The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-03-06 19:27:08

ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

Keywords: ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

281

องคห์ ลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นโฺ น ได้กล่าวถึงพระธาตุหลวงปูต่ อ้ื ไว้หลายวาระดงั น้ี
“.... หลวงปู่ต้ือ เราไปเห็นด้วยตาของเราเองนะ โห ! พระธาตุท่านสวยงามมากนะ
หลวงปตู่ ือ้ นี่ไปเห็นพระธาตุท่านสวยงามแพรวพราว เราไปดูดว้ ยตาของเรา....”
“.... อย่างหลวงปูต่ อ้ื นี้ โอ๋ย ! สวยงามมากจรงิ ๆ สดใสเหลืองอร่ามเลยเทียว เป็นเม็ดๆ
เท่าเม็ดขา้ วโพด เล็กกว่านั้นหน่อย มองดแู ล้วเหมอื นทองค�ำ อฐั ิของหลวงป่ตู ้อื สวยงามมากจริงๆ
น่อี งค์หนง่ึ นี่กเ็ ปน็ ลกู ศษิ ย์หลวงปมู่ ่ัน...”
ผู้ทีไ่ ด้ประสบกับปาฏหิ าริย์ของพระธาตุหลวงปูต่ ้อื อจลธมฺโม เลา่ ใหฟ้ งั วา่ เคยไดไ้ ปชม
พระธาตหุ ลวงปตู่ ้ือท่บี า้ นลูกศิษยข์ องทา่ นคนหนึ่งท่จี ังหวดั นครพนม เล่าใหฟ้ ังว่า “ทา่ นได้เปดิ
ตลับพระธาตุใหด้ ู เหน็ มพี ระธาตปุ ระมาณ ๑๐ กว่าองค์ องค์ใหญ่ ๔ องค์ องค์เลก็ ๑ องค์ เป็น
หนิ ปนู ๒ องค์ เป็นสเี ทา ๑ องค์ เปน็ หินมันเลื่อม ๔ องคม์ ขี นาดเล็กมาก มีลักษณะเปน็ แก้ว
๑ องค์ อีกองคห์ น่ึงยังเป็นอัฐธิ รรมดา และที่เหลือองคเ์ ล็กๆ มีลักษณะเปน็ หินปูน คล้ายพระธาตุ
ของหลวงป่อู อ่ น าณสิร”ิ
ทา่ นเจา้ ของพระธาตหุ ลวงปู่ต้อื บอกวา่ “ทา่ นได้รบั มาจากชาวท่าอุเทนทเ่ี คยรู้จักกนั ไดไ้ ป
รว่ มงานถวายเพลิงหลวงปูต่ ้ือ อจลธมฺโม และได้นำ� อัฐิส่วนหน่งึ มามอบให้ เป็นอฐั ธิ รรมดา ๒ ชิน้
ปรากฏว่าตอ่ มาไดย้ ่อยละเอียดลงกลายเปน็ สว่ นยอ่ ยดงั กล่าว ตอนแรกเขา้ ใจว่าคงแตกแล้วกระจาย
ออกเปน็ เม็ดเลก็ ๆ แต่จากการศกึ ษาเรอื่ งพระธาต ุ จงึ ไดร้ ู้วา่ พระธาตุสามารถเพมิ่ จ�ำนวนข้ึนได”้
ต่อมาท่านเจ้าของพระธาตุหลวงปู่ตื้อคนเดิม เล่าประสบการณ์อีกคร้ังว่า “พอเปิดตลับ
ถึงกบั ตะลงึ เพราะพระธาตุจ�ำนวนเกือบสบิ องคไ์ ด้รวมตัวเหลือเพยี งสององค์ องค์หนง่ึ มีลกั ษณะ
เป็นสีงาช้าง ตรงปลายเป็นผลกึ วาวสดี ำ� อีกองค์กย็ ังคงเปน็ อฐั ิธรรมดาอยู่”
ทา่ นเจ้าของพระธาตหุ ลวงปู่ตอื้ อกี รายหน่งึ ท่านไดร้ บั แบ่งปนั มาเล่าวา่ “สำ� หรบั พระธาตุที่
ขา้ พเจา้ มีไวบ้ ชู า ก็มขี นาดใหญ่ข้ึนเกอื บทกุ องค์”
กิตติศัพท์เลื่องลือถึงบารมีธรรมของหลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ท่ีท่านเป็นที่รักของทวยเทพ
เทวดา รวมท้ังด้านอิทธฤิ ทธิ์นานาประการ ไมเ่ พยี งอฐั เิ ทา่ น้นั แปรเปน็ พระธาตไุ ด้ แมท้ ี่สดุ ทุกส่วน
ของร่างกายพระอรหนั ตก์ ็แปรสภาพเปน็ พระธาตุได้ เช่น เส้นเกศาของหลวงปตู่ ือ้ ทเ่ี กบ็ ไว้ในผอบ
เม่ือบูชาด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างสูงสุดแล้ว สุดท้ายเส้นเกศาในผอบยังมีพระธาตุของท่าน
เพมิ่ ขึ้น เถ้าองั คารของหลวงปู่เมอ่ื มผี ้นู ำ� ไปบชู ากแ็ ปรเป็นพระธาตุไดเ้ ชน่ กนั ฯลฯ

282

อาคารพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม

อาคารพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ต้ังอยู่ท่ี วัดป่าอรัญญวิเวก บ้านข่า หมู่ ๑
ต�ำบลบา้ นขา่ อ�ำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
ความเปน็ มาเกี่ยวกับพพิ ิธภณั ฑห์ ลวงปู่ตอื้ อจลธมฺโม
ศิษยานุศษิ ยท์ ้งั บรรพชิตและฆราวาสของหลวงปตู่ ือ้ อจลธมโฺ ม มีความประสงค์ทจ่ี ะสร้าง
พพิ ิธภัณฑ์ขน้ึ เพือ่ เป็นอนุสรณแ์ ละอนุสติ ระลกึ ถงึ คณุ งามความดี ตลอดถึงปฏิปทาของทา่ น ท้งั นี้
เพราะท่านไดม้ รณภาพไปเป็นเวลานานแล้ว ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗
หลวงป่ตู ือ้ อจลธมฺโม เป็นพระปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ เปน็ คนพูดตรง พดู จรงิ เปน็ ศิษยเ์ อก
ส�ำคัญองค์หน่ึงของหลวงปู่ม่ัน ภูริทตฺโต และเป็นสหธรรมิกปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่แหวน
สุจิณฺโณ จนถึงทุกวนั นี้ยงั ไมม่ ีสิ่งใดทเ่ี ป็นอนสุ รณส์ ถานสำ� หรับทา่ น ดังนน้ั คณะศิษยานุศิษย์ จึงได้
สร้างพพิ ิธภณั ฑ์ขึ้นดังกล่าวมา
รปู แบบพพิ ธิ ภณั ฑ์และงบประมาณ
อาคารพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ตื้อ ออกแบบตามศิลปะทางภาคอีสาน ลักษณะพิพิธภัณฑ์เป็น
อาคาร ๒ ชั้น พ้นื ท่ีกอ่ สร้างขนาดกว้าง ๑๐๒ เมตร ขนาดยาว ๑๑๕ เมตร รูปแบบพิพิธภณั ฑ์
พ้ืนท่ใี ช้ประโยชน์ได้มากและดเู รียบง่าย
ชั้นลา่ ง ใชเ้ ป็นท่ปี ระชมุ สงฆ ์ และเปน็ อาคารฝกึ อบรมกรรมฐานของพุทธบริษทั
ชั้นบน มีรูปปั้นหุ่นข้ีผึ้งจ�ำลอง หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ในอิริยาบถนั่งสมาธิ ประดิษฐาน
ในตู้กระจกใสขนาดใหญ่ และภายในตู้มีผอบเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ ซึ่งแปรสภาพเป็น
พระธาตสุ วยงามมสี ีสันวรรณะตา่ งๆ ดจุ ทบั ทิมบ้าง ทองคำ� บ้าง
ภายในอาคารชั้น ๒ รอบระเบียงมีซุ้มประตู ๔ ด้าน ทั้ง ๔ ด้านเป็นท่ีประดิษฐาน
พระพุทธรูป รวมทั้งมีสิ่งท่ีน่าสนใจอ่ืนๆ อีกมากมาย เช่น เป็นสถานท่ีจัดเก็บรวบรวมอัฐบริขาร
วัตถมุ งคล ขา้ วของเคร่ืองใช ้ ตลอดจนภาพถา่ ยของหลวงปู่
การกอ่ สร้างอาคารพิพิธภณั ฑ์หลวงป่ตู ื้อ ต้องใชง้ บประมาณสูงถงึ ๒๘ ล้านบาท ซ่งึ เป็น
วงเงินทีส่ ูงมาก โดยมี พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่ค�ำพนั ธ์ จนทฺ ูปโม) และ พระครภู าวนาภิรตั ิ
(หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ) ท่านได้เป็นองค์ประธานในการจัดสร้าง โดยมีคณะสงฆ์และศรัทธา

283

ข้าราชการ พอ่ ค้า ประชาชน ได้รว่ มใจกนั บริจาคจดั สร้างอาคารพิพิธภณั ฑน์ ขี้ นึ้ เพอ่ื เปน็ แหล่ง
ศึกษาเรียนรู้ประวัต ิ หลวงปูต่ อ้ื อจลธมโฺ ม
เรมิ่ ด�ำเนินการกอ่ สร้างอาคารพิพธิ ภัณฑห์ ลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ แลว้ เสรจ็
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ใช้เวลากอ่ สรา้ งยาวนาน ๑๕ ปี
ในการนไี้ ด้จัดงานเฉลิมฉลองระหว่างวนั ท่ี ๑ – ๑๖ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ วาระดงั กลา่ ว
พระจันโทปมาจารย์ (คำ� พนั ธ์ จนทฺ ูปโม) และคณะศษิ ย์ ไดจ้ ดั สรา้ งวัตถุมงคลเหรียญหลวงปตู่ ื้อข้นึ
เพ่ือแจกเป็นท่รี ะลกึ ให้กบั ญาติโยมทมี่ าร่วมทำ� บญุ ฉลองอาคารพิพธิ ภัณฑ์ ประกอบพธิ พี ทุ ธาภเิ ษก
เหรียญหลวงปู่ ในวดั ป่าอรัญญวเิ วก โดยมีพระอาจารยก์ ัมมัฏฐานสายพระปา่ องคส์ �ำคัญหลายรูป
ไดเ้ ข้าร่วมพิธี

284
ภาค ๑๘ โอวาทธรรมค�ำสอน และ เทศนาธรรม

โอวาทธรรมค�ำสอน

“จิตดวงเดยี ว แสดงเปน็ สีด่ วง พระโสดาปตั ตมิ รรคก็จติ ดวงเดยี ว พระสกทิ าคามมิ รรค
กจ็ ิตดวงเดยี ว พระอนาคามิมรรคก็จติ ดวงเดยี ว พระอรหตั ตมรรคก็จิตดวงเดียวน้ีแหละ”
“พระอรหันตเจา้ ท้งั หลาย น่ังกน็ ง่ั อยู่ในนพิ พาน นอนกน็ อนอยูใ่ นนิพพาน เดินกเ็ ดนิ อย่ใู น
นพิ พาน กนิ กก็ นิ อย่ใู นนิพพาน แตข่ ันธ์ห้าที่เป็นอุปาทานยังไม่ดับ”
“พระอรหันต์น่ันนะ ทา่ นไม่มพี ทุ โธ ธัมโม สงั โฆ ดอก คอื พ้นจากอุปาทาน นั่งอยนู่ พิ พาน
นอนอยู่นพิ พาน นิพพานไมใ่ กลไ้ มไ่ กล เมือ่ ถอนอปุ าทานแล้ว ใจเปน็ นพิ พาน คือ พระอรหนั ต์
ไมม่ พี ุทโธ ธมั โม สงั โฆ ท่านพอแล้ว เฉยจากรูป เฉยจากเวทนา เฉยจากสญั ญา เฉยจากสังขาร
เฉยจากวิญญาณ จงึ เปน็ นพิ พาน เมือ่ จิตเปน็ นพิ พานแลว้ ชาติ เกิดไม่มี ชราธมโฺ ม ไม่มแี ก่ พยาธิ
ความเจ็บไมม่ ี มรณ ความตายไม่ม”ี
“ถ้ามีพทุ โธ ธมั โม สังโฆ เป็นผ้รู ูส้ วรรค์ รู้นิพพาน ปรารถนาสวรรค์ ปรารถนานพิ พาน
ก็จะไดส้ วรรค์ และนิพพานตามความมงุ่ มาดปรารถนา”
“พุทโธ ต้งั ใจของเราให้มพี ระพุทโธ ธมั โม สงั โฆ ต้ังใจของเราให้มพี ระธรรม พระสงฆ์
ขาวพทุ โธให้ขาวลงท่ใี จของยาย ธัมโม สงั โฆ ใหข้ าวพระพุทโธ ธมั โม สงั โฆ ที่ใจของคณุ ยาย คุณตา
ทกุ คน ผ้าเหลอื ง พทุ โธ ธมั โม สังโฆ ก็ให้เหลอื งลงที่ใจของเราทกุ พระองค์เถดิ ”
“ขอนกั กรรมฐานทง้ั หลาย ผ้มู พี ุทโธแลว้ สวรรค์ ๖ พรหม ๑๖ พระนพิ พาน ก็จะเป็น
ของท่าน ถ้าหากนักธรรม นักกรรมฐาน ละพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว มันไกลพุทธศาสนา
ต้งั หมน่ื วาแสนวา จะน่ังภาวนาเอาสวรรค์ ๖ พรหม ๑๖ พระนพิ พาน จนกระดกู หักกไ็ ม่ไดส้ วรรค์
นพิ พานหรอก”
“อรยิ บคุ คล เกิดจาก พทุ ฺโธ ธมฺโม สงโฺ ฆ อรหํ สมมฺ าสมฺพุทโฺ ธ”
“ธมโฺ ม จ วนิ โย จ พระธรรมอยูท่ ่ไี หน เดิมทีอยู่ที่กายพระพทุ ธเจ้า ท่ีใจพระพทุ ธเจ้า
น้อมเข้ามาในกายของเรา ก็เปน็ ตวั เดยี วกันนนั่ แหละ พระธรรมท่ใี จของเรา วินยั กท็ ี่ใจของเรา”
“ธรรมน้ันคืออะไร ? รูปก็พระธรรม เวทนาก็พระธรรม สัญญาก็พระธรรม วิญญาณก็
พระธรรม ตากพ็ ระธรรม หกู พ็ ระธรรม จมูกก็พระธรรม ปากก็พระธรรม กายก็คือพระธรรม

285

น่ันแหละ”
“ธรรมทงั้ หลายกอ็ ย่ทู ห่ี วั ใจของเรา กายของเรา วินโย จงรักษาวนิ ัย ศลี ๒๒๗ ก็พทุ ธวนิ ยั
มีศลี ๕ เป็นเค้า (ตน้ ) ศลี ๘ เปน็ ปลาย ศลี ๑๐ ศลี ๒๒๗ กเ็ ป็นปลาย”
“โลกนีเ้ ขามีเคร่อื งผูกอันเหนยี วแน่น ยากทจี่ ะตดั ไดด้ ว้ ยอยา่ งอ่นื นอกจากพระธรรมของ
พระพุทธเจ้า มนษุ ยเ์ ราเกดิ มาก็ต้องทำ� บาป เม่ือทำ� แลว้ ก็ต้องไดร้ ับผลกรรมทเ่ี ราทำ� ไว้ พอ่ แมเ่ ราน้ัน
ท�ำกรรม เราเกิดมากท็ �ำกรรมไป อะไรทีส่ ุดของกรรม ไม่มีใครรู้ ได้ท�ำบาปแลว้ มตี ัวอยา่ งให้เห็น
มากมาย”
“เรากม็ าหดั เป็นพระกัน พ่อออก (อุบาสก) กเ็ ป็นพระ แมอ่ อก (อบุ าสกิ า) ก็มีใจเปน็ พระ
บ่ต้องโกนหวั บวชกเ็ ปน็ พระได้ เปน็ พระอยทู่ ี่ใจ จติ ใจมันเป็นพระ สรา้ งใหอ้ ดุ มสมบรู ณ์ ใหม้ นั เกิด
ใหม้ ันมขี ึ้น นนั่ แหละหลกั พทุ ธศาสนา มนั เปน็ อยา่ งนนั้ ”
“ใจที่เราท�ำบาป บาปกเ็ กิดจากหัวใจน่ีแหละ สมมุติถา้ เราท�ำนากไ็ ด้ขา้ วกิน เอาผวั เอาเมีย
กไ็ ดล้ กู สาวลกู ชายตามความปรารถนา ถา้ เราไม่เอาเมียเอาผัวก็ไม่ไดล้ ูกสาวลกู ชาย”
“หัวใจน้ันคืออะไร ? การที่เราเกดิ มาน้ี เรียกวา่ ผู้หญิงผู้ชายนี้ กเ็ ปน็ เพยี งแต่ขันธเ์ ท่าน้นั
สว่ นใจน้ันท�ำให้เปน็ พระอรหันตไ์ ด้ เหตนุ นั้ ธรรมอรหันต์ กค็ อื ใจ นนั่ แหละ”
“น้เี พราะพระพุทธศาสนา นแี้ หละพทุ ธใน
พทุ ธนอก ไดแ้ ก่ ปากของเรา ธมั โม สังโฆ ได้แก่ ปาก
ปากเปน็ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
ปากไมม่ ีพระพุทธ ไดแ้ ก่ ปากน้�ำบ่อ ปากนำ้� บวย ปากน้�ำคนโฑ ปากหม้อ ปากไห
ปากอยา่ งน้ีเป็นปากไมม่ ีพุทธ ปากมีพุทธ ไดแ้ ก่ ปากมนษุ ยท์ งั้ หลาย
หไู มม่ พี ทุ ธ ไดแ้ ก่ หูกระเชา้ หกู ระทะ หกู ระบงุ หมู พี ทุ ธ ไดแ้ ก่ หมู นุษย์
ตาไม่มีพุทธ ไดแ้ ก่ ตาไมส้ ัก ไม้ซาง ตาไม้ไผ่ ตาไมไ้ ร่ ตาไม้บง ตามีพุทธ ได้แก่ ตามนุษย์เรา
ทา่ นท้ังหลายทกุ คน”

286

“ศลี ทงั้ หลาย มีศลี ๕ เป็นเคา้ (ต้น) ศลี ๕ เปรยี บเหมอื นแผ่นดิน ศีล ๘ เหมอื นตน้ กล้วย
ต้นออ้ ย ศลี ๒๒๗ เหมือนตน้ ข้าว เปรยี บเหมือนนายเศรษฐี จะท�ำนาก็ดี จะปลูกตน้ กล้วยกด็ ี
ต้นออ้ ย ต้นข้าวท้ังหลายนป้ี ลกู ลงในแผน่ ดิน ไม่มีดิน กลว้ ย อ้อยท้งั หลายก็ตาย น่แี หละศลี ทง้ั หลาย
มีศลี ๕ เปน็ เคา้ เมอ่ื ไดศ้ ีล ๕ แล้ว ศลี ๘ ศลี ๑๐ ศีล ๒๒๗ กไ็ ด้เคา้ ศีล ๕ กเ็ ค้าขาของเราทกุ คน
เค้าแขนของเราทกุ คน ศีล ๕ ก็หวั ใจของเราน้ีแหละ”
“ฆา่ สตั ว์ กล็ ะแลว้ ยังแต่พระพทุ โธ ธมั โม สังโฆ คอื ใจของเราทกุ คน
ลักทรพั ย์ กล็ ะแล้ว ยงั แตพ่ ุทโธ ธมั โม สังโฆ คือ ใจของเราทุกคน
เสพกาม ก็ละแลว้ ยังแตพ่ ทุ โธ ธัมโม สังโฆ คือ ใจของเราทุกคน
มสุ าวาท ก็ละแล้ว ยังแต่พุทโธ ธมั โม สงั โฆ คอื ใจของเราทกุ คน
ดื่มสุรายาเมา ก็ละแลว้ ยังแตพ่ ุทโธ ธัมโม สงั โฆ คือ ใจของเราทกุ คน”
“โยมทงั้ หลายเกิดมาในพทุ ธศาสนา เป็นผ้ใู กลพ้ ระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ใกล้อย่างน้ัน
อยา่ งไรจงึ จะเปน็ “ผู้ใกล”้ น่งั ใกลก้ ไ็ มใ่ ช่ นอนใกล้กไ็ มใ่ ช่ และยนื ใกล้ก็ไม่ใช่ ทำ� อยา่ งไรจึงจะเปน็
ผทู้ ี่ใกล้ ? โยมผหู้ ญงิ ผูช้ ายทง้ั หลาย
ทานบารมี ต้ังอยใู่ นทาน การถวายของตามที่จัดหามาได้ มีมากกท็ านมาก มนี ้อยก็ทานนอ้ ย
ทานตามมีตามเกดิ
ศลี บารมี ตง้ั อยใู่ นศีล ๕ ศีล ๘
ธรรมบารมี ตั้งอยู่ในธรรมค�ำส่ังสอนของเราแล้ว ศาสนธรรมค�ำสั่งสอนของเราก็เจริญ
เต็มไปดว้ ยพระโสดา ไมเ่ ลือกผหู้ ญิงผู้ชาย เตม็ ไปดว้ ยพระสกิทาคา ไดท้ ั้งหญิงทั้งชาย เต็มไปดว้ ย
พระอนาคา เต็มไปด้วยพระอรหนั ต์ จิตวญิ ญาณเทา่ กนั ท้ังนนั้
แม้โยมท้งั หลาย ทานบารมีก็ไม่ท�ำเลย ศลี บารมี ศลี ๕ ศีล ๘ กไ็ ม่เอา ธรรมค�ำส่ังสอน
ของเราก็สญู หมด หายหมด ไม่เป็นประโยชน์แกม่ นุษย์”
“กายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐานัง รูปขนั ธ์ เป็นกายท่ีหนงึ่ เวทนาขันธ์ เปน็ กายทสี่ อง สญั ญาขนั ธ์
เปน็ กายทสี่ าม สงั ขารขนั ธ์ เป็นกายทสี่ ี่ วิญญาณขันธ์ เป็นกายท่ีห้า น้แี หละเรียกวา่ กายานุปสั สนา
สติปัฏฐานงั ”

287

“กายานปุ สั สนา เรามกี าย ไม่พากายไปฆ่าสตั ว์ ลักทรพั ย์ ประพฤติผดิ ในกาม กล่าวมุสาวาท
ดื่มสุรายาเมา กายกก็ ลายเปน็ พระพุทธเจา้ ใจก็เป็นพระพุทธเจา้ กายเราใจเราทกุ คนนีแ่ หละ”
“จติ ตานปุ สั สนา จิตไมฆ่ า่ สตั ว์ จิตก็เปน็ โสดาปัตติมรรค จติ ก็เป็นโสดาปัตติผล
จิตตานปุ ัสสนา จติ ไม่ลกั ทรพั ย์ จติ กเ็ ป็นพระสกทิ าคามมิ รรค จติ กเ็ ป็นพระสกทิ าคามิผล
จิตตานุปัสสนา จิตไมค่ ิดมีผัวเมยี ออกบวช จิตกเ็ ป็นพระอนาคามมิ รรค จิตกเ็ ป็นพระ
อนาคามิผล
จติ ตานุปัสสนา จิตไม่กลา่ วมุสาวาท จิตกเ็ ปน็ พระอรหัตตมรรค จติ กเ็ ปน็ พระอรหตั ตผล”
“จติ ไม่ฆ่าสตั ว์ จิตกเ็ ปน็ ศลี จิตก็เป็นฌาน จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อย่ทู ห่ี วั ใจของเราทุกคน
จิตไมล่ ักทรพั ย์ จิตก็เปน็ ศีล จติ กเ็ ป็นฌาน จิตกเ็ ป็นนพิ พาน อยู่ท่ีหัวใจของเราทกุ คน
จิตออกบวช จิตกเ็ ป็นศีล จติ ก็เป็นฌาน จิตกเ็ ปน็ นพิ พาน อยทู่ หี่ วั ใจของเราทุกคน
จิตไม่ข้ปี ด จติ ก็เป็นศีล จติ ก็เป็นฌาน จิตกเ็ ป็นนิพพาน อยูท่ ี่หัวใจของเราทุกคน”
“พรหมวิหาร อันเป็นฐานท่ีอยู่ของใจ ได้แก่
เมตตาพรหมวหิ าร แกเ่ พอ่ื นมนุษย์ เกิด แก่ เจบ็ ตาย อเวรา อยา่ ไดเ้ ป็นเวรแกม่ นษุ ย์
กรุณาเจโต กรุณาแก่เพ่ือนมนุษย์ เพ่ือนเกิดมาร่วมสุข ร่วมทุกข์ อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ
อย่าพยาบาทกนั อาฆาตผูกเวรกัน
มทุ ิตาเจโต มุทติ าจิตอ่อนหวาน ผเู้ กดิ ก่อนเป็นปู่ ยา่ ตา ยาย ผเู้ กดิ มาทีหลงั เปน็ ลูก หลาน
เหลน
อุเบกขาพรหมวิหาร กระท�ำจิตเปน็ กลาง วางจติ เฉยๆ”
“คนเราเวลาตาย ท�ำให้คนร้องไห้เศร้าใจ แตเ่ วลาเกดิ ท�ำให้คนหวั เราะชอบใจดีใจ คนที่
หัวเราะกห็ ลง คนท่ีร้องไหก้ ็หลง ไม่รู้อะไรเปน็ เหตุเปน็ ผล ความจรงิ “ตายและเกิด” กอ็ ันเดยี วกนั
นั่นเอง เพียงแต่วา่ เขาเปล่ียนกนั ท�ำหนา้ ทีเ่ ทา่ น้นั เอง”

288

“มีบางคนชอบพูดคะนองปากว่า ท�ำดีได้ดีมีท่ีไหน ท�ำชั่วได้ดีมีถมไป พูดอย่างน้ีผิด
พูดไม่รู้จริง เร่ืองท�ำดีได้ดี ท�ำช่ัวได้ชั่วน้ี เราต้องใจเย็นคอยดูผลตลอดชีวิต อย่าดูในระยะส้ันๆ
ต้องดไู ปเร่อื ยๆ ในระยะยาว อย่าใจร้อน”
“การท�ำดีเพือ่ จะใหด้ ีนั้น เราตอ้ งท�ำให้ถกู หลกั คอื ทำ� ให้ถกู ดี ทำ� ให้ถงึ ดี ท�ำให้พอดี อย่าท�ำ
เกินพอดี ทำ� ให้ถูกบุคคล ทำ� ใหถ้ ูกกาลเทศะ การต้องการผลดตี อบแทนนน้ั อย่าหวังผลแค่ดา้ นวตั ถุ
ท่าเดียว ตอ้ งหวังผลทางใจ คือ ความสบายใจ ความสุขใจด้วย”
“สัตว์เดรจั ฉานมันดกี ว่าคนตรงทมี่ ันไมม่ ีมายา ไม่หลอกลวงใคร มีครอู าจารย์ กค็ ือ คน
เป็นสตั ว์ที่นา่ รกั น่าสงสาร คนเราสโิ ง่ เป็นพุทธะไดแ้ ตห่ ลอกลวงตนเองวา่ เปน็ ไมไ่ ด้ รา่ งกายกม็ ใี ห้
พิจารณาวา่ เปน็ ของเนา่ เป็นของเหม็น แต่เราพจิ ารณาวา่ เปน็ ของหอมนา่ รกั โงไ่ หม คนเรา”
“ผทู้ สี่ งสยั ในกรรม หรือไมเ่ ชือ่ ว่าจะตอ้ งสง่ ผล คือ คนทลี่ มื ตนลืมตาย กลายเป็นคนมืด
คนบอด คนประเภททีว่ า่ นี้ ย่อมชว่ ยอะไรเขาไม่ไดเ้ ลย แม้จะมีก�ำเนิดสูงสง่ สกั ปานใด ไดร้ บั การ
ทะนุถนอมเลีย้ งดูมาอย่างวเิ ศษเพียงไรก็ตาม
หากเขาไม่มองเห็นคณุ ขา้ ว คุณน้�ำ คณุ บดิ ามารดาแลว้ นน้ั เขาเรียกว่า คนรกโลก และก็ไม่รู้
ดว้ ยวา่ ตนเองเป็นคนรกโลก และกไ็ มส่ นใจจะรู้ดว้ ย คิดเหน็ แตว่ า่ เพยี งเขาเกดิ มาและเจรญิ เติบโต
มาจนกระทง่ั ถึงปัจจุบัน ด้วยการดมื่ การกนิ อาหารบ�ำรงุ เลย้ี งรา่ งกายจนเตบิ ใหญ่ เปน็ เพราะมัน
จะตอ้ งเปน็ ไปในทำ� นองนัน้ มิไดค้ ิดไปว่าตนเองนั้นได้เกิดขึน้ เปน็ ตัวเปน็ ตน เพราะคุณของบดิ า
มารดาทงั้ สองปอ้ งกันรักษาใหช้ วี ติ และรา่ งกายแกต่ นมา”
“ขอใหท้ า่ นทง้ั หลายจงตงั้ อยู่ในพุทโธเถิด อายุ วณโฺ ณ สขุ ํ พลํ”

เทศนาธรรม
• เทศน์พระนิพพาน

นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ํ นิพฺพานปจจฺ โย โหตุ
ข้าพเจา้ (หลวงปตู่ ้อื ) ขออธิบายถงึ ผทู้ ่เี ข้าสพู่ ระนพิ พาน จากชาตกิ ันดารไม่ตอ้ งกลับมา
เกดิ อกี ซง่ึ เรยี กว่า วมิ ุตติสขุ อนั พ้นจากโลกนไ้ี ป
พระพุทธเจา้ บญั ญัตไิ ว้ให้แกพ่ วกเรา นกั ธรรม นักกรรมฐานผู้ตั้งใจ เอาพระนพิ พานใหร้ ูแ้ จง้
ขาดจากความสงสัย อปุ สมานุสสติ ใหร้ ะลกึ ถึงคุณพระนพิ พาน พระนิพพานกอ็ ยูท่ ใ่ี จของเรา

289

ใจไม่ฆ่าสตั ว์ ใจดี เปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจก็เปน็ นพิ พาน
ใจไมก่ ินเหล้า ไมก่ นิ สรุ า ใจก็เป็นศีล เป็นฌาน ใจกเ็ ป็นนพิ พาน
ใจไม่ตีฆอ้ ง ตกี ลอง ดดี สตี เี ป่า ใจก็เป็นศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน
ใจไม่ลูบไล้ชโลมทาของหอมอย่างชาวบา้ น ใจก็เปน็ ศีล เป็นฌาน ใจก็เปน็ นพิ พาน
ใจไม่เอนนอนมายังท่ีนอน ภายในยัดด้วยนุ่นและส�ำลีอันสูงใหญ่ เหมือนพระราชามหา–
กษัตริย์ ใจกเ็ ปน็ ศลี เป็นฌาน ใจก็เปน็ นพิ พาน
ชาตรปู รชต เงินรปู ิย หรือกระดาษเศษทน่ี ักปราชญเ์ ขาท�ำกัน ออกมาใชท้ กุ วันน้ี เปน็ ทรัพย์
ของพระราชา อเมริกาเป็นผู้ท�ำ ช่วยประเทศไทยให้เจริญ มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ ใจเราก็เป็นศีล
เปน็ ฌาน ใจก็เป็นนพิ พาน
น้ีแหละนกั ธรรม นกั กรรมฐาน วิปัสสนาจารยท์ ัง้ หลาย จงร้ดู ้วยใจเถิด พาลฆา่ สัตว์ไม่มี
แกใ่ จ พาลลกั ทรพั ย์ไม่มแี ก่ใจ พาลขป้ี ดไมม่ แี ก่ใจ พาลเสพกามไม่มีแก่ใจ พาลกินเหล้าไม่มีแก่ใจ
พาลกินข้าวเย็นไม่มีแก่ใจ พาลตีฆ้องตีกลองดีดสีตีเป่าไม่มีแก่ใจ ใจไม่พาลหาของหอมไม่มีแก่ใจ
ใจไม่พาลนอนบนทนี่ อนอนั ยัดด้วยนนุ่ และส�ำลอี นั สูงใหญไ่ ม่มแี ก่ใจ พาล ชาตรปู รชต รปู ิย เงินตรา
ไมม่ ีแกใ่ จ จงึ จะเป็นนพิ พาน
เตสํ วูปสโม สุโข รูปแตก รปู ตาย ตงั้ แต่หวั ถงึ ตนี ต้งั แต่ตนี ถึงหัว
ธาตดุ นิ คอื กระดกู กบั เน้ือชน้ิ ไม่ใชพ่ ระนพิ พาน
เตสํ ธาตนุ ้�ำ ๑๓ ไมใ่ ชพ่ ระนิพพาน เตสัง สญั ญา ลมหายใจเขา้ – ออก รูลม รูจมกู ลมเข้า
ลมออก จะหา้ มลมไว้ไมไ่ ด้ รูปาก รูคอ เปน็ ทอ่ี ยู่ของลม รูทวารหนกั ทวารเบาถา่ ยปสั สาวะ
ทวารหนักถ่ายอุจจาระออก จะหา้ มลมไว้ไม่ได้
เตสํ สังขารเบอื้ งตำ�่ ได้แก่ ขา จะห้ามขาไว้ไม่ใหแ้ ก่ไมไ่ ด้ สงั ขารท่ามกลาง ได้แก่ แขน
สังขารเบือ้ งบน ไดแ้ ก่ ศรี ษะหรอื หัว จะหา้ มไว้ไม่ให้แก่ไม่ได้
น่แี หละ นกั ธรรม นักกรรมฐาน จิตเป็นของไมต่ าย ตวั ตายนั้น คอื รปู เป็นตัวตาย ตวั ตาย
ตวั เวทนา ตัวตายตัวสัญญา ตัวตาย คอื ตวั สังขาร ตัวตายตวั วิญญาณ
ตวั ไมต่ าย ได้แก่ จิตทีเ่ ป็นนิพพาน

290

อสงั ขตธรรม ไดแ้ ก่ รปู ธรรม เวทนาธรรม ไมม่ ีแก่จติ
อสังขตธาตุ เวทนาธาตุ ไมม่ แี กจ่ ติ อสังขตปจั จยั
ใจพ้นจากรูป ใจพ้นจากเวทนา ใจไม่มีเวทนา ใจพน้ จากสญั ญา ใจไม่มีสัญญา ใจกพ็ น้ จาก
สัญญา ใจไม่มสี งั ขาร ใจกพ็ ้นจากสังขาร ใจไมม่ ีวิญญาณ ใจพน้ จากวิญญาณ ใจก็นพิ พานนนั่ แหละ
เมือ่ ใจเปน็ นพิ พานแลว้ ชาติ ความเกดิ ไม่มีแก่ใจ ชรา ความแกไ่ ม่มีแกใ่ จ พยาธิ ความเจ็บไข้
ตวั รอ้ น ไม่มแี ก่ใจ มรณะ ความตาย – ความเกิดไม่มแี กใ่ จ ใจก็เปน็ พระนิพพาน พ้นจากความเกิด
ความแก่ ความเจบ็ ความตาย ไม่ตอ้ งกลับมาเกิด ใหม้ ันทุกข์ มนั ยากล�ำบากในโลกนี้

• เทศน์เรื่องฌาน กับ นิพพาน

หน่ึง ผ้เู จรญิ ฌานใหร้ ูจ้ กั ฌาน ถ้าไมร่ จู้ กั ฌานจะน่งั เอาฌานจนเอวหัก กไ็ มไ่ ด้นิพพานตาม
ความปรารถนา
สอง ผู้เจริญฌานให้รจู้ กั ฌาน จงึ จะไดน้ พิ พาน เพราะฌานกบั นิพพานเป็นคูก่ ัน จะแยก
ออกจากกนั ไม่ได้ เหมือนเดือนกบั ดาว เดอื นอยทู่ ่ีไหนดาวอยทู่ น่ี ่ัน
ทวี่ า่ การไมร่ ู้จักฌาน ไมร่ ูจ้ กั นิพพาน เปน็ อาการของจิต เรียกวา่ โลกยี จิต
โลกตุ ตรจิต จิตจะรูฌ้ าน เพราะ
โสดาปตั ตมิ รรค โสดาปัตตผิ ล เป็นฌานท่ี ๑
พระสกิทาคามิมรรค พระสกทิ าคามผิ ล เปน็ ฌานท่ี ๒
พระอนาคามมิ รรค พระอนาคามผิ ล เป็นฌานที่ ๓
พระอรหตั ตมรรค พระอรหตั ตผล เปน็ ฌานท่ี ๔
ฌานเปน็ ทอี่ ยขู่ องพระพทุ ธเจา้ พระนพิ พาน ไดแ้ ก่ ใจของพระอรหนั ตเจา้ น้ันแล
ฌาน เหมือนเค้าตน้ ของผม นพิ พาน เหมือนเสน้ ผมแล จงึ จะสมกันนะ
ทห่ี น่ึง บริกรรมพทุ โธเปน็ ศีล พทุ โธเป็นฌาน พทุ โธเป็นนิพพาน

291

ท่สี อง อปุ จาระเปน็ ท่อี ย่ขู องจิต ธมั โมเปน็ ศลี ธมั โมเป็นฌาน ธมั โมกเ็ ปน็ นิพพาน
ที่สาม สงั โฆเปน็ ศลี สงั โฆกเ็ ปน็ ฌาน สงั โฆเป็นนพิ พาน
ที่สี่ อนโุ ลมญาณ จงดูลมหายใจเข้าออก โทสะ โมหะ ทฏิ ฐิ ใจขโ่ี มหะ ทฏิ ฐิก็หมดไป ใจขี่
โทสะ ใจเปน็ อรหนั ต์ ใจขีโ่ มหะ ใจเปน็ อรหนั ต์ ใจขที่ ิฏฐิ ใจนเ้ี ป็นอรหนั ต์
ทหี่ า้ โคตระ อยู่ในรูปไม่ติดรูป อยู่ในเวทนาไมต่ ิดเวทนา อยใู่ นสญั ญาไม่ตดิ สัญญา อย่ใู น
สังขารไมต่ ิดสงั ขาร อยู่ในวิญญาณไมต่ ิดกบั วญิ ญาณ ใจเรากเ็ ปน็ พระนิพพาน
ที่หก โสดาปัตติมรรคก็ใจ โสดาปัตตผิ ลก็ใจ สกทิ าคามมิ รรคก็ใจ สกทิ าคามผิ ลก็ใจ อนาคามิ
มรรคกใ็ จ อนาคามิผลก็ใจ อรหตั ตมรรคกใ็ จ อรหตั ตผลกใ็ จ
สอปุ าทิเสสนพิ พาน กเิ ลสขาดจากสนั ดานหมดไป โมหะกิเลสหมดไป ทิฏฐิกเิ ลสหมดไป
ยังเหลอื แต่ใจสะอาดปราศจากกเิ ลส ขาดจากสันดานหมด พระจนั ทร์เดนิ อยู่บนท้องฟา้ นภากาศ
ไมม่ ีอะไรจะท�ำลายได้
วาโยธาตุ แปลวา่ ลม จากทศิ ทงั้ ๔ จะทำ� ลายพระจันทรไ์ ม่ได้ ลมก็เปน็ ลม พระจนั ทร์
ไม่แตกไมด่ บั พระจันทร์กอ็ ยู่อย่างนนั้ แหละ
อาโปธาตุ แปลว่า น้�ำ ฝนตกลงมาเม็ดเล็กเม็ดน้อยใหญ่ จะท�ำลายพระจันทร์ไม่ได้
เปรียบเหมอื นท่เี ราเหน็ กนั อยู่ทกุ วันน้ี ดังเช่น เปรียบกันได้กับใบบอนนนั้ นำ้� ช�ำแรกแทรกไปใน
ใบบอนย่อมไม่ได้ ถึงฝนจะตกลงมาถูกต้องใบบอนสักเพียงไร น้�ำฝนก็มิอาจแทรกซึมเข้าไปใน
ใบบอนไดฉ้ นั นั้น เพราะใบบอนไมด่ ดู เอานำ�้ เขา้ ไปเลย
เหมือนดังกบั พระจันทร์ พระจนั ทร์เดินไปเมืองม่าน (พม่า) พวกมา่ นทง้ั หลาย ทงั้ นอ้ ยและ
ใหญพ่ ากนั กราบไหวพ้ ระจนั ทร์ พระจันทร์ก็เฉยๆ ไมร่ บั รองลิ้นของพม่ามาเปน็ สรณะแตอ่ ย่างใด
ไปเมืองมอญ พระจันทร์ก็เฉยเสีย พวกมอญจะติฉินนินทาด่าว่าส้ินทั้งบ้านเมืองมอญ
พระจนั ทร์ก็เฉยเสยี
น่ีแหละนักธรรม นกั กรรมฐานเจ้าทั้งหลาย จงึ เรียกได้วา่ จบพรหมจรรย์ คอื ๑. ไมฆ่ ่าสัตว์
เรยี กพุทธพรหมจรรย์ ๒. ไมล่ กั ทรัพย์ พุทธพรหมจรรย์ ๓. ไม่เสพกาม เรียกวา่ พทุ ธพรหมจรรย์
๔. ไม่ขี้ปด คือ กลา่ วมสุ าวาท เรียกว่า พทุ ธพรหมจรรย์ ๕. ไม่กินเหล้า – สุรา เรียกว่า
พุทธพรหมจรรย์

292

เปรียบเหมือนดวงพระจันทร์น่ันแหละ พระจันทร์ไม่ฆ่าสัตว์ พระจันทร์ไม่ลักทรัพย์
พระจนั ทรไ์ มเ่ สพกาม พระจนั ทร์ไม่กลา่ วมสุ าวาท พระจนั ทรไ์ ม่ดม่ื สรุ า เรยี กวา่ จบพรหมจรรย์
เสยี งจันทร์ กบั จรรย์ ออกเสียงเหมือนกนั จงึ เอาเปรยี บเทียบเชน่ น้ี

• เรื่องพระโมคคัลลาน์หลงทิศ

พระโมคคัลลาน์ได้พุทโธจริง มีหญิงโสเภณี เป็นภาษาไทยว่า อีดอกทอง “ขอนิมนต์
พระผเู้ ป็นเจา้ มาเป็นผวั ของขา้ พเจา้ ”
พระโมคคัลลาน์วา่ “คุณนาย อาตมาไดพ้ ทุ โธแลว้ ได้ธัมโม สงั โฆแล้ว อาตมาถอื เป็นโยม
ผหู้ ญิงเสยี แลว้ ปรุ โิ ส ชายในเมอื งพาราณสีหลายรอ้ ยล้าน บา่ วกม็ ี พวกเฮียนก็มี ไปหาเขาพูน่ (โนน่ )
เถอะ”
มนั ก็ว่า “บา่ วเปน็ ผวั ขา้ พอ่ เฮียนเพ่งิ เปน็ ผวั ข้า ข้าอยากขอถวายกามแก่โมคคลั ลาน”์
ทา่ นวา่ “เอ้อ ! กูไดพ้ ทุ โธแล้วอนี าย" มนั ก็สอพลออยู่น่ัน
ปฬุ วุ กํ “อหี นอนเจาะฮม๋ี งึ พนู่ นะ่ ” พอดา่ ปฬุ วุ กํ นน่ั หนอนออกทางตา ออกทางหเู บดิ๊ (หมด)
ตาก็ออก หนอนเจาะหู หนอนเจาะดัง (จมูก) ก็เจาะฮู (รู) ฮ๋ีฮูก้นหนอนเจาะ เจาะหมด
เลอื ดไหลออก ไฟนรกไหม้ พรบึ ๆๆ (ฮ๋ี อวยั วะเพศหญงิ หลวงปูแ่ สดงยอดธรรม)
“โอ๊ย ! ผิดแลว้ พระผเู้ ป็นเจา้ ขอเมตตาข้า โปรดข้า”
“เออ” พูดธรรมดา “กไู ปถามพระพทุ ธเจา้ โคตมะเสยี ก่อน ถ้าพระพทุ ธเจา้ โคตมะโปรดได้
กูจะมา โปรดไมไ่ ด้ กกู ไ็ ม่มา” น่นั
ว่าแล้วกไ็ ปถงึ พระพทุ ธเจ้า
“ภนฺเต ภควา ข้าแด่พระพุทธเจ้า อีโสเภณีน่ะ มันมานิมนต์หลายอย่างหลายประการ
ห้ามบ่ (ไม)่ ฟัง ข้าพเจา้ ลั่นปาก ปุฬวุ กํ หนอนเจาะตา เจาะหู ไฟไหม้ จักเมตตาหรือโปรดเถิด ?”
“ไมไ่ ดโ้ มคคลั ลาน์ ไมไ่ ด้หรอก แผน่ ดนิ หนาสองแสนส่หี มนื่ โยชน์ ชนะน้�ำหนา บ่ (ไม่) มที ่ีสุด
บาปอีนนั่ ยง่ิ กว่าน้นั จักกะวาเฬสุ จักรวาลหนง่ึ มพี ระอาทิตยก์ ็มาก สูบ้ าปอีนนั่ บ่ (ไม)่ ได”้
คอื พระองค์น้นี ะกามไมม่ ี นัน่ “ภนเฺ ต ภควา ขา้ แดพ่ ระพทุ ธเจา้ มนษุ ยเ์ กดิ จากกาม ไมม่ กี าม
มนั ไมเ่ กดิ ท�ำไมกามเป็นบาป ?”

293

“โมคคัลลาน์ กามเปน็ แก้ว เอารับศลี ๕ แลว้ ไดเ้ ป็นพระอรหนั ตน์ ะ อีนมี่ นั จองหองน่ะ
ปญั จักขันธา ขนั ธ์ ๕ มันน่ะ เปน็ สมบัติคุณตา คณุ ยาย มันไปขายแลกกะปิ อดี อกทอง อีจองหอง
โผด (โปรด) ไมไ่ ด้” นนั่
“ถ้าอยา่ งนน้ั ขา้ พเจา้ ขอไปดจู กั รวาล”
“เออ ! โมคคลั ลาน์ไปเถอะ เอาบาตรใสเ่ มด็ งา ๓ บาตรไปเถอะ ถ้าไปถึงดวงพระอาทติ ย์
เอาเมด็ งาทง้ิ ใส”่
ว่าแล้วกเ็ อาบาตรลงั กา ๓ แก่น ใส่เมด็ งา เตโชแตก ป้งึ ! พ่นู (โนน่ ) ไปปบั๊ พระอาทิตยอ์ อก
บ่ (ไม่) ได้พู่นน่ะ ม้างเขา (แหวกเขา) ท่บี งั พระอาทิตยพ์ ูน่ เตโชกสณิ งั แตกป้งึ ! ป๊บั ... บอกจอดป๊ับ
ถา้ บ่ (ไม่) จอดนะ ลมท้งั หมดตหี มดโลกธาตุ นนั่ ๆ มันมเี ขาบงั นะ่ อนั นล้ี ่ะ ท่านกจ็ อดซะ บใ่ ห้มา
ปบ๊ั ออกแลว้ จอดปั๊บ คาถาโมคคลั ลานจ์ อดดู จอดยงั จนทุกวนั น้ี นี่ฤทธ์พิ ระอริยเจ้า นน่ั
ไปเห็นเขมรต๋ัว (โกหก) นั่น ตั๋วอยู่วัดศรีมหาธาตุ มันมาหา เอาเหล็ก ๘ นี่แทงเข้าตา
แทงเข้าตา ตบขะลาด (พรวดพราด) ออกหู พู่น กลนื เหล็กตะปเู ข้าท้อง เบ่งออกทางก้นพนู่ น่ีมันใช้
คาถาโมคคลั ลาน์ ไฟนี่ น่นั ดบั พูน่ นะ่ น่ัน คาถาเรียนมาจากครูบา คาถาโมคคลั ลานป์ ราบโลก
พู่นนะ่ นัน่ อย่างใด ปืนนี่ตกี ้นขี้ (ตตี ูด) ใส่ยิงบ่ออกพ่นู นะ่ เขมรต๋ัวนกี้ ะดาย (ก็ด)ี นน่ั
หลานของตาเรียนเอาคนหน่ึง เอาเหล็กตะปู ๕ อนั ใสด่ ัง (จมกู ) ยดั เข้าน่กี ็ออกหมด บ่มี
ตบยอ้ นไหลออกพูน่ น่ะ คาถาน้ี อันนีแ้ หละคาถาครูบาโมคคัลลาน์
ม้างออกแล้ว เห็นดวงพระอาทิตย์ เอาเม็ดงาป้อนใส่ๆ เม็ดงา ๓ บาตร ไม่พอกับ
ดวงพระอาทติ ย์ กลบั มาหูเกา่ (ทีเ่ กา่ ) ป้างเขา้ จอดปับ๊ พนู่
“โมคคัลลาน”์ (พระพทุ ธเจา้ )
“ครับ” (พระโมคคลั ลาน)์
“เธอเอาเม็ดงาเท่าไร ?” (พระพุทธเจ้า)
“๓ บาตร” (พระโมคคัลลาน์)
“พอไหม ?” (พระพทุ ธเจา้ )
“ไม่พอครับ” น่ัน

294

ส่วนพระสารีบุตร ตาเห็น โมคคัลลาน์บม่ ตี า แต่เอาตาเน้อื ไปดูเอา น่ี
“ถา้ อยา่ งน้ัน ข้าพเจา้ ขอขนึ้ ไปดอู ากาศ ไปดูสวรรค์ ๖”
“เอา้ ! ไปได้ เมือ่ เธอขน้ึ ไปแล้วนะ กม้ หนา้ ลงมา ถ้าเหน็ แผน่ ดนิ เท่าไร่นา แสงพระอาทิตย์
เท่ากบั แสงแมงห่ิงห้อย ให้เธอลงมานะ อยา่ ขนึ้ ไปนะ” เพนิ่ (ทา่ น) วา่
พับ้ ! ขน้ึ ไป ปานปิน้ (พลกิ ) ฝ่ามอื เขา้ ฌานท่ี ๑ ดูลงมาแผ่นดินเทา่ ไร่นา แสงพระอาทิตย์
เทา่ แสงหิ่งห้อย
ไปอีกทสี่ อง แผน่ ดินเท่าใบบวั แสงพระอาทติ ย์เทา่ พยาธิ
ไปอกี ทีส่ าม แผน่ ดินเทา่ ใบผักแว่น แสงพระอาทิตย์นอ้ ยลง ต๊บึ ! มืดตบ๊ึ เหาะขึ้นอากาศ
มา้ งออกพนู่ เปน็ ปุพพวิเทหทวปี พนู่ มา้ งออกข้างบน นี่
ลมทโ่ี มคคัลลาน์ไปชนลงมาทุกวันนี้ นน่ั ทางภาษาไทยเรยี กว่าลมไตฝ้ ุน่ หรอื ลมเพชรหึง
ภาษาภาคอีสาน ลมหวั ด้วน นัน่ ภาษาเชยี งใหม่ ลมพดั ตาไก่ น่นั มันลงมานะลมนั่น เปน็ ก้อนลงมา
อนั นี้ แตโ่ มคคัลลานช์ นแตกพูน้ (ครั้งโนน้ )
ปุ๊บ ! ออกถึง ปุพพวิเทหทวีป มีพระเจ้าองค์หน่ึง โคตมะอันเดียวกัน แต่ทวีปนั่นน่ะ
อายุ ๑,๐๐๐ ปีนะจงึ ตาย ควิ้ กลอ้ นกลม ตาอยา่ งเดือนได้ ๕ ค่�ำ มสี ใี สวรรณะ ท่านเทศนโ์ ปรด
บรษิ ทั อยู่ โมคคลั ลานล์ งไปอธิษฐานเป็นแมงหิ่งหอ้ ย ดบั
วา่ “ภิกขเว ดกู อ่ นภิกขุ แมงหิ่งหอ้ ยทม่ี านอ่ี ะไร ?”
“โมคคลั ลาน์ลกู ศษิ ย์โคตมะหลงทวปี (ทิศ)” นน่ั
ก็หยุดเข้าไปหา “ภนฺเต ภควา ขา้ แด่พุทธเจา้ ขอบอกชมพทู วปี ”
“นั่นสิ กใ็ ห้ความโคตมะ”
“ครับๆๆ โคตมะวา่ ดแู ผน่ ดินเทา่ ไรน่ าให้ลงมา ดอู ีกเท่าใบบวั เท่าใบบัวบม่ า ลมพัดครับ”
นี่ จ่งั วา่ (จงึ ว่า) พระโมคคลั ลานห์ ลงทวปี วา่ แล้วก็ “ขอพระพทุ ธเจา้ บอกหนทางข้าพเจา้ ”
“เอ้า ! ไปทิศบูรพา ตะวนั ออก” แผน่ ดินก็ใหญก่ วา่ ชมพูทวปี เฮา (เรา) พระอาทติ ยก์ ็ใหญ่
พระจนั ทร์กใ็ หญ่ คนก็ใหญ่ ไม่มขี ีท้ ูด ตาบอด หูหนวก โจรบ่มี ขเ้ี หลา้ ไม่มี ขี้ลกั ไม่มี น่ัน น่ีละ่

295

แมห่ ญงิ กเ็ ปน็ นางเทวดา บิดามารดาเอาให้ (เลยี้ งให้) ผชู้ ายเหมอื นกนั นะ่ ถา้ เมยี ตายแล้วไมเ่ อาเมยี
ต่อไป พูน่ จงั่ ว่า
รูปารมมฺ ณํ วา ทิพย์หมด พระพุทธเจ้าก็ทพิ ย์ อายยุ ืนนะ่ ๑,๐๐๐ ปี โคตมะเรา ๘๐ ปี น่ัน
มนั ผิดหรอื ? พุทธกบั พุทธฮ่ัน (นั่น) ละ่ มนั เป็นอย่างน้ีละ่
“เมอ่ื หมดแผน่ ดินเรา (เม่ือเหาะพน้ ปพุ พวเิ ทหทวีป) แล้วนะ ตถาคตจะอธษิ ฐานพระรศั มี
ไปในอากาศ อย่างสายรุ้งไปในอากาศ จงตามเถอะ โคตมะจะเปลง่ พระรัศมมี ารบั ”
ลาปบ๊ึ ! มาแล้ว หมดแผ่นดินน้ันแล้ว พระรัศมตี าม หมดพระรศั มพี ระพุทธเจา้ องคน์ น้ั
โคตมะเฮา (เรา) นสี่ ่องไป โอ้ ! พระรศั มีกผ็ ดิ กัน นน่ั พระรัศมพี ระพุทธเจา้ องค์นน้ั อย่างสีค�ำ (ทอง)
น่นั พระรศั มโี คตมะสขี าว สีเหลือง น่ันน่ะอย่างสีคำ�
พอได้แล้วก็เหาะลงมา ก็ลงมาชมพูทวีปของเรา ฟากสมุทรฟากพู้น ป่าหิมพานต์ นั่น
ยงั บไ่ ดข้ า้ มมา น่ีละ่ ไปถึงป่าหมิ พานตแ์ ล้วยังเท่ยี วดูในปา่ หมิ พานต์ ไปเห็นเปรตตัวหน่ึง
“อยาก ! อยาก ! อยาก !” (เปรต)
“มงึ อยากอะไร ?” (พระโมคคัลลาน์)
“ข้าพเจ้าอยากน้�ำ” (เปรต)
“ทำ� ไมมึงบไ่ ด้กนิ ?” (พระโมคคัลลาน์)
“ขา ๕๐๐ แขนคา (ติด) ขา ฝนตกมาไม่เหน็ ฝน ไมเ่ หน็ ฝนจั๊กที (สกั ที) ครับ” (เปรต)
“มงึ เป็นเปรตคอื อะไร ?” (พระโมคคัลลาน์)
“ข้าพเจ้าเปน็ นายพรานเน้ือ พนู่ น่ะ พระพุทธเจ้ากกสุ นั โธเกิดข้ึนประกาศศาสนา ข้าไป
คัดคา้ นธรรมะพระเจ้ากกสุ นั โธ”
ฆ่าสตั วเ์ ปน็ บาป “ไม่เปน็ บาปมงึ เบ่อื ตายละ่ พู่น หมหู ลายลา้ น ฟานหลายล้าน (ฟาน คอื
เนือ้ ชนดิ หน่ึง ตัวคล้ายกวาง แต่มขี นาดเลก็ ขนาดสุนัข บางทีเรยี ก อีเก้ง) บ่เป็นบาป เปน็ บาป
ก็เบ่อื ตาย” นนั่
ลกั ทรัพย์เปน็ บาป “โว้ย ! ขา้ น่ีลกั หมด หมากพริก หมากเขือ หอมเหมิ ลักหมด บ่เปน็ บาป
เป็นบาปกต็ าย” น่ัน

296

เสพกามมนั เปน็ บาป “ไว้ ยกไว้แตแ่ ม่ พนู่ พเ่ี อ้อื ยกบั แม่ นอกจากนั้นเมยี ใครกต็ ามหนา
มนั ต๋ัว (โกหก) สวรรคส์ ิ นัน่ เป็นบาปอะไร”
ขี้ปดเปน็ บาป “เฮย้ ! ไม่เป็นบาป ปดดกี ไ็ ดเ้ งนิ ไดท้ อง”
กนิ เหล้าเป็นบาป “เอย้ สุราเมรยั น่ะ กนิ แล้วหายใจมนั กแ็ อ่ว (ม่วน) ไมม่ บี าป บาปเมาตาย
ซำ� บาย (สบาย) พนู่ กินแลว้ กไ็ ชโยๆ” พนู่
“ออ๋ ! ธรรมนายกระสุน ธรรมก่�ำธรรมด�ำ (เศรา้ หมอง) ธรรมของเรา ธรรมเหลอื งธรรมขาว
จะเอาก็ได้ ตถาคตบไ่ ด้บังคบั เด้ บัญญัตไิ ว้ ผใู้ ดเอาได้ก็เอา เอาบไ่ ดก้ ็แล้ว ปาณาตปิ าตาเวรมณฯี
ผูใ้ ดเว้นบ่ฆ่ากด็ ี บล่ กั ทรพั ยก์ ็ดี บ่เป็นหยัง (อะไร) นี่ บ่ไดบ้ งั คับ บญั ญตั ิ เวรมณฯี ไม่ฆา่ สตั ว์ ความสขุ
นั้นละ่ คือความสขุ ”
“ผมแค้นใจ จะเอาปืนไปยิงพระเจ้ากกุสันโธ ถ้าปืนบ่ออก จะเอา (ถ้าปืนยิงไม่ออก
จะยอมรบั นบั ถอื ) ยกปนื ไปบ่เห็น แผน่ ดินยะ (แยก) เอาข้าพเจา้ ไปอยูส่ ุญญกปั (กปั ทป่ี ราศจาก
พระสมั มาสัมพุทธเจ้า พระปจั เจกพทุ ธเจ้า และพระเจา้ จักรพรรด)ิ น่นั แบกปืนไปเหน่ือยๆ วางปืน
เหล็กแดงเก้ียว (พัน) ข้าพเจ้า นอนเหล็กแดง ไฟไหม้หู ไหม้ตา ไหม้อยู่ฮ่ันล่ะ หงายหน้าขึ้น
ฮอ้ ง (รอ้ ง) รอ้ นๆๆๆๆๆ ร้อนอยูท่ ้งั กลางวันกลางคืน ลบั กันเดยี วพ้นออกมาผิ (นี)่ ออกมาได้เหน็
แสงพระอาทติ ย์พระจันทร์ แตล่ มไมถ่ งึ นั่น ลมพัดบถ่ งึ ฮู้จกั ว่าแสงพระอาทิตย์ ฝนตกไม่ม”ี นั่น
“เอ้า ! กจู ะเมตตามึง” ท่านไปเอาน้�ำมาให้เปรตกนิ อธษิ ฐานฝ่ามอื ๕๐๐ โยชน์ ฝา่ เท้า
เอาน้�ำมหาสมุทรมาใหก้ ินถงึ ๓ ที น�ำ้ มหาสมุทรแหง้ ไป
วา่ “เปรต กเู อาน้�ำมาใหถ้ ึงไหม ?”
“ถึงปลายลิ้นพระผ้เู ป็นเจา้ พอชุ่มปลายล้นิ นอ้ ยหนึ่ง” น่นั มนั เปน็ อย่างน้ีล่ะ
“เอ้า ! กูจะเอาพุทโธให้ พุทโธ... เสียงน้หี ยัง ฮหู้ อื (รหู้ รอื ) ?”
“ไมร่ คู้ รบั ”
“ธมั โม... รู้หอื บ่รู้ ?”
“สังโฆ...”

297

อนั้ ตู้หยู งิ่ กว่าเสยี งฟา้ เลยบ่รู้ น่นั มันหูตนั อนั นีว้ ่า พน้ ๓ ที พทุ โธบร่ จู้ ัก ธมั โมมนั ตนั สงั โฆ
บ่รูจ้ ัก “เออ อย่างนน้ั พระโมคคัลลาน์ เม่ือพระผู้เป็นเจา้ ไปถึงพระโคตมะแล้ว จงมาเมตตาข้า”
“เออดีแลว้ ” แล้วโมคคัลลาน์ก็บอกว่า “พระเจา้ กกุสนั โธนิพพานไปแลว้ แสนปี โกนาคม
มาเกดิ สองแสนปี กัสสปะ... ๔ พุทธนั ดร ๔ พระพทุ ธเจา้ แลว้ บ่แม่นพระเจา้ กกสุ ันโธ”
“เออ ถ้าอยา่ งน้ันพระผู้เปน็ เจา้ ไปถงึ โคตมะ จงมาเมตตาขา้ ” เสดจ็ ออก ไฟลกุ ตั๊ม ! ตมั๊ !
“อยาก ! อยาก ! อยาก ! อยาก ! อยากนำ้� ” ปนิ้ ไปปนิ้ มา (กลิง้ ไปมา)

• เทศน์ไปธุดงค์กราบไหว้รอยพระพุทธบาทต่างๆ

หลวงปตู่ ้ือ อจลธมฺโม ท่านไดเ้ ดนิ ธุดงค์ไปภาวนาและกราบไหว้รอยพระพุทธบาทตาม
สถานทส่ี �ำคญั ต่างๆ ทางภาคอีสาน ภาคเหนอื และฝงั่ ลาว มากมายหลายตอ่ หลายแห่ง โดยหลวงปู่
ไดแ้ สดงธรรมกล่าวถึงการกราบไหว้รอยพระบาทของทา่ น ไว้ดงั น ้ี
“นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธัสสะ
ข้าพเจา้ ทง้ั หลาย ชาวไทยเรียกว่า ชาวโยนก แตเ่ ก่าเรียกไทยหนั ชาวไทยหนั นี้ ไดร้ บั รอย
พุทธบาทแตเ่ จ้าป่เู จ้าตามา
สมัยพระพุทธเจ้าเสด็จมาจังหวัดจอมทอง พระเจ้าอาฬวี มผี ยี กั ษ์เบยี ดเบียน กินมนุษย์
เหมิด (หมด) ครบหมน่ื คน เรียกว่า อาฬวกยกั ษ์ ภาษาเงีย้ ววา่ กนิ หัว ภาษาไทยลาว เรียกว่า
ฆ่ากนิ คน ภาษามคธ อาฬวกยกั ษ ์ สมยั พระเจ้าอาฬวี
๒๔ พรรษา พระศาสดาเสด็จมา ผขู้ ้าทัง้ หลาย เหมดิ ในสกุลไทย ไทยเหนอื ไทยใต้
ตลอดสิงคโปร ์ ขา้ พเจา้ ขอไหว้รอยพระพทุ ธเจา้ แต่พระพุทธเจา้ นพิ พานมา ๒,๔๐๐ กวา่ แลว้
พุทธัง ธัมมัง สังฆงั ขา้ พเจา้ ถือพุทธ มพี ระสงฆ์ สมเดจ็ สังฆราช ตลอดมา ถึงคุณตา คุณยาย
ถงึ ปัจจบุ นั นี้ อะหงั วนั ทามิ สพั พะทา

298

พระพทุ ธเจ้าไดเ้ ป็นพระอรหนั ต์ จกั ขุญาณ ตาเปน็ ทิพย์ ดูเหน็ หมด มนุษย์ สวา่ งรบั พุทธได้
พระองค์ถึงเสด็จมาลพบุรี แม่เจ้านางศรีพระจันทร์เป็นเจ้าเมือง มาเหยียบรอยพุทธบาทไว้
ใสช่ อ่ื วา่ พระบาทลพบรุ ี นเ้ี ป็นรอยท่ีหน่ึง
ที่สอง เมืองตกั ศิลา ๔ รอย จงั หวดั ตาก อ�ำเภอสามเงา แมน่ ำ�้ วงั หลวงตาไปภาวนาอยู่นัน่
หลายวนั ไดก้ ราบไดไ้ หว ้
สาม พระบาทเขยี้ วแก้ว ตกอยใู่ นจงั หวดั เชยี งใหม่ หลวงตาก็ไดไ้ ปภาวนาอยู่
พระบาทเมืองพระโค ฟากน�้ำโขงฟากโน้น สมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นพระเจ้า
แผน่ ดนิ ฝร่งั เศสมอี ทิ ธพิ ล ใช้แกว (เวยี ดนาม) มารบ ไดไ้ ปต่อสกู้ ัน พวกฝรง่ั เศสสู้อำ� นาจไทยไม่ได้
หลวงตาก็ไดไ้ ปแลว้
พระพุทธบาทป่าเมย่ี ง ๔ รอย หลวงตาก็ได้ไปแล้ว
พระบาทบวั บก จงั หวดั อุดรฯ หลวงตาไดไ้ ปท�ำความเพียรอยู่นน่ั หลายพรรษา
พระบาทเวยี งจันทน์ โพนสันโพนแทน หลวงตาก็ไป
พระบาทคอแก้ง จงั หวดั หนองคาย หลวงตาก็ไป
พระบาทควายเงิน จงั หวัดเลย อ�ำเภอเชียงคาน หลวงตาก็ไป
พระบาทจอมส ี เมืองหลวงพระบาง หลวงตาก็ไป
พระบาทโกสัมพ ี ไปอยูน่ ่ัน ๒ เดือน นีล่ ่ะ รอยพทุ ธบาท
อีก อ�ำเภอสันป่าตอง พระบาท... (ย้ังหวีด) เม่ือขี้ออกน้ัน ขี้เห้ีย (ข้ีไหล) ใส่ผ้า
พระมหาอานนทเ์ อาผ้าไปตาก เรยี ก พระบาทตากผา้ เมอ่ื ฉนั หมแู ล้ว
น่ีล่ะ หลกั พทุ ธบาท เป็นมาอยา่ งนี้ หมายให้รู้
แตพ่ ระบาทตักศิลา หลวงตาไปท�ำความเพียรอยู่ ไดน้ ิมิต มีพระอริยะ ๒ องค ์ เป็น
พระโบราณ รัดอกมีลูกบักนัด (สบั ปะรด) ลงมาใต้ดาว สอ่ งแสงมา
เลยกราบถามทา่ นวา่ “รอยพุทธบาทนเ่ี ปน็ มาอยา่ งไร ?”
ท่านกบ็ อกว่า “รอยพระพทุ ธเจ้า ขา้ พเจา้ เป็นพระอรหนั ต”์

299

น่ัน แต่เปลี่ยนแปลงเป็นพระอนาคาให้เป็นรูปได้ ถ้าไม่เปล่ียนแปลงไม่เห็น ออกจาก
โลกุตตระมาแล้ว มาอาศัยโลกียะ แสดงให้เป็นรูปนิมิต อย่างข้าพเจ้าเป็นพระ ช่ือของข้า
“พระมหาชน่ื ” องคน์ ัน้ หรอื ครับ
อันน่ี ความจริงของข้าพเจา้ ไดเ้ หน็ แลว้ ได้กราบแล้ว อยา่ ว่าข้าพเจ้ากลา่ วอุตรมิ นสุ ธรรม
ผ้ใู ดวา่ กว็ า่ เถอะ เป็นหนา้ ท่ีผู้นัน้ นี่ธรรมที่ขา้ พเจา้ ไปภาวนาอยู่ ไดก้ ราบไหว้ เขา้ นพิ พานก้ันไมม่ สี ญู
ออกจากลมแลว้ จติ เปน็ อรหันตอ์ ยา่ งดาว ยงั อาศยั สวรรค์ ๖ เป็นรูปอยู่ พรหม ๑๖ เปน็ รปู อยู่
ถ้าออกพรหมแลว้ เรยี กว่า นิพพาน ไมม่ เี กดิ แก่ เจ็บ ตาย อย่างดาวครบั ดาวไม่เกดิ ไม่แก่ ไมต่ าย
นล่ี ่ะ จึงถวายไว้แกส่ มเด็จสังฆราช คุณตา – คุณยายผถู้ ือศาสนา พระอรหนั ตใ์ นเมืองไทย
ของเรา เอหิภิกข ุ ๕๐๐ พระองค์...”

• เร่ืองพระอรหันต์โปรดพ่อ แม่ พี่สาวที่ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์

ในคมั ภีรพ์ หปุ ุตติกา พราหมณีวา มพี ราหมณผ์ ู้หน่ึง อยา่ งอุบาสกทุกวนั นลี้ ่ะ มลี กู ๓ คน
ลูกเค้า (ลกู คนโต) เปน็ ผู้หญิง ลูกที่ ๒ ก็เป็นผชู้ าย ลกู ปลาย ลกู หล้า (ลกู คนสุดท้อง) เป็นผ้ชู าย
ลกู หล้านน้ั มาบวชเป็นภกิ ขใุ นพุทธศาสนา เทศนโ์ ปรดโยมผชู้ าย (พ่อ) ก็มาบ่ (ไม่) ได้ เทศนโ์ ปรด
โยมผ้หู ญงิ (แม)่ กม็ าบ่ได้ เทศนโ์ ปรดพ่ีสาวก็มาบ่ได้ พ่อี ้ายก็มาบไ่ ด้
นีล่ ะ่ ผพู้ ่อกเ็ มา (มวั ) แตเ่ ข้าในนาคา้ ขาย ผูแ้ มก่ ็เมาแตเ่ ข้าในนาคา้ ขาย พส่ี าวใหญ่ก็เมาแต่
เข้า พี่ชายใหญก่ ็เมาแต่เข้า โบราณจึงกลา่ วไว้ ผ้าขาวดาวบสตกอะไร ? ตกกะโป๋ (กะลา) กบั แก้ๆ
(ตุก๊ แก) อันนล้ี ่ะ...
พระมหาเถระวา่ “โยม ไปให้ทาน ไปรักษาศีล” จะมาให้ทานบไ่ ด้ นานๆ จะมาใหท้ าน
มนั เป็นอย่างนีล้ ะ่ แต่ผ้าขาวดาวบส ผา้ ขาวนน่ั ผูน้ ุง่ ขาวหมุ่ ขาว รักษาศีล ๕ ศลี ๘ อนั นี้ก็ขาว
ดาวบส ๘ คำ่� ๑๕ คำ่� พร้อมบุตรลกู บุตรหลาน เขา้ วดั ฟังธรรม จ�ำศีล อันนด้ี าวบส ตกกบั แก้
วัดบ่เข้า กบั แกๆ้ สาระภู กับแก้ สาระภู จติ กลับกลอก เขา้ วัดก็บไ่ ด้ รับศลี กบ็ ไ่ ด้
เตสํ เตส พอ่ มหาเถระเจา้ ก็ตาย เตสํ เตส แมม่ หาเถระก็ตาย เตสํ เตส พส่ี าวพระมหาเถระ
กต็ าย แตพ่ ่ชี ายยงั มอี ยู่
พ่อมหาเถระเจ้าตายไป ปุคคฺ โล ไปเกิดเปน็ หมู ทำ� ไมจงึ ไปเกดิ เป็นหมู ? มนั ให้ทานบ่ได้
รกั ษาศลี บไ่ ด้ นี่ละ่ มันเมาแต่เงินแต่ทองแต่แกว้ แม่มหาเถระเจา้ ตายไปแลว้ ไปเกิดเปน็ งู มนั ไปบไ่ ด้
พส่ี าวมหาเถระเจ้าตายแล้ว ไปเกดิ เปน็ กบ มันไปบไ่ ด้ มนั อย่างนี้ละ่ แต่เกิดเป็นหมแู ลว้ คอยมากิน

300

ข้าวลกู ลกู กค็ อยฆ่าหมูอยูฮ่ ั่นล่ะ (นน่ั ละ่ ) มนั เป็นอย่างนี้
ในวันจะถงึ แกก่ รรมนนั่ นะ่ ลูกสาวผเู้ ปน็ กบออกมากนิ น้�ำกร็ ้องอบ๊ ๆๆ อยฮู่ ัน่ ละ่ แมเ่ ปน็ งเู หา่
มากินนำ�้ ก็ไปเหน็ กบ กินลกู สาว นล่ี ะ่ เม่อื เปน็ มนษุ ยร์ กั กันที่สดุ ลกู สาวเป็นกบ แม่เป็นงู มนั กินกัน
ไม่รู้จักเสียแล้ว อันน้ีล่ะมันเปล่ียนสภาพไป แม่กินลูก แม่คืองู ลูกคือกบ ลูกสาวก็ตายล่ะ
แต่งูไม่ตาย เมื่อกินกบแล้วก็รออยู่ หมูผู้เป็นผัวน่ันน่ะมากินข้าวก็ไปเห็นงู เข้าขบ (กัด) งูตาย
อันนี้ผัวกินเมีย เมื่อเป็นผัวเป็นเมียรักท่ีสุด เม่ือเมียไปเป็นงูแล้วไม่รู้ ผัวเป็นหมูมันกินกันตาย
ตายแล้วก็ไปกนิ ข้าวลกู ลกู ท่ีเป็นนายพรานนน่ั ปนื ยิงใสห่ มนู ั่น หมูกต็ าย
น้องหล้าผ้เู ป็นพระอรหันตน์ ่ะ ออกฌานมาไดย้ นิ เสยี งปืนดงั “อะไรหนอ ?” ทา่ นกเ็ พ่งดู
“โอว... โยมผู้ชาย (พ่อ) ตายไปเป็นหมู โยมผู้หญิง (แม)่ ตายกลายไปเป็นงู โยมผ้หู ญงิ (พ่สี าว) ตาย
กลายไปเป็นกบ พสี่ าวเป็นกบ จ�ำเปน็ เราจะทรมานพีว่ ันน ี้ ถึงมาใสบ่ าตรวันน”ี้
คิดแล้วก็ต้ังอยู่ฮ่ันล่ะ พ่ีชายใหญ่ก็ได้หมูแล้วก็ปิ้ง ท�ำดีแล้วก็มอบให้ลูกหลานมาใส่บาตร
ใหพ้ ่สี ะใภ้ ครั้นแจง้ สวา่ งแลว้ บิณฑนิ ี โภชะนงั พระสงฆล์ กู ศิษยพ์ ระพุทธเจ้าก็บิณฑบาตตามมา
หาได ้ พสี่ ะใภจ้ ะใสบ่ าตรทา่ นกป็ ดิ ไมใ่ หใ้ ส่ หลานสาวลองไปกป็ ิด ไมใ่ หใ้ ส่
เมอื่ เป็นเช่นนนั้ แมน่ ัน้ ก็วา่ “หนู ไปหาพอ่ หนูซิ ใส่บาตรไม่ได้ หลวงอาวจะโปรดหรอื เทศน์
อยา่ งไรไมร่ ”ู้ ลูกสาวกไ็ ปเหน็ พ่อ วา่ “พ่อ วันน้ีนะ่ พวกฉนั ใส่บาตร หลวงอาวไมใ่ หใ้ ส่ แมก่ ไ็ ม่ไดใ้ ส่
ฉันบไ่ ด้ใส่ ท่านรังเกียจอะไรไมร่ ู้”
ผพู้ อ่ นน้ั ก็มา มาว่า “ภนฺเต ภควา ขา้ แดผ่ ู้เป็นเจา้ ลกู หลานมาใส่บาตร ปิดบาตร รงั เกยี จ
ลกู หลานหรือ ?”
วา่ พ่ี “ไม่รังเกียจ แต่ไมใ่ หใ้ ส่บาตร”
“ท�ำอย่างไรเล่า ทุกวนั ยังใสไ่ ด้ วันนท้ี �ำไมใสบ่ ่ได้ ?”
“ไม่ต้องเถียงดอก ถ้าจะรับศีล ๕ และพระไตรสรณคมน์เม่ือใด เป็นพีเ่ ป็นนอ้ งกัน ศีล ๕
ไมเ่ อา พระไตรสรณคมนไ์ มเ่ อาแลว้ เลกิ ไม่เปน็ พเ่ี ปน็ น้อง” ผูพ้ ชี่ ายใหญ่กร็ อ้ นใจ สะใภ้ก็ร้อนใจ
ทั้งลกู ทง้ั หลาน จงึ มาขอสมาทานศลี แสดงขนึ้ วา่
อหํ พทุ ธฺ ญฺจ ข้าพเจ้าทงั้ ลกู ทงั้ หลานขอถงึ พระพุทธเจา้
อหํ ธมฺมญจฺ ขา้ พเจ้าเมิ้ด (ทงั้ หมด) ทง้ั ลกู ทัง้ หลานขอถึงพระธรรม

301

อหํ สงฺฆญจฺ ขา้ พเจ้าขอถึงพระสงฆ์
อปุ าสกตตฺ ํ อปุ าสิกตฺตํ ขอเป็นอบุ าสก อุบาสกิ า ค้�ำชศู าสนาจากวนั นไี้ ป พระผเู้ ป็นเจา้
จงจ�ำขา้ พเจา้ ไว้ เปน็ ญาตโิ ยมค�้ำชศู าสนา วา่ แล้วใหพ้ ่ีชายและพี่สะใภร้ ับศลี อยา่ งไรกร็ บั วนั น้ลี ่ะ
พทุ ธงั สะระณงั คัจฉามิ ขอเอาใจของเรานรี้ ับเอาพระพทุ ธเจา้
ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิ เอาใจของเรานรี้ บั เอาพระธรรม
สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามิ เอาใจของเรารบั พระสงฆ์
ทุติยัมปิ พทุ ธงั เอาใจนี้รบั เอาพระพุทธเจา้
ทตุ ยิ ัมปิ ธมั มงั เอาใจของเรารับเอาพระธรรม
ทตุ ยิ ัมปิ สังฆัง เอาใจรับเอาพระสงฆ์
ตะติยมั ปิ พุทธงั เอาใจรบั เอาพระพุทธเจา้
ตะตยิ ัมปิ ธมั มงั เอาใจรบั พระธรรม
ตะตยิ มั ปิ สงั ฆัง เอาใจรับพระสงฆ์
นเ่ี รยี กพระไตรสรณคมน์ ๙ แล้วกร็ ับศีล
ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ
อะทนิ นาทานา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามิ
กาเมสมุ ิจฉาฯ รกั ษากาม ใหม้ ีผวั เดียวเมียเดียว
มุสาวาทา เวระมะณฯี อยา่ ขปี้ ด
สรุ าเมระยะฯ อยา่ กินเหล้า
เม่ือไดพ้ ระไตรสรณคมน์ ๙ แลว้ เม่ือรบั ศลี ๕ แลว้ โอปนยโิ ก พ่สี ะใภ้กด็ ี พี่กด็ ี
จงตัง้ พุทโธข้นึ พุทโธอยทู่ ่ีไหน อยทู่ ี่ใจของเราน้นี บั ถือ ถา้ ใจบ่มีพุทโธ มันใชไ้ ม่ได้ ธัมโมล่ะ เอาใจ
ของเรารบั พระธรรม สงั โฆ ใจรบั พระสงฆ ์ ผู้เป็นพต่ี งั้ พุทโธข้นึ ทีจ่ ติ พ่สี ะใภก้ บั หลานน่ะ

302

อนั นี้บาปทีฆ่ ่าหมูน่ี ฆ่าอีพ่อเมดิ้ ไป (หมดไป) นี่ละ่ ครนั้ ไม่ไดร้ ับนั่น อนั นีล่ ่ะปติ ฆุ าต
ฆ่าพ่อ พ่อไปเป็นหมูก็จะไปอเวจีพู้นน่ะ น่ีล่ะถ้าฆ่าคนไม่ได้ แต่พ่อมันตายเปลี่ยนสภาพไปแล้ว
มันไปเปน็ หมู ก็พ้นไป เหตนุ ้นั พส่ี ะใภก้ ็ดี หลานกด็ ี ได้ผลโสดามรรค โสดาผล เพราะอะไร ?
เพราะพุทธัง ธัมมัง สงั ฆัง...

• เร่ืองมักน้อยสันโดษ

พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม จะเทศน์มงคลทิพย์มณี มงคลย่อ ถวายไว้แก่สมเด็จ
พระสังฆราชเจ้า ท่านพระครูเจ้า คุณตา คุณยาย ผู้ถือศาสนา เราถือพุทธ รักษาพุทธ
รกั ษากายกบั ใจ เอตํ พุทฺธาน สาสนนตฺ ตี ิ

สนตฺ ุฏฺ ี มักนอ้ ยสนั โดษ ฝ่ายพระกม็ ักน้อยสนั โดษ ฝ่ายโยมกม็ กั นอ้ ยสันโดษ ถา้ มกั มาก
ในกามคุณย่อมเป็นอันตราย พระ ถา้ พระมักมากย่อมเป็นอันตราย มักนอ้ ยสันโดษน้มี ีพระภกิ ขุ
๓๒ องค์ ไปอยู่รุกขมูลต้นไม้ ๗ วนั ออกบิณฑบาต ท่านถือธุตงั ควตั ร มพี ราหมณค์ นหน่ึงไมเ่ คยถอื
ศาสนา บอกลูกศษิ ยพ์ ระโคตมะ มักน้อยสันโดษ จำ� เป็นจะไปทดลอง ยกเอาขา้ วไปขันหน่ึงไปถวาย

พระเถระก็ “โยม ให้หยบิ ใส่บาตรเถิด ตามได้ตามม”ี พราหมณค์ นนั้นกห็ ยบิ ข้าวใส่บาตร
คนละเล็กละนอ้ ยแล้วทา่ นก็ฉัน

๗ วนั ออก (ออกบณิ ฑบาต) อีก พราหมณ์คนนัน้ กม็ าอีก ใหข้ า้ วองค์ละเทา่ มะขามปอ้ ม
ทา่ นก็ฉัน ๗ วันออกอกี ให้ขา้ ว ลองเทา่ ไข่ขเ้ี กยี้ ม (จง้ิ จก) ท่านก็ฉันอกี พราหมณค์ นนน้ั เกดิ ศรทั ธา
แกก่ ล้า สร้างวหิ ารข้นึ กุฎีข้ึน จงึ นิมนต์พระไปอยูจ่ �ำพรรษา เมือ่ สรา้ งวหิ ารแลว้ นิมนต์พระพุทธเจ้า
เสดจ็ ไป ถวายวิหารแกพ่ ระพทุ ธเจ้าอรหันต์ จงึ ได้ความยกยอ่ งว่านีแ่ หละ มกั น้อยสนั โดษ ฉันนอ้ ย
เลยไดว้ หิ ารลานพระเจดีย์

ถา้ มกั มากๆ ไปขอทไี่ หน บณิ ฑบาตที่ไหนเขาก็บ่ (ไม่) ให้ ตวั อยา่ ง สาธุ วัดสนั ติธรรม
พระตง้ั ร้อย ทั้งพระเณร ไปบิณฑบาตเต็มบาตรนั้น... อาจารย์สิม อาจารยจ์ าม บางทกี ็หลวงปู่
(หลวงป่ตู ื้อ) พาลูกศษิ ย์บิณฑบาตนั้น ทั้งพระท้ังเณรตัง้ ร้อยกวา่ เหลือบาตรเหลอื กนิ

วดั เจ้าคุณม้ือเช้าก็บ่ (ไม่) พอ มอื้ เพลไดเ้ ฮ็ด (ทำ� ) อาหารกนิ ปานนน้ั ล่ะ พระวดั เจดยี ์หลวง
“บะ๊ ! เอาอยา่ งนวี้ ะ ไปยมื ผ้าจวี รกรรมฐานมา มาบณิ ฑบาต” บไ่ ด้เฮ็ดอาหาร บไ่ ดห้ งุ ข้าวปลา
จนทุกวันนัน่ นะ

303

นีแ่ หละ มักนอ้ ยสนั โดษ เป็นอยา่ งน้นั วัดเจดยี ห์ ลวงไปบณิ ฑบาตมากบ็ พ่ อ มือ้ เพลได้หุงข้าว
ต้งั ๒ ต๊บิ (กระตบิ ) จงึ จะพอ น่ัน ใหค้ ณุ อย่างน้ี

• เทศน์มงคลหมา

เร่อื งที่ หลวงปู่ตือ้ อจลธมฺโม ชอบพดู ประกอบในเวลาท่ีทา่ นสั่งสอนศิษย์ หรือบางคร้ัง
ในการแสดงพระธรรมเทศนา ทา่ นมักจะยกเร่อื งความดีของสนุ ขั ซง่ึ ทา่ นเรยี กว่า “มงคลหมา”
หลวงปตู่ ื้อ ได้พจิ ารณาเกย่ี วกับสัตว์ ซึ่งเป็นสายของสัตว์โลก มกี ารเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เหมือนกนั หลวงปูบ่ อกว่า บางครั้งสตั ว์ยังดกี วา่ คนบางคนเสยี อกี สัตว์ทกุ จ�ำพวก มนั มีดีประจ�ำ
อยูใ่ นตัวของมนั ตามภูมิของมัน การพิจารณาชวี ติ ของสัตว์ อนั เปน็ เครอื ของวฏั สงสารเหมอื นกันนี้
เปน็ การหาอุปมา เครื่องเปรียบเทียบ
ดังน้ัน เวลามีโลกธรรมครอบง�ำ เราก็สามารถพิจารณาหาเหตุผลมายับย้ังช่ังใจได้ เช่น
ถ้าใครเขาด่าเปรยี บเปรย วา่ เราเปน็ หมา ก็ไมน่ า่ จะโกรธ เพราะหมากม็ ีความดีหลายอยา่ ง
หลวงปู่ตือ้ ทา่ นบอกว่า ลองพิจารณาดูให้ดี จะเห็นวา่ หมาก็มีมงคล คือ ความดีประจ�ำตวั
อยา่ งนอ้ ยก็ ๒๐ ประการ คอื
๑. หมาว่ิงไดเ้ รว็ คนว่งิ ตามไมท่ ัน
๒. หมาเดินกลางคนื ได้ ไมต่ ้องจุดไฟ
๓. หมาเข้าป่าหนามไมป่ กั ตีน
๔. หมามจี มูกเป็นทิพย์
๕. หมากินอาหารไดไ้ ม่เลือก
๖. เวลาเยยี่ วมนั ยกขาไหว้ธรณี
๗. กอ่ นนอนหมาเดนิ เวยี นสามรอบ
๘. เวลาสบื พันธุ์ หมาไมร่ ้จู ักอาย
๙. หมารู้จกั เจา้ ของดี

304

๑๐. ถา้ มีแขกแปลกหนา้ มา หมามันเห่า
๑๑. หมาออกลูกไมต่ ้องมีแม่หมอ
๑๒. หมากนิ อาหารก้างไมต่ ดิ คอ
๑๓. หมาไม่เคยห่มผ้า
๑๔. เวลานอนหมาไม่หนนุ หมอน
๑๕. หมาไมต่ ้องปูท่นี อน
๑๖. หมากนิ ขา้ วแล้วไมต่ อ้ งกนิ น�้ำ
๑๗. หมาไม่ต้องคดิ บญุ คดิ บาป
๑๘. หมานอนตากแดดได้นานถงึ ๓ ชั่วโมง
๑๙. ไมถ่ ึงฤดูกาลไมม่ ีการสืบพนั ธุ์
๒๐. หมาตกนำ้� ไม่ตาย วา่ ยน้ำ� ได้เรว็ กว่าคน
หลวงป่ทู ่านบอกวา่ คนเราหากไม่มีดี ก็สู้สตั ว์ไม่ได้ และจะถกู ตราหนา้ วา่ เป็นคนประพฤติ
ถอยหลงั ไมส่ มกบั ทเ่ี กิดมาเปน็ มนุษย์ หมาบางตวั ทเ่ี ขาเล้ียงไว้ มยี ศถงึ นายพันเอก มเี งินเดือน
หลายพันบาท ใครจะว่าหมาไม่ดีก็ว่าไม่ได้ ลูกสาว คุณนายเลี้ยงมาแต่เล็กๆ หมดเงินเป็นแสน
เวลาโตข้นึ มาท�ำให้พอ่ แม่ต้องเสียใจ ต้องล�ำบากเดือดรอ้ นเนรคุณกม็ ี เรอ่ื งเช่นนไ้ี มม่ ีในหมา
หลวงป่ยู กมงคลหมาขึ้นมาแสดง เพ่อื ให้เราเห็นเป็นเคร่ืองเปรยี บเทยี บวา่ คนเราถา้ ไมม่ ี
ศีลธรรม ก็ไมต่ ่างอะไรจากสัตว์

• เทศน์มงคลหมู

หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม เทศน์เปรียบเทียบ หมูดีกว่ามนุษย์ เพื่อเตือนสติให้มนุษย์
หมนั่ ทำ� ความดจี ะได้ไมแ่ พห้ มู ดังนี้
“พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ของเราทกุ คน เกดิ จากเจา้ คณุ พอ่ หมายถงึ พระสทุ โธทนะ เจา้ คณุ แม่
หมายถึง พระนางเจ้าสิริมหามายา เป็นท่ีเกิดธรรมะอันประเสริฐสูงสุด วิเศษสุด อยู่ที่ใจของเรา

305

อันเกดิ จากพระบดิ า พระมารดา
ถ้าใครไมเ่ ชือ่ เอาหมเู ป็นเมีย ปกี ุน แปลวา่ หมู หมดู กี ว่ามนษุ ย์ มนษุ ยส์ ู้หมไู ม่ได้
หมดู ีกว่ามนษุ ย์ ขาหมมู นษุ ยก์ ็กิน แต่ขามนุษยไ์ ม่มีใครกนิ
หำ� หมมู นุษย์กนิ แต่หำ� มนษุ ย์ไมม่ ีใครกนิ
ฮห๋ี มูมนุษย์กนิ ฮม๋ี นษุ ย์ไม่มใี ครกิน ฮี๋หมูคนปากไม่ชัด คอื ล้นิ ไก่สนั้ พูดออ้ แอ้ กินแลว้
จะดขี ้ึน
นำ้� มันหมเู ปน็ สนิ คา้ ทัว่ ราชอาณาจักรไทย เป็นอาหารท่วั ไปไมเ่ ลอื กชาติไหน กนิ กนั ทั้งนั้น
แตน่ �้ำมนั มนุษย์ไม่มีใครกิน
ขห้ี มเู อามาท�ำปุย๋ ใสใ่ นนา ใสผ่ ัก ใสส่ วน ได้ท้ังนัน้ แตข่ ้ีมนษุ ย์ไม่มใี ครต้องการ
หวั หมู ตบั หมู มนษุ ยก์ นิ หัวคนตายไมม่ ีใครกิน หัวหมู จมูกหมู ลิน้ หมู มันสมองหมู ต้มกนิ ได้
ทกุ ชาติ ปากคน ลน้ิ คน มันสมองคน หัวคน ไม่มีใครกิน
ไสห้ มทู ำ� เป็นไสก้ รอกกินได้ ตับหมู พุงหมู กินได้ แต่ตบั คน ไส้คน พุงคน ไมม่ ีใครกนิ
ขนหมูเปน็ สนิ คา้ ท�ำแปรงทาสไี ดท้ ัว่ ไป แต่ขน ผม ของมนษุ ย์ ตดั ท้งิ เสยี เปล่าๆ ไมม่ ีใคร
ต้องการ
ผมของอบุ าสก ต้องตัดเดือนละคร้ังสองครงั้ เสยี เงนิ คร้งั ละ ๔ – ๕ บาท ย่งิ เป็นผม
ของเจา้ นายก็แพงขนึ้ ไปกวา่ น้ี แลว้ กค็ ่าน�้ำมนั เดอื นละขวด
เมื่อจะหมดบุญก็ต้องเสยี เงินหลายพันบาท เมือ่ ตายไปไฟกนิ หมด
นแ่ี หละนักธรรม นักกรรมฐานทั้งหลาย ข้าพเจ้าพระอาจารยต์ ือ้ หรือหลวงปตู่ ื้อ ขอถวาย
ปัญญาวปิ สั สนาญาณไว้ แสดงใหท้ วั่ ถงึ กนั มเี จ้านาย ข้าราชการ อบุ าสก อุบาสกิ า เป็นต้น
ถ้าไมจ่ รงิ อย่างหลวงปู่ว่า ขอใหอ้ มข้มี าเปา่ หน้าเถิด”

306
ภาค ๑๙ การเทศนาอบรมส่ังสอนธรรม

การแสดงธรรมของหลวงปู่

หลวงปู่ตื้อ อจลธมโฺ ม ทา่ นชอบแสดงธรรม อันเป็นปกตนิ สิ ัยประจ�ำองคท์ า่ น หลวงปูต่ ้ือ
ท่านเป็นพระนักเทศน์ท่ีมีช่ือเสียงมากองค์หน่ึง ท่านเทศน์สอนเอาไว้หลายอย่าง เทศน์ธรรม
เป็นน�ำ้ ไหลไมห่ ยดุ เป็นช่ัวโมงๆ โดยมากท่านจะเทศน์พระไตรสรณคมน์ เทศนบ์ ารมี เทศน์หลกั
ของพระพทุ ธเจา้ เทศนห์ ลกั ของการบำ� เพญ็ เทศนห์ ลกั ประวตั พิ ระสาวกอรหนั ตเจา้ การเทศนธ์ รรม
ของท่านไม่คอ่ ยเหมอื นในตำ� ราหรอก เทศนช์ ้แี จงยกขึน้ สาธยายช้ีเข้าหาตวั เรานี้หมด
การแสดงธรรมของทา่ นเปน็ ไปอย่างดเุ ดือดโลดโผน เสยี งดงั เอาจรงิ เอาจัง และเต็มไปด้วย
โวหารปฏภิ าณ ท่านใช้คำ� เทศน์ทีร่ ุนแรงชนดิ ไมเ่ กรงกลัวใคร ผทู้ ่ีรับไม่ไดเ้ ห็นว่าท่านใชค้ �ำหยาบคาย
หรอื เทศน์ไม่ร้เู รอ่ื งกม็ ี
วัดป่าท่ีหลวงปู่ท่านอยู่พักจ�ำพรรษา ท่านมักแสดงธรรม เพ่ืออบรมภาวนาแก่พระศิษย์
และญาติโยมทีส่ นใจการปฏบิ ัติธรรม รวมท้ังญาตโิ ยมที่แวะเวียนไปกราบเย่ยี มท่านเสมอ
พระศษิ ยไ์ ด้บนั ทึกเรื่องการแสดงธรรมของหลวงปู่ตอื้ ดังน้ี
“การแสดงธรรมน้ัน ท่านชอบพดู ตรงไปตรงมา พดู ความจรงิ ท่ีมอี ยู่ ยกอทุ าหรณ์ในปจั จุบนั
ให้เห็นไดง้ า่ ยๆ ผู้ที่ฟังธรรมจากทา่ นโดยตรง แลว้ น�ำไปพิจารณา จะเหน็ วา่ ล้วนแตเ่ ป็นสัจจะ
หรือความเป็นจรงิ เทา่ นน้ั
วธิ ีการแสดงธรรมของท่าน ต้องการให้ความรจู้ ริงเข้าไปกระทบจิตของผฟู้ งั ทา่ นบอกว่า
เพราะการรูจ้ รงิ แมจ้ ะเพียงนิดเดียวกม็ ีประโยชนท์ ้ังนน้ั ดกี วา่ การไม่รูจ้ ริง แมจ้ ะร้มู ากๆ ก็ไม่ส�ำเร็จ
ประโยชนอ์ ะไรได้
หลวงปู่ชอบพดู วา่ “ธัมมะธัมโมน้ันมีอยู่ดาษดนื่ คนสว่ นมากมองขา้ มไปหมด”
หลวงปู่ท่านแปลบาลีก็ไม่เหมือนพระเถระองค์อ่ืนๆ การฟังธรรมะจากท่าน จึงต้องฟัง
อย่างละเอียด ต้องพิจารณาและน�ำไปปฏิบัติตามให้เข้าถึงธรรม จะได้ช่ือว่าเป็นนักธรรม
นักกรรมฐานที่แท้จริง ไม่เหลวไหล ไมเ่ ลอะเทอะ”
ศิษยอ์ าวโุ สทา่ นหนงึ่ ของหลวงป่ตู อื้ ไดใ้ ห้ความเห็นเกี่ยวกับการแสดงธรรมของท่าน ดงั นี้

307

“ส�ำหรับการแสดงธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของหลวงปู่ต้ือน้ัน เห็นว่าท่านแสดงธรรม
โดยตรง ตรงที่เราสงสัย แสดงตามจรงิ ไม่มกี ารออ้ มคอ้ ม ตรงไปตรงมา แต่ลักษณะทา่ ทางอาจจะ
ไมไ่ พเราะ ทั้งนี้กเ็ พราะว่า พวกเรายังไมช่ ินกับเหตุการณ์เชน่ น้ัน
เนื่องจากหลวงปู่ท่านเดินธุดงคกรรมฐานผ่านไปในที่หลายแห่ง มีประสบการณ์และ
อารมณ์แปลกๆ บางครั้งต้องเจอะเจอและสนทนากับผีสางนางไม้ บางครั้งก็พบกับพวกเทพ
พวกเทวดาอารักษ์ บางครง้ั ก็พบพวกวญิ ญาณเจ้าทีเ่ จ้าทาง
ทา่ นตอ้ งประสบกบั เหตกุ ารณต์ า่ งๆ เหลา่ น้ี ในระหวา่ งนน้ั อารมณท์ า่ ทาง คำ� พดู จะออกมา
ในรูปไหนน้ันยากท่ีจะก�ำหนดได้ ส�ำหรับผู้ท่ีเคารพนับถือในท่านแล้ว จะยิ่งมีความเคารพและ
เลอื่ มใสในธรรมของท่านมากขึน้ ”

ลีลาเทศนาธรรม

การแสดงพระธรรมเทศนาของ หลวงปตู่ ื้อ อจลธมฺโม ทา่ นมกั จะเทศนาธรรมถึงพทุ ธคุณ
ธรรมคณุ สังฆคณุ โดยจะเทศน์ไว้เสมอว่า
“ข้าพเจา้ อาตมาภาพ พระอาจารยต์ อ้ื พระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ พระสงั ฆคุณ จะขอ
กล่าวไว้ ถวายเป็นพุทธบชู า ธรรมบชู า สงั ฆบชู า แด่พระพุทธเจ้าทัง้ หลายทุกพระองค์” หรือ
“พระอริยบคุ คลเกดิ จากพทุ โธ กุสลา ธมฺมา ถา้ ใจนั้นเปน็ โลกยี ะ จะไดส้ ร้างบารมตี อ่ ไป
พระอาจารยต์ ือ้ อจลธมโฺ ม ไดร้ ับพทุ ธคณุ บรรยายมาจากเจา้ คุณปู่อบุ าลีฯ ผู้เปน็ พระอุปัชฌาย์
อาจารย์ของข้าพเจ้า เจ้าคุณปู่มั่น ภูริทัตฯ เป็นผู้ส่ังสอนพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าจ�ำได้แล้ว
จงึ มาถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่พุทธสาวกเจ้าท้ังหลายทุกพระองค์ ถ้าข้าพเจ้า
พูดไม่ถูกต้อง ถือไปก็ดี ขอพระคุณเจ้าจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ถ้าถูกต้องตามธรรม
ค�ำสั่งสอนพระพุทธเจ้า ขอพระสงฆเ์ จ้าจงอนุโมทนาสาธกุ ารเถอะครับ” หรอื บางคร้งั ก็ว่า
“พทุ ธคณุ คาถา ธรรมคณุ คาถา สงั ฆคุณคาถา นี้อาตมาภาพจะน�ำมากลา่ วเป็นพุทธบูชา
ธรรมบชู า สังฆบชู า แก่พระคณุ เจ้าทง้ั หลาย ทงั้ อุบาสก อุบาสกิ า หากพระธรรมเทศนาทข่ี ้าพเจ้า
ได้อธิบายมานี้ เปน็ ที่ถูกตอ้ งตามพุทธบญั ญตั ไิ มข่ ัดกับหลักแหง่ พระสงฆ์ไทย ก็ขอใหพ้ ระคณุ เจา้
ทั้งหลายจงอนุโมทนาสาธกุ ารดว้ ยเถดิ และจงน้อมน�ำเอาพระธรรมค�ำสอนทข่ี า้ พเจา้ ได้อธบิ ายมานี้
แล้วจงน�ำไปปฏบิ ตั ิลงทก่ี าย วาจา ที่ใจของทา่ นทง้ั หลายด้วย”
หากท่านเทศน์เร่อื งศลี กจ็ ะวา่

308

“พระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจา้ เมื่อพระองค์เสดจ็ ดับขันธปรินพิ พานไดบ้ ัญญัติ
ศีล ๕ บัญญตั ิศีล ๘ บญั ญตั ิศีล ๑๐ บัญญตั ศิ ลี ๒๒๗ บัญญัติศีล ๓๑๑ บัญญัตไิ ตรสรณคมน์
ไวใ้ หแ้ ก่อบุ าสก อุบาสิกา ศรทั ธาท้งั ชายทัง้ หญงิ ทั้งนอ้ ยทง้ั ใหญ่ ท้ังบ่าวท้งั สาว”

แสดงธรรมเป็นประจ�ำท่ีวัดอโศการาม

วดั อโศการาม ต�ำบลทา้ ยบ้าน อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั สมุทรปราการ เป็นวัดปา่ กรรมฐานท่ี
ท่านพ่อลี ธมมฺ ธโร สร้างขึน้ เปน็ ศูนย์กลางวดั ป่ากรรมฐานวัดหนึ่งทางภาคกลาง ที่พ่อแม่ครูอาจารย์
องค์สำ� คัญๆ มาพักและแสดงธรรมโปรดญาติโยมพทุ ธบรษิ ทั อยเู่ สมอ
หลวงปตู่ ้ือ อจลธมฺโม ท่านเปน็ พ่อแม่ครูอาจารยอ์ งคส์ �ำคญั องคห์ น่งึ ท่านมีความสนิทสนม
คุ้นเคยกับทา่ นพอ่ ลี ธมฺมธโร ดงั น้ัน ในงานสำ� คญั ๆ ของทางวดั อโศการาม เชน่ งานฉลอง
กึ่งพุทธกาล ๒๕ พุทธศตวรรษ งานครบรอบวนั มรณภาพท่านพอ่ ลี งานจัดอบรมกรรมฐาน ฯลฯ
ทางวดั จงึ กราบอาราธนานมิ นตห์ ลวงปตู่ ือ้ มาเปน็ องค์แสดงธรรมเสมอ เนอื่ งจากทา่ นเป็นพระศษิ ย์
อาวโุ สองคส์ ำ� คญั องคห์ นึ่งของ หลวงปู่ม่นั ภูรทิ ตโฺ ต เป็นพระศิษยใ์ กล้ชดิ ที่เคยอปุ ฏั ฐากและได้รับ
การถ่ายทอดธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่ม่ันโดยตรง ที่ส�ำคัญภูมิจิตภูมิธรรมของท่านก็เป็นที่ยอมรับ
อย่างกว้างขวางในวงกรรมฐานดว้ ยกัน
หลวงปู่ต้ือ ท่านจึงรับอาราธนานิมนต์มาแสดงธรรมและมาพักท่ีวัดอโศการามเสมอ
ทา่ นไปแสดงธรรมและพกั อยทู่ วี่ ดั อโศการามแตล่ ะครงั้ เปน็ เวลานานๆ เพราะมญี าตโิ ยมนมิ นตท์ า่ นไว้
ใหอ้ ย่โู ปรดนานๆ

คนฟังน้อยหรือมากก็เทศน์ดุเดือดเหมือนกัน

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเทศน์อย่างองอาจกล้าหาญ สังเกตว่า เมื่อท่านอยู่ในป่าดง
มีคนฟังแค่คนสองคน ท่านก็เทศน์ดุเดอื ดอยา่ งนนั้
เมอื่ ทา่ นไปเทศน์ตามสาธารณชน มีคนมากๆ ท่านกเ็ ทศน์ดุเดือดอยา่ งนน้ั
คนฟังไม่เป็นจะเขา้ ใจว่า ทา่ นพูดหยาบคาย พระบา้ พระบออะไร จงึ มาเทศน์อยา่ งนี้
ความจริงแล้ว ท่านเทศน์เรื่องจริง เป็นความดีทั้งหมด นอกจากว่า คนเราไม่ชอบฟัง
ไม่ชอบคนพูดตรงๆ มันคอยปกปิดความชั่วของกันและกันอยู่ แล้วมันก็เท่ียวหวังความสุข
ความสงบกนั จะไดย้ ังไง

309

ธรรมะเป็นของจรงิ จะให้พดู แต่เร่ืองเอาใจกนั พดู เร่อื งไมจ่ รงิ กนั ก็หาของหาผลประโยชน์
ใสต่ ัวกนั ล่ะนะ
หลวงปู่ต้ือ อจลธมโฺ ม ท่านเป็นพระเปิดเผย พดู จรงิ แล้วได้ธรรมะจริงๆ ท�ำตวั ทา่ นพ้นทกุ ข์
ได้จรงิ ทา่ นไม่เทศนย์ กยอใคร กัณฑเ์ ทศน์ไมเ่ กยี่ ว เทศน์ใหไ้ ดส้ ติรับรู้วาระจิตจรงิ ๆ ก็เปน็ อันวา่
เอาตวั รอดได้

พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว

หลวงปรู่ ินทร (ลิ้นทอง) กิตตฺ สิ ทโฺ ธ แห่งวัดพทุ ธิการาม อ�ำเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
ทา่ นเป็นพระศษิ ย์ที่เคยมโี อกาสอยูป่ ฏบิ ตั ิธรรมกับ หลวงป่ตู ้อื อจลธมโฺ ม หลวงปูร่ ินทรทา่ นเป็น
พระนักปฏิบัติทีเ่ คร่งครัดในพระธรรมวนิ ยั ปฏิบตั ิดี ปฏิบัติชอบ องคห์ นง่ึ ท่านไดก้ รณุ าถ่ายทอด
ประสบการณ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี
วันนั้นเป็นวนั โกน หลวงปูต่ อื้ ท่านก�ำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชยี งใหม่กลุ่มหน่งึ ไดม้ า
กราบทา่ น ในเวลานัน้ พอดี คณุ นายทา่ นหน่งึ อยากไดเ้ ส้นผมของหลวงปู่ จึงบอกกบั ลูกศิษย์
ของหลวงป ู่ ว่า
“ตเุ๊ จ้าๆ ชว่ ยเกบ็ เกศาของหลวงป่ไู วใ้ หด้ ว้ ยนะ่ ”
หลวงป่ตู ือ้ ทา่ นได้ยิน จงึ บอกคณุ นายท่านนนั้ ไปว่า “อย่าเลยนะ คุณนาย เดย๋ี วอาตมา
จะใหอ้ ะไรดีๆ”
คณุ นายทา่ นน้ันแสนจะยินดี เมอื่ หลวงปูบ่ อกจะให้อะไรดีๆ จงึ ไมต่ ิดใจทีจ่ ะเอาเสน้ เกศา
ของท่าน
พอปลงผมเสรจ็ หลวงปู่ทา่ นกเ็ อาน�้ำราดใหเ้ สน้ เกศาทโ่ี กนแล้วนนั้ ไหลไปกบั น้�ำจนหมดสน้ิ
แล้วทา่ นกไ็ ปสรงนำ�้ เรยี บร้อยแล้วจงึ ออกมาสนทนากบั ญาตโิ ยม
คณะชาวเชียงใหมส่ นทนาธรรมอย่กู ับหลวงป่เู ปน็ เวลานานพอสมควร เมอ่ื จะถงึ เวลากลับ
คุณนายทา่ นนั้นจึงได้ทวงถาม “อะไรดีๆ” จากหลวงปู่
“หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปบู่ อกวา่ จะให้อะไรดๆี แก่ดฉิ ันล่ะ เจ้าคะ”
หลวงปู่ต้อื ท่านยิ้มนอ้ ยๆ แลว้ พดู ว่า

310

“พุทโธ ธัมโม สงั โฆ”
แลว้ ทา่ นก็พูดต่อไปวา่
“พทุ โธ ธมั โม สงั โฆ นแี่ หละเลศิ ประเสรฐิ แลว้ พระในประเทศทกุ รปู จะตอ้ งมี จะตอ้ งถอื
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถ้าพระรูปใดไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้น
เป็นพระปลอม ขนาดขน้ึ บ้านใหม่ยงั ต้องว่า พุทธงั สรณัง คัจฉามิ ธมั มัง สรณัง คจั ฉามิ
สังฆัง สรณงั คจั ฉามิ เลย”
นแ่ี หละ อะไรดๆี ทห่ี ลวงปู่ตือ้ ท่านมอบให้คณุ นายทา่ นนั้น

สอนศีล สมาธิ ปัญญา หลักของพระพุทธศาสนา

หลวงปตู่ ือ้ อจลธมฺโม ท่านสอนญาติโยมไมใ่ หป้ ระมาท ให้พากันทำ� บญุ กศุ ลตง้ั แต่มีชีวติ อยู่
ดงั พระธรรมเทศนาบางตอน ดังน้ี
“.... ถ้าต้องการบุญการกศุ ลอะไร กใ็ ห้ทำ� เอา อย่าประมาท ต่างเจา้ ของ ตา่ งตวั ใครตัวมนั
ท�ำใหม้ นั ดีแล้ว มันกค็ ่อยดดี อก นีก่ ็สอนล่ะ กุลบุตรกลุ ธดิ าของใครของมนั สอนใหเ้ ขารู้จกั คณุ พ่อ
คณุ แม ่ แล้วคุณครบู าอาจารยอ์ ะไรสารพัดน่ันแหละ
ครั้นบ่ (ไม่) สอนลูกสอนหลาน ลูกหลานเขาก็ไมร่ ู้ เราตายไป เขาก็ไม่รูจ้ ักท�ำบญุ ทำ� กุศล
อทุ ศิ ไปให้ ตายไปเฉยๆ มนั เปน็ อย่างนั้น จงึ ให้สอนเอาลกู ใครหลานมนั ถา้ เราสอนเขาไม่ได้แลว้ ล่ะ
ก็ตายท้ิงเฉยๆ อย่างนั้นแหละ
ผู้อาตมาน้ีก็เหมือนกัน เป็นหัวหน้าหมู่คณะ ก็ต้องสอน สอนเร่ืองศีล เร่ืองสมาธิ
เร่ืองภาวนา สอนเรื่องหลักของพระพุทธศาสนาให้มนั ถกู ต้อง ใครเขามาหา ก็สอนเขาแตใ่ นทาง
ท่ดี ี แตว่ ่าใครเขาจะเอาหรอื ไมน่ นั้ เป็นหนา้ ที่ของผฟู้ ังผนู้ น้ั แหละ
จะรักษาศีลให้มันบริสุทธิ์ไหม จะบ�ำเพ็ญสมาธิให้มันมั่นไหม จะบ�ำเพ็ญปัญญาให้มันรู้
หรอื ไม ่ จะดตู ัวของตัวหรอื ไม ่ จะเชอื่ พระพทุ ธเจา้ หรือเชอ่ื กเิ ลส มันเป็นของส�ำคญั
ผู้ใดเชื่อมั่นก็เป็นความสุขไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เกิดปัญญารู้จากเจ้าของได้เอง ไม่ยอมให้
กิเลสมันสอน นน่ั เปน็ อยา่ งน้นั ....”

311

การรักษาศีลสิกขาของพระเณรไม่มียกเว้นโดยเด็ดขาด

ในวงสนทนาของบรรดาผู้ศรัทธาในสายพระป่าของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ้าหยิบยกเร่ือง
ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาสนทนาคราใดก็ตาม จะต้องได้รสชาติในวงสนทนาเป็นอย่างดี
รวมทงั้ ได้ฮากันตึงทเี ดยี ว
ปฏิปทาของหลวงปตู่ อ้ื น้นั มีเอกลักษณเ์ ฉพาะตวั ของทา่ น ซง่ึ ไม่เหมอื นของครูบาอาจารย์
องค์ใดๆ เลย เรอ่ื งการสง่ั สอนศษิ ยแ์ บบทบุ กเิ ลสตรงๆ น ้ี หลวงปทู่ า่ นถนดั เปน็ พิเศษ
เรื่องการรักษาความสะอาดของวัด ศาลา กุฏิท่ีพักอาศัย หลวงปู่ต้ือท่านเข้มงวดมาก
เป็นกจิ วัตรของพระเณรในสายของวัดป่า ที่ถือปฏบิ ตั สิ ืบต่อกนั มาเป็นอยา่ งดี
เรื่องการรักษาศีล รกั ษาวนิ ัย ของพระเณร หลวงปู่ก็เขม้ งวด ชนดิ ไมม่ ีย่อหย่อนใหเ้ ลย
หลวงปูต่ ้อื ท่านจะถามพระเณรในวดั ทกุ รูปว่า “ศลี ทัง้ ๒๒๗ ขอ้ นน้ั มขี อ้ ใดเมอ่ื พากนั
ปฏบิ ตั ิแล้ว ให้ถึงกับขาดใจตายบ้าง มไี หม ?”
พระเณรกราบเรียนไปว่า “ไม่มีครบั ”
หลวงปกู่ ็วา่ “ถ้าเชน่ นนั้ ตอ้ งพึงระมัดระวังอยา่ ล่วงในศีลนนั้ ไมย่ กเวน้ แมแ้ ต่ศีลข้อเล็กๆ
น้อยๆ”
หลวงป่ตู อ้ื ทา่ นอบรมส่ังสอนศษิ ยข์ องทา่ นวา่ “สิง่ เลก็ ๆ น้อยๆ นนั่ แหละส�ำคญั ยิง่ กว่า
ส่งิ ใหญ่ๆ การเริ่มตน้ ในสรรพสงิ่ ทัง้ ปวง เร่ิมแต่เล็กๆ มาก่อน แม้แต่จุดรอยรัว่ รเู ล็กๆ ใหน้ �้ำหยดจาก
หลงั คา ถา้ ไม่รบี แก้ไข ในที่สุดกเ็ ปน็ รูขนาดใหญ่ได้
อันนิสัยมนุษย์จะเร่ิมประพฤติชั่วจากคร้ังแรกขโมยสตางค์แม่แค่สลึงเดียวก่อน ต่อไป
ก็ขโมยวัวควาย ฉกชงิ ว่งิ ราว สดุ ท้ายก็เข้าไปอยู่ในคกุ เพราะเปน็ โจรปล้น
ศีลสิกขาของบรรดาพระเณร หลวงปู่ท่านจะกวดขันแม้ข้อเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ละเว้น
เพราะเป็นอาบัติซึ่งมักจะถูกมองข้ามไป พระเณรบางรูปคิดว่าไม่ส�ำคัญ หลวงปู่ท่านกล่าว
เปรียบเทียบว่า ให้พจิ ารณาเวลาทเ่ี ศษผงเขา้ ตานั้นมีแตฝ่ นุ่ เลก็ ๆ เทา่ นน้ั กอ้ นหนิ เทา่ ก�ำปัน้ นั้น
ไมเ่ คยปลิวเขา้ ตาพระเณรเลย”
หลวงปทู่ า่ นถามพระเณรวา่ “เวลาสะดดุ ตอไม้ เคยเดนิ ไปสะดดุ ตอขนาด ๔ – ๕ คนโอบไหม
เห็นมแี ต่ตอไมข้ นาดเทา่ นวิ้ ก้อย ท่พี ระเณรเดินสะดุดจนเป็นแผลอาบเลอื ด”

312

อันภกิ ษทุ ก่ี ล้าล่วงในศลี เลก็ นอ้ ย กเ็ หมือนกบั ขโมยเงินสลึงเดยี วของแม่ เป็นการเริ่มตน้
แน่นอนที่สุด ในเม่ืออาบัติปาจิตตีย์ยังกล้าล่วงเกินได้แล้ว ศีลในข้อสังฆาทิเสสก็ย่อมเป็น
เร่ืองเลก็ นอ้ ย แลว้ นบั ประสาอะไรกบั ศลี ในข้อปาราชกิ

อย่าคิดว่าศีล ๒๒๗ น้ันไม่มีใครประพฤติตามได้

หลวงปู่ตอ้ื อจลธมฺโม กวดขนั เรอ่ื งศีล ๒๒๗ ขอ้ ของพระภิกษุ
อยา่ ไดม้ องเห็นไปว่า ศีลทั้ง ๒๒๗ ขอ้ น้ัน ในโลกนจ้ี ะไมม่ ผี ทู้ ่ีประพฤติตามได้ ผู้ทก่ี ลา่ ว
เช่นนั้น คือ ผู้ท่ีมีจิตไม่เอื้อเฟื้อต่อธรรมวินัย เป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง ท่ีตกอยู่ภายใต้
จิตใจฝ่ายต่�ำท่ีครอบง�ำ จึงตีความเอาว่า ไม่มีภิกษุรูปใดจะท�ำตามพุทธบัญญัติน้ันได้ เห็นไปว่า
การปฏิบัตติ ามศีล ๒๒๗ ขอ้ ท้งั หมดนน้ั ตงึ เกินไป ถงึ กับสมณะบางรปู บางส�ำนกั สอนกนั วา่
ศีลท้งั หมดรกั ษาไวแ้ ตป่ าราชิก ๔ ข้อกพ็ อ
โถ ! น่าสงสาร ก็เลยไมต่ อ้ งเปน็ พระกนั เลย
หลวงปู่ตื้อ ท่านย�้ำว่า การเป็นพระไม่เว้นในศีลข้อใดข้อหน่ึง แม้แต่ มุสาวาท
เพราะมุสาวาทน้ียังเปน็ ศีลของคฤหสั ถด์ ้วย เปน็ แค่เบญจศลี ทที่ �ำใหม้ ีความเปน็ มนษุ ย์ที่สมบรู ณ์
ถอื เพียงแคศ่ ีล ๕ ของคฤหสั ถเ์ ทา่ นน้ั ก็ยังไมไ่ ด ้ จะเป็นศลี ๑๐ ของสามเณรกย็ ังมไิ ดเ้ สียแล้ว
ถ้าภิกษุกล่าวมุสาวาท โกหกตอแหล แค่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ยังเป็นไม่ได้ ประสาอะไร
ทจี่ ะเป็นพระ !
หลวงปสู่ อนว่า ที่ให้พากันปฏบิ ตั ิตามพุทธบัญญัตนิ ี้ หาไดเ้ ป็นเรื่องเครง่ เรอื่ งตงึ ทตี่ รงไหน
เพราะเพียงแค่งดเว้นในส่ิงที่องค์พระบรมศาสดาทรงห้ามไว้ และประพฤติปฏิบัติตามท่ีพระองค์
สอนก็เท่านนั้ พระเณรในวัดทุกรปู จะอยู่ในสายตาของหลวงปูต่ อื้ ตลอดเวลา ถา้ ประพฤติไม่สมควร
สอนไมไ่ ด ้ ท่านจะบอก “ไมพ่ งึ ปรารถนา ให้พิจารณาตัวเองไปเสยี ให้พ้นวดั ”
ตัวอย่างพระเณรที่หัวดื้อ เตือนแล้วเตือนอีกก็เช่น มีพระภิกษุรูปหน่ึงที่วัด แอบเขียน
จดหมายติดต่อกับฆราวาสกลางดึกด่ืน ไม่เอาเวลานั้นมาภาวนา ปรากฏว่า เสียงไม้เท้าฟาด
เขา้ ข้างกฏุ ิ หลวงป่ตู วาดเสียงเขยี วไล่ภิกษุนัน้ ดว้ ยเสียงอันดงั ว่า
“ไป... ไปซะ ไป๊ อยากไปนอนกอดขกี้ ไ็ ป”

313

สอนภาวนาพุทโธ

หลวงปู่ตื้อ อจลธมโฺ ม ทา่ นชอบถามพระเณรทไ่ี ปหาทา่ นเสมอว่า “ทพ่ี วกคุณภาวนานี้
พวกคณุ ได้พุทโธหรอื ยงั ?”
ผู้ท่ียังไม่แน่ใจก็จะตอบว่า “ยังขอรับ” ผู้ท่ีค่อนข้างแน่ใจก็ตอบท่านว่า “ได้แล้วขอรับ”
แล้วหลวงปู่มกั จะยอ้ นถามว่า “ได้แน่จรงิ หรือ ?”
ถ้าหากวา่ ได้แล้วกใ็ หฟ้ ังและพิจารณาอยา่ งน้ีกอ่ น คือถ้าหากใครเขาดา่ เราว่า “ไอห้ วั หงอก”
ให้เราลองน่ังชั่งดใู จของเราวา่ เราโกรธเขาไหม
ถ้าเรายังโกรธอยู่ ก็หมายความว่า เรายังรับรู้การด่าของเขาอยู่ น่ันหมายถึง เราเอาจิต
ออกมารบั ค�ำด่า เรายงั อดทนไม่ได้ เรายังโกรธ หมายถึง เรายังไมถ่ ึง หรือยงั ไม่ไดพ้ ทุ โธอยา่ งแทจ้ ริง
นั่นเอง
ในการสอนกรรมฐานของหลวงปู่ ส�ำหรบั บางคนทไี่ ปขอฝึกกรรมฐานกบั ท่าน ทา่ นจะให้
ทอ่ งพทุ โธจนขึ้นใจ ทา่ นวา่ พุทโธยังไมซ่ ง้ึ ในใจของผู้นั้น เราจะตอ้ งใหพ้ ทุ โธมั่นในใจของเรา
และมคี วามเชอื่ ม่ันจรงิ ๆ

สอนนรก – สวรรค์มีจริง

ตลอดเวลาที่ หลวงป่ตู ือ้ อจลธมโฺ ม ท่านเดนิ ธดุ งค์ไปยงั สถานท่ตี ่างๆ ทา่ นไดพ้ บกบั ผี
เทวดา นรก สวรรคเ์ ปน็ จ�ำนวนมาก หลวงป่ตู ้อื ทา่ นจงึ สอนนรก – สวรรคม์ ีจริง และไดเ้ ทศน์
ประสบการณ์เรื่องนรก – สวรรคอ์ ยู่บอ่ ยๆ
วา่ กนั ถึงนรก – สวรรค์ ไม่เฉพาะแตพ่ ระอรยิ สงฆ์ ท่านเห็นดว้ ยญาณบ้าง ด้วยตาเน้ือบ้าง
เทา่ น้นั คนท่ตี ายไปแลว้ กลับฟืน้ ขึน้ มาอีกก็มี เรื่องที่ไดไ้ ปพบสวรรค์ นรก วญิ ญาณ เพ่ือนบ้าน
ทรี่ จู้ กั มักคุน้ กม็ อี ยู่ไม่นอ้ ย
เรื่องความเชื่อของคนโบราณ ท่านเชื่ออย่างมีหลักฐานข้อมูล และถือว่าเป็นนรกไทย
สวรรค์ไทย ผไี ทย เทวดาไทยเสียดว้ ย การตดิ ต่อกบั จติ วิญญาณต่างๆ ไมใ่ ชม่ แี ต่เดีย๋ วน้ี แม้สมยั
พทุ ธกาลก็มีมาแลว้ ดงั เชน่ องค์สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ แสดงไวใ้ น ตโิ รกฑุ ฑสูตร การทำ� บุญ
อุทศิ ส่วนกุศลใหเ้ ปรต หรือพระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบือ้ งซา้ ย ซึ่งเลศิ ดว้ ยฤทธ์ิ ท่านไป
ท่องนรก ไปดูสตั ว์นรกเสวยผลกรรมต่างๆ ต้องเจ็บปวดทนทกุ ขแ์ สนทรมาน แลว้ สตั วน์ รกกว็ ิงวอน

314

ร้องขอพระโมคคลั ลานะ ใหช้ ่วยส่งข่าวแจ้งญาตพิ ี่นอ้ งทำ� บุญอทุ ศิ ส่วนกศุ ลไปให้ เป็นตน้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงนรกหลุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ ท่ีเรียกกันมา
จนถึงเด๋ียวน้ีว่า ๑๖ ช้ันฟ้า ๑๕ ชั้นดิน แต่ละช้ันท่านได้ระบุไว้ว่า ชั้นไหนเป็นอย่างไร
ใครเป็นประธานในช้ันน้ัน แม้กระท่ังการแต่งตัวสีอะไร มีกลิ่นหอมแบบไหน ท�ำหน้าท่ีอะไร
ทา่ นบอกไวล้ ะเอยี ด การจดั ระดบั สวรรค ์ ทา่ นก็จดั ไวแ้ ต่ชน้ั สงู ลงมาหาช้ันตำ�่
พระอริยสาวกนบั แตค่ รงั้ พุทธกาลจวบจนปัจจบุ นั ตา่ งล้วนยอมรับ นรก – สวรรค์ วา่ มีจริง
รวมทั้งหลวงปตู่ ้อื อจลธมโฺ ม ท่านเปน็ อกี องค์หนง่ึ ที่มีประสบการณเ์ กยี่ วกบั นรก – สวรรคม์ ากมาย
และท่านยังเคยไดพ้ บเทพยดาผูส้ ร้างบารมเี ปน็ พระปัจเจกพุทธเจ้า

ท่านสอนไม่ให้ใครเอาอย่างท่าน

ครบู าอาจารย์ไดเ้ ลา่ ถงึ ปฏปิ ทาของหลวงปู่ต้อื อจลธมโฺ ม ต่อไป ดงั นี้
การที่ หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระท่พี ดู จาโผงผางไม่อ้อมค้อมนี้ ทา่ นจึงเป็นทรี่ จู้ กั
ในหมพู่ ระสายกรรมฐาน และในบรรดาประชาชนทัว่ ไปวา่
“ใครหน้าบาง ก็อย่าไปนมิ นตพ์ ระอาจารยต์ ้อื เพราะนอกจากท่านจะเทศนต์ รงแลว้ ยงั พูด
ตรงอีกด้วย ถ้าใครหนา้ บางเปน็ นางอายละ่ ก็ ฟงั ไมไ่ ด้”
หลวงปู่ต้อื ท่านมีปฏปิ ทาที่ไม่เหมอื นใคร และใครก็เอาอยา่ งทา่ นไม่ได้ เปน็ ลักษณะนิสัย
เฉพาะองคท์ ่าน หลวงปูไ่ ม่เคยสอนใครให้เอาอย่างทา่ น แตท่ า่ นสอนให้พระศษิ ยท์ กุ รปู ปฏบิ ัตติ าม
พระธรรมค�ำสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้า สอนใหท้ ุกคนมีความกล้าหาญ
เพราะความกล้าหาญ เป็นมรดกในทางธรรมของพระพุทธเจ้า อันหมายถึงว่า ถ้าเรา
ดจี รงิ ๆ แล้วไม่ตอ้ งหว่นั เกรงอนั ตราย ไม่มใี ครจะมาทำ� ร้ายเรา ขอให้ดีจริงๆ กแ็ ล้วกนั
ความดีมีศีลธรรม มีค�ำสัตย์ มีค�ำจริง ไม่มีนิสัยหลอกลวงโลก ช้ีทางพระนิพพานได้จริง
นเ่ี ปน็ สมบัติของพระพทุ ธเจ้าท่คี วรจะดำ� เนนิ จิตใจของเรา

ต้องเทศน์สอนตัวเองด้วย

หลวงปตู่ อ้ื อจลธมฺโม ทา่ นเทศนค์ ราวหนงึ่ ๒ – ๓ ชว่ั โมงก็มี ท่านเทศนน์ ะ ท่านสอน
ตัวของทา่ นเองดว้ ย ทา่ นอธิบายว่า

315

“ตนเองเทศน์เอาความดใี ห้คนอ่นื ๆ ได้ ตัวเองกค็ วรฟังเทศน์ดว้ ย จงึ จะถูก เราผดิ
เราแก้ไขได้ ถ้าเทศน์สอนคนอนื่ ได้ แต่ตวั เองยังมที ฏิ ฐิ เห็นผดิ เปน็ ชอบอยู่ ท�ำอะไรก็เปน็ ปญั หา
เอาอะไรก็ต้องดีตอ้ งเดน่ อย่างนี้นะ สอนคนอนื่ ไม่ไดห้ รอก ยงั โกรธ ยังมีความลุม่ หลงอยู่ เป็น
ธรรมะด�ำ”
ธรรมะของหลวงปู่ตอื้ คนที่ฟังได้ หรือฟังธรรมเป็น กไ็ มม่ ีอะไรท�ำให้สะดุดใจ แต่ถา้ หากวา่
คนฟงั ไมไ่ ด้ หรอื ฟังธรรมไมเ่ ปน็ ก็คดิ ว่าท่านพดู คำ� หยาบคาย พดู อะไรไมไ่ ดส้ าระ ท่านเทศนแ์ บบ
ชนหักไปเลย ตรงไปตรงมา ไม่มกี ารออ้ มค้อม
คนถกู ชนด้วยคำ� พูดค�ำเทศนข์ องทา่ นกม็ ี หลายคนแตก หลายคนรา้ ว นึกตำ� หนทิ า่ นกม็ ี
แต่ต่อมาภายหลงั เม่อื คนเหลา่ น้นั คิดได้ เขากม็ ากราบขอขมา มาทำ� บญุ กบั ท่านอกี ทั้งนค้ี งเขา้ ใจ
ค�ำพดู ของท่าน

เทศน์กระแทกใจ จนถูกประท้วง

ครัง้ หน่งึ ทีว่ ดั แห่งหนง่ึ ชาวบา้ นไม่พอใจค�ำเทศนก์ ระทบกระแทกแสบใจของทา่ น พากนั
ประทว้ ง จะไมย่ อมใส่บาตร ทา่ นทราบแล้วกล่าวว่า
“ญาติโยมไมใ่ ส่บาตรอาตมา อาตมากไ็ มส่ นใจ อาตมาไปบิณฑบาตในเมอื งก็ได้”
แต่ท่านก็ไม่ได้เข้าเมืองบิณฑบาต เพราะชาวบ้านก็ยังใส่บาตรท่านเป็นปกติดี เรียกว่า
ท้งั รกั ท้งั ชัง ทั้งชนื่ ชม และ หมั่นไส้
คำ� เทศน์อย่างไรหรือจึงทำ� ให้ผ้คู นประทว้ งทา่ น ยกตัวอย่างที่เบาสุดสดุ
“เอ้า ! โยมผ้หู ญงิ ก็มา โยมผ้ชู ายก็มา กะเทยไมต่ ้องมา... อีดอกทอง”
หลวงปกู่ ลา่ วตำ� หนกิ ะเทยจำ� พวกที่เข้าวัดแลว้ ชอบส่งเสยี งดัง ไมส่ ำ� รวมระวังกริ ยิ า มรรยาท
สาเหตุท่ีพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาติให้อุปสมบทกะเทย ในสมัยพุทธกาลได้มีกะเทยบวช
เป็นภิกษุ แล้วไปชวนภกิ ษุสามเณรมเี พศสัมพนั ธ์ แตถ่ ูกภกิ ษุสามเณรเหล่านั้นขับไล่ ภิกษกุ ะเทย
จงึ ไปชวนพวกคนเล้ียงช้างและคนเลี้ยงมา้ มเี พศสัมพันธ์ดว้ ย เม่อื คนเล้ยี งช้างคนเล้ียงม้าเหลา่ นั้นมี
เพศสัมพันธก์ บั ภิกษกุ ะเทยแลว้ กไ็ ปโพนทะนาวา่ ภิกษใุ นพระพุทธศาสนานี้ถา้ ไม่ใชก่ ะเทย กเ็ คยมี
เพศสมั พนั ธก์ บั กะเทย ภกิ ษุได้ยินจงึ นำ� เร่อื งกราบทูลพระพุทธเจา้ พระองคจ์ งึ รับสง่ั มิให้อปุ สมบท
กะเทยอกี กะเทยท่ีอุปสมบทแลว้ ก็ให้สกึ เสีย

316

นะโม มันของเก่า

ในการเทศน์อีกครั้งหน่ึง ได้มีกลุ่มพระภิกษุหนุ่ม เป็นมหาเปรียญและได้รับการศึกษาที่
ทันสมัย ตามมาฟังเทศน์ด้วยในระหว่างท่ีหลวงปู่ตื้อข้ึนเทศน์ พระภิกษุหนุ่มเหล่านั้นซุบซิบกัน
พอไดย้ นิ ในกลุ่ม ไม่สามารถได้ยินไปถึงหลวงปไู่ ดอ้ ยา่ งแนน่ อน
บรรดาพระหนมุ่ ซบุ ซบิ กนั วา่ หลวงปู่ตื้อไมพ่ ัฒนา เทศนโ์ บราณ มีแต่ของเกา่ ๆ ไม่ทนั ยคุ
ทนั สมัยเลย
หลวงป่ทู า่ นหยุดเทศน์ เดินตรงไปยงั พระรูปน้ัน ทา่ มกลางความงนุ งงของบรรดาญาติโยม
ท่านนมิ นตพ์ ระภิกษหุ นุม่ รูปนัน้ ขึ้นเทศน์ แลว้ ทา่ นก็พูดเสียงดงั ชัดเจนว่า “เอา้ ! หลวงตาจะคอยฟงั
คุณเหลน คุณมหา ขอใหเ้ ทศน์เอาแตข่ องใหมๆ่ นะ...”
พระมหาหนมุ่ รปู น้นั กเ็ ดนิ ขึน้ ธรรมาสนด์ ว้ ยความมน่ั ใจ คงคดิ ทีจ่ ะเทศนาธรรมแบบใหม่
ตามยุคสมัย ตามแบบพระผมู้ ปี รญิ ญามหาเปรียญ
เมื่อพระมหาหนมุ่ ข้นึ ต้นวา่ “นะโม...” เทา่ นั้น หลวงปตู่ ือ้ ทา่ นกบ็ อกใหห้ ยุดเทศน์
“หยุด หยุด คณุ เหลน หยุด ไมเ่ อา – ไม่เอา นะโม มันของเก่า มมี ากวา่ สองพันปีแล้ว
คุณเหลน...”
ญาติโยมทั้งศาลาหัวเราะกนั ฮาครนื !

ฟังเทศน์ของหลวงปู่คร้ังแรกไม่เข้าใจ

การฟังธรรมะป่า หรอื ธรรมะภาคปฏบิ ตั ิ ย่อมแตกตา่ งจากธรรมะภาคปริยตั อิ ยา่ งส้นิ เชงิ
พระท่เี รม่ิ ออกปฏบิ ัติกรรมฐาน เมอ่ื ไปอยกู่ บั พ่อแม่ครอู าจารย์ใหมๆ่ แล้วฟังเทศน์ธรรมะภาคปฏิบตั ิ
ยอ่ มไมเ่ ขา้ ใจ ดังเชน่ กรณี หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ท่านเลา่ วา่ ทา่ นเปน็ มหาเปรยี ญ
เรียนภาคปริยัติจนจบ ๓ ประโยคตามค�ำอธิษฐานแล้ว ท่านก็ออกปฏิบัติ ท่านฟังเทศน์ธรรมะ
ภาคปริยัติของเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ท่านเข้าใจหมด แต่เม่ือท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่นใหม่ๆ ฟังเทศน์
ธรรมะภาคปฏิบัติของหลวงปู่มั่นแล้วไม่เข้าใจ เพราะท่านยังไม่มีพ้ืนฐานทางภาคปฏิบัติ ต่อเมื่อ
ทา่ นปฏบิ ัตไิ ปแล้ว ทา่ นก็ค่อยๆ เกดิ ความเขา้ ใจตามลำ� ดบั

317

กรณีพระป่าทเ่ี ริ่มออกปฏบิ ตั ิใหมๆ่ แล้วไปฟังเทศนธ์ รรมะปา่ ของ หลวงปตู่ ้อื อจลธมโฺ ม
กเ็ ชน่ เดยี วกนั ฟงั เทศนท์ า่ นแลว้ ไมเ่ ขา้ ใจ คดิ วา่ นท่ี า่ นเทศนอ์ ะไรของทา่ น เรอื่ งนพ้ี ระศษิ ยห์ ลวงปสู่ มิ
ทา่ นได้เล่าว่า
“ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ ท่านรับอาราธนานิมนต์มาเทศน์ในงานฉลองสมณศักด์ิพัดยศของ
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ท่ี วัดสันติธรรม ท่านเทศน์นานต้ัง ๒ ชั่วโมง ฟังเทศน์แล้วไม่เข้าใจ
เลยลุกขนึ้ แล้วเดินกลบั มานอนในกฏุ ิ จิตใจมนั ไมย่ อมรบั เปน็ เหมอื นกนั อนั นผ้ี ฟู้ งั เทศน์ตอ้ งระวัง
การฟงั ธรรมะภาคปฏิบัตขิ องครบู าอาจารย์แล้ว เกดิ ความไมเ่ ขา้ ใจ จงพยายามหลบหลีกไป
พิจารณาเสียก่อน อย่ารีบด่วนต�ำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ แต่ถ้าหากท่านเทศน์เลอะเทอะจริงๆ
คอื นอกเหตนุ อกผลตามแนวทางของพระพทุ ธองค์ การตำ� หนกิ ไ็ ม่มีบาป แต่ถา้ ทา่ นเทศนถ์ กู ต้อง
ตามทำ� นองคลองธรรม เราตำ� หนิทา่ น ต้องเปน็ บาป
ธรรมะท้ังหลายเป็นของละเอียด ต้องอาศัยการปฏิบัติภาวนา และฟังธรรมอยู่บ่อยๆ
จงึ จะเขา้ ใจธรรมท่ที า่ นเทศน์ได้
ถ้าหากเรายิ่งได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ก็ย่ิงวิเศษมาก ท่านจะได้เทศน์ให้เราฟังทุกวันๆ
เชน่ เดียวกับอาตมาได้อาศัยนัง่ ฟงั เทศน์หลวงปสู่ มิ ทกุ วนั ทั้งเชา้ ทัง้ เย็นตลอดพรรษา จติ เกิดความรู้
ความฉลาดในทางธรรมขึน้ มา
ท่ีฟังธรรมะของหลวงปู่ตื้อไม่รู้เร่ืองน่ะ ก็เพราะเรายังไม่มีพ้ืนฐาน จึงยืนยันได้ว่า
พ้ืนฐานในการปฏิบัติทางจิต เรื่องพระธรรมกรรมฐานท่ีเข้าใจได้ ก็เพราะว่าได้พื้นฐานจาก
หลวงปสู่ มิ พุทฺธาจาโร ตัง้ แตน่ ้นั มาเลยเข้าใจคำ� สอนของท่านแจ่มแจ้งข้นึ อีกแยะเลย
นีเ่ ปน็ ประสบการณใ์ นทางธรรมะ ในทางบ�ำเพ็ญภาวนา ด้วยจติ ใจมีความเช่ือวา่ กรรมฐาน
ให้ผลมาก คอื ความสงบสุข และกไ็ ด้จรงิ ๆ”
มบี างคนเหมือนกันไปฟังธรรมคำ� สอนของหลวงป่แู ล้ว จะซบุ ซบิ กนั ว่า ท่านเอาอะไรมาสอน
ไม่เห็นเป็นธรรมเป็นหนทางเลยสักหน่อย นี่แสดงให้รู้ว่า จิตของผู้พูดเช่นนั้นยังไม่เข้าถึงธรรม
คือความจริงนั่นเอง เพราะหลวงปู่ท่านเทศน์แบบไม่เคยยกย่องใคร ไม่เคยเทศน์เพ่ือเอาใจใคร
เทศน์แต่เรอ่ื งที่เปน็ ความจริงและเป็นปจั จุบนั โดยแท้จรงิ

318

ตอบเร่ืองสวรรค์ในอก นรกในใจ

หลวงปู่ต้อื อจลธมฺโม ทา่ นไมเ่ พยี งแตจ่ ะเทศนาวา่ การเกง่ แลว้ ท่านยังตอบปญั หาธรรมเก่ง
ดงั ครั้งหนง่ึ ขา้ หลวงเมอื งเชยี งใหมไ่ ดก้ ราบอาราธนานมิ นต์พระราชาคณะ ๓ รปู เพือ่ มากราบ
ถามปัญหาธรรมว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ มีจริงหรือ” แต่ก็ไม่มีองค์ไหนตอบได้เป็นท่ีถูกใจ
เป็นที่เขา้ ใจ ทำ� ให้หายสงสัยได้
ข้าหลวงเมืองเชียงใหม่จึงได้มอบหมายให้นายอ�ำเภอไปกราบอาราธนานิมนต์ หลวงปู่ตื้อ
อจลธมโฺ ม เขา้ ไปตอบปญั หาธรรมดงั กล่าว โดย หลวงปู่ต้ือ ตอบวา่
“ท�ำดไี วใ้ นตัวเป็นสวรรค์ ใจสวรรค์
ทำ� ชวั่ ไว้ในตัวเปน็ นรก ใจนรก
หัวอกคนดเี ป็นหวั อกสวรรค์
หัวอกคนบาปเป็นหวั อกนรก
นรกดิบอยู่ในเมืองมนุษย์ คือ หัวใจมนุษย์
สวรรค์ดิบอยู่ในเมอื งสวรรค์ คือ หวั ใจสวรรค์
สวรรค์ที่ ๑ ไม่ฆ่าสตั ว์
สวรรคท์ ี่ ๒ ไมห่ ยิบหยองมองลัก
สวรรค์ท่ี ๓ ไมผ่ ดิ ลกู เมยี ใคร
สวรรคท์ ่ี ๔ ไม่ข้ปี ด
สวรรค์ที่ ๕ ไมก่ ินเหล้า
สวรรคท์ ี่ ๖ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา”
พอท่านเทศน์แจกแจงอย่างนี้แล้ว จึงเป็นท่ีพอใจ เป็นท่ีเข้าใจของข้าหลวงเมืองเชียงใหม่
เปน็ อย่างมาก นบั แตน่ ั้นมาหลวงปตู่ ื้อจึงเปน็ พระป่าทีม่ ชี ่อื เสยี งมากองคห์ นึ่งในสมัยนั้น

319

ตอบค�ำถามเก่ียวกับนิมิตต่างๆ

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านตอบค�ำถามเกี่ยวกับ นิมิต ความรู้ ความเห็น ตลอดถึง
การน่ังสมาธสิ ูก้ บั ผตี า่ งๆ
หลวงปู่ตื้อท่านว่า นิมิตมีหลายแบบ นิมิตนะดีก็มีมาก นิมิตหลงก็มีมาก แต่มันจะดี
หรือมันจะหลอกน้ัน ผู้ภาวนาเป็นมันจะรู้เองหรอก คนท่ีถูกนิมิตหลอกก็เพราะภาวนาไม่เป็น
มันหลงทางนะ
ก็ถา้ นิมิตมันหลอกเอาคนไปกนิ จรงิ พระพุทธเจา้ พระสาวกเจา้ ครอู าจารย์ กค็ งเหลอื แต่
กระดกู เท่านนั้ ซี
คนฉลาด มปี ญั ญา นิมิตมาหลอกไม่ได้หรอก คนโง่นัง่ เซอ่ ไมล่ ืมหลู มื ตาต่างหาก ทนี่ ิมิตพาไป
บ้าบอเสยี สตนิ ะ ก็สติมนั เสียแตแ่ รกแลว้ นะ คนเชน่ นน้ั นะ่
นห่ี ลวงปตู่ ื้อ จึงพดู วา่ คนเราเกดิ มามีทกุ อย่างในตัว มีธาตุ ๔ ดิน นำ้� ไฟ ลม มสี ติ
มคี วามดี มีความโง่ มีปัญญา อยใู่ นนัน้ แหละ เวน้ แต่ว่าเรายังไมไ่ ดฝ้ ึก เรากย็ ังไมร่ ู้ เม่อื ไดฝ้ กึ อบรม
มีองค์พระพทุ โธอยูใ่ นจิตใจแล้ว สมควรแล้ว ก็จะรูส้ ิ่งที่ไมเ่ คยรู้ เหน็ ในสงิ่ ท่ไี มเ่ คยเห็น
ท่ีวา่ รู้ รู้อะไรน่ะ กร็ เู้ ทา่ ทันกิเลส คนมปี ญั ญาต้องร้อู ยา่ งน้ีนะ อยา่ ไปรเู้ ร่อื งอน่ื ๆ ยง่ิ ไปกว่า
รเู้ ท่าทันกิเลส เหน็ น่ะ เหน็ อะไร เห็นหนทางท่ีจะฆ่าจะดบั กเิ ลส เปดิ ประตเู ข้าพระนพิ พานไป
อย่าไปเห็นส่ิงที่เขาไม่อยากให้เห็นนะ อย่าไปเห็นว่าเป็นผัว อย่าไปเห็นว่าเป็นเมียเขามาก่อน
ในอดีตชาติ เป็นตน้
อย่างนี้ หลวงปตู่ ้ือ เคยเปรยี บเทยี บวา่
“มันมองเหน็ เลย ผ้าซ่นิ ของเขาน่ี มนั เปน็ ปญั หานี่ มันเป็นทุกขน์ ี่ มนั ไม่มีปัญญาหลบน่ี
มนั กเ็ ขา้ ไหปลารา้ เก่าแหละเวย้ ”
นี่แหละพระพุทธเจ้ารู้ชัดว่า พระองค์จะขนหมู่มนุษย์ไปได้ไม่หมด เอาแต่คุณภาพ คือ
ผู้มีปัญญาไปนิพพานได้เป็นส่วนน้อย เหมือนใบไม้ในป่า พระองค์เอาไปได้แค่ก�ำมือเดียวเท่าน้ัน
รไู้ หม ทา่ นวา่ อยา่ งน้ี
นิมิตท่ีเกิดจากจิตภายในน้นั เราจะตอ้ งฝกึ ให้เกดิ ความเหน็ ทถ่ี าวร ทำ� อยา่ งไร ?

320

หลวงปูต่ ือ้ ท่านใหข้ อ้ คดิ ดังนี้
“เรือ่ งสมาธิ เร่ืองนมิ ิต ถ้าหากได้ภาวนาอยเู่ สมอๆ ไมม่ ตี วั อยากจนเกินไป อยากรู้อยากเหน็
นะ เป็นตัวกิเลสใหญ่ทเี ดยี วแหละ”

ยกนิมิตของหลวงปู่ม่ันเป็นตัวอย่าง

มผี กู้ ราบเรยี นถามหลวงปตู่ อ้ื วา่ “การภาวนาแลว้ เกดิ นมิ ติ เหน็ สง่ิ ตา่ งๆ (นอกจากตาเนอื้ เหน็ )
เปน็ ไปได้จริงหรอื ไม่นนั้ ”
หลวงปตู่ อ้ื ท่านไดก้ ล่าวโดยยกนมิ ติ ของหลวงปู่มั่นเอาไว้ ดังนี้
“สมยั ที่หลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต ท่านอยู่ท่ีวดั ปา่ บ้านหนองผอื ตำ� บลนาใน อ�ำเภอพรรณานคิ ม
จังหวัดสกลนคร โน้น สมัยก่อนมันเป็นป่าดงพงไพรทั้งนั้น ส่วนหน่ึงก็เป็นทุ่งนาของญาติโยม
ทงุ่ นาก็ด ี ปา่ กด็ ี เวลานน้ั ลำ� บากเร่อื งนำ�้ ใชน้ �้ำอาบมาก
ทนี ม้ี นั มลี �ำธารอยู่แห่งหน่งึ ทกุ วนั หลวงปมู่ ัน่ ทา่ นจะลงไปตกั น้�ำสรงเสมอๆ พอท่านเดนิ ไป
ถึงริมลำ� ธารทา่ นจะถอดรองเทา้ แลว้ เดนิ ออ้ มไปอีกทางหนึ่ง จึงวกกลับมาตกั น้�ำสรงตวั ทา่ น
พอไดส้ รงนำ�้ เสรจ็ ทา่ นก็เดนิ อ้อมไปหยบิ รองเทา้ แลว้ เดนิ กลับกฏุ ิไป
หลายๆ คร้ังเข้า พวกชาวบ้านเขาเหน็ นนี่ ะว่า ท�ำไมหลวงปูม่ น่ั ไปถงึ ตรงนัน้ แลว้ ทา่ นถอด
รองเท้าเดินออ้ มไปอีกทาง ก่อนจะวกมาอาบน�้ำสรงน�้ำทร่ี มิ ธารนัน้
ความจริงท่านเดินตรงไปอีกนิดเดียวก็ถึงล�ำธารแล้ว ท�ำไมท่านจะต้องถอดรองเท้าไว้
แล้วเดนิ ออ้ มทีต่ รงนนั้ ไป
หลวงปมู่ ่นั ทา่ นก็ไม่ได้บอก ไม่ไดเ้ ลา่ เหตุผลของทา่ น ทา่ นคงท�ำอยอู่ ย่างน้นั เป็นประจ�ำ
อยู่หลายปี จนท่านอาพาธหนัก ต้องช่วยกันแบกหามแคร่ของท่านเดินทางไปวัดป่าสุทธาวาส
ในตวั จังหวดั สกลนคร แลว้ ทา่ นก็ละสงั ขารไป
ชาวบ้านหนองผือต่างสงสัยว่า ท�ำไมหลวงปู่ม่ันจึงต้องถอดรองเท้าและเดินอ้อมที่ตรงนั้น
ทุกครง้ั หลังจากหลวงปูม่ นั่ มรณภาพแล้ว ได้พากันขดุ ดู ก็พบพระพทุ ธรปู ฝงั ดนิ อยู่ ณ สถานที่นนั้
จึงได้อัญเชญิ ขน้ึ มาไว้สกั การบชู าต่อไป”

321

แก้ปัญหาการโต้วาที

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระศิษย์หลวงปู่มั่นอีกองค์หนึ่ง ที่เป็นเลิศท้ังด้าน
การเทศนาธรรม และ ด้านการตอบแก้ปัญหาธรรม ดังครั้งหน่ึง ขณะที่ท่านอยู่วัดเจดีย์หลวง
ญาติโยมแบ่งกันเป็น ๒ ฝ่าย พวกหนึ่งว่าของเก่าดี อีกพวกหน่ึงว่าของใหม่ดี โต้วาทีกันอยู่
ยงั ไมย่ อมลงกนั ฝา่ ยชอบของเกา่ วงิ่ มาหาหลวงปตู่ อ้ื ใหไ้ ปชว่ ยแกไ้ ข ฝา่ ยชอบของใหมม่ าจากกรงุ เทพฯ
กับสมเด็จพระสังฆราช จวน อุฏฺายี คนเชียงใหม่จับฉลากได้ฝ่ายของเก่า หลวงปู่ตื้อไปถึงก็
เข้าไปไหวส้ มเดจ็ พระสงั ฆราช แล้วขอโอกาสชแี้ จงวา่ ใครวา่ ของใหมด่ ี ใครว่าของเกา่ ดี ใหร้ ู้ชัดเจน
ทีนที้ ่านกย็ กของเก่าที่ไดจ้ ากพ่อจากแม่ ไลอ่ วัยวะอาการ ๓๒ ออกไป กล็ ้วนแตข่ องเกา่
มีมาหลายปี ไลล่ ำ� ดับจากตัวออกไปหาของข้างนอก พระพุทธรูปเก่า นักบวชตุเ๊ ฒา่ ถ้วยโถโอชาม
สังคโลกลายครามท้ังหลาย หากใครว่าของเก่าไม่ดีก็ให้เอาของใหม่มาแทน ประเทศไทย
ก็ของเก่า โลกน้ีกข็ องเกา่ หากใครวา่ ไม่ใช่ของเก่า ให้หนไี ปอยูป่ ระเทศใหม่ ท่านชแี้ จงไปทกุ แง่
ทกุ มุม จนสดุ ท้ายพวกของใหม่ยอมแพ ้ ยอมจำ� นนตอ่ เหตผุ ล
อกี คราวหน่ึงกเ็ รือ่ ง “พ่อ – แม่ ใครมีคณุ กว่ากัน” หลวงปตู่ ้อื กอ็ อกไปช้แี จงวา่ “มีคุณเทา่ กัน
เสมอกัน พ่อครง่ึ แม่ครึง่ จงึ เกดิ มาเป็นคนได้ หากไม่มีพอ่ กไ็ ม่เป็นคน หากไมม่ ีแม่ก็ไม่เป็นคน”
สุดท้ายพวกโตว้ าทกี เ็ ลิกลากันไปได้

322
ภาค ๒๐ ปาฏิหาริย์ ๓

ปาฏิหาริย์ทั้ง ๓

ปาฏิหาริย์ ส่ิงทนี่ ่าอศั จรรย ์ เรอื่ งท่นี า่ อศั จรรย์
การกระท�ำท่ีให้บงั เกดิ ผลเป็นอศั จรรย์ มี ๓ อย่างด้วยกัน คือ

๑. อทิ ธิปาฏิหารยิ ์ ปาฏิหารยิ ์ คอื ฤทธิ์ แสดงฤทธ์ไิ ด้เปน็ อศั จรรย์ เช่น ล่องหน ดำ� ดิน
เหาะเหนิ เดินฟา้ เป็นตน้

๒. อาเทสนาปาฏหิ าริย์ ปาฏิหารยิ ์ คือ ทายใจได้เปน็ อัศจรรย์ เชน่ การทายใจ การรอบรู้
กระบวนของจิตต ์ อา่ นความคิดและอปุ นสิ ยั ของผ้อู ืน่ ได้เป็นอศั จรรย์

๓. อนุสาสนปี าฏิหาริย์ ปาฏหิ าริย์ คอื อนศุ าสนี คำ� สอนมีผลจรงิ เป็นอศั จรรย์ เชน่ คำ� สอน
เป็นจรงิ สอนใหเ้ ห็นจริง นำ� ไปปฏบิ ัติได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์

ปาฏิหาริย์ใน ๓ อย่างนี้ ข้อสุดท้าย คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ
พระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสริญ

ปาฏหิ าริยท์ งั้ ๓ มีอยู่ในหลักพระพุทธศาสนา ครัง้ พุทธกาล พระพุทธเจา้ ทรงแสดงเอง และ
ในบางโอกาส พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตให้พระอคั รสาวกแสดงปาฏิหารยิ ์ เชน่ คร้ังพระสารบี ุตร
และ พระโมคคัลลานะ กราบทลู ลานิพพาน เป็นตน้ ในครงั้ กึ่งพทุ ธกาลหลวงปู่เสาร์ หลวงปมู่ ั่น
และพระศษิ ย์ เช่น ท่านพอ่ ลี หลวงป่ตู ้อื องค์หลวงตาพระมหาบวั กแ็ สดงปาฏหิ าริย์ท้ัง ๓ ให้
ปรากฏเหน็ กนั อย่บู อ่ ยครง้ั แม้ในอนาคตกาลภายภาคหนา้ หากยังมผี ปู้ ฏิบัตธิ รรม สมควรแกธ่ รรม
ไดบ้ รรลธุ รรมและมอี �ำนาจวาสนาบารมี กส็ ามารถแสดงปาฏิหาริยท์ งั้ ๓ นี้ได้

พระโมคคัลลาน์ กับ พระเทวทัต

เร่ืองอภญิ ญา การมีอิทธิฤทธ์ิ มีหูทิพย์ ตาทพิ ย์ การทายใจคนอืน่ ได้ และ การระลึกชาตไิ ด้
จัดเป็นโลกียอภิญญา ไม่ได้เป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา องค์พระบรมศาสดา
ทรงยกยอ่ งสรรเสรญิ การเขา้ ถึงอรยิ สจั การกระท�ำจติ ใหส้ ะอาดบริสทุ ธ์ิ และเข้าถึงพระนพิ พาน
เป็นบรมสขุ ประเสริฐสุด หากพระสาวกองคใ์ ดกระท�ำจติ ให้สะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ และมีอภิญญาครบทัง้ ๖

323

ด้วยแล้ว คอื ไดอ้ าสวกั ขยญาณ อนั เปน็ โลกุตตรอภญิ ญา ก็จะได้รบั การยกยอ่ งสรรเสรญิ ดงั เร่ือง
ของพระโมคคลั ลาน์ กับ พระเทวทตั ดังนี้

ในครั้งพุทธกาล พระโมคคัลลาน์ เป็นพระอัครสาวกเบ้ืองซ้าย ท่ีได้รับการยกย่องจาก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์มาก ท่านได้ปฏิบัติบ�ำเพ็ญสมถะ–
วิปัสสนากรรมฐาน จนได้คุณธรรมวิเศษบรรลุอริยธรรมขั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วย
ปฏสิ มั ภทิ าญาณและอภิญญา ๖

สว่ นพระเทวทัต เปน็ พระสงฆ์สาวกทบี่ �ำเพ็ญจนไดโ้ ลกียอภญิ ญา แตย่ ังไม่ไดค้ ณุ ธรรมวเิ ศษ
แมข้ นั้ พระโสดา พระเทวทตั เป็นเพียงพระปุถชุ น ที่แสดงฤทธ์ิ เหาะเหินเดินอากาศได้ ล่องหน
หายตัวได ้ ฯลฯ แตม่ กี ิเลสเตม็ หวั ใจ

พระโมคคัลลาน์ ด้วยใจท่บี ริสทุ ธ์ิและมอี ภิญญา ๖ ทา่ นไดเ้ ป็นก�ำลงั ส�ำคญั ในการประกาศ
เผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยท่านใช้ฤทธ์ิให้เป็นประโยชน์ในการทรมานผู้ท่ียังไม่ศรัทธานับถือให้
หนั กลบั มาศรทั ธานบั ถอื และเป็นส่อื ให้กบั ผู้ที่ลว่ งลับไปแลว้ กบั พ่อแมญ่ าติพนี่ อ้ งจะไดบ้ �ำเพ็ญบุญ
อุทิศไปให้ ฯลฯ แม้ท่ีสุดก่อนท่ีท่านจะเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านต้องเสวยวิบากกรรมจาก
คนลัทธิอ่ืนมากลุ้มรุมทุบฆ่าท่าน ท�ำให้ท่านถึงแก่มรณกรรมและร่างกายของท่านก็แหลกเหลว
ทา่ นกใ็ ชฤ้ ทธป์ิ ระสานกายแลว้ เหาะไปกราบทลู ลานพิ พาน องคพ์ ระบรมศาสดากท็ รงประทานอนญุ าต
และให้พระโมคคัลลาน์แสดงฤทธ์ิได้อย่างเต็มท่ีเป็นคร้ังสุดท้ายก่อนเข้าสู่พระนิพพาน อันเป็น
การแสดงถึงคณุ ธรรมวิเศษของท่านผมู้ จี ิตบริสทุ ธน์ิ นั้ สามารถรักษาอภิญญาไมใ่ ห้เสือ่ มได้

สว่ นพระเทวทัต ด้วยใจทเ่ี ตม็ ไปด้วยกิเลสโสมม แมม้ ีโลกียอภิญญา แต่เพราะกิเลสครอบง�ำ
พระเทวทัตจงึ มีความมักใหญ่ใฝ่สงู คดิ ปกครองสงฆ์ เปน็ ก�ำลงั สำ� คัญในการท�ำลายพระพุทธศาสนา
ก่อใหเ้ กดิ สงั ฆเภทเดอื ดรอ้ นไปทว่ั สงั ฆมณฑล โดยท่านใชฤ้ ทธิ์ในทางท่ีผดิ จนองคพ์ ระบรมศาสดา
ทรงสลดสังเวชสะเทือนพระทัยต่อการกระท�ำอันเลวร้ายของพระเทวทัตเป็นที่สุด และทรงเปล่ง
พระวาจาข้นึ ว่า

สกุ รานิ อสาธูน ิ อตตฺ โน อหติ านิ จ,

ยํ เว หติ ญจฺ สาธญุ ฺจ ตํ เว ปรมทกุ กฺ ร.ํ

324

ส่ิงท่ีเลวร้ายท้ังหลาย ทั้งไม่เป็นประโยชน์แก่ตน และไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย
สตั ว์ท่ีชั่วช้าลามกท�ำได้ง่าย สว่ นกรรมใด งานการใดทเ่ี ป็นประโยชนแ์ ก่โลก แก่ตนดว้ ย แกผ่ ้อู ่ืนด้วย
ดีดว้ ย งานนน้ั สัตวป์ ระเภทนี้ทำ� ได้ยากอยา่ งยงิ่

ในท่ีสุดโลกียอภิญญาของพระเทวทัตเส่ือมหมด ภายหลังพระเทวทัตส�ำนึกผิด
จะมากราบทูลขอขมาต่อพระพุทธเจ้า แต่เข้าไม่ถึง เพราะถูกธรณีสูบจมหายหน้าวัดพระเชตวัน
พระเทวทัตตายลงไปเสวยวิบากกรรมในอเวจีมหานรก อันเป็นการแสดงถึงโลกียอภิญญาเส่ือมได้
เพราะกิเลสน้นั ท�ำใหเ้ ส่ือมหมด

ท่านเป็นเลิศในปาฏิหาริย์ทั้ง ๓

หลวงป่ตู ้ือ อจลธมฺโม ท่านเปน็ เลศิ ในปาฏิหารยิ ์ทง้ั ๓ คือ ทา่ นเกง่ ท้ังฤทธิ์ อภิญญา และ
เก่งทางเทศนส์ ั่งสอน ในบรรดาศิษยข์ องหลวงปมู่ ่ัน พระทีม่ ฤี ทธ์มิ าก คอื หลวงปตู่ ้อื อจลธมโฺ ม
และทา่ นพอ่ ลี ธมฺมธโร วดั อโศการาม

สมยั ท่หี ลวงปมู่ นั่ อยู่เชียงใหม่ หลวงปตู่ อ้ื กอ็ ยใู่ นส�ำนกั เดยี วกบั ท่าน อาจอยปู่ ่าหรือท่ไี หน
สักแห่ง ขณะนนั้ พระ ๔ – ๕ รปู กำ� ลังย้อมจีวร ก�ำลงั ต้มแก่นขนุนจนนำ้� เดอื ดพล่าน หลวงปู่ตื้อ
ท่านกอ็ ยู่ท่นี ั่นด้วย มีพระรปู หนง่ึ ถามว่า “เขาวา่ ทา่ นตอ้ื มีฤทธอ์ิ ยา่ งไร” หลวงป่ตู อ้ื ได้ฟงั ดังนนั้
จึงล้วงมอื ลงไปในหมอ้ นำ�้ ท่ีกำ� ลงั เดือดพลา่ น แตม่ ือทา่ นไมเ่ ป็นอะไร

อีกคราวหนึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว พระภิกษุน้ันผิงไฟแก้หนาวกันอยู่ เพราะทางเชียงใหม่
โดยเฉพาะตอนบนยอดดอยนนั้ จะหนาวเหนบ็ ขนาดไหน คงไม่ต้องบรรยาย ขณะนน้ั หลวงปตู่ ือ้
และเพอื่ นกำ� ลังเหลาซกี่ ลด มหี ลายทา่ นเห็นหลวงป่ตู อ้ื ยนื่ แขง้ ใสเ่ ขา้ ไปในเปลวไฟ ไฟไหมเ้ ฉพาะ
ขนหน้าแข้งท่าน เหตุเพราะขนหน้าแข้งท่านยาวรุงรังเกินไป ท่านร�ำคาญ จะโกนก็เสียเวลา
เลยเผาไฟท้ังแข้ง แตแ่ ขง้ ท่านกไ็ ม่เป็นอะไร เรียกว่าทา่ นสามารถบังคบั ได้ว่าให้ไฟไหมส้ ว่ นไหนกไ็ ด้

เรอ่ื งน้ี หลวงปหู่ นบู าล จนทฺ ปญโฺ  ท่านบอกว่า “ไดย้ นิ หลวงปู่เทสก์ หลวงปูฝ่ ั้น และ
หลวงปู่แหวน เป็นผู้เล่า” เพราะท่านเหล่าน้ันเป็นสหธรรมิกรุ่นราวคราวเดียวกัน คือเป็น
ศษิ ย์ผใู้ หญ่ของหลวงปู่มน่ั ภูรทิ ตฺโต ท่ไี ดต้ ดิ ตามหลวงป่มู นั่ ขึ้นเชยี งใหม่

ส�ำหรับในเร่ืองการรู้วาระจิต การทายใจ ตลอดการแสดงธรรม การตอบปัญหาธรรม
เป็นปาฏิหาริย์ ก็เป็นที่ยอมรับในเพื่อนสหธรรมิกและบรรดาศิษย์ว่า หลวงปู่ต้ือท่านเป็น
พระอรหนั ตอ์ ีกองค์หน่งึ ท่ีมีความเป็นเลิศในปาฏิหารยิ ์ท้งั ๓

325

องค์หลวงตาพระมหาบัว ทา่ นไดแ้ สดงถงึ เรื่องปาฏิหาริย์ในทางพระพุทธศาสนา โดยยก
ตัวอยา่ ง พระสารบี ตุ ร และ พระโมคคัลลานะ ขณะมากราบทลู ลานพิ พาน ไว้ดงั น้ี
“พระสารีบุตร มาทูลลาเข้าสู่นิพพาน เวลาพระองค์ทรงรับส่ัง “แล้วแต่กาลอันควร
ของเธอเถิด แต่ก่อนท่ีเธอจะไปจากที่น่ีเพื่อจะไปนิพพาน ให้แสดงธรรมให้พวกน้องๆ ท้ังหลาย
ของเธอฟังเสียก่อน” นี่ในพระเชตวนั นะ
นัน่ พระสารบี ตุ รทราบแลว้ พระองคแ์ ยม้ เพยี งเทา่ นัน้ วา่ ให้แสดงเตม็ เม็ดเต็มหนว่ ยเต็มท่ี
เต็มฐานในวาระสุดท้าย มฤี ทธาศกั ดานุภาพขนาดไหน เอ้า ! แสดงเตม็ ทที่ ง้ั ทางด้านอรรถดา้ นธรรม
การให้โอวาทสั่งสอนและอทิ ธปิ าฏิหารยิ ์ แสดงทง้ั สองอยา่ ง
อิทธิปาฏิหาริย์ก็แสดง อนุสาสนีปาฏิหาริยะก็แสดงเต็มที่ แล้วก็ทูลลาไปและทรงเปิด
โอกาสดว้ ยว่าพระภิกษสุ ามเณรในวดั นี้ อยากจะตามส่งพระสารีบุตรพ่ชี ายของพวกเธอทง้ั หลายก็
ใหไ้ ปไดต้ ามอัธยาศยั คือองค์ใดตอ้ งการไปก็ให้ไปไดต้ ามอธั ยาศยั พระเณรหลัง่ ไหลตามไปต้ัง ๕๐๐
ไปสสู่ ถานท่ีนิพพาน คือ ห้องประสตู ิ หอ้ งเกิดนั่นแหละ ท่านจะไปนพิ พานทีน่ ่ัน
นี่เรากไ็ ดพ้ ูดไปถึงโน้น แตจ่ ุดสำ� คญั เราหมายเอาตรงท่วี ่า เวลาพระสารีบุตรมาทูลลาเข้าสู่
นิพพาน พระองค์ไมท่ รงคัดค้านวา่ ให้รอเสยี ก่อน เพราะจะเป็นการสง่ เสรมิ วฏั จักรแล้วขดั ความจริง
เออ นพิ พานเสยี ก็เหมอื นกับซ้ำ� เติมไปอีก ซงึ่ ขัดต่อความจรงิ เหมอื นกนั จงึ มอบให้ตามเวลาของท่าน
ตามแตก่ าลเวลาของเธอเถดิ กาลอันควรน่ันฟังซิ ตามแต่กาลอนั ควรของเธอเถดิ
เวลาพระโมคคัลลานม์ าทลู ลาเขา้ สนู่ พิ พาน กด็ เู หมอื นหา่ งกนั ๗ วันเท่านนั้ กแ็ บบเดียวกัน
อกี ทรงแสดงแบบเดียวกัน แล้วก็เปิดประตูพระเชตวันโล่งไวเ้ ลย น่ีคอื พีช่ ายของเธอทั้งหลาย...ก็
บอกเลยอย่างนั้นแหละ แล้วก็ใหพ้ ระโมคคัลลานแ์ สดงธรรมให้นอ้ งๆ ท้งั หลายฟังในวาระสดุ ทา้ ย
พระโมคคัลลานก์ ็ฉลาดแหลมคมมากเชน่ เดยี วกัน น่ีแสดงวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงเปดิ โอกาสให้
ทุกแง่ทุกมุมแล้วเวลาน้ี ก็แสดงท้ังอิทธิปาฏิหาริยะ และอนุสาสนีปาฏิหาริยะ คือ การแนะน�ำ
พร่�ำสอนให้เห็นอรรถเห็นธรรม ให้เข้าใจตามหลักความจริงท้ังหลาย และแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
เหาะเหินเดินฟา้ ยงั ไงละ่ พระโมคคลั ลาน์ เหาะข้นึ ไปชั่วล�ำตาลแล้วลงมา แลว้ เหาะข้นึ ไปแล้วลงมา
แสดงธรรมแล้วเหาะขึ้นไปเอาเต็มท่ีเลย แล้วเวลาจะปรินิพพานก็ไปปรินิพพานที่พวกโจรเขาฆ่า
นั่นแหละ น่ีกท็ รงเปดิ ประตูพระเชตวนั เลย พระภกิ ษสุ ามเณรองค์ไหนที่ต้องการไปสง่ พีช่ ายของเธอ
ทง้ั หลายก็ให้ไปตามอัธยาศัย เปดิ โอกาสใหเ้ ลย”

326

เทศน์บารมี ๑๐ ทัศของพระพุทธเจ้า พระสมณโคดม

เทศนก์ ารสรา้ งพระบารมี ๑๐ ทศั ของพระพทุ ธเจา้ พระสมณโคดม พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั
เพราะ หลวงป่ตู ้อื อจลธมโฺ ม ท่านมีอภญิ ญา ๖ จงึ ได้เทศนาแสดงถึงสถานทต่ี า่ งๆ ทพ่ี ระพทุ ธองค์
ได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ไว้อย่างพิสดาร รวมท้ังเทศนายืนยันพระสิทธัตถะราชกุมาร
เม่อื ประสูติแล้ว ทรงพระด�ำเนินได้ ๗ กา้ วทนั ที เพราะจากการสร้างพระบารมี ดงั นี้

“ทานบารม ี พระเวสสันดร อยนู่ ครจำ� ปาศกั ด์ิ ทานลกู ทานเมีย ทานช้าง เขาไลห่ นีไป
อยู่ปา่ ทานชาลี – กณั หา ทานพระนางมัทรี ตายแลว้ เกดิ ใหม่

ศีลบารม ี พระภรู ิทัตต์ พญานาคเผอื ก เกดิ ขนึ้ จงั หวัดเชียงใหม่ อ�ำเภอจอมทอง ภูรทิ ตั ต์
จำ� ศีล นาคเผอื ก ตายเหมอื นกันนะ่ จติ ไมต่ าย

เนกขัมมบารม ี พระเตมยี ใ์ บ้ พรหมโลก เมอื งลังกา ออกบวช ไม่มเี มีย ตายแลว้ เกิดอีก

ปัญญาบารมี  พระมโหสถ กรงุ เทวทหะ มเี มีย มีลกู ๔ หญิง ๒ ชาย ๒ ตายอีก

วิรยิ บารม ี พระมหาชนก ตกนำ้� เปน็ ไทเงีย้ ว มเี มียอย่างมนุษย์ มีลูก ๔ คน ตายอีก

ขันติบารม ี พระจนั ทกุมาร ไมม่ เี มีย ได้เปน็ พระเจ้าแผ่นดิน กต็ ายอีก

สัจจบารม ี พระวิทูรบัณฑติ กรงุ สโุ ขทัย อนั นี้กบ็ ม่ ี (ไมม่ )ี เมีย ตายอกี

อธิษฐานบารม ี พระเนมริ าช ลกู พระเจา้ บปุ ผาวดมี หานครเมืองอังวะ ขนั ธจ์ ะขาด ฆ่าก็
บ่ (ไม)่ ตาย พระอนิ ทรม์ าชว่ ย ตายอีกน่นั แลว้

เมตตาบารม ี พระสุวรรณสาม มอญเมืองหงสา อิสรบัญฑติ มเี มยี ตายจากนน้ั ไป
พรหมโลก

อเุ ปกขาบารม ี พระพรหมนารท กรุงกบิลพสั ดุ์ นล่ี ่ะ หัวใจศาสนา

พรหมองคท์ ห่ี นงึ่ พระเจ้าสทุ โธทนะ พรหมองค์ทส่ี อง พระเจา้ สริ มิ หามายา ลงมาเกดิ
เมอื งกบลิ พสั ดุ์ พระเจ้าพมิ พิสารอยู่ด้วยกนั มหาพรหมลงมาเกดิ เปน็ ลกู ของพระเจ้าจกั รพรรดิ
เกดิ มาแลว้ นะ่ เดอื น ๖ เพ็ญ วนั พธุ คุณยายไปสวนดอกไม้ คลอดพระราชบตุ รเสดจ็ เจด็ ก้าวตีน
ปราชญ์ไทยวา่ เสดจ็ เจ็ดพระนคร ไมใ่ ช่ทั้งน้ัน

327

ทานบารมีเปน็ ทานที่หนงึ่ อานสิ งส์เวสสนั ดร ศลี ท่สี อง เนกขมั มะที่สาม ปญั ญาทสี่ ่ี วริ ิยะ
ทห่ี า้ ขนั ติทห่ี ก สจั จะทีเ่ จ็ด เสดจ็ เจด็ กา้ วตนี ”

เรื่องกราบสรีระศพพระมหากัสสปะ

เรื่องสรีระศพของพระมหากัสสปะเถรเจ้า พระอรหันตสาวกองค์ส�ำคัญที่เป็นเอตทัคคะ
เลศิ ทางด้านธดุ งควตั รของพระพุทธเจา้ สมณโคดม พระพุทธเจา้ องคท์ ่ี ๔ ของภทั รกัปน้ี ท่ียงั รอ
การถวายพระเพลิงบนฝา่ พระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรย พระพทุ ธเจา้ องคท์ ่ี ๕ ของภทั รกัปนี้
ซึ่งจะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลอีกยาวไกลแสนไกลนั้น เป็นต�ำนานเร่ืองจริง เรื่องอัศจรรย์ล้ีลับ
อีกเรื่องหนง่ึ ทพ่ี อ่ แมค่ รูอาจารยส์ ายท่านพระอาจารย์มนั่ ภรู ทิ ตฺโต ได้กลา่ วยนื ยันวา่ เป็นเร่อื งจรงิ
เชน่ หลวงปูต่ ้ือ อจลธมฺโม หลวงปสู่ ิม พทุ ธฺ าจาโร รวมทงั้ หลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนโฺ น
ซง่ึ หลวงตาท่านได้เทศน์ไว ้ ดังนี้
“... พระกสั สปะ ในต�ำรายงั บอกไวว้ ่ายงั ไมไ่ ด้เผา ศพพระกัสสปะน่ี ทา่ นมีกรรมอะไรๆ
เกี่ยวโยงกับพระอริยเมตไตรย ดูว่าพระอริยเมตไตรยจะเอาอัฐิของพระกัสสปะมาเผาที่
ฝา่ พระหัตถ์เลยว่าง้นั ใชไ่ หม ในปฐมสมโพธิ เราอ่านนานแลว้ มันลมื เหล่าน้ีผ่านมาหมดแลว้ แตม่ ันลืม
ท่านมีกรรมเกี่ยวโยงกัน พระกัสสปะเป็นช้างบอกนอนสอนง่ายทุกอย่างๆ ท่านก็อยากชมเชย
ช้างตัวเองวา่ งั้นใชไ่ หม แล้วไดย้ ินไปถึงหพู ระราชา พระราชากพ็ ระราชาเทวทัต เรยี กเข้ามาเฝา้
ช้างเธอนนั้ บอกนอนสอนงา่ ยทกุ อยา่ งไดห้ มดใช่ไหม ใช่ บอกเลย ถ้างั้นบอกให้จับเหล็กแดงไดไ้ หม
ได้ สง่ั ท�ำอะไรได้อย่างนัน้ ๆ พระราชากเ็ ลยสั่งเผาเหล็กแดงใหช้ า้ งจบั ดูซินะ่
เจ้าของช้างก็เลยน้�ำตาร่วง มาพูดให้ช้างฟังให้ช้างตัดสินใจเอง เพราะความรักช้าง
บอกอะไรได้อยา่ งนนั้ เลยมาเลา่ ให้ชา้ งฟัง “เออ๊ ! เราได้ผิดพลาดไปแลว้ ไปหาพระราชากเ็ พราะ
ความดขี องเธอนัน่ แหละ วา่ อะไรๆ ไม่เคยขดั เคยแย้ง ทำ� ตามหมดทุกอยา่ ง พระราชาก็มารบั ส่ัง
ถามเราว่าใหจ้ บั เหลก็ แดงไดไ้ หม ก็บอกว่าได้” ใหฝ้ นื น้ีไม่ฝืน มาเล่าให้ชา้ งฟัง “ถ้าหากว่าเธอไม่จับ
เราก็คอขาด ถ้าจับเธอก็ตาย เราก็ยังอยู่ ให้เธอเลือกเอา” บอกให้ช้างเลือก ช้างเลือกทางจับ
นัน่ เหน็ ไหม เพราะรกั นายเขา้ ใจเหรอ จับเหลก็ แดงกเ็ ลยตาย เรอ่ื งราวเป็นอยา่ งน้นั
ดวู า่ พระกัสสปะน้ยี ังไม่ได้เผาศพนะ อยู่ในเขาสามลูก วสิ ัยของธรรม ใครจะไปคาดไมไ่ ดน้ ะ
พระพทุ ธเจ้ารอ้ื ฟื้นข้นึ มาจากความจริงทั้งน้นั เปน็ วสิ ัยของธรรม เราจะไปคาดดน้ เดาด้วยอ�ำนาจ
ของคลงั กเิ ลสนไ้ี มไ่ ด้ พระกัสสปะเวลานี้กย็ ังไม่ไดเ้ ผาศพ มันเก่ยี วโยงกนั กบั พระศรอี ริยเมตไตรย
ที่ให้ช้างจับเหล็กแดง แล้วพระอริยเมตไตรยจะเอาอัฐิของพระกัสสปะมาเผาที่ฝ่าพระหัตถ์แก้กัน
ที่ให้ช้างจับเหลก็ แดง มอี ย่างนั้นในหนังสอื ปฐมสมโพธ”ิ

328

ส�ำหรับ หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ท่านได้เล่าเรื่องที่ท่านไปกราบสรีระศพพระมหากัสสปะ
ไว้ดังนี้
“พระอรหนั ต์ในเมืองไทยของเรา เอหภิ ิกขุ ๕๐๐ พระองค์ แตย่ งั ๒ พระองค์ อุตตระรสั สี
อตั ถะทีรสั สี จงั หวดั เชยี งตงุ เมอื งฟา้ หยาด ยังไมท่ นั ถวายพระเพลิง ต่อเมอ่ื พระอริยเมตไตรยมา
จะถวายพระเพลิง
หน่งึ พระกัสสปะอยทู่ ่ภี ุก่ิง เด๋ยี วนีเ้ วลาน้ี ฝร่ังเศสเรยี กว่าเนปาล นั่น เปล่ยี นไป เดิมที
เมอื งภกุ ่งิ อยู่เนปาล นน่ั องค์นั้นกย็ ัง จังหวดั เชยี งตุงน ้ี ยงั มี ๓ องค์
ขอโทษ ขอกราบ ขอไหว้ เจ้าปู่เจ้าตา กัสสปะที่อยู่เมืองภุกิ่งน้ัน ข้าพเจ้าได้ไปกราบ
ไปไหวแ้ ล้ว แตข่ อโทษขอกรรม แตข่ นั ธ์บ่ไดไ้ ปน่ะ
เจ้าคุณปู่ เจ้าคุณตา สมเด็จสังฆราช ว่าใจพาไปก็ไม่ใช่ เรียกว่า ธรรม ไปท่ีหน่ึง
ไปปนั ศลี ใหย้ ายขาวผู้บงั บน (บงั บด) นายดวงค�ำเข้าไม่ได้ เวลาน้ันกลางพรรษา เทพยกั ษไ์ ม่เปดิ
อยูม่ าได้ ๓ ปี ไปได้ ผูม้ ามบี ุญนี้ เรียกวา่ นายแก้วมณี
ไปถงึ แล้ว นนั่ ละ่ นายแกว้ มณีวา่ ไดถ้ ามว่า “นาย นายทำ� ยงั ไง ?”
“ขอโทษ ทา่ นอาจารยถ์ ือพทุ โธหรือ ?”
“ครบั ”
“ก้มศรี ษะวา่ พทุ โธจกั๊ (สัก) ที” นน่ั
เอาใสไ่ ขออก นี้ตาม ตามนิมิต วา่ ฝันก็ไมใ่ ช่ ว่าไมฝ่ ันก็ไมใ่ ช่ ตง้ั พุทโธ ๗ ที เอาศีรษะใส่
ไขออก ฟบึ ลกู ตา แต่เขา้ ไปทางตีน เอาหัวเขา่ ย่าง (เดิน) เดนิ มาถึงหัว
มาถึงหวั แล้ว นอนขวางพระอาทติ ย์ นน่ั น้ลี ะ่ ยาวประมาณสกั ๕ ศอก เตียงสูงประมาณ
ศอกหนึ่ง แล้วมีเพชรอย่างลูกตีหย่อนลงมา แจ้งหมด ไม่มีปิดผ้า เอาผ้าห่มเอา ตีนเห็นอยู่
มือนอนซบหนา้ อกอยู่ งามทส่ี ดุ เขีย้ วกไ็ มห่ ลอ่ น (ไม่โยก – หรอื ไม่หลดุ ) ไดก้ ราบได้ไหว้ ขอโทษ
จนเอาจมกู ดม ไมม่ ีหอม ไม่มเี หมน็
เม่อื เป็นเชน่ นนั้ กก็ ราบ ๓ ที กราบ ๓ ทกี ็ออกมา ออกมาทางเกา่ พอออกแลว้ ประตูเลือ่ น
ก๊ึก ! สะดุ้ง ! นอนอย่สู ิ น่ี จะว่าฝันกไ็ ม่ใช่ พอก๊ึก สะดุง้ ! นอนอย่ใู นขันธส์ ิ

329

นี่แหละ ใครจะว่าข้าพเจ้าเป็นคนปดก็เป็นหน้าที่ จะว่าข้าพเจ้าข้ีปดก็เป็นหน้าท่ี
นค้ี วามจริงของขา้ พเจ้าได้ทำ� ความดีมาอย่างน้ี ขอถวายค�ำอันน้ี ใครวินจิ ฉัยอนั นี้ วนิ ิจฉยั ไปเถอะ
จนตายกไ็ ม่รู้ หมน่ื ชาติก็ไมร่ ู้ ถา้ แม้อานิสงสท์ ี่เจริญพุทโธใหผ้ ล เปน็ นิสยั พระนพิ พาน ย่อมเหน็
เอตํ พทุ ฺธาน สาสนนตฺ ตี ิฯ
เอา้ ! ซ�ำน่ลี ะ่ (เทา่ นลี้ ะ่ )”
และหลวงปู่ต้ือได้เล่าเร่ืองกราบสรรี ะศพพระมหากสั สปะให้หลวงปู่จามฟงั ว่า
“ผขู้ ้าฯ กไ็ ปมาแล้วละ่ ทา่ นจามเอ๊ย ไปกราบไหว้มาแล้ว ที่ตง้ั ศพพระมหากสั สปเถระ
วงนอกภเู ขา ๗ ลูก ตอ่ ๆ กนั เป็นวงภูเขา วงในมีภูเขา ๓ ลกู ซอ้ นเหล่ือมกนั อยู่ตรงกลางลกึ ใต้
พืน้ ภูเขา ๓ ลูกนัน้ แหละทีศ่ พพระมหากัสสปเถระตงั้ อยู่ หนั หวั ไปตะวันออก เอาเท้าไปตะวนั ตก
มีเทพยักษ์รักษาอยู่นอกด่าน ๑ ด่าน ๒ พวกเทวดากับพวกนาค ด่านสุดท้ายเป็นพวก
เทพครุฑรักษาอยู่อย่างใกล้ชิด เขาจะรักษาไว้จนกว่าศาสนายุคของพระศรีอารย์จะมาตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจา้ แลว้ เตโชธาตขุ องทา่ นจะเผาศพของทา่ นเอง ?”

ญาณหย่ังรู้หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

ท่ีอยูข่ องมนษุ ย์ หรือ มนสุ สภูมิ นน้ั อยบู่ นพื้นดิน (หรอื เรยี กว่า ดาวเคราะห)์ ลอยอยู่
กลางอากาศในระดับเดียวกับไหล่เขาพระสุเมรุ (เขาสเิ นร)ุ ตง้ั อยใู่ นทศิ ท้ัง ๔ ของเขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล (หรือทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียกว่า กาแล็กซี) ผืนแผ่นดินใหญ่
(ดาวเคราะห์) ท้ัง ๔ ทล่ี อยอยู่ในทิศท้งั ๔ เรียกว่า “ทวีป” มชี ือ่ และท่ตี งั้ ดังนี้
ปพุ พวเิ ทหทวปี ตัง้ อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสเุ มรุ
อมรโคยานทวีป (อปรโคยานทวปี ) ต้งั อย่ทู างทิศตะวนั ตกของเขาพระสุเมรุ
ชมพทู วีป (โลกมนุษยท์ เี่ ราอยู่) ต้งั อยู่ทางทิศใตข้ องเขาพระสเุ มรุ
อตุ รกุรทุ วปี ตง้ั อย่ทู างทศิ เหนอื ของเขาพระสุเมรุ
ทวีปใหญ่ท้ัง ๔ น้ี มี ๓ ทวีปต้ังอยู่นอกโลกใบนี้ โดยมีหลักฐานยืนยันจากพระไตรปิฎก
และจากค�ำบอกเลา่ ของพ่อแมค่ รอู าจารย์วา่ มีจริง ดงั นี้

330

ในครัง้ พุทธกาล พระโมคคลั ลานะ พระอรหันต์ผเู้ ปน็ เอตทคั คะด้านฤทธิ์ ไดก้ ราบทูลขอ
พระพุทธเจา้ ไปบณิ ฑบาตทีอ่ ุตรกุรุทวปี ในคร้งั กึง่ พทุ ธกาล หลวงปู่ตอื้ อจลธมฺโม พระอรหันตศ์ ษิ ย์
หลวงปมู่ ั่น ผูเ้ ปน็ เลศิ ดา้ นฤทธิ์ ท่านได้บอกกับพระศิษยว์ ่า “อมรโคยานทวปี ทา่ นเคยไปเห็นอยู่”
ทวีปใหญ่ท้ัง ๔ เราทุกคนไปเกิดไปตายมาแล้ว เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา แต่
การบำ� เพ็ญบารมนี ั้นทำ� ไดม้ ากเฉพาะในโลกชมพทู วีป คอื โลกของเราน้ีเอง
ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวใน ๔ ทวีป ท่ีพระโพธิสัตว์ท้ังหลายเลือกลงมาตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจา้ เพราะอายุขยั ของมนษุ ยใ์ นชมพทู วีปมีก�ำหนดไม่แน่นอน มนุษยใ์ นชมพทู วปี นี้
จึงไม่ประมาทมากนัก พอท่ีพระพุทธเจ้าจะแสดงพระธรรมเทศนาส่ังสอนให้ตรัสรู้ตามได้
ซ่งึ แตกตา่ งจากมนุษย์ในทวีปอ่ืนที่เหลืออีก ๓ ทวปี คอื
มนุษย์ในปุพพวิเทหทวีป มอี ายยุ ืนได้ ๑๐๐ ปีจงึ ตาย
มนษุ ย์ในอมรโคยานทวปี มอี ายยุ ืนได้ ๔๐๐ ปจี งึ ตาย
มนษุ ย์ในอตุ รกรุ ุทวปี มอี ายุยืนได้ ๑,๐๐๐ ปจี งึ ตาย
และเหตทุ ี่มนุษย์ท้งั ๓ ทวปี น้ี มอี ายยุ นื และมกี �ำหนดแน่นอนเพราะมนษุ ยท์ ง้ั หลายมปี กติ
รกั ษาศีล ๕ อยเู่ สมอ
อตุ รกรุ ุทวีป พระโมคคลั ลานะเถระ พระอคั รสาวกเบ้ืองซา้ ย และเปน็ เอตทัคคะด้านฤทธ์ิ
เคยกราบทลู ขอพระพทุ ธเจา้ ไปบณิ ฑบาตทีท่ วีปน ้ี ดังปรากฏในพระไตรปฎิ ก ดงั น้ี

พระมหาโมคคลั ลานะเปลง่ สีหนาท
“[๖] คร้งั นนั้ ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะเขา้ ไปเฝ้าพระผ้มู พี ระภาค ถวายบังคมแลว้ น่งั
ณ ท่ีควรสว่ นขา้ งหนง่ึ ไดก้ ราบทลู คำ� น้แี ดพ่ ระผ้มู ีพระภาคว่า พระพุทธเจา้ ข้า บดั นี้เมือง
เวรัญชา มีภิกษาหารน้อย ประชาชนหาเลย้ี งชีพฝดื เคือง มีกระดกู คนตายขาวเกล่ือน ตอ้ งมีสลาก
ซ้อื อาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถอื บาตรแสวงหา กท็ �ำไม่ไดง้ า่ ย พระพุทธเจ้าขา้
พื้นเบอ้ื งลา่ งแหง่ แผน่ ดินผนื ใหญ่นสี้ มบรู ณ์ มีรสอันโอชา เหมือนน้�ำผ้งึ หว่ที ่ีไมม่ ตี ัวออ่ น
ฉะนัน้ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระพทุ ธเจา้ จะพึงพลิกแผ่นดนิ ภกิ ษุทงั้ หลายจกั ไดฉ้ ันงว้ นดิน
พระพุทธเจา้ ขา้ .


Click to View FlipBook Version