The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

463413380972019958_final_ตำแหน่งการปกครอง_10.07.66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pongnimma, 2023-07-12 09:59:36

463413380972019958_final_ตำแหน่งการปกครอง_10.07.66

463413380972019958_final_ตำแหน่งการปกครอง_10.07.66

120 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ จากการเปรียบเทียบพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นถึงความ แตกต่างของการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มีรายละเอียดตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พอสรุปได้ดังนี้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติ บางมาตราไม่ชัดเจน ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน และในบางกรณี มิได้บัญญัติไว้ทำ ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ จึงเป็นการสมควรที่จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้เหมาะสมต่อไป โดย เพิ่มเติมบทนิยามเพื่อให้ได้ความชัดเจน และสะดวกในการตีความ ปรับปรุงบทบัญญัติ ว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชให้มีเพียงพระองค์เดียว เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา ขัดแย้งในวงการคณะสงฆ์ กำ หนดขั้นตอนการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช กำ หนดอำ นาจหน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ของมหาเถรสมาคมให้ชัดเจน กำ หนดให้มี เจ้าคณะใหญ่เพื่อทำ หน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ เป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ของมหา เถรสมาคม ปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการสละสมณเพศของพระภิกษุ พร้อมทั้งกำ หนดให้ พระภิกษุผู้ต้องคำ วินิจฉัยให้สละสมณเพศนั้น ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับทราบ คำวินิจฉัยนั้น เพิ่มเติมบทบัญญัติให้วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล และให้เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนวัด เนื่องจากได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๒ มีผลให้วัดไม่มีฐานะ เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ จึงต้องบัญญัติให้วัดมีฐานะเป็น นิติบุคคลตามกฎหมายนี้ เพื่อประโยชน์ในการปกครองดูแลรักษาศาสนสมบัติของวัด เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการดูแลรักษาศาสนสมบัติของวัดร้าง ซึ่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มิได้บัญญัติไว้ ปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลางให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ขัดข้อง และได้รับค่าผาติกรรมแล้ว ให้กระทำ โดยพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้สะดวกเร็วยิ่งขึ้น และได้บัญญัติเพิ่มเติมห้ามมิให้ผู้ใดยกอายุความขึ้นต่อสู้ที่ศาสนสมบัติกลาง พร้อมทั้ง กำ หนดให้เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี เพื่อเป็นการคุ้มครอง ที่ศาสนาสมบัติกลางอันเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา เพิ่มเติมบทกำ หนดโทษ ผู้ที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจาก


สมัยรัตนโกสินทร์ 121 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มิได้บัญญัติไว้ อีกทั้งปรับปรุงบทกำ หนดโทษให้ สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ประกาศใช้นี้ เป็นการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันให้เหมาะสม ชัดเจนยิ่งขึ้น มิใช่เป็นการแก้ไขยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ใหม่แต่ประการใด เพียงแต่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ใน ปัจจุบัน และเพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ โดยเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จำ นวน ๑๖ มาตรา และเพิ่มเติม จำ นวน ๙ มาตรา ดังนี้ ๑. เพิ่มเติมมาตรา ๕ ทวิ และมาตรา ๕ ตรี เพื่อกำ หนดบทนิยามให้ได้ความชัดเจน สะดวกในการตีความ เนื่องจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มิได้กำ หนดบทนิยาม ไว้และเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ เพื่อปรับปรุงบทบัญญัติ ว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชให้มีได้เพียงพระองค์เดียว กำ หนดขั้นตอนการ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชและการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ๓. แก้ไขมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๐ และ เพิ่มเติมมาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๕ ตรี และมาตรา ๑๕ จัตวา เพื่อปรับปรุงบทบัญญัติ ว่าด้วยอำ นาจหน้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ของมหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคม คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ๔. เพิ่มเติมมาตรา ๒๐ ทวิ เพื่อปรับปรุงบทบัญญัติโดยกำ หนดให้มีเจ้าคณะใหญ่ ทำ หน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ ๕. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๗ เพื่อปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการสละสมณเพศของ พระภิกษุให้เหมาะสม ๖. แก้ไขมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ และเพิ่มเติมมาตรา ๓๒ ทวิ เพื่อปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยวัด การดูแลรักษาวัด ทรัพย์สินของวัด วัดร้างและศาสนสมบัติ กลางให้เหมาะสม ๗. แก้ไขมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ และเพิ่มเติมมาตรา ๔๔ ทวิ และมาตรา ๔๔ ตรี เพื่อปรับปรุงบทกำ หนดโทษให้เหมาะสม ๘. แก้ไขมาตรา ๔๖ เกี่ยวกับคณะสงฆ์อื่นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย


122 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ อนึ่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติเพิ่มเติมอีก ๔ มาตรา คือ มาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๑ ต่อมาใน พ.ศ ๒๕๖๐ และ ๒๕๖๑ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๗ คือ “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” หมายถึง การสถาปนาสมเด็จ พระสังฆราชเป็นพระราชอำ นาจของพระมหากษัตริย์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้ ๑. แก้ไขมาตรา ๕ ตรี คือ การแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของ พระภิกษุในคณะสงฆ์ และการแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นพระราชอำ นาจของ พระมหากษัตริย์ ๒. เพิ่มเติมวรรคเจ็ดของมาตรา ๑๐ คือ “ความในมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือน พระราชอำ นาจที่จะทรงพระกรุณาโปรด หรือมีพระราชวินิจฉัยให้ปฏิบัติเป็นประการอื่น” ๓. แก้ไขมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๕ ทวิ และมาตรา ๒๐ ทวิ เกี่ยวกับผู้ดำ รงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม ๔. เพิ่มเติมมาตรา ๒๐/๒ เกี่ยวกับการแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค และพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอื่น ให้ดำ เนินการไปตามพระราชดำริ


สมัยรัตนโกสินทร์ 123 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประเคนหิรัญบัฏ พัดยศ ผ้าไตร และเครื่องประกอบสมณศักดิ์ แด่พระธรรมปัญญาบดี(ถาวร ติสฺสานุกโร) พระราชาคณะเจ้าคณะรอง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๓


เครื่องประกอบสมณศักดิ์ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ พัดยศพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ หีบตราจักรี กระโถนเล็ก กานํ้าทรงกระบอก บาตร พร้อมฝา และเชิงบาตร ขันนํ้าพานรอง หิรัญบัฏจารึกราชทินนาม


บทที่ ๘ สมณฐานันดรศักดิ์แห่งคณะสงฆ์ไทย สมณศักดิ์ของสงฆ์ไทย มีมาก่อนที่ลัทธิลังกาวงศ์จะรุ่งเรืองในสมัยสุโขทัย ครั้นถึง สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้รับลัทธิลังกาวงศ์พร้อมกับรูปแบบการแต่งตั้งสมณศักดิ์ โดยนำมาพัฒนาปรับใช้ให้เข้ากับยศของพราหมณ์ เพื่อเทียบตั้งสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์ เช่น พระสังฆราช ปู่ครู ต่อมาสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ระบบสมณศักดิ์ได้พัฒนาให้มี ระดับชั้นเพิ่มขึ้น ทำให้มีความสลับซับซ้อน รัชกาลที่ ๖ จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้นกว่าเดิม โดยแบ่งสมณศักดิ์ออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่าย ฐานันดร และฝ่ายตำแหน่ง นับว่าเป็นต้นแบบในการจัดระบบสมณศักดิ์มาจนถึงปัจจุบัน ๘.๑ ความหมายของสมณศักดิ์ คำว่า สมณศักดิ์ เป็นคำบาลีสันสกฤต คือ คำว่า สมณ เป็นคำบาลี และคำว่า ศกฺติ เป็นคำสันสกฤต ภาษาไทยนำมาใช้เป็น ศักดิ์ เมื่อนำมาผสมกันจึงเป็นคำว่า สมณศักดิ์ ในภาษาไทยใช้ในความหมายหลายนัย เช่น


126 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมณ หมายถึง นักบวช ผู้สงบ๑ ศักดิ์ หมายถึง กำลัง อำนาจ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ฐานะ๒ ดังนั้น สมณศักดิ์ แปลตามรูปศัพท์ หมายถึง กำลัง อำนาจ ความสามารถของพระภิกษุ หรือเครื่องแสดงให้เห็นถึงความสามารถของสมณะหรือ พระภิกษุในพระพุทธศาสนา สมณศักดิ์หมายถึง ยศพระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานหลายชั้น แต่ละชั้นมีพัดยศเป็น เครื่องกำหนด๓ สมณศักดิ์ หมายถึง บรรดาศักดิ์หรือยศที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ พระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย มีความรู้เชี่ยวชาญแตกฉานใน พระไตรปิฎก เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ เพิ่มขวัญและกำลังใจให้พระสงฆ์ดำรงมั่นคง อยู่ในชีวิตพรหมจรรย์๔ สมณศักดิ์ หมายถึง ศักดิ์ของพระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานแต่งตั้งจากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพิจารณาจากพระสงฆ์ที่มีอายุ พรรษา มีความรู้ ความสามารถ เพื่อรับภาระที่จะบริหารกิจการของพระพุทธศาสนา ตามความเหมาะสมกับตำแหน่งและ หน้าที่ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย๕ สมณศักดิ์ หมายถึง ฐานันดรศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์ ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งถวายแด่พระสงฆ์ผู้มีความประพฤติดี ปฏิบัติชอบ สมณศักดิ์แต่ละชั้นจะมีพัดยศ กำหนด โดยมีพระราชประสงค์ที่จะทรงส่งเสริมให้พระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ได้มีอุตสาหะ วิริยะในการบำเพ็ญสมณธรรมและปฏิบัติศาสนกิจ อันจะเป็นปรหิตานุหิตประโยชน์แก่ การพระศาสนา๖ ๑ พระมหาอุทิศ อุทิตเมธี, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมณศักดิ์, (กรุงเทพมหานคร : เลี่ยงเชียง, ๒๕๓๖), หน้า ๑.๒ มานิต มานิตเจริญ, พจนานุกรมไทย, (พระนคร : เอกศิลป์การพิมพ์, ๒๕๑๔), หน้า ๑๓๑๖.๓ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖), หน้า ๑๑๖๗.๔ สุนทร สุภูตะโยธิน, คู่มือสมณศักดิ์สำ หรับผู้บริหาร, (กรุงเทพมหานคร :กรังปรีซ์อินเตอร์ เนชั่นแนล, ๒๕๔๐), หน้า ๔๔.๕ พระปลัดวรรณะ วณฺโณ, สมณศักดิ์กับพระสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร : รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์, ๒๕๒๕), หน้า ๑.๖ แสวง อุดมศรี, สมณศักดิ์ ’๓๐, (กรุงเทพมหานคร : ประยูรวงศ์, ๒๕๓๐), หน้า ๓.


สมัยรัตนโกสินทร์ 127 สมณศักดิ์ หมายถึง ฐานันดรศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งถวายเฉพาะสงฆ์ เทียบได้กับลำดับตำแหน่งยศบรรดาศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์ พระราชทานแก่ขุนนาง๑ สมณศักดิ์ หมายถึง ศักดิ์หรือยศของพระภิกษุสงฆ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเป็นเครื่องสักการะแด่พระภิกษุผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบคุณความดี แก่ประเทศชาติบ้านเมืองและแก่พระศาสนา โดยรับภารกิจต่างๆ ในพระศาสนา เช่น ด้านการปกครอง ด้านการศึกษา และด้านการบำรุงรักษาวัดวาอาราม๒ เป็นต้น สมณศักดิ์ หมายถึง ตำแหน่งที่ใช้สำหรับการปกครองบริหารกิจการคณะสงฆ์๓ สมณศักดิ์ หมายถึง เครื่องราชสักการะที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงถวายแด่พระสงฆ์ ผู้ทรงศีล และมีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษ เป็นการอุปถัมภ์พระสงฆ์ให้มีอุตสาหะ ในการบำเพ็ญศาสนกิจ อันจะเป็นปัจจัยให้พระพุทธศาสนามั่นคงและเจริญแพร่หลาย ยิ่งๆ ขึ้น๔ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สมณศักดิ์ หมายถึง ยศหรือเกียรติยศอันเป็นฐานันดรศักดิ์ที่ ทางการบ้านเมือง ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา โดยความเห็นชอบจากฝ่าย ปกครองคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครองบ้านเมืองและองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นบำเหน็จบูชา ความดีความชอบที่ได้บำเพ็ญกิจอันเป็นประโยชน์ทั้งแก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติ ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น และเพื่อเป็นกำลังใจให้พระภิกษุสงฆ์ที่จะปฏิบัติหน้าที่ ในการประกอบศาสนกิจให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ตามพุทธวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระอัครสาวก ซ้าย - ขวา และพระสาวกผู้เป็นเอตทัคคะ เพื่อให้เป็นกำลังเผยแผ่พระศาสนาและช่วยเหลือ ในการปกครองดูแลพระภิกษุสามเณรเป็นผลให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบมา ๑ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), การปกครองคณะสงฆ์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๓๖), หน้า ๑๙-๒๐.๒ พระธรรมกิตติวงศ์, สมณศักดิ์: ยศช้าง ขุนนางพระ, (กรุงเทพมหานคร : เลี่ยงเชียง, ๒๕๓๖), หน้า ๑ - ๒.๓ พระมหาอุทิศ อุทิตเมธี, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมณศักดิ์, (กรุงเทพมหานคร : เลี่ยงเชียง, ๒๕๓๖), หน้า ๑ - ๓.๔ กรมการศาสนา, ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : การศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๑๗๐.


128 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๘.๒ ความสำคัญของสมณศักดิ์ สมณศักดิ์ที่พระสงฆ์ได้รับพระราชทานแต่งตั้งและเลื่อนจากพระมหากษัตริย์ เพื่อ เป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณของพระสงฆ์รูปนั้นที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ มีความวิริยะ อุตสาหะบริหารกิจการพระศาสนา ปกครองดูแลคณะสงฆ์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กับ ทั้งได้ทุ่มเทเพียรพยายามในการอบรมสั่งสอนประชาชนให้ละชั่วประพฤติดี ตามหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาประสานผนึกจิตใจของคนให้มีความสมัครสมานสามัคคี ตลอดจนปฏิบัติ ตามกฎหมายบ้านเมืองก่อให้เกิดสันติสุขในสังคม ดังนั้น สมณศักดิ์จึงเกิดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ๒ ประการ คือ ประการแรก เพื่อถวายเกียรติและกำลังใจแก่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้ ดำรงมั่นอยู่ในสมณเพศ เป็นกำลังสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ช่วยปลูกฝังศีลธรรมจรรยา ให้ประชาชนมีความสงบสุขตามแนวคำสอนทางพระพุทธศาสนา ประการที่สอง เพื่อผลทางการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย พระมหากษัตริย์โปรดพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์รูปใด ย่อมหมายความว่าพระสงฆ์รูปนั้น ได้รับมอบหมายภาระหน้าที่ในการปกครองหมู่คณะไปพร้อมกันด้วย ดังจะเห็นได้จาก พระบรมราชโองการสถาปนาพระราชาคณะผู้ใหญ่ ตอนท้ายว่า “…ขออาราธนาพระคุณจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรโดยสมควร แก่กำลัง และอิสริยยศซึ่งพระราชทานนี้…”๑ ๘.๓ ความเป็นมาของสมณศักดิ์ สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงปกครองพระสงฆ์สาวกโดยการยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง ป้องปรามผู้ที่ควรป้องปราม ดังจะเห็นได้จากทรงยกย่องพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา และพระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย นอกจากนั้นยังทรงตั้งเอตทัคคะ คือทรง ยกย่องพระสาวกที่มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวยังมิได้ถือว่า เป็นสมณศักดิ์ ๑ กรมศิลปากร, เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๔๕), หน้า ๔๑ - ๔๔.


สมัยรัตนโกสินทร์ 129 เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เพื่อสามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของ พระพุทธศาสนา พระประมุขแห่งประเทศต่างๆ ที่นับถือพุทธศาสนา จึงได้มีการพระราชทาน สมณศักดิ์แด่พระสงฆ์ โดยปรากฏหลักฐานว่ามีการพระราชทานสมณศักดิ์ และพัดยศ พร้อมทั้งเครื่องประกอบสมณศักดิ์อื่นๆ ได้รับแบบอย่างมาจากประเทศศรีลังกา๑ สำหรับ ประเทศไทยนั้นระบบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ เริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ๘.๓.๑ สมณศักดิ์สมัยสุโขทัย สมัยสุโขทัย พระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานและเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะ ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้รับ “ลัทธิ ลังกาวงศ์” และการตั้งราชทินนามสมณศักดิ์จากประเพณีในลังกา๒ ซึ่งสมณศักดิ์ มี ๒ ชั้น๓ คือชั้นสูงเรียกว่า มหาสวามี ชั้นรองลงมาเรียกว่า สวามี ส่วนสมณศักดิ์สมัยพ่อขุนรามคำแหง มหาราช แบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ พระสังฆราช (มหาสวามี), ปู่ครู (สวามี) และพระมหาเถระ และเถระ๔ สังฆราชเป็นสังฆนายกชั้นสูง ตำแหน่งปู่ครูหรือพระครูในทุกวันนี้เป็นตำแหน่ง สังฆนายกรองลงมาจากสังฆราช สมณศักดิ์และราชทินนามที่เข้าใจว่ามีมาก่อนสมัยสุโขทัย ทั้งนี้เพราะปรากฏว่า ในศิลาจารึก หลักที่ ๑๘ เป็นจารึกบนเสาแปดเหลี่ยม พบที่ศาลสูง จังหวัดลพบุรี มีคำว่า “สังฆปาถก” และในศิลาจารึก หลักที่ ๑๒๑ เป็นจารึกบนเสาที่หินขอน อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา จารึกขึ้นใน พ.ศ. ๑๒๑๗ และ พ.ศ. ๑๒๔๓ มีนามปรากฏคือ กำมร ตางอัญ ศรีราชภิกษุ และอุปาธยายะ ศรีราชภิกษุ ซึ่งน่าจะเป็นสมณศักดิ์ และราชทินนาม รวมอยู่ด้วยกัน ประเพณีตั้งราชทินนามพระภิกษุสงฆ์ในลังกา ในหนังสือรามัญสมณวงศ์ กล่าวไว้ว่า พระเจ้ารามาธิบดี กรุงหงสาวดี มีพระราชประสงค์จะรวมพระสงฆ์ในรามัญ ๑ https://th.wikipedia.org/wiki/สมณศักดิ์ สืบค้นวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕.๒ กรมศิลปากร, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒, ยอร์ช เซเดส์ ชำระและแปล, (พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๔), หน้า ๙.๓ คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๒๔๑.๔ พระมหาเถระและเถระ หมายถึง พระภิกษุซึ่งมีอายุพรรษาและทรงคุณธรรมในทางพระศาสนา ตามวินัยบัญญัติ มิได้เป็นสมณศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้ง อ้างใน ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑, หน้า ๒๓.


130 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ประเทศ ซึ่งแตกต่างลัทธิกันมารวมเป็นนิกายเดียวกัน จึงส่งพระเถระไปบวชแปลงที่ลังกา พระเจ้าภูวเนกพาหุ พระเจ้ากรุงลังกา ได้จัดการบวชแปลงให้พระเถระมอญเหล่านั้น รับสั่ง นิมนต์เข้าไปบิณฑบาตในพระราชวัง เมื่อทรงประเคนไทยธรรมเสร็จแล้ว มีรับสั่งพระเถระว่า เครื่องไทยธรรมต่างๆ มากมายเกินความจำเป็น ไม่ปรากฏพระเกียรติยศเท่าพระราชทาน นามบัญญัติ ซึ่งอยู่ถาวรตลอดอายุขัย พระองค์จึงมีรับสั่งพระราชทานนามแก่พระมอญที่ บวชแปลง เช่น ตั้งพระโมคคัลลานเถระ ให้มีนามว่า พระสิริสังฆโพธิสามี ตั้งพระมหาสิวลี เถระ ให้มีนามว่า พระติโลกคุรุสามี เป็นต้น ข้อความนี้ทำให้เห็นว่าลังกามีประเพณีตั้ง ราชทินนามสมณศักดิ์มาก่อน เมื่อสุโขทัยรับแบบแผนของการตั้งสมณศักดิ์ จึงมีคำลงท้าย ตำแหน่งสังฆราชว่า มหาสวามี เช่น พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณี ศรีรัตนลังกาทวีป มหาสามี เป็นต้น นอกจากนั้นได้ถวายตาลปัตรพัดยศด้ามงา๑ การปกครองคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย มีพระสังฆราชหลายองค์ ด้วยวิธีปกครองใน ครั้งนั้น หัวเมืองใหญ่ เช่น ศรีสัชนาลัย สองแคว สระหลวง นครชุม ตั้งเจ้านายในราชวงศ์ ออกไปครองเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง จะมีสังฆราชองค์หนึ่งเป็นสังฆปริณายกในเมืองนั้น ส่วน ตำแหน่งปู่ครู เปลี่ยนเรียกพระครูตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นตำแหน่งสังฆนายกรองจาก สังฆราชลงมา เมืองใหญ่มีเมืองละหลายๆ องค์เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นเมืองเล็ก สังฆปริณายก มีสมณศักดิ์เป็นเพียงปู่ครู พระนามพระสังฆราชสมัยสุโขทัย ๑. พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณี ศรีรัตนลังกาทีปมหาสามี ไม่ปรากฏว่าทรง จำพรรษา ณ วัดใด พระองค์เป็นพระโอรสของพระยาคำแห่งพระราม ทรงเป็นหลานลุงของ พ่อขุนผาเมือง และทรงเป็นหลานปู่ของพ่อขุนศรีนาวนำถม ในขณะทรงผนวชได้เสด็จธุดงค์ ไปตามเมืองต่างๆ ตลอดถึงเสด็จไปทรงดูการพระศาสนาในประเทศลังกา แล้วถึงเสด็จ กลับสุโขทัย ทรงบูรณะวัดวาอารามหลายแห่ง และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปหลายองค์ ศิลา จารึกได้สรรเสริญเรื่องราวของพระองค์ทั้งในด้านการเมืองในขณะเป็นฆราวาส และในด้าน การพระศาสนาในขณะทรงผนวช จึงสันนิษฐานได้ว่าสมเด็จพระมหาเถระ ศรีศรัทธา ราชจุฬามณีฯ คงจะทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ในช่วงรัชสมัยของพระยาเลอไท๒ ๑ จารึกกัลยาณี, (พระนคร : โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๘), หน้า ๑๒๘.๒ กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๗), หน้า ๖๑.


สมัยรัตนโกสินทร์ 131 ๒. พระสุมณมหาสวามีสังฆราช ผู้ซึ่งพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) อาราธนา จากนครพัน แล้วทรงสร้างวัดป่ามะม่วงขึ้นทางตะวันตกของสุโขทัย ถวายให้เป็นที่ประทับ เนื่องจากพระสุมณมหาสวามีสังฆราช เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีล มีศีลาจารวัตรงดงาม เคร่งครัด ตามแบบแผนของพระภิกษุลังกาวงศ์ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) จึงมีพระราชศรัทธามาก และโปรดให้เป็นพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ในคราวเสด็จออกผนวช ใน พ.ศ. ๑๙๐๔ ๑ ๓. พระมหาสังฆราชสุกลุง ทรงเป็นพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของพระมหา ธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ซึ่งทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงสละราชสมบัติ เสด็จออกผนวช อีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๑๙๒๗๒ ๔. พระเถรสังฆราชรัตนวงศาจารย์ ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ระหว่าง ปี พ.ศ. ๑๙๓๕ อยู่วัดมหาธาตุ ปรากฏรายละเอียดในศิลาจารึกว่า ทรงเป็นประธานในการ ทำสัตย์สาบาน ระหว่างสองปู่หลานในกรุงสุโขทัย๓ สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ๕. พระบรมครูติโลกดิลกะติรัตน ศีลคันธวันวาสีธรรมกิตติ สังฆราชมหาสามีเจ้า ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชสงฆ์ทั้งมวล ใน พ.ศ. ๑๙๔๙ จำพรรษา ณ วัดป่าแดง และทรงเป็นประมุขสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี๔ สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสลือไท) ๖. พระสังฆราชญาณรุจีมหาเถร ทรงเป็นประมุขสงฆ์ฝ่ายคามวาสี ในเวลาเดียวกัน กับพระบรมครูติโลกดิลกะติรัตน ศีลคันธวันวาสีธรรมกิตติ สังฆราชมหาสามีเจ้า๕ ๑ คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดี สำนัก นายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๗๖.๒ กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย ภาคที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๗), หน้า ๑๑๐.๓ คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดี สำนัก นายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๖๔.๔ คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดี สำนัก นายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑, หน้า ๑๒๐.๕ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.


132 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๗. พระสุเมธังกรสังฆราช ทรงเป็นพระสังฆราช ใน พ.ศ. ๑๙๗๐ สมัยพระเจ้า สุริวงศ์บรมปาล มหาธรรมราชาธิราช ไม่ปรากฏว่าอยู่วัดใด๑ สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) ๘. พระสังฆราชจุฬามณี ศรีสังฆปริณายก สธรรมดิลก บรมเมธาจารีย์บพิตร ได้รับอาราธนาทรงเป็นประธานในการฉลองวัด ที่ขุนนางสร้างขึ้นเพื่อบำเพ็ญกุศล ไม่ทราบ ชัดว่าทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช ใน พ.ศ. ใด๒ ๙. พระมหาสามี ศรีสังฆราช มหาเถรธรรมทัสสี ทรงเป็นพระสังฆราชในรัชสมัยใด และ พ.ศ. ใด ไม่ปรากฏ มีหลักฐานเพียงว่าทรงเป็นสักขีพยานในการกระทำสัตย์สาบาน ระหว่างน้าพระยาและหลานพระยา๓ ตำแหน่งปู่ครู หรือ พระครู ตำแหน่งปู่ครู หรือ พระครู เป็นตำแหน่งสมณศักดิ์ที่มีปรากฏอยู่ในศิลาจารึก หลักที่ ๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ว่า คำว่า ปู่ครู ตรงกับคำว่า พระครู ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้ปกครองสงฆ์รองจากสังฆราชลงมา โดยนำเอา ยศพราหมณ์ซึ่งมีหน้าที่สั่งสอนแบบแผนประเพณีให้แก่ทางฝ่ายอาณาจักรอยู่ในสมัยนั้น มาเทียบตั้งสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์ แต่ที่ไม่เรียกตำแหน่งพระสังฆราชว่า พระราชครู นั้น คงเป็นเพราะเหตุที่พระภิกษุเป็นผู้สอนแต่พระธรรมวินัยฝ่ายศาสนา มิได้เป็นข้าเฝ้า รับราชการเหมือนกับพราหมณ์๔ ส่วนทำเนียบคณะสงฆ์มีปรากฏในพงศาวดารเหนือ๕ ว่า ในครั้งพระนครสุโขทัยเป็นราชธานีจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์คามวาสีและอรัญวาสี มีราชทินนาม ดังนี้ ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๔๐. ๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๕๘. ๓ คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดี สำนัก นายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๒.๔ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำ นานคณะสงฆ์, (พระนคร : วัชรินทร์ การพิมพ์, ๒๕๑๓), หน้า ๕ - ๖.๕ กรมศิลปากร, ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑, (๒๕๑๒), หน้า ๓๑.


สมัยรัตนโกสินทร์ 133 คามวาสี พระสังฆราช อยู่วัดมหาธาตุ พระครูธรรมไตรโลก อยู่วัดเขาอินทรแก้ว พระครูยาโชค อยู่วัดอุทยานใหญ่ พระครูธรรมเสนา อยู่วัดไหนไม่ปรากฏ อรัญวาสี พระครูธรรมราชา อยู่วัดไตรภูมิป่าแก้ว พระครูญาณไตรโลก อยู่วัดไหนไม่ปรากฏ พระครูญาณสิทธิ อยู่วัดไหนไม่ปรากฏ เกี่ยวกับตำแหน่งและจำนวนพระสังฆราชและปู่ครูในสมัยสุโขทัย ว่ามีจำนวนเท่าใด และมีหลักเกณฑ์ในการสถาปนาและทรงตั้งประการใดนั้น จากรายนามสมเด็จพระสังฆราช สมัยสุโขทัยที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั้น จะพบว่า สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๕ ทรงเป็นประมุขสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี และสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๖ ทรงเป็นประมุขสงฆ์ ฝ่ายคามวาสี ในเวลาเดียวกัน๑ สำหรับทำเนียบสมณศักดิ์ที่ปรากฏราชทินนาม มีเฉพาะพระนามสมเด็จพระสังฆราช จำนวน ๙ พระองค์ ซึ่งเริ่มมีครั้งแรกในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) และตำแหน่ง ปู่ครู ส่วนการพระราชทานตำแหน่งปู่ครูได้ยึดรูปแบบมาจากยศของพราหมณ์ที่พระเจ้า แผ่นดินทรงตั้งตำแหน่งในทางราชอาณาจักร เช่น ราชครู ฯลฯ จึงได้ทรงตั้งตำแหน่งทาง ศาสนจักรให้เทียบเท่ากับตำแหน่งพราหมณ์ว่า ปู่ครู ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งตั้ง ไม่ปรากฏชัด เข้าใจว่าคงดูที่พระสงฆ์ผู้มีคุณสมบัติพิเศษ เพียบพร้อมด้วยความรู้ความ สามารถ และเป็นผู้รอบรู้เรื่องพระธรรมวินัย ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าสมัยสุโขทัยเป็นสมัยเริ่มแรกที่มีประเพณีการแต่งตั้งสมณศักดิ์ แก่พระสงฆ์ ซึ่งได้รับแบบอย่างมากจากประเทศลังกา โดยที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรง ๑ วิเชียร อากาศฤกษ์ และ สุนทร สุภูตะโยธิน, ประวัติสมณศักดิ์และพัดยศ, (กรุงเทพมหานคร : บูรพาศิลปการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๑๖ - ๒๐.


134 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ รับเอาพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกามาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร จึงทรงรับเอา อิทธิพลพระพุทธศาสนาด้านอื่นๆ เช่น การแต่งตั้งสมณศักดิ์ ส่วนระเบียบประเพณีการ แต่งตั้งนั้น ก็ได้ปรับปรุงประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ของศาสนาและเหตุการณ์บ้านเมือง ในสมัยนั้น พระภิกษุรูปใดมีความสามารถเฉพาะด้านใด ก็พระราชทานตำแหน่งให้ และให้ ปกครองในด้านนั้นๆ โดยตั้งอยู่บนพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ๘.๓.๒ สมณศักดิ์สมัยอยุธยา การปกครองและสมณศักดิ์ของคณะสงฆ์ในกรุงศรีอยุธยายุคต้นๆ ยึดถือตาม แบบแผนสมัยสุโขทัย คือมีคณะคามวาสีและอรัญวาสี โดยมีพระลังกาวงศ์ได้รับความ เลื่อมใสศรัทธาทั้งในราชตระกูล ตลอดจนประชาราษฎร์มาแล้วแต่สมัยสุโขทัย ครั้นถึง สมัยอยุธยาก็ยังปรากฏว่า คณะสงฆ์ลังกาวงศ์ได้รับความนิยมนับถือมากขึ้น ส่วนจำนวน พระสงฆ์ในนิกายเดิมก็คงลดน้อยลงตามลำดับ ปรากฏในพงศาวดาร สมัยสมเด็จ พระอินทรราชา (พระนครินทราธิราช) มีภิกษุหมู่หนึ่งเป็นพระเถระชาวเชียงใหม่ ๗ รูป คือ ๑. พระธรรมคัมภีร์ ๒. พระเมธังกร ๓. พระญาณมงคล ๔. พระศีลวงศ์ ๕. พระสารีบุตร ๖. พระธรรมรัตนากร ๗. พระพุทธสาคร พร้อมทั้งพระมหาเถระชาวกรุงศรีอยุธยา ๒ รูป คือ ๑. พระพรหมมุนี ๒. พระโสมเถระ นอกจากนั้น ยังมีพระมหาเถระชาวกัมพูชาอีก ๑ รูป คือ พระญาณสิทธิ กับพระภิกษุ อีกจำนวนมากพากันไปอุปสมบทแปลงเป็นนิกายลังกาวงศ์ ณ อุทกุกเขปสีมา แม่นํ้ากัลยาณี ในสำนักพระวันรัตน์มหาเถระ เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๒ คํ่า เดือน ๘ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๙๖๗ แล้ว ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ในศรีลังกาหลายปี เมื่อกลับมาได้นิมนต์พระมหาเถระลังกามาด้วย


สมัยรัตนโกสินทร์ 135 ๒ รูป คือ พระมหาวิกรมพาหุ และพระอุดมปัญญา ลงเรือมาขึ้นที่อยุธยาก่อน แล้วแยกย้าย กันสั่งสอนและตั้งนิกายลังกาวงศ์ขึ้นมาใหม่อีก ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกว่า คณะป่าแก้ว๑ วัดต่างๆ ที่พระคณะนี้เข้าไปอยู่ก็มักจะมีชื่อ “คณะป่าแก้ว” ตามหลัง เช่น วัดไตรภูมิคณะ ป่าแก้ว เป็นต้น ป่าแก้ว นี้ แปลมาจากภาษามคธ คำว่า “วันรัตน์” ที่เป็นนามของ พระอุปัชฌาย์ในลังกาที่พระสงฆ์คณะนี้ไปบวชแปลงนั่นเอง เมื่อคณะสงฆ์ที่มาจากลังกาคณะนี้มีมากขึ้น คณะสงฆ์ในกรุงศรีอยุธยาในยุคปลาย จึงแบ่งออกเป็น ๓ คณะ๒ คือ ๑. คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย (คณะสงฆ์เดิมที่มีอยู่ตามแบบสุโขทัย) ๒. คณะอรัญวาสี (คณะลังกาวงศ์ที่เข้ามาสมัยสุโขทัย) ๓. คณะคามวาสีฝ่ายขวา (คณะป่าแก้วที่เข้ามาใหม่) สำหรับตำแหน่งสังฆนายก ผู้บริหารกิจการพระศาสนาในกรุงศรีอยุธยายุคปลาย ได้มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเพิ่มขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง ครั้งกรุงสุโขทัย มีสังฆราช และปู่ครู แต่ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสูงสุดเข้ามาอีก รวมกับที่มีมาแต่สมัย สุโขทัยเป็น ๓ ระดับ คือ ๑. สมเด็จพระสังฆราช๓ ทรงดำรงตำแหน่งสังฆปริณายก ปกครองคณะสงฆ์ทั่วไป ถึงราชธานี และในหัวเมืองต่างๆ ๑ คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดี สำนัก นายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๑๑๙ - ๑๒๐.๒ พระยาประชากิจกรจักร์, พงศาวดารโยนก, (พระนคร : ชูสิน, ๒๔๙๘), หน้า ๗๙.๓ คำและยศที่เรียกว่า “สมเด็จ” นำมาจากเขมร หนังสือที่แต่งครั้งสุโขทัยไม่ได้พบใช้คำว่า “สมเด็จ” ในที่ใดๆ เลย แม้คำพระนามพระเจ้าแผ่นดิน ก็ไม่ได้ขึ้นคำว่า “สมเด็จ” มาใช้ในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี เพราะอยู่ใกล้เมืองเขมรกว่าสุโขทัย และตีได้เขมร กวาดต้อนผู้คนมาหลายครั้ง คงจะได้นำแบบแผน ประเพณีเขมรมาใช้ จึงเอาคำ “สมเด็จ” มาใช้ในสมณศักดิ์ของสมเด็จพระสังฆราช อ้างใน พระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ุ, เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑, (พระนคร : โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๖), หน้า ๒๘๕.


136 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๒. สังฆราชา๑ เจ้าคณะปกครองหัวเมืองใหญ่ ๓. พระครู เจ้าคณะปกครองหัวเมืองเล็ก นอกนั้นยังมีพระครูที่อยู่ในราชธานี มีหน้าที่ปกครองดูแลวัดมากบ้างน้อยบ้าง หรือได้รับมอบหมายหน้าที่พิเศษให้เป็นผู้ปกครองดูแลพระสงฆ์ต่างชาติ เช่น พระสงฆ์ลาว พระสงฆ์มอญ เป็นต้น พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชประสงค์จะยกตำแหน่งพระครูในกรุง ดังกล่าวนี้ให้มีฐานันดรสูงขึ้นเท่ากับพระสังฆราชในหัวเมือง จึงยกขึ้นเป็นสังฆราชา ซึ่ง ต่อมาภายหลังได้กลายเป็นพระราชาคณะเช่นปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ส่วนตำแหน่งประมุขสงฆ์ในสมัยอยุธยาตอนต้นนั้นปรากฏอยู่ ๒ ตำแหน่ง คือ ๑. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประมุขสงฆ์ฝ่ายคามวาสี ๒. สมเด็จพระวันรัตน์ ประมุขสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ถ้ารูปใดมีพรรษามากกว่า รูปนั้นก็จะได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ต่อมาเมื่อคณะ ป่าแก้วเพิ่มมากขึ้นทั้งในกรุงและหัวเมืองปักษ์ใต้ คณะคามวาสีจึงแบ่งเป็น ๒ คือ คามวาสี ฝ่ายซ้าย และคามวาสีฝ่ายขวา และสับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่๒ ดังนี้ ๑. พระวันรัตน์ เป็นเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา (วัดในหัวเมืองฝ่ายใต้) ๒. พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย (วัดในหัวเมืองฝ่ายเหนือ) ๓. พระพุทธาจารย์ เป็นเจ้าคณะอรัญวาสี (ตำแหน่งนี้ตั้งขึ้นใหม่ เป็นเจ้าคณะแทน พระวันรัตน์ ต่อมาในครั้งรัชกาลที่ ๔ ตำแหน่งนี้เปลี่ยนเป็น พระพุฒาจารย์)๓ ๑ คำว่า สังฆราชา ในหัวเมืองสมัยอยุธยา ถึงระยะต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีทั้งพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ และมีสมณศักดิ์เป็นเพียงพระครู ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงใหม่ หัวเมืองใดที่มีพระสงฆ์เป็นพระราชาคณะปกครอง ให้มีตำแหน่งต่อท้ายสมณศักดิ์ว่า “สังฆปาโมกข์” ส่วนหัวเมืองใดที่มีพระสงฆ์เป็นพระครูปกครอง ให้มี ตำแหน่งต่อท้ายสมณศักดิ์ว่า “สังฆวาหะ” ถือเป็นระเบียบปฏิบัติต่อมา อ้างใน วิเชียร อากาศฤกษ์ และ สุนทร สุภูติโยธิน, ประวัติสมณศักดิ์และพัดยศ, (กรุงเทพมหานคร : บูรพาศิลปการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๒๑.๒ กรมการศาสนา, ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : การศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๘๑.๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำ นานคณะสงฆ์, (พระนคร : วัชรินทร์ การพิมพ์, ๒๕๑๓), หน้า ๒๑.


สมัยรัตนโกสินทร์ 137 จำ นวนสมณศักดิ์คณะสงฆ์สมัยอยุธยา๑ ในทำเนียบสมณศักดิ์และคณะสงฆ์ครั้งกรุงเก่า แบ่งการปกครองคณะสงฆ์เป็น ๓ คณะ คือ คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย คณะอรัญวาสี และคณะคามวาสีฝ่ายขวา คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย ประกอบด้วย เจ้าคณะใหญ่ ๑ รูป สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี อยู่วัดหน้าพระธาตุ พระราชาคณะในกรุง ๑๗ รูป พระครูหัวเมือง ๒๔ รูป ๒๒ เมือง หัวเมืองไม่มีพระครู ๒๖ เมือง ซึ่งคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย มีสมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี เป็นเจ้าคณะใหญ่ มีพระพิมลธรรม เป็นเจ้าคณะรอง และมีพระราชาคณะผู้ช่วยอีก ๑๖ รูป ดังนี้ สมเด็จพระอริยวงษาสังฆราชาธิบดี อยู่วัดหน้าพระธาตุเป็นเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย มีฐานานุกรม ๑๐ รูป คือ พระครูสดำปลัดขวา ๑ พระครูเฉวียงปลัดซ้าย ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูเทพสิทธิเทพาธิบดี คู่สวดขวา ๑ พระครูศรีสุนทรากษรวิจิตร คู่สวดซ้าย ๑ พระครูเมธังกร ๑ พระครูวรวงษา ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ เป็น ๑๐ รูป แล้วมีพระราชาคณะเป็นคณะขึ้นในนี้ พระพิมลธรรม อยู่วัดรามาวาศ เป็นคณะรอง ๑ พระเทพกวี อยู่วัดพระราม ๑ พระพรหมมุนี อยู่วัดราชประดิษฐาน ๑ พระราชมุนี อยู่วัดภูเขาทอง ๑ พระปรากรม อยู่วัดน่าพระเมรุ ๑ พระราชกระวี อยู่วัดวรโพธิ์ ๑ พระศรีสมโพธิ อยู่วัดฉัททันต ๑ พระพากุลเถร อยู่วัดศรีอโยทธยา ๑ พระญาณสิทธิ์ อยู่วัดสังฆปัต ๑ ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๒ - ๓๐.


138 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระอไภยสรณ อยู่วัดป่าฝ้าย ๑ พระอไภยสารทะ อยู่วัดป่าใน ๑ พระอนุรุทธ อยู่วัดท่าทราย ๑ พระโชติบาล อยู่วัดรากแค ๑ พระศรีสัจญาณมุนี อยู่วัดพญาแมน ๑ พระธรรมนิโรธ อยู่วัดกระษัตรา ๑ พระญาณรักขิต อยู่วัดสังกะทา ๑ พระไตรสรณะธัชะ อยู่วัดจอมปุ ๑ คณะอรัญวาสี ประกอบด้วย เจ้าคณะใหญ่ ๑ รูป พระพุทธาจารย์ วัดโบสถ์ราชเดช พระราชาคณะ ๗ รูป ซึ่งคณะอรัญวาสี มีพระพุทธาจารย์ (รัชกาลที่ ๔ โปรดให้แก้ไขเป็น พระพุฒาจารย์) เป็นเจ้าคณะใหญ่ พระญาณไตรโลก เป็นเจ้าคณะรอง และมีพระราชาคณะผู้ช่วยอีก ๖ รูป ดังนี้ พระพุทธาจารย์ อยู่วัดโบถราชเดชะ เป็นเจ้าคณะกลางฝ่ายอรัญวาสี ได้บังคับบัญชา พระสงฆ์ ฝ่ายสมะถะวิปัศนา อนึ่งถ้ามีที่เสด็จพระราชดำเนินออกนอกพระนครก็ต้องไป โดยเสด็จ มีพระราชาคณะเป็นคณะขึ้นในนี้ พระญาณไตรโลกย์ อยู่วัดโรงธรรม เป็นคณะรองฝ่ายอรัญวาสี๑ พระอุบาฬี อยู่วัดกุฏ ๑ พระญาณโพธิ อยู่วัดเจ้ามอน ๑ พระธรรมโกษา อยู่วัดประดู่ ๑ พระเทพมุนี อยู่วัดกุฎีดาว ๑ พระเทพโมฬี อยู่วัดสมณโกฏ ๑ พระธรรมกิติ อยู่วัดมเหยงคณ์ ๑ คณะคามวาสีฝ่ายขวา ประกอบด้วย เจ้าคณะใหญ่ ๑ รูป พระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว


สมัยรัตนโกสินทร์ 139 พระราชาคณะในกรุง ๑๗ รูป พระครูหัวเมือง ๔๖ รูป หัวเมืองไม่มีพระครู ๒๐ เมือง ซึ่งคณะคามวาสีฝ่ายขวา มีพระวันรัตน์ เป็นเจ้าคณะใหญ่ พระธรรมโคดม เป็น เจ้าคณะรอง และมีพระราชาคณะผู้ช่วยอีก ๑๖ รูป ดังนี้ พระวันรัตน์ อยู่วัดป่าแก้ว เป็นเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา มีฐานานุกรม ๑๑ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูพรหมสร คู่สวดขวา ๑ พระครู อมรสัท คู่สวดซ้าย ๑ พระครูธรรมคุต ๑ พระครูพุทธบาล ๑ พระครูญาณกิจ ๑ พระครู สังฆรักขิต ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ เป็น ๑๑ รูป แล้วมีพระราชาคณะเป็นคณะ ขึ้นในนี้ พระธรรมโคดม อยู่วัดธรรมมิกราช เป็นคณะรอง ๑ พระธรรมไตรโลกย์ อยู่วัดสุธาสวรรค์ ๑ พระธรรมเจดีย์ อยู่วัดสวนหลวงสบสวรรค์ ๑ พระโพธิวงษ์ อยู่วัดสวนหลวงค้างคาว ๑ พระธรรมวิโรจน์ อยู่วัดโพธาราม ๑ พระนารท อยู่วัดดุสิต ๑ พระพุทธโฆษา อยู่วัดพุทไธสวรรย์ ๑ พระวิเชียรเถร อยู่วัดไชยวัฒนาราม ๑ พระธรรมสารเถร อยู่วัดปราสาท ๑ พระญาณสมโพธิ อยู่วัดป่าตอง ๑ พระอริยโคดม อยู่วัดแก้วฟ้า ๑ พระอริยวงษมุนี อยู่วัดวรเชฐ ๑ พระอริยมุนี อยู่วัดราชพรี ๑ พระนิกรม อยู่วัดวังไชย ๑ พระนิโครธญาณ อยู่วัดลอดช่อง ๑ พระญาณรังษี อยู่วัดสาตดิชน ๑ พระอริยธัชะ อยู่วัดจงกรม ๑


140 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ จากทำเนียบสมณศักดิ์ครั้งกรุงศรีอยุธยาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สมณศักดิ์สำหรับ ท่านผู้มีตำแหน่งทางการปกครอง เรียกรวมว่า พระราชาคณะ แบ่งเป็น ๒ ชั้น คือ พระราชาคณะผู้ใหญ่ กับพระราชาคณะสามัญ สำหรับพระราชาคณะผู้ใหญ่นั้นแบ่งเป็น ๔ ชั้น คือ ชั้นที่ ๑ สมเด็จพระสังฆราชซ้าย-ขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ได้แก่ สมเด็จ พระอริยวงศา กับสมเด็จพระวันรัตน์ ชั้นที่ ๒ ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่ หรือ ปลัดสังฆราช เรียกว่าเจ้าคณะรอง ได้แก่ พระพุทธาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี พระพุทธโฆษาจารย์ ทำนองจะเป็นผู้ช่วย มหาสังฆปริณายก หรือเรียกว่า ปลัดสังฆราช พระพิมลธรรม เจ้าคณะรองฝ่ายซ้าย พระธรรม โคดม เจ้าคณะรองฝ่ายขวา ชั้นที่ ๓ ไม่มีชื่อเรียกระบุชั้น แต่มักมีราชทินนามขึ้นต้นด้วยคำว่า ธรรม เช่น พระธรรมโกษา พระธรรมไตรโลกย์ ภายหลังต่อมาจึงเรียกกันว่า ชั้นธรรม ชั้นที่ ๔ ไม่มีชื่อเรียกระบุชั้นเช่นกัน แต่มักมีราชทินนามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า เทพ เช่น พระเทพกวี พระเทพมุนี ภายหลังต่อมาจึงเรียกกันว่า ชั้นเทพ ราชทินนามนอกจาก ๔ ชั้นนี้ จัดเป็นพระราชาคณะสามัญ ส่วนเจ้าคณะใน หัวเมืองเรียกว่า พระครู สรุปได้ว่า ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมณศักดิ์สำหรับท่านผู้มีตำแหน่งทางการปกครอง คือ สมเด็จพระสังฆราช ซ้าย -ขวา พระราชาคณะเจ้าคณะรอง พระราชคณะชั้นธรรม พระราชาคณะชั้นเทพ พระราชาคณะชั้นสามัญ และพระครู แต่ละองค์ก็จะมีหน้าที่เป็น ผู้ปกครองในหัวเมืองและนอกเมืองต่างๆ ตามที่ทางบ้านเมืองจัดให้ไปประจำอยู่ ซึ่งจะทำ หน้าที่ต่างกัน๑ ดังนี้ ๑. สมเด็จพระสังฆราช พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้เป็นประมุขและปกครอง คณะสงฆ์ทั้งมวล ๑ พระมหาวิเชียร สายศรี, พระพุทธศาสนากับระบบสมณศักดิ์ : ศึกษาเฉพาะกรณีทัศนะของ นักวิชาการพุทธศาสนาและพระนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต (ศาสนาเปรียบเทียบ), (กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓), หน้า ๖๑.


สมัยรัตนโกสินทร์ 141 ๒. เจ้าคณะใหญ่ ๓ องค์ รองลงมาจากสมเด็จพระสังฆราช พระมหากษัตริย์ทรง แต่งตั้งเช่นกัน ให้เป็นผู้ดูแลและปกครองคณะต่างๆ คือ คามวาสีฝ่ายซ้าย คามวาสีฝ่ายขวา และอรัญวาสี ๓. ภายใต้เจ้าคณะใหญ่ของแต่ละคณะ ประกอบด้วยพระราชาคณะ ซึ่งทำหน้าที่ ปกครองและดูแลการคณะสงฆ์ในเมืองราชธานี หัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นนอกที่มี ความสำคัญ ส่วนกฎระเบียบการแต่งตั้งสมณศักดิ์ให้พระสงฆ์ในตำแหน่งต่างๆ ไม่ได้กล่าวไว้ว่า มีกฎเกณฑ์อย่างไรบ้างเหมือนดังเช่นในปัจจุบัน การแต่งตั้งสมณศักดิ์อยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน มีพระราชวินิจฉัยที่จะคัดเลือกพระสงฆ์ในตำแหน่งต่างๆ และพระราชทานทินนามให้ แล้วตั้งในสมณศักดิ์นั้นๆ ดังเช่นที่พระราชทานให้แก่ฆราวาส แต่ขั้นตอนการคัดเลือกอาจจะ พิจารณาจากพระสงฆ์ผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่ศาสนาและบ้านเมืองจริงๆ หรือว่าเป็นผู้ทรงไว้ ซึ่งพระไตรปิฎกและอรรถกถาอย่างเชี่ยวชาญ เป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ประชาชน อย่างมาก กฎเกณฑ์เหล่านี้สืบทอดมาถึงปัจจุบันนี้ ในการพิจารณาพระสงฆ์ที่จะได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์ แต่รูปแบบการคัดเลือกผิดแปลกกันไป สมัยก่อนพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์เดียวตัดสิน สมัยปัจจุบันนี้พระสงฆ์ในนามมหาเถรสมาคมเป็นผู้พิจารณาก่อน แล้ว จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย อำนาจก็เท่ากับว่าอยู่ที่พระสงฆ์ ก่อนนั่นเอง ๘.๓.๓ สมณศักดิ์สมัยธนบุรี สมัยธนบุรี เมื่อจัดการตั้งราชธานีแห่งใหม่ขึ้นเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชจึงได้โปรดให้ดำเนินการในการปรับปรุงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาทันที ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ โดยมีพระราชดำริว่า พระสงฆ์ของไทยในขณะนั้นยังบกพร่องในเรื่องศีลหรือวินัยอยู่ เป็นอันมาก เพราะภาวะสงครามถึงบ้านแตกสาแหรกขาด ปราศจากพระราชาคณะที่ทรง คุณธรรมความรู้มาคอยว่ากล่าวสั่งสอน ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้สืบหาพระสงฆ์ที่ทรงคุณธรรม ทั่วทุกแห่ง โดยให้มาประชุมกัน ณ วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) แล้วทรงเลือกตั้ง พระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมและแก่พรรษาอายุขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช และตั้งพระเถรานุเถระ เหล่านั้นเป็นพระราชาคณะ ฐานานุกรมใหญ่น้อยตามลำดับชั้นสมณฐานันดรศักดิ์เหมือน ดังแต่ก่อนมา แล้วนิมนต์ให้ไปจำพรรษาอยู่ตามพระอารามต่างๆ ในกรุงธนบุรี ทำหน้าที่ บริหารสั่งสอนว่ากล่าวพระภิกษุสามเณรทั้งปวง


142 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ในครั้งนั้น คณะสงฆ์ได้พร้อมใจกันเลือกพระอาจารย์ดี วัดประดู่ แห่งกรุงศรีอยุธยา ให้รับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นองค์แรกในสมัยธนบุรี และพระอาจารย์สี วัดพนัญเชิง เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๒ พระสงฆ์ครั้งกรุงศรีอยุธยาที่สมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราชทรงอาราธนามาเป็นพระราชาคณะในครั้งกรุงธนบุรีนั้น เข้าใจว่า จะเป็นพระครูซึ่งอยู่วัดต่างๆ แถบชายทะเลทางตะวันออก เพราะศึกพม่ารุกรานไปไม่ถึง เช่น สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๓ นั้น สันนิษฐานว่า เดิมจะเป็นพระครูสุธรรมธีรราชมหามุนี ซึ่งตามทำเนียบว่าเป็นเจ้าคณะเมืองระยอง๑ สมเด็จ พระสังฆราชพระองค์นี้ถึงรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ถูกลดยศลงให้เป็น พระธรรม ธีรราชมหามุนี ว่าที่พระวันรัตน์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงฟื้นฟูสังฆมณฑลได้กลับคืนตามสภาพเดิม อย่างครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังปรากฏว่า เมื่อทรงปราบชุมนุมเจ้าพระฝางได้ใน พ.ศ. ๒๓๑๓ แล้ว ก็โปรดให้ดำเนินการสอบสวนชำระพระสงฆ์ในเมืองฝาง (สวางคบุรี) ที่ประพฤติละเมิดพระวินัยร่วมกับเจ้าพระฝางทันที พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา อย่างจริงจัง เมื่อคณะสงฆ์พอจะเข้ารูปแบบเช่นสมัยอยุธยาแล้ว ก็ทรงให้มีการศึกษา พระปริยัติธรรมขึ้น ทรงให้คัดลอกคัมภีร์ต่างๆ ที่ขาดหายไป และทรงให้ค้นหาคัมภีร์ตาม หัวเมืองต่างๆ มารวบรวมไว้ในเมืองหลวง ส่วนพระองค์เองก็ทรงศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนา ธุระ แต่แล้วก็ให้มีเหตุที่การปกครองคณะสงฆ์ต้องมีอันทรุดและเสื่อมลงอีกครั้ง ด้วยเหตุ ที่พระเจ้าตากสินมหาราชมีพระสัญญาวิปลาสสั่งปลดสมเด็จพระสังฆราช (สี) แล้วตั้งให้ พระครูสุธรรมธีรราชมหามุนี (ชื่น) เป็นสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นองค์สุดท้ายของสมัยธนบุรี ดังนั้น จะพบว่าการแต่งตั้งสมณศักดิ์ก็ยังคงยึดตามแบบสมัยอยุธยา ๘.๓.๔ สมณศักดิ์สมัยรัตนโกสินทร์ สมณศักดิ์ในกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมณศักดิ์ที่เคยมีมาแล้วแต่สมัยสุโขทัยและ อยุธยาจนถึงธนบุรีนั้น หากแต่ว่าได้มีการพัฒนาการไปบ้างทั้งในรูปแบบราชทินนาม ชั้นยศ และกฎเกณฑ์ พร้อมทั้งวิธีการในการขอพระราชทานสมณศักดิ์เพิ่มขึ้น เพื่อความเหมาะสม กับกาลสมัยให้สอดคล้องกับกฎระเบียบต่างๆ ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ๑ นนท์ ธรรมสถิตย์, พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : เอดิสัน, ๒๕๓๓), หน้า ๗.


สมัยรัตนโกสินทร์ 143 สมณศักดิ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น การแต่งตั้งสมณศักดิ์ยังไม่แตกต่างไป จากครั้งอยุธยา เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองยังมีข้าศึกศัตรูอยู่มาก พระมหากษัตริย์คงจะ เพียงแต่ดำรงของเดิมไว้เท่านั้น ตำแหน่งต่างๆ คงจะยังไม่เพิ่มขึ้น แต่ขยายตำแหน่ง พระราชาคณะ (สังฆราชา) แบ่งเป็นชั้นใหญ่ๆ ๒ ชั้น คือ ๑. พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ กำหนดเป็น ๔ ชั้น๑ คือ ชั้นที่ ๑ สมเด็จพระสังฆราช ได้แก่ สมเด็จพระอริยวงศ์ และ สมเด็จพระวันรัต ชั้นที่ ๒ พระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี พระพุทธโฆษาจารย์ ผู้ช่วย มหาสังฆปริณายก (เรียกว่าปลัดสังฆราชก็ได้) พระพิมลธรรม เจ้าคณะรองฝ่ายซ้าย และ พระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองฝ่ายขวา ชั้นที่ ๓ พระพรหมมุนี (เทียบชั้นธรรมหรืออาจสูงกว่าเล็กน้อย เคยปรากฏ ว่าพระพรหมมุนีได้เลื่อนเป็นพระพิมลธรรมก็มี เป็นพระพุฒาจารย์ก็มี) พระธรรมเจดีย์ คณะเหนือ และพระธรรมไตรโลก คณะใต้ ชั้นที่ ๔ พระเทพกวี คณะเหนือ พระเทพมุนี คณะใต้ และ พระญาณไตรโลก เจ้าคณะรองอรัญวาสี ๒. พระราชาคณะชั้นสามัญ เช่น พระเทพโมลี พระธรรมโกษา เป็นต้น นอกจากนี้ ในรัชกาลที่ ๑ ได้มีการเปลี่ยนแปลงสมณศักดิ์ไปจากเดิมเล็กน้อย คือ ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชขึ้นเป็นพิเศษ นอกเหนือจากตำแหน่งพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ และมีราชทินนามประจำตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่า “สมเด็จพระอริยวงษญาณ” ส่วนตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คือ สมเด็จพระวันรัตน์ เจ้าคณะใหญ่คณะใต้ พระพุทธาจารย์ เจ้าคณะใหญ่คณะอรัญวาสี พระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่คณะเหนือ และได้มีการแก้ไขนามพระราชาคณะ เช่น เปลี่ยนพระธรรมโคดม เป็นพระธรรมอุดม พระอุบาลี เป็นพระวินัยรักขิต และเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าคณะรองอรัญวาสีจากพระญาณ ไตรโลกเดิม ให้มาเป็นของพระญาณสังวร พระญาณไตรโลก จึงกลับมาเป็นพระราชาคณะ สามัญตั้งแต่ตอนนั้น ๑ สิริวัฒน์ คำวันสา และ ทองพรรษ์ ราชภักดิ์, พระสงฆ์ไทยใน ๒๐๐ ปี เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : ศรีอนันต์การพิมพ์, ๒๕๒๔), หน้า ๓๙.


144 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ในรัชกาลที่ ๒ ทรงยกตำแหน่ง พระพุทธโฆษาจารย์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์ และทรงตั้งตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะเป็นพิเศษขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ ทรงตั้งพระญาณสังวร (สุข) ขึ้นเป็น สมเด็จพระญาณสังวร และทรงเริ่มประเพณีใหม่ ทางสมณศักดิ์ขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ ทรงตั้งเจ้านายที่ทรงผนวชอยู่ให้ทรงสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อน คือทรงสถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้า วาสุกรี เป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ตำแหน่งพระราชาคณะ นับเป็นครั้งแรกในยุคกรุง รัตนโกสินทร์ และได้เป็นแบบอย่างในรัชกาลต่อๆ มา ในรัชกาลที่ ๓ จัดการปกครองคณะสงฆ์เป็น ๔ คณะคือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะอรัญวาสี และตั้งคณะกลางขึ้นใหม่ โปรดให้กรมหมื่นนุชิตชิโนรสเป็นเจ้าคณะ ส่วนสมณศักดิ์ก็คงเป็นไปตามแบบเดิม เจ้านายที่ทรงผนวชอยู่หลายพระองค์ได้เป็น พระราชาคณะเพิ่มขึ้น ในรัชกาลที่ ๔ การปกครองคณะสงฆ์ยังคงเป็นไปตามแบบเดิม ส่วนสมณศักดิ์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง กล่าวคือ ๑. ทรงสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นกรมสมเด็จ พระปรมานุชิตชิโนรส ที่สมเด็จพระสังฆราช แต่ไม่เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช เมื่อจะเอ่ยถึง ตำแหน่งของพระองค์ ก็ออกพระนามกรม ต่อด้วยพระนามตำแหน่งว่า “กรมสมเด็จ พระปรมานุชิตชิโนรส สมณุตมมหาสังฆปริณายก” นับเป็นครั้งแรกที่เจ้านายได้ทรงดำรง ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๒. ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ทรงยกขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะทั้ง ๔ คณะ คือ ทรงเปลี่ยนนามสมเด็จพระพนรัตน เป็น สมเด็จพระวันรัตน๑ เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะใต้ ทรงเปลี่ยนนามพระพุทธาจารย์ เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะ อรัญวาสี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะกลาง ทรงเปลี่ยนนาม สมเด็จ พระอริยวงษญาณ ซึ่งเป็นนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชมาแต่โบราณ เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะเหนือ (ไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เพราะกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเป็นที่สมเด็จพระสังฆราชอยู่ในเวลานั้น) ๑ ธนิต อยู่โพธิ์, ตำ นานสมณศักดิ์พระวันรัตน, (พระนคร : ศิวพร, ๒๕๑๖), หน้า ๓ - ๑๒.


สมัยรัตนโกสินทร์ 145 ๓. ทรงเริ่มประเพณีตั้งราชทินนามพระราชาคณะตามนามฉายาของท่านผู้ได้รับ แต่งตั้ง เช่น “พระอมราภิรักขิต” เพราะมีนามฉายาว่า อมโร “พระสังกิจจมุนี” เพราะมี นามฉายาว่า สังกิจโจ “พระกิตติสารมุนี” เพราะมีนามฉายาว่า กิตติสาโร เป็นต้น ๔. ทรงตั้งทำเนียบราชทินนามสำหรับหม่อมเจ้าพระราชาคณะ และราชทินนาม สำหรับหม่อมราชวงศ์ที่เป็นพระครู เช่น หม่อมเจ้าพระศีลวราลังการ หม่อมราชวงศ์พระครู ราชพันธุ์ประพัทธ์ เป็นต้น ๕. ทรงเปลี่ยนแปลงเฉพาะพระราชาคณะหัวเมืองให้มีตำแหน่งต่อท้ายสมณศักดิ์ ว่า “สังฆปาโมกข์” ส่วนหัวเมืองใดมีพระครูปกครองให้มีตำแหน่งต่อท้ายสมณศักดิ์ว่า “สังฆวาหะ”๑ นอกจากนี้โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์พระสงฆ์ ๑๐ รูป๒ คือ ๑. พระธรรมอุดม (เซ่ง) วัดอรุณ เป็น สมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายใต้ ๒. พระพุทธาจารย์ (สน) วัดสระเกศ เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ อรัญวาสี ๓. พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลก เป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะกลาง ๔. พระธรรมไตรโลก (จี่) วัดประยูร เป็น พระพิมลธรรม ๕. พระพรหมมุนี (ถึก) วัดพระเชตุพน เป็น พระธรรมอุดม แปลงเป็น พระธรรม วโรดม ๖. พระญาณสมโพธิ (ยิ้ม) เป็น พระพรหมมุนี ๗. พระเทพกวี (รอด) วัดราชโอรส เป็น พระธรรมไตรโลก ๘. พระญาณไตรโลก (พุก) วัดมหาธาตุ เป็น พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะใหญ่ กรุงเก่า ๙. พระธรรมกิติ เป็น พระธรรมเจดีย์ ๑๐. พระมหาโต เปรียญ ๔ เป็น พระธรรมกิติ (ต่อมาได้เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ ใน พ.ศ. ๒๔๐๗ ปลายรัชกาลที่ ๔) ๑ วิเชียร อากาศฤกษ์ และ สุนทร สุภูตะโยธิน, ประวัติสมณศักดิ์และพัดยศ, (กรุงเทพมหานคร : บูรพาศิลปการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๒๑.๒ พระพจนาวิลาศ, ทำ เนียบสมณศักดิ์, (พระนคร : บำรุงนุกูลกิจ, ๒๔๔๕), หน้า ๑๒๘.


146 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ รัชกาลที่ ๕ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงตั้งพระราชาคณะฤกษ์ ประกอบ ด้วย ๑. พระมหานุ่ม เปรียญ ๗ ประโยค วัดอมรินทราราม เป็นที่พระกวีวงศ์ ๒. พระปลัดแสง เปรียญ ๗ ประโยค วัดราชบูรณะ เป็นที่พระราชมุนี ๓. พระปลัดเมตุคู (เดช) วัดบุปผาราม เป็นที่พระวิเชียรมุนี และได้มีการเปลี่ยนแปลงการคณะสงฆ์ทั้งด้านการปกครองและสมณศักดิ์ทั้งนี้เพื่อ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ ทรงสถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ เป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส โปรดให้มีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะรองคณะธรรมยุต มีสมณศักดิ์ ตำแหน่งนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก จึงเท่ากับโปรดให้ตั้งคณะธรรมยุตขึ้นเป็นคณะหนึ่งในคราวนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ โปรดให้ตั้งพิธีมหาสมณุตมาภิเษก เลื่อนกรมพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นกรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสมณศักดิ์เป็น มหาสังฆปริณายกทั่วพระราชอาณาจักร (คือเป็นสมเด็จพระสังฆราช) และทรงดำรง ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตด้วย การปกครองคณะสงฆ์ในยุคนี้ จึงแบ่งเป็น ๕ คณะคือ (๑) คณะเหนือ (๒) คณะใต้ (๓) คณะกลาง (๔) คณะอรัญวาสี (๕) คณะธรรมยุต ถึง พ.ศ. ๒๔๓๗ โปรดให้จัดระเบียบคณะสงฆ์ครั้งหนึ่ง คือโปรดให้สมเด็จ พระพุฒาจารย์ เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะกลาง ยกตำแหน่งพระพรหมมุนี ซึ่งเสมอชั้นธรรม มาแต่ก่อน ขึ้นเป็นตำแหน่งหิรัญบัตร เป็นเจ้าคณะรองคณะกลาง โปรดตั้งตำแหน่งที่ พระศาสนโสภณ เป็นเจ้าคณะรองคณะธรรมยุต โปรดตั้งตำแหน่งที่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เป็นเจ้าคณะรองคณะอรัญวาสี โดยทรงพระดำริว่าพระอุบาลีนี้มีเกียรติยศในพงศาวดาร คือ ได้ไปประดิษฐานพระสงฆ์อุบาลีวงศ์ในลังกา และโปรดให้จัดระเบียบพระราชาคณะ ผู้ใหญ่ คือ


สมัยรัตนโกสินทร์ 147 ชั้นธรรม ซึ่งตำแหน่งเดิมมีเพียง ๒ คือ พระธรรมเจดีย์ พระธรรมไตรโลกนั้น โปรดให้ยกตำแหน่ง พระธรรมโกษา ซึ่งเดิมเป็นตำแหน่งพระราชาคณะสามัญขึ้นเป็น ชั้นธรรม และทรงตั้งตำแหน่ง พระธรรมปาโมกข์ ขึ้นใหม่อีกตำแหน่งหนึ่ง ชั้นเทพ แต่เดิมมีเพียง ๓ คือ พระเทพกวี พระเทพโมฬี พระเทพมุนี ทรงตั้ง ตำแหน่ง พระเทพเมธี ขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่งแทนตำแหน่ง พระโพธิวงษ์ ที่ทรงยกขึ้นเป็น ตำแหน่งเจ้าคณะอรัญวาสี ชั้นราช แต่เดิมเป็นพระราชาคณะสามัญ ทรงยกขึ้นเป็นชั้นพระราชาคณะ ผู้ใหญ่รองจากตำแหน่งเทพลงมา ๔ ตำแหน่ง คือ พระราชกระวี พระราชโมฬี พระราชมุนี พระราชเมธี เรื่องทรงเพิ่มตำแหน่งชั้นราชขึ้นมานี้ เพราะได้ทรงตั้งตามพระสงฆ์ที่พระเจ้า แผ่นดินโปรดในฐานะเป็นพระนักเทศน์ พระสอนหนังสือ หรือมีศีลาจารวัตรเรียบร้อย ในเมื่อจะพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์รูปนั้นเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เลยตั้งให้ แปลกไปจากรูปอื่นที่มีคำว่า “ราช” เช่น “ราชกระวี” เป็นต้น ต่อมาทรงพิจารณาว่าควรยกให้ สูงกว่าพระราชาคณะชั้นสามัญ จึงได้โปรดตั้งชั้นราชขึ้นให้สูงกว่าสามัญ แต่ตํ่ากว่าชั้นเทพ ในสมัยนี้ ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ และพระราชาคณะผู้ใหญ่ ในคณะต่างๆ จึงมีดังนี้ คณะเหนือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะ พระพิมลธรรม เจ้าคณะรอง พระธรรมโกษาจารย์ พระเทพมุนี พระราชมุนี คณะใต้ สมเด็จพระวันรัตน์ เจ้าคณะ พระธรรมวโรดม เจ้าคณะรอง พระธรรมไตรโลกาจารย์


148 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระเทพเมธี พระราชเมธี คณะกลาง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะ พระพรหมมุนี เจ้าคณะรอง พระธรรมเจดีย์ พระเทพโมฬี พระราชโมฬี คณะธรรมยุต พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เจ้าคณะ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมเด็จพระราชาคณะผู้ช่วย พระสาสนโสภณ เจ้าคณะรอง พระธรรมปาโมกข์ พระเทพกระวี พระราชกระวี คณะอรัญวาสี พระโพธิวงศาจารย์ เจ้าคณะ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เจ้าคณะรอง (ต่อมาเปลี่ยนเป็น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เป็นเจ้าคณะ) พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) โปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ขึ้น เนื่องจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ดังกล่าวนี้ได้มีการจัดระเบียบคณะสงฆ์ใหม่ อีกครั้งหนึ่งทั้งทางการปกครองและสมณศักดิ์ เพื่อให้มีความสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ ในการบริหารการคณะสงฆ์ในทุกด้าน ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ จัดการปกครอง คณะสงฆ์เป็น ๔ คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง คณะธรรมยุติกนิกาย สมเด็จ พระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่และพระราชาคณะผู้ใหญ่ในแต่ละคณะคงเดิม สมเด็จ พระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ และเจ้าคณะรองทั้ง ๔ คณะ รวม ๘ รูป เป็นองค์แห่งมหาเถร


สมัยรัตนโกสินทร์ 149 สมาคมตามพระราชบัญญัตินี้ ส่วนคณะอรัญวาสีเป็นอันยกเลิกไปตามพระราชบัญญัตินี้ เพราะวัดน้อยลงจนไม่พอที่จะแยกเป็นคณะหนึ่งต่างหาก ตำแหน่งเจ้าคณะอรัญวาสี จึงมี แต่ชื่อเป็นกิตติมศักดิ์ ไม่มีวัดอยู่ในปกครอง สมณศักดิ์ตามพระราชบัญญัตินี้คือ สมเด็จพระมหาสมณะ หรือสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะผู้ใหญ่ พระราชาคณะสามัญ พระครู เป็นฐานันดรที่ พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้ง แต่เดิมถือกันว่า รวมตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะ ผู้ใหญ่เข้าด้วยกันแล้วให้มีจำนวนไม่เกิน ๘๐ รูปเท่าจำนวนพระอสีติมหาสาวก แต่ในบัดนี้ จำนวนไม่จำกัดเกือบทุกชั้น จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า แต่โบราณมาตำแหน่งสมณศักดิ์ผูกอยู่กับหน้าที่ทาง การปกครอง ยกเว้นสมณศักดิ์สำหรับพระราชวงศ์ สมณศักดิ์ฝ่ายสมถะและสมณศักดิ์ พิเศษเฉพาะบุคคลเท่านั้น ฉะนั้นสมณศักดิ์ชั้นต่างๆ จึงมีเท่าจำนวนของคณะทางการ ปกครอง กล่าวคือ สมณศักดิ์ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ก็มี ๔ รูป เท่ากับจำนวนคณะ คือ เจ้าคณะใหญ่คณะเหนือ เจ้าคณะใหญ่คณะใต้ เจ้าคณะใหญ่ คณะกลาง เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต สมเด็จพระราชาคณะที่ไม่ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่ เรียกว่า สมเด็จพระราชาคณะผู้ช่วย ทรงตั้งเป็นบางคราว เช่น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็น สมเด็จพระราชาคณะผู้ช่วย ในคณะธรรมยุต ในเวลาที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่ เป็นทำนองทรงเตรียมไว้สำหรับเป็นตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตในเวลาต่อไป ในเมื่อไม่มีเจ้านายที่จะดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ตามประเพณีนิยมของคณะธรรมยุตในกาลข้างหน้า พระราชาคณะผู้ใหญ่ทุกชั้น คือ ชั้นเจ้าคณะรอง ชั้นธรรม ชั้นเทพ ชั้นราช ก็มี ชั้นละ ๔ ตำแหน่งเท่าจำนวนคณะ ส่วนพระราชาคณะชั้นสามัญ ซึ่งหมายถึงพระราชาคณะเปรียญ พระราชาคณะ ฝ่ายสมถะ และพระราชาคณะยก (คือท่านที่ไม่ได้เป็นเปรียญแล้วยกขึ้นเป็นพระราชาคณะ ดุจท่านที่เป็นเปรียญ บางทีก็เรียกว่า เปรียญยก) รวมทั้งสมณศักดิ์ฝ่ายพระราชวงศ์ มีจำนวนไม่แน่นอน สุดแต่จะทรงตั้ง


150 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมณศักดิ์นับแต่ต้นมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ จะสังเกตเห็นได้อย่างหนึ่งว่า ตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงนั้น บางครั้งก็ทรงตั้ง บางครั้งก็ไม่ทรงตั้ง เช่น ในรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิต ชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี) เป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสที่สมเด็จพระสังฆราช เมื่อกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่ได้โปรดสถาปนาพระเถระรูปใด ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอีกจนตลอดรัชกาล แม้ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ ก็เช่นกัน บางตำแหน่งก็ว่างอยู่เป็นเวลานานไม่ทรงตั้ง เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรง อธิบายไว้ว่า แต่โบราณมา พระเถระผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งสมเด็จ พระราชาคณะด้วย ปรากฏตามที่สังเกตได้คือทรงตั้ง “เฉพาะบางรูปผู้ทรงคุณพิเศษ เช่น เป็นพระอุปัชฌายะหรือพระอาจารย์ของพระราชา...” หากมิใช่เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ก็ “ทรงเลือกที่เป็นผู้ใหญ่ผู้เฒ่า” กล่าวโดยสรุปก็คือ ท่านผู้จะได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราชนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในทางใดทางหนึ่ง ฉะนั้น ในบางรัชกาลเมื่อหมดท่านที่ดำรงอยู่ในฐานะดังกล่าวแล้ว จึงไม่ทรงสถาปนาพระเถระ รูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราช และไม่ทรงสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะบางตำแหน่ง เช่น ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (นาค) สิ้นพระชนม์ ทรงพระราชดำริสถาปนา พระพิมลธรรม (อู่) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นสมเด็จพระสังฆราช จนโปรดให้อาลักษณ์ ร่างนามที่จะทรงตั้งและกำหนดวันที่จะทรงตั้งแล้ว แต่ทรงพระประชวรเสด็จสวรรคต เสียก่อน จึงยังมิทันได้ทรงตั้ง ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๔ ก็มิได้ทรงสถาปนา พระพิมลธรรม (อู่) เป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่ทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ใน ตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เพราะทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือมาในฐานะเป็นพระบรมวงศ์ ผู้ใหญ่และทรงเป็นครูอาจารย์แห่งราชสกุลวงศ์ เมื่อกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์แล้ว ไม่ทรงสถาปนาท่านผู้ใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกจนตลอดรัชกาล ในรัชกาลที่ ๕ ทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา ปวเรศวริยาลงกรณ์ ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เพราะทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ในพระองค์ เมื่อสมเด็จพระหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์แล้ว ทรงสถาปนา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) เป็นสมเด็จพระสังฆราช เพราะ


สมัยรัตนโกสินทร์ 151 ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระองค์ เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (สา) สิ้นพระชนม์แล้ว ไม่ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราชอีกจนตลอดรัชกาล แม้ว่า ในขณะนั้นจะมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นประธานอยู่ใน สังฆมณฑล ก็ไม่ทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกหรือสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เพราะ ทรงอยู่ในฐานะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ สรุปได้ว่า สมณศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จะแบ่งไว้ดังนี้ พระราชาคณะผู้ใหญ่เดิมมี ๓ ชั้น คือ ๑. พระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง ๒. พระราชาคณะชั้นธรรม ๓. พระราชาคณะชั้นเทพ ตั้งเพิ่มขึ้นอีกคณะหนึ่ง๑ คือ ๔. พระราชาคณะชั้นราช พระราชาคณะสามัญ มี ๓ ประเภท คือ ๑. พระราชาคณะเปรียญ ๒. พระราชาคณะยก๒ ๓. พระราชาคณะสมถะ พระครู มี ๒ ประเภท คือ พระครูในกรุง และ พระครูหัวเมือง พระครูในกรุง มีลำดับดังนี้ ๑. พระครูปลัดของสมเด็จพระมหาสมณะหรือสมเด็จพระสังฆราช และของ สมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ พระราชทานสัญญาบัตรให้ตั้ง ๒. พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง พระราชทานสัญญาบัตรให้ตั้ง และพระครูเจ้าวัดพระอารามหลวง ๑ ศิริธรรม, การปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๑, (พระนคร : ส.ธรรมภักดี, ๒๔๗๖), หน้า ๖๐.๒ พระราชาคณะยก คือ ผู้รู้ปริยัติธรรม แต่มิได้ขึ้นเปรียญหรือที่เรียกว่า เปรียญยก ภายหลังมีท่าน ผู้ไม่รู้ปริยัติธรรมจริงๆ มากขึ้น รัชกาลที่ ๕ จึงทรงแก้ไขลำดับใหม่ คือให้อันดับพระราชาคณะยกเปลี่ยน ลงมาเป็นอันดับที่ ๓ แต่ก็เป็นพระราชาคณะชั้นเดียวกัน


152 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๓. พระครูวิเศษ ถ้ามียศสูงกว่าให้เทียบกับลำดับข้างต้น ๔. พระครูเจ้าวัดอารามราษฎร์ พระครูหัวเมือง มีลำดับดังนี้ ๑. พระครูเจ้าคณะเมืองที่สังฆปาโมกข์๑ ๒. พระครูเจ้าคณะเมือง ชั้นเจ้าคณะรอง และพระครูเจ้าคณะรอง คือพระครูผู้ช่วย ที่ทรงตั้งไว้ในเมืองนั้นๆ ถึงรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในตำแหน่งที่สมเด็จ พระสังฆราช เพราะทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ในพระองค์ ครั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวง ชินวรสิริวัฒน์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เพราะทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระองค์ ระบบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เริ่มเป็นรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นและได้นำมาใช้ถึงปัจจุบันนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัดระเบียบสมณศักดิ์ขึ้นมาใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕๒ พัฒนาไปจากเดิม คือแบ่งสมณศักดิ์ออกเป็นฝ่ายฐานันดร คือยศ และ ฝ่ายตำแหน่ง คือหน้าที่บริหารในการปกครอง ทั้งนี้ ทรงพระดำริว่า ฐานันดรคือยศควรแก่ ท่านผู้ใหญ่ ส่วนตำแหน่งคือหน้าที่นั้นควรแก่ผู้อยู่ในวัยทำงาน ตามทำเนียบสมณศักดิ์ที่ทรงจัดขึ้นใหม่นี้ ทรงแบ่งสมณศักดิ์หรือฐานันดรของ พระภิกษุเป็น ๒๑ ชั้น ดังนี้ สมณศักดิ์ในฝ่ายฐานันดรหรือฝ่ายยศ มีการจัดลำดับไว้ดังนี้ ๑. สมเด็จพระมหาสมณะ (หรือสมเด็จพระสังฆราช) ๒. สมเด็จพระราชาคณะ ๓. พระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร (หรือ เจ้าคณะรอง) พระอุบาลีเข้าในชั้นนี้ ๑ ตำแหน่ง สังฆปาโมกข์ ในรัชกาลที่ ๗ เรื่องสังฆวาหะ ยังคงมีเรียกเฉพาะพระราชาคณะว่า สังฆปาโมกข์ หรือ มหาสังฆปาโมกข์๒ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๔๕), หน้า ๗ - ๑๙.


สมัยรัตนโกสินทร์ 153 ๔. พระราชาคณะชั้นธรรม ๕. พระราชาคณะชั้นเทพ ๖. พระราชาคณะชั้นราช ๗. พระราชาคณะชั้นสามัญ ทั้งฝ่ายบาเรียน๑ ทั้งฝ่ายสมณะ ทั้งฝ่ายยก (ได้แก่ พระราชาคณะเปรียญ พระราชาคณะฝ่ายสมถะ และพระราชาคณะยก) ๘. (ก) พระครู พัดยอด พื้นเยียรบับเย็บ ได้แก่ สังฆปาโมกข์หัวเมือง (ข) พระครู พัดพุดตาน พื้นกำมะหยี่ปัก ชั้นเอก ถือเอาพระครูมีนิตยภัต ๑๒ บาทเป็นเกณฑ์ (ค) พระบาเรียน ๙ ประโยค ๙. (ก) พระครู พัดพุดตาน พื้นกำมะหยี่ปัก ชั้นโท ถือเอาพระครูมีนิตยภัต ๘ บาทเป็นเกณฑ์ (ข) พระบาเรียน ๘ ประโยค ๑๐. (ก) พระครู พัดพุดตาน พื้นกำมะหยี่ปัก ชั้นตรี ถือเอาพระครูมีนิตยภัต ๖ บาท เป็นเกณฑ์ (ข) พระบาเรียน ๗ ประโยค ๑๑. พระครู พัดพุดตาน พื้นเยียรบับเย็บ ได้แก่ เจ้าคณะรองหัวเมือง ๑๒. พระครู พัดพุดตาน พื้นแพรเย็บ ได้แก่ เจ้าคณะแขวงมีราชทินนาม ๑๓. (ก) พระครู พัดพุดตาน พื้นสักหลาดปัก ชั้นเอก ได้แก่ พระครูปลัด ไม่มีชื่อ (ราชทินนาม) (ข) พระบาเรียน ๖ ประโยค ๑๔. (ก) พระครู พัดพุดตาน พื้นสักหลาดปัก ชั้นโท ได้แก่ พระครูวินัยธร พระครู วินัยธรรม (ข) พระบาเรียน ๕ ประโยค ๑๕. (ก) พระครู พัดพุดตาน พื้นสักหลาดปัก ชั้นตรี ได้แก่ พระครูคู่สวด (ข) พระบาเรียน ๔ ประโยค ๑ บาเรียน หมายถึง เปรียญ


154 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑๖. (ก) พระปลัด พัดพุดตาน พื้นเยียรบับเย็บ ได้แก่ ปลัดของพระราชาคณะ สามัญทุกชั้น (ข) พระบาเรียน ๓ ประโยค ๒ ประโยค (รามัญ) ๑๗. (ก) พระครู พัดหน้านาง พื้นสักหลาดปัก ได้แก่ พระครูรองคู่สวด และ พระครูสังฆรักษ์ (ข) พระอาจารย์ พัดพื้นแพรปักเลื่อม ได้แก่ พระผู้อุปการะโรงเรียนหนังสือไทย ๑๘. (ก) พระครู พัดหน้านาง พื้นอัตลัดเย็บ ได้แก่ พระครูเจ้าคณะแขวง ไม่มี ราชทินนาม และพระครูสมุห์ พระครูใบฎีกา (ข) พระฐานานุกรม พัดหน้านาง พื้นอัตลัดเย็บ ได้แก่ พระสมุห์ พระใบฎีกา ๑๙. (ก) พระฐานานุกรม ไม่มีพัดยศ ได้แก่ พระฐานานุกรม ของพระครูเจ้าคณะ หัวเมือง (ข) เจ้าอธิการ ได้แก่ เจ้าคณะหมวดหัวเมือง (ค) พระอุปัชฌายะ ได้แก่ พระอุปัชฌายะไม่มีสมณศักดิ์อื่น ๒๐. พระอธิการ ได้แก่ เจ้าอาวาสไม่มีสมณศักดิ์อื่น ๒๑. พระพิธีธรรม ส่วนตำแหน่งของพระภิกษุแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือตำแหน่งฝ่ายบริหาร กับตำแหน่งฝ่าย ปริยัติซึ่งเทียบกันได้ ดังนี้ สมณศักดิ์ฝ่ายตำแหน่งหรือฝ่ายปกครอง มีการจัดลำดับดังนี้ ๑. สกลสังฆปริณายก คือสมเด็จพระสังฆราช ๒. มหาสังฆนายก หรือเจ้าคณะใหญ่ ๓. สังฆนายก หรือเจ้าคณะรอง ฝ่ายบริหาร ฝ่ายปริยัติ ๔. เจ้าคณะมณฑล คณาจารย์เอก ๕. รองเจ้าคณะมณฑล ๖. เจ้าคณะเมือง (เจ้าคณะแขวงในกรุงเทพ และปลัดคณะนับในชั้นนี้) คณาจารย์โท ๗. รองเจ้าคณะเมือง


สมัยรัตนโกสินทร์ 155 ๘. เจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะหมวดในกรุงเทพ นับในชั้นนี้) คณาจารย์ตรี ๙. รองเจ้าคณะแขวง ๑๐. เจ้าอาวาส อาจารย์ใหญ่ ๑๑. รองเจ้าอาวาส อาจารย์รอง ในสมัยนี้ ตำแหน่งสมเด็จพระมหาสมณะฯ จัดเป็นสมเด็จพระสังฆราช ผู้เป็น ประธานนายกในที่ประชุมมหาเถรสมาคม ตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก บัญชาการคณะ สงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักร ตำแหน่งมหาสังฆนายก คือตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ตำแหน่ง สังฆนายก คือตำแหน่งเจ้าคณะรอง ส่วนทางด้านตำแหน่ง จัดเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายปริยัติ ดังที่กล่าวไว้สำหรับอาจารย์ในฝ่ายปริยัตินี้ ได้แบ่งคณาจารย์ตามความ เหมาะสมเป็น ๔ ประเภท คือ อาจารย์ผู้บอกคัมภีร์ อาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์ อาจารย์ผู้สอน นักธรรมหรือพระธรรมกถึก และอาจารย์ผู้บอกวิปัสสนา ทั้งหมดนี้เรียกว่า อาจารย์ มาจน บัดนี้ นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา กิจการคณะสงฆ์ก็เป็นไปตามระเบียบแบบแผน ส่วนสมณศักดิ์ก็ได้ขยายตำแหน่งมากขึ้นตามลักษณะการปกครองคณะสงฆ์และปริมาณของ พระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมและหน้าที่การงาน พระราชาคณะต่างๆ มีมากขึ้นจากทำเนียบเดิม สมณศักดิ์ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๖) สรุปได้ดังตารางนี้ สมณศักดิ์ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ สมณศักดิ์สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยสุโขทัย สมณศักดิ์มี ๓ ชั้น คือ ๑. พระสังฆราช ๒. ปู่ครู ๓. พระมหาเถระและเถระ ในรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓ สมณศักดิ์ ยึดรูปแบบสมัยอยุธยา แต่ขยายชั้น สังฆราชา (พระราชาคณะ) เป็น ๒ ชั้น คือ ชั้นที่ ๑ พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ แบ่งเป็น ๔ ชั้น คือ สมัยอยุธยา สมณศักดิ์มี ๓ ชั้น คือ ๑. สมเด็จพระสังฆราช ๑. สมเด็จพระสังฆราช ๒. พระพุทธาจารย์ ๒. สังฆราชา ๓. พระพรหมมุนี ๓. พระครู ๔. พระเทพกวี


156 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ สมณศักดิ์ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ สมณศักดิ์สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยธนบุรี สมณศักดิ์คงยึดถือแบบสมัย ชั้นที่ ๒ พระราชาคณะชั้นสามัญ อยุธยาแต่มีการพัฒนาบ้างในรูปแบบราชทินนาม ชั้นยศ และกฎเกณฑ์ พร้อมทั้งวิธีการ ขอพระราชทานสมณศักดิ์ เพื่อความเหมาะสม กับกาลสมัย และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สมัยรัชกาลที่ ๕ ระบบสมณศักดิ์ เหมือนกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพียง แต่เพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ อีก ๑ ชั้น คือ พระราชาคณะชั้นราช และ เพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ อีก ๓ ชั้น คือ ๑. พระราชาคณะเปรียญ ๒. พระราชาคณะยก ๓. พระราชาคณะสมถะ สมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงพัฒนาสมณศักดิ์ โดยแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ ๑. ฝ่ายฐานันดร (ยศ) ๒. ฝ่ายตำแหน่ง ซึ่งแบ่งออกเป็นฝ่าย บริหาร และฝ่ายปริยัติ ทั้งนี้เพื่อความ สะดวกในการบริหารการคณะสงฆ์ ตามทำเนียบสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงจัดขึ้นใหม่เมื่อครั้งรัชกาล ที่ ๖ ดังกล่าวนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สมณศักดิ์ไม่ผูกอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ทางการ คณะสงฆ์ ซึ่งหมายความว่าท่านผู้มีสมณศักดิ์อาจจะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่งทางการ คณะสงฆ์ก็ได้ สุดแต่จะทรงตั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นที่จำนวนพระราชาคณะชั้นต่างๆ มีเพิ่ม ขึ้นไม่จำกัดจำนวน เพราะไม่ถูกจำกัดด้วยตำแหน่งทางการคณะสงฆ์ สมณศักดิ์เป็นเรื่อง ของฐานันดรคือยศ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งหรือพระราชทานสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรด ทำเนียบสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัด ขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๖ นี้ได้ใช้สืบมาจนถึงมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ โดย ยกเลิกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มาใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ในรัชกาลที่ ๘


สมัยรัตนโกสินทร์ 157 แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ระบบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ลักษณะการแต่งตั้งสมณศักดิ์ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม เริ่มแต่การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘ ได้ประกาศสถาปนา สมเด็จพระวันรัตน์ (แพ ติสฺสเทโว) เป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ในวันเดียวกัน กับการเสด็จนิวัตประเทศไทยของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ โดยไม่มีพระราชพิธีสถาปนา และไม่มีพระราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ด้วย เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานพัดยศ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเท่านั้น (กล่าวกันว่า เนื่องจากไม่มีพระราชทินนามสำหรับตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช เมื่อสมเด็จพระสังฆราชจะทรงลงพระนามในเอกสารต่างๆ จึงไม่ทราบ ว่าจะลงพระนามว่าอย่างไร เพราะมีแต่ตำแหน่งแต่ไม่มีชื่อ) เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ถึง พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงได้พระราชทานพระสุพรรณบัตร ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องใน พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๘ นี้ บางปีก็ไม่มีการ พระราชทานเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ อันแสดงให้เห็นว่าราชประเพณีเกี่ยวกับการตั้งสมณศักดิ์ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ จัดการปกครองคณะสงฆ์อนุโลมตามการ ปกครองทางบ้านเมือง คือ มีสังฆสภาคล้ายกับรัฐสภา มีคณะสังฆมนตรีคล้ายกับคณะรัฐมนตรี มีคณะวินัยธรคล้ายกับคณะตุลาการ ตามพระราชบัญญัตินี้ สมเด็จพระสังฆราชปกครอง คณะสงฆ์ทางสังฆสภา ทรงบัญชาคณะสงฆ์ทางคณะสังฆมนตรี ทรงวินิจฉัยอธิการณ์ทาง คณะวินัยธร ในเวลาตั้งพระราชบัญญัตินี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับนี้ ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ต่างๆ เป็นอันยกเลิกไป โดยปริยาย เพราะการปกครองคณะสงฆ์ไม่ได้แบ่งเป็นคณะดังแต่ก่อน แต่แบ่งเป็น ๔ องค์การ คือ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ องค์การสาธารณูปการ แต่ละองค์การ มีสังฆมนตรีว่าการ ด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะจึงไม่ได้ผูกอยู่กับตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ อีกต่อไป เฉพาะในคณะธรรมยุตเท่านั้นที่ยังคงมีสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุตรูปใด


158 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ รูปหนึ่งได้รับยกย่องจากคณะสงฆ์คณะธรรมยุตให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ตามประเพณีนิยมในคณะธรรมยุตสืบมา (เป็นการยกย่องกันเองโดยไม่มีการแต่งตั้งจากทาง ราชการ เพราะไม่มีพระราชบัญญัติหรือกฎหมายรองรับดังแต่ก่อน) ในระหว่างใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ นั้น ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ ยังคงมีเท่าเดิมตามประเพณีนิยมที่เป็นมา โดยแบ่งสัดส่วนเป็นคณะมหานิกาย ๒ รูป ในคณะธรรมยุต ๒ รูป ยกเว้นตำแหน่งพิเศษสำหรับพระราชวงศ์ที่ตั้งเป็นบางคราว คือ ๑. สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ชื่น สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ๒. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ าณวโร ป.ธ.๗) วัดเทพศิรินทราวาส ๓. สมเด็จพระวันรัตน์ (แพ ติสฺสเทโว ป.ธ.๕) วัดสุทัศนเทพวราราม (เมื่อสมเด็จพระวันรัต (แพ) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช โปรด สถาปนาพระพิมลธรรม (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นสมเด็จพระวันรัต) ๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม ธมฺมธโร ป.ธ.๖) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๕. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส ป.ธ.๕) วัดบรมนิวาส พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง โดยประกาศ ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แทนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ นั่นคือการกลับมาใช้การปกครองคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมเหมือนครั้งพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ อีกครั้งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัตินี้ การปกครอง ส่วนกลางรวมกัน ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งออกเป็นหนเหนือ หนใต้ หนตะวันออก และหนกลาง คล้ายกับคณะต่างๆ ในอดีต แต่ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะไม่ได้ผูกอยู่กับ ตำแหน่งเจ้าคณะหน เหมือนตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ดังแต่ก่อน ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะเจ้าคณะรองก็ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของคณะมหา นิกายและของคณะธรรมยุต คณะละเท่าๆ กัน นับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นต้นมา การแต่งตั้งสมณศักดิ์ชั้นสูง คือ ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง เริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิม กล่าวคือ พ.ศ. ๒๕๐๖ เพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองขึ้นคณะละ ๑ ตำแหน่ง คือ - คณะมหานิกาย เพิ่มตำแหน่งพระมหาโพธิวงศาจารย์ ซึ่งโปรดสถาปนาพระมหา โพธิวงศาจารย์ (สำลี อินฺทปชฺโชโต) วัดอนงคาราม เป็นรูปแรก


สมัยรัตนโกสินทร์ 159 - คณะธรรมยุต เพิ่มตำแหน่งพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งโปรดสถาปนาพระมหา รัชมังคลาจารย์ (เทศก์ นิทฺเทสโก) วัดสัมพันธวงศาราม เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๑๐ เพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง ในคณะธรรมยุตอีก ๑ ตำแหน่ง คือ พระธรรมปัญญาจารย์ (จับ ิตธมฺโม ป.ธ.๙) วัดโสมนัสวิหาร เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๑๑ เพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง ในคณะมหานิกายอีก ๑ ตำแหน่ง คือ พระวิสุทธิวงศาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ ป.ธ.๖) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็น รูปแรก พ.ศ.๒๕๑๕ เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะขึ้นอีกคณะละ ๑ ตำแหน่ง คือ - คณะธรรมยุต โปรดสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน ป.ธ.๙) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นรูปที่ ๒ ในยุครัตนโกสินทร์ - คณะมหานิกาย โปรดสถาปนาสมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณโก ป.ธ.๙) วัดจักรวรรดิราชาวาส เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๑๖ เพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองขึ้นอีก ๕ ตำแหน่ง ในคณะมหานิกาย ๓ ตำแหน่ง คณะธรรมยุต ๒ ตำแหน่ง คือ - พระวิสุทธาธิบดี (ไสว ิตวีโร ป.ธ.๗) วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นรูปแรก - พระพุทธพจน์วราภรณ์ (ทองเจือ จินฺตากโร ป.ธ.๖) วัดราชบพิธ เป็นรูปแรก - พระพุทธิวงศมุนี (สุวรรณ สุวณฺณโชโต ป.ธ.๗) วัดเบญจมบพิตร เป็นรูปแรก - พระญาณวโรดม (สนธิ์ กิจฺจกาโร ป.ธ.๕) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นรูปแรก - พระพรหมคุณาภรณ์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) วัดสระเกศ เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๓๒ โปรดสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกล มหาสังฆปริณายก และโปรดให้สถาปนาสมเด็จพระราชาคณะเพิ่มขึ้นอีก ๓ ตำแหน่ง พร้อมทั้งเพิ่มตำแหน่งพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองอีก ๕ ตำแหน่ง ดังนี้ คณะมหานิกาย โปรดสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ ๑ รูป พระราชาคณะชั้น เจ้าคณะรอง ๓ รูปคือ - สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต ป.ธ.๗) วัดเบญจมบพิตร เป็นรูปแรก - พระพุทธวรญาณ (กิตติ กิตฺตินินฺโท ป.ธ.๘) วัดกวิศราราม จังหวัดลพบุรี เป็น รูปแรก


160 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๔๐ ข, ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒, หน้า ๓. - พระสุเมธมังคลาจารย์ (อมร อมรปญฺโ ป.ธ.๗) วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัด ลำพูน เป็นรูปแรก - พระสุเมธาธิบดี (บุญเลิศ ทตฺตสุทฺธิ ป.ธ.๘) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็น รูปแรก คณะธรรมยุต โปรดสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ ๒ รูป และพระราชาคณะชั้น เจ้าคณะรอง ๒ รูป คือ - สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร ป.ธ.๖) วัดราชบพิธ เป็นรูปแรก - สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชฺโชโต ป.ธ.๙) วัดนรนาถสุนทริการาม เป็น รูปแรก - พระสุธรรมาธิบดี (เพิ่ม อาภากโร ป.ธ.๙) วัดราชาธิวาส เป็นรูปแรก - พระอุดมญาณโมลี (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) วัดสัมพันธวงศาราม เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๓๕ โปรดสถาปนาสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม านิสฺสโร ป.ธ.๙) วัดชนะสงคราม เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๓๘ โปรดสถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโ ป.ธ.๙) วัดปากนํ้า เป็นรูปแรก พ.ศ. ๒๕๔๖ โปรดสถาปนาสมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ.๙) วัดเทพศิรินทราวาส เป็นรูปแรก ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ เพิ่มอีก ๒ ตำแหน่ง ดังนี้ พ.ศ. ๒๕๖๒ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายมหานิกาย คือ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี๑ (ธงชัย ธมฺมธโช ป.ธ.๖) วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นรูปแรก


สมัยรัตนโกสินทร์ 161 ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์, เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๑ ข, ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓, หน้า ๑ - ๒. สมเด็จพระญาณวโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) มรณภาพ วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓๒ รูปแรก : พระธรรมธีรราชมหามุนี (ชื่น) ว่าที่พระพนรัตน วัดหงส์รัตนาราม๓ รูปแรก : สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค เปรียญเอก) วัดระฆังโฆสิตาราม๔ รูปแรก : สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอมรินทราราม๕ รูปแรก : สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ชื่น สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร๖ รูปแรก : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อู่) วัดสุทัศนเทพวราราม เจ้าคณะใหญ่คณะเหนือ๗ รูปแรก : สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ยัง เขมาภิรโต ป.ธ.๘) วัดโสมนัสวิหาร๘ รูปแรก : สมเด็จพระญาณสังวร (สุก าณสํวโร) วัดราชสิทธาราม๙ รูปแรก : สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณโก ป.ธ.๙) วัดจักรวรรดิราชาวาส พ.ศ. ๒๕๖๓ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายธรรมยุต คือ สมเด็จพระญาณวชิโรดม๑ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) วัดธรรมมงคลเถาบุญญนนทวิหาร เป็นรูปแรก นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะมีจำนวนทั้งสิ้น ๘ รูป แบ่งเป็นคณะมหานิกาย ๔ รูป คณะธรรมยุต ๔ รูป (ไม่นับรวมตำแหน่งสมเด็จ พระสังฆราช) แต่ในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๖๔) ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะมีจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ รูป แบ่งเป็นคณะมหานิกาย ๕ รูป คณะธรรมยุต ๕ รูป ส่วนนิกายไหนจะดำรงตำแหน่งใด สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา รายนามสมเด็จพระราชาคณะ สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีดังนี้ ๑. สมเด็จพระวันรัต๒ ๒. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์๓ ๓. สมเด็จพระพุฒาจารย์๔ ๔. สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์๕ ๕. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ๖ ๖. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์๗ ๗. สมเด็จพระญาณสังวร๘ ๘. สมเด็จพระธีรญาณมุนี๙


162 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๙. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์๑ ๑๐. สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี๒ ๑๑. สมเด็จพระมหามุนีวงศ์๓ ๑๒. สมเด็จพระมหาธีราจารย์๔ ๑๓. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์๕ ๑๔. สมเด็จพระญาณวโรดม๖ ๑๕. สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี๗ ๑๖. สมเด็จพระญาณวชิโรดม๘ ส่วนตำแหน่งพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองนั้นโปรดสถาปนาเพิ่มขึ้นทั้งในคณะ มหานิกายและในคณะธรรมยุตโดยไม่มีจำนวนแน่นอน สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรด สถาปนา พระราชาคณะชั้นอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ๘.๔ ประเภทของสมณศักดิ์ สมณศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานตั้งและเลื่อนถวาย แด่พระสงฆ์ กล่าวโดยสรุปมี ๒ ประเภท๙ คือ ๘.๔.๑ สมณศักดิ์เกี่ยวกับความรู้ สมณศักดิ์เกี่ยวกับความรู้ คือ สมณศักดิ์ที่ถวายแด่พระภิกษุสามเณรที่ศึกษา พระปริยัติธรรม แผนกบาลี หมายถึง ทรงตั้งถวายเฉพาะพระภิกษุสามเณรผู้สอบได้ ๑ รูปแรก : สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต ป.ธ.๗) วัดเบญจมบพิตร๒ รูปแรก : สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร ป.ธ.๖) วัดราชบพิธ ๓ รูปแรก : สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชฺโชโต ป.ธ.๙) วัดนรนาถสุนทริการาม๔ รูปแรก : สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม านิสฺสโร ป.ธ.๙) วัดชนะสงคราม๕ รูปแรก : สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโ ป.ธ.๙) วัดปากนํ้า๖ รูปแรก : สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ.๙) วัดเทพศิรินทราวาส๗ รูปแรก : สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโร ป.ธ.๖) วัดไตรมิตรวิทยาราม๘ รูปแรก : สมเด็จพระญาณวโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) วัดธรรมมงคลเถาบุญญนนทวิหาร๙ แสวง อุดมศรี, ศึกสมเด็จ, (กรุงเทพมหานคร : อมรการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๗.


สมัยรัตนโกสินทร์ 163 เปรียญธรรมตั้งแต่ ๓ - ๙ ประโยค เรียกว่า “ทรงตั้งเปรียญ” แต่ละประโยคมีพัดยศเป็น เครื่องกำกับ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรผู้สอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค และ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะนิมนต์ให้เข้ารับ พัดยศและประกาศนียบัตรจากพระมหากษัตริย์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ก่อนวันวิสาขบูชา ๑ วัน เป็นประจำทุกปี ๘.๔.๒ สมณศักดิ์เกี่ยวกับผลงาน สมณศักดิ์เกี่ยวกับผลงาน คือ สมณศักดิ์ที่ถวายแด่พระสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ บ้านเมืองและการพระศาสนา พระสังฆาธิการรูปใดมีความเหมาะสมที่จะได้รับพระราชทาน ตั้งและเลื่อนให้ดำรงสมณศักดิ์ชั้นใด เจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์จะเป็นผู้เสนอรายชื่อ พระสังฆาธิการเหล่านั้นขึ้นไปตามลำดับชั้นการปกครองจนถึงมหาเถรสมาคม มหาเถร สมาคมจะเป็นผู้พิจารณาเบื้องต้นจนกระทั่งได้รับพระกรุณาโปรดพระราชทานตั้งและ เลื่อนให้ดำรงสมณศักดิ์ชั้นต่างๆ ซึ่งสมณศักดิ์ประเภทนี้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ พระครู สัญญาบัตร (พระครูชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ) และพระราชาคณะ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๖ ชั้น คือ พระราชาคณะชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ และสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ แต่ละชั้นมีพัดยศเป็นเครื่องกำหนด ๘.๕ ลำ�ดับชั้นสมณศักดิ์ สมณศักดิ์ว่าโดยประเภทมี ๗ คือ ๑. สมเด็จพระราชาคณะ ๒. พระราชาคณะ ๓. พระครูสัญญาบัตร ๔. ฐานานุกรม ๕. เปรียญ ๖. ประทวนสมณศักดิ์ และ ๗. พระพิธีธรรม ๘.๕.๑ สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ เป็นชื่อประเภทแห่งสมณศักดิ์ คำว่า “สมเด็จพระ” เป็น คำนำหน้าราชทินนาม คำว่า “สมเด็จ” เป็นคำยกย่องที่พระมหากษัตริย์โปรดพระราชทาน สมัยสุโขทัยไม่ปรากฏคำนี้ แม้พระนามของพระมหากษัตริย์ก็มิได้มีคำว่า “สมเด็จ” นำหน้า สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นลำดับมานิยมใช้คำนี้ และปรากฏว่ามีสมเด็จพระราชาคณะติดต่อกัน มาจนถึงปัจจุบัน เดิมสมเด็จพระราชาคณะเป็นตำแหน่งพระสังฆาธิการชั้นเจ้าคณะใหญ่ มาตลอด จนถึงสมัยใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ตำแหน่งสมเด็จ


164 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชาคณะ จึงแยกจากตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ชั้นสูง แต่ในปัจจุบันสมเด็จ พระราชาคณะเป็นตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคมและ สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระราชาคณะโดยประเภทแยกเป็น ๒ คือ (๑) สมเด็จพระสังฆราช (๒) สมเด็จพระราชาคณะ (๑) สมเด็จพระสังฆราช คือตำแหน่งประมุขสงฆ์หรือตำแหน่งพระสังฆบิดร มิใช่ เป็นพระนามของประมุขสงฆ์ ส่วนนามของพระประมุขสงฆ์ที่ผ่านมานั้น ถ้าเป็นพระบรม วงศานุวงศ์หรือราชวงศ์จะมีพระนามต่างกันตามที่ทรงสถาปนา ถ้ามิใช่พระบรมวงศ์จะมี พระนามอย่างเดียวกันทุกพระองค์ คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระราชทาน พิเศษบ้างบางพระองค์ เช่น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชเป็นสมณศักดิ์ชั้นสุพรรณบัฏพิเศษ ผู้ดำรงพระอิสริยยศ ชั้นนี้ แม้มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ก็ทรงใช้ราชาศัพท์ การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้มีพระราชพิธีจารึกพระนามในพระสุพรรณบัฏ และทรงพระกรุณา โปรดให้จัดพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรม มหาราชวัง สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ มหาเถรสมาคม ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์มีคำเรียกโดยลักษณะที่ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนามี ๓ อย่าง คือ ๑. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า คือ พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ได้รับมหาสมณุตมา ภิเษกสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ทรงเศวตฉัตรลายทอง ๕ ชั้น มี ๓ พระองค์ คือ (๑) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้า วาสุกรี) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๗ (๒) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้า ฤกษ์) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๘


สมัยรัตนโกสินทร์ 165 (๓) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้า มนุษยนาคมานพ ป.๕) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๐ ๒. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เป็นพระอิสริยยศของพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ได้รับ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ทรงฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น มี ๔ พระองค์ คือ ​​(๑) พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (สิริวฑฺฒโน หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท ป.๕) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๑ พระองค์เป็นพระอนุวงศ์เพียงพระองค์ เดียวที่ดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้รับพระราชทาน เศวตฉัตรลายทอง ๕ ชั้น ​​ (๒) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์๑ (สุจิตฺโต หม่อมราชวงศ์ ชื่น นภวงศ์ ป.๗) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๓ ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เมื่อคราว ทรงผนวชในปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาขึ้น เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้รับพระราชทานฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น นับเป็นครั้งแรกที่มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชที่มาจากสามัญชน ขึ้นทรงกรม ​​ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า๒ ๒ พระองค์ ได้แก่ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ สถาปนาพระสังฆราชขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวง, เล่ม ๗๔, ตอน ๖ ก ฉบับพิเศษ, ๑๒ มกราคม ๒๕๐๐, หน้า ๒๑ - ๒๖.๒ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ เรื่อง สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า, เล่ม ๑๓๖, ตอน ๔๐ ข,๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒, หน้า ๑ - ๓.


166 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ​​(๓) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสน์ วาสโน ป.ธ.๔) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๘ ทรงเป็น พระราชอุปัธยาจารย์ในรัชกาลที่ ๑๐ ได้รับพระราชทานฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น ​​(๔) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน ป.ธ.๙) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ ทรงเป็น พระราชกรรมวาจาจารย์ในรัชกาลที่ ๑๐ ได้รับพระราชทานฉัตร ตาดเหลือง ๕ ชั้น ๓. สมเด็จพระสังฆราช คือ พระมหาเถระผู้ที่มิใช่พระบรมวงศานุวงศ์ ทรง เศวตฉัตร ๓ ชั้น มี ๑๓ พระองค์ คือ (๑) สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑ (๒) สมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สมเด็จ พระสังฆราช พระองค์ที่ ๒ (๓) สมเด็จพระอริยวงษญาณ ปริยัติวราสังฆราชาธิบดี ศรีสมณุตปริณายก ตรีปิฎกธราจารย์ สฤทธิขัติยสารสุนทร มหาคณฤกษรทักษิณาสฤทธิ สังฆคามวาสี อรัญวาสี เป็นประธานฐานาทุกคณะนิกรจัตุพิธบรรพสัท วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สมเด็จพระสังฆราช (มี) พระองค์ที่ ๓ (๔) สมเด็จพระอริยวงษญาณ อดิศรสังฆเถรา สัตวิสุทธิจริยาปริณายก สปิฎกธรามหาอุดมศีล อนันต์อรัญวาสี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สมเด็จพระสังฆราช (สุก าณสํวโร) พระองค์ที่ ๔ (๕) สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สมเด็จ พระสังฆราช พระองค์ที่ ๕ (๖) สมเด็จพระอริยวงษญาณ ปริยัติวราสังฆราชาธิบดี ศรีสมณุตปริณายก สฤษดิขัติยสารสุนทร มหาคณฤทศรทักษิณาสฤษดิสังฆะคามวาสี อรัญวาสี เป็นประธานฐานาทุกคณานิกร จตุพิธบรรพสัช วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) พระองค์ที่ ๖


สมัยรัตนโกสินทร์ 167 (๗) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (สา ปุสฺสเทโว ป.๙) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๙ (๘) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (แพ ติสฺสเทโว ป.๕) วัดสุทัศนเทพวราราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๒ (๙) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (ปลด กิตฺติโสภโณ ป.๙) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๔ (๑๐) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (อยู่ าโณทโย ป.๙) วัดสระเกศ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๕ (๑๑) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (จวน อุฏฺายี ป.ธ.๙) วัดมกุฏกษัตริยาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๖ (๑๒) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (ปุ่น ปุณฺณสิริ ป.ธ.๖) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๗ (๑๓) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก (อัมพร อมฺพโร ป.ธ.๖) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จ พระสังฆราช พระองค์ที่ ๒๐๑ พิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีมาโดยลำดับตั้งแต่ พระองค์ที่ ๑ จนถึงพระองค์ที่ ๒๐ นั้น มี ๒ ลักษณะ คือ ๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ โปรดสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรม มหาราชวัง


168 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระบรมราชโองการ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๗ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร


สมัยรัตนโกสินทร์ 169 พระสัญญาบัตร สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๗ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร


Click to View FlipBook Version