20 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ พระมหากษัตริย์ในฐานะเอกอัครศาสนูปถัมภก ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชด้วย โดยมีมหาเถรสมาคมทำ หน้าที่คล้ายกับ คณะเสนาบดีที่ทรงปรึกษาฝ่ายการพระศาสนา เสนาบดีกระทรวงธรรมการทำ หน้าที่เป็น ศูนย์กลางการติดต่อประสานงานระหว่างพระมหากษัตริย์กับมหาเถรสมาคม ๒.๒.๒ การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ลักษณะสำ คัญประการหนึ่งของ พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ คือ การจัดระเบียบการปกครอง คณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคควบขนานไปกับการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาค กล่าวคือ มีการแบ่งส่วนการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็นสังฆมณฑล มีเจ้าคณะมณฑลที่พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งจากพระราชาคณะเป็นผู้ปกครองดูแลกิจการคณะสงฆ์ในสังฆมณฑลนั้น เจ้าคณะ มณฑลนี้เทียบได้กับข้าหลวงเทศาภิบาล ผู้ทำ หน้าที่ปกครองประชาชนและบริหารราชการ แผ่นดินในมณฑลของฝ่ายบ้านเมือง รองจากเจ้าคณะมณฑลลงมามีเจ้าคณะเมืองหรือ จังหวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง รองจากเจ้าคณะเมืองก็คือ เจ้าคณะแขวงหรืออำ เภอ เป็นผู้ปกครองเจ้าอาวาสวัดต่างๆ มีข้อควรสังเกตในพระราชบัญญัติฉบับนี้ มาตรา ๔ กล่าวถึงเจ้าคณะใหญ่คณะ ธรรมยุต อันแสดงว่าคณะธรรมยุตซึ่งเคยขึ้นอยู่กับคณะกลางของฝ่ายมหานิกายในรัชกาล ที่ ๔ ได้แยกเป็นคณะอิสระโดยมีเจ้าคณะใหญ่ปกครองกันเอง เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายมหานิกาย ไม่มีอำ นาจบังคับบัญชาวัดที่สังกัดคณะธรรมยุต เพราะมาตรา ๓ บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่เกี่ยวด้วยนิกายสงฆ์ กิจและลัทธิเฉพาะในนิกาย นั้นๆ ซึ่งเจ้าคณะหรือสังฆนายกในนิกายนั้นได้เคยมีอำ นาจว่ากล่าวบังคับมา แต่ก่อนประการใด ก็ให้คงเป็นไปตามเคยทุกประการ แต่การปกครองอันเป็น สามัญทั่วไปในนิกายทั้งปวง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้”๑ ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า กฎหมายคณะสงฆ์ฉบับนี้รับรองการแบ่งนิกายของ คณะสงฆ์ไทยออกเป็นมหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระมหากษัตริย์มิได้ทรงปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพราะมีการสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้ดำ รงตำแหน่ง ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์, เล่ม ๑๙, ๒๙ มิถุนายน ๑๒๑, หน้า ๒๑๔.
สมัยรัตนโกสินทร์ 21 สกลมหาสังฆปริณายก มีอำ นาจหน้าที่บังคับบัญชาการคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ เมื่อได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าขึ้นแล้วเช่นนี้ มหาเถรสมาคม ซึ่งทำ หน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ตามความในมาตรา ๔ จึงเป็นอันงดไปโดย นิตินัย ดังที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงอธิบายเป็น เชิงอรรถแห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ในมาตรา ๔ มีความว่า “ในแผ่นดินปรัตยุบัน ๑ โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์ได้ ทั่วไป การประชุมตามพระราชบัญญัตินี้ก็ชื่อว่าเป็นอันงดชั่วคราวโดยนัย หรือกล่าวอีกโวหารหนึ่งว่า ยังไม่ถึงคราวเรียกประชุมตามพระราชบัญญัติ ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้ายังบัญชาการอยู่ ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้มหาเถรสมาคม คงมียืนอยู่ด้วยประการหนึ่ง จึงคงเรียกประชุมและบัญชากิจการอันจะพึง ทำ เป็นการสงฆ์ในที่ประชุมนั้น”๒ ข้อความนี้แสดงว่า อำ นาจหน้าที่บัญชาการของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เป็นไป อย่างกว้างขวาง เพราะทรงบัญชาการคณะสงฆ์ได้โดยลำ พังพระองค์เอง ส่วนมหาเถร สมาคมที่ยังคงหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ต่อมาอีกนั้น ก็เป็นไปตาม พระประสงค์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เท่านั้น มิใช่เป็นข้อผูกพันเกี่ยวกับอำ นาจ หน้าที่ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ที่กำ หนดไว้ในพระราชบัญญัติแต่อย่างใด ในสมัยรัชกาลที่ ๗ และต้นรัชกาลที่ ๘ การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปตามแบบอย่างนี้ นั่นก็คือสมเด็จพระสังฆราชทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยลำ พัง โดยมีมหาเถรสมาคมทำ หน้าที่เป็นกรรมการที่ปรึกษา จนกระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ดังนั้น การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑๓ นี้ซึ่งตราขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในขณะนั้นราชอาณาจักรปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และอยู่ในระยะที่ กำ ลังปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง ทั้งเป็นระยะที่ว่างจากสมเด็จพระสังฆราช ดังนั้น บทบัญญัติจัดองค์กรจึงมีรูปแบบ ดังนี้ ๑ ปรัตยุบัน หมายถึง ปัจจุบัน ๒ โชติ ทองประยูร, หน้า ๒๔. ๓ พระธรรมปริยัติโสภณ, วิทยาพระสังฆาธิการ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๕๒), หน้า ๓ - ๔.
22 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑. ผู้บัญชาการ ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็น ประมุขสงฆ์ หรือผู้บัญชาการคณะสงฆ์สูงสุด แบ่งได้เป็น ๓ ระยะ คือ ๑) ระยะแรก เมื่อทรงตราพระราชบัญญัติ สังฆมณฑลว่างจากสมเด็จ พระสังฆราช พระมหากษัตริย์ทรงบัญชาการทางเสนาบดีกระทรวงธรรมการ (กระทรวง ศึกษาธิการในปัจจุบัน) หรือกล่าวได้ว่า เสนาบดีกระทรวงธรรมการเป็นผู้รั้งตำแหน่งสมเด็จ พระสังฆราช ๒) ระยะกลางเมื่อทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ วโรรส๑ แล้ว โปรดให้บัญชาการคณะสงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑล และทรงบัญชาการคณะสงฆ์ โดยลำ พังพระองค์ ๓) ระยะหลัง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์โดยทรงมีมหาเถรสมาคมเป็นที่ปรึกษา และมีผู้บัญชาการแทน ๒. มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรที่มีขึ้นเป็นครั้งแรก ทำ หน้าที่ให้คำ ปรึกษาการ พระศาสนาและการบำรุงสังฆมณฑล มิใช่เป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์เหมือนมหาเถรสมาคม ในปัจจุบัน และองค์ประกอบของมหาเถรสมาคมนั้น กำ หนดโดยตำแหน่ง คือ ๑) สมเด็จเจ้าคณะใหญ่ ๔ ตำแหน่ง ๒) พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ๔ ตำแหน่ง ในระยะแรกและระยะกลาง มหาเถรสมาคมมิได้มีประธานกรรมการและมิได้ ประชุมตามพระราชบัญญัติ แต่ในระยะหลังมีประธานกรรมการและมีการประชุมมหาเถร สมาคม แต่ยังคงเป็นองค์กรที่ทรงปรึกษาอยู่เช่นเดิม ๓. องค์กรปกครองคณะสงฆ์ ได้แก่ เขตปกครองคณะสงฆ์ แบ่งเป็น ๔ ชั้น คือ ๑) คณะ มี ๔ คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุต มีสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่เป็นผู้บัญชาการ และมีพระราชาคณะเจ้าคณะรองเป็น ผู้ช่วย ๒) มณฑล มีเจ้าคณะมณฑลเป็นผู้บัญชาการ และรองเจ้าคณะมณฑลเป็นผู้ช่วย ๑ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๐ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาแพ พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๖๔ สิริพระชันษา ๖๑ ปี ครองวัดบวรนิเวศวิหาร ๓๐ ปี ดำ รงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๐ ปี ๗ เดือน
สมัยรัตนโกสินทร์ 23 ๑ อัธยา โกมลกาญจน, พระพุทธศาสนาบนแผ่นดินไทย, หน้า ๒๘๘. ๓) เมือง มีเจ้าคณะเมืองเป็นผู้บัญชาการ และมีรองเจ้าคณะเมืองเป็นผู้ช่วย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๙ เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนเรียกเจ้าคณะเมือง ว่า เจ้าคณะจังหวัด ตามทาง ราชอาณาจักร ๔) แขวง มีเจ้าคณะแขวงเป็นผู้บัญชาการ และมีรองเจ้าคณะแขวงเป็นผู้ช่วย เจ้าคณะแขวงแบ่งออกเป็นในจังหวัดกรุงเทพฯ และในหัวเมือง ดังนี้ (๑) ในมณฑลกรุงเทพฯ ชั้นใน (พระนครและธนบุรี) มีพระราชาคณะ ผู้กำกับแขวงเป็นผู้บังคับบัญชา และรองเจ้าคณะแขวงเป็นผู้ช่วย (๒) ในหัวเมือง มีเจ้าคณะแขวงเป็นผู้บังคับบัญชา และมีรองเจ้าคณะแขวง เป็นผู้ช่วย และตํ่ากว่าแขวง แบ่งเป็นหมวด มีเจ้าคณะหมวดเป็นผู้บังคับบัญชา ๔. วัด เป็นองค์กรตํ่าสุดและเป็นองค์กรหลัก เป็นฐานรองรับกิจการคณะสงฆ์และ การพระศาสนา เป็นหน่วยบริหารและจัดกิจการโดยตรง โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้บังคับบัญชา และรองเจ้าอาวาสเป็นผู้ช่วย โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภายใต้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕)๑ พุทธจักร ราชอาณาจักร มหาเถรสมาคม พระมหากษัตริย์ คณะธรรมยุติกา กระทรวงธรรมการ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง เจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง เจ้าอาวาส
ในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ คณะผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช ๒๔๘๔ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลที่ ๘
บทที่ ๓ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ การตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มีสาเหตุมาจากข้อเรียกร้อง ของพระสงฆ์ให้แก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ซึ่งประกาศใช้ มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากการบริหารงานปกครองคณะสงฆ์ ตามพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคกันของพระสงฆ์ทั้งสองนิกาย โดยพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายมีความรู้สึกว่าเสียเปรียบพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายใน การบริหารงานการปกครองคณะสงฆ์ ทำ ให้พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายเรียกร้องให้มี การเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ประกอบกับกระแส ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังพุทธศักราช ๒๔๗๕ มีส่วนส่งผลให้พระสงฆ์ตื่นตัว เพื่อให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ฉบับแรก จนนำ ไปสู่การประกาศ บังคับใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ๓.๑ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นรัชกาลที่ ๘ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำ นาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำ นาจอธิปไตย
26 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ด้านการบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำ นาจอธิปไตยด้านตุลาการทางศาล การ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของฝ่ายอาณาจักรครั้งนี้เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในการจัดองค์กรปกครองคณะสงฆ์ เนื่องจากคณะรัฐบาลในสมัยนั้นต้องการสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย จึงเห็นความจำ เป็นที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ให้มี รูปแบบเป็นประชาธิปไตยด้วย รัฐบาลจึงได้ดำ เนินการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ โดยคำ แนะนำ และยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร พระราชบัญญัติฉบับนี้ถือเป็น ธรรมนูญการปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่ที่ออกมาแทนพระราชบัญญัติลักษณะการปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลในการตราพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ให้ประชาชนทราบ มีความตอนหนึ่งว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์นี้ได้รับความเห็นชอบของคณะสงฆ์ และ ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วโดยราบรื่น ความสำคัญในพระราชบัญญัติ ก็คือ ได้จัดการปกครองคณะสงฆ์ให้อนุโลมระบอบการปกครองบ้านเมือง เท่าที่ไม่ขัดกับพระธรรมวินัย”๑ ๓.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชผู้ดำ รงตำ แหน่งสกลมหาสังฆ ปริณายก และสมเด็จพระสังฆราชทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยคำ แนะนำ ของสังฆสภา ทรงบริหารคณะสงฆ์ทางสังฆมนตรี และทรงพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ทางคณะวินัยธร ต่างจากพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ อำ นาจการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ถูกแบ่งเป็น ๓ ฝ่าย เพื่อการถ่วงดุล อำ นาจตามแบบอย่างการปกครองของฝ่ายบ้านเมือง อำ นาจทั้งสามนั้น คือ อำ นาจ นิติบัญญัติที่เรียกว่า สังฆาณัติ อำ นาจบริหารการคณะสงฆ์ที่เรียกว่า คณะสังฆมนตรี และอำ นาจตุลาการที่เรียกว่า อำ นาจวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, แถลงการณ์เรื่องพระราชบัญญัติพระสงฆ์, เล่ม ๕๘, ๑๔ ตุลาคม ๒๔๘๔, หน้า ๑๔๑๕.
สมัยรัตนโกสินทร์ 27 องค์กรผู้ใช้อำ นาจทั้งสามโดยตรง ได้แก่ ๑) สังฆสภา สังฆสภาเทียบได้กับรัฐสภาของฝ่ายอาณาจักร มีอำ นาจหน้าที่ ในการบัญญัติสังฆาณัติ หรือกฎระเบียบสำ หรับใช้ในการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ สังฆสภาประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน ๔๕ รูป มาจาก (๑) พระเถระที่มีสมณศักดิ์ตั้งแต่ ชั้นธรรมขึ้นไป (๒) พระคณาจารย์เอก (๓) พระเปรียญเอก ๒) คณะสังฆมนตรี คณะสังฆมนตรีเทียบได้กับคณะรัฐมนตรีของฝ่ายอาณาจักร คือทำ หน้าที่เป็นคณะรัฐบาลบริหารกิจการคณะสงฆ์ คณะสังฆมนตรีประกอบด้วยสังฆนายก (เทียบได้กับนายกรัฐมนตรี) และสังฆมนตรีอื่นไม่เกิน ๙ รูป คณะสังฆมนตรีแบ่งงานภายใต้ ความรับผิดชอบออกเป็น ๔ องค์การ อันเทียบได้กับกระทรวง แต่ละองค์การมีสังฆมนตรี ว่าการและสังฆมนตรีช่วยว่าการเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ องค์การทั้งสี่ ได้แก่ (๑) องค์การปกครอง (๒) องค์การศึกษา (๓) องค์การเผยแผ่ (๔) องค์การสาธารณูปการ การปกครองบังคับบัญชาคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคเป็นไปตามสังฆาณัติที่กำ หนด ให้มีตำ แหน่งเจ้าคณะตรวจการภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล และเจ้าอาวาส ปกครองบังคับบัญชาลดหลั่นกันไปตามลำดับ ๓) คณะวินัยธร คือ ศาลของพระสงฆ์ มีอำ นาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยคดีความ หรืออธิกรณ์ ตีความกฎหมาย สังฆาณัติและระเบียบคณะสงฆ์ต่างๆ คณะวินัยธรแบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา แม้ว่าคณะสงฆ์จะมีรูปแบบการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์เป็นประชาธิปไตย แต่ก็ใช่ว่าคณะสงฆ์จะดำ เนินการปกครองตนเองได้อย่างอิสระปราศจากการแทรกแซง และการควบคุมของรัฐ ความสัมพันธ์กับฝ่ายบ้านเมืองยังคงมีอยู่ โดยที่พระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี สมเด็จพระสังฆราชทรง แต่งตั้งคณะสังฆมนตรี ประธานและรองประธานสังฆสภา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการลงนามรับสนองพระบัญชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะ ผู้รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติมีอำ นาจออกกฎกระทรวง เพื่อปฏิบัติการให้เป็น
28 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ไปตามพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ ยังมีอำ นาจกำ หนดวันเปิดประชุมสังฆสภาและเสนอ เรียกประชุมสังฆสภาสมัยวิสามัญ และถวายความเห็นให้สังฆมนตรีลาออกจากตำแหน่ง มีข้อน่าสังเกตว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้ยุบเลิกมหาเถรสมาคม อันประกอบด้วยเจ้าคณะใหญ่ทั้ง ๔ รูป และรองเจ้าคณะใหญ่ ๔ รูป ดังนั้น ตำ แหน่ง เจ้าคณะใหญ่ซึ่งรวมถึงเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกายจึงไม่มีกฎหมายรองรับ วัตถุประสงค์ ประการหนึ่งของพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็เพื่อรวมคณะสงฆ์มหานิกายและคณะสงฆ์ ธรรมยุติกนิกายเข้าด้วยกัน ให้แล้วเสร็จภายในเวลา ๘ ปี นับแต่วันประกาศใช้ ดังที่บัญญัติ ไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๖๐ ว่า “ก่อนที่จะได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้ครบถ้วน แต่อย่างช้าต้อง ไม่เกินแปดปีนับแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้ ห้ามมิให้ออกสังฆาณัติ กติกาสงฆ์ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช กฎกระทรวง หรือระเบียบใด ที่จะบังคับให้ ต้องเปลี่ยนลัทธิอันได้นิยมนับถือและปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว”๑ การรวมนิกายสงฆ์ทั้งสองเข้าด้วยกันประสบความล้มเหลว ดังจะเห็นได้ว่าใน พ.ศ. ๒๔๙๐ พระมหาเถรานุเถระฝ่ายธรรมยุตจำ นวน ๒๒ รูป ได้ร่วมลงนามคัดค้านการใช้ บทเฉพาะกาลมาตรา ๖๐ ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เมื่อคณะสงฆ์ฝ่าย ธรรมยุตคัดค้านการรวมนิกายสงฆ์เช่นนั้น๒ รัฐบาลในสมัยนั้นจึงล้มเลิกความพยายามใน การรวมนิกายสงฆ์ในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นความแตกแยกระหว่างนิกายทั้งสองปรากฏเด่นชัด มากยิ่งขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๙๒ เพราะคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตได้รื้อฟื้นตำ แหน่งเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตซึ่งเคยบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ เพื่อ ให้มีอำ นาจปกครองบังคับบัญชาคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตทั้งหมด และยังได้แยกการปกครอง คณะสงฆ์ธรรมยุตส่วนภูมิภาคออกไปดำ เนินการปกครองเอง โดยไม่ยอมขึ้นตรงต่อสาย การบังคับบัญชาของเจ้าคณะฝ่ายมหานิกาย๓ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔, เล่ม ๕๘, ๑๔ ตุลาคม ๒๔๘๔, หน้า ๑๔๐๙ - ๑๔๑๐.๒ สำ เนาหนังสือร้องเรียนและบันทึกคำชี้แจงประกอบหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๑๘)๓ พระเมธีธรรมาภรณ์, การปกครองคณะสงฆ์ไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ พุทธธรรม, ๒๕๓๙), หน้า ๔๗.
สมัยรัตนโกสินทร์ 29 เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ความพยายามเพื่อจะรวมนิกายสงฆ์ทั้งสองจึงไม่ประสบ ผลสำ เร็จตลอดเวลา ๒๐ ปีที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มีผลใช้บังคับ มีแต่ จะสร้างความแตกแยกในวงการคณะสงฆ์มากยิ่งขึ้น จนรัฐบาลสมัยนั้นเห็นว่าความแตก สามัคคีได้บั่นทอนประสิทธิภาพในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ และความแตกแยกนี้เกิดขึ้น เพราะมีการแบ่งแยกอำ นาจการปกครองเพื่อถ่วงดุลกันตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาล จึงถือเป็นความชอบธรรมในการยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ และ ประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ดังนั้น การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔๑ ซึ่ง ตราขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ หลังจากที่ทางราชอาณาจักรเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น บทบัญญัติจัดองค์กรจึงมีรูปแบบอนุวัตรตามการปกครองทางราชอาณาจักร ดังนี้ ๑. ผู้บัญชาการ ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นประมุข สงฆ์หรือผู้บัญชาการคณะสงฆ์สูงสุด แต่ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ ๓ ทาง คือ ๑) ทรงบัญญัติสังฆาณัติโดยคำแนะนำของสังฆสภา ๒) ทรงบริหารการคณะสงฆ์ทางคณะสังฆมนตรี ๓) ทรงวินิจฉัยอธิกรณ์ทางคณะวินัยธร ๒. องค์กรบัญญัติสังฆาณัติ องค์กรนี้มีหน้าที่พิจารณาร่างสังฆาณัติ หรือถวายคำ แนะนำ ในการบัญญัติ สังฆาณัติ เรียกว่า “สังฆสภา” โดยมีประธานสังฆสภาเป็นหลัก สมาชิกของสังฆสภามี จำ นวนไม่เกิน ๔๕ รูป ประกอบด้วย ๑ พระธรรมปริยัติโสภณ, วิทยาพระสังฆาธิการ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๕๒), หน้า ๕ - ๗.
30 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๑พระคณาจารย์ หมายถึง พระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในฝ่ายปริยัติที่ได้รับการแต่งตั้ง ตามประกาศ สังฆนายก เรื่องระเบียบการแต่งตั้งพระคณาจารย์ พ.ศ. ๒๔๘๘ แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ พระคณาจารย์ ทางเทศนา, พระคณาจารย์ทางรจนา และพระคณาจารย์ทางคันถธุระ (พระคณาจารย์ตรี เทียบเจ้าคณะ อำ เภอ, พระคณาจารย์โท เทียบเจ้าคณะจังหวัด, พระคณาจารย์เอก เทียบเจ้าคณะตรวจการภาค) การแต่งตั้งพระคณาจารย์ มีขึ้นเพื่อยกย่องพระภิกษุผู้ทรงความรู้ด้านปริยัติ และเพื่อสนับสนุน ในการให้พระภิกษุผู้ได้รับการแต่งตั้ง ได้ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ทางด้านการส่งเสริมสนับสนุนกิจการ พระพุทธศาสนาด้านพระปริยัติธรรมตามแต่ที่สังฆสภา (มหาเถรสมาคม) มอบหมาย ปัจจุบันหลังจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ยกเลิกสังฆสภา ทำ ให้ไม่มีการแต่งตั้ง พระภิกษุเพื่อให้เป็นพระคณาจารย์อีกต่อไป๒ เปรียญ เป็นคำ ใช้เรียกภิกษุสามเณรผู้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีและสอบไล่ได้ ตามหลักสูตรตั้งแต่ ๓ ประโยคขึ้นไปจนถึง ๙ ประโยค เรียกว่า พระเปรียญ หรือพระเปรียญธรรม สามเณรเปรียญ หรือสามเณรเปรียญธรรม มีอักษรย่อว่า ป. หรือ ป.ธ. หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๓ ชั้น ๙ ประโยค คือ ชั้นเปรียญตรี (ชั้นที่ ๑) ตั้งแต่ ประโยค ๑ - ๒ ถึงเปรียญธรรม ๓ ประโยค (ประโยค ๑ - ๒ - ป.ธ.๓) ชั้นเปรียญโท (ชั้นที่ ๒) ตั้งแต่ เปรียญธรรม ๔ ประโยค ถึงเปรียญธรรม ๖ ประโยค (ป.ธ.๔ - ป.ธ.๖) ชั้นเปรียญเอก (ชั้นที่ ๓) ตั้งแต่ เปรียญธรรม ๗ ประโยค ถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค (ป.ธ.๗ - ป.ธ.๙) ๑) พระราชาคณะชั้นธรรมขึ้นไป ๒) พระคณาจารย์เอก๑ ๓) พระเปรียญเอก๒ ถ้ามีมากเกินให้เป็นสมาชิก (๑) (๒) และ (๓) ตามลำดับอาวุโส กรมการศาสนา ทำ หน้าที่สำ นักเลขาธิการสังฆสภา องค์กรนี้ทำ หน้าที่คล้ายรัฐสภาของทางราชอาณาจักร แต่ วงงานมีจำกัด มิใช่จะถวายคำแนะนำ ในการบัญญัติสังฆสภาได้โดยอิสระ เพราะมีมาตรา ๒๑ ล้อมกรอบไว้ คือสังฆาณัติย่อมบัญญัติได้ในกรณี (๑) กำ หนดวิธีการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย (๒) กิจการที่มีบทกฎหมายกำ หนดว่าให้ทำ เป็นสังฆาณัติ อนึ่ง เพื่อดำ เนินกิจการหรือพิจารณาสอบสวนข้อความอันอยู่ในวงงานของ สังฆสภา หรืออันเกี่ยวกับการคณะสงฆ์ สังฆสภามีอำ นาจตั้งคณะกรรมาธิการได้ ๒ รูปแบบ แต่มีหลายคณะได้ คือ ๑) คณะกรรมาธิการสามัญ ๒) คณะกรรมาธิการวิสามัญ
สมัยรัตนโกสินทร์ 31 ๓. องค์กรบริหารการคณะสงฆ์ ๑) องค์กรบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลาง ได้แก่ ศูนย์กลางการบริหาร การคณะสงฆ์และการพระศาสนา เฉพาะกิจการรวมทั่วไปอยู่ในความรับผิดชอบของ คณะสังฆมนตรี ซึ่งมีสังฆนายกเป็นหัวหน้า จัดงานลักษณะเดียวกันเข้าในองค์กรหรือ หน่วยงานหนึ่งๆ แยกหน่วยงานหลักเป็น ๔ องค์การ คือ (๑) องค์การปกครอง (๒) องค์การศึกษา (๓) องค์การเผยแผ่ (๔) องค์การสาธารณูปการ แต่ละองค์การมีสังฆมนตรีว่าการรูปหนึ่ง เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ และ มีสังฆมนตรีช่วยว่าการ เป็นผู้ช่วยบังคับบัญชารับผิดชอบ มีเลขานุการสังฆมนตรี เป็นผู้สนอง งานการเลขานุการ และมีหัวหน้าพระธรรมธร และผู้ช่วยหัวหน้าพระธรรมธร อยู่ในสังกัด องค์การปกครอง อนึ่ง การบริหารการคณะสงฆ์ในส่วนกลางนี้ ยังมีองค์กรพิเศษอีก ๑ องค์กร คือ กรรมการสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ (ก.ส.พ.) ซึ่งมีสังฆนายกเป็นประธาน ก.ส.พ. และมีสังฆมนตรีรูปหนึ่งเป็นเลขาธิการ ก.ส.พ. ๒) องค์กรบริหารการคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ได้แก่ พื้นที่หรือเขตบริหาร การคณะสงฆ์และการพระศาสนาในส่วนภูมิภาค มี ๔ ชั้น คือ (๑) ภาค มีเจ้าคณะตรวจการเป็นผู้บังคับบัญชา และมีเจ้าคณะตรวจการ ผู้ช่วย เป็นผู้ช่วย (๒) จังหวัด มีกรรมการสงฆ์ประจำองค์การทั้ง ๔ โดยมีเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งสังกัดองค์การปกครอง เป็นประธานคณะกรรมการสงฆ์ และให้มี พระธรรมธรจังหวัด อยู่ในสังกัดองค์การปกครอง (๓) อำ เภอ มีกรรมการสงฆ์ประจำ องค์การทั้ง ๔ โดยมีเจ้าคณะอำ เภอ ซึ่งสังกัดองค์การปกครอง เป็นประธานคณะกรรมการสงฆ์ (๔) ตำ บล มีเจ้าคณะตำ บลเป็นผู้บังคับบัญชา
32 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๓) วัด เป็นองค์กรตํ่าสุดและเป็นองค์กรหลัก เป็นฐานรองรับกิจการคณะสงฆ์ และการพระศาสนา เป็นหน่วยบริหารและจัดกิจการโดยตรง มีเจ้าอาวาส เป็นผู้บังคับบัญชา รองเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นผู้ช่วย อนึ่ง ผู้ดำ รงตำแหน่งสังฆมนตรี เลขานุการสังฆมนตรี หัวหน้าพระธรรมธร และผู้ช่วยหัวหน้าพระธรรมธร จัดเป็นพระคณาธิการส่วนกลาง ส่วนเจ้าคณะตรวจการ เลขานุการเจ้าคณะตรวจการ กรรมการสงฆ์จังหวัด พระธรรมธรรมธรจังหวัด กรรมการ สงฆ์อำ เภอ เลขานุการคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด เลขานุการคณะกรรมการสงฆ์อำ เภอ เจ้าคณะตำ บล เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นพระคณาธิการส่วน ภูมิภาค ๔. องค์กรวินิจฉัยอธิกรณ์ องค์กรนี้ ทำ หน้าที่วินิจฉัยอธิกรณ์ มีประธานคณะวินัยธรเป็นผู้รับผิดชอบ ในงานธุรการของคณะวินัยธรทุกชั้น และเป็นหัวหน้าคณะวินัยธรชั้นฎีกา โดยตำ แหน่ง คณะวินัยธรมี ๓ ชั้น ซึ่งคณะวินัยธรทุกชั้นอยู่ในสังกัดสมเด็จพระสังฆราช คือ ๑) คณะวินัยธรชั้นต้น ๒) คณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์ ๓) คณะวินัยธรชั้นฎีกา
สมัยรัตนโกสินทร์ 33 โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๔๘๔๑ สมเด็จพระสังฆราช สังฆสภา คณะสังฆมนตรี คณะวินัยธร การบริหารส่วนกลาง การบริหารส่วนภูมิภาค ชั้นฎีกา องค์การปกครอง ภาค ชั้นอุทธรณ์ องค์การศึกษา จังหวัด ชั้นต้น องค์การเผยแผ่ อำ เภอ องค์การสาธารณูปการ ตำ บล วัด ๑ พระวิสุทธิโสภณ (สำ รวม ปิยธมฺโม), การปกครองคณะสงฆ์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๘๗.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลที่ ๙ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลที่ ๙
บทที่ ๔ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ การปกครองคณะสงฆ์ไทยนอกจากจะยึดหลักพระธรรมวินัยแล้ว ยังอิงอาศัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติมหาเถรสมาคม ในการสนับสนุน ส่งเสริมการบริหารคณะสงฆ์ให้เกิดความเรียบร้อยดีงามในหมู่คณะสงฆ์ และป้องกัน ภัยอันตรายจากภายนอกที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรคณะสงฆ์ ในปัจจุบันนี้ใช้พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ ในการปกครองคณะสงฆ์ ๔.๑ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ การจัดการโครงสร้างการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบันเป็นไปตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ การตราพระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดจากความ ต้องการของรัฐบาลในสมัยนั้น ซึ่งมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มุ่งปรับ เปลี่ยนรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ให้สอดคล้องกับนโยบายการปกครองประเทศของ จอมพลสฤษดิ์ ที่นิยมการรวบอำ นาจการตัดสินใจเด็ดขาดไว้กับผู้นำ ที่เข้มแข็ง จอมพลสฤษดิ์ เห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่กำ หนดให้มีการถ่วงดุลอำ นาจกันนั้นนำ มาซึ่ง ความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ดังนั้น จึงเห็นว่าการแยกอำ นาจ บัญชาการคณะสงฆ์ออกเป็น ๓ ทาง คือ สังฆสภา คณะสังฆมนตรี และคณะวินัยธร ตาม
36 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นระบบที่มีผลบั่นทอนประสิทธิภาพในการดำ เนิน กิจการคณะสงฆ์ให้ต้องประสบอุปสรรคและล่าช้า ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงได้ลงมติแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่าง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๐๓๑ เมื่อคณะกรรมการทำ งานสำ เร็จ รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภา ร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ “โดยที่การจัดดำ เนินกิจการคณะสงฆ์ มิใช่กิจการอันพึงแบ่งแยก อำ นาจดำ เนินการด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการถ่วงดุลย์แห่งอำ นาจเช่นที่ เป็นอยู่ตามกฎหมายในปัจจุบัน และโดยที่ระบบเช่นว่านั้นเป็นผลบั่นทอน ประสิทธิภาพแห่งการดำ เนินกิจการ จึงสมควรแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ ให้สมเด็จพระสังฆราชองค์สกลมหาสังฆปริณายกทรงบัญชาการคณะสงฆ์ ทางมหาเถรสมาคม ตามอำ นาจกฎหมายและพระธรรมวินัย ทั้งนี้ เพื่อความ เจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา”๒ ๔.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ๔.๒.๑ ยกเลิกพระราชบัญญัติพ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งหมายรวมถึงการยกเลิกสังฆสภา คณะสังฆมนตรี และคณะวินัยธร ส่วนอำ นาจที่องค์กรทั้งสามเคยเป็นผู้ใช้แยกจากกัน ให้ สมเด็จพระสังฆราชและมหาเถรสมาคมเป็นผู้ใช้ ๔.๒.๒ ผลที่ตามมาก็คือ การยกเลิกตำแหน่งประธานสังฆสภา สังฆนายก และ ประธานคณะวินัยธร อำ นาจหน้าที่ของตำแหน่งทั้งสามถูกรวมกันเข้าและมอบให้ประธาน กรรมการมหาเถรสมาคมเป็นผู้ใช้ ๔.๒.๓ อำ นาจสูงสุดในการบังคับบัญชาคณะสงฆ์เป็นของสมเด็จพระสังฆราช ผู้ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ใน ๒ ตำแหน่ง คือ ๑ โชติ ทองประยูร, ความเหมาะสมของกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับใหม่ : พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (กรุงเทพมหานคร : ดำ รงธรรม, ๒๕๐๘), หน้า ๒๔๕.๒ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕,ฉบับพิเศษ เล่ม ๗๙ ตอนที่ ๑๑๕, ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕, หน้า ๔๔.
สมัยรัตนโกสินทร์ 37 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
38 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ (๑) โดยตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก หรือประมุขสงฆ์ไทย ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์เอง และทรงรับผิดชอบ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘ (๒) โดยตำ แหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์ร่วมกับมหาเถรสมาคม ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ และมาตรา ๑๘ ๔.๒.๔ มหาเถรสมาคม ประกอบด้วย (๑) สมเด็จพระสังฆราชทรงดำ รงตำ แหน่งประธานกรรมการมหาเถร สมาคมโดยตำแหน่ง พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (๒) สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชา คณะมี ๘ รูป แบ่งเป็นมหานิกาย ๔ รูป และธรรมยุติกนิกาย ๔ รูป (๓) พระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งมีจำ นวนไม่ตํ่ากว่า สี่รูปและไม่เกินแปดรูปเป็นกรรมการ อยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี ตามปกติสมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งกรรมการครบทั้ง ๘ รูป จึงทำ ให้จำ นวนกรรมการมหาเถรสมาคมแต่ละชุดมี ๑๗ รูป อันประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะ ๘ รูป กรรมการที่สมเด็จพระสังฆราชทรง แต่งตั้ง ๘ รูป และสมเด็จพระสังฆราชในฐานะประธานกรรมการ ๔.๒.๕ อำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘ มีความว่า “มาตรา ๑๘ มหาเถรสมาคมมีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็น ไปโดยเรียบร้อย เพื่อการนี้ ให้มีอำ นาจตรากฎมหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับ วางระเบียบ หรือออกคำสั่งโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและพระธรรมวินัย ใช้บังคับได้”๑ จะเห็นได้ว่า อำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมตามมาตรานี้มีความหมายกว้างขวาง มาก เพราะถ้าพิจารณาเทียบเคียงกับอำ นาจหน้าที่ของสังฆสภา คณะสังฆมนตรี และ คณะวินัยธร ตามที่บัญญัติแยกอำ นาจกันไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ แล้ว จะพบว่าอำ นาจหน้าที่ต่างๆ ทั้ง ๓ ส่วนนั้นได้รวมกันเป็นอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ของ มหาเถรสมาคม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อำ นาจหน้าที่ของสังฆสภา คณะสังฆมนตรี ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕.
สมัยรัตนโกสินทร์ 39 และคณะวินัยธรในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้รวมกันเป็นอำ นาจหน้าที่ ของมหาเถรสมาคมในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉะนั้น อำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ของมหาเถรสมาคมตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๑๘ นี้ จึงมิได้หมายถึงเฉพาะอำ นาจหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์ของคณะสังฆมนตรี เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงอำ นาจหน้าที่ตราสังฆาณัติของสังฆสภา และอำ นาจหน้าที่พิจารณา วินิจฉัยอธิกรณ์ของคณะวินัยธรชั้นฎีกาอีกด้วย ๔.๓ การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ โครงสร้างการบริหารงานคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ประกาศใช้ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ สมเด็จพระสังฆราช มหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล เจ้าอาวาส
40 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มีผลใช้บังคับเป็นเวลานานถึง ๓๐ ปี จึงมี การแก้ไขเพิ่มเติมใน พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อรัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยคำ แนะนำ และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในฐานะรัฐสภา พระราชบัญญัติฉบับหลังนี้เพียงแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดปลีกย่อยของพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารและการปกครอง คณะสงฆ์แต่อย่างใด ความข้อนี้ปรากฏชัดเจนอยู่ในเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ความว่า “...โดยที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ใช้บังคับมา เป็นเวลานานแล้ว สมควรปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จ พระสังฆราช และการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช การ แต่งตั้งและถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุ อำ นาจหน้าที่และการปฏิบัติ หน้าที่ของมหาเถรสมาคม การปกครอง การสละสมณเพศของคณะสงฆ์และ คณะสงฆ์อื่น วัด การดูแลรักษาวัด ทรัพย์สินของวัด และศาสนสมบัติกลาง ตลอดจนปรับปรุงบทกำ หนดโทษให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึง จำ เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”๑ ๔.๓.๑ การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชและอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชและอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ย่อมมีข้อแตกต่างกันและมีการปรับเปลี่ยนกันไปตามยุคสมัย สำ หรับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติ ว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชและอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม ดังนี้ ๑. มาตรา ๗ กำ หนดให้คณะสงฆ์ไทยมีสมเด็จพระสังฆราชเพียงองค์เดียว ในกรณี ที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะผู้มี อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่๒) พ.ศ. ๒๕๓๕, เล่ม ๑๐๙ ตอนที่ ๑๖, ๔ มีนาคม ๒๕๓๕, หน้า ๑๑.
สมัยรัตนโกสินทร์ 41 คำ ว่า “สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์” หมายความว่า สมเด็จพระราชาคณะที่ได้รับสถาปนาเป็นพระราชาคณะชั้นสมเด็จก่อนสมเด็จพระราชาคณะ รูปอื่น ๒. มาตรา ๑๒ เพิ่มจำ นวนกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรง แต่งตั้งไม่เกินสิบสองรูป ดังนั้น คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ประกอบด้วย (๑) สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง (๒) สมเด็จพระราชาคณะทุกรูป เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ปัจจุบันมี ๘ รูป (๓) กรรมการที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง จำ นวนไม่เกิน ๑๒ รูป กรรมการมหาเถรสมาคม จำ นวนทั้งสิ้น ๒๑ รูป กรรมการมหาเถรสมาคม ตามข้อ (๑) และ (๒) ไม่มีการจำกัดวาระการดำ รงตำแหน่ง ส่วนกรรมการตามข้อ (๓) มีวาระการดำ รงตำแหน่งตามที่สมเด็จพระสังฆราชทรงประกาศแต่งตั้ง ๓. มาตรา ๑๕ ตรีกำ หนดอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมไว้ชัดเจนกว่าที่กำ หนด ไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ดังนี้ “มาตรา ๑๕ ตรี มหาเถรสมาคมมีอำ นาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม (๒) ปกครองและกำ หนดการบรรพชาสามเณร (๓) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ ของคณะสงฆ์ (๔) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา (๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือ กฎหมายอื่น เพื่อการนี้ ให้มหาเถรสมาคมมีอำ นาจตรากฎมหาเถรสมาคม ออก ข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคำสั่ง มีมติหรือออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้ง กับกฎหมายและพระธรรมวินัยใช้บังคับได้ และจะมอบให้พระภิกษุรูปใด
42 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ หรือคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๑๙ เป็นผู้ใช้อำ นาจ หน้าที่ตามวรรคหนึ่งก็ได้”๑ ในทางปฏิบัติ มหาเถรสมาคมจะบริหารงาน ออกนโยบาย และแผนปฏิบัติการ ประจำ ปี กำกับและสั่งการการทำ งานกิจการพระพุทธศาสนาผ่านทางหน่วยงานปกครอง ในระดับต่างๆ ของทางคณะสงฆ์ คือ หน (เจ้าคณะใหญ่), ภาค (เจ้าคณะภาค), จังหวัด (เจ้าคณะจังหวัด), อำ เภอ (เจ้าคณะอำ เภอ), ตำ บล (เจ้าคณะตำ บล) และวัด (เจ้าอาวาส) ซึ่งเป็นการร่วมกันทำ งานอย่างเป็นระบบ อำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ เกี่ยวข้องกับการควบคุมและส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์ที่เคยเป็นอำ นาจหน้าที่ ของสังฆมนตรี๒ ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มหาเถรสมาคมในปัจจุบัน มีอำ นาจหน้าที่เกี่ยวกับงานคณะสงฆ์ ๖ ประเภท คือ ๑) การปกครอง ๒) การศาสนศึกษา ๓) การศึกษาสงเคราะห์ ๔) การเผยแผ่ ๕) การสาธารณูปการ ๖) การสาธารณสงเคราะห์ ถ้าตัดข้อ ๓ และข้อ ๖ ออกไป ที่เหลืออีก ๔ ข้อก็คืองานในความรับผิดชอบของ สังฆมนตรีแห่งองค์การทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ นั่นเอง การบริหารงานของมหาเถรสมาคม เป็นไปในลักษณะที่ว่ากรรมการทั้งหมดร่วมกัน รับผิดชอบงานทั้ง ๖ ประเภท โดยไม่มีการมอบหมายให้กรรมการรูปใดรูปหนึ่งทำ หน้าที่ เพื่อกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗. ๒ สังฆมนตรีประกอบด้วย (๑) สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง (๒) สังฆมนตรีว่าการ องค์การศึกษา (๓) สังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่ และ (๔) สังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ
สมัยรัตนโกสินทร์ 43 อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมานั้นเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และอำ นาจหน้าที่ของมหาเถร สมาคม ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้อำ นาจทั้งสามคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ของมหาเถรสมาคมมีการแก้ไขเล็กน้อย ๔.๓.๒ การใช้อำ นาจทางนิติบัญญัติบริหาร และตุลาการของมหาเถรสมาคม การใช้อำ นาจทั้งสามของมหาเถรสมาคมตามที่กำ หนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้ (๑) อำ นาจนิติบัญญัติของมหาเถรสมาคม ในฐานะที่ปฏิบัติหน้าที่ของสังฆสภา มหาเถรสมาคมจึงมีอำ นาจฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนี้ ๑.๑ ตรากฎมหาเถรสมาคม ๑.๒ ออกข้อบังคับมหาเถรสมาคม ๑.๓ วางระเบียบมหาเถรสมาคม ๑.๔ ออกคำสั่งมหาเถรสมาคม ๑.๕ มีมติมหาเถรสมาคม ๑.๖ ออกประกาศมหาเถรสมาคม (๒) อำ นาจบริหารของมหาเถรสมาคม โดยที่อำ นาจการปกครองและบริหาร กิจการคณะสงฆ์ของคณะสังฆมนตรีเดิมได้ตกเป็นอำ นาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม มหาเถร สมาคมจึงมีอำ นาจหน้าที่ด้านการบริหาร ดังนี้ ๒.๑ จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ๒.๒ จัดแบ่งเขตการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ๒.๓ จัดตำแหน่งผู้ปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ๒.๔ แต่งตั้งและถอดถอนผู้ปกครองคณะสงฆ์ อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติไว้ ในมาตรา ๑๙ ให้อำ นาจมหาเถรสมาคมแต่งตั้งคณะกรรมการหรืออนุกรรมการเพื่อช่วยงาน มหาเถรสมาคม ดังนี้ “มาตรา ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งคณะกรรมการ หรือ คณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ ตามมติมหาเถรสมาคม ประกอบด้วย
44 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระภิกษุหรือบุคคลอื่นจำ นวนหนึ่ง มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่อง ที่จะเสนอต่อมหาเถรสมาคมและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่มหาเถรสมาคม มอบหมาย โดยขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม”๑ บทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติฉบับนี้ กำ หนดให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการหรืออนุกรรมการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ หรือตามกฎมหาเถร สมาคมยังคงดำ รงตำ แหน่ง หรือปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนครบวาระการดำ รงตำ แหน่งหรือ จนกว่ามหาเถรสมาคมจะมีมติเป็นประการอื่น เนื่องจากปริมาณงานในความรับผิดชอบของมหาเถรสมาคมมีมากเกินกว่าที่ กรรมการมหาเถรสมาคมจะดำ เนินการให้สำ เร็จลุล่วงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มหาเถรสมาคมได้ออกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ ว่าด้วยระเบียบการประชุม มหาเถรสมาคม ให้อำ นาจมหาเถรสมาคมแต่งตั้งคณะกรรมการหรืออนุกรรมการช่วยงาน มหาเถรสมาคม ในลักษณะเดียวกันกับกรรมการเฉพาะกิจเป็นกรรมการประจำ หรือชั่วคราว ก็ได้ ในการแต่งตั้งคณะกรรมการหรืออนุกรรมการนี้ กรรมการมหาเถรสมาคมรูปใดรูปหนึ่ง เป็นประธานโดยตำแหน่ง คณะกรรมการหรืออนุกรรมการมีอำ นาจหน้าที่ดำ เนินการตาม ที่ได้รับมอบหมายจากมหาเถรสมาคม คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการที่มหาเถรสมาคม แต่งตั้ง เช่น - คณะกรรมการการศึกษาของสงฆ์ - คณะกรรมการอำ นวยการพระธรรมทูต - คณะอนุกรรมการร่างกฎมหาเถรสมาคม - คณะอนุกรรมการร่างกฎนิคหกรรม - คณะอนุกรรมการศูนย์ควบคุมไปต่างประเทศของพระภิกษุสามเณร (ศ.ต.ภ.) - คณะอนุกรรมการจัดตั้งทุนสาธารณสงเคราะห์และศึกษาสงเคราะห์ ส่วนการจัดระเบียบการปกกรองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคเป็นไปตามความ ในมาตรา ๒๒ และ ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่กำ หนดตำแหน่ง พระสังฆาธิการ หรือผู้ปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับชั้น ดังนี้ ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘.
สมัยรัตนโกสินทร์ 45 - เจ้าคณะภาค - เจ้าคณะจังหวัด - เจ้าคณะอำ เภอ - เจ้าคณะตำ บล - เจ้าอาวาส มีข้อน่าสังเกตว่า ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ๔ ตำแหน่ง คือ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุติกนิกาย เคยรวมกันเป็นมหาเถรสมาคมตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ ลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ต่อมาตำแหน่งทั้ง ๔ ได้ถูกยกเลิกโดยพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ทั้งนี้เพื่อรวมคณะสงฆ์มหานิกายกับคณะธรรมยุติกนิกาย เข้าด้วยกัน แต่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไม่มีมาตราใดกล่าวถึงตำแหน่ง เจ้าคณะทั้ง ๔ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีตำแหน่งดังกล่าวอยู่ในการจัดองค์กรการปกครอง คณะสงฆ์ ปัจจุบันตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ทั้ง ๔ ยังคงมีอยู่ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์๑ และนั่นก็หมายถึงว่า คณะสงฆ์ มหานิกายกับคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายแยกกันปกครองอย่างเป็นอิสระจากกันภายใต้ องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์เดียวกัน คือ มหาเถรสมาคม ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ คณะสงฆ์มหานิกายและคณะสงฆ์ ธรรมยุติกนิกาย มีองค์กรปกครองสูงสุดร่วมกัน คือ มหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคม ครึ่งหนึ่งมาจากคณะมหานิกาย และที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งมาจากคณะธรรมยุติกนิกาย ทั้งหมด รวมกันเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม มีอำ นาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ตามกฎหมาย ดังนั้น ในระดับมหาเถรสมาคม เป็นการปกครองร่วมกัน โดยถือนโยบายเดียวกัน แต่แยกกันปกครอง ในระดับตํ่ากว่ามหาเถรสมาคม ดังจะเห็นได้จากกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ข้อ ๔ ความว่า ๑ ปัจจุบันประกาศใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบ การปกครองคณะสงฆ์
46 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ “การปกครองคณะสงฆ์ทุกส่วนทุกชั้น ให้มีเจ้าคณะมหานิกาย และเจ้าคณะธรรมยุตปกครองบังคับบัญชาวัดและพระภิกษุสามเณร ในนิกายนั้นๆ”๑ ข้อนี้หมายความว่า ในขณะที่คณะสงฆ์มหานิกายแบ่งสายการปกครองบังคับ บัญชาเป็นเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล และเจ้าอาวาส ฝ่ายมหานิกายปกครองดูแลกิจการคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายก็แบ่ง สายการปกครองทุกตำ แหน่งตั้งแต่เจ้าคณะภาคถึงเจ้าอาวาส ฝ่ายธรรมยุตปกครองดูแล กิจการคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตคู่ขนานกันไป แม้ว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จะไม่ได้กล่าวถึงตำ แหน่ง เจ้าคณะใหญ่ไว้ก็จริง แต่กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ข้อ ๖ ได้เพิ่มตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่เข้ามาในองค์กรการปกครองคณะสงฆ์ และมีการแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่เรื่อยมา จนกระทั่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติให้มีตำ แหน่ง เจ้าคณะใหญ่ไว้ดังนี้ “มาตรา ๒๐ ทวิ เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครอง คณะสงฆ์ การแต่งตั้งและการกำ หนดอำ นาจหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ ให้เป็น ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม”๒ เจ้าคณะใหญ่ปกครองบังคับบัญชาเจ้าคณะภาค แบ่งออกเป็นเจ้าคณะใหญ่ ฝ่ายมหานิกายและเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุต มีอำ นาจบังคับบัญชาสูงสุดในคณะสงฆ์แต่ละ นิกาย ในสายการบังคับบัญชา เจ้าคณะใหญ่ยังต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม แต่ในทางปฏิบัติเจ้าคณะใหญ่มักเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมอีกตำแหน่งหนึ่ง เจ้าคณะใหญ่ ทั้ง ๕ มีเขตการปกครอง ดังนี้ ๑ พระวิสุทธิภัทรธาดา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎมหาเถรสมาคม, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๑๑.๒ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕, หน้า ๘.
สมัยรัตนโกสินทร์ 47 (๑) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปฏิบัติหน้าที่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ มหานิกาย ประกอบด้วย ภาค ๑, ๒, ๓, ๑๓, ๑๔ และ ๑๕ (๒) เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ มหานิกาย ประกอบด้วย ภาค ๔, ๕, ๖ และ ๗ (๓) เจ้าคณะใหญ่หนใต้ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์มหานิกาย ประกอบด้วย ภาค ๑๖, ๑๗ และ ๑๘ (๔) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ปฏิบัติหน้าที่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ มหานิกาย ประกอบด้วย ภาค ๘, ๙, ๑๐, ๑๑ และ ๑๒ (๕) เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ปฏิบัติหน้าที่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ธรรมยุตทุกภาค (๓) อำ นาจตุลาการของมหาเถรสมาคม การพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์หรือ คดีความในคณะสงฆ์ ซึ่งเดิมเคยเป็นอำ นาจหน้าที่ของคณะวินัยธร เป็นอำ นาจหน้าที่ของ มหาเถรสมาคมตามความพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๒๕ ที่บัญญัติ ให้มหาเถรสมาคมมีอำ นาจตรากฎมหาเถรสมาคมกำ หนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้การลงนิคหกรรมหรือการลงโทษเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวดเร็วและเป็นธรรม มหาเถรสมาคมอาศัยอำ นาจตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตรากฎ มหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม กฎมหาเถรสมาคมนี้ แบ่งอำ นาจการพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ออกเป็น ๓ ชั้น คือ ๓.๑ การพิจารณาชั้นต้น เป็นอำ นาจของเจ้าอาวาสวัดที่พระภิกษุผู้ถูกฟ้อง สังกัดอยู่ ถ้าผู้ถูกฟ้องเป็นเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะ ก็ให้เป็นอำ นาจของเจ้าคณะหรือผู้ปกครอง คณะสงฆ์เหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ๓.๒ การพิจารณาชั้นอุทธรณ์ เป็นอำ นาจของคณะสงฆ์ผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าคณะหรือผู้ปกครองเหนือชั้นขึ้นไปกว่าเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะผู้พิจารณา ในชั้นต้น ๓.๓ การพิจารณาชั้นฎีกา เป็นอำ นาจของมหาเถรสมาคม คำ สั่งหรือ คำ วินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในการลงนิคหกรรม ไม่ว่าในกรณีใดให้เป็นอันถึงที่สุด ในกรณีนี้ มหาเถรสมาคมมีอำ นาจเช่นเดียวกับคณะวินัยธรชั้นฎีกา แต่มหาเถรสมาคม มีอำ นาจมากกว่าคณะวินัยธรชั้นฎีกาตรงที่มีอำ นาจนิติบัญญัติและอำ นาจบริหารอยู่ในมือด้วย
48 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ และในบางกรณีมหาเถรสมาคมมีอำ นาจวินิจฉัยหรือออกคำสั่งโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา ชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ โดยอาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่ว่า “มาตรา ๒๗ พระภิกษุใดต้องคำวินิจฉัยให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้นหรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ หรือไม่สังกัดอยู่วัดใดวัดหนึ่ง กับทั้งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มหาเถรสมาคม มีอำ นาจวินิจฉัยและมีคำสั่งให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ พระภิกษุผู้ต้องคำ วินิจฉัยให้สละสมณเพศตามความในวรรคก่อน ต้องสึกภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น”๑ “มาตรา ๔๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ วรรคสอง หรือ มาตรา ๒๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน”๒ คือ ไม่ยอมสึกภายใน เจ็ดวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคม อย่างไรก็ตาม ความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นี้ได้ ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๗ เมื่อพระภิกษุใดต้องด้วยกรณีข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องคำวินิจฉัยตามมาตรา ๒๕ ให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก แต่ไม่ ยอมรับนิคหกรรมนั้น (๒) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ (๓) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง (๔) ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้ภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดในกฎ มหาเถรสมาคม ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕, เล่มที่ ๗๙ ตอนที่ ๑๑๕ ฉบับพิเศษ, ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕, หน้า ๓๘.๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๒.
สมัยรัตนโกสินทร์ 49 พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามวรรคสอง ต้องสึกภายใน สามวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น”๑ มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่ได้ให้อำ นาจ มหาเถรสมาคมในอันที่จะวินิจฉัยหรือออกคำ สั่งให้พระภิกษุผู้มีความผิดด้วยกรณีข้อใด ข้อหนึ่งใน ๔ กรณีข้างบนต้องสละสมณเพศ แต่มาตรา ๒๗ นี้ ให้อำ นาจมหาเถรสมาคม ตรากฎมหาเถรสมาคมเพื่อกำ หนดหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการจัดการให้พระภิกษุผู้มี ความผิดตามกรณีข้างบนสละสมณเพศ คำ วินิจฉัยให้สละสมณเพศไม่จำ เป็นต้องออกมา จากมหาเถรสมาคม แต่คำ วินิจฉัยนั้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดไว้ใน กฎมหาเถรสมาคม ยิ่งไปกว่านั้น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๕ จัตวา ให้อำ นาจมหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมเพื่อควบคุมความประพฤติของ พระภิกษุสามเณร ดังนี้ “มาตรา ๑๕ จัตวา เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความ เรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจะตรากฎมหาเถรสมาคม เพื่อ กำ หนดโทษหรือวิธีลงโทษทางการปกครองสำ หรับพระภิกษุและสามเณรที่ ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ ก็ได้ พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่งถึงขั้นให้สละสมณเพศ ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ”๒ ๔.๓.๓ ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร การที่ฝ่ายรัฐบาลได้ตรา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ออกบังคับใช้ได้เป็นประจักษ์พยานอย่างดีที่แสดงถึง ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักร ด้วยการออกพระราชบัญญัติฉบับนี้ รัฐบาล ได้ชื่อว่าให้การอุปถัมภ์แก่คณะสงฆ์ ทั้งนี้ เพราะคณะสงฆ์ไม่มีอำ นาจลงโทษพระภิกษุ ผู้ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยขั้นร้ายแรงและไม่ยอมสละสมณเพศ ทั้งไม่มีอำ นาจ ลงโทษผู้ใส่ความคณะสงฆ์ หากคณะสงฆ์ปล่อยไว้ย่อมจะนำความเสื่อมเสียมาสู่คณะสงฆ์ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่๒) พ.ศ. ๒๕๓๕, เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๖, ๔ ธันวาคม ๒๕๓๕, หน้า ๙.๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗ - ๘.
50 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ในกรณีนี้คณะสงฆ์จำ จะต้องพึ่งอำ นาจรัฐเพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระธรรมวินัย และความบริสุทธิ์แห่งพระศาสนา ดังจะเห็นได้จากมาตรา ๔๒, มาตรา ๔๓ และ มาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วโดย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ใช้มาตราต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๒ ผู้ใดมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอน จากความเป็นพระอุปัชฌาย์ตามมาตรา ๒๓ แล้วกระทำ การบรรพชา อุปสมบทแก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี มาตรา ๔๓ ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีคำ วินิจฉัยตามมาตรา ๒๕ หรือไม่ก็ตาม แต่มารับบรรพชา อุปสมบทใหม่ โดยกล่าวความเท็จหรือปิดบังความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี มาตรา ๔๔ ทวิ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๔๔ ตรี ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่น อันอาจก่อให้ เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ”๑ มาตราเหล่านี้แสดงถึงการที่คณะสงฆ์ไทยได้รับการคุ้มครองป้องกันจากอำ นาจรัฐ แม้ว่ามหาเถรสมาคมมีอำ นาจปกครองคณะสงฆ์อย่างเต็มที่ ข้อนี้ไม่ได้หมายความ ว่าคณะสงฆ์มีอิสระจากการควบคุมกลไกของรัฐ อำ นาจฝ่ายรัฐสามารถตรวจสอบและ ควบคุมการบริหารกิจการคณะสงฆ์ได้ตลอดเวลาในนามของการอุปถัมภ์บำ รุงพระศาสนา ดังจะเห็นได้จากข้อความบางมาตราแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังต่อไปนี้ (๑) พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำ นาจในการแต่งตั้งสถาปนา และถอดถอน สมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐.
สมัยรัตนโกสินทร์ 51 (๒) พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ผู้ทรงเป็นประธานกรรมการ มหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง (มาตรา ๗ และ มาตรา ๙) (๓) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ๑ ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง (มาตรา ๑๐) (๔) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำ นาจออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการสร้างวัด การบริหารศาสนสมบัติของวัด และ วางระเบียบการปกครองคณะสงฆ์จีนนิกาย และอนัมนิกาย (มาตรา ๖, มาตรา ๓๒, มาตรา ๔๐ และมาตรา ๔๖) (๕) ในการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำ แหน่ง รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช (มาตรา ๑๙) และกรมการศาสนา๒ ทำ หน้าที่สำ นักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มาตรา ๑๓) ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แก้เป็น นายกรัฐมนตรี ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไข บทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจ หน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕๒ กรมการศาสนา แก้เป็น สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไข บทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจ หน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ว่าด้วยการโอนอำ นาจหน้าที่ของ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นอำ นาจหน้าที่ของสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
52 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ (๖) กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ทำ หน้าที่เป็นศูนย์ประสานความสัมพันธ์ ระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร ทั้งนี้เพราะอธิบดีกรมการศาสนา๑ เป็นเลขาธิการมหาเถร สมาคมโดยตำแหน่ง และกรมการศาสนาทำ หน้าที่สำ นักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม ดังนั้น การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕๒ แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งตราขึ้นในสมัยพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ โดยมีรูปแบบการปกครอง ดังนี้ ๑. ผู้บัญชาการ ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประมุข สงฆ์และเป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์สูงสุด ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม ตาม อำ นาจแห่งกฎหมายและพระธรรมวินัย ทั้งนี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา ๒. องค์กรปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง ประกอบด้วย ๑) มหาเถรสมาคม ได้แก่ องค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด ซึ่งเป็นองค์กรหลัก ประกอบด้วย (๑) สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำ รงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง (๒) สมเด็จพระราชาคณะ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง (๓) พระราชาคณะที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งไม่เกิน ๑๒ รูป เป็น กรรมการ ลักษณะดำ เนินกิจการ (๑) ประธานกรรมการ เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ๑ อธิบดีกรมการศาสนา แก้เป็น ผู้อำ นวยการสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตาม พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอน กิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ว่าด้วย การโอนอำ นาจหน้าที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นอำ นาจหน้าที่ของสำ นักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ๒ พระธรรมปริยัติโสภณ, วิทยาพระสังฆาธิการ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๕๒), หน้า ๘-๑๐.
สมัยรัตนโกสินทร์ 53 (๒) อธิบดีกรมการศาสนา เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม โดยตำ แหน่ง (ปัจจุบัน ผู้อำ นวยการสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการ มหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง) (๓) กรมการศาสนาทำ หน้าที่สำ นักงานเลขาธิการ (ปัจจุบันเป็น สำ นักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ) (๔) องค์กรย่อย เป็นหน่วยบริหารและจัดกิจการแทน ๒) องค์กรย่อยในส่วนกลาง (๑) เขตปกครองคณะสงฆ์ ได้แก่ เขตปกครองสงฆ์ในนิกายนั้นๆ แยกตาม คณะ ดังนี้ ๑) หน (มหานิกาย) เจ้าคณะใหญ่เป็นผู้บังคับบัญชา และ ๒) คณะ (ธรรมยุต) เจ้าคณะใหญ่เป็นผู้บังคับบัญชา มีเลขานุการสนองงานเลขานุการ เฉพาะเจ้าคณะใหญ่ จัดเป็นพระสังฆาธิการ (๒) คณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ของมหาเถรสมาคม ก.คณะกรรมการฝ่ายปกครอง ข.คณะกรรมการฝ่ายศาสนศึกษา ค.คณะกรรมการฝ่ายศึกษาสงเคราะห์ ง. คณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนา จ.คณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการ ฉ.คณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ (๓) กองงาน ก.กองบาลีสนามหลวง ข.กองธรรมสนามหลวง ค.กองงานพระธรรมทูต ง. ศูนย์ควบคุมการไปต่างประเทศสำ หรับพระภิกษุสามเณร (ศ.ต.ภ.)
54 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ๓. องค์กรปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ได้แก่ เขตปกครองคณะสงฆ์ในส่วน ภูมิภาค มี ๔ ชั้น คือ ๑) ภาค ได้แก่ พื้นที่ที่รวมหลายจังหวัดเข้าเป็นภาค มีเจ้าคณะภาคเป็นผู้บังคับ บัญชา และรองเจ้าคณะภาคเป็นผู้ช่วย ๒) จังหวัด ได้แก่ พื้นที่ที่รวมหลายอำ เภอเข้าเป็นจังหวัด มีเจ้าคณะจังหวัด เป็นผู้บังคับบัญชา และรองเจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้ช่วย ๓) อำ เภอ ได้แก่ พื้นที่ที่รวมหลายตำ บลเข้าเป็นอำ เภอ มีเจ้าคณะอำ เภอเป็น ผู้บังคับบัญชา และรองเจ้าคณะอำ เภอเป็นผู้ช่วย ๔) ตำ บล ได้แก่ พื้นที่ที่รวมหลายวัดเข้าเป็นตำ บล มีเจ้าคณะตำ บลเป็น ผู้บังคับบัญชา และรองเจ้าคณะตำ บลเป็นผู้ช่วย ๔. วัด เป็นองค์กรตํ่าสุดและเป็นองค์กรหลัก และมีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นฐาน รองรับกิจการคณะสงฆ์และการพระศาสนา เป็นหน่วยบริหารและจัดกิจกรรมโดยตรง มี เจ้าอาวาสเป็นผู้บังคับบัญชา รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นผู้ช่วยในกิจการทั่วไป ไวยาวัจกรเป็นผู้ช่วยงานการศาสนสมบัติ
บทที่ ๕ ตำแหน่งผู้ปกครองคณะสงฆ์ พระคณาธิการ และพระสังฆาธิการ สองคำ นี้เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ สังฆาณัติ และกฎมหาเถรสมาคม โดยพระคณาธิการมีกล่าวถึงครั้งแรกตามสังฆาณัติระเบียบ พระคณาธิการ พ.ศ. ๒๔๘๖ ซึ่งปัจจุบันได้ยกเลิกแล้ว ส่วนพระสังฆาธิการในปัจจุบัน คือ พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งการปกครองทางคณะสงฆ์ไทย นับตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไปจนถึง เจ้าคณะใหญ่ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอน พระสังฆาธิการ พระภิกษุที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆาธิการได้ จะต้องมีพรรษาสมควรแก่ตำแหน่ง มีความรู้ ความสามารถ ประพฤติเรียบร้อยตามพระธรรมวินัย สุขภาพร่างกายแข็งแรง และไม่เคยถูกลงโทษมาก่อน ตำแหน่งพระสังฆาธิการจึงถือว่ามีความหมายและมีความสำคัญ ต่อการปกครองคณะสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง ๕.๑ พระคณาธิการ พระคณาธิการ๑ เป็นตำ แหน่งผู้บริหารการคณะสงฆ์ ตามสังฆาณัติระเบียบ พระคณาธิการ ซึ่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้บัญญัติสังฆาณัติระเบียบ ๑ พระธรรมปริยัติโสภณ, วิทยาพระสังฆาธิการ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๕๒), หน้า ๒๐ - ๒๑.
56 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระคณาธิการ พ.ศ. ๒๔๘๖ กำ หนดตำแหน่งพระภิกษุผู้บริหารคณะสงฆ์ว่า “พระคณาธิการ” โดยรวมคำ ว่า “พระ” “คณะ” และ “อธิการ” เป็น “พระคณาธิการ” หมายความว่า “พระผู้มีอำ นาจสิทธิขาดในการบริหารการคณะสงฆ์” มี ๒ ประเภท คือ ๕.๑.๑ พระคณาธิการส่วนกลาง ประกอบด้วย (๑) สังฆมนตรี (๒) เลขานุการสังฆมนตรี (๓) หัวหน้าพระธรรมธร และผู้ช่วยหัวหน้าพระธรรมธร ส่วนกลาง สังฆมนตรี ประกอบด้วยตำแหน่ง สังฆนายก สังฆมนตรีว่าการ สังฆมนตรี ช่วยว่าการ และสังฆมนตรี ระเบียบบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลาง มี ๔ องค์การ คือ องค์การปกครอง องค์การ ศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ และโดยสังฆาณัติ มีกรรมการสังฆาณัติ ระเบียบพระคณาธิการ (ก.ส.พ.) เช่นเดียวกับสำ นักงาน ก.พ. ของทางราชอาณาจักรและโดย กติกาสงฆ์ มีหัวหน้าพระธรรมธร และผู้ช่วยหัวหน้าพระธรรมธร อยู่ในสังกัดองค์การปกครอง ๕.๑.๒ พระคณาธิการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย (๑) เจ้าคณะตรวจการภาค (๒) เลขานุการเจ้าคณะตรวจการ (๓) กรรมการสงฆ์จังหวัด (๔) พระธรรมธรจังหวัด (๕) เลขานุการคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด (๖) กรรมการสงฆ์อำ เภอ (๗) เลขานุการคณะกรรมการสงฆ์อำ เภอ (๘) เจ้าคณะตำ บล (๙) เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ส่วนภูมิภาค ชั้นจังหวัดและอำ เภอ มีกรรมการสงฆ์ประจำองค์การทั้ง ๔ คือ (๑) เจ้าคณะจังหวัด - เจ้าคณะอำ เภอ ประจำ องค์การปกครอง และมี พระธรรมธรจังหวัด ซึ่งสังกัดองค์การการปกครองรวมอยู่ด้วย (๒) ศึกษาจังหวัด-ศึกษาอำ เภอ ประจำองค์การศึกษา
สมัยรัตนโกสินทร์ 57 (๓) เผยแผ่จังหวัด-เผยแผ่อำ เภอ ประจำองค์การเผยแผ่ (๔) สาธารณูปการจังหวัด - สาธารณูปการอำ เภอ ประจำ องค์การ สาธารณูปการ รวมเรียกว่า คณะกรรมการสงฆ์จังหวัด คณะกรรมการสงฆ์อำ เภอ มีเลขานุการ คณะกรรมการสงฆ์ในชั้นนั้นๆ ส่วนเจ้าคณะตำ บล เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสมิได้กำ หนด ให้บริหารโดยรูปคณะกรรมการสงฆ์ การดำ เนินกิจการคณะสงฆ์ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ทั้ง พระคณาธิการส่วนกลาง และพระคณาธิการส่วนภูมิภาค บริหารงานในลักษณะองค์การ ทั้ง ๔ คือ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ เท่านั้น ส่วนงานบัญญัติสังฆาณัติเป็นภาระหน้าที่ของสังฆสภา งานวินิจฉัยอธิกรณ์เป็น ภาระหน้าที่ของคณะวินัยธร ซึ่งแบ่งแยกกันดำ เนินการเพื่อให้เกิดความถ่วงดุลอำ นาจ ดังเช่นทางราชอาณาจักร พระภิกษุผู้ดำ รงตำแหน่งสมาชิกสังฆสภา ประธานสังฆสภา รองประธานสังฆสภา หัวหน้าคณะวินัยธร ประธานคณะวินัยธร และพระวินัยธร มิได้เป็นพระคณาธิการ เพราะ มิใช่ผู้บริหารคณะสงฆ์ ๕.๒ พระสังฆาธิการ พระสังฆาธิการ๑ เป็นคำ รวมตำแหน่งพระภิกษุผู้ปกครองคณะสงฆ์ ตามพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ เริ่มใช้มาแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ จนถึงปัจจุบัน โดยมีกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ กำ หนดนามเป็นครั้งแรก โดย เปลี่ยนคำว่า “พระคณาธิการ” มาเป็น “พระสังฆาธิการ” ให้สอดคล้องกับลักษณะการ ดำ เนินกิจการคณะสงฆ์ รวมคำว่า “พระ”“สังฆ” และ “อธิการ” เป็น “พระสังฆาธิการ” ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๒.
58 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ แปลตามรูปศัพท์ว่า “พระภิกษุผู้ทำงานโดยสิทธิขาดในทางคณะสงฆ์”“พระภิกษุผู้ทำงาน คณะสงฆ์โดยมีอำ นาจเต็มตามตำแหน่ง” ซึ่งในบทบัญญัติว่า พระสังฆาธิการ หมายถึง “พระภิกษุผู้ดำ รงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์” ดังนั้น พระสังฆาธิการ หมายถึง พระภิกษุผู้มีตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ไทย นับตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไปจนถึงเจ้าคณะภาค๑ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ ๔ กำ หนดตำแหน่งที่ พระภิกษุจะดำ รงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ ดังนี้ (๑) เจ้าคณะใหญ่ (๒) เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค (๓) เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด (๔) เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ (๕) เจ้าคณะตำ บล รองเจ้าคณะตำ บล (๖) เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะและเจ้าอาวาสดังกล่าวนี้ เป็นผู้ทำ งานคณะสงฆ์อย่างมีอำ นาจเต็ม ตามกฎหมาย และครอบคลุมงานทุกส่วนในเขตปกครองหรือในวัด ส่วนรองเจ้าคณะ รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส จะมีอำ นาจหน้าที่เต็มตามตำ แหน่ง ก็ต่อเมื่อได้รับ การมอบหมาย จึงบัญญัตินามว่า “พระสังฆาธิการ” ซึ่งเทียบได้กับข้าราชการของฝ่าย ราชอาณาจักร ส่วนเลขานุการเจ้าคณะและเลขานุการรองเจ้าคณะ ไม่ได้เป็นพระสังฆาธิการ เป็นเพียงผู้ทำการเลขานุการ ๕.๓ ความต่างกันระหว่าง “พระคณาธิการ” กับ “พระสังฆาธิการ” “พระคณาธิการ”๒ เป็นนามบัญญัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, (กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖), หน้า ๑๒๐๐. (เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔)๒ พระธรรมปริยัติโสภณ, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 59 มีอำ นาจหน้าที่เฉพาะการบริหารการคณะสงฆ์และการพระศาสนาตามที่กำ หนดในองค์การ ทั้ง ๔ คือ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ ในส่วนภูมิภาค เจ้าคณะตรวจการและเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาคต่างๆ ก็เพียงทำ หน้าที่ควบคุม สั่งการ และแนะนำ ชี้แจง กิจการอันเกี่ยวกับการบริหารการคณะสงฆ์ให้เป็น ไปตามพระธรรมวินัย สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ กฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบ ในชั้นจังหวัดและชั้นอำ เภอ ได้แยกหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์เป็นองค์การ มี กรรมการสงฆ์ประจำองค์การ โดยเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด เจ้าคณะอำ เภอเป็นประธานคณะกรรมการสงฆ์อำ เภอ แม้ในตอนสุดท้ายแห่งการใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ในชั้นภาค ก็ได้กำ หนดให้มี เจ้าคณะตรวจการประจำองค์การดังเช่นชั้นจังหวัดและอำ เภอ แต่ยังมิได้แต่งตั้งเจ้าคณะ ตรวจการประจำองค์การตามที่กำ หนดขึ้นใหม่ ก็ถูกยกเลิกเสีย ในชั้นตำ บลและชั้นวัด เจ้าคณะตำ บลและเจ้าอาวาส คงรับปฏิบัติหน้าที่งานของ ทุกองค์การ ส่วน “พระสังฆาธิการ”๑ เป็นนามบัญญัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มีอำ นาจหน้าที่ในการ ปกครองคณะสงฆ์ในเขตปกครองของตน คือ บริหารการคณะสงฆ์และการพระศาสนาตาม ที่กำ หนดใน ๔ องค์การเดิม แต่มิได้จัดเป็นองค์การ ซึ่งเป็นตัวองค์กรบริหาร คงยึดเอาเฉพาะ ลักษณะงานในองค์การนั้นๆ เปลี่ยนเรียกว่า “การ” กล่าวคือ ๑. การรักษาความเรียบร้อยดีงาม (เดิมคืองานในองค์การปกครอง) ๒. การศาสนศึกษา (เดิมคืองานในองค์การศึกษา) ๓. การเผยแผ่พระพุทธศาสนา (เดิมคืองานในองค์การเผยแผ่) ๔. การสาธารณูปการ ๕. เพิ่มการศึกษาสงเคราะห์และการสาธารณสงเคราะห์ พร้อมทั้งเอาการนิคหกรรม (เดิมคือการวินิจฉัยอธิกรณ์) รวมเข้าอยู่ในอำ นาจหน้าที่เจ้าคณะชั้นนั้นๆ เพื่อมิให้เกิด ๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๒.
60 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ความถ่วงดุลแห่งอำ นาจดังเช่นกฎหมายฉบับเดิม เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม ได้กำ หนดให้มีรองเจ้าคณะ เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะในชั้นนั้นๆ อีกส่วนหนึ่ง แม้ในส่วนวัด ก็ให้มีรองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนั้นๆ ๕.๔ คุณสมบัติพระสังฆาธิการ คุณสมบัติพระสังฆาธิการ คือ คุณความดีเฉพาะตัวของผู้จะได้รับแต่งตั้งให้เป็น พระสังฆาธิการ หรือ ของผู้จะดำ รงตำ แหน่งพระสังฆาธิการ แยกเป็น ๒ ลักษณะ คือ คุณสมบัติทั่วไป และคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง ๕.๔.๑ คุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติทั่วไป ลักษณะแรกตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ ๖ พระภิกษุผู้จะดำ รงตำแหน่งตามข้อ ๔ ต้องมีคุณสมบัติทั่วไปดังนี้ ๑. มีพรรษาสมควรแก่ตำแหน่ง ๒. มีความรู้สมควรแก่ตำแหน่ง ๓. มีความประพฤติเรียบร้อยตามพระธรรมวินัย ๔. เป็นผู้ฉลาดสามารถในการปกครองคณะสงฆ์ ๕. ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคเรื้อน หรือเป็นวัณโรคในระยะอันตรายจนเป็นที่น่ารังเกียจ ๖. ไม่เคยต้องคำวินิจฉัยลงโทษในอธิกรณ์ที่พึงรังเกียจมาก่อน ๗. ไม่เคยถูกถอดถอนหรือถูกปลดจากตำแหน่งใด เพราะความผิดมาก่อน ๕.๔.๒ คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง ลักษณะที่สองมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังความในกฎ มหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ดังนี้ (๑) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ตามข้อ ๗ คือ พระภิกษุผู้จะดำ รง ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๓๐ และ (๒) มีสมณศักดิ์ไม่ตํ่ากว่ารองสมเด็จพระราชาคณะ
สมัยรัตนโกสินทร์ 61 ตราประทับตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ตราประทับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ตราประทับตำแหน่งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาค ๑๒ ตราประทับตำแหน่งเจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะอำ เภอบางปะกง ตราประทับตำแหน่งเจ้าคณะปกครอง
62 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ (๒) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะภาค ตามข้อ ๑๐ คือ พระภิกษุผู้จะดำ รง ตำแหน่งเจ้าคณะภาค ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๒๐ และ (๒) กำลังดำ รงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาคนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๒ ปี หรือ (๓) กำลังดำ รงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดในภาคนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๔ ปี หรือ (๔) มีสมณศักดิ์ไม่ตํ่ากว่าพระราชาคณะชั้นเทพ หรือ (๕) เป็นพระราชาคณะซึ่งเป็นพระคณาจารย์เอก หรือเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค (๓) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ตามข้อ ๑๔ คือ พระภิกษุผู้จะดำรง ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๑๐ กับมีสำ นักอยู่ในเขตจังหวัดนั้น และ (๒) กำลังดำ รงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๒ ปี หรือ (๓) กำลังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำ เภอในจังหวัดนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๔ ปี หรือ (๔) มีสมณศักดิ์ไม่ตํ่ากว่าพระราชาคณะชั้นสามัญ หรือเป็นพระคณาจารย์โท ขึ้นไป หรือเป็นเปรียญธรรมไม่ตํ่ากว่า ๖ ประโยค (๔) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะอำ เภอ ตามข้อ ๑๘ คือ พระภิกษุผู้จะดำรง ตำแหน่งเจ้าคณะอำ เภอ ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๑๐ กับมีสำ นักอยู่ในเขตจังหวัดนั้น และ (๒) กำลังดำ รงตำแหน่งรองเจ้าคณะอำ เภอนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๒ ปี หรือ (๓) กำลังดำ รงตำแหน่งเจ้าคณะตำ บลในอำ เภอนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๔ ปี หรือ (๔) มีสมณศักดิ์ไม่ตํ่ากว่าชั้นสัญญาบัตร หรือเป็นพระคณาจารย์ตรีขึ้นไป หรือ เป็นเปรียญธรรมไม่ตํ่ากว่า ๔ ประโยค (๕) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะตำ บล ตามข้อ ๒๒ คือ พระภิกษุผู้จะดำ รง ตำแหน่งเจ้าคณะตำ บล ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๕ กับมีสำ นักอยู่ในเขตอำ เภอนั้น และ (๒) กำลังดำ รงตำแหน่งรองเจ้าคณะตำ บลนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๒ ปี หรือ (๓) กำลังดำ รงตำแหน่งเจ้าอาวาสในตำ บลนั้นมาแล้วไม่ตํ่ากว่า ๔ ปี หรือ
สมัยรัตนโกสินทร์ 63 (๔) เป็นพระภิกษุมีสมณศักดิ์ หรือเป็นพระคณาจารย์ หรือเป็นเปรียญธรรม หรือเป็นนักธรรมชั้นเอก (๖) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าอาวาส ตามข้อ ๒๖ คือ พระภิกษุผู้จะดำ รง ตำแหน่งเจ้าอาวาส ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๕ และ (๒) เป็นผู้ทรงเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของบรรพชิตและคฤหัสถ์ในถิ่นนั้น (๗) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงในกรุงเทพมหานคร ตามข้อ ๒๙ คือ พระภิกษุผู้จะดำ รงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงในกรุงเทพมหานคร ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น (๑) มีพรรษาพ้น ๑๐ (๒) เป็นผู้ทรงเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของบรรพชิตและคฤหัสถ์ และ (๓) มีสมณศักดิ์ (ก) ไม่ตํ่ากว่าพระราชาคณะชั้นราช สำ หรับพระอารามหลวงชั้นเอก (ข) ไม่ตํ่ากว่าพระราชาคณะชั้นสามัญ สำ หรับพระอารามหลวงชั้นโท (ค) ไม่ตํ่ากว่าพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสชั้นเอก สำ หรับพระอารามหลวงชั้นตรี (๘) คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงในจังหวัดอื่นนอกจาก กรุงเทพมหานคร ตามข้อ ๓๐ คือ พระภิกษุผู้จะดำ รงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ (๑) มีพรรษาพ้น ๑๐ (๒) เป็นผู้ทรงเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของบรรพชิตและคฤหัสถ์ และ (๓) มีสมณศักดิ์ (ก) ไม่ตํ่ากว่าพระราชาคณะชั้นสามัญ สำ หรับพระอารามหลวงชั้นเอก (ข) ไม่ตํ่ากว่าพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสชั้นเอก สำ หรับพระอารามหลวงชั้นโท (ค) ไม่ตํ่ากว่าพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสชั้นโท หรือพระครูสัญญาบัตรที่มี นิตยภัตไม่ตํ่ากว่าพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสชั้นโท สำ หรับพระอารามหลวง ชั้นตรี
64 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ คุณสมบัติดังกล่าวนี้ กำ หนดมาตรฐานขั้นตํ่าและสูงไปกว่าที่กำ หนดไว้เป็นการ ดียิ่ง และกำ หนดตายตัวเฉพาะพรรษา นอกนั้นหากมีความจำ เป็นผ่อนผันได้เฉพาะกรณี ๕.๕ การพ้นจากตำแหน่งหน้าที่พระสังฆาธิการ พระสังฆาธิการจะพ้นจากตำ แหน่งหน้าที่ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ ๓๖ ก็ต่อเมื่อ (๑)ถึงมรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓)ลาออก (๔)ย้ายออกไปนอกเขตที่ตนมีสำ นักอยู่ (๕)ยกเป็นกิตติมศักดิ์ (๖)รับตำแหน่งหน้าที่เจ้าคณะหรือรองเจ้าคณะอื่น (๗) ให้ออกจากตำแหน่งหน้าที่ (๘)ถูกปลดจากตำแหน่งหน้าที่ (๙)ถูกถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ ๕.๖ ที่ปรึกษาเจ้าคณะ พระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะตั้งแต่เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล และรองเจ้าคณะ ตำ บล ที่ทำ หน้าที่จนอายุ ๘๐ ปีบริบูรณ์จะได้รับการยกย่องเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะ ตามกฎมหา เถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ ๓๔ ว่า “การแต่งตั้งที่ปรึกษาเจ้าคณะตามข้อ ๒๙๑ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้เป็นไปดังนี้ ๑ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ข้อ ๒๙ ความว่า “เพื่อยกย่องเชิดชูเจ้าคณะ และรองเจ้าคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่มาโดยความเรียบร้อย มหาเถรสมาคม จะให้มีที่ปรึกษาของเจ้าคณะในส่วนภูมิภาคชั้นใดๆ ก็ได้ ให้ที่ปรึกษามีหน้าที่ให้คำ ปรึกษาแก่เจ้าคณะชั้นนั้นๆ”
สมัยรัตนโกสินทร์ 65 พระสังฆาธิการผู้ดำรงตำแหน่ง หรือเคยดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล และรองเจ้าคณะตำ บล ได้ปฏิบัติหน้าที่ มาโดยเรียบร้อยจนมีอายุครอบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ ให้ยกย่องเชิดชูเป็นที่ปรึกษา เจ้าคณะในชั้นนั้นๆ เว้นแต่ทุพพลภาพ หรือพิการ ถ้ายังมีความเหมาะสม หรือยังหาผู้ดำรงตำแหน่งในชั้นนั้นๆ ไม่ได้ หรือได้แต่ไม่เหมาะสม มหาเถร สมาคมจะพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปอีกไม่เกิน ๓ ปี เฉพาะกรณี ในการแต่งตั้งที่ปรึกษา ให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเสนอตามลำดับจนถึง มหาเถรสมาคมพิจารณา เพื่อมีพระบัญชาแต่งตั้งตามมติมหาเถรสมาคม” ต่อมาได้ยกเลิกข้อความในข้อ ๓๔ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ดังกล่าวข้างต้น โดยออกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๘ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การแต่งตั้งที่ปรึกษาเจ้าคณะตามข้อ ๒๙๑ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้เป็นไปดังนี้ พระสังฆาธิการผู้ดำรงตำแหน่ง หรือเคยดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล และรองเจ้าคณะตำ บล ได้ปฏิบัติหน้าที่ มาโดยเรียบร้อยจนมีอายุครบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ หรือผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด เห็นสมควรยกย่องเชิดชู ให้ยกย่องเชิดชูเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะในชั้นนั้นๆ ๑ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๒๙ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “เพื่อยกย่องเชิดชูพระสังฆาธิการผู้ปฏิบัติหน้าที่มาโดยความเรียบร้อย มหาเถรสมาคมจะให้มี ที่ปรึกษาของเจ้าคณะในชั้นใดๆ ก็ได้ ให้ที่ปรึกษามีหน้าที่ให้คำ ปรึกษาแก่เจ้าคณะชั้นนั้นๆ”
66 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค
สมัยรัตนโกสินทร์ 67 พระสังฆาธิการผู้ดำ รงตำแหน่งดังกล่าว ตามความในวรรคสอง ที่มี อายุครบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่ทุพพลภาพ หรือพิการ ถ้ายังมีความเหมาะสม หรือยังหาผู้ดำรงตำแหน่งในชั้นนั้นๆ ไม่ได้ หรือได้แต่ไม่เหมาะสม มหาเถร สมาคมจะพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปอีกไม่เกิน ๓ ปี เฉพาะกรณี การแต่งตั้งที่ปรึกษาตามความในวรรคสอง หรือให้ดำรงตำแหน่งเดิม ตามความในวรรคสาม ให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเสนอตามลำดับจนถึงมหาเถร สมาคมพิจารณา เพื่อมีพระบัญชาแต่งตั้งตามมติมหาเถรสมาคม ในกรณีพระสังฆาธิการผู้ดำ รงตำแหน่งตั้งแต่เจ้าคณะจังหวัดขึ้นไป เห็นสมควรยกย่องเชิดชูพระสังฆาธิการรูปใดให้เป็นที่ปรึกษาในชั้นนั้นๆ ให้ ดำ เนินการเสนอตามลำดับ จนถึงมหาเถรสมาคมพิจารณา เพื่อมีพระบัญชา แต่งตั้งตามมติมหาเถรสมาคม” และเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘๑ การประชุมมหาเถรสมาคม ที่ประชุมมีมติให้มี การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๘ พ.ศ. ๒๕๔๖ ยกย่องพระสังฆาธิการให้เป็น ที่ปรึกษามีตำแหน่งสูงขึ้น เช่น หากเป็นเจ้าคณะตำ บล และมีอายุครบ ๘๐ ปีแล้ว เห็นควร ยกย่องให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำ เภอ หากเป็นเจ้าคณะอำ เภอ เมื่ออายุครบ ๘๐ ปีแล้ว เห็นควรได้รับการยกย่องเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด และหากเป็นเจ้าคณะจังหวัด หากมีอายุครบ ๘๐ ปีแล้ว เห็นควรยกย่องเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค จากเดิมที่หาก พระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล และรองเจ้าคณะตำ บล เมื่อมีอายุครบ ๘๐ ปีบริบูรณ์แล้ว จะได้รับการยกย่องขึ้นเป็นที่ปรึกษาในระดับชั้นนั้นๆ ซึ่งระบุไว้ ตามข้อ ๓๔ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอน พระสังฆาธิการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๘ พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่ระบุว่า พระสังฆาธิการผู้ดำ รงตำ แหน่ง หรือเคยดำ รงตำ แหน่ง เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำ เภอ รองเจ้าคณะอำ เภอ เจ้าคณะตำ บล ๑ หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, มติมส. แก้กฎเลื่อนชั้นที่ปรึกษาพระสังฆาธิการ, ฉบับวันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘. ดูรายละเอียดใน http://www.dailynews.co.th/education/327330
68 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ และรองเจ้าคณะตำ บล ได้ปฏิบัติหน้าที่มาโดยเรียบร้อยจนมีอายุครอบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ ให้ยกย่องเชิดชูเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะในชั้นนั้นๆ เว้นแต่ทุพพลภาพ หรือพิการ ถ้ายังมี ความเหมาะสม หรือยังหาผู้ดำ รงตำแหน่งในชั้นนั้นๆ ไม่ได้ หรือได้แต่ไม่เหมาะสม มหาเถร สมาคมจะพิจารณาให้ดำ รงตำแหน่งเดิมต่อไปอีกไม่เกิน ๓ ปี เฉพาะกรณี
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร