220 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ตำแหน่ง พระครูฐานานุกรมชั้นเอก ของสมเด็จพระสังฆราช ๒ ตำแหน่ง คือ พระครู วิสุทธิธรรมภาณ พระครูพิศาลวินัยวาท ตำแหน่ง พระครูปริตร พระครูฐานานุกรมชั้นโท ของสมเด็จพระสังฆราช ๒ ตำแหน่ง คือ พระครูประสาทพุทธปริตร พระครูประสิทธิพุทธมนต์ ตำแหน่ง พระครูวินัยธร ตำแหน่ง พระครูธรรมธร ตำแหน่ง พระครูคู่สวด ๒ ตำแหน่ง จะมีราชทินนามประจำแต่ละตำแหน่งไม่เหมือน กัน มีเฉพาะชั้นสุพรรณบัฏและหิรัญบัฏเท่านั้น เช่น พระครูวิศาลสรกิจ พระครูวิศิษฏ์สรการ ในสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ พระครูสรวิชัย พระครูไกรสรวิลาส ในพระธรรมปัญญาบดี พระครูประสิทธิสรคุณ พระครูประคุณสรกิจ ในพระพรหมคุณาภรณ์ ตำแหน่ง พระครูรองคู่สวด ๒ ตำแหน่ง จะมีราชทินนามประจำแต่ละตำแหน่ง ไม่เหมือนกัน มีเฉพาะสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ เช่น พระครูพิบูลบรรณวัตร พระครูพิพัฒน์บรรณกิจ ในสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) วัดพระเชตุพน พระครูวิจิตรสังฆการ พระครูวิจารย์โกศล ในสมเด็จพระพุฒาจารย์ ตำแหน่ง พระครูสังฆรักษ์ มีชื่อต่างกันบ้าง เช่น พระครูสังฆวิจารณ์ ในสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ พระครูธรรมบาล ในพระธรรมปัญญาบดี พระครูสังฆบริรักษ์ ใน พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ตำแหน่ง พระครูสมุห์ ตำแหน่ง พระครูใบฎีกา ฐานานุกรม ชั้นธรรมดา หมายถึง ฐานานุกรมของพระราชาคณะชั้นสามัญ ตำแหน่ง พระปลัด พระสมุห์ และพระใบฎีกา ไม่มีคำว่า “พระครู” นำหน้า แต่พระปลัดมีศักดิ์สูงกว่า เปรียญธรรม ๓ ประโยค อนึ่ง ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ กำหนดให้เจ้าคณะ ตั้งฐานานุกรมได้ดังนี้ เจ้าคณะมณฑล ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ คือ พระครูปลัด พระครูวินัยธร พระครู วินัยธรรม พระสังฆรักษ์ พระสมุห์ พระใบฎีกา ถ้าในสัญญาบัตรระบุให้ตั้งตำแหน่งใดแล้ว มิให้ตั้งตำแหน่งนั้นอีก
สมัยรัตนโกสินทร์ 221 เจ้าคณะเมือง ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ คือ พระปลัด พระวินัยธร พระวินัยธรรม พระสมุห์ พระใบฎีกา เจ้าคณะแขวง ตั้งฐานานุกรมได้ ๒ คือ พระสมุห์ พระใบฎีกา ถ้าเจ้าคณะแขวงเป็น พระครูสัญญาบัตร ตั้งพระปลัดได้อีก ๑ ตำแหน่ง แม้ในปัจจุบันมิได้ใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว และในพระราชบัญญัติที่ใช้อยู่มิได้ บัญญัติไว้ แต่ยังปรากฏว่า เจ้าคณะอำเภอได้ตั้งฐานานุกรมในตำแหน่งทางการปกครองอยู่ และไม่มีผู้ใดท้วงติง อันแสดงว่ายังคงใช้ได้ ซึ่งอาจเทียบกับคำว่า “พระอธิการ” เป็นคำนำหน้า พระผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และคำว่า “เจ้าอธิการ” เป็นคำนำหน้าพระผู้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะหมวด) ซึ่งไม่มีสมณศักดิ์อื่นตราไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าว มิได้ บัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับนี้ แต่ได้นำมาใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ๘.๕.๕ เปรียญ เปรียญ ถือเป็นสมณศักดิ์ชนิดหนึ่ง ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่พระสงฆ์ ผู้สอบไล่ได้เปรียญธรรม พระสงฆ์ผู้ได้รับพระราชทานสามารถใช้นามมหานำหน้าชื่อตน ได้เสมอ เท่าที่ยังคงในสมณเพศตราบจนมรณภาพหรือลาสิกขา หากผู้นั้นเป็นพระมหา เมื่อลาสิกขาและเข้ามาอุปสมบทใหม่ภายหลัง คงให้เรียก เป็นเพียง พระเปรียญ แม้จะเป็นมหามาก่อนก็ตาม คงใช้ ป. ต่อท้ายฉายา เช่น พระสมชาย มหิทฺธิโก ป. (พระสมชาย เปรียญ) ไม่ใช่พระมหาสมชาย เหมือนก่อนลาสิกขา อนึ่ง เกณฑ์ดังกล่าวมา ถือนับโดยการตั้งเปรียญพระราชทานของพระมหากษัตริย์ เป็นเกณฑ์กำหนดสำคัญ ด้วยการพระราชทานนั้น เป็นการพระราชทานแก่พระสงฆ์ผู้เป็น เปรียญใหม่ให้เป็นพระมหาเปรียญเฉพาะจบ คราวครองสมณเพศต่อเนื่องไปนั้น เมื่อ ลาสิกขาหรือมรณภาพ จึงถือว่าหลุดจากสมณศักดิ์มหาเปรียญนั้น ด้วยสละซึ่งฐานะอันจะ ทรงไว้ซึ่งสมณศักดิ์นั้นๆ แล้ว พระมหาผู้ลาสิกขานั้น เป็นคฤหัสถ์หรืออนุปสัมบัน ก็ยังสามารถใช้นามเปรียญ ต่อท้ายนามสกุลได้เสมอ เพราะถือเป็นเครื่องประกอบคุณวุฒิอย่างหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ไข เพิ่มในทะเบียนราษฎร์ได้
222 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ประกาศนียบัตร เปรียญธรรม ๓ ประโยค ปริญญาบัตร เปรียญธรรม ๙ ประโยค
สมัยรัตนโกสินทร์ 223 และพระเปรียญผู้อุปสมบทใหม่เช่นนั้น ย่อมกลายเป็นพระมหาได้อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อ สอบไล่ได้บาลีใหม่ชั้นถัดไป หรือสอบไล่ได้บาลีตั้งแต่ชั้นเปรียญธรรม ๓ ประโยคเป็นต้นไป ชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว จึงถือว่าได้รับตั้งเป็นเปรียญใหม่ และมีสิทธิ์ใช้คำนำหน้าชื่อว่าพระมหา เพราะถือว่าได้รับพระราชทานตั้งเป็นเปรียญใหม่แล้ว สำหรับกรณีเรียกสามเณรเปรียญ พึงถือกำหนดโดยความดังกล่าวนั้น ที่ใช้เพียง สามเณรเปรียญ ไม่ใช้สามเณรมหา เช่น สามเณรสมชาย สมชัย ป. (สามเณรเปรียญ) ไม่ใช่ สามเณรมหาสมชาย สมชัย กรณีสามเณรเปรียญนี้ พึงพิจารณาจากพระราชศรัทธาที่มีพระราชประสงค์ยกย่อง เชิดชูพระสงฆ์และสามเณร ผู้สอบไล่ได้เปรียญธรรมบาลี สามเณรผู้ได้ตั้งเป็นเปรียญ แม้ ลาสิกขาไปคราวหนึ่งแล้ว เมื่อมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ย่อมถือว่าเป็นพระมหาเปรียญ โดยอัตโนมัติ เพราะสามเณรถือว่าได้รับตั้งเป็นเพียงเปรียญ ยังไม่ได้เคยดำรงฐานะใน สมณศักดิ์มหาเปรียญ เพียงแต่ได้รับพระราชทานสิทธิ์ที่จะใช้คำเรียกสมณศักดิ์นำหน้าชื่อ ได้ต่อเมื่ออุปสมบทในภายหลัง ซึ่งถือได้ว่ายังมิได้เป็นพระมหาสมพระราชประสงค์ที่ พระราชทานพัดยศและเปรียญ อันเป็นสมณศักดิ์ที่จะใช้และนับลำดับในงานพระราชพิธีได้ เฉพาะผู้เป็นพระสงฆ์ อย่างไรก็ดี เกณฑ์ข้อนี้ในปัจจุบัน ยังมิได้มีการวินิจฉัยให้ชัดแจ้งลงไปเช่นกรณีของ พระมหาลาสิกขา แต่โดยทางปฏิบัติทั่วไปทั้งในพระอารามหลวงและวัดราษฎร์ จะเรียก สามเณรผู้ลาสิกขาลงเป็นนาคก่อนเพื่อบวชใหม่ว่าพระมหาทันทีเมื่ออุปสมบทเสร็จ และ ออกหนังสือสุทธิสงฆ์เป็นพระมหาโดยทั่วไป เพราะเป็นการใช้สิทธิ์ของสามเณรเปรียญ อุปสมบทใหม่ในการใช้คำนำหน้าสมณศักดิ์พระมหาตามพระราชประสงค์ที่พระราชทาน ตั้งถวายให้แล้วเป็นครั้งแรกนั่นเอง ซึ่งจะต่างจากกรณีพระมหาผู้ลาสิกขา ที่ถือเป็นการสละการ ได้รับฐานะดำรงสมณศักดิ์พระมหาแล้ว และเมื่ออุปสมบทใหม่จะไม่สามารถใช้คำนำหน้า พระมหาใหม่ได้ จนกว่าจะสอบไล่ได้เพื่อได้รับการตั้งเป็นพระมหาใหม่อีกครั้งหนึ่งดังกล่าว ข้างต้น เปรียญ เป็นคำที่ใช้อยู่ในวงการคณะสงฆ์ในปัจจุบันซึ่งเป็นคู่กับว่า “พระมหา” มีรายละเอียดเพื่อเป็นแนวทางการศึกษาดังนี้ ๑. เปรียญ เป็นชื่อประเภทแห่งสมณศักดิ์ซึ่งโปรดพระราชทานแก่ผู้สอบความรู้ บาลีได้ แต่มิใช่เป็นเครื่องหมายสมณศักดิ์ ดังคำว่า “พระราชาคณะ” เป็นชื่อแห่งประเภท
224 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมณศักดิ์ชั้นสูง มิใช่คำที่จะนำไปใช้นำหน้าราชทินนาม คำนำหน้าเปรียญใช้ว่า “พระมหา” เหมือนคำนำหน้าราชทินนามของพระราชาคณะว่า “พระ” เปรียญตามนัยนี้มีขึ้นเพราะการ ทรงตั้ง ๒. เปรียญ เป็นชื่อของวิทยฐานะทางปริยัติธรรมดังปริญญาเป็นชื่อของวุฒิทางโลก เปรียญตามนัยนี้มี ๒ แบบ คือ แบบเดิม เป็นวิทยฐานะของผู้สอบได้บาลีอย่างเดียว มิได้สอบ นักธรรมด้วย เปรียญสมัยก่อนเรียกกันว่า เปรียญ ใช้อักษรย่อว่า ป. หรือ เปรียญบาลี (ปบ.) ส่วนแบบปัจจุบัน เป็นวิทยฐานะของผู้สอบนักธรรมเป็นพื้นฐานแล้วจึงสอบได้บาลี เรียกว่า เปรียญธรรม ใช่อักษรย่อว่า ป.ธ. เปรียญธรรมตามความหมายนี้ ใช้ลงต่อท้ายราชทินนาม หรือนามเดิมของผู้สอบได้ เพื่อแสดงวิทยฐานะ เช่น พระศรีกิตติเวที ป.ธ.๙ อ่านว่า พระศรี กิตติเวที เปรียญธรรม ๙ ประโยค หรือ พระมหาอุดม อุตฺตโม ป.ธ.๘ อ่านว่า พระมหาอุดม อุตฺตโม เปรียญธรรม ๘ ประโยค และเปรียญธรรมตามนัยนี้มาพร้อมกับการสอบได้บาลี ๓ ประโยคขึ้นไป ๓. พระมหา เป็นคำที่พระราชทานให้ใช้นำหน้านามเดิมของผู้สอบได้บาลี ๓ ประโยค ขึ้นไป ซึ่งได้รับการทรงตั้งเปรียญแล้ว จึงเป็นเครื่องหมายของเปรียญที่ทรงตั้งแล้วนั่นเอง เวลาทรงตั้งเรียกว่า ทรงตั้งเปรียญ พัดยศเรียกว่า พัดยศเปรียญ คำเป็นเครื่องหมาย สมณศักดิ์ใช้ว่า พระมหา แลคำว่า พระมหา โบราณเคยใช้นำหน้าผู้ที่ทรงโปรดพิเศษก็มี เช่น พระมหาโต พฺรหฺมรํสี วัดระฆังโฆสิตาราม โปรดในรัชกาลที่ ๑ เพราะเทศน์ได้ไพเราะและ โปรดให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง แต่ในปัจจุบันนี้โปรดพระราชทานเฉพาะผู้สอบบาลีได้ ๓ ประโยคขึ้นไปอย่างเดียว รูปใดได้รับการทรงตั้งเปรียญเป็น พระมหา แล้ว ถ้าได้รับการ ตั้งสมณศักดิ์อื่น ความเป็นพระมหาย่อมสิ้นสภาพไป ถ้าลาออกจากสมณศักดิ์แล้วจะใช้ คำว่า พระมหา อีกมิได้ หรือลาสิกขาแล้วกลับอุปสมบทใหม่จะใช้คำว่า พระมหา อีกก็มิได้ แต่เพราะเปรียญธรรมซึ่งเป็นวิทยฐานะยังคงอยู่ มีสิทธิสอบบาลีประโยคสูงต่อได้ ตัวอย่าง กรณี พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) วัดมหาธาตุและพระศาสนโศภน (ปลอด อตฺถการี) วัดราชาธิวาส ทรงพระกรุณาโปรดให้ถอดออกจากสมณศักดิ์ จึงเป็นเพียง พระอาจ อาสโภ และพระปลอด อตฺถการี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดให้พระเถระทั้งสองรูป ดังกล่าวกลับคืนสมณศักดิ์ดังเดิม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๔. เปรียญ นั้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา เรียกว่า บาเรียน แบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ บาเรียนตรี บาเรียนโท บาเรียนเอก ในรัชกาลที่ ๒ ทรงปรับปรุงเป็น บาเรียน ๓ ประโยค
สมัยรัตนโกสินทร์ 225 ถึง บาเรียน ๙ ประโยค และเทียบกันได้ บาเรียน ๓ เทียบกับบาเรียนตรี บาเรียน ๔ - ๕ - ๖ เทียบกับบาเรียนโท บาเรียน ๗-๘-๙ เทียบกับบาเรียนเอก ต่อมาถึงปลายรัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนคำว่า บาเรียน เป็น เปรียญ แต่ยังจัดชั้นดังที่ปรับปรุงในรัชกาลที่ ๒ และได้ใช้ สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ บาเรียน เป็นชื่อคน หมายถึงผู้สามารถเป็นครูสอน เป็นชื่อวิทยฐานะ หมายถึง ความรู้ชั้นครูสอน เป็นชื่อสมณศักดิ์ หมายถึงสมณศักดิ์ชั้นผู้เป็นครูสอน คำนี้มีความหมาย ถึงความรู้และความสามารถ เปรียญ เป็นชื่อคน หมายถึงผู้รู้รอบ เป็นชื่อวิทยฐานะ หมายถึงความรู้รอบ เป็น ชื่อสมณศักดิ์ หมายถึงสมณศักดิ์ชั้นผู้มีความรู้รอบ คำนี้หมายถึงรู้ดีอย่างเดียว มิได้หมายถึง ความสามารถด้วย ๕. การทรงตั้งเปรียญ ในปัจจุบันนี้ เฉพาะผู้สอบได้บาลี ๓ ประโยค โปรดพระราชทาน ให้สมเด็จพระสังฆราชทรงตั้ง โดยประทานประกาศนียบัตรพัดยศชื่อว่าทรงตั้งแล้ว ผู้ได้รับการ ทรงตั้งเปรียญแล้ว หากเป็นพระภิกษุใช้คำว่า พระมหา นำหน้าเดิม แต่ถ้าเป็นสามเณรใช้ คำว่า เปรียญ ต่อท้ายชื่อสกุล เช่น สามเณรวิเชียร ไกรฤกษ์ศิลป์ เปรียญ เคยทรงตั้งใน วันแรม ๗ คํ่า เดือน ๖ แต่มิได้กำหนดแน่นอน ส่วนผู้สอบได้บาลี ๖ ประโยค และ ๙ ประโยค พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพัดยศและไตรจีวร โดยปกติกำหนด วันขึ้น ๑๔ คํ่า เดือน ๖ ของทุกปี (ก่อนวันวิสาขบูชา) ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ๘.๕.๖ ประทวนสมณศักดิ์ ประทวนสมณศักดิ์ เป็นสมณศักดิ์ประเภทหนึ่งในระดับชั้นประทวน เรียกผู้ที่ ได้รับสมณศักดิ์ประเภทนี้ว่าพระครูประทวน เป็นตำแหน่งพระครูที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งพระสงฆ์ผู้อุปการะโรงเรียนประชาบาล ผู้เป็นกรรมการศึกษา หรือผู้ทำ คุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและพระศาสนา สมณศักดิ์ชั้นนี้ไม่มีราชทินนาม มีแต่คำว่า “พระครู” นำหน้าชื่อตัว เช่น พระภิกษุบุญธรรม ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูประทวน จะมีนาม ว่า “พระครูบุญธรรม” พระครูชั้นนี้ ได้รับเพียงใบประกาศแต่งตั้งเท่านั้น ไม่ได้รับพระราชทาน พัดยศเหมือนพระครูสัญญาบัตร ในปัจจุบัน ไม่นิยมตั้งสมณศักดิ์ประเภทนี้แล้ว
226 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ตราตั้งพระพิธีธรรม วัดพระเชตุพน
สมัยรัตนโกสินทร์ 227 ตราตั้งพระพิธีธรรม วัดพระเชตุพน
228 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๘.๕.๗ พระพิธีธรรม พระพิธีธรรม เป็นสมณศักดิ์ประเภทหนึ่ง (ไม่ได้พระราชทานแก่พระสงฆ์ แต่ พระราชทานแก่วัด) พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งจากวัดที่เป็น พระอารามหลวงเป็นส่วนมาก (ไม่ระบุพระสงฆ์วัดใดที่ไม่มีการโปรดเกล้าฯ ไม่สามารถตั้ง พระพิธีธรรมได้ แม้แต่ในวัดนั้นจะมีพระสงฆ์ซึ่งเคยเป็นพระพิธีธรรมมาแล้วก็ตาม) ทาง วัดจะแต่งตั้ง วัดละ ๑ สำรับ สำรับละ ๔ รูป เป็นพระพิธีธรรม เพื่อสวดในการบำเพ็ญ พระราชกุศลต่างๆ เช่น สวดพระอภิธรรมในงานพระบรมศพ พระศพ หรือศพ ในพระบรม ราชานุเคราะห์ สวดอาฎานาฏิยสูตรในพระราชพิธีสงกรานต์ เป็นต้น นอกจากนี้พระพิธีธรรม ต้องไปสวดจตุรเวทที่หอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวังทุกวันพระ เวียนกันไป วัดละ ๑ เดือน ในปัจจุบัน วัดที่มีการพระราชทานแต่งตั้งพระพิธีธรรม มีอยู่ ๑๐ วัด ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดสระเกศ วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดสุทัศนเทพวราราม วัดประยุรวงศาวาส วัดอนงคาราม วัดราชสิทธาราม วัดระฆังโฆสิตาราม ๘.๖ ก�รพิจ�รณ�แต่งตั้งสมณศักดิ์ การพิจารณาแต่งตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์เป็นพระราชอำนาจและเป็น พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์มาแต่เดิม เมื่อทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณว่า พระภิกษุรูปใดมีความรู้ความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก มีศีลาจารวัตรน่าเลื่อมใส มีความ สามารถในการปกครองหมู่คณะให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งยังเป็นศูนย์รวมศรัทธา ของประชาชนแล้ว ก็จะพระราชทานสมณศักดิ์เพื่อเป็นเกียรติและกำลังใจในการจะได้ ช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาสืบไป ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ วโรรส ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายกอยู่นั้น เมื่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะโปรดพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์รูปใด ก็จะทรงปรึกษากับ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก่อนทุกครั้ง ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงให้พระสงฆ์มี ส่วนร่วมในการพิจารณาเสนอความคิดเห็นได้
สมัยรัตนโกสินทร์ 229 ๑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ เรื่อง พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๒๐ ข, ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓, หน้า ๑ - ๒.๒ ราชกิจจานุเบกษา,ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๑๘, ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓, หน้า ๑ - ๒.๓ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๓ ข, ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓, หน้า ๑. ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นหน้าที่ทางคณะสงฆ์จะช่วยกันพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามลำดับชั้น เริ่มต้นจากเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะใหญ่ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับ แล้ว กรรมการมหาเถรสมาคมจะเป็นผู้พิจารณาสุดท้าย จากนั้นสำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติจึงเสนอเรื่องเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานสมณศักดิ์ ตามระเบียบของทางราชการต่อไป นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นมา การสถาปนาและพระราชทานสมณศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ มีพระราชศรัทธาโปรดสถาปนาและพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระราชาคณะตามพระบรมราชโองการ ซึ่งพระภิกษุที่ได้รับการสถาปนาและพระราชทาน สมณศักดิ์ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ เช่น วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์๑ ๓ รูป ได้แก่ ๑. พระธรรมราชานุวัตร พระราชาคณะชั้นธรรม วัดโมลีโลกยาราม พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร ๒. พระเทพพัชรญาณมุนี พระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จังหวัดนครราชสีมา ๓. พระเทพศากยวงศ์บัณฑิต พระราชาคณะชั้นเทพ วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา สมเด็จพระญาณ วชิโรดม๒ สมเด็จพระราชาคณะ วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร กรุงเทพมหานคร วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา พระพรหมวชิรญาณ๓ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ วัดอมราวดี สหราชอาณาจักร และทรงพระกรุณา
230 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระราชวชิรญาณ๑ พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดป่ารัตนวัน จังหวัดนครราชสีมา วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์ ๑ รูป ได้แก่ พระเทพวัชรบัณฑิต๒ พระราชาคณะชั้นเทพ วัดปากนํ้า พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๔ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้ง สมณศักดิ์ พระเมธีวชิรโสภณ๓ พระราชาคณะ วัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์ พระเทพวชิรโมลี๔ พระราชาคณะชั้นเทพ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๔ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา พระพรหมวชิรโสภณ๕ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด และทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระราชพัชรมานิต๖ พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดบุญญาวาส จังหวัดชลบุรี วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์ พระเทพวชิรญาณ๗ พระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ๑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๓ ข, ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓, หน้า ๒.๒ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๒ ข, ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔, หน้า ๑.๓ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๑๓ ข, ๗ มีนาคม ๒๕๖๔, หน้า ๑.๔ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๑๘ ข, ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๔, หน้า ๑.๕ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๒๐ ข, ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๔, หน้า ๑.๖ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๒๐ ข, ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๔, หน้า ๒.๗ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๒๑ ข, ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔, หน้า ๑.
สมัยรัตนโกสินทร์ 231 ๘.๗ พิธีพระราชทานสมณศักดิ์ การพระราชทานตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๙ จะมีพระราชพิธี พระราชทานฯ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ของทุกปี หรือในกรณีพิเศษ เช่น ในพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ ในวันที่ ๙ มิถุนายน ซึ่งการ พระราชทานสมณศักดิ์นั้น เฉพาะการทรงตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์สำหรับพระราชาคณะ จะพระราชทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศด้วยพระองค์เอง หรือโปรดเกล้าฯ ให้ ผู้แทนพระองค์ ในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๖๔) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรี เชิญสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ไปถวายแด่พระภิกษุผู้ได้รับพระราชทาน ณ อารามนั้นๆ เช่น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายศุภชัย ภู่งาม องคมนตรี เชิญ สัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ถวายแด่พระเทพวชิรโมลี ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. สำหรับการพระราชทานสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๙ จะทรงมอบพระราชภาระให้ผู้แทนพระองค์ คือ สมเด็จพระสังฆราช หรือเจ้าคณะใหญ่ ในหนนั้นๆ เป็นผู้ประทานสัญญาบัตร พัดยศแทน ส่วนสถานที่ประกอบพิธีอยู่ในวัด ในเขตการปกครองของเจ้าคณะใหญ่หนนั้นๆ ตามแต่มหาเถรสมาคมจะกำหนด ๘.๘ ลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธี พ.ศ. ๒๔๕๕ ในรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงจัดระเบียบสมณศักดิ์อีกครั้งหนึ่ง โดยแบ่งเป็นฐานันดร คือยศ และตำแหน่ง คือ หน้าที่ทางการปกครอง ทั้งนี้ ทรงพระดำริว่า ฐานันดรคือยศควรแก่ท่านผู้ใหญ่ ส่วนตำแหน่ง คือหน้าที่นั้นควรแก่ผู้อยู่ในวัยทำงาน ตามทำเนียมที่ทรงจัดขึ้นใหม่นี้ ทรงแบ่งสมณศักดิ์หรือฐานันดรของพระภิกษุเป็น ๒๑ ชั้น คือ ๑. สมเด็จพระมหาสมณะ (หรือสมเด็จพระสังฆราช) ๒. สมเด็จพระราชาคณะ ๓. พระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร (หรือเจ้าคณะรอง) ๔. พระราชาคณะชั้นธรรม
232 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑ วิเชียร อากาศฤกษ์ และ สุนทร สุภูตะโยธิน, ประวัติสมณศักดิ์และพัดยศ, (กรุงเทพมหานคร : บูรพาศิลปการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๖๐ - ๖๑.๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๕๑ - ๒๕๒. ๕. พระราชาคณะชั้นเทพ ๖. พระราชาคณะชั้นราช ๗. พระราชาคณะชั้นสามัญ (ได้แก่พระราชาคณะเปรียญ พระราชาคณะฝ่ายสมถะ พระราชาคณะยก) ๘. พระครู (แบ่งเป็น ๑๒ ชั้น) ๙. พระอธิการ ๑๐. พระพิธีธรรม ส่วนตำแหน่งของพระภิกษุแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือตำแหน่งฝ่ายบริหาร กับตำแหน่ง ฝ่ายปริยัติซึ่งเทียบกันได้ดังนี้ ๑. สกลสังฆปริณายก คือสมเด็จพระสังฆราช ๒. มหาสังฆนายก คือเจ้าคณะใหญ่ ๓. สังฆนายก คือเจ้าคณะรอง ฝ่ายบริหาร ฝ่ายปริยัติ ๔. เจ้าคณะมณฑล คณาจารย์เอก ๕. รองเจ้าคณะมณฑล ๖. เจ้าคณะเมือง คณาจารย์โท ๗. รองเจ้าคณะเมือง ๘. เจ้าคณะแขวง คณาจารย์ตรี ๙. รองเจ้าคณะแขวง ๑๐. เจ้าอาวาส อาจารย์ใหญ่ ๑๑. รองเจ้าอาวาส รองอาจารย์ใหญ่๑ ต่อมามหาเถรสมาคม๒ ได้กำหนดลำดับที่นั่งของพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ในงาน พระราชพิธี และรัฐพิธี ตามลำดับสมณศักดิ์จากชั้นสูงไปหาชั้นตํ่า ดังนี้ ก. สมเด็จพระราชาคณะ ๑. สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๒. สมเด็จพระราชาคณะ
สมัยรัตนโกสินทร์ 233 ข. พระราชาคณะ ๓. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏ ๔. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๕. พระราชาคณะชั้นธรรม ๖. พระราชาคณะชั้นเทพ ๗. พระราชาคณะชั้นราช ๘. พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๙. พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ๑๐. พระราชาคณะชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๑๑. พระราชาคณะชั้นสามัญยก ค. พระครูสัญญาบัตร ฐานานุกรม เปรียญ ๑๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะจังหวัด ๑๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ๑๔. พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ ๑๕. พระเปรียญ ๙ ประโยค ๑๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะจังหวัด ๑๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ ๑๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท ๑๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก ๒๐. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ๒๑. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ หรือ เทียบเท่า ๒๒. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏ ๒๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี ๒๔. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท ๒๕. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่าย วิปัสสนาธุระ ๒๖. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก หรือเทียบเท่า ๒๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท ๒๘. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๒๙. พระครูฐานานุกรมชั้นเอกของสมเด็จพระสังฆราช ๓๐. พระเปรียญ ๘ ประโยค ๓๑. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี
234 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๓๒. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท หรือเทียบเท่า ๓๓. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นธรรม ๓๔. พระครูฐานานุกรมชั้นโท (พระครูปริตร) ของสมเด็จพระสังฆราช ๓๕. พระเปรียญ ๗ ประโยค ๓๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก ๓๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท ๓๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก ๓๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๔๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ๔๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี ๔๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี ๔๓. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี ๔๔. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี ๔๕. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นเทพ ๔๖. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นราช ๔๗. พระเปรียญ ๖ ประโยค ๔๘. พระครูวินัยธร ๔๙. พระครูธรรมธร ๕๐. พระเปรียญ ๕ ประโยค ๕๑. พระครูคู่สวด ๕๒. พระเปรียญ ๔ ประโยค ๕๓. พระปลัดของพระราชาคณะชั้นสามัญ ๕๔. พระเปรียญ ๓ ประโยค ๕๕. พระครูรองคู่สวด ๕๖. พระครูสังฆรักษ์ ๕๗. พระครูสมุห์ ๕๘. พระครูใบฎีกา ๕๙. พระสมุห์ ๖๐. พระใบฎีกา ๖๑. พระพิธีธรรม พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสายงานการปกครอง ของคณะสงฆ์ จึงได้มีการจัดสร้างพัดยศสมณศักดิ์ พร้อมกับได้จัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์
สมัยรัตนโกสินทร์ 235 ฐานานุกรม และเปรียญ ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๔๑ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑๑ ซึ่งจัดลำดับไว้ดังนี้ สมเด็จพระราชาคณะ ๑. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ๒. สมเด็จพระสังฆราช ๓. สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ (ตามลำดับอาวุโสโดยสมณศักดิ์) พระราชาคณะ ๔. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ๕. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๖. พระราชาคณะชั้นธรรม ๗. พระราชาคณะชั้นเทพ ๘. พระราชาคณะชั้นราช ๙. พระราชาคณะชั้นสามัญ - พระราชาคณะ ปลัดขวา - ปลัดซ้าย - ปลัดกลาง - พระราชาคณะ รองเจ้าคณะภาค - พระราชาคณะ เจ้าคณะจังหวัด - พระราชาคณะ รองเจ้าคณะจังหวัด - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ป.ธ.๙ - ๘ - ๗ - ๖ - ๕ - ๔ - ๓ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก ๑ พระเทพรัตนสุธี (พิมพ์ าณวีโร), ทำ เนียบพระราชาคณะ ฉบับสมบูรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๖, (กาญจนบุรี :สหายพัฒนาการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๒๔๒-๒๔๔. (พิมพ์ถวายเป็นมุทิตาในวโรกาสที่ พระครู พิพิธวิหารกิจ (สมศักดิ์ ปสนฺโน ป.ธ.๔, ศษ.บ.) เจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระปริยัติกิจวิธาน วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๖)
236 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระครูสัญญาบัตร ฐานานุกรม เปรียญธรรม ๑๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะจังหวัด (จจ.) ๑๑. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะจังหวัด (รจจ.) ๑๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (จล.ชอ.) ๑๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (จอ.ชพ.) ๑๔. พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (ทจอ.ชพ.) ๑๕. พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ ๑๖. พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค ๑๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (จล.ชท.) ๑๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (จอ.ชอ.) ๑๙. พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (ทจอ.ชอ.) ๒๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (จล.ชต.) ๒๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (จอ.ชท.) ๒๒. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (รจล.ชอ.) ๒๓. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (รจล.ชท.) ๒๔. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (รจล.ชต.) ๒๕. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชพ. หรือ ทผจล.ชพ.) ๒๖. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ.วิ. หรือ ทผจล.ชอ.วิ.) ๒๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ. หรือ ทผจล.ชอ.) ๒๘. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ๒๙. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๓๐. พระครูฐานานุกรมชั้นเอก ของสมเด็จพระสังฆราช ๓๑. พระเปรียญธรรม ๘ ประโยค ๓๒. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท หรือเทียบเท่า (ผจล.ชท. หรือ ทผจล.ชท.) ๓๓. พระเปรียญธรรม ๗ ประโยค ๓๔. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นธรรม
สมัยรัตนโกสินทร์ 237 ๓๕. พระครูฐานานุกรมชั้นโท (พระครูปริตร) ของสมเด็จพระสังฆราช ๓๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (รจอ.ชอ.) ๓๗. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (รจอ.ชท.) ๓๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชอ.วิ.) ๓๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก (จต.ชอ.) ๔๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท (จต.ชท.) ๔๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี (จต.ชต.) ๔๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก (จร.ชอ.) ๔๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชท.วิ.) ๔๔. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท (จร.ชท.) ๔๕. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี (จร.ชต.) ๔๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (รจร.) ๔๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (ผจร.) ๔๘. พระเปรียญธรรม ๖ ประโยค ๔๙. พระเปรียญธรรม ๕ ประโยค ๕๐. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นเทพ ๕๑. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นราช ๕๒. พระครูวินัยธร ๕๓. พระครูธรรมธร ๕๔. พระครูคู่สวด ๕๕. พระเปรียญธรรม ๔ ประโยค ๕๖. พระปลัดของพระราชาคณะชั้นสามัญ ๕๗. พระเปรียญธรรม ๓ ประโยค ๕๘. พระครูรองคู่สวด ๕๙. พระครูสังฆรักษ์ ๖๐. พระครูสมุห์ ๖๑. พระครูใบฎีกา ๖๒. พระสมุห์ ๖๓. พระใบฎีกา ๖๔. พระพิธีธรรม
238 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้ปรับปรุงลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงาน พระราชพิธีและรัฐพิธี ตามที่ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพัดยศเพิ่มอีก ๕ ตำแหน่ง๑ เรียงลำดับดังนี้ สมเด็จพระราชาคณะ ๑. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ๒. สมเด็จพระสังฆราช ๓. สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ (ตามลำดับอาวุโสโดยสมณศักดิ์) พระราชาคณะ ๔. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ๒ ๕. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๖. พระราชาคณะชั้นธรรม ๗. พระราชาคณะชั้นเทพ ๘. พระราชาคณะชั้นราช ๑ พระมหานิรุตต์ ิตสํวโร, คู่มือสมณศักดิ์ พัดยศ ฉบับสมบูรณ์ (ปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. ๒๕๕๒ เพิ่มเติมพัดใหม่ ๕ ตำแหน่ง), พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : ธงธรรม, ๒๕๕๒), หน้า ๒๑๗ - ๒๒๐. ๒ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ เล่ม ๑๓๓, ตอนที่ ๔๒ ข, ๕ ธันวาคม ๒๕๕๙, หน้า ๒ และราชกิจจานุเบกษา, พระราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ เล่ม ๑๓๔ ตอน ๙, ๘ มีนาคม ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๙ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ โปรด สถาปนาสมณศักดิ์ พระธรรมมังคลาจารย์ (ทอง สิริมงฺคโล) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ และที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๗ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ฝ่ายวิปัสสนา ธุระ เป็นรูปแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราชทินนามที่ พระพรหมมงคล ภาวนาโกศลสุพพิธาน วิปัสสนา บริหารพิสุทธิ์ ปาวจนุตตมานุศาสน์ คัมภีรญาณพิลาสธำรง มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี ลักษณะพัดยศสมณศักดิ์ : พัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ พื้นโหมดสีขาว สลับริ้วลูกคั่นด้วยตาดสีขาว ปักดิ้นเลื่อมและทองแล่ง ใจกลางปักเป็นช่อใบเทศ มีแฉก ๙ กลีบ ยอดแกะเป็นบัวซ้อน ด้ามวัสดุเทียมงา คอแกะเป็นเทพนม ส้นแกะเป็นบัวกลุ่ม อ้างใน ปฏิทินศาสนา ๒๕๖๐, บัญชีรายนามพระสงฆ์ที่ขอ พระราชทานสถาปนา เลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๙, (กรุงเทพมหานคร:สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๖๐), หน้า ๕๑๑.
สมัยรัตนโกสินทร์ 239 ๙. พระราชาคณะชั้นสามัญ - พระราชาคณะ ปลัดขวา - ปลัดซ้าย - ปลัดกลาง - พระราชาคณะ รองเจ้าคณะภาค - พระราชาคณะ เจ้าคณะจังหวัด - พระราชาคณะ รองเจ้าคณะจังหวัด - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ป.ธ.๙ - ๘ - ๗ - ๖ - ๕ - ๔ - ๓ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ - พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก พระครูสัญญาบัตร ฐานานุกรม เปรียญธรรม ๑๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะจังหวัด (จจ.) ๑๑. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะจังหวัด (รจจ.) ๑๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (จล.ชอ.) ๑๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำ เภอ ชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือ เทียบเท่า (จอ.ชพ.วิ. หรือ ทจอ.ชพ.วิ.) ๑๔. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (จอ.ชพ.) ๑๕. พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ ๑๖. พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค ๑๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (จล.ชท.) ๑๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำ เภอ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือเทียบเท่า (จอ.ชอ.วิ. หรือ ทจอ.ชอ.วิ.) ๑๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (จอ.ชอ.) ๒๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (จล.ชต.) ๒๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (จอ.ชท.) ๒๒. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (รจล.ชอ.) ๒๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (รจล.ชท.) ๒๔. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (รจล.ชต.) ๒๕. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระหรือเทียบเท่า (ผจล.ชพ.วิ. หรือ ทผจล.ชพ.วิ.)
240 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๒๖. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ หรือ เทียบเท่า (ผจล.ชพ. หรือ ทผจล.ชพ.) ๒๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระหรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ.วิ. หรือ ทผจล.ชอ.วิ.) ๒๘. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ. หรือ ทผจล.ชอ.) ๒๙. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ๓๐. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๓๑. พระครูฐานานุกรมชั้นเอก ของสมเด็จพระสังฆราช ๓๒. พระเปรียญธรรม ๘ ประโยค ๓๓. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท หรือเทียบเท่า (ผจล.ชท. หรือ ทผจล.ชท.) ๓๔. พระเปรียญธรรม ๗ ประโยค ๓๕. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นธรรม ๓๖. พระครูฐานานุกรมชั้นโท (พระครูปริตร) ของสมเด็จพระสังฆราช ๓๗. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (รจอ.ชอ.) ๓๘. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (รจอ.ชท.) ๓๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชอ.วิ.) ๔๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก (จต.ชอ.) ๔๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำ บล ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชท.วิ) ๔๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท (จต.ชท.) ๔๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี (จต.ชต.) ๔๔. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชอ.วิ.) ๔๕. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก (จร.ชอ.) ๔๖. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชท.วิ.) ๔๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท (จร.ชท.) ๔๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี (จร.ชต.) ๔๙. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (รจร.) ๕๐. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (ผจร.) ๕๑. พระเปรียญธรรม ๖ ประโยค
สมัยรัตนโกสินทร์ 241 ๕๒. พระเปรียญธรรม ๕ ประโยค ๕๓. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นเทพ ๕๔. พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นราช ๕๕. พระครูวินัยธร ๕๖. พระครูธรรมธร ๕๗. พระครูคู่สวด ๕๘. พระเปรียญธรรม ๔ ประโยค ๕๙. พระปลัดของพระราชาคณะชั้นสามัญ ๖๐. พระเปรียญธรรม ๓ ประโยค ๖๑. พระครูรองคู่สวด ๖๒. พระครูสังฆรักษ์ ๖๓. พระครูสมุห์ ๖๔. พระครูใบฎีกา ๖๕. พระสมุห์ ๖๖. พระใบฎีกา ๖๗. พระพิธีธรรม การจัดลำดับสมณศักดิ์สำหรับพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินหรือพระกฐิน พระราชทานยังพระอารามหลวงต่างๆ เจ้าอาวาสจะนั่งหน้าพระภิกษุรูปอื่นถึงแม้จะมี สมณศักดิ์สูงกว่า อนึ่ง พระราชพิธีสงกรานต์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมอัฐิ พระอัฐิ พระสงฆ์ที่สดับปกรณ์พระบรมอัฐิ และพระอัฐิ มิได้นั่งตามลำดับสมณศักดิ์ หากแต่จะนั่งตามลำดับพระบรมอัฐิและพระอัฐิ เช่น พระสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นั่งลำดับที่ ๑ เพราะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ สดับปกรณ์พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระสงฆ์วัดอรุณราชวราราม นั่งลำดับที่ ๒ เพราะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๒ สดับปกรณ์พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นต้น
242 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ตราประจำตำแหน่ง “พระศรีวิสุทธิวงศ์” พระศรีวิสุทธิวงศ์ เป็นสมณศักดิ์พระราชาคณะ ขึ้นคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย คณะเหนือ ตามที่ปรากฏในจารึกลายรดนํ้ารูปตราประจำตำแหน่งเจ้าคณะสงฆ์ในกรุงและหัวเมือง สมัยรัชกาลที่ ๓ อยู่ที่ด้านหลังบานหน้าต่างพระอุโบสถวัดพระเชตุพน ช่องที่ ๔ บานซ้าย ด้านเหนือนับจากทิศตะวันออก สมณศักดิ์ “พระศรีวิสุทธิวงศ์” เป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย รัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๕ ก่อนจะทรงตั้งสมเด็จ พระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุ โปรดเกล้าฯ ให้คิดราชทินนามพระราชาคณะขึ้นใหม่สองนาม แล้วทรงตั้งพระมหาจี่ เปรียญ ๙ ประโยค วัดราชบุรณะ เป็นพระอมรโมลี รูปแรก (ต่อมาโปรด ให้ย้ายไปครองวัดประยุรวงศาวาส ภายหลังได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) และทรงตั้งพระมหาถึก เปรียญ ๘ ประโยค วัดพระเชตุพน เป็นพระศรีวิสุทธิวงศ์ รูปแรก (ภายหลังได้รับสถาปนาเป็น พระธรรมอุดม) พระมหาสุรพล ชิตาโณ ป.ธ.๙ เป็นพระศรี วิสุทธิวงศ์ รูปที่สองแห่งวัดพระเชตุพน
244 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระบัญชาให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโ) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร ปฏิบัติหน้าที่แทน เป็นประธานในพิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศและผ้าไตร ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก ภาค ๙ - ๑๑ - ๑๒ ประจำ ปี ๒๕๖๖ ณ วัดโสธรวราราม วรวิหาร อำ เภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๖
บทที่ ๙ ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับสมณศักดิ์ สมณศักดิ์มีความสัมพันธ์แบบคู่ขนานกับลำดับชั้นของตำแหน่งการปกครอง คณะสงฆ์ไทยตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎมหาเถรสมาคมที่ประกาศใช้ในปัจจุบัน พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป และมีคุณสมบัติ เฉพาะตำแหน่ง ซึ่งมีกำหนดเกี่ยวกับพรรษาเป็นเกณฑ์บังคับในเบื้องต้นแล้ว ต้องมีสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เป็นเปรียญธรรม หรือเป็นพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะ ทั้งนี้สุดแต่ว่าตำแหน่งที่พระภิกษุรูปนั้นดำรงตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ในระดับใด ๙.๑ สมณศักดิ์กับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ พระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณมา ทรงถือเป็นพระราชธุระในการทำนุบำรุงพระพุทธ ศาสนาและคณะสงฆ์ โดยเฉพาะในด้านคณะสงฆ์นั้น ทรงถือเป็นพระราชธุระในการปกครอง ดูแลอย่างใกล้ชิด และเนื่องด้วยการปกครองคณะสงฆ์นั่นเองที่เป็นที่มาของสมณศักดิ์ หรือ สมณฐานันดร สมณศักดิ์หรือสมณฐานันดรเป็นตำแหน่งเนื่องด้วยการปกครองคณะสงฆ์ที่พระมหา กษัตริย์ทรงตั้ง พระเถระผู้ได้รับตั้งในสมณศักดิ์จึงเท่ากับเป็นผู้ได้รับพระราชทานอำนาจใน การปกครองคณะสงฆ์ให้ทำหน้าที่ปกครองดูแลคณะสงฆ์ในส่วนที่ได้รับแต่งตั้งนั้น ฉะนั้น สมณศักดิ์ในคณะสงฆ์ไทยแต่โบราณมาจึงมีเฉพาะท่านที่มีหน้าที่ทางการปกครอง ส่วนที่ ไม่มีหน้าที่ทางการปกครองแต่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นั้น มีเฉพาะที่เป็นตำแหน่งพิเศษ หรือตำแหน่งเฉพาะบุคคลเท่านั้น
246 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ จึงทำให้เห็นว่า สมณศักดิ์ราชทินนามที่พระมหากษัตริย์โปรดพระราชทานสถาปนา พระสงฆ์ผู้มีหน้าที่ทางการปกครองในสมัยนั้น จะเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่ามีหน้าที่การ ปกครองคณะสงฆ์ในตำแหน่งใด ซึ่งเปรียบเทียบตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ได้ดังนี้ สกลสังฆปริณายก ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช มหาสังฆนายก ได้แก่ เจ้าคณะใหญ่ สังฆนายก ได้แก่ เจ้าคณะรอง มหาสังฆปาโมกข์ ได้แก่ เจ้าคณะมณฑล (เจ้าคณะภาคในปัจจุบัน) สังฆปาโมกข์ ได้แก่ เจ้าคณะจังหวัดที่เป็นพระราชาคณะ สังฆวาหะ ได้แก่ เจ้าคณะจังหวัดที่เป็นพระครู เจ้าคณะแขวง ได้แก่ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะหมวด ได้แก่ เจ้าคณะตำบล ๙.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับสมณศักดิ์ ระบบสมณศักดิ์มีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำแหน่งผู้ปกครองคณะสงฆ์ ทั้งนี้เพราะ พระสงฆ์ผู้มีสมณศักดิ์สูงมักดำรงตำแหน่งปกครองระดับสูงในองค์กรปกครองคณะสงฆ์ เช่น ในสมัยอยุธยา พระพุทธาจารย์เป็นเจ้าคณะอรัญวาสี พระวันรัต วัดป่าแก้ว เป็นเจ้าคณะ คามวาสีฝ่ายขวา คำว่า “พระพุทธาจารย์” และ “พระวันรัต” เป็นสมณศักดิ์ ดังนั้น เพื่อ ความเข้าใจโครงสร้างอำนาจบังคับบัญชาการปกครองคณะสงฆ์ จึงควรศึกษาระบบสมณศักดิ์ ของพระสงฆ์ สมณศักดิ์ คือ ยศพระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานหลายชั้น แต่ละชั้นมีพัดยศเป็น เครื่องกำหนด๑ สมณศักดิ์เป็นฐานันดรศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดตั้ง ถวายเฉพาะพระสงฆ์ เทียบได้กับลำดับแห่งยศบรรดาศักดิ์ เช่น ขุน หลวง พระ พระยา ที่ พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้ว่าระบบฐานันดรศักดิ์ของข้าราชการจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ระบบฐานันดรศักดิ์ของ พระสงฆ์ยังคงใช้กันอยู่เรื่อยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน ๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖), หน้า ๑๑๖๗.
สมัยรัตนโกสินทร์ 247 การที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งราชทินนามถวายเป็นสมณศักดิ์แด่พระสงฆ์นั้น เป็นราชประเพณีที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ราชประเพณีนี้เริ่มถือปฏิบัติกันที่ประเทศลังกาเป็นแห่งแรก มีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือ รามัญสมณวงศ์ว่า “พ.ศ. ๒๑๐๘ (ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุง ศรีอยุธยา) พระเจ้ารามาธิบดี กรุงหงสาวดี มีพระราชประสงค์จะรวมพระสงฆ์ ในรามัญประเทศซึ่งแตกต่างลัทธิกันอยู่เป็นหลายพวกให้เป็นนิกายเดียวกัน จึงส่งพระเถระเมืองหงสาวดีออกไปบวชแปลงที่เมืองลังกา เมื่อพระภูวเนก พาหุพระเจ้ากรุงลังกาทรงจัดการให้พระมอยเหล่านั้นได้บวชแปลงสมปรารถนา เสร็จแล้ว มีรับสั่งแก่พระเถระเหล่านั้นว่าการที่พระราชทานไทยธรรม ต่างๆ ถึงจะมากมายเท่าใดก็จะไม่ปรากฏพระเกียรติยศถาวรเท่าพระราชทาน นามบัญญัติ เพราะไทยธรรมทั้งหลายย่อมอาจจะพลัดพรากหายสูญไปได้ แต่ส่วนราชทินนามนั้นย่อมจะปรากฏถาวรอยู่ตลอดอายุขัยของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งหลาย มีรับสั่งดังนี้แลัวจึงพระราชทานนามแก่พระมอญที่ไปบวชแปลง ๒๒ รูป คือ ตั้งพระโมคคัลลานะเถระให้มีพระนามว่า พระสิริสังฆโพธิสามี พระมหาสีวลีเถระให้มีนามว่า พระติโลกคุรุสามี เป็นต้น”๑ ข้อนี้แสดงว่าราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งราชทินนามเป็นสมณศักดิ์ ถวายพระสงฆ์มีมานานแล้วในประเทศลังกา ก่อนที่จะแพร่หลายไปสู่ประเทศต่างๆ ที่รับเอา คณะสงฆ์ลังกาวงศ์เป็นแบบของการสถาปนาและปรับปรุงคณะสงฆ์ สำหรับประเทศไทยนั้น ระบบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เริ่มใช้ตั้งแต่รัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท๒ พระองค์ได้โปรด ให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชมาแต่ลังกาเพื่อให้ประกาศพุทธศาสนา ๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ประชุมนิพนธ์เกี่ยวกับตำ นาน ทางพระพุทธศาสนา, (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๑๔, คณะสงฆ์วัดพระพิเรนทร์ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเทพคุณาธาร (ผล ชินปุตฺโต) ณ ฌาปนสถานวัดพระพิเรนทร์ วันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๔), หน้า ๑๖๗ - ๑๖๘.๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๑๖.
248 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ลัทธิลังกาวงศ์ในกรุงสุโขทัย พระมหาสามีสังฆราชคงจะได้ถวายพระพรให้พระมหาธรรมราชา ลิไททรงตั้งสมณศักดิ์ถวายแต่พระสงฆ์ตามราชประเพณีที่ถือปฏิบัติในประเทศลังกา ระบบ สมณศักดิ์สมัยสุโขทัยไม่สลับซับซ้อนเพราะมีเพียง ๒ ระดับชั้นเท่านั้น คือ พระสังฆราช และพระครู๑ ส่วนในสมัยอยุธยาระบบสมณศักดิ์ได้รับการปรับให้มีระดับชั้นเพิ่มขึ้นโดย เรียงลำดับจากชั้นสูงสุดลงมา ดังนี้ ๑. สมเด็จพระสังฆราช ๒. พระสังฆราชาคณะ หรือ พระราชาคณะ ๓. พระครู๒ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันระบบสมณศักดิ์ที่ยังใช้อยู่มีความสลับซับซ้อนมาก ยิ่งขึ้น ระดับชั้นของสมณศักดิ์แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. พระราชาคณะ หมายถึง พระภิกษุที่ได้รับสถาปนาให้มีสมณศักดิ์ ตั้งแต่ชั้นสามัญ จนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ เรียงลำดับจากชั้นสูงสุดลงไป ดังนี้ ๑.๑ สมเด็จพระราชาคณะ ๑.๒ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ๑.๓ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๑.๔ พระราชาคณะชั้นธรรม ๑.๕ พระราชาคณะชั้นเทพ ๑.๖ พระราชาคณะชั้นราช ๑.๗ พระราชาคณะชั้นสามัญ ๒. พระครูสัญญาบัตร ได้แก่ พระครูสัญญาบัตรที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง พร้อมกับพระราชทานสัญญาบัตรและพัดยศ เรียงลำดับจากชั้นสูงสุดลงไปดังนี้ ๒.๑ พระครูสัญญาบัตร ชั้นพิเศษ ๒.๒ พระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ๒.๓ พระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ๒.๔ พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๖๔. ๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๗๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 249 ๓. พระครูฐานานุกรม คือ สมณศักดิ์นอกทำเนียบที่พระมหากษัตริย์มีพระบรม ราชานุญาตให้พระราชาคณะตั้งพระภิกษุด้วยกันเป็นฐานานุกรม เพื่อประดับเกียรติยศ ได้ตามฐานานุศักดิ์ของพระราชาคณะชั้นนั้นๆ มีหลายชั้น เช่น พระครูปลัด พระครูสมุห์ พระครูใบฎีกา ๔. พระครูประทวน ได้แก่ พระครูที่สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้ง พระสงฆ์ผู้เป็นกรรมการศึกษาและอุปการะโรงเรียน ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและ พระศาสนา ให้เป็นพระครูในนามเดิม พระครูชั้นนี้ไม่มีราชทินนามเฉพาะ มีแต่คำว่า พระครู นำหน้าชื่อเดิม เช่น พระภิกษุบุญธรรม เมื่อได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นพระครูประทวน จะมีนามว่า พระครูบุญธรรม๑ ระดับชั้นของสมณศักดิ์ดังกล่าวเทียบได้กับลำดับชั้นของยศบรรดาศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ข้าราชการฆราวาส ดังนี้ พระราชาคณะชั้นสามัญ เทียบเท่าบรรดาศักดิ์ชั้น ขุน พระราชาคณะชั้นราช เทียบเท่าบรรดาศักดิ์ชั้น หลวง พระราชาคณะชั้นเทพ เทียบเท่าบรรดาศักดิ์ชั้น พระ พระราชาคณะชั้นธรรม เทียบเท่าบรรดาศักดิ์ชั้น พระยา รองสมเด็จพระราชาคณะ เทียบเท่าบรรดาศักดิ์ชั้น เจ้าพระยา สมเด็จพระราชาคณะ เทียบเท่าบรรดาศักดิ์ชั้น สมเด็จเจ้าพระยา ๙.๓ ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับสมณศักดิ์ โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น การปกครองส่วนกลางและการปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขสงฆ์ การบริหารงานส่วนกลางมีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุด ส่วนการบริหารงานส่วนภูมิภาค มีพระสังฆาธิการเป็นเจ้าคณะปกครองดูแลตามลำดับชั้นตั้งแต่ระดับ หน ภาค จังหวัด ๑ กรมการศาสนา, ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๒๑๓ - ๒๑๔.
250 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ อำเภอ ตำบล และวัด ซึ่งตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ดังกล่าวมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับ สมณศักดิ์ อันเป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) กฎ มหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๘ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓) ตำแหน่งการปกครองที่สำคัญ ดังนี้ (๑) สมเด็จพระสังฆราช (๒) มหาเถรสมาคม (๓) เจ้าคณะใหญ่ (๔) เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค (๕) เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด (๖) เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ (๗) เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล (๘) เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส ๙.๓.๑ สมเด็จพระสังฆราช สังฆราช หรือที่เรียกในสังฆมณฑลไทยว่า สมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งที่มีมา นานแล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ดังมีหลักฐานจากศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้จารึกคำว่าสังฆราชไว้ด้วย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่ง สมณะศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ไทย ทรงเป็นประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทย นำแบบอย่างมาจาก ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งพ่อขุนราม คำแหงมหาราช ได้ทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกา ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เข้ามา เผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นสกลมหาสังฆ ปริณายก มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ ฝ่ายคามวาสี เป็นสังฆราชขวา สมเด็จพระวันรัตเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี เป็นสังฆราชซ้าย
สมัยรัตนโกสินทร์ 251 องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า ก็ได้เป็นพระสังฆราช ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่ลังกาทวีป มีความชอบมาก เมื่อกลับมาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้น ตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชดำริให้คงราชทินนามนี้ไว้ จึง ทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระสังฆราชเป็น สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี และมาเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ ในสมัยกรุงธนบุรี และได้ใช้ต่อมาจนถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ซึ่งได้ ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ตามทำ เนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่มีตำแหน่งสังฆปริณายก ๒ องค์ ที่เรียกว่า พระสังฆราชซ้าย - ขวา ดังกล่าวแล้ว ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่งว่า สมเด็จ พระอริยวงศ์ เป็นพระสังฆราชฝ่ายขวาว่า คณะเหนือ พระพนรัตน์เป็นพระสังฆราชฝ่าย ซ้ายว่า คณะใต้ มีสุพรรณบัฏจารึกพระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง ๒ องค์ แต่ที่สมเด็จพระพนรัตน์ โดยปกติไม่ได้เป็นสมเด็จ ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวานั้นเป็นสมเด็จทุกองค์ จึงเรียกว่าสมเด็จ พระสังฆราช จึงเป็นมหาสังฆปริณายก มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่ เดิม ทรงยกเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย จึงเป็นสมเด็จทุกองค์ เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี วิธีการปกครองพระราชอาณาจักรในครั้งนั้น หัว เมืองใหญ่ที่ห่างไกลจากราชธานี เป็นเมืองประเทศราชโดยมาก แม้เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ราชธานี ก็ตั้งเจ้านายในราชวงศ์ออกไปครอง ทำนองเจ้าประเทศราช เมืองใหญ่แต่ละเมือง จึงน่าจะมี สังฆราชองค์หนึ่ง เป็นสังฆปริณายกของสังฆบริษัทในเมืองนั้น ดังปรากฏเค้าเงื่อนในทำเนียบ ชั้นหลัง ยังเรียกเจ้าคณะเมืองว่าพระสังฆราชอยู่หลายเมือง จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าฯ จึงได้ทรงเปลี่ยนมาเป็นสังฆปาโมกข์ พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือฝ่ายที่พำนักอยู่ใกล้เมือง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย เรียกว่าคามวาสี อีกฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญสมณธรรมในที่สงบเงียบตามป่า เขา ห่างไกลจากบ้านเมืองเรียกว่าอรัญวาสี ภิกษุ แต่ละฝ่ายยังแบ่งออกเป็นคณะ แต่ละคณะ จะมีพระราชาคณะปกครอง หัวหน้าพระราชาคณะเรียกว่าสมเด็จพระราชาคณะ ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เป็น สมเด็จ
252 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระมหาสมณเจ้า๑ ทรงเศวตฉัตร ๕ ชั้น พระราชวงศ์ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏ มีชั้น หม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้าพระนามว่า สมเด็จพระสังฆราช เจ้า ทรงฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น สมเด็จพระสังฆราช มิใช่ตำแหน่งพระสังฆาธิการ แต่เป็นตำแหน่งประมุขแห่ง คณะสงฆ์หรือตำแหน่งพระสังฆบิดร มิใช่เป็นพระนามของประมุขสงฆ์ แต่เป็นตำแหน่ง ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทยทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก พระนามของประมุขสงฆ์นั้น ถ้าเป็นพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระราชวงศ์ มีพระนาม ต่างกันตามที่ทรงสถาปนา ถ้ามิใช่พระบรมวงศานุวงศ์ จะมีพระนามอย่างเดียวกันทุกพระองค์ คือ สมเด็จพระอริยวงษญาณ หรือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระราชทานพระนาม พิเศษบ้างบางพระองค์ เช่น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชเป็นสมณศักดิ์ชั้นสุพรรณบัฏพิเศษ ผู้ดำรงพระอิสริยยศนี้ แม้ มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ก็ทรงใช้ราชาศัพท์ การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชนั้น ทรง พระกรุณาโปรดให้มีพระราชพิธีจารึกพระนามในพระสุพรรณบัฏ และทรงพระกรุณาโปรด ให้จัดพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระราชเป็นพระราชพิธีพิเศษ อำนาจหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชเป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ทรงดำรงตำแหน่ง สกลมหาสังฆปริณายก และประธานกรรมการมหาเถรสมาคม การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังปรากฏในพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ ความว่า มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบ ของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้น ทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เล่ม ๓๘ ตอน ๐ ก, ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๑๐.
สมัยรัตนโกสินทร์ 253 ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ รูปอื่น ผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้น ทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรง บัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับ กฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม มาตรา ๙ ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงลาออกจากตำแหน่งหรือพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดให้ออกจากตำแหน่ง พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งให้เป็น ที่ปรึกษาของสมเด็จพระสังฆราชหรือตำแหน่งอื่นใดตามพระราชอัธยาศัยก็ได้ มาตรา ๑๐ ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโส สูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่เลือกสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งผู้มีอาวุโส โดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชาอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติ หน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติ หน้าที่แทน ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตามวรรคสาม หรือสมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชไม่อาจปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ในราชกิจจานุเบกษา จะเห็นว่า การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำ นาจแห่งพระมหากษัตริย์ที่จะทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี
254 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จ พระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ แต่ถ้าสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าวไม่อาจ ปฏิบัติหน้าที่ได้ จะเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นตามลำดับสมณศักดิ์และความสามารถ ในการทำหน้าที่แทน ซึ่งการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชจะสถาปนาจากสมเด็จพระราชา คณะที่มีสมณศักดิ์อาวุโสสูงสุด กล่าวคือเป็นสมเด็จพระราชาคณะลำดับที่หนึ่ง สอง สาม เรียงกันตามลำดับ แต่การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในปัจจุบัน ได้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จ พระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”๑ สมเด็จพระราชาคณะผู้ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ นี้เป็นพระองค์แรก คือ สมเด็จพระอริย วงศาคตญาณ๒ (อัมพร อมฺพโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อนึ่ง สมเด็จพระสังฆราชจะพ้นจากตำแหน่งนั้น ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ความว่า มาตรา ๑๑ สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) ทรงพระกรุณาโปรดให้ออก ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐, เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๒ ก วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐. ๒ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชโองการ ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช, เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๕ ข, ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐, หน้า ๑ - ๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 255 ๑ พระนามสมเด็จพระสังฆราช ตำแหน่งเดิม๒ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดสถาปนาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒๓ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดสถาปนาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตำแหน่งสกลสังฆปริณายก ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งในราชทินนามจะเป็น เครื่องแสดงถึงตำแหน่งนั้นอย่างเช่น สมเด็จพระอริยวงษญาณปริยัติวรา๑ สังฆราชาธิบดี ศรีสมณุตมาปรินายก ตรีปิฎก ธราจารย์ สฤษดิขัติยสารสุนทร มหาคณฤศรอุดร สฤษดิสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี เปน ประธานถานาทุกคณะนิกร จตุพิธบรรพษัท สถิตย์ณพระศรีรัตนมหาธาตุพระอารามหลวง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสงฆปริณายก ตรีปิฎก กลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตม สาสนโสภณวิมลศีลสมาจารวัตร พุทธศาสนาบริสัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลย์คัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง๒ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลสังฆปรินายก ตรีปิฎกกลา กุสโลภาส อานันทมหาราชพุทธมามกาจารย์ ติสสเทวภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมโศภณ วิมลศีลาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณ สุนทร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง๓ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วิสุทธิสงฆ์คุณาลังการ อริย วงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโต ปัธยาจารย์ สุจิตตาภิธานสังฆวิสุต มหามกุฏมหาราชประนัดดา นภวงศราชกุลาภิวรรธน์ สุขุมอรรถธรรมวิจารณ์ปรีชา กาพยรจนาฉันทพากยปฏิภาณ ปาจวนุตตมญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์สมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตร
256 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณบัณฑิต สรรพคณิสสรา มหาปธานาธิบดี ศรีสมณุตม บรมบพิตร คชนาม เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร พระอารามหลวง๑ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกกลาสุโกศล วิมลคัมภีรญาณ ปุณณสิริภิธานสังฆวิสุต ปาวนุตตมสิกขวโรปการ ศีลขขันธสมาจารสุทธิปฏิบัติ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลธรรมวิสาร สุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร๒ สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล สกล มหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตร ปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศร มหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง๓ รายพระนามสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ พระนาม สถิต ณ วัด ๑. สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ศรี) สมเด็จพระสังฆราช วัดระฆังโฆสิตาราม พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๓๗ ๑ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ ชื่น นภวงศ์ ป.๗) สมเด็จ พระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดสถาปนาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ พระองค์ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เมื่อครั้ง เสด็จออกผนวช พ.ศ. ๒๔๙๙๒ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๗ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดสถาปนาเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๑๗๓ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดสถาปนา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖, ได้รับสถาปนาพระอัฐิเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงพระวชิรญาณสังวร เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒
สมัยรัตนโกสินทร์ 257 ที่ พระนาม สถิต ณ วัด ๒. สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ศุข) สมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พ.ศ. ๒๓๓๗ - ๒๓๕๙ ๓. สมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี) สมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พ.ศ. ๒๓๕๙ - ๒๓๖๒ ๔. สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พ.ศ. ๒๓๖๓ - ๒๓๖๕ ๕. สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน) สมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พ.ศ. ๒๓๖๕ - ๒๓๘๕ ๖. สมเด็จพระอริยวงษญาณ (นาค) สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบุรณะ พ.ศ. ๒๓๘๖ - ๒๓๙๒ ๗. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี สุวณฺณรํสี) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๓๙๖ ๘. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺาอคฺโค) วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๔๓๔ - ๒๔๓๕ ๙. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๔๒ ๑๐. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค) วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๖๔ ๑๑. พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พ.ศ. ๒๔๖๕ - ๒๔๘๐ ๑๒. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศนเทพวราราม พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๗
258 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ที่ พระนาม สถิต ณ วัด ๑๓. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๕๐๑ ๑๔. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จพระสังฆราช วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๕ ๑๕. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ าโณทโย) สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ พ.ศ. ๒๕๐๖ - ๒๕๐๘ ๑๖. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺายี) สมเด็จพระสังฆราช วัดมกุฏกษัตริยาราม พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๔ ๑๗. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พ.ศ. ๒๕๑๕ - ๒๕๑๗ ๑๘. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ๑ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๓๑ ๑๙. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร๒ (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๕๖ ๒๐. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ๓ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พ.ศ. ๒๕๖๐ - ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๖๔) ๙.๓.๒ มหาเถรสมาคม คำว่า “มหาเถรสมาคม” เริ่มใช้ครั้งแรก หลังจากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และได้เปลี่ยนชื่อ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่องสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า, เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๔๐ ข, ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒, หน้า ๑ - ๓.๒ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่องสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า, เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๔๐ ข, ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒, หน้า ๑ - ๓.๓ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชโองการ ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช, เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๕ ข, ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐, หน้า ๑ - ๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 259 ๑ มาตรา ๑๒ มหาเถรสมาคม ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่ง สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งมีจำนวนไม่เกินสิบสองรูปเป็นกรรมการ เรียกมหาเถรสมาคมเป็น “สังฆสภา” ตามประกาศในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๙ ได้กลับมาเรียก “มหาเถรสมาคม” อีกครั้ง ตามประกาศในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ไทยตามมาตรา ๑๒๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ทำหน้าที่คล้ายคณะรัฐมนตรี โดยมีสมเด็จพระสังฆราชหรือผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูป เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งไม่เกิน สิบสองรูป เป็นกรรมการโดยการแต่งตั้ง กรรมการมหาเถรสมาคมทุกตำแหน่งมาจากพระสงฆ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จ พระราชาคณะ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง (รองสมเด็จพระราชาคณะ) และพระราชาคณะ ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับสมณศักดิ์ทั้งสิ้น ดังนี้ (๑) ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง เป็นพระสงฆ์ผู้ดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช (๒) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง เป็นพระสงฆ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์สมเด็จ พระราชาคณะเท่านั้น โดยแบ่งเป็นมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ฝ่ายละ ๔ รูป หรืออาจ กล่าวได้ว่าเป็น กรรมการมหาเถรสมาคมโดยสมณศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะทุกรูป ดำรงตำแหน่งกรรมการ มหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง จะพ้นจากตำแหน่งก็เมื่อ ๑. มรณภาพ ๒. ลาสิกขา ๓. ลาออก และ ๔. มีพระบรมราชโองการถอดยศ เท่านั้น (๓) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง เป็นพระสงฆ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ที่สมเด็จพระสังฆราชจะทรงแต่งตั้ง แต่ธรรมเนียมปฏิบัติจะทรงตั้งแต่ง
260 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นธรรมขึ้นไปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม จำนวนไม่เกิน ๑๒ รูป โดยแบ่ง เป็นมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ฝ่ายละ ๖ รูป พระราชาคณะ ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง ซึ่งอยู่ใน ตำแหน่งได้ครั้งละ ๒ ปี และอาจจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมอีก ต่อไปก็ได้๑ กรรมการประเภทนี้จะสิ้นสุดสถานภาพลงก็ต่อเมื่อ ๑. มรณภาพ ๒. พ้นจาก ความเป็นพระภิกษุ ๓. ลาออก และ ๔. สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก ในกรณีที่พระราชาคณะได้รับแต่งตั้งแทนพระราชาคณะรูปอื่นที่พ้นหน้าที่ไปก่อน ครบวาระด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง พระราชาคณะรูปนั้นจะดำรงตำแหน่งไปเท่ากับวาระการดำรง ตำแหน่งของกรรมการมหาเถรสมาคมรูปที่พ้นตำแหน่งไปนั้น แต่ถ้าหากว่าได้รับแต่งตั้งตาม วาระปกติ ก็จะดำรงตำแหน่งได้จนครบกำหนด ๒ ปี๒ การจัดตั้งมหาเถรสมาคมขึ้นตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นศูนย์กลางที่รวมพระสงฆ์ทุกกลุ่มให้มางานร่วมกัน กล่าวคือให้มี องค์กรมหาเถรสมาคมรับผิดชอบทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อเกื้อหนุนพระธรรมวินัยตามรูปแบบ ของการจัดองค์กรบริหารสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการรวมพลังของพระสงฆ์ทุกกลุ่ม การกระจาย อำนาจ ร่วมรับผิดชอบร่วมตัดสินใจด้วยกัน และมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการทำงานทุกขั้นตอน การประชุมมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมมีวาระการประชุมตามปกติเดือนละ ๓ ครั้ง คือ ทุกวันที่ ๑๐, ๒๐ และ ๓๐ ของเดือน และอาจมีการประชุมในวาระพิเศษต่างๆ เพิ่มเติมได้อีกตามที่เห็น สมควร ๑ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ “มาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งสมเด็จ พระสังฆราชทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้”๒ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ “มาตรา ๑๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ตามมาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก ใน กรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ สมเด็จพระสังฆราชอาจทรงแต่งตั้งพระราชา คณะรูปใดรูปหนึ่ง เป็นกรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรคก่อนอยู่ในตำแหน่งตาม วาระของผู้ซึ่งตนแทน”
สมัยรัตนโกสินทร์ 261 สำ นักงานมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม ดังนั้น การสนองงานคณะสงฆ์ เอกสาร งบประมาณ ที่ตั้งสำนักงาน และเรื่องอื่นๆ ตามมติมหาเถร สมาคม จึงอยู่ในความรับผิดชอบสนองงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปัจจุบัน สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักงาน มหาเถรสมาคม ตั้งอยู่ ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม รายนามกรรมการมหาเถรสมาคม (พ.ศ. ๒๕๕๙) เรียงตามลำดับปีที่ดำรงตำแหน่ง ที่ รายนาม วัด นิกาย ๑. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโ ป.ธ.๙) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดปากนํ้า มหานิกาย ๒. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดสัมพันธวงศาราม ธรรมยุติกนิกาย ๓. สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร ป.ธ.๖) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดราชบพิธ ธรรมยุติกนิกาย ๔. สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดบวรนิเวศวิหาร ธรรมยุติกนิกาย ๕. สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.๘) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดเทพศิรินทราวาส ธรรมยุติกนิกาย ๖. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดพิชยญาติการาม มหานิกาย
262 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ที่ รายนาม วัด นิกาย ๗. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโ ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดไตรมิตรวิทยาราม มหานิกาย ๘. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.๙) กรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง วัดญาณเวศกวัน นครปฐม มหานิกาย ๙. พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร ป.ธ.๓) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดยานนาวา มหานิกาย ๑๐. พระพรหมเมธาจารย์ (คณิศร์ เขมวํโส ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดบุรณศิริมาตยาราม ธรรมยุติกนิกาย ๑๑. พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดปากนํ้า มหานิกาย ๑๒. พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดสัมพันธวงศาราม ธรรมยุติกนิกาย ๑๓. พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน ป.๑-๒) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดราชบพิธ ธรรมยุติกนิกาย ๑๔. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดสามพระยา มหานิกาย ๑๕. พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดประยุรวงศาวาส มหานิกาย
สมัยรัตนโกสินทร์ 263 ที่ รายนาม วัด นิกาย ๑๖. พระพรหมวิสุทธาจารย์ (มนตรี คณิสฺสโร ป.ธ.๕) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดเครือวัลย์ ธรรมยุติกนิกาย ๑๗. พระธรรมธัชมุนี (อมร าโณทโย ป.ธ.๗) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดปทุมวนาราม ธรรมยุติกนิกาย ๑๘. พระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล ป.ธ.๕) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ธรรมยุติกนิกาย ๑๙. พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.๙) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดปากนํ้า มหานิกาย ๒๐. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขาโณ) กรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง วัดสระเกศ มหานิกาย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ มหาเถรสมาคมที่จากเดิมนั้นพระสงฆ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะจะเป็นกรรมการ มหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งพระสงฆ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์ พระราชาคณะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตั้ง แต่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑๑ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันควร และมีจริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสมแก่การปกครอง ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑, เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๑ – ๔.
264 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ คณะสงฆ์๑ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม จำนวนไม่เกิน ๒๐ รูป ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชทรง ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี และอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้๒ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้ออก๓ ๑ มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๒ มหาเถรสมาคมประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่เกินยี่สิบรูป ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมเด็จ พระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันควร และมีจริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสม แก่การปกครองคณะสงฆ์ การแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งและการดำเนินการตามมาตรา ๑๕ (๔) และวรรคสอง ให้เป็นไปตาม พระราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้”๒ มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละ สองปี และอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้”๓ มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้ออก ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ พระมหากษัตริย์อาจทรงแต่งตั้ง พระภิกษุตามมาตรา ๑๒ รูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรคสองให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่ง ตนแทน”
สมัยรัตนโกสินทร์ 265 พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม
266 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ จ�ก 360-370
สมัยรัตนโกสินทร์ 267 จ�ก 360-370
268 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ ทรงฉายพระรูปร่วมกับกรรมการมหาเถรสมาคมที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร
สมัยรัตนโกสินทร์ 269 การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมและการให้กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจาก ตำแหน่งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ นี้ นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ๑ กรรมการมหาเถรสมาคมที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง๒ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒๐ รูป ดังนี้ ๑. สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ๒. สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร ๓. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโ) วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร ๔. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธิ์ เขมงฺกโร) วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร ๕. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร ๖. สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร ๗. พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) วัดปากนํ้า กรุงเทพมหานคร ๘. พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) วัดปากนํ้า กรุงเทพมหานคร ๙. พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) วัดประยุรวงศาวาส กรุงเทพมหานคร ๑ มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๕ ทวิ พระบรมราชโองการตามมาตรา ๑๐ วรรคเจ็ด การแต่งตั้งกรรมการมหาเถร สมาคมตามมาตรา ๑๒ และการให้กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๕ ให้นายก รัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”๒ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ แต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม, เล่ม ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๒๕๕ ง, ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๒, หน้า ๑ - ๒.