ประมวลผลการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงจากการปฏบิ ัติงาน
(Action Learning)
โครงการศกึ ษาอบรมหลกั สูตรนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รนุ่ ที่ ๗7
สถาบันดารงราชานภุ าพ กระทรวงมหาดไทย
“ศาสตรพ์ ระราชา”
รากฐานพฒั นาที่ยง่ั ยนื
ระหวา่ งวันท่ี 24 – 28 สิงหาคม 2564
1
โครงการศกึ ษาอบรมหลกั สตู รนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ที่ ๗7 ของกระทรวงมหาดไทย
ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
การบริหารราชการแผ่นดนิ ในปจั จบุ ันมกี รอบการดาเนินงานภายใต้บทบัญญตั ิแหง่ กฎหมาย และแผน
ระดับต่าง ๆ ที่สาคัญ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) แผนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) นโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ รัฐบาล
๔.๐ แผนพัฒนาภาค (๖ ภาค) แผนพัฒนากลมุ่ จังหวัด (๑๘ กล่มุ จังหวดั ) แผนพฒั นาจงั หวดั (๗๖ จงั หวดั ) เขต
เศรษฐกิจพิเศษ (๑๐ เขตพน้ื ท่)ี ระเบยี งเศรษฐกจิ ภาคตะวันออก (ฉะเชิงเทรา ชลบรุ ี ระยอง และเมอื งพัทยา)
ตลอดจนระเบยี งเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การพฒั นาพ้ืนท่ี
กระทรวงมหาดไทยมีภารกิจในการบาบัดทุกข์ บารุงสุขของประชาชนด้านต่าง ๆ โดยเกี่ยวข้องกับ
การบริหารราชการส่วนภูมิภาค การพัฒนาจังหวัดกลุ่มจังหวัด ตลอดจนการพัฒนาภาคและเช่ือมโยงกับ
การปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมีความจาเป็นที่จะต้องพัฒนาบุคลากรทุกประเภท/ ระดับ ให้มีความพร้อมใน
การปฏิบตั ิราชการให้สาเร็จตามเปา้ หมายท่กี าหนดไว้ ท้ังนี้ การพัฒนาข้าราชการเพือ่ ใหม้ ีความพร้อมสาหรบั
การก้าวขึ้นไปสตู่ าแหน่งระดับบริหารของส่วนราชการนับว่ามคี วามสาคัญอยา่ งย่ิง โดยกระทรวงมหาดไทยได้
จัดโครงการศึกษาอบรม หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ และได้ปรับปรุง
หลักสูตรดังกล่าวให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ความมั่นคงของชาติ สังคม
วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาการ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลา ตามกรอบมาตรฐานหลกั สูตรการฝึกอบรมนกั บริหารระดับสูงของ ก.พ. เพื่อให้หลกั สตู รฝึกอบรม
นักปกครองระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยได้รับการรับรองจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
และสามารถพัฒนานักปกครองและนักบริหารระดับสูง รองรับภารกิจของส่วนราชการในสังกัด
กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ยุทธศาสตร์ท่ี ๖ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบรหิ ารจัดการ ภาครัฐ (ประเด็นหลักการพฒั นาที่
๖.๔ การพัฒนาบคุ ลากรภาครฐั ) ยทุ ธศาสตรก์ ระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ (ประเดน็ ยทุ ธศาสตรท์ ี่
๔ การวางรากฐานการพัฒนาองคก์ รอย่างสมดลุ ) และยุทธศาสตร์การพัฒนา บคุ ลากรของกระทรวงมหาดไทย
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ (ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบและบคุ ลากรท่ีเปน็ เลิศ ยุทธศาสตร์ท่ี ๑.๓
การพฒั นาบุคลากรพรอ้ มรับการเปล่ยี นแปลง)
หลักสูตรฝึกอบรมนักปกครองระดับสงู (นปส.) ของกระทรวงมหาดไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ มี
เป้าหมายการพัฒนาผู้เข้าอบรมหลักสตู รฝกึ อบรมนักปกครองระดบั สูง (นปส.) ของกระทรวงมหาดไทยใหเ้ ปน็
“นักบริหารที่มีภาวะผู้นาเชิงวิสัยทัศน์และคุณธรรม (visionary and ethical leadership) ภาวะผู้นาแบบ
บริหารร่วมกัน (collaborative leadership) ภาวะผู้นาด้านดิจิทัล (digital leadership) ภาวะผู้นาภายใต้
สถานการณ์วิกฤต (crisis leadership) และภาวะผู้นาที่ยั่งยืน (sustainable leadership) รวมทั้งเป็นผู้นา
การเปล่ยี นแปลง (changeleaders) ทมี่ คี วามรู้ ทักษะ และสมรรถนะในการบรหิ ารจัดการการพัฒนาในระดับ
พนื้ ที่ (area-based development) พร้อมทจี่ ะกา้ วขึน้ ไปปฏบิ ตั หิ น้าทีใ่ นตาแหนง่ รองผู้ว่าราชการจงั หวัดหรือ
เทียบเท่า” โดยมีวตั ถุประสงคข์ องหลักสตู ร เพอื่ พฒั นานกั ปกครองและนกั บริหารระดับสงู ใหม้ คี ณุ ลกั ษณะทีจ่ ะ
นาไปสู่การไดร้ บั การยอมรบั ความเชื่อถือ และไว้วางใจจากผู้มีสว่ นได้ส่วนเสยี และทุกภาคส่วนทเี่ ก่ียวข้อง และ
เตรียมความพร้อมให้แก่ผดู้ ารงตาแหนง่ ประเภทอานวยการหรอื เทยี บเท่าในการเข้าสู่ตาแหน่งประเภทบรหิ าร
สามารถปฏิบัติหน้าท่ีในตาแหน่งดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถทางการบริหารจัดการใน
2
การทางานและเพื่อการใช้ชีวิตในบริบทสภาวะแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ อาทิเช่น ภาวะผู้นาและ
การบริหารราชการกับบรบิ ทการเปลย่ี นแปลงในศตวรรษท่ี ๒๑ การบริหารทิศทาง นโยบายและการบริหาร
การเปลยี่ นแปลง การจัดการด้านทรพั ยากรในบทบาทและหน้าท่ีของนักปกครองระดับสงู การบริหารตนและ
การบริหารคน ศาสตร์พระราชาและการประยกุ ตใ์ ชใ้ นการบริหารการพฒั นาเชิงพ้ืนท่ี รวมถึงสมรรถนะตา่ งๆ ที่
จาเป็นสาหรบั นักปกครอง/นักบรหิ ารระดับสงู ได้แก่ การตัดสินใจ การสื่อสาร การประสานงาน การประสาน
สัมพันธ์ การปรับตัวและความยืดหยุ่น และจิตมุ่งบริการ เพื่อสร้างเครือข่ายผู้นา ซ่ึงสามารถแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์การทางานใหข้ อ้ คิดเหน็ และข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ ท่เี กยี่ วข้องกับการบรหิ ารราชการของประเทศใน
ประเด็นตา่ ง ๆ ตามสถานการณ์ได้
“การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning)” เป็นส่วนหน่ึงของ
หลักสตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ ๗6 โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือนาบทเรียนและประสบการณ์จาก
การมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาจากพ้ืนที่จริงไปใช้ในการบริหารราชการและสร้างมูลค่าเพิ่มสาหรับ
ประสบการณ์การบรหิ ารราชการให้แกผ่ เู้ ข้าอบรมหลกั สตู รสามารถนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการบรหิ ารงานได้กว้าง
ขว้างมากข้ึน
เนื่องจากสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจบุ ัน ทาให้
หลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ ๗๗ ต้องมีการปรับเปล่ียนวิธีการดาเนินงานกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
ประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ทาง
คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดย ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ได้ปรับ
กิจกรรม Action Learning โดยใช้ระบบการสือ่ สารผา่ นการประชุมทางไกล (ระบบ ZOOM) โดยขอใหแ้ ตล่ ะ
กลุม่ ปฏิบตั ิการ (กป.) ท้งั 12 กลมุ่ เลอื กหมู่บ้านมา 1 หมบู่ า้ นใน 1 อาเภอ ทีม่ ีนายอาเภอนนั้ เป็นสมาชกิ ของ
กลุ่มมาศึกษา โดยมีรายช่ือหมูบ่ ้าน ทัง้ 12 หมูบ่ ้าน ดังน้ี
กป.1 บา้ นโหนดหมู่ ม.9 ต.หารเทา อ.ปากพะยูน จ.พัทลงุ
กป.2 บ้านวังนกไข่ ม.8 ต.หนองนกไข่ อ.กระทุม่ แบน จ.สมุทรสาคร
กป.3 บ้านห้วงบอน ม.5 ต.ไมร้ ูด อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
กป.4 บ้านหว้ ยแมง ม.3 ต.นา้ ไคร้ อ.นา้ ปาด จ.อตุ รดิตถ์
กป.5 บ้านโคกสะอาด ม.4 ต.อ่มุ จาน อ.กสุ มุ าลย์ จ.สกลนคร
กป.6 บ้านเหลา่ ใหญ่ ม.3 ต.ม่วง อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร
กป.7 บ้านตะเคยี นทอง ม.5 ต.ตะเคยี นทอง อ.เขาคชิ กูฏ จ.จันทบุรี
กป.8 บา้ นแกง้ ขอ ม.6 ต.พรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ..อบุ ลราชธานี
กป.9 บ้านโนนสุวรรณ ม.2 ต.หลุ่งประดู่ อ.หว้ ยแกลง จ.นครราชสมี า
กป.10 บา้ นแสงบูรพา ม.11 ต.หนองออ้ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
กป.11 บา้ นโนนประทาย ม.9 ต.วาริน อ.ศรีเมอื งใหม่ จ.อุบลราชธานี
กป.12 บา้ นป่าเปา้ ม.3 ต.ทรายมูล อ.สันกาแพง จ.เชียงใหม่
สารบัญ 3
1. กิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยประสบการณต์ รงจากการปฏิบตั งิ าน (Action Learning) หน้า
2. กรอบการเรียนรู้ Action Learning 1
3. บทสรปุ จากคณะอาจารย์ทปี่ รกึ ษาหลักสูตรฯ 2
4. กิจกรรมการเรียนรู้ Action Learning กลุ่ม กป.1 - กป.12 9
16
1
กิจกรรมการเรยี นรดู้ ว้ ยประสบการณต์ รงจากการปฏิบตั งิ าน (Action Learning)
หลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุน่ ท่ี 77
ระหว่างวนั ท่ี 24 – 28 สงิ หาคม 2564
“การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning)” เป็นส่วนหน่ึงของ
หลักสูตรนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รุน่ ท่ี ๗๗ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพือ่ รว่ มเรียนรู้และทำควำมเข้ำใจกับชุมชน
ท้องถ่ินถึงสถำนกำรณ์ในขณะนี้ และแนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลงใน ๒ ปีข้ำงหน้ำของ “ชุมชนท้องถ่ิน”
“โอกำสและควำมสำมำรถในกำรปรบั ตัวของชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ” ในสถำนกำรณท์ ีโ่ ครงสรำ้ งเศรษฐกิจเปลี่ยนไป
เพรำะเทคโนโลยีท่ีพลิกผัน ภำวะโลกร้อนและกำรระบำดของไวรัสโควิด-19 โดยนำหลักกำรทรงงำนใน
การพัฒนา “เข้ำใจ เข้ำถึง พัฒนำ” ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ทรงพระรำชทำนให้ยึดถอื ปฏบิ ัติมำประยุกตใ์ ชใ้ นกำรวิเครำะหว์ ่ำ
1. สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต 2 ปีข้างหน้า
ทำงเศรษฐกิจสงั คมวฒั นธรรมและนิเวศน์สิ่งแวดลอ้ มของหม่บู ำ้ นทเี่ ป็นชุมชนชนบทท่ีทำกำรศกึ ษำ
ว่ำท่ีผ่ำนมำ ผู้คน สถำบันครอบครัว ศำสนำ กำรศึกษำเรียนรู้ ระบบกำรผลิต ระบบกำรเงิน ระบบทุน
ระบบเทคโนโลยี ระบบกำรบรโิ ภค ระบบนเิ วศน์สง่ิ แวดลอ้ ม ได้ปรบั และเปล่ยี นแปลงไป อนั เป็นผลมำจำก
กำรปฏสิ ัมพันธก์ นั ระหวำ่ งพลงั กดดนั จำกภำยนอกชุมชนและแรงตำ้ นแรงรับจำกภำยในชมุ ชนอยำ่ งไรบำ้ ง
2. คนยากจน* ครัวเรอื นยากจน
ครวั เรือนทพ่ี อพึง่ ตนเองไดม้ ีควำมเสย่ี งอะไรในดำ้ นใดบ้ำงทจ่ี ะไม่มชี วี ติ ทอ่ี ยู่ดมี ีสุข
3. ร่วมรบั รแู้ ละรว่ มคิดกบั คนยากจน ครัวเรอื นยากจน
ครวั เรอื นท่ีพอพึง่ ตนเองไดบ้ ้ำงทเ่ี ป็นเจำ้ ของปญั หำว่ำจะปอ้ งกันควำมเสย่ี งทจี่ ะเกิดขึ้นกบั ตนเอง
และครอบครัวและชุมชนโดยจะแกไ้ ขขอ้ จำกัดและปัญหำของตนเองดว้ ยตนเอง อยำ่ งไร
*คนยากจน ในทีน่ ้ี คือ คนทีม่ บี ตั รสวสั ดกิ ำรแหง่ รัฐที่ยังไม่หมดอำยุและสมำชกิ ในครวั เรือนทม่ี ี
รำยไดข้ องครัวเรอื นทงั้ ปตี ำ่ กว่ำรำยไดท้ เี่ ปน็ เส้นควำมยำกจนของแต่ละจงั หวัดในปี 2563
2
กรอบการเรยี นรู้ดว้ ยประสบการณต์ รงจากการปฏิบตั งิ าน (Action Learning)
เพอ่ื เข้าใจ เขา้ ถึง วิถชี ีวติ ชมุ ชน
การเรยี นรเู้ พื่อเขา้ ใจ เข้าถงึ วิถีชีวิตชมุ ชน
1. การศึกษาเรียนรู้ภูมสิ ังคมและวถิ ชี ีวติ ของชุมชน
2. การศกึ ษาเรียนรรู้ ะบบการบรหิ ารจัดการชุมชน
3. การศกึ ษาเรยี นรนู้ โยบายภาครฐั และผลกระทบตอ่ การพฒั นาของชุมชน
1. การเรยี นร้ภู มู สิ งั คมและวถิ ชี วี ิตของชุมชน
วัตถุประสงค์
เพ่ือเข้าใจชุมชนในลักษณะท่ีเปน็ ระบบชวี ิตระบบหนงึ่ ท่ีมตี ัวตน มที ม่ี า มเี อกลักษณ์ มีทรพั ยากร
ทเี่ ปน็ ฐานชวี ิต มีความเป็นพลวตั ร ปรบั ตวั เปล่ียนแปลง เปลีย่ นผ่านไปตามเงื่อนไขปจั จัยตา่ งๆ ทัง้ ภายในและ
ภายนอกชมุ ชน บางช่วงเวลาเรว็ บางชว่ งเวลาชา้ มีการสง่ั สมทุนปัญญา ทนุ ทรัพยากร ทนุ การจัดการ และทุน
ทางวัฒนธรรมของตนเอง มากน้อยแตกต่างกัน ส่งผลให้มคี วามสามารถและความพร้อมในระดบั หนึง่ ทจ่ี ะฟนั
ฝ่าแหวกวา่ ยไปในสายธารทเี่ ชีย่ วแรงของโลกาภิวัตนไ์ ดอ้ ย่าง เท่าทัน พอเพียง และปลอดภยั หรือไม่ อย่างไร
ประเดน็ ท่ีศกึ ษา
1.1 ประวัติความเป็นมา การตั้งถ่นิ ฐาน ชาติพันธข์ องผู้อาศัย เหตุการณ์สาคญั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชุมชน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งชุมชน การบริหารจัดการชุมชนภายใต้กรอบหรือบริบทของ
ขนบธรรมเนยี ม วัฒนธรรม
1.2 วถิ ชี วี ิต ความเปน็ อยู่ การใชช้ วี ติ การจดั การชวี ติ และครอบครัวของผู้คนแตล่ ะกลมุ่ หมบู่ ้าน
ผคู้ นแต่ละระดับช้ันทางเศรษฐกจิ สังคม
1.3 ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนในด้านการผลิต การประกอบอาชีพ การจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาพยาบาล การศาสนา การสร้างความสงบทางจิตใจ และการจัดการกิจการ
สาธารณะต่าง ๆ เพอื่ เสริมสร้างความอยู่ดีมีสขุ ของผู้คนในและระหว่างชมุ ชน
1.4 ลักษณะทางชีวภาพและกายภาพของชุมชน ทรัพยากรและปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเป็นฐานชีวิต
ใหแ้ กช่ มุ ชนทศี่ ึกษาและชุมชนอ่ืนในพืน้ ทลี่ ่มุ น้าเดยี วกันหรอื แหล่งนิเวศนเ์ ดยี วกัน และมีผลตอ่ วิถีชีวิตชมุ ชนใน
พื้นท่ี เช่น แหล่งน้าการจดั การชลประทาน สภาพความสมบูรณ์ของดิน ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ
ระบบนิเวศนข์ องพ้ืนท่ี รวมท้งั ความสัมพันธ์ระหว่างกนั ภายในชุมชน เปน็ ตน้
1.5 การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนในชุมชนอันเกิดจากแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกท่ีสาคัญ คือ
บทบาทรฐั ในการพัฒนาชนบท และพลังของเศรษฐกิจระบบตลาดเสรี เช่น การส่งเสรมิ การปลกู พืชเศรษฐกจิ
การส่งเสรมิ การใช้เทคโนโลยีการผลติ สมัยใหม่ตามนโยบายรัฐบาล การเขา้ มาของระบบเงินตราและระบบทุน
ระบบสินเช่ือ การส่งเสริมวิสาหกิจในชุมชน และการผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมตามความต้องการของ
ตลาด เปน็ ตน้
3
2. การเรยี นรู้ระบบการบริหารจัดการชุมชน
วตั ถุประสงค์
เพ่ือเข้าใจและประเมินความเข้มแข็งของชุมชนในแง่มุมของความสามารถของชุมชนในการใช้
ประโยชน์จากเง่อื นไขตา่ งๆ ทเี่ ป็นโอกาส เพ่อื กอ่ ให้เกดิ การพฒั นาและ ขดี ความสามารถของชมุ ชนในการรับรู้
กาหนด และจัดการแก้ไขปญั หาในเรอื่ งการหารายได้และการประกอบอาชีพ อีกท้ังปัญหาสังคมของชุมชนให้
ผ่อนคลาย ทงั้ นี้ เพอื่ มุ่งคน้ หาประสบการณข์ องชมุ ชนในแง่ของมุมมอง หลักคิดทม่ี ีตอ่ ปญั หา และโอกาสในการ
พฒั นา ตลอดจนกลวิธี แนวทาง ขัน้ ตอนการจัดการท่ชี ุมชนถอื ปฏิบัติ รวมทัง้ การเรียนรขู้ องชุมชน
ประเดน็ ทศี่ ึกษา
2.1 ศึกษากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของภาครัฐ ท่ีมีผลกระทบต่อการใช้หรือการประกอบ
อาชพี ภายในชุมชน ระบบการบรหิ ารจัดการเงินทุน ระบบการผลติ เชิงเกษตรกรรมหรอื อตุ สาหกรรมทเี่ กิดขึ้น
ภายในชมุ ชน รวมท้งั ปจั จยั ความเสี่ยงในการเกิดหนสี้ นิ และความเสี่ยงในการไม่สามารถชาระหนี้ภายในชุมชน
2.2 การวิเคราะหโ์ อกาสหรือข้อจากดั ในการจัดการปัญหาของชุมชนในปัจจบุ นั ว่าควรไดร้ ับการ
สนับสนุนในประเด็นใดเป็นสาคัญหรือการดาเนินแนวทางการพัฒนาชุมชนภายใต้ของจากัดที่มีอยู่ รวมท้ัง
แนวทางการลดข้อจากดั ทม่ี ีอยู่ เป็นตน้
2.3 การวิเคราะห์ความสามารถในการบริหารจัดการชุมชนว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมท้ังมี
กระบวนการหรอื ขนั้ ตอนในการกาหนด ตดิ ตาม และประเมนิ ผลอย่างไรบา้ ง
2.4 การวิเคราะห์ภาพรวมของภาคการเกษตรในพ้ืนที่ โดยสามารถพิจารณาเปน็ หว่ งโซ่ ตั้งแต่
เรอื่ งวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิต การแปรรูป การตลาด รวมท้ังความเส่ยี งทีอ่ าจเกดิ ข้ึน
2.5 การจัดการชุมชนเข้มแข็งตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง โดยพิจารณาว่าภาครัฐต้องมี
การปรับเปล่ียนนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้สอดคล้องกับสภาพพ้ืนท่ีหรือชุมชนเองจะต้องได้รับ
การสนับสนุนในด้านใดบ้าง จึงจะมีศักยภาพด้านการจัดการตามเจตนารมณ์ของภาครัฐ รวมทั้งพิจารณา
ขอ้ จากัดท่เี ปน็ ตวั แปรสาคญั ในการบริหารจดั การชุมชน
3. การศกึ ษาเรียนรนู้ โยบายภาครัฐและผลกระทบตอ่ การพฒั นาของชมุ ชน
วตั ถปุ ระสงค์
เพอื่ เขา้ ใจชมุ ชนในลักษณะทเ่ี ป็นระบบชวี ติ ระบบหนงึ่ ทม่ี ีตัวตน มที ่มี า มเี อกลกั ษณ์ มีทรัพยากร
ทีเ่ ป็นฐานชวี ิต มีความเปน็ พลวตั ร ปรบั ตัว เปลยี่ นแปลง เปลย่ี นผ่านไปตามเงอ่ื นไขปจั จัยต่างๆ ทงั้ ภายในและ
ภายนอกชุมชน บางชว่ งเวลาเรว็ บางชว่ งเวลาช้า มีการสงั่ สมทนุ ปญั ญา ทนุ ทรพั ยากร ทนุ การจดั การ และทนุ
ทางวัฒนธรรมของตนเอง มากน้อยแตกต่างกนั ส่งผลใหม้ คี วามสามารถและความพร้อมในระดบั หนง่ึ ที่จะฟนั
ฝ่าแหวกวา่ ยไปในสายธารท่เี ช่ยี วแรงของโลกาภิวตั นไ์ ดอ้ ยา่ ง เทา่ ทัน พอเพียง และปลอดภยั หรือไม่ อยา่ งไร
ประเดน็ ท่ีศึกษา
3.1 บทบาทของภาครฐั และผลลัพธ์ของการนานโยบายต่าง ๆ ของภาครฐั ไปปฏบิ ัตใิ นพนื้ ท่ี เช่น
นโยบายการจดั การน้าดินป่าการสง่ เสรมิ เกษตร สนิ เช่ือการเกษตร วสิ าหกิจชุมชน การรับจานาขา้ ว การรักษา
สขุ ภาพ การปราบปรามยาเสพติด และข้อเทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ ทีส่ ง่ ผลกระทบต่อชุมชนในพ้นื ท่ี
3.2 ผลลัพธท์ ี่เกิดขึน้ จากนโยบายของภาครฐั กอ่ ให้เกิดการเปลยี่ นแปลงกับวิถชี ีวิตของชาวบ้าน
ภายในชุมชนในเชิงบวกและลบอยา่ งไร
3.3 ระดบั ของการพัฒนาของชุมชนทศ่ี กึ ษาในขณะน้ีอยู่ในระดบั ใด
3.4 สัดสว่ นจานวนของครวั เรอื นทีย่ ากจนในชมุ ชน
4
3.5 ความคิดเห็นและความสามารถของชุมชนในการใช้ประโยชน์จากโครงการกิจกรรมต่างๆ
ภายใต้นโยบายแตล่ ะด้านทีม่ ีการดาเนนิ การในชุมชนเพอ่ื พฒั นาความเปน็ อยู่ของครัวเรอื นทว่ั ไปและครัวเรือน
ท่ยี ากจน
3.6 ความคิดเหน็ ของนักศกึ ษาตอ่ โอกาสและความเสีย่ งของชุมชนและครวั เรือนยากจน
3.7 ประเด็นสาคัญท่ีต้องพัฒนาของชุมชน ทิศทาง แนวคิด แนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสม
และปฏบิ ัตไิ ดจ้ รงิ
การรว่ มคดิ กจิ กรรมการพัฒนากับชุมชน
• ร่วมคดิ กับกลุ่มอาชีพ กลมุ่ การผลติ แปรรูป ชุมชน ครัวเรือนยากจน และคนยากจน
• กิจกรรมควรทาภายใน 3 เดอื น 6 เดือน 1 ปี
• เพือ่ ใหท้ กุ ชีวติ อยู่ดมี ีสขุ ภายใตป้ ญั หาภัยแลง้ ฝนุ่ ควนั ไวรัสโควดิ -19 และเศรษฐกิจฝดื เคือง
การวเิ คราะหค์ วามเสีย่ ง โอกาส จุดแขง็ จุดออ่ นของหมู่บ้านชมุ ชน (SWOT)
ความเสยี่ งของคน ชุมชน ประเทศ
• ทรัพยากรนา้ ดิน ปา่ ไม่ยง่ั ยนื นา้ แลง้ นา้ ทว่ ม ดินอดุ มลดหดหาย
• การผลิต ผลิตภาพตา่ ต้นทุนการผลติ สูงเกินเหตุ
• ตลาด ราคา ท่คี วบคมุ ไมไ่ ด้
• รายไดน้ อ้ ย ไมแ่ น่นอน
• การออมมนี อ้ ย
• ทุนการจดั การไมม่ าก ทนุ สงั คมส่ันคลอน
• คณุ ธรรม ความซอ่ื ตรง เป็นคาถามใหญ่
• ครอบครัวไมอ่ บอนุ่ ใชย้ าเสพตดิ มากขนึ้
• พึ่งพานโยบายและโครงการของภาครัฐ
• กลายเปน็ ชุมชนทมี่ มี ติ กิ ารต่อรองทางการเมอื งสูงในยุคทุนนยิ มโลกาภิวตั น์
การประเมนิ ระดบั การพัฒนาของหมู่บา้ นชุมชน
การประเมนิ ระดบั การพฒั นาของหมูบ่ า้ นชุมชนวา่ อยใู่ นระดบั ใด
• ไม่พออยู่พอกิน Survival หรอื
• พออยพู่ อกิน Sufficiency หรอื
• พึ่งตนเองได้ Sustainability
โดยใช้ขอ้ มูลใน 5 มติ กิ ารพัฒนา (UN’s SDGs) มาประเมนิ ดงั น้ี
• no poverty; zero hunger; decent work and economic growth; good health and
well-being; clean water and sanitation
5
➢ ประเดน็ หวั ขอ้ ของการพัฒนาของชมุ ชน
ให้นกั ศึกษำแตล่ ะกลุ่มควรเลอื กหัวข้อประเด็นของกำรพฒั นำ 1 - 3 หวั ข้อ มาประกอบการร่วมคดิ
รว่ มเรียนรู้กบั คนยำกจนในครัวเรอื นและชมุ ชน ในกำรปอ้ งกนั ควำมเสยี่ ง และแกป้ ญั หากำรพฒั นำ ดังน้ี
1. กำรจัดหำแหล่งนำ้ ใหเ้ พยี งพอทง้ั ปตี ่อกำรทำกำรเกษตรของทุกครัวเรอื นทที่ ำกำรเกษตรในชมุ ชน
2. การจดั ให้มนี ำ้ สะอำดสำหรบั ดม่ื และใชใ้ นครวั เรอื นทีท่ กุ ครวั เรอื นสำมำรถไดร้ ับในรำคำหรือคำ่ ใชจ้ ่ำย
ที่ถกู ลงกว่ำเดิม
3. กำรนำเทคโนโลยสี มัยใหมม่ ำใชใ้ นกำรจัดกำรกำรแบ่งปนั และกำรใช้น้ำอยำ่ งคมุ้ ค่ำคุ้มทุนในพืน้ ท่ีทาการเกษตร
4. กำรทดสอบคุณภำพดินทท่ี ำกำรเพำะปลกู และกำรบำรงุ ดนิ โดยไม่ใชส้ ำรเคมี
5. กำรปรับเปล่ยี นเมลด็ พนั ธห์ุ รอื ชนดิ ของพืชหรอื สัตวเ์ ล้ยี งท่ใี หผ้ ลผลติ มำกข้นึ ใชน้ ้ำนอ้ ยลง มีค่ำใชจ้ ำ่ ย
ทเ่ี ปน็ ตน้ ทนุ ลดลง
6. กำรปรบั กระบวนกำรผลิตกำรเกษตรเพ่อื เพ่มิ คุณค่ำทำงเศรษฐกจิ สงั คม และสิง่ แวดลอ้ ม
7. กำรจดั กำรกำรหำรำยได้ กำรเงินและกำรลงทนุ ของครวั เรอื นและชมุ ชน
8. กำรส่งเสรมิ สุขภำพและกำรเพมิ่ ผลติ ผลของกำรทำงำนของครัวเรอื นและชุมชน
9. กำรจัดกำรป่ำชมุ ชนเพ่อื กำรบริโภคในชมุ ชนและสร้ำงรำยได้
10. กำรเพำะปลูกบนท่ีสงู ลำดชนั ทลี่ ดฝนุ่ ควนั ในอำกำศ
11. กำรสรำ้ งทักษะฝีมอื ใหม่และกำรพัฒนำทกั ษะฝมี อื ใหส้ งู ขึน้ เพอื่ เพมิ่ ผลติ ภำพกำรผลติ
กำรแปรรปู กำรตลำดเพอ่ื เพม่ิ รำยได้และลดตน้ ทนุ ของกลมุ่ กำรผลติ ในชุมชน
12. กำรสรำ้ งทกั ษะใหม่ทจ่ี ำเปน็ ของบุคคลแตล่ ะช่วงวยั ตอ่ กำรดำรงชีวิตอย่ำงมีคณุ คำ่ มคี วำมสขุ
สงบในศตวรรษท่ี 21
13. กำรสรำ้ งทกั ษะใหม่ใหแ้ กห่ มบู่ ำ้ นชมุ ชนชนบทในกำรจัดกำรตนเองในกำรพฒั นำของชมุ ชน
14. กำรลดรำยจำ่ ยในรำยกำรทไ่ี มจ่ ำเป็น ท่คี รัวเรอื นและชุมชนสำมำรถผลิตหรอื จดั ทำเองได้
15. กำรเสรมิ สร้ำงควำมรอบรทู้ ำงกำรเงนิ กำรออม กำรลงทุน
➢ คาถามทีต่ ้องมคี าตอบในรายงานการศกึ ษาของทกุ กล่มุ ปฏิบัติการ
1. ระดับการพฒั นาของหมบู่ า้ น
2. ระบสุ ัดสว่ นจานวนครัวเรอื นท่ไี มพ่ ออยพู่ อกนิ
3. ประเมนิ ความสามารถของชุมชนในการใช้ประโยชนจ์ ากโครงการกิจกรรมตา่ งๆภายใตน้ โยบายแตล่ ะ
ดา้ นท่ีมกี ารดาเนนิ การในชมุ ชนเพื่อพฒั นาความเปน็ อยขู่ องครัวเรือนท่วั ไปและครวั เรือนท่ยี ากจน
4. ประเมนิ โอกาสและความเส่ยี งของชมุ ชนและครัวเรอื นยากจน
5. บทเรยี นทีไ่ ดร้ บั ในดา้ น
- การบริหารการพฒั นาชุมชนทอ้ งถ่นิ
- การบรหิ ารการพฒั นาระดับตาบลและอาเภอ
- ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของการปฏิบัติงานตามนโยบายของรฐั บาล
6. กิจกรรมการพฒั นาร่วมกับชุมชน (เลอื กหวั ขอ้ ประเดน็ ของการพฒั นา 1 - 3 หัวขอ้ )
6
ตารางเวลาการเกบ็ ขอ้ มลู กิจกรรมการเรียนรู้ Action Learning
หลักสตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุน่ ท่ี 77
ประเด็นการศกึ ษา
1. การศกึ ษาเรียนรู้ภูมสิ ังคมและวถิ ชี วี ติ ของชุมชน
2. การศกึ ษาเรยี นรรู้ ะบบการบรหิ ารจัดการชุมชน
3. การศกึ ษาเรยี นรนู้ โยบายภาครัฐและผลกระทบตอ่ การพฒั นาของชมุ ชน
วนั อังคารท่ี 24 สิงหาคม 2564
หวั ข้อ: การเรยี นรภู้ ูมิสังคมและวิถีชีวิตของชุมชน
10.00-11.00 น.
1. ประวตั คิ วามเป็นมา การตั้งถ่นิ ฐาน ชาตพิ นั ธข์ องผอู้ าศยั เหตุการณ์สาคญั ท่ีเกดิ ขึ้นในชุมชนในชว่ งเวลาที่
ผา่ นมา ต้ังแตเ่ ริ่มก่อต้งั ชมุ ชน
2. วิถีชีวติ ความเปน็ อยู่ การใช้ชีวิต การจดั การชีวติ และครอบครัวของผู้คนแตล่ ะกล่มุ
3. ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนในด้านการผลิต การประกอบอาชีพ การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ
การรักษาพยาบาล การศาสนา การสรา้ งความสงบทางจติ ใจ และการจัดการกิจการสาธารณะต่าง ๆ
เพือ่ เสรมิ สร้างความอยดู่ มี สี ขุ ของผูค้ นในและระหวา่ งชุมชน
13.30-14.30 น.
1. ลกั ษณะทางชวี ภาพและกายภาพของชมุ ชน ทรัพยากรและปจั จัยต่าง ๆ ที่เป็นฐานชีวติ ใหแ้ ก่ชมุ ชนที่ เช่น
แหลง่ นา้ การจัดการชลประทาน สภาพความสมบรู ณข์ องดนิ ลกั ษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และระบบ
นเิ วศน์ของพ้ืนท่ี
15.30-16.30 น.
1. การเปลีย่ นแปลงที่เกดิ ขน้ึ ในชมุ ชนอันเกิดจากแรงกดดันจากปจั จยั ภายนอกท่สี าคัญ คือ บทบาทรฐั ใน
การพฒั นาชนบท และพลงั ของเศรษฐกจิ ระบบตลาดเสรี เช่น การสง่ เสริมการปลูกพืชเศรษฐกจิ การ
สง่ เสรมิ การใช้เทคโนโลยกี ารผลิตสมยั ใหมต่ ามนโยบายรฐั บาล การเขา้ มาของระบบเงนิ ตราและระบบทุน
ระบบสินเชอ่ื การสง่ เสรมิ วสิ าหกจิ ในชุมชน และการผลติ สนิ คา้ เกษตรอุตสาหกรรมตามความต้องการของ
ตลาด เปน็ ต้น
วันพธุ ท่ี 25 สิงหาคม 2564
หัวข้อ: การเรียนรรู้ ะบบการบรหิ ารจัดการชมุ ชน
09.30-10.30 น.
1. ศกึ ษากฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คับของภาครฐั ในการกาหนดโครงสรา้ งและการบริหารงานของกลมุ่ องค์กร
ของประชาชนในการประกอบอาชพี ภายในชมุ ชน ระบบการบริหารจดั การเงนิ ทนุ ระบบการผลติ เชงิ
เกษตรกรรมหรอื อุตสาหกรรมที่เกดิ ขึ้นภายในชมุ ชน รวมทงั้ ปจั จัยความเสี่ยงในการเกดิ หนส้ี ิน และความ
เสี่ยงในการไมส่ ามารถชาระหนภี้ ายในชุมชน
7
11.00-12.00 น.
2. วิเคราะหโ์ อกาสหรอื ข้อจากดั ในการจัดการปญั หาของชมุ ชนในปจั จบุ นั วา่ ควรได้รบั การสนบั สนนุ ใน
ประเดน็ ใดเปน็ สาคญั หรือการดาเนนิ แนวทางการพฒั นาชุมชนภายใต้ของจากัดทีม่ อี ยู่ รวมท้งั แนวทาง
การลดขอ้ จากดั ทมี่ ีอยู่
13.30-14.30 น.
3. การวเิ คราะห์ความสามารถในการบรหิ ารจดั การชุมชนวา่ มมี ากนอ้ ย เพียงใด รวมทั้งมีกระบวนการหรือ
ข้นั ตอนในการกาหนด ติดตาม และประเมนิ ผลอยา่ งไรบา้ ง
15.30-16.30 น.
4. การวิเคราะหภ์ าพรวมของภาคการเกษตรในพ้ืนที่ โดยสามารถพิจารณาเป็นห่วงโซ่ ตั้งแตเ่ รอ่ื งวัตถดุ บิ
ปจั จัยการผลติ การแปรรปู การตลาด รวมทงั้ ความเสีย่ งทอ่ี าจเกิดขึน้
วันพฤหัสบดที ่ี 26 สิงหาคม 2564
หวั ข้อ: การเรียนรู้นโยบายภาครัฐและผลกระทบต่อการพฒั นาของชุมชน
09.30-10.30 น.
1. การจดั การชมุ ชนเข้มแข็งตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง ใหพ้ ิจารณาว่าภาครฐั ต้องมีการปรับเปลีย่ น
นโยบายหรือแนวทางปฏบิ ตั ิอยา่ งไรใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพพน้ื ท่หี รือชุมชนเองจะต้องไดร้ บั การสนบั สนนุ ใน
ด้านใดบ้าง จงึ จะมีศกั ยภาพดา้ นการจดั การตามเจตนารมณข์ องภาครฐั รวมทงั้ พิจารณาขอ้ จากดั ทีเ่ ปน็
ตัวแปรสาคัญในการบรหิ ารจดั การชมุ ชน
11.00-12.00 น.
2. บทบาทของภาครัฐ และผลลัพธ์ของการนานโยบายตา่ ง ๆ ของภาครัฐไปปฏบิ ตั ิในพืน้ ท่ี เชน่ นโยบาย
การจัดการ น้า ดิน ปา่ การสง่ เสรมิ เกษตร สินเช่อื การเกษตร วิสาหกิจชมุ ชน การรบั จานาข้าว การรักษา
สขุ ภาพ การปราบปรามยาเสพตดิ และข้อเทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ ทส่ี ่งผลกระทบตอ่ ชมุ ชนในพ้นื ท่ี
13.30-14.30 น.
3. ผลลัพธ์ทเ่ี กิดขนึ้ จากนโยบายของภาครฐั กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงกบั วถิ ีชีวิตของชาวบา้ นภายในชมุ ชนใน
เชงิ บวก และลบอย่างไร
15.30-16.30 น.
4. ผลลพั ธท์ ี่เกิดขน้ึ จากนโยบายของภาครฐั กอ่ ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงกบั วิถีชวี ิตของชาวบา้ นภายในชุมชนใน
เชงิ บวก และลบอยา่ งไร
วนั ศกุ ร์ท่ี 27 สิงหาคม 2564
คาถามทีต่ อ้ งมีคาตอบในรายงานการศกึ ษาของทกุ กลุม่ ปฏบิ ตั กิ าร
09.30-10.30 น.
1. ระดบั ของการพฒั นาของชมุ ชนที่ศึกษาในขณะนอี้ ยู่ในระดับใด (ประเมนิ โดยใช้ข้อมลู จปฐ.และอนิ่ ๆ ตาม
เกณฑ์ตัวช้ีวัดทีเ่ สนอในสไลดบ์ รรยายของอาจารย์ชาตชิ าย ประกอบกบั การสนทนากบั ผนู้ ากลมุ่ ตา่ ง ๆ ใน
หมูบ่ า้ น)
8
11.00-12.00 น.
2. ระบสุ ัดสว่ นจานวนของครวั เรอื นที่ยากจนในชมุ ชน
3. ประเมนิ ความสามารถของชมุ ชนในการใชป้ ระโยชนจ์ ากโครงการกจิ กรรมตา่ งๆภายใตน้ โยบายแต่ละด้านที่
มีการดาเนินการในชมุ ชนเพ่อื พฒั นาความเปน็ อย่ขู องครวั เรือนทั่วไปและครวั เรือนทีย่ ากจน
13.30-14.30 น.
1. นกั ศกึ ษาประเมนิ โอกาสและความเสีย่ งของชุมชนและครวั เรือนยากจน
15.30-16.30 น.
1. นักศกึ ษานาเสนอต่อผ้นู าหมบู่ ้านและผนู้ ากลมุ่ อาชพี กลมุ่ สังคมในหมบู่ ้านถงึ ประเด็นปญั หาสาคญั ท่ีแทจ้ รงิ
ของหมบู่ ้านท่ีชมุ ชนควรนามาเรียนรู้รว่ มกนั และนักศกึ ษาเสนอแนะ ทศิ ทาง แนวคิด แนวทางในการพัฒนา
หมูบ่ ้านทเ่ี หมาะสมและปฏิบัตไิ ดจ้ รงิ
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2564
09.00-12.00 น.
- การเสนอรายงานการเรยี นรู้ดว้ ยประสบการณต์ รงจากการปฏิบัตงิ าน (Action Learning)
ของนักศึกษาแต่ละกลมุ่ ปฏบิ ตั ิการ (กลุ่มละ 15 นาที ใชส้ ไลด์ประมาณ 10 แผ่น)
การทากจิ กรรมการเรยี นร้ดู ้วยประสบการณต์ รงจากการปฏบิ ตั งิ าน (Action Learning)
ในแบบออนไลนข์ องหลกั สตู รนปส. รนุ่ ท่ี 77
ข้ันตอนและวธิ กี าร ดังน้ี
1. การทากิจกรรมการเรียนรดู้ ว้ ยประสบการณ์ตรงจากการปฏบิ ัตงิ าน เรมิ่ วันท่ี 24-28 สิงหาคม 2564
2. ขอใหแ้ ต่ละ กป. (กป.12 กลมุ่ ทีจ่ ัดไวต้ ัง้ แต่เรม่ิ หลักสตู ร) เลอื ก 1 หม่บู ้านที่อย่ใู น 1 อาเภอท่สี มาชกิ แต่ละ
กป. เป็นนายอาเภอ มาศึกษา
3. สมาชิกแตล่ ะกป. ชว่ ยกนั เก็บข้อมูลหมูบ่ ้านโดยใชร้ ะบบ ZOOM พูดคุยสมั ภาษณ์ผูน้ ากลมุ่ ตา่ ง ๆ ในหม่บู า้ น
และเกบ็ ข้อมลู จากเอกสาร โดยนายอาเภอเจา้ ของพ้นื ท่ีทีเ่ ป็นสมาชกิ ของแตล่ ะ กป. ชว่ ยเป็นผเู้ ชิญชาวบา้ น
เข้ารว่ มใหส้ ัมภาษณแ์ สดงความคิดเหน็ และรวบรวมข้อมูลเอกสาร ตามตารางวัน และเวลาในการรวบรวม
ขอ้ มูลต่าง ๆ ท่กี าหนดระหวา่ งวนั ท่ี 24-27 สิงหาคม 2564
4. นกั ศักษาทุกกป.นาเสนอผลการศกึ ษาในรูปของ ppt ในเช้าวันเสาร์ที่ 28 สงิ หาคม 2564
5. จะจัดให้มีอาจารย์ทีป่ รึกษาคอยตอบคาถามและใหค้ าปรึกษา ตดิ ตามการทางานของทุกกป.ผ่านระบบ
ZOOM ในเวลา 19.00-21.00 น. ของวันท่ี 24-27 สิงหาคม 2564 และอาจารย์ทีป่ รกึ ษาอาจเขา้ ไป
สังเกตการณใ์ นหอ้ งยอ่ ยของ ZOOM ทัง้ 12 หอ้ งย่อย ในระหว่างที่นกั ศึกษาแต่ละกป. ทาการสัมภาษณ์
ผูน้ าและประชาชนกลุต่ า่ งๆในหม่บู า้ นทีศ่ ึกษา
9
บทสรปุ จากคณะอาจารยท์ ี่ปรกึ ษาหลักสตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ที่ 77
นายพนิ ยั อนันตพงศ์ (อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาหลกั สูตร)
กิจกรรมการเรยี นรดู้ ว้ ยประสบการณต์ รงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning) ซง่ึ เป็นสว่ นหนง่ึ
ของหลักสตู รนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 77 ได้กาหนดใหน้ ักศึกษาลงไปเรยี นรแู้ ละทาความเข้าใจกับ
ชมุ ชนทอ้ งถ่ินระดับหมบู่ ้าน และแนวโน้มของบรบิ ททางการเมือง เศรษฐกิจ สงั คม เทคโนโลยี และสง่ิ แวดล้อม
ท่ีเปล่ียนแปลงไป เพื่อปรับตัวเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตลอดจนใช้
ประสบการณ์ในการทางานคิดและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาหมู่บ้านคู่ขนานไปกับการมีส่วนร่วมของ
ชาวบ้านในพื้นท่ี โดยนาหลักการพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี 9 มายึดถือปฏิบัติและประยุกต์ใช้ แต่เนื่องจากระยะเวลาการศึกษาอยู่ในช่วงการระบาดของไวรสั
โควิด-19 อยา่ งรุนแรง จึงจาเป็นต้องปรบั ขั้นตอนและวธิ กี ารแตกต่างไปจากนปส.ร่นุ กอ่ น ๆ ท่ีผา่ นมา
กิจกรรมการเรียนรู้ฯ ดาเนินการในช่วงวันท่ี 24 - 28 สิงหาคม 2564 โดยแต่ละกป.จะเลือก
1 หม่บู า้ นของอาเภอท่สี มาชิกในแต่ละกป.เปน็ นายอาเภอมาเป็นพ้นื ท่ใี นการศึกษา ซ่ึงแตกต่างจากเดมิ ท่ีทาง
ผู้บริหารหลักสูตรจะเลือกหมู่บ้านให้และอยู่ในจังหวัดเดียวกันทุกกป. จากผลของการเลือกหมู่บ้านของ
แต่ละกป.คร้ังน้ี ปรากฏว่ามีพื้นท่ีการศึกษากระจายไปทั่วประเทศ โดยอยู่ในภาคเหนือ 2 หมู่บ้าน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 หมู่บ้าน ภาคกลาง 1 หมูบ่ ้าน ภาคตะวันออก 2 หม่บู า้ น และภาคใต้ 1 หมบู่ ้าน
นอกจากน้ันยังใช้วิธีการเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ โดยใช้ระบบ ZOOM พูดคุยสัมภาษณ์ผู้นากลุ่มต่าง ๆ ใน
หม่บู า้ นและเก็บข้อมูลจากเอกสาร แทนการลงพื้นทจ่ี รงิ
จากการติดตามการทางานของกป.ต่าง ๆ ในฐานะอาจารย์ท่ีปรึกษา และการรับฟังการเสนอ
รายงานเมื่อวันเสาร์ท่ี 28 สิงหาคม 2564 ได้สะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านระดับรากหญ้าของ
ประเทศในบางพื้นท่ีอย่างค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะโอกาสและความเส่ียงที่หมู่บ้านประสบอยู่ในปัจจุบัน
ตลอดจนผลกระทบจากการนานโยบายของรัฐลงไปปฏิบัติจัดทาในพ้ืนท่ีในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งขอสรุปใน
ภาพรวมพร้อมทัง้ ข้อสงั เกต ดังนี้
1. หม่บู ้านส่วนใหญเ่ ปน็ ชุมชนเก่าแก่ที่ต้ังบ้านเรือนมานาน มที นุ ทางสงั คมและวัฒนธรรม มผี ู้นา
ทีเ่ ข้มแขง็ มีปราชญช์ าวบ้านและภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน ชาวบ้านมคี วามสามคั คี ซึ่งต้นทุนดังกล่าวมบี ทบาทช่วยทา
ให้หมู่บ้านมคี วามเข้มแข็ง พ่ึงตนเองได้ ดังปรากฏว่าทกุ หมู่บ้านแทบจะไม่มีครัวเรือนที่ตกเกณฑ์ จปฐ. และมี
หลายหมู่บ้านท่ีได้รบั รางวัลการพัฒนาของหนว่ ยราชการตา่ ง ๆ
2. อาชีพหลกั ของชาวบ้านคอื เกษตรกรรม ในจานวน 12 หมูบ่ า้ นท่ที าการศึกษา มเี พยี งบ้านป่า
เป้า ตาบลทรายมูล อาเภอสันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพียงหมู่บ้านเดียวที่ชาวบ้าน 76% ประกอบอาชพี
รับจ้าง มีประกอบอาชีพเกษตรกรเพียงไม่ถึง 10% และต้องอาศัยพ่ึงพารายได้จากภายนอก เกษตรกรใน
หมบู่ ้านทศ่ี กึ ษาคร้งั น้ีส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพการทานาเปน็ หลกั และมีการปลูกพืชสวน พืชไร่ และเลี้ยงสตั วใ์ น
บางพน้ื ทดี่ ้วย สาหรบั หม่บู า้ นทีไ่ ม่ได้ทานาเปน็ หลกั คอื หม่บู ้านวงั นกไข่ ตาบลหนองนกไข่ อาเภอกระท่มุ แบน
จงั หวัดสมุทรสาคร ท่ีทาการเกษตรแบบร่องสวน ปลกู ชมพู่ มะมว่ ง ฝรง่ั มะนาว มะพรา้ ว แก้วมังกร กลว้ ยไม้
และหมู่บ้านตะเคียนทอง ตาบลตะเคียนทอง อาเภอเขาคซิ ฌกฎู จังหวดั จนั ทบุรี ท่ที าสวนผลไมช้ นดิ ต่าง ๆ
3. ชาวบา้ นทีท่ าการเกษตรยังคงใช้วิธกี ารผลิตแบบดง้ั เดิม การปลกู พชื เชงิ เดี่ยว การเพิม่ ผลผลติ
ด้วยวิธขี ยายพ้ืนท่เี พาะปลกู การใช้สารเคมที งั้ ปุย๋ และยาฆา่ แมลงทที่ าใหต้ น้ ทุนการผลิตสงู และเป็นอนั ตรายต่อ
สุขภาพ รวมทั้งการพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก ซ่ึงปัญหาคลาสสิกที่ชาวบ้านสะท้อนออกมา คือ ปัญหาขาด
แคลนน้าในการเพาะปลูก ผลผลติ ต่อไร่ตา่ และราคาผลผลิตตกต่า ดังนั้นการยกระดับรายได้จงึ ต้องปรับปรุง
10
แกไ้ ขระบบการผลิตทั้งระบบ โดยอาจนา “หว่ งโซ่คณุ คา่ ” (Value Chain) มาเปน็ เคร่ืองมือในการคดิ ปรับปรุง
ตั้งแต่ต้นน้าถึงปลายน้า กล่าวคือ ต้องแก้ปัญหาเชิงระบบมากกว่าแก้ปัญหาเชิงปรากฎการณ์ ซ่ึงเป็น
การแก้ปัญหาที่ไมย่ งั่ ยนื
4. หมูบ่ ้านส่วนใหญม่ ีปัญหาเรอื่ งน้า ซ่งึ เปน็ ปัจจยั การผลติ สาคญั ในการเกษตร คือ การขาดแคลนนา้
ในบางพนื้ ท่ีมที ้งั ปญั หาฝนแลง้ และน้าท่วม รวมทัง้ มปี ัญหาขาดน้าสะอาดในการอุปโภคและบรโิ ภค ซง่ึ มหี ลาย
หมู่บ้านที่ต้องซ้ือน้าบริโภคในครวั เรอื น ปัญหาเรื่องนา้ เกษตรนอกจากระบบชลประทานไม่ท่ัวถงึ แล้ว ในบาง
พื้นที่มีสาเหตุมาจากการขยายพ้ืนท่ีเพาะปลูกไปในที่ดอน ดังน้ันถึงแม้จะอยู่ใกล้แหล่งน้าแต่ต้องลงทุนสงู ใน
การนาน้ามาใช้ในพื้นท่ีเพาะปลูก เช่น ท่ีหมู่บ้านห้วยแมง ตาบลน้าไคร้ อาเภอน้าปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
การไม่ปรับปรุงคุณภาพการผลติ แตใ่ ช้วธิ ขี ยายพ้นื ที่เพาะปลกู เพือ่ เพ่ิมผลผลิตแทน ยังทาใหเ้ กิดปญั หาตามมา
คือ การบุกรุกป่าสงวน ทาให้ไมม่ เี อกสารสิทธใ์ิ นท่ีทากิน และเมอ่ื ขยายพ้ืนท่ีไม่ได้กเ็ กดิ การอพยพไปหางานทา
นอกพ้นื ท่ี ตามมาด้วยปัญหาขาดแรงงานและขาดคนหน่มุ สาวในพ้ืนท่ี ส้าหรับการแก้ปัญหาเร่ืองน้าเพื่อ
การเกษตร ต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูงและต้องรองบประมาณของทางราชการเป็นเวลานาน แต่บางพ้ืนท่ี
ท่ีมีแหล่งน้าตื้นเขินอาจใช้วิธีการขุดดนิ แลกน้า ตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีการเก่ียวกบั การขุด
ลอกแหลง่ น้าสาธารณประโยชน์ท่ีต้ืนเขนิ พ.ศ.2547 ซึ่งจะทาให้สามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้นและไมต่ อ้ งใช้
งบประมาณของทางราชการ
5. ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุกพื้นที่ต่างได้รับผลกระทบทั่วท้ังประเทศ แต่เราได้
พบว่า ผู้ประกอบอาชีพทางการเกษตรแม้จะได้รับผลกระทบ แต่ยังคงอยู่ได้และยังสามารถเล้ียงดูผู้ท่ีได้รับ
ผลกระทบจากอาชีพอืน่ ทีก่ ลบั สู่หม่บู า้ นไดด้ ้วย กรณีหมู่บ้านป่าเปา้ ตาบลทรายมูล อาเภอสันกาแพง จังหวดั
เชียงใหม่ ซึ่งในช่วงนี้ไดร้ ับกระทบอย่างหนัก เพราะถูกเลิกจ้างไม่มีงานทา ดังนั้น ทาอย่างไรจงึ จะแปลงวิกฤติ
ให้เปน็ โอกาสโดยอาศยั ประสบการณอ์ ันหลากหลายของคนทเี่ คยทางานนอกพนื้ ทม่ี าชว่ ยกนั คดิ พัฒนาสรา้ งงาน
ในหม่บู า้ น โดยอาศัยการพึง่ พาภายนอกให้น้อยลงมีความมัน่ คงมากขึ้นในอนาคต
6. เมื่อพิจารณาในประเด็นการปฏิบัติงานตามนโยบายของรฐั บาล พบว่า มีทั้งประสบผลสาเร็จ
และความลม้ เหลว ตัวอยา่ งกรณนี โยบายบัตรสวสั ดิการแหง่ รฐั ท่ีเพ่ิงดาเนนิ การเมื่อเรว็ ๆ นี้ ปรากฏวา่ ในทาง
ปฏิบตั ผิ ไู้ ด้รับประโยชนไ์ มต่ รงกบั กลมุ่ เปา้ หมายตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เพราะผูท้ ไ่ี ดร้ ับไม่ไดเ้ ปน็ คนจน
อย่างแท้จริง และคนจนท่แี ท้จรงิ กลับไม่ไดร้ ับ รวมท้ังได้พบว่า มีบางนโยบายท่ีไม่สอดคล้องกับความตอ้ งการ
ของประชาชน ดงั นั้นเม่อื ระยะเวลาผา่ นไปการดาเนินตามนโยบายดังกล่าวจะค่อย ๆ หย่อนยานลงและถกู ละ
ทิ้งหายไปในท่ีสุด ในการศึกษาครั้งนี้ได้พบโครงการขนาดใหญ่ตามนโยบายของรัฐท่ีลงไปดาเนินการในพ้นื ท่ี
และสร้างผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของชาวบา้ น คือ การพัฒนาเขตเศรษฐกจิ พิเศษในพื้นทหี่ มู่บา้ น
ห้วงบอน ตาบลไมร้ ดู อาเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยรัฐบาลได้นาพืน้ ที่สาธารณประโยชนท์ ี่เปน็ ป่าชมุ ชน
และทเ่ี ลยี้ งสัตว์ ซ่งึ ประชาชนใชป้ ระโยชน์รว่ มกนั ไปทาเป็นพืน้ ท่เี ขตเศรษฐกจิ พิเศษ ทาให้ชาวบา้ นไมม่ ีทีเ่ ลี้ยง
สัตว์ ไม่สามารถตัดไม้ที่ปลูกเอาไว้ได้ และไม่สามารถใช้เส้นทางสาธารณะในการสัญจรไปมาได้ อีกทั้งต้อง
เตรยี มปรบั ตวั รับผลกระทบอนื่ ๆท่ีจะตามมาเม่อื เริม่ ดาเนนิ โครงการ
7. ในการนานโยบายของรัฐมาปฏิบัติจัดทาในพ้ืนท่ี มีตัวอย่างท่ีดีจากหมู่บ้านวังนกไข่ ตาบล
หนองนกไข่ อาเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร คือการปฏิเสธโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตร
สมัยใหมแ่ ละเช่อื มโยงตลาด เน่ืองจากทางหมู่บ้านไดจ้ ัดต้งั กลมุ่ เกษตรกรฝรงั่ แปลงใหญ่ ทมี่ ีความเขม้ แข็งระดบั
หน่ึงอยู่แลว้ ด้วยหลักคิดของผนู้ าชุมชนทีอ่ ยากใหม้ ีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นคอ่ ยไป เพราะยังขาดองคค์ วามรู้
ทักษะการบริหารและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และยังไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหญ่ เช่นเดียวกับหมู่บ้านโคก
สะอาด ตาบลอุ่มจาน อาเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ท่ีเน้นการพัฒนาโดยการพ่ึงพาตนเอง และเห็นว่า
11
ภาครัฐควรกาหนดนโยบายที่เกิดจากความต้องการของหมู่บ้านหรือเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงเท่านั้น จงึ จะ
ไดร้ บั การสนบั สนุนและนามาปฏบิ ัตจิ ดั ทาในหมูบ่ ้าน ทง้ั สองกรณขี า้ งต้นเกดิ จากความเข้มแข็งของชมุ ชนที่คิด
เปน็ ทาเป็น และแก้ปัญหาเปน็ รู้จกั เลือกรับนโยบายท่ีเหมาะสมกับความสามารถของชมุ ชนมาปฏบิ ัติจดั ทาใน
หมู่บ้าน
8. ในหมู่บ้านที่ชาวบ้านมีอาชีพและรายได้ที่ม่ันคงอยู่ในปัจจุบัน มีคาถามว่าจะมีความยั่งยืน
เพียงใด อย่างเช่น กรณีผู้ท่ีประกอบอาชีพการเกษตรทหี่ ม่บู ้านวังนกไข่ เพราะเป็นหมู่บ้านในเขตกึ่งเมืองกง่ึ
ชนบท ซึ่งในอนาคตอาจจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของสังคมเมืองและการพัฒนาอุตสาหกรรม แม้ตาม
กฎกระทรวงผังเมืองรวมเมืองกระทุ่มแบน พ.ศ.2562 จะกาหนดไว้ว่าหมู่บ้านวังนกไข่เป็นที่ดินประเภท
อนุรกั ษช์ นบทและเกษตรกรรม แตป่ ระเภทท่ดี นิ ตามผังเมืองเป็นสง่ิ ทีเ่ ปลี่ยนแปลงได้ กรณหี มู่บา้ นหม่บู า้ นโคก
สะอาด ที่มีช่ือเสียงในการผลิตและรักษาพันธุ์ข้าว แต่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่(โรงงานน้าตาล)ตัง้ อยู่
ใกลห้ มบู่ ้าน แม้วา่ ปจั จบุ นั จะมผี ู้ปลูกอ้อยอยบู่ ้างเพียงเลก็ นอ้ ย แตถ่ ้าในอนาคตชุมชนสนใจหันมาปลกู ออ้ ยมาก
ข้ึน ก็อาจส่งผลกระทบตอ่ อาชีพในปจั จุบัน รวมท้ังกระทบต่อธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมได้ เร่ืองเหล่าน้ตี อ้ งมี
การเตรยี มตวั ปอ้ งกนั และบรหิ ารความเสีย่ งเอาไว้ล่วงหน้า
9. จากการศึกษาคร้ังน้ียังพบปัญหาดั้งเดิม คือ การทางานของภาครัฐในพ้ืนที่ท่ีมีลักษณะเป็น
การทางานแบบแยกส่วน ขาดการบูรณาการ และไม่ยึดโยงกับชาวบา้ น ส่วนใหญ่จะเป็นการทางานจากเบื้อง
บนลงสูเ่ บอ้ื งลา่ งมากกวา่ จะยึดปัญหาและความต้องการของพื้นที่เป็นหลัก
หวังว่าผลการศึกษาท่ีได้รวบรวมขึ้นเป็นเล่มนี้จะเป็นประโยชน์สาหรับผู้ท่ีมีหน้าท่ีเก่ียวข้องกับ
การบริหารและการพัฒนาพ้ืนท่ีในราชการบริหารส่วนภูมิภาค และหวังว่านักศึกษาหลักสูตรนปส.รุ่นท่ี 77
ทกุ คน จะได้นาประสบการณ์และบทเรยี นทีไ่ ดร้ บั จากการศึกษาในพนื้ ที่คร้งั นี้ ไปประยุกต์ใช้ใหเ้ ป็นประโยชนใ์ น
การบริหารราชการใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลมากขึน้ ในอนาคต
นายปรญิ ญา อดุ มทรพั ย์ (อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาหลักสตู ร)
รัฐต้องเรง่ ฟื้นฟูหมู่บ้านปลี ะ 5,000 แห่ง
ประเทศไทยถงึ จะเขม้ แขง็ ได้
เพราะหมู่บา้ นหกหม่ืนกว่าแหง่ คอื ประเทศท่ีแท้จรงิ และขณะนก้ี ็ยังกลา่ วได้ว่า หม่บู ้านสว่ นใหญ่
อยใู่ นสภาพไมด่ ีพอ โดยเฉพาะเมื่อเกิดโควิด-19 หมบู่ ้านไม่พร้อมรบั ลูกหลานกลับบ้านไปอยอู่ าศยั ทามาหากิน
และร่วมพฒั นาให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดีกว่าดงั ความฝันเม่ือพวกเขาตอ้ งไปสู้ชีวิตในเมอื งใหญน่ านนับสิบปี รัฐบาล
ไทยจากปจั จุบันถึงอนาคตอีกไมน่ ้อยกว่า 10 ปี (2566 – 2576) ครบ 100 ปปี ระชาธปิ ไตย ควรเร่งพัฒนา
แบบมสี ว่ นร่วมกบั ประชาชน โดยจดั งบประมาณอดุ หนนุ หม่บู ้านละ 5 ล้าน จานวนปีละ 5 พันแห่งก็จะใช้เงิน
เพยี งปลี ะ 25000 ลา้ นบาท
การเรียนรดู้ ้วยประสบการณ์ตรงจากการปฏิบตั ิงาน (Action Learning) ตามโครงการหลกั สตู ร
นปส. รุ่นท่ี 77 กระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันท่ี 24 – 28 สิงหาคม 2564 ครั้งนี้ได้ทาในแบบออนไลน์
เพ่ือให้สอดคลอ้ งกับผลกระทบจากโควดิ -19 ซง่ึ อาจารย์ท่ปี รกึ ษาเข้าร่วมกจิ กรรมกับ นปส. ทั้ง 12 กลมุ่ เกอื บ
ทุกข้ันตอน จึงขอเสนอแนะ ให้หน่วยงานเกี่ยวข้องโดยตรง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร) สานกั งบประมาณ
12
และสานักงาน๕ณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดินช่วยสนับสนุนการพฒั นาหมบู่ ้านเปน็ พิเศษตามอานาจหน้าท่ี
แบบบรู ณาการโดยใหห้ มูบ่ ้านเป็นศูนย์กลางการพฒั นา เชน่
1) ชวี ิตความเป็นอยูข่ องชาวบ้านทุกวันนี้ยังคงพึง่ พาธรรมชาติอย่างมาก เช่น แห่งนา้ ป่าไม้ ภเู ขา
ดิน พืช สัตว์ ทรพั ยากรใตด้ ิน อากาศ แสงแดด ลม เป็นตน้ ทางราชการควรทบทวนการช่วยเหลือชาวบ้านทาง
วิชาการให้ชัดเจนมากพอที่ชาวบ้านจะใช้ดารงชีพได้ดว้ ยตนเองในการอยู่รว่ มกับธรรมชาติ เช่น ภาวะน้าแลง้
น้าทว่ ม
2) ชาวบ้านในปัจจุบันต้ังแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน เมืองเล็ก เมืองใหญ่ มีความรู้
ความสามารถมากพอที่จะจัดการตนเองการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจาวัน เรียกว่าพ่ึงตนเองได้พอสมควร
ถ้าไมถ่ กู ขดั ขวางโดยสภาพธรรมชาติ (ตามขอ้ 1) หรอื นโยบายกฎหมายของรฐั (ตามข้อ 3)
3) นโยบายภาครฐั นับวนั ยงิ่ มากขึน้ จากการแผอ่ านาจรัฐขยายไปถึงพื้นทท่ี ่ัวประเทศและถงึ ตัวคน
ทุกเพศทุกวัย 70 ล้าน (ดูข้อมูล กพร) ซ่ึงรัฐควรทบทวนการใช้นโยบายให้มีผลกระทบทางบวก/ ดีต่อ
ประชาชน ชาวบ้านมากกว่าโดยเฉพาะในระดับตัวบคุ คล ครอบครวั และชมุ ชน
4) ชาวบ้านซ่ึงมีรายได้น้อยหรอื เป็นคน “ชายขอบ” ในลักษณะต่าง ๆ ได้รับการดูแลช่วยเหลอื
จากรัฐไม่มากพอ รัฐควรบูรณาการทุกกระทรวงไปดูแล อาจตั้งเป็นสานักงานคณะกรรมการจดั รัฐสวัสดิการ
แห่งชาติให้กระทรวงพัฒนาสังคมเปน็ เลขานุการ ลดความซ้าซ้อนการทางานภาครัฐอย่างทกุ วันนี้ เขียนเปน็
รูปแนวทางฟื้นฟูหมูบ่ า้ น
แนวทางฟ้ืนฟหู มู่บา้ น 4 รปู แบบ
1) ชาวบา้ นพ่ึงพาธรรมชาติ 2) ชาวบ้านสามารถจดั การตนเองไดค้ ่อนขา้ งดี
(ทุกหมบู่ า้ นท่ีเรียนรู)้ (หมู่บา้ นสว่ นใหญ)่
3) นโยบายรัฐสง่ ผลกระทบตอ่ ชาวบ้าน 4) จดั รัฐสวสั ดิการเฉพาะชาวบ้านบางกล่มุ
ขอยกตัวอย่างหมู่บา้ น ท่ีมลี ักษณะใกลเ้ คียงกบั แนวทางฟ้ืนฟูหมู่บ้าน 4 รปู แบบทีไ่ ด้เรยี นรู้ในครั้งนี้ เชน่
๑. หมู่บา้ นพง่ึ พาธรรมชาติ ได้แก่ ทกุ หมบู่ ้านที่ไปเรยี นรู้
๒. ชาวบ้านสามารถจดั การตนเองไดค้ อ่ นข้างดีอย่างนอ้ ย 7 หมู่บา้ น ได้แก่
2.1) กป.1 บา้ นโหนดหมู่ ม.9 ต.หารเทา อ.ปากพะยนู จ.พทั ลุง มีกลมุ่ ออมทรพั ย์ ซื้อที่เปน็ ของ
กลางหม่บู า้ นทาธุรกิจส่วนรวมของหมบู่ า้ น
2.2) กป.2 บ้านวังนกไข่ ม.8 ต.หนองนกไข่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร รับจ้างในโรงงานมี
รายไดป้ ระจาวนั สรา้ ง community Isolation Covid-19 แหง่ แรกๆ
2.3) กป.5 บ้านโคกสะอาด ม.4 ต.อุ่มจาน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร อยู่ใกลโ้ รงงานน้าตาลใหญ่
แตช่ าวบ้านไมป่ ลูกออ้ ยสง่ โรงงาน กลบทาพันธุ์ข้าว แปรรูป
2.4) กป.6 บา้ นเหล่าใหญ่ ม.3 ต.มว่ ง อ.มหาชนะชยั จ.ยโสธร ชาวบา้ นด้นิ รนแปรรูปผลิตภัณฑ์
ปลารา้ ถ่ัวลสิ ง สมนุ ไพร (ลุ่มนา้ ชี)
2.5) กป.7 บา้ นตะเคยี นทอง ม.5 ต.ตะเคยี นทอง อ.เขาคิชกูฏ จ.จนั ทบุรี คนไทยเชอื้ สายชอง ทา
สวนทุเรียน... ราคาสูง รายได้ดี
2.6) กป.10 บ้านแสงบรู พา ม.11 ต.หนองออ้ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ชุมชน90ปี (2476)
ไปทางานเกาหลี เล้ยี งวัวนม รว่ มทาโครงการปิดทองหลังพระ
13
2.7) กป.12 บ้านป่าเปา้ ม.3 ต.ทรายมูล อ.สันกาแพง จ.เชียงใหม่ เลี้ยงผงึ้ สง่ ตลาดทว่ั ประเทศ
หมบู่ า้ นอายุกว่า 300 ปี ติดลาน้าแม่ออน
๓. นโยบายภาครฐั ส่งผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่
3.1) กป.3 บ้านห้วงบอน ม.5 ต.ไม้รูด อ.คลองใหญ่ จ.ตราด พ้นื ท่ีเพียง 3.8 ตร.กม. อยรู่ ิมทะเล
ชายแดนกัมพูชา ถูกนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
3.2) กป.4 บา้ นห้วยแมง ม.3 ต.น้าไคร้ อ.นา้ ปาด จ.อุตรดติ ถ์ ใกล้คลองตรอน ลอ่ งแกง่ ได้ อยู่ใน
เขตอทุ ยานแหง่ ชาติ ทดี่ ิน สปก. กินยาก
3.3) กป.8 บ้านแก้งขอ ม.6 ต.พรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ..อุบลราชธานี ชักน้าขึ้นไปใช้ลาบาก
เพราะพน้ื ท่ีสูง คดิ ว่าจะทาสูบน้าพลังงานไฟฟา้
๔. จัดรฐั สวัสดกิ ารเฉพาะกลุ่ม
4.1) กป9 บ้านโนนสุวรรณ ม.2 ต.หลุ่งประดู่ อ.ห้วยแกลง จ.นครราชสีมา ดินไม่ดี อพยพมา
2462 2465 ต้ัง ผญบ. ครบ 100 ปี ทาไรทานาลาบาก
4.2) กป.11 บ้านโนนประทาย ม.9 ต.วาริน อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี แยกมาจาก ม.2
ขาดนา้ ธรรมชาติ ไม่มีทรัพยส์ นิ สว่ นรวมอะไรของรัฐบริการประชาชน
สรุปได้ว่า พศ.นี้ ชาวบ้านมีความรู้ความสามารถพ่ึงตนเองได้ดี รัฐควรปรับยุทธศาสตร์ชาติ
แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ แผนพฒั นาประเภทตา่ ง ๆ ใหบ้ รู ณาการช่วยเหลอื การฟ้นื ฟหู มู่บา้ น ให้
มากกวา่ ท่ีเคยเปน็ มา ลดการทางานของราชการซ่ึงไมค่ อ่ ยเขา้ ใจความตอ้ งการของชาวบ้าน ให้ชาวบา้ นมโี อกาส
ใช้งบประมาณจากรัฐมากขึ้น ในรูปแบบการปกครองท้องถ่ิน หรือ องค์กรชุมชน โดยรัฐมีสว่ นรว่ มตรวจสอบ
อย่าง สานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
(ป.ป.ท.) หรือ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็น่าจะเหมาะสม จะชว่ ย
สรา้ งความฝัน ความหวงั ของเยาวชนคนรุ่นใหม่กลบั ไปพฒั นาบา้ นเกิด ผลติ สง่ิ ใหม่ ๆ พ่งึ ตนเองไดเ้ กือบ 100
เปอรเ์ ซ็นต์ เหลอื เพยี งบางแห่งท่ไี ม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ รฐั กค็ วรช่วยในรปู แบบรฐั สวสั ดิการเตม็ รปู แบบ
จะสง่ ผลให้คนไทยอยู่รว่ มความสขุ ไมเ่ หล่ือมล้ากนั มากอย่างทกุ วนั น้ี
ดร.จรยิ ว์ ฒั น์ สนั ตะบตุ ร (อาจารย์ที่ปรกึ ษาหลกั สตู ร)
การเรียนร้ดู ้วยประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงานของ นปส. 77 คร้ังน้ีเป็นการทดลองวธิ กี าร
เรียนรู้ใหท้ นั กับยุคสมยั ท่ีเปลี่ยนไป โดยเฉพาะจากภัยของเชื้อโรคโควิด-19 ซ่ึงนาปัจจยั ใหม่ ๆ เข้าสู่หม่บู า้ น
และนาไปส่กู ารปรับตัวจากสงั คมกึ่งปิดเดิมมาสูส่ ังคมทต่ี อ้ งรองรับผ้กู ลบั ถ่ินฐานเดิมและสังคมผสู้ ูงอายทุ นี่ บั วัน
เดน่ ชดั ขึน้ แม้แต่วธิ ีการไปศกึ ษาก็ตอ้ งปรบั มาใชเ้ ทคโนโลยีดา้ นการสอื่ สารเตม็ ตัว ซ่งึ ตอ้ งชื่นชมผ้คู ิดและบรหิ าร
จัดการให้การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงครั้งนี้เสร็จส้ินได้ผลพอสมควรและคงเป็นแบบอย่างที่จะนาไป
ปรบั ปรุงหรอื ใชป้ ระยกุ ต์เปน็ วธิ ีการสารองสาหรับการเรยี นรคู้ รง้ั ต่อ ๆ ไป
เช่ือไดว้ ่าทกุ ฝ่ายทเ่ี ก่ียวขอ้ งไดป้ ระสบการณจ์ ากการปรบั วิธกี ารเรยี นด้วยเทคโนโลยีการสอื่ สาร
(ZOOM) ครั้งน้ีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านท่ีน่าจะเห็นประโยชน์และพร้อมหันมาใช้บ้าง นักศึกษาท่ีจาเป็นต้อง
ปรบั ตัวมาใชซ้ มู ส่อื สารจรงิ จงั ในการปฏิบตั กิ ารต่อไป รวมถงึ การจดั วางคนที่นาระบบไปตดิ ตั้งและเป็นตัวแทน
จองนักศึกษาในการ (เดิน) สารวจข้อมูล อาจารย์และวิทยาลัยก็ได้ทดลองระบบและสามาร ถติดตาม
การปฏิบัตกิ ารทางไกล ซ่ึงกเ็ ป็นประสบการณ์ท่ีดีและอาจจะต้องใช้ไปอีกนาน หรืออาจเลือกใช้เป็นครั้งคราว
ตอ่ ไป นบั วา่ ทกุ ฝา่ ยปรับตวั ใหง้ านนี้มผี ลสาเร็จ ผา่ นการทา้ ทายหรืออุปสรรคไปได้ดี เมือ่ พจิ ารณาจากการสรุป
14
และจากรายงานผลการเรียนรู้ Action Learning (AL) คร้ังนี้ ก็เช่ือได้ว่านักศึกษาน่าจะได้รับประโยชน์และ
ยังมปี ระโยชนใ์ ห้กบั หมูบ่ ้านทไี่ ปศึกษาไดบ้ ้างดว้ ย
สาหรบั นักศึกษาการได้ประสบการณ์วเิ คราะห์ปัญหาจากพนื้ ท่จี รงิ ซงึ่ อาจจะห่างเหนิ (หรือไมเ่ คย
ได้สัมผัส) มานานกลับไปเป็นชาวบ้าน หาข้อมูลพื้นฐานใหม่เท่าท่ีทาได้ มีข้อมูลเดิมเป็นฐานอยู่บ้างจาก
คณะกรรมการหรือผู้ใหญ่บ้านได้มองหมู่บ้านแบบชาวบ้านในพ้ืนที่ ต่อสภาพแวดล้อม ต่อสถานการณ์
ที่ปรับเปล่ียนและข้อเสนอแก้ไขปัญหาหรือที่อยากจะทาในข้อจากัดของสมรรถนะท่ีมีคนพ้ืนที่ ในลักษณะ
การมอง Bottom up เมอื่ นามาวางาบกบั นโยบายจากสว่ นกลาง/ จังหวดั / อาเภอ ก็สามารถวเิ คราะหพ์ อได้วา่
ทาไมท่ี Top –Down ลงมานน้ั สอดคล้องตรงตามต้องการและความสามารถของหมบู่ า้ นหรือไม่ ความแตกต่าง
และความคาหวังหรอื ความไมย่ ง่ั ยนื ต่างกันเพราะอะไร ควรปรับแกท้ ใ่ี ดโดยทดลองเอาหมู่บา้ นและความสามรถ
ของหมูบ่ ้านเปน็ ตัวตง้ั ซ่งึ เป็นการมองระบบแบบกลบั หวั กลบั หางจากสว่ นกลาง นกั ศกึ ษาคงจะหาทางคิดย้อน
ไปตอบคาถามว่าทาไมหน่วยสงั คมพื้นบา้ นจึง (ไม่) พัฒนาอย่างที่ส่วนกลางคาดหวัง และตัวเราคือใครมีสว่ น
รว่ มอย่างไรในกระบวนการนคี้ วรมีการปรบั ปรงุ ทใ่ี คร อยา่ งไร ประเด็นใด ระบบใด และนาประสบการณ์ AL น้ี
มาคานงึ ถึงทกุ ครง้ั เม่ือจะมกี ารกาหนดนโยบายหรือยุทธศาสตรท์ ่ีมกั จะ Top – Down ลงมาเปน็ คาสั่ง รวมท้งั
กาหนดเง่ือนไขดา้ นเวลา คนงาน และเงินมา เลยขาดการมีส่วนร่วมโดยตรงจากหมูบ่ า้ น ซึง่ จะเหน็ ไดว้ า่ อาจจะ
ทาได้แต่ไมไ่ ด้ผลทีย่ งั่ ยนื หรอื ค้มุ ค่าในระยะยาว ถือไดว้ ่าเป้นการกลับไปเรียนรจู้ ากรากฐานโดยนาประสบการณ์
ทที่ างานหลากหลายสาขามาช่วยพิจารณาย่อไดค้ วามคิดท่กี ว้างขึ้น เม่อื คานึงถึงขอ้ จากดั ของนักศกึ ษาในเรื่อง
เวลาและวถิ นี วิ นอรม์ ลั แลว้ AL คร้งั นี้ ถอื ได้ว่าประสบความสาเรจ็ รายงานท่ีออกมานา่ ชื่นชมและเปน็ ประโยชน์
กับนักศึกษาเอง น่าจะได้ศึกษางานของกลุ่มอ่ืน ๆ ซ่ึงมีลักษณะที่หลากหลาย บริบทท่ีแตกต่างและวิธีการ
แก้ไข/ บริหารจัดการท่ไี ด้ผลและไมไ่ ด้ผล ตลอดจนวิธีการรบั นโยบายจากสว่ นกลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและ
รบั เตม็ ที่ ซง่ึ ต่างก็มีผลกระทบทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป
ผมมีข้อสังเกตทขี่ ้อเสนอจาก AL คร้งั น้ดี งั นี้
1. หมู่บ้านที่เลือกศึกษาเหล่านี้เป็นชุมชนเก่าท่ีค่อนข้างอยู่คือเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว ไม่ค่อยมีผู้ตก
เกณฑ์ จปฐ. มผี ูน้ าหมูบ่ า้ นท่เี ขม้ แข็ง คณะกรรมการหมบู่ า้ นทีบ่ รหิ ารจดั การเปน็ สามรถพึ่งตนเองได้ หลายแหง่
มีปราชญ์หมู่บ้าน ถือได้ว่าเป็นชุมชนช้ันดีพอสมควร การเรียนรู้และหาทางแก้ปัญหาจึงไม่ค่อยซับซ้อน เป็น
ปญั หาเดมิ ๆ
2. ชุมชนส่วนใหญ่ยังวนเวียนอยู่กบั วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ท่ีพ่ึงพาธรรมชาติเป็นหลัก และประสบปัญหา
เดมิ ๆ เช่น การจัดการแหล่งน้าท่ไี มเ่ พยี งพอตลอดปี ชาวบ้านทาไร่ทาสวนเป็นอาชพี หลัก และทาการจาหน่าย
แบบดง้ั เดิม มอี าชพี เสริมบ้างในบางหมู่บา้ นที่ผู้นาสามารถ
3. ชุมชนเหล่าน้ีไม่พ่ึงพาเศรษฐกิจภายนอกมาก และไม่พึ่งพารัฐ ซ่ึงไม่ได้เข้าไปอย่างบูรณาการใน
การยกระดบั การพัฒนาหมบู่ ้าน และบางหมู่บ้านฉลาดพอท่ีจะไม่พ่ึงรฐั ยกเวน้ ในเรือ่ งทพ่ี ้นระดบั ความสามารถ
ของชุมชนเช่น การพัฒนาแหล่งน้าใหญ่ อย่างไรก็ดีชุมชนก็ได้ประโยชน์จากการช้ีแนะและนาเทคโนโลยี/
เทคนิคใหม่ ๆ เขา้ มาโดยภาครฐั ดว้ ย เช่น การพัฒนาสายพันธพ์ุ ชื การประยุกตเ์ ศรษฐกิจพอเพียงให้สอดคลอ้ ง
กับบริบทของชุมชน นอกจากโครงการใหญ่ (เช่น แหล่งน้าหลัก) ซ่ึงรัฐควรเข้าไปจัดหาและดูแลแล้ว สิ่งที่
ภาครัฐนา่ จะทาได้ดี คอื การสนับสนุนด้านเทคนิค และทางเลือกใหช้ ุมชนสามารถตัดสนิ โดยพจิ ารณาตามความ
พร้อมของชุมชนในการดาเนินการเอง โดยรัฐเป็นพ่ีเล้ียงคอยสนับสนุนและสนองตอบต่อส่ิงที่ชุมชนเลือก
ดาเนินการ อันจะเปน็ การเสรมิ ให้ชมุ ชนเขม้ แข็งและเพมิ่ ขดี ความสามารถในการบริหารจดั การภายในดว้ ย
15
4. มกี ารกลา่ วถงึ การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื และเศรษฐกิจพอเพียงในเกือบทกุ หมู่บา้ น แต่ในการปฏิบัตจิ รงิ
มกี ารประยุกตใ์ ช้อยา่ งท่ัวถึงเพยี งใด แมแ้ ต่หมู่บา้ นทไี่ ด้รบั รางวลั และเป็นต้นแบบ
5. ปัญหาที่จะตามมากับโควิด-19 คือคนท่ีออกไปทางานนอกหมู่บ้านส่วนหน่ึงต้องกลับมาและ
อาจจะไม่สามารถหางานข้างนอกได้อีกนาน ในระยะสั้นหมู่บ้านยังสามารถรองรับได้ดี ทว่าในระยะยาวจะ
สามารถปรับมาเป็นโอกาสได้อยา่ งไรเช่น เอาความรู้ ความชานาญมาสอนนาเทคนิคและเทคโนโลยีมาเสรมิ
การตลาด สร้างวิกฤตเป็นโอกาสได้
6. นกั ศกึ ษาแลกเปลยี่ นความเหน็ และเสนอแนะชุมชนได้ดีในหลายเรื่อง แตส่ ว่ นสาคัญน้ันอยากจะให้
นักศึกษาเกิดความปฏิบัติตามข้อเสนอหรือสัญญาที่จะช่วยเหลอื ชุมชนน้ัน ๆ ให้เกิดผลเปน็ รูปธรรมต่อไปใน
อนาคตโดยใช้ศักยภาพของทั้งกล่มุ รวมกัน
16
การเรียนรดู้ ้วยประสบการณต์ รงจากการปฏบิ ตั ิงาน
(Action Learning)
โครงการศกึ ษาอบรมหลกั สูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ ๗7
ของกระทรวงมหาดไทย
ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
จัดทาโดย
กลุม่ ปฏบิ ัติการ (กป.) ท่ี 1 - 12
รายงานการเรยี นรดู้ ว้ ยประสบการณต์ รงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning)
บา้ นโหนดหมู่ หมู่ท่ี 9
ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน
จังหวัดพัทลงุ
จัดทาโดย
(กลมุ่ ปฏบิ ัตกิ ารท่ี 1)
นางสาวดษุ ฎี พฤกษเศรษฐ ตาแหนง่ หัวหน้าสานกั งานจังหวดั สงขลา
นางสาวขวัญเรือน ศรีจนั ทร์ ตาแหน่ง นายอาเภอหนองพอก จงั หวัดร้อยเอด็
ช่วยราชการสานักกจิ กรรมความมั่นคงภายใน
นายปฏณิ ญา พาณิชอัตรา ตาแหนง่ นายอาเภอทา่ ใหม่ จงั หวัดจนั ทบรุ ี
นายภูดศิ ชนะวรรณโณ ตาแหนง่ นายอาเภอปากพะยูน จังหวดั พทั ลุง
นายบรรจง ขุนเพชร ตาแหนง่ นายอาเภอเถนิ จงั หวัดลาปาง
นายอุทศิ ชูประดษิ ฐ์ ตาแหนง่ เจ้าพนกั งานทดี่ นิ จังหวดั อทุ ัยธานี
นายจามร เหล่าเมอื ง ตาแหน่ง ผูเ้ ช่ยี วชาญด้านการจัดการสาธารณภยั
นายสาเนียง สิมมาวนั ตาแหน่ง ทอ้ งถ่ินจังหวดั อบุ ลราชธานี
นายมงคล จันทะจร ตาแหน่ง ผบู้ ญั ชาการเรอื นจาจงั หวดั มหาสารคาม
นายวรี ะ ขุนไชยรกั ษ์ ตาแหนง่ ผอู้ านวยการสานกั งานทรพั ยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดลอ้ มจงั หวดั นนทบรุ ี
รายงานนเี้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศกึ ษาอบรมหลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ท่ี 77
สถาบันดารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย พุทธศกั ราช 2564
คานา
ประมวลผลการเรียนรู้เชิงปฏิบัติงาน (Action Learning) ฉบับนี้ เป็นรายงานสรุปผลการศึกษา
การเรียนรเู้ ชิงปฏบิ ตั ิงาน (Action Learning) ของนักศกึ ษาหลกั สตู รนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นท่ี 77 กลมุ่
ปฏิบตั ิการท่ี (กป.) 1 ณ พ้ืนทบ่ี า้ นโหนดหมู่ หมทู ี่ 9 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยนู จังหวดั พัทลงุ ระหว่างวันท่ี
24 – 28 สงิ หาคม 2564
การเรียนรู้เชิงปฏิบัติงาน (Action Learning) ในครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมเรียนรู้และทาความ
เข้าใจกับชุมชนท้องถ่ินถึงสถานการณ์ในขณะน้ี และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้าของ
“ชุมชนท้องถิ่น” “โอกาสและความสามารถในการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่น” ในสถานการณ์ที่โครงสร้าง
เศรษฐกิจเปลย่ี นไปเพราะเทคโนโลยีทพ่ี ลิกผัน ภาวะโลกร้อนและการระบาดของไวรัสโควดิ -19 โดยนาหลกั การ
ทรงงาน ในการพัฒนา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ที่ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงพระราชทานให้ยึดถือปฏิบัติมา
ประยุกต์ใชใ้ นการวเิ คราะห์ บริหารงานไดก้ วา้ งขวางมากขึ้น
ในการดาเนนิ กจิ กรรมครัง้ นไ้ี ดร้ บั ความรว่ มมอื อยา่ งดียง่ิ จากทัง้ ทกุ ภาคสว่ นในพนื้ ที่ ทง้ั ส่วนราชการ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กานันตาบลหารเทาพร้อมทีมงานปกครอง และภาคประชาชนในพื้นท่ีบ้าน
โหนดหมู่ทุกคน ที่เปิดโอกาสให้คณะนักศึกษาได้เข้าพบ และพูดคุยในประเด็นการเรียนรู้เพ่ือเข้าใจ เข้าถึง
วิถีชีวิตชุมชน ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านเป็น อย่างสูง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานสรุปผลการเรียนรู้
เชิงปฏิบัติการ (Action Learning) ฉบับนี้ จะเปน็ ประโยชน์แก่ชมุ ชนท้องถ่นิ ตอ่ ไป
คณะผู้จัดทา
นกั ศึกษาหลักสูตรนกั ปกครองระดบั สงู รุน่ ที่ 77
กลุ่มปฏบิ ตั กิ ารที่ (กป.) 1
สารบัญ
ส่วนที่ 1 กรอบการเรียนรู้ดว้ ยประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning) หน้า
1
1. การศกึ ษาเรียนรภู้ มู สิ งั คมและวิถชี วี ิตของชุมชน 1
2. การศกึ ษาเรียนรรู้ ะบบการบรหิ ารจดั การชมุ ชน 5
3. การศกึ ษาเรยี นรนู้ โยบายภาครฐั และผลกระทบตอ่ การพฒั นาของชมุ ชน 7
ส่วนที่ 2 ประเดน็ การพฒั นาของชมุ ชน 8
8
1. ระดบั การพฒั นาของหมบู่ า้ น 9
2. สดั ส่วนจานวนครวั เรอื นที่ไมพ่ ออยู่พอกิน
3. ประเมนิ ความสามารถของชุมชนในการใช้ประโยชนจ์ ากโครงการกิจกรรมต่าง ๆ 10
ภายใต้นโยบาย 12
4. ประเมินโอกาสและความเสี่ยงของชมุ ชนและครวั เรอื นยากจน
5. สรุปบทเรียนทีไ่ ด้รับในดา้ น 17
18
- การบรหิ ารการพฒั นาชมุ ชนทอ้ งถิ่น 19
- การบรหิ ารการพัฒนาระดบั ตาบลและอาเภอ 21
- ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลของการปฏบิ ัตงิ านตามนโยบายของรัฐบาล
ส่วนท่ี 3 การร่วมคิดกิจกรรมการพฒั นารว่ มกบั ชุมชน
ภาคผนวก แผนชมุ ชนบา้ นโหนดหมู่ หม่ทู ่ี 9 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน จงั หวดั พัทลงุ
1
ส่วนที่ 1 กรอบการเรียนรู้ดว้ ยประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงาน (Action Learning)
ในพื้นท่ีบ้านโหนดหมู่ หมู่ที่ 9 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน จงั หวัดพทั ลงุ
1. การศึกษาเรียนรู้ภูมสิ งั คมและวิถชี ีวติ ของชุมชน
1.1 ประวตั ิความเป็นมา
บ้านโหนดหมู่ หมทู่ ี่ 9 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน จังหวัดพทั ลุง เป็นหมู่บา้ น
ที่แยกมาจากบ้านทะเลเหมียงหมู่ท่ี5 ตาบลหารเทา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535มีนายสมพงค์ เกิดเอียด
เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกโดยตระกูลแรกท่ีเข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้าน คือ ตระกูลคงนวล พรหมเมศ
ย้ิมแก้ว แจ้งกระจ่าง เกตุหมูหย๊ะรัตนพิมล ปลายแก้ว และตระกูลสุวรรณธนะ ท่ีมาของช่ือหมู่บ้าน
“โหนดหมู่” นัน้ เน่อื งจากชาวบา้ นท่นี ่ีนิยมปลกู ต้นตาลโตนดตามคันนาหรอื พน้ื ท่ีว่างเม่ือมองไปกลาง
ทุ่งนาก็จะเห็นต้นตาลโตนดข้ึนเป็นทิวแถวหรือเป็นหย่อมๆ ชาวบ้านจึงเรียกช่ือหมู่บ้านว่า
“บา้ นโหนดหมู่”
แผนท่บี า้ นโหนดหมู่
อาณาเขตตดิ ต่อ
- ทิศเหนือ ติดตอ่ กับ หมู่ที่ 1 ตาบลวงั ใหม่ อาเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง
- ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับ หมทู่ ่ี 2 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยนู จงั หวดั พทั ลงุ
- ทศิ ตะวันตก ติดตอ่ กบั หมทู่ ี่ 5 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยนู จังหวัดพทั ลุง
- ทิศใต้ ติดตอ่ กับ หมู่ท่ี 7 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยนู จังหวดั พทั ลงุ
2
การคมนาคม
มีถนนเส้นทางหลักภายในหมู่บ้าน จานวน 1 สาย ใช้การได้ดีตลอดท้ังปี ถนนซอยใน
หมบู่ า้ น จานวน 7 สาย สว่ นใหญ่เปน็ ถนนลกู รัง ห่างจากอาเภอปากพะยูน ระยะทาง 9 กโิ ลเมตรใช้เวลาเดนิ ทาง
ประมาณ 15 นาที
การคมนาคม
1.2 ลักษณะทางชวี ภาพและกายภาพของบ้านโหนดหมู่
บ้านโหนดหมู่ตงั้ อยู่ในพ้นื ที่ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน จังหวัดพทั ลงุ มีเน้ือท่ี
2,124 ไร่ ใชพ้ ้นื ทีท่ านา 1,124 ไร่ ส่วนท่ีเหลอื 1,000 ไร่ เป็นพ้นื ที่สวนยางพารา สวนปาล์ม ผลไม้
เลี้ยงสัตว์ และท่ีอยู่อาศัย ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสลับเนิน ลักษณะดินเป็นดินร่วน
ปนทราย มีแหล่งน้า 3 สาย คอื หารนา้ ดา หารหม้อ และคลองวัดทุ่งขุนหลวง สภาพอากาศมีลักษณะ
ร้อนช้ืน ส่วนอากาศในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน และฝนตกชุกในเดือนตุลาคมถึงธันวาคม
ของทกุ ปี
3
วถิ ีความเปน็ อยู่
1.3 ข้อมลู ดา้ นประชากร
บา้ นโหนดหมูม่ ปี ระชากร 238 ครวั เรือน 745 คน ชาย 364 คน หญงิ 381 คน
ส่วนใหญ่ ร้อยละ 99.4 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 41.62 เรียนจบระดับประถมศึกษา รองลงมา
ร้อยละ 14.99 จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และร้อยละ 13.76 จบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ประชากรทัง้ หมดมีความสมั พันธแ์ ละผูกพนั แบบเครือญาติ มปี ระเพณแี ละวัฒนธรรมทีส่ บื ทอดมาจาก
บรรพบุรุษ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ สวนยางพารา ทานา สวนปาล์ม ผัก ผลไม้
รับจ้าง ค้าขาย รายได้เฉล่ียต่อครัวเรอื นต่อปี อยู่ที่ 206,778 บาท และมีรายจา่ ยต่อครัวเรือนต่อปี
อยทู่ ี่ 169,060 บาท
ความสัมพันธข์ องชาวบ้านในชุมชน
4
1.4 ทรพั ยากรและเศรษฐกิจชมุ ชน
1) แหล่งนา้
- แหล่งน้าธรรมชาติ มี 3 สาย หารน้าดา หารหม้อ และคลองวัดทุ่งขนุ หลวง
แต่ไมม่ นี ้าตลอดท้ังปี
- แหลง่ นา้ บาดาลเพอ่ื การเกษตร 5 แหลง่ พร้อมหอถงั แชมแปน สูง 20 เมตร
ระบบสูบน้าพลงั งานแสงอาทิตย์ และท่อสง่ นา้ ระยะทาง 10 กโิ ลเมตร
- ระบบประปาหมู่บา้ น 2 แหง่ บริการไดค้ รบ 238 ครวั เรือน มีนา้ ใช้ตลอดท้งั ปี
- โรงผลิตนา้ ดม่ื ชุมชน (แบบหยอดเหรยี ญ)
ภาพท่ี 5 ระบบสบู นา้ พลังงานแสงอาทิตย์ ภาพที่ 6 หารหม้อ
2) ที่ดินทากิน
- ที่ดินทง้ั หมดของหมู่บ้าน 2,214 ไร่ ท้ังหมดมเี อกสารสทิ ธใิ์ นท่ดี นิ
- มี 197 ครวั เรือน มีท่ดี นิ ทากินเปน็ ของตนเอง มี 7 ครัวเรอื น ตอ้ งเช่า
ทด่ี ินเพิ่มเตมิ
3) เศรษฐกจิ ชมุ ชน
- ร้านค้าขายของชา/ผลผลิตชุมชน 11 แหง่
- รา้ นขายของปจั จัยการผลิต 3 แหง่
- ร้านซ่อมรถ 2 แหง่
- รา้ นจาหน่ายแก๊สหุงตม้ 3 แหง่
- สถานีบรกิ ารน้ามัน 3 แห่ง
- โรงสขี นาด 20 แรงมา้ 2 แหง่
- ทกุ ครวั เรือนมีไฟฟ้าใช้
5
- รายไดร้ วมของหมบู่ า้ น 43,669,577 บาท
- รายจ่ายรวมของหมบู่ า้ น 30,288,530 บาท
- หนส้ี ินรวม 31,256,600 บาท
ภาพโรงสขี ้าวชุมชน
2. การศกึ ษาเรยี นรู้ระบบการบริหารจัดการชมุ ชน
บา้ นโหนดหมู่เป็นหมูบ่ า้ นปกติ แยกหมบู่ า้ นจากบา้ นทะเลเหมียง หมูท่ ่ี 5 ตาบลหารเทา
มาเป็นบ้านโหนดหมู่ หมู่ที่ 9 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง มาต้ังแต่วันที่ 10
มิถุนายน 2535 ปัจจุบันผู้นาหมู่บ้าน คือ นายรื่น แจ้งกระจ่าง กานันตาบลหารเทา เป็นผู้นาการ
บรหิ ารการปกครองดูแลหมู่บา้ น โดยมผี ชู้ ว่ ยผูใ้ หญ่บา้ น 3 คน ผู้นากลมุ่ บ้าน (คุม้ บ้าน) คณะกรรมการ
หมู่บ้าน 27 คน แบ่งการทางานเป็น 7 ด้าน ได้แก่ ด้านอานวยการ ด้านการปกครองและรักษา
ค วา ม ส ง บ เ รี ย บ ร้อ ย ด้ า น แ ผ น พั ฒน า หมู่ บ้ า น ด้ า น ส่ง เสริ ม เศ ร ษ ฐ กิ จด้ า น สัง ค ม ส่ิง แ วด ล้ อมและ
สาธารณสุข ด้านการศีกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และด้านบรรเทาสาธารณภัยและสวัสดิการ
รวมคณะทางานอีก 38 คน การทางานมีการประชมุ คณะกรรมการ และประชาชนในหมบู่ า้ นทกุ วันท่ี
15 ของเดือน เป็นหมู่บ้านที่ผู้นามีวิสยั ทัศน์ คณะกรรมการหมบู่ ้าน ผู้นากลุ่ม/องค์กรต่างๆ มีความ
เข้มแข็ง ประชาชนให้ความร่วมมือ เป็นหมบู่ ้านที่ประสบความสาเร็จในการทางาน โดยลักษณะการ
บรหิ ารจดั การโดดเดน่ ประกอบด้วย
- ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการหมู่บ้านในทุกด้าน
ผ่านท่ีประชุม ตามระบอบประชาธปิ ไตย
- ทกุ คนเคารพกฎหมาย กฎกติกา ขอ้ บงั คับของหมูบ่ า้ น ชว่ ยกันดูแลความสงบเรียบรอ้ ย
ในหมูบ่ า้ น
- ใช้เวทีประชาคมในการรับทราบปัญหา ความต้องการ รวบรวม จัดทาข้อมลู ต่างๆ ไว้
เพอื่ จดั ทาเปน็ แผนชมุ ชน
6
- ประสานการดาเนินงานกับส่วนราชการ หน่วยงานต่างๆ ท้ังในระดับพื้นท่ี หมู่บ้าน
ตาบล อาเภอ และจังหวัด พร้อมท้ังนาข้อส่ังการนโยบายมาดาเนินการขับเคลื่อนในระดับหมู่บ้าน
สาเร็จ เหน็ ผลเปน็ รปู ธรรม
- ผู้นาและประชาชนบรรลุผล และยึดถือปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มีกิจกรรมลดรายจ่ายเพ่ิมรายได้ จัดทาบัญชีครัวเรือน มีการเสริมสร้างความม่ันคงทางอาหาร
มกี ารออม มีภูมคิ มุ้ กันทางสังคม สบื สานวัฒนธรรมประเพณี มคี วามรักสามคั คีและมจี ติ อาสา
กลมุ่ /องคก์ รชมุ ชนในหมู่บา้ น ประกอบดว้ ยตวั อย่าง
> กลุ่มออมทรัพยเ์ พอ่ื การผลติ บ้านโหนดหมู่ ก่อตัง้ เมอ่ื วนั ที่ 15 พฤษภาคม 2538
ปัจจบุ นั สมาชก 817 คน เงินฝากสจั จะสะสม 17,601,131 บาท
> กองทนุ หมบู่ ้าน มสี มาชกิ 138 ราย จานวนเงินทุน 2,300,000 บาท
> กองทนุ SML (กองทนุ ปยุ๋ และพันธ์ุข้าว) มเี งนิ ทุน 146,210 บาท สมาชกิ 54 คน
> กองทุนประปาหมูบ่ า้ น มเี งินทนุ 139,471 บาท มีสมาชิก 167 คน
> คณะกรรมการพฒั นาสตรหี มู่บา้ น (กพสม.) มสี มาชกิ ๑๕ ราย
> กลมุ่ ทานา เงนิ ทุน 110,770 บาท มสี มาชกิ 87 คน
> ธนาคารหมบู่ า้ น มเี งินทนุ 5,476,420 บาท มสี มาชกิ 517 คน
> กองทุนสวสั ดกิ ารชุมชนตาบล มีเงินทุน 1,183,826 บาท มีสมาชิก 737
> โรงสชี มุ ชน มีเงินทุน 15,660 บาท มสี มาชิก 167 คน
> กองทนุ แม่ของแผน่ ดนิ มีเงินทุน 97,421 บาท มีสมาชกิ 220 คน
กล่มุ /องค์กรในชุมชนบ้านโหนดหมู่
7
กลุ่ม/องคก์ รในชมุ ชนบ้านโหนดหมู่
3. การศกึ ษาเรยี นรู้ นโยบายภาครฐั และผลกระทบต่อการพัฒนาของชุมชน
บ้านโหนดหมู่เป็นหมู่บา้ นทมี่ คี วามเข้มแข็ง ผู้นามีวิสยั ทัศน์ คณะกรรมการหมบู่ า้ นและ
ประชาชนมคี วามพรอ้ ม สามารถขับเคลือ่ นนโยบายของรฐั บาล กระทรวง ทบวง กรม และของจงั หวดั
พัทลุง แผนงาน/โครงงานตา่ งๆ ได้เป็นอย่างดี และประสบผลสาเรจ็ ทาให้บ้านโหนดหม่มู ักจะได้รับ
การคดั เลอื กจากสว่ นราชการ ไดร้ บั การสนบั สนุนโครงการ/งบประมาณ ในลักษณะนารอ่ งหรอื ต่อยอด
มากมาย ทาใหร้ ายไดแ้ ละความเปน็ อยู่ของประชาชนสว่ นใหญอ่ ยู่ในระดบั พออยู่ พอกิน พอประมาณ
สว่ นใหญไ่ มต่ อ่ ต้าน คดิ ตา่ ง การดาเนนิ งานตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายตา่ งๆ ของรฐั บาลกไ็ ม่ได้
สง่ ผลกระทบต่อการดารงชีพหรือวิถีชีวติ ของประชาชน
รางวัลที่ไดร้ ับ
8
ส่วนท่ี 2 ประเดน็ การพัฒนาของชุมชน
1. ระดบั การพัฒนาของหมบู่ ้าน
ตัง้ แต่บ้านโหนดหมูแ่ ยกหมบู่ า้ นออกจากบา้ นทะเลเหมียง หมูท่ ี่ 5 มาเปน็ บ้านโหนดหมู่
หมู่ท่ี9 ตาบลหารเทา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535 เป็นต้นมา ก็มีการพัฒนาหมู่บ้านมาอย่าง
ตอ่ เน่ือง เปน็ หมูบ่ า้ นที่มีความเข้มแข็ง ผู้นามีวสิ ัยทศั น์ คณะกรรมการหม่บู า้ นและประชาชนให้ความ
ร่วมมือ มีความสามัคคี ร่วมแรงรว่ มใจ ในการพฒั นาหม่บู า้ น เป็นหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง หมบู่ ้าน
แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง หมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสขุ ซึ่งล้วนเป็นต้นแบบระดับอาเภอและระดับจังหวัด
มีกลุ่มและองคก์ รชุมชน 10 กลุ่ม เงินทุนหมุนเวียน 27,070,929 บาท ผลจากการพัฒนามาอย่าง
ต่อเนื่อง สง่ ผลใหบ้ า้ นโหนดหมผู่ ่านการประเมนิ หมบู่ ้านพัฒนาอยใู่ นระดบั “หมู่บา้ น อยู่ดี กินดี” ซึ่งมี
ระดับสูงกว่า “หมู่บ้านพออยู่ พอกิน” แต่ถ้าประเมนิ จากการลงพ้ืนทีส่ ารวจครัวเรอื น หรือการตรวจ
เยี่ยมกิจกรรมกลุ่มต่างๆและการเป็นอยู่ของประชาชน หมู่บ้านน้ีน่าจะจัดอยู่ในประเภทหมู่บ้าน
“ม่ังมี ศรสี ขุ ” ได้ แต่จากการสอบถามจากผนู้ าในพ้นื ที่ ทราบว่าเหตุทไี ม่เสนอขอประเมนิ เป็นหมู่บา้ น
“มั่งมี ศรสี ุข” เพราะวา่ ในพน้ื ท่ีหมู่บ้านยงั ไม่ปลอดอบายมขุ คอื ยังมีการดมื่ เหล้าและสูบบุหร่อี ยู่อีก
แต่ถ้าประเมินโดยใช้เกณฑ์การประเมิน 5 มิติการพัฒนาของสหประชาชาติ หรือ
UN”s SDG”s มาประเมนิ ซงึ่ มี 5 ตัวชวี้ ดั คือ รายไดเ้ ฉล่ียของครัวเรือนในหมู่บา้ น ถ้า 90 % สูงกวา่
เส้นความยากจน ถือว่าเป็นหมู่บ้านพออยู่ พอกิน ซ่ึงข้อมูลของบ้านโหนดหมู่มีรายได้เฉลี่ยของ
ครัวเรือนต่อปี อยู่ท่ี 206,778 บาท ซ่ึงสูงกว่าเสน้ ความยากจน ตัวช้ีวัดที่ 2 วัดผลผลิตข้าวเฉลี่ยว่า
หมู่บ้านมีปริมาณผลผลติ ข้าวเพียงพอต่อการบรโิ ภคในหมู่บ้านตลอดท้ังปีหรือไม่ ซี่งบ้านโหนดหมมู่ ี
พ้ืนท่ีทานาข้าว 1,125 ไร่ เป็นพ้ืนที่ปลกู ข้าวพันธุ์สงั ข์หยด ได้ผลผลิตไร่ละประมาณ 500 กิโลกรมั
ซง่ึ ผลผลิตมคี วามเพยี งพอตอ่ การบรโิ ภคของคนท้งั หมบู่ ้านตลอดทงั้ ปี ตวั ช้ีวดั ท่ี 3 อัตราการมงี านทา
ถ้าคนวัยแรงงานมีการว่างงานเกนิ 80 % ของวัยแรงงาน ถอื ว่าเป็นหมูบ่ า้ นยากจน หม่บู ้านนี้ถอื วา่ มี
คนว่างงานน้อยมาก ส่วนใหญ่ทาการเกษตร สวนยางพารา ปาล์มน้ามัน ปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์
เลี้ยงผง้ึ โพลง รบั จา้ งตา่ งๆ ตวั ชว่ี ัดที่ 4 ด้านสุขภาพ ถ้าครวั เรอื นที่มีสมาชิกเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคเร้ือรงั และ
โรคติดต่อเกินกว่า 70% ของจานวนครวั เรอื นท้ังหมูบ่ า้ น ถอื วา่ เปน็ หมู่บา้ นยากจน ตัวชี้วัดนก้ี ต็ า่ กว่า
เกณฑ์ที่กาหนด และตัวชี้วัดท่ี5 คือเกณฑ์น้าอุปโภค - บริโภค ถ้าครัวเรือนท่ีไม่มีน้าสะอาดบริโภค -
บริโภคเกิน 10% ถือว่าเป็นหมู่บ้านยากจน ในตัวช้ีวัดน้ีทางกลุ่มพบประเด็นท่ีทางหมู่บ้านมีระบบ
ประปาหมูบ่ า้ น 2 แห่ง สามารถใหบ้ รกิ ารได้ครบทกุ ครวั เรือน แต่นา้ ประปาไมม่ ีความสะอาดพอที่จะ
ใชใ้ นการบริโภค แตท่ างหมบู่ า้ นไดจ้ ดั สรา้ งโรงผลิตนา้ ด่มื ชุมชนท่ีสะอาดแบบหยดเหรยี ญ ซง่ึ ราคาถูก
กวา่ ท้องตลาดใหบ้ ริการแก่ประชาชน ซ่งึ ถอื วา่ ทุกครัวเรือนมนี ้าสะอาดในการอปุ โภค-บริโภค เป็นผล
ให้หมู่บ้านบ้านโหนดหมู่ผ่านเกณฑ์การประเมินระดับการพัฒนาของหมู่บ้าน ตามเกณฑ์ของ
สหประชาชาติในระดบั “พึง่ ตนเองได”้ ( Sustainability )
9
วิสัยทัศน์บา้ นโหนดหมู่
2. สดั สว่ นจานวนครัวเรอื นท่ไี มพ่ ออย่พู อกิน
บ้านโหนดหมู่มีประชากร 238 ครัวเรือน จานวน 745 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชพี
การเกษตร ทุกครัวเรือนมที อี่ ยู่อาศัยเป็นที่ดนิ ของตนเอง มี 7 ครัวเรือนท่ีต้องเช่าท่ีดนิ ทาการเกษตร
มีอาชีพรับจ้าง 46 ครัวเรือน รายได้เฉล่ียต่อครัวเรือนทั้งหมดต่อปีอยู่ที่ 206,778 บาท รายจ่าย
เฉลี่ยต่อครวั เรอื นท้งั หมดต่อปี คิดเป็น 169,060 บาท เฉลี่ยแล้วมีเงินเหลอื ครัวเรือนละ 30,000
บาท ต่อปี มีการออมและทาบัญชีครวั เรือนเป็นส่วนใหญ่
เดิมเมื่อปีพ.ศ. 2548 เคยมีครัวเรือนยากจนจานวน 32 ครัวเรือน แต่ทางหมู่บ้านได้
แก้ปัญหาโดยการกู้เงินจากธนาคารออมสินแล้วมาให้ครัวเรือนยากจนเหล่านี้กู้ไปประกอบอา ชีพ
ปรับปรุงที่อยู่อาศัย ด้วยดอกเบี้ยถูก ผ่อนชาระ 5 ปี ดาเนินการกู้ จานวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน
11 ลา้ นบาท จนทกุ ครวั เรอื นผา่ นเกณฑค์ วามยากจนในปี พ.ศ. 2555
จากการลงพื้นท่ีของกลุ่มไปสัมภาษณ์ นางเลื่อน รอดสกุล อายุ 70 ปี อาชีพรับจ้าง
กรีดยางพารา มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ไม่มีที่ดินทาการเกษตรเป็นของตนเอง เป็นครัวเรือนที่
รายไดต้ า่ ทีส่ ุดในหม่บู ้านมรี ายไดจ้ ากการรบั จา้ งเดอื นละ 6,500 บาท ได้รบั เงนิ สงเคราะหจ์ ากรัฐเปน็
เงินผู้สูงอายุ คนพิการ และเงนิ สวัสดิการแหง่ รฐั อีกรวม 2,000 บาท ทาใหม้ ีรายไดเ้ ดอื นละ 8,500
บาท ซึ่งพออย่พู อกิน เท่ากบั วา่ ในหมูบ่ ้านนี้ไมม่ คี รัวเรอื นท่ไี มพ่ ออยพู่ อยู่กนิ
10
การสมั ภาษณ์ นางเล่ือน รอดสกุล
3. ประเมินความสามารถของชุมชนในการใช้ประโยชนจ์ ากโครงการ กิจกรรมต่างๆ ภายใตน้ โยบาย
จากจดุ เด่น จดุ แขง็ ของบ้านโหนดหมู่ทมี่ ผี นู้ าหมบู่ า้ นทม่ี วี สิ ยั ทัศน์ คณะกรรมการหมบู่ า้ น
ผู้นาองค์กรชุมชนต่างๆ มีความเข้มแข็ง มีความเป็นทีม มีความพร้อม ประชาชนมีความรัก ความ
สามัคคี เป็นหนง่ึ เดียว ทาใหม้ พี ลงั ในการทางาน สามารถขบั เคล่อื นงาน กิจการต่างๆ ของหมู่บา้ นไปสู่
ความสาเร็จได้เป็นอย่างดี จากศักยภาพด้งกล่าวทางหมู่บ้านจึงสามารถแปลงนโยบาย
ขอ้ สัง่ การ แผนงาน/โครงการของรฐั บาล หนว่ ยงาน หรอื ของจังหวดั ไปส่กู ารปฏิบตั ิท่ีจะใหป้ ระชาชน
ดาเนินการ หรือหมู่บ้านดาเนนิ การก็จะสาเรจ็ ทุกเร่อื ง ทกุ โครงการ ทุกกจิ กรรมที่ได้ดาเนนิ การลว้ นแต่
ดาเนินการได้อยา่ งตอ่ เน่ือง ยัง่ ยืน ไมม่ ีความลม้ เหลวหรอื ยุติกลางคนั จนเปน็ หมูบ่ า้ นระดับผู้นาในการ
พัฒนา และเป็นหมู่บ้านต้นแบบในด้านต่างๆ ได้แก่ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ มีโรงเรียน
เศรษฐกิจพอเพียงในหมู่บ้าน หมู่บ้านประชาธิปไตยดีเด่น หมู่บ้านแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองดีเด่น
กองทุนแมด่ เี ด่น หม่บู า้ นสารสนเทศดเี ดน่ เป็นตน้ จากการบริหารจดั การ ความสามารถของหมู่บ้านน้ี
ทาให้หมู่บ้านมชี ่ือเสียง ได้รับความไว้วางใจ ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ทั้งทางราชการ และ
ภาคประชาสังคม ได้รับรางวัลต่างๆมากมาย และผลจากความสาเร็จนี้ ทาให้ทุกส่วนราชการจะ
นาเสนอเข้าประกวดในระดับต่างๆ ได้รับเงินรางวัลมาสู่หมู่บ้าน สามารถนาไปพัฒนากิจการงาน
ภายในหมู่บ้านได้ หลายภาคส่วนนาเอาความสาเรจ็ น้ีไปต่อยอด ขยายผล ทาให้บ้านโหนดหมไู่ ด้รบั
โครงการ/งบประมาณเพิ่มเติมเข้ามาอย่างต่อเน่ือง สามารถยกระดับการขับเคล่ือนการพัฒนาให้มี
คุณภาพ และมีประสิทธิภาพเพิ่มข้ึน จากความตั้งใจและผลงานตามท่ีกล่าวมาข้างต้น ทาให้กอง
อานวยการรักษาความมั่นภายในแห่งราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และส่วนราชการอื่นๆ ให้การ
สนับสนุนแผนงาน/โครงการ และงบประมาณ ดังนี้
1) โครงการสนบั สนนุ ปัจจยั ผลติ เป็นเงิน 1,200,000 บาท จากหนว่ ยงานกอง
อานวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)
2) โครงการสนบั สนุนปจั จัยผลิต ด้านโรงสีข้าว เป็นเงิน 1,000,000 บาท จาก
หนว่ ยงานกองอานวยการรักษาความม่ันคงภายใน (กอ.รมน.)
11
3) โครงการกอ่ สร้างบ่อน้าบาดาลเพ่อื การเกษตรสูบนา้ ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พรอ้ ม
หอถงั แชมเปญ และระบบทอ่ สง่ นา้ เป็นเงนิ 15,000,000 บาท จากหนว่ ยงานกองอานวยการรักษา
ความม่นั คงภายใน (กอ.รมน.)
4) โครงการศึกษาดูงาน เปน็ เงิน 800,000 บาท จากหนว่ ยงานกองอานวยการรักษา
ความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)
5) โครงการลดขยะชมุ ชน เป็นเงิน 26,000 บาท จากเทศบาลตาบลหารเทา
6) โครงการสนับสนุนสัมมาชีพชุมชนระดับหมู่บ้าน งบภาค เป็นเงิน 60,000 บาท
และงบกรมการพัฒนาชุมชน เป็นเงนิ 25,000 บาท จากสานักงานพัฒนาชุมชนจงั หวดั พัทลงุ
7) โครงการ 9101 ปุ๋ยอินทรีย์ชวี ภาพ เปน็ เงิน 200,000 บาท จากสานกั งานเกษตร
จังหวัดพัทลงุ
8) โครงการฝกึ อบรมอาชีพ 2 ครง้ั เปน็ เงนิ 12,000 บาท จาก กศน.
9) ปรบั ปรงุ ระบบประปาหมบู่ ้าน เปน็ เงิน 800,000 บาท จากเทศบาลตาบลหารเทา
10) โครงการประชารัฐ กทบ. จานวน 2 คร้ัง คร้ังท่ี 1 เป็นเงิน 500,000 บาท และ
ครงั้ ที่ 2 เปน็ เงิน 200,000 บาท
11) โครงการตาบลละ 5 ล้านบาท คร้ังที่ 1 ปรับปรุงต่อเติมอาคารศูนย์เรียนรชู้ มุ ชน
เปน็ เงิน 540,000 บาท คร้งั ท่ี 2 ปรับปรุงต่อเติมอาคารศนู ยเ์ รยี นรูช้ ุมชน 200,000 บาท
นอกจากนี้แล้วทางหมู่บา้ นมีกิจกรรมการพัฒนาท่ีชุมชนจะทาเองเพ่ือให้ทุกชีวิตอยดู่ ีมี
สุขในปีน้ีอกี
จากการท่ีประชาชนสว่ นใหญใ่ นหมบู่ ้านประกอบอาชีพการเกษตรโดยเฉพาะการทานา
สวนยางพารา ปาล์มน้ามัน ไมผ้ ล ซงึ่ ราคาผลผลติ ไม่แนน่ อนตามกลไกการตลาด ทางหมบู่ า้ นจึงคดิ หา
วธิ ีการอยูร่ อดโดยการลดตน้ ทุนการผลติ และเพ่ิมมลู ค่าสนิ ค้าการเกษตรโดย
1. จัดสร้างโรงผสมปุ๋ยและจดั ต้ังกลุ่มผลิตปยุ๋ ขึ้นโดยการผลิตปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ผสม
ปุ๋ย ข้นึ ใช้เอง จาหน่ายในราคาถกู ตามที่ต้องการ ท้ังปุย๋ นาข้าว สวนยางพารา ปาลม์ นา้ มัน พชื ผักผลไม้
ทาให้ได้ปุ๋ยตรงตามความต้องการเหมาะสมกับสภาพดินในพ้ืนท่ี และลดต้นทุนการผลิต ทาให้ได้ผล
ผลิตเพมิ่ มากขน้ึ
2. ไดร้ บั การสนบั สนนุ จดั สรา้ งโรงอบความชนื้ และโรงสีข้าวเพิม่ เตมิ ซง่ึ จะจัดสรา้ งได้ใน
ไม่ช้าน้ี เหตุท่ีลา้ ช้าเพราะติดสถานการณ์แพรร่ ะบาดของเชื้อโควิด เมื่อสร้างเสร็จก็จะทาให้ชาวนาที่
ปลูกข้าวสงั ข์หยดไมต่ ้องขายเปน็ ข้าวเปลือก ไม่ต้องจ้างโรงอบ จ้างโรงสี ก็จะมีโรงอบความช้ืน โรวสี
ข้าวเป็นของตนเอง เมื่อสีข้าวเสร็จก็บรรจุถุงสุญญากาศขายเป็นการเพ่ิมมูลค่าของสินค้าทาง
การเกษตร และจะขยายผลตอ่ ยอดขายออนไลนก์ ไ็ ด้ และจะดาเนินการซื้อข้าวเปลือกมาจากทอ้ งทอ่ี น่ื
มาอบ มาสี ต่อยอดขยายกจิ การเพิ่มขึ้น ทั้งสองกิจกรรมนี้สามารถทาใหป้ ระชาชนลดรายจ่าย และมี
รายไดท้ เ่ี พิม่ ขนึ้ สร้างความอยู่ดีมสี ุขขึ้นได้
12
4. ประเมนิ โอกาสและความเสยี่ สงชุมชนและครวั เรือนยากจน
จากการศึกษาเรยี นรู้กบั ชุมชนโดยการสมั ภาษณ์ สอบถาม พูดคุย เก็บข้อมูล ของกล่มุ
กับผู้นาหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บา้ น และประชาชนบ้านโหนดหมู่ สามารถนาข้อมูลมาวิเคราะห์
โอกาสหรือขอ้ จากดั ในการจดั การปัญหาของชุมชน ได้ดังน้ี
การวเิ คราะหจ์ ดุ แขง็ จดุ อ่อน (SWOT) ของบา้ นโหนดหมู่
ผู้นาชุมชนมีวิสัยทัศนแ์ ละประชาชนใน Strengths Weakness แหลง่ นา้ ธรรมชาติตนื้ เขิน ไม่มีน้า
พืน้ ท่ีมีความรักสามคั คพี รอ้ มในการ ทงั้ ปี
พัฒนา Opportunitie Threats นา้ ประปาไม่สามารถใชบ้ ริโภคได้
ระบบการขนส่งหลากหลาย(รูปแบบ s ผลติ ภัณฑ์ชมุ ชนยงั ไม่เป็นที่รูจ้ ักในมุม
นาสง่ และระบบขนสง่ ทางราง) กวา้ ง และยงั ไม่ได้มาตรฐาน
สนิ ค้า ผลิตภัณฑ์ และ วิสาหกจิ ชมุ ชนมี ถนนบางพื้นทเ่ี ป็นดินลูกรงั และไม่มีไฟ
ความหลากหลาย ส่องในเวลาทางกลางคืน
กลุม่ ผ้สู งู อายุไม่มีอาชพี รองรับ/รายได้
มศี นู ยก์ ารเรยี นร้แู ละหมู่บ้านพอเพียง ไมเ่ พียงพอ
ตน้ แบบ รองรับการศึกษาดงู าน เศรษฐกจิ ชะลอตัวจากภาวะโรคติดตอ่
มโี ครงการรฐั เข้ามาให้การ โควดิ 19 ( covid-19 )
ช่วยเหลือ และ มีทุนสนับสนนุ
มีระบบการขนสง่ ทางราง ทาใหล้ ด ปญั หาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่า
ต้นทุนการผลติ ปัญหาภัยธรรมชาติ อุทกภัย ภยั แลง้
ประชาชนเขา้ ถึงแหล่งเงินทนุ
ดอกเบยี้ ต่า
การวิเคราะหจ์ ดุ แขง็ จดุ อ่อน (SWOT) ของบา้ นโหนดหมู่
จากการสัมภาษณ์เชิงลึกและเก็บข้อมูลในพ้ืนที่ชุมชน สามารถนาเครื่องมือในการ
วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน (SWOT Analysis) เข้ามาวิเคราะห์โดยแบง่ การวิเคราะห์ออกเป็น 4 ส่วน
ได้แก่ จดุ แข็ง (Strength) จุดออ่ น(Weakness) โอกาส (Opportonity) และข้อจากดั (Threat)
จุดแขง็ (Strength)
ผ้นู าชมุ ชนมีวสิ ัยทศั น์และประชาชนใน
พนื้ ท่มี ีความรักสามัคคพี รอ้ มในการ
พฒั นา
ระบบการขนส่งหลากหลาย(รูปแบบ
นาส่งและระบบขนสง่ ทางราง)
สินค้า ผลิตภณั ฑ์ และ วสิ าหกิจชุมชนมี
ความหลากหลาย
มศี นู ย์การเรยี นรแู้ ละหมบู่ ้านพอเพยี ง
ต้นแบบ รองรับการศกึ ษาดงู าน
13
S1 ผู้นาชุมชนมีวิสยั ทศั น์ ประชาชนในหมบู่ า้ นมีความรักความสามัคคี มีความพรอ้ ม
ในการพฒั นา โดยผนู้ าชมุ ชน ผ้นู าองคก์ ร/กล่มุ ต่างๆ มีความเปน็ ผ้นู า มีความรู้ ความสามารถ
มีความซื่อสตั ย์ สจุ ริต ซงึ่ มปี ราชญช์ าวบา้ นเป็นผูน้ าขบั เคล่อื นทางปญั ญาในการประกอบ
อาชพี
S2 ระบบการขนสง่ หลากหลาย บา้ นโหนดหมมู่ ีการคมนาคมทางถนน จากหมบู่ า้ นสู่
ถนนสายหลกั ของภาคใต้ คือ ถนนเพชรเกษม ระยะทางประมาณ 6 กโิ ลเมตร และทต่ี งั้ อยู่ใกลส้ ถานี
รถไฟหารเทา ซง่ึ สะดวกแกก่ ารเดินทาง การคมนาคมขนสง่ สินค้า และผลิตภัณฑ์ชุมชนต่างๆ
S3 สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน และวิสาหกิจชุมชนมีความหลากหลาย ได้แก่
ข้าวสงั ข์หยด พชื ผักอินทรีย์ ผลไม้ ผลิตภณั ฑ์จากนา้ ผ้งึ
S4 มีศนู ยก์ ารเรยี นรู้ โรงเรียน กจิ กรรม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งตน้ แบบ
มีการศึกษาดูงานของประชาชนโดยท่วั ไป ในแต่ละท่ีจะมีกลุม่ ประชาชนจากภายนอกเข้ามาศึกษาดู
งานในพ้ืนท่ีมากมาย สร้างรายได้แก่ชุมชนและประชาชนในการฝึกอบรม การจาหน่ายสินค้า และ
ผลติ ภณั ฑต์ ่างๆ
การดาเนินกิจกรรม
จุดอ่อน(Weakness)
แหล่งน้าธรรมชาตติ น้ื เขนิ ไม่มีนา้
ท้งั ปี
น้าประปาไมส่ ามารถใช้บรโิ ภคได้
ผลติ ภัณฑช์ มุ ชนยังไม่เปน็ ท่รี ้จู ักในมมุ
กวา้ ง และยงั ไมไ่ ด้มาตรฐาน
14
W1 แหล่งน้าธรรมชาติตื้นเขิน ไม่มีน้าตลอดท้ังปี ในพ้ืนท่ีบ้านโหนดหมู่มีแหลง่ น้า
ธรรมชาติ 3 แหล่ง คือ หารน้าดา หารหม้อ คลองวัดทุ่งขุนหลวง สภาพปัจจุบันตื้นเขินมีวัชพืชข้นึ
ปกคลุมไม่มีฝายเก็บกักน้า ทาให้น้าไม่เพียงพอต่อการทาการเกษตร ทางหมู่บ้านต้องการท่ีจะขุด
ลอกคลองและแหล่งนา้ ทง้ั สามแหง่ และจัดทาฝายเพ่ิม เพ่อื ทาใหม้ ีพน้ื ที่จดั เกบ็ น้าเพ่มิ มากขนึ้ และขอ
สนับสนนุ ไปยงั กอ.รมน. เพื่อขดุ เจาะนา้ บาดาล พร้อมระบบสบู นา้ ด้วยพลงั งานแสงอาทติ ย์เพ่ิมเตมิ อกี
3 แห่ง
W2 นา้ ประปาหมู่บา้ นยงั ไม่สามารถใช้บริโภคได้ ระบบประปาหมู่บา้ นมีอยู่ 2 แห่ง
ให้บริการครอบคลุมทกุ ครัวเรอื นท้งั หมู่บา้ น มปี ริมาณน้าเพียงพอต่อการใช้งาน แตด่ คู ุณภาพน้ายังไม่
สามารถใชบ้ ริโภคได้ เน่อื งจากยงั ไม่มีระบบการกรองและระบบการจัดการน้าใหไ้ ด้คุณภาพมากขนึ้
W3 ผลิตภัณฑ์ชุมชนยังไม่เป็นทีร่ ู้จักในมมุ กว้าง และยังไม่ได้มาตรฐาน สินค้าและ
ผลิตภัณฑ์หลายชนิดยังคงเป็นแบบด้ังเดิม ยังไม่มีความโดดเด่น จาเป็นจะต้องมีการได้รับการ
สนับสนุนจากภาครฐั ในการให้ความรู้ พัฒนาให้ได้มาตรฐาน มีการแปรรูปหรือต่อยอดเพ่มิ มลู คา่ ให้
มากยิ่งข้นึ
ภาพท่ี 12 แหลง่ น้าธรรมชาติ
โอกาส (Opportonity)
มีโครงการรัฐเขา้ มาใหก้ าร
ช่วยเหลือ และ มีทุนสนบั สนุน
มรี ะบบการขนส่งทางราง ทาให้ลด
ต้นทนุ การผลิต
ประชาชนเขา้ ถงึ แหล่งเงินทุน
ดอกเบย้ี ต่า
15
O1 มีโครงการภาครัฐเข้าทาให้การช่วยเหลือ และให้การสนับสนุนเพ่ือชาวบ้าน
โหนดหม่เู ป็นหมบู่ ้านทม่ี คี วามพรอ้ ม มีความเขม้ แขง็ เปน็ หมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง และหมบู่ า้ นผ้นู า
ต้นแบบดเี ดน่ หลายสาขา เป็นผลให้ส่วนราชการ หนว่ ยงานหลายหน่วยงานใหก้ ารสนับสนุนโครงการ
และงบประมาณ ลงมาดาเนนิ การในพ้ืนท่ี
O2 มีระบบการขนส่งทางราง ทาให้ลดต้นทุนการผลติ เพราะบ้านโหนดหมอู่ ยูใ่ กล้
กบั สถานีรถไฟหารเทา ซึง่ เป็นสถานหี ลักแห่งหนึ่งของภาคใต้ มีขบวนรถไฟหลกั เดินทางขนึ้ – ลง ทุก
วัน วันละหลายขบวน ทางหมบู่ า้ นสามารถใชบ้ รกิ ารในการขนสินค้าการเกษตร ผลิตภัณฑช์ ุมชนต่างๆ
ได้ในปรมิ าณมาก และคา่ ใช้จ่ายถูกกวา่ ทางอื่น
O3 ประชาชนในหม่บู ้านเข้าถงึ แหลง่ เงินทุนดอกเบย้ี ต่าไดง้ ่าย ทัง้ นี้เพราะบา้ นโหนด
หมมู่ ีกลมุ่ ออมทรพั ย์เพื่อการผลติ มีกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารหม่บู า้ นท่เี ข้มแขง็ ทุกครัวเรือนเปน็ สมาชิก
มีกองทุนเป็นจานวนมาก สามารถกู้มาลงทุนกิจการต่าง ๆ และลงทุนในการประกอบอาชีพได้ใน
ดอกเบยี้ ต่า ประกอบกบั ทกุ ครัวเรือนมเี อกสารสทิ ธิ์ในทดี่ ิน สามารถใช้ค้าประกันเงนิ กธู้ นาคารของรัฐ
ได้ในอตั ราดอกเบ้ียถูก ไมต่ ้องไปกเู้ งินนอกระบบ
ข้อจากัด(Threat)
เศรษฐกิจชะลอตัวจากภาวะโรคตดิ ต่อ
โควิด19 ( covid-19 )
ปญั หาพืชผลทางการเกษตรราคาตกตา่
ปญั หาภัยธรรมชาติ อทุ กภัย ภยั แลง้
T1 เศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพรร่ ะบาดของโรคโควิด – 19 บ้านโหนดหมู่ไดร้ ับ
ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด – 19 ทาให้หมู่บ้านแบะประชาชนขาดรายได้ จาก
บุคคลภายนอกทจ่ี ะเขา้ มาศกึ ษาดูงาน เขา้ มาอบรมเรียนรงู้ านตามโครงการเศรษฐกจิ พอเพียง
T2 ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่า ซ่ึงเป็นเร่ืองที่เป็นไปตามกลไกตลาด
ซึ่งได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ามัน และข้าว ทางหมู่บ้านคงต้องเปล่ียนวิธีการเพาะปลูก ให้มีความ
หลากหลาย และเปล่ียนไปปลกู พืชทเ่ี ป็นทีต่ อ้ งการของตลาด และมมี ูลคา่ ทีม่ ากขึน้
T3 ปญั หาภัยธรรมชาติ ได้แก่ อุทกภัย และภยั แลง้ ทอี่ าจจะสง่ ผลกระทบ ต่อพชื ผล
ทางการเกษตร เป็นนาข้าว พชื ผกั และผลไม้
16
ความเส่ียงท่ีจะไมม่ ชี วี ิตท่มี ่นั คงของบคุ คล ครอบครวั และชมุ ชน
ประชาชนบ้านโหนดหม่สู ว่ นใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ทานา ทาสวนยางพารา
สวนปาลม์ นา้ มนั มีทีด่ ินเปน็ ของตนเอง ยดึ หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เลยี้ งสตั ว์ ปลกู ผัก เล้ียงปลา
มีการออมทุกครัวเรือน จากการพบปะพูดคุย สารวจข้อมลู และปรึกษาหารือทาใหท้ ราบความเสี่ยง
ของประชาชนในหมู่บ้าน มี 4 ประการ คือ
1. ปัญหาน้าเพ่ือการเกษตรมีไมเ่ พียงพอ ถึงแมว้ า่ จะมีแหลง่ นา้ ตามธรรมชาติในพื้นที่ 3
แห่ง แตม่ สี ภาพตน้ื เขิน มีปรมิ าณน้าไม่พอใช้ได้ตลอดท้งั ปี ทาใหก้ ารทานาขา้ วได้เพยี งปลี ะ 1 ครั้ง ไม่
สามารถขยายพืน้ ที่ทาการเกษตรเพม่ิ เตมิ ได้
2. ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่า เช่น ยางพารา ปาล์มน้ามัน เพราะเป็นแหล่ง
รายได้หลักของคนในหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าราคาผลผลิตทางการเกษตรจะราคาตก จะทาให้รายได้ของ
ประชาชนลดลงแต่ก็สามารถดาเนินชีวิตอยู่ได้ เพราะทุกครัวเรือนมีอาชีพเสรมิ มีการปลูกผัก เลี้ยง
สัตว์ เลี้ยงปลา รายจา่ ยมนี อ้ ย จงึ ไม่มีผลกระทบมากนกั
3. ปัญหาภัยธรรมชาติ ได้แก่ ภัยแล้ง และอุกทกภัยที่จะสร้างความเสียหายแก่พืชผล
ทางการเกษตร เชน่ นาข้าว พืชผกั ผลไม้ แตไ่ มร่ ุนแรงมาก
4. การแพร่ระบาดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (Covid - 19) บา้ นโหนดหม่เู ป็นหมบู่ า้ นท่ี
ปลอดผูต้ ิดเชื้อโควิด - 19 เพราะทกุ คนมีวินยั อยา่ งเคร่งครดั ในการปรับตัวตามมาตรการป้องกนั การ
แพร่เช้อื โควิด - 19 ในรปู แบบ D-M-H-T-T แต่ไดร้ ับผลกระทบในสว่ นของการขาดรายได้จากการไมม่ ี
คณะบุคคลจากท้องท่ีอื่นมาดูงานในศูนย์เรียนรู้ต่างในชุมชน ขาดรายได้จากการจาหน่ายผลผลิต
ทางการเกษตร สนิ คา้ และผลิตภณั ฑ์ตา่ งๆ
ปญั หาภยั แล้ง
17
5. สรุปบทเรียนทีไ่ ดร้ บั ในด้าน
5.1 การบรหิ ารการพฒั นาชุมชนท้องถนิ่
บ้านโหนดหมู่ หมู่ท่ี ๙ ต.หารเทา อ.ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ยืดรูปแบบด้ังเดิมตาม
กฎหมายลักษณะปกครองท้องท่ีเป็นหลัก คือ การมีคณะกรรมการหมู่บ้านที่เข้มแข็ง ทั้งนี้เพราะวา่
คณะกรรมการหมู่บา้ นเปน็ รูปแบบการบรหิ ารหมูบ่ ้านที่ผ่านการคัดเลือกประชาชนในหมู่บา้ นให้ทา
หน้าที่ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน ผูกติดกับอานาจและหน้าท่ีตามกฎหมาย ทาหน้าท่ีรวบรวม แก้ไข
ป้องกันปัญหาท่ีเกิดข้ึนในพื้นท่ี จากน้ันได้แตกเป็นกลุ่มย่อย หรือเครือข่ายในแต่ละด้านเพ่ือแก้ไข
ปัญหาเฉพาะทาง ได้แก่ กลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มทานา กลุ่มเยาวชน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มกองทุนฯ
ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ านของกลุ่ม คือ คน้ หาจดุ อ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค นาไปสกู่ ารบริหารจดั การ
ดา้ นงบประมาณ ขน้ั ตอนการทางาน ซ่ึงถอื เปน็ ความต้องการของแต่ละกลุ่ม เม่ือมาถูกรวมเขา้ ดว้ ยกัน
ตามหน้าท่ีของคณะกรรมการหมู่บ้าน(กม.) ก็จะกลายเป็นแผนของหมู่บ้านชุมชน โดยอาศัยหลัก
ความรู้ทางวิชาการมาจัดหมวดหมู่ของแผนและใช้หลักความพอเพียงในการจัดลาดับความต้องการ
เมื่อทาไปเร่ือยๆ จะก่อเกิดการเรียนรู้ตามหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะถ้าไม่มี
หลักการความพอเพียง จะนาไปสู่แผนหมู่บ้าน/ชุมชน ที่ปราศจากฐานความน่าเช่ือถือและการเป็น
ความเพอ้ ฝันขาดหนว่ ยงานสนับสนุนในการยกระดบั ความต้องการในระดบั ทส่ี ูงขนึ้ ต่อไป ทงั้ น้ี ตอ้ งใช้
เวลา ภูมปิ ัญญา งบประมาณ ความเพียร การศึกษาเรยี นรู้ ควบค่กู ันไป จากนัน้ เปน็ การถอดบทเรียน
ความสาเรจ็ และแนวทางปอ้ งกันความล้มเหลว(ความเป็นไปได้)
18
5.2 การบรหิ ารการพฒั นารระดบั ตาบลและอาเภอ
โดยโครงสร้างภายในของบา้ นโหนดหมู่ ได้แก่ กลุ่ม กองทนุ องค์กร แผนพฒั นาหมู่บ้าน
หลักการปฏบิ ตั งิ าน กอ่ ให้เกดิ ผลงานท่นี าพาคุณภาพชวี ิตความเปน็ อย่ขู องประชาชนในพ้ืนท่ีให้มรี ะดบั
ทด่ี ีขนึ้ โดยมีผลงานเชงิ ประจกั ษ์ มีเหตุมีผล มีภูมิคมุ้ กนั ในตวั และระหว่างกนั หรอื สง่ เสรมิ ซ่ึงกนั และกนั
จึงเป็นท่ีสนใจของชุมชนรอบขา้ งเพราะมคี วามชดั เจนตอบคาถามได้ รวมถงึ หนว่ ยงานราชการในระดบั
พ้นื ที่ ความน่าสนใจของหมบู่ า้ น ชุมชน ถกู ทาใหช้ ัดเจนจากผลการดาเนินการและแผนทีม่ ีการกาหนด
ระยะเวลาการปฏิบัติงานท่ีสมจริง ลงมือทาได้ตามเงื่อนไข และระยะเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นจึงถูก
ต่อยอดความต้องการในระดบั ตาบลและอาเภอ โดยกระบวนการจัดทาเปน็ ตาบลของเทศบาลตาบล
หารเทา เพอ่ื รองรับการจัดสรรงบประมาณและสง่ ต่อให้หนว่ ยงานท่ีมงี บประมาณท่ีสอดคลอ้ งกบั แผน
ของหมู่บ้าน/ชุมชน ในระดับอาเภอตามกรอบงานที่ส่วนราชการสามารถดาเนินการได้ ไม่ว่าจะเปน็
เทศบาลตาบล สานักงานพฒั นาชุมชน สานักงานเกษตร สานักงานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่ถึงแม้จะไม่มีงบประมาณในระดับอาเภอแต่สามารถส่งต่อให้
หน่วยงานต้นสังกัดจัดสรรงบประมาณมาดาเนินการได้ รวมถึงหน่วยงานสนับสนุนเชิงเฉพาะกิจ
ซึ่งปกตมิ ีหน้าท่ใี นการกากับการปฏิบัติราชการ แต่เล็งเห็นผลว่าจะเปน็ ผลดีแก่หมู่บ้าน/ชุมชนใช้เป็น
ศูนย์การเรียนรู้ในระดับเหนือข้ึนไปได้ อย่าง กอ.รมน. ก็ให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ การส่งเสริม
ดังกล่าวเปน็ การตอกยา้ ใหเ้ หน็ คุณค่าของการจดั ทาแผนพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยตนเองจากลา่ งขน้ึ บน
ซึ่งสอดคล้องกับหลกั การวางแผนพฒั นาประเทศ
19
5.3 ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลของการปฏิบัตงิ านตามนโยบายของรัฐบาล
ด้วยการบริหารการพัฒนาในระดับชุมชนท้องถิ่น ระดับตาบลและอาเภอ ด้วยการ
ระเบิดจากข้างใน ร่วมคิด ร่วมทา ร่วมตัดสินใจและร่วมรับผิดชอบบนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง
มีความเพียร ไม่ย่อท้อต่อข้ันตอน รายละเอียดในแต่ละด้าน ประกอบกับจะเกิดความร้ทู ่ีมีในพ้นื ถน่ิ
และจากหน่วยงานภายนอกหนุนเสริมจึงทาให้ทิศทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่
ในแต่ละด้านของหมู่บ้านก้าวหน้าและตอบสนองต่อความต้องการของคนในชุมชนท่ีมีความ
หลากหลายได้ในระดับเปน็ ที่น่าพอใจ พ่ึงพาตนเองได้ในระดับพออยู่พอกินและอยู่ดีกินดีตามลาดบั
อย่างไรก็ตามความต้องการพัฒนาแหล่งน้าด้านการเกษตรเพื่อเพิ่มอัตราการผลิตในครัวเรือน
ท่ีขาดแคลนแหล่งน้าเพื่อการเกษตรหรือไม่เคยทาการเกษตรเชิงผสมผสานมาก่อน ก็ยังมีความ
จาเป็นอยซู่ ึง่ เกนิ กาลงั ความสามารถของหน่วยงานในระดับชมุ ชน ตาบล อาเภอ เนือ่ งจากเกยี่ วข้องกบั
แหล่งน้าสาธารณะและเกี่ยวข้องกับแหล่งน้าท้ังระบบด้วย เอาเฉพาะการขออนุญาตเจ้าของพ้ืนที่
(ท่ีสาธารณะประโยชน์อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย ผู้ให้ความเห็นชอบคือ ผู้ว่าราชการ
จังหวัด) หรือหลักวิศวกรรมโครงสร้างเกี่ยวกับแหล่งน้าต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ซึ่งบคุ คลากรระดบั องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ยังต้องผา่ นความเห็นชอบจากหน่วยงานทีเ่ กี่ยวขอ้ งดว้ ย
(โยธาธิการจังหวัด ท่ีดินจังหวัด หรือชลประทานจังหวัด) ซึ่งต้องดาเนินไปตามข้ันตอนของแต่ละ
หนว่ ยงานอาจจะใชร้ ะยะเวลายาวนาน ในทางกลับกนั จากการศกึ ษาพบว่า การใช้แหลง่ นา้ ที่มอี ยเู่ ดิม
ให้เกดิ ความค้มุ คา่ โดยใช้เทคโนโลยีเข้าเสรมิ หรอื การทาแก้มลงิ ในท่ขี องตนเอง การทาธนาคารนา้ ใต้ดนิ
ฝายแมว้ ฝายแกนดนิ เหนียว ระบบสูบน้าพลังงานแสงอาทติ ย์ฯลฯ ก็ยังมีความจาเปน็ ต้องทาควบคกู่ ัน
ไปตามหลักภูมิสังคมและหลักการมีส่วนร่วม หากว่าติดขัดด้านงบประมาณหมู่บ้านอาจชะลอ
การซื้อที่ดินโดยเงินกู้มาพัฒนาด้านแหล่งน้าก่อน โดยดูว่าอย่างไหนจะคุ้มค่าและย่ังยืนกว่า กัน
20
ในระยะยาว โดยวิธีการประชาคมร่วมตัดสินใจซึ่งเป็นไปตามหลักการพ่ึงตนเองตามปรัชญาของ
เศรษฐกจิ แบบพอเพยี ง
การดาเนินการตามนโยบายของบ้านโหนดหมู่เป็นไปไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ โดยเฉพาะ
การแก้ไขปัญหาความยากจนทางในหมบู่ ้านอนั เนื่องมาจากผลกระทบด้านการเกษตรจนเปน็ ชุมชน
หมู่บา้ นท่ปี ระชาชนทกุ คนในพ้ืนท่มี รี ายได้เฉลย่ี มากกวา่ เส้นความยากจน ถอื ไดว้ า่ บา้ นโหนดหมู่ได้นา
แผนพัฒนาหมู่บ้านมาสู่การปฏิบัติเป็นการดาเนินการภายใต้ One Plan อย่างแท้จริง จึงเกิดเป็น
รูปธรรมทช่ี ดั เจนและเกดิ ผลสมั ฤทธก์ิ บั พนี่ ้องประชาชนในหมูบ่ า้ นทาใหเ้ กิดการกนิ ดี อยดู่ ี มเี ศรษฐกิจ
ท่ีดี สงั คมทีด่ ี ชีวิตมคี วามสุข
รางวัลต่างๆ
21
สว่ นที่ 3 การร่วมคดิ กจิ กรรมการพัฒนาร่วมกบั ชุมชน
จากข้อมูลแผนชุมชนบา้ นโหนดหมู่ หมู่ท่ี 9 ตาบลหารเทา อาเภอปากพะยูน จงั หวัด
พัทลงุ ประกอบกบั ทางกลมุ่ กป.1 ได้สอบถามผ้นู าประชาชนหลากหลายกลมุ่ อาชีพ และหลากหลาย
อายุ จนถึงครอบครวั ทีย่ ากจนท่ีสดุ ว่าปัญหาในหมูบ่ ้านคืออะไร และต้องการความช่วยเหลืออย่างไร
คาตอบที่ได้รับมีความสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันว่า ปัญหาของท่ีนี่คือเร่ืองน้า และราคา
ผลผลิตทางการเกษตรเป็นหลัก โดยประเด็นอืน่ ๆ ทางหมู่บ้านไดร้ บั การพฒั นาและสนับสนนุ ความ
ต้องการอย่างเพียงพอแล้ว แต่ปัญหาซึ่งยังคงมีความสาคัญและสมควรหยิบยกมาแก้ไข
(Issues – based) คือ ปัญหาน้าในการอุปโภคบริโภค รวมถึงทาการเกษตรไม่เพียงพอ และปัญหา
ราคาผลผลติ ทางการเกษตรตกตา่ เนอื่ งจากปัญหาระบบประปาเดิมทีม่ ีอยไู่ มส่ ะอาด ไหลช้า สายเมน
ประปามีขนาดเล็ก และชารุดบางส่วน ประชาชนต้องการน้าใช้ให้เพยี งพอท้ังปตี ่อการทาการเกษตร
ของทุกครัวเรือน ชุมชนจึงมีความต้องการท่ีจะดาเนินการหาแหล่งน้าเพิ่มเติมให้กับประชาชนใน
หมู่บ้าน ได้มีแหล่งน้าท่ีมีคุณภาพพร้อมระบบกรองประปาที่ได้มาตรฐานสาหรับการอุปโภคและ
บริโภคคณุ ภาพ ตลอดจนน้าเพอ่ื ใชก้ ารเกษตรอยา่ งเพียงพอและยง่ั ยืนในระยะยาวให้กบั ชมุ ชน
จากการศึกษาผลการแก้ไขปัญหาเรื่องน้าของชุมชนบ้านโหนดหมู่ที่ผ่านมา พบว่า
ชมุ ชนไดม้ กี ารวเิ คราะหป์ ญั หาเก่ยี วกับแหล่งน้าต้นทุน และการใช้น้า ดังนี้
1. ผู้นาชุมชน หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในพ้ืน ระดมความคิดเห็นหรือ
จัดทาประชาคมหมู่บ้าน เพ่ือร่วมกันหารอื วิเคราะห์สภาพตน้ ทุนด้านน้ากินนา้ ใช้ น้าเพือ่ การเกษตรใน
ปจั จุบนั โดยใช้ข้อมูลแหลง่ น้าผวิ ดิน สระ หว้ ย หนอง คลอง ระบบประปาเดมิ และจานวนประชากร
ในพ้นื ท่ี ตลอดจนชว่ งระยะ ทเ่ี กิดปัญหาการขาดแคลนนา้ ใหเ้ ปน็ มตขิ องชุมชนเพือ่ รองรบั การจดั ทา
โครงการจัดหาแหล่งนา้ บาดาลเพื่อการอปุ โภคบรโิ ภคและน้าบาดาลเพอ่ื การเกษตร
2. มีการสารวจ ตรวจสอบอุปกรณร์ ะบบประปาทม่ี อี ยูแ่ ลว้ สามารถใชง้ านได้ดหี รอื ไม่
มีอปุ กรณท์ ่ีชารุดหรือไม่ สามารถซอ่ มบารุงไดเ้ องหรอื ไมอ่ ยา่ งไร
3. ในการใช้น้าสาธารณะร่วมกัน มีการกากับดูแล มีกฎกติกาท่ีมีข้อตกลงร่วมกัน
หรือไม่อย่างไร เช่น การทิ้งขยะ ของเสีย น้าเสีย สารเคมีจากการเกษตรลงสแู่ หลง่ น้า หรือปลอ่ ยให้
สตั ว์เลย้ี งใกล้บริเวณแหลง่ นา้ ท่ใี ชอ้ ปุ โภคบริโภค
ทางกลุ่ม กป. 1 จึงได้คิดประเด็นการพัฒนาเพื่อหาแนวทางแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชน
โดยน้อมนาพระราชดารสั ของ ร.9 เรอ่ื ง การกกั เก็บน้าไว้ในถา้ 3 ขอ้ คอื 1) หาทใี่ ห้น้าอยู่ ด้วยการ
สร้างฝาย อา่ ง สระ 2) หาท่ีใหน้ ้าไป ด้วยการสรา้ งทางระบายนา้ และ 3) ทาทีก่ ักเก็บนา้ แบบถาวร
ดว้ ยการเก็บนา้ ใต้ดนิ ผนวกรวมกับความตอ้ งการของชุมชน เพ่ือใหส้ ามารถการแกไ้ ขปญั หาได้ควบคู่กับ
การมีสว่ นร่วมของภาคประชาชน โดยกาหนดเปน็ แผนการดาเนินงาน 2 ระยะ ดงั น้ี
1. แผนระยะส้ัน
1.1 การนาศาสตร์พระราชาตลอดจนหลักทฤษฎีใหม่และแนวพระราชดาริเศรษฐกจิ
แบบพอเพียง มาปรับใชใ้ นวถิ ีเกษตรและการดาเนนิ ชวี ิตทาใหเ้ ศรษฐกจิ ภาคเกษตรและชุมชนฐานราก
มีความเขม้ แข็ง สามารถยนื หยัดอยู่ไดด้ ้วยตนเอง เพื่อจะได้สร้างความเข้มแข็งจากภายในและเตบิ โต
อย่างมีคุณภาพ รวมท้ังดาเนินโครงการทจี่ ะกกั เก็บน้าไวใ้ ช้ตลอดปี
22
แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง
เนื่องจากบ้านโหนดหมู่ มีท่ีดินส่วนกลางของหมู่บ้านท่ีใช้เงินจากการทากลุ่มออม
ทรัพยจ์ ัดซอ้ื ไว้จานวนหลายแปลงท่ียงั ไม่ได้ใชป้ ระโยชน์ จงึ ขอใหน้ าเอาทดี่ นิ ดงั กล่าวมาใช้ ดงั นี้
1) โคก หนอง นา โมเดล เพือ่ ใช้ประโยชนส์ ว่ นรวมของหมู่บา้ น
โคก หนอง นา โมเดล
23
2) โครงการขุดสระเก็บน้าฝน หรือการสร้างพื้นท่ีเก็บน้าแบบแก้มลงิ เนื่องจากทาง
ภาคใต้จะมฝี นตกถงึ แปดเดือน
โครงการแก้มลงิ ตามแนวพระราชดาริ
1.2 การขุดลอกแหลง่ น้าสาธารณประโยชน์ทต่ี ้ืนเขินให้สามารถเก็บกักนา้ ไดม้ ากยิ่งขึ้น
โดยการดาเนินการตามแนวทางระเบียบกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งน้า
สาธารณประโยชน์ที่ต้ืนเขิน พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นการใช้วัสดุที่ขุดข้ึนมาโดยไม่ว่าจะเป็นดิน หิน ทราย
มาตีราคาเปน็ ค่าจา้ ง รวมถงึ การดูแลแหลง่ น้าสาธารณะและระบบประปาชมุ ชนเดิม
1.3 การทาชลประทานแบบน้าหยด เป็นการวางระบบท่อส่งน้าเพ่ือให้น้าและปุ๋ยไป
เล้ียงรากพืชแต่ละต้นโดยตรง ซ่ึงจะสามารถช่วยประหยัดน้าได้ และยังทาให้พชื ได้รบั สารอาหารจาก
ปุย๋ และนา้ ในปริมาณพอเหมาะ ซึง่ จะสง่ ผลทาให้ผลผลิตมีปรมิ าณเพ่ิมขึ้น
1.4 การวางแผงโซลาร์เซลล์ครอ่ มแหลง่ น้าทีม่ อี ยู่ ซ่ึงจะสามารถลดการเสียน้าไปจากการ
ระเหยด้วยความรอ้ นจากแสงอาทิตย์ และทส่ี าคัญยังสามารถผลติ ไฟฟา้ ใหก้ ับหมู่บ้านในกรณที ี่ไฟฟา้ ไม่
คอ่ ยเสถยี ร
1.5 การคิดค้นเรื่องเกษตรแนวใหม่ ได้แก่ การคัดเลือกพืชมาเพาะปลูกกับพื้นที่อย่าง
เหมาะสม การปลูกพืชที่ใช้น้าน้อย การทาเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น รวมถึงหาวิธีการท่ีจะใช้น้าให้เกิด
ประสิทธิภาพสงู สุด เปลี่ยนมาใช้ระบบนา้ หยด เพอ่ื ประหยดั น้าให้พชื ไดร้ ับน้าโดยตรงสม่าเสมอ ประหยดั
ตน้ ทุนแรงงาน แลว้ เปิดให้นา้ ในช่วงเช้า - เย็น เพ่อื ลดการระเหยในช่วงอากาศร้อน ท่ีสาคัญใช้ฟางหรอื
เศษไมค้ ลุมโคนตน้ เพอื่ รักษาความชื้นในดิน
1.6 การรวบรวมน้าจากบ้านเรือน ด้วยการกักเก็บน้าฝน หรือทารางน้าจากหลังคา
บ้านเรอื น ใชอ้ า่ งเก็บนา้ หรอื ภาชนะอืน่ ๆ กกั เกบ็ นา้ ฝน เพื่อให้มนี ้าใช้อุปโภคบริโภคในครอบครัว
24
ระบบชลประทานแบบนา้ หยด กิจกรรมจติ อาสาขุดลอกแหล่งน้า
2. แผนระยะยาว
2.1 การขุดเจาะบ่อบาดาล การทาฝาย รวมท้ังระบบนา้ บาดาลดว้ ยพลงั งานแสงอาทติ ย์
เพอื่ การเกษตรทต่ี อ้ งการเพ่ิมเติม ใหน้ าลงแผนพัฒนาหมบู่ ้าน แผนอาเภอ แผนจงั หวดั หรือกลุ่มจงั หวดั
เพ่ือขอรับการสนบั สนุนงบประมาณตอ่ ไป
2.2 ธนาคารน้าใต้ดิน (Groundwater Bank) เป็นแนวคิดการสร้างแหล่งกักเกบ็ น้าไว้
เพอื่ นากลบั มาใช้ใหม่ เปน็ นวตั กรรมการแกป้ ัญหาเรือ่ งน้าทีล่ งทุนน้อย ประหยัด สามารถทาได้ระดับ
หมบู่ า้ น ลดการใชง้ บประมาณในการจดั ทาโครงการขนาดใหญ่ เพ่ือนางบทเ่ี หลอื มาสง่ เสริมการเกษตร
ซึ่งประเทศไทยได้นาแนวคดิ ดังกล่าวมาจากตัวอย่างของรฐั แคลฟิ อรเ์ นีย สหรฐั อเมรกิ า และดาเนนิ การ
ในหลาย อปท. แตพ่ ้นื ท่ตี วั อยา่ งซง่ึ ประสบความสาเรจ็ คือ ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท
ทไ่ี ด้มกี ารผนวกเอาเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาร่วมดว้ ย โดยการจัดการนา้ ทง้ั ระบบ ใช้เทคโนโลยดี ้าน
ธรณีวิทยาสาหรบั ทิศทางการไหลของนา้ ประยุกต์ใช้กบั ระบบธนาคารน้าใต้ดิน กักเกบ็ น้าที่เหลือบน
ผวิ ดนิ ในฤดูฝนลงใต้ดิน ซง่ึ จะตอ้ งมีการศึกษาเก็บข้อมูลพน้ื ฐานดา้ นทรัพยากรธรณีตา่ ง ๆ แบ่งเปน็ 2
ระบบ ได้แก่ ระบบปดิ ใช้วัสดุอปุ กรณใ์ นการจดั ทา หลกั การคือสารวจจุดรวมน้าหรอื ทเ่ี ปน็ ทางน้าไหล
ของน้า จากน้ันขุดหลุมให้ทะลุช้ันดินเหนียวเพื่อให้น้าซมึ สูช่ ั้นได้ดนิ รวดเร็ว ปลูกแฝกรอบบ่อเพอ่ื ดัก
ตะกอน ประมาณ 30 – 40 บ่อ งบประมาณบ่อละ 3,000 บาท ระบบเปิด เป็นการขุดสระหรือ
แหล่งน้าขนาดใหญ่ให้ทะลชุ ้นั ดนิ ดาน ท้ังนี้ ควรทาทงั้ 2 ระบบควบค่กู นั ถึงจะมีประสิทธภิ าพมากทสี่ ดุ
ในการกกั เกบ็ นา้ ใต้ดิน
25
ภาพ ธนาคารนา้ ใต้ดิน (ระบบปดิ ) ภาพ การจัดทาบ่อขนาด 1.5x1.5 ม.
2.3 การวางแผนบริหารจัดการธนาคารน้าใต้ดินด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภูมิศาสตร์ในชุมชน เปน็ การเกบ็ ขอ้ มูลคณุ ภาพน้าและจัดทาแผนท่แี สดงข้อมูลตา่ ง ๆ เชน่ ขอ้ มูลดา้ น
น้าในหมู่บ้าน ทิศทางการไหลของน้าใต้ดิน การเจาะสารวจชั้นดิน การกาหนดจุดระบบการเติมน้า
เปน็ ต้น เพอ่ื ต่อยอดทาบัญชนี ้ารว่ มกบั ขอ้ มลู พยากรณส์ ภาพอากาศ ซึง่ จะสามารถบรหิ ารจัดการนา้ ได้
ง่ายขนึ้ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพเตมิ ระบบจดั การนา้ ใหย้ ั่งยนื
2.4 ปลูกฝงั การใชน้ ้าอยา่ งรคู้ ณุ คา่ สรา้ งจิตสานึกรว่ มกนั สู่การปฏิบัตเิ ป็นกจิ วตั ร ช่วยให้
การประหยดั น้าชมุ ชนเป็นรปู ธรรม
2.5 การวางแผนพัฒนาข้าวสังข์หยดซ่ึงเป็นพืชเศรษฐกิจท่ีสร้างรายได้ และมีการแปร
รูปเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกต่างประเทศ ไปสู่สินค้าที่มีส่ิงบ่งช้ีทางภูมิศาสตร์ (GI) ช่วยเพ่ิมมูลค่าทาง
เศรษฐกิจ นอกจากน้ี ควรมีการทาเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ เพ่ือเพิ่มช่องทางการตลาดสร้างเศรษฐกิจ
ชมุ ชนอยา่ งยง่ั ยืน
ผลิตภัณฑแ์ ปรรปู จากขา้ วสังขห์ ยด
26
แนวทางขบั เคลอ่ื นตามแผนการดาเนินงาน
1. แผนระยะสัน้
1.1 การนาศาสตรพ์ ระราชาตลอดจนหลกั ทฤษฎใี หมแ่ ละแนวพระราชดาริเศรษฐกิจ
แบบพอเพียง มาปรบั ใชใ้ นวิถเี กษตรและการดาเนนิ ชีวิต ไดแ้ ก่ โคก หนอง นา โมเดล
1) ประสานสานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอ เพื่อขอรับคาแนะนาในการออกแบบ
พืน้ ท่ีทาเกษตรในแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ในพ้นื ท่สี ่วนกลางของหมบู่ า้ น
2) บริหารจัดการพ้ืนท่ี เบ้ืองต้นประมาณ 15 ไร่ โดยมีเป้าหมายว่า ต้องทาใหม้ ี
ข้าวปลาอาหารพอกินตลอดปี เพ่ือประหยัดค่าใช้จ่ายและมีรายได้เหลือพอสาหรับจับจ่ายใช้สอยใน
เรื่องจาเป็น โดยใช้อัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 เป็นเกณฑ์ปรับใช้ ได้แก่ พ้ืนท่ีส่วนแรก 30
เปอร์เซน็ ต์ใช้สาหรบั ขดุ สระนา้ เพอ่ื เลย้ี งปลา ปลูกพืชน้าทกี่ นิ หรือใชป้ ระโยชน์อื่นๆ ได้ รอบๆ ขอบสระ
ปลูกไมต้ ้นทีไ่ ม่ใช้น้ามาก และสรา้ งเล้าไก่บนสระ พ้ืนที่สว่ นท่ีสอง 30 เปอร์เซ็นตใ์ ช้สาหรบั ทานา พื้นที่
ส่วนที่สาม 30 เปอร์เซ็นต์ใช้ปลูกไม้ผล ไม้ต้น หรือไม้ที่ใช้สอยในครัวเรือน ใช้สร้างบ้านเรือน ทา
อุปกรณ์การเกษตร หรือใชเ้ ปน็ ฟืน พ้ืนท่ีทเ่ี หลอื อกี 10 เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ป็นทอ่ี ยู่อาศัย ทางเดนิ คนั ดนิ กอง
ฟาง ลานตาก กองปุ๋ย หมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ หรือปลูกผักสวนครัว สมุนไพร และไม้
ดอกไม้ประดับ เป็นต้น แต่เน่ืองจากหมู่บ้านในภาคใต้มีฝนตกชุก จึงควรปรับเปลี่ยนตามความ
เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่ ปริมาณน้าฝน และสภาพแวดล้อม โดยปรับเปน็ จดั สรรพ้ืนที่ 5 ไร่ใช้
ทานาผลิตขา้ วพอกนิ ทัง้ ครอบครวั ตลอดปี พ้ืนที่ 3 ไร่ ขุดสระลกึ 4 เมตร มีนา้ เพยี งพอในการใช้ตลอด
ทงั้ ปี พืน้ ท่ี 5 ไร่ตามคนั นาและรอบพน้ื ท่ใี ชป้ ลกู ไมผ้ ล ปลกู ไม้ต้น ไม้ใช้สอย สมุนไพร ปลูกปา่ 3 อย่าง
ประโยชน์ 4 อย่าง เพ่ือทาฟืน ก่อสรา้ งบา้ นเรือน อีก 2 ไร่ ใช้สร้างบ้าน โรงเรอื น โรงเห็ด ผักสวนครวั
ไม้ดอกไมป้ ระดบั สร้างรายไดเ้ สริม
3) บริหารจัดการน้า บนหลักการว่า ทาอย่างไรให้มีน้าเพียงพอต่อการเพาะปลกู
และใช้ในชวี ติ ประจาวันตลอดปแี ละมสี ารองไว้ใช้ในฤดูแล้งหรือระยะฝนทิ้งช่วง พนื้ ทท่ี ีม่ ีฝนตกชกุ จะ
มีปริมาณนา้ ฝน 1,800 – 2,000 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี เม่อื ทานา 5 ไร่ ปลูกพชื ไรห่ รือไม้ผลอีก 5 ไร่ รวม
เป็น 10 ไร่ ต้องมนี า้ ใชไ้ มต่ า่ กวา่ 10,000 ลูกบาศก์เมตรในแตล่ ะปี หากขดุ สระลกึ 4 เมตรบนเนอ้ื ท่ี
3 ไร่ สามารถเก็บนา้ ไดเ้ ตม็ สระ 19,000 ลกู บาศก์เมตร และเน่ืองจากเป็นพ้ืนทีก่ ารเกษตรท่ีอาศัย
น้าฝน จึงต้องขุดบ่อให้ลึกเพ่ือป้องกันไม่ให้น้าระเหยได้มากเกินไป รวมถึงเกษตรกรควรทานาใน
หน้าฝน เม่ือถงึ ฤดแู ล้งหรอื ฝนท้ิงช่วง ให้เกษตรกรใชน้ ้าทเี่ ก็บนั้นให้เกิดประโยชนท์ างการเกษตรอย่าง
สูงสุด โดยพิจารณาปลกู พืชให้เหมาะสมกับฤดกู าล เพ่ือใหม้ ีผลผลติ อน่ื ไว้บริโภคและสามารถนาไปขาย
ไดต้ ลอดปี
1.2 การขุดลอกแหล่งน้าสาธารณประโยชน์ท่ีต้ืนเขิน การดูแลแหล่งน้าสาธารณะ
และระบบประปาชมุ ชนเดิม
1) ประสานขอรถขุดจาก อบจ.พัทลุง หรือ ปภ.เขต เพื่อดาเนินการการขุดลอก
แหลง่ น้า ลาคลองทตี่ ืน้ เขนิ เพอ่ื เพม่ิ ปริมาณการกกั เก็บน้า
27
2) ชุมชนชว่ ยกนั ดแู ลรกั ษาความสะอาดแหลง่ น้าในชุมชน ด้วยการไม่ท้ิงขยะหรือมี
แหลง่ ท้งิ ขยะ ของเสีย น้าเสีย ลงสแู่ หล่งน้า รวมถึงไม่ใช้สารเคมใี นภาคการเกษตร เพื่อปอ้ งกันสารเคมี
ปนเป้อื นลงสู่แหล่งนา้
3) กาหนดกฎ กติกาในการใช้แหล่งนา้ สาธารณะและระบบประปาหม่บู า้ นร่วมกัน
เช่น ไม่นาสัตว์เล้ียงไปเล้ียงใกล้บริเวณแหล่งน้าต้นทุนท่นี ามาผลติ น้าอุปโภคบริโภค จัดทีมเฝ้าระวัง
ไม่ให้มีการทิ้งขยะ หรือมีน้าเสียไหลลงบอ่ บาดาล ดูแลอุปกรณ์ระบบประปา ท่อส่งน้าหากว่ามีการ
ชารุด แตกหรือร่ัวไหลต้องรีบดาเนินการซ่อมแซมโดยเร็ว เพื่อป้องกันน้ารั่วไหล และเป็นการ
บารุงรักษาอุปกรณ์ให้มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น มีการจัดเก็บค่าใช้น้าจากระบบประปาบาดาลใน
ชุมชนตามกตกิ าอยา่ งเปน็ ธรรมและโปรง่ ใส เพื่อเป็นกองทนุ ในการบารุงรกั ษาอุปกรณ์อยา่ งยัง่ ยืน
4) จดั ทาระบบกรองน้าอยา่ งง่ายสาหรบั ระบบประปาเดิมในชมุ ชน เพอ่ื ประชาชน
จะได้ใช้น้าที่มีคุณภาพมากขึ้น และควรมีการเป่าล้างบ่อบาดาลทุก ๆ 2 ปี เพื่อเป็นการพัฒนาบ่อ
บาดาลใหม้ ีประสทิ ธิภาพอย่างย่งั ยืน
1.3 การทาชลประทานแบบนา้ หยด
1) ประสานสานักงานเกษตรอาเภอ ในการเสนอโครงการขอรับการสนับสนุน
งบประมาณ โดยประสานขอองค์ความรู้จากสานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
เพื่อให้ชาวบา้ นได้รว่ มกันศึกษาเรียนรวู้ ่าพชื แตล่ ะชนิดต้องการน้าปรมิ าณเท่าใด และดินท่ใี ชป้ ลูกซึม
น้าได้เร็วแค่ไหน ซ่ึงจะมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนเพ่ิมขึ้น ประมาณ 4,000-7,000 บาทต่อไร่ ขณะที่
ให้ผลผลติ ต่อไร่เพม่ิ สูงขน้ึ ถึง 2-3 เทา่ มรี ะยะเวลาในการคืนทนุ เฉลี่ย 3 เดอื น
2) เลือกทดสอบกับการปลูกพริกก่อน ว่าให้ผลผลิตพริกนอกฤดูต่อไร่เพิ่มสูงกวา่
วธิ กี ารใหน้ า้ แบบรอ่ งคูเล็กหรอื ไม่ อย่างไร ในพ้ืนทีส่ ่วนกลางของชมุ ชน
3) ดาเนินการติดต้ังชุดอุปกรณ์หลักประกอบด้วย เครื่องสูบน้าแบบเครื่องยนต์
ดีเซลหรือไฟฟา้ ขนาดสามแรงม้า ถังเก็บน้าขนาดความจุ 200 ลิตร จานวน 2 ใบ ตัวกรองตะกอน
มิเตอรว์ ัดอัตราการไหล ขนาด 1 นว้ิ ท่อจา่ ยนา้ PVC ขนาด 1 น้ิว วารว์ เทปนา้ หยด และเทปน้าหยด
อายุการใช้งานของระบบประมาณ 3-5 ปี โดยประมาณ
4) ประเมินผลผลิตท่ไี ด้ นามาเปรียบเทยี บข้อดี ขอ้ เสีย เพ่ือใชเ้ ป็นข้อมลู พืน้ ฐานใน
การปรับเปลย่ี นระบบการใหน้ ้าพืชอย่างเหมาะสมกับชนิดของพชื เศรษฐกจิ ในพ้นื ที่ คือ ข้าวสงั ขห์ ยด
ต่อไป
1.4 การวางแผงโซลารเ์ ซลล์คร่อมแหล่งน้าทีม่ อี ยู่
1) ประสานสานักงานพลังงานจังหวัด เพ่ือขอรับการสนับสนุนงบประมาณ
โครงการนาแผงโซลารเ์ ซลลไ์ ปติดตัง้ อย่บู นผืนน้า นอกเหนือจากตดิ ตั้งบนพ้ืนดิน รวมถึงองค์ความรู้ใน
การประกอบและตดิ ตั้งแผงโซลารเ์ ซลลล์ อยนา้ จากสถาบนั สารสนเทศทรัพยากรนา้ (องค์การมหาชน)
เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจถงึ ขั้นตอนการผลติ กระแสไฟและวิธีการดแู ลรกั ษาอปุ กรณ์
2) ประชุมกรรมการหมบู่ า้ น ร่วมกบั หนว่ ยงานที่เกี่ยวขอ้ ง ในการพิจารณาแหล่งนา้
ท่เี หมาะสม ซึ่งควรจะเปน็ อ่างเกบ็ น้า เขือ่ น หรอื บ่อเก็บน้าทวั่ ไปของชุมชน