The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-03-06 19:27:08

ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

Keywords: ประวัติท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม

131

เมอ่ื หลวงปเู่ กาะแพไปถงึ อกี ฝง่ั แลว้ จงึ ไดพ้ บถำ้� พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ตามทห่ี ลวงปมู่ นั่ ไดพ้ บเหน็
ในนิมิต เป็นถ�้ำที่ใหญ่โตกว้างขวางและสวยงามมาก อากาศโปร่งสบาย พื้นถ�้ำสะอาดสะอ้าน
เหมือนกับมคี นดูแลปัดกวาดเปน็ อย่างดี
หลวงป่ตู ื้อไดเ้ ขา้ ไปสำ� รวจภายในถ้�ำ ในถำ�้ นัน้ มแี สงสวา่ งอยู่ในตัว แมเ้ ดนิ ลกึ เขา้ ไปกไ็ มม่ ดื
ถำ้� นม้ี ีลกั ษณะพิเศษกวา่ ถำ�้ อน่ื จริงๆ
ลักษณะของถ้�ำ กว้างและยาวลึกเข้าไปข้างในเขา ด้านหลังถ้�ำออกไปมีแอ่งน�้ำธรรมชาติ
นำ้� ใสสะอาดน่าด่ืมกิน ด้านนอกถำ้� ออกไปขา้ งหลังมปี า่ ไม้ประเภทไมผ้ ลที่อุดมสมบูรณ์ ใบเขยี วชอุ่ม
เหมอื นไดร้ บั การดูแลอยา่ งดี
ดา้ นนอกถำ�้ ที่อยสู่ งู ท่ีสุดเป็นหน้าผาท่สี ูงชนั มาก คงไมม่ ใี ครข้นึ ไปได้ หรือวา่ ถา้ ข้ึนไปได้แล้ว
ก็คงไม่คิดลงมาอีก
หลวงปตู่ ้ือ ได้นัง่ สมาธภิ าวนาอย่นู าน พบวา่ มีพวกกายทพิ ยเ์ ขา้ มาหาทา่ น และพบวญิ ญาณ
ชีปะขาวน้อยรูปหนึ่ง เป็นผู้เฝ้าดูแลรักษาถ�้ำแห่งน้ี ชีปะขาวน้อยบอกหลวงปู่ว่า “พระปัจเจก–
พุทธเจ้า ท่านไม่ไดอ้ ยู่ทถี่ ้�ำน้นั แลว้ ” แลว้ ชีปะขาวน้อยก็หายไปทางหลังถ�้ำ

หลวงปู่ม่ันบอกเรื่องบ่อน้�ำทิพย์

หลวงปู่ตื้อ อจลธมโฺ ม ไดไ้ ปสำ� รวจและพกั บ�ำเพญ็ ภาวนาอยภู่ ายในถ�้ำพระปัจเจกพุทธเจา้
จนครบ ๕ วัน เสบยี งจวนหมด จึงไดพ้ าหม่คู ณะเดนิ ทางกลับลงมาทางเดมิ จากหนงั สือประวตั ิ
ท่านพระอาจารยม์ ่นั ภูรทิ ตฺตเถร โดยทา่ นอาจารย์พระมหาบัว ไดบ้ นั ทึกไวด้ ังนี้
“พระและโยมไดพ้ ากันขน้ึ ไปดตู ามค�ำทีท่ ่านบอก เมื่อข้ึนไปถงึ แล้วปรากฏวา่ ถ�้ำนั้นสวยงาม
และกวา้ งขวางมากดงั ทท่ี า่ นวา่ จรงิ ๆ อากาศปลอดโปรง่ สบายนา่ อยมู่ าก พระเกดิ ความชอบใจอยากพกั
อยู่บ�ำเพ็ญสมณธรรมเป็นเวลานานๆ แต่จ�ำเป็นด้วยท่ีโคจรบิณฑบาตไม่มี เพราะถ�้ำอยู่สูงและ
ห่างไกลจากหม่บู ้านมาก พอเสบยี งจวนหมดจ�ำต้องลงมา
เมอ่ื ลงถึงทพี่ กั ทา่ น (หลวงปมู่ ่ัน) ถามว่าเปน็ อย่างไร ถ้�ำสวยงามน่าอยู่ไหม ผมเห็นใน
นมิ ิตภาวนารู้สกึ ว่าถ้�ำนน้ั ทงั้ กว้างขวางและสวยงามมาก จึงอยากใหห้ มู่เพือ่ นขนึ้ ไปดู ใครๆ คงจะ
ชอบกนั แนๆ่
แตก่ อ่ นผมกไ็ มไ่ ดส้ นใจพจิ ารณาวา่ จะมสี ง่ิ แปลกๆ อยใู่ นเขาลกู น้ี แตพ่ อพจิ ารณาจงึ ทราบวา่
มีของแปลกและอัศจรรย์อยู่ที่นี่มากมายหลายชนิด ในถ�้ำที่พวกท่านข้ึนไปดูนั้น ยังมีรุกขเทพ

132

อารกั ขาอยเู่ ป็นประจ�ำตลอดมามิได้ขาด ใครไปทำ� อะไรท่ีไม่สมควรในท่นี ั้นไมไ่ ด้ ตอ้ งเกดิ เป็นตา่ งๆ
ข้ึนมาจนได้
ขณะท่สี ง่ั ให้พวกท่านขึ้นไปดู ผมกล็ ืมบอกว่า ท่นี ั้นมีพวกเทพฯ อารักขาอยู่ ควรพากัน
ส�ำรวมระวังมรรยาทและอาการทุกส่วน อยา่ ไปส่งเสียงอือ้ องึ ผิดวิสัยของสมณะ เกรงวา่ จะเกิดความ
ไม่สบายตา่ งๆ ขึ้นมา เพราะความไมพ่ อใจของพวกเทพฯ ทอี่ ารกั ขาอยู่ในสถานทนี่ ้ัน อาจบันดาลให้
เปน็ ตา่ งๆ ได้
พระทข่ี นึ้ ไปไดก้ ราบเรยี นทา่ นตามท่ไี ดป้ ระสบมา และแสดงความประสงคอ์ ยากอย่ถู ้�ำน้นั
เปน็ เวลานานๆ ท่านตอบว่า แม้จะสวยงามและน่าอยู่เพยี งไรก็อยไู่ มไ่ ด้ เพราะไม่มีข้าวจะกนิ
ดงั นี้ อาการทที่ า่ นพูดกับพระท่ไี ปดถู �้ำกลบั ลงมา เป็นคำ� พดู ธรรมดาๆ ประหนึ่งท่านเคยเห็นถ�ำ้ นนั้
ด้วยตามาแลว้ หลายครั้ง ท้ังที่ไม่เคยขน้ึ ไปเลย เพราะอยสู่ งู และชัน ขึน้ ลงล�ำบากมาก แต่กลบั
ถามว่านา่ อยไู่ หม ซึง่ เป็นคำ� พดู ออกมาจากความแนใ่ จจรงิ ๆ มไิ ด้สงสยั ว่าความรู้ทางด้านภาวนา
จะโกหกหลอกลวงเลย
ทที่ า่ นเตอื นพระใหพ้ ากนั สำ� รวมระวงั เวลาพกั อยใู่ นทต่ี า่ งๆ ไมเ่ ฉพาะเพยี งถำ้� นน้ั แหง่ เดยี วนนั้
เก่ียวกับพวกเทพฯ ท่ีสถิตอยู่ในที่นั้นๆ ซึ่งชอบความเป็นระเบียบงามตาและชอบสะอาดมาก
เวลาพวกรุกขเทพฯ มาเหน็ อากัปกิริยาของพระทจี่ ดั วางอะไรไว้ไมเ่ ป็นระเบียบ เชน่ การหลบั นอน
ไมม่ มี รรยาท นอนหงายเหมือนเปรตทิ้งเนอื้ ทิ้งตวั บ่นพึมพ�ำดว้ ยการละเมอเพ้อฝันไปตา่ งๆ เหมือน
คนไม่มสี ติ แม้จะเปน็ สิ่งทีส่ ดุ วสิ ัยของคนนอนหลับจะรักษาไดก้ ต็ าม แต่พวกเทวดามีความอดิ หนา
ระอาใจอยูเ่ หมือนกัน และเคยมาเล่าใหท้ ่านอาจารยม์ ่ันทราบเสมอ
และเลา่ วา่ พระซ่งึ เป็นเพศท่ีนา่ เล่อื มใส และเยน็ ตาเย็นใจแกโ่ ลกทไ่ี ด้เห็นได้ยิน จึงควร
ส�ำรวมระวังกิริยามรรยาท ทั้งการหลับนอนและเวลาปกติ พอเป็นความงามตาเย็นใจแก่ตนและ
ทวยเทพ ตลอดมนุษย์ทั้งหลายบ้าง ไมแ่ สลงตาแสลงใจจนเกินไป เมอื่ ยังพอมีทางรกั ษาไดอ้ ยู่
ไม่อยากให้เป็นไปแบบฆราวาสซ่ึงไม่มีขอบเขต หรือปล่อยไปตามยถากรรมจนเกินไป เพราะ
ส่ิงเหลา่ นย้ี ่อมอย่ใู นวิสยั ของพระจะท�ำได้
การมาเลา่ เร่อื งทง้ั น้มี ไิ ดม้ ่งุ ม่นั มาตำ� หนิติเตยี นพระว่าไมด่ โี ดยถา่ ยเดยี ว แตเ่ ทวดาท้งั หลาย
ก็มีส่วนแห่งความดีและเจตนาหวังเทิดทูนพระศาสนา พร้อมท้ังมีความพอใจกราบไหว้พระสงฆ์
ผู้มมี รรยาทอันดปี ระจำ� นิสัยของพวกเทวดาเหมอื นกัน จงึ ใคร่ขอกราบทา่ นเพอื่ ได้ตกั เตือนพระสงฆ์
ท่ีเป็นลกู ศิษยไ์ ดต้ ั้งอยูใ่ นทา่ สำ� รวม พอเปน็ ท่งี ามตาแก่มนษุ ย์มนา ตลอดเทวดา อินทร์ พรหม
ท้ังหลายบ้าง เทวดาท้ังหลายก็จะพลอยมีส่วนเพิ่มพูนความเคารพเลื่อมใสขึ้นอีกมากมายจาก

133

ความดขี องพระทน่ี ่าเลอื่ มใส นีเ้ ปน็ คำ� ของพวกเทวดามาเล่าถวายท่าน
ดังนั้น เวลาท่านกับพระลูกศิษย์พักอยู่ในป่าในเขาลึก ซึ่งเป็นที่สถิตของพวกรุกขเทวดา
ทา่ นจึงคอยเตือนพระอยเู่ สมอเกยี่ วกบั การวางบรขิ ารเครือ่ งใชส้ อยตา่ งๆ ให้เปน็ ระเบยี บเรียบร้อย
ตลอดผ้าเช็ดเทา้ ท่านกส็ ง่ั ให้พบั และเกบ็ ไวอ้ ยา่ งเปน็ ระเบยี บ ไม่ใหท้ ง้ิ ระเกะระกะ การขบั ถ่าย
ก็ใหเ้ ป็นท่ีเป็นทาง และก�ำหนดทศิ ทางว่า ควรจะท�ำส้วมส�ำหรับถ่ายในท่ีเชน่ ไร บางคร้ังท่านกส็ ง่ั
พระตรงๆ เลยวา่ ไม่ใหไ้ ปท�ำสว้ มหนกั ส้วมเบาทางทศิ นัน้ หรอื ตน้ ไม้น้ัน เพราะพวกเทวดาที่สถติ อยู่
หรือเทวดามาทางทิศน้นั จะรงั เกียจและยกโทษเอาดังนก้ี ็มี
ถ้าเป็นพระที่รู้เร่ืองของพวกเทวดาได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่หนักใจท่ีท่านอาจารย์ต้องบอกกล่าว
เพราะทา่ นองคน์ นั้ ยอ่ มทราบวธิ ปี ฏบิ ตั ติ อ่ เทวดาโดยถกู ตอ้ ง และพระทเ่ี ปน็ ลกู ศษิ ยท์ า่ นพระอาจารยม์ นั่
มคี วามสามารถในทางน้อี ยู่ไมน่ อ้ ย เป็นแตค่ วามรขู้ องทา่ นเปน็ ประเภทป่าๆ จงึ ไมอ่ าจแสดงตัว
อย่างเปิดเผย กลัวนกั ปราชญจ์ ะหวั เราะเยาะ เราพอทราบได้เวลาท่านสนทนากนั เร่ืองเทวดา
ประเภทและภูมิตา่ งๆ กนั มาเยี่ยมทา่ น เขามเี ร่อื งอะไรบ้างมาสนทนา หรอื ถามปญั หาท่าน ท่านน�ำ
มาเล่าสู่กนั ฟงั เราก็พลอยทราบภมู จิ ิตใจท่านทเี่ กีย่ วกับทางนไี้ ปดว้ ย”
เมื่อการสนทนาถงึ ถ�ำ้ พระปัจเจกพทุ ธเจ้าจบลง หลวงป่มู ั่นทา่ นได้พูดข้ึนว่า “ทำ� ไมพวกท่าน
ถึงไมเ่ ลยพากนั ขึ้นไปดูบอ่ นำ้� ทพิ ย์ ท่อี ยูข่ ้างหลังถ้�ำนน้ั ดว้ ยละ่ บ่อนำ�้ ทพิ ย์ศกั ดิส์ ิทธ์นิ ัน้ ถ้าหากใคร
ไดอ้ าบและดม่ื เป็นการชุบตัวแลว้ จะมีอายยุ ืนถงึ ๕,๐๐๐ ปี สามารถเหาะเหนิ เดนิ อากาศไดด้ ว้ ย”
หลวงปู่ต้ือกราบเรียนทา่ นพระอาจารย์ใหญว่ ่า “กระผมขึน้ ไปเหมือนกนั ขอรบั แตพ่ อขนึ้ ไป
บนหลังถ�ำ้ น้นั ปรากฏว่าเป็นหนา้ ผาทีส่ ูงและชันมาก สงู ราวๆ ๑๐ – ๑๕ วา ขึ้นไปมไิ ดข้ อรบั เพราะ
หน้าผาชนั จรงิ ๆ ทางอื่นทจ่ี ะขึ้นไปก็ไม่มี กระผมเดนิ ดูรอบๆ ตงั้ ๒ – ๓ รอบ ถ้าหากขึ้นไปได้
กค็ งลงมาไมไ่ ด”้
ท่านพระอาจารย์ใหญ่ จงึ ตอบวา่ “พวกเราคงไม่มบี ญุ วาสนาบารมที ่จี ะเหาะได้ล่ะมง้ั จงึ ได้
พากันเดินลงมาจนเทา้ แตกหมด ถ้าหากว่าข้นึ ไปได้ก็คงลงมาไมไ่ ด้ แตข่ นึ้ ไปไดแ้ ละลงมาไดอ้ ย่างนี้
ก็สามารถมากแล้วล่ะ”

134

สาเหตุท่ีหลวงปู่ต้ือส�ำรวจถ�้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า

จากประวตั หิ ลวงปชู่ อบ านสโม ไดบ้ นั ทกึ สาเหตทุ ห่ี ลวงปตู่ อื้ สำ� รวจถำ�้ พระปจั เจกพทุ ธเจา้
ไวด้ งั นี้
“ตอนอยู่ดอยเชียงดาว องค์ท่านหลวงปู่มั่นนิมิตเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาเย่ียม
และสนทนาธรรมกบั องค์ท่าน พระปัจเจกพุทธเจา้ บอกหลวงปมู่ ่ันวา่ “ทา่ นนพิ พานอยู่ทถ่ี �ำ้ บนดอย
เชียงดาว” พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกถ�้ำอันเป็นสถานท่ีนิพพานขององค์ท่านให้หลวงปู่ม่ันทราบ
หลวงป่มู ่ันทา่ นจงึ เล่าเร่อื งน้ใี หล้ ูกศิษย์ฟงั หลวงปตู่ ้ือท่านจงึ ขออาสาองค์ท่านหลวงปมู่ น่ั ขึ้นไปบน
ยอดดอยเชยี งดาวเพื่อจะพิสูจนถ์ ้�ำพระปจั เจกพทุ ธเจ้านพิ พาน
หลวงปู่ตอื้ ท่านขน้ึ ไปบนดอยเชยี งดาว เพือ่ ส�ำรวจถ้�ำพระปจั เจกพุทธเจ้า ใชเ้ วลาไป – กลับ
ถึง ๕ วัน แลว้ ทา่ นกลบั ลงมากราบเรียนองค์ท่านหลวงปมู่ ั่นว่า “ทบ่ี นยอดดอยเชียงดาวมีลมแรง
หนาวเยน็ มาก อากาศข้างบนหนาวเยน็ มาก จนไมม่ มี ดแมลงอาศัยอยู่ บนยอดดอยมถี �้ำอย่ถู ้�ำหน่ึง
ถ้าไม่สงั เกตดดู ๆี จะไมร่ ู้ว่าเปน็ ถ�้ำ เพราะปากทางเขา้ จะแคบพอลอดเขา้ ไปได้เทา่ น้นั พอเข้าไป
ข้างในแลว้ ถำ้� นี้จะกว้างขวางใหญโ่ ต อากาศถา่ ยเทสะดวกดี”
หลวงปู่ต้ือบอกทุกอย่างที่องค์ท่านหลวงปู่ม่ันพูดถึง ไม่ต่างอะไรกับองค์ท่านข้ึนไปส�ำรวจ
ด้วยตนเอง หลวงปู่ชอบท่านว่าน่ีเป็นความรู้พิเศษขององค์ท่านหลวงปู่ม่ัน เพียงแต่ท่านให้
หลวงปู่ตื้อขึ้นไปดู เพื่อเป็นพยานในความรู้ขององค์ท่านเท่าน้ัน ท่ีหลวงปู่มั่นท่านอนุญาตให้
หลวงปู่ตอื้ ข้ึนไปดูถ�ำ้ พระปัจเจกพุทธเจา้ เพราะหลวงป่ตู ือ้ ทา่ นเป็นนักลุย จติ ใจกลา้ หาญ ร่างกาย
แขง็ แรง มพี ละกำ� ลงั มากกวา่ คนปกตธิ รรมดาทว่ั ไป หลวงปชู่ อบทา่ นวา่ “หลวงปตู่ อ้ื ทา่ นมพี ละกำ� ลงั
เท่ากบั บรุ ษุ ๕ คน”
หลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นคนท่ีมีพละก�ำลังมากท่ีสุดเท่าที่ท่านเคยเห็นมา ท่านว่าคร้ังหนึ่ง
หลวงป่มู ่ันให้พระหามเสาศาลาส�ำนักสงฆป์ า่ เมย่ี ง เสาตน้ น้หี นักขนาดพระ ๕ องคห์ ามไมค่ ่อยไหว
หลวงปูต่ ้อื ท่านพูดหยอกหมูค่ ณะว่า “หามเสาแคน่ ก้ี ห็ ามไมไ่ ด้ อย่าสึกออกไปเป็นลกู เขยใครนะ
เดี๋ยวพอ่ ตาแมย่ ายจะไล่ใหก้ ลับมาบวชอีก” หลวงป่ตู ้ือท่านบอกให้หมู่คณะยกเสาขึ้นใสบ่ ่า ทา่ น
จะแบกคนเดียวเอง หลวงปู่ต้อื ท่านเดนิ แบกเสาไม้ท่อนนี้ไปไดอ้ ยา่ งสบาย หลวงปูช่ อบทา่ นจงึ วา่
หลวงป่ตู ้ือทา่ นมีก�ำลังแข็งแรงมากกวา่ คนปกติธรรมดา”

135

หลวงปู่ต้ือลาพุทธภูมิ

สาเหตุส�ำคัญอีกประการหน่ึงทหี่ ลวงปู่มั่นส่ังให้หลวงปู่ตื้อส�ำรวจถ�้ำพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
เพอื่ แก้ความปรารถนาพุทธภมู ขิ องหลวงปูต่ อ้ื ตามประวตั หิ ลวงปู่ชอบ านสโม ไดบ้ ันทึกไวด้ งั น้ี
“อาจารยใ์ หญม่ นั่ ทา่ นใหอ้ าจารยต์ อ้ื ขน้ึ ไปดถู ำ้� พระปจั เจกพทุ ธเจา้ นพิ พาน เพราะอาจารยต์ อื้
ท่านเคยปรารถนาพุทธภมู ิ อาจารย์ใหญจ่ งึ ใหอ้ าจารยต์ ้อื ขนึ้ ไปดถู �้ำพระปจั เจกพุทธเจา้ เพือ่ ท่ี
จะใหอ้ าจารยต์ อ้ื ทา่ นเกิดธรรมสงั เวช ขนาดปรารถนาเป็นพระปัจเจกพทุ ธเจ้ากว่าจะบรรลุธรรมได้
กย็ ากยง่ิ ทรมาน ยงิ่ ถา้ ปรารถนาเปน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้ ยงิ่ เปน็ ผแู้ บกทกุ ขห์ นาสาหสั มากกวา่ นหี้ ลายเทา่
พออาจารย์ต้ือท่านไปเห็นธรรมสถานนิพพานของท่านพระปัจเจกพุทธเจ้าปัสสิขี ใจท่านก็ถอย
จากปรารถนาพทุ ธภูม”ิ
“พออาจารยต์ ื้อมาอยบู่ ้านแมก่ อย (วดั ป่าอาจารยม์ ั่น) กับ ท่านอาจารย์ใหญ่ อาจารยใ์ หญ่
ทา่ นยกเร่ืองท่ที ่านเคยปรารถนาพทุ ธภมู มิ าเล่าใหอ้ าจารยต์ ื้อฟัง ท่านอาจารยใ์ หญเ่ คยปรารถนา
พุทธภูมิมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากัสสโป จนมาถึงสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม พระพุทธเจ้า
องคป์ ัจจบุ ัน ขนาดท่านยงั ไม่ไดร้ บั ลทั ธพยากรณจ์ ากพระพุทธเจา้ องค์ใดองค์หน่งึ เพ่อื รบั รองฐานะ
ยกภมู ขิ ึ้นเป็นพระโพธิสัตว์ องคท์ ่านยงั เวยี นวา่ ยตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่อยา่ งหนกั หนาสาหสั
ทง้ั ตกอบายภมู ิ ท้ังข้นึ สวรรคอ์ ยอู่ ย่างนัน้ หลายภพหลายชาต”ิ
“แต่ละชาติที่ท่านเกิดตายมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น บางครั้งท่านเกิดเป็นเดรัจฉานติดต่อกันนาน
หลายชาติ อาจารย์ใหญพ่ จิ ารณาเหน็ ทกุ ขใ์ นการเกิดตายของตนเองทที่ ับถมตดิ ตอ่ กนั มาหลายภพ
หลายชาติ น�้ำตาของท่านถึงกับไหลออกมา องค์ท่านจึงตัดใจละ ลาความปรารถนาพุทธภูมิ
จากน้นั มาอาจารย์ใหญท่ า่ นกภ็ าวนาก้าวผา่ นความหลงใหลในกามคณุ สำ� เรจ็ ชัน้ ภมู ิพระอนาคามี
ที่ถ�้ำสารกิ า นครนายก พอทา่ นมาอยเู่ ชยี งใหม่ อาจารยใ์ หญท่ ่านก็ถึงความบริสุทธิส์ �ำเรจ็ ธรรมธาตุ
อยทู่ น่ี ่ี วาสนาอาจารยใ์ หญม่ นั่ ทา่ นเปน็ วาสนาพทุ ธภมู ิ พอชาตปิ จั จบุ นั ทา่ นจงึ มลี กู ศษิ ยล์ กู หาบรวิ าร
มากมาย สอนลกู ศษิ ยจ์ นไดม้ รรคผลไปหลายองค์ พระอรหนั ตย์ คุ กงึ่ พทุ ธกาลไมม่ ใี ครเทยี บเทา่ บารมี
ขององคท์ ่านได”้
“อาจารยต์ ้ือ ท่านฟงั อาจารย์ใหญ่ม่ันเตอื นใจในเรือ่ งน้ี ทา่ นพจิ ารณาเห็นกองทุกข์
ของตวั เองทีไ่ มร่ ูว้ ันจบส้นิ ทา่ นจึงละพทุ ธะมหาทุกข์ของท่านท่ีบา้ นแม่กอย จากนัน้ มาอาจารยต์ ้ือ
ท่านก็เร่งความเพียรเพ่ือปรารถนาพ้นทุกข์เพียงอย่างเดียว จนท่านได้ธรรมธาตุในชาติปัจจุบัน
ของท่าน นับเป็นลูกศษิ ยอ์ าจารย์ใหญอ่ งคท์ ี่ ๕ ทีร่ ูธ้ รรมตามพอ่ แมค่ รูอาจารย์มน่ั ”

136

“องค์แรกน่ันเป็นอาจารย์พรหม บ้านดงเย็น อาจารย์พรหมเป็นลูกศิษย์ของ
ท่านอาจารย์ใหญม่ ั่นทีส่ �ำเร็จธรรมเป็นองคแ์ รก อาจารย์ใหญ่ท่านบอกเรา “ทา่ นชอบ ! ท่านพรหม
ถงึ ธรรมแลว้ เดอ้ ทา่ นพรหมทางในทา่ นสวา่ งแลว้ เดอ้ ” เรากเ็ ขา้ ใจในความหมายทที่ า่ นอาจารยใ์ หญม่ น่ั
บอกทนั ที อนุโมทนาธรรมกับอาจารย์พรหม”
“พออาจารย์ตือ้ ท่านถงึ ธรรมแลว้ ถดั มาอาจารย์แหวนท่านก็มาไดธ้ รรมอย่บู า้ นปง แม่แตง
อาจารย์แหวนท่านถึงธรรมตอนอายุห้าสิบแปดปี ตอนอาจารย์แหวนท่านบรรลุธรรม เรากับ
อาจารยข์ าว อาจารยเ์ หรยี ญ หลวงพ่อวงษ์ พากนั เทีย่ ววเิ วกอยแู่ ถวแม่ริม โลกธาตุภายในสั่นไหว
อย่างแรง อาจารย์ขาวท่านถามเราว่า เกิดอีหยัง (อะไร) ข้ึนครูบา ไตรโลกธาตุคือสั่นไหวแรงแท้
เราบอกอาจารย์ขาวว่า ผู้เฒ่าแหวนท่านถึงธรรมอันเป็นมงคลแล้ว เรากับอาจารย์ขาวพากัน
อนโุ มทนาธรรมกับผเู้ ฒา่ แหวนทท่ี ่านพ้นทกุ ขแ์ ลว้ ในชาตินี้”

จ�ำพรรษาท่ีถ�้ำปากเปียง

หลวงปตู่ อื้ อจลธมฺโม ทา่ นไดร้ ว่ มตดิ ตามหลวงปมู่ ั่น ภูริทตฺโต ไปที่ถ้ำ� เชียงดาว โดยทา่ นได้
จ�ำพรรษาทถ่ี ้�ำปากเปยี ง อ�ำเภอเชียงดาว จังหวดั เชียงใหม่
การไปอยทู่ ถ่ี �้ำเชียงดาวในครัง้ แรกมดี ว้ ยกัน ๓ รูป คอื
หลวงปูม่ นั่ ภูรทิ ตฺโต หลวงปู่แหวน สุจิณโฺ ณ และ หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม มตี าผา้ ขาว
ค�ำอ้าย (ต่อมาคือ หลวงปู่ค�ำอ้าย) ตดิ ตามมาคอยอปุ ฏั ฐาก
ทง้ั สามองค์ไมไ่ ดพ้ ักอยใู่ นที่เดียวกัน พระอาจารย์ใหญ่มั่นอย่ภู ายในถ�้ำหลวง หลวงปตู่ อื้
อยู่ถ�้ำปากเปียง และหลวงปู่แหวนข้ึนไปจ�ำพรรษาทีต่ น้ ธารน�้ำไหล
ในวันปกติ หลวงปู่ม่นั และพระศิษย์จะมาฉันรวมกันท่ีถ้�ำเชียงดาว ซ่งึ อยดู่ ้านล่างคนละถ้�ำ
กับท่หี ลวงปู่มนั่ พกั เมือ่ เสร็จกิจแลว้ แตล่ ะองค์กแ็ ยกย้ายกลบั ไปบำ� เพ็ญเพียรยงั ที่ของตน
สำ� หรับวนั พระ ๘ ค่�ำ และวนั พระ ๑๕ ค�่ำ พระทั้งหมดจะมาประชมุ ฟังธรรม ลงอโุ บสถ
เสรจ็ แล้วก็แยกยา้ ยกันไป ไมไ่ ดอ้ ยู่คลกุ คลรี วมกัน ต่างองค์ต่างเรง่ บำ� เพ็ญเพียรอย่างเตม็ ที่

137

วิบากกรรมของคนเชียงดาว

ในระยะท่ี หลวงป่มู ่ัน ภูรทิ ตโฺ ต และคณะศิษย์ ไปพกั ภาวนาและจ�ำพรรษาท่ีถำ้� เชยี งดาว
อ�ำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ในปีนั้นได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงเกิดแก่ชาวบ้านอย่างรุนแรง
ถึงขัน้ เสยี ชีวิต ในขณะเดียวกันกม็ พี วกที่ประกอบมจิ ฉาชีพด้วยการลักขโมย ปล้น ฆา่ กันอย่าง
ไม่เกรงกลัวบาปกรรม และไมเ่ กรงกลวั กฎหมายบา้ นเมือง
การลกั ขโมย ปล้น ฆา่ มีข้นึ แทบไม่เวน้ แตล่ ะวนั โดยเฉพาะการลกั โคกระบอื ของชาวบ้าน
เอามาฆ่าจะเกิดขึ้นเป็นประจ�ำ ส่วนโรคระบาดร้ายแรงท�ำให้มีผู้คนต้องเจ็บป่วยล้มตายกันทุกวัน
วนั ละ ๒ – ๓ ศพ ชาวบา้ นต้องประสบกบั ความเดอื ดร้อนทุกข์ยากล�ำบาก ต้องทนอยูก่ ันอยา่ ง
หวาดผวา ก่อใหเ้ กิดความทุกข์กายทกุ ขใ์ จกันเปน็ อันมาก และกไ็ ม่รวู้ ่าจะพ่ึงใคร เพราะอยใู่ นที่
กนั ดารห่างไกลจากทางราชการ
เมื่อชาวบ้านขาดที่พึ่ง ต่างก็พากันหันมาพึ่งพระ หลวงปู่ม่ันท่านบอกให้พระช่วยกัน
แผ่เมตตาช่วยชาวบ้านให้มากๆ ซ่ึงต่างองค์ต่างก็ส่งกระแสจิตแผ่เมตตาจากท่ีพ�ำนักของตน
เพื่อให้เหตุการณ์ตา่ งๆ จะไดค้ ล่ีคลายไปในทางทีด่ ี แตเ่ ป็นที่นา่ ประหลาดใจ คือ ย่ิงแผ่เมตตา
ชว่ ยมากเทา่ ไร ความวิบัตขิ องชาวบ้านกลบั ยงิ่ มากข้นึ เป็นทวีคณู
หลวงปู่มั่น ท่านได้น่ังภาวนาพิจารณาหาสาเหตุจึงทราบว่า กรรมท่ีพวกเขาเคยก่อไว้
หนักเหลือเกิน แผ่เมตตาเท่าไรก็ช่วยไม่ได้ เป็นกรรมของเขาเอง แต่หลวงปู่มั่นก็บอกพระ
ให้ช่วยกนั แผเ่ มตตาตอ่ ไปอย่าได้ลดละ
โรคระบาดร้ายแรงครั้งน้นั เกิดอยเู่ ป็นเดือนจงึ ค่อยสงบลง คร่าชวี ติ ชาวบ้านไปหลายสบิ คน
ส�ำหรับเร่ืองการลักขโมย ปล้น ฆ่า หลวงปู่มั่นท่านได้พยายามเทศนาแนะน�ำสั่งสอน
ประชาชนให้ร้จู กั บาปบญุ คณุ โทษ ให้ประกอบอาชีพสจุ รติ เพื่อจะได้อยกู่ นั อยา่ งสงบสุข
แต่เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้น คือ ถึงท่านจะแนะน�ำส่ังสอนอย่างไร ก็เท่ากับเอาน�้ำไปรดตอไม้
พวกเขาหาเชอื่ ฟงั ไม ่ ยงั คงประกอบมิจฉาชพี กันอยู่อยา่ งเปน็ ล�่ำเปน็ สนั ตอ่ ไป
ต่อมาทางราชการได้ส่งก�ำลงั ต�ำรวจมาท�ำการปราบปรามพวกมจิ ฉาชพี อยา่ งหนกั บรรดา
มจิ ฉาชีพจงึ ค่อยๆ หมดไป แล้วความสงบสขุ จึงกลบั มาส่เู ชยี งดาวอีกครัง้ หน่งึ เหตกุ ารณ์ท้งั หมดนี้
เกดิ ข้ึนทีเ่ ชยี งดาวในช่วงที่หลวงปู่ม่นั และคณะศษิ ย์ไปพำ� นักอยู่ในระยะแรก

138

พญานาคในถ�้ำเชียงดาว

หลวงปู่แหวน สจุ ิณฺโณ เลา่ ถึงพญานาคในถ�้ำเชยี งดาว ดงั นี้
ภายในถ้�ำหลวง ที่ถ�้ำเชียงดาว มีพญานาคอยู่ ถ้�ำดังกล่าวน้ีต้องแยกขึ้นไปทางซ้ายมือ
อยู่เหนือถ้�ำหลวงเล็กน้อย พ้ืนถ�้ำมีก้อนหินเป็นรูปกงจักรกับดอกบัว มีพญานาคเฝ้าอยู่ภายใต้
แผ่นหนิ นี้
เวลามีพระเข้าไปภาวนาอยู่ภายในถำ้� นัน้ ทา่ นแทบกระดุกกระดกิ ตวั ไม่ไดเ้ ลย เปน็ ต้องถูก
พญานาคกล่าวโทษทันทีว่า สมณะอะไรช่างไม่สำ� รวม คะนองกายเหมอื นเด็กๆ
ถ้าเดนิ ไปสะดดุ เอากอ้ นหนิ ดังกรอกแกรก เขาก็จะกล่าวโทษวา่ สมณะอะไรจะเดินจะเหนิ
ไม่ส�ำรวมระวงั รีบไปรบี มาเหมือนมา้ แขง่
ไม่ว่าพระจะท�ำอะไร ตอ้ งสำ� รวมทุกอริ ยิ าบถ ถึงอยา่ งน้ันกไ็ ม่วายจะถกู ต�ำหนติ ิเตียน
พญานาคน้มี อี ัธยาศยั ชอบพอกนั กบั พระมหาบญุ ถ้าพระมหาบุญเขา้ ไปอยใู่ นถ�้ำน้ัน ไม่ว่า
ท่านจะท�ำอะไร เช่น ทำ� เสยี งกระแอมกระไอ เดนิ เสยี งดงั ทำ� ก้อนหินหลน่ เธอกเ็ ฉยไม่แสดงกริ ิยา
อะไรต่อต้าน เพราะมีจริตเหมือนกัน
อย่างไรกต็ าม ไม่มีพระองค์ใดเขา้ ไปอยใู่ นถ�้ำนน้ั ไดน้ าน เพราะในถ้�ำมีชอ่ งใหอ้ ากาศเขา้ ไป
ทางเดยี ว คือทางปากถ้�ำ เมื่อพระเขา้ ไปอยู่ขา้ งในแล้วปดิ ประตู อากาศภายนอกแทบเข้าไปไมไ่ ดเ้ ลย
ท�ำใหอ้ ึดอัดหายใจไมส่ ะดวก
ยกเวน้ หลวงป่มู ั่น องค์เดยี ว ทีท่ ่านเขา้ ไปอยใู่ นถำ�้ นั้นไดน้ านหลายวัน
หลวงปมู่ ่ัน เคยเทศน์แนะนำ� พญานาค แตเ่ ธอไมย่ อมรับค�ำแนะน�ำ เพราะยังอาลัยอัตภาพ
ปัจจุบันของตนอยู่ ในทส่ี ดุ ท่านเหน็ ว่าเขา้ ไปทำ� ความร�ำคาญให้แกเ่ ธอ จึงไม่เขา้ ไปในถำ�้ นัน้ อีกเลย
ทถ่ี ำ้� พญานาคน้ี หลวงปแู่ หวนเข้าไปอยู่ ๑ วนั หลวงปู่ตือ้ เข้าไปอยู่ ๓ วัน แต่ละองค์
ที่เขา้ ไปอยูต่ า่ งถูกพญานาคต�ำหนิกล่าวโทษเอาทั้งส้นิ พระทา่ นอยไู่ มไ่ ด้ เพราะสง่ จิตออกไปดูทไี ร
เห็นพญานาคคอยจอ้ งหาเรอื่ งตำ� หนพิ ระอยู่ตลอดเวลา
เม่อื พระตา่ งองคต์ า่ งเหน็ วา่ ถ้าเขา้ ไปแล้วจะท�ำใหพ้ ญานาคสรา้ งบาปกรรมหนกั เขา้ ไปอีก
จงึ ได้ชว่ ยเหลือเธอโดยการไม่เข้าไปรบกวนในทอี่ ยู่ของเธออกี ต่อไป

139

เรอ่ื งพญานาคมจิ ฉาทิฏฐิทถี่ �้ำเชียงดาวนี้ หลวงปู่มน่ั ภูริทตโฺ ต ท่านได้เทศนาแนะนำ� ส่งั สอน
พญานาคใหร้ กั ษาจติ ไมใ่ ห้คอยยกโทษตำ� หนทิ ่าน สุดท้ายท่านเหน็ ว่าท�ำให้พญานาคล�ำบากในการ
รกั ษาจติ ท่านเลยหาอุบายลาพญานาคไปเทยี่ วธดุ งค์ทอี่ ืน่ ตอ่ ไป โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั ได้
บันทกึ เรอ่ื งนไ้ี วด้ งั นี้
“... ขณะท่ที ่านอธิบายธรรมในแงต่ ่างๆ ให้พญานาคฟัง เธอมไิ ด้ตอบรบั ค�ำท่านแม้ประโยค
หนงึ่ เลย แตม่ ีความคดิ แทรกขน้ึ มาในระหว่าง ซึง่ พอเป็นประโยชน์แกเ่ ธอบา้ งว่า สมณะน้ีพดู มี
เหตุผลน่าฟัง แต่เรายังไม่สามารถปฏิบัติตามท่านได้ในระยะนี้ เพราะยังมีความยินดีในวิสัย
ของตนอยู่ จนกวา่ จะผ่านพ้นจากภพนไี้ ปแลว้ จึงจะสนใจปฏบิ ตั ิ สมณะนีม้ ีสิง่ ที่นา่ เกรงขามอยูม่ าก
ส่งิ ทีไ่ มน่ า่ รู้นา่ เห็น กร็ เู้ หน็ ได้ ความคดิ ทเ่ี ราคิดข้ึนโดยลำ� พงั ท�ำไมสมณะนท้ี ราบได้ เราอยู่ในสถานที่
ลกึ ลบั ท�ำไมสมณะนเี้ ห็นได้ เราคิดอะไร สมณะน้ที ราบได้โดยตลอด
พระทเ่ี คยมาพกั อยใู่ นถำ้� นเ้ี ปน็ จำ� นวนมากมาย แตไ่ มเ่ หน็ วา่ องคใ์ ดทราบวา่ เราคดิ อยา่ งไรบา้ ง
เราอยอู่ ย่างไรบา้ ง ซงึ่ นบั แตเ่ รามาอยู่ทน่ี กี่ น็ านแสนนาน พระบางองค์ถึงตอ้ งหนไี ปเพราะเราขับไล่
ดว้ ยอุบายต่างๆ ให้ท่านอย่ไู ม่ได้ (ตอนนที้ า่ นพระอาจารย์มนั่ ว่าพญานาคพน่ พิษใหพ้ ระทมี่ าพักอยู่
มีอนั เปน็ ไปตา่ งๆ จนทนอย่ไู ม่ได้จำ� ต้องหนไี ป)
แตส่ มณะน้ที ำ� ไมร้เู ห็นเอาเสยี ทุกอยา่ งกระท่งั ความคดิ นึก และยังรูไ้ ปตลอดที่เราคดิ ตา่ งๆ
แมข้ ณะก�ำลังหลบั สนทิ อยยู่ ังสามารถรู้และน�ำมาเลา่ ได้โดยถูกตอ้ ง ประหนง่ึ ไม่หลับเลย แตเ่ รา
ท�ำไมจึงมีทฐิ มิ านะไมม่ แี กใ่ จทจ่ี ะยอมรับนบั ถอื และปฏบิ ัตติ ามท่สี มณะนส้ี งั่ สอนบา้ ง เราคงมกี รรม
หนามากดงั ทา่ นวา่ ไมผ่ ดิ แน่ เวลาฟังสมณะอธิบายกจิ วัตรทท่ี า่ นท�ำประจำ� วัน มไิ ดม้ เี จตนาเพอ่ื
ความกระทบกระทงั่ เรา ท้ังๆ ทท่ี ่านเหน็ และทราบความคดิ ช่วั ลามกของเราอย่ตู ลอดมา เราเกิดมา
ชาตกิ ็อาภพั แมใ้ จก็ยงั อาภัพอกี ท้ังที่รดู้ ีชั่วอย่อู ย่างเต็มใจดงั สมณะวา่ ไม่ผดิ เวลาเกดิ ชาติหน้าก็คง
จะเป็นผ้อู าภัพอยู่ทำ� นองน ี้ ไมม่ วี นั สิน้ กรรมไดเ้ ลย
อกี พักหนง่ึ ท่านก็ถามพญานาควา่ เปน็ อย่างไรบา้ งทอี่ าตมาอธิบายธรรมใหฟ้ งั พอเขา้ ใจบา้ ง
หรือเปล่า เธอตอบท่านว่า เข้าใจได้ดีทุกประโยคที่ท่านเมตตาโปรดสัตว์ผู้อาภัพ แต่ตัวผมเอง
มกี รรมหนามาก คงยงั ไมเ่ บอ่ื ความอาภพั ของตน จงึ กำ� ลงั ถกเถยี งกบั ตวั เองอยเู่ วลาน้ี ยงั ไมล่ งรอยกนั
ได้เลย ใจคอยแต่จะไหลลงทางตำ�่ ทีเ่ คยเปน็ มาอยู่เร่ือยๆ ไม่ยอมฟงั เสยี งอรรถธรรมท่ีน�ำมาพรำ่� สอน
บา้ งเลย ทา่ นถามวา่ ใจชอบไหลลงทางต�ำ่ นัน้ ไหลลงอย่างไร เธอตอบวา่ กใ็ จชอบแตจ่ ะยกโทษทา่ น
อยทู่ กุ ขณะทเ่ี ผลอตวั ทง้ั ทที่ า่ นไมม่ คี วามผดิ อะไรเลย แตใ่ จมนั กช็ อบคดิ ของมนั อยา่ งนนั้ ไม่ทราบจะ
ปฏิบัติอยา่ งไรถงึ จะพอดี และเห็นโทษในความผิดเสยี บา้ ง พอมที างเดินเพ่ือความดตี ่อไปได้

140

ท่านตอบวา่ ทุกส่ิงทเ่ี หน็ วา่ เป็นโทษจริงๆ ด้วยความสนใจคดิ อ่านไตร่ตรอง ใจก็ย่อมจะ
เพกิ ถอนเสือ่ มคลายในสงิ่ นน้ั ไม่กำ� เรบิ ล�ำพองต่อไป แต่ถ้าใจยังฝกั ใฝไ่ ยดี โดยเข้าใจว่าสิ่งน้ัน
ยังเป็นคุณ กย็ อ่ มจะสนใจใคร่คิดผลติ โทษขึ้นเผาผลาญตนอยู่เรื่อยๆ ไม่มีทางลดหยอ่ นผ่อนคลาย
ลงได้แน่นอน และนบั วนั ที่ใจจะท�ำความลามกโสมมแก่ตนอยา่ งไมม่ ีทางช่วยได้ ถา้ ไมร่ ีบแกไ้ ข
เสียบัดน้เี ปน็ ตน้ ไป
อาตมาก็เป็นเพียงผู้แนะแนวทางให้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจท�ำหน้าที่แก้ไข หรือ
ถอดถอนแทนทา่ นได้ การแก้ไขดดั แปลงจึงเป็นหนา้ ท่ขี องท่าน ผ้รู บั ผิดชอบตวั เองจะท�ำความ
พยายามเตม็ ก�ำลังความสามารถไม่ลดละท้อถอย ส่ิงที่เคยเปน็ ภยั ก็จะคอ่ ยลดตวั ลง สิ่งที่เป็นคณุ
จะมที างเจริญได้และลบลา้ งกนั ไป จนกลายเป็นความดีล้วนๆ ไม่มีสิง่ ชัว่ เขา้ มาแอบแฝงแทงใจตอ่ ไป
ถ้าทา่ นเช่อื ธรรมของพระพุทธเจ้าท่เี คยช่วยโลกให้พ้นจากทุกข์ภยั ตลอดมา ทา่ นก็จะเป็น
ผูม้ ธี รรมคมุ้ ครองใจ ใจทม่ี ธี รรมคมุ้ ครองหลบั นอนและตืน่ ย่อมเปน็ สุข ไม่กระวนกระวายส่ายแส่
มตี นเสมอภาคตอ่ สงิ่ ทัง้ ปวง ไมช่ มสิ่งนน้ั ว่าดี ไมต่ �ำหนสิ ่งิ นี้วา่ ชัว่ จนตัวเองต้องเป็นทกุ ข์ไปตาม
ซ่ึงไมใ่ ช่ทางนักปราชญท์ า่ นดำ� เนนิ กัน
พอจบการสนทนาเธอรบั ค�ำท่านว่า จะพยายามท�ำตามที่ท่านแนะนำ� หลงั จากน้นั ทา่ นเองก็
ท�ำความเพียรไปและสังเกตเธอไป ผลปรากฏวา่ ดีขน้ึ บ้าง ตอนท่ีขณะจิตเธอซ่งึ คอยจะยกโทษทา่ น
บ่อยๆ ปรากฏข้ึนมาตามนิสัย เธอคอยท�ำความกวดขนั ตวั เองอยูเ่ รือ่ ยๆ ไมป่ ลอ่ ยตัวดังที่เคยเปน็
มานกั แต่กร็ ู้สกึ ว่าเปน็ ความลำ� บากไมน่ อ้ ย เม่ือทา่ นเห็นความล�ำบากในการรักษาจติ ของพญานาค
ท่ีคอยจะคดิ ไมด่ ีอยู่เร่ือยๆ ทา่ นเลยหาอุบายลาเธอไปเท่ยี วทอ่ี น่ื ซงึ่ เธอกย็ ินดใี ห้ท่านไป เรื่อง
พญานาคกับท่านจงึ เป็นอันยุตลิ งเพียงแค่นี้ หลงั จากนนั้ ทา่ นเลยถือเอาเรอื่ งพญานาคเปน็ เหตุ
อธิบายธรรมเก่ียวกับนิสัยของคนและสัตว์ต่อไปอีก เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้นั่งฟังบ้างไม่เสียเวลา
ไปเปลา่ อนั นบั วา่ เป็นคติได้ดี จงึ ไดน้ �ำมาลงเพอื่ ทา่ นผอู้ า่ นน�ำไปพิจารณา ถอื เอาเป็นคติเทา่ ที่ควร
แก่จรติ นสิ ยั ของตน”

ธุดงค์ไปหาหลวงปู่พับพา ถ้�ำตับเต่า

หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ทา่ นเคยได้ยนิ กิตตศิ พั ท์ของหลวงปูพ่ บั พา หรอื หลวงปูพ่ า จึงได้
ออกเดนิ ธุดงค์จากเชยี งดาวไปถำ้� ตับเต่า อ�ำเภอฝาง จังหวดั เชยี งใหม่ (ปจั จบุ นั ถำ�้ ตบั เต่าขึน้ กับ
อำ� เภอไชยปราการ) เพือ่ ไปกราบและพกั ภาวนาอยกู่ ับหลวงปพู่ ับพา
ท่านพระอาจารย์ไท านุตตฺ โม ทา่ นได้เมตตาเลา่ เร่ืองนีไ้ ว้ดังน้ี

141

“อันนี้จะพดู ถงึ ถ�้ำตับเตา่ กอ่ น มหี ลวงปู่พับพาอยถู่ �ำ้ ตับเต่า เมืองฝาง หลวงปตู่ ื้อก็ชวนหมู่
ชวนกอง ใครก็ไม่ไปด้วย ไปหาหลวงปพู่ บั พา หลวงปู่พับพาเป็นพุทธภูมิ โห ! แกเก่งมาก เดนิ กจ็ าก
เชียงดาวกวา่ จะไปถงึ ถ้�ำตบั เต่านน้ั ก็หลายวันอยู่
“เอ้อ ! นกึ ถงึ หลวงปู่พบั พา อย่าไปไหนเน้อ ลูกหลานจะไปหา” ไปถึงปุบ๊ ท่านก็มาต้อนรบั
หลวงป่พู บั พานัน่ ก็พทุ ธภมู ิ
“เอ ! คณุ นอ้ งๆ เม่อื วานน้ีเจา้ นกึ อธษิ ฐานหาข้ายังไงนี่ อยดู่ ๆี มาอธิษฐานหาข้าน”ี่
“โอย้ ! กลวั ไม่เห็นหนา้ พทุ ธภมู ิครบั อยากเหน็ พทุ ธภูมิกอ็ ธิษฐานใหเ้ ห็นซอื่ ๆ (เฉยๆ)”
“โอ้ย ! เจา้ อย่ามายกยอขา้ นะ ข้าชอบยอแทๆ้ เด้คณุ น้อง เวา้ (พูด) พทุ ธภูมแิ ล้ว ใจขา้
ดีแทๆ้ อยา่ ไปคุยอย่างอืน่ วา้ ! เจ้านีร่ ้ใู จข้อย (ข้า) เนาะ”
“อยูน่ ี่มันมแี มว (เสอื ) เดะ๊ ”
“โอ้ย ! ลกู ศิษยห์ ลวงปมู่ น่ั บ่กลวั แมวดอก” หัวเราะ แค๊กๆๆๆ ผเู้ ฒา่ (หลวงปู่พับพา) กด็ ี
“ทนี่ อน ศาลาอย่โู น่นเนอ้ ศาลาเตียนๆ นั่นเนอ้ ภาวนาดๆี นะ คุณน้องนะ เด๋ียวแมวมนั มา”
เม่ือคนื กม็ าแลว้ อูย ! ๓ ตวั นะ่ ท่านวา่ มันกล็ ายพาดกลอน พาดกลอนยาวเปน็ วาๆ ฮา่ ว !
ฮึม ! คนื เดือนหงาย ฮมึ ! รอบศาลาอยู่
หลวงป่ตู ือ้ กอ็ อกจากมุ้งมา มาสูบบุหร่ี ดมู นั อยูน่ ี่ มันกไ็ ม่ขนึ้ สักพักมนั กเ็ ขา้ ไปตามหา
ทำ� กกึ ๆ กกึ ๆ หลวงปพู่ ับพาก็เปดิ ประตู มันคลานไปหาผเู้ ฒา่ ผู้เฒ่าก็ตบหัว เสอื กเ็ ข้าปา่
ตอนเชา้ มาก็ “แหม ! ลูกศษิ ย์ญาคูมนั่ (หลวงป่มู นั่ ) นเ่ี กง่ แท้ๆ น้อ เห็นแมวไม่ย่าน (ไมก่ ลวั )
ล่ะหวา่ บ๊ะ ดๆี ๆๆ ข้ามคี าถาหลายนะคุณนอ้ งนะ คาถาข้า หนง่ึ คาถาเอาไหเงินไหทอง มนั เป็น
ลึกลงไปขนาดโยชนห์ นงึ่ ก็ไมว่ า่ ขา้ ยืนเสกแล้วข้นึ มาเลย คุณนอ้ งนี่ จะสรา้ งโบสถ์สร้างวิหารน่ี ไปยนื
สวดเอาเล้ย ไมต่ อ้ งไปเรี่ยไรญาติโยม เอาเงินผีกร็ วยแลว้ เขาฝังในดิน สินในน้�ำ”
“โอ้ย ! กอ้ นดินแดง กอ้ นดนิ ขาว เอามาไมเ่ ป็นประโยชน์อันใดล่ะ หลวงปู่”
เฮ้อ ! หัวเราะ “เจา้ มันสาวกภมู ิ มนั ไม่อยากสรา้ ง ขา้ นี่เวย้ การก่อสร้างน้ีชอบแท้ๆ”
อยดู่ ้วยกันหลายวนั อยู่ อยกู่ ับหลวงปู่พับพานั้น”

142

ประวัติย่อหลวงปู่พับพา (หลวงปู่พา)

หลวงปู่พบั พา หรอื หลวงปู่พา ท่านบวชมานาน ทา่ นเป็นพระภกิ ษุอาวุโสฝ่ายมหานกิ าย
เปน็ ลกู ศษิ ยส์ �ำคัญองคห์ นึ่งของหลวงปู่ม่นั ภรู ทิ ตโฺ ต ที่ไม่ได้ญตั ตเิ ป็นธรรมยุต ทา่ นเปน็ คนภูไท
บา้ นม่วงไข่ อ�ำเภอพรรณานคิ ม จงั หวัดสกลนคร และเป็นญาติของอาญาครดู ี (หลวงปูด่ ี ฉนฺโน)
หลวงปู่พา ท่านเปน็ สหธรรมิกกับหลวงปแู่ กว้ สุทฺโธ วัดดอยโมคคลั ลาน์ อ�ำเภอจอมทอง
จงั หวดั เชียงใหม่ หลวงปู่แกว้ เป็นศษิ ยห์ ลวงปมู่ ่นั ฝา่ ยมหานิกายอกี องคห์ นึง่ ท่ไี มไ่ ดญ้ ัตติ เก่งทาง
ระลึกชาติ และชอบกอ่ สรา้ งพระพุทธรปู และพระเจดยี ์
หลวงปพู่ า ทา่ นนยิ มชมชอบกับการก่อสรา้ งพระ ปน้ั พระพทุ ธรูป ชอบอย่แู ต่ในป่าในเขา
ไม่ชอบเขา้ เมืองเข้าเวียง เดนิ ธดุ งค์กไ็ ปตามบ้านป่าบ้านเขา รจู้ กั ภาษาสตั วท์ ้ังหลาย
หลวงปู่พา และ หลวงปู่แกว้ ตา่ งเป็นพระโพธิสัตวส์ รา้ งบารมปี รารถนาพุทธภมู ิ เปน็
พระพทุ ธเจา้ ตา่ งเป็นชาวอีสานโดยก�ำเนดิ เป็นพระศิษย์หลวงป่มู ัน่ แต่สมยั ทห่ี ลวงปู่มน่ั อยู่ทาง
สามผง ดงพะเนาว์ เข้าศึกษาธรรมะกบั หลวงปู่เสาร์ หลวงป่มู ่ัน แล้วต่างพากนั ธุดงคเ์ ลาะน�้ำโขง
ขน้ึ เรอื่ ยๆ จนถงึ เชยี งแสน แลว้ วกลงมาอยถู่ ำ�้ ตบั เตา่ หลวงปมู่ นั่ แนะนำ� หลวงปพู่ าวา่ “ถำ�้ ตบั เตา่ เปน็
ดินแดนวิเวกธรรมของพระอรยิ เจ้าทั้งหลาย มาหลายชัว่ หลายกาลมาแลว้ และเป็นสถานที่ของทา่ น
ให้เสาะหาภาวนา” หลวงปพู่ าชอบสถานท่ีมงคลแหง่ นกี้ ็เลยอยู่ตลอด ส่วนหลวงปู่แกว้ ท่านเดนิ
ธุดงค์ไปดอยโมคคัลลาน์ ทา่ นถกู ใจเพราะเป็นสถานทภ่ี าวนาของท่าน ต่อมาท่านได้สร้างเปน็ วดั
ครูบาศรวี ชิ ยั ท่านเปน็ อีกองคห์ น่ึงท่ีปรารถนาพทุ ธภมู ิ ไดแ้ นะน�ำหลวงปูท่ ง้ั สองวา่ “หากจะ
อยู่เมืองเหนือสบายๆ กใ็ ห้เอาอย่างท่าน” การนุง่ หม่ อะไรกเ็ อาระเบียบของเมอื งเหนอื แตใ่ หป้ ฏิบตั ิ
ธรรมกรรมฐาน หลวงปูท่ งั้ สองจงึ ใชช้ วี ิตความเปน็ อยูแ่ บบพระทางเหนอื แต่ปฏิบตั ิธรรมกรรมฐาน
แบบพระทางอีสาน
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร หลวงปูต่ ้อื อจลธมฺโม หลวงปสู่ มิ พทุ ฺธาจาโร หลวงป่จู าม มหาปุญโฺ 
และพระศิษย์หลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตฺโต อกี หลายองค์ ต่างได้ยินกิตติศพั ทข์ องหลวงปพู่ า จึงพากนั
ไปกราบและพักภาวนาอยู่กับท่าน หลวงปู่พาท่านได้ชักชวนพระศิษย์หลวงปู่ม่ันอยู่จ�ำพรรษาที่
วัดถ้�ำตบั เต่า แตม่ ขี อ้ แม้ว่า การสังฆกรรมใดๆ นบั แต่ปลงอาบัติ อยกู่ นิ ขอใหเ้ ป็นของใครของมัน
และจะถอื ตำ� หนโิ ทษทา่ นไมไ่ ด้ เพราะทา่ นทำ� การกอ่ สรา้ งปน้ั พระพุทธรปู อยู่ ท่านท�ำสวนกลว้ ย
มะละกอ หมากพรกิ หมากเขือ เก็บไปขายเอาเงนิ ไปซือ้ อุปกรณ์ในการปน้ั พระพทุ ธรูป มพี วก
ญาติโยมทีเ่ ขามคี วามศรัทธามาชว่ ยท�ำสวน มาชว่ ยป้ันพระ แต่โดยมากแล้วเปน็ หลวงปูพ่ าทำ� เอง

143

เกือบท้ังหมด
พระพทุ ธรูปทีท่ ่านปัน้ ไว้แล้วนนั้ กม็ ีมากหลายสบิ องค์ องคเ์ ล็กองค์ใหญ่ ปที ่ีหลวงปู่จาม
ไปพักอย่ดู ้วยน้นั ก�ำลังปั้นพระองค์ใหญ่ท่สี ดุ ไปอศั จรรยใ์ จทีส่ ุดคอื หลวงปู่พายกเสาไมส้ กั ตเี ปลอื ก
ท�ำเป็นกระดูกสนั หลงั พระพุทธรูป ไม้ท่อนยาวใหญแ่ ละหนกั มาก แตห่ ลวงปู่พายกคนเดยี วขน้ึ ได้
ถามหลวงปู่พาว่า “หลวงปู่ท�ำไมจึงสรา้ งพระเจา้ (พระพทุ ธเจ้า) ไว้นัก (มาก) แท้ละ่ ครบั ”
“สร้างบูชาพระเจ้า หลานเอย๋ ”
“มิแม้น หลวงปอู่ ยากจะเปน็ พระเจ้าหรอื ครับ”
“ก็ท�ำไว้อยา่ งนลี้ ่ะ หลานเอ๋ย ขอใหเ้ ป็นนิสสยั ปจั จยั เนือ้ เอน็ เปน็ กระดูกพระพทุ ธเจ้าไป
ทลี ะเล็กละนอ้ ย มามากหลายชาติกค็ งจะสมบูรณ์บรบิ ูรณไ์ ปเองได”้
“หลวงป่รู ู้ตวั เองขา้ งหน้าไหมครับวา่ จะตงั้ อยใู่ นกัปใดกลั ป์ใด”
“ยงั หลานเอ๋ย แตเ่ พน่ิ (ทา่ น) ครูอาจารยม์ ่ันรับรองไว้ใหว้ ่า จะไดน้ ิสสยั แน่นอน การป้ันพระ
การค้าขาย เพน่ิ มาเห็น เพนิ่ ก็ไม่ไดต้ ำ� หนวิ ่าอะไร นิสสัยของใครของมนั หลานละ่ รจู้ กั ตวั เอง
แล้วหรอื ?”
“ไมร่ ู้ครบั รู้แตว่ า่ บวชแล้วเปน็ ตุ๊ (พระ) ก็ภาวนาไปตามเรอื่ ง”
“ตุป๊ นู่ ้จี ะตายอยนู่ ลี้ ะ่ หลานเอ๋ย ไมก่ ลับไปตายอีสานดอก ถ้�ำน้ที ง้ิ กระดูกไวไ้ ดห้ ากนับชวี ิตนี้
ไดค้ รบ ๔ หมื่นนบั แต่สตั ว ์ ๔ เทา้ กับมนษุ ย์เท่านน้ั ”
ถ�้ำตับเตา่ หลวงปู่พาขึ้นมากอ่ น เลาะน้�ำโขงขน้ึ มากบั หลวงปู่แก้ว เพิน่ ครูอาจารย์มัน่
ขนึ้ มาทหี ลงั และยังมาอยู่ด้วยในถ้�ำนห้ี ลายเดอื น มาอยดู่ ้วยกับหลวงปพู่ านี้ ๓ รอบ ลงไปเชยี งดาว
ไปพร้าว ไปเชียงราย การปน้ั พระ เพ่นิ กไ็ มต่ �ำหนิ การนุ่งหม่ เป็นอยู่ เพิน่ กไ็ ม่ตำ� หนิ
หลวงปพู่ านีก้ ลางวนั ทำ� งานป้นั พระ กลางคนื เดนิ จงกรม นั่งภาวนา นอนพกั ๔ – ๕ ชว่ั โมง
กลางคืนก็ห่มจวี รพาดสงั ฆาฏิ ผา้ รดั อก ถอื ลูกประค�ำ เดนิ จงกรมภาวนา อายุ ๘๑ ปแี ล้วยงั แขง็ แรง
ทำ� งานเหมอื นคนหน่มุ ๆ ฉนั จงั หนั กฉ็ ันไมม่ าก แต่ฉนั พวกผลไม้ ฉนั กล้วยสกุ น้�ำว้ามะนอี อง วนั ละ
๓ หว ี อยู่ดว้ ยกบั เพิน่ เกอื บเดือนลาไป

144

“มาอยดู่ ว้ ยกันเนอ้ หลานเน้อ ให้มาอกี หนา”
เราก็ได้แต่บอกวา่ “ไว้มโี อกาสจะมาอยู่ครับหลวงป”ู่
เพน่ิ กำ� ชบั ไลห่ ลงั ว่า “หลานเอย้ อยา่ ลืม เมตตาไมม่ ปี ระมาณเน้อ”

ประวัติถ้�ำตับเต่า

ถำ้� ตับเต่า เป็นถ�้ำทีต่ ั้งอยภู่ ายในของวดั ถ�้ำตบั เต่า เป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วเชิงอนรุ ักษ์ และ
ถอื เป็นศาสนสถานศักด์สิ ิทธิข์ องชุมชนเมอื งไชยปราการทีม่ ีอายุหลายรอ้ ยปี
ส่วนทีม่ าของชื่อ “ถ�ำ้ ตบั เต่า” นน้ั เปน็ เหตกุ ารณท์ ่ชี าวบ้านชว่ ยกนั “ดบั เถ้า” ภาษาเหนือ
ออกเสียงว่า “ดับเตา้ ” เปน็ ขเี้ ถ้าหลงั จากเกิดเหตุไฟไหมป้ า่ คร้ังนน้ั แลว้ เรียกกันจนเพี้ยนมาเป็น
“ตบั เต่า” จนถึงปจั จบุ ัน
ถำ้� ตับเตา่ นีแ้ ยกออกเป็น ๒ ถ�้ำ คอื ถ้�ำแจ้ง กบั ถำ้� มืด
ถ�้ำแจง้ ถ้�ำนี้มคี วามสว่างตามชื่อ มแี สงของธรรมชาตสิ อดสอ่ งมาจากเพดานถ�้ำ ภายในถ้�ำ
มีพระพุทธรูปองคใ์ หญเ่ ป็นพระพทุ ธรปู ปางไสยาสน์ พระนอนองคใ์ หญน่ ้ีมีพระสาวกนง่ั ประนมมอื
ประหน่ึงว่าก�ำลังฟังค�ำสวดจากพระพุทธเจ้า จากค�ำสันนิษฐานของเจ้าอาวาส ท�ำให้ทราบว่า
พระนอนองค์น้สี ร้างโดยสมเด็จพระเอกาทศรถ ไวเ้ พือ่ เป็นสิริมงคลในการออกศกึ และเพ่อื เปน็ ขวญั
กำ� ลังใจต่อไพรพ่ ล แตแ่ ลว้ เหตกุ ารณร์ บตอ้ งจบลง เมอ่ื สมเด็จพระเอกาฯ ผ้เู ปน็ พระอนชุ าทรงทราบ
ข่าวการสิ้นพระชนม์ของผู้นำ� ทพั หลวง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
ถ�ำ้ มืด จากเรอื่ งราวที่เล่าวา่ พระอรหนั ต์ไดน้ ิพพานทถี่ ้�ำแห่งน้ี จึงได้น�ำเอาอฐั ิ หรือเถา้ มา
กอ่ ขน้ึ เปน็ พระเจดยี ช์ ื่อว่า “พระเจดียน์ ่มิ ” ภายในถ�้ำมืด มดื มิดสมชอื่ จำ� เปน็ ต้องใช้ตะเกียงเจา้ พายุ
หรอื ไฟฉายส่องสว่างเขา้ ไป ภายในถ�้ำมเี ส้นทางทค่ี ดเค้ยี ว บางชว่ งเปน็ ช่องแคบ ตวั ถ�้ำคอ่ นข้างลกึ
ตอ้ งใชเ้ วลาเทย่ี วชมประมาณ ๑ ชวั่ โมง
พระพุทธรปู ในถ�้ำของเก่าแก่โบราณก็มมี ากองค์ ท่ีหลวงปูพ่ ากอ่ ป้ันข้ึนมาใหมก่ ห็ ลายองค์
ลกึ เข้าไปขา้ งใน พระพทุ ธรปู ทองก็มอี ยู่มาก องคเ์ ล็กองคใ์ หญ่ เข้าไปขา้ งในถ้�ำ ลกึ เข้าไปมีหลายซอก
หลายซอย ข้างในถ้�ำลึกสดุ มเี จดีย์น้อยองค์หน่ึง ไมท่ ราบว่าสร้างในสมัยใด ถามหลวงป่พู า ทา่ นก็
ไมร่ ู้จัก ถามชาวบา้ นกไ็ ม่รูจ้ ัก ภายหลงั มาหลวงปูช่ อบ านสโม วา่ เป็นเจดีย์บรรจุพระธาตขุ อง
พระเถระเจ้ามาแต่ยุคตน้ ศาสนา

145

พระยาทรายขาวบอกพระบาท ๓ รอย

ท่านพระอาจารยไ์ ท านตุ ตฺ โม ท่านไดเ้ ล่าเร่ือง พระยาทรายขาวบอกพระบาท ๓ รอย แก่
หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ไวด้ งั น้ี
“พ้นจากน้ันเดนิ ทางไปจังหวัดแมฮ่ ่องสอน ไปนง่ั ภาวนา หลวงปู่ตอ้ื ว่า ขามนั จมลงพน้ื ดนิ
โนน่ ความร้สู ึก ลืมตาข้นึ มนั กย็ ังนั่งอยู่ พอนัง่ ไปขาจมลงอีก
ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า “ข้าเป็นลูกศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเพื่อเจริญเมตตาภาวนา
ไม่ต้องการมาเอาทรัพย์สินเงินทองของผู้ใดทั้งสิ้น ถ้าต้องการมาหาจริง ขอแสดงเป็นผู้ทรงศีล
ถา้ ไม่เป็นผู้ทรงศลี ขา้ ไม่พดู ดว้ ย”
สกั พัก ข้ามกลด เหมอื นกบั รุง้ กินน้�ำ ฝนตกใหมๆ่
“ใครกแ็ ลว้ แต่ ถา้ หากว่าไม่ให้เหน็ ตัว ไม่แสดงเป็นผู้ทรงศลี ไมค่ ยุ ดว้ ย”
สักพกั ออกมายนื อยู่สนามใกลๆ้ กลด โอ้โถ ! หลวงป่ตู อ้ื ว่า ตาเท่ากระบุง เทวดาองคน์ ้ี
แหวนเพชรขนาดกลอง แหวนเพชรผเู้ ฒ่า (เทวดา) เปน็ แสง ตารถอาย ขนาดยงั เอียงๆ แหวนเพชร
ใสก่ น็ กึ วา่ เอาหมหู นั กแ็ ล้วกันนะ่ มนั รอ้ นถงึ ร่างกาย ว่าอยา่ งน้ัน
“เอ้อ ! จะมาอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่เป็นผู้ทรงศีลจะไม่คุยด้วย” สักพักแสดงเพศเป็น
ผทู้ รงศีล เป็นตาผา้ ขาวมา
“ว่ายงั ไงตาขาว ?”
“ข้าพเจา้ ชื่อวา่ พระยาทรายขาว เมอื่ สมยั เป็นพระยาอยู่น้ัน พระพุทธเจ้ากบั พระอานนท์
เสด็จมา ไดท้ ำ� บญุ อยู่ ๗ วนั พระพุทธเจ้าทา่ นกเ็ สดจ็ กลับ”
“แมน่ ำ้� ฝาผนังบา้ นทรายขาว แม่น้ำ� ฝาผนังเด๋ยี วนเ้ี ปลี่ยนช่ือเป็นแม่น้�ำคง คณุ หลานขอไป
เอาขนึ้ เถอะ พระบาท ๓ รอย ระหวา่ งต้นตะเคยี น ๓ ต้น ไมม่ ีใครรหู้ รอก ถงึ กาลถึงเวลาแล้ว”
ก็รับปาก เดินจากนั้นไปบ้านทรายขาวแม่น�้ำฝาผนังน่ี ๓ คืนกว่าจะถึง หลวงปู่ตื้อว่า
หลวงปเู่ ล่าให้ฟัง ไปพกั อยกู่ ับวัดบ้าน ครบู าอาจารย์ธรรมดา
“เอ้อ ! พระหัสธดุ งค์มาถึง” ภาษาพน้ื เมือง “พระหัสธดุ งค์มาพกั ผอ่ น ดๆี ญาตโิ ยมเน้อ
พระหสั ธุดงคท์ ่านมาพกั ดว้ ยเนอ้ ”

146

เม่อื หายเหน่ือยวันสองวันน่ี สองสามวันก็คุยกับเณร ๒ – ๓ องค์
“เณรๆๆ ขา้ (หลวงปตู่ อื้ ) จะพาไปไหวพ้ ระบาท”
“พระบาทไมม่ ีครูบา”
“เอาเถอะ ไปๆๆ ไปกบั ขา้ ต้นตะเคียนใหญ่อย่ไู หนเณร ?”
“อยูน่ ัน่ ต้นหนงึ่ อยูน่ ่ีต้นหนงึ่ ” ไป เมือ่ ไปถึงเรียบร้อยก็
“เอ้า ! เณรไปดูก้อนหนิ เกบ็ ใบไม้ออก”
“อยู๋ ! อยู่น่รี อยหนง่ึ จรงิ ๆ ครูบา”
“อยนู่ ั่น ไปเกบ็ ก้อนหินน่ัน”
“โอ๋ย ! อย่นู ่รี อย ๓ รอย”
“เอ้อ ! เณร ๓ คน เณรน้ีมบี ญุ อานสิ งสม์ ากน่ีๆ เณร ๓ องค์มาเห็นรอยพระบาทกอ่ น
คนทัง้ หลาย โอ๊ ! มีบญุ มีอานิสงส์มาก” หลวงปูต่ ื้อกย็ อเณรหนอ่ ย
“ไป ไปบอกตุ๊หลวงนะ บอกว่าใหไ้ ปกราบ พากันมากราบพระบาทเน้อ ได้บญุ มาก เณรได้
บุญแล้ว ได้บอก”
เณรก็ว่ิงใหญเ่ ลย จากนั้นไปไมห่ า่ งวัดเทา่ ที่ควร บอกครูบาใหญ่ ตุ๊หลวงเขาเลย บอกวา่
“ไปกราบพระบาท ไปกราบพระบาท พระหัสธุดงค์มาพักอยู่นี่พาไป เจอแล้ว ท่านให้มาตาม
เดยี๋ วน”้ี
ตุห๊ ลวงองคน์ นั้ ก็ เม่ือไดย้ นิ ข่าวเณรก็ไม่ต้องฟังฟ้าฟงั แถน (เทวดา) ละ่ ถ้าหากเณรโกหก
ก็เท่ากบั ตกี ลองฟรี ค้อนใสก่ ลองท่มึ ๆ ใหญข่ ึน้ มาเลยนี่ ชาวบ้านกน็ กึ วา่ ไฟไหม้วัด หรอื มเี หตุการณ์
อะไร โอโ้ ถ ! แห่กนั มา
มาถงึ แลว้ ก็ “ไปๆๆ ไหว้พระบาท ไหวพ้ ระบาท อยู่วัดเรานี่ ไปไหวพ้ ระบาทเดยี๋ วน้ี” เณรมา
ตามวา่ “อาจารย์มาพกั อยนู่ ไ่ี ปเห็น” ชาวบ้านก็แตก (ฮอื ) ไป
โอ้โถ ! ทำ� ความสะอาดกราบไหวก้ ัน ใครมผี า้ หม่ เอาเชด็ รอยพระบาท ใครมผี า้ เชด็ หน้า
เอาเชด็ เอาถู มือลบู พระบาทใสห่ ัวใสเ่ กล้า กราบไหว้บชู ากนั เรยี กว่า ๓ – ๔ – ๕ วนั อนั น้นั

147

กแ็ ทบว่าเหมือนกบั มีงานตลอด
ตามประเพณีธรรมเมอื งเหนือ ผูท้ ่เี จอของดๆี เจอของวเิ ศษ ไมใ่ ชค่ น บอกว่าพระอนิ ทรา–
ธิราชแสดงเป็นคนมา มานมิ ิตเปน็ พระแลว้ มาบอก อนั นไ้ี มใ่ ช่คน พระอนิ ทร์ เมื่อพวกให้ชื่อวา่
หลวงปูต่ ือ้ เป็นพระอินทร์
โอ้โถ ! ทงิ้ ไร่ ทง้ิ นา ทิ้งสวน บางคนทิง้ ลูกท้งิ เมยี อยากทำ� บุญพระอินทร์ บางคนก็อยากเห็น
พระอนิ ทร์ มาดูกนั ใหญ่เลย พระอินทร์ทำ� ไมเหมือนพระ ? บอกวา่ เพิน่ (ท่าน) เหมือนพระแหละ
ทา่ นแสดงเปน็ พระ จนทา่ นขเี้ กยี จยถาฯ ทง้ั วนั ทงั้ คนื ไผ (ใคร) กอ็ ยากทำ� บญุ กบั พระอนิ ทรไ์ ด๋ (นะ)
เดย๋ี วน้ี
พระเจา้ พระสงฆ์บา้ นใกลๆ้ แถวนัน้ ก็มาท�ำบุญกับพระอินทรห์ มด มันไมไ่ ดพ้ ักผ่อน ท้ังวัน
ท้งั คืน ใครกอ็ ยากทำ� บญุ กับพระอนิ ทร์ หลวงปูต่ อื้ ว่าอยา่ งนั้นนะ่ มนั ทนไม่ไหว ใกล้จะตาย ไมไ่ ด้
พกั ผ่อน
กพ็ อชาวบ้านเผลอๆ มือ่ คนื (เม่ือคืน) พระอนิ ทร์กล็ ักหนีถอ่ (เทา่ ) น่ันแล้ว ลักหนีใหร้ ู้แล้ว
รรู้ อด มนั จะตายแล้ว สงสัยเขาจะลือว่าพระอินทรเ์ สด็จหนโี ดยไม่มใี ครรูใ้ ครเหน็ อีก หนีเทา่ นั้น
ทา่ นวา่ ”

เผาปากผี รู้ว่าบาปแต่ท�ำ

ท่านพระอาจารย์ไท านุตฺตโม ได้เล่าเรื่องหลวงปู่ตื้อไปภาวนาในถ�้ำ ผีมากวนเลยเผา
ปากผี ดังนี้
“หนีจากบ้านอันนั้นเดินตัดออกมา จะออกมาทาง โค้งมาทางเชียงดาว มาเจอเลียงผานี่
มันไมเ่ คยเห็นคน สมยั กอ่ น เดนิ ไปเดนิ มาก ็ ฟติ ๆๆๆ ตามหลังเสียนี่ เลียงผาน่ี จะมาชน กย็ กกลด
เข้าใส่ มันกก็ ลบั ท่านเดินมา กก็ ้มฟติ ๆๆๆ มา
“เอ๊ะ ! เลยี งผาตวั น้ีมนั ไมร่ ูจ้ กั หลวงตาตื้อ” ผเู้ ฒ่าวา่ กอ้ นหินอยู่รมิ เขา มนั กเ็ หมอื นไข่เป็ด
ไข่ไก่ กใ็ ส่ เหวี่ยงใส่ซโ่ี ครง เลียงผากเ็ ขา้ เกยี ร์ โอ้ย ! ยอดเขานัน่ “ก็ว่าแล้ว อยู่ดๆี มาหาชนครบู า
เลียงผาตวั น”้ี หลวงป่ตู ือ้ ว่า
แล้วถ้ำ� มีถ�ำ้ หน่งึ มนั เป็นถำ้� ยาว แต่ไม่มรี ู ไมม่ ีเกลียว ไปกางกลดที่หนา้ ถ้�ำ นั่งภาวนาไป
เสยี งพึมพ�ำๆๆ อยู่ อยใู่ นถ�้ำนน่ั ล่ะ เสยี ง “เอ๊ ! ไอน้ มี่ ันไม่ใชเ่ สยี งคน เสยี งผี”

148

กเ็ ลยพดู ข้นึ มา “พระเจา้ พระสงฆ์มาเจรญิ เมตตาภาวนา อย่ามาคุยกันอยู่น”้ี
อกี สักพกั มันกพ็ ดู ตามเสียงได๋ (นะ) นี่ “พระเจ้าพระสงฆ์มาเมตตาภาวนา อย่ามาคยุ กัน
อยนู่ ี้” เอา้ ! ว่าตามแล้วผีนี่
แลว้ ก็น่ังภาวนา กค็ ุยกันอกี “อยา่ คยุ กนั กูจะภาวนา”
มันว่า “อย่าคุยกนั กูจะภาวนา” อีกแล้วน่ี
กจ็ ุดเทยี นแลว้ กต็ ามลงไป ตามไปๆ เหน็ รอยเท้า ๒ นว้ิ ตนี เดยี ว รอยเดียว มนั ตามเข้าไป
แลว้ มนั เป็นรคู ั่นเลก็ ๆ คนมันไปไม่ได้ ผีไปได้ กลบั หมดเทยี นหลายเล่มแล้ว ก็มาพจิ ารณาดู เอ้อ !
อันนมี้ นั ไมม่ ีทางออก เรามันมาอยู่หน้าถ�้ำ ก็เลยย้ายกลดออกจากหน้าถ้�ำ มาภาวนาอย่นู อกถ�้ำ
มนั ก็ออก
ตอนเย็นกเ็ ดินจงกรมหนา้ ถำ�้ นัน่ ละ่ โนน่ มนั งัดก้อนหนิ ลงมาจากภูเขาโนน่ ครมึ่ ๆๆๆ ลงมา
“ระวงั นะ ! มนั จะถกู หวั อาตมานะ” กอ้ นหินหยดุ ก๊กึ ! อีก ก็เดนิ จงกรมอกี
กอ้ นหินครมึ่ ๆๆ มากอ้ นที่ ๒ “เฮย้ ! ระวังนะ จะถูกหวั อาตมานะ” ก็หยดุ อีก ท้ัง ๓ ครง้ั
มันกห็ ยดุ แลว้ ผลสุดท้ายก็ไปน่งั ภาวนาในกลด ควกเคียกๆ อย่ใู นปา่ มา
“โอโ้ ถ ! งใู หญเ่ ทา่ ตน้ ตาล” หลวงปู่ตื้อวา่ ยกปาก อ้าปากมาเลย ฟๆู่ มา “สวดวริ ปู ักเข
หลายเท่ียวแลว้ ” หลวงปู่ต้อื ว่า “สวดวิรปู ักเขไปก็ยงิ่ เขา้ มา สวดหลายเทย่ี วก็ไม่หยดุ ” เทยี นไข
ไมม่ หี รอกสมัยก่อน มแี ตเ่ ทยี นข้ผี ึง้ เทียนขีผ้ งึ้ ๓ เลม่ ดๆี กม็ ัดๆ ลงั ๆ เหมือนนน่ี ่ะเหมอื นกบั
ไนลอ่ นน่ี ก็ตดิ ปลายไมเ้ ท้า กต็ ามไฟไว้ดีๆ กส็ อดเข้าปาก เอาแลว้ หางชเ้ี ขา้ ป่านั่นน่ะ
สกั พกั ก็เปน็ เสอื มาร้อง โฮก ! “เอาแหละ เสือจะได้กินไฟอกี แล้วเด้ (นะ) นี่” ไม่มาใกล้
ได้ประมาณ ๒ เดอื น หลวงปู่ต้อื เจบ็ ปาก ปากเปื่อยหมดผเู้ ฒ่า บุญเผาผีนนั้ หลวงปกู่ ร็ ้อู ยู่ว่า
เปน็ บาป แต่หลวงปทู่ ำ�
แต่นัน้ กม็ าถำ้� นนั้ หลวงปู่วา่ “พระไป พระเจ้าพระสงฆไ์ ป มันก็ไมค่ ่อยรบกวนแล้ว ถา้ ข้า
ไมเ่ ผาปากไว้กอ่ นนะไม่ได้” หลวงปู่ว่า หลวงปเู่ ผาปากมัน แตห่ ลวงปกู่ ร็ ู้วา่ มนั บาป แตห่ ลวงปู่ท�ำ
เป็นอย่างนั้น นสิ ัยหลวงปู่เป็นอยา่ งนนั้ ”

149

ส�ำรวจดอยหลวงเชียงดาว

ต่อมาหลวงปตู่ ื้อ อจลธมโฺ ม ได้อย่ปู ฏิบัตธิ รรมกับหลวงป่มู ่นั เมื่อมพี ระเณรเข้ามาสมทบ
เพอ่ื เท่ียววเิ วกกบั องคท์ า่ นหลวงปู่มนั่ เพิม่ มากขึน้ องคท์ ่านหลวงปู่มั่นจึงมอบหมายให้หลวงปชู่ อบ
านสโม หลวงปู่ต้อื อจลธมฺโม หลวงปู่แหวน สจุ ิณโฺ ณ หลวงปเู่ กตุ วณณฺ าโก และตาผ้าขาว
สียาคนบ้านแม่กอย ออกเดินทางล่วงหน้าไปส�ำรวจสถานที่ดอยหลวงเชียงดาว องค์ท่านบอกให้
รออยทู่ ี่นั่นจนกว่าทา่ นจะพาหมูค่ ณะตามไปสมทบ
หลวงป่ชู อบกับหมู่คณะจงึ พากันออกเดินทางล่วงหนา้ ไปดอยหลวงเชียงดาวตามบญั ชาของ
องค์ทา่ นหลวงปู่ม่ัน ระหว่างพกั รอคณะขององค์ทา่ นหลวงป่มู ั่นทด่ี อยหลวงเชยี งดาว หลวงปู่ต้อื
ท่านชวนหมคู่ ณะเข้าไปสำ� รวจภายในถ�้ำแหง่ หน่ึงที่อยเู่ ชงิ ดอยหลวงเชยี งดาว ถ้�ำแห่งนี้หลวงปชู่ อบ
ทา่ นเขา้ ไปสำ� รวจมากอ่ นแลว้ ทา่ นวา่ ถำ้� แหง่ นมี้ ดื มาก แสงสวา่ งสอ่ งไมค่ อ่ ยถงึ อากาศถา่ ยเทไมส่ ะดวก
เหม็นอับขี้เยี่ยวค้างคาว ถ้าอยู่นานๆ จะมีอาการปวดหัวแน่นหน้าอก ท่านกับหลวงปู่แหวน
หลวงปเู่ กตุ จงึ ปฏเิ สธทจี่ ะเขา้ ไปสำ� รวจถำ�้ กบั หลวงปตู่ อ้ื หลวงปตู่ อ้ื ทา่ นจงึ เขา้ ไปสำ� รวจภายในถำ้� มดื
เพียงลำ� พังองค์เดียว
หลวงปตู่ ื้อทา่ นเขา้ ไปในถำ�้ นานหลายชว่ั โมง ตอนบา่ ยท่านกอ็ อกมาจากถ้�ำในสภาพเนื้อตวั
เปื้อนโคลนดิน หลวงปู่ตื้อท่านบอกถ้�ำมืดสลับซับซ้อนมาก ในถ้�ำมีพระพุทธรูปและข้าวของ
เครอื่ งใช้สมยั โบราณกระจายอยทู่ ั่ว ภูมิยักษ์ทร่ี กั ษาสมบตั กิ ็ดเุ อาการ หยบิ จับอะไรข้ึนมาดูก็แสดง
กิรยิ าไมเ่ ปน็ มติ รด้วย ในถำ�้ มงี อู าศัยอยมู่ าก เวลาเดนิ ตอ้ งระวังจะเดนิ ไปเหยียบงู หลวงป่ตู อ้ื ท่าน
ไม่คอ่ ยถูกกันกบั พวกงเู งยี้ วเข้ียวขอ พอเจองมู ากๆ ท่านจึงออกจากถ้�ำ
หลวงปู่ชอบเล่าถงึ อปุ นสิ ัยโลดโผนของหลวงปตู่ ้ือให้ฟังวา่ หลวงปตู่ ื้อท่านเปน็ พระท่ผี ีสาง
เทวดาอนั ธพาลกลัวเกรงทา่ นมาก ผฟี า้ ป่าเขาที่ไหนว่าดุๆ เฮ้ียนๆ พอเจอหลวงปตู่ ้อื แล้วเปน็ ต้อง
แตกกระเจิง หลวงปู่ตื้อท่านไม่เกรงกลัวในอ�ำนาจของพวกมิติมืด แต่ถ้ากับงูท่านจะไม่เข้าใกล้
หลวงปู่ชอบเคยถามท่านว่า อาจารยต์ อื้ กลวั งูหรือจงึ ไมก่ ล้าจับงู หลวงปู่ตื้อบอกทา่ นไม่ไดก้ ลัวงู
ท่านว่าเวลาจับหรือสมั ผัสกบั งูท่านจะเกิดอาการเดียมมอื (จ๊ักกะจมี๋ อื ) ไมจ่ �ำเป็น ท่านจะไม่จบั
หรอื สัมผัสกบั ตวั งู
ท่านว่าต่างกันกับหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนถ้าเจองูท่านจะจับมาดูเฉย หลวงปู่แหวน
กับหลวงปู่ต้ือท่านจึงมักจะเที่ยววิเวกด้วยกัน ถ้าที่ไหนมีงูมากวน หลวงปู่แหวนท่านจะจับงูไป
ปล่อยให้ แต่ถ้าท่ีไหนมีผีสางมารบกวนหลวงปู่ต้ือท่านจะเป็นผู้ก�ำราบให้เอง ท่านว่าสมัยก่อน
ตอนเป็นพระหนุ่มเท่ียววิเวกอยู่ทางภาคเหนือ ถ้าเห็นหลวงปู่ต้ือท่ีไหน ก็จะเห็นหลวงปู่แหวน

150

อย่ทู ี่นัน่ เว้นแต่ท่านท้ังสองจะแยกกันไปจ�ำพรรษายงั สถานทแ่ี ห่งอื่น พอออกพรรษาแล้ว ทา่ นก็
จะกลับมาหากนั เหมอื นเดมิ จนองค์ทา่ นหลวงปู่มน่ั พดู หยอกชมเชยหลวงป่ตู อื้ หลวงปูแ่ หวน วา่
“คเู่ งาธรรม งัวงามคู่”
หลังจากพากันท�ำทพี่ กั ใหอ้ งคท์ า่ นหลวงป่มู ่ันเสรจ็ ได้ประมาณสามส่วี นั หลวงปู่ม่นั ทา่ น
ก็พาลูกศษิ ยต์ ามมาสมทบ องค์ทา่ นถามว่าสถานทแ่ี หง่ น้ีเปน็ อย่างไรบ้าง หลวงป่ตู ือ้ กราบเรยี น
องค์ทา่ นว่าสถานทแี่ หง่ น้ีเหมาะแกก่ ารปฏิบัติขอรบั เทพภูมิท่นี ีก่ เ็ ป็นมิตรกบั พระเณรดี เว้นแต่
ภูมยิ ักษร์ กั ษาสมบตั เิ ทา่ น้ันเขาไม่คอ่ ยเป็นมติ รกบั พระเณรเราเท่าไหร่ เพราะเคยมีพระเณรมาเอา
สมบตั ทิ เ่ี ขารกั ษาออกไปจากถ�้ำ ภูมิยกั ษร์ ักษาถ�้ำเขาจึงไมค่ อ่ ยเปน็ มิตรกบั พระเณรเรา เขาจะคอย
ต�ำหนเิ พง่ โทษ เพราะเกรงว่าพวกเราจะพากันมาขนเอาสมบัตทิ ่ีเขาเฝา้ รกั ษาออกไปจากท่ีน่อี กี
องค์ท่านหลวงปู่มั่นจึงเตือนลูกศิษย์ให้พากันส�ำรวมในศีลสิกขาของตน อย่าพากันหาญ
คะนองลองประมาทในสถานทเี่ ปน็ อันขาด ทา่ นสง่ั หา้ มพระเณรไม่ให้ไปแตะตอ้ งของสงวนทพ่ี วก
เทพภูมิเขารักษา ให้พากันท�ำความเพียรเดินจงกรมภาวนาแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่
ในสถานที่แห่งน้ีให้ได้รับความผาสุกใจในธรรม เรื่องภายนอกนั้นให้พระเณรปฏิบัติไปตามหน้าท่ี
ของตน ส่วนเร่ืองภายในนัน้ องคท์ ่านจะเปน็ ผู้พจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมในการปฏิบตั ิตอ่ สถานท่ี
ด้วยองคท์ ่านเอง
หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟังว่า ท่ีดอยหลวงเชียงดาวในสมัยอดีตมีฤๅษีชีไพรพากันมาพัก
บ�ำเพ็ญเพยี รอยทู่ ี่นมี่ ากมายหลายทา่ น ในอดตี ชาตขิ องท่านกอ่ นพุทธกาล ทา่ นกบั หลวงปู่ตอ้ื ผู้เปน็
สหายธรรมเคยเป็นฤๅษีมนุ ีไพรบ�ำเพญ็ เพยี รที่ดอยเชียงดาวดว้ ยกันมาก่อน ผลบุญผลานิสงส์ของ
การบำ� เพ็ญเพียรในชาตนิ ัน้ ส่งผลใหท้ ่านท้งั สองได้มาเกดิ ในสมัยพระพทุ ธเจ้าสมณโคดม
ชาตนิ นั้ ทา่ นทงั้ สองบวชเปน็ พระภกิ ษสุ มยั ตน้ พระศาสนาทนั พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั แตด่ ว้ ย
อนิ ทรียบ์ ารมีธรรมของทา่ นทงั้ สองยงั ออ่ นอยู่ ตอ่ มาต่างก็พากนั ลาสิกขาออกมาครองเรือนเป็น
ฆราวาส ในชาตนิ นั้ หลวงปู่ชอบท่านตายตอนอายุสามสิบกวา่ ปี

เท่ียววิเวกกับสหธรรมิก

หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ท่านได้พักปฏิบัติธรรมอยู่กับองค์หลวงปู่ม่ัน บนดอยหลวง
เชียงดาว ซ่ึงในระยะน้ันก็มีหลวงปู่ชอบ านสโม หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้อยู่ร่วมพัก
ปฏบิ ตั ธิ รรมด้วย

151

หลงั จากท่ี หลวงปู่ชอบ ทา่ นพักปฏิบัตธิ รรมอย่กู ับองคห์ ลวงปูม่ ่นั บนดอยหลวงเชียงดาว
ได้ระยะหนึ่งแล้ว ทา่ นอยากจะออกเที่ยวธดุ งคว์ ิเวกไปตามสถานทท่ี ่ที ่านยังไมเ่ คยไป ท่านจึงได้
นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบเรียนองคห์ ลวงปมู่ ัน่ ผ้เู ปน็ พ่อแมค่ รบู าอาจารย์ องค์หลวงป่มู นั่ ท่านจงึ แนะน�ำให้
หลวงปู่ชอบไปเทย่ี ววิเวกทางเมืองแหง เมอื งคอง ชายแดนไทย – พมา่ เพราะทางนัน้ มีป่าไม้ขนุ เขา
อันเงยี บสงบเหมาะแก่การภาวนา หลวงป่ชู อบท่านจึงได้ตัดสินใจจะเดนิ ทางไปเทย่ี ววเิ วกเมอื งคอง
ชายแดนไทยพม่า ตามทอ่ี งคห์ ลวงปูม่ ั่นทา่ นแนะน�ำ
หลวงปู่แหวน กบั หลวงป่ตู อ้ื ทา่ นทง้ั สองพอทราบข่าววา่ หลวงปชู่ อบทา่ นไดก้ ราบลา
พอ่ แมค่ รูบาอาจารยม์ ั่นออกเทย่ี ววิเวก หลวงปูต่ ้ือกบั หลวงปู่แหวนอยากจะไปเท่ียววเิ วกกับหลวงปู่
ชอบ จึงได้พากนั เข้าไปกราบเรยี นขออนุญาตจากองค์หลวงปู่ม่ันเพื่อออกเทย่ี ววิเวกกับหลวงป่ชู อบ
องค์หลวงปู่ม่ันท่านก็อนญุ าตใหท้ า่ นท้ังสามออกเทีย่ ววิเวกดว้ ยกนั โดยส่ังกำ� ชบั เอาไว้วา่ ถ้าหาก
พากันกลบั จากเที่ยววิเวกแลว้ ให้ไปหาองค์ท่านทางเมอื งพร้าว ทา่ นจะไปพกั ภาวนารออย่ทู างนนั้
หลวงป่ชู อบ หลวงปแู่ หวน หลวงปู่ตอื้ ท่านทัง้ สามจึงได้พากันกราบลาองคห์ ลวงปมู่ น่ั
และไดพ้ ากันออกธดุ งค์เดินทางไกลดว้ ยเท้าเปลา่ ไปตามขนุ เขาอนั สลับซับซ้อน ระยะทางประมาณ
๕๐ กโิ ลเมตร จากดอยหลวงเชียงดาว ผ่านมาทาง ถำ�้ ปากเปยี ง – ถ�้ำผาปล่อง มุง่ หนา้ ขน้ึ เขา
ไปทางเมอื งคอง ตามทอ่ี งค์หลวงปมู่ ่ันบอกทางไว้ ทา่ นท้งั สามใช้เวลาเดนิ ทางตลอดท้งั วนั จึงมาพบ
กับหมูบ่ า้ นเลก็ ๆ แหง่ หนงึ่ ช่ือวา่ “บ้านแมแ่ พลม” บา้ นแม่แพลมในสมยั กอ่ นนน้ั มบี ้านเรอื นไม่มาก
ประมาณสบิ กวา่ หลงั คาเรอื น คณะของทา่ นทงั้ สามจงึ ไดพ้ ากนั พกั ภาวนาอยู่ชายปา่ บา้ นแม่แพลม
เพอื่ อาศัยโคจรบณิ ฑบาตและอาศัยสอบถามเส้นทางกบั ชาวบ้าน
คณะของทา่ นพักอยู่บา้ นแมแ่ พลมประมาณสองวัน กพ็ ากันออกเดินทางมาทีห่ มู่บ้านเลก็ ๆ
อีกหมู่บ้านช่ือว่า “บ้านวังมะริว” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไรนักกับบ้านแม่แพลม ท่านท้ังสามพากัน
ขึ้นไปพักภาวนาอยู่ท่ีดอยผาหมี ห่างจากบ้านวังมะริวออกไปประมาณสองกิโลเมตร ตอนพัก
ภาวนาอยู่ที่ดอยผาหมี หลวงปู่ชอบท่านทราบด้วยความรู้ภายในขององค์ท่านว่า บริเวณบ้าน
วังมะรวิ และเมืองคองท่ีอยู่พื้นลา่ งดอยผาหมีนนั้ ในสมยั อดตี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ท่านเคย
มาต้งั ทัพศึก เพ่อื รวบรวมกำ� ลังไพรพ่ ลและเสบยี งกรังกอ่ นทพ่ี ระองค์จะยกทพั ไปตีเมอื งหงสาวดี
ออกจากดอยผาหมี บ้านวังมะริว ท่านท้งั สามพากันเดินข้ามแมน่ �้ำแม่แตงมาพักภาวนา
ทดี่ อยเลก็ ๆ แหง่ หนงึ่ ซงึ่ อยไู่ มไ่ กลจากบา้ นเมอื งคองมากเทา่ ไรนกั หลวงปชู่ อบทา่ นเลอื กทจ่ี ะพกั อยู่
ถ้ำ� เล็กๆ แห่งหนง่ึ ทข่ี ้างล่างดอย หลวงปูต่ ้ือกบั หลวงป่แู หวนท่านพากนั ขน้ึ ไปพกั อยู่บนยอดดอย
ทา่ นบอกถ�ำ้ แหง่ นีม้ อี ดตี กบั ทา่ นมากอ่ น มชี าติหนงึ่ ท่านเกดิ เป็นเสือโคร่งเคยอาศยั อยู่ในถ้�ำแห่งน้ี
และได้ตายอย่ใู นถ้�ำแห่งนี้ ด้วยสิ้นอายุขยั ของการเกิดเปน็ เสือโครง่ ในชาตนิ ้ัน

152

ปัจจบุ ันดอยแหง่ นถ้ี กู สรา้ งขึน้ มาเปน็ สำ� นักสงฆ์บ้านแมเ่ มืองคอง แตไ่ ม่คอ่ ยมีพระเณรอยู่
ประจ�ำตลอด เนอ่ื งจากทุรกนั ดารมาก ปจั จยั ๔ อตั คัดขัดสน พระเณรผไู้ ม่มคี วามอดทนจะอยู่ทนี่ ี่
ล�ำบากดว้ ยเหตุผลท่หี ลากหลาย
ออกจากบ้านแมเ่ มอื งคอง ทา่ นท้งั สามไดพ้ ากันไปพกั ภาวนาที่ ดอยบา้ นขนุ คอง ซึง่ เป็น
หมู่บา้ นของชาวเขาเผา่ ลีซอ ต้ังอยู่ในเขต ตำ� บลทงุ่ ขา้ วพวง อ�ำเภอเชียงดาว จังหวัดเชยี งใหม่
เมอื งคอง ต้ังอย่ใู นเขตตำ� บลเมืองคอง อำ� เภอเชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ อยูใ่ กลช้ ายแดนไทย – พม่า
สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบระหว่างหุบเขา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ มีสภาพ
ภูมอิ ากาศหนาวเยน็ ตลอดปี อุณหภมู ิเฉลยี่ ๕ – ๑๐ องศาเซลเซยี ส

ดอยหลวงเชียงดาว

ดอยหลวงเชียงดาว หรือ ดอยเชียงดาว มยี อดเขาทีส่ งู เปน็ อันดบั ๓ ของประเทศไทย
ต้ังอยใู่ นเขตรักษาพนั ธส์ุ ัตวป์ ่าเชยี งดาว อำ� เภอเชยี งดาว จังหวดั เชยี งใหม่ เดมิ มชี อ่ื วา่ “ดอย
เพียงดาว” แตผ่ ู้ทีอ่ าศยั อยู่ในท้องถ่นิ ไดเ้ รยี กเพยี้ นมาเปน็ “เชยี งดาว” อย่างในปัจจุบนั และมีชื่อ
ด้งั เดมิ วา่ “ดอยอ่างสลุง” โดยมคี วามเช่อื ว่า ในอดีตองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เคยเสดจ็ มา
พรอ้ มพระอรหันต์ ๘ รูป ทรงลงสรงน�้ำในทแ่ี หง่ นี้ ขณะท่ี “หลวง” ในภาษาเหนือหมายถงึ “ใหญ”่
ดอยหลวงเชยี งดาว ธรรมสถานพระปจั เจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หลวงปมู่ นั่ ภูรทิ ตโฺ ต
เทือกเขาภหู ลวงเปน็ เทอื กเขาแหง่ พระอรยิ เจ้าของทางภาคเหนือ ถือว่าเปน็ ขุนเขาศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ
หรือเรียกวา่ “ดอยหลวงเชียงดาว” ซ่งึ ประกอบดว้ ย ถ้�ำเชยี งดาว ถ้ำ� ฤๅษี ถ�ำ้ พระปจั เจกพทุ ธเจา้
ถำ้� ปากเปียง ถ�้ำผาปลอ่ ง ซึง่ ล้วนเป็นสถานทีท่ ่ี ทา่ นพระอาจารยม์ ่ัน ไดเ้ ดินธุดงคแ์ ละพกั บำ� เพญ็
เจริญสมณธรรมมาแลว้ ท้งั สน้ิ
ในสมัยก่อน “ถ้�ำเชียงดาว” เป็นถ้�ำท่ีเคยมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาพักและมีพระอรหันต์
มานพิ พาน ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั กลา่ ววา่ “ปา่ เทอื กเขาเชยี งดาวนน้ั ถอื เปน็ รมณยี สถาน ถำ้� เชยี งดาว
ถอื เป็นมงคลสำ� หรบั นกั ปฏิบตั ิธรรม”
จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตเถร โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว
าณสมฺปนฺโน ได้บนั ทึกไวด้ ังน้ี
“ขณะท่ที ่านพักอย่ใู นถำ�้ เชียงดาว ปรากฏนมิ ติ ต่างๆ ท่ีประทบั ใจมากมายหลายนิมติ แตจ่ ะ
นำ� มาลงเท่าทีค่ วร คอื ตอนกลางคืนยามดกึ สงัดแทบทุกคนื มเี ทวดามาจากเบ้ืองบนชนั้ ตา่ งๆ บา้ ง

153

มาจากเบอื้ งลา่ งทต่ี ่างๆ บ้าง มาฟังเทศนท์ ่านคนื ละ ๓ พวกบ้าง ๒ พวกบา้ ง ๑ พวกบา้ ง ตามเวลา
ท่ีทา่ นนดั ใหม้ า และมพี ระอรหันตม์ าสัมโมทนียกถาธรรม เครอ่ื งรืน่ เริงกบั ทา่ นเสมอมไิ ดข้ าด”
“ท่ถี ำ้� เชียงดาวมพี ระอรหันตม์ านพิ พาน ๓ องค์ สององคน์ อนนพิ พาน แตอ่ ีกองค์หนง่ึ
เดินจงกรมนพิ พาน และแสดงท่านพิ พานใหท้ า่ นดตู อ่ หน้าตอ่ ตาเลย ทุกองคท์ ี่นิพพานในท่าตา่ งๆ
ได้อธบิ ายเหตุผลประกอบใหท้ า่ นทราบอย่างละเอยี ด กอ่ นจะท�ำพธิ นี ิพพาน”
ครน้ั ท่านพระอาจารย์มัน่ มาพักบ�ำเพ็ญสมณธรรมอยู่นั้น ท่านได้กลา่ วว่า “ครงั้ แรกๆ เรา
กพ็ กั อยูต่ ีนเขาและบำ� เพ็ญความเพยี ร ตอ่ ไปก็ขยบั มาอยทู่ ป่ี ากถ�้ำ” ตรงปากถ�้ำนั้นมีก้อนหนิ ใหญ่
ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ท่านใช้ก้อนหนิ น้ันเป็นท่ีนง่ั สมาธิ มคี วามรูส้ ึกว่า เหมอื นอยใู่ นโลกอีกโลกหน่ึง
มใิ ชโ่ ลกนี้ ไมว่ ่าจะเดนิ จงกรมหรือนงั่ สมาธิ
ท่านพระอาจารย์มัน่ ภรู ทิ ตฺโต ไดใ้ ห้ หลวงปตู่ ือ้ อจลธมโฺ ม ผูเ้ ป็นลกู ศิษย์ ปีนขึ้นไปส�ำรวจ
ถำ้� พระปัจเจกพทุ ธเจา้ และบ่อน�ำ้ ทิพย์ศักดสิ์ ทิ ธ์ติ ามทเ่ี ห็นในนิมิต จนหลวงปู่ตื้อได้เขา้ ไปเจออีกมิติ
ท่ซี ้อนทับอยู่ ไดพ้ บกบั อารกั ษใ์ หญ่และชีปะขาวนอ้ ยผ้ปู กปกั ษ์รกั ษาถ�้ำพระปจั เจกพทุ ธเจ้า

ตอนสาวน้อยจ้อยซอ

ออกจากดอยลซี อ บ้านแมข่ นุ คอง อำ� เภอเชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ หลวงปูช่ อบ านสโม
หลวงป่แู หวน สุจิณฺโณ หลวงปตู่ อื้ อจลธมโฺ ม พากันมาเที่ยววิเวกทางเมืองเวียงแหง ท่านท้งั สาม
พากนั ไปขอพักที่วัดในเมืองเวียงแหงซ่ึงเป็นวัดของชาวไทยใหญ่ พกั อยทู่ นี่ ไี่ ด้คนื เดียว หลวงปแู่ หวน
ท่านก็ชวนหมู่คณะกลับมาหาองค์หลวงปู่ม่ัน ท่ีเมืองพร้าว ท่านทั้งสามจึงพากันเดินทางมาหา
องค์หลวงปูม่ ่ันท่บี า้ นป่าเม่ียง แมส่ าย
ระหว่างเดินทางมานั้น น้�ำฉันของพวกท่านหมด หลวงปู่แหวนท่านจึงไปขอน้�ำกับโยม
ที่ก�ำลังเก็บใบเมี่ยง ลูกสาวเจ้าของไร่เมี่ยงจึงไปตักน้�ำในบ่อมาถวายให้พวกท่านฉัน พอฉันน�้ำ
ดบั กระหายกันแลว้ น้�ำทเ่ี หลอื ทา่ นทงั้ สามกพ็ ากนั เอามาล้างแขง้ ล้างขาของตนเอง ระหวา่ งทที่ ่าน
ทั้งสามกำ� ลงั พากนั ล้างแข้งล้างขาอยู่นั้น หญิงสาวชาวไรเ่ มย่ี งทต่ี ักน้�ำมาถวายให้พวกทา่ น เธอได้
ส่งเสียงน�ำ้ ออ้ ย “จอ้ ยซอ” ข้ึนมา
(จอ้ ยซอ คอื เพลงล�ำทางภาคเหนอื คล้ายกับลำ� กลอนของทางภาคอสี าน ต่างกนั แคใ่ ช้
ภาษาถนิ่ ในการประพันธ์กวี กาพย์ กลอนเท่าน้ัน)
สาวน้อยนางนี้เธอได้จ้อยซอข้ึนมาว่า “ขาลายยาวแปงฮาวผ้าอ้อม ขาลายก้อมแปงผ้า
เจ๊ดตีน๋ ”

154

มีความหมายเปน็ นัยยะว่า “ชายคนไหนที่สักขาลายทัง้ สองขา้ ง ชายคนน้นั เปน็ ชายชาตรี
เหมาะท่ีจะเอามาเปน็ พอ่ ของลูก ชายคนไหนสกั ลายไม่ครบท้ังสองข้าง ชายคนน้ันไมใ่ ชช่ ายชาตรี
ที่แทจ้ ริง ไมค่ วรทจี่ ะเอามาเป็นพ่อของลกู ”
คนสมัยก่อนเวลาท่ีส่ือเสน่หา เขามักจะใช้ถ้อยค�ำส�ำนวนท่ีซ่อนความหมายในเจตนาของ
ตนเองเอาไว้
องค์ท่านท้งั สามทราบถึงเจตนาที่สาวนอ้ ยจ้อยซอคนนเี้ ขามีจิตคิดอย่างไรกับพวกท่าน
โดยเฉพาะหลวงปู่แหวนท่านมีขาลายยาวทั้งสองข้าง สาวน้อยจ้อยซอจึงมีจิตเจตนามอง
ท่านไปในทางแปงฮาวผ้าอ้อม องค์ท่านท้ังสามจึงพากันเดินทางออกจากสวนเมี่ยงแห่งนั้นทันที
ระหว่างเดินทางมาหลวงปู่ตอื้ ทา่ นพูดหยอกหลวงปูแ่ หวนว่า “คักหลายนอ้ ผู้เฒา่ แหวน ขาลายยาว
แปงฮาวผ้าออ้ ม”
เรอ่ื งนจี้ งึ เปน็ เรอื่ งทท่ี ำ� ใหอ้ งคท์ า่ นทง้ั สามพากนั ขำ� ขนั กบั เหตกุ ารณท์ ผ่ี า่ นมา เรอ่ื งขาลายยาว
แปงฮาวผ้าออ้ มน้ี จึงเปน็ เรอ่ื งที่หลวงปชู่ อบ กับ หลวงปูต่ ้อื ท่านมกั จะพดู หยอก หลวงปแู่ หวน
สจุ ิณโฺ ณ จนพ่อแมค่ รูบาอาจารย์ทา่ นเฒ่าชะแลแกช่ รา ท�ำใหล้ ูกศิษย์รนุ่ หลงั ๆ อย่างเราพลอยไดร้ บั
อานสิ งส์ความบนั เทงิ เริงใจของทง้ั สามองคท์ า่ นในเร่ืองน้ี

ตอนอยู่แต่เกิบ (อยู่แต่รองเท้า)

เมอ่ื ถึงบ้านปา่ เม่ยี ง ท่านท้ังสามพากนั มารอเข้าพบองค์หลวงปู่ม่ันทศ่ี าลาพักขององค์ทา่ น
ท่านทง้ั สามพากันรออยูน่ าน กไ็ มไ่ ด้ยินเสียงกระแอมไอขององคห์ ลวงปู่มน่ั เปน็ สญั ญาณซกั ที
หลวงป่ตู อ้ื ท่านจงึ แกล้งพดู เสียงดงั ขึน้ มาว่า “สงสยั พ่อแมค่ รูอาจารย์มั่น ทา่ นจะไม่อยู่
ท่ีนีแ่ ล้ว ทา่ นคงออกไปเทยี่ ววเิ วกแล้วละ่ มงั ถา้ พ่อแมค่ รูอาจารยท์ า่ นอยู่ พวกเราก็ตอ้ งเห็นตัวทา่ น
แล้วสิ น่ีมารอกันตั้งนาน กย็ งั ไม่เหน็ ท่านเลย เห็นแต่เกบิ เพิน่ บเ่ หน็ โต๋เพน่ิ ” (เหน็ แต่รองเท้าทา่ น
ไม่เหน็ ตัวท่าน)
พอหลวงปตู่ อื้ วา่ จบไมน่ าน องคห์ ลวงปมู่ น่ั กด็ เุ สยี งขนึ้ ใสว่ า่ “พวกพระขเี้ หลา้ เมายาพากนั มา
แล้วหรือ มันพากนั เมาเหลา้ เมาโลกมาจากไหน ถงึ ได้มาสง่ เสยี งเอะอะโวยวายรบกวนความสงบ
ของพระสงฆอ์ งค์เณรผ้ทู า่ นปฏิบตั ิอยูท่ ่ีนี่ ครบู าอาจารย์ไม่เคยอบรมส่ังสอนหรอื ยังไง ถึงได้พากนั มา
เอะอะโวยวายยังกบั พวกข้เี หลา้ เมายา มันเปน็ ลกู ศษิ ย์ของใครถึงได้ท�ำตวั กันแบบนี้..หอื ”

155

หลวงปู่ตื้อท่านตอบองค์หลวงปู่ม่ันว่า “กระผมชื่อพระต้ือ อจลธมฺโม เป็นลูกศิษย์ของ
ท่านพระอาจารย์มั่นขอรับ กระผมพาครูบาชอบ ครูบาแหวน มากราบเย่ียมขอฟังธรรมกับ
พอ่ แม่ครอู าจารยม์ ่ันขอรับ”
หลวงปชู่ อบบอก “พออาจารยต์ อ้ื ตอบทา่ นอาจารยใ์ หญม่ น่ั เสยี งดงั แบบน้ี เฮา (เรา) กบั
ผู้เฒ่าแหวนพากันตับลีบเบ๊ิด (หมด) ย่าน (กลัว) อาจารย์ใหญ่ท่านย้องบ่างกัณฑ์ใหญ่ (กลัว
หลวงปมู่ ่ันทา่ นจะเทศนย์ ำ� ดว้ ยธรรมกณั ฑใ์ หญ่)
องคห์ ลวงปูม่ นั่ ดุให้ว่า “ออกไปจากส�ำนกั เราเดี๋ยวนี้ ส�ำนกั เราไม่ตอ้ นรับพระขเี้ หลา้ เมายา
ออกไปเดยี๋ วน้ี”
พอองค์ท่านพูดจบ หลวงปู่ต้ือท่านก็คลานข้ึนบันไดเข้าไปยังห้องพักขององค์หลวงปู่ม่ัน
ท่านกราบเรียนองคห์ ลวงปมู่ ั่นว่า “พวกเกลา้ กระผมพ่ึงกลับมาจากเที่ยววิเวก จะพากนั มากราบ
เรยี นปรกึ ษาข้อธรรมะกับพอ่ แม่ครูบาอาจารย์ขอรับ”
องคห์ ลวงปมู่ ั่นว่าใหห้ ลวงปูต่ ้อื “ท่านตื้อทำ� อะไรไปก็ควรระวังในเร่ืองความสงบเอาไวบ้ า้ ง
ท่านก็รู้ว่าเราไม่ชอบคนพูดเสียงดังเหมือนพวกขี้เหล้าเมายา ท�ำไมท่านตื้อต้องพูดเสียงดังท�ำลาย
ความสงบของพระเณรผู้ทีท่ ่านกำ� ลงั ปฏิบัติอยู่ ถ้าเราไมร่ ้จู กั จรติ นสิ ัยของทา่ นมาก่อนแลว้ เราจะ
ไลใ่ ห้ท่านออกไปจากท่นี ่ีเลย ปากนัน้ ไมไ่ ดม้ ีไว้ส�ำหรบั พูดเสมอไป บางคร้งั กเ็ อาไวก้ ระแอมไอบ้าง
แคไ่ อคอ่ กๆ แคก่ ๆ ข้นึ มา เรากร็ แู้ ล้ววา่ มคี นมาหา ทีหลงั ทา่ นตือ้ อย่าท�ำแบบนอี้ ีกนะ ใหท้ า่ น
เหน็ ใจหมคู่ ณะพระเณรทท่ี า่ นกำ� ลังปฏบิ ัติหาความสงบบ้าง”
เม่ือถูกองค์หลวงปู่ม่ันเตือน หลวงปู่ตื้อท่านก็น้อมรับเอาธรรมค�ำสอนของพ่อแม่
ครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ
จากน้ัน องค์หลวงปู่มั่นว่าให้หลวงปู่ชอบกับหลวงปู่แหวนว่า “พวกเพ่ือนพระขี้เหล้า
สององคน์ ้ี ทำ� ไมมันไมพ่ ากันข้นึ มาหาเราล่ะ มนั ยงั ไมส่ รา่ งเมากนั อีกหรือ”
หลวงปชู่ อบทา่ นวา่ “เฮากบั ผเู้ ฒา่ แหวนพากนั คลานกอ่ มกอ้ ยขน้ึ ไปตง้ั แตห่ วั บนั ได ยา่ นเพน่ิ
ยอ้ งบ่าง”
ท่านเลา่ ไปหัวเราะไป นี่อดตี ของพอ่ แมค่ รบู าอาจารย์ทัง้ สามท่าน หลวงปชู่ อบ านสโม
หลวงป่แู หวน สจุ ณิ โฺ ณ หลวงป่ตู อื้ อจลธมฺโม เมือ่ สมยั ท่านท้ังสามยงั เป็นครบู าพระหนุ่มท่ีอยใู่ น
อ้อมกอดเมตตาธรรมขององคห์ ลวงปู่ม่นั ภูรทิ ตโฺ ต

156

องค์หลวงปู่ม่ันถามถึงเรื่องการไปเที่ยววิเวก และเร่ืองการภาวนาของแต่ละองค์ว่าเป็น
อย่างไร พากนั ไดข้ อ้ คดิ ขอ้ ธรรมอะไรตดิ จติ ติดใจกันมาบ้าง องคห์ ลวงปมู่ น่ั ถามเรอื่ งภายในของ
แต่ละองค์ ทา่ นทั้งสามต่างพากันกราบเรียนองคห์ ลวงปมู่ ่นั ตามภมู ิความรูท้ ี่ตนเองมีอยใู่ นตอนนัน้
ขอ้ ไหนถูก องคท์ า่ นก็ส่งเสรมิ ถา้ ใครติดขดั ในธรรมจุดไหน องค์ท่านกจ็ ะแกป้ ญั หาธรรมน้นั ๆ ให้
กระจ่างแจง้ แก่ใจ
มผี กู้ ราบเรียนถามหลวงปชู่ อบว่า “หลวงปู่ม่นั ทา่ นดุกับพระเณรนนั้ จริงหรือไม่”
หลวงปชู่ อบท่านบอกพอ่ แมค่ รูจารยม์ นั่ ท่านจะดุกบั พระเณรอยู่ ๒ ประการ
๑. ท่านจะดุพระเณรองค์น้ันเพ่ือทดลองใจ ซึ่งเร่ืองนี้เราถูกมากับตนเองแล้ว ตอนไป
ถวายตวั เป็นลกู ศิษยข์ องท่านทีบ่ ้านสามผง
๒. ท่านจะดพุ ระเณรองคน์ ้ันๆ ตอ่ เมอ่ื ปฏบิ ตั ิตนผิดธรรมผดิ วนิ ัย ถ้าประพฤติตนหนักเข้า
ไม่เคารพในพระธรรมวนิ ยั ทา่ นก็จะไล่ใหห้ นีออกไปจากส�ำนกั ของท่านทันที เราเคยเห็นมาแล้ว
ตอนทอี่ ยเู่ ชยี งใหม่ กับทีส่ กลนคร

การส่งเสียงกระแอมไอเป็นสัญญาณขอเข้าพบครูบาอาจารย์

เรือ่ งท่ี หลวงปู่ตือ้ อจลธมฺโม ถกู หลวงปมู่ ัน่ ท่านดุเรอ่ื งการสง่ เสยี งดงั ในวัด และท่านไดส้ อน
ให้สง่ เสียงกระแอมไอเปน็ สัญญาณเพือ่ ขอเขา้ พบครูบาอาจารย์นน้ั
หลวงปู่ชอบ ทา่ นสอนลูกศษิ ยว์ ่า “การสง่ เสยี งกระแอมไอนี้เป็นเอกลักษณ์อยา่ งหนงึ่ ของ
พระเณรกรรมฐานทถ่ี ือปฏิบตั สิ ืบทอดกันมา ต้งั แตส่ มัยพระพทุ ธเจ้าทา่ นยังทรงด�ำรงธาตขุ นั ธ์อยู่
มิใชม่ าถอื เอาในสมยั ขององค์หลวงปเู่ สาร์ – องค์หลวงปู่มน่ั ในปัจจบุ ันนี”้
ดงั นนั ทกสตู ร ไดก้ ลา่ วถงึ การกระแอมไอ ไว้ดังนี้
“... สมัยหนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระวิหารเชตวนั อารามของท่านอนาถ–
บณิ ฑิกเศรษฐี ใกลพ้ ระนครสาวัตถี ก็สมยั นัน้ แล ท่านพระนนั ทกะช้ีแจงภกิ ษุทง้ั หลายให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญรา่ เรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา ในอุปัฏฐานศาลาฯ
ครัง้ นน้ั เปน็ เวลาเย็น พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ออกจากทหี่ ลกี เรน้ เสด็จเขา้ ไปยงั อปุ ฏั ฐานศาลา
ประทับยนื รอจนจบกถาอยู่ ณ ซมุ้ ประตูดา้ นนอก ครนั้ ทรงทราบว่ากถาจบแล้ว ทรงกระแอม
และเคาะท่ลี ่มิ ประตู ภกิ ษเุ หล่าน้นั เปดิ ประตใู ห้พระผู้มีพระภาค ลำ� ดับน้นั พระผมู้ ีพระภาค

157

เสดจ็ เข้าไปยงั อุปฏั ฐานศาลาประทบั นัง่ บนอาสนะท่ีปูไว้ ครัน้ แลว้ ไดต้ รัสกบั ท่านพระนันทกะวา่
ดกู รนนั ทกะ ธรรมบรรยายของเธอนย่ี าวมาก แจม่ แจง้ แกภ่ กิ ษุ เรายนื รอฟงั จนจบกถาอยทู่ ซ่ี มุ้ ประตู
ด้านนอกย่อมเม่อื ยหลงั ฯ
เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระนันทกะรู้สึกเสียใจ สะดุ้งกลัว ได้กราบทูล
พระผู้มพี ระภาควา่ ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ ขา้ พระองคไ์ ม่ทราบเกลา้ เลยวา่ พระผ้มู พี ระภาคประทบั
ยืนอย่ทู ซ่ี ุ้มประตูด้านนอก ถ้าข้าพระองค์พึงทราบเกล้าว่า พระผู้มพี ระภาคประทบั ยืนอยูท่ ซี่ ุ้มประตู
ด้านนอกแล้วแมค้ �ำประมาณเท่านี้ กไ็ มพ่ งึ แจ่มแจ้งแกข่ า้ พระองค์เลย …”
หลวงป่ชู อบทา่ นบอกพระเณรลกู ศษิ ยว์ ่า เวลาจะเข้าไปหาครบู าอาจารย์ กอ่ นถงึ ทพ่ี ัก
ของท่าน เราจะต้องสง่ เสยี งกระแอมไอออกมา โดยท้ิงช่วงระยะเวลาพอสมควร เพื่อเปน็ การ
ส่งสัญญาณใหค้ รูบาอาจารยท์ า่ นทราบ
ถ้ามเี สียงกระแอมไอตอบรบั จากครูบาอาจารย์กลบั มาแล้ว น่นั คือสญั ญาณทค่ี รูบาอาจารย์
ทา่ นพรอ้ มทจ่ี ะใหเ้ ขา้ ไปพบทา่ นได้ แต่ถา้ ไมม่ เี สียงกระแอมไอตอบรบั กลับออกมา ใหเ้ ขา้ ใจว่า
ครูบาอาจารย์ท่านยังไม่พร้อมทจี่ ะใหเ้ ขา้ พบ บางทีครูบาอาจารย์ทา่ นมกี จิ ภายในของท่านอยู่ เชน่
ก�ำลังพิจารณาในธรรม หรอื กำ� ลงั รับแขกภายในของทา่ นอยู่
ทุกวันนไี้ ม่ค่อยเหน็ พระเณรสมัยนี้ แสดงลักษณะแบบนี้เวลาเข้าหาครบู าอาจารยใ์ นทพ่ี ัก
สว่ นมากเหน็ แตเ่ อาความเมตตาของครูบาอาจารยม์ าเป็นเพือ่ นสนิทกับกิเลสของตนเอง พระเณร
ลูกศษิ ยเ์ ราหารไู้ ม่ บางครงั้ เวลาน้นั ครบู าอาจารยท์ า่ นก�ำลงั พิจารณาในธรรมเร่ืองหนง่ึ เรอื่ งใดอยู่
หรอื ไม่ทา่ นก็ก�ำลังแสดงธรรมเพ่ือสงเคราะห์พวกเทพเทวดาอยู่ เร่อื งน้หี ลวงปูช่ อบทา่ นจะเตือน
ลูกศิษยอ์ ยู่เสมอเพ่ือไม่ใหเ้ ผลอเปน็ บาปกบั ตัวเอง

เร่ืองครูบาศรีวิชัยสร้างทางข้ึนดอยสุเทพ

เร่อื งทสี่ ำ� คญั อกี เรื่อง ถอื เป็นผลงานทเี่ ด่นมากของครูบาศรีวิชัยกค็ อื การสร้างถนนขนึ้
ดอยสเุ ทพ จงั หวัดเชยี งใหม่ ซ่งึ ครบู าศรีวิชยั ไดร้ ับค�ำเรียกรอ้ งจากศรัทธาประชาชน ให้ชว่ ยด�ำรแิ ละ
จดั การเรอื่ งนี้ จึงเรม่ิ ลงมอื สรา้ งเมื่อวันท่ี ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ณ
เชงิ ดอยสุเทพด้านห้วยแก้ว โดยมี พลตรี เจ้าแกว้ นวรัฐ เจ้าผูค้ รองนครเชียงใหม่ เปน็ ผู้ขุดจอบเป็น
ปฐมฤกษ์ การสรา้ งถนนสายนีใ้ ชแ้ รงงานเป็นจ�ำนวนมาก วนั หนงึ่ ๆ จะมีผคู้ นช่วยท�ำงานประมาณ
วนั ละไม่ต่�ำกว่า ๕,๐๐๐ คน ถ้าคิดมูลคา่ แรงงานเป็นเงนิ กค็ งมากมายมหาศาลทเี ดียว การสร้าง
ทางสายนใ้ี ชเ้ วลา ๕ เดอื น กับ ๒๒ วนั จึงแล้วเสรจ็ และเปดิ ให้รถขึน้ ลงได้ เม่ือวนั ที่ ๓๐ เมษายน
พ.ศ. ๒๔๗๘

158

อีกซีกหน่ึงของเชยี งใหม่ คอื อำ� เภอพร้าว พระเถระผ้พู ี่ คือ หลวงปู่มั่น ภรู ิทตโฺ ต พร้อมดว้ ย
ศิษย์ส�ำคัญ มี หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่แหวน สุจณิ โฺ ณ หลวงปู่ตอื้ อจลธมโฺ ม เปน็ ตน้
ไดน้ ่ังสง่ ใจไปช่วยให้งานส�ำเรจ็ ดงั ประสงค์
“ขออนโุ มทนากบั ทา่ นดว้ ย ขอให้การใหญ่ท่กี �ำลงั กระท�ำอยู่ จงส�ำเร็จโดยสวัสดีสมดังท่ี
ปรารถนาไวเ้ ถิดครูบาน้องเรา...”
หลวงตาพระมหาบัว เคยเลา่ เอาไวว้ า่ “ตอนที่ครบู าศรีวชิ ัย ก�ำลังด�ำเนนิ การสรา้ งทางขึน้
ดอยสเุ ทพ ขณะนนั้ หลวงปมู่ ัน่ จำ� พรรษาอยวู่ ัดป่าแม่กอย อ�ำเภอพร้าว ทา่ นหยงั่ รูด้ ว้ ยญาณวถิ ี
และบอกกบั บรรดาศษิ ยใ์ ห้เจรญิ กรรมฐานภาวนา หลวงปูท่ า่ นว่าวนั นพี้ ระศรีวิชัยจะท�ำการใหญ่
ใหภ้ าวนาส่งก�ำลงั ใจใหพ้ ระครบู าศรวี ิชัยทำ� การนใ้ี หส้ �ำเรจ็ ”
นอกจากนี้ หลวงตาพระมหาบัว ท่านยังเคยเทศน์เร่ืองหลวงปู่มั่นพูดถึงครูบาศรีวิชัย
ดว้ ยความชืน่ ชม ดว้ ยความเคารพจริงๆ ดังน้ี
“หลวงปมู่ น่ั ท่านพดู ชมเชยสรรเสรญิ ครูบาศรวี ชิ ัย ทา่ นพูดดว้ ยความเคารพจริงๆ นะ
เราดูอากัปกริ ยิ าของท่าน พูดดว้ ยความสนทิ สนมในจติ ใจ ทา่ นพูดด้วยความเคารพจริงๆ
ครบู าศรีวชิ ัย ท่านนงั่ ได้นะทัง้ วนั เขาเอาอันนั้นมาถวาย อันนี้มาถวาย เพราะท�ำทางข้ึน
ดอยสุเทพ คนแถวน้นั มาหมดเลย ครูบาศรวี ิชัย ท่านเปน็ ตัวประธาน เปน็ องค์ประธานนะ เขาเอา
อนั นัน้ มาถวาย อนั นม้ี าถวาย ท่านน่งั ใหพ้ รทั้งวนั ทา่ นวา่ อจิ ฉฺ ติ ํ ปตถฺ ิตํ ตมุ ฺหํ ฯลฯ ตาไมล่ ืม เฉพาะ
ใหพ้ รโยม อจิ ฉฺ ิตํ ปตถฺ ติ ํ ตมุ หฺ ํ ฯลฯ หมดท้ังวัน
นที่ ่านกม็ าสรุปนะ เราก็อัศจรรยท์ า่ นนะ ท่านทนจรงิ ๆ นะ ถ้าอย่างเราทนไมไ่ ด้ เผ่นเลย
หมดวัน พอตน่ื ข้นึ มาคนเตม็ แล้ว คำ�่ ก็ยังไมห่ นี ท้ังวัน อิจฉฺ ิตํ ปตถฺ ติ ํ ตุมหฺ ํ ฯลฯ อยนู่ นั่ เรากเ็ ลย
ไมล่ ืม กท็ ่านพูดเอง เวลาพดู ไปสัมผัสถงึ ครูบาศรวี ิชัย ทา่ นสนทิ สนมกนั มากนะ ครูบาศรวี ชิ ยั กบั
หลวงป่มู น่ั เรา ดเู วลาท่านพดู ให้ฟงั โอ้ย ! จงึ รูว้ า่ ท่านสนทิ สนมกนั มาก ทนี ีเ้ วลาท่านพูด ท่านก็พูด
ดว้ ยความสนิทจรงิ ๆ พดู ด้วยความเล่ือมใส”

พญานาคพ่นพิษ

ปี พทุ ธศักราช ๒๔๘๐ หนา้ แล้ง องคท์ ่านหลวงปู่ม่ันพาลกู ศิษยฝ์ กึ เทยี่ ววิเวกแถบปา่ เขา
เขตอ�ำเภอพร้าว อ�ำเภอเชยี งดาว จังหวัดเชยี งใหม่ ครง้ั น้นั มีพระเณรและตาผ้าขาวติดตามองค์
ทา่ นหลวงปมู่ นั่ เทีย่ ววิเวกสสี่ บิ กวา่ องค์ หลวงปู่ชอบทา่ นเปน็ หน่งึ ในจำ� นวนส่สี บิ กวา่ องค์ทีต่ ดิ ตาม

159

องคท์ า่ นหลวงปมู่ น่ั ไปเทยี่ ววเิ วก เพอ่ื นสหธรรมกิ ของทา่ นทตี่ ดิ ตามองคท์ า่ นหลวงปมู่ นั่ ไปเทย่ี ววเิ วก
มี หลวงปูพ่ รหม จริ ปญุ ฺโ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ตอ้ื อจลธมโฺ ม หลวงป่แู หวน สจุ ิณโฺ ณ
ฯลฯ
หลวงปูช่ อบทา่ นเลา่ ให้ฟัง องค์ท่านหลวงปู่มนั่ พาลูกศษิ ยอ์ อกเท่ยี ววเิ วกคร้ังน้ี คอื คร้ังที่
ยงิ่ ใหญท่ ส่ี ุดเท่าท่เี คยมี ลกู ศิษยพ์ ระเณรและฆราวาสตดิ ตามองคท์ า่ นออกจากเมืองพร้าวคร้งั แรก
สี่สิบกวา่ องค์ ระหวา่ งทางมพี ระเณรกรรมฐานเข้ามาสมทบกบั คณะขององคท์ า่ นอกี นับจ�ำนวนร่วม
แปดสบิ องค์ จนองคท์ า่ นหลวงปูม่ ัน่ จดั กองคาราวานกรรมฐานขึ้นสามกองเพอ่ื ไมอ่ ยากให้ชาวบ้าน
ลำ� บากในการดูแลพระเณรในเรอ่ื งภัตตาหารและที่พัก
ตอนออกจากเมอื งพร้าวหลวงปชู่ อบท่านรว่ มตดิ ตามมากบั องคท์ า่ นหลวงปมู่ ั่น พอมีพระ
เณรตามมาสมทบกับคณะขององค์ทา่ นเพ่มิ มากขน้ึ หลวงปมู่ ่ันทา่ นจัดใหห้ ลวงปูช่ อบ หลวงปู่ต้อื
หลวงปแู่ หวน หลวงปูเ่ กตุ เป็นกองหนา้ ออกส�ำรวจเสน้ ทางเที่ยววเิ วก ท่หี ลวงปู่มั่นท่านให้ออก
เดนิ ทางล่วงหนา้ เพราะองคท์ ่านท้ังสี่ หลวงปู่ชอบ หลวงปตู่ อื้ หลวงปแู่ หวน หลวงปเู่ กตุ เปน็
พระกรรมฐานกองทัพธรรมผ้ไู ม่หวนั่ ตอ่ ความล�ำบาก
องค์ท่านหลวงปู่ม่ันพาลูกศิษย์ที่ติดตามเดินทางมาถึงบึงแห่งหน่ึงระหว่างเส้นทาง
อ�ำเภอพร้าวมาอ�ำเภอเชียงดาว องค์ท่านหลวงปู่ม่ันบอกให้คณะลูกศิษย์ที่ติดตามหยุดพัก
ทางดา้ นทศิ เหนือของบงึ แห่งน้ี ทา่ นใหพ้ ระเณรเลอื กทพ่ี ักตามอัธยาศยั ความเหมาะสมของตนเอง
หลวงปู่ชอบท่านเลือกต้นแหนเป็นทแี่ ขวนกลด หลงั จากจัดแจงที่พักของตนเองเสร็จเรยี บร้อยแล้ว
ท่านเข้าไปดูบริขารและท่ีพักขององค์ท่านหลวงปู่มั่นว่าหลวงปู่ตื้อท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง
หลวงป่ชู อบทา่ นชว่ ยหลวงปู่ตือ้ จัดแต่งทพี่ ักใหอ้ งคท์ ่านหลวงปมู่ น่ั จนเสรจ็ เรยี บร้อย
องค์ท่านหลวงปูม่ ัน่ บอกหลวงปูช่ อบกบั หลวงปู่ต้ือวา่ “ทา่ นชอบ ท่านตอื้ ให้พวกท่าน
ไปบอกหมคู่ ณะพระเณรทกุ องค์ อยา่ พากนั บรโิ ภคนำ้� ทางดา้ นทศิ เหนอื ของบงึ แหง่ นเ้ี ปน็ อนั ขาด ถา้ จะ
ใช้น้�ำ ใหพ้ ากันไปใชน้ ้�ำทางด้านทิศใตข้ องบงึ เท่านนั้ น�้ำทางดา้ นทิศเหนือของบึงมันมพี ิษ ถ้าใคร
ไปอาบกนิ จะป่วยไขไ้ ด้”
“ท่ีบึงแห่งนี้มีพญานาคแอบมาแผ่พังพานพ่นพิษคลุมน้�ำในบึงนี้ไว้ครึ่งหนึ่ง ให้ท่านชอบ
ทา่ นตื้อไปบอกหมู่คณะทกุ องค์ อยู่ทนี่ ี่อยา่ พากนั ประมาทนง่ิ นอนใจเป็นอันขาด ถ้าประมาทแลว้
จะเปน็ อนั ตรายตอ่ รา่ งกายและชวี ติ ของตนเองได้ ใหพ้ วกทา่ นไปบอกพระเณรใหพ้ ากนั อยอู่ ยา่ งสงบ
เหมาะสมตามสมณะวิสัยผู้ประพฤติตนในธรรมวินัย ให้พระเณรเราพากันแผ่เมตตาให้กับผู้ที่เขา
เปน็ เจา้ หนองจอมบงึ แห่งน้ีใหม้ ากๆ”

160

“ท่านชอบกบั ทา่ นต้ือเปน็ หเู ป็นตามอื เท้าใหเ้ ราด้วย ทา่ นชอบคอยเปน็ หูในตาในเฝ้าระวงั
พฤตกิ รรมความคดิ ของพญานาคตนนช้ี ว่ ยเราดว้ ย ทา่ นตอื้ คอยกำ� กบั ดแู ลพระเณรอยา่ ใหป้ ระพฤติ
นอกลู่นอกทาง พญานาคตนนี้มานะทิฐิมันแรงไม่ธรรมดา เราพิจารณาดูแล้ว ถ้าเราวางเฉย
ไม่โปรดก�ำราบมานะทิฐิพญานาคตนน้ี ต่อไปข้างหน้าพญานาคตนนี้จะสร้างบาปกรรมกับมนุษย์
และสัตว์อ่ืนให้เดือดร้อน มันจะเป็นกรรมหนักที่จะท�ำให้เขาตกนรกอบายภูมิได้ เรามีวาสนา
เคยสงเคราะหก์ ันกบั พญานาคตนน้มี ากอ่ น ชาตสิ ุดท้ายแลว้ ท่เี ราจะไดโ้ ปรดสงเคราะห์เขา”
หลวงป่ชู อบท่านเรยี นถามองค์ทา่ นหลวงปู่ม่นั ว่า “พญานาคแผ่พังพานพ่นพิษใสน่ �้ำในบงึ
เขาท�ำแบบนี้เพือ่ ต้องการอะไร” องคท์ า่ นหลวงป่มู นั่ ว่า “พญานาคเจ้าบึงแหง่ นี้เขาไม่ต้องการให้
พวกเรามาพักอยทู่ นี่ ่ี เขาเกรงวา่ พวกเราจะมาข่มเหงแย่งชงิ เอาสถานทแี่ ห่งนไ้ี ปจากเขา เขาจึง
แสดงฤทธเ์ิ ดชพ่นพษิ ใส่น้�ำในบึง ถา้ พวกเราไปใช้น้�ำในบงึ จะเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยแล้วพากันหนไี ปจากทน่ี ่ี
เพราะโทสจริตจติ เขาจึงคิดไปในทางบาป”
เมื่อทราบเหตุของเร่ืองแล้ว หลวงปู่ชอบ กับ หลวงปู่ต้ือ ท่านจึงน�ำความท่ีองค์ท่าน
หลวงปู่มั่นสั่งก�ำชับไปแจ้งแก่หมู่คณะให้รับทราบโดยท่ัวกัน เรื่องใดท่ีพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น
ท่านไม่สั่ง อย่าพากันฝืนท�ำเป็นอันขาด เพราะจะเกิดอันตรายจากพิษภัยของพญานาคตนน้ีได้
เม่อื ทราบเร่ืองแล้วพระเณรทุกรปู ตา่ งพากนั สำ� รวมในจรยิ วตั รของตน
หลวงป่ชู อบท่านสังเกตดพู ระเณรองคใ์ ดท่ีมภี มู ิธรรม ทา่ นจะส�ำรวมนง่ิ เฉย ทา่ นองค์ใดทย่ี ัง
ไม่มหี ลักจติ หลกั ใจเปน็ ของตนเอง จะแสดงอาการหวาดกลวั ออกมาให้เหน็ ทา่ นวา่ สถานท่ีภายนอก
อึมครึมดิบเถ่ือนน่าเกรงขาม ท�ำให้เจ้าหัวใจเณรผู้ใจไม่เข้มแข็งเกิดอาการหวาดกลัวในสถานที่
เวลาจะสรงนำ�้ องคท์ ่านหลวงป่มู ัน่ จะให้พระเณรไปสรงน้�ำพร้อมกับองคท์ ่าน ถ้าเกดิ อะไรขึน้ มา
องค์ท่านจะชว่ ยดูแลแกไ้ ขไดท้ นั
หลวงปชู่ อบเล่าว่า “อนั ตรายจากสงิ่ ลึกลับไม่ธรรมดา คร้ังนแี้ หละที่เราเห็นอาจารยใ์ หญ่
ทา่ นออกโรงใชฤ้ ทธปิ์ กปอ้ งลกู ศษิ ยข์ องทา่ น พอ่ แมค่ รอู าจารยม์ น่ั ทา่ นรวู้ า่ อะไรสำ� คญั อะไรไมส่ ำ� คญั
ตอนนั้นเราก็คาดเดาใจของท่านไม่ได้ ท่านสั่งให้ท�ำอะไร เราก็ท�ำตามท่ีท่านบอก ความรู้ของ
ท่านอาจารย์มั่นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ความรู้ของท่านอาจารย์ใหญ่ลึกซ้ึงละเอียดลออมาก ถ้าท่าน
วา่ มายงั ไง มนั จะเปน็ ไปตามคำ� ทีท่ า่ นว่ามา”
อาจารยต์ ื้อมาชวนเราไปหาอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ตือ้ ท่านจะทรมานมานะทิฐิพญานาคตนน้ี
เราไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ตื้อ เราบอก “ท่านต้ืออยู่ซื่อๆ (อยู่เฉยๆ) ให้เชื่อในบุญบารมีพ่อแม่
ครบู าอาจารย์ของเรา ทา่ นต้องมีเหตผุ ลลึกซ้งึ มากกวา่ พวกเราอยา่ งแนน่ อน พวกเราเป็นลูกศษิ ย์

161

เทียบบุญบารมพี ่อแมค่ รบู าอาจารย์ทา่ นไม่ได้ อาจารยต์ อ้ื ท่านฟงั ค�ำเรา ทา่ นเลยไม่ฝนื ขดั ”
“ฤทธิ์พญานาคเป็นบุญฤทธิ์ ฤทธิ์ท่ีเกิดจากบุญที่ตนเองบ�ำเพ็ญมา เป็นฤทธ์ิช่ัวคราว
ฤทธิ์พระอรยิ ะเปน็ ฤทธาวมิ ตุ ิถาวร เป็นฤทธ์ิเหนอื โลก กำ� ลังฤทธิ์อทิ ธิวิธีมันตา่ งกัน พญานาคเทวดา
พอสิน้ ภพชาติตนเอง บญุ ฤทธ์ิน้ันกส็ น้ิ ไปด้วย เหมอื นกบั ผู้ว่าข้าราชการ พอเกษยี ณแลว้ กส็ ิน้ อ�ำนาจ
ในการให้คุณให้โทษกับผู้อ่ืน ฤทธิ์วาสนาสิ้นแล้วส้ินเลย ฤทธิ์โลกุตระถึงจะส้ินชาติขาดขันธ์ก็ยัง
เหลอื ปาฏหิ ารยิ ์ทงิ้ ไวใ้ ห้โลกได้รเู้ หน็ ”
เรากับอาจารยต์ อื้ สรงนำ�้ อาจารยใ์ หญอ่ ยู่รมิ บึง ความคดิ ของอาจารย์ตือ้ ไปกระทบจติ ของ
ทา่ นอาจารยใ์ หญ่ ทา่ นอาจารย์ใหญ่บอกอาจารยต์ ื้อวา่ “ทา่ นตอื้ ถา้ เราจะใหท้ า่ นก�ำราบพญานาค
ตนนก้ี ไ็ ด้ วาสนาของทา่ นทำ� ได้แคข่ ่มฤทธป์ิ ราบเขาแค่ชวั่ คราวเทา่ น้ัน การใช้ก�ำลงั ข่มเพอ่ื เอาชนะ
บคุ คลน้นั มันไม่ถาวร ถึงท่านจะปราบเขาไดด้ ้วยฤทธิ์ แต่ท่านโปรดเขาด้วยธรรมไม่ได้ วาสนาท่าน
กบั เขาไมไ่ ดส้ งเคราะห์กนั มาในทางโปรด เรารู้วา่ เราจะทำ� อยา่ งไรกบั พญานาคตนนี้ เรื่องน้เี ราจะ
จัดการเอง”
องค์ท่านหลวงปู่มั่นแจงเรื่องวาสนาสงเคราะหใ์ หห้ ลวงปตู่ อ้ื ฟัง หลวงปตู่ ้ือท่านก็สนิ้ สงสยั
หลวงปชู่ อบทา่ นว่า เปน็ ครั้งแรกทเี่ ราไดเ้ หน็ พญานาคพน่ พิษใส่น้ำ� พิษของพญานาคไมส่ ามารถ
มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ท่านว่าพิษท่ีเกิดด้วยฤทธ์ิของพญานาคเป็นเหมือนดั่งเปลวเพลิงที่ลุกไหม้
เหนอื ผิวน�้ำ ไม่ต่างอะไรกนั กับเปลวไฟทลี่ ุกไหม้เหนอื เช้อื น�้ำมัน ทา่ นสังเกตดสู ัตวท์ ่อี าศัยอยรู่ อบๆ
บรเิ วณบึงแหง่ นี้ สตั ว์ตา่ งๆ จะไม่ลงกนิ นำ้� ในบึงนีเ้ ลย โดยเฉพาะพวกลงิ มนั จะไม่ไปกนิ น้�ำในบงึ
เวลาพวกมันเข้าไปใกลบ้ ึงจะมีอาการต่นื กลวั อย่างผดิ ปรกติ บางตัวถงึ กบั ร้องเจี๊ยกๆ ขีแ้ ตกเย่ยี วราด
ออกมาให้เห็น เหมอื นกบั พวกมันกลวั สิ่งลกึ ลับทซี่ อ่ นอยู่ใตน้ ำ�้ บงึ แห่งนี้
พญานาคมานะทิฐิเฝ้าดูองค์ท่านหลวงปู่ม่ันและพระเณรด้วยความขุ่นข้องหมองใจท่ีเห็น
พระเณรมาอยใู่ นเขตทตี่ นเองเปน็ เจา้ ของ หลวงปชู่ อบทา่ นกำ� หนดดจู ติ ของพญานาคตนนอี้ ยเู่ นอื งๆ
พญานาคตนน้ีมีไฟโทสะเผาใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้หรือท�ำอันตราย
องค์ทา่ นหลวงปมู่ น่ั และพระเณร เน่ืองจากเกรงกลัวในอ�ำนาจบารมีธรรมขององค์ทา่ นหลวงปูม่ ัน่
ไดแ้ ต่แสดงฤทธ์ิเดชพ่นพษิ ใส่นำ�้ เพ่อื เบียดเบยี นพระเณรในทางออ้ มเทา่ นน้ั
องคท์ ่านหลวงป่มู ่ันทำ� เหมอื นไม่ใส่ใจในพญานาคตนน้ี องค์ท่านทำ� เหมือนไม่ทราบวา่ ทบี่ งึ
แหง่ น้มี พี ญานาคมาพ่นพิษเอาไว้ ที่จรงิ แล้วองคท์ า่ นทราบดว้ ยญาณวิถที ุกขณะจิตทพ่ี ญานาคตนน้ี
ก�ำลังคดิ อะไรอยู่ องค์ท่านพาพระเณรสวดมนต์บทขันธปริตรสตู ร หรือท่ีรจู้ ักกนั ในนามบทสวดมนต์
วิรูปักเขฯ ซ่ึงเป็นบทสวดมนต์แผ่เมตตาและเจริญไมตรีเป็นมิตรกับพญานาคทุกตระกูลหมู่เหล่า

162

ตลอดจนสัตวอ์ สรพิษทั้งหลาย
กระแสเมตตาท่ีองค์ท่านหลวงปู่ม่ันและพระเณรแผ่ออกไปท�ำให้พญานาคเจ้าทิฐิมีจิตใจ
ชุ่มเย็นอ่อนโยนลง มานะทิฐิท่ีตนเองเคยถือครองก็พลอยอ่อนโยนไปตามกระแสของเมตตาธรรม
ท่ีองค์ท่านและพระเณรแผ่เมตตาให้ แต่ยังคงลวดลายเสียดายทิฐิท่ีตนเองเป็นใหญ่ในสถานที่
คอยจับจ้องมองผิดคิดต�ำหนิองค์ท่านหลวงปู่ม่ันและพระเณรตามนิสัยอันธพาลท่ีตนเองเคยได้รับ
การบ่มเพาะมาจากกเิ ลสผูเ้ ปน็ พอ่ แมท่ างทกุ ขธรรม

หลวงปู่ม่ันโปรดพญานาคมิจฉาทิฐิ

องค์ท่านหลวงปู่ม่ันพิจารณาเห็นทิฐิมานะของพญานาคตนนี้อ่อนลงพอที่จะโปรดได้
ดว้ ยธรรมแลว้ องคท์ า่ นจงึ บอกใหพ้ ญานาคตนนเี้ ผยตวั ออกมา พญานาคเจา้ ทฐิ แิ ปลกใจทห่ี ลวงปมู่ นั่
ท่านรู้ว่าตนเองแอบซุ่มซ่อนดูองค์ท่านอยู่ ตนเป็นกายทิพย์แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดรู้ว่า
ตนเองอาศัยอยู่ในบาดาลวิมานบึงแห่งน้ี พญานาคเจา้ ทิฐิจึงเกิดอาการกลวั เกรงในอ�ำนาจธรรมฤทธ์ิ
ขององคท์ า่ นหลวงปมู่ น่ั ยอมแสดงตวั ตนออกมาพบองคท์ า่ นโดยการนริ มติ กายภาพเปน็ มานพหนมุ่
วยั คนอายุราวสามสบิ ปี
องค์ท่านหลวงปู่ม่ันถามพญานาค เจ้ามีชื่อว่าอะไร พญานาคตนน้ีตอบองค์ท่านว่า
ข้าพเจา้ ชอื่ “มลนิ ทนาคราช” องค์ทา่ นถาม ใชเ่ จ้าหรอื ไมท่ ม่ี าแผ่พงั พานพ่นพิษใสน่ �้ำในบงึ แหง่ น้ี
พญานาคมลนิ ทะยอมรับว่าเขาเป็นผูพ้ ่นพิษใส่นำ�้ ในบงึ แห่งน้ี องคท์ า่ นถามวา่ เพราะเหตใุ ดเจ้าจงึ
ต้องท�ำเชน่ นี้ เขาตอบวา่ เพราะพวกทา่ นเขา้ มาในเขตหวงหา้ มของข้าพเจา้ ข้าพเจ้าเกรงว่าพวกท่าน
จะพากันมาข่มเหงแย่งชิงเอาสถานท่ีแห่งน้ีไปจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงคายพิษพ่นใส่น�้ำเพื่อขับไล่
พวกท่านในทางอ้อมเพื่อให้พวกทา่ นหนีไปจากท่ีนี่
องค์ท่านหลวงปู่มนั่ จึงเทศนาแสดงธรรมอบรมพญานาค “มลนิ ทะ” ผูห้ ลงผิดให้ส�ำนึกใน
บาป
“ส่ิงที่เจ้าได้กระท�ำลงไปน้ันมันไม่เกิดประโยชน์อะไรในทางดีงามแก่ตัวของเจ้าเลย
การเบียดเบียนผู้อ่ืนให้ได้รับความเดือดร้อนท้ังกายใจนั้น มันเป็นการสร้างบาปกรรมให้กับตนเอง
เสียเปลา่ ตนเองก็ใชว่ า่ จะได้ดีมีงามอะไรในการกระท�ำแบบน้ี หน�ำซ้ำ� กลับทำ� ให้ตนเองน้ันตกต่�ำ
เพราะบาปกรรมท่ีตนเองได้กระท�ำลงไป การท่เี จ้ามาเบยี ดเบียนสมณะสงฆ์องค์เณรผูม้ ีศีลธรรมน้นั
มันเปน็ บาปกรรมทีห่ นัก สิน้ ชาติขาดภพจากน้ีไปแลว้ ตวั เจา้ ก็จะตกนรกหมกไหม้ไม่ไดผ้ ุดไม่ได้เกิด
กบั เขาง่ายๆ เพราะผลจากบาปกรรมที่ตนเองได้เบียดเบยี นสมณะสงฆอ์ งคเ์ ณรผู้ทรงศลี ธรรม”

163

“ขึ้นช่ือว่าอบายภูมิ เป็นภูมิที่ไม่เคยให้ความสุขกับสัตว์โลกหน้าไหนเลย ผู้ที่อยู่ในภูมินี้
จะหาความสุขแมเ้ พียงเสี้ยวเวลากห็ าไมเ่ จอ มแี ต่ระงมจมทุกข์อยูอ่ ยา่ งนัน้ จนกว่าจะส้ินเวรสิ้นกรรม
จะพ้นได้เม่อื ไหรข่ ึน้ อยูก่ รรมหนักเบาที่สตั ว์โลกผู้นน้ั สรา้ งมันขน้ึ มา”
“อตั ภาพภพภูมนิ าคาปจั จุบันของเจ้าก็สงู สง่ กวา่ สัตวน์ รกท้งั หลายอยแู่ ล้ว “แก้วทพิ ย”์ คือ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่ีท�ำให้จติ ใจของตนเองเป็นสขุ น้นั มอี ยู่แลว้ ทำ� ไมเจา้ จงึ ดน้ิ รนขนเอา
“แกว้ ทุกข์” คอื บาปกรรมเข้ามาเปน็ ฟืนไฟสมุ ใจของตนเองให้ทกุ ข์ทวั่ มัวหมอง”
“พระสงฆ์เณรที่ท่านมาพักที่นี่ ท่านก็มิได้มีจิตคิดมุ่งร้ายหมายจะมาท�ำร้ายท�ำลายเจ้า
พระเณรแตล่ ะองคท์ ม่ี าพกั อยใู่ นสถานแหง่ นี้ ตา่ งพากนั มาปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื หวงั พน้ ทกุ ขด์ ว้ ยกนั ทงั้ นน้ั
ไม่มีพระเณรองค์ใดหรือแม้แต่อาตมาก็ไม่ได้คิดจะมาเบียดเบียนท�ำให้เจ้าเกิดความล�ำบากยากใจ
พวกเรามาที่น่ีเพ่ือปฏิบัติธรรมและสงเคราะห์สัตว์โลกท้ังหลายให้ได้รับความผาสุกโดยถ้วนหน้า
เจ้าก็เป็นผูห้ นงึ่ ท่อี าตมาและพระสงฆ์องค์เณรพากนั เดินทางมาโปรดด้วยความเมตตาธรรม”
“เป็นวาสนาของเจ้าแคไ่ หนท่ีมพี ระสงฆอ์ งคส์ มณะท่านเดินทางมาโปรดตนเองจนถงึ ทีถ่ งึ ถ่ิน
แทนที่เจ้าจะรับเอาวาสนาอันดีงามนี้มาเป็นมงคลประดับจิตใจตนเอง กลับจะมาท�ำลายโอกาส
อันดีงามของตนเองไปเสีย เจ้าไม่มีจิตคิดละอายใจในบาปกรรมท่ีตนเองได้กระท�ำลงไปบ้างหรือ
ขอให้พจิ ารณาดใู นสงิ่ ทีต่ นเองท�ำลงไปนน้ั ว่าดหี รอื ไม่ดี อยา่ เอาสติปญั ญาของกเิ ลสมาเปน็ ผู้ช้ีแนะ
แนวทางใหก้ ับตนเอง เพราะกเิ ลสมันไมเ่ คยอบรมสง่ั สอนสัตว์โลกตัวไหนให้ได้รบั ความเจริญผาสกุ
ในธรรม ใหเ้ อาสตปิ ญั ญาของธรรมมาเปน็ ผนู้ ำ� ทางใหก้ บั จติ ใจ เจา้ กจ็ ะรเู้ องวา่ สง่ิ ทต่ี นเองทำ� ไปนน้ั
มันถูกหรือผดิ ”
มลนิ ทนาคราชลงใจในธรรมทอ่ี งคท์ า่ นหลวงปมู่ นั่ แสดง สำ� นกึ ผดิ คดิ ละอายใจในบาปกรรม
ที่ตนเองได้กระท�ำลงไป กราบขอขมาองค์ท่านหลวงปู่ม่ันด้วยเกรงในผลกรรมที่ตนเองได้กระทำ�
กับองค์ท่าน และพระสงฆอ์ งค์เณร พญานาคมลนิ ทะรับปากองค์ท่านหลวงปู่มัน่ จะกคู้ นื ถอนพิษ
ออกจากบึงนำ้� เพอื่ ประโยชน์สขุ ของพระเณรและสรรพสตั ว์ท้ังหลาย ทอ่ี าศัยบริโภคน�้ำในบงึ หนอง
แห่งน้ี
ก่อนพญานาคมลินทะจะลาองค์ท่านหลวงปู่ม่ันกลับวิมานเมืองของเขา องค์ท่านขอให้
พญานาคมลินทะแสดงร่องรอยไว้ให้พระเณรผู้ตานอกใส ตาในมัว ได้เห็นในฤทธานุภาพของ
พญานาคเพอื่ เปน็ หลักฐานยืนยนั ว่า ภพภูมิน้มี ีอยู่จริงตามทีพ่ ระพทุ ธเจ้าทา่ นได้ทรงตรสั ไว้ มลนิ ท-
นาคราชจึงแสดงฤทธท์ิ ้ิงรอยขนาดเท่าตน้ ตาล เปน็ ทางยาวกว่าร้อยเมตร จากท่ีพักขององคท์ า่ น
หลวงป่มู ่นั ผ่านทงุ่ หญา้ ไปทางทศิ เหนอื ของบึงน้�ำ ตน้ หญา้ ท่ีพญานาคมลินทะผา่ นไปจะไหมเ้ กรียม

164

เฉาตายเป็นสายทางไม่ต่างอะไรกบั เอาไฟมาเผาหรอื เอายาฆา่ หญ้ามาฉดี พน่
วันต่อมาองค์ท่านหลวงปู่มั่นบอกพระเณรว่า เมื่อคืนพญานาคที่เขาอาศัยอยู่ในบึงแห่งน้ี
ข้ึนมาหาองคท์ ่าน เขาถอนพิษในน�้ำออกแล้ว จากน้ีไปใหพ้ ระเณรเราใช้นำ�้ ในบึงแห่งนไ้ี ดต้ ามปรกติ
ก่อนกลับเขาท้งิ รอยไวใ้ ห้ดู ใครไม่เคยเหน็ ฤทธริ์ อยของพญานาคก็ไปดูซะ พระเณรจึงพากันไปดู
รอยฤทธ์ขิ องพญานาคท่ีท้งิ ไวเ้ ปน็ หลกั ฐานเพอ่ื ยนื ยนั ความรขู้ ององค์ทา่ น
หลวงปชู่ อบทา่ นสงั เกตรอยฤทธข์ิ องพญานาคทท่ี ง้ิ ไว้ สตั วเ์ ดรจั ฉานตา่ งๆ หรอื แมแ้ ตก่ ระทง่ั
มดแมง เม่อื ผา่ นเหน็ รอยนีแ้ ลว้ จะไมม่ ตี ัวไหนกล้าเดนิ ข้ามผ่าน จะพากนั หลกี เวน้ เสียไปทางอ่นื
ท่านสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ เขาจะมีสัญชาตญาณหลบลี้ภัยได้ลึกล้�ำกว่ามนุษย์เรา ท่านจึงไม่
แปลกใจเลยวา่ เวลามเี หตเุ ภทภยั ทางธรรมชาติ หมู่แมลงและสรรพสตั ว์เขาจะมสี ัญชาตญาณล้ภี ัย
ได้ดีกวา่ มนษุ ย์ เพราะมนุษยเ์ ราถือครองมานะว่าตนเองเหนือกวา่ สัตวอ์ น่ื จงึ ท�ำให้มนษุ ยเ์ ราเกิด
ความประมาทชะลา่ ใจ พอเกิดเหตุเภทภยั มนุษยเ์ ราจึงตายกันเป็นเบอื เพราะความประมาทมวั เมา

นมัสการพระบาทรังรุ้ง (พระพุทธบาทส่ีรอย)

ทา่ นพระอาจารยไ์ ท านตุ ฺตโม เลา่ เร่อื งหลวงปตู่ ื้อ อจลธมโฺ ม ไปนมสั การพระบาทรังรุง้
(พระบาทส่รี อย) ดงั นี้
“แล้วผเู้ ฒ่าพูดตอนหนงึ่ ว่า ไปนมัสการพระบาทรังรุง้ มีโยม ๔ คนหาบขา้ วสาร คงไม่มี
บา้ นผบู้ ้านคนไป เนื้อสัตว์นานาชนิดมันไม่ให้เอาขึ้นไป ถ้าเอาข้ึนไปเกิดฝน เกิดลม เกิดอะไร
บางอย่าง เพราะว่าทนี่ ั้นหา้ มเอาเน้ือสตั ว์ขึน้ ไป โยมจะซือ้ มิซ้ือ แลว้ เหน็ ว่าเขาหา้ มก็เลย เอา เลกิ
ไม่เอาไปกเ็ ลยขน้ึ ไปถงึ ศาลา มนั มาตฝี าศาลา ตง้ึ ๆๆๆ
“ท่านอาจารย์ เอ้า ! ฝาศาลาท�ำไมดัง ?” พอ่ ออก ๔ คนนนั่ “ไม้พาดอยนู่ ้นั ลมพดั มนั
ก็เลยดงั ”
“หอื ! ไม่ ลมไม่มี อาจารย์”
“เออ ! ไมม่ กี ็แลว้ ไปเถอะ” หลวงปวู่ ่า ไมม่ ีก็แล้วไป
สักพักก็เลยยังไม่มดื นี่ ก็เดนิ รอบเขาทางขน้ึ ไปพระบาท เสยี งว๊อดๆๆ ร้อง “โอ้ ! อาจารยๆ์
คนๆ”

165

ในยอดเขานั้นคนขค่ี อนกยูง ผ้าแดงมัดหัว คนข่คี อนกยูง สกั พักกโ็ ดดจากคอนกยงู ใส่หนา้
พลาญหนิ เปน็ ฟ้าผา่ ป๊งึ ! หายไปทงั้ นกยูงท้ังคน “ป๊าดโธ่ ! มงึ ละ่ ผีตวั น้ี มงึ ไมร่ ู้จกั กู”
วนั หนง่ึ มันกไ็ ม่มาใกล้ วันสองกไ็ ม่มาใกล้ วนั ทส่ี ามเข้ามา เปน็ โยคี “ข้าจะแสดงฤทธ์ิ
ถ้าไมแ่ สดงฤทธแิ์ ลว้ โอย้ ! คนใจบาปหยาบช้าจะมาท�ำต่างๆ นานา แตท่ า่ นผู้มศี ีลมธี รรมก็อยูไ่ ด้”
กเ็ ลยเปน็ สามคั คกี ัน
“พระบาทรงั รุ้งมันอยยู่ อดเขาเป็นบันไดเหลก็ ” หลวงปู่ว่า “เปน็ บันไดเหล็กคลา้ ยๆ แขน
เหมอื นกับสายยนตน์ แ่ี หละข้ึนไป” โฮ้ ! เหลก็ เขาทำ� ไว้หลายปแี ล้ว แต่ พ.ศ. ไหนกไ็ มร่ ู้
คนท่ีจะไปหานเ่ี ปน็ ลม หลวงปวู่ ่า วันไหนคนไปนมัสการพระบาทมากนี่ รู้สึกวา่ ลมพดั
ปา่ ไม้จะมาถงึ แคว่ ดั พระบาท วนั ไหนลมนอ้ ยกค็ นมาน้อย ลมมากกค็ นมามาก มีพวกชาวเขา เขา
มานมัสการ พวกกะเหรี่ยง พวกแมว้ พวกอกี ้อ มูเซอ พวกเหล่าน้ีมานมสั การ มีโยมที่ไปดว้ ยนัน่ ร้จู ัก
ภาษา ภาษาชาวเขา เป็นคนเชียงใหม่ เขากม็ ากราบมาไหว้ ไปดเู ขา ให้เฒา่ น่ี (ชาวเขา) แปลให้ฟัง
คนหนึ่งมากราบ มนั มาลว้ งกระเปา๋ ลว้ งเอาฝิ่นนี่ ถือว่าฝน่ิ นีม่ นั เป็น โอ้โถ ! เปน็ ของสงู ล่ะ
ถ้าใครไดเ้ อาฝ่นิ รบั ต้อนบูชาจะอานสิ งส์แรง นนั่ วา่ เข้าน่นั เลย บอก “พระเจ้า ขา้ ชอ่ื ว่าอย่างน้นั
มาขอบุญกับพระเจา้ กเ็ ลยเอาฝิ่นนม่ี าบูชาตีนพระเจา้ (รอยพระบาท) ขา้ อยากไดบ้ ญุ ” เอาฝ่ินติด
แล้วก็ล้วงอีกล่ะนี่ “พระเจ้า หลานของข้าชื่อว่าอย่างน้ัน มันไม่ได้มา มันฝากฝิ่นมาบูชา
พระเจ้า เพราะมันอยากได้บญุ ” เอาติดอกี
แลว้ กล็ ้วงไปห่อท่ี ๓ อนั นน้ั ก็ “ลกู ของข้าชื่ออยา่ งนั้นละ่ น่ี อยากได้บุญ” โอ้ ! บางทเี พือ่ น
ฝากไป “เพ่ือนของข้าชอ่ื อย่างนัน้ มนั ยาก (ยุ่งยากเพราะมีลกู ) ลูกน้อย” หรอื มันป่วย
รายงานเสรจ็ เด้ (นะ) นี่ มนั อยากได้บญุ ฝากฝิ่นมาบูชารอยพระเจ้า แลว้ กต็ ดิ “เออ !
ชาวปา่ ชาวเขา เขาก็อยากไดบ้ ญุ การบชู ายงั ไงมันก็ไมม่ อี ะไร มนั ก็มาท�ำบญุ ทำ� ทาน เอ้อ ! ใจมันก็
เปน็ บญุ บางคนถอดสรอ้ ยถอดแหวนบชู า” ท่านว่า ถึงระดบั น้ัน เมื่ออยู่นน่ั กพ็ อสมควรกอ็ อก”

หลวงปู่ตื้อพูดถึงพระพุทธบาทส่ีรอย

หลวงป่ตู อ้ื อจลธมโฺ ม พระอรยิ เจา้ ผทู้ รงฤทธ์อิ ยา่ งย่งิ ยวด ท่านเคยเลา่ ประสบการณ์
การเดินธดุ งค์ไปกราบนมัสการ พระพทุ ธบาทสีร่ อย ใหพ้ ระศิษยฟ์ งั และท่านได้ยืนยันรับรอง
รอยพระพุทธบาทดังกลา่ วว่า “เปน็ รอยพระพุทธบาทส่ีรอยของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั ๔ พระองค์
ในมหาภัทรกปั น้ีจรงิ และเป็นสัญลกั ษณ์แหง่ มหาภทั รกัปท่ีส�ำคัญสูงสุดในจักรวาล” ทำ� ให้

166

พระศิษย์เกิดความเล่อื มใสศรทั ธา ใคร่อยากจะเดินธุดงคไ์ ปกราบนมัสการบา้ ง
รอยพระพทุ ธบาทสรี่ อยนี้ประดษิ ฐานอยูท่ ี่ วดั พระพทุ ธบาทส่รี อย ตำ� บลสะลวง อ�ำเภอ
แมร่ มิ จงั หวัดเชยี งใหม่ สมยั กอ่ นนนั้ สภาพเป็นปา่ เปน็ เขา ตน้ ไม้ปกคลมุ หนาทึบ เส้นทางค่อนข้าง
หา่ งไกลและทุรกันดาร เปน็ สถานท่ีวเิ วกเงยี บสงัด มีอากาศหนาวเยน็ มาก
“พระพุทธบาทส่รี อยแหง่ น้ี เปน็ รอยพระพุทธบาททีเ่ กา่ แก่ที่สดุ ในประเทศไทย” ด้วยเหตนุ ้ี
แม้พระเดชพระคุณพระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แห่งส�ำนักสงฆ์
ถ�้ำผาปลอ่ ง อ�ำเภอเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ พระอรยิ เจ้าผทู้ รงคณุ ธรรมและฌานสมาบัตชิ ้ันสงู
เปน็ พระศิษย์สายทา่ นพระอาจารย์มนั่ ภรู ทิ ตั ตมหาเถระ กเ็ คยธุดงค์ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย
และนำ� มาเทศนาบอกเลา่ รบั รอง ภายหลงั จากตรวจการทงั้ ปวงดว้ ยญาณวถิ แี หง่ พระอรหนั ตเถระเจา้
ทไี่ ม่มกี ิเลสอาสวะใดมากดี กันปิดกั้น ใหแ้ ก่บรรดาศษิ ยานศุ ษิ ยห์ ลายครงั้ จนพระพุทธบาทส่ีรอย
แห่งน้ี เปน็ ที่รจู้ ักมักคุ้นและแพรห่ ลายกนั โดยทัว่ ไปในเวลาตอ่ มาว่า
“ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอยอยู่ในเขตอ�ำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา
หลวงปผู่ เู้ ทศนไ์ ปดูมาแลว้ ไปกราบไปไหว้ มันเปน็ ก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนส่ีเหลี่ยมขึ้นไป อยู่ขา้ ง
ริมแม่นำ้�
พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ไดม้ าตรสั รใู้ นโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพทุ ธบาทไว้ในยอดหนิ
ก้อนนน้ั ยาวขนาด ๑๒ ศอก ขนาดน้ัน พระพุทธเจ้ากกสุ นั โธกโ็ ปรดเวไนยสตั ว์ทั้งหลาย นำ� พระ
สาวก อบุ าสก อบุ าสิกาไปสนู่ พิ พาน
เมอ่ื หมดศาสนาพระพุทธเจา้ กกสุ นั โธแลว้ พระพทุ ธเจ้าโกนาคมโน ก็มาตรสั รรู้ ้ือขนสตั ว์
ไปอีก ก่อนนิพพานท่านก็มาเหยียบไวท้ ่พี ระบาทแมร่ ิมนี้ เป็นรอยทสี่ อง (ขนาด) ลดลงมา คอื
คนสมัยนัน้ กเ็ รียกว่า มันกำ� ลังทดลง ไมไ่ ด้ใหญ่ขนึ้ (ตวั เล็กลง)
เมอ่ื พระพุทธเจา้ โกนาคมโนนิพพานไปพรอ้ มด้วยสาวก แลว้ ศาสนธรรมค�ำสอนท่านหมดไป
มาถงึ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ กสั สโปมาตรสั รู้ ทา่ นกม็ าเหยยี บไว ้ ได้ ๓ รอยล่ะ
เมอื่ ศาสนาพระพุทธเจ้ากสั สโปหมดไปแลว้ มาถึงศาสนาพระพทุ ธเจ้าของเราในปัจจุบนั น้ี
ให้ช่ือว่า พระพุทธเจ้าโคตมโคตร พระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนท่ีทา่ นจะนพิ พาน ก็มาเหยยี บ
รอยพระบาทไว้ในก้อนหนิ กอ้ นเดยี วกัน จงึ ใหช้ ื่อว่า “พระพทุ ธบาทสี่รอย”

167

คือในโลกนี้ แผน่ ดินนี้ ยงั เหลอื อยูอ่ ีกพระพุทธเจ้าองคห์ นง่ึ ทเ่ี ราทกุ คนได้ยินไดฟ้ งั กนั มา
จนชนิ หแู ล้วกม็ ี วา่ ยังมี พระศรอี ริยเมตไตรยโพธิสตั ว์ จะมาตรัสร้เู ปน็ องคส์ ุดทา้ ย เมอ่ื ตรัสรูแ้ ล้ว
โปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็มาเหยียบไว้อีก เหยียบทีนี้น่ะดูเหมือนจะใหญ่ คือว่าเหยียบเต็มเลย
กค็ ล้ายๆ กนั กบั วา่ เหยียบปิดเลย ละลายหนิ ก้อนนน้ั เพราะวา่ เม่อื หมดศาสนาพระศรอี ารยแ์ ลว้
กไ็ มม่ ศี าสดาใดทจ่ี ะมาตรัสรอู้ กี
เรียกว่า แผ่นดินทีเ่ ราเกดิ นี้ นับวา่ เป็นแผน่ ดินท่ีร�ำ่ รวยทส่ี ดุ แผ่นดินน้เี รยี กวา่ “ภัทรกปั ”
มพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ามาตรัสรู้ได้ ๕ พระองค์
พระพุทธเจา้ องค์ใดมาตรัสสอนก็ตาม ก็สอนใหม้ นษุ ยแ์ ละเทวดาทงั้ หลาย บ�ำเพญ็ ทาน
รักษาศีล ภาวนา ละกเิ ลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง อันเก่านีแ้ หละ เม่อื ใครปฏิบตั ิภาวนา
บารมเี ต็มแล้ว ก็รู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับแลว้ ไปสู่พระนิพพาน ไมต่ อ้ งมาเวียนว่าย
ตายเกดิ ในโลกอันแสนทุรกันดารนอ้ี ีกต่อไป”

วัดป่าห้วยส้มสุก

วดั ป่าห้วยสม้ สุก เปน็ วดั ปา่ กรรมฐานสายทา่ นพระอาจารยม์ ั่น ต้ังอย่ตู �ำบลสะลวง อำ� เภอ
แม่ริม จงั หวดั เชียงใหม่ อย่กู อ่ นถงึ พระพุทธบาทส่ีรอยไม่ไกลนัก เดิมเป็นวัดร้าง ตามต�ำนานเล่าวา่
ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกประมาณ ๕๐๐ กว่ารูป
ไดเ้ สด็จมาประทับจ�ำวัด ณ บรเิ วณพ้นื ท่แี หง่ นี้ กอ่ นข้นึ พระพุทธบาทสร่ี อย ซึ่งมคี นยาง คนมง้
คนแคระได้มาต้ังถ่ินฐานอยู่อาศัย ปรากฏว่าส้มและผลไม้ตามป่าสุกพอดี จึงได้น�ำมาถวาย
พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกทัง้ หมด อันเป็นทีม่ าของชื่อวดั
สถานทแ่ี หง่ น้ีจงึ เป็นสถานท่มี งคล และเป็นสถานทสี่ ปั ปายะ เพราะสภาพเป็นป่าเปน็ เขา
ธรรมชาติ บรรยากาศเงยี บสงดั อากาศหนาวเยน็ จึงเป็นอกี สถานทีห่ นง่ึ ซงึ่ พ่อแม่ครูอาจารยน์ ับแต่
หลวงป่มู ั่น ภูรทิ ตโฺ ต หลวงปู่แหวน สุจณิ ฺโณ หลวงปูต่ ้ือ อจลธมโฺ ม ตลอดพระกัมมัฏฐานและ
พระธดุ งค์ ก่อนท่จี ะข้นึ ไปกราบนมสั การพระพทุ ธบาทสร่ี อยได้แวะมาปักกลดภาวนาเป็นประจำ�

168

ผีปล่อยวัวธนู

ท่านพระอาจารย์ไท านุตตฺ โม เลา่ เรื่องผปี ล่อยวัวธนูท�ำร้ายหลวงป่ตู ือ้ ดงั น้ี
“เมื่อหลวงปู่ตื้ออยู่ท่ีพระบาทส่ีรอยพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินตัดออกมาจากแม่ฮ่องสอน
เป็นหมบู่ ้านกะเหรยี่ ง หวา่ ง (ระหวา่ ง) ภเู ขาเขาชนกนั เขาเรียกว่าเปน็ คอคอด ถา้ บ้านเรา ก็เรียกว่า
หน้าชอ่ งนม่ี ง้ั ไปพกั ทเ่ี ขาทำ� แคร่ใหพ้ ัก
เกิดลมใหญ่มา เฮ่ิมๆๆๆ เลย หลวงปู่กอ็ อกจากมงุ้ ไป กไ็ ปรอ้ งขอ ลมก็หยดุ ท่านว่าอยา่ งนนั้
นง่ั ภาวนาไป ปลอ่ ยงวั (วัว) ธนูมาเลย ผปี ล่อยนะ ไมใ่ ช่คนนะ ฟติ ๆๆๆ สะกดจิต เขาหัก ปล่อยมา
คร้งั ท่สี อง สะกดจติ เขาหกั หยุด !
น่งั ภาวนาไปเห็น เอาละ่ เจ้าของวัวมาละ่ เปน็ คนใหญ่ สูง ขหี่ ลังช้าง ไม่มผี ้า กระดอใหญ่
เท่าตน้ ตาล เรยี กว่าน่ังหลงั ชา้ ง เอากระดอพาดมาจากหลงั มาพาดหวั เหมอื นกับฐานทัพยงิ จรวด
นั่นแหละ มนั มาก็ถือตะบองดว้ ยนะนั่นน่ะ ถือตะบองดว้ ย มันบอกวา่ หักคอ หกั เขางวั มัน
“หา… วัวใครไม่รู้ล่ะ ปลอ่ ยมาชนกูนี่หว่า” มันก็ ผลสดุ ท้ายมนั กย็ อม หลวงปตู่ ้อื วา่ (เอาใจ
ว้า... ทา่ นพระครลู ี (ท่านพอ่ ลี) หวั เราะชอบใจ)”

เร่ืองเผ่าคนป่า

ท่านพระอาจารยไ์ ท านตุ ตฺ โม เล่าเรอื่ งหลวงปตู่ ือ้ กบั เผา่ คนปา่ ดงั นี้
“ออกจากน้ันมาอกี มาถงึ ท่งุ นา มนั กบ็ อกว่า “แหม ! พระเจ้านหี่ วงปลา วงั หนองน�้ำน่ี
อยู่หา้ งอย่นู ามานี่ ไปหว่านแหกไ็ ด้ (ปลา) ดนิ้ ก็จบั ขึ้นมา กเ็ ปน็ พระเจา้ อีก ก็โยนไปอกี หว่านไปอกี
มันกม็ าได้ ถา้ มาหว่านหนองนไี้ ม่ไดป้ ลาหรอก สว่ นมากพระเจ้าหวงปลาเหลอื เกิน เหน็ บ่นี่ต๊เุ จา้ ”
มนั บอกว่าอย่างนี้ คนป่า
“ถำ�้ นนั่ กม็ พี ระ ถำ้� นกี้ ม็ พี ระ องคใ์ หญๆ่ ลกู มนั กม็ ี องคเ์ ลก็ ๆ นอ้ ยๆ หวั แหลมปะจดิ ปะแจด
นั่นน่ะ” มันว่าพระน้อยพระเคร่ืองน่ันน่ะว่าลูกมัน ลูกมันก็เยอะแยะ หัวแหลมปะจิดปะแจด
หัวใหญก่ ม็ ี ลกู มันกม็ ี หลวงปู่ต้อื ว่าอยา่ งนนั้
“โอ้ ! คนปา่ คนดง ประเพณอี ันนน้ี ะ” หลวงปคู่ ยุ ต่อไป “ถา้ ว่าพอ่ มันสรา้ งพระพทุ ธรปู ไว้
มันไปกราบไปไหว้ (ถ้า) พ่อมันตาย ถ้าหากมีคนอ่ืนเอาพระพุทธรูปไปไว้อีกองค์หน่ึง เอาไปไว้
ตรงหนา้ หน้าพระพทุ ธรูปองค์ใหญ่ ถา้ ไปกราบน่มี นั กราบตรงมอื ขา้ งๆ อยา่ งน้ี มันบอกองค์หนา้ นี่

169

เปน็ พระพทุ ธรูปองค์อนื่ ส่วนพระพุทธรูปพอ่ มนั อยูอ่ งคห์ ลงั มันกราบองค์หลงั โนน่ กราบพระ
พ่อมนั โน่น ทางหน้านพี้ ระองคอ์ น่ื มันไมก่ ราบ มันกราบพระพ่อมนั มันเป็นอยา่ งนน้ั ” หลวงปวู่ ่า
อยา่ งนัน้ กราบพระพ่อของมัน
กเ็ ลย เลยมกี ารถามตอ่ อีกวา่ (ท่านพระอาจารย์ไทถามองค์หลวงปูต่ อ้ื )
“เอ๊ ! มันเผ่าคนปา่ นม่ี กี อ่ี ยา่ ง ?”
“โอ้ย ! มนั มีหลายอยา่ ง” หลวงปตู่ ื้อวา่ “มีหลายอยา่ ง อีกอ้ มเู ซอ มูเซอด�ำ มเู ซอขาว
พวกเยา้ แตว่ ่ามูเซอดำ� นม้ี ันเก่งนะ มนั กนิ ผีกองกอย”
หลวงปวู่ ่า ฝอยอีกแล้วน่ี “เมอ่ื รวู้ ่าผกี องกอยมีอย่ตู รงไหนละ่ ก็ ขอให้ได้ยินขา่ วถงึ มเู ซอดำ� ละ่
มันเอามากินจนหมดโคตร มันไม่ยากหรอกไอ้ที่ไหนมีผีกองกอย ก็หมาด�ำๆ เหมือนกับหมา
แมเ่ หลอื งนี่ ตะบองตหี มาด�ำตาย ไปถึงแล้วกไ็ ฟเผาหมา เขาท�ำไอน้ น่ั ทำ� ซุ้มท�ำหา้ งใหอ้ ยู่ ไมใ่ หเ้ หน็
เมื่อไฟมันไหมห้ มาด�ำแล้ว มนั ไดก้ ลิ่นหมาด�ำ มาขนาดต้นไม้จะหกั นะ มาแล้วก็ดูนั้นดนู ้ีไม่เหน็ ก็วง่ิ
เข้ากองไฟ ขนาดมันไปลากขามากินเลย ขาหมา กย็ ิงกระต่ายกย็ งิ เวลาอน่ื ไม่ถูก ยิงเวลาไปจับ
ขาหมา แต่ไม่ใชห่ มาดำ� มันก็ไมเ่ อา ต้องหมาด�ำ”

พบวิญญาณครูบาเฒ่า

ท่านพระอาจารย์ไท านุตตฺ โม เล่าเร่ืองหลวงปู่ตือ้ พบวญิ ญาณครบู าเฒ่า ดงั น้ี
“เมื่อมาถึงเชียงดาวแลว้ ปตี ่อไป ไปอ�ำเภอจอมทอง ไปน่งั ภาวนาอยวู่ ดั รา้ งรมิ แมน่ ้�ำปิง
ครูบาเฒา่ องค์หนง่ึ ลงมา “อนั นเี้ ป็นวดั หนิ หัก ขอให้ครบู านอ้ งมาอยเู่ ถอะ”
“โอย้ ! บา้ นผู้บา้ นคนกไ็ มม่ ี”
“เอาอย่างน้กี ็แล้วกันเถอะ ถา้ คุณน้องมาอยูน่ ะ ข้าจะไปสิงคน ใหค้ นมาท�ำบญุ แตว่ า่ เขามา
ทำ� บุญแลว้ ก็แบ่งเซ่นสรวงข้าหน่อยเนอ้ ขา้ ก็หวิ ขา้ ว”
“บะ๊ ครบู านี่ ไมเ่ อาๆๆ ไมอ่ ยู่ละ่ ” กร็ ีบไป ไปอำ� เภอจอมทอง”

170

เทพยดาผู้บ�ำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

ท่านพระอาจารย์ไท านุตฺตโม เล่าเร่ืองหลวงปู่ตื้อพบเทพยดาผู้บ�ำเพ็ญบารมีเป็น
พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ดงั น้ี
“ไปอำ� เภอจอมทอง ไปอยู่ดอยโมคคลั ลาน์ ภาวนาอย่นู ัน่ ดอยโมคคัลลาน์ บา้ นผาผว๊ั ะ
อาตมากเ็ คยไปอยู่ เดือนมกราฯ
เจา้ พอ่ อำ� เภอจอมทองเขา้ ทรง บางปีกก็ นิ ไก่ บางปกี ็กินหมู บางปีก็กินววั เม่ือเขา้ สงิ แลว้
กเ็ ข้าประทบั ทรงแล้วกจ็ ับดาบแลว้ นี่ มีอตี าเงย้ี วผู้หนงึ่ เป็นเขาเรยี กว่า เปน็ หมอเซ้งิ (ร�ำดาบ) น่ะ
หมอเซ้งิ ดาบ ทางนนั้ ก็เขา้ ฟันดาบกนั เขา้ ฟนั ดาบกนั แล้วก็เจา้ พอ่ จะกินนนั้ เจา้ พอ่ จะกินน้ี เขาก็
จะเลี้ยง
ปีนัน้ แลว้ กจ็ ัดเขา้ ฟนั ดาบกนั เรยี บร้อยแลว้ ก็ ราษฎรซาวบ้าน (ชาวบ้าน) ถาม “มีพระธุดงค์
องคห์ นง่ึ มาอยดู่ อยโมคคัลลาน์ มาภาวนาจริง หรือว่าจะมาหาขุดทรพั ยส์ นิ เงินทอง” เพราะวา่
แถวนน้ั มนั เป็นบา้ นเกา่ เมอื งแก่เยอะ
“เออ้ ! ขา้ ก็ไม่ไดด้ ูซักที เดี๋ยวๆๆ ข้าจะไปดูก่อน” อ๊อกแอ๊ก... ออกจากคน เจา้ พ่อน่นั คนดู
เป็นร้อย ทา่ นกน็ ั่งภาวนากลางวัน ยอดกระแจะ บา้ นทางอสี านเขาเรียกว่าไม้ตงุ ตัง มากม็ าขนึ้ ยืน
อยยู่ อดกระแจะน่ัน
“โอ้ ! เทวดาลงมา” หลวงปตู่ อ้ื ทา่ นเห็นก่อน “เทวดาลงมาคุยกัน” ก็ยิม้ แลว้ กย็ กมือ ยกมือ
ในฝา่ มือขา้ งซ้ายน่ะ มันมรี ูปดอกบวั “เทวดาลงมา” กย็ มิ้ ไมพ่ ูด ยกมือแลว้ กห็ าย
กลับมามาเข้าร่างประทับทรงอีก “โอ้โถ ! ครูบาองค์น้ีตาดีขนาด จๆุ๊ ๆๆ...(จุ๊ปาก ภาษา
อีสานหมายถงึ สุดยอด) ตาดีขนาด กูแยง่ ย่องแยง่ ไป ไม่พดู ไม่จา กยู นื อย่บู นยอดกระแจะ เหน็ กู
บอกว่าเทวดาลงมา เทวดาลงมา ก็จะไปคุยกบั ทา่ นหรือ กลัวลูกหลานคอย ท่านองคน์ ใี้ หพ้ วกมงึ
ไปท�ำบญุ ท�ำทานนะ ตาดีเหลอื เกนิ ”
ปา๊ ดโธ่ ! ได้ ๒ – ๓ วัน พวกอำ� เภอจอมทองแห่ไปหา ไม่รู้ปลาแหง้ ปลาบว้ ง ปลาเกลอื
ไม่รู้จัก ทั้งข้าวสุกข้าวสาร อีตาปะขาวจนขี้เกียจเก็บ “บ๊ะ ! น่ีอีตาเจ้าพ่อไปโฆษณาดีเว้ย”
หลวงปู่ตือ้ วา่
กลับลงมาก็ หลวงป่มู ั่นถาม ก็เลา่ ให้ฟงั “เอ้อ ! อันนเ้ี ปน็ ปัจเจกภมู ิ ถ้ามอื ข้างขวาเป็น
ดอกบัวก็เรยี กวา่ “พทุ ธภมู ิ” ถา้ มือข้างซ้ายเป็นดอกบัวอนั นั้นเป็น “ปัจเจกภูมิ” อันนเ้ี ป็นเทวดา

171

บารมียังไมส่ ูง”

เร่ืองเทวดารับศีล

ท่านพระอาจารยไ์ ท านตุ ตฺ โม เลา่ เรอ่ื งหลวงปูต่ อ้ื พูดถึงเทวดารับศลี ดังนี้
“ถ้าหากเทวดากจ็ ะฝอยตอ่ ว่า เทวดารับศลี คอื พทุ โธ ธัมโม สังโฆ คนรบั ศีล คอื ปาณา–
ตปิ าตา อทินนาทานาฯ เหมือนเรารบั ศลี ๕ เมือ่ เซ้า (เชา้ ) นี้ เทวดาน่นั รับศีลก็ว่า พุทธัง สะระณงั
คัจฉามิ ธัมมงั สะระณงั จนถึง ตะตยิ มั ปิ สังฆงั สะระณงั คจั ฉามิ
หลวงปตู่ ื้อเลา่ ว่า ปาณาตปิ าตา ก็ยกมือ อทนิ นา กด็ งึ มือหนีพรบ่ึ ไปล่ะ คอื เมอื งสวรรคน์ นั่
ปาณาติปาตา มนั ไม่ได้ท�ำการประมง เพราะเสวยบญุ
อทนิ นาทานา ก็ไมไ่ ดค้ า้ ได้ขาย ลักขโมย
กาเมสมุ ิจฉาจารา ต่างคนตา่ งหูทพิ ย์ ต่างคนต่างตาทิพย์ ใครไปยอ่ งส้ี (ปลำ้� ) เมียกนั มันก็
เห็นหมด นั่น มนั เปน็ อย่างนั้น
สรุ าเมระยะ มนั ไมม่ ีนักธุรกิจจะคา้ ขาย ก็เลยไม่ได้เล้ียงลกู คา้ เลีย้ งลกู พต่ี ามภตั ตาคาร
อะไรต่างๆ มันเป็นอยา่ งนัน้
ส่วนมุสาวาทา ตา่ งคนตา่ งใจทิพย์ ต่างคนต่างกายทพิ ย์ ไอค้ นน้จี ะโกหกเทวดาเหรอๆๆ
รู้แล้วเดน้ ่ี (นะน)่ี รู้แลว้ นี่ จะมาโกหกกยู งั ไงนี่ เรอื่ งโกหกใครไมไ่ ด้ มนั รูท้ ันกนั เห็นไหม มนั เลยไมม่ ี
ไอพ้ วกเรานก่ี โ็ กหกกันไปเถอะ เออ้ ! มนั เป็นอยา่ งนนั้ ให้ศลี เทวดา
แต่นน้ั ตอ่ มาก็มาพิจารณาดกู ร็ สู้ กึ วา่ อย่างหลวงป่วู า่ เทวดารับศีลเป็นอยา่ งนั้น”

คนธรรพ์มาเท่ียวงานพระธาตุจอมทอง

ท่านพระอาจารยไ์ ท านุตตฺ โม เล่าเรื่องหลวงปู่ตื้อพดู ถงึ คนธรรพม์ าเที่ยวงานพระธาตุ
จอมทอง ดงั น้ี
“อกี อยา่ งหนงึ่ หลวงปู่คยุ เร่ืองคนบงั บด คนธรรพ์ คนบังบด คนธรรพ์ มาอยอู่ �ำเภอจอมทอง
งานพระธาตุจอมทอง คยุ อย่กู บั ในวงการของพระ ไดย้ ินเสยี งคนธรรพจ์ ะมาเทย่ี วในงาน ๒ คน
งามเท่าสาวเมอื งสวรรค์ เสียงกระทบหู ๒ คร้งั กเ็ ลยไมไ่ ดเ้ อาใจใส่

172

เม่อื เสรจ็ งานแล้วคนมนั วิ่ง โอ้โถ ! เมื่อตะกีน๊ ้ี งานพระธาตจุ อมทอง มสี าว ๒ คน เดนิ
เกาะมอื เกาะแขนกันเดนิ ยม้ิ เทยี่ วในงาน ไอ้หนมุ่ แหห่ ลัง โอ้โธ่ ! กลองยาวอาย ไมม่ ใี ครๆ ใครว่า
กลา้ จะไปถามว่าน้องมาจากไหน ? เพ่ืออะไร ? ไม่มี มันงามเลยใจไมส่ ู้ แต่อยากเหน็ ไมร่ ้วู ่าทั้งหนุ่ม
ท้ังผู้เฒ่าผูแ้ ก่แห่หลงั เหมือนกบั แหก่ ลองยาววดั นน่ั ละ่ เหมือนกับแห่ผ้าป่า แหไ่ ปแห่มาก็ดูนนั้ ดูนี้
แต่ไม่คยุ กบั คน ย้มิ เอาไปเอามาเผลอไม่รวู้ า่ หายไปไหน
บางคนว่าสาวมาจากเชยี งใหม่ บางคนว่าสาวมาจากล�ำพนู บางคนว่ามาจากกรุงเทพฯ
เถยี งกนั อนั น้มี ันคนธรรพม์ าเท่ยี ว ข้ารู้อยู่ หลวงปกู่ ็ว่าแคน่ ้ันเอง คนธรรพม์ าเท่ียวทา่ นก็รู้อยู่
หลวงปูก่ ็วา่ แค่นั้น อนั นี้ตอนอยเู่ ชยี งใหม่
แล้วกห็ ลวงปบู่ อกวา่ คนธรรพน์ ี่นะ ตุ๊หลวงนะ ถ้ามันตายแลว้ จงึ เห็นศพ ถา้ ไม่ตายก็ท�ำให้
แสดงให้เปน็ ศพก็ได้ ไมใ่ ห้เปน็ ศพก็ได้ ถา้ มนั ตายแลว้ ขา้ ไปเหน็ มนั ท�ำหบี ทำ� เหมอื นกับคน เอาไม้
สกั มาเจาะ เจาะเป็นราง เอามาใส่ ไม่มเี ป่อื ย นานไปๆๆ มนั จะแห้ง แหง้ เกรยี ม
หากไดด้ ูก (กระดูก) คนธรรพต์ ิดมือมาเรอ่ื งผไี ม่ต้องกลวั เพราะมันใหญ่กว่าผที ั้งหลาย
แตว่ ่าคนธรรพน์ ้ีมัน ผีคนธรรพ์ หลวงปวู่ ่า หลวงปูว่ ่าอยา่ งไร ? ตามันจะข้ึนอย่างนี้ เหมอื น
ตาหมา จะแสดงเพศเปน็ คนกไ็ ด้ แต่ว่ากต็ าข้ึนอย่างน้ี นั่นละ่ คนธรรพ์ ถ้าหากวา่ ตวั เมยี นะหลงั เล็บ
มนั คอ่ นข้างด�ำเหมอื นกับหลงั งูสิง ทางพระว่าหลงั เลบ็ น้…ี ไมเ่ ป็นคมแลว้ ก็น่ันล่ะเปน็ ผตี วั ผู้ นัน่ ละ่
คนธรรพ์
“คนธรรพ์น้ีก�ำเนิดมาจากข้าจากขอม อานิสงส์ท่ีเอาผลหมากรากไม้บูชาถวายพระฤๅษี
ชีพราหมณ์โดยไมร่ ้เู ทา่ ไม่ถงึ การณ์ บญุ ทจ่ี ากเป็นคนพวกเผา่ หน่งึ เลยมาเกดิ เป็นคนธรรพ์ เรยี กว่า
เป็นเทพช้นั ๑ (จาตมุ ฯ) เรียกว่าเทพชนั้ ภเู ขา เลยมาเกดิ เปน็ คนธรรพ์ ใหเ้ หน็ ตัวกไ็ ด้ ไม่ให้เหน็ ตวั
ก็ได้ แปลงเป็นเสอื ก็ได้ เป็นผีกไ็ ด้ ก็แล้วแต่ อันนี้คนธรรพ์” หลวงปตู่ ื้อว่า”
คนธรรพ์ เป็นเทพจำ� พวกหน่ึงในชน้ั จาตุมหาราชกิ า อาศยั อยู่ภายในส่วนตา่ งๆ ของต้นไม้
ทม่ี ีกลิ่นหอม แมต้ ้นไมน้ ั้นจะถกู โคน่ ลงแล้ว คนธรรพก์ ็ยังสงิ สถิตภายในไม้น้นั ได้ เช่น นางไม้
แมย่ ่านาง คนธรรพ์ทั้งหมดเปน็ บริวารของท้าวธตรฐผ้เู ปน็ โลกบาลประจ�ำทิศตะวนั ออก มคี วาม
ชาํ นาญในวิชาดนตรีและขบั รอ้ ง

173

คนธรรพ์ขโมยน้องสาวพรานทอง

ท่านพระอาจารย์ไท เลา่ เร่อื งหลวงปู่ต้อื พดู ถงึ คนธรรพข์ โมยนอ้ งสาวพรานทอง ดังนี้
“นี่หลวงปตู่ อื้ กย็ ังย้ำ� มาอกี โนน่ อยใู่ นจงั หวดั เลย ภกู ระดึงน่ะ สมัยกอ่ นนะ่ โอ๋ย ! มาขโมย
เอาสาวหนีเลย มาขโมยเอาสาวหนี พีช่ ายเปน็ พระชื่อว่า “หลวงพี่ทอง”
หลวงพ่ที อง กจ็ ะเรียกอาจารย์ทองอยู่แล้ว ก็โมโห ลาสึกเลย ขา่ วว่าคนวงิ่ ขนึ้ ภเู ขาภูกระดึง
ไปแลว้ กห็ าซอ้ื ปืนผาหน้าไม้ โอ๋ย ! จะตามเอานอ้ งสาวซะเดีย๋ วนี้ สะพายปนื ใหญเ่ ข้าไป คนบ้าน
หนองบก ก็ไป ไปเหน็ สระ ไปเห็นไอ้คนธรรพ์ ไปเขา้ ฝัน
ไปเขา้ ฝนั “เฮ้ย ! มงึ อย่าไปเถอะ มึงอยา่ ไป ไปกกู ไ็ มใ่ หห้ รอก กเู อาไปอยแู่ ลว้ นี่กเู อาไป
อยู่ด้วย” เพราะอนั นเี้ ปน็ คนของเขามาเกดิ
ตามไปอกี ตามไป โมโหมาก ไปเหน็ ช้างตวั หนงึ่ ปนื ใหญ่อาจารยท์ องยิงเลย ยงิ ชา้ งลม้ ตึง
ลงไป โอ้โถ ! เรากบ็ วชเรยี นเขยี นอา่ น จะฆ่าช้างแลว้ ก็โดนมันฆ่า ไมไ่ ดก้ นิ ฆ่าเลน่ จะเป็นกรรม
นกั หนา กินนดิ เดยี วยงั ฆา่ ผกู้ นิ มนั กย็ ังจะอ่อนลงหนอ่ ย ถอดมีดอีเหนบ็ ก�ำลงั จะไปปาด (เฉือน)
เอาใบหจู ะไปย่างไฟกินซักหน่อย
นำ้� ไม่รูม้ าจากไหน ฟ่ฟู ี่ๆ ฟ่ี สักพัก ช้างวิง่ ปะ๊ เฮ่ย ! สงสยั ผตี วั น้ีแหละตาม ผรี ักษาช้างแลว้
เอาน้องสาวกูไป ตามไปตามมา มนั เหมอื นกับไอค้ นเปน็ ลม ลมื ตาข้ึน
โอ้โห ! เปน็ ป่าเป็นบ้านผู้เมอื งคน มีตลาดลาดลี มีภูเขา มวี ัดเสียด้วย กเ็ ข้าไปวดั อายครบู า
อาจารย์ ก็เอาปืนไปซอ่ นไว้ เม่อื ไปซ่อนไว้เรยี บร้อยก็ ญาตโิ ยมเขาก็มาทำ� บุญทำ� ทานการกศุ ล
โอย้ ! ข้าวต้มนมหวานกเ็ หมอื นกบั วดั เราน่แี หละ มีพระเจ้ายถา สัพพีฯ สวดมนต์สวดพร
บอกวา่ “พอ่ ออก อยากจะไปเทย่ี วในเมืองกไ็ ปนะ”
ไป เดนิ ไป ก็ไปเห็นโครงบา้ นเมอื งพญา ถน่ิ อยขู่ องพญา ใครจะไปดพู ญากไ็ ด้ มีคนพาไป
ไปเห็นว่าพญาชา้ งโดนเขายงิ เป็นแผล กำ� ลงั รกั ษาอยู่ ก็ไปดู อู๊ย ! ชา้ งตัวนมี้ ง้ั เรายงิ ลูกปนื เรายงิ
ตรงนี้ จ�ำได้ช้างตัวนีน้ ี่
โอ๋ย ! ไอท้ ี่ข่าวเลา่ ลอื เขาว่าเลยนะ “ไอพ้ รานทองบา้ นหนองบกนมี่ ันกเ็ หลือเกนิ ชา้ งที่
มันยงิ กช็ า้ งในวงั มนั ยงิ ตายไปหลายตัวแล้ว บางทมี งี า ไม่มีงา มนั ก็ยิง อนั น้ใี หเ้ ด็กไปเลยี้ ง ยงิ เดก็
จนตกคอชา้ งเลย มนั กำ� ลงั จะถอื อเี หนบ็ มาแทงอกี เดก็ มคี าถาดเี ปา่ พอเชา้ กฟ็ น้ื มา หมอเขาวา่ รกั ษา
หายอยู่ ถ้าช้างตวั นี้มนั ตายซะแล้วละ่ กพ็ รานทอง ก็พรานทอง จะใชท้ หารตามเอา”

174

โมโหมาก พรานทองทำ� ไมมายิงช้างพระทนี่ ัง่ ไอช้ า้ งไม่วา่ แหละ บางทีก็หมาบา้ นหมาเมอื ง
นะ่ ตามหลังอย่างนอ้ งไปปา่ ไปเขา ยิงทิง้ อย่างนน้ั มันก็ไม่กนิ มันยงิ หมาแถวน้ีตายไม่รูก้ ่ีตัว
ปด๊ั โธ่ ! ใจคอไมด่ ี กลบั มา เมอื่ มาถงึ กล็ าครบู าอาจารย์ เอาปนื กลบั เดนิ จากนน้ั มายงั ไมถ่ งึ
๒ เสน้ เหมือนกับเปน็ ลม วิ้วๆๆๆ ลมื ตาขน้ึ เป็นปา่ เปน็ เขา มาก็ไม่ยิงชา้ งยิงเสือเลย พรานทอง
หนองบก
พอดีอยไู่ ปอีก ๓ ปี มีพระธดุ งค์องคห์ นึง่ เดินมา เดินมากถ็ าม “พ่อออกจารย์ทองอยูไ่ หน
พอ่ ออกจารยท์ องอยู่ไหน ไปตามมา นอ้ งสาวชือ่ อยา่ งนน้ั ใชไ่ หม ?”
“ใช่”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เม่อื ข้ามาอยูภ่ ูเขาลูกนี้ มาฟงั ธรรมกับผี นอ้ งสาวสง่ั มาไมต่ อ้ งเป็นห่วง
มีความสขุ ความเจรญิ อย ู่ อย่กู ับพวกคนธรรพ ์ นอ้ งสาวช่อื อยา่ งนน้ั ๆ”
แลว้ บอกแลว้ กห็ นเี ลย พระองคน์ นั้ กด็ ี ไมต่ อ้ งนอน ไอน้ เ่ี รอื่ งหลวงปคู่ ยุ ตอ่ เปน็ เรอื่ งคนธรรพ”์

ท้าเดิมพันเรื่องตายสูญ ผีบ่ (ไม่) มี

เรอ่ื ง “ตายแลว้ สญู ” “ผีมีจรงิ หรือ” เปน็ เรอ่ื งท่ีผู้คนในสังคมมักตงั้ ค�ำถามดว้ ยความสงสยั
และใหค้ วามสนใจ ซง่ึ คนส่วนใหญเ่ ชือ่ ว่า ตายแล้วสูญ ผีไมม่ ี แลว้ กพ็ ากนั ประมาทมวั เมา สรา้ งบาป
สรา้ งกรรม เร่ืองตายสญู ผบี ม่ ี เปน็ อกี เร่อื งหน่งึ ทหี่ ลวงปู่ต้อื อจลธมฺโม ไดเ้ ทศน์ไวด้ ังน้ี
“เม่ือผม (หลวงปู่ตอ้ื ) อย่จู ังหวดั แม่ฮอ่ งสอน หมอเอกสำ� หรบั มหาธีระวุธ พอปลงศพ
แผ่นดินแลว้ เขาให้ไปอยแู่ ม่ฮอ่ งสอน เปน็ หมอเอก
“ปา๊ ดโธ่ ! ตายสูญ ผีบ่ม”ี นัน่ ไปพูดท่ีนน้ั พูดทน่ี ี่ แพไ้ ทใหญ่ ไทใหญน่ ่ันนายโสภา ชอื่ โสภา
“คณุ หมอพูดนี้กะดีแลว้ ผีบม่ ี เอ้า ! ไปเซ็นศาลอำ� เภอ ถ้าบม่ ีละ่ จะใหฆ้ ่าข้าท้งิ ถ้ามีล่ะ
บร่ ับรอง มา ไป ไปเซ็นซะก่อน มาพูดกนั ด้วยปากเปล่ามันบไ่ ด”้ แกว่า มนั หนกั มนั หนาหู
เอ้า “จับมดั ได๋ (นะ)” แกว่า จบั มดั ป่าชา้ เด้ “ค่ัน (ถา้ ) บต่ ายละ่ ม้อื อืน่ น้ี (พร่งุ น้ี) ฆ่าผม
คั่น (ถ้า) ตายล่ะบ่ต้องการ ปะ๊ (ไป) ไปหานายอ�ำเภอ”
“นายอ�ำเภอครับ คุณหมอว่าผีไม่มี ผมรับรองจะมัดคุณหมอ ป่าช้าแม่ฮ่องสอนน่ันน่ะ
ถา้ ตายไมร่ บั รอง ถา้ บต่ ายล่ะใหฆ้ า่ ผม เอาจริงๆ นะ เอ้า คณุ หมอวา่ จะได๋”

175

“บเ่ อา บไ่ ปแลว้ ” นน่ั ๆๆๆ อันน้ีพูดให้ชนะเขาดอก นน่ั บ่ไป นน่ั
“ปะ๊ คืนเดียวนน่ั ละ่ ถา้ บ่ตายพรงุ่ น้ปี ืนยงิ ผม ค่ันตายแลว้ บร่ บั รอง” ว่างัน้ หือ ! ปากบ่ออก
(พูดไม่ออก) น่นั ๆๆ เอาผดิ ไปชนะเขา ผแู้ พ้กะได้ น่ีล่ะไปเห็น เขาเถียงกนั ”

หลวงปู่โต้กับบาทหลวง

เมอื่ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ไปจงั หวดั แม่ฮ่องสอน เห็นเขาเถยี งกันเร่ืองตายสูญ ผีบ่ (ไม)่ มี
จากนนั้ ไม่นาน พวกบาทหลวงกม็ าโตเ้ ถยี งกับหลวงป่ตู ้ืออีก ในหลายๆ เร่ือง ดงั น้ี
บาทหลวงกล่าวตำ� หนคิ นไทย “ไทยนบ่ี ้า ไหวไ้ มส้ กั ไมท้ อง”
หลวงปโู่ ตว้ า่ “ไทยไหว้ไมส้ ักดี ไม้สักกะ (ก็) ดี ไม้นด้ี กี วา่ มนษุ ย์ว่า ไม้สักนะ เอาเปน็ โตะ๊
กะได้ เอาเปน็ ต่ังกะได้ เอาเปน็ แทน่ บนกะได้ ไหวก้ ะได้ เพราะวา่ เราจะไปเอารูปโคตมะไม่ได้
ท่านนพิ พานแลว้
ชาตเิ งีย้ วก็แต้มรปู เปน็ รูปภาพพระเง้ียว พระไทยก็เขียนเปน็ รูปภาพพระไทย พมา่ เหมอื นกนั
รูปภาพพม่าจะมาไวใ้ นเมอื งไทยไมไ่ ด้ ใครจะไปเอารปู พระไทยไม่ได้ อันนี่ เลือดใครเลือดมัน เหตุนนั้
นกั ปราชญ์ท่านทำ� ชาติเชียงใหมก่ ะเอารูปเชยี งใหม่ออก อยา่ งกรงุ อโยธยากเ็ อารปู เจ้าปู่เจ้าตาออก
เพราะมนั งาม
แลว้ คนทขี่ ม่ เหงพระพุทธรปู เจดีย์ ตวั อยา่ งฝร่ังเศสฆา่ แกว (เวียดนาม) ฆา่ ไปหมด มา
เมอื งจนั ท์ มาตเี มอื งจนั ท์ พระพทุ ธรปู ทองแกว้ เผาหมด กะบแ่ พม้ นั เยอรมนั ออกไปนะ ๑๐ กวา่ วนั
๙๐๐ ล้านนะ น่นั ลูกระเบิดใสต่ ายหมดโคตร น่ลี ่ะ ไทยบ่ (ไม่) ได้เผาพระพุทธรูป นง่ั สุขนอนสุข
นั้นๆ”
บาทหลวง “พระเจา้ โคตมะ เขา้ สู่นพิ พานบ่ (ไม่) มีจติ วญิ ญาณ บร่ บั รองมนุษย์”
หลวงปโู่ ตก้ ลบั ไปว่า “พระเยซูรับรองหรอื ไมร่ บั รอง ตาบอดรบั ไดไ้ หม ถ้าพระเยซูได้ยนิ
ขาคบี คอตาย ..... (หลวงปูพ่ ูดยอดธรรม)
พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ดต้ ายเพราะถกู คนฆา่ ตายเพราะชราเฒา่ แตพ่ ระเยซถู กู เขาเอาหอกแทงตาย
คนตายโหงรบั รองวิญญาณ”
บาทหลวง “เฮ้ย ! พระเยซูมาชว่ ยจรงิ ๆ นะ่ ”

176

หลวงปู่ “..... (หลวงปพู่ ดู ยอดธรรม) ถ้าแกมเี พศสัมพนั ธก์ บั เมยี พระเยซูมาชว่ ยท่ีไหน”
ผมไปเจอออกลูกคนเดียวเมืองไทยไปฆา่ เขาหมด แม่ดอกทอง ... ทกุ วันนี้นะว่า แม่หญิงไทย
ล้านคน ถา้ บม่ ีผัวก็บ่มลี ูก ฝรงั่ เศสเหมอื นกันนะ แมห่ ญงิ ออกลกู คนเดียว หมูออกลูกเป็นคนมันมี
หรอื น่ัน
บาทหลวง “ทำ� บญุ ไม่ไดบ้ ุญ”
หลวงปู่ “เฮ้ย ! กลองชยั ที่ดนี ่ะ ตกี ะมเี สยี ง ถา้ บต่ ีกะบม่ ีเสียง เมอ่ื เรารักษาศีล กายกบั ใจ
ไม่ฆ่าสัตว์เรยี กพุทธ ไมล่ กั ก็เรยี กพทุ ธ บเ่ สพเมีย พทุ ธ ข้ีต๋ัว (โกหก) พทุ ธน่พี ทุ ธนั่น”
บาทหลวง “พระเยซกู ินเหล้าได้บ่เปน็ บาป”
หลวงปู่ “หอื ? เมาหรอื บเ่ มา กินบเ่ มาเหรอ นั่น กินเหล้านะ่ ถา้ มันเมามนั บาป มันกิน
มันบาป กินแลว้ ก็เมานัน่ ...... (ชว่ งนีเ้ ป็นยอดธรรม หลวงปรู่ ะบุอวยั วะเพศ) ฆา่ สตั วก์ อ็ อกบ่ได้
มนั เป็นมาอยา่ งน้ี ว่าพระเยซูฆ่าสัตว์ไดบ้ ุญ เอ้า ! อย่างนัน้ อาตมาขอฆา่ ฆา่ พระเยซูมนั บัดเดยี๋ วนี้
ล่ะวะ” หมดความพูด
บาทหลวง “พระเจา้ มาช่วย”
หลวงปู่ “หอื ? ไปลักควายเขานะ่ เยซไู ปมัดคอหรือนั่น กำ� ลังข้ีออกกน้ พระเยซเู ช็ดหรือ
มนั บ่มานะ ....... (ช่วงนเ้ี ปน็ ยอดธรรมอีก หลวงปรู่ ะบอุ วัยวะเพศอกี ) ”
ไอ้บ้า ! หมดหน้าแห้ง
บาทหลวง “ผมนี้ถอื คริสต์ ลาภรวยด้วยขา้ วของเงนิ ทอง”
หลวงปู่ “ว่าเขา้ เยซรู ่�ำรวย เงนิ ก่ีล้าน ...เจ้าแกว้ นวรฐั บไ่ ดเ้ ขา้ เยซูนะ คา้ ไม้สกั ปีละ ๓ ลา้ น
เงนิ เดือน..คา้ ไม้สกั ปีละ ๓ ล้านบาท เงินเดอื นน่ะ เดอื นแปดหมน่ื รวมอนุสาร (หลวงอนสุ ารสนุ ทร)
บไ่ ด้เขา้ ศาสนาคริสตน์ ั่น แมเ่ ปน็ เมอื ง พ่อเป็นศีลถอื พุทธ เงนิ รเู ปยี ต้ัง ๕ แสน เงนิ บาทไทยนับเลย
นน่ั วา่ คณุ ถือศาสนาครสิ ต์รวย รวยจะได๋ (อะไร) เอาหนังสือมาขาย ขายหนังสือเร่อื งครสิ ต์นั่น
๑๐๐ ได้ ๕ บาท”
อธิบายเถียงกัน ถวายให้พระครู ยุติ จบเพียงน้ี เอาละ่ เนาะ

177

ท่านชอบรู้เห็นสิ่งต่างๆ ท่ีเร้นลับ

นิสัยของ หลวงป่ตู อื้ ทส่ี ำ� คัญอกี อย่างหนงึ่ คือ ทา่ นชอบรเู้ ห็นส่งิ ตา่ งๆ ท่เี รน้ ลับ เช่น พวก
กายทพิ ย์ ผสี าง เทวดา เปรต และวญิ ญาณต่างๆ เปน็ ตน้
หลวงปเู่ คยเล่าให้บรรดาศิษยฟ์ ังเสมอเกีย่ วกบั พวกกายทิพยน์ ้ี เรอ่ื งท่ีท่านบอกเลา่ ล้วนแต่
นา่ อัศจรรย์ เพราะเป็นเร่ืองทน่ี อกเหนือทม่ี นุษยธ์ รรมดาสามญั จะรู้ได้ แต่ส�ำหรบั ผสู้ นใจใฝร่ ใู้ นดา้ น
การปฏิบัตติ ามแนวทางพระพุทธศาสนาแลว้ กเ็ ชอ่ื ม่ันวา่ เปน็ ความจรงิ
หลวงปู่ตื้อ ท่านยนื ยนั ว่าเรอ่ื งสง่ิ เร้นลบั ต่างๆ เกยี่ วกับภพภูมิท่แี ตกตา่ งออกไป เชน่ พวก
กายทพิ ย์ เทวดา ผีสางนางไม้ สตั ว์นรกและเปรตต่างๆ นน้ั เป็นสิ่งทีม่ จี ริง สามารถสัมผสั รู้เห็นได้
ถา้ เรามีการฝึกฝนด้านจิตใจจนมีความละเอียดเพียงพอ
องคห์ ลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นฺโน ไดเ้ ทศนาธรรมถงึ เรอื่ งนโี้ ดยยก มหาสมยั สตู ร
ไวด้ งั น้ี
“ใครเปน็ คนสอนไว้เทวบุตร เทวดา อนิ ทร์ พรหม ทั้งหลาย ยกตัวอย่างเป็นเอกเทศ
อยา่ งเด่นชัดกค็ อื ท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงแสดงในมหาสมยั สตู รนนั่ เปน็ ยังไง พระองคท์ รงรับสง่ั กับสาวก
ทั้งหลาย บรรดาสาวกคราวน้ันมี ๕๐๐ องค์ อยู่ในป่ามหาวัน ทรงรับส่งั วา่ วันนีใ้ หพ้ ากันภาวนาดู
พวกเทวดาท้ังหลายประเภทตา่ งๆ พวกนาค พวกครุฑ สบุ รรณ ประเภทต่างๆ ตัง้ แตท่ า้ วมหาพรหม
ลงมา เทวดาในแดนสมมตุ นิ ้ี เอา้ ! ให้พากนั พิจารณา ใครจะรู้เห็นมากนอ้ ยเพียงไร กว้างแคบ
ขนาดไหนแล้วค่อยมาพูดกัน พระองค์ก็จะทรงพิจารณา จะเทศนาว่าการสอนพวกทวยเทพ
ทงั้ หลายเชน่ เดียวกนั
หลังจากนน้ั แล้วบรรดาสาวกทัง้ หลายกม็ าทลู พระพุทธเจา้ องคน์ น้ั เหน็ อย่างนน้ั ๆ จ�ำนวน
เทา่ นน้ั จำ� นวนเทา่ น้ี ตามก�ำลงั ความสามารถของแต่ละท่านๆ เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงสรุปแล้ว
พระพทุ ธเจา้ ทรงรทู้ รงเหน็ จนกระทงั่ ถงึ โคตรถงึ แซน่ นู่ นะ่ ฟงั ซิ ชอื่ วา่ ยงั ไงๆ ออกหมดในมหาสมยั สตู ร
น่นั พิจารณาซิ
นลี่ ะ่ สูตรน้ีเปน็ สตู รท่ีใหญ่โตมากเก่ยี วกบั พวกเทพท้งั หลายในมหาสมยั สตู ร แลว้ มาปฏิเสธ
อยา่ งหนา้ ดา้ นว่า “เทวดาไม่มี” นี้คือพวกทำ� ลายศาสนาอยา่ งแหลกเหลวไม่รู้เน้อื รูต้ วั เลย พวกท่ี
ปฏิเสธเทวบตุ รเทวดาไม่มี ก็อย่ใู นคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ อยู่ในวงศาสนาท่พี ระพุทธเจ้าทรงสอน
เชน่ เดยี วกนั กับสอนมนุษย์”

178

บ�ำเพ็ญกับหลวงปู่ม่ัน ๙ ปี ไม่สงสัยแล้ว

เม่ือหลวงปู่ม่ัน ภูริทตฺโต ท่านได้บรรลุธรรมแล้ว บรรดาลูกศิษย์จึงได้มีโอกาสอยู่ร่วม
จ�ำพรรษาและออกธุดงค์ปฏบิ ัตธิ รรมกับทา่ น หลวงป่ตู ื้อ อจลธมโฺ ม ท่านกเ็ ป็นลูกศิษยอ์ ีกองค์หนง่ึ
ท่ีได้เข้ารับการอบรมปฏิบัติอย่างใกลช้ ดิ เรือ่ งการบรรลธุ รรมของหลวงปู่ตื้อน้ัน พระศิษย์ทไ่ี ดฟ้ ัง
จากหลวงปตู่ ้ือไดเ้ ลา่ สบื ต่อกนั มา ดงั น้ี
“หลวงปตู่ อื้ ท่านได้บอกกบั พระศษิ ย์เป็นปริศนาธรรมวา่ แตก่ ่อนท่านมีความเคลือบแคลง
สงสัยในพุทธศาสนา ต่อมาเม่ือท่านได้มาบ�ำเพ็ญกับพ่อแม่ครูอาจารย์ม่ัน ท่ีจังหวัดเชียงใหม่
ประมาณ ๙ ปี ท่านไม่ไดส้ งสยั ในพุทธศาสนา ในครูบาอาจารย์ ในพระรตั นตรัยใดๆ ทง้ั ส้นิ
ไมส่ งสยั แลว้ หมดความสงสัยแล้ว พดู แค่นนั้ ทา่ นบอก
“ท�ำอยู่กไ็ ม่นานหรอก ก็เรามันคนขยัน ไม่ข้เี กียจเว้ย” ท่านวา่
ท่านกพ็ ูดแค่น้นั ท่านกไ็ มไ่ ดพ้ ูดว่าท่านส�ำเรจ็ บอกวา่ ไม่มคี วามสงสัยแล้วในค�ำสอนของ
พระพทุ ธเจ้า ทา่ นบอก จะเปน็ เมือ่ ไหร่ เราก็ไมร่ ู้ ท่านพูดอยา่ งนน้ั หมดความสงสัยแล้ว
การบ�ำเพญ็ เพยี รทา่ น ครูบาอาจารยท์ ่านกเ็ ล่าให้ฟงั ทา่ นง่วงนอน ท่านก็ไม่ยอมนอน กล็ ง
ไปนัง่ แชอ่ ย่ใู นน�้ำ ความเพยี รของท่าน พอมันง่วงนอน วบู ก็ตน่ื นงั่ อยูน่ น่ั ท่านกลัวจะเสียความเพียร
ท่านเอาโอง่ นำ้� มังกรใหญ่มาใสเ่ สียเตม็ ไดย้ ินวา่ ชว่ งต้นๆ ทท่ี ่านบำ� เพญ็ ท่านกลัวจะเสียเวลามาก
ประมาณ ๙ วัน ท่านนอนพักครง้ั หน่ึง จนรา่ งกายของทา่ นซูบผอมมาก”
อนึ่ง จากพระธรรมเทศนาของหลวงปตู่ อื้ อจลธมโฺ ม ท่านไดเ้ ทศนอ์ ยา่ งเปดิ เผยว่า ท่าน
เปน็ พระอรหันต์ในหลายวาระ ดังน้ี
จากกณั ฑ์เทศน์ “เกดิ มาเป็นมนษุ ยใ์ ห้รูจ้ กั พระพทุ ธศาสนา” ณ วัดปา่ อรัญญวเิ วก บ้านข่า
อ�ำเภอศรีสงคราม จงั หวดั นครพนม
“พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม พรรษา ๗๔ อายุ ๙๔ เต็มบรบิ ูรณ์ จงึ จะกลา่ วธรรมะไว้เมตตา
แก่ลูกหลานเกดิ มาภายซอ่ ย (ภายหลัง)
พทุ ธะ ธัมมะ สงั ฆะ อยใู่ นทอ้ งของคุณยายครบั
พุทธงั ธัมมัง สังฆงั เกิดแล้วคุณยาย

179

๑๙ ปี เป็นพระอรหนั ตเ์ ป็นไป
ซาวปแี รก (๒๐ ปีแรก) จงึ บวชเป็นภิกขไุ ด้เรยี กสงฆ์ไทย”
และจากกณั ฑเ์ ทศน์ “หวั ใจพระพทุ ธศาสนา” ณ วดั ปา่ ดาราภริ มย์ อำ� เภอแมร่ ิม จงั หวัด
เชยี งใหม่
“ขา้ พเจ้าขอไหวพ้ ระพุทธ ไหวพ้ ระธรรม พระสงฆ์ จะอธิบายพระพุทธลงในขันธม์ นษุ ย์
พุทธะ ธัมมะ สงั ฆะ อยใู่ นทอ้ งของคุณยายไม่พ้น
พุทธงั ธัมมัง สงั ฆงั พ้นแล้ว ตง้ั แตป่ ี ๑ ถงึ ๑๙ ปี เป็นพระอรหันต์ก็ใหเ้ ป็นไปตามบารมี
ของพระคุณเจ้า ๒๐ ป ี สมมตุ ใิ หเ้ ป็นภกิ ขตุ ามวินยั สงฆ์”
การบวชเข้าสูร่ ม่ กาสาวพสั ตรจ์ วบจนการบรรลุธรรมของหลวงปู่ตื้อ อจลธมโฺ ม
๒๐ ปแี รก ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๓ หลวงป่ตู ื้อออกบวชเปน็ พระ เรยี นหนังสอื อยู่ ๔ ปี
จากน้นั ออกธดุ งค์ปฏบิ ตั ิเอง
๑๙ ปหี ลงั ประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๒ หลวงปตู่ อ้ื พบหลวงปู่มน่ั ครง้ั แรก จากน้นั ท่าน
ไดอ้ อกธุดงคป์ ฏบิ ตั เิ อง และประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ภายหลังหลวงปมู่ น่ั บรรลุธรรม ทา่ นจงึ ได้อยู่
ปฏบิ ตั ิธรรมและอปุ ัฏฐากรับใช้หลวงปู่มั่นอย่างใกลช้ ดิ รวมท้งั ได้ออกธุดงค์ทางภาคเหนอื เป็นเวลา
๙ ป ี จึงบรรลธุ รรม
รวมเวลาบวชเรยี นและออกธดุ งค์ปฏิบตั ธิ รรม ๓๙ ปี ทา่ นบวชเม่อื อายุ ๒๑ ปี
ฉะน้ัน ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หลวงปตู่ อ้ื ทา่ นบรรลุอริยธรรมขนั้ สงู สดุ เป็นพระอรหันต์
ขณะมอี ายุนบั ได้ ๖๐ ปี

พ.ศ. ๒๔๘๒ พักและอบรมภาวนากับหลวงปู่ม่ันท่ีวัดร้างป่าแดง

ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต ทา่ นได้พกั จ�ำพรรษาทว่ี ดั รา้ งป่าแดง บา้ นแมก่ อย
อำ� เภอพร้าว จังหวดั เชียงใหม่ ในปีน้ี หลวงปู่ตอ้ื อจลธมโฺ ม ท่านก็เปน็ พระศษิ ยอ์ ีกองค์หนึ่งท่ไี ด้เข้า
มาพักอยูบ่ รเิ วณนแี้ ละได้เขา้ มารับการอบรมภาวนาจากหลวงปมู่ น่ั
ตามบันทึกของหลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต ได้บันทึกสถานที่ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
จำ� พรรษาทางภาคเหนอื ไวด้ งั นี้

180

“สถานที่ หลวงปู่ม่ัน ทา่ นจำ� พรรษาน้นั ทร่ี มู้ าก็มี ถ้ำ� ดอกคำ� ดอยนำ้� มัว (หรอื ดอยนะโม)
ท่งุ บวกขา้ ว ปา่ เมยี่ งขุนป๋ัง ดอยมเู ซอ หนา้ ถำ้� หลวงเชยี งดาว ท่านไปๆ มาๆ อยู่อำ� เภอพร้าว
มากทสี่ ุด ในสมยั หลวงปูม่ ่ันท่านอยเู่ ชยี งใหม่ ลูกศิษยท์ ี่มชี ือ่ อยกู่ ็หลายองค์ ทา่ นกอ็ ยู่กันแถวๆ
ต�ำบลโหล่งขอด มดี งมะไฟ สนั มะค่า แม่แวน ผาหย่อง ดอยพระเจ้า ผาแดน่ แมพ่ วก”
โดยปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หลวงป่มู ่นั ภรู ทิ ตฺโต ทา่ นพักจ�ำพรรษาที่ วัดร้างป่าแดง บา้ นแมก่ อย
อำ� เภอพร้าว จงั หวัดเชยี งใหม่ นอกจากนท้ี า่ นยังเคยแวะเวยี นไปปักกลดภาวนาทบี่ รเิ วณวัดรา้ ง
แหง่ นี้หลายครง้ั หลายครา ย่งิ กว่านั้น วัดรา้ งป่าแดง ยงั เปน็ สถานที่ทหี่ ลวงปมู่ ัน่ ใชเ้ ป็นทป่ี ระชมุ
อบรมธรรมแกล่ กู ศษิ ยล์ ูกหาทีเ่ ปน็ พระธดุ งค์ ซง่ึ แยกย้ายกนั อยพู่ กั ภาวนาในทตี่ ่างๆ ที่ไม่หา่ งไกล
กันนัก พอเดนิ ไปมาถงึ กนั ได้
หลวงป่ตู ้ือ อจลธมฺโม ก็เป็นศษิ ย์อาวุโสท่านหน่งึ ท่ีเคยไปพักภาวนาและรบั การอบรมธรรม
จากหลวงปู่มัน่ ท่ีวดั รา้ งปา่ แดงแห่งน้ี พร้อมกับบรู พาจารย์องคอ์ ่ืนๆ มีหลวงปเู่ ทสก์ เทสรฺ ํสี
หลวงปูอ่ อ่ น าณสิริ หลวงปู่ชอบ านสโม หลวงปูข่ าว อนาลโย หลวงปูฝ่ น้ั อาจาโร
หลวงปู่พรหม จิรปุญโฺ  หลวงปแู่ หวน สจุ ิณฺโณ หลวงปู่มหาทองสกุ สุจติ โฺ ต หลวงปู่สมิ
พทุ ธฺ าจาโร หลวงป่เู จ๊ียะ จุนฺโท เป็นต้น
ลกู ศิษย์รุ่นหลงั ก็ได้อาศัยญาตโิ ยมท่ีครอู าจารยไ์ ด้ฝกึ สอนไว้แล้วพอเปน็ ร่องรอย ทา่ นไมไ่ ด้
ปลูกสร้างสิง่ ถาวรอะไรไว้ มีแตป่ ลูกกระต๊อบใช้ช่ัวคราวพอคุ้มแดดค้มุ ฝน กระตอ๊ บปีหนึ่งก็พังไป
หลวงปู่มนั่ เคยเลา่ ให้บรรดาพระศิษยฟ์ ังวา่ บริเวณ วัดร้างป่าแดง เคยเป็นถนิ่ เก่าของท่าน
ในอดีตชาติ ซึง่ ชาติหน่งึ ท่านเคยเกดิ เปน็ หมูป่า หากินอย่บู ริเวณน้ี และถูกพรานฆา่ ตาย มาในชาติ
ปัจจบุ นั ท่านจงึ มีความผูกพันกบั สถานท่ีแห่งนี้

อุบายฟังเทศน์ของหลวงปู่ตื้อ

พอเอ่ยถึงองค์ท่านหลวงปู่ตื้อขึ้นมา ท�ำให้นึกถึง หลวงปู่เจ๊ียะ จุนฺโท วัดป่าภูริทัตต–
ปฏิปทาราม ตำ� บลคลองควาย อำ� เภอสามโคก จังหวดั ปทุมธานี องคท์ า่ นหลวงปูช่ อบเล่าให้ฟงั วา่
สมยั ที่หลวงปเู่ จย๊ี ะท่านยังเปน็ พระหนุ่มมาปฏิบัตกิ บั องคท์ า่ นหลวงปู่มั่นทีเ่ ชียงใหม่ หลวงป่เู จ๊ยี ะ
ทา่ นเป็นคนมนี ิสยั ผาดโผนโผงผาง พดู จาภาษาขวานผ่าซากเหมอื นกันกบั หลวงปตู่ ้ือ ทา่ นท้ังสอง
จะหาเหตุใหอ้ งค์ทา่ นหลวงป่มู ั่นแสดงธรรมแบบดุเดด็ เผ็ดรอ้ น แบบถงึ พรกิ ถงึ ขงิ ใหห้ ม่คู ณะ
ได้ฟังด้วยอยูเ่ สมอ


Click to View FlipBook Version