320 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ _________. แจ้งความสำ นักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์. เล่ม ๖๕ ตอนที่ ๗๑ ง. ๗ ธันวาคม ๒๔๙๑. _________. ประกาศ แต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม. เล่ม ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๒๕๕ ง. ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๒. _________. ประกาศ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์. เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๓ ข. ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓. _________. ประกาศ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์. เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๒ ข. ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔. _________. ประกาศ มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๔๗ เรื่อง การแต่งตั้งคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช. เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๗๙ ง. วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗. _________. ประกาศ เรื่อง พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์. เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๒๐ ข. ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓. _________. ประกาศ เรื่อง สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า. เล่ม ๑๓๖ ตอน ๔๐ ข. ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒. _________. ประกาศ สถาปนาสมณศักดิ์. เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๔๐ ข. ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒. _________. ประกาศ สถาปนาสมณศักดิ์. เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๑ ข. ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓. _________. ประกาศ สถาปนาสมณศักดิ์. เล่ม ๑๓๗ ตอนที่ ๓๓ ข. ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า. เล่ม ๓๘ ตอน ๐ ก. ๑๒ เมษายน ๒๔๖๔. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะ. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๘๐ ตอนที่ ๔๕. ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๐๖. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๖๓. ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒.
สมัยรัตนโกสินทร์ 321 _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๗๒ ตอนที่ ๑๐๒. ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๘. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๗๗ ตอนที่ ๓๘. ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๓. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๘๙ ตอนที่ ๑๑๔. ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๕. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๙๑ ตอนที่ ๑๐๖. ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๗. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. ตอนที่ ๖๓ เล่ม ๑๐๖. วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒ _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๖๓. ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒. _________. ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช. เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๕ ข. ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐. _________. ประกาศ สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช. เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๓ ง. วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๗. _________. ประกาศในการตั้งตำแหน่งพระสงฆ์. เล่ม ๑๐. _________. พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนกิจการบริหาร และอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕. เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๑๐๒ ก. ๘ ตุลาคม ๒๕๔๕. _________. พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕. เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๑๐๒ ก. ๘ ตุลาคม ๒๕๔๕. _________. พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์. เล่ม ๔๓ ตอน ๐ ง. ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๙.
322 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ _________. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕. เล่ม ๑๐๙ ตอนที่ ๑๖. ๔ มีนาคม ๒๕๓๕. _________. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐. เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๒ ก. ๖ มกราคม ๒๕๖๐. _________. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑. เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก. ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑. _________. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕. ฉบับพิเศษ. เล่ม ๗๙ ตอนที่ ๑๕. ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕. _________. รายนามพระสงฆ์ที่รับพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์. เล่ม ๔๔ ตอน ๐ ง. ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๐. ราชบัณฑิตยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๑. กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๐. _________. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖. เลขาธิการมหาเถรสมาคม, สำ นักงาน. มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๕/๒๕๔๕ เรื่อง ขอหารือ กรณีพระเปรียญลาสิกขาแล้วอุปสมบทใหม่, เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม. _________. คู่มือพระสังฆาธิการ (พ.ศ. ๒๕๕๙). กรุงเทพมหานคร : สำ นักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๕๙. วัดบวรนิเวศวิหาร. จดหมายเหตุพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระ สังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก. กรุงเทพมหานคร : วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๕๕. _________. พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๙ พระองค์. กรุงเทพมหานคร : วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๕๒. วิชิตวงษ์วุฒิไกร, เจ้าพระยา. ตำ นานพระอาราม แล ทำ เนียบสมณศักดิ. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๓. (คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พิมพ์ซํ้าตามต้นฉบับที่จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ และเพิ่มเติมตราตำแหน่งสมณศักดิ์ เป็นที่ระลึกเนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ ทรง พระกรุณาโปรดสถาปนา พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร) พระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม)
สมัยรัตนโกสินทร์ 323 วิเชียร อากาศฤกษ์ และ สุนทร สุภูตะโยธิน. ประวัติสมณศักดิ์และพัดยศ. กรุงเทพมหานคร : ศรีอนันต์, ๒๕๒๘. ศิริธรรม. การปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๑. พระนคร : ส.ธรรมภักดี, ๒๔๗๖. สมบูรณ์ สุขสำ ราญ. พุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗. สมโภชหิรัณยบัฏ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปัญญา อินฺทปญฺโ ป.ธ.๖) วัดไร่ขิง อำ เภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม. กรุงเทพมหานคร : จงเจริญการพิมพ์, ๒๕๔๐. สำ เนาหนังสือร้องเรียนและบันทึกคำ ชี้แจงประกอบหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๘. สิริวัฒน์ คำวันสา และ ทองพรรษ์ ราชภักดิ์. พระสงฆ์ไทยใน ๒๐๐ ปี เล่ม ๑. กรุงเทพมหานคร : ศรีอนันต์การพิมพ์, ๒๕๒๔. สุนทร สุภูตะโยธิน. คู่มือสมณศักดิ์สำ หรับผู้บริหาร. กรุงเทพมหานคร : กรังปรีซ์ อินเตอร์ เนชั่นแนล, ๒๕๔๐. เสถียร โพธินันทะ, พระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย, กรุงเทพมหานคร : สภาการ ศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๐๐. แสวง อุดมศรี. การปกครองคณะสงฆ์ไทย. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ม.ป.ป. _________. ประมวลกฎหมายคณะสงฆ์ (โรเนียวพริ้นเตอร์). กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬา บรรณาคาร, ๒๕๕๐. _________. ศึกสมเด็จ. กรุงเทพมหานคร : อมรการพิมพ์, ๒๕๒๘. _________. สมณศักดิ์ ’๓๐. กรุงเทพมหานคร : ประยูรวงศ์, ๒๕๓๐. อัธยา โกมลกาญจน. พุทธศาสนาบนแผ่นดินไทย. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๕. https://th.wikipedia.org/wiki/ฐานานุกรม สืบค้นวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕. https://th.wikipedia.org/wiki/สมณศักดิ์ สืบค้นวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕.
ภาคผนวก
พระราชกฤษฎีกา โอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และ พระราชกฤษฎีกา แก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕
328 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชกฤษฎีกา โอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕* ————————— ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรโอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็น ไปตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ *ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๑๐๒ ก วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๕ หน้า ๑ - ๖๕
สมัยรัตนโกสินทร์ 329 มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและ อำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕” มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม เป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ หมวด ๑ การโอนกิจการบริหาร มาตรา ๔ ให้โอนบรรดากิจการ อำ นาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำ ลังของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาเป็นของส่วนราชการ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามที่บัญญัติในหมวดนี้ ฯลฯ
330 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ส่วนที่ ๑๕ กระทรวงวัฒนธรรม มาตรา ๑๑๙ ให้โอนบรรดากิจการ อำ นาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะที่เกี่ยวกับ ส่วนราชการดังต่อไปนี้ มาเป็นของสำ นักงานรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม (๑) กรมการศาสนา เฉพาะที่เกี่ยวกับสำ นักงานพุทธมณฑล (๒) กรมศิลปากร เฉพาะ (ก) สำ นักงานเลขานุการกรม (ข) สำ นักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (๓) สำ นักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เฉพาะที่เกี่ยวกับกองเอกชน สัมพันธ์ ทั้งนี้ ให้โอนบางส่วนตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ มาตรา ๑๒๐ ให้โอนบรรดากิจการ อำ นาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะที่เกี่ยวกับ ส่วนราชการดังต่อไปนี้ มาเป็นของสำ นักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (๑) สำ นักงานปลัดกระทรวง เฉพาะ (ก) กองนิติการ (ข) ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ในส่วนของสำ นักงานศึกษาธิการจังหวัด เฉพาะที่เกี่ยวกับฝ่ายส่งเสริมการศาสนาและวัฒนธรรม และสำ นักงานศึกษาธิการอำ เภอ เฉพาะที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (๒) กรมการศาสนา เฉพาะ (ก) หน่วยตรวจสอบภายใน (ข)สำ นักงานเลขานุการกรม (ค)กองแผนงาน (ง) กองศาสนศึกษา
สมัยรัตนโกสินทร์ 331 (๓) กรมศิลปากร เฉพาะ (ก) สำ นักงานเลขานุการกรม (ข) กองคลัง (ค) กองการเจ้าหน้าที่ (ง) กองแผนงาน (จ) สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ (ฉ) สถาบันศิลปกรรม (ช) หอสมุดแห่งชาติ (๔) สำ นักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เฉพาะ (ก) กองกลาง (ข) กองกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม (ค) กองนโยบายและแผนวัฒนธรรม (ง) กองวัฒนธรรมสัมพันธ์ต่างประเทศ (จ) กองเอกชนสัมพันธ์ (ฉ) สถาบันวัฒนธรรมศึกษา กรณีตาม (๑) (ก) และ (๒) ถึง (๔) ให้โอนบางส่วนตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ มาตรา ๑๒๑ ให้โอนบรรดากิจการ อำ นาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนของกรม การศาสนา ยกเว้นที่โอนไปเป็นของสำ นักงานรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม สำ นักงานปลัด กระทรวงวัฒนธรรม และสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาเป็นของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ให้โอนบางส่วนตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ฯลฯ
332 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ส่วนที่ ๒๐ สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาตรา ๑๕๙ ให้โอนบรรดากิจการ อำ นาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนของกรม การศาสนา เฉพาะที่เกี่ยวกับส่วนราชการดังต่อไปนี้ มาเป็นของสำ นักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ (๑) ราชการส่วนกลาง ยกเว้นส่วนที่โอนไปเป็นของกรมการศาสนา กระทรวง วัฒนธรรม (๒) หน่วยตรวจสอบภายใน ยกเว้นส่วนที่โอนไปเป็นของสำ นักงานปลัดกระทรวง วัฒนธรรม และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (๓) สำ นักงานเลขานุการกรม ยกเว้นส่วนที่โอนไปเป็นของสำ นักงานปลัด กระทรวงวัฒนธรรม และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (๔) กองแผนงาน ยกเว้นส่วนที่โอนไปเป็นของสำ นักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (๕) กองพุทธศาสนสถาน (๖) กองศาสนศึกษา ยกเว้นส่วนที่โอนไปเป็นของสำ นักงานปลัดกระทรวง วัฒนธรรม และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (๗) สำ นักงานพุทธมณฑล ยกเว้นส่วนที่โอนไปเป็นของสำ นักงานรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม (๘) สำ นักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม (๙) สำ นักงานศาสนสมบัติ มาตรา ๑๖๐ นอกจากการโอนอำ นาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้แจ้งชัดที่อื่น ให้โอนอำ นาจ หน้าที่ของรัฐมนตรีในการดำ เนินการเกี่ยวกับกฎหมายดังต่อไปนี้ มาเป็นของนายกรัฐมนตรี (๑) พระราชบัญญัติกำ หนดวิทยฐานะผู้สำ เร็จวิชาการพระพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๒๗ (๒) พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (๓) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ (๔) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐
สมัยรัตนโกสินทร์ 333 หมวด ๒ ผลและเงื่อนไขการโอนอำ นาจหน้าที่ มาตรา ๑๖๑ บรรดาอำ นาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือคำสั่งใดของส่วนราชการหรือของส่วนหนึ่งส่วนใดของส่วน ราชการที่โอนมา หรือของรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และผู้ดำ รงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของ ส่วนราชการหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของส่วนราชการที่โอนมาดังกล่าว ให้โอนมาเป็นอำ นาจ หน้าที่ของส่วนราชการที่รับโอน หรือของรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และผู้ดำ รงตำแหน่งหรือผู้ซึ่ง ปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการที่รับโอนดังกล่าว แล้วแต่กรณี บรรดาบทบัญญัติของกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งใดที่อ้าง ถึงส่วนราชการหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของส่วนราชการที่โอนมา หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และผู้ ซึ่งดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของส่วนราชการ ที่โอนมาดังกล่าว ให้ถือว่าอ้างถึงส่วนราชการที่รับโอน หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และผู้ดำ รง ตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการที่รับโอนดังกล่าว แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๖๒ รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการที่รับโอนอาจมีหนังสือกำ หนด เงื่อนไขให้รัฐมนตรีและผู้ดำ รงตำ แหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการที่ถูกโอน อำ นาจหน้าที่ไป ยังคงใช้อำ นาจหน้าที่เดิมต่อไปได้ หรือปลัดกระทรวงหรืออธิบดีของส่วน ราชการที่รับโอน อาจมีหนังสือกำ หนดเงื่อนไขให้ผู้ดำ รงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของ ส่วนราชการที่ถูกโอนอำ นาจหน้าที่ไป ยังคงใช้อำ นาจหน้าที่เดิมต่อไป มาตรา ๑๖๓ ให้เรียกหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น กรมว่า ผู้อำ นวยการ เว้นแต่ที่มีกฎหมายกำ หนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำ รวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
334 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการตรา พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้ยุบเลิกกระทรวง ทบวง กรม ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเดิมทั้งหมด แล้วจัดตั้งขึ้นใหม่และมีการโอนภารกิจจากกระทรวง ทบวง กรมเดิมไปอยู่ในกระทรวง ทบวง กรมใหม่ ตามที่กำ หนดในพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้ง มีการกำ หนดภารกิจของกระทรวงตามกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ได้มีการกำ หนดชื่อหน่วยงาน ขึ้นใหม่ตามภารกิจใหม่สำ หรับภารกิจที่รับโอนมาอีกด้วย ซึ่งพระราชบัญญัตินี้ได้กำ หนดให้ตรา พระราชกฤษฎีกาขึ้นเพื่อกำ หนดรายละเอียดการโอนบรรดากิจการ อำ นาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของส่วนราชการในกระทรวง ทบวง กรมเดิมที่ถูกยุบเลิกไปเป็นของกระทรวง ทบวง กรมใหม่ และพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังบัญญัติให้มีการกำ หนดเงื่อนไขให้ผู้มีอำ นาจหน้าที่เดิมสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ เพื่อให้งาน ต่อเนื่องมิให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน จึงจำ เป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ เพื่อกำ หนดการ ดังกล่าวให้เป็นไปตามความประสงค์ของกฎหมาย
สมัยรัตนโกสินทร์ 335 *ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๑๐๒ ก วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๕ หน้า ๖๖ - ๘๕. พระราชกฤษฎีกา แก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕* ————————— ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของ ส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๔๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
336 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้ สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕” มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ เพื่อให้สอดคล้องกับการโอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วน ราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราช กฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้แก้ไขบทบัญญัติของกฎหมาย ให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติใน พระราชกฤษฎีกานี้ ฯลฯ มาตรา ๔๒ ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้แก้ไขคำว่า “กระทรวง ศึกษาธิการ” และ “กรมการศาสนา” เป็น “สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” คำ ว่า “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” เป็น “นายกรัฐมนตรี” และคำว่า “อธิบดีกรมการ ศาสนา” เป็น “ผู้อำ นวยการสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” ฯลฯ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำ รวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
สมัยรัตนโกสินทร์ 337 หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่ ซึ่งได้ มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม นั้นแล้ว และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ บัญญัติให้โอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐมนตรีผู้ดำ รงตำ แหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ใน ส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่ โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่างๆ ให้สอดคล้อง กับอำ นาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย ฉะนั้น เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติ และพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอน ส่วนราชการ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมาย โอนอำ นาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตาม กฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการ เปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี ผู้ดำ รงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับ การโอนอำ นาจหน้าที่ และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัด โอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่ รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิก แล้ว ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำ เป็นต้องตรา พระราชกฤษฎีกานี้
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑
340 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ *ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๒ ก วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ หน้า ๑ - ๒. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐* ————————— สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำ แนะนำ และ ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุ เบกษาเป็นต้นไป
สมัยรัตนโกสินทร์ 341 มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน “มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้ นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ตามโบราณราชประเพณีที่ ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น เป็นพระราชอำ นาจของพระมหากษัตริย์ในการสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในมาตรา ๕ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นต้นมา สมควรบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้องเพื่อเป็นการ สืบทอดและธำ รงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีดังกล่าว โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับ สนองพระบรมราชโองการ จึงจำ เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
342 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑* ---------------------- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำ หน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุ เบกษาเป็นต้นไป *ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ หน้า ๑ - ๔.
สมัยรัตนโกสินทร์ 343 มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไป นี้แทน “มาตรา ๕ ตรี เพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตลอดจนการดูแล การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้เกิด การพัฒนาจิตใจและปัญญา และมีการรักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ให้เป็นไปอย่าง ถูกต้องดีงามโดยเคร่งครัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป พระมหากษัตริย์ จึงทรงไว้ซึ่งพระราชอำ นาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุ ในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมตามพระราชบัญญัตินี้” มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคเจ็ดของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ “ความในมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนพระราชอำ นาจที่จะทรงพระกรุณาโปรด หรือมีพระราชวินิจฉัยให้ปฏิบัติเป็นประการอื่น” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๒ มหาเถรสมาคมประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่เกินยี่สิบรูป ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรง แต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันควร และมี จริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสมแก่การปกครองคณะสงฆ์ การแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งและการดำ เนินการตามมาตรา ๑๕ (๔) และวรรคสอง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้” มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่ง คราวละสองปี และอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้”
344 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๔ กรรมการมหา เถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้ออก ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ พระมหากษัตริย์อาจ ทรงแต่งตั้งพระภิกษุตามมาตรา ๑๒ รูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรคสองให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลือ อยู่ของผู้ซึ่งตนแทน” มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๕ ทวิ พระบรมราชโองการตามมาตรา ๑๐ วรรคเจ็ด การแต่งตั้งกรรมการ มหาเถรสมาคมตามมาตรา ๑๒ และการให้กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งตาม มาตรา ๑๕ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๐/๑ เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๐/๒ การแต่งตั้งและการกำ หนดอำ นาจหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม”
สมัยรัตนโกสินทร์ 345 มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ “มาตรา ๒๐/๒ การแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาค หากมี พระราชดำ ริเป็นประการใด ให้ดำ เนินการไปตามพระราชดำ รินั้น สำ หรับการแต่งตั้งและถอดถอนพระภิกษุผู้ดำ รงตำ แหน่งปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งอื่น ให้ดำ เนินการไปตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่จะมีพระราชดำริเป็นประการอื่น” มาตรา ๑๑ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งดำ รงตำ แหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ยังคงดำ รงตำแหน่งต่อไป จนกว่าพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้ง กรรมการมหาเถรสมาคมขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก และตามโบราณราชประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น พระมหากษัตริย์ ทรงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมทั้งทรงทำ นุบำ รุงสังฆมณฑลให้เจริญมั่นคงเป็น ไปตามแบบแผนอันเรียบร้อยตลอดมา เพื่อให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองถาวรเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา แก่พุทธศาสนิกชน ซึ่งจะก่อให้เกิดการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม มีความร่มเย็นผาสุกแก่ประชาชน และเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ สมควรบัญญัติกฎหมายให้เป็นการสืบทอดและธำ รงรักษาไว้ ซึ่งพระราชอำ นาจตามโบราณราชประเพณี จึงจำ เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำนวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำนวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๕๕) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ว่าด้วยจำนวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค
348 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ *ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๘๐ ฉบับพิเศษ (๒) วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค* ————————— อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๒๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคม ไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์ คณะสงฆ์เป็นต้นไป ข้อ ๓ ตั้งแต่วันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิก (๑) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ว่าด้วยจำ นวนและเขต ปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค (๒) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๓ แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๑๕) (๓) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๓ แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๑๕)
สมัยรัตนโกสินทร์ 349 (๔) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๓ แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๒๐) (๕) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๓ แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๒๑) (๖) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๓ แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๒๖) บรรดากฎ ข้อบังคับ คำสั่ง มติ หรือประกาศอื่นใดในส่วนที่กำ หนดไว้แล้วในกฎ มหาเถรสมาคมนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับกฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้แทน ข้อ ๔ ให้มีจำ นวนภาค ๑๘ ภาค และให้รวมเขตปกครองจังหวัดต่างๆ เป็นเขต ปกครองภาค ดังต่อไปนี้ ภาค ๑ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัด ปทุมธานี และจังหวัดสมุทรปราการ ภาค ๒ มีจังหวัด ๓ จังหวัด คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดสระบุรี ภาค ๓ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดลพบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดชัยนาท และจังหวัดอุทัยธานี ภาค ๔ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดพิจิตร และจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาค ๕ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัด ตาก และจังหวัดอุตรดิตถ์ ภาค ๖ มีจังหวัด ๕ จังหวัด คือ จังหวัดลำ ปาง จังหวัดพะเยา จังหวัดเชียงราย จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน ภาค ๗ มีจังหวัด ๓ จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำ พูน และจังหวัด แม่ฮ่องสอน ภาค ๘ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย จังหวัดเลย และจังหวัดสกลนคร ภาค ๙ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด ภาค ๑๐ มีจังหวัด ๕ จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดนครพนม และจังหวัดมุกดาหาร
350 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ภาค ๑๑ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ภาค ๑๒ มีจังหวัด ๓ จังหวัด คือ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดฉะเชิงเทรา ภาค ๑๓ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัด จันทบุรี และจังหวัดตราด ภาค ๑๔ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัด กาญจนบุรี และจังหวัดสมุทรสาคร ภาค ๑๕ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัด สมุทรสงคราม และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาค ๑๖ มีจังหวัด ๓ จังหวัด คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัด สุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร ภาค ๑๗ มีจังหวัด ๕ จังหวัด คือ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ และจังหวัดระนอง ภาค ๑๘ มีจังหวัด ๖ จังหวัด คือ จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง จังหวัดสตูล จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส ข้อ ๕ จำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ในชั้นจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานครก็ดี ชั้นอำ เภอ ได้แก่ เขตใน กรุงเทพมหานคร และอำ เภอในจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานครก็ดี ชั้นตำ บล ได้แก่ แขวงในกรุงเทพมหานคร และตำ บลในจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานครก็ดี ให้อนุโลมตาม จำ นวนและเขตบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรแต่ละชั้น แล้วแต่กรณี แต่ถ้ามีกรณีพิเศษ จะกำ หนดให้เป็นอย่างอื่นย่อมทำ ได้โดยระเบียบมหาเถรสมาคม ตราไว้ ณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ สมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
สมัยรัตนโกสินทร์ 351 หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) คือเนื่องจาก มาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งให้อำ นาจมหาเถรสมาคม ตรากฎ มหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับวางระเบียบ หรือออก คำสั่งมหาเถรสมาคม ได้ถูกยกเลิกและได้ บัญญัติอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมดังกล่าวขึ้นใหม่เป็นมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงจำ เป็นต้องตรากฎมหาเถรสมาคมนี้
352 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ บันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบร่างกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ————————— หลักการ แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขต ปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค เหตุผล เนื่องจากฝ่ายราชอาณาจักรได้แยกอำ เภอหนองบัวลำ ภู อำ เภอนากลาง อำ เภอ โนนสัง อำ เภอศรีบุญเรือง และอำ เภอสุวรรณคูหา ออกจากจังหวัดอุดรธานี แล้วรวมตั้งขึ้น เป็นจังหวัดหนองบัวลำ ภู ได้แยกอำ เภออำ นาจเจริญ อำ เภอชานุมาน อำ เภอปทุมราชวงศา อำ เภอพนา อำ เภอเสนางคนิคม อำ เภอหัวตะพาน และกิ่งอำ เภอลืออำ นาจ ออกจากจังหวัด อุบลราชธานี แล้วรวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดอำ นาจเจริญ และได้แยกอำ เภอสระแก้ว อำ เภอ คลองหาด อำ เภอตาพระยา อำ เภอวังเย็น อำ เภอวัฒนานคร และอำ เภออรัญประเทศ ออกจากจังหวัดปราจีนบุรี แล้วรวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดสระแก้ว ตามพระราชบัญญัติตั้ง จังหวัดหนองบัวลำ ภู จังหวัดอำ นาจเจริญ และจังหวัดสระแก้ว วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๖ เพื่อให้เขตปกครองคณะสงฆ์ในส่วนภูมิภาค สอดคล้องกับพระราชบัญญัติตั้งจังหวัด ขึ้นใหม่ของฝ่ายราชอาณาจักร จึงจำ เป็นต้องตรากฎมหาเถรสมาคมนี้
สมัยรัตนโกสินทร์ 353 *ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๘๔ ตอนที่ ๖ วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๙ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค* ————————— อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๒๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถร สมาคมไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครอง คณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์ คณะสงฆ์เป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๔ ภาค ๘ ภาค ๑๐ และภาค ๑๒ แห่งกฎมหาเถร สมาคม ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน
354 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ “ภาค ๘ มีจังหวัด ๕ จังหวัด คือ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำ ภู จังหวัดหนองคาย จังหวัดเลย และจังหวัดสกลนคร” “ภาค ๑๐ มีจังหวัด ๖ จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอำ นาจเจริญ จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดนครพนม และจังหวัดมุกดาหาร” “ภาค ๑๒ มีจังหวัด ๔ จังหวัด คือ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดนครนายก และจังหวัดฉะเชิงเทรา” ตราไว้ ณ วันที่ ๓ เดือนมิถุนายน พ.ศ ๒๕๓๙ สมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
สมัยรัตนโกสินทร์ 355 บันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๕๕) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ————————— หลักการ แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ว่าด้วยจำ นวนและเขต ปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค เหตุผล ฝ่ายราชอาณาจักรได้แยก อำ เภอบึงกาฬ อำ เภอเซกา อำ เภอโซ่พิสัย อำ เภอบุ่งคล้า อำ เภอบึงโขงหลง อำ เภอปากคาด อำ เภอพรเจริญ และอำ เภอศรีวิไล ออกจากการปกครอง ของจังหวัดหนองคาย แล้วรวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัด บึงกาฬ พ.ศ. ๒๕๕๔ วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๑๘ ก วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ประกอบกับได้มีประกาศมหาเถรสมาคม เรื่อง ยกจังหวัดขึ้นเป็นเขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ตามมติ มหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ให้ยกจังหวัดบึงกาฬขึ้นเป็น เขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ เพื่อให้เขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคสอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัด ขึ้นใหม่ของฝ่ายราชอาณาจักร จึงจำ เป็นต้องตรากฎมหาเถรสมาคมนี้
356 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๕๕) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ————————— อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๒๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๕๕) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครอง คณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์ คณะสงฆ์เป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๓ วรรคสอง แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ว่าด้วยจำ นวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค และให้ใช้ความต่อไปนี้ แทน “ภาค ๘ มีจังหวัด ๖ จังหวัด คือ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำ ภู จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย และจังหวัดสกลนคร” ตราไว้ ณ วันที่ ๒๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สมเด็จพระพุฒาจารย์) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
สมัยรัตนโกสินทร์ 357 ประกาศมหาเถรสมาคม เรื่อง ยกจังหวัดขึ้นเป็นเขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ ————————— ด้วยการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีมติให้ยกจังหวัดบึงกาฬ ขึ้นเป็นเขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ มีอำ เภอในปกครองดังนี้ ๑. อำ เภอเมืองบึงกาฬ ๒. อำ เภอเซกา ๓. อำ เภอโซ่พิสัย ๔. อำ เภอบุ่งคล้า ๕. อำ เภอบึงโขงหลง ๖. อำ เภอปากคาด ๗. อำ เภอพรเจริญ ๘. อำ เภอศรีวิไล เพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองจังหวัดทางราชอาณาจักร ที่ได้มีพระราชกฤษฎีกา ตั้งจังหวัดแล้ว ฉะนั้น จึงยกจังหวัดบึงกาฬ ขึ้นเป็นเขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สมเด็จพระพุฒาจารย์) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์
360 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ บันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ————————— หลักการ ยกเลิกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยระเบียบการปกครอง คณะสงฆ์ เหตุผล เพื่อยกย่องเชิดชูเจ้าคณะและรองเจ้าคณะ และเพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าคณะและรองเจ้าคณะ สมควรให้มีเลขานุการทำ หน้าที่การเลขานุการของรอง เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะอำ เภอ และเจ้าคณะตำ บล จึงจำ เป็นต้องตรากฎมหาเถร สมาคมนี้
สมัยรัตนโกสินทร์ 361 *ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๘๖ ฉบับพิเศษ วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๑ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์* ————————— อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี มาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๐ ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์ คณะสงฆ์เป็นต้นไป ข้อ ๓ ตั้งแต่วันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ บรรดากฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ หรือประกาศอื่นใด ในส่วนที่กำ หนดไว้แล้ว ในกฎมหาเถรสมาคมนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับกฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้กฎมหาเถรสมาคม นี้แทน
362 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๔ การปกครองคณะสงฆ์ ทุกส่วนทุกชั้น ให้มีเจ้าคณะมหานิกายและเจ้าคณะ ธรรมยุต ปกครองบังคับบัญชาวัด และพระภิกษุสามเณรในนิกายนั้น หมวด ๒ ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง ข้อ ๕ วิธีดำ เนินการเพื่อความเรียบร้อยดีงาม วิธีดำ เนินการศาสนศึกษาและ ศึกษาสงเคราะห์ วิธีดำ เนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิธีดำ เนินการสาธารณูปการและ สาธารณสงเคราะห์ อันเกี่ยวกับการคณะสงฆ์และการพระศาสนา ให้เป็นไปตามที่กำ หนด ในระเบียบมหาเถรสมาคม ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ ตามข้อ ๔ ให้เจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติ หน้าที่เกี่ยวกับการคณะสงฆ์นิกายนั้นๆ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ดังนี้ (๑) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๑ ภาค ๒ ภาค ๓ ภาค ๑๓ ภาค ๑๔ และภาค ๑๕ (๒) เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔ ภาค ๕ ภาค ๖ และภาค ๗ (๓) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๘ ภาค ๙ ภาค ๑๐ ภาค ๑๑ และภาค ๑๒ (๔) เจ้าคณะใหญ่หนใต้ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๑๖ ภาค ๑๗ และภาค ๑๘ (๕) เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ธรรมยุตภาคทุกภาค ข้อ ๗ เจ้าคณะใหญ่มีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตหนของตน ดังนี้ (๑) ดำ เนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
สมัยรัตนโกสินทร์ 363 (๒) ควบคุมและส่งเสริมการรักษาความเรียบร้อยดีงาม การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณ สงเคราะห์ ให้ดำ เนินไปด้วยดี (๓) วินิจฉัยการลงนิคหกรรม วินิจฉัยข้ออุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยชั้นภาค หรือมีอำ นาจหน้าที่ในกรณีที่ได้รับมอบหมายอย่างอื่นจากมหาเถรสมาคม (๔) แก้ไขข้อขัดข้องของเจ้าคณะภาคให้เป็นไปโดยชอบ (๕) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าคณะและเจ้าอาวาส ตลอดถึงพระภิกษุสามเณร ผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรืออยู่ในเขตปกครองของตน และชี้แจงแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้อยู่ในบังคับบัญชา ให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย (๖) ตรวจการและประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองของตน ข้อ ๘ ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะใหญ่ หรือเจ้าคณะใหญ่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จ พระสังฆราชทรงแต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าคณะใหญ่ เมื่อได้ปฏิบัติตามความในวรรคต้นแล้ว ให้ดำ เนินการ เพื่อมีพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่ภายในเวลาไม่เกิน ๑ ปี ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่มีอำ นาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าคณะใหญ่ ข้อ ๙ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะใหญ่ ให้มีเลขานุการเจ้าคณะ ใหญ่ ๒ รูป ทำ หน้าที่การเลขานุการ หมวด ๓ ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ส่วนที่ ๑ ภาค ข้อ ๑๐ เจ้าคณะภาคมีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตภาคของตน ดังนี้ (๑) ดำ เนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
364 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ (๒) ควบคุมและส่งเสริมการรักษาความเรียบร้อยดีงาม การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณ สงเคราะห์ ให้ดำ เนินไปด้วยดี (๓) วินิจฉัยการลงนิคหกรรม วินิจฉัยข้ออุทธรณ์คำสั่งหรือคำ วินิจฉัยชั้น จังหวัด (๔) แก้ไขข้อขัดข้องของเจ้าคณะจังหวัดให้เป็นไปโดยชอบ (๕) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าคณะและเจ้าอาวาส ตลอดถึงพระภิกษุสามเณร ผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรืออยู่ในเขตปกครองของตน และชี้แจงแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้อยู่ในบังคับบัญชา ให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย (๖) ตรวจการและประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองของตน ข้อ ๑๑ ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะภาค หรือเจ้าคณะภาคไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ เจ้าคณะใหญ่แต่งตั้งรองเจ้าคณะภาครักษาการแทนเจ้าคณะภาค ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะภาค หรือรองเจ้าคณะภาคไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่เห็นสมควร รักษาการแทนเจ้าคณะภาค แล้วรายงานให้มหาเถรสมาคมทราบ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าคณะภาค เมื่อได้ปฏิบัติตามความในวรรคต้นแล้ว ให้เจ้าคณะใหญ่ ดำ เนินการเพื่อมีการแต่งตั้งเจ้าคณะภาคภายในเวลาไม่เกิน ๑ ปี ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะภาคมีอำ นาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าคณะภาค ข้อ ๑๒ รองเจ้าคณะภาคเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะภาค มีอำ นาจหน้าที่ตามที่เจ้าคณะภาค มอบหมาย ข้อ ๑๓ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะภาคและรองเจ้าคณะภาค ให้มีเลขานุการ เจ้าคณะภาค และเลขานุการรองเจ้าคณะภาค ทำ หน้าที่การเลขานุการ ส่วนที่ ๒ จังหวัด ข้อ ๑๔ เจ้าคณะจังหวัด หมายถึง เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และเจ้าคณะจังหวัด นอกจากกรุงเทพมหานคร รองเจ้าคณะจังหวัด หมายถึง รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และรองเจ้าคณะจังหวัด นอกจากกรุงเทพมหานคร
สมัยรัตนโกสินทร์ 365 ในกรณีที่มีข้อความกล่าวถึงเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัดที่ปรากฏอยู่ในกฎ มหาเถรสมาคมนี้ กฎมหาเถรสมาคมอื่น ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ สำ หรับ กรุงเทพมหานคร ให้หมายถึง เจ้าคณะกรุงเทพมหานครและรองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ข้อ ๑๕ เจ้าคณะจังหวัดมีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตจังหวัดของตน ดังนี้ (๑) ดำ เนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช คำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตน (๒) ควบคุมและส่งเสริมการรักษาความเรียบร้อยดีงาม การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณ สงเคราะห์ ให้ดำ เนินไปด้วยดี (๓) ระงับอธิกรณ์ วินิจฉัยการลงนิคหกรรม วินิจฉัยข้ออุทธรณ์คำสั่งหรือ คำวินิจฉัยชั้นเจ้าคณะอำ เภอ (๔) แก้ไขข้อขัดข้องของเจ้าคณะอำ เภอให้เป็นไปโดยชอบ (๕) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าคณะและเจ้าอาวาส ตลอดถึงพระภิกษุสามเณร ผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรืออยู่ในเขตปกครองของตน และชี้แจงแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้อยู่ในบังคับบัญชา ให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย (๖) ตรวจการและประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองของตน ข้อ ๑๖ ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะจังหวัด หรือเจ้าคณะจังหวัดไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้เจ้าคณะภาคแต่งตั้งรองเจ้าคณะจังหวัดรักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัด ถ้าไม่มีรอง เจ้าคณะจังหวัด หรือรองเจ้าคณะจังหวัดไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งพระภิกษุรูปใด รูปหนึ่งที่เห็นสมควรรักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัด แล้วรายงานให้ เจ้าคณะใหญ่ทราบ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าคณะจังหวัด เมื่อได้ปฏิบัติตามวรรคต้นแล้ว ให้เจ้าคณะภาค ดำ เนินการเพื่อมีการแต่งตั้ง เจ้าคณะจังหวัดภายในเวลาไม่เกิน ๑ ปี ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดมีอำ นาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าคณะจังหวัด ข้อ ๑๗ รองเจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะจังหวัด มีอำ นาจหน้าที่ตามที่เจ้าคณะ จังหวัดมอบหมาย
366 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ข้อ ๑๘ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดและรองเจ้าคณะ จังหวัด ให้มีเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด และเลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัด ทำ หน้าที่การ เลขานุการ ส่วนที่ ๓ อำ เภอ ข้อ ๑๙ เจ้าคณะอำ เภอ หมายถึง เจ้าคณะเขตในกรุงเทพมหานคร เจ้าคณะอำ เภอ ในจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานคร รองเจ้าคณะอำ เภอ หมายถึง รองเจ้าคณะเขตในกรุงเทพมหานคร และรองเจ้าคณะ อำ เภอในจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานคร ในกรณีที่มีข้อความกล่าวถึงเจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอที่ปรากฏอยู่ในกฎ มหาเถรสมาคมนี้ กฎมหาเถรสมาคมอื่น ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ สำ หรับ กรุงเทพมหานคร ให้หมายถึงเจ้าคณะเขตและรองเจ้าคณะเขต ข้อ ๒๐ เจ้าคณะอำ เภอมีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตอำ เภอของตน ดังนี้ (๑) ดำ เนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ มหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช คำสั่ง ของผู้บังคับบัญชาเหนือตน (๒) ควบคุมและส่งเสริมการรักษาความเรียบร้อยดีงาม การศาสนศึกษา การ ศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ ให้ดำ เนินไปด้วยดี (๓) ระงับอธิกรณ์ วินิจฉัยการลงนิคหกรรม วินิจฉัยข้ออุทธรณ์คำสั่งหรือ คำวินิจฉัยชั้นเจ้าคณะตำ บล (๔) แก้ไขข้อขัดข้องของเจ้าคณะตำ บลให้เป็นไปโดยชอบ (๕) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าคณะและเจ้าอาวาส ตลอดถึงพระภิกษุสามเณร ผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรืออยู่ในเขตปกครองของตน และชี้แจงแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้อยู่ในบังคับบัญชา ให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย (๖) ตรวจการและประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองของตน
สมัยรัตนโกสินทร์ 367 ข้อ ๒๑ ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะอำ เภอ หรือเจ้าคณะอำ เภอไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ เจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้งรองเจ้าคณะอำ เภอรักษาการแทนเจ้าคณะอำ เภอ ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะ อำ เภอ หรือรองเจ้าคณะอำ เภอไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่เห็น สมควรรักษาการแทนเจ้าคณะอำ เภอ แล้วรายงานให้เจ้าคณะภาคทราบ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าคณะอำ เภอ เมื่อได้ปฏิบัติตามวรรคต้นแล้ว ให้เจ้าคณะจังหวัด ดำ เนินการเพื่อมีการแต่งตั้งเจ้าคณะอำ เภอภายในเวลาไม่เกิน ๑ ปี ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำ เภอมีอำ นาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าคณะอำ เภอ ข้อ ๒๒ รองเจ้าคณะอำ เภอเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะอำ เภอ มีอำ นาจหน้าที่ตามที่เจ้าคณะ อำ เภอมอบหมาย ข้อ ๒๓ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะอำ เภอและรองเจ้าคณะ อำ เภอ ให้มีเลขานุการ เจ้าคณะอำ เภอ และเลขานุการรองเจ้าคณะอำ เภอ ทำ หน้าที่การ เลขานุการ ส่วนที่ ๔ ตำ บล ข้อ ๒๔ เจ้าคณะตำ บล หมายถึง เจ้าคณะแขวงในกรุงเทพมหานคร และเจ้าคณะ ตำ บลในจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานคร รองเจ้าคณะตำ บล หมายถึง รองเจ้าคณะแขวงในกรุงเทพมหานคร และรองเจ้าคณะ ตำ บลในจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานคร ในกรณีที่มีข้อความกล่าวถึงเจ้าคณะตำ บล รองเจ้าคณะตำ บลที่ปรากฏอยู่ในกฎ มหาเถรสมาคมนี้ กฎมหาเถรสมาคมอื่น ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ สำ หรับ กรุงเทพมหานคร ให้หมายถึงเจ้าคณะแขวง และรองเจ้าคณะแขวง ข้อ ๒๕ เจ้าคณะตำ บลมีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตตำ บลของตน ดังนี้ (๑) ดำ เนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช คำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตน
368 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ (๒) ควบคุมและส่งเสริมการรักษาความเรียบร้อยดีงาม การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณ สงเคราะห์ ให้ดำ เนินไปด้วยดี (๓) ระงับอธิกรณ์ วินิจฉัยการลงนิคหกรรม วินิจฉัยข้ออุทธรณ์คำสั่งหรือ คำวินิจฉัยชั้นเจ้าอาวาส (๔) แก้ไขข้อขัดข้องของเจ้าอาวาสให้เป็นไปโดยชอบ (๕) ควบคุมบังคับบัญชาเจ้าอาวาสและพระภิกษุสามเณรผู้อยู่ในบังคับ บัญชา หรืออยู่ในเขตปกครองของตน และชี้แจงแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อยู่ในบังคับ บัญชา ให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย (๖) ตรวจการและประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองของตน ข้อ ๒๖ ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะตำ บล หรือเจ้าคณะตำ บลไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ เจ้าคณะอำ เภอแต่งตั้งรองเจ้าคณะตำ บลรักษาการแทนเจ้าคณะตำ บล ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะ ตำ บล หรือรองเจ้าคณะตำ บลไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่เห็น สมควรรักษาการแทนเจ้าคณะตำ บล แล้วรายงานให้เจ้าคณะจังหวัดทราบ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าคณะตำ บล เมื่อได้ปฏิบัติตามวรรคต้นแล้ว ให้เจ้าคณะอำ เภอ ดำ เนินการเพื่อมีการแต่งตั้งเจ้าคณะตำ บลภายในเวลาไม่เกิน ๑ ปี ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะตำ บลมีอำ นาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าคณะตำ บล ข้อ ๒๗ รองเจ้าคณะตำ บลเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตำ บล มีอำ นาจหน้าที่ตามที่เจ้าคณะ ตำ บลมอบหมาย ข้อ ๒๘ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะตำ บล ให้มีเลขานุการ เจ้าคณะตำ บล ทำ หน้าที่การเลขานุการ
สมัยรัตนโกสินทร์ 369 หมวด ๔ บทเบ็ดเตล็ด ข้อ ๒๙ เพื่อยกย่องเชิดชูเจ้าคณะ และรองเจ้าคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่มาโดยความ เรียบร้อย มหาเถรสมาคมจะให้มีที่ปรึกษาของเจ้าคณะในส่วนภูมิภาคชั้นใดๆ ก็ได้ ให้ที่ปรึกษามีหน้าที่ให้คำ ปรึกษาแก่เจ้าคณะชั้นนั้นๆ ตราไว้ ณ วันที่ ๑ เดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ สมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม