แตไ ปตามบญุ
ตามกรรมของตนเทา นน้ั เพราะยงั ไมม คี วามสามารถ
ถาเราพจิ ารณาทางดานปญ ญาน้ี จติ จะแนว ลงสคู วามจรงิ ไมส ะทกสะทา นกบั
ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น สญั ญาทไ่ี ปหมายวา นน้ั เปน เรา นี้เปนเราเปนของเรา กเ็ ปน ความ
หมายความหลอก เราก็ทราบแลววาความจริงมันเปนอยางนี้แลว จะมาหมาย มา
หลอกวาเปนเราเปนของเราอยางไรอีก วา เราจะเกดิ เราจะตาย หมายไปทําไม
เรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธม ีการประชุมกัน หรอื การผสมกนั เขา มกี ารตง้ั อยู มกี าร
สลายไปตามเรอ่ื งของเขา อยาไปเสกสรรปนยอเขา อยาไปแบกไปหามเขา ใหเ ขาอยู
ตามความเปน จรงิ ของเขา เมอ่ื เขาทนไมไ ดเ ขาจะแตกกใ็ หแ ตกไป นน่ั เปน “ทางหลวง”
เราจะไปปลูกบาน ปลูกพืชตางๆ ขวางถนนหลวงไมไ ด เปนโทษ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๘
๓๓๙
เรอ่ื งคตธิ รรมดา กค็ อื ความตาย เกดิ แลว ตอ งตาย ตน ทางคอื ความเกดิ ปลาย
ทางคือความตาย กลางทางคอื ความทกุ ขค วามลาํ บาก หากเปนมาอยางนี้ เราเห็นอยู
แลว มนั มแี ตก องทกุ ขทงั้ นั้นในธาตุในขันธน้ี มอี ะไรใหเ ปน ความสขุ ความสบาย ถา ไม
ประกอบขึ้นภายในจิตใจเรา ใหเ ปน ความรน่ื เรงิ ดว ยคณุ งามความดี ก็จะหาความสุขไม
มใี นขนั ธอ นั น้ี หรอื ในโลกอนั น้ี จะไมมีใครเจอความสุขเลย
นว่ี ธิ พี จิ ารณา หรือรบกนั ระหวา งกองทกุ ขก บั เรา
วญิ ญาณ กเ็ ปน วญิ ญาณ มนั เหมอื น ๆ กนั พิจารณาใหเห็นความจริง อะไรจะ
เกดิ มากนอยใหรู ทุกขเวทนาจะเกิดขึ้นมากนอย ใหร ตู ามความจรงิ ของมนั เราเปนเรา
ทุกขเปนทุกขแท ๆ ไมเ ปน อยา งอน่ื หลักธรรมชาติเปนอยา งนน้ั ความจริงเปนอยางนั้น
ย้ํากันลงที่ตรงนี้ พจิ ารณาจนคลอ งแคลว ถอยหนา ถอยหลงั ยอ นหนา ยอ นหลงั กลบั ไป
กลบั มา พิจารณาอยู นแ่ี หละเรยี กวา “ขนั ธเ ปน หนิ ลบั ปญ ญา”
การพจิ ารณาอยา เอาเพยี งหนเดยี ว อนั เปน ความขเ้ี กยี จมกั งา ย ใหจิตกับ
ปญญาหมุนอยูกับทุกขเวทนา เกิดขึ้นมาเทาไรกาํ หนดใหรทู นั โดยลาํ ดบั ๆ ไมใหเผลอ
ไมใ หห ลง เพราะมันแยกกันออกได เอา! ตายก็ตายไปเถอะ สบายเลย คืออยสู บาย
ตายสบาย แยกกนั ได ไมใหไฟรอบบานเขามาไหมในบานเรา ไมใ หไ ฟในธาตใุ นขนั ธ
ที่มันเปนอยูตามธรรมชาติของมันมาไหมจิตใจใหเดือดรอนไปตาม
นีค่ ือวธิ ีดําเนนิ วธิ แี กท กุ ข วิธรี ูเทา ทกุ ข วธิ ถี อนทกุ ข ไมใ หท กุ ขภ ายในรางกาย
ทเ่ี กดิ ขน้ึ อนั เปน “ทุกขเวทนา” เขามาเผาลนจิตใจของเรา เรากอ็ ยสู บาย ผาสกุ
จติ นเ้ี ปน สาระอนั สาํ คญั ไมไ ดม แี ตกมสี ลายไปตามรา งกายธาตขุ นั ธ เราสงวน
รกั ษาอนั นไ้ี วใ หด ี ดวยสติดวยปญญาของเรา เราไมไ ดลม จมไป รางกายจะแตกก็เปน
เรื่องของรางกายแตก จะวา รางกายลมจมไปก็ลม จมไป ลงหาดนิ นาํ้ ลม ไฟ จติ ใจไม
ลม จม ไมแตกไปดวย จิตใจไมฉิบหาย เพราะฉะนน้ั การตายจึงเปนเรื่องธรรมดา ไม
ใชไ ปลม จมกนั
ผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความฟน ฟตู วั เอง จะไปลม จมอยา งนน้ั ไดอ ยา งไร กม็ แี ตท รงตวั ไว
ไดดวยความภูมิใจ จติ เมอื่ มีปอ งกันตวั ได มีการรักษาตัวไดในปจจุบัน เฉพาะอยา งย่ิง
ในขณะทเ่ี ปน ทกุ ขอ ยา งมากมายจนถงึ วาระ คอื ตาย เรามีการปองกัน เรามีการพิจารณา
ของเราอยา งรอบขอบชิดแลว ไปไหนก็ไปเถอะ รา งกายแตก แตกไป เราเปน ผปู อ งกนั
ตัวไดแลวโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง ผปู อ งกนั ตัวไดแ ลว น้แี ลเปน ผูปลอดภัย จะไป
ทไ่ี หนกไ็ ปเถอะ เม่ือเปนผูปลอดภยั อยกู บั ตัวแลว ไปไหนก็ปลอดภัย นี่เปนหลักสําคัญ
สาํ หรบั ใจ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๙
๓๔๐
นแ่ี หละการปฏบิ ตั ธิ รรมใหผ ลประจกั ษอ ยา งน้ี และตอ งเหน็ เมอ่ื ปฏบิ ตั อิ ยา งวา น้ี
ไมเ ปน อยา งอน่ื ไปไดเ ลย จงทาํ ใจใหเ ขม ขน ตอ ความเพยี รเพอ่ื เอาตวั รอด เพราะใจตาย
ไมเปน อยา ไปออ นแอ อยา ไปทอ ถอย ทกุ ขเวทนามนั มีมาแตดั้งเดมิ ใครจะทอ ถอย
หรอื ไมท อ ถอยกบั มนั มันก็เปนทุกขเวทนา ไมเ กดิ ประโยชนอ ะไรกบั ความทอ ถอย นอก
จากจะมาทับถมเจาของเทานั้นเอง
นเ่ี รยี กวา “สงครามจติ สงครามขนั ธ” อนั เปน สงครามใหญโ ตยง่ิ กวา อะไร พูด
ถงึ เรอ่ื งกองทกุ ขก น็ แ่ี หละ คอื กองทกุ ขอ นั แทจ รงิ ทเ่ี รารบั ผดิ ชอบ และกระทบกระเทอื น
กบั เราตลอดกาล คอื ธาตุ คอื ขนั ธ คอื กเิ ลสอาสวะ ทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจของเรานเ้ี ทา นน้ั
ไมมอี ันใดที่จะมาทําใหเ ราไดรับความเดอื ดรอ น
ภเู ขาทง้ั ลกู กเ็ ปน ภเู ขา ไมเคยมาทับใคร ดิน ฟา อากาศ เขาก็อยูตามสภาพของ
เขา แตผ ูรบั กองทกุ ขท ั้งหลาย คือธาตุ คอื ขนั ธ คือจิตใจของเรานี้ เปน ผรู บั สง่ิ เหลา น้ี
รบั เปน สญั ญาอารมณวา รอนมาก หนาวมาก อะไรยุงไปหมด นอกนน้ั กว็ า เจ็บนน่ั
ปวดนี่ ในธาตใุ นขนั ธ จะไมเ จบ็ ปวดอะไร กเ็ รือนของโรค มนั เปน โรค ความแปรสภาพ
อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา นค่ี อื โรคชนดิ หนง่ึ ๆ มีเต็มตัวของเราแลว จะไมใ หเขาแสดงตวั ได
อยา งไร อนั ใดที่มมี นั ตอ งแสดงตามเรื่องของมัน เราทมี่ ีสตปิ ญ ญาก็ใหท ราบตามเรอื่ ง
ของมัน เรากไ็ มเ สยี ทา เสยี ทใี หเ ขา
เราพจิ ารณาอยางนี้ จติ ใจเรายง่ิ มคี วามเดน ดวงขน้ึ มาโดยลาํ ดบั เกดิ ความกลา
หาญ เกิดความผองใสเต็มที่ กลา หาญกก็ ลา หาญ และเหน็ จติ เปน อนั หนง่ึ จากขนั ธอ ยา ง
ชัดเจน เมื่อเปนเชนนี้ก็ไมทราบจะไปหวั่นไหวอะไร มนั แนว แนอ ยูภายในจติ ใจเตม็ ท่ี
แลว มีหลักใจ มเี รอื นใจ มเี กราะปอ งกนั จิตใจ แมจะอยูในทามกลางแหงกองเพลิง คือ
ทกุ ขเวทนาทง้ั หลายทเ่ี ปน อยใู นขนั ธน ้ี ก็เพียงรับทราบกันเทานั้น ไมมีอะไรจะมาทําจติ
ใจใหล ม จมเสยี หายไปเพราะทกุ ขเวทนานน้ั เลย ถาเราไมไ ปทําความเสียหายใหกับเรา
เอง เพราะความลุมหลงในขันธน ้เี ทานัน้
ฉะนน้ั จึงตอ งเอาปญ ญามาใช พจิ ารณาใหร อบคอบกบั สง่ิ เหลา น้ี
โลกนี้มันเปน โลกเกิดตาย ไมใ ชโ ลกอน่ื ใดทม่ี เี กดิ แตไ มม ตี าย ในแดนสมมตุ ทิ ง้ั
สามโลกน้ี เต็มไปดวยการเกิดกับการตาย ซง่ึ มพี อ ๆ กนั ไมมีอะไรยิ่งหยอนกวากัน ไป
ท่ไี หนมนั จงึ มปี าชา เหมือนกนั หมด เราจะหลบหลกี ปลกี ตวั ไปไหน จะไปพน ความตายน้ี
ซึ่งมีเปนเหมือนกันหมด เรอ่ื งเทา กนั ผดิ กันแตเ วล่ําเวลานดิ หนอยเทานั้น ความจรงิ
แลวมันเทากัน ใหพ จิ ารณาแยบคายดว ยปญ ญา
เราตอ งสู หาท่หี ลบที่หลกี ไมไ ด ตองสจู นกระทั่งเขาใจแลว นน่ั แหละคอื วธิ กี าร
หลบหลกี เขาใจอยา งเต็มทีก่ ็หลบหลกี ไดอยางเต็มที่ ปลอดภยั ไดอยา งเตม็ ตวั ไมม ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๐
๓๔๑
อะไรที่จะเปนภัยตอเรา เราเชื่อกเิ ลสมานานแลว คราวนเ้ี รากาํ ลงั ถา ยเทเอากเิ ลสออก
สํารอกปอกกิเลสออกมาดวยความเชื่อธรรม เชื่อพระพุทธเจา ที่ตรัสไวชอบยิ่ง ไมม ผี ดิ
ไมมีพลาด ปฏบิ ตั ติ ามพระองคแ ลว แคลว คลาดปลอดภยั ไมม อี ะไรเขา มาเหยยี บยาํ่
ทําลายจิตใจ อยูก็เปนสุขปลอดภัย ไปก็ไมมีภัยมีเวร เพราะตวั ปลอดภยั อยกู บั ตวั เอง
ตัวเองรกั ษาตวั อยดู วยดแี ลว ไปไหนก็ไป ภพไหนกภ็ พเถอะ ผมู ีธรรมครองใจตองเปน
สุขทั้งนั้น ไมม คี าํ วา ลม วา จม
ความดเี ราสรา งใหเ หน็ ประจกั ษช ดั เจนอยกู บั ใจเชน น้ี มนั จะลม จมไปทไ่ี หน มี
แตค วามสขุ กายสบายใจ ไปไหนกส็ บาย อาํ นาจแหง การปฏบิ ตั ธิ รรมเปน คณุ คา เหน็
ประจกั ษก บั ใจของผปู ฏบิ ตั ิ เราเกิดมาในภพนี้ไดพบพระพทุ ธศาสนา ไดป ระพฤติ
ปฏิบัติเต็มสติกําลังความสามารถ คนทไี่ มม ศี าสนาหาหลกั หาแหลงไมไ ดน้ันนะ รอ ยจะ
หาสักหนึ่งนาจะไมมี ถา เราเทยี บกนั ทง้ั โลกน้ี ยงุ กนั แตจ ะหาความสขุ แตไมป รากฏวา
ใครเจอความสขุ เจอแตความทกุ ขก นั ทัง้ น้ัน ไปที่ไหนบน อื้อไปหมดท้งั โลก ทําไมจึง
เปน อยางนั้น? กไ็ มห าในจดุ ทค่ี วรจะเจอแลว มนั จะเจอไดอ ยา งไร ตองหาจุดที่ควรเจอ
ซิ มันถึงจะเจอ !
พระพทุ ธเจา ทรงคน พบแลว เจอแลว แลว นาํ สงิ่ ทที่ รงพบแลว น้นั มาสอนโลก
โลกปฏิบตั ติ ามนน้ั จะผิดหวงั ไปไหน เพราะเปน จดุ อนั เดยี วกนั กบั พระพทุ ธเจา ทท่ี รงคน
และทรงพบมาแลว วธิ กี ารกเ็ ปน วธิ กี ารอนั เดยี วกนั สิ่งที่จะใหพบก็เปนอยางเดียวกัน
ไมใ ชเ ปนอยางอื่นอยา งใด ไมม กี อ นไมม หี ลงั ความจรงิ นน้ั เปน จรงิ เหมอื นกนั หมด ใคร
จะปฏบิ ตั เิ มอ่ื ใดกไ็ ด พระพทุ ธเจาปรนิ พิ พานแลว กไ็ มข ดั ขอ ง เพราะทางเดนิ ไดประทาน
ไวแ ลว คือปฏิปทา เครอ่ื งดาํ เนนิ ถงึ ความสน้ิ ทกุ ข ซึ่งมีอยูภายในจิตใจของสัตว
ผมู ศี าสนากม็ ที างพน ทกุ ขไ ปไดโ ดยลาํ ดบั ผไู มม นี น่ั ซิ หลักใจไมมี เอาแตภาย
นอกเปนสรณะ ตายแลว กห็ มดคณุ คา เอาความสุขไปไวกับสิ่งโนนสิ่งนี้ ไปไวก บั โลกโนน
โลกนี้ ทวีปนั้น ทวีปนี้ เอาความสขุ ไปไวก บั วตั ถสุ ง่ิ ของอนั นน้ั อนั น้ี เอาความสุขไปไวสิ่ง
โนน เอาจติ ใจไปไวส ิง่ โนน พอสิ่งโนนสลายไปเทานั้นก็หมดทา ! ถึงอันนน้ั ไมสลาย
เวลาเราจะตายก็หมดทา อีก ! หาความเปน สาระไมไ ดเลย นน่ั แหละเรยี กวา “คน
ขาดที่พึ่ง”
เราไมใ ชค นเชน นน้ั เรากาํ ลงั สรา งทพ่ี ง่ึ ภายในจติ ใจ พง่ึ ภายนอกเราไดพ ง่ึ มาแลว
ทุกสิ่งทุกอยา งไดอาศยั มาพอสมควรพอรหู นกั เบาของมันแลว ทีน้ีเราจะสรางสาระ
สาํ คญั ขน้ึ ภายในจติ ใจทเ่ี รยี กวา “อัตสมบัต”ิ หรือ “อรยิ ทรพั ย” ข้นึ ภายในใจของตน
อนั เปนทรพั ยอนั ประเสริฐน้ี ใหสมบูรณพูนสุขขึ้นมาโดยลําดับ จึงขอใหมคี วาม
พยายาม การพยายามหนกั เบามากนอ ยกเ็ พอ่ื เราเทา นน้ั ความลําบากลําบนอยาถือเปน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๑
๓๔๒
อุปสรรค อยา ถอื เปน มาอารมณจ ะเปน อปุ สรรคตอ ทางดาํ เนนิ อนั ใดทค่ี วรเปน
ประโยชนแกเราในขณะนี้ หรอื ขณะใดกต็ าม ใหรีบเรง ขวนขวาย เพราะความตายนั้น
เหมอื นเซน็ สญั ญาไวก บั เราแลว วา เราตองตายแน ๆ นะ แตไ มไ ดบ อกวนั เวลาไวเ ทา นน้ั
เราจะนอนใจไดที่ไหนวาวันไหนเราจะตาย เราทราบแตว า “จะตาย” เซ็น
สัญญาไวแลว, ตีตราไวแลวกับเราทุกคน แตวันเวลาไมตี เรายงั จะนอนใจอยูหรือ? ถงึ
แมวาเขายังไมตีวันเวลา เขามาเอาเมอ่ื ไรกไ็ ด ใหร บี เสยี แตบ ดั นเ้ี พอ่ื ทนั การ
อชเฺ ชว กจิ จฺ มาตปปฺ โกชญฺ า มรณํ สเุ ว,
น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา.
“ควรทํากิจที่เปนผลประโยชน เปน สาระสาํ คญั แกต นเสยี ในวนั น้ี ไมควรคํานงึ
ถงึ วันนัน้ วนั ไหน เพราะความตายทเ่ี ปนพญามัจจุราชนน่ั นะ ไมไ ดก าํ หนดเวลาํ่ เวลาวา จะ
มาเมื่อใด” เชา สายบา ยเยน็ อะไร ไมว า ทง้ั นน้ั และไมม ใี ครที่จะรอดพน ไปได ปญญา
เฉลยี วฉลาดขนาดไหนกไ็ มพ น เรอ่ื งความตาย เพราะใหญกวาทุกสง่ิ ทกุ อยาง เนอ่ื งจาก
เบอ้ื งตนคือตนเหตุความเกิดเปน ขนึ้ มาแลว ความตายจะไมม นี ั้นเปนไปไมได จงึ วา
“ทําเสียในบัดน”ี้ ขน้ึ ชอ่ื วา “ความดที ง้ั หลาย” อยา นอนใจ กลางคนื กลางวนั มนั มแี ต
มืดกับแจงเทานั้น อยาไปสําคัญมั่นหมาย อยา หวงั ไปเอาความสขุ ความเจรญิ กบั มดื กบั
สวา งนน้ั ถาหากมืดกับสวางนี้จะใหความสุขกับคนไดจริง ๆ แลว ทกุ คนเกดิ มาพบแลว
ความมดื ความสวา ง บรรดาคนทม่ี นี ยั นต า ความสวางก็เห็น ความมืดก็เห็น ทาํ ไมมกี อง
ทกุ ขอ ยเู ตม็ หวั ใจดว ยกนั หากวา สง่ิ เหลา นจ้ี ะเอาความสขุ ความสบายใหค น ตามมโน
ภาพทว่ี าดไวน น้ั เพราะฉะนั้นจงึ เปนเรื่องโมฆะ
ใหห ยง่ั จติ ลงในจดุ ทจ่ี ะเปน สขุ ทุกขมันเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อแกจ ดุ น้ันแลว สุขจะ
เกดิ ขึ้นทนี่ ่นั แหละ แลว ทกุ ขม นั จะเกดิ ทไ่ี หนเวลาน้ี นอกจากเกดิ ในธาตใุ นขนั ธใ นจติ ใจ
น้ี ไมม ที อ่ี น่ื เปน ทเ่ี กดิ ของทกุ ข แตล ะคน ๆ เปนเรือนรบั รองทกุ ขท ั้งหลายดว ยกนั เมื่อ
เปน เชนนีจ้ ึงจาํ ตองสราง “เรือนรับรองธรรม”ขน้ึ มา ดวยสติปญญา ศรทั ธา ความ
เชื่อความเลื่อมใส ใหเ กดิ ขน้ึ ในสถานทแ่ี หง เดยี วกนั แลว กาํ จดั สง่ิ ทม่ี ดื มนอนธการทง้ั
หลายนี้ออก เหลอื แตค วามสวา งกระจา งแจง ภายในจติ ใจ ผนู น้ั แลกลางคนื กต็ ามกลาง
วนั กต็ าม เปนผูมี “ราตร”ี อันเดียวเทานั้น คอื มคี วามสวา งไสวอยตู ลอดเวลา ไมน ยิ ม
วาเปนกลางวันกลางคนื รทู ใ่ี จนน้ั แหละ คอื ผมู หี ลกั ใจ ผูมอี ริยทรัพย ผมู คี วามสขุ สขุ
อยทู ห่ี วั ใจ
การแสดงกเ็ หน็ วา สมควร จึงขอยุติ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๒
๓๔๓
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘
อุบายวิธีถอดถอนอุปาทานขันธ
คาํ วา “จิต” เปน ความรเู พยี งเทา นน้ั ไมมีเรื่องราวอะไรมากนัก ยิง่ มคี วามรูอยู
โดยเฉพาะจิตก็ไมมีเรื่อง พอจิตกระเพอ่ื มตัวออกสคู วามคดิ ความปรงุ ความจดจํา
สาํ คัญมนั่ หมายตา งๆ ในสิ่งที่เคยผานเคยรูเคยเห็นมาแลว น่ันจิตเร่ิมกอเรอ่ื ง และ
ขยายตัวออกไปไมมที ีส่ ้ินสดุ ยตุ ลิ งได เรอื่ งจึงมอี ยูเ รอ่ื ยๆ และขยายตวั ออกไปเรอ่ื ยๆ
จนกระทง่ั ออกไปแลว เขา ไมถ กู เหมอื นกบั กอ ไฟแลว ดบั ไมเ ปน ไฟกล็ กุ ใหญ จิตคิด
ออกไปแลว ระงับดับความคิดของตนไมได จึงกลายเปนเรื่องราวเขามาสูตนเอง ใหเกิด
ความเดอื ดรอ นวนุ วายอยตู ลอดเวลา “อกาลโิ ก” คอื ไมก าํ หนดสถานกาลเวลา มอี ยเู ชน
นน้ั ทกุ หวั ใจ
ถามีแตความรูเทานั้นก็ไมมีเรื่อง ถาเทียบก็เหมือนเมล็ดผลไม ที่มีแตเมล็ดเทา
นั้นมันก็ไมมีเรื่องมาก แตพ อมนั แตกออกมาเปน ตน แลว กม็ ีใบ รากแกว รากฝอย
เปลอื ก กระพี้ แกน กิ่งนอยใหญ ใบออ น ใบแก มีดอกผลเต็มไปหมดทั้งตน ไม
สามารถจะพรรณนาได พอมนั แตกออกจากเมลด็ แลว เทา นน้ั มนั ขยายตวั ออกไปจนไม
อาจท่จี ะนบั ไดวา รากแกว รากฝอย มีเทาไร แผอ อกไปกวา งแคบขนาดไหน รากแกว
มันลงลกึ ขนาดไหน เปลอื กกห็ มุ ตวั กระพแ้ี กน ลาํ ตน ขยายตวั ออกไปเรอ่ื ยๆ ก่งิ กา นสาขา
ใบออ นใบแก กง่ิ นอ ยกง่ิ ใหญ ดอกใหมด อกเกา สลับซับซอนเต็มไปหมดในตนไมตน
เดียวกัน จนไมส ามารถจะนบั ได
นเ่ี ราเทยี บกบั จิต ที่กระเพื่อมตัวออกคิดปรุงเรื่องตางๆ ขยายตวั ออกไป ไมมีที่
สน้ิ สดุ เรื่องเกาผานมานานเพียงไรก็ไปคิดไดหมด นาํ อารมณน น้ั ๆ มายงุ ตัวเอง สิ่งที่ไม
เคยผาน ก็คิดไปเดาไปดนไป สาํ คัญมนั่ หมายไปเรอ่ื ยๆ ซึ่งลว นแตเ รื่องยุง ออกไปจาก
ใจที่คิดปรุงทั้งนั้น
ถาเราไมเคยเห็นความยุง เวลาภาวนาจะรเู รอ่ื งความยงุ ไปเอง วา จิตเปนตัวยุงที่
สดุ ในโลก ไมมีสิ่งใดจะยุงยิ่งกวาจิต รางกายของเราเวลาหิวกระหายมา พอรับประทาน
เสยี กร็ ะงบั ดบั กนั ไป กระหายนาํ้ ดื่มเสียก็ระงับความกระหาย ไมก วนอยตู ลอดเวลา
เหมือนจิต เวลางว งเหงาหาวนอนกพ็ าพกั ผอ นนอนหลบั ไปเสยี เวลาเมื่อยเพลียก็พัก
ผอนเสีย เกิดโรคภัยไขเ จบ็ ขึน้ มาก็บาํ บดั รกั ษาเสยี กย็ งั มกี าลมเี วลาระงบั ดบั ลง พอเปน
ความสขุ กายสบายธาตขุ นั ธบ า ง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๓
๓๔๔
สวนจิตใจไมเปนอยางนั้น กอ กวนอยตู ลอดเวลา เพราะความกระเพื่อมตัวเปน
ไปอยูเสมอ และมเี คร่อื งผลักดันออกมาใหคิดใหปรุงอยเู ชน นน้ั จติ จงึ เปน เหมอื น “ ลูก
ฟุตบอล”นน่ั เอง ถกู เตะใหกลง้ิ ไปน่นั กลง้ิ ไปนี่ กลิ้งไปกลิ้งมา ถกู ฝา เทา ของกเิ ลสทง้ั เตะ
ทง้ั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายขยจ้ี ะเอาใหแ หลกจรงิ ๆ แตจิตก็เปนสิ่งที่ทน ไมมีอะไรที่จะทนยิ่ง
กวา จติ เหนยี วแนน ยง่ิ กวา จติ จะทาํ ลายใหฉ บิ หายไปกฉ็ บิ หายไมไ ด เปนแตเพียงความ
ทุกขความทรมาน เพราะสง่ิ เหลา นน้ั บบี บงั คบั เทา นน้ั เอง นี่แหละจึงไดรูวา “เรื่องทั้ง
มวลออกจากจติ ดวงเดยี วนเ้ี ทา นน้ั ”ไมม อี ะไรทจ่ี ะกอ เรอ่ื งนอกจากจติ เปน ผกู อ การ
ระงับเรื่องจึงตองระงับที่ตนเหตุ คอื จติ เปน ตน เหตแุ ละผลติ ผลขน้ึ มาในจติ นน้ั ดว ย จึง
ตอ งระงบั ทต่ี รงนน้ั ดว ยอบุ ายวธิ ตี า งๆ
อบุ ายวธิ นี น้ั ก็ไมมีสิ่งใดที่จะสามารถนํามาใชไดผล เหมอื นอบุ ายวธิ ีที่พระพุทธ
เจา ทรงสง่ั สอนไวทท่ี า นเรยี กวา “สวากขาตธรรม”คอื ตรสั ไวช อบ สมควรแกก ารแก
กเิ ลส หรือระงับดับกิเลสที่เกิดขึ้นกับตนได ดว ยความถกู ตอ งแมน ยาํ เหมาะสมกบั การ
แกก เิ ลสนน้ั ๆ ทุกประเภท
การทก่ี ระทบความทกุ ขค วามลาํ บากนน้ั นะ กระทบดว ยกนั ทกุ คน ไมวาสตั วไ มว า
บคุ คล ใครจะมคี วามรมู ากนอ ยเพยี งใดกต็ อ งไดร บั สมั ผสั ไดรับรูความทุกข ที่ไดรับ
ความกระทบกระเทอื นอยภู ายในจิตใจและรา งกายตลอดมา แตไมมีใครจะสามารถหา
อบุ ายวธิ แี กไ ขความกระทบกระเทอื น อันเปน ส่ิงสําคัญระหวา งจิตกบั อารมณท ป่ี รุงขน้ึ
มาภายในตนเองได จติ ชอบถือสง่ิ ภายนอกเปนนมิ ติ เปน เครือ่ งหมาย แลว นาํ เขา มาคดิ
ปรุงแตงตางๆ ใหเกิดความทุกขความทรมานแกตน
อบุ ายวธิ รี ะงบั ดบั สง่ิ เหลา น้ี มีแตพระพุทธเจาเทานั้น ทเ่ี ปน ผเู ฉลยี วฉลาด
สามารถทาํ จนไดผ ล แลวทรงนําทั้งเหตุทั้งผลนั้นมาสอนพุทธบริษัท คอื สตั วโ ลกทว่ั ๆ
ไปใหร วู ธิ กี าร ผใู ดมคี วามสนใจเชอ่ื ตามหลกั ธรรม ที่ทรงประพฤติปฏิบัติและไดผลมา
แลว นาํ มาปฏบิ ตั ติ นตามทท่ี า นสอนไว ผนู ัน้ ก็ไดร บั ผลไปโดยลาํ ดบั จนเปนท่ีพงึ พอใจ
การระงบั ดบั ทกุ ข จงึ หมายถงึ ใจเปน สาํ คญั
เอา“ใจ”เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา เพราะตัวนี้เปนตัวการ ถา พดู กว็ า ผู
ตองหาคือจิตดวงน้ี คนขี้คุกขี้ตะรางก็คือจิตดวงนี้ ถกู กกั ถกู ขงั อยใู น “วฏั สงสาร” ภพ
นอ ยภพใหญ ลวนแลว แตเ ปน ภพทไี่ ดรับความทุกขความทรมาน รบั วบิ าก คาํ วา
“วบิ าก” กค็ อื ผล ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุ กต็ อ งทาํ ใหผ กู ระทาํ นน้ั ไดร บั ความทกุ ขค วาม
ลาํ บากในภพนอ ยภพใหญ ทองเทยี่ วอยูอ ยางน้นั เพราะหาทางออกไมได
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๔
๓๔๕
พระพทุ ธเจา จงึ ทรงเปด ทางใหร ทู างออกรวู ธิ อี อก เรียกวา “นยิ ยานกิ ธรรม” นํา
สัตวโลกที่ติดของดวยสิ่งมืดมัว อันเปน เครื่องปดบังทั้งหลายนี้ ใหอ อกไดโ ดย “นิยยา
นิกธรรม”สง่ั สอนโดยลาํ ดบั ๆ นับตั้งแตธรรมขั้นต่ําจนถึงขั้นสูงสุด
ทาน การใหท าน กเ็ ปน ธรรมแกก เิ ลสประเภทหนง่ึ คอื ความตระหนเ่ี หนยี วแนน
ความเหน็ แกต วั ซึ่งเปนคูมิตรกับความโลภมาก นเ่ี ปน กเิ ลสผกู มดั รดั รงึ ใจจนหาทาง
ออกไมไ ด ผูที่มีศรัทธา ความเชื่อ ความเลอ่ื มใส มคี วามพอใจในการใหท าน จึงชื่อวา
เปน ผแู กก เิ ลสตวั เหนยี วแนน อยภู ายในจติ ใจนอ้ี อกไดโ ดยลาํ ดบั จนกระทง่ั เปน ผเู สยี
สละไมม คี วามอาลยั เสยี ดาย เปน ทพ่ี อใจ เมื่อไดเสียสละอะไรลงไปเพื่อประโยชนแกผู
อน่ื มากนอ ย เกดิ เปน ความสขุ ขน้ึ มาภายในใจ นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการแกก เิ ลสตวั
เหนียวแนน ตวั ตระหนถ่ี เ่ี หนยี ว ตัวเหน็ แกตัว ตัวสงเสริมใหเกิดความโลภมากไมมี
เมืองพอ จนเห็นความเบาบางประจักษใจ
วตั ถนุ น้ั เปน อนั หนง่ึ ตา งหาก ที่จะทาํ ใหจิตไปเกาะไปยึดแลวส่ังสมกเิ ลสและ
ความทุกขข้นึ แกตัวเอง วตั ถุนน้ั ไมไดเปนสง่ิ สําคัญอะไรนัก ที่สําคัญก็คือผูไปยึดไปถือ
วัตถุสิ่งของทองเงินเปนตน นี้แลคอื ผูเ ปน ภัยตอจติ ใจ ความยนิ ดใี นการเสยี สละเพอ่ื
ประโยชนต ามเหตุตามผลที่จะเสยี สละมากนอ ยแกบ คุ คลใด แกส ตั วต วั ใด หรอื แกผ ใู ด
จนมีความเสียสละไดดว ยความปต ิยินดี พอใจ ไมอาลัยเสียดาย นเ่ี ชอ่ื วา เปน ผชู นะกเิ ลส
ประเภทนี้ไปแลวโดยลําดับ มหิ นาํ ซาํ้ ยงั เกดิ ความปลม้ื อกปลม้ื ใจในเมือ่ ไดท ําตามความ
ตองการแลว นค่ี อื ผลแหง การชนะกเิ ลสประเภทเหนยี วแนน นอ้ี อกได นก่ี เ็ รยี กวา “นยิ
ยานิกธรรม”เปน ทางทน่ี าํ สตั วอ อกจากทกุ ข คอื ความผกู มดั รดั รงึ เหลา น้ี ดวยอํานาจของ
กเิ ลสตวั หวงแหนไปไดเ ปน ขน้ั ๆ
ศีลกม็ ลี กั ษณะอยา งเดยี วกนั แกก เิ ลสในขอ หนง่ึ ๆ นน้ั
ปาณาฯ สัตวมีชีวติ คนมชี วี ติ อะไรมีชีวิต ผูนั้นเปนผูรักสงวนชีวิตของตนเทา
เทียมกันกับเรา การไมทําเขาใหมีความกระทบกระเทือนหรือเจ็บช้ํา ตลอดถงึ ความลม
ตายไป ก็เพราะเห็นคุณคาของเขาของเรา ความไมเ หน็ คณุ คา ของเขา โดยความเห็น
แกต วั เปน กเิ ลสประเภทหนง่ึ คนทั้งโลกสัตวทั้งโลก เหน็ เปน คนแตเ ราคนเดยี วแลว
ทาํ ลายคนอน่ื สตั วอ น่ื ได โดยไมม คี วามละอายบาป ไมมีความนึกคิดในเรื่องบุญเรื่อง
บาปเลย ขอแตเ ปนความพอใจของตน ใครจะฉบิ หายวายปวงดว ยชวี ติ จิตใจรา งกาย
อะไรก็ตาม นี่เปนกิเลสประเภทสําคัญมากเชนเดียวกัน การไมใหท ําเพราะเหน็ ความ
สําคัญแหงชีวิตของเขาของเรานี้ เรยี กวา เปน การแกก เิ ลสประเภททเ่ี หน็ แกต วั ใน
ลกั ษณะดงั ทก่ี ลา วมานอ้ี อกได
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๕
๓๔๖
อทนิ นาฯ พงึ เทยี บลกั ษณะเดยี วกบั กาเม มสุ า สรุ า ลว นแลว แตเ ปน เรอ่ื งของ
กเิ ลส เครื่องผูกมัดจิตใจของสัตวใหไดรับความทุกขความทรมานทั้งสิ้น เหลา นล้ี ว นแต
กเิ ลสดว ยกนั จึงสอนวิธีแก ดว ยการรกั ษาศลี ขอ นน้ั ๆ ไมใ หใจกําเรบิ ไปตามความ
ละเมดิ ทค่ี ดิ อยากทาํ บาป ดว ยการทาํ ลายศลี ขอ นน้ั ๆ ไปในตัว
พระพทุ ธเจา ทรงสง่ั สอนเพอ่ื การแกก เิ ลส ไมใ ชส ง่ั สอนอยา งปาวๆ หรอื สอน
อยางไมมีเหตุผล พระองคทรงทราบหมดวา กเิ ลสมนั แทรกซอ นอยใู นอะไรบา ง จะทรง
แกไ ขวธิ ใี ด ทรงแยกแยะไวหมด ใหถ งึ ตวั ของกเิ ลสจรงิ ๆ ซึ่งมีอยูในจิตใจของสัตวโลก
และแสดงออกโดยอาการทก่ี ลา วมาน้ี อาการ ๕ อยาง ถา พดู ถงึ เรอ่ื งศลี กอ็ าการ ๕
อยา ง “ปาณา อทนิ นา กาเม มสุ า สุรา” เปนแตละประเภท ๆ แหงศีลธรรม เพอ่ื แก
กเิ ลส และศลี ธรรมเหลา น้ีกค็ อื “ธรรม” นน่ั เอง แกก เิ ลสประเภทนน้ั ๆ ทห่ี ยาบคาย
ดว ยธรรมหา ขอ ทใ่ี หน ามวา “ศลี ”
การทาํ ลงไปนน้ั เปน เรอ่ื งใหญ เปนเรื่องทําลายศีล การคิดไมทํา หรืองดเวน อยู
ภายในใจนน้ั เปน เรอ่ื ง “ธรรม” เปน เรอ่ื งแกก เิ ลสอยภู ายในใจ มีความหมายทุกสิ่งทุก
อยา ง ที่พระองคทรงสั่งสอนไวอยางไรตองมีความหมายเต็มตัวทีเดียว เราทั้งหลายมี
ความรกั ชอบในศลี ในธรรมดงั ทก่ี ลา วมาน้ี ชอ่ื วา เปน ผรู กั ธรรมในการแกก เิ ลสอนั เปน
ขาศึกตอธรรม ดงั ทก่ี ลา วมาน้ี
ภาวนา คาํ วา “ภาวนา” ยิ่งเปนความละเอียดของจิตเขาไปอีก รวมความละเอยี ด
ของกิเลสเขาไปเปนชั้น ๆ ทา นจงึ สอนใหเ รยี นเขา มาหาตวั จติ ใหรูเรื่องของจติ จิต
แสดงออกในอาการอยา งใด เชน ทก่ี ลา วเมอ่ื สกั ครนู ว้ี า “บอแหงเหตุ บอ แหง ความยงุ
เหยงิ วนุ วาย ตน เหตขุ องกองทกุ ขอ ยทู ไ่ี หน”กค็ อื อยทู ใ่ี จ
ทา นสอนใหภ าวนา ใหร ูตน เหตุ คือความคิดเปนเหตุ สอนใหบ รกิ รรมภาวนา
หรือใหก าํ หนดอารมณอ นั ใดอนั หนง่ึ ใหเ ปน เครอ่ื งผกู จติ ใจ ไมใ หไ ปคดิ ในแงต า ง ๆ
ซึ่งจะเปนการสั่งสมกิเลสขึ้นมาโดยลําดับ ใหจ ติ มอี ารมณอ นั เดยี วกบั ธรรมทก่ี าํ หนด ที่
คําบริกรรมเทานั้น จนจิตมคี วามสบื ตอ กนั ดว ยความรทู เ่ี กย่ี วกบั ธรรมบทนน้ั ๆ ไมขาด
วรรคขาดตอน แลว กลายเปน ความสงบขน้ึ มาภายในตน ทานเรียกวา “จิตสงบ” จิตแนว
แนไ ปแลว เรยี กวา “จิตเปนสมาธิ”
คาํ วา “สมาธ”ิ เปน ฐานะอนั สาํ คญั ของจติ เมื่อจิตมีความสงบ ทกุ ขก ต็ อ งสงบ
ลงไป เพราะทุกขเกดิ ขึ้นจากความไมสงบ จติ แสดงความไมส งบกค็ อื จติ กอ ทกุ ข เมื่อจิต
ปรากฏเปนความสงบขึ้นมา กค็ อื ความสงบทกุ ข ความสงบจากความฟงุ ซา นอนั เปน
สาเหตุใหเกิดทุกข ทกุ ขกต็ อ งดับไปดว ยกัน เพยี งเวลาเดยี วหรอื ขณะเดยี วเทา นน้ั เราก็
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๖
๓๔๗
พอเหน็ เปน สกั ขพี ยานวา ความฟงุ ซา นของจติ กบั ความสงบของจติ นม้ี ผี ลตา งกนั
อยา งไรบา ง พอจะเห็นเหตุเห็นผล เห็นโทษเห็นคุณ ของความฟงุ ซา นกบั ความสงบ วา
ตา งกนั อยา งไรบา ง แลวกม็ ีทางท่จี ะแยกแยะเลอื กเฟน เอาตามท่ีปรากฏแลวทง้ั สองเรือ่ ง
คอื ความสงบกบั ความฟงุ ซา น
เราเลือกทํา แมจ ะมคี วามยากลาํ บากเพราะฝน แตเ หตผุ ลและสกั ขพี ยานบอก
แลว ภายในตวั วา ความสงบสุขเกิดขนึ้ เพราะความอตุ สา หพ ยายาม และผลจะปรากฏขึ้น
มาเรื่อย ๆ เปนความสงบเย็นใจ ขณะท่ีจิตมีความสงบตวั นน้ั ยอ มไมค ดิ ถงึ กาลเวลา
สถานทใ่ี ด ๆ ทง้ั สน้ิ รน่ื เรงิ บนั เทงิ อยกู บั ความสงบอนั เปน ความสขุ อยโู ดยถา ยเดยี ว นง่ั
อยกู เ็ พลนิ เพลินอยูในความสงบสุขของจิต ยนื อยกู เ็ พลนิ นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากความ
สงบของใจไมก อ กวนตวั เอง ความคิดปรุงระงับเขามาเพราะบทธรรมเปนเครื่องกํากับใจ
การกระทําความเพียรทาง “ จิตตภาวนา”มคี วามอดุ หนนุ กนั ไปโดยลาํ ดบั ความ
ตอ เนอ่ื งกนั ไปโดยลาํ ดบั ผลยอ มมคี วามสบื เนอ่ื งกนั เปน ลาํ ดบั เชน เดยี วกนั จนกลาย
เปน จติ ทอ่ี อ นโยน นม่ิ นวล สงา ผา เผย มองดภู ายในตวั เองกร็ ู นเ่ี ปน ระยะหรอื เปน ขน้ั
หนึ่งของจิต เรอ่ื งราวทเ่ี คยกอ กวนตวั เองนน้ั ยอ มลดนอ ยลงไปเปน ลาํ ดบั เรื่องราวคือ
ความคิดความปรุงในแงตาง ๆ ตามยถากรรมที่เคยเปนมา ก็ไมไดเปนอยางนั้นอีก มี
กฎเกณฑในการคิดการปรุงเพราะเริ่มมีสติ เริ่มมีความระมัดระวังขึ้น และเริ่มมีสาระ
สาํ คญั อนั เปน สมบตั อิ นั หนง่ึ ขน้ึ มาภายในใจ ไมอ ยากจะใหส ง่ิ ใดเขา มากอ กวนทาํ ลาย
สมบัติ คอื ความสงบสขุ ทเ่ี คยปรากฏกบั ตนอยแู ลว ยอ มมคี วามระมดั ระวงั สมบตั นิ น้ั ไว
เสมอดว ยความมสี ติ ดว ยความเตม็ ใจ ดว ยความพอใจ จติ เลยกลายเปน สมบตั อิ นั มี
คาขน้ึ มาอยา งชดั เจน แตก อ นกไ็ มไ ดค ดิ วา จติ นเ้ี ปน สมบตั อิ นั มคี า นอกจากเหน็ วา สง่ิ
อ่ืนมีคา ไปเสียท้งั ส้ิน จนหลงเพลนิ เพราะเรายงั ไมเ คยเหน็ จติ แสดงตวั ออกมาเปน สง่ิ ท่ี
นาพึงใจ นาอัศจรรย เปนสมบัติอันพึงใจ นา ไวใ จ ฝากเปน ฝากตายได
ทนี ป้ี รากฏขน้ึ มาแลว จิตจึงกลายเปนที่พึ่งอันหนึ่ง กลายเปน ทอ่ี าศยั หรอื กลาย
เปน สง่ิ ทอ่ี บอนุ ขน้ึ ภายในตวั เอง จติ นน้ั เลยกลายเปน สมบตั อิ นั รกั สงวนขน้ึ มา แลว กร็ กั
สงวนมาก พยายามกาํ จดั ปด เปา สง่ิ ทจ่ี ะมากอ กวนทาํ ลายจติ ใจนน้ั ดว ยสติ นเ่ี ปน อกี ขน้ั
หนง่ึ คือใจมีความละเอียดเขาไปโดยลําดับ นท่ี า นเรยี กวา “จติ มฐี าน” จติ มหี ลกั เกณฑ
จติ ปรากฏเปน สมบตั ขิ องผทู าํ อยา งชดั เจนแลว สมบตั อิ นั นเ้ี รยี กวา “ธรรมสมบัติ” มี
ประจักษใจ
ในธรรมอกี แงหนง่ึ ทท่ี า นสอนใหส มบตั อิ นั นม้ี คี วามสวา งกระจา งแจง ขน้ึ ไปและ
มีความรูรอบตัว เพอ่ื กาํ จดั สง่ิ ทแ่ี ทรกซมึ อยภู ายในใจใหข าดจากกนั โดยลาํ ดบั วา
“จิตนี้ มคี วามเกย่ี วเนอ่ื งผกู พนั กบั อะไรบา ง?”ทา นจงึ สอนใหใ ช “ปญ ญา” พิจารณา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๗
๓๔๘
โดยยกธาตขุ นั ธข องเรานข้ี น้ึ เปน อนั ดบั แรก พจิ ารณาคลค่ี ลายตลอดถงึ สง่ิ ภายนอก
บรษิ ทั บรวิ าร สมบัตติ างๆ คิดไป และนาํ มาเทยี บเคยี งวา “จิต มคี วามหนกั เบาในสง่ิ ใด
ในแงใด ในบคุ คลใด ในสมบตั อิ นั ใดบา ง”แลว นาํ สง่ิ นน้ั ๆเขา มาคลค่ี ลายดใู หเ หน็ ตาม
ความจริงของมัน เพื่อจิตจะไดถอยตัวเขามา ปลอ ยความกงั วล หรอื ความผกู พนั นน้ั ๆ
ซง่ึ เปน ตวั “อุปาทาน” ยดึ ม่ันถอื มน่ั แลว ทาํ ความกดถว งจติ ใจใหเ ปน พษิ ภยั แกต น ให
ถอยตวั เขา มาสู “ความเปน ตวั ของตวั ” คือจิตโดยเฉพาะ
พิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ ธาตขุ นั ธถ า พจิ ารณาตามความจรงิ แลว เราจะเห็น
ประจักษทั้งวันทั้งคืน เพราะเปนความจริงลวนๆ ตลอดมา ตั้งแตวันอุบัติจนกระทั่งถึง
วนั สน้ิ ชพี วายชนม ไมล ะความจรงิ อนั นเ้ี ลย เปนแตความรูของเรายังจอมปลอมอยู ของ
ปลอมกับของจริงจึงเขากันไมได ทา นจงึ สอนใหใ ชป ญ ญาซง่ึ เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ สอด
แทรกลงไป ใหร คู วามจรงิ ทม่ี อี ยภู ายในธาตขุ นั ธ หรอื รา งกายนด้ี ว ยการพนิ จิ พจิ ารณา
หากจะพจิ ารณาแยกอาการของมนั หรือตามความเปนอยูของมัน กแ็ ยกออกไป
ดูใหเ ห็นชัดเจนดว ยปญญา จะไมมีที่ตรงไหนแยงความจริงอันนี้เลย ดูเขาไปตั้งแตหนัง
ขางนอก หนงั ขางใน เน้ือ เอ็น กระดูก ดูเขาไป ๆ มนั เปน อยา งไร ตรงไหนที่เปนเรา
ตรงไหนท่ีนา รักนา ยนิ ดี ตรงไหนที่เปนเขา ดูเขา ไปจนหมดทกุ ส่ิงทุกสวนแลว มนั กเ็ ปน
กองธาตกุ องขนั ธ เปน กองอสภุ ะอสภุ งั เปน ปา ชา ผดี บิ เราดๆี นแ่ี หละ
แยกออกเปน เรอ่ื งของธาตุ ก็ไมเ ห็นมอี ะไร มแี ตธ าตุ ๔ ดินน้ําลมไฟเต็มเนื้อ
เต็มตัวของเราตั้งแตวันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ แลวยังจะเปนเชนนี้ตลอดไปจนกระทั่งถึง
วนั อวสาน คอื วนั สลายตวั ของสว นประชมุ แหง ธาตทุ ง้ั หลายเหลา น้ี
ถา “ปญญา” ไดหยั่งลงไปใหถึงเหตุถึงผลถึงความจริงซึ้งถึงจิตใจแลว ไมต อง
บอกใหป ลอ ย แตม นั ปลอ ยของมนั เอง สลัดลงไป ๆ ปลอ ยวางลงไปในสว นหยาบ คือ
ธาตสุ ่ี ดนิ นาํ้ ลมไฟน้ี
มีอันหนึ่งเปนสิ่งที่ปดบังความจริง หรอื วา ความสําคัญมนั่ หมายของเรา มันปด
บงั ตัวเราก็ถูก มันปดบงั เพราะอะไร เพราะธาตุเพราะขันธอันนี้ จงึ ตอ งเอาธาตขุ นั ธอ นั น้ี
มาแจงดู คลี่คลายดูใหเห็นชัดเจน แลว กม็ าเหน็ ตวั “ผูจอมปลอม” ไปเที่ยวยึดนั้น ปก
ปน มน่ั หมายวา สิ่งนั้นเปนเรา สิ่งนี้เปนของเรา กอ ความยงุ ยากใหแ กต น ขนทุกขมาทับ
ตนหนักเทาไร จนกระทั่งไปไมไดก็ยอมทน เพราะความหลงนี้เอง
ปญญา กําหนดพิจารณาใหเห็นชัดเจนตามเปนจริง แลว กป็ ลอ ยกนั ไปเองโดย
ลาํ ดบั ๆ เมอ่ื จิตมีความรูความเขา ใจในสง่ิ นอ้ี ยางชัดเจนแลว มองลงไปที่ไหนมันทะลุปรุ
โปรง ไปหมดภายในรา งกาย เห็นตามความเปนจริงอยางประจักษใจไมมีทางสงสัย ดู
ภายนอกกเ็ ชน เดยี วกบั ภายใน ดภู ายในกเ็ ชน เดยี วกบั ภายนอก มันเปนเชนเดียวกัน น่ี
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๘
๓๔๙
จัดวาเปน“โลกวทิ ”ู คอื รแู จงเหน็ จรงิ โลกทง้ั โลกนอกโลกใน เปน สภาพเหมอื นกนั นท้ี ง้ั นน้ั
น่ี “โลกวทิ ”ู เปนคุณสมบัติของพุทธบริษัททั้งหลายได ไมใชจะเปน “โลกวทิ ”ู แตพระ
พุทธเจาเพียงพระองคเดียว
แลว ยงั มอี ะไรเปน ตวั การสาํ คญั ทค่ี อยแตห ลอกหลอนอยตู ลอดเวลา ก็พวก
สญั ญา พวกสงั ขาร นี่เองเปนตัวสําคัญ เวทนาเกดิ ขน้ึ มนั กไ็ ปสาํ คญั มน่ั หมายวา
“เวทนา เปน เรา”เสีย เวทนาเปนเราเพราะเหตุไร เพราะรางกายนี่เปนเรา รางกายเปน
เรา เวทนาก็เปนเรา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ มันก็เปนเราเสีย กม็ าเปน อนั เดยี วกนั หมด
ทั้งๆ ที่ “เขา” ไมใ ช “เรา”“เรา” ไมใ ช “เขา” แตค วามสาํ คญั มน่ั หมายนน้ั มนั หลอกเรา
พิจารณาดูใหเห็นชัดเจน ความปรุง ก็เพียงคิดขึ้น ดี ชว่ั กต็ าม คดิ ขน้ึ ขณะเดยี วกด็ บั ไป
พรอมๆ ในขณะนั้น ไมไดตั้งอยูจีรังถาวรอะไรเลย เปน แตเ พยี งความสาํ คญั มน่ั หมาย
นน่ั แหละมนั ไปยดึ เอา เลยยืดยาวไปเรื่อยๆ ไมมีที่สิ้นสุด ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ตดิ ตอ สบื เนอ่ื ง
กนั เปน ลกู โซ ทกุ ขก เ็ ลยกลายเปน เหมอื นลกู โซไ ปตามกนั
คนทั้งคนมีแตลูกโซ คอื ความทกุ ขเ ตม็ หัวใจ การตดั ลกู โซจ งึ ตดั ดว ยการ
พิจารณาในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ใหท ราบวา เปน อาการหนง่ึ ๆ ของขนั ธน ่ี
เทาน้ัน เวทนา ความสขุ ความทุกข ทกุ ขก ายทกุ ขใ จ สขุ กายสขุ ใจ ก็ อนตตฺ า แนะ !สรุป
ความกค็ ือ อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ไปลงที่นั่นไมไปไหน เพราะความจรงิ อยทู ีน่ น่ั
คาํ วา “อนตฺตา”มันจะเปน“อตฺตา” ไดอ ยา งไร มนั ปฏเิ สธตวั ตนอยแู ลว ชดั ๆ เกิด
ขน้ึ แลว ดบั ไป ทกุ ขก ายกเ็ หมอื นกนั ทุกขใ จกเ็ หมอื นกนั มนั กเ็ ปน เวทนาอนั หนง่ึ ๆ ที่
ปรากฏตัวขึ้นมา สขุ กายสขุ ใจมนั กเ็ ปน เวทนาอนั หนง่ึ เหมอื นกนั พจิ ารณาใหเ ปน สภาพ
อนั เดยี วกนั คอื “ไตรลกั ษณ”ลว นๆ เห็นประจกั ษดว ยปญ ญาแลวยอมเปนไตรลกั ษณ
ลว นๆ จรงิ ๆ
สญั ญา ความหมาย ฟงแตวา “ความหมาย” มนั วนไปเวยี นมาอยอู ยา งนน้ั
หมายนน่ั หมายน่ี ดีไมดีก็หมายไป จําไป ลืมไปแลว เอามาจําใหม ยุงกันไปหมด
วญิ ญาณ ก็ปรากฏขึ้นในขณะที่มีสิ่งมาสัมผัส เปนความกระเพื่อมแหงความรูรับ
กนั กบั สง่ิ ทม่ี าสมั ผสั ทาง ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ซึ่งกระทบกับรูป เสยี ง กลน่ิ รส เครื่อง
สัมผัส กเ็ กดิ ความรับรูขึน้ เปนขณะๆ ที่สิ่งนั้นสัมผัส แลว กด็ บั พรอ มกบั สง่ิ สมั ผสั นน้ั ดบั
ไป นที่ า นเรียกวา “ วญิ ญาณ”ความกระเพอ่ื มแหง ความรเู ทา นน้ั เอง ความรูจริงๆ ไม
เปน เชน นน้ั ถงึ สง่ิ เหลา นน้ั จะมาสมั ผสั หรอื ไมส มั ผสั กต็ าม ความรกู ร็ อู ยโู ดยสมาํ่ เสมอ
นที่ า นเรยี กวา “ใจ”หรอื เรยี กวา “จิต”แตค วามกระเพอื่ มของจติ ที่แสดงออกรบั กับสิ่งที่
มาสัมผัสชั่วขณะ ๆ ที่สิ่งนั้นมาสัมผัส ทา นเรยี กวา วญิ ญาณ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔๙
๓๕๐
“วญิ ญาณในขนั ธห า ” กบั “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” จึงผิดกัน วญิ ญาณในขนั ธห า
ปรากฏขึ้นในขณะที่มีสิ่งมาสัมผัส “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” นห้ี มายถงึ “ตัวจิตลวน ๆ” ที่เขา
มาปฏสิ นธกิ อ กาํ เนดิ เกดิ ขน้ึ ทน่ี น่ั ทน่ี ่ี หมายถงึ จติ ทก่ี ลา วถงึ “ ในสถานทน่ี ”้ี ในขณะน้ี
“วญิ ญาณ”หมายถงึ วญิ ญาณในขนั ธห า ซึ่งมีสภาพเหมอื นกับรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร
มนั เสมอกนั ดว ย “ไตรลกั ษณ” เหมอื นกนั ดว ย “ไตรลกั ษณ” เหมอื นกนั ดว ยความเปน
“อนตตฺ า” มันไมเหมือนกับเรา เราไมเ หมอื นกบั สง่ิ นน้ั เหตุนั้นสิ่งนั้นจึงไมใชเรา เราจึง
ไมใชสิ่งนั้น
แยกดว ยปญ ญาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ อยา งน้ี แลว จิตจะปลอ ยความกงั วล
ปลอ ยคาํ วา “รูปเปนเรา เวทนาเปนเรา สัญญาเปนเรา สังขารเปนเรา วิญญาณเปนเรา”
ปลอ ยออกไป เราไมใชอาการหานี้ อาการหานี้ไมใ ชเ ราเหน็ ประจกั ษ ตดั ตอนมนั ออกไป
โดยลาํ ดบั ๆ จนกระทั่งขาดไปจริง ๆ จากอาการ แมจะแสดงขึน้ มากท็ ราบวา “อาการน้ี
แสดง” แสดงข้ึนเพยี งไรก็ทราบวามนั แสดง ดวยความรูของเรา ดวยปญญาของเรา ที่
ทานเรียกวา “คลค่ี ลายดว ยปญ ญา”
ในบรรดาขนั ธท ม่ี อี ยู ซง่ึ เปน เครอ่ื งปกปด กาํ บงั หรอื รวมเขา มาวา “เปนตน”โดย
ความสาํ คญั ของจติ แยกออกดว ยปญ ญาใหเ หน็ ชดั เจน นแ่ี หละตดั กง่ิ กา นสาขา ตัดราก
ใหญ ๆ รากฝอยของกิเลสเขา มา เหลือแต “รากแกว ” พอถงึ “รากแกว ” แลว กถ็ อนขน้ึ
รากแกว คอื อะไร?คือ ตัวจิต มกี เิ ลสตวั สาํ คญั อยใู นนน้ั หมด ผูปฏิบัติจึงมักจะ
หลงที่ตรงนี้ ถาหากไมม ผี แู นะเลยจะตอ งมาตดิ ที่ตรงนี้แนน อน ถอื สง่ิ นเ้ี ปน ตน คิดวา
“อะไร ๆ กห็ มดแลว รูหมดแลว รูแลว” ยกเราวารูหมด! แตเ ราหาไดร ู “เรา” ไม นน้ั
คือเราหลงเรา รสู ง่ิ ภายนอกแตม าหลงตวั เอง
สง่ิ ภายนอกในสถานทน่ี ้ี ไมต อ งพดู ถงึ สง่ิ ภายนอกทน่ี อกจากตวั เรา หมายถงึ
รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ นน้ี แ่ี หละ รูสิ่งเหลานี้แลวยังไมรูตัวจริงคือจิต จิต
เลยยกตัวขึ้นวารูส่ิงทงั้ หลายเสีย ทั้ง ๆ ทต่ี วั กาํ ลงั หลงอยใู นตวั เอง จึงตองใชปญญาคลี่
คลาย หรอื ขยข้ี ยาํ เขา ไปทต่ี รงนเ้ี พื่อความรูรอบตัว ไมใหมีอะไรซุมซอนอยูเลยขึ้นชื่อ
วา “ยาพษิ ” คือกิเลสประเภทตาง ๆ แมจะละเอียดเพียงไร มี “อวชิ ชา” เปน ตน กใ็ ห
กระจายไปดว ยอาํ นาจแหง ปญ ญาคลค่ี ลาย จนกระทั่งกระจายไปจริง ๆ หรอื สลายไป
จรงิ ๆ ดว ยอาํ นาจของปญ ญาอนั แหลมคม แลว คาํ วา “เรา” คาํ วา “ของเรา” กห็ มด
ปญหา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๐
๓๕๑
คาํ วา “รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ หรอื วา ขนั ธห า อาการทง้ั หา นี้เปนเรา
เปนของเรา” ก็หมดปญหาไปตาม ๆ กนั วาเปน “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา”กห็ มดปญ หาไป
ตามกัน เพราะสน้ิ ปญ หาภายในใจ คอื “อวชิ ชา” ซึ่งเปนตัวปญหาไดสิ้นไปแลว ปญหา
ทั้งหลายจึงไมมีภายในใจ ใจจึงเปน ใจท่บี รสิ ุทธิ์ลวน ๆ !
นน่ั แหละคอื บอ แหง ความสขุ ! เมอ่ื กาํ จดั ความทกุ ข เหตใุ หเ กดิ ทกุ ขอ อกจาก
ใจหมดสน้ิ ไปแลว ใจจงึ กลายเปน ใจทบ่ี รสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา
นยิ ยานกิ ธรรม พระพทุ ธเจา ทรงสง่ั สอนสตั วโ ลกมาตั้งแตพื้น ๆ ดังที่กลาวมา
แลวเบ้ืองตน จนกระทง่ั ถึงจดุ สดุ ทายอยางนี้ เปน “นิยยานิกธรรม”โดยสมบูรณ นาํ สตั ว
ผูของ พดู งา ยๆ นําจิตผูของ ใหพ น จากความของนน้ั โดยประการทั้งปวง กลายเปน
“โลกวทิ ”ู รแู จง เหน็ จรงิ ในธาตใุ นขนั ธท ง้ั ภายนอกภายใน แลวก็หมดปญหากันเพียงเทา
น้ี
จากนั้นทานก็ไมไดทรงสอนอะไรตอไปอีก เพราะพนจากทุกขแลวจะสอนเพื่อ
อะไร ถงึ ทอ่ี นั เกษมแลว สอนกนั ไปเพอ่ื อะไรอกี !
นแ้ี ลทเ่ี คยกลา วเสมอวา “มชั ฌมิ า” ในหลกั ธรรมชาตอิ นั เปน ฝา ยผล ไดแ ก “จิต
ทบ่ี ริสทุ ธล์ิ ว น ๆ” น้ี ไมมีอะไรที่จะ “กลาง” ยง่ิ กวา จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธน์ิ ้ี เสมอยง่ิ กวา จติ ท่ี
บรสิ ทุ ธน์ิ ้ี ไมม ใี นโลกทง้ั สามน้ี! เพราะฉะนั้นจึงไมมีอะไรประเสริฐยิ่งกวาจติ บริสุทธิ์ลวน
ๆ อนั เปน “มชั ฌมิ า” ในหลักธรรมชาตนิ ี้
นี่แหละความเปนเอก กค็ อื น้ี จิตเปนเอก ก็คือจิตที่บริสทุ ธ์ิน้ี ธรรมอันเอก ก็คือ
ธรรมอนั บรสิ ทุ ธภ์ิ ายในใจน้ี มีอันเดียว ไมม สี องกบั สง่ิ ใด
โลกทง้ั หลายมีคู ๆ ธรรมชาตินี้ไมมีคู มอี นั เดยี วเทา นั้น พระพุทธเจาสมกับพระ
นามวา เปน “โลกวทิ ”ู เปนศาสดาเอกของโลก ทรงรวู ธิ แี กไ ขกเิ ลสนอ ยใหญม าโดย
ลาํ ดบั ๆ แลว นาํ มาสง่ั สอนโลก ใหพ วกเราทงั้ หลายแมเกดิ สดุ ทา ยภายหลงั ตามคตนิ ิยม
กต็ าม แตเรากไ็ ดรับพระโอวาทคาํ ส่งั สอน คือศาสนธรรมจากพระองคมาปฏบิ ตั ิตนเอง
ไมเสียชาติที่ไดเกิดมาเปนมนุษย
“ธรรม” กบั “พระพุทธเจา” คือธรรมคําสั่งสอนของพระองค นํามาเปน เครอ่ื ง
ประดับกายประดับใจของเรา ขอใหม คี วามภาคภมู ใิ จในวาสนาของเราทไ่ี ดเ ปน อรรถ
เปนธรรม ปฏิบัติตามพระองค ใหส มช่อื วา “เปนพุทธบริษัทโดยสมบูรณ” จึงขอยุติ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๑
๓๕๒
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๖ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
ใจปลอม วธิ ปี ฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน
การฝก หดั ภาวนา กรณุ าปฏบิ ตั หิ รอื ดาํ เนนิ ตามทท่ี า นแนะไว เกย่ี วกบั เรอ่ื ง
ภาวนา ซง่ึ เปน สาระสาํ คญั ของศาสนาแท เปน แกน หรอื เปน รากแกว ของศาสนา
กอนอื่นใหใจไดรับการอบรมศีลธรรมคุณงามความดีตาง ๆ หลงั จากนน้ั กฝ็ ก
หดั ทางดานจิตใจ ทดสอบอารมณท เ่ี คยเปน พษิ เปน ภยั แกต นมานานแสนนาน คือ
ทดสอบดว ยการภาวนา ไดแ กก ารสอดรคู วามเคลอ่ื นไหวของจติ ทีค่ ิดปรุงในแงตาง
ๆ เมือ่ ทําความสังเกตอยูเสมอ เราจะทราบเรอ่ื งของจิตที่คิดปรุงในเรื่องตาง ๆ ทั้งที่
เปนพิษเปนภัย ทั้งที่เปนคุณแกเราไดด ี
การฝก หดั เบอื้ งตน ก็เหมือนกับเราเรมิ่ ทํางาน งานนั้นเรายังไมเคยทํา ผลก็ยังไม
เคยปรากฏ เปนแตเพียงเหตุผลเปนเครื่องบังคับใหตองทํางาน เราก็ทําตามเหตุผลนั้น
ๆ แตความเขาใจ ความชาํ นาญในงานนน้ั ยงั ไมม ี เรายังไมเขาใจ ผลกย็ งั ไมปรากฏ จึง
ตองมีการฝนเปนธรรมดาที่เริ่มฝกหัดทํางานในเบื้องตน เมอ่ื ทาํ ไปนานๆ ความชาํ นิ
ชาํ นาญในงานกค็ อ ยมขี น้ึ ความคลอ งแคลว ในงานกค็ อยเปน ไปโดยลําดับ ผลของงานก็
คอ ยปรากฏขึ้น ยอมจะรูทิศทางที่จะดําเนินงาน หนกั เบามากนอ ยไดโ ดยลาํ ดบั ความ
หนกั ใจกค็ อ ยลดลง เพราะรูวิธีทาํ งานนั้น ๆ ตลอดทว่ั ถงึ แลว พรอมทั้งผลก็ไดรับโดย
ลาํ ดบั
งานดา นภาวนากม็ ลี กั ษณะเชน เดยี วกนั คอื อาศยั การฝน บา ง เหตทุ จ่ี ะฝน ก็
เพราะเราอยากดี ผทู ม่ี าสอนเราคอื พระ นอกจากพระแลว ทา นยงั นาํ พระศาสนามาสอน
เรา ศาสนธรรมทง้ั หลายออกมาจากพระพทุ ธเจา
พระพุทธเจาเปนผูรูจริงเห็นจริง ไมไดตั้งพระองคเปนผูหลอกลวงตมตุนโลก
มนุษย แตเปนผูรื้อฟน ขนสตั วใ หพน จากความทุกขเ พราะความโงเงา ตาง ๆ ตางหาก
ธรรมที่แสดงออกทุกบททุกบาท จึงออกมาจากการพสิ จู นค น พบของพระพทุ ธเจา อยา ง
แนพระทัยแลว จึงไดใหนามธรรมนั้นวา “สวากขาตธรรม” คือธรรมที่ตรัสสอนไวชอบ
แลว ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ไมมีอะไรผิดเพี้ยน เปนธรรมตรงตอเหตุตอผล ตอ ความสตั ยค วาม
จรงิ หรอื ตอ ความเปน จรงิ ทุกแงทุกมุมแหงธรรมที่แสดงไวแลวนั้น พระองคเปนผูรับ
รองในความบริสุทธิ์ แมพระองคจะไมประกาศวาพระองคเปนผูรับรองก็ตาม ความ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๒
๓๕๓
บริสุทธิ์หมดจดในพระทัย ทท่ี รงคน พบแลว นาํ ออกสอนโลก นั้นเปนเครื่องประกาศ
ออกมาเอง
ศาสนธรรมทอ่ี อกมาจากพระโอษฐ ออกมาจากพระทัยนั้น จึงเปนศาสนธรรมที่
บริสุทธิ์หมดจด เปนท่ีเชื่อถอื ไดทุกขั้นแหง ธรรม เราหาความเชื่อถือตามความจริงจาก
คนทง้ั หลายนน้ั หาไดย าก ยิ่งสมัยทุกวันนี้มีแตเรื่องปลอมแทบทั้งนั้น จะหาความสัตย
ความจรงิ ตอ กนั รสู กึ วา หาไดย าก ไมเ หมอื นกอ น ๆ เพราะเหตุไร ? เพราะจติ ใจของ
มนุษยมันปลอมไปมาก จนอาจกลายเปนเรื่อง “มนษุ ยป ลอม” ไปดวย สกั แตว า รา ง
มนุษยแตจิตใจปลอม เพราะฉะนั้นธรรมของจริงหรือความสัตยความจริง จึงไมสามารถ
สถิตอยูในที่จอมปลอมได ของปลอมอยดู ว ยกนั จงึ อยไู ดส นทิ เวลาระบายออกมากอ็ อก
มาจากความจอมปลอมของใจ ผูฟงก็ปลอมดวยกัน ตางอันตางปลอม ฟงกันก็เชื่อ และ
ตม ตุน กันไปอยางสะดวกสบายไมเขด็ ไมหลาบ โลกมกั ชอบกนั อยา งนน้ั
แตศ าสนธรรมซง่ึ เปน ความจรงิ ไมมกี ารหลอกลวงตม ตุน จิตใจคนกลับหางเหนิ
จากธรรมของจริง หรือไมสนใจประพฤติปฏิบัติ เมอ่ื หา งเหนิ จากธรรมของจริงแลว กม็ ี
แตความจอมปลอมเขาแทรกสิงหรือกลุมรุมจิตใจ ใหประพฤติไปตาง ๆ นอกลนู อก
ทาง ผลจงึ ทาํ ใหไ ดร บั ความทกุ ขล าํ บากราํ คาญอยเู สมอในทท่ี ว่ั ไป
เราทั้งหลายเปนผูมุงมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม อันเปนความจริงที่พระองคทรง
สอนไวแ ลว จึงควรพิสูจนความจอมปลอมซึ่งมีอยูในจิตใจของตนวา มมี ากนอ ยเพยี งไร
และมมี านานเทา ไร จะควรปฏบิ ตั แิ กไ ขอยา งไรบา ง เพือ่ ความจอมปลอมซ่งึ เปน สาเหตุ
กอ ทกุ ขใ หเกดิ ขนึ้ แกเราไมแลวไมเ ลา นี้ จะคอยหมดไปโดยลําดับ พอใหม คี วามสขุ ใจ
บางจากการประพฤติปฏิบัติธรรม
ธรรมนั้นเปนเครื่องเชิดชูคนใหดีงาม และปลดเปลื้องสิ่งที่เปนพิษเปนภัยออก
ใหไดร บั ความสุขทางดา นจิตใจโดยลําดับ ธรรมจึงไมเปนภัยแกผูใดทั้งนั้น ไมว า สมยั ใด
ธรรมเปนคุณสมบตั ิอันหนงึ่ ทค่ี ูควรแกใ จ และมีใจเทานัน้ เปน คูควรแกธ รรม คือ
สามารถที่จะรับธรรมไวได และเปนภาชนะอนั เหมาะสมอยา งยงิ่ ไมมีภาชนะใดที่จะ
เหมาะสมยงิ่ กวาใจ
ที่ใจปลอมก็เพราะวา สิ่งจอมปลอมมันแทรกอยูภายในใจ จนกลายเปน ใหญ
เปนโตขึ้นมาคลอบงําจิตทั้งดวงใหปลอมไปตามหมด จึงทาํ ใหม นษุ ยเ ดอื ดรอ นวนุ วาย
อยทู ไ่ี หนกไ็ มม คี วามผาสกุ เยน็ ใจ เพราะสง่ิ เหลา นไ้ี มเ คยทาํ ความผาสกุ เยน็ ใจใหแ กใ คร
นั่นเอง ขน้ึ ชอ่ื วา “ของปลอม” ยอ มกอ ความเดอื ดรอ นเสยี หายเชน นม้ี าตง้ั แตไ หนแตไ ร
การปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะกําจัดสิ่งที่ปลอมแปลงนั้นออก ใหเ หลอื แตแ กน ให
เหลอื แตของจริงลว น ๆ ภายใน เฉพาะอยา งยง่ิ การฝก หดั ภาวนา ควรจะทําใหเปนล่ํา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๓
๓๕๔
เปนสัน เปนเนื้อเปนหนังพอสมควร เพราะงานอน่ื เราเคยทาํ มาแลว ตง้ั แตไ หนแตไ ร จน
บัดนี้เราก็ยังทําได หนกั กท็ าํ เบากท็ าํ ผา นไปโดยลาํ ดบั จนถงึ ปจ จบุ นั น้ี จะเปน งานสกั ก่ี
ชน้ิ จนนบั ไมถ ว น เพราะมากตอมาก เราเคยผา นความหนกั เบา ความลาํ บากลาํ บน ทกุ ข
รอนเพราะสิ่งเหลานี้มามากมายเพียงไร ยงั อตุ สา หส ทู นกบั งานนน้ั ๆ มาได แตเวลาจะ
ทาํ จติ ตภาวนา ซึ่งเปนธรรมประเภทคุณสมบัติอันสูงสงภายในจิตโดยเฉพาะ ซึ่งเปน
ความจาํ เปน เชน เดยี วกบั งานอน่ื ๆ หรอื ยง่ิ กวา นน้ั ทําไมเราจะทําไมได นเ่ี ปน ปญหาท่ี
เราจะคดิ แกก ลอบุ ายของกเิ ลสซง่ึ เปน ตวั หลอกลวง ไมอ ยากใหเ ราทาํ ใหข าดออกจากจติ
ใจเปน ลาํ ดบั ไมถอยทัพกลับแพมันอีก เทา ทถ่ี กู มนั กดขบ่ี งั คบั มาแลว กแ็ สนทกุ ขท รมาน
นา เคยี ดแคน อยา งฝง ใจ ไมนาจะมีวันหลงลืมไดเลย ถาเปน ใจชาวพทุ ธ ลูกศิษยพระ
ตถาคต นะ
เบอ้ื งตน จติ ยอ มลม ลกุ คลกุ คลาน เพราะไมเคยถูกบังคับดวยอรรถดวยธรรม มี
แตถ กู บงั คบั จากกเิ ลสโดยถา ยเดยี ว เรอ่ื งของกิเลสตอ งบังคับจติ เสมอ บงั คบั ใหล งทาง
ต่ํา เมอ่ื จิตเราเคยถกู บงั คบั ลงฝา ยตาํ่ อยแู ลว จะฉดุ ขน้ึ มาทส่ี งู คอื “พระสัทธรรม” จงึ เปน
การยาก
เอา ! ยากกต็ าม เราตองฝน เพอ่ื ฉดุ ลากจติ ใจทก่ี าํ ลงั ถกู กลมุ รมุ ดว ยพษิ ภยั ทง้ั
หลายนน้ั ใหพ น ขน้ึ มาโดยลาํ ดบั เปน สง่ิ ทค่ี วรทาํ อยา งยง่ิ สาํ หรบั เราผหู วงั ความสขุ ความ
เจริญ และความพน ทกุ ขโ ดยสน้ิ เชงิ
ทา นผใู ดมคี วามสนใจ หรอื มจี รติ นสิ ัยชอบในธรรมบทใด กรณุ านาํ ธรรมบทนน้ั
ไปบริกรรม คาํ วา “ถกู กบั จรติ นสิ ยั ” นั้น ไดแกเวลาเรากําหนดนําธรรมบทนั้นๆ มา
บรกิ รรมทดสอบดู จะมคี วามรสู กึ เบา หรอื คลอ งแคลว ภายในจติ ใจ ไมหนักหนวง นี่ชื่อ
วา “ถกู กับจริตนิสัยของเรา” เชน “พุทโธ” เปนตน เมอ่ื ถกู แลว กพ็ งึ นาํ ธรรมบทนน้ั มา
กาํ กบั จติ ใจ
ทาํ ไมจงึ ตอ งนาํ คาํ บรกิ รรมมากาํ กบั จติ ใจ ? เพราะปกติของใจนั้นมีแตความรู
เราไมทราบวารูอยา งไรบา ง ลกั ษณะความรนู น้ั เปน อยา งไร ตวั ความรแู ทเ ปน อยา งไร
ไมส ามารถทราบได ทราบแตว า “รู” เทา น้ัน รูไปทั่วสารพางคร า งกาย แตจ บั เอา “ตวั ร”ู
จริง ๆ ซง่ึ เปน ตวั สาํ คญั ไมไ ด เพราะฉะนั้นจึงตองนํา “คําบริกรรม” เขา มากาํ กบั เพอ่ื
เปนที่ยึดเหนี่ยวของใจ จนสามารถทรงตัวได ถาจะเทียบกับภายนอกกเ็ หมอื นเขาตก
เบด็ เอาปลานน่ั เอง ถา มแี ตเ บด็ เฉย ๆ ปลากไ็ มก นิ เบด็ ตอ งมเี หยอ่ื ลอ ดว ย การเอา
เหยอ่ื ลอ ใหป ลากนิ เบด็ นน้ั เพราะเราตองการปลาที่จะมากินเบ็ดเพราะเหยื่อลอนั้น เรา
ไมไดมุงหวังจะเอาเหยื่อ เรามุงจะเอาปลาตางหาก จงึ หาเหยอ่ื มาลอ คอื ตดิ เหย่อื เขากบั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๔
๓๕๕
ปลายเบด็ แลว หยอ นลงไปในนาํ้ เพอ่ื ใหป ลามากนิ เบด็ ปลาเหน็ เขา กม็ ากนิ โดยเขาใจวา
เปน อาหาร นี่เปนขอเทียบเคียง
คาํ วา “พุทโธ” กด็ ี “ธัมโม” กด็ ี “สังโฆ” กด็ ี หรือคําบริกรรมบทใดก็ตาม นี่เปน
เหมอื นทว่ี า นน่ั แล คอื เปน เหยอ่ื สาํ หรบั ลอ จติ หรอื เหมอื นกบั เชอื กมดั ใหจ ติ อาศยั อยู
กบั คําบรกิ รรมนั้น ๆ ดว ยความมสี ตอิ ยเู สมอไมใ หค ลาดจากกนั จะกาํ หนด “พุทโธ” ก็
ใหม คี วามรสู กึ อยกู บั “พุทโธ” สบื เนอ่ื งกนั ไปโดยลาํ ดบั
เมอ่ื จติ ใจไดท าํ งานในหนา ทอ่ี นั เดยี วไมม สี ง่ิ อน่ื มาเกย่ี วขอ ง หรือจติ ไมไดเล็ด
ลอดออกไปคดิ ในแงต า ง ๆ ซง่ึ เปน เรอ่ื งกวนใจ ใหเ กดิ ความฟงุ ซา นวนุ วาย จติ ก็จะงบ
ตัวลงไป โดยอาศัยคําบริกรรมเปนเครื่องผูกมัดอยู กระแสของจติ ทซ่ี า นไปสสู ถานท่ี
หรือสิ่งตาง ๆ วตั ถอุ ารมณต า ง ๆ จะรวมตัวเขามาสูจุด คอื “พุทโธ” แหงเดียว จนกลาย
เปนจุดที่เดนชัดขึ้นมาภายในใจ เมอ่ื ใจมคี วามสงบดว ยอบุ ายอยา งน้ี จนปรากฏผลขึ้น
มา คอื ความสขุ เกดิ ขน้ึ จากความสงบ เรียกวา “ไดผล” งานคือการภาวนาของเราเริ่มได
ผลแลว ไดผลเปนความสงบ เปน ความเยน็ ใจ เปน ความสขุ และสขุ ละเอยี ดออ นขน้ึ ไป
ตามลําดับแหง ความสงบที่มีมากนอย นี่เปนผลที่จะยังจิตใจใหดูดดื่ม และเปนพยาน
เปนเครื่องยึดของจิต เปนเครื่องอบอุนของใจ
ในเมื่อไดรับผลปรากฏเปนที่พอใจเชนนี้ จะมีความพากเพียร มีความเช่อื ม่ันขน้ึ
เรื่อย ๆ แมผ ลกจ็ ะมคี วามละเอยี ดขน้ึ ไปอยา งแนน อนไมส งสยั เพราะเทา ทป่ี รากฏนก้ี ็
เปนที่พึงพอใจอยูแลว ยง่ิ ไดภ าวนาใหม คี วามละเอยี ด กย็ ง่ิ จะปรากฏผลคอื ความ
ละเอยี ดมากขน้ึ โดยลาํ ดบั เปน เชอ้ื แหง ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสในพระศาสนา และเชื่อ
ตอ งานของตนทจ่ี ะพงึ บกึ บนึ หรอื พยายามตอ ไปไมล ดละทอ ถอย เมื่อจิตไดรับความ
สงบเห็นประจักษครั้งหนึ่งแลว ตอไปความขยันหมั่นเพียร ความสนใจตอ งานทเ่ี คยทาํ น้ี
จะคอ ยเดนขน้ึ ๆ ไมค อ ยไดถ กู บงั คบั บญั ชามากนกั เหมอื นแตก อ น
แตป ระการสาํ คญั ขณะทป่ี รากฏขน้ึ แลว คอื ขณะทผ่ี ลปรากฏขน้ึ แลว ในวนั น้ี
หรอื ในคราวน้ี คราวตอ ไปอยา ไดไ ปคาดไปหมายอารมณท เ่ี กดิ ขน้ึ แลว และผา นไป
แลวนั้น อยา ไดถ อื เอาอนั นน้ั มาเปน อารมณใ นขณะทท่ี าํ ภาวนาในวาระตอ ไป ใหต ง้ั หนา
ตง้ั ตาทําตามหนา ท่ี หรอื ตามงานของเราทีเ่ คยทําอยา งทีเ่ คยทาํ มาแลว โดยไมต อ งคาด
ผลวา จะเปน อยา งใด
เมอ่ื สตคิ วามรบั รสู บื ตอ อยกู บั คาํ บรกิ รรม ความรสู กึ กต็ ดิ ตอ อยกู บั คาํ บรกิ รรม
เปนลําดับ ๆ นนั้ แลเปน งานทีท่ าํ โดยถูกตอ งแลว ผลจะปรากฏขน้ึ มากบั งานนน้ั เชน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๕
๓๕๖
เดยี วกับทเี่ คยปรากฏมาแลว หรือยงิ่ กวา นัน้ ไปโดยลําดับ นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ
ภาวนาเปน อยา งน้ี
การไปคาดหมายผลทผ่ี า นมาแลว จะทําใหจ ติ เขวจากงานในวงปจจุบัน ซึ่งเปน
งานจะยังผลใหเกิดขึ้นโดยสมบูรณ ฉะนน้ั จงึ ไมค วรไปยดึ อารมณอ ดตี มาทาํ ลายงาน
ในวงปจจุบัน
ความสุขใดกต็ ามไมเหมอื นความสุขท่ีเกดิ ข้นึ จากความสงบของใจ ทา นกลา วไว
ในธรรมวา “นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุข”ํ สุขอ่นื ยง่ิ กวาความสงบน้ีไมมี ทั้งนี้เริ่มไปแตความสงบ
ในเบือ้ งตน จนถึงสันติ คอื ความสงบในวาระสดุ ทา ย ไดแ กค วามสงบราบคาบแหง
จิต ทไ่ี มม กี เิ ลสแมน อ ยหนง่ึ เหลอื อยเู ลย!
เราทุกคนที่เกิดมาในโลก มงุ หาความสขุ ความเจรญิ ดว ยกันท้ังน้นั ไมวาหญงิ วา
ชาย ไมว า ชาตชิ ัน้ วรรณะใด มคี วามรสู กึ อยเู ชน น้ี มคี วามหวงั อยเู ชน น้ี หวงั อยากได
ความสุขความเจริญ แตแลวทาํ ไมโลกน้ีจึงเตม็ ไปดวยความรมุ รอนวนุ วาย มแี ตค วาม
ทุกขเต็มจิตใจ และรา งกายของสตั วโ ลก ทําไมจึงไมเจอความสุขดังที่มุงหมายบางไม
มากกน็ อ ย เพราะเหตใุ ด ?
กเ็ พราะวาแสวงหาความไมถ กู จดุ เปน ท่พี อใจ ความสขุ ทเ่ี ราทง้ั หลายแสวงหานน้ั
จงึ เปนแตเ พียงมโนภาพที่วาดไปแลวก็กอความกังวลใหแ กตน เมื่อปรารถนาไมสมหวัง
กเ็ พ่ิมความทุกขข น้ึ มาใหแ กตนเทานน้ั
เพราะฉะนนั้ เพอ่ื ความเหมาะสมเพื่อความสมหวงั จึงควรดําเนินตาม “ศาสน
ธรรม” ที่พระพุทธเจาทรงคนพบซึ่งความสุข และเหน็ ความสขุ ประจกั ษพ ระทยั แลว
จงึ นาํ มาประกาศสอนโลกดว ยพระเมตตา พวกเราชาวพทุ ธควรพากนั ดาํ เนนิ ตามหลกั
ศาสนธรรมมีดานจิตตภาวนาเปนตน เพอ่ื ใหใ จไดร ับความสงบสุข ถา ทาํ ถกู ตามหลกั
ธรรมทท่ี า นสอนไว ไมต อ งสงสยั วา ความสขุ จะไมป รากฏขน้ึ มากนอ ยภายในใจทส่ี งบตวั
ตอ งปรากฏขน้ึ มาอยา งแนน อนไมว า ผหู ญงิ ผชู าย ไมว า นกั บวช ฆราวาส
จิตเปนธรรมชาติกลาง ๆ ไมข ึ้นอยกู บั เพศกบั วัยอะไรทัง้ นั้น หลกั ใหญอ ยตู รงน้ี
การแสวงหาความสขุ ทางใจ แสวงหาอยา งน้ี
สว นความสขุ ภายนอกเรากพ็ อทราบกนั เพราะเคยเสาะแสวงหา เคยไดอาศัยสิ่ง
เหลา นน้ั มาแลว ใคร ๆ กท็ ราบดอี ยแู ลว ไมจ าํ เปน ตอ งแนะนาํ สง่ั สอนกนั ทส่ี าํ คญั กค็ อื
การเสาะแสวงหาความสขุ ทางดา นจติ ใจอนั เปน หลกั สาํ คญั ในรา งกายและใจเรา ควร
แสวงหาวธิ ใี ดจงึ จะเจอความสขุ ?
จติ ใจทเ่ี จอความสขุ ยอ มไมก วดั แกวง วนุ วาย ไมเดือดรอน ไมฟุงเฟอเหอเหิม มี
ความสงบตวั อยเู ปน ปกติ อยใู นอริ ยิ าบถใดกท็ รงตวั อยไู ดด ว ยความสงบสขุ และความ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๖
๓๕๗
สวยงาม ไมวิ่งเตนเผนกระโดด หรอื กวดั แกวง อยภู ายใน เพราะไมมีสิ่งกวนใจ เนอ่ื งจาก
ความสงบเปน อาหารหลอ เลย้ี งจติ ใจ ใหไดร บั ความสขุ ความรมเย็นอยูภายในตัว ซึ่งเปน
ผลเกดิ ขน้ึ จากการภาวนา เราควรจะเสาะแสวงหาใหเ จอความสขุ บา งไมมากกน็ อย ทาง
ดานจิตใจ ยากกท็ นบา ง เพราะงานไมวางานไหน ตอ งฝน ความยงุ ยาก ฝน ความลาํ บาก
ตองฝนทุกขบางเปนธรรมดาเมื่อพอฝนได นอกจากจะสุดวิสัยฝนไมได กจ็ ําเปน ดว ยกนั
ไมว า งานในงานนอก
งานนอกไดแ กก ารงานตา ง ๆ งานใน ไดแ ก “จติ ตภาวนา” ตอ งมคี วามยากบา ง
เปนธรรมดาดวยกัน พระพทุ ธเจากเ็ ปน องคพ ยานสาํ คญั แลว ในเรอ่ื งความทกุ ขค วาม
ทรมาน เกย่ี วกบั การบาํ เพญ็ พระองคก อ นจะไดต รสั รู ปรากฏวา สลบไสลถงึ สามหน คํา
วา “สลบ” คอื ตายแลว ฟน ถาไมฟ นกไ็ ปเลย จะทุกขขนาดไหนจนถึงขั้นสลบ? ถา ไม
ทุกขมากจะสลบไดอยา งไรคนเรา ! ตองถึงขนาดจึงสลบได เรียกวา “รอดตาย” นั่นเอง
ครูของเราทําอยางนี้ เพราะศาสนานีไ้ มใ ชศาสนาเพ่อื ลางมือเปบ เกดิ ขน้ึ ดว ย
เหตุดวยผล เหตุดีผลดี การทําเหตุไดมากนอย ผลยอมปรากฏขึ้นตามเหตุที่ทํา ไมทํา
เลยผลจะปรากฏไดอยางไร
แตความตองการของเรา ตองการความสุขความเจริญ ความสมหวงั ดว ยกนั ทง้ั
นน้ั ไมว า หวั ใจใด จะนาํ สง่ิ ใดมาเปน เครอ่ื งสนองความตอ งการ ใหส มความมงุ มาด
ปรารถนาเลา นอกจากจะทําในสิ่งที่ชอบอนั เปน ทางเดินเพอ่ื ความถกู ตอ งเทานั้น ความ
สมหวังน้นั จึงสาํ เรจ็ ไปโดยลาํ ดบั จนสําเร็จโดยสมบูรณ
เพราะฉะนน้ั ในวาระน้ี จึงจําเปนอยางยง่ิ ท่ีเราจะบําเพญ็ ทางดานจติ ใจ อันเปน
จุดหมายใหเ กิดความสขุ ความสมหวงั ขน้ึ ภายในใจของตนดวย “จติ ตภาวนา” เหนอ่ื ย
บา งกท็ นเอา จติ มันเคย วอกแวกคลอนแคลน เคยคิดเคยปรุงมานมนาน ซึ่งไมเกิดผลดี
อะไรเลย จึงบังคับไวบาง
การปลอ ยใหค ดิ ไปในแงต า ง ๆ ตามอารมณของใจนั้นไมเกิดประโยชนอะไร
นอกจากไปเทย่ี วกวา นเอาความทกุ ขค วามรอ นจากอารมณต า ง ๆ เขามาเผาลนจิตใจ
ของตนใหเดือดรอนวุนวายไมขาดวรรคขาดตอนเทานั้น ไมเ หน็ ผลดอี นั ใดทเ่ี กดิ ขน้ึ จาก
การปลอยใจไปตามลําพังของมัน
การฝก จติ การทรมานจิต ไมใหคิดไปในแงตาง ๆ ที่เปนพิษเปนภัย ดวยอรรถ
ดวยธรรมอนั จะนําความสุขมาใหนี้ ถึงจะยากขนาดไหนเราก็พอจะทําได เพราะเรา
ทราบเหตผุ ลอยแู ลว วา นเ่ี ราฝก ฝนทรมานเพอ่ื หาความสขุ เพอ่ื ใหจ ติ ใจมคี วามสขุ ดว ย
การฝกการทรมาน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๗
๓๕๘
พระพุทธเจากเ็ คยฝก มาแลวจนสลบไสล สาวกกเ็ คยฝก มาแลว ทรมานมาแลว
ตอ งเปน ผผู า นทกุ ขม าแลว ดว ยกนั ทา นจงึ ไดร บั ความสขุ อนั สมหวงั
เราไมตองผานทุกขใด ๆ ดว ยการฝก ฝนอบรมบา งเลย แตจ ะเอาความสขุ ความ
สมหวังเลยทีเดียว ก็รูสึกวาจะเกงเกินครูไป จึงควรดาํ เนนิ ตามรอ งรอยของครู สมคาํ วา
“พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” ทา นดาํ เนนิ อยา งไรกด็ าํ เนนิ อยา งนน้ั หนกั บา งเบา
บา ง ทกุ ขย ากลาํ บากบา งกท็ นเอา เพราะเปนลูกศิษยที่มีครู การฝกเพื่อเปนความดีมี
ความสุข ตอ งผา นทกุ ขด ว ยกนั ทง้ั นน้ั แหละ ใครบาํ เพญ็ อยทู ไ่ี หนกต็ อ งทกุ ข แตก าร
บําเพ็ญตนตามหลักธรรม เปนทางที่จะใหแคลวคลาดปลอดภัยไปโดยลําดับ เปน สง่ิ ท่ี
เราควรสนใจอยางยิ่ง
การทอ งเทย่ี วใน “วฏั สงสาร” ดว ยความลม จมความทกุ ขท รมานนน้ั เรา
ตอ งการกนั มากหรือ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ เชน นน้ั เพราะการปลอ ยตวั เพราะความออ นแอ
เพราะไมส นใจในหลกั เกณฑท จ่ี ะทาํ ใหเ กดิ ความสขุ ขน้ึ มา จึงมีแตความทุกขเผาลน
อยทู กุ ภพทกุ ชาติ ตงั้ กปั ต้ังกัลปน บั ไมถ ว น เปนสิ่งที่สัตวโลกรายไหน ๆ ก็ตามไม
ตอ งการกนั ทง้ั นน้ั แตท าํ ไมเราจะเปน ผไู ปเจอเอาสง่ิ เหลา นน้ั เพราะความไมเ อาไหน
ของใจ สมควรแลว หรอื ?
นค่ี อื ปญ หาซกั ถามตวั เอง เปน อบุ ายแหง ปญ ญาทจ่ี ะปราบปรามกเิ ลสทห่ี ลอกเรา
ทุกขเราก็ตองทน เพราะทุกขในทางที่ดีตองทนบาง จติ นถ้ี กู กเิ ลสครอบงาํ มานาน อะไร
ๆ กเ็ ปน ไปตามกเิ ลส ธรรมแทรกเขาไปไมไดเลย เวลานก้ี าํ ลงั พยายามทจ่ี ะเอา
“ธรรม” แทรกเขา ไปภายในใจ เพอ่ื ฉดุ ลากจติ ใจทก่ี าํ ลงั จะมคี ณุ คา อยู แตเพราะสิ่งที่ไม
มีคุณคาครอบงํา จติ จงึ หาคณุ คา ไมไ ดน น้ั ใหถ อนตวั ออกมา เพื่อใหมีคุณคาดวยธรรม
การฝกจิตเพื่อมีคุณคา จะทกุ ขย ากลาํ บากกเ็ พอ่ื คณุ คา ของใจ ทาํ ไมจะลาํ บากลาํ
บนถึงกับทนไมไ ด สูไมไหว ตอ งหาอบุ ายแกเ ราใหไ ด อยา ใหเ สยี ที
วนั คืน ป เดือน กนิ ไปทกุ วนั ๆ ชีวิตใครจะมีมากนอยเพียงไรก็ตาม วนิ าทกี นิ
ไป นาทีกนิ ไป ชว่ั โมงกนิ ไป กนิ ทกุ วท่ี กุ วนั ทกุ เวลาํ่ เวลา หลบั ตน่ื ลมื ตากนิ ไปตลอดสาย
แมจ ะมอี ายกุ ล่ี า นปก เ็ ถอะ เพราะมนั ถกู กนิ ไปอยเู สมอไมห ยดุ ไมถ อยอยา งนม้ี นั ตอ ง
หมดไปได ชีวิตเปนลาน ๆ กเ็ ถอะ เพราะความกินอยูเสมอ เวลานาทกี นิ ไปอยเู รอ่ื ย ๆ
กนิ ไมห ยดุ ไมถ อยก็ถงึ จดุ หมายปลายทางนะซิ แลว กส็ ลายหรอื ทาํ ลายไปได
เวลานช้ี วี ติ ยงั ไมห มด แมก าลจะกนิ ไปทกุ วนั ทกุ เวลา แตย งั เหลอื อยพู อทจ่ี ะได
แบง ทาํ คณุ งามความดี หาสาระเปน ทพ่ี ง่ึ ของใจเราไดใ นขณะน้ี จึงควรตื่นตัว ตาย
แลว ไปหาทาํ บญุ ทาํ ทานทไ่ี หนกนั ตายแลว ถงึ จะตน่ื ตวั มนั ตน่ื ไมไ ด จึงเรียกวา “คน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๘
๓๕๙
ตาย” รักษาศีลไมได ภาวนาไมได นอกจากจะเสวยผลท่ีเราไดทาํ แลว ตอนที่ยงั มชี วี ติ อยู
เทา นน้ั
เราตอ งคาดปญ ญาเราไวใ หก วา งขวางกวา กเิ ลส กิเลสมันไมคาดอะไรกับเรา มัน
ใหไดอยางใจก็เปนที่พอใจของมัน ขอใหม นั ไดอ ยดู ว ยความสนกุ สนานรน่ื เรงิ กลางหวั ใจ
เราก็พอ สวนเราผูเปนเขียงสับยําของกิเลส มคี วามสนกุ สนานทไ่ี หน รื่นเริงที่ไหน พิษ
ของกิเลสมันทําใหคนรื่นเริง ใหม คี วามสะดวกสบายทไ่ี หน มีแตบีบคั้นจิตใจใหไดรับ
ความทกุ ขค วามทรมานตลอดมาเทา นน้ั ถาไมเ ห็นโทษของมันกจ็ ะตองถูกมนั กดขบ่ี ังคับ
อยูตลอดไป ถา เหน็ โทษของมนั แลว ธรรมกจ็ ะแทรกเขา ไปภายในจติ ใจได เรากจ็ ะ
กลายเปน “ผมู สี าระ” ขน้ึ มา
การทาํ คุณงามความดีท้ังหมดนี้ เพื่อเปนเครื่องสนับสนุนจิตใจ เปนเครื่อง
อดุ หนนุ จติ ใจ เปน หลกั ของใจ ใหไ ดย ดึ เปน หลกั เปน เกณฑ เมื่อใจมีธรรมเปนเครื่องยึด
มีธรรมเปนเครื่องอาศัยแลว อยทู ไ่ี หนกส็ บาย เพราะมีหลักถูกตองดีงามเปนเครื่องยึด
“ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมมฺ จาร”ึ พระธรรมยอมรักษาผูปฏิบัติธรรมไมใหตกไปใน
ที่ชั่ว คําวา “ทช่ี ่วั ” คอื ที่ที่ไมพึงปรารถนานั่นเอง ความทกุ ขร อ นลาํ บากตา ง ๆ เปน สง่ิ ท่ี
ไมพึงปรารถนา และอยทู ่ชี ั่วนัน้ ทั้งหมด
แตผูที่ปฏิบัติธรรมจะไมไดไปสูสถานที่เชนนั้น การที่ธรรมจะรักษาเราไมใหตก
ไปในที่ชั่ว เราตองเปนผูรักษาธรรม รกั ษาตวั เราดว ยการบาํ เพญ็ คณุ งามความดที ง้ั
หลาย ดังที่เราทั้งหลายไดบําเพ็ญอยูเวลานี้ ชอ่ื วา “เรารักษาธรรม” เมื่อเรารักษาธรรม
ธรรมก็รักษาเรา เหมือนบานเรือนที่เราปลูกขึ้นมานี้ ปลกู ขน้ึ มาแลว กใ็ หค วามรม เยน็ ให
ความปลอดภัยแกเรา ถาเราไมปลูกใครจะปลูก เราตองเปนผูปลูกเอง บานเรือนก็ให
ความปลอดภัยแกเราเอง นี่เราสรา งธรรมขึ้นภายในจติ ใจเรา ธรรมกเ็ ปน ผลใหเ ราไดร บั
ความสขุ สบาย อยกู เ็ ปน สขุ ตายไปก็เปนสุข ไปเกิดในภพใดชาติใด ขน้ึ ชอ่ื วา “ผูมีธรรม
ภายในใจ” ไดบําเพ็ญคุณงามความดีไวในใจแลว กเ็ ทา กบั ไปเสวยผลโดยถา ยเดยี ว
ขน้ั “จิตตภาวนา” ในเบอ้ื งตน ใหพ ยายามทาํ จติ ของเราใหส งบ พอจิตสงบ
เทานนั้ ผลแหง การภาวนาเปน อยา งไรเราไมต อ งถามใคร จะทราบภายในจติ ใจของผู
บาํ เพ็ญนน้ั แล เพราะคําวา “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” ผูปฏิบัติจะพึงเห็นเองรูเองนั้น พระพุทธเจาไม
ทรงผูกขาด มอบใหก บั ผปู ฏบิ ตั ดิ ว ยกนั ทกุ คน จะพงึ รผู ลทต่ี นปฏบิ ตั มิ ากนอ ยตามกาํ ลงั
ของตน
ทา นกลา วเรอ่ื งสมาธิ คอื ความสงบภายในใจ สงบจากอารมณเ ครอ่ื งกอ กวนทง้ั
หลาย เรียกวา “สงบ” เม่อื ไมม ีอะไรกอ กวน ถาเปน “นาํ้ ” กใ็ สสะอาด จิตใจก็ผองใส
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕๙
๓๖๐
ปราศจากอารมณที่คิดปรุงตาง ๆ ซง่ึ เปน เรอ่ื งกวนใจ ใจยอ มสงบแนว แน มีความสุข
สขุ อยา งละเอยี ดลออ มคี วามสงบมากเพยี งไร ความสขุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากความสงบนย้ี ง่ิ
ละเอียดสุขุมมากขึ้น จนกลายเปน ความสขุ ท่ี “อัศจรรย” เพยี งขน้ั ความสงบแหง สมาธิ
เทาน้ัน กแ็ สดงผลใหผูปฏบิ ตั ิเห็นประจกั ษใจอยา งดมื่ ดํ่าไมอิม่ พออยูแลว
ในกายเรานี้ ความจริงก็คือธาตคุ อื ขนั ธ อายตนะ อันเปน เคร่ืองมอื ของจิตทใ่ี ช
อยเู ทาน้ันเอง เมอ่ื หมดกาํ ลงั แลว กส็ ลายตวั ไป คาํ วา “สลายตัวไป” นน้ั ไดแ กตาย ที่
โลกสมมตุ ใิ หช อ่ื กนั วา “ตาย” รา งกายนม้ี นั ตายจากความเปน สตั วเ ปน บคุ คล ทโ่ี ลก
สมมตุ วิ า เปน สตั วเ ปน บคุ คล ลงไปสูธาตุเดิมของเขา คอื ดนิ นาํ้ ลม ไฟ ใจกอ็ อกจาก
รางนี้และเปนใจตามเดิม เพราะใจเปนใจอยูแลวมาตั้งแตไหนแตไร เปนเพียงมาอาศยั
“เขา” อยู เพราะตนไมส ามารถชว ยตวั เองจนเปน อสิ รเสรโี ดยไมต อ งพง่ึ อะไรได เมื่อ
ปญญาพิจารณาตามธาตุตามขันธ ตลอดถึงความคดิ ความปรุงของใจ ใหรูเห็นวาเปน
สภาพ อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า ดว ยกนั ประจักษดวยปญญาลงไปโดยลําดับ ๆ ความยดึ
ม่ันถอื มนั่ สําคัญผิดวานั่นเปนเรา นเ้ี ปน ของเราในอาการใดกต็ าม กถ็ อนตวั เขา มา ๆ คือ
ปลอ ยกรรมสิทธิ์ กรรมสทิ ธอ์ิ นั นน้ั แลทา นเรยี กวา “อปุ าทาน” ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั มัน
กดถวงจิตใจของเราไมใชนอย ๆ ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บากเพราะอปุ าทาน
เมือ่ ปญญาพิจารณาสอดแทรกใหเ ห็นตามความเปน จรงิ แลว ยอ มถอนความยดึ
มั่นถือมั่นเขามาไดเปนลําดับ ๆ ถอนเขา มาจนไมม อี ะไรเหลอื ภายในจิต กาํ หนดเขา ไป
จนกระทั่งถึงจิต เชอ้ื ของกเิ ลสตณั หาอาสวะมารวมตวั อยภู ายในจิตดวงนเ้ี ทา นน้ั สง่ิ อน่ื
ตดั ออกหมดแลว ไมย ดึ ถอื ในสว นใดอาการใด ปญญาสอดแทรกเขาไป ตัดขาดไปเปน
สาํ ดบั ๆ กิเลสไมมีที่อยู วง่ิ เขา ไปหลบซอ นอยภู ายในจติ พิจารณาคนควาเขาไปใหเห็น
ตามหลัก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทว่ั ๆ ไป จนกเิ ลสทนไมไ หว
แตกกระจายออกไปจากจติ นน่ั เรยี กวา “ทาํ ลายภพชาติ” เพราะเชื้อของภพชาติมันอยู
ในใจ สติปญ ญาถอดถอนไดโดยลาํ ดบั จนไมม ีสิง่ ใดเหลือ นแ่ี ลคอื จิตเปน อสิ ระแลว!
ไมต อ งไปอาศยั อะไรอกี ตอ ไป
เรื่องเกิด เรื่องแก เรื่องเจ็บ เรื่องตาย ที่เปนปาชาประจําสัตวสังขารที่เคยเปนมา
นน้ั เปน อนั วา หมดปญ หากนั เพราะจิตพอตัวแลวไมตองพึ่งอะไรทั้งสิ้น นค่ี อื ความสขุ
อันสมบูรณของผูปฏิบัติธรรมที่ไดจากการปฏิบัติศาสนธรรม จนปรากฏเปนผลขึ้นมา
คือความสขุ อนั สขุ มุ ละเอยี ดนอกสมมตุ ิ
“นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ” นิพพานเปนสุขอยางยิ่ง กห็ มายถงึ จิตทบ่ี ริสทุ ธเ์ิ ต็มทีแ่ ลว
เปน ความสขุ อยา งย่ิงนี้แล ไมมีอันใดเสมอเหมือน!
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๐
๓๖๑
จติ ดวงน้ีแหละ ดวงที่ถูกสิ่งไมมีคุณคา ดวงที่ถูกสิ่งที่จอมปลอม สกปรกโสมม
ทง้ั หลายครอบงาํ อยตู ลอดเวลานแ่ี หละ เมื่อชําระสิ่งที่สกปรกทั้งหลาย สิ่งที่ไมมีคุณคา
ทั้งหลาย ออกไปโดยลําดับ ๆ จิตกก็ ลายเปน ของมคี ณุ คา ขน้ึ มาเรอ่ื ย ๆ จนมีคุณคา
อยางเต็มภูมิ ถงึ ขน้ั “วสิ ทุ ธิ จิต” เปนจิตที่สมบูรณเต็มภูมิ ไมตองอาศัยอะไรทั้งหมดที่
น่ี เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ ไมเ กดิ ทไ่ี หน และกไ็ มต ายทไ่ี หนอกี ดว ย เพราะไมม เี ชอ้ื คอื
สาเหตใุ หเ กดิ ความตายกไ็ มม ี เพราะไมมีการจับจองปาชา ปา ชาจะมใี นตวั ไดอ ยา งไร
ไมมีเกิด ความตายจะมีไดอยางไร
นค่ี อื จิตทพ่ี อตวั แลว ไมตองอาศัยอะไรเลย ตอนทย่ี งั อาศยั รา งตา ง ๆ ภพชาติ
ตาง ๆ อยนู น้ั เพราะยังไมสามารถพึ่งตัวเองได ตอ งอาศยั บญุ กศุ ลเปนเครื่องพยุง
เพราะฉะนั้นการสรางคุณงามความดีสําหรับเราผูมีความรับผิดชอบในตัวเรา จึงมีความ
จาํ เปน อยตู ลอดไป ถายังมกี ารทองเท่ยี วใน “วฏั สงสาร” อยตู ราบใด คุณงามความดีซึ่ง
เปนเครื่องพึ่งพิงอาศัย กเ็ ปน ความจาํ เปน อยตู ราบนน้ั
ขอใหท า นท้ังหลายทเ่ี ปน พทุ ธบริษทั อยา ไดม คี วามประมาทนอนใจ ดว ยชวี ติ
สังขารรา งกายไมม กี ฎมีเกณฑ จะตายเมื่อไรก็ได แตกเมอ่ื ไรกไ็ ด ไมม อี ะไรมอี าํ นาจ
เหนือสิง่ เหลานี้ได เมื่อไมประมาท คณุ งามความดีจึงควรตกั ตวงเอาไวเสียต้งั แตบ ัดนี้
จะไมเสียทาเสียที ไมเ ดอื ดรอ นในภายหลงั อยกู เ็ ปน สขุ ตายไปก็เปนสุข ไมมีอะไรเดือด
รอ น
จึงขอยุติ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๑
๓๖๒
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
สสู มรภมู ิ
ขณะฟง กาํ หนดใจไวใ หด ี เพราะธรรมอยกู บั ใจ !
ทแี รกกอ นปฏบิ ตั เิ ราไมอ ยากจะเชอ่ื วา “ธรรมอยกู บั ใจ ทไ่ี หนกนั ” อยกู บั ความ
เพียรในใจนั้น นา ฟง กวา ทว่ี า “ธรรมอยกู บั ใจ”
“ธรรมอยทู ใ่ี จ พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ อยทู ใ่ี จ ธรรมทั้งหลายอยูที่
ใจ” เราไมยักเชื่อ พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ อยทู ใ่ี นคมั ภรี ท ง้ั นน้ั ทาํ ไมวา อยทู ่ี
ใจ นเ่ี ปน ความรสู กึ ของเจาของ คอื ความรสู กึ ดง้ั เดมิ เปน อยา งนน้ั แตพอฟงเทศนไป
เรื่อยๆ องคไ หนเทศนท า นกบ็ อกอยา งนน้ั ไมเคยเทศนผ ิดเพีย้ นกันไปเลยวา “ธรรมอยู
กบั ใจ ธรรมอยูที่ใจ” พอไดฟงไปโดยลําดับ จติ มนั ปรากฏเปน ความสงบขน้ึ มาในขณะ
ที่ฟง คือทีแรกเวลาฟงทานเทศน จิตมันสงไปหาทานนี่ ไมไดอ ยกู ับตัว
ทา นบอกวา “อยา สง จติ ออกมาภายนอก ใหท าํ ความรไู วภ ายในตวั เอง ธรรมจะ
เขาไปสัมผัสเอง จากกระแสธรรมทท่ี า นแสดงออกไป เราก็ไมฟง ยงั สง ออกไปหาทา น
เทศน ดีไมดีอยากจะมองดูหนาทานดวยจนถึงขณะฟงเทศน ถา ไมม องดหู นา ทา นเทศน
หรอื ดปู ากทา นเทศนร สู กึ มนั ไมถ นดั นี่เปนความรูสึกดั้งเดิม
เวลาฟง นาน ๆ มนั ปรากฏผลเปน ความสงบขน้ึ มาภายในใจ ในขณะที่ฟงทาน
เทศนเริ่มเกิดความเชื่อวา “สมาธธิ รรมนอ้ี ยทู ใ่ี จนน่ั เอง” เริ่มมีสักขีพยานขึ้นมาคือเจา
ของเอง ทีนข้ี ณะฟง เทศนท า น จติ ไมส ง ไปทอ่ี น่ื สง ไปหาทา นกไ็ มส ง มนั เพลนิ กบั
ความสงบ ใจเกดิ ความสงบ เกดิ ความเยอื กเยน็ ขน้ึ มาในขณะฟง และเพลินไปเรื่อย ๆ
เลยทาํ ใหเกดิ ความเชอ่ื วา ธรรมอยูที่ใจนั้นถูกตองแลว
นี่เริ่มเปนความเชื่อขึ้นมา ในขณะที่ “สมาธิธรรม คือ ความสงบ เย็นใจ” ปรากฏ
ขึ้นในจิตของเราขณะที่ฟงเทศนจากทาน ตอ จากนน้ั กเ็ ปน เหตใุ หอ ยากไดย นิ ไดฟ ง เรอ่ื ย
ๆ เพื่อเปนเครื่องกลอมจติ ใจเรา ลาํ ดบั แรกเปน อยา งน้ี ลาํ ดบั ตอ ไปการปฏบิ ตั ธิ รรม จะ
เดินจงกรมก็ดี นง่ั สมาธภิ าวนากด็ ี ผลปรากฏขน้ึ มากนอ ย ปรากฏขึ้นท่ใี จท้ังนั้น ไมไ ด
ปรากฏขน้ึ ทอ่ี น่ื ขณะที่จิตไมมีความสงบ วนุ วายตวั เอง กอ็ ยทู ใ่ี จ นี่ทราบวา “วนั น้ี จิต
ไมสบายเลย” มคี วามฟงุ ซา นวนุ วายตามอารมณต า ง ๆ เอะ ทําไมวนั น้ีจติ ไมส บาย กท็ ํา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๒
๓๖๓
ใหเ กดิ ความสนใจขน้ึ อกี แงห นง่ึ พยายามหาทางสงบใหได พอเขา ทภ่ี าวนา ใจก็เปน
ความสงบขึ้นมา นี่ก็ยิ่งเปนความชัดเจนขึ้นมาวา “ธรรมอยทู ใ่ี จ”
โลกมนั อยทู ใ่ี จ ธรรมกอ็ ยทู ใ่ี จ เพราะฉะนั้นผูฟงเทศนจึงควรทําความรูสึกไว
จําเพาะตวั เทา น้ัน ไมจ าํ เปน ตอ งสง จติ ออกไปสภู ายนอก เชน ไปเกย่ี วขอ งกบั ทา นผู
เทศนเปนตน เมอ่ื เราทาํ ความรสู กึ ไวก บั ตวั เชน น้ี ธรรมเทศนาทท่ี า นแสดงออกไปมาก
นอ ย จะเขาไปสัมผัสสัมพันธกับความรูของเรา
จิตเปนผูรู กระแสเสยี งท่ีเกยี่ วกบั ธรรมเขามาสมั ผสั ใจ และสัมผสั อยูเร่อื ย ๆ จิต
ไมม โี อกาสสง ออกไปสภู ายนอก เพราะธรรมเปนเครื่องเย็น และก็ทาํ ใหเ พลนิ ไป เพลิน
ไปกบั ขณะนข้ี ณะนน้ั คือธรรมสัมผัสเปนขณะ ๆ ตามกระแสเสียงของทานผูเทศน เปน
บทเปน บาท สัมผัสตอเนื่องกันไปเรื่อย ๆ จิตก็คอยสงบเย็นลงไป ๆ นี่เปนผลขึ้นมา
แลวจากการฟงธรรม เพราะฉะนั้นการฟง ธรรมทถ่ี กู ตอ งเพอ่ื ใหไ ดผ ลประจกั ษ จึง
ตอ งตัง้ จิตไวภายในตวั เอง ไมต อ งสง ออกไปภายนอก และไมตองคดิ ตองตรองอะไร
มากมายในขณะทฟ่ี ง คอยฟงใหเปนความรูสึกตามกระแสแหงธรรมที่ทานแสดงไปเทา
นน้ั ธรรมจะซมึ ซาบเขา ไปสจู ติ ใจเรา จติ ใจเมอ่ื ไมก วนตวั เองดว ยความคดิ ในเรอ่ื งตา ง
ๆ กส็ งบเทา นน้ั แตต อ งสงบดว ยวธิ แี กก นั คือจะใหจิตสงบไปเฉย ๆ อยา งนน้ั ไมไ ด
ตองอาศัยบทธรรมบทใดบทหน่ึง หรอื อาศยั การฟง ธรรมในขณะทา นแสดง อยางนี้จึง
จะเกดิ ความสงบ
อะไรเลา ทว่ี นุ มากในโลกน้ี ? ไมม อี ะไรทจ่ี ะวนุ มากยง่ิ กวา ใจ ถา พดู ถงึ เรอ่ื งของ
ความขนุ มวั กไ็ มมอี ะไรท่จี ะขนุ มวั ยิ่งวา ใจ ความทุกขความเดือดรอนมากมายเพียงไร
ไมมีอะไรที่จะสูใจได ไฟทีว่ ารอ นกไ็ มร อนเหมือนใจของเราท่ีรอนท่ที ุกขเ พราะอํานาจ
กเิ ลส
เรื่องของกิเลส มีแตแสดงใหเกิดความทุกขไปโดยลําดับ ๆ เทา น้นั ทานจึงสอน
ใหเ หน็ โทษ พยายามตง้ั สตพิ จิ ารณาในแงต า ง ๆ ดว ยความจงใจ เมอ่ื สตกิ บั ความรมู ี
ความเกย่ี วเนอ่ื งกนั ไปโดยลาํ ดบั ๆ การทําสมาธิหรือการพิจารณาในแงตาง ๆ จะเปน
ทางดา นปญญาในแงใ ดกต็ าม ยอ มไดค วามสงบและอบุ ายแยบคายขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ดงั
ทา นสอนวา “ชาตปิ ทกุ ขฺ า มรณมปฺ ทุกขฺ ํ อริยสจฺจ”ํ ทานบอก “อรยิ สจั ชาตปิ ทกุ ขฺ า
ชราป ทกุ ขฺ า” ชาติความเกดิ เปน ทกุ ข แตเ รากลบั มคี วามดใี จ เพลิดเพลินในการเกิด
พอลกู เกดิ ขน้ึ มากด็ ใี จ หลานเกดิ ขน้ึ มากด็ ใี จ บตุ รหลานของญาตมิ ติ รสหายเกดิ ขน้ึ มาก็
ดีใจ ไมไ ดค าํ นงึ ถงึ ความทกุ ขข องเดก็ ที่เกิดขึ้นมาแตละราย ๆ ทร่ี อดตายจากชอ ง
แคบ ๆ แลว เกดิ มานน้ั เลย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๓
๓๖๔
ถาเรามองดู “เงื่อนตน” คือ ความเกิด กบั “เงื่อนปลาย” คอื ความตาย ยังไมเห็น
ชัดเจนแลว กเ็ ขา ใจวา ทั้งสองเงื่อนนี้จะทําใหเกิดความเพลิดเพลิน และความเศราโศก
ไดไมมีสิ้นสุดจุดหมายปลายทางเลย ความจริง เดก็ รอดตายแลว ถงึ จะเปน มนษุ ยข น้ึ
มา ถา ไมรอดก็ตอ งตายไปในขณะนนั้ เชน ตายในทอ งกม็ ี ตายขณะทต่ี กคลอดออกมาก็
มี กเ็ พราะความทกุ ขถ งึ ขนาดตาย มันถึงตายไดคนเรา!
การเกิดขึ้นมาเปนคน อายมุ ากนอ ยเพยี งใด มนั กท็ กุ ขถ งึ ตายมนั จงึ ตายได ความ
ทุกขนี้มีมาตั้งแตขณะแรกเกิด แตเราไมไดพิจารณาวาเปนทุกข คือสัจธรรม ซง่ึ เปน สง่ิ ท่ี
นา เหน็ โทษเหน็ ภยั เปนความขยะแขยง เพื่อจะกําจัดปดเปาใหผานพนไปไดดวยความ
พากเพียรของเรา มีสติปญญาเปนสําคัญ เมอ่ื เรามคี วามเพลดิ เพลนิ พอใจในตอนตน
แตไมพอใจในตอนปลาย เชน ความเกิดเราพอใจ แตความตายเราไมพอใจ มันก็ขัด
แยง กนั อยวู นั ยงั คาํ่ ความขดั แยง กนั มนั เปน ความสขุ ทไ่ี หนในหวั ใจคนเรา ตองเปน
ความทุกขอยูโดยดี
เพราะฉะน้ันเพ่ือใหต น กบั ปลายตรงกัน จึงตองพิจารณาไปตั้งแต “ชาตปิ ทกุ ขฺ า
ชราป ทกุ ขฺ า มรณมปฺ ทุกฺขํ” ตลอดสายไปเลย เพราะเปนเรื่องของกองทุกข และเปน
ทางแหงความทุกขเดินทั้งนั้น ไมใชทางมรรคผลนิพพานอะไรจะเดินได ถาไมพิจารณา
ใหเ ปน พจิ ารณารอบรใู นสง่ิ ทง้ั หลายนแ้ี ลว กว็ า “ทกุ ขฺ ํ นตฺถิ อชาตสสฺ ” ทกุ ขย อ มไมม ี
แกผ ไู มเ กดิ นน่ั ! เมอ่ื ไมเ กิดแลวมันจะมีทุกขที่ไหนกัน เพราะเชื้อใหเกิดไมมี คือเชื้อ
แหงความทุกขไมมีนั่นเอง ทกุ ขก ไ็ มม ใี นหวั ใจ เพราะฉะนั้นพระอรหันตทานจึงไมมี
ทกุ ขเวทนาภายในใจ เวทนาทางใจนท้ี า นไมม ี คอื สขุ เวทนากด็ ี ทุกขเวทนาก็ดี อุเบกขา
เวทนาก็ดี ภายในใจของพระอรหันตทานไมมี
มีเวทนาเฉพาะแตจิตของพวกเรา กายของพวกเรา สว นกายของทา นมเี วทนา
ทั้งสาม ทา นทกุ ขเ หมอื นกนั กบั พวกเรานแ้ี หละ แตจ ิตของทานไมม เี วทนา เวทนาทง้ั
สามไมสามารถกระทบกระเทือนจิตใจของทานได ทา นไมห วน่ั ไหว เหมอื นจติ ของ
ปถุ ชุ น สุขทานก็รู ทกุ ขท า นกร็ ู ในสว นรา งกายเฉย ๆ ทา นกร็ ู แตท างดานจิตใจของทาน
ไมมีเวทนา เพราะจิตนั้นพนไปจากเวทนาซึ่งเปนสมมุติแลว ไมมีอะไรจะเขาไปแทรกสิง
ไดเลย ใจเปนธรรมลวน ๆ เชนที่วา “ทุกขเวทนา เปน อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา สขุ เวทนาก็
เปน อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อเุ บกขาเวทนากเ็ ปน อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา จึงไปเกี่ยวของกับ
ธรรมชาตินั้นไมได
ถา ใครอยากมคี วามเจริญภายในใจ ก็ใหพยายามสรางคุณงามความดี ศลี ทาน
อยา ไดข าด เปน ความดสี าํ หรบั หลอ เลย้ี งจติ ใจ สืบภพสืบชาติที่ดีตอไป คนเราที่มีพื้น
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๔
๓๖๕
ฐานอนั ดดี วยคุณงามความดเี ปนเครอื่ งหลอเลี้ยงแลว ไมวา จะเกิดในภพใดชาติใด ก็
ตองมีความดีติดตามเสมอ สุคติเปนที่หวังได
ในเมอ่ื ยงั ไมพ น จากความทกุ ข ทา นสอนไมใ หเ กยี จครา น ใหพ ยายาม ถา มี
ความสามารถเจรญิ เมตตาภาวนา เพอ่ื สอ งดจู ติ ใจของตนทเ่ี ตม็ ไปดว ยความทกุ ข
รอนตางๆ น้ี กจ็ งทาํ ไปอยา ไดล ดละ ขัดไปทุกวัน ๆ จติ ใจเมอ่ื ไดร บั การขดั เกลาอยู
เสมอยอ มมคี วามผอ งใส เมอ่ื จติ มคี วามผอ งใสยอ มเหน็ เงาตวั เองได เหมือนกบั นาํ้ ใส
มองเห็นอะไรไดชัดเจน จะเปน ขวากเปน หนามหรอื เปน สตั วช นดิ ใดทอ่ี ยใู นนาํ้ นน้ั ก็
สามารถมองเห็นไดชัดเจน อะไรที่เปนพิษเปนภัยอยูภายในจิตใจ เมื่อใจมีความสงบ
แลวสามารถมองเห็นได รไู ดง า ยยง่ิ กวา จิตทข่ี นุ มวั ไปดว ยกเิ ลสอาสวะและความวา วนุ ทง้ั
หลายอยมู าก
ทานจึงสอนใหชําระจิตใจ ในโอวาททร่ี วมไวใ น “โอวาทปาฏิโมกข” วา “สพฺพ
ปาปสสฺ อกรณ”ํ การไมท าํ ความชว่ั ทง้ั หลายนน้ั ประการหนง่ึ “กสุ ลสปู สมปฺ ทา” การยงั
กุศลใหถึงพรอมประการหนึ่ง “สจิตฺตปริโยทปน”ํ การทําจิตใจใหผ องแผวถงึ ความ
บรสิ ทุ ธน์ิ ป้ี ระการหนง่ึ “เอตํ พุทฺธาน สาสน”ํ นี่เปนคําสอนของพระพุทธเจา ทั้งหลาย
พระพทุ ธเจาองคใ ดกต็ ามทา นสอนอยา งนท้ี ง้ั นน้ั เรื่องที่เปนบาปเศราหมองทาน
ไมใหทํา ใหพยายามทําแตกุศลคือคุณงามความดี เพราะความฉลาดของตน “กสุ ลสฺ
สปู สมปฺ ทา” คอื ยงั ความฉลาดใหถ งึ พรอ มนน่ั เอง
การทาํ จิตใหมคี วามผอ งใสจนถงึ ข้ันบริสทุ ธิ์นีเ้ ปน สงิ่ ทาํ ไดย าก แตอ ยใู นความ
สามารถของมนุษยเราที่จะทําได พระพทุ ธเจา ทา นกล็ าํ บาก พระสาวกทง้ั หลายทา นก็
ลาํ บาก บรรดาทา นผถู งึ ความบรสิ ทุ ธต์ิ อ งลาํ บากดว ยกนั ทง้ั นน้ั ลาํ บากเพอ่ื ความบรสิ ทุ ธ์ิ
เพื่อความหลุดพน ไมใชล ําบากเพื่อความลมจม จึงเปนสิ่งที่นาทํา
จติ เวลามสี ่งิ สกปรกโสมมครอบงาํ อยูกไ็ มป รากฏวามคี ุณคาอะไร แมต วั เองก็
ตําหนิติเตียนตัวได บางทอี ยกู ไ็ มอ ยากอยู อยากจะตายเสยี ดกี วา อยา งน้ี เพราะความอิด
หนาระอาใจความเปนอยขู องตน ไมอ ยากอยใู นโลกใหโ ลกเขาเหน็ หนา ทั้งนี้เพราะจิต
มนั อบั เฉา จิตมันขุน มัวมากจนกลายเปนไฟทง้ั กอง ไมน า อยู เวลามนั อบั เฉาขนาดนน้ั
เพราะสิ่งที่อับเฉา สิ่งไมมีคุณคาครอบจิต จนมองหาสาระสาํ คญั ของจติ ไมม เี ลย จน
คิดอยากจะตายไปเสียไดแหละดี แมต ายไปแลว จะไปเอาดมี าจากไหน? ปจ จบุ นั มนั กย็ งั
ไมม อี ยแู ลว ถา ดดี ว ยความตาย โลกนก้ี ม็ คี นตายกนั มานาน ทําไมไมเห็นดี มนั ไมดนี น่ั
เองจงึ ไมอ ยากตาย ถา มนั ดอี ยแู ลว ตายหรอื ไมต ายกไ็ มม ปี ญ หาอะไร เพราะดีอยูแลว
ขณะทม่ี สี ง่ิ ไมม คี ณุ คา อะไรมาครอบงาํ จติ นน้ั ทาํ ไมจติ ไรส าระไปหมด ?
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๕
๓๖๖
เมอ่ื ชาํ ระสะสางออกไดโ ดยลาํ ดบั ๆ กค็ อ ยสอ งแสงสวา งออกมาใหเ หน็ ประจกั ษ
ภายในใจ คอื ความสงบเยน็ ใจ ทั้งจิตใจก็ผองใส สบาย ยิ้มแยมแจมใส นงั่ อยู ยนื อยู
เดินอยู นอนอยู หรอื ทาํ หนา ทก่ี ารงานอะไรอยู ก็มีความรื่นเริงบันเทิงดวยความสุขที่
ปรากฏอยกู บั ใจ
คนเราเมอ่ื จิตใจมคี วามสงบเยน็ แลว อยทู ไ่ี หนกพ็ ออยทู ง้ั นน้ั แหละ มนั สาํ คญั
อยทู ใ่ี จ ถา ใจไมด ี อยูทีไ่ หนกไ็ มดี ทน่ี ว่ี า จะดี ที่น่นั วาจะดี หลอกเจาของไปเรื่อย ๆ ที่
โนน ละจะดี ชาตินี้ไมดี ชาตหิ นา จะดี เปนอยูไมดี ตายแลวจะดี นน่ั มันหลอกไปเรื่อย ๆ
ผูที่รอน รอ นอยทู น่ี แ่ี หละ มนั หลอก ผทู ถ่ี กู กลมุ รมุ อยดู ว ยความรมุ รอ นทง้ั หลายนะ มนั
หลอกเรา อนั นน้ั จะดี อันนี้จะดี แตมันไมไดดี ไปอยูท่ีไหน ๆ กเ็ ทา เดมิ นแ่ี หละ เพราะ
ตัวนี้ไมดี ตอ งแกเ พอ่ื ใหด ี แกดวยความเพียร
จงพยายามพิจารณากําจัดมันดวยความเพียร ทาํ สมาธกิ ใ็ หม คี วามสงบได
บงั คบั บญั ชาจติ ใจขณะนน้ั ขณะทท่ี าํ สมาธภิ าวนา ขณะทบ่ี งั คบั จติ ฝก ทรมานจติ
ดว ยการภาวนานน้ั ไมใ ชเ ปน ขณะทจ่ี ะปลอ ยไปตามอาํ เภอใจ เรยี กวา “ความเพยี ร”
เพียรเพื่อแก เพอ่ื ถอดถอนสง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอ ใจ จนใจไดรับความสงบข้นึ มา ใจไดร บั
ความสงบนน้ั เพราะ “ความเพียรบังคับใจ” ตา งหาก ไมใชเพราะความปลอยตามใจ เรา
คงจะเห็นผลหรือคุณคาของความเพียรนี้บางแลว เพราะเรามีความสงบใจลงไดดวย
ความเพียร และสงบไปไดเรื่อย ๆ เพราะความเพียรเปนลําดับ ๆ คณุ คา ของความ
เพียรก็จะเดนขึ้น ๆ ตามคุณคาของจิตที่เปนผลมาจากความเพียร
เอา ! เมื่อพิจารณาทางดานปญญา ก็กาํ หนดพจิ ารณาใหเ หน็ ชดั เจน ไตรตรอง
สง่ิ ทง้ั หลายใหเ หน็ ตามความสตั ยค วามจรงิ ของมนั ทม่ี อี ยใู นโลกทง้ั หลายน้ี โลกนก้ี วา ง
แสนกวา ง แตส ิง่ ที่คบั แคบท่สี ุดกค็ ือจิตใจทีถ่ กู ปดบงั ดวยกเิ ลส มนั แคบทน่ี ่ี นง่ั อยนู อน
อยกู ไ็ มส บาย อยทู ไ่ี หนกไ็ มส บาย เพราะมันคับแคบใจ มนั ทบั ตวั เอง แกตรงที่มันแคบ
ๆ นอ้ี อกใหใ จไดร บั ความกวา งขวางเบกิ บานยม้ิ แยม แจม ใสขน้ึ มา จิตใจกโ็ ลง เย็นสบาย
เอา ! ทนี จ้ี ะพจิ ารณาเรอ่ื งทกุ ข มนั กม็ กี าํ ลังทจี่ ะพิจารณา พอใจที่จะพิจารณา
เพราะทกุ ขเ ปน หนิ ลบั ปญ ญาใหค มกลา ขน้ึ เปน ลาํ ดบั ได ฟาดฟน กเิ ลสอาสวะออก
ดว ยสมาธิปญ ญา การถอดถอนกเิ ลสตอ งถอดถอนดว ยปญ ญา จบั กเิ ลสมามดั ไดด ว ย
สมาธิ คือจิตสงบลง สมาธกิ ร็ วมตวั เขา มาในจติ ดวงเดยี ว ไมซานออกไปในทีต่ าง ๆ
จนจับตัวไมได ปญ ญาคลค่ี ลายออกใหเห็นชัดเจนวา จติ นม้ี คี วามตดิ ขอ งอยกู บั สง่ิ ใด
รูป เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส หรือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกแยะดใู ห
เหน็ ละเอยี ดถถ่ี ว นตามหลกั ความจรงิ ของมนั ทม่ี อี ยู
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๖
๓๖๗
ใครครวญแลวใครครวญเลา พิจารณาแลวพจิ ารณาเลา เปนจุดที่ทองเที่ยวของ
ปญญา เปน หนิ ลบั ปญ ญา พจิ ารณาเทา ใดกย็ ง่ิ แตกฉานออกไปโดยลาํ ดบั เขาใจไปตาม
เปนจริงแลวปลอยวางไปเรื่อย ๆ การปลอ ยวางลงกค็ อื ปลอ ยวางภาระ ซง่ึ กดถว งอยู
ภายในใจเราดว ยอาํ นาจแหง อปุ าทานนน้ั แล
จิตคิดเรื่องอะไรบาง เกิดผลเกิดประโยชนอะไร คิดขึ้นในขณะก็ดับไปในขณะ
คิดดีก็ดับ คดิ ชว่ั กด็ บั คิดอะไรขึ้นมาก็ดับทั้งนั้น ทา นเรยี กวา “สงั ขาร ความปรงุ ”
ความปรุงขึ้น ความเกิดขึ้น ความปรงุ กับความดบั ไปน้ันเปน ของคกู ัน เกิดดับพรอมอยู
ในเวลานน้ั แลว เราจะถอื เอามาเปน ตวั เปน ตนอยา งไรไดก บั ความเกดิ ๆ ดบั ๆ อยา ง
นน้ั
จงพิจารณา ทกุ ขเวทนา อนั เปน สง่ิ ทน่ี า กลวั อยแู ลว ใคร ๆ กก็ ลวั คาํ วา “ทุกข”
เราจะมาถอื วาเปนเราเปนของเราไดอยางไร ทกุ ขท ง้ั กองยงั จะถอื วา เปน เราอยอู กี หรอื ?
ถอื เปน เรากถ็ อื เอาไฟมาเผาใจเรานน่ั แล ทกุ ขใ หท ราบวา เปน “ทุกข” ผทู ท่ี ราบวา เปน
ทกุ ขไ มใ ชท กุ ขน น้ั คอื ใจ ใจเปน ผูรูเ ร่ืองทกุ ขท ง้ั หลาย ทุกขเกิดขึ้นใจก็รู ทุกขตั้งอยูใจก็รู
ทกุ ขด บั ไปใจกร็ ู รูดวยปญญา
ปญ ญาเหน็ แจม แจง ชัดเจนแลววา ทกุ ขเ ปน ทกุ ข เราเปน เรา ผรู เู ปน ผรู ู น้ี
ประการหนึ่ง สญั ญา จาํ ไดเทาไรมันก็ลืมไปหมด ถา ตอ งการจะจํากม็ าตง้ั ใจจํากนั ใหม
จําไปพรอมดับลงไปพรอม ๆ ขณะเดียวเชนกัน เหลา นห้ี รอื เปน ตน ? ความจาํ ได
หมายรูแลวดับไป ๆ เกดิ ดับ ๆ เชนเดียวกับสิ่งอื่น ๆ นั้นนะหรือเปนเราเปนของเรา ?
ถาวานั้นเปนเราเปนของเรา เรากด็ น้ิ อยตู ลอดเวลาซิ เพราะทุกข เพราะสัญญาจําไดแลว
ดับไป ความทกุ ขเ กิด ๆ ดับ ๆ ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นวนุ วายอยไู มห ยดุ ไมถ อย
เพราะฉะนั้นจึงตองพิจารณาใหเห็นสภาพที่เกิดที่ดับ มีอยูรอบใจเรา อยรู อบตวั คอื ขนั ธ
วญิ ญาณ เราเคยไดยินมาตั้งแตเมื่อไร เห็นมาตั้งแตเมื่อไร ตั้งแตเกิดนี่ แลวเราไดสาระ
อะไรจากมัน พอรับทราบ พบั ในทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มนั กด็ บั ไป
พรอม ๆ แนะ เอาอะไรมาเปนสาระ ? ไมเห็นมีอะไรเปนสาระเลย
รูปนั้นหรือเปนตน เสียงนั้นหรือเปนตน กลน่ิ รส เครื่องสัมผัสนั้นหรือเปนตน
วิญญาณ ความรับทราบสิ่งที่มาสัมผัสหรือเปนตน มันรับทราบพับ ๆ แลว ดบั ไปพรอ ม
ๆ อนั นน้ั หรอื เปน ตน เปนตนเมื่อไร ความเกิดความดับพรอมมาถือวาเปนตนไดหรือ
เราจะนอนใจกบั มนั ไดอ ยา งไร มนั เกดิ แลว มนั ดบั ๆ เรายงั จะถอื ความเกดิ ความดบั นน้ั
วาเปนตน เรากย็ ุงไปวนั ยังคาํ่ ซิ เพราะสิ่งทั้งหลายมันมีเกิดมีดับตลอดเวลา ไมวารูป
เวทนา สขุ ทุกข เฉย ๆ ไมวาสัญญา สังขาร วิญญาณ มันมีเกิดมีดับของมันเปนประจํา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๗
๓๖๘
อยทู กุ อยา งทกุ อาการ แลวเราจะไปควาเอาวานั่นเปนเรานี่เปนของเราไดอยางไร ทั้ง ๆ
ที่มันเกิดดับก็ทราบอยางประจักษ จึงตองใชปญญาพิจารณาใหเห็นชัดเจนตามเปนจริง
แลวปลอยวางไวตามความจริงของมัน
ผูรูไมดับ ใจแท ๆ คือผูรู ผูนี้ไมดับ อะไรเกิดก็รูอะไรดับก็รู ผูที่รูนี้ไมดับ ดบั แต
สิ่งที่ปรากฏขึ้นดับไปตามเรื่องของเขา เชน รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ นี้เปน
สภาวธรรม ทา นวา “เปน ไตรลกั ษณ”
ไตรลักษณ คือ อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา จะมาถือเปนเราเปนของเราไดอยางไร ถา
พิจารณาใหถ งึ เหตุถึงผลดวยสตปิ ญญาแลวกไ็ มอ าจไปยดึ ถือได เวลากเิ ลสหนา ๆ ใจไม
ไดพิจารณา ทั้งไมทราบวาอะไรเปนอะไรจึงหลงยึดถือ เมื่อพิจารณาเห็นตามเปนจริง
แลว มนั ปลอ ยวางของมนั เอง
พอออกแนวรบ ถงึ เวลาจะเปน จะตาย ใหเ อาอนั นแ้ี หละเปน สนามรบ เฉพาะ
อยางยงิ่ “ทุกขเวทนา” นน่ั แลจะออกหนา ออกตาทส่ี ดุ ในขณะจะแตกดบั เอาทกุ ขเวทนา
กบั จติ นแ้ี ลเปน สนามรบ พิจารณากันใหเห็นตามความจริงของมัน จะทกุ ขมากมาย
ขนาดไหนมันไมเลยตาย ทกุ ขน ถ้ี งึ แคต าย ธาตขุ นั ธน ถ้ี งึ แคต าย ใจไมถ งึ แคต าย แต
เลยความตาย เพราะจิตไมเคยตาย มนั เหนอื สง่ิ เหลา น้ี ความทุกขก็ทกุ ขถ ึงแคตายเทา
นน้ั ไมเ ลยจากนน่ั ไป เวทนาพวกไหนจะปรากฏขึ้นมากถ็ ึงแคดบั ของมันเทา นั้น จะ
ทกุ ขม ากทกุ ขน อ ยจติ รบั ทราบ รับทราบอยูตลอดเวลา
เมอ่ื มสี ตแิ ลว จะรบั ทราบทกุ ระยะของทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขึ้น ผรู ไู มไ ดด บั เราจะ
ไปวิตกวิจารณอะไรกับเวทนาซึ่งไมใชเราไมใชของเรา มันเปนสภาพที่เกิดขึ้น อาศยั จติ
เกดิ ขน้ึ แตไ มใ ชจ ติ อาศยั ธาตเุ กดิ ขน้ึ อาศยั กายนเ้ี กดิ ขน้ึ แตไ มใ ชก าย มนั เปนเวทนา
ของมัน เชนทุกขเวทนา เปน ตน มนั เปน คนละชน้ิ ละอนั คนละอยา ง ความจรงิ ลว น ๆ
เปน อยา งนี้ !
ถา เราไมป นเกลยี วกับความจริง ใจเราก็สงบเพราะการพิจารณาทุกขเวทนาทั้ง
หลาย เฉพาะอยา งยง่ิ ในวาระสดุ ทา ยจะแตกดบั เอาใหเต็มเหนี่ยวทีเดียว อะไรจะดับ
กอ นดบั หลงั ใหม นั รู เพราะผูรูนี้จะรูตลอด จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอยางดับไปหมด ผนู ก้ี ย็ งั
ไมด บั
นแ่ี หละการพจิ ารณา ถา ไดเหน็ เหตเุ ห็นผลกันเสียครง้ั หนึง่ เทา นน้ั ความอาจ
หาญในเรื่องเหลานี้จะเกิดขึ้นทันที ถึงคราวจําเปนขึ้นมามันจะเตรียมทาสูกันเลย เตรียม
ทา เปน นกั รบเขาสูสงครามระหวา งขันธก บั จิต พิจารณาดวยปญญา เอาสติปญญาเปน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๘
๓๖๙
เครอ่ื งมอื ฟาดฟน หน่ั แหลกลงใหถ งึ ความจรงิ เมอ่ื แหลกลงไปแลว ไปถงึ ไหน ? กไ็ ปถงึ
ความจริงนั้นแล
จงใชส ติปญญาฟาดฟนลงไปใหถ งึ ความจรงิ ทกุ ส่งิ ทุกอยา ง เมอ่ื ถงึ ความจรงิ
แลว ราบไปหมด สงบไปหมด ไมม อี ะไรอนั ใดทจ่ี ะมากอ กวนจติ ใจ อันใดทีย่ งั กอ
กวนจติ ใจไดอ ยู อนั นน้ั เรยี กวา “จิตยังพิจารณาไมถึงความจริงเต็มที่” ถาถึงความจริง
เต็มที่ทุกสัดทุกสวนแลว ไมมีอะไรที่จะมาแหยมายุมาแทงมากวนใจได เปนสภาพที่จริง
ทว่ั ถงึ กนั หมด นน่ั ทา นเรยี กวา “ราบคาบลงแลว ดว ยความจรงิ ” เพราะอํานาจแหงสติ
ปญญาพิจารณาเห็นชัด
นี่แหละพระพุทธเจา พระสาวกทง้ั หลาย หรอื ทา นผสู น้ิ ทกุ ขแ ลว ทง้ั หลาย ทา น
สิ้นตรงนี้ ตรงทีท่ ุกขมนั อยู ทกุ ขม นั อยทู ไ่ี หน ? ทกุ ขม อี ยทู ก่ี าย ทข่ี นั ธอ นั น้ี ทจี่ ิตดวงนี้
การแยกแยะกแ็ ยกกนั ทน่ี ่ี รูก็รูกันตรงที่เราเคยหลงนี้แหละไมรูที่ไหน ผูที่จะทํา
ใหร กู ค็ อื ปญ ญาเครอ่ื งมอื บกุ เบกิ หาความจรงิ ไมมีอะไรที่จะเทียบเทาสติปญญาไดที่
เปนเครื่องมือ ทบ่ี กุ เบกิ ใหถ งึ ทส่ี ดุ แหง ธรรมทง้ั หลาย และเปน เครอ่ื งสาํ รอกปอกกเิ ลส
ออกจากจติ ใจไดโ ดยสน้ิ เชงิ ก็ไมมีอะไรเสมอเหมือนปญญา จึงเปนเครื่องมือที่ทันสมัย
ในการแกก เิ ลสอาสวะทง้ั มวล
เราจงนําเอาสติปญญานไี้ ปใชใ นเวลาจําเปน เฉพาะอยา งยง่ิ เวลาจวนตวั เขา แลว
ไมมีใครจะชวยเราได ญาติมติ รสายโลหิตใกลไกล พอแม พน่ี อ ง สามภี รยิ า ลูกเล็กเด็ก
แดง แมมีหอมลอมเต็มไปหมดก็ไมสามารถชวยเราไดทั้งนั้น เปนหนาที่ของเราโดย
เฉพาะ ทานเรียกวา “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ” เอาใหเต็มภูมิ! ตนนั้นแลเปนที่พึ่งของ
ตน เราจะทําอยางไรจึงจะเปนที่พึ่งของเราได และจะไมก ลายเปน ขา ศกึ ตอ เราเอง ถา
เปนเรื่องความลมุ หลง ความออ นแอ ความขาดสติปญญาที่จะนํามาใช กเ็ ปน ขา ศกึ ตอ
ตนเอง ถามีสติปญญา ศรทั ธา ความเพียร มคี วามแกลว กลา สามารถตามหลกั ธรรมท่ี
พระพุทธเจาทรงสอนไว พิจารณาลงไปใหถึงเหตุถึงผล ถงึ ความสตั ยค วามจรงิ แหง
สภาวธรรมทง้ั หลายแลว นัน้ แลถือวา ตนเปน ทพ่ี ่งึ ของตนไดโ ดยแท
เอาใหไดที่พึ่ง มอี ยทู ไี่ หนละ ? “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” กระเทอื นอยภู ายในจิตใจ
ไมมีที่ไหน “ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ” กระเทือนอยูที่จิตใจ “สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” ก็
กระเทือนอยูที่ใจดวงเดียวนี้เทานั้นเปนภาชนะ ทั้งพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ
รวมอยูที่จิตดวงเดียวนี้ เพราะจติ เปน ภาชนะทเ่ี หมาะสมกบั ธรรมทง้ั หลาย เอาให
เห็น เฉพาะอยา งยง่ิ “จิตทั้งดวงนี้แลคือธรรมทั้งดวง”
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖๙
๓๗๐
ขอใหช าํ ระจิตน้ี ยิง่ ใหหลุดพนในขณะน้ดี วยแลวยงิ่ ดี “พุทโธ ธมั โม สังโฆ” ไม
ทราบจะไปถามทา นทไ่ี หน ไมถามเพราะไมสงสัย มองดูความรขู องตัวทีแ่ สดงความ
สมบรู ณอ ยเู ตม็ ทแ่ี ลว ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ นี่เปน “เอกธรรม” ธรรมอนั เดียว เปนธรรม
แทงเดียวกัน
นค่ี อื ผลแหง การปฏบิ ตั กิ าํ จดั กเิ ลสอาสวะของตวั ตั้งแตเริ่มแรกที่ไมมีคุณคา
ราคา มแี ต “ข”้ี เตม็ หวั ใจ คือขี้โลภ ขี้โกรธ ขห้ี ลง ชําระ “ขี”้ นอ้ี อกโดยหลกั ธรรม เมื่อ
หมดของสกปรกนี้แลวก็เปนธรรมขึ้นมา เปน ธรรมขน้ึ มาแลว แสนสบาย! อยไู หนกส็ บาย
“นพิ ฺพานํ ปรมํ สุ ญฺ ”ํ อะไรสูญก็รนู ่ี อะไรยังอยูก็รู ใครจะไปรยู ่งิ กวา ผสู นิ้ กเิ ลสแลวเลา
เพราะคําวา “นพิ พฺ านํ ปรมํ สุ ญฺ ํ” นี้ ทา นพดู ออกมาจากความทส่ี น้ิ กเิ ลสแลว
ผเู หน็ นพิ พานแลว พดู ออกมา คือพระพุทธเจา พวกเราไมเห็น วา เทา ไรมนั กย็ งั
อยอู ยา งนน้ั จงพจิ ารณาใหเ หน็ จรงิ กบั สง่ิ เหลา น้ี คาํ วา “นิพฺพานํ ปรมํ สุ ญฺ ํ” จะไมมี
ปญหาอะไรเลย เพราะประจักษก ับใจแลวอนั ใดสูญอันใดยัง!
“นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ” ฟงซิ คําวา “ปรมํ สขุ ”ํ อนั เปน ความสขุ อยา งยง่ิ นน้ั ไมใ ช
“สขุ เวทนา” เปน สขุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากความบรสิ ทุ ธข์ิ องใจลว น ๆ โดยไมม คี าํ วา “ เกดิ
ดับ” เหมือนเวทนาของพวกเรา มีทุกขเวทนา เปนตน อนั นไ้ี มใ ชไ ตรลกั ษณ “ปรมํ สขุ ”ํ
ที่มีประจําจิตที่บริสุทธิ์นี้ไมใชไตรลักษณ ไมใชสิ่งที่เปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า จึงไมมี
ความแปรสภาพ คงเสนคงวา ทา นวา “นิพพานเที่ยง” อะไรเที่ยง? จิตที่บริสุทธิ์นี้เทานั้น
“เที่ยง” จงเอาใหเห็น เอาใหร!ู
การแสดงธรรม ก็ขอยุติ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๐
๓๗๑
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๖ กมุ ภาพนั ธ พุทธศักราช ๒๕๑๙
ความตายเปน ธรรมดา
คาํ วา “เที่ยง” หรือ “แนน หนามน่ั คง” หรือ “จีรังถาวร” เปนสิ่งที่โลกตองการใน
สวนที่พึงปรารถนา เชน ความสขุ เปนตน แตส ง่ิ ดงั กลา วจะหาไดท ไ่ี หน ? เพราะในโลก
นี้เต็มไปดวยสิ่งที่ขัดตอความตองการของโลกทั้งนั้น คอื เปน อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า ไป
เสยี สน้ิ
มีแตเรื่อง อนิจฺจํ ความไมเ ทย่ี งถาวรรอบตวั ทง้ั ภายในและภายนอก ถา วา สขุ กม็ ี
ทุกขแทรกเขามาเสีย อนตฺตา แทรกเขามาเสีย ทุกสิ่งจึงเต็มไปดวย “ไตรลกั ษณ” คือ
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึง่ หาสงิ่ ใดมาทาํ ลายเพ่อื ความจรี ังถาวรไมไ ด นอกจาก “ธรรม
ปฏิบัต”ิ อยา งเดยี ว ดังปราชญดําเนินมาแลว และผา นพน แหลง อนั แสนทกุ ขก นั ดารนไ้ี ป
ไดแ ลว
พระพุทธเจา ทรงสั่งสอนไวโดยถูกตองหาที่คัดคานไมไดเลย ในเรื่องสภาวธรรม
เหลา น้ี เพราะเปน ของตายตวั ธรรมกแ็ สดงความจรงิ ทม่ี อี ยอู ยา งตายตวั นน้ั ไมตองหา
อะไรมาเพิ่มเติม
คําสั่งสอนของพระพุทธเจาแตละพระองค อยา เขา ใจวา ทา นหาอะไรมาสง เสรมิ
เพิม่ เติมสงิ่ ที่มอี ยูแ ลวใหม ากขนึ้ หรอื ใหล ดนอยลงไป หรือไมมกี ็หาเรื่องวามี อยา งนไ้ี ม
มี ! ทานแสดงตามหลักความจริงลวน ๆ ทั้งนั้นไมวาพระพุทธเจาพระองคใด
จดุ ของศาสนาอนั แทจ รงิ ทส่ี อนเพอ่ื ดาํ เนนิ และหลกี เลย่ี ง “ไตรลักษณ” เหลา นไ้ี ด
พอควร ทา นกส็ อนไวแ ลว วา “สพพฺ ปาปสสฺ อกรณ”ํ – การไมทําชั่วทั้งปวง หนง่ึ “กสุ ลสฺ
สปู สมปฺ ทา” – การยงั กศุ ลหรอื ความฉลาดในสง่ิ ทช่ี อบธรรมใหถ งึ พรอ ม หนง่ึ “สจติ ตฺ ปริ
โยทปนํ” – การทาํ จิตของตนใหผ อ งใสจนกระทง่ั ถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ หนง่ึ “เอตํ พุทฺธาน
สาสน”ํ – เหลา น้ี เปนคําส่งั สอนของพระพทุ ธเจา ทั้งหลาย
คอื วาน้ีเปน คําสง่ั สอนของพระพทุ ธเจาทุก ๆ พระองค
ไมม อี งคใ ดแสดงใหแ ตกตา งจากนไ้ี ป เพราะความจริงทั้งหลายไมมีของแตกตาง
ไมวา จะเปน สมยั ใดกต็ าม มีเรื่องของ อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา อยปู ระจาํ โลกมานมนานแม
พระพุทธเจายังไมไดตรัสรูขึ้นมา คือเปนเวลาระหวาง “สญุ ญกปั ” ไมม คี าํ สง่ั สอนแสดง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๑
๓๗๒
เรื่องความจริงเหลานี้ก็ตาม ความจริงเหลานี้เคยมีมาดั้งเดิม มีมาตั้งกัปตั้งกัลปโนนอยู
แลว
ส่ิงทเี่ ราตองการจะหาไดจ ากทีไ่ หน โลกอนั แสนกวา งกเ็ ตม็ ไปดว ยสง่ิ เหลา นท้ี ง้ั
นน้ั เมอ่ื คดิ อยา งนก้ี เ็ หมอื นจะหาทเ่ี หยยี บยา ง หาที่ปลงจิตปลงใจลงไมได เพราะหมด
สถานที่จะวางใจพึ่งเปนพึ่งตายได แตสถานท่ีวา ปลงจติ ปลงใจลงไมไดนัน้ แล คอื สถานท่ี
ที่ปลงจิตปลงใจลงได เพราะเปนหลักธรรมที่พึงปลงลงได ดว ยการพิจารณาใหเห็นตาม
ความจริง
พระพุทธเจา ทรงสําเร็จความมุงหวังจากสถานที่นั้น พระสงฆสาวกที่เปนสรณะ
ของพวกเราทั้งหลายก็สําเร็จความมุงหวังในจุดนั้น ธรรมทไ่ี ดน าํ มาประกาศสอนโลกให
สตั วท ง้ั หลายไดย ดึ ถอื ตลอดมากอ็ อกมาจากจดุ นน้ั คอื ใจ ซง่ึ หอ มลอ มอยดู ว ยกอง อนิจฺ
จํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า นน้ั แล
แมเ ปน ท่ียอมรบั กันเกี่ยวกบั เรอ่ื ง อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ที่มีอยูเต็มโลกก็ตาม แต
ก็ไมมีผูเฉลียวใจตอไตรลักษณ พอจะนาํ มาพจิ ารณาเพอ่ื ถอื เอาประโยชนไ ดบ า ง นอก
จากตาํ หนโิ ดยไมค ดิ หาทางออกจากสง่ิ เหลา น้ี ดวยการพิจารณา “ไตรลกั ษณ” นเ้ี ปน ทาง
เดินเพื่อกาวลวงไปได ดังปราชญทั้งหลายมีพระพุทธเจาเปนตน
ดวยเหตุนี้เราชาวพุทธจึงควรพิจารณา เพือ่ แกไ ขสงเสรมิ สิง่ ทบี่ กพรองให
สมบรู ณดวยคุณธรรมขั้นตา ง ๆ ที่จะพึงไดรับจากการพิจารณา อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ซึ่ง
เปนสัจธรรมอันประเสริฐ
การทเี่ ราบาํ เพญ็ อยูเวลาน้ี และบาํ เพญ็ เรอ่ื ยมานแ้ี ล คอื การดาํ เนนิ เพอ่ื หลบหลกี
ปลกี ภยั ทง้ั หลายโดยลําดบั จนบรรลถุ งึ “มหาสมบตั อิ นั พงึ หวงั ” จากนนั้ จะเรยี กวา “นิจฺ
จ”ํ เปนของเที่ยงก็ได เพราะไมมีอะไรเขามาเกี่ยวของ ไมมอี ะไรเขา มาทาํ ลายจิตใจให
เดอื ดรอ นวนุ วาย จะเรียกวา “บรมสขุ ” กไ็ มผ ดิ จะเรียกวา “อตฺตา” ก็ไมนาจะผิด เพราะ
เปน”ตน” แท คอื ตนในหลกั ธรรมชาติ ไมมี “สมมติ” นอ ยใหญ แมปรมาณูเขามาเกี่ยว
ของใจ แตไมไดหมายถงึ วา “อตตฺ า” ที่เปนคูกับ “อนตฺตา” นน้ั เปนความสมมุติอีกขัน้
หนง่ึ ซึ่งเปนทางดําเนินเพื่อพระนิพพาน
แนวทางแหง การประพฤติปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ความแคลว คลาดปลอดภยั ไปโดยลาํ ดบั
ทง้ั ภายนอกภายใน ไมม ีสิ่งใดจะนอกเหนือไปจากพระโอวาทคาํ ส่งั สอนของพระพุทธเจา
นเ้ี ลย เพราะฉะนั้นศาสนาจึงไมมีทางลาสมัย เปน “มชั ฌมิ า” อยใู นทา มกลางแหง ความ
ประพฤติ เพื่อแกกิเลสทุกประเภทเสมอไป ไมมีคําวา “ลา สมยั ” เปนธรรมเหมาะสมกับ
โลกทกุ กาลทกุ สมยั จึงเรียกวา “มชั ฌมิ า” คอื ถกู ตอ งดงี าม เหมาะสมกับความประพฤติ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๒
๓๗๓
จะประพฤติตัวใหเปนเชนไรในทางที่ดี ดว ยหลกั ธรรมทท่ี า นสอนไวแ ลว น้ี ยอ ม
เปนไปเพื่อความราบรื่นดีงามดวยกันทั้งนั้น เฉพาะอยา งยง่ิ การประพฤตติ อ จติ ใจ
การอบรมจิตใจยิ่งเปนสิ่งสําคัญมากในตัวเรา เวลานี้เรามีความแนใจหรือยังวา เราได
หลักเปนที่พึงพอใจ หรือเริ่มจะไดหลักเปนที่พึงพอใจบางแลว ไมเ ดอื ดรอ นวนุ วายเมอ่ื
คิดถึงเรื่องอนาคต ?
นบั ตง้ั แตข ณะตอ ไปนจ้ี นกระทง่ั อวสานแหง ชวี ติ และตลอดไปถงึ ภพหนา ชาติ
หนา เราเปน ทแ่ี นใ จไดแ ลว หรอื ยงั ?
พระพทุ ธเจา ทา นไมส อนใหค นโงแ ละนอนใจ อยไู ปอยา งไมค ดิ นักปฏิบัตธิ รรม
ตองคิดตองพิจารณาเสมอเรื่องความเปนมาวา อายุเราเปนมาผานมาแลวเทาไร เมอ่ื ลบ
แลว มอี ะไรบา งทเ่ี หลอื อยู ตอ ไปจะหาอะไรมาบวกมาเพม่ิ ขน้ึ ในสง่ิ ทเ่ี ราตอ งการ หรือจะ
มีแตเครื่องหมายลบ(-) ไปเรื่อย ๆ ถา อยา งนน้ั กแ็ สดงวา “ขาดทุน”!
เราทุกคนเกดิ มาไมต อ งการ “ความขาดทุน” การคา ขายขาดทนุ ยอ มไมด ี โลกไม
ปรารถนากนั อะไร ๆ กต็ ามขน้ึ ชอ่ื วา “ขาดทุน” ขาดแลวขาดเลา ขาดไมห ยดุ ไมถ อยก็
ลมจมไปได
เราถา ขาดทนุ ภายในใจ ขาดทุนจากคุณธรรมที่พึงไดพึงถึง มีแตสิ่งที่ไมดีคือ
กเิ ลส เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยตู ลอดมา หาเวลาเอาชนะมนั ไมไดส กั ที กย็ อ มลม จมไดเ ชน
เดยี วกบั สมบตั ภิ ายนอก เพราะฉะนั้นจึงควรสังเกตสอดรูเรื่องของตัวตั้งแตบัดนี้เปนตน
ไป ดวยการใครครวญโดยทางสติปญญา
เฉพาะอยา งยง่ิ จิตตภาวนาเปน เรอ่ื งสาํ คญั มาก ทจ่ี ะนาํ มาทดสอบตนใหเ หน็
ประจักษ ไมมีความรูใดที่จะแหลมคมยิ่งกวาความรูที่เกิดขึ้นจากดานจิตตภาวนา จะ
สอดแทรกไปหมดบรรดาความจริงที่มอี ยูท ั่วสรรพางคกายและจิตใจ ตลอดสง่ิ เกย่ี วขอ ง
ทั่วไป ไมว า ดี ชว่ั หยาบ ละเอียด จะนอกเหนือปญญาไปไมได
การคิดคนดสู ่ิงท่ไี มเ ปนสาระในการนี้ เพื่อใหยึดเอาสิ่งที่เปนสาระขึ้นมา จากการ
คนคิดพินิจพิจารณานี้เปนสิ่งที่ทําได ดังพระพุทธเจาเคยดําเนินมาแลว
การพจิ ารณา อนิจฺจํ คือความไมเที่ยง ความแปรสภาพแหง สงั ขารรา งกายและ
สิ่งทั่ว ๆ ไปนน้ั แล เปน อารมณใ หจ ติ มหี ลกั ยดึ อนั เปน หลกั เกณฑ เปน สาระแกน สารทาง
ภายใน นกั ปราชญท านพจิ ารณารา งกายซ่ึงเปน ของไมเ ทย่ี งนีแ้ ล ที่ไดคุณธรรมซึ่งเปนที่
แนใจขึ้นมาเปนพัก ๆ ตอน ๆ จนตลอดทว่ั ถงึ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๓
๓๗๔
หนงั สอื เราอา นมาจนตดิ ปากชนิ ใจ อา นทไ่ี หนกเ็ จอแตเ รอ่ื ง อนิจฺจํ เรื่อง ทกุ ขฺ ํ
เรื่อง อนตฺตา ซง่ึ มอี ยกู บั ตวั เราทน่ี ง่ั เฝา นอนเฝา กนั อยตู ลอดเวลา แตไมสะดุดจิตสะดุด
ใจอยา งนก้ี ไ็ มเ กดิ ประโยชนอ ะไรขน้ึ มา
พระพทุ ธเจา ทรงสอนไมไ ดส อนอยางลอย ๆ น่ี ผูที่ทานจดจารึกในคัมภีรตาง ๆ
ก็ไมไดจารกึ แบบลอย ๆ ผอู า นอา นแบบลอย ๆ ไมไดคิด กเ็ ลยกลายเปน วา “ศาสนา
เปนของไมจําเปน เปน ของลอย ๆ” ไปเสีย เหลอื แตต าํ ราคือตัวหนังสือในกระดาษ ทั้ง
ๆ ที่ตัวเราเปนคน “ลอย ๆ” เรากไ็ มร ู ไพลไปเห็นศาสนธรรมอันเปนธรรมประเสริฐเลิศ
โลกวา เปน เรอ่ื ง “ลอยๆ” ไปเสีย ความจรงิ กค็ อื ตวั เรานน้ั แล “ลอยลม” หาหลกั ยดึ ไมไ ด
และก็มาเสียตัวเราที่ตรงนี้ ! เพราะมองขามตัวและมองขามธรรม ซง่ึ เปน สารคณุ อนั ยง่ิ
ใหญไปเสีย
ฉะนั้นจงึ ตองใชค วามพยายามพิจารณาใหถ งึ ใจ เรื่อง “ทกุ ขฺ ํ” ก็ใหชัดในตัวเรา
เพราะมีอยูในตัวเราทําไมไมรู พระพุทธเจาทําไมทานรูวาอะไรเปนทุกข และเปนอะไร
อนั ความทกุ ขน น้ั นอกจากขนั ธแ ละจติ ใจแลว ไมม ีอะไรเปนทุกขในโลกนี้ เพราะเราเปน
ผรู บั ผดิ ชอบในธาตใุ นขนั ธน ้ี ตง้ั แตว นั อบุ ตั ขิ น้ึ มาจนกระทง่ั วนั อวสานแหง ชวี ติ จะตอง
รบั ผดิ ชอบกนั เรอ่ื ยไปเชน น้ี หนักเบาอยางไรเราตองรับภาระทั้งมวลตลอดไป จนกวา จะ
ถงึ จดุ หมายปลายทางทพ่ี น ภยั “เรื่อง อนิจฺจ”ํ มีอะไรแปรบาง หรือไมแปร ดภู ายในตวั
เรานี้ซิ ดูทอี่ นื่ มันหา งไกลไป จะกลายเปน “งมปลานอกสมุ ” งมเอาในสุมคือในตัวเรา
เองนี้แหละ คนที่ตรงนี้ มีอะไรแปรบางเราเห็นอยูทุกระยะ ถา ใชป ญ ญาพจิ ารณา
ทา นวา “ชาตปิ ทุกขฺ า ชราป ทุกขฺ า มรณมปฺ ทุกฺขํ” เราสวดเสยี จนชนิ ปากแต
ใจไมอ ยกู บั “ชาตปิ ทกุ ขฺ า ชราป ทุกฺขา มรณมปฺ ทกุ ขฺ ํ” เผน ไปไหนกไ็ มรู เลยสกั แตวา
สวด สกั แตว า กนั ไป เปนทํานองธรรมเนียมกันไป แตก เิ ลสทอ่ี ยบู นหวั ใจเรามนั ไมไ ด
“ทาํ นองธรรมเนยี ม” มันเปนกิเลสจริง ๆ มนั กอ กวนจรงิ ๆ ทําความทุกขใหเราจริง ๆ
ไมสนใจคิดกัน จะตามทันกิเลสตัววางเพลิง คอื ความทกุ ขร อ นแกต วั เราไดอ ยา งไร
การแกก เิ ลส การแกค วามไมด ภี ายในตวั ภายในใจ จึงตองทําดวยความจดจอ ทํา
ดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ทําดวยความปกจิตปกใจจงใจจริงๆ ทาํ ดวยความพากเพียร
จรงิ ๆ หนกั กส็ เู บากส็ ู เชน เดยี วกบั เราตกนาํ้ แลว พยายามแหวกวา ยขน้ึ บนบก กาํ ลงั มี
เทาไรตองทุมเทกันลงไป จนกระทั่งชีวิตหาไมแลวจึงจะยอมจมน้ําตาย หากมกี าํ ลงั พอ
ตะเกียกตะกายอยูแ ลวจะไมยอมจมน้ําตาย อนั นก้ี เ็ ชน เดยี วกนั ใหสมกับที่พระพุทธเจา
ประทานโอวาทแกส ัตวโลกดวยพระเมตตาอยางเต็มพระทัย จะเขากันไดกับหลักพระ
เมตตา ที่ทรงสั่งสอนโลกดว ยอรรถดวยธรรมทุกสว น เราสนองพระเมตตาทานดว ยการ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๔
๓๗๕
ประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุขความเจริญแกตัว ทําไมจะทําไมได ควรสนองพระเมตตา
ทานดวยการปฏิบัติธรรม ก็ทาํ เพอ่ื เราอยา งเดียวเทา นั้น พระพุทธเจาไมไดมาแบงสัน
ปนสวนอะไรจากพวกเราเลย !
วนั หนง่ึ คนื หนง่ึ ผา นไป ผา นไปอยเู รอ่ื ย ๆ ถาจะสะดุดใจเราก็ควรจะสะดุด ผา น
ไปเทาไรก็หมดไปเทานั้น ไมม กี ารยอ นกลบั มาอกี ในความผา นไปแหง รา งกายเราทกุ
สว น วนั คนื ป เดือน มีมืดกับแจง จะผานไปหรือผานมา กม็ แี ต “มืด กบั แจง”เทานน้ั
ตื่น “มืด” ตื่น “แจง” หาประโยชนอะไรกัน ?
สงั ขารรา งกายนบั วนั เวลา “ผา นไป ๆ” โดยลาํ ดบั ไมม กี ารยอ นกลบั สาํ หรบั รา ง
กายอนั น้ี จะตอ งผานไปถึงท่สี ุดจดุ หมายปลายทางของเขาในวนั หน่ึง! ทว่ี า “ปลายทาง”
นน้ั กค็ อื ทส่ี ดุ แหง ชวี ติ นน้ั แล ไมใชปลายทางที่เราตองการ ความตายไมม ใี ครตอ งการ!
ตอ งกลวั ดว ยกนั ทกุ คน เพราะความเกดิ กบั ความตายเปน ของคกู นั อยแู ลว เมื่อเกดิ แลว
ตองตาย แตส ตั วโ ลกกลวั กนั แตค วามตาย สว นความเกดิ ไมก ลวั จึงโดนความตายอัน
เปนผลของความเกิดอยูไมหยุด
เรียนตรงนี้ใหเห็นชัดเจนจะไดหายสงสัย เรียนอะไรก็ไมหายสงสยั ถา ไมเ รียนตัว
เอง เพราะตัวเองเปนผูหลง ตัวเองเปนผูยึด ตัวเองเปน ผูรบั ผลแหงความยึดถือของตน
หรือเรียกวา “ตัวเองเปนผูรับผลแหงความทุกขของตัว ตองเรียนที่ตรงนี้ ปฏิบัติใหเขา
ใจที่ตรงนี้ จะไดห ายสงสยั
“ชาตปิ ทกุ ฺขา” เรยี นใหถ งึ ใจ ขณะที่เริ่มเกิดนั้นมันเปนทุกขแสนสาหัส แต
เราจําไมได รอดตายมาแลว ถงึ มาเปน มนษุ ย! ทา นบอกวา “ชาตปิ ทุกฺขา” ทานพูดดวย
ความจริง แตเ ราจับไมไ ดเ สยี จึงเหมือนไมใชของจริง “ชราป ทกุ ขฺ า” ความงก ๆ งนั ๆ
สี่ขาหาขา สี่เทาหาเทา ไมย นั นนู ยนั นด้ี ที ไ่ี หน ? เปนสุขที่ไหน ? มนั กองทกุ ขท ง้ั มวล !
“มรณมปฺ ทุกขฺ ํ” กอ นทจ่ี ะตายกเ็ ปน ทกุ ขก ระวนกระวายแสนสาหสั ทั้งผูมีชีวิตทั้งผูที่จะ
ผานไป ตางคนตา งมคี วามทุกขเ ดือดรอนดว ยกนั ไมมีกองทุกขอันใดที่จะมากยิ่งกวา
กองทกุ ขใ นเวลานน้ั
ผูเปนญาติเปนมิตร ผเู กย่ี วขอ ง ลกู เตา หลานเหลน สามีภรรยา ตองเดือดรอน
เต็มหัวใจ ในขณะนั้นผูที่จะผานไปก็เดือดรอนเต็มตัว กลวั จะตายเพราะไมอ ยากตาย
เมื่อเปนเชนนั้นจะไมเรียกวา “ทกุ ข” อยางไรเลา
ถา เรยี นใหเ หน็ ตามความจรงิ แลว ทําไมจะไมไดสติปญญาจากการพิจารณานี้ สง่ิ
ทั้งปวงทําไมจงึ เปน “ไตรลกั ษณ” เลา ก็เพราะเปน “กฎธรรมชาต”ิ มาดั้งเดิม ใคร ๆ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๕
๓๗๖
บังคับไมไดทั้งนั้นมันถึงเปนไปเชนนั้น หากเปนสิ่งที่บังคับไดโลกนี้ไมมีปาชา เพราะ
สตั วห รอื บคุ คลบงั คบั มนั ไดด ว ยกนั วา ไมใ หแ ก ไมใหเจ็บ ไมใหต าย
แตน เ่ี ปน สง่ิ ทส่ี ดุ วสิ ยั ทว่ั โลกดนิ แดนจงึ ตอ งยอมรบั กนั ทั้งที่ขัดใจฝนใจ นี่คือ
เรื่องของ ชาตปิ ทกุ ขฺ า ชราป ทุกขฺ า มรณมปฺ ทกุ ขฺ ํ
สง่ิ เหลา นอ้ี ยทู ไ่ี หนทอ่ี ธบิ ายอยเู วลาน้ี กอ็ ยกู บั เราทกุ คนไมบ กพรอ ง จําตอ งเจอ
ดวยกนั แมผูเทศนก็พนไปไมไดเพราะเปนความจริงเสมอกัน ทานจึงเรียกวา “สจั
ธรรม” พวกเราจงเรียน “สัจธรรม” ใหเ ขา ใจสจั ธรรม และพยายามตักตวงสติปญญา
ความฉลาดแหลมคมใหพ อในขณะทส่ี ง่ิ เหลา นย้ี งั ไมส ลายตวั ซึ่งขณะนี้กําลังเปนเครื่อง
มอื ทาํ งานอยดู ว ยดี ใหไ ดร บั ผลประโยชนต ามกาํ ลงั ไมเสียเวลาไปเปลา
การภาวนานน่ั แหละทาํ ใหเ ราทราบเรอ่ื งเหลา นไ้ี ดด ี พระพุทธเจาก็ภาวนาจึงทรง
ทราบเรื่องเหลานี้ และนาํ ธรรมเหลา นม้ี าสอนสตั วโ ลก เราก็ดําเนินตามทาน ใหทราบ
เรื่องธรรมเหลานี้ประจักษใจ และพน ทกุ ขไ ปอยา งหายหว ง ในปจจุบันชาติไดเปนดีที่สุด
สมภูมิผูปฏิบัติเพื่อความหลุดพน ไมต อ งมาเกดิ และตายอกี ตอ ไป
เราเคยไปเมืองนอกเมืองนา ทวีปไหนเราก็เคยไป ไปดโู ลกนน้ั โลกน้ี ดโู ลกไหนก็
ไมหายสงสัย ดโู ลกไหนกแ็ บกกองทกุ ข ไมมีอะไรบกพรอง มี “ทกุ ข” ติดตามไปทุกแหง
ทกุ หน ตัวเราไปที่ไหนเปนทุกขในที่นั่น ถา เปน สขุ รน่ื เรงิ บา งกเ็ ปน ความสาํ คญั ของตน
ตางหาก แตพอไดเหน็ ทกุ ขภายในนี้ เพราะการดโู ลกภายในตวั น้ี ดว ยการปฏบิ ตั ิ
ภาวนา ก็จะปรากฏเปน “โลกวทิ ”ู ผูรูแจงโลกขึ้นมา หายสงสยั เรอ่ื งโลก โลกนอกโลกใน
โลกใกลห รอื ไกลกต็ าม เม่ือไดพจิ ารณารเู หน็ เบญจขนั ธนตี้ ลอดทวั่ ถึงแลว จะมีความสุข
ขึ้นมาในจุดนี้ จนถงึ ขั้นสุดทายอันสมบูรณอยางไมมปี ญหา
พจิ ารณาอยา งไร การพจิ ารณาขนั ธ ? เรม่ิ ตน กพ็ จิ ารณารปู กายอยา งทว่ี า นแ้ี หละ
ดูความแปรปรวน ซึ่งเราก็ทราบอยูชัดๆ ความทกุ ขก เ็ กดิ ขน้ึ ในขนั ธอ นั น้ี พจิ ารณาให
เห็น
ใจน้นั ตามหลักธรรมชาติแลวไมใ ชเปนผูส ุข ไมใชเปนผูทุกข เปนผูรูเฉยๆ ถา
พิจารณาใหเขาถึงความจริงจริงๆ แลว ตอ งเปน อยา งนน้ั
ทุกขเปน อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา เพราะมันเปนไตรลักษณ สุขก็เปนไตรลักษณ ที่
อยใู น “วงสมมตุ ”ิ และเปน ไตรลกั ษณด ว ยกนั ทัง้ นนั้ ปญญาพิจารณาใหชัดเจน โดย
อาศยั ธาตขุ นั ธเ ปน “หนิ ลบั ปญ ญา” ใหค มกลา ขึน้ โดยลําดบั เพราะแยกสว นแบง สว น
แหง รา งกายใหเ หน็ ตง้ั แตย งั ไมต าย เรม่ิ ดปู า ชา ภายในนแ้ี หละกอ นตาย ดูตั้งแตขณะยัง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๖
๓๗๗
เปน ๆ นแ้ี หละ อยา ดว นใหเ ขานาํ ไปสปู า ชา ไปสเู มรุ เราดปู าชา ของเรากอ น ดูตั้งแตขาง
นอกขา งใน ดูเขาไปโดยละเอียดทั่วถึง
จิตจะมีความเพลิดเพลินใน “ธรรมวิจารณ” เมอ่ื เหน็ ของจรงิ ของสกลกายนม้ี าก
นอ ย แทนทจ่ี ะมคี วามอดิ หนาระอาใจ มคี วามทอ ถอยออ นแอ เศรา หมองภายในจติ ใจ
หรอื อบั เฉาเศรา ใจเหมอื นโลกทส่ี มั ผสั และเปน กนั แตไมเปนเชนนั้น ยิ่งเปนความรื่นเริง
บนั เทงิ ไปตามกระแสแหง การพจิ ารณา เพราะเปน สายทจ่ี ะนาํ ใจออกจากทกุ ขโ ดยลาํ ดบั
เนอ่ื งจากใจถกู กดถว งจากอปุ าทานเครอ่ื งจองจาํ ของกเิ ลสมานาน พอมีทางออกไดจึง
กระหายวา ยแหวกเพอ่ื พน ไป
ขณะพิจารณารางกาย จติ ใจสงบเบาโดยลาํ ดบั เพราะการพิจารณาก็ดี การรเู หน็
กด็ ี เปน ไปเพอ่ื ความเบอ่ื หนา ยคลายความกาํ หนดั ยนิ ดี และปลอ ยวางภาระหนกั คอื
“ภารา หเว ปจฺ กขฺ นธฺ า” “พรอม” อปุ าทานในจติ ที่เคยคิดวาเปนเราเปนของเรา ทั้ง
ๆ ทก่ี องทกุ ขเ ตม็ อยกู บั ความยดึ ความถอื นน้ั
เมื่อไดหยั่งทราบดวยปญญาแลว ความยึดความถือจะทนอยูไมได ยอ มถอยและ
สลดั ตวั ออกตามกาํ ลงั สตปิ ญ ญา จนสลัดออกไดโดยสิ้นเชิง
การพจิ ารณา “ขนั ธห า ” มีรูปเปนตน อนั ไดแ กร า งกาย และเวทนา คอื ความสขุ
ความทุกข และเฉย ๆ ไมสุขไมทุกข โดยยึดเอาทุกขซึ่งเปนเรื่องสําคัญขึ้นมาพิจารณา
ใหเห็นท้ังทางทอ่ี าศยั กายเกดิ ขนึ้ ระหวา งกายกบั ทกุ ขเวทนากระทบกนั หรอื รบกนั ที่พูด
วา “รบกนั ” ตอ สกู นั กไ็ ด เพราะความชอกชาํ้ ยอ มเขา มาสจู ติ ซึ่งเปนสถานทตี่ ั้ง“ชยั
สมรภูม”ิ ของกายกบั ทกุ ขเวทนา และสตปิ ญญาสูร บกัน
สว นกายกบั ทกุ ขเวทนาเขาไมท ราบความหมายใดๆ มจี ิตเทา นน้ั เปน ผรู บั ความ
หมาย ถา ปญ ญาไมส ามารถตา นทานหรอื ปด กน้ั ไวไ ด จิตใจจะมคี วามชอกชาํ้ มากทเี ดยี ว
แตเ ม่ือพิจารณากายและพิจารณาทกุ ขเวทนา ใหเห็นชัดเจนตามความจริงของ
กาย ของเวทนาแลว แทนทจ่ี ติ จะบอบชาํ้ เลยกลายเปน จติ ทผ่ี อ งใสและอาจหาญขน้ึ มา
ไมส ะทกสะทา นตอ ทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ มากนอ ยในเวลานน้ั ทง้ั สามารถกาํ หนดดู
ทกุ ขเวทนาไดอ ยา งอาจหาญ นน่ั !
การพิจารณาเพยี งสองอยางน้ี คือกาย กบั ทกุ ขเวทนา กพ็ อแกก ารพจิ ารณาอยู
แลว เพราะเปน สง่ิ เกย่ี วโยงกนั ในระหวา งขนั ธท ง้ั หา กบั จติ ผรู บั ผดิ ชอบในขนั ธ แตเมื่อ
จิตสมั ผสั ในขนั ธใ ดมาก จะพจิ ารณาขนั ธน น้ั เพอ่ื เชอ่ื มโยงกนั กช็ อบธรรม
“สัญญา” เปน ความจดจํา สาํ คญั มน่ั หมาย มีความละเอียด หลอกใหค นลมุ หลง
ตามไดอ ยา งงายดาย ไมต อ งทอ งคาถากลอ มกห็ ลบั ได “สังขาร” คอื ความคดิ ความปรุง
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๗
๓๗๘
ชั่วขณะๆ แตส ง่ิ ท่ปี รากฏอยางเดนชัดกค็ อื รูป ไดแ กส กลกายของเรา กบั เวทนาทง้ั สาม
ทแ่ี สดงตวั อยเู สมอๆ ภายในกายในใจ อธิบายเพียงเทานี้ก็พอจะเขาใจได เมื่อเขาใจ
สองอยา งนแ้ี ลว เรื่องสัญญา คอื ความสาํ คญั มน่ั หมาย เรอ่ื งกาย เรื่องเวทนา กท็ ราบกนั
ชดั เจนดว ยปญ ญาเหมอื นกนั และเขาใจในระยะเดียวกัน
ยิ่งเปนวาระสําคัญ คือถึงขณะจะเปนจะตายจริงๆ แลว นักปฏิบัติจะถอยไปไม
ได ถอยกแ็ พน ่ี เราไมต อ งการความแพ ทุกขเวทนาจะมีมากมายเพียงไร จะตอ งตอ สใู ห
เขาใจเรื่องทุกขเวทนาดวยปญญา ไมม คี าํ วา “ทอ ถอย”
จงพิจารณาใหเขาใจเรื่องกายเรื่องเวทนา ทก่ี าํ ลงั พวั พนั กนั อยใู นขณะนน้ั เรยี กวา
“พวั พนั กนั ” บา ง “กาํ ลงั ชลุ มนุ วนุ วายกนั อยใู นขณะนน้ั ” บา ง ถาสติปญญาไมมีเพียงพอ
ในการตอ สกู จ็ ะเหมาเอาวา “เราทั้งคนนี้แหละเปนทุกข” เราทั้งคนนี้แหละจะตาย แตเรา
กไ็ มอ ยากตายไมอ ยากทกุ ข อนั น้ีแลคอื การส่ังสมทุกขขึน้ ทับถมตนเองโดยเราไมรตู วั จึง
ควรระวังใหมาก เดย๋ี วจะเปน การยน่ื ดา มดาบใหก เิ ลสความสาํ คญั นน้ั ๆ ฟนเอา ฟนเอา
ลมทั้งหงายไมเปนทา นา สงั เวชและเสยี ดายนกั ปฏบิ ตั ิ เสยี เลห ก ลใหก เิ ลสบนเวที ตาย
ไปทั้งคน
แตถ า พจิ ารณาตามหลักธรรม คอื ความจรงิ แลว เอา! ทกุ ขก ท็ กุ ขซ ิ มีเทาไรจง
แสดงขึ้นมา ! เราเปนผูฟง “สัจธรรม” คือ “ทุกขสัจจะ” วา เกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นที่
ไหน คนดูตามเนอื้ ตามหนงั ตามเอ็น ตามกระดูก ที่วา “เปนทุกข, ๆ” ดแู ลว มนั กไ็ ม
เห็นมีอะไร สว นไหนกส็ ว นนน้ั อยู ตั้งแตวันเกิดมาจนกระทั่งถึงปจจุบัน ไมม คี วาม
เปลี่ยนแปลงไปจากหนังจากเอ็นจากกระดูก ไปเปนอยางอื่น มันเปนความจริงของมัน!
อยเู ชน นั้น ทกุ ขแ สดงขน้ึ มากเ็ ปน ความจรงิ ของเขาอยอู ยา งนน้ั ทุกขไมแสดงขึ้นมาก็เปน
อยอู ยา งนน้ั นแ่ี ลคอื การพจิ ารณาดว ยปญ ญา
เอา! จิตไมตาย ทุกขเวทนาเปนสิ่งที่เกิดไดดับได จติ ดับไมได จติ จงึ ทนตอ การ
พิสูจน ทนตอความรูที่จะรูสิ่งตาง ๆ เพราะจิตไมฉิบหาย นั้นแลเราจึงมีทางพิจารณา
ดวยปญญาอยางเต็มที่ ไมอัดไมอน้ั ไมมีอะไรมาบังคับกีดขวางได ใชปญญาย้ําลงไปวา
“เอา ตายกต็ าย แตกกแ็ ตก ผไู มแ ตกมอี ยู เราจะทราบถึงความแตกดับของเวทนาวา ดับ
ไปเมื่อไร ใหทราบ กายจะแตกใหท ราบ ไมม กี ารทอ ถอย จะแตกกแ็ ตกไป อยา
ปรารถนาอยา อยากใหท กุ ข และสิ่งไมตองการดับไปดวยความปรารถนา ดว ยความ
อยาก นน่ั เปน ตณั หา นน่ั คือคมดาบของกิเลสเงอื ดเงื้อไว อยา ถลาํ เขา ไป จงสคู วามจรงิ
ดวยปญญา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๘
๓๗๙
จงพิจารณาใหเห็นตามความเปนจริงของมัน จะแตกกแ็ ตกไป จะสลายก็สลาย
ไป นี่ชื่อวาพิจารณาตามความเปนจริงแท จะสนุกเพลินในธรรมทั้งหลายที่พิจารณาเห็น
ความจริงอยางเต็มสัดเต็มสวน แมทสี่ ุดรางกายจะสลายลงไปเราก็เปน “สคุ โต” หรอื ยงั
อยู กเ็ ปน สขุ ใจ องอาจกลา หาญ ไมม คี วามอบั เฉาเศรา หมองภายในใจเลย นี่เรียกวา
“สคุ โต” ดว ยการพจิ ารณา เปนประการหนึ่ง
ประการสาํ คญั กค็ อื พจิ ารณาอยา งนแ้ี ล จนกระทั่งเขาใจจริง ๆ ในเรอ่ื งขนั ธท ง้ั หา
คือรูปขันธกใ็ หเปนรปู ขันธ เปนอยางอื่นไปไมได เวทนาขนั ธก เ็ ปน เวทนา กองเวทนา
หมวดของเวทนา จะเปนอยางอื่นไปไมได สญั ญาก็เปนสัญญา สงั ขารกเ็ ปน สงั ขาร
วญิ ญาณกเ็ ปน วญิ ญาณ แตล ะอยา ง ๆ เปนอยางอื่นไปไมได จิตตองเปนจิต เปน อยา ง
อื่นไปไมได ตางอันตา งจริงอยา นํามาคละเคลากนั พิจารณาแยกออกตามความจรงิ ของ
สง่ิ นน้ั ๆ ดวยสติปญญาอันทันสมัย ตา งอนั กต็ า งจรงิ ตามหลกั ธรรมชาติ จิตก็จริง
ดว ยอาํ นาจของปญ ญา พิจารณาแยกแยะใหเห็นตามความเปนจริง รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วญิ ญาณ กจ็ รงิ จริงทั้งที่ยังมีชีวิตอยู จริงท้งั เวลาสลายลงไป กส็ ลายลงไป
ตามความจริงของเขา จิตก็จริงเต็มภูมิของจิต พอถงึ ขน้ั นแ้ี ลว จติ กห็ มดความหวน่ั ไหว
ไมก ระทบกระเทอื นระหวา งขนั ธก บั จติ เพราะตางอันตางจริง
เรื่องความเปนความตายไมเห็นมีความหมายอะไรเลย! เปน ความจรงิ แตล ะ
อยา งๆ เชน เดยี วกบั สิ่งทั้งหลายทแ่ี ปรสภาพลงไปนัน้ แล ผนู ค้ี อื ผกู าํ ชยั ชนะไวไ ดอ ยา ง
สมบรู ณ จะไมเดือดรอนเวลาตาย จิตเปนธรรมดา…ธรรมดา เพราะไดพิจารณาถูกตาม
หลักธรรมชาติธรรมดาไมปนเกลียว ไมฝนกับหลักธรรมชาติหลักธรรมดา สติปญญา
เดินตามหลักธรรมชาติ เพราะธรรมทานสอนตามหลักธรรมชาติ ทา นไมใ หฝ น ความ
จริง เมื่อพิจารณาตามความจริง รูตามความจริงแลว จะไมมีอะไรฝนกันเลย ปลอ ยตาม
ความจริง ยอมจะหมดภาระการแบกหามไปเปนทอดๆ
เอา เปนก็เปน ตายกต็ าย เมือ่ ยังมีชวี ิตอยูกร็ ับผิดชอบกนั ไป หากชวี ติ หาไมแ ลว
ก็ปลอยไปเสีย เพราะเปน บอ ความกงั วลวนุ วาย ไฟทง้ั กองไดแ กธ าตขุ นั ธน เ้ี อง และได
เรียนรูแลว
“ภารา หเว ปจฺ กขฺ นธฺ า ภารหาโร จ ปุคฺคโล” ขนั ธท ง้ั หา นแ้ี ลเปน ภาระอนั
หนกั ยง่ิ กวา ภเู ขาทง้ั ลกู เมอ่ื ปลอ ยวางขนั ธท ง้ั หา นไ้ี ดด ว ยปญ ญาอนั ชอบแลว ตัวเปนผู
ดับสนิทซึ่งทุกขทั้งปวง หาอะไรเกิดข้ึนไมไดภ ายในใจ ตั้งแตบัดนั้นไปนั่นแลทานเรียก
วา “นพิ ฺพานํ ปรมํ สขุ ”ํ คอื สขุ ลว นๆ ไมไดสุขดวยเวทนา แตเ ปน สขุ ในหลกั ธรรมชาติ
เปนสุขของจิตที่บริสุทธิ์ ไมใชสขุ ในสมมตุ ิ เปน สุขในวิมุตติ จงึ “ปรมํ สุข”ํ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗๙
๓๘๐
นค่ี อื สารคณุ อนั สงู สดุ ยอด จะเรียกวา “นิจฺจ”ํ หรือ “นิจธรรม” ธรรมเปนของ
เที่ยงก็ไมผิด เมื่อไมมีอะไรจะแยงภายในตัวแลว คนอน่ื ไมส าํ คญั ขอใหเ จาของรตู าม
ความเปนจริงเถิดหมดทางขัดแยงเจา ของซึ่งเปนตัวสําคัญ เมอ่ื รรู อบเจา ของนแ้ี ลว ก็
หมดปญหาไปในทันที
นแ่ี หละ ทก่ี ลา วเบอ้ื งตน วา “สง่ิ ทจ่ี รี งั ถาวรโลกตอ งการ” แลว สง่ิ นก้ี ม็ อี ยใู นสง่ิ ท่ี
ไมถ าวรดงั กลา วแลว ตะกน้ี ้ี คอื อมตํ ไดแกจิตที่ไมตายนี้
ตอนหนง่ึ ไมต ายแตห มุนเวียน เพราะอาํ นาจของกเิ ลสมนั ผลกั ไสใหไ ปสภู พ
ตางๆ เมื่อชําระกิเลสจนหมดโดยสิ้นเชิงแลวก็เปน “อมต”ํ ไมตายแตไมหมุนเวียน เรา
จะเรียกวาธรรมชาตินี้เที่ยงหรือนิพพานเที่ยง กบั อนั นเ้ี ทย่ี งกอ็ นั เดยี วกนั ! จีรังถาวรก็ได
แกอ นั น้ี เปนที่พึงใจก็ไดแกสิ่งนี้ หมดความหวาดความระแวงอะไรทง้ั สน้ิ กค็ อื ธรรมชาติ
อนั น้ี เพราะถอดถอนยาพษิ อนั เปน ขา ศกึ ออกจากตนแลว โดยสน้ิ เชงิ !
คาํ วา “ตัว” ในสมมตุ ทิ ถ่ี กู ปลอ ยวางโดยสน้ิ เชงิ นน้ั เปนตัวของพิษของภัย ตวั
ของกเิ ลสตณั หาอาสวะ ตัวกอง อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา ซึ่งตองเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ เมื่อ
ปลอยธรรมชาตินี้ไดโดยสิ้นเชิงแลว จึงไมมีอะไรจะพูดตอไปอกี ถงึ เวลากไ็ ปอยา งสบาย
หายหว ง เมอ่ื ชวี ติ ยงั อยกู อ็ ยไู ป กนิ ไป หลบั นอนไป เหมอื นโลกทว่ั ๆ ไป เมอ่ื ถงึ กาลจรงิ
แลว กไ็ ป ไมม ีปญ หาอะไรในความเปนอยูหรือความตายไป สาํ หรบั ผทู ส่ี น้ิ ปญ หาภายใน
จติ ใจโดยสน้ิ เชงิ แลว เปน อยา งนน้ั
นแ่ี ลคอื สารคณุ ของมนษุ ยซ ง่ึ ไดจ ากศาสนธรรม สมกบั นามทว่ี า “มนุษยเปนผูมี
ความเฉลยี วฉลาด” นําศาสนธรรมซึ่งเปนของประเสริฐเลิศโลก มาเปนเครื่องยึดและ
เปนแนวทางดําเนิน หลบหลีกเล่ียงทกุ ขท้ังหลายไปได จนทะลุปรุโปรงพนจากภัยโดย
ประการทั้งปวง ชอ่ื วา “มนษุ ยผ ฉู ลาดแหลมคม” ตรงกับที่วา
“สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสน”ํ ทาํ จติ ใหผ อ งใสจนกระทง่ั บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว
นน้ั แลชอ่ื วา “เปนผูทรงคําสั่งสอนของพระพุทธเจา ไวได” การทรงธรรมของพระพุทธเจา
ไดตองทรงไวที่จิตนี่แล ทง้ั เปน มหาสมบตั ติ ลอดอนนั ตกาล
การแสดงธรรม กเ็ หน็ วา สมควร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๐
๓๘๑
เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘
หัดตาย
การปฏบิ ตั ถิ ึงคราวเด็ดมันตองเด็ด ถงึ คราวเฉยี บขาดตองเฉียบขาด มันเปนไป
ตามจังหวะหรือตามเหตกุ ารณท เ่ี กย่ี วขอ งกบั จติ นเ่ี องแหละ ถงึ คราวจะอนโุ ลมกต็ อ ง
อนโุ ลม ถงึ คราวจะผอ นสน้ั ผอ นยาวไปตามเหตตุ ามกาลตามธาตตุ ามขนั ธก ม็ ี ถงึ คราว
หมนุ ตวิ้ ไปตามอรรถตามธรรมโดยถา ยเดยี วกม็ ี
เวลาจําเปน ใจซึ่งควรจะเด็ดเดี่ยวตองเด็ดเดี่ยวจนเห็นดําเห็นแดงกัน อะไรๆ
จะสลายไปทไ่ี หนกไ็ ปเถอะ แตจติ กบั ธรรมจะสลายจากกนั ไมไ ด การปฏบิ ตั เิ ปน อยา ง
นน้ั เราจะเอาแบบเดียวมาใชนั้นไมได เพราะธรรมไมใ ชแ บบเดยี ว กิเลสไมใชประเภท
เดยี วแบบเดยี ว ประเภทที่ควรจะลงกนั อยางหนักก็มี ประเภทที่ควรจะผอนผันสั้นยาว
ไปตามบา งกม็ ตี ามกาลตามสมยั หรอื เกย่ี วกบั เรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธก าํ ลงั วงั ชาของตวั กม็ ี
ถึงคราวจะทุมเทหมดไมมีอะไรเหลือเลยก็มี เมือ่ ถงึ คราวเชนนนั้ อะไรจะเหลอื อยูไมไ ด
มนั หากบอกในจติ เอง รอู ยกู บั จติ เอง “เอา ? ทุมลงไปใหหมด กําลังวังชามีเทาไรทมุ ลง
ไปใหห มดอยา สงวนไว กระทง่ั จติ ตวั คงทนไมแ ปรไมแ ตกสลายเหมอื นสง่ิ อน่ื ๆ กไ็ ม
สงวนหวงแหนไวใ นขณะนน้ั ”
“เอา ! จิตจะดับไปดวยการพิจารณาในสิ่งทั้งหลายที่เห็นวาดับไป ๆ กใ็ หร ูวาจติ
นมี้ ันดับไป จะไมมีอะไรเหลือเปน “ความรู” อยใู นรา งกายเราน้ี กใ็ หร ดู ว ยการปฏบิ ตั ิ
ธรรมนี้เทานั้น ไมม สี ง่ิ อน่ื ใดมาเปน แบบฉบบั ”
ถงึ คราวท่ีจติ มันจะลาง ลา งโลกออกจากใจนน่ี ะ โลกคอื กเิ ลสนน่ั แล จะรั้งรองอ
มืองอเทาอยูไมได ตอ งสจู นหวั ใจขาดดน้ิ ไมม คี าํ วา “ถอย” สมมุติทั้งปวงที่มันแทรกอยู
ภายในจติ ใจรวมเปน กองสงู เทา ภเู ขานก้ี ต็ าม ตอ งสจู นตายหรอื ชนะแลว หลดุ พน อยา ง
เดียว! เพราะเปน “สงครามลางโลก” ถงึ คราวทจ่ี ะลา งใหห มด ตอ งสตู ายขนาดนน้ั ลา ง
จนจิตไมมีอะไรเหลืออยูเลย
“เอา ใหมันหมดไปดวยกันเสีย กเิ ลสมนั กด็ บั ไป ๆ จิตที่รูนี้จะดับไดดวยเพราะ
ถกู ทาํ ลายดว ยสตปิ ญ ญากใ็ หม นั รมู นั เหน็ ซิ ไมตองเสียดาย ! เพราะเราหาความจริง ใจ
จะดบั ลงไปดว ยกใ็ หร วู า เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ” ถา กิเลสดับไปใจกด็ บั ไปดวย ไมม คี วาม
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๑
๓๘๒
รูใดๆ เหลอื อยู เหลือแตรางกายเปนหัวตอเพราะไมมีใจครอง กใ็ หม นั รกู นั ในขณะ
ปฏบิ ตั นิ แ้ี ลดกี วา กาลอน่ื ใด”
“ที่พระพุทธเจาตรัสรูแลว ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธท์ิ าํ ไมยงั เหลอื อยใู นโลก สาวก
อรหัตอรหันตทานบําเพ็ญไดบรรลุธรรม อะไรๆ ขน้ึ ชอ่ื วา กเิ ลสดบั สญู ไปหมดภายในจติ
ใจ แตทําไมใจที่บริสุทธิ์จึงไมดับ แลว เหตใุ ดพวกเราถึงจะมาดบั ท้ังจิตดวยจนหาความ
บริสุทธิ์ไมเจอเลย! ถา มนั จะแหวกแนวจากหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา จรงิ ๆ กใ็ หม นั รู
ใหม นั เหน็ แตถ า จะไมแ หวก ลงถงึ กเิ ลสดบั หมดจรงิ ๆ แลว จะไมแ หวกแนว ยิ่งจะเห็น
ของจริงอันวิเศษไดอยางชัดเจน” อะไรจะหนกั ยง่ิ กวา การสรู บกบั กเิ ลส และอะไรจะทุกข
ยง่ิ กวา กเิ ลสทบั จติ เปน ไมม ใี นโลกน้ี!
ความโกรธเปนกิเลสประเภทหนึ่ง ความโลภ ความหลง ก็เปนกเิ ลส แตล ะ
ประเภทลวนทับถมจิตใจเปนฟนเปนไฟเผาใจเราเรื่อยๆ มาไมมีเวลาสรางซา ไมมีอะไร
จะทุกข ยง่ิ กวา น้ี การแกค วามโกรธดว ยอบุ ายตา งๆ แกค วามโลภ ความหลง ดว ยอบุ าย
ตางๆ กต็ อ งไดท าํ หนกั มอื ยอ มเปน ทกุ ขล าํ บากเพราะการกระทาํ เหมอื นกนั กเิ ลสทบั
ถมเราใหเ ปน ทกุ ขแตไมเกิดประโยชนอะไร เวลาเราสกู บั กเิ ลสยอ มเปน ทกุ ข แตได
รับผลประโยชนตามกําลังของความเพียร คอื กเิ ลสสลายตวั ลงไปเปน ลาํ ดบั จนกเิ ลส
ไมมีเหลือเลย นั่นคือผลซงึ่ เกดิ จากการทําดวยความเปนทกุ ข การสกู บั กเิ ลสดว ยความ
เปนทุกข หรือเราเปนทุกขเพราะการสูกับกิเลส ผลปรากฏขน้ึ มาเปนความสุขอยางไม
คาดไมฝน ตองเทียบเคียงเหตุผลอยางนั้น เพื่อหาทางรอดพนจากบวงแหงมารตัวมีเลห
เหลี่ยมรอยสันพันคม และทาํ สตั วใ หล ม จมอยใู ตฝ า เทา ของมนั อยา งเกลอ่ื นกลน ลน โลก
เรื่อยมา ยากจะมีผูเล็ดลอดไปได
ปกติจิตใจเสาะแสวงหาเหตุกอกวนตนอยูเสมอไมวาจิตของใคร เรื่องของกิเลส
เคยเปนอยางนั้นเรื่อยมา ไมเคยเปล่ียนแปลงแผนการมาทางดตี อ มนษุ ยแ ละสัตวท ั่ว
โลกเลย
เรอ่ื งของสตปิ ญ ญากต็ อ งตามสอดสอ ง อนั ไหนทเ่ี หน็ วา เปน ภยั ตอ งไดร ะงบั และ
ตองฝนกัน ถา ไมฝ น ไมเ รยี กวา “ตอ สเู พอื่ ปอ งกนั ตัว” หรอื เอาตวั รอดเพอ่ื แกค วามทกุ ข
ทก่ี เิ ลสเปน ตน เหตสุ รา งขน้ึ นน้ั ออกจากใจ แมล าํ บากกต็ อ งสู ขืนคิดไปมากพูดบนไป
มากกย็ ่ิงปลอยไฟใหเ ผาเรามากขึ้นในดวงใจ หาความสขุ ไมไ ดเ ลย
อบุ ายวธิ แี กเ จา ของแกอ ยา งน้ี ปกตขิ องจติ ถาเราเสริมเทาไร คลอยไปตามเทา
ไร มันยิ่งจะปรุงแตเรื่องที่จะเกิดความเดือดรอนวุนวายแกตนเรื่อยๆ นง่ั อยกู เ็ ปน ทกุ ข
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๒
๓๘๓
นอนอยกู เ็ ปน ทกุ ข อยทู ไ่ี หนกม็ แี ตก องทกุ ขห าความสขุ ไมไ ด จติ เปน ไฟทัง้ กองจาก
ความคิดปรุงตางๆ เพราะฉะนนั้ การแกจ ึงแกลงทจ่ี ติ นี้
การระงับ การแกก เิ ลสตา งๆ ดว ยอบุ ายปญ ญา ถงึ จะหนกั บา งเบาบา งทกุ ขบ า ง
ลาํ บากบา งยงั พอสู เพ่ือจติ ไดพ นจากภัยคือความทกุ ขค วามเดือดรอนจากกเิ ลสกอ ไฟ
เผาดว ยความคดิ ปรงุ และความสาํ คญั มน่ั หมายตางๆ เราตองยอมรับความทุกขที่จะ
เกดิ ขน้ึ จากการตอ สนู น้ั ๆ จะชอ่ื วา “เปน ผรู กั ตน” ไมป ลอยอะไรใหเขามาเผาลน ราวกับ
ใจไมมีเจา ของรับผิดชอบ ทป่ี ลอ ยใจใหเ รา รอ นหากาํ หนดกฎเกณฑไ มไ ดว นั ยงั คาํ่ คนื ยงั
รุง แลวแตจะเปนอยางไรตามบุญตามกรรมนั้น มนั ก็เจอแตเ รอ่ื ง “ตามบุญตามกรรม”
เรอ่ื งยถากรรมไปเรอ่ื ย ๆ หาสาระภายในใจเลยไมม ี สดุ ทา ยกห็ าความหมายในตวั ไม
ม!ี
การแกต วั เองนน้ั เพอ่ื หาสารคณุ เพื่อหาความจริง เพ่อื พบความมงุ หมายอัน
สาํ คญั ภายในใจ เพราะเราทั้งคนมีความหมายเต็มตัว จะปลอยใหสิ่งที่จะมาทําลาย
ความหมายมาทาํ ลายสารคณุ ภายในจติ ใจ โดยไมมีการตานทานไมมีการแก ไมมีการตอ
สกู นั เลยนน้ั ไมส มควรอยา งยง่ิ ถา เราแพว นั นว้ี นั หลงั เรากแ็ พอ กี เพราะเราไมสูศัตรูนั้น
ถา เราไมส แู ลว เขาไมถ อยเปนอนั ขาด เพราะไดทาไดทีแลว ย่งิ จะเหยียบยํ่าทําลายหนัก
มือเขาไปโดยลําดับ
ถา เรามที างตอ สมู ที างแกก นั บา ง สง่ิ นน้ั กเ็ บาลง อะไรที่เกิดขึ้นคิดขึ้น เหน็ วาเปน
ของไมดีรีบแกมันไมนอนใจ สิ่งนั้นก็ไมมีทางกําเริบตอไป เพราะมีสิ่งระงับมีสิ่งดับกัน
อยเู สมอ
ภยั ของจติ ใจกค็ อื กเิ ลสนน้ั แล ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความ
ชัง น้ันเปน ภยั เราใหรูมันเราแกมัน แมจะยังพนไปไมไดก็ตาม การมสี ง่ิ แกก นั นน้ั กพ็ อสู
กันไปได ถามแี ตพ ษิ อยา งเดยี วไมมียาแกเ ลยน้นั มันกแ็ ย การสง่ั สมแตพ ษิ ภยั ขน้ึ ภายใน
จิต อบุ ายแกไ ขไมม เี ลยมนั แยจ รงิ ๆ แมจ ะบน ตาํ หนติ นมากนอ ยกไ็ มเ กดิ ประโยชน มนั
ตองแก!
เราเปนคนทั้งคน จติ ทั้งดวงมีสาระเต็มดวง จะปลอ ยใหก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย
โดยไมม กี ารแกไ ขการตอ สกู นั เลยนน้ั ไมสมควรกบั เราซง่ึ เปน เจาของจติ ใจ ตองคิด
อยางนี้เสมอ และเรงเครื่องเขาเผชิญหนาทาทายกับกิเลสทุกประเภทวา “มาเถิด กเิ ลส
ตัวใดที่ยังไมเคยตาย จะไดทราบความตายเสยี ในวันน้ีเดย๋ี วนี้ เรากําลังรอเขียนใบตาย
ใหอ ยแู ลว เวลาน้ี กเิ ลสตวั ใดไมเ คยมใี บตายตดิ มอื ใหโ ผลต วั ออกมารบั มอื กบั เรา” น่ี
วธิ ปี ลกุ ใจใหม คี วามอาจหาญชาญชยั เพราะใจไมผิดอะไรกับชางมาตัวพาเขาสูสงคราม
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๓
๓๘๔
ในครง้ั กอ นๆ โนน พอไดร บั การปลกุ ใจจากเจา ของผฉู ลาดเทา นน้ั ชาง มาจะเกิดความ
ฮึกเหิมผาดโผนโลดเตนขึ้นทันที แลว พาเจา ของวง่ิ เขา สแู นวรบไมก ลวั ตาย
แตก ารฝก จติ นส่ี าํ คญั มาก เพราะจิตเราไมเคยฝก เคยแตปลอยไปตาม
ยถากรรมตั้งแตไหนแตไรมา หรอื ตง้ั แตวนั เกิด จะมาหกั หา มเอาใหไ ดอ ยา งใจในวนั
หนึ่งขณะเดียวนั้นมันเปนไปไมได การเรม่ิ ฝก กค็ อื เรม่ิ หกั หา มจติ ใจ ไดบา งเสียบาง
เพราะถือวาเปนขั้นเริ่มแรก ทเ่ี รายงั ไมส ามารถอนโุ ลมปลอ ยไปกอ นกม็ ี เมื่อมันหนักเขา
จรงิ ๆ เราก็ตองอนโุ ลมไปกอน แตห าทางแกไ ขหกั หา มมนั อยเู สมอภายในใจเพราะ
กําลังเรายังไมพอ ถา ไมป ลอ ยบางจะไปสเู ขาไดอ ยางไร กต็ อ งยอมปลอ ยไปกอ น โดยทํา
ความเขาใจไว แลว คอ ยขยบั ความเพยี รเขา ไปเรอ่ื ยๆ เรงไปเรื่อยๆ ดว ยวธิ กี ารตา งๆ
เอา ทุกขบางทนเอาบางจะเปนไรไป เพราะเราเคยทน ทาํ ไมโลกนเ้ี กิดข้ึนมาใคร
ก็ไมเคยคิดทนเรื่องทุกข แตมันจําเปน เขาทนไดเ รากท็ นได แตเ วลาเราจะทนบา งเกย่ี ว
กับการฝกจิตที่ไดรับความทุกขตางๆ นั้นทําไมจะทนไมได สิ่งที่ควรทนและพอจะทนได
เราก็ตองทน โลกนไ้ี มใ ชโ ลกสขุ ลว นๆ มนั มที กุ ขเ จอื ปนอยดู ว ยกนั ทกุ คนและไมว า งาน
ใด มันมีทุกขเจือปนอยูดวยกันทั้งนั้น ขน้ึ ชอ่ื วา การทาํ งานแลว งานทางโลกกต็ องมีทกุ ข
เพราะการทํางาน งานทางธรรมกต็ อ งมที กุ ขเ พราะการทาํ งาน ใหอ ยเู ฉยๆ จะไมใหมี
ทุกข ทั้งๆที่เราตองทํางานอยูมันเปนไปไมได ตองมีทุกข เราก็ยอมรับเพราะการทํางาน
แตท กุ ขเพราะการทํางานทางดานกศุ ลนี้มนั เกิดผล ไมใชเปนทุกขเฉยๆ โรคเกิดขึ้นภาย
ในกายเรา เปน ความทกุ ขค วามลาํ บากและไมเ กดิ ผลดอี ะไร เรายังตองอดทนตอมัน ถา
เราไมพิจารณาใหเกิดผลดี ถา เราพจิ ารณาใหเ กดิ ผลดว ยอบุ ายวธิ ตี า งๆ ของสติปญญา
ทุกขก็เปนเครื่องหนุนปญญาใหแหลมคมได และเกิดผลเปนความสงบ เปนความรูเทา
ทันกัน ปลอ ยความกงั วลได เพราะทราบความจริงดวยการพิจารณา นกี่ ็เปนผลดี จะทํา
ใหเกิดผลดีผลชั่วมันเกิดไดทั้งนั้น
ทว่ี า จะทาํ อะไรลงไปกก็ ลวั จะลาํ บาก กลัวจะทุกข หาแตเรื่องยงุ เหยิงวุน วายใสตวั
น้ี มันเคยมีเคยเปนมาแลว ขออยา ใหม นั มารบกวนเรามากมายนกั เลย ไมว าอะไรถา
เปนของดีแลว มักจะมีอะไรมาตานทานมาขัดขวางไมอยากจะใหทํา นค่ี อื อบุ ายของ
กิเลสที่เคยอยูเหนือหัวใจเรามานาน จงทราบไวเสียบางวานี้คือเรื่องของฝายต่ํามา
เหยียบย่ําทําลายเรา และอยูเหนือจิตใจเราตอไปไมยอมลง ควรจะผลกั มนั ออกไปกใ็ ห
ผลักไปบาง ควรจะตอ สดู ว ยวธิ ใี ดกต็ อ สบู า ง หรือจะตอสูจนเวทีพังกิเลสพังก็จะเปนไร
ไป ขอแตอ ยา ใหเ ราพงั กแ็ ลว กนั คาํ วา “เราพัง” นไ้ี มอ ยากไดย นิ เลย
เอา แพบา งชนะบา งไมเปน ไร! ยังมีการตอสู แสดงวายังไมตายใจกับเขาทีเดียว
ตอ งฝน กนั บา งอยา งน้ี ฝน ไปฝน มาความฝน กค็ อ ยมี “วันเคยชนิ ” ขึ้นมา อบุ ายทจ่ี ะ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๔
๓๘๕
สนบั สนนุ การฝน กม็ ขี น้ึ มา ตอไปก็ทนั กนั ไปเอง อยา ลมื คาํ วา “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ”ที่
เคยแสดงแลววาพระองคเปนนักรบ นกั ปราบขา ศกึ องคเ อก จงยึดทานเปนขวัญใจเวลา
เขา สแู นวรบหรอื เวลาปกติ ไมมีอะไรขวาง นอกจากเปน สิริมงคลอยางเดียว
พระพุทธเจาไมเปนผูลางมือคอยเปบ ทา นถงึ ขน้ั สลบไสลนน้ั นะ! คนไมทุกขมาก
จะสลบไสลหรอื ทา นมคี วามลาํ บากลาํ บนแคไ หน การทาํ งานเปนอยา งนน้ั เปนคติตัว
อยา งไดท กุ พระอาการทแ่ี สดงออกมา เราในฐานะพุทธบริษัทไมไดเหมือนพระพุทธเจา
ทกุ กระเบยี ดนว้ิ กต็ าม ไดแบบศิษยมีครูก็ยังดี ถือทา นเปน คตติ วั อยา งทัง้ การบาํ เพญ็ ทัง้
การยดึ ถอื ฝากเปน ฝากตายในองค “พุทธะ” หรือพระพุทธเจาผูบริสุทธิ์ ไมใ ชเ อากิเลส
เปนครูทาเดียว จะทําความเพียรเมื่อไรทาใด ถกู แตท า กเิ ลสดดั เอา ๆ ฟง เสยี งแพว า
“ยอมแลว ๆ” กระเทือนไปทั่วจักรวาล เสียงชางสารก็ไมดังเทาเสียงนักรบยอมแพกิเลส
นี่มันนาโมโหจะตายไป!
คนเราถา เหน็ กเิ ลสเปน ภยั บา งแลว ผูนั้นยังมีทางจะแกไขและผานพนไปได ถา
เหน็ กเิ ลสกบั เราเปน อนั เดยี วกนั หรือเห็นวาไมเปนเรื่องของกิเลส แตเปนเรื่องของเรา
หมด กห็ าทางแกก นั ไมไ ด เพราะจะกระเทือนคําวา “เรา” ดไี มด ถี กู กลอ มใหห ลบั สนทิ
ไมมีวันรูสึกตัวไดเลย แบบนค้ี อื แบบ “จม”
ถาสิ่งที่เปนขาศึกตอเรา สง่ิ ทใ่ี หค วามทกุ ขค วามลาํ บากแกเ รานน้ั เราเห็นวาเปน
กเิ ลส เรากบั กเิ ลสกถ็ อื วา เปน ขา ศกึ กนั และตอ งตอ สกู นั ถา มกี ารตอ สกู นั กแ็ สดงวา เปน
คนละคน ไมใชเปนอันเดียวกนั เสยี จนหมดเน้อื หมดตัว ยงั พอมสี ตบิ า ง ความเปน ผมู ี
สตบิ า งนแ้ี หละ เปน เหตใุ หต อ สคู วามคดิ ในแงต า งๆ ทเ่ี หน็ วา ไมเ ปน ประโยชนห รอื
เปน โทษแกเ รา พยายามฝาฝนและแกไ ขดวยปญ ญาจนเร่อื งนั้นผานไป และพยายาม
แกไ ขใหผ า นไปดว ยอบุ ายสตปิ ญ ญาเรอ่ื ยๆ ตอไปใจกร็ าบรนื่ ไมฝ น มากเหมือนขนั้ เริ่ม
แรกฝก แมทุกขก็ยอมรับ การทาํ งานตอ งทกุ ข ทุกขเพราะผลอันดีไมเปนไร ขณะที่เราสู
สไู ดข นาดไหนกส็ กู นั ไป ทาํ กนั ไป ฝา ฝน กนั ไปดว ยความเหน็ ทกุ ข นี่เปนทางเดินของนัก
ปราชญทานเคยตะเกียกตะกายมาแลว กอ นทท่ี า นจะหลดุ พน ลว นแตต ะเกยี กตะกายมา
ดวยกนั ทง้ั น้ัน จะมาลา งมอื เปบ เอาเฉพาะเราคนเดยี วซง่ึ เปน ลกู ศษิ ยข องตถาคต แต
กลบั แหวกแนวยง่ิ กวา ครมู อี ยา งหรอื !
ครมู คี วามทกุ ข ลกู ศษิ ยก ต็ อ งมคี วามทกุ ขบ า ง เพราะเดินตามครู รอ งรอยทา น
เดนิ อยา งนน้ั เราจะหนีจากรองรอยทานไปไหน กต็ องยอมรับทกุ ขซึง่ เกิดจากการปฏบิ ตั ิ
หนาที่ของตนโดยชอบธรรม ทุกขเพราะการบําเพ็ญไมสําคัญเทาใดนัก แตทุกขเวลาจะ
ตายนซ่ี ใิ ครจะชว ยเราได ! ทกุ ขเ วลาทาํ งาน ถา มนั ทกุ ขม ากๆ เรายงั พักผอ นการงานได
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๕
๓๘๖
ทุกขก็ระงับไป ถา จะสไู มไ หวเพราะความทกุ ขน ห้ี นกั มากเกนิ ไป เราผอนงานลงบาง
ความทกุ ขก ผ็ อ นลง เราหยดุ งานความทกุ ขก ด็ ับไป เชน เรานง่ั ภาวนานานมนั เปน ทกุ ข
มาก เราหยดุ เสยี กอ นพกั นท้ี กุ ขก ด็ บั ไป กพ็ อระงับกันไปได
แตท กุ ขเ วลาจะตายนน้ั นะ มนั ระงบั ไมไ ด! นอนอยมู นั กท็ กุ ข ทุกขหมดทั้งตัวใน
ขณะนอน ลกุ ขน้ึ นง่ั มนั จะหายไหม กไ็ มห าย เดนิ จะหายไหม กไ็ มห าย อาการใดกไ็ ม
หายทั้งน้นั อริ ยิ าบถทง้ั สเ่ี อามาตอ สู หรือเอามาใชก บั ความทุกขในขณะทจี่ ะตายนั้น ไม
ไดผลทั้งนั้น เราเอาอนั นม้ี าเทยี บบา งซิ เวลานง่ั นานยนื นานเดนิ นาน หรอื ตอ สกู บั
เวทนาขณะที่มันเจ็บมากปวดมากขึ้นตอนทเ่ี ราน่ังภาวนานาน ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นใน
ขณะที่เราพิจารณานี้จะเกิดขึ้นมากนอย ถา สไู มไ หวเราถอยได นอ่ี นั หนง่ึ เปน ขอ ลด
หยอนผอ นผนั ไปตามความจําเปน แตอ ยา ถอื เปน ความจาํ เปน จนกเิ ลสไดใ จ ถงึ กบั นง่ั
ภาวนาไมไ ด เดินจงกรมไมได ใหท าน รักษาศีล ไมได ตอ งมีทาตอ สูอยเู สมอ
ในขณะที่เราจะตาย ทุกขเวทนามันเผาเราหมดทั้งตัวเพราะถอยไมได ถอยไป
อริ ยิ าบถใดกเ็ ปน ไฟไปดว ยกนั ทกุ ขอ นั ไหนจะมนี าํ้ หนกั มากกวา กนั เอาสองขอ นม้ี า
เทยี บกันดู กอ นตายเรายงั ตอ งทนทกุ ขอ ยู ขนาดที่สูไมไหวยังตองทนจนกระทั่งตาย การ
ภาวนานานบา งนย้ี งั พอสไู หวน่ี พอถอยได ทําไมเราจะทําไมได คดิ ดเู รามาเทยี บกนั ดู
ความขยนั ความบกึ บนึ ความมแี กใ จ ความอาจหาญยอ มเกดิ ขน้ึ ไดด ว ยอบุ ายปญ ญาแง
หนง่ึ เวลาจติ มนั ถอยมนั ทอ ตอ งเอาอบุ ายปญ ญานม้ี าใช เพอ่ื เปน กาํ ลงั ใจหนนุ ขน้ึ มาให
เกดิ ความกลา หาญไมส ะทกสะทา น ตอสูกันไดชัยชนะไปโดยลําดับๆ ในขณะนน้ั กม็ ดี ว ย
อบุ ายปญ ญา คดิ ดใู หด ี ใหท นั กลมายาของกเิ ลส เวลาจะตายมนั เปน อยา ง
นน้ั ดว ยกนั ทกุ คนไมม ใี ครมขี อ ยกเวน !
อริ ยิ าบถทง้ั ส่ี จะเอาไปใชป ระโยชนใ นการผอ นคลายทุกขเวทนาซ่งึ แสดงขนึ้ ใน
เวลาจะตายนน้ั ไมไ ดผ ลเลย มีแตจะ “แตก” ทาเดียว มแี ตท กุ ขท า เดยี ว กระทง่ั แตกไป
ขณะที่เราจะสกู บั ทกุ ขเ พ่อื การทําความดี ทําไมจะสูกันไมได กม็ นั ยงั ไมแ ตกน่ี มนั ทกุ ข
ขึ้นมาจริงๆ เราถอยได น่กี ็ยงั พอฟด พอเหวีย่ งกนั ไปดว ยอบุ ายปญญา เวลาจะเอาจริง
“เอา ขณะที่มันจะตาย อะไรจะตายกต็ ายไปเถอะ เรอ่ื งสตปิ ญ ญาถงึ ขน้ั แหลมคมเตม็ ท่ี
แลว ภายในใจ จะรกั ษาดวงใจนไ้ี ดอ ยา งสมบรู ณ ไมมีทุกขเวทนาตัวใดที่จะเขามา
เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจิตใจนใ้ี หเ สยี ไปได นเ่ี รยี กวา “แนใจเต็มที่ !”
ทุกขเกิดขึ้น ทกุ ขน น้ั กด็ บั ไป ไมม อี ะไรดบั นอกจากทกุ ขท เ่ี กดิ ขน้ึ แลว ดบั ไป
เทา นน้ั มที กุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในกาย มีกายที่เปนตัวเกดิ นี้เทา นนั้ เปน ทุกข เปน ผู
จะดบั จะสลาย ไมม อี นั ใดดบั อนั ใดสลาย นอกจากสง่ิ น้ี สง่ิ ทผ่ี สมกนั นส้ี ลายเทา นน้ั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๖
๓๘๗
สว นจติ ไมม อี ะไรผสม นอกจากกเิ ลสเทา นน้ั ที่มาผสมจิต กเิ ลสเปน สง่ิ ทด่ี บั ไป
ได แตจิตลวนๆ ดบั ไมไ ด ไมมีดับ จิตจะดับไปไหน อะไรจะสลายกส็ ลายไปจะเสยี ดาย
มันทําไม ความเสยี ดายเปน ความเยอ่ื ใย เปน เรอ่ื งกดถว งจติ ใจ ความเสยี ดายนน้ั คอื
ความฝน คตธิ รรมดาแหง หลกั ธรรมทท่ี า นสอนไว และเปน ขา ศกึ และผอู าลยั เสยี ดายอกี
ดวย
เอา ทุกขเ กดิ ขน้ึ มากนอ ยกเ็ ปน เร่ืองของทกุ ข ทุกขจะดับไปก็เปนเรื่องของทุกข
เราเปน ผรู ู รูทั้งที่ทุกขเกิดขึ้น ทั้งทุกขตั้งอยู ทั้งทุกขดับไป ธรรมชาตนิ เ้ี ปน “ผูรู” ไมใ ช
ผเู กดิ ผดู บั จะกลวั ความเกดิ ความดบั กลวั ความลม ความจมในจติ อยา งไรกนั มันจะลม
จมไปไหน พิจารณาอยางนี้เพื่อจะฟนฟูจิตใจขึ้นมาจากตมจากโคลน เพอ่ื ใหใ จไดเ หน็
ชัดรูชัดตามความจริง จิตใจจะลมจมไปไหนถึงกลัวนักหนาในขณะจะตาย มันหลอกกัน
เฉยๆ น!่ี ตามความเขาใจของทานของเรา ถา พดู ถงึ วา หลอกกนั นะ แตไมมีใครจะมี
เจตนาหลอกใครแหละ ตายๆๆนน่ี ะ
โลกเขาสมมตุ กิ นั มาอยา งนน้ั นบั กปั กลั ปไ มไ ดแ ลว เม่ือพิจารณาเขาถึงความ
จรงิ แลว “โอ นม่ี นั หลอกกนั ” ความจรงิ ไมม อี ะไรตาย! ธาตสุ ่ี ดนิ นาํ้ ลม ไฟ สลายลง
ไปแลวก็ไปอยูตามธาตเุ ดมิ ของเขา จิตที่กลัวตายนี้ยิ่งเดน มันไมไดตายนี่ เหน็ ชดั ๆ
อยา งน้ี อะไรเปน สาเหตใุ หจ ติ ตายไมม ี เห็นชัดๆ อยูวาไมมี ใจยิ่งเดน ผูที่รูที่พิจารณา
สิ่งท้ังหลายนน้ั ยง่ิ เดน
เราไมหวงอะไร จะไปกไ็ ปเม่อื ถึงคราวแลว ผูที่รูก็รูตามเหตุตามผล ไมถ อยใน
เรื่องรู ผทู ส่ี ลายกส็ ลายไป ไมอาลัยไมเสียดาย ไมห วง หวงทําไม? มนั หนกั ยดึ ไวท าํ ไม?
ส่งิ เหลาน้ีเปนของหนักมาก
การรูตามเปนจริง ปลอ ยวางตามสภาพของมนั นน่ั แลคอื ความจรงิ ไมก งั วล ถงึ
อยไู ปอกี มนั กจ็ ะตายอยา งน้ี อยเู พือ่ ตาย! อยูเพื่อแตก! เวลาน้ี พจิ ารณาใหเ หน็ ความ
แตกดับเสียกอนตั้งแตยังไมแตก นี่เปนสิ่งที่เหมาะสมอยางยิ่งสําหรับผูมีปญญา นข่ี น้ั
สาํ คญั !
ผพู จิ ารณาเชน นจ้ี ะเปน ผไู มห วน่ั ไหว เห็นชัดตามเปนจริง ที่ชื่อวา “เวทนา”นน้ั
มนั เปน อะไร มนั กเ็ วทนานน่ั แล มันเปนเราเมื่อไร มันเกิดขึ้นมันดับไป เราทําไมจะเกิด
ขึ้นดับไปอยูวันยังค่ําคืนยังรุงเชนนั้น ถาเวทนาเปนเรา ถาเวทนาเปนเราแลว เอาทไ่ี หน
เปนทแี่ นใจวา “เปน เรา” หรือสาระอะไรวาเปนเราได ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็วาเราเกิดขึ้น
ทุกขเวทนาดบั ไปกว็ า เราดบั ไป มแี ตเ ราเกดิ เราดบั อยวู นั ยงั คาํ่ คนื ยงั รงุ หาความแนน อน
ที่ไหนได! ถา เราจะไปเอาเรากบั ทกุ ขเวทนามาบวกกนั มนั ไมไ ดเ รอ่ื ง เหลวไหลทั้งน้ัน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘๗