17 x 24 cm 26.5 mm 17 x 24 cm ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์ ตำ�แหน่งก ารปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์
ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์ จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะ ให้ พระราชเวที (สุรพล ชิตาโณ ป.ธ.๙, ศษ.บ., พธ.บ., อ.ม.) เจ้าคณะภาค ๑๒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพวชิรโสภณ สุวิมลศาสนกิจ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐ ตอนที่ ๒๗ ข ลำดับที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
(2) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์
สมัยรัตนโกสินทร์ (3) ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชด าริว่า พระสงฆ์ ซึ่งด ารงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรจะได้เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์สูงขึ้น มีอยู่ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา ๑. พระธรรมดิลก ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวชิรดิลก ศากยปุตติยนายก สาธกธรรมวิจิตร พิพิธศาสนกิจการี ตรีปิฎกบัณฑิต ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๒. พระธรรมภาณพิลาส ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวัชรวิสุทธิ์ พุทธศาสตรวิภัชโกศล โสภณสังฆกิจบริหาร สุวิธานปริยัติกิจ ตรีปิฎกวิภูษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดคูยาง พระอารามหลวง จังหวัดก าแพงเพชร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๓. พระธรรมวราภรณ์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวชิรสุนทร บวรศาสนกิจจานุกูล วิบูลสีลาจารนิวิฐ ภาวนากิจวิธานปรีชา ศาสนภารธุราทร ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดสนามพราหมณ์ จังหวัดเพชรบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป หนา ๑้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
(4) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๔. พระธรรมวิมลโมลี ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวชิรเมธาจารย์ สุวิธานทักษิณปริยัติกิจ สีลาจารนิวิฐวิมล โสภณธรรมดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดไตรธรรมาราม พระอารามหลวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๕. พระธรรมวิมลมุนี ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวัชรคุณาภรณ์ อิสานบวรศาสนกิจดิลก สาธกธรรมวิจิตร ปริยัติกิจธรรมาทร ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดมัชฌิมาวาส พระอารามหลวง จังหวัดอุดรธานี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๖. พระธรรมเจดีย์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวชิรธีรคุณ สุนทรธรรมวาที ศรีปริยัติโกศล วิมลสีลาจารนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดทองนพคุณ พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป ขออาราธนาพระคุณผู้ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณฐานันดร เพิ่มอิสริยยศในครั้งนี้ จงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในคณะ และในพระอาราม ตามสมควรแก่ก าลัง และอิสริยยศซึ่งพระราชทานนี้ และจงเจริญอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖6 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน หนา ๒้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
สมัยรัตนโกสินทร์ (5)
(6) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๔. พระเทพโกศล เป็น พระธรรมวชิรโกศล วิมลนวรัฐกิจบริหาร วิจิตรปฏิภาณธรรมสุนทร ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดศรีโสดา พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่ มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดกุศลวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๕. พระเทพปริยัติเวที เป็น พระธรรมวชิรดิลก สาธกธรรมภาณี สุสีลสมาจารนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดสุขวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๖. พระเทพชลธารมุนี เป็น พระธรรมวชิราลังการ ศาสนกิจวิธานโกศล วิมลปัญญาธรรมสาธก ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดบางพระ วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดชลบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดวัณณวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๗. พระเทพวิสุทธิเมธี เป็น พระธรรมวชิรคณี คัมภีรญาณวิมล โสภณศาสนกิจ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดเทพธิดาราม วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดคณวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๘. พระเทพสิทธิวิมล เป็น พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ ไพศาลธรรมกิจโกศล วิมลสังฆกิจบริหาร ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดคลองวาฬ พระอารามหลวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดอิทธิวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๙. พระเทพปริยัติเมธี เป็น พระธรรมวชิรธีรคุณ สุนทรญาณปริยัตินายก ดิลกธรรมานุสิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง จังหวัดนครสวรรค์ มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดสุนทรวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๐. พระเทพวรมุนี เป็น พระธรรมวชิรโสภณ มงคลภาวนาวรคุณ วิบุลธรรมสโมธาน ศาสนบรรหารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดนครพนม มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดวุฒิวรวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หนา ๔้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
สมัยรัตนโกสินทร์ (7) ๑๑. พระเทพเจติยาจารย์ เป็น พระธรรมวชิรเมธาจารย์ ไพศาลศาสนกิจโกศล วิมลสีลาจารสุนทร ตรีปิฎกคุณาลงกรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดโสมนัส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดเมธาวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๒. พระเทพปริยัติสุธี เป็น พระธรรมวชิรกวี สิงห์บุรีวรกิจบริหาร วิปัสสนาปฏิภาณวิจิตร ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดพระนอนจักรสีห์ วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดสิงห์บุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัด สิริวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๓. พระเทพสิทธาจารย์ เป็น พระธรรมวัชราจารย์ สุวิธานปริยัติคุณ วิบุลสิทธินายก ดิลกศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดมหาชัย พระอารามหลวง จังหวัดมหาสารคาม มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดอาจริยวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๔. พระเทพมหาเจติยาจารย์ เป็น พระธรรมวชิรเจติยาจารย์ สุวิธานศาสนกิจโกศล โสภณปริยัติดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดนครปฐม มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดสมาธิวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๕. พระเทพโมลี เป็น พระธรรมวชิรปาโมกข์ ยุตโยคคุณจารี สีลาจารวัตรวิมล โสภณวิหารกิจจาทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรม ได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดปธานวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๖. พระเทพปริยัตยาจารย์ เป็น พระธรรมวชิรสุตาภรณ์ สุนทรสีลาจารวัตร ปริยัติธรรมธารี ศรีศาสนกิจธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นธรรม สถิต ณ วัดกลาง พระอารามหลวง จังหวัดบุรีรัมย์ มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป คือ พระครูปลัดคัมภีรวัฒน์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หนา ๕้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
(8) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑๗. พระราชธรรมวาที เป็น พระเทพวชิรวาที กวีธรรมลิขิต วิจิตรอรรถสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๘. พระราชกิตติเวที เป็น พระเทพวชิรมงคล โสภณธรรมสาธก ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๑๙. พระราชเวที เป็น พระเทพวชิรโสภณ สุวิมลศาสนกิจ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๐. พระราชสารเวที เป็น พระเทพวชิโรดม สังฆกิจนิยมคุณากร สุนทรธรรมนิวิฐ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๑. พระราชวชิรเมธี เป็น พระเทพวชิรเมธี ศรีปริยัติกิจดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดก าแพงเพชร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๒. พระราชรัตนาลงกรณ์ เป็น พระเทพวชิรคุณ อดุลธรรมสถานมงคล สุวิมลศาสนกิจจาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๓. พระราชภาวนาพิธาน เป็น พระเทพภาวนาวชิรคุณ วิบุลพุทธโสธรบริบาล ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดโสธรวราราม วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรม ได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หนา ๖้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
สมัยรัตนโกสินทร์ (9) ๒๔. พระราชวินยาภรณ์ เป็น พระเทพวชิรดิลก สาธกธรรมวรคุณ สุนทรวิหารกิจ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดบุรณศิริมาตยาราม พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๕. พระราชนันทมุนี เป็น พระเทพวชิรนันทาภรณ์ สุนทรศาสนกิจนายก ดิลกปริยัติกิจธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดบัวขวัญ พระอารามหลวง จังหวัดนนทบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๖. พระราชรัตนโสภณ เป็น พระเทพวชิรโกศล โสภณวรกิจจาทร ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดบางนานอก กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๗. พระราชสารสุธี เป็น พระเทพวชิรปาโมกข์ ยุตโยคญาณธารี ตรีปิฎกวราลงกรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดตรีทศเทพ วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๘. พระราชธรรมวิเทศ เป็น พระเทพวชิรวิเทศ พิเศษศาสนกิจดิลก ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดพุทธานุสรณ์ สหรัฐอเมริกา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๒๙. พระราชวิจิตรปฏิภาณ เป็น พระเทพวชิรปฏิภาณ บริหารชุมพรบุรีวรกิจ วิจิตรธรรมสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดราชบุรณะ พระอารามหลวง จังหวัดชุมพร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๐. พระราชสุมนต์มุนี เป็น พระเทพวชิรเมธาจารย์ ไพศาลศาสนกิจดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หนา ๗้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
(10) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๓๑. พระราชวชิรธาดา เป็น พระเทพวัชรวิสุทธิ์ โกศลพุทธศาสนกิจจาทร ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดศรีสระแก้ว พระอารามหลวง จังหวัดหนองบัวล าภู มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๒. พระศรีกิตติเมธี เป็น พระราชวชิรกวี ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดเทพนิมิตร จังหวัดฉะเชิงเทรา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรม ได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๓. พระสุวิมลธรรมาภรณ์ เป็น พระราชวชิราธิบดี ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๔. พระสิรินันทมุนี เป็น พระราชวชิรนายก ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดนางนอง วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๕. พระพิพัฒนวราภรณ์ เป็น พระราชวชิรธรรมสุนทร บวรธรรมานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดสุนทรธรรมทาน กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๖. พระสุทธิสารสุธี เป็น พระราชวชิรเมธาจารย์ พิศาลวรกิจจาทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดดอนรัก จังหวัดสงขลา มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๗. พระอมรโมลี เป็น พระราชวัชรปัญญาเมธี ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๓๘. พระสมุทรวชิรโสภณ เป็น พระราชสมุทรวชิรโสภณ มงคลธรรมากร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดเพชรสมุทร วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดสมุทรสงคราม มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หนา ๘้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
สมัยรัตนโกสินทร์ (11) ๓๙. พระสรภาณโกศล เป็น พระราชวชิรโกศล สุวิมลวรกิจจาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๐. พระสุนทรธรรมภาณ เป็น พระราชวัชรญาณรังษี สุธีภาวนานุสิฐ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดพระพุทธแสงธรรม จังหวัดสระบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๑. พระศรีพัชโรดม เป็น พระราชพัชรธรรมเมธี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดมหาธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๒. พระพิศาลศึกษากร เป็น พระราชปริยัติวัชราจารย์ สุวิธานประชาวรกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดใหม่กรงทอง จังหวัดปราจีนบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๓. พระวิสุทธิสารเถร เป็น พระราชวัชรญาณวิศิษฏ์ สมิทธิภาวนาคุณสุนทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน จังหวัดกาญจนบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๔. พระระณังคมุนีวงศ์ เป็น พระราชระณังควชิรมุนี ศรีศาสนกิจสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดระนอง มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๕. พระวิสิฐคณาภรณ์ เป็น พระราชวชิรมงคลวิสิฐ โกศลศาสนกิจจาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดมงคลชัยพัฒนา พระอารามหลวง จังหวัดสระบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๖. พระกิตติโสภณวิเทศ เป็น พระราชวชิรธรรมวิเทศ พิเนตศาสนวราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพุทธสามัคคี นิวซีแลนด์ มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หนา ๙้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
(12) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๔๗. พระปัญญากรโมลี เป็น พระราชวชิรากร สุนทรอุตรดิตถ์ธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดท่าไม้เหนือ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๘. พระสีหราชสมาจารมุนี เป็น พระราชวชิรสีมาภรณ์ สุนทรสุวัฒนสังฆกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพระนารายณ์มหาราช วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดนครราชสีมา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๔๙. พระโสภณพัฒนบัณฑิต เป็น พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต วิสิฐศาสนธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๕๐. พระสุธีวราภรณ์ เป็น พระราชวชิรกิจจาทร ตรีปิฎกคุณาภรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพระบรมธาตุ วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดชัยนาท มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๕๑. พระสิริพัฒนาภรณ์ เป็น พระราชวชิราทร ศรีสกลนครวรกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดสกลนคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ๕๒. พระครูวิสิฐศาสนการ วัดนิคมสโมสร จังหวัดพังงา เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวิมลวชิราภรณ์ ๕๓. พระครูปริยัติยาภิรม วัดพัฒนาราม พระอารามหลวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรปริยัตยาภรณ์ ๕๔. พระครูวรธรรมธัช วัดกลาง พระอารามหลวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระเมธีวัชราจารย์ ๕๕. พระครูพินิจสมณการ วัดควนนอก จังหวัดปัตตานี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระโสภณวชิรนายก ๕๖. พระครูเมตตาภิรม วัดมงคลนิมิตร พระอารามหลวง จังหวัดภูเก็ต เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระอุดมวชิรมงคล ๕๗. พระครูปัญญาสัตติคุณ วัดไพรสณฑ์รัตนาราม จังหวัดก าแพงเพชร เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระสุนทรวชิราจารย์ หนา ๑๐้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
สมัยรัตนโกสินทร์ (13) ๕๘. พระครูโสภณวัชรคุณ วัดเพชรวราราม พระอารามหลวง จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระโสภณวชิรากร ๕๙. พระครูประโชติธรรมคุณ วัดเนินแสงทอง จังหวัดบึงกาฬ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรศาสนคุณ ๖๐. พระครูวิบูลธรรมานุศาสน์ วัดวิเวการาม จังหวัดจันทบุรี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระวิบูลวชิรธรรม ๖๑. พระครูวินิจสมณการ วัดสหธรรมิการาม จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวิมลวชิราธิบดี ๖๒. พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ วัดดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระสุพรรณวชิราภรณ์ ๖๓. พระครูวิสุทธิสีลคุณ วัดสามัคคีบุญญาราม จังหวัดล าปาง เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวิสุทธิวชิรวิมล ๖๔. พระครูสิริธรรมาภิรัต วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระเมธีวชิราภิรัต ๖๕. พระครูศรีมงคลปริยัติกิจ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรสิทธิธาดา ๖๖. พระครูโสภณปริยัติสุธี วัดศรีโคมค า พระอารามหลวง จังหวัดพะเยา เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระเมธีวชิรคุณ ๖๗. พระครูศรีสุธรรมาภรณ์ วัดมะขามเตี้ย จังหวัดพิษณุโลก เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรธรรมาภรณ์ ๖๘. พระครูสุทธิกิจจาทร วัดอ่างทอง วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดอ่างทอง เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระสุวรรณวชิราทร ๖๙. พระครูอุดมศีลาจาร วัดเขมาภิรตาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดนนทบุรี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรเขมคุณ ๗๐. พระครูอุดมวิสุทธิคุณ วัดโคกขี้หนอน จังหวัดชลบุรี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระมงคลวัชรวิสุทธิ์ ๗๑. พระครูทัสนียคุณากร วัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรคุณากร ๗๒. พระครูวิจิตรปัญญาภรณ์ วัดศรีรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระเมธีวัชราภรณ์ หนา ๑๑้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
(14) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๗๓. พระมหาวีรศักดิ์ ธมฺมธโช (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีวชิรโสภณ ๗๔. พระมหากายสิทธิ์ สิทฺธาภิภู (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) วัดบึงครอบศรัทธาราม จังหวัดสุโขทัย เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีวชิรกวี ๗๕. พระมหาเสนิญุสม์ สมทสฺสี (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีวชิรธรรมาภรณ์ ๗๖. พระมหาชูชาติ จิรสุทฺโธ (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีวชิรสุทธิคุณ ๗๗. พระมหาสมคิด สุนทรธมฺโม (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีวชิรธาดา ๗๘. พระมหาฉัตรชัย สุฉตฺตชโย (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีวชิรวาที ๗๙. พระครูสมณธรรมสมาทาน วัดปากน้ า พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระวชิรธรรมสมาทาน ๘๐. พระครูสิริเจติยานุกูล วัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระสิทธิวชิรานุกูล ๘๑. พระครูสุทัศนมุนี วัดอาวุธวิกสิตาราม พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรปัญญารังษี ๘๒. พระครูภาวนาชยานุสิฐ วัดมหาชัย พระอารามหลวง จังหวัดมหาสารคาม เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระวชิรญาณวิศิษฏ์ ๘๓. พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ วิเชียร วัดไทยสิริราชคฤห์ สาธารณรัฐอินเดีย เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระวิเทศวชิรเมธี ๘๔. พระครูปลัดสุวัฒนธรรมคุณ จินดา วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรคณาภรณ์ ๘๕. พระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ ชุมพร วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรรัตนาภรณ์ ๘๖. พระครูปลัดสุวัฒนวิสุทธิสารคุณ เทียนชัย วัดนรนาถสุนทริการาม พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามว่า พระวัชรญาณมุนี หนา ๑๒้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
สมัยรัตนโกสินทร์ (15) ๘๗. พระครูปลัดสุวัฒนวิมลคุณ พงศ์พันธ์ วัดไร่ขิง พระอารามหลวง จังหวัดนครปฐม เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวชิรปัญญาภรณ์ ๘๘. พระมหาเวชยันต์ เวชยนฺโต (เปรียญธรรม ๘ ประโยค) วัดสุวรรณดาราราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระเมธีวชิรธาดา ๘๙. พระมหาสมชาย คุณชโย (เปรียญธรรม ๗ ประโยค) วัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวัชรเสนาบดี ๙๐. พระมหามงคล มงฺคลคุโณ (เปรียญธรรม ๗ ประโยค) วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ จังหวัดมุกดาหาร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระวิฑูรวชิรโมลี ๙๑. พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ หรรษา วัดใหม่ กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า พระเมธีวัชรบัณฑิต ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖6 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน หนา ๑๓้ ่ เลม ๑๔๐ ตอนที่ ๒๗ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖
(16) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์
คำ�ปรารภ สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณา โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ให้ พระราชเวที เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวชิรโสภณ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖ ในการนี้ คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก เรื่องตำแหน่งการปกครองคณะ สงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์ (วิเชียร สิริวฑฺฒโน) ได้รวบรวมเรียบเรียงประวัติความเป็นมาของการปกครองคณะสงฆ์และระบบสมณศักดิ์ ของคณะสงฆ์ในประเทศไทยในอดีตตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย อยุธยา ธนบุรีมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ มีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานและเป็นระบบเป็นระเบียบแบบแผน วางรากฐานทำ ให้คณะสงฆ์ไทย ดูแลรักษาพระพุทธศาสนาอยู่ได้อย่างยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เกิดจากพระราชศรัทธา และพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทรงเป็นองค์ เอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงยกย่องเชิดชูอุปถัมภ์บำ รุงพระพุทธศาสนามาโดยตลอด รวมทั้งบรรดา พุทธบริษัทก็ล้วนแล้วแต่มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา จึงทำ ให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองมี วัดวาอารามจำ นวนมาก เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติธรรม เป็นแหล่งรวมศิลปกรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม เป็นบ่อเกิดวัฒนธรรมประเพณีไทยที่ดีงามเป็นอันมาก สร้าง ความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ทำ ให้ชาวโลกนิยมมาเยี่ยมเยือนเป็นจำ นวนมาก ขอถวายพระพร สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ที่ทรงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานสมณศักดิ์เป็นการให้กำลังใจแก่พระสงฆ์ ที่ทำ หน้าที่ดูแลรักษาพระพุทธศาสนา ขอจงทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากโรคาพาธอุปัทวันตราย ทั้งหลาย สถิตมั่นในมไหสูรย์สมบัติ ตลอดจิรัฏฐิติกาล ขอกราบขอบพระคุณบูรพาจารย์และพระมหาเถรานุเถระที่ช่วยกันสนับสนุนส่งเสริม และช่วยอบรมแนะนำ สั่งสอน ขออนุโมทนากับท่านสาธุชนพุทธบริษัทที่ให้การอุปถัมภ์บำ รุง มาโดยตลอด ขอจงมีความสุขความเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ธรรมสารสมบัติโดยทั่วกันทุกท่าน เทอญ (พระเทพวชิรโสภณ) เจ้าคณะภาค ๑๒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
(18) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระเทพวชิรโสภณ (สุรพล ชิตาโณ ป.ธ.๙, ศษ.บ., พธ.บ., อ.ม.) เจ้าคณะภาค ๑๒ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สถานะเดิม ชื่อ สุรพล นามสกุล สิงคิรัตน์ เกิดวัน ๓ ฯ ๖ คํ่า ปีมะแม วันอังคารที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ บิดา นายวิบูลย์ สิงคิรัตน์ มารดา นางองุ่น สืบสมาน บ้านเลขที่ ๑๙ หมู่ที่ ๔ ตำ บลบ้านใหม่ อำ เภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา บรรพชา วัน ๖ ฯ ๔ คํ่า ปีระกา วันศุกร์ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ณ วัดสามกอ ตำ บลสิบเอ็ดศอก อำ เภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พระอุปัชฌาย์พระครูอาจารสัมบัน (ชม หิริสมฺปนฺโน) วัดสามกอ ตำ บลสิบเอ็ดศอก อำ เภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา อุปสมบท วัน ๗ ฯ ๖ คํ่า ปีเถาะ วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พระอุปัชฌาย์พระวิสุทธาธิบดี (สง่า ปภสฺสโร ป.ธ.๘) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พระกรรมวาจาจารย์ พระเทพมงคลวิเทศ (อมรวุฒิ อมโร ป.ธ.๓) วัดพระเชตุพนวิมล มังคลาราม แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พระอนุสาวนาจารย์ พระธรรมปริยัติมุนี (ประยนต์ อจฺจาทโร ป.ธ.๙) วัดปิตุลา ธิราชรังสฤษฎิ์ ตำ บลหน้าเมือง อำ เภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ๘ ๑๕ ๕ ๑๕ ๕
สมัยรัตนโกสินทร์ (19) วิทยฐานะ พ.ศ. ๒๕๒๓ สำ เร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนปรีชาวิทยา อำ เภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. ๒๕๒๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ อำ เภอเมือง ฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. ๒๕๒๖ สอบไล่ได้ น.ธ.เอก วัดจุกเฌอ ตำ บลคลองจุกเฌอ อำ เภอเมือง ฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา สำ นักเรียนคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เลขที่ประกาศนียบัตร ๗/๒๕๒๖ พ.ศ. ๒๕๓๕ สอบได้ ป.ธ.๙ วัดพระเชตุพน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สำ นักเรียนวัดพระเชตุพน เลขที่ ประกาศนียบัตร ๑๔/๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๗ สำ เร็จปริญญาตรี ศึกษาศาสตรบัณฑิต วิชาเอกบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. ๒๕๓๘ สำ เร็จการศึกษาปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) วิชาเอก ศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๒ สำ เร็จการศึกษาปริญญาโท อักษรศาสตรมหาบัณฑิต (อ.ม) สาขาวิชาภาษาบาลีและสันสกฤต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นเลขานุการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะใต้ วัดพระเชตุพน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๒ (เขตปกครองคณะสงฆ์ ๔ จังหวัด คือ จังหวัดปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว) พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นพระอุปัชฌาย์ วิสามัญ
(20) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นกรรมการ ในคณะกรรมการฝ่ายปกครองของมหาเถรสมาคม ตามคำสั่งมหาเถรสมาคม ที่ ๒/๒๕๕๙ เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการ ฝ่ายต่างๆ ของมหาเถรสมาคม ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๙ พ.ศ. ๒๕๖๒ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะกรรมการฝ่ายปกครอง ของมหาเถรสมาคม แต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการฝ่ายปกครอง : ด้านการพัฒนาระบบการจัดการตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้การ ขับเคลื่อนโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธ ศาสนาที่ฝ่ายปกครองรับผิดชอบดำ เนินไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้า หมายคณะสงฆ์ ตามคำสั่งที่ ๑/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๒ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นเจ้าคณะภาค ๑๒ (เขตปกครองคณะสงฆ์ ๔ จังหวัด คือ จังหวัดปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว) พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นรองเจ้าคณะเหนือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร ในราชทินนามที่ พระศรีวิสุทธิวงศ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชเวทีตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. ๒๕๖๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพวชิรโสภณ สุวิมลศาสนกิจ ตรีปิฎก บัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์ พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์ (วิเชียร สิริวฑฺฒโน ป.ธ.๔)
ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์สมัยรัตนโกสินทร์ หนังสือประกอบการศึกษาเพิ่มเติมรายวิชาการปกครองคณะสงฆ์ไทย สาขาวิชาพระพุทธศาสนา หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๖๐ © โดย...พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์(วิเชียร สิริวฑฺฒโน ป.ธ.๔) ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจผลงานวิชาการ รองศาสตราจารย์ ดร.ประพันธ์ ศุภษร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุทัย คงศิริภักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาตรี ชุมเสน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์ (วิเชียร สิริวฑฺฒโน). ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์.-- พิมพ์ครั้งที่ ๓.--กรุงเทพฯ : อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์, ๒๕๖๖. ๔๕๖ หน้า. ๑. สงฆ์ -- การปกครอง. I. ชื่อเรื่อง. 294.3186 ISBN 978-616-300-862-6 พิมพ์ครั้งที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ พิมพ์ครั้งที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ (แก้ไขเพิ่มเติม) จำ นวน ๕๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖ จำ นวน ๒,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ที่ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ๓๗๖ ถนนชัยพฤกษ์ แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๔๒๒ ๙๐๐๐, ๐ ๒๘๘๒ ๑๐๑๐ โทรสาร ๐ ๒๔๓๓ ๒๗๔๒, ๐ ๒๔๓๔ ๑๓๘๕ E-mail : [email protected] Homepage : http://www.amarin.com
คำ�นิยม (พิมพ์ครั้งที่ ๒) ท่านมหาวิเชียร สิริวฑฺฒโน พธ.ม. (มจร.) รองผู้อำ นวยการวิทยาลัยฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร มจร. ได้นำ หนังสือ “ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบ สมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์” ที่ท่านได้เรียบเรียงขึ้นมาให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งขอ “คำ นิยม” นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และมีความชื่นชมยินดีอย่างที่สุด ที่ท่านมหาวิเชียรได้ เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้น เพื่อประโยชน์แก่บรรดาพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชน ทั้งหลาย จะได้เข้าใจเกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ซึ่งส่วนมาก ไม่มีใครรู้รายละเอียดมากนัก รวมทั้งข้าพเจ้าเองด้วย ทำ ให้ข้าพเจ้าระลึกถึงงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง และที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ได้จัดเวทีอภิปรายและสนทนาที่สนามหญ้าหน้าตึกมหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งใน คืนนั้น นางสาวเสริมศิริ เจริญพานิช นักเรียนมัธยมปีที่ ๘ ดูเหมือนจะเป็นโรงเรียนศึกษานารี ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปสอนวิชาพุทธศาสนาและศีลธรรม เธอพูดเก่งมาก ได้ถามข้าพเจ้าว่า “เวลานี้บรรดาศักดิ์เขาก็เลิกกันหมดแล้ว ทำ ไมทางพระศาสนาจึงยังมีสมณศักดิ์อยู่อีก” ซึ่ง ข้าพเจ้าตอนนั้นเป็นเลขาธิการ มจร. และเป็นประธานในการตอบปัญหาว่า “ข้าพเจ้า เห็นด้วยว่า ทางพระศาสนาก็ควรเลิกสมณศักดิ์ได้แล้ว” เพราะปรากฏว่าพระเถระบางรูป ที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระครู” หรือ “เจ้าคุณ” แล้ว ใครไปเรียกว่า “หลวงตา” “หลวงลุง” ฯลฯ ท่านจะไม่พอใจ ทั้งๆ ที่สมณศักดิ์ก็คือ บรรดาศักดิ์ของพระ นั่นเอง ซึ่งพอจะเทียบกันได้ดังนี้ พระราชาคณะชั้นสามัญ เทียบกับบรรดาศักดิ์ชั้น “ขุน” พระราชาคณะชั้นราช เทียบกับบรรดาศักดิ์ชั้น “หลวง” พระราชาคณะชั้นเทพ เทียบกับบรรดาศักดิ์ชั้น “พระ” พระราชาคณะชั้นธรรม เทียบกับบรรดาศักดิ์ชั้น “พระยา” พระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร เทียบกับบรรดาศักดิ์ชั้น “เจ้าพระยา” พระราชาคณะชั้นสุพรรณบัตร เทียบกับบรรดาศักดิ์ชั้น “สมเด็จเจ้าพระยา” ทำ ให้ข้าพเจ้านึกถึงท่านพระครูรูปหนึ่งในต่างจังหวัด ท่านถือตัวมาก ใครไป เรียกท่านว่า “หลวงตา” หรือ หลวงลุง” เป็นต้น ท่านจะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งท่าน
(24) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ได้พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งเมาแอ๋มาทีเดียว เดินคับตรอกซอกซอย ท่านจึงบอกว่า “เอ็งนี่เมา ทั้งเช้าทั้งเย็นเชียวนะ” เจ้าหนุ่มผู้นั้นก็ตอบว่า “ผมเมาเช้า เย็นก็สร่างครับ เมาเย็น เช้าก็ สร่างครับ แต่บางคนจะเมาทั้งเช้าและเย็นไม่สร่างเลย” เด็กหนุ่มหมายถึงท่านพระครูรูปนั้น ซึ่ง “เมายศ” “เมาตำแหน่ง” ในสมัยนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่า “สมณศักดิ์” ควรจะเลิกได้แล้ว แต่เพราะสมัยนั้นข้าพเจ้ายังอายุน้อย จึงมองโลกในด้านเดียว ต่อมาข้าพเจ้าได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “พระกวีวรญาณ” ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง ๒๘ ปีเศษ นับว่าเป็นพระราชาคณะที่หนุ่มที่สุด แม้ขณะนี้ก็ยังไม่มีใครทำลายสถิติได้ ต่อมาข้าพเจ้า จึงเห็นว่า “สมณศักดิ์” ก็มีประโยชน์เหมือนกัน โดยเฉพาะในด้านการปกครองคณะสงฆ์ และเป็นที่เจริญศรัทธาของพุทธศาสนิกชนด้วย ข้าพเจ้ายังจำ เหตุการณ์ได้ว่า สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็น “พระมหา” เปรียญ ๙ ประโยค ได้นำข้อสอบบาลีไปเปิดสอบที่ต่างจังหวัด บรรดาเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ เห็นว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กเพราะตัวเล็กด้วย ท่านไม่ค่อยให้เกียรติมากนัก แต่ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเป็น พระราชาคณะที่อายุยังน้อยอยู่ เวลานำข้อสอบบาลีไปเปิดสอบที่ต่างจังหวัด มีครั้งหนึ่งนำ ไปเปิดสอบที่จังหวัดน่าน ศึกษาธิการฝ่ายคณะสงฆ์ซึ่งมีอายุไม่มากนัก ได้ปรารภกับข้าพเจ้า ว่า ท่านได้เสนอให้พระเถระผู้ใหญ่ของจังหวัดน่านให้เปิดโรงเรียนบาลีมัธยม สาขา มจร. แต่ไม่มีใครเห็นด้วย ท่านก็ปรารภกับข้าพเจ้าว่าจะทำอย่างไรดี ข้าพเจ้าก็ตอบว่าแล้วเป็น ภารธุระของข้าพเจ้าเอง ตอนคํ่าๆ ข้าพเจ้าก็ไปขอพบเจ้าคณะอำ เภอทุกรูป โดยชี้แจงว่า มหาจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ของฝ่ายมหานิกาย โดยเน้นเรื่อง “นิกาย” ให้มาก ถ้าจังหวัด น่านเปิดโรงเรียนบาลีมัธยม สาขา มจร. แล้ว ก็จะเป็นประโยชน์แก่พระภิกษุสามเณรฝ่าย มหานิกายมาก จนถึงวันสุดท้ายข้าพเจ้าก็ไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดซึ่งเป็น พระราชาคณะอายุมากแล้ว ขอให้ท่านเรียกประชุมเจ้าคณะอำ เภอทั้งหมด และให้ข้าพเจ้า ชี้แจงประโยชน์ของโรงเรียนบาลีมัธยม โดยเน้นเรื่อง “นิกาย” เป็นพิเศษ แล้วท่านก็ถาม เจ้าคณะอำ เภอทั้งหลายว่า ใครมีความสงสัยอะไรบ้างก็ให้ถามข้าพเจ้าได้ แต่โดยเหตุที่ข้าพเจ้า ได้ไปกราบเรียนให้ท่านเจ้าคณะอำ เภอทุกรูปทราบหมดแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร นี่แหละ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า “สมณศักดิ์” ก็มีประโยชน์มากเหมือนกัน ถ้ารู้จักใช้และไม่ติดสมณศักดิ์ มากไป เพราะฉะนั้น การพิจารณาไม่ว่าอะไรก็ตาม ควรพิจารณาให้รอบคอบทั้งแง่บวก และแง่ลบ ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว ควรใช้ “เหตุผล” พิจารณาทั้งสองด้าน แม้แต่องค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาของเรา ก็ได้ตรัสสอนใน “กาลามสูตร” ว่า :
สมัยรัตนโกสินทร์ (25) ๑. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ โดยการฟังต่อๆ กันมา (มา อนุสฺสเวน) ๒. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ โดยมีการทำสืบๆ กันมา (มา ปรมฺปราย) ๓. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ ตามเสียงที่เล่าลืออยู่ (มา อิติกิราย) ๔. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ ตามสื่อที่ได้เขียนหรือจารึกไว้ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) ๕. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ โดยเหตุที่ว่ามันถูกต้องตามเหตุผลทางตรรกะ (มา ตกฺกเหตุ) ๖. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ โดยเหตุที่มันถูกต้องตามเหตุผลทางนัย (มา นยเหตุ) ๗. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ หรือรับมาเชื่อด้วยการตรึกตามอาการ (มา อาการปริวิตกฺเกน) ๘. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงเพราะข้อความนั้นเข้ากับความเห็นของตน (มา ทิฏฺิ นิชฺฌานกฺขนฺติยา) ๙. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงผู้พูดมีสถานะน่าเชื่อ (มา ภพฺพรูปตาย) ๑๐. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงสักว่าสมณะผู้พูดเป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครุ) จาก “กาลามสูตร” นี้จะเห็นได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดา ของเรา ทรงมีนํ้าพระทัยกว้างเพียงใด เพราะกาลามสูตรทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เป็นหลักประกัน ความไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือไม่ใช้สติปัญญาของตัวเอง ในการต้อนรับสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ที่เรียกในภาษาธรรมว่า “ปรโตโฆสะ” ข้าพเจ้าเขียน “คำ นิยม” เสียเพลินก็เพราะดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านมหาวิเชียร สิริวฑฺฒโน ได้เรียบเรียงหนังสือ “ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์” ได้อย่างดียิ่ง แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถทำ ได้ จึงขออนุโมทนาต่อ ท่านมหาวิเชียรเป็นอย่างยิ่ง และขอให้เรียบเรียงหนังสือที่เป็นประโยชน์แก่การปกครอง ของคณะสงฆ์ไทยและอื่นๆ ต่อไปเถิด. (ศาสตราจารย์พิเศษจำ นงค์ ทองประเสริฐ) ราชบัณฑิต ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔
คำ�นำ� ข้าพเจ้าเรียบเรียงหนังสือเรื่อง “ตำ แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบ สมณศักดิ์ สมัยรัตนโกสินทร์” ซึ่งเป็นหนังสือประกอบการศึกษาเพิ่มเติมรายวิชา การปกครองคณะสงฆ์ไทย วิชากลุ่มพระพุทธศาสนา ตามหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นเอกสารประกอบการขอ ตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งมีรองศาสตราจารย์ ดร.ประพันธ์ ศุภษร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุทัย คงศิริภักดิ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาตรี ชุมเสน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิตรวจผลงานวิชาการนี้ พระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณมาทรงถือเป็นพระราชธุระในการทำ นุบำ รุง พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ โดยเฉพาะด้านการคณะสงฆ์นั้นทรงถือเป็นพระราชธุระ ในการปกครองอย่างใกล้ชิด และเนื่องด้วยการปกครองคณะสงฆ์นั้นจึงเป็นที่มาของ สมณศักดิ์หรือสมณฐานันดรศักดิ์ การพระราชทานสมณศักดิ์ ถือเป็นเครื่องราชสักการะ ที่พระมหากษัตริย์ทรง พระกรุณาโปรดพระราชทานแด่พระสงฆ์ผู้บำ เพ็ญคุณงามความดี สร้างสรรค์คุณประโยชน์ แก่พระพุทธศาสนา สังคมและประเทศชาติให้เป็นที่ปรากฏ เป็นการอุปถัมภ์ ยกย่องและ สนับสนุนส่งเสริมพระสงฆ์ให้มีอุตสาหะในการบำ เพ็ญศาสนกิจอันจะเป็นประโยชน์ให้ พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงและเผยแผ่ยิ่งๆ ขึ้นไป อีกทั้งสมณศักดิ์ยังมีความเกี่ยวโยงกับ ตำ แหน่งด้านการบริหารการปกครองคณะสงฆ์ เช่นเดียวกับบรรดาศักดิ์หรือเครื่องราช อิสริยาภรณ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ขุนนาง ข้าราชการ และประชาชน ฝ่ายราชอาณาจักร สมณศักดิ์ ยังเป็นฐานันดรที่มีทั้งพระเดชและพระคุณช่วยเสริมตำ แหน่งด้าน การบริหารการปกครองให้แก่พระสงฆ์ผู้ทำ หน้าที่บริหารการปกครองคณะสงฆ์ ทำ ให้เกิด ความน่าเชื่อถือน่ายำ เกรงหรือได้รับการยอมรับมากขึ้น ส่งผลให้การบริหารและการปกครอง งานคณะสงฆ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สมัยรัตนโกสินทร์ (27) ดังนั้น ตำ แหน่งการปกครองคณะสงฆ์จึงมีความสัมพันธ์กับระบบสมณศักดิ์ ทั้งนั้น อันจะเป็นประโยชน์สำ หรับพระสงฆ์ผู้มีหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อเป็นกำลัง ในการเผยแผ่พระศาสนาและช่วยเหลือในการปกครองดูแลพระภิกษุสามเณร เป็นการ สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้สถิตสถาพรสืบไป (พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์) รองผู้อำ นวยการวิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธรฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
สารบัญ ประกาศ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ (๓) คำ ปรารภ (๑๗) ประวัติพระเทพวชิรโสภณ (๑๘) คำ นิยม (๒๓) คำ นำ (๒๖) บทที่ ๑ บทนำ ๑ ๑.๑ การปกครองคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย ๑ ๑.๒ การปกครองคณะสงฆ์สมัยอยุธยา ๔ ๑.๓ การปกครองคณะสงฆ์สมัยธนบุรี ๖ ๑.๔ การปกครองคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์ ๘ บทที่ ๒ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ร.ศ. ๑๒๑ ๑๗ ๒.๑ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ๑๗ ๒.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ๑๙ ๒.๒.๑ การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง ๑๙ ๒.๒.๒ การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ๒๐ บทที่ ๓ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒๕ ๓.๑ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒๕ ๓.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒๖ บทที่ ๔ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ ๓๕ ๔.๑ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ๓๕ ๔.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ๓๖ ๔.๓ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓๙ ๔.๓.๑ การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม ๔๐ ๔.๓.๒ การใช้อำ นาจทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ของมหาเถรสมาคม ๔๓ (๑) อำ นาจนิติบัญญัติของมหาเถรสมาคม ๔๓ (๒) อำ นาจบริหารของมหาเถรสมาคม ๔๓
สมัยรัตนโกสินทร์ (29) (๓) อำ นาจตุลาการของมหาเถรสมาคม ๔๗ ๔.๓.๓ ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร ๔๙ บทที่ ๕ ตำแหน่งผู้ปกครองคณะสงฆ์ ๕๕ ๕.๑ พระคณาธิการ ๕๕ ๕.๒ พระสังฆาธิการ ๕๗ ๕.๓ ความต่างกันระหว่าง “พระคณาธิการ” กับ “พระสังฆาธิการ” ๕๘ ๕.๔ คุณสมบัติพระสังฆาธิการ ๖๐ ๕.๔.๑ คุณสมบัติทั่วไป ๖๐ ๕.๔.๒ คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง ๖๐ (๑) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ๖๐ (๒) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะภาค ๖๒ (๓) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ๖๒ (๔) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะอำ เภอ ๖๒ (๕) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะตำ บล ๖๒ (๖) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าอาวาส ๖๓ (๗) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ในกรุงเทพมหานคร ๖๓ (๘) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ๖๓ ๕.๕ การพ้นจากตำแหน่งหน้าที่พระสังฆาธิการ ๖๔ ๕.๖ ที่ปรึกษาเจ้าคณะ ๖๔ บทที่ ๖ พระราชกำ หนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ ๗๑ ๖.๑ การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ๗๑ ๖.๒ การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ๘๒ บทที่ ๗ การเปรียบเทียบพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ กับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ๙๕ บทที่ ๘ สมณฐานันดรศักดิ์แห่งคณะสงฆ์ไทย ๑๒๕ ๘.๑ ความหมายของสมณศักดิ์ ๑๒๕ ๘.๒ ความสำคัญของสมณศักดิ์ ๑๒๘ ๘.๓ ความเป็นมาของสมณศักดิ์ ๑๒๘ ๘.๓.๑ สมณศักดิ์สมัยสุโขทัย ๑๒๙ ๘.๓.๒ สมณศักดิ์สมัยอยุธยา ๑๓๔
(30) ตำ�แหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๘.๓.๓ สมณศักดิ์สมัยธนบุรี ๑๔๑ ๘.๓.๔ สมณศักดิ์สมัยรัตนโกสินทร์ ๑๔๒ ๘.๔ ประเภทของสมณศักดิ์ ๑๖๒ ๘.๔.๑ สมณศักดิ์เกี่ยวกับความรู้ ๑๖๒ ๘.๔.๒ สมณศักดิ์เกี่ยวกับผลงาน ๑๖๓ ๘.๕ ลำดับชั้นสมณศักดิ์ ๑๖๓ ๘.๕.๑ สมเด็จพระราชาคณะ ๑๖๓ ๘.๕.๒ พระราชาคณะ ๑๘๙ ๘.๕.๓ พระครูสัญญาบัตร ๑๙๑ ๘.๕.๔ ฐานานุกรม ๒๐๐ ๘.๕.๕ เปรียญ ๒๒๑ ๘.๕.๖ ประทวนสมณศักดิ์ ๒๒๕ ๘.๕.๗ พระพิธีธรรม ๒๒๘ ๘.๖ การพิจารณาแต่งตั้งสมณศักดิ์ ๒๒๘ ๘.๗ พิธีพระราชทานสมณศักดิ์ ๒๓๑ ๘.๘ ลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธี ๒๓๑ บทที่ ๙ ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับสมณศักดิ์ ๒๔๕ ๙.๑ สมณศักดิ์กับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ ๒๔๕ ๙.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับสมณศักดิ์ ๒๔๖ ๙.๓ ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับสมณศักดิ์ ๒๔๙ ๙.๓.๑ สมเด็จพระสังฆราช ๒๕๐ ๙.๓.๒ มหาเถรสมาคม ๒๕๘ ๙.๓.๓ เจ้าคณะใหญ่ ๒๗๐ ๙.๓.๔ เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค ๒๘๐ ๙.๓.๕ เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด ๒๘๔ ๙.๓.๖ เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ ๒๘๙ ๙.๓.๗ เจ้าคณะตำ บล รองเจ้าคณะตำ บล ๒๙๖ ๙.๓.๘ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส ๓๐๑ บรรณานุกรม ๓๑๕ ภาคผนวก ๓๒๕ ดรรชนี ๔๐๘ ประวัติผู้เขียน ๔๒๓
บทที่ ๑ บทนำ� การปกครองคณะสงฆ์ แต่เดิมนั้นได้ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักในการปกครอง อาศัยอำ นาจรัฐและจารีตเป็นหลักอุดหนุน เมื่อใดเกิดความไม่เรียบร้อยในคณะสงฆ์จนเป็น เหตุขัดข้องและจำ เป็นต้องพึ่งรัฐ เมื่อนั้นก็ได้อาศัยอำ นาจรัฐช่วยแก้ไข ดังเช่นสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช๑ การคณะสงฆ์และการพระศาสนาได้ดำ เนินมาด้วยลักษณะอย่างนี้ และเป็นที่ ยอมรับนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ตลอดถึงองค์ประมุขของประเทศ เพราะคณะสงฆ์ได้ ดำ เนินกิจการคณะสงฆ์และกิจการพระศาสนา เป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไพศาลแก่คณะสงฆ์ และประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม พระพุทธศาสนาที่ชาวไทยนับถือมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยเป็นพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน ลัทธิลังกาวงศ์ ที่กรุงสุโขทัยได้รับมาจากประเทศลังกาผ่านนครศรีธรรมราช เหตุการณ์ตอน ที่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เผยแผ่เข้าสู่สุโขทัยมีรายละเอียดพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ ๑.๑ การปกครองคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย หนึ่งศตวรรษก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. ๑๖๙๖ พระเจ้าปรักกรมพาหุ เสด็จขึ้นครองราชย์ในประเทศลังกา ทรงฟื้นฟูทำ นุบำ รุงพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ด้วยการ ทำสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๗ พระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองในประเทศลังกาทั้งใน ด้านการศึกษาและปฏิบัติธรรม กิตติศัพท์ได้เลื่องลือไปถึงประเทศพม่า พระสงฆ์จากพุกาม และมอญได้เดินทางไปศึกษาพระธรรมวินัยและบวชแปลงใหม่ในคณะสงฆ์ลังกา จากนั้น พระสงฆ์ผู้ออกบวชแปลงใหม่ได้พาพระสงฆ์ลังกากลับเมืองพุกามและเมืองมอญ ตั้งคณะสงฆ์ ๑ ดูรายละเอียดใน วิ.ม.อ. (ไทย) ๑/๙๗.
2 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ลังกาวงศ์ขึ้นจนได้รับความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนในเมืองทั้งสอง ต่อมาพระสงฆ์ ชาวลังกาชื่อ ราหุล ได้จาริกจากเมืองพุกามมาตั้งคณะลังกาวงศ์ขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช และประสบความสำ เร็จในการสร้างศรัทธาให้กับประชาชนจนพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ เจริญรุ่งเรืองที่เมืองนครศรีธรรมราช๑ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๒ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงสดับ กิตติศัพท์ของคณะสงฆ์แบบลังกาวงศ์ก็ทรงเลื่อมใสศรัทธา จึงโปรดให้อาราธนาพระมหาเถร สังฆราชจากเมืองนครศรีธรรมราชมาตั้งสำ นักเผยแผ่ศาสนา ณ วัดอรัญญิก ในกรุงสุโขทัย ดังข้อความตอนหนึ่งในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า “เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้มีวัดอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำ โอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรหลวก (รู้หลัก) กว่าปู่ครู ในเมืองนี้ ทุกคน ลุก (จาริก) แต่เมืองนครศรีธรรมราช”๒ ข้อความในศิลาจารึกตอนนี้แสดงว่า ก่อนที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจะอาราธนา พระมหาเถรสังฆราชมาเผยแผ่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์นั้น กรุงสุโขทัยมีพระสงฆ์ฝ่าย หินยานอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งศิลาจารึกเรียกว่า “ปู่ครู” อันหมายถึง “พระครู” นั่นเอง พ่อขุนราม คำ แหงมหาราชทรงเลื่อมใสมหาเถรสังฆราช เพราะท่านศึกษาจบพระไตรปิฎกและเป็น ผู้รอบรู้ยิ่งกว่าพระครูทุกรูปในกรุงสุโขทัย ในระยะแรก คงมีพระสงฆ์ ๒ คณะในกรุงสุโขทัย คือ พระสงฆ์ฝ่ายหินยานซึ่งมีอยู่เดิมตั้งแต่รัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์คณะหนึ่ง กับพระสงฆ์ ฝ่ายหินยานแบบลังกาวงศ์ที่จาริกมาจากเมืองนครศรีธรรมราชอีกคณะหนึ่ง พระสงฆ์คณะ เดิมได้ยุบรวมเป็นคณะเดียวกันกับพระสงฆ์ลังกาวงศ์ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช๓ ในรัชกาลนี้ไม่ปรากฏว่ามีการจัดองค์กรการปกครองคณะสงฆ์ ๑ เสถียร โพธินันทะ, พระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย, (กรุงเทพมหานคร : สภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๐๐), หน้า ๒๙.๒ กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : ลายสือไทย, ๒๕๒๖), หน้า ๑๓ - ๑๔. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปี)๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ, ประชุมนิพนธ์เกี่ยวกับตำ นาน ทางพระพุทธศาสนา, (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๑๔, คณะสงฆ์วัดพระพิเรนทร์ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเทพคุณาธาร (ผล ชินปุตฺโต) ณ ฌาปนสถานวัดพระพิเรนทร์ วันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๔), หน้า ๗๐.
สมัยรัตนโกสินทร์ 3 ๑ สมบูรณ์ สุขสำราญ, พุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗), หน้า ๕๕. การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ปรากฏเป็นแบบแผนชัดเจนในรัชสมัย พระมหาธรรมราชาลิไท ผู้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ชาวลังกานามว่า พระมหาสามีสังฆราช จากเมืองนครพันมาตั้งสำ นักเผยแผ่พระศาสนา ณ วัดป่ามะม่วงในกรุงสุโขทัย ใน พ.ศ. ๑๙๐๔ การที่พระมหาธรรมราชาลิไททรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชมากรุงสุโขทัยนี้ ทำ ให้สถานภาพของพระสงฆ์คณะลังกาวงศ์มั่นคงยิ่งขึ้น พระสงฆ์ในคณะลังกาวงศ์เป็น พระปฏิบัติกรรมฐานผู้นิยมพำ นักอยู่ในวัดที่ห่างไกลจากตัวเมือง คณะนี้มีชื่อเรียก ในสมัยนั้นว่า คณะอรัญวาสี หมายถึง กลุ่มพระสงฆ์ผู้พำ นักอยู่ในวัดป่าอันแตกต่างจาก พระสงฆ์ฝ่ายที่มีอยู่ในกรุงสุโขทัยแต่เดิม พระสงฆ์กลุ่มหลังนี้มีชื่อเรียกว่า คณะคามวาสี หมายถึง กลุ่มพระสงฆ์ผู้พำ นักอยู่ในวัดใกล้หมู่บ้านหรือตัวเมือง พระสงฆ์คณะนี้เป็นสาย พระนักวิชาการผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการศึกษาพระปริยัติธรรม โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย๑ พ่อขุน พระสังฆราชในราชธานี พระสังฆราช พระสังฆราชในราชธานี คามวาสี ฝ่ายขวา หัวเมืองสำคัญ อรัญวาสี ฝ่ายซ้าย พระครูในราชธานี พระครูหัวเมือง พระครูในราชธานี เจ้าอาวาสในราชธานี เจ้าอาวาส เจ้าอาวาสในราชธานี
4 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ คณะสงฆ์ในสมัยสุโขทัยจึงมี ๒ คณะ คือ คณะคามวาสี และ คณะอรัญวาสี หนังสือพงศาวดารเหนือบันทึกการแบ่งคณะสงฆ์ โดยเรียกคณะคามวาสีว่าคณะฝ่ายขวา และเรียกคณะอรัญวาสีว่าคณะฝ่ายซ้าย๑ คณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายแยกการปกครองเป็น อิสระจากกัน แต่ละคณะมีเจ้าคณะผู้ปกครองบังคับบัญชาสูงสุดเป็นของตนเอง เรียกว่า พระสังฆราช เหตุนั้นในกรุงสุโขทัยจึงมีพระสังฆนายกหรือประมุขสงฆ์ ๒ รูป คือ พระสังฆราช คณะคามวาสี และพระสังฆราชคณะอรัญวาสี๒ ๑.๒ การปกครองคณะสงฆ์สมัยอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้อนต้น การปกครองคณะสงฆ์ยังคงเป็นไปตามแบบอย่าง การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยสุโขทัย กล่าวคือ คณะสงฆ์แบ่งเป็น ๒ คณะ ได้แก่ คณะ คามวาสี กับ คณะอรัญวาสี สิ่งที่แตกต่างกันออกไปก็คือ กรุงศรีอยุธยามีคณะสงฆ์ใหม่ เพิ่มขึ้นอีก ๑ คณะ เรียกว่า คณะป่าแก้ว การก่อตั้งคณะสงฆ์ใหม่นี้ได้รับอิทธิพลจากลังกา เช่นเดียวกับการปรากฏของคณะอรัญวาสีในสมัยสุโขทัย รายละเอียดของการก่อตั้งคณะ ป่าแก้วได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือตำ นานโยนก ซึ่งมีสาระพอสรุปได้ดังนี้๓ ในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา คณะอรัญวาสีซึ่งสืบประเพณีมาจากพระสงฆ์ลังกาวงศ์ เจริญแพร่หลายนำ หน้าคณะคามวาสีที่สืบประเพณีมาจากพระสงฆ์นิกายเดิมของสุโขทัย จำ นวนพระสงฆ์คณะคามวาสีลดน้อยลงทุกที ใน พ.ศ. ๑๙๖๕ พระสงฆ์คณะนี้ ๑๐ รูป จากกรุงศรีอยุธยา เชียงใหม่และกัมพูชา ได้พาพระสงฆ์อีกหลายรูปไปประเทศลังกาและ บวชแปลงใหม่เป็นสิงหลนิกาย โดยมีพระวันรัตนมหาเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์ ใน พ.ศ. ๑๙๖๗ แล้วศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ในลังกาหลายปี เมื่อเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยาได้ นิมนต์พระมหาเถระชาวลังกา ๒ รูป คือ พระมหาวิกรมพาหุ และ พระอุดมปัญญา ให้ร่วม เดินทางมาเผยแผ่พระศาสนาในประเทศไทย เมื่อเดินทางถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระสงฆ์ เหล่านั้นได้แยกย้ายกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนมีผู้เลื่อมใสศรัทธาขออุปสมบทเป็น ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๖๕. ๒ วิเชียร อากาศฤกษ์ และสุนทร สุภูตะโยธิน, ประวัติสมณศักดิ์และพัดยศ, (กรุงเทพมหานคร : ศรีอนันต์, ๒๕๒๘), หน้า ๑๘.๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ, หน้า ๑๖๙ - ๑๗๐.
สมัยรัตนโกสินทร์ 5 พระภิกษุจำ นวนมาก จนในที่สุดได้แยกออกมาตั้งคณะสงฆ์ใหม่เรียกว่า คณะป่าแก้ว เพราะ พระอุปัชฌาย์ชาวลังกาของคณะนี้มีชื่อว่า วันรัตน ซึ่งแปลว่า ป่าแก้ว วัดต่างๆ ที่พระสงฆ์ คณะนี้อยู่พำ นักมีชื่อต่อท้ายว่าคณะป่าแก้ว เช่น วัดไตรภูมิคณะป่าแก้ว วัดเขียนคณะป่าแก้ว ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี การปกครองคณะสงฆ์แบ่งเป็น ๓ คณะ ได้แก่ ๑. คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย หมายถึง คณะของพระสงฆ์นิกายเดิมที่มีมาตั้งแต่แรก สถาปนากรุงสุโขทัย ๒. คณะอรัญวาสี หมายถึง คณะที่สืบต่อประเพณีพระสงฆ์ลังกาวงศ์ของสุโขทัย ๓. คณะคามวาสีฝ่ายขวา หมายถึง คณะสงฆ์นิกายเดิมที่ไปบวชแปลงที่ลังกา ในสมัยอยุธยานี้แล้วกลับมาตั้งคณะใหม่ที่รู้จักกันในหมู่ประชาชนทั่วไปว่า คณะป่าแก้ว ในการปกครองคณะสงฆ์ภายในกรุงศรีอยุธยานั้น มีเจ้าคณะใหญ่ ๓ รูป คือ เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา เจ้าคณะอรัญวาสี และเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย เป็นผู้ปกครอง บังคับบัญชาพระสงฆ์ของแต่ละคณะ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาเจ้าคณะใหญ่รูปใด รูปหนึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราช ดำ รงตำแหน่งประมุขสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร สำ หรับกิจการคณะสงฆ์ตามหัวเมืองชั้นในและชั้นนอก เจ้าคณะใหญ่ทั้งสามรูป แบ่งเขตกันรับผิดชอบ กล่าวคือเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้ายปกครองดูแลกิจการคณะสงฆ์ ในหัวเมืองฝ่ายเหนือ เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวาปกครองบังคับบัญชาคณะสงฆ์ในหัวเมือง ฝ่ายใต้ ส่วนเจ้าคณะอรัญวาสีปกครองบังคับบัญชาพระสงฆ์คณะอรัญวาสีทั้งในหัวเมือง ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้๑ ตำ แหน่งผู้บังคับบัญชาการคณะสงฆ์รองจากเจ้าคณะใหญ่ คือ พระราชาคณะ พระครู และเจ้าอาวาส ปกครองลดหลั่นกันตามลำดับชั้น กล่าวคือ พระราชาคณะปกครอง คณะสงฆ์ในหัวเมืองที่สำคัญมาก และในบางหัวเมือง พระราชาคณะผู้ปกครองมีตำแหน่ง เป็นพระสังฆราชตามแบบอย่างสุโขทัย สำ หรับหัวเมืองที่มีความสำ คัญน้อย เจ้าคณะ ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๗๗ - ๑๘๓.
6 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ผู้ปกครองดูแลกิจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองนั้นมีสมณศักดิ์ชั้นพระครู ส่วนตำแหน่งตํ่ากว่า พระครู คือ เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ๑.๓ การปกครองคณะสงฆ์สมัยธนบุรี หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ สภาพของพระพุทธศาสนา ก็ซบเซาลงตามสภาพของบ้านเมืองเช่นกัน ดังนั้น เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรง กอบกู้เอกราชและตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีขึ้น พระองค์ได้ทรงสืบหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ทรงพบ พระองค์จึงทรงแต่งตั้ง พระอาจารย์ดีวัดประดู่อยุธยา เป็น สมเด็จพระสังฆราช องค์แรก และพระอาจารย์ศรีวัดพนัญเชิง เป็น สมเด็จพระสังฆราช ๑ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), การปกครองพระสงฆ์ไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๙), หน้า ๑๔. โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยอยุธยา๑ สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย เจ้าคณะ เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา อรัญวาสี พระราชาคณะ พระราชาคณะ หัวเมืองฝ่ายเหนือ หัวเมืองฝ่ายใต้ พระครูหัวเมือง พระครูหัวเมือง ฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ เจ้าอาวาส เจ้าอาวาส คณะสงฆ์อรัญวาสี ในกรุง - หัวเมือง
สมัยรัตนโกสินทร์ 7 โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยธนบุรีตอนต้น๓ สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย เจ้าคณะอรัญวาสี เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา พระราชาคณะ หัวเมืองฝ่ายเหนือ คณะสงฆ์ อรัญวาสี พระราชาคณะ หัวเมืองฝ่ายใต้ ในกรุง - หัวเมือง พระครูหัวเมืองฝ่ายเหนือ พระครูหัวเมืองฝ่ายใต้ เจ้าอาวาส เจ้าอาวาส ๑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ุ, เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๔๕), หน้า ๒๙๑. ๒ ไชยนาจ ญาติฉิมพลี (บรรณาธิการ), ยอยกพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: กรีน ปัญญาญาณ, ๒๕๒๒), หน้า ๕๓ - ๕๔.๓ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), ระเบียบการปกครองพระสงฆ์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หน้า ๑๔. องค์ที่ ๒ ส่วนพระสงฆ์สมัยอยุธยาที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงอาราธนามาเป็น พระราชาคณะในกรุงนั้น เข้าใจว่าน่าจะเป็นพระครูซึ่งอยู่ตามวัดต่างๆ แถบชายทะเล ภาคตะวันออก เพราะว่าพม่ารุกรานไปไม่ถึง อย่างเช่นสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงส์ รัตนาราม ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๓ สันนิษฐานว่า เดิมน่าจะเป็นพระครูสุธรรม ธีรราชมหามุนี ซึ่งตามทำ เนียบว่าเป็นเจ้าคณะเมืองระยอง แต่ภายหลังในรัชกาลที่ ๑ ถูกลดยศจากสมเด็จพระสังฆราชลงมาเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี ว่าที่พระนพรัตน์๑ ส่วนตำ แหน่งการปกครองและการแต่งตั้งสมณศักดิ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า “...ในสมัยกรุงธนบุรีนี้ดูเหมือนว่าจะได้ จัดให้มีทำ เนียบสมณศักดิ์ขึ้นตามรับสั่งของพระเจ้ากรุงธนบุรี...” แต่อย่างไรก็ตาม การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยกรุงธนบุรีนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา มากนัก เนื่องจากมีระยะเวลาในการฟื้นฟูทำ นุบำ รุงในระยะสั้นเพียง ๑๔ - ๑๕ ปี๒
8 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยธนบุรีในยุคปลาย๑ สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชา สมเด็จพระสังฆราชา คณะเหนือ คณะใต้ คามวาสี อรัญวาสี คามวาสี อรัญวาสี ๑ อัธยา โกมลกาญจน, พระพุทธศาสนาบนแผ่นดินไทย, (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๕), หน้า ๒๐๕. ๑.๔ การปกครองคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อกล่าวถึงการปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ นับแต่รัชสมัยพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โครงสร้างการบริหารและการจัดองค์กรการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่ สมัยธนบุรีถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ยังคงถือตามแบบอย่าง การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยอยุธยา สิ่งที่พิเศษควรกล่าวถึงคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงตรากฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์เป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ กฎพระสงฆ์ในรัชกาลที่ ๑ นี้มีจำ นวน ๑๐ ฉบับ วัตถุประสงค์ของการออกกฎหมายนี้ก็ เพื่อควบคุมความประพฤติของพระสงฆ์ให้ปฏิบัติเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย ไม่มีกฎหมาย ฉบับใดกล่าวพาดพิงถึงการจัดโครงสร้างการบริหาร และการปกครองคณะสงฆ์ การออกกฎหมายในสมัยนั้นแตกต่างจากวิธีปฏิบัติในปัจจุบัน พระบรมราชโองการ ในรัชกาลที่ ๑ ถือเป็นกฎหมายใช้บังคับได้ทันที กฎพระสงฆ์ที่ทรงตราบังคับใช้ไม่มีมาตรา
สมัยรัตนโกสินทร์ 9 ไม่มีบทหรือตอน เป็นแต่ข้อรับสั่งห้ามพระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นเช่นนี้ ดังตัวอย่างกฎพระสงฆ์ ฉบับที่ ๖ ซึ่งประกาศใช้ใน พ.ศ. ๒๓๒๖ มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ห้ามมิให้ภิกษุสามเณรสงเคราะห์ฆราวาส ให้ผลไม้ ใบไม้ ดอกไม้ เป็นต้น อย่าให้ผสมผสานขอกล่าวป่าวร้องเรี่ยไรสิ่งของอันเป็นของฆราวาส อันมิใช่ญาติ แลห้ามอย่าให้เป็นทูตใช้สอยนำ ข่าวสาส์นการฆราวาส แล ห้ามบรรดาการทั้งปวงอันกระทำผิดจากพระปาฏิโมกขสังวรวินัย”๑ ๑ ราชบัณทิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณทิตยสถาน เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : ราชบัณทิตยสถาน, ๒๕๕๐), หน้า ๑๐๑๖.๒ อัธยา โกมลกาญจน, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๕๖. โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยรัชกาลที่ ๑ - ๒๒ สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระอริยวงษญาณ) สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ คณะเหนือ อรัญวาสี คณะใต้ พระราชาคณะ พระราชาคณะ พระราชาคณะ พระราชาคณะ พระราชาคณะ คามวาสี สามัญ อรัญวาสี คามวาสี อรัญวาสี ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ กล่าวคือ โครงสร้างเดิมที่ถือปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ คณะสงฆ์แบ่งการปกครองออกเป็น ๓ คณะ คือ ๑. คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย ปกครองคณะสงฆ์หัวเมืองภาคเหนือ ๒. คณะอรัญวาสี ปกครองพระนักปฏิบัติธรรมทั่วราชอาณาจักร ๓. คณะคามวาสีฝ่ายขวา ปกครองคณะสงฆ์หัวเมืองภาคใต้
10 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ การเปลี่ยนแปลงประการแรกในสมัยรัชกาลที่ ๓ คือเปลี่ยนชื่อเรียกคณะคามวาสี ฝ่ายซ้าย ซึ่งรับผิดชอบในกิจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองภาคเหนือเป็นคณะเหนือ และเปลี่ยน ชื่อเรียกคณะคามวาสีฝ่ายขวาซึ่งรับผิดชอบกิจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองภาคใต้เป็นคณะใต้ การเปลี่ยนแปลงประการต่อมาก็คือ มีการรวมพระอารามหลวงและวัดราษฎร์บางส่วนใน กรุงเทพมหานครเข้าด้วยกัน แล้วตั้งเป็นคณะใหม่ เรียกว่า คณะกลาง๑ ดังนั้น การปกครอง คณะสงฆ์ในรัชกาลที่ ๓ จึงแบ่งการปกครองออกเป็น ๔ คณะ คือ ๑. คณะเหนือ (เดิมคือคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย) ๒. คณะใต้ (เดิมคือคณะคามวาสีฝ่ายขวา) ๓. คณะกลาง (เพิ่มเข้ามาใหม่) ๔. คณะอรัญวาสี เพราะมีคณะสงฆ์เพิ่มขึ้น ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ผู้บังคับบัญชาคณะสงฆ์จึงเพิ่มขึ้น เป็น ๔ ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่แต่ละรูปมีอำ นาจการปกครองดูแลกิจการคณะสงฆ์ในคณะ ของตน อย่างไรก็ดี เจ้าคณะใหญ่ทุกรูปต้องขึ้นตรงต่อสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นประมุขสงฆ์ ทั่วราชอาณาจักร คณะสงฆ์จึงยังคงมีเอกภาพ เพราะรวมกันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ของสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียวกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๓ คณะอรัญวาสีมีเพียงตำแหน่งเจ้าคณะโดยไม่มีวัดในการปกครอง บังคับบัญชา ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยุบคณะอรัญวาสี คงไว้แต่ตำแหน่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะในครั้งนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้มีนิกายสงฆ์ใหม่ชื่อว่า ธรรมยุติกนิกาย ถือกำ เนิดขึ้นมาและ พยายามแยกคณะเป็นอิสระจากคณะทั้ง ๔ แต่กระนั้นก็ดี คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายยังรวม อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าคณะกลางตลอดสมัยรัชกาลที่ ๓ จนสิ้นรัชกาลที่ ๔ ๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ, หน้า ๑๙๖.
สมัยรัตนโกสินทร์ 11 ๑ เป็นโครงสร้างที่ผู้เขียน (ปิยวัฒน์ คงทรัพย์) ปรับขึ้นตามรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ที่ปรากฏ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ยุคต้นๆ โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยรัชกาลที่ ๓๑ สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระอริยวงษญาณ) สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ คณะเหนือ คณะอรัญวาสี คณะใต้ คณะกลาง พระราชาคณะ ไม่มีวัดในสังกัด พระราชาคณะ พระราชาคณะ หัวเมืองเหนือ หัวเมืองใต้ วัดในกรุง ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ยังคงเหมือนเดิม สิ่งที่ เปลี่ยนแปลงภายในโครงสร้างก็คือการเจริญเติบโตของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายที่มี อิสระในการบริหารกิจการคณะของตน เจ้าคณะธรรมยุตในสมัยนั้นคือ สมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมัยดำ รงสมณศักดิ์เป็นที่ กรมหมื่นบวรรังสี สุริยพันธ์ มีตำ แหน่งเป็นรองเจ้าคณะกลางก็จริง แต่มีสิทธิ์ขาดในการบริหารกิจการ คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายโดยปราศจากการแทรกแซงของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เจ้าคณะกลางในสมัยนั้น เนื่องจากการกำ เนิดและพัฒนาการของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายมีผลกระทบ อย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและฐานอำ นาจการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๔ จนถึงปัจจุบัน จึงควรแยกศึกษาการกำ เนิดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็น เรื่องหนึ่งต่างหาก
12 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑.๔.๑ กำ เนิดธรรมยุติกนิกาย กำ เนิดธรรมยุติกนิกาย คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายได้แยกตัวออกจากคณะสงฆ์เดิม เนื่องจากจำ นวนพระสงฆ์ในคณะเดิมมีมากกว่า คณะสงฆ์เดิมจึงมีชื่อเรียกว่า มหานิกาย แปลว่า พวกมาก ธรรมยุติกนิกาย แปลว่า พวกยึดธรรมเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปนิยม เรียกพระสงฆ์นิกายนี้ว่าพระธรรมยุต คณะสงฆ์ธรรมยุตก่อกำ เนิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ผู้ก่อตั้ง คือ พระวชิรญาณภิกขุ (สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ) ต่อมา ได้ลาผนวช แล้วขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เหตุการณ์ช่วงธรรมยุติกนิกายถือกำ เนิดขึ้นดังนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยดำ รงพระยศ เป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ ได้ผนวชเป็นพระภิกษุในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้ฉายาในศาสนาว่า “พระวชิรญาณ” ประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็น โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยรัชกาลที่ ๔๑ สมเด็จพระสังฆปริณายก สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ คณะเหนือ คณะกลาง คณะใต้ คณะอรัญวาสี พระสังฆปาโมกข์ พระสังฆปาโมกข์ พระสังฆปาโมกข์ วัดหัวเมืองเหนือ วัดหัวเมืองใต้ คณะวัดบวรนิเวศ คณะวัดมหาธาตุ คณะวัดพระเชตุพน ๑ เป็นโครงสร้างที่ผู้เขียน (ปิยวัฒน์ คงทรัพย์) ปรับขึ้นตามรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ที่ปรากฏ ในสมัยรัชกาลที่ ๔
สมัยรัตนโกสินทร์ 13 พระอุปัชฌาย์ ภายหลังจากที่ทรงผนวชได้ ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมชนกนาถ คือ พระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคตโดยไม่ได้ดำ รัสสั่งมอบเวน ราชสมบัติแก่ผู้ใด ว่ากันตามนิตินัยแล้วผู้มีสิทธิขึ้นครองราชย์ต่อจากรัชกาลที่ ๒ ก็คือ พระวชิรญาณ (เจ้าฟ้ามงกุฎ) เพราะเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า พระราชโอรสองค์ใหญ่อันเกิดแต่ พระอัครมเหสี แต่เนื่องจากพระวชิรญาณตัดสินพระทัยที่จะผนวชต่อไป ที่ประชุม พระราชวงศ์และเสนาบดีจึงถวายราชสมบัติแก่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นพระองค์เจ้า ลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ ผู้เจริญพระชันษากว่าพระวชิรญาณถึง ๑๗ ปี เมื่อกรมหมื่น เจษฎาบดินทร์ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๓ พระวชิรญาณ ได้ผนวชต่อไปจนสิ้นรัชกาลแล้วจึงลาผนวชออกไปขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๔๑ พระวชิรญาณทรงสอบได้เปรียญ ๕ ประโยค ขณะประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุ ต่อมาได้ทรงเลื่อมใสในความเคร่งครัดวินัยของพระเถระชาวมอญรูปหนึ่ง คือ พระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) วัดบวรมงคล มีพระประสงค์จะปฏิบัติวินัยเคร่งครัดตามแบบอย่าง พระมอญ จึงเสด็จย้ายจากวัดมหาธาตุไปประทับ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ ทรงเข้ารับการอุปสมบทซํ้า โดยมีพระสุเมธมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษา พระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติจากพระสุเมธมุนี แล้วเผยแผ่ถือปฏิบัติเคร่งครัดวินัย แบบมอญ เมื่อมีผู้เคารพนับถือมากขึ้น ทรงประกาศตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่เรียกว่า คณะ ธรรมยุติกนิกาย โดยกำ หนดเอาการผูกพัทธสีมาใหม่ในวัดสมอราย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ ให้เป็นการก่อตั้งคณะธรรมยุต ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๗๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะเทียบเท่ารองเจ้าคณะใหญ่แล้วเสด็จไปเป็นเจ้าอาวาสครองวัดบวรนิเวศวิหาร พระวชิรญาณเถระ หรือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นเจ้าอาวาส ครองวัดบวรนิเวศวิหารอยู่ ๑๔ ปี สร้างความเจริญให้กับคณะธรรมยุติกนิกายพอสมควร เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ ๓ เสด็จ ๑ กรมการศาสนา, ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๙๙-๑๐๑.
14 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สวรรคต ได้ทรงลาผนวชและเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ รวมเวลาที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ๒๗ พรรษา ครั้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระมหากษัตริย์ทรงถวายอำ นาจรัฐ เพื่อให้จัดระบบ การปกครองคณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ซึ่งเป็นฉบับแรก คณะสงฆ์ได้อาศัยอำ นาจรัฐจัดการปกครองตาม กฎหมายแต่นั้นมา ครั้นถึงรัชกาลที่ ๘ พระองค์ทรงยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับแรก แล้ว ทรงตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ.๒๔๘๔นับเป็นฉบับที่๒ เพื่อให้จัดระบบการปกครอง คณะสงฆ์ใหม่ โดยมีรูปแบบคล้ายกับการปกครองราชอาณาจักรตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้อำ นาจบัญญัติสังฆาณัติ ตรากติกาสงฆ์ ออกกฎ เป็นต้น ใช้บังคับได้ เมื่อบัญญัติสังฆาณัติระเบียบบริหารการคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค และสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ ได้กำ หนดนามรวมตำแหน่งผู้บริหารการคณะสงฆ์ว่า “พระคณาธิการ” ต่อมาในรัชกาลที่ ๙ โปรดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับที่ ๒ แล้วตรา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นับเป็นฉบับที่ ๓ และให้อำ นาจตรากฎมหาเถร สมาคมเป็นต้นใช้บังคับได้ เมื่อตรากฎมหาเถรสมาคมได้กำ หนดนามรวมตำแหน่งผู้ปกครอง คณะสงฆ์ว่า “พระสังฆาธิการ” และมีการแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายคณะสงฆ์โดยคำแนะนำและ ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำ หน้าที่รัฐสภา การปกครองคณะสงฆ์ไทยนั้นมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงดำ รงตำแหน่งสกลมหา สังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทุกคณะ แล้วมีหน่วยบัญชาการคณะสงฆ์หรือ ศูนย์รวมอำ นาจการปกครองคณะสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคม เป็นสถาบันปกครองคณะสงฆ์ สูงสุด จากนั้นมีหน่วยงานย่อยลดหลั่นกันตามสายงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และส่วนวัด ทุกหน่วยงานมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเข้าสู่ผู้บัญชาการคณะสงฆ์ คือ องค์สกลมหาสังฆปริณายก ถือเป็นองค์กรการปกครองคณะสงฆ์ ดังนั้น พระราชบัญญัติที่ใช้ในการปกครองคณะสงฆ์ไทย นับแต่รัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จวบจนถึงปัจจุบัน รัชสมัยพระบาทสมเด็จ
สมัยรัตนโกสินทร์ 15 พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ประกอบด้วยกฎหมาย ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑. พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ตราขึ้นในสมัย รัชกาลที่ ๕ ๒. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๘ ๓. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๙ และแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๙ ๒. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ๓. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑๐
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ร.ศ. ๑๒๑ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ เป็นวันที่ ๑๒๒๗๐ ในรัชกาลที่ ๕
บทที่ ๒ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ การปฏิรูปประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มุ่งพัฒนาประเทศแบบโลกตะวันตก มีการเปลี่ยนแปลงในระบบการบริหารราชการ อำ นาจของส่วนกลางขยายตัวไปสู่ภูมิภาค เพื่อผนวกพื้นที่ต่างๆ ที่เคยอยู่นอกอำ นาจการปกครองของราชสำ นักกรุงเทพให้เป็น หนึ่งเดียวกัน มีการวางแผนการศึกษาให้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร ตามประกาศ จัดการเล่าเรียนในหัวเมือง พ.ศ. ๒๔๔๑ โดยความรับผิดชอบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส การลงไปจัดการศึกษาในหัวเมือง ทำ ให้คณะสงฆ์ได้รับรู้แบบแผน ธรรมเนียมของการศาสนาในท้องถิ่นที่แตกต่างจากธรรมเนียมแบบแผน และโลกทัศน์ ทางศาสนาของราชสำ นักและชนชั้นนำ นอกจากนี้การปกครองคณะสงฆ์ที่มีมาแต่อดีต ยังเป็นไปแบบไม่เข้มงวด จึงมีการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ ให้สอดคล้องกับ ระบบการปกครองแผ่นดินในระบบมณฑลเทศาภิบาล ด้วยการออกพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ๒.๑ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ การจัดโครงสร้างการบริหารและองค์กรการปกครองคณะสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลง อย่างมากในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้มี การปฏิรูประบบราชการทั้งด้านโครงสร้างและการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อรวบอำ นาจ
18 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ การปกครองเข้าสู่ส่วนกลาง สำ หรับเสริมสร้างเอกภาพของชาติเอาไว้ต่อต้านภัยคุกคาม จากจักรวรรดินิยมตะวันตก พระองค์ได้ปฏิรูปการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ควบคู่ ไปกับการปฏิรูปในฝ่ายบ้านเมือง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างเอกภาพขึ้นภายในคณะสงฆ์ทั้งในด้าน การบริหาร การศึกษา การปฏิบัติ และการเผยแผ่ธรรม รูปแบบแห่งการปฏิรูปการ ปกครองคณะสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ การตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง คณะสงฆ์ร.ศ. ๑๒๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๕ พระราชบัญญัติฉบับนี้มีลักษณะเป็นธรรมนูญ การปกครองคณะสงฆ์ที่กำ หนดโครงสร้างการบริหารและการจัดการองค์กรไว้อย่างเป็น ระบบ นับเป็นครั้งแรกในประวัติการปกครองคณะสงฆ์ไทยที่มีกฎหมายกำ หนดระบอบ การปกครองคณะสงฆ์ พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๘ เหตุผลสำ คัญประการหนึ่งในการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ก็คือความจำ เป็นที่รัฐบาลต้องอาศัยคณะสงฆ์ โดยเฉพาะคณะสงฆ์ใน ต่างจังหวัดให้ช่วยจัดการศึกษาของชาติ ตามโครงการปฏิรูปการศึกษาให้ทันสมัย การที่ พระสงฆ์จะสามารถสนองความต้องการของรัฐบาลในเรื่องนี้ได้ จะต้องปฏิรูปการบริหาร กิจการคณะสงฆ์ และจัดการให้พระสงฆ์ในต่างจังหวัดอยู่ภายใต้ระบบบริหารเดียวกัน เสียก่อน เหตุผลข้อนี้ปรากฏอยู่ในประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า “ด้วยเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๗ ได้โปรดให้พระราชาคณะหลายรูป ออกไปจัดการศึกษาตามอารามในหัวเมือง และได้ทรงอาราธนาพระเจ้า น้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสที่สมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ ให้ทรงรับภารธุระดำ เนินการนั้นในฝ่ายสมณะ และได้โปรดให้พระเจ้า น้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพทรงรับหน้าที่อุดหนุนการนั้นในส่วน หน้าที่เจ้าพนักงานฝ่ายฆราวาส ความแจ้งอยู่ในประกาศจัดการเล่าเรียน ในหัวเมือง ซึ่งได้ออกเมื่อ ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๗๗ นั้นแล้ว พระสงฆ์เถรานุเถระและเจ้าพนักงานในฝ่ายฆราวาสได้ช่วยกันจัด และอำ นวยตามพระราชดำ ริ ด้วยความสามารถและอุตสาหะอันเป็นที่พอ พระราชหฤทัย ได้เห็นผลความเจริญในการเล่าเรียนตลอดจนความเรียบร้อย ในการปกครองสังฆมณฑลขึ้นโดยลำดับ บัดนี้ทรงพระราชดำริเห็นว่า ถึงเวลา อันสมควรจะตั้งเป็นแบบแผนการปกครองคณะสงฆ์ให้มั่นคงเรียบร้อยแล้ว
สมัยรัตนโกสินทร์ 19 จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง คณะสงฆ์ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๖ เดือนมิถุนายน ร.ศ. ๑๒๑ ความแจ้งอยู่ใน พระราชบัญญัตินั้นแล้ว” ๑ ๒.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑ ๒.๒.๑ การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง หมายถึง การปกครองดูแลกิจการ คณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเป็นอำ นาจหน้าที่ของพระมหากษัตริย์และมหาเถรสมาคม ตามมาตรา ๔ ที่บัญญัติไว้ให้เจ้าคณะใหญ่ทั้ง ๔ ตำแหน่ง คือ เจ้าคณะใหญ่คณะเหนือ เจ้าคณะใหญ่คณะใต้ เจ้าคณะใหญ่คณะกลาง และเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย กับ พระราชาคณะที่เป็นรองเจ้าคณะทั้ง ๔ คณะ รวม ๘ รูป เป็นมหาเถรสมาคม มีหน้าที่ ถวายคำ ปรึกษาในการพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์แด่พระมหากษัตริย์ การประชุมวินิจฉัยคดีในที่ประชุมมหาเถาสมาคมตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไปให้ถือเป็นสิทธิขาด ผู้ใดจะอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปอีกไม่ได้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้กล่าวถึงตำ แหน่งสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้เพราะ ในเวลาที่ตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ตำ แหน่งสมเด็จพระสังฆราช ว่างลงภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ นับแต่นั้นมาจนสิ้นรัชกาลที่ ๕ ไม่มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชอีกเลย สมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า “ในเวลาตั้งพระราชบัญญัตินี้ ว่างสมเด็จพระมหาสมณะหรือสมเด็จ พระสังฆราช มีแต่เจ้าคณะใหญ่ ๔ รูป เจ้าคณะรอง ๔ รูป คณะใหญ่ทั้ง ๔ นั้นต่างมิได้ขึ้นแก่กัน เมื่อมีกิจอันจะพึงทำร่วมกัน เสนาบดีกระทรวงธรรมการ รับพระบรมราชโองการสั่งเจ้าคณะ รูปใดมีสมณศักดิ์สูง เสนาบดีก็พูดทาง เจ้าคณะรูปนั้นๆ เป็นการก (กรรมการ) ในการประชุมในครั้งนั้น ข้าพเจ้า เป็นการก” ๒ ๑ โชติ ทองประยูร, ความเหมาะสมของกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับใหม่ : พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (กรุงเทพมหานคร : ดำ รงธรรม, ๒๕๐๘), หน้า ๒๗๕.๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๗๕.