บทที่ ๖ พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ พระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ตราขึ้นเนื่องจากมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นับตั้งแต่สมเด็จพระ ญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒนมหาเถร) ประชวรและ ประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงขอนำ เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับตำ แหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดังนี้ ๖.๑ การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีความละเอียดในมาตรา ๑๐ แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ว่าด้วยผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งตราไว้ เป็น ๕ วรรค แต่ละวรรคมีความหมายชัดเจน ดังนี้ “มาตรา ๑๐ ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
72 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือ ไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จ พระราชาคณะรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน ถ้ามิได้ทรงแต่งตั้งไว้ ให้สมเด็จ พระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทน สมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้สมเด็จ พระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา ไม่อาจ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสรอง ลงมาโดยพรรษาตามลำดับปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ๑ ประกาศนามสมเด็จพระราชา คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ในราชกิจจานุเบกษา” ความทั้ง ๕ วรรค ในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ดังกล่าว สามารถอธิบายได้ดังนี้๒ วรรคแรก ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยพรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หมายถึง ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ว่างลง จะด้วยสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ ทรงพ้นจากความเป็นพระภิกษุ ทรงลาออก หรือทรงพระกรุณาโปรดให้ออกก็ตาม กฎหมายตราไว้ชัดเจนว่า ให้สมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาเท่านั้นปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แก้เป็น นายกรัฐมนตรี ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไข บทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจ หน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕๒ แสวง อุดมศรี, ประมวลกฎหมายคณะสงฆ์ (โรเนียวพริ้นเตอร์), (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬา บรรณาคาร, ๒๕๕๐), หน้า ๑๑๐ - ๑๒๒.
สมัยรัตนโกสินทร์ 73 วรรคสอง ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือ ไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะ รูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน ถ้ามิได้ทรงแต่งตั้งไว้ ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยพรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หมายถึง ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชจะไม่ ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ จะด้วยทรงประชวรหรือด้วย เหตุอื่นใดก็ตาม กฎหมายตราไว้ชัดเจนว่า สมเด็จพระสังฆราชมีพระอำ นาจที่จะแต่งตั้ง สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่ง โดยมิได้เจาะจงว่า จะต้องเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา หรือมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ให้เป็นพระอำ นาจของสมเด็จ พระสังฆราชที่จะทรงใช้พระวิจารณญาณแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติ หน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช แต่ถ้าสมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งให้ปฏิบัติ หน้าที่แทน จะด้วยไม่ทรงประสงค์จะแต่งตั้ง หรือทรงประชวรหนักจนไม่อาจแต่งตั้งได้ก็ตาม กฎหมายก็ตราเปิดช่องไว้ให้เฉพาะสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาเท่านั้น เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วรรคสาม ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทน สมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้สมเด็จพระราชาคณะ รูปอื่นผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หมายถึง ถ้าสมเด็จ พระราชาคณะที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช แต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชได้ จะด้วยเพราะอาพาธหนัก หรือมรณภาพ หรือจะด้วยเหตุสุดวิสัยอื่น ใดก็ตาม กฎหมายก็ตราเปิดช่องไว้ให้เฉพาะสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา เท่านั้น เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วรรคสี่ ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา ไม่อาจปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสรองลงมาโดยพรรษาตาม ลำดับปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หมายถึง ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยพรรษาไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ จะด้วยเพราะชราหรืออาพาธหนัก จนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ หรือจะด้วยเหตุสุดวิสัยอื่นใดก็ตาม กฎหมาย ก็ตราเปิดช่องไว้ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสรองลงมาโดยพรรษาตามลำ ดับ เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
74 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ วรรคห้า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ในราชกิจจานุเบกษา หมายถึง สมเด็จ พระราชาคณะที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามความในวรรคแรกถึงวรรคสี่ จะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย ก็ต่อเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศ นามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในราชกิจจานุเบกษาแล้วเท่านั้น ตัวอย่างการประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามความในแต่ละวรรคของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น ดังนี้ สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามความในวรรคแรก ของมาตรา ๑๐ เช่น ในวันที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มีผลบังคับใช้นั้น อยู่ในระหว่างที่ยังมิได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เพราะสมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภณมหาเถร) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สิ้นพระชนม์ ก่อนที่รัฐจะได้ตราพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ฉบับนี้ออกมาประกาศใช้ ขณะนั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ าโณทโย) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จ พระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศนามท่านเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ใน ราชกิจจานุเบกษาดังตัวอย่างนี้
สมัยรัตนโกสินทร์ 75 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ๑ เรื่อง สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- เนื่องด้วยยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ กระทรวงศึกษาธิการ จึงขอประกาศนามสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ าโณทโย) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เป็นผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๐๖ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามความในวรรคสอง ของมาตรา ๑๐ ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชจะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร สมเด็จพระ สังฆราชก็จะมีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ดังตัวอย่างพระบัญชาแต่งตั้งนี้ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ ภาค ๑ ตอนที่ ๑ ประจำ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๐๖, หน้า ๑๖.
76 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระบัญชา๑ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ๒ (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องด้วยสมเด็จพระสังฆราช จะเสด็จเยือนเมืองฮ่องกง ตามคำ อาราธนาของพุทธสมาคมแห่งเมืองฮ่องกง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๓ จึงไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มีพระบัญชาแต่งตั้งให้สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพน จังหวัดพระนคร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๓ เป็นต้นไป จนกว่าสมเด็จพระสังฆราชจะเสด็จ กลับมาทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สั่ง ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๓ ผู้รับสนองพระบัญชา สุกิจ นิมมานเหมินท์ (นายสุกิจ นิมมานเหมินท์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะให้เป็นผู้ปฏิบัติ หน้าที่แทนแล้ว จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศนามสมเด็จ พระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในราชกิจจานุเบกษา ดังตัวอย่างนี้ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๔ ประจำ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓, หน้า ๑๔๗.๒ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺายี) สมเด็จพระสังฆราช วัดมกุฏกษัตริยาราม
สมัยรัตนโกสินทร์ 77 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ๑ เรื่อง สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- เนื่องด้วยสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร ตามความ ในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กระทรวงศึกษาธิการจึงขอประกาศนามสมเด็จ พระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพน พระนคร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๓ เป็นต้นไป จนกว่าสมเด็จ พระสังฆราชจะเสด็จกลับมาทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๓ สุกิจ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามความในวรรคสอง ของมาตรา ๑๐ ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราช ก็จะมีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ดังตัวอย่างนี้ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๔ ประจำ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓, หน้า ๑๔๘.
78 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ๑ เรื่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- ด้วยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก๒ ทรงพระประชวร พระอาการไข้สูง และทรงพระกรรสะ เสด็จ เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช ตึก ๘๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๑ เป็นต้นมา โดยได้ปฏิบัติศาสนกิจตามปกติ ต่อมาวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๑ คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำ ให้ ทรงหยุดการปฏิบัติศาสนกิจไว้สักระยะหนึ่งก่อน เพื่อฟื้นฟูพระพลานามัย จึงมีพระบัญชาให้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงขอประกาศนามสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๑ เป็นต้นไป จนกว่าสมเด็จ พระสังฆราชจะทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ ประกาศ ณ วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ มานะ รัตนโกเศศ (พล.อ. มานะ รัตนโกเศศ) รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๗๖ ตอนที่ ๙ ประจำ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑, หน้า ๑ - ๒.๒ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสน์ วาสโน) สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
สมัยรัตนโกสินทร์ 79 สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามความในวรรคสองของ มาตรา ๑๐ ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ และมิได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน สมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาก็จะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดังตัวอย่างประกาศ กระทรวงศึกษาธิการนี้ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ๑ เรื่อง สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- ด้วยสมเด็จพระสังฆราช๒ ประชวรมาก ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ และ มิได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กระทรวงศึกษาธิการจึงขอประกาศนามสมเด็จ พระราชาคณะ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (วน ิตาโณ) วัดอรุณราชวราราม ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป จนกว่าสมเด็จพระสังฆราชจะทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ ประกาศ ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามความในวรรคสี่ของ มาตรา ๑๐ ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชได้ สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสรองลงมาโดยพรรษาตามลำดับ ก็จะ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดังตัวอย่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการนี้ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๕๓ ตอนที่ ๗ ประจำ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘, หน้า ๒๓๓.๒ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ าโณทโย) สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ
80 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ๑ เรื่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- เนื่องด้วยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺายีมหาเถร) สิ้นพระชนม์ ไม่มีผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และ โดยเหตุที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (วน ิตาโณ) วัดอรุณราชวราราม อำ เภอ บางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดย พรรษา อาพาธและแพทย์ลงความเห็นว่า ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราชได้ อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรค ๔ และวรรคท้าย แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงขอประกาศว่า สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ อำ เภอบางเขน จังหวัดพระนคร ซึ่งเป็น สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสรองลงมาโดยพรรษา เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ บุญถิ่น อัตถากร (นายบุญถิ่น อัตถากร) ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ใช้อำ นาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๔ ประจำ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๕, หน้า ๘๒.
สมัยรัตนโกสินทร์ 81 อนึ่ง ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ และมิได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ตามความในวรรคสองของ มาตรา ๑๐ แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีสมเด็จ พระสังฆราช จะเป็นเพราะสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ ทรงพ้นจากความเป็นพระภิกษุ ทรงลาออก หรือทรงพระกรุณาโปรดให้ออกก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็ จะต้องประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษารูปนั้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อ ให้เป็นไปตามความในวรรคแรกของมาตรา ๑๐ ดังตัวอย่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการนี้ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ๑ เรื่อง สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ว่า สมเด็จพระสังฆราชประชวรมาก ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ และมิได้ทรง แต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศนามสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (วน ิตาโณ) วัดอรุณราชวราราม เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช จนกว่าสมเด็จพระสังฆราชจะทรงปฏิบัติหน้าที่ได้นั้น บัดนี้ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ าโณทโย) ประชวร สิ้นพระชนม์ เมื่อ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ และยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช ตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ๑ แถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๕๓ ตอนที่ ๗ ประจำ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘, หน้า ๒๓๔- ๒๓๕.
82 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กระทรวงศึกษาธิการ จึงขอประกาศนามสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (วน ิตาโณ) วัดอรุณราชวราราม ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๖.๒ การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ต่อมามีปัญหาข้อขัดแย้งในทางปฏิบัติว่า สมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ควรถืออาวุโสพรรษาหรืออาวุโสสมณศักดิ์ เพราะมีบางฝ่ายให้ความเห็นว่า หาก ถืออาวุโสโดยพรรษาก็จะทำ ให้การบริหารคณะสงฆ์ขาดประสิทธิภาพ และอาจก่อให้เกิด ปัญหาตามมาอีกหลายด้าน เพราะสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสโดยพรรษานั้น ส่วนมาก จะชราและมีอาพาธเบียดเบียนอยู่เสมอ ดังนั้น ปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมจึงเสนอขอให้รัฐตราพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ บางมาตรา โดยเฉพาะให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จากที่ตราไว้ว่า “…ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาเป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช…” เป็น “…ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช…” ในช่วงต้นปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ วันที่ ๙ มกราคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายก รัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่กำกับดูแลสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้นำ ความห่วงใยของรัฐบาลเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงชราและประชวร เสด็จไปประทับรับการรักษา พยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นระยะๆ สมควรที่จะมีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเพื่อแบ่งเบา พระภาระของพระองค์ท่าน
สมัยรัตนโกสินทร์ 83 กรรมการมหาเถรสมาคมหลายท่านเห็นด้วยและอนุโมทนา ในขณะที่กรรมการ มหาเถรสมาคมอีกหลายท่านรับฟังเฉยๆ เพราะถือว่าเป็นการริเริ่มจากภายนอก คือรัฐบาล หรือฝ่ายอาณาจักร โดยที่ภายในคือมหาเถรสมาคมหรือฝ่ายพุทธจักรมิได้ริเริ่มหรือมีมติให้ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอเรื่องนี้ขึ้นไปแต่อย่างใด ต่อมาวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติ ราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พร้อมทั้งได้แถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดังประกาศ สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินี้ ประกาศสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ๑ เรื่อง แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- ตามที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก มีพระอาการประชวรหลายระบบ และเสด็จเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อต้นปี ๒๕๔๕ นั้น คณะแพทย์ได้ถวายการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องมา ตลอดจนพระอาการบางระบบดีขึ้น สามารถเสด็จออกจากโรงพยาบาลไปทรง ปฏิบัติศาสนกิจได้เป็นครั้งคราว แต่โดยเหตุที่ทรงดำ รงตำแหน่งสกลมหาสังฆ ปริณายกตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ จึงมีพระภารกิจหลายอย่างที่รัฐบาล และคณะสงฆ์จำ เป็นต้องถวายเพื่อทรงบัญชาการ ทรงตราพระบัญชา ทรง วินิจฉัยสั่งการ และทรงลงพระนาม รวมทั้งการที่ต้องทรงปฏิบัติศาสนกิจใน พระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีต่างๆ นอกจากนั้นยังต้องทรงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร และพระอารามอื่นๆ เช่น วัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี และประธานกรรมการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งงานในภาระหน้าที่ ๑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๓ ง, วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๗, หน้า ๒๘ - ๓๒.
84 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ เหล่านี้ หากถวายเพื่อทรงปฏิบัติหรือวินิจฉัยสั่งการทุกเรื่อง ก็จะเป็นการ กระทบกระเทือนต่อพระสุขภาพ ประกอบกับทรงมีพระชนมายุสูงถึง ๙๐ พรรษา ครั้นมิได้ถวายให้ทรงงานหรือการดำ เนินการล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ ก็อาจกระทบต่อการปกครองคณะสงฆ์ เป็นเหตุให้มีผู้กล่าวอ้างยกขึ้นวิจารณ์ อันอาจกระทบต่อพระเกียรติยศได้ เหตุทั้งนี้เนื่องจากยังมิได้มีการแต่งตั้งผู้ใด ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า โดยที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นรัตตัญญู มหาเถระ เป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทย อย่างสูง แม้แต่ชาวต่างประเทศและศาสนิกอื่นก็ยกย่องว่าทรงดำ รงพระองค์ เป็นแบบอย่างของผู้รอบรู้ด้านปริยัติและปฏิบัติ เป็นปราชญ์ของพระศาสนา และของชาติ แต่โดยที่พระสุขภาพทรุดโทรมลงตามพระวัสสายุกาล สมควร จัดให้ประทับพักผ่อนเพื่อรับการถวายดูแลรักษาโดยคณะแพทย์อย่างเต็มที่ และต่อเนื่อง ไม่มีภาระงานใดๆ มารบกวนก่อให้เกิดความตรากตรำ หรือความ กังวลพระทัย อีกทั้งเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการบริหารพระศาสนามิให้ ต้องสะดุด เพราะขาดผู้รับผิดชอบวินิจฉัย สั่งการหรือบังคับบัญชา ประการ สำ คัญคือเพื่อเป็นการรักษาพระเกียรติยศ มิให้มีผู้อ้างพระสุขภาพหรือ พระอาการประชวร กระทำการใดอันอาจก่อความเสียหายหรือแอบอ้างนำ พระบัญชา พระลิขิต หรือพระนามไปแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น อาศัยมาตรา ๗๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐบาล จึงได้ขอความเห็นจากคณะแพทย์และกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร มีพระเทพ สารเวที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน แล้วนำ ความเห็นดังกล่าวประกอบกับความเห็นของพุทธศาสนิกชนที่ปรารภห่วงใย เสนอที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม ในการประชุมเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๗ ซึ่งที่ประชุมมีมติตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อนุโมทนาสนองข้อเสนอดังกล่าว โดยให้แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชเป็นการชั่วคราว และโดยที่สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดย
สมัยรัตนโกสินทร์ 85 สมณศักดิ์มีอายุสูงถึง ๙๖ พรรษา อีกทั้งยังอาพาธไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ อันต้องตรากตรำ ได้เช่นกัน จึงเห็นควรให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโส สูงสุดโดยสมณศักดิ์ลำดับถัดไป ได้แก่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่ง สมเด็จพระสังฆราชทรงไว้วางพระทัย มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของ ประธานที่ประชุมมหาเถรสมาคม และปฏิบัติศาสนกิจบางเรื่องแทนพระองค์ อยู่แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชไปพลางก่อน โดยมีสมเด็จ พระราชาคณะและพระราชาคณะอื่นอีก ๕ รูป ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะร่วมกัน เพื่อช่วยในการกลั่นกรองงานและรักษาความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ ดังนี้ ๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ ๒. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ วัดชนะสงคราม ๓. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ วัดปากนํ้า ๔. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เป็นผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ วัดมกุฏกษัตริยาราม ๕. สมเด็จพระญาณวโรดม เป็นผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ วัดเทพศิรินทราวาส ๖. พระพรหมมุนี เป็นผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ วัดบวรนิเวศวิหาร ให้การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวกระทำ ในรูปขององค์คณะ มีการประชุม หารือและใช้มติร่วมกัน โดยมีผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน เว้นแต่เป็นการปฏิบัติศาสนกิจในพระนามสมเด็จพระสังฆราช หรือการอัน จำ เป็นเร่งด่วนก็ให้ดำ เนินการไปได้ โดยให้เลขาธิการมหาเถรสมาคมทำรายงาน กราบทูลผลการปฏิบัติงานต่อสมเด็จพระสังฆราชทุก ๓๐ วัน ในกรณีมีปัญหา สำ คัญคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชอาจพิจารณากราบทูลหารือ สมเด็จพระสังฆราชได้ ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมีพระประสงค์โปรดมี บัญชาเรื่องใด ตามที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเชิญมาแจ้งตามระบบการ
86 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ กลั่นกรองงานที่กำ หนดขึ้นอย่างรอบคอบรัดกุม ให้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราชดำ เนินการสนองพระบัญชานั้น ทั้งนี้ ให้การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีกำ หนดเวลาหกเดือน เว้นแต่คณะแพทย์มีความเห็นก่อนครบกำ หนดเวลา ดังกล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระอาการดีขึ้น สามารถเสด็จกลับไป ทรงงานได้เป็นปกติโดยไม่กระทบต่อพระสุขภาพ หรือมหาเถรสมาคมมีมติ เป็นประการอื่น อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๑๖๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ นายกรัฐมนตรีจึงขอประกาศผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชและคณะดังกล่าว ขออำ นาจคุณพระรัตนตรัยและพระกุศลกรรมสัมมาปฏิบัติที่สมเด็จ พระสังฆราชได้ทรงกระทำ บำ เพ็ญมาแล้วอย่างยั่งยืนมั่นคง จงอภิบาลรักษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ให้ทรง พระเกษมสำ ราญ มีพระสุขภาพพลานามัยดีโดยเร็ววัน เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของบรรดาคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดกาลนาน ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ วิษณุ เครืองาม (นายวิษณุ เครืองาม) รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน นายกรัฐมนตรี
สมัยรัตนโกสินทร์ 87 เมื่อนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวเปิดเผยประกาศฉบับนี้แก่ สื่อมวลชนอย่างเป็นทางการแล้ว ปรากฏว่าบรรดาบรรพชิตและคฤหัสถ์ ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ และผู้น้อยที่สนใจในเรื่องของคณะสงฆ์ต่างแสดงความคิดเห็นและออกแถลงการณ์สนับสนุน และคัดค้านผ่านสื่อมวลชนแทบทุกวัน๑ โดยเฉพาะเสียงวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านที่แพร่หลายออกไปว่า ประกาศสำ นักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฉบับนี้ น่าจะ ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและจารีตประเพณีของการประกาศนามผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ดังที่เคยปฏิบัติมานั้น ได้กลายเป็นชนวนให้ฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านกระทบ กระทั่งกันทั้งด้านความคิดและการปฏิบัติ โดยไม่อาจประสานให้เป็นเอกภาพดังแต่ก่อนได้ หลายท่านอาจสงสัยว่า บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญ ด้านกฎหมายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป คงไม่ทำอะไรผิดกฎหมายแน่นอน แต่ถ้าหากจะตัด คำว่าพรรคพวกออกไปก่อน แล้วทำความเข้าใจให้แจ่มชัดว่า เรื่องของคณะสงฆ์นั้น ยึดโยง อยู่กับพระธรรมวินัย กฎหมาย และจารีตประเพณีอันดีงามที่เคยปฏิบัติสืบๆ กันมา หาก จะอาศัยเฉพาะความรู้ลุ่มลึกและแตกฉานในเรื่องของกฎหมายเพียงอย่างเดียว ในขณะที่มี ความรู้เรื่องของคณะสงฆ์เพียงแค่เคยได้รับเชิญเป็นวิทยากรไปอภิปรายงานวันสามเณร เท่านั้น ก็อาจทำ อะไรผิดพลาดเข้าทำ นองว่า หมองูตายเพราะงู หรือ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลัง ได้ไม่ยากนัก ดังนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านอย่างแพร่หลายจึงเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องตรา พระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อ ยกเลิกความในวรรคห้าของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำ หนดฉบับนี้ คือ เนื่องจากการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในกรณีไม่มีสมเด็จพระสังฆราช หรือสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับ อยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ได้กำ หนด ๑ ดูรายละเอียดใน แสวง อุดมศรี, คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช, (กรุงเทพมหานคร : ประยูรวงศ์พริ้นท์ติ้ง, ๒๕๔๗).
88 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ให้แต่งตั้ง หรือเลือกสมเด็จพระราชาคณะเพียงรูปเดียว ซึ่งปรากฏเป็นเหตุขัดข้องจนเกิด ความไม่สงบเรียบร้อยในการปกครองคณะสงฆ์และวงการพุทธศาสนิกชนและอาจถึงขั้น นำ ไปสู่ความไม่ปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้จากความแตกแยกไม่เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันในหมู่คณะสงฆ์ จึงสมควรกำ หนดให้มีผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในรูปองค์คณะ ซึ่งแต่งตั้ง จากสมเด็จพระราชาคณะหลายรูปเพื่อใช้อำ นาจร่วมกันในการบัญชาคณะสงฆ์ เพื่อความ สงบเรียบร้อยยิ่งขึ้นและสร้างสมานฉันท์เพิ่มขึ้นอีกวิธีการหนึ่ง และโดยที่ขณะนี้สมเด็จพระสังฆราชมีพระชนมายุสูง อีกทั้งอยู่ระหว่างประทับเพื่อ รักษาพระสุขภาพ คณะแพทย์เห็นว่าควรประทับรักษาพระองค์และอยู่ในความดูแลของ คณะแพทย์ จำ เป็นต้องมีผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชโดย เร่งด่วน จึงสมควรแก้ไขเหตุขัดข้องเพื่อให้มีความสงบเรียบร้อยในประเทศขึ้นโดยเร็ว นับเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำ เป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ จึงจำ เป็นต้องตรา พระราชกำ หนดนี้ ดังนี้ พระราชกำ หนด๑ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ ---------------------------------------------------------- ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นปีที่ ๕๙ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกำ หนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗, เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๓๔ ก, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗, หน้า ๑ - ๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 89 อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำ หนด ขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกำ หนดนี้เรียกว่า “พระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗” มาตรา ๒ พระราชกำ หนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคห้าของมาตรา ๑๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ในการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ ถ้าสมเด็จพระสังฆราชทรงเห็นเป็นการสมควรสำ หรับกรณีที่มีเหตุตาม วรรคสาม หรือกรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่เห็นเป็นการสมควร สำ หรับกรณีที่มีเหตุตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสี่ อาจพิจารณาเลือก สมเด็จพระราชาคณะหลายรูปที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อให้เป็นคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง หรือ แทนการดำ เนินการตามวรรคสอง วรรคสาม หรือวรรคสี่ แล้วแต่กรณีได้ และ จะให้มีผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยก็ได้ วิธีดำ เนินการ ของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชให้เป็นไปตามที่คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชกำ หนด เมื่อมีการแต่งตั้งหรือเลือกผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้แล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูล ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท” ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำ รวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
90 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อเปิด ให้มีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๓๔ ก วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จากนั้น วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ มหาเถรสมาคมจึงได้ประชุมแล้วมีมติ เป็นเอกฉันท์ให้แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์ แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะ ๗ รูป ทั้งมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ครั้งนั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดย สมณศักดิ์ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดังประกาศมติมหาเถรสมาคม ดังนี้ ประกาศมติมหาเถรสมาคม๑ ครั้งที่ ๒๐/๒๕๔๗ เรื่อง การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ---------------------------------------------------------- ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ตามที่สำ นักนายก รัฐมนตรีได้ประกาศพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตามความเห็นของคณะแพทย์ผู้ถวาย การรักษาพยาบาลโดยความว่า พระอาการเจ็บป่วยฉับพลันเป็นบ่อยขึ้น กว่าเดิม อันน่าจะเป็นผลมาจากภูมิต้านทานของพระองค์ลดลงจากพระชนมายุ ที่เพิ่มขึ้น และโรคเรื้อรังที่ทรงประชวรอยู่เดิมหลายโรค คณะแพทย์ผู้ถวาย การรักษาจึงมีความเห็นว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระชนมายุกว่า ๙๐ พรรษา มีพระอาการ ๑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศมหาเถรสมาคม เรื่อง การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช, เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๗๙ ง, ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗, หน้า ๑ - ๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 91 ประชวรเรื้อรังหลายโรค และมีพระอาการประชวรฉับพลันเกิดขึ้นแทรกซ้อน บ่อยขึ้น ควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะส่งผลดีต่อพระอาการประชวร ของพระองค์ และรัฐบาลโดยสำ นักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงการณ์ขอให้ แพทย์ถวายการรักษาเต็มกำลังความสามารถ โดยรัฐบาลพร้อมที่จะอำ นวย ความสะดวกแก่คณะแพทย์ทุกประการ และในระหว่างนี้เห็นว่าหากงดการ ปฏิบัติศาสนกิจ หรือต้อนรับแขกที่มาเฝ้าโดยไม่จำ เป็น การทรงงานใดๆ ที่ถวายให้ทรงวินิจฉัย สั่งการ หรือลงพระนามไว้ก่อนจนกว่าพระอาการ จะดีขึ้น น่าจะเป็นการดีต่อพระพลานามัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตรา พระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อให้มีคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๓๔ ก วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จึงขอเสนอที่ประชุมเพื่อโปรดพิจารณาตามพระราชกำ หนด ดังนั้น สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงได้นำ เสนอที่ประชุม เพื่อโปรดพิจารณาเลือกสมเด็จพระราชาคณะที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รูปใดรูปหนึ่ง หรือเลือกสมเด็จพระราชาคณะหลายรูปที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อทำ หน้าที่คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ที่ประชุมพิจารณาแล้วลงมติเลือกคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระ สังฆราช โดยอาศัยอำ นาจตามวรรคห้า ของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนี้ ๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ๒. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ๓. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากนํ้า ๔. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม ๕. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดมกุฏกษัตริยาราม ๖. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศาราม ๗. สมเด็จพระญาณวโรดม วัดเทพศิรินทราวาส
92 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และมีมติให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเป็น ผู้ลงนามผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช วิธีการดำ เนินการจะได้กำ หนดเป็นระเบียบต่อไป ให้นำ มติ มหาเถรสมาคมแจ้งนายกรัฐมนตรีเพื่อนำ ความกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ดำ เนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงาน การประชุม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำ ความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบ ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ สำ นักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ต่อมา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราชจึงสิ้นสุดลงนับแต่นั้น ดังนั้น ในระหว่างที่ยังไม่มีการตั้งสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ใหม่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโ) วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นมา ตามพระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๔๗ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๖ มีรายนามคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ดังนี้
สมัยรัตนโกสินทร์ 93 ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ชื่อ วัด วาระ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) วัดสระเกศ พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๖๑ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโ ป.ธ.๙) วัดปากนํ้า พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช๒ สิ้นพระชนม์) คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ชื่อ วัด วาระ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม านิสฺสโร ป.ธ.๙) วัดชนะสงคราม พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๔๓ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พุฒ สุวฑฺฒโน ป.ธ.๗) วัดสุวรรณาราม พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๓๔ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตจาโร ป.ธ.๕) วัดมกุฏกษัตริยาราม พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๐๕ สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ.๙) วัดเทพศิรินทราวาส พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๒๖ ๑ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) มรณภาพ วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖๒ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน ป.ธ.๙) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖, ทรงได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ในรัชกาลที่ ๑๐๓ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม านิสฺสโร ป.ธ.๙) มรณภาพ วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ๔ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พุฒ สุวฑฺฒโน ป.ธ.๗) มรณภาพ วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓๕ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตาจาโร ป.ธ.๕) มรณภาพ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๐ ๖ สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ.๙) มรณภาพ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
94 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ ชื่อ วัด วาระ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์๑ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) วัดสัมพันธวงศ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์) สมเด็จพระมหามุนีวงศ์๒ (อัมพร อมฺพโร ป.ธ.๖) วัดราชบพิธ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์) สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ.๙) วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์๓ (วีระ ภทฺทจารี ป.ธ.๙) วัดสุทัศนเทพวราราม พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์) สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.๘) วัดเทพศิรินทราวาส พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์) สมเด็จพระพุทธชินวงศ์๔ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙) วัดพิชยญาติการาม พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๖ (สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์) ๑ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) มรณภาพ วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๒ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร ป.ธ.๖) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ สถาปนาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐๓ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี ป.ธ.๙) มรณภาพ วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๙ ๔ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙) มรณภาพ วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒
บทที่ ๗ การเปรียบเทียบพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กับ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ การปกครองคณะสงฆ์ไทย สมัยรัตนโกสินทร์ นับแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑๑ ซึ่งเป็น ฉบับแรก เพื่อเป็นกฎหมายสำ หรับปกครองคณะสงฆ์ ฉบับแรกนี้ประกาศใช้อยู่ ๓๙ ปี จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับแรก แล้วทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๔๘๔ ฉบับที่ ๒ จากนั้น อีก ๒๑ ปี รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับที่ ๒ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉบับที่ ๓ ฉบับนี้ประกาศใช้อยู่ ๓๐ ปี จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ปัจจุบันการปกครองคณะสงฆ์ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งในที่นี้ขอเปรียบเทียบ รายละเอียดการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังต่อไปนี้ ๑ พุทธศักราช ๒๔๔๕
96 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ฉบับนี้ คือ โดยที่การจัดดำ เนินกิจการคณะสงฆ์ มิใช่เป็นกิจการอันพึงแบ่งแยกอำ นาจดำ เนิน การด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการถ่วงดุลแห่ง อำ นาจเช่นที่เป็นอยู่ตามกฎหมายในปัจจุบัน และโดยที่ระบบเช่นว่านั้นเป็นผลบั่นทอน ประสิทธิภาพแห่งการดำ เนินกิจการ จึงสมควร แก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ให้สมเด็จพระสังฆราช องค์สกลมหาสังฆปริณายกทรงบัญชาการ คณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม ตามอำ นาจ กฎหมายและพระธรรมวินัย ทั้งนี้ เพื่อความ เจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว สมควรปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช และการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติ หน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช การแต่งตั้งและ ถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุ อำ นาจหน้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ของมหาเถรสมาคม การปกครอง การสละสมณเพศของคณะสงฆ์ และคณะสงฆ์อื่น วัด การดูแลรักษาวัด ทรัพย์สิน ของวัด และศาสนสมบัติกลาง ตลอดจนปรับปรุง บทกำ หนดโทษให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ ปัจจุบัน จึงจำ เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ เนื้อความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เนื้อความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยคณะสงฆ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์
สมัยรัตนโกสินทร์ 97 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำ แนะนำ และ ยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำ แนะนำ และ ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำ หน้าที่ รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕” มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษา๑ เป็นต้นไป มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษา๒ เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มาตรา ๔ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่ วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ บรรดา กฎกระทรวง สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับและ ระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์ที่ใช้บังคับอยู่ในวัน ประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้คงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับ พระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม พระบัญชาสมเด็จ พระสังฆราช ข้อบังคับหรือระเบียบของมหา เถรสมาคมยกเลิก หรือมีความอย่างเดียวกัน หรือขัดหรือแย้งกัน หรือกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น ๑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, เล่ม ๗๙ ตอนที่ ๑๑๕ ฉบับพิเศษ, วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕, หน้า ๒๙ - ๔๔.๒ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕, เล่ม ๑๐๙ ตอนที่ ๑๖, วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๓๕, หน้า ๕ - ๑๑.
98 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕ ทวิและมาตรา ๕ ตรีแห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๕ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๔ บรรดาอำ นาจหน้าที่ซึ่งกำ หนดไว้ในสังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชาสมเด็จ พระสังฆราช ข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับ คณะสงฆ์ ให้เป็นอำ นาจหน้าที่ของพระภิกษุ ตำแหน่งใดหรือคณะกรรมการสงฆ์ใดซึ่งไม่มีใน พระราชบัญญัตินี้ ให้มหาเถรสมาคมมีอำ นาจ กำ หนดโดยกฎมหาเถรสมาคมให้เป็นอำ นาจ หน้าที่ของพระภิกษุตำ แหน่งใด รูปใดหรือ หลายรูปร่วมกันเป็นคณะตามที่เห็นสมควรได้ มาตรา ๕ ทวิ ในพระราชบัญญัตินี้ “คณะสงฆ์” หมายความว่า บรรดา พระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจาก พระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือ ตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัติ นี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอก ราชอาณาจักร “คณะสงฆ์อื่น” หมายความว่า บรรดา บรรพชิตจีนนิกายหรืออนัมนิกาย “พระราชาคณะ” หมายความว่า พระภิกษุ ที่ได้รับแต่งตั้งและสถาปนาให้มีสมณศักดิ์ตั้งแต่ ชั้นสามัญจนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ “สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์” หมายความว่า สมเด็จพระ ราชาคณะที่ได้รับสถาปนาก่อนสมเด็จพระ ราชาคณะรูปอื่น ถ้าได้รับสถาปนาในวัน เดียวกันให้ถือรูปที่ได้รับสถาปนาในลำดับก่อน มาตรา ๕ ตรี๑ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำ นาจในการแต่งตั้งสถาปนาและ ถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ ๑พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕ ตรีเพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตลอดจนการดูแลการปกครองคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญาและมีการรักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ดีงามโดยเคร่งครัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป พระมหากษัตริย์จึงทรงไว้ซึ่ง พระราชอำ นาจในการแต่งตั้งสถาปนาและถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์และแต่งตั้ง กรรมการมหาเถรสมาคมตามพระราชบัญญัตินี้”, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๑ - ๒.
สมัยรัตนโกสินทร์ 99 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ๑ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำ นาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติ การให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราช กิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช มาตรา ๗๒ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง ในกรณีที่ตำ แหน่งสมเด็จพระสังฆราช ว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ มหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แก้เป็น นายกรัฐมนตรี ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไข บทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำ นาจ หน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕๒พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๒ ก, วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐, หน้า ๑. หมวด ๑ สมเด็จพระสังฆราช
100 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโส สูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถร สมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่น ผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำ ดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำ รง ตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จ พระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๙ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำ รง ตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม มาตรา ๙ ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงลาออกจากตำแหน่ง หรือพระมหากษัตริย์ ทรงพระกรุณาโปรดให้ออกจากตำ แหน่ง พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ของสมเด็จพระสังฆราชหรือตำ แหน่งอื่นใด ตามพระราชอัธยาศัยก็ได้ มาตรา ๑๐ ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดย พรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มาตรา ๑๐๑ ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดย สมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระ สังฆราช ๑ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรค เจ็ดของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่า “ความในมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนพระราชอำ นาจที่จะทรง พระกรุณาโปรด หรือมีพระราชวินิจฉัยให้ปฏิบัติเป็นประการอื่น”, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๒.
สมัยรัตนโกสินทร์ 101 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ประทับ อยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติ หน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้ง ให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติ หน้าที่แทน ถ้ามิได้ทรงแต่งตั้งไว้ ให้สมเด็จ พระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้ สมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสสูงสุดโดย พรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโส สูงสุดโดยพรรษา ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราชได้ ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มี อาวุโสรองลงมาโดยพรรษาตามลำดับ ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ ในราชกิจจานุเบกษา ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เลือก สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งผู้มีอาวุโสโดย สมณศักดิ์รองลงมาตามลำ ดับและสามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จ พระสังฆราช ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ใน ราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จ พระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรง แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตามวรรคสาม หรือ สมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติ หน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชไม่อาจปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้นำ ความใน วรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติ หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ใน ราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๑ สมเด็จพระสังฆราชพ้นจาก ตำแหน่ง เมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) ทรงพระกรุณาโปรดให้ออก
102 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๑๒ มหาเถรสมาคมประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงดำ รงตำ แหน่ง ประธานกรรมการโดยตำ แหน่ง สมเด็จพระ ราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำ แหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งมีจำ นวนไม่ตํ่ากว่าสี่รูปและไม่เกิน แปดรูปเป็นกรรมการ มาตรา ๑๒๑ มหาเถรสมาคมประกอบ ด้วยสมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงดำ รงตำแหน่ง ประธานกรรมการโดยตำ แหน่ง สมเด็จ พระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรง แต่งตั้งมีจำ นวนไม่เกินสิบสองรูปเป็นกรรมการ ๑ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๒ มหาเถรสมาคมประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงดำ รงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่เกินยี่สิบรูป ซึ่งพระมหา กษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันสมควร และมีจริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสมแก่การปกครองคณะสงฆ์ การแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งและการดำ เนินการตามมาตรา ๑๕ (๔) และวรรคสอง ให้เป็นไป ตามพระราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้” ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๒. หมวด ๒ มหาเถรสมาคม
สมัยรัตนโกสินทร์ 103 ๑ อธิบดีกรมการศาสนา แก้เป็น ผู้อำ นวยการสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตาม พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอน กิจการบริหารและอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ว่าด้วย การโอนอำ นาจหน้าที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นอำ นาจหน้าที่ของสำ นักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ๒ กรมการศาสนา แก้เป็น สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไข บทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและ อำ นาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ว่าด้วยการโอนอำ นาจหน้าที่ของ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นอำ นาจหน้าที่ของสำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ๓พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีและอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้”, ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๒. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ ให้อธิบดีกรมการศาสนา๑ เป็น เลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำ แหน่ง และ ให้กรมการศาสนา๒ ทำ หน้าที่สำ นักเลขาธิการ มหาเถรสมาคม มาตรา ๑๔ ๓ กรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่ง สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่ง คราวละสองปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
104 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๕ ทวิมาตรา ๑๕ ตรีและมาตรา ๑๕ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๑๕๑ นอกจากการพ้นจากตำแหน่ง ตามวาระตามมาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถร สมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งพ้น จากตำแหน่ง เมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ ออก ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจาก ตำ แหน่งก่อนวาระ สมเด็จพระสังฆราชอาจ ทรงแต่งตั้งพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่ง เป็น กรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรค ก่อนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน มาตรา ๑๕ ทวิ๒ การแต่งตั้งกรรมการ มหาเถรสมาคมตามมาตรา ๑๒ และการให้ กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำ แหน่ง ตามมาตรา ๑๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชา สมเด็จพระสังฆราช มาตรา ๑๕ ตรี มหาเถรสมาคมมีอำ นาจ หน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดย เรียบร้อยดีงาม (๒) ปกครองและกำ หนดการบรรพชา สามเณร ๑ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๕ นอกจากการ พ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง พ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) มรณภาพ (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ (๓) ลาออก (๔) พระมหากษัตริย์มี พระบรมราชโองการให้ออก ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำ แหน่งก่อนวาระ พระมหากษัตริย์อาจทรง แต่งตั้งพระภิกษุตามมาตรา ๑๒ รูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรคสองให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของ ผู้ซึ่งตนแทน” ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๒ - ๓. ๒ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตคิณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๕ ทวิพระบรมราชโองการตามมาตรา ๑๐ วรรคเจ็ด การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมตามมาตรา ๑๒ และการให้กรรมการมหาเถรสมาคมพ้น จากตำแหน่งตามมาตรา ๑๕ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”, ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 105 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การ สาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ ของคณะสงฆ์ (๔) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธ ศาสนา (๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่น เพื่อการนี้ ให้มหาเถรสมาคมมีอำ นาจ ตรากฎมหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับ วาง ระเบียบ ออกคำ สั่ง มีมติหรือออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและพระธรรม วินัยใช้บังคับได้ และจะมอบให้พระภิกษุรูปใด หรือคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตาม มาตรา ๑๙ เป็นผู้ใช้อำ นาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ก็ได้ มาตรา ๑๕ จัตวา เพื่อรักษาหลักพระธรรม วินัยและเพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจะตรากฎมหาเถรสมาคม เพื่อ กำ หนดโทษหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง สำ หรับพระภิกษุและสามเณรที่ประพฤติให้เกิด ความเสียหายแก่พระศาสนา และการปกครอง ของคณะสงฆ์ก็ได้ พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับโทษตาม วรรคหนึ่งถึงขั้นให้สละสมณเพศต้องสึกภายใน สามวันนับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ
106 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๑๖ ในเมื่อประธานกรรมการ มหาเถรสมาคมไม่อาจมาประชุม หรือไม่อยู่ใน ที่ประชุมมหาเถรสมาคมและมิได้มอบหมาย ให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติ หน้าที่แทน ให้มหาเถรสมาคมแต่งตั้งสมเด็จ พระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน การประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อการแต่งตั้งนี้ ให้กรรมการซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มี อาวุโสสูงสุดโดยพรรษาเป็นประธานแห่งที่ ประชุม มาตรา ๑๖ ในกรณีที่ประธานกรรมการ มหาเถรสมาคมไม่อาจมาประชุมหรือไม่อยู่ใน ที่ประชุมมหาเถรสมาคม และมิได้มอบหมาย ให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติ หน้าที่แทน ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโส สูงสุดโดยสมณศักดิ์ซึ่งอยู่ในที่ประชุมเป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน มาตรา ๑๗ การประชุมมหาเถรสมาคมต้อง มีกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการโดยการ แต่งตั้งรวมกันมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ กรรมการทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุม ระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคมให้ เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๐ แห่งพระราช บัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน มาตรา ๑๘ มหาเถรสมาคมมีอำ นาจหน้าที่ ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย เพื่อ การนี้ให้มีอำ นาจตรากฎมหาเถรสมาคม ออก ข้อบังคับ วางระเบียบหรือออกคำสั่งโดยไม่ขัด หรือแย้งกับกฎหมาย และพระธรรมวินัย ใช้บังคับได้ มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ยังไม่มีการแต่งตั้ง กรรมการมหาเถรสมาคมแทนตำ แหน่งที่ว่าง ตามมาตรา ๑๕ วรรคสอง ให้ถือว่ามหาเถร สมาคมมีกรรมการเท่าจำ นวนที่เหลืออยู่ใน ขณะนั้น
สมัยรัตนโกสินทร์ 107 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๙ การแต่งตั้งกรรมการมหาเถร สมาคมและการให้กรรมการมหาเถรสมาคม ออกจากตำแหน่ง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชา สมเด็จพระสังฆราช มาตรา ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชทรง แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ฝ่ายต่างๆ ตามมติมหาเถรสมาคม ประกอบด้วย พระภิกษุหรือบุคคลอื่นจำ นวนหนึ่ง มีหน้าที่ พิจารณากลั่นกรองเรื่องที่จะเสนอต่อมหา เถรสมาคมและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่มหา เถรสมาคมมอบหมาย โดยขึ้นตรงต่อมหาเถร สมาคม การจัดให้มีคณะกรรมการหรือคณะ อนุกรรมการฝ่ายต่างๆ การแต่งตั้งกรรมการ หรืออนุกรรมการ การพ้นจากตำ แหน่งของ กรรมการหรืออนุกรรมการ และระเบียบการ ประชุมให้เป็นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคม มาตรา ๒๐ การจัดระเบียบการปกครอง คณะสงฆ์ ให้เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎมหาเถร สมาคม มาตรา ๒๐ คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การ ปกครองของมหาเถรสมาคม การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้ เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม หมวด ๓ การปกครองคณะสงฆ์
108 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น มาตรา ๒๐ ทวิแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๒๐ ทวิ๑ เพื่อประโยชน์แก่การ ปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครอง คณะสงฆ์ การแต่งตั้งและการกำ หนดอำ นาจหน้าที่ เจ้าคณะใหญ่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม ๑ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตคิณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๐/๑ เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภายในบังคับมาตรา๒๐/๒การแต่งตั้งและการกำ หนดอำ นาจหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม” มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ “มาตรา ๒๐/๒ การแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาค หากมีพระราชดำ ริเป็น ประการใด ให้ดำ เนินการไปตามพระราชดำ รินั้น สำ หรับการแต่งตั้งและถอดถอนพระภิกษุผู้ดำ รงตำ แหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำ แหน่งอื่น ให้ดำ เนินการไปตามพระราชบัญญัตินี้เว้นแต่จะมีพระราชดำ ริเป็นประการอื่น” ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๐ ก, วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑, หน้า ๓.
สมัยรัตนโกสินทร์ 109 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๑ การปกครองคณะสงฆ์ส่วน ภูมิภาค ให้จัดแบ่งเขตปกครอง ดังนี้ (๑) ภาค (๒) จังหวัด (๓) อำ เภอ (๔) ตำ บล จำ นวนและเขตปกครองดังกล่าวให้เป็นไป ตามที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม มาตรา ๒๒ การปกครองคณะสงฆ์ส่วน ภูมิภาค ให้มีพระภิกษุเป็นผู้ปกครองตามชั้น ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ (๑) เจ้าคณะภาค (๒) เจ้าคณะจังหวัด (๓) เจ้าคณะอำ เภอ (๔) เจ้าคณะตำ บล เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นสมควรจะจัดให้มี รองเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะจังหวัด รอง เจ้าคณะอำ เภอ และรองเจ้าคณะตำ บล เป็น ผู้ช่วยเจ้าคณะนั้นๆ ก็ได้ มาตรา ๒๓ การแต่งตั้ง ถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วย เจ้าอาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับตำ แหน่ง ปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอื่นๆ และไวยาวัจกร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนด ในกฎมหาเถรสมาคม
110 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๔ พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรม ก็ต่อเมื่อกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุก็ต้องเป็น นิคหกรรมตามพระธรรมวินัย มาตรา ๒๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๔ มหาเถรสมาคมมีอำ นาจตรากฎมหาเถรสมาคม กำ หนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ เพื่อ ให้การลงนิคหกรรมเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวดเร็วและเป็นธรรม และให้ถือว่าเป็นการ ชอบด้วยกฎหมายที่มหาเถรสมาคมจะกำ หนด ในกฎมหาเถรสมาคม ให้มหาเถรสมาคมหรือ พระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตำ แหน่งใดเป็นผู้มี อำ นาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุผู้ล่วงละเมิด พระธรรมวินัย กับทั้งการกำ หนดให้การวินิจฉัย การลงนิคหกรรมให้เป็นอันยุติในชั้นใดๆ นั้น ด้วย มาตรา ๒๖ พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิด พระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้ได้ รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น หมวด ๔ นิคหกรรมและการสละสมณเพศ
สมัยรัตนโกสินทร์ 111 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๒๗ พระภิกษุรูปใดต้องคำวินิจฉัยให้ รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก ไม่ยอมรับนิคหกรรม นั้น หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย เป็นอาจิณ หรือไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง กับ ทั้งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มหาเถรสมาคมมี อำ นาจวินิจฉัยและมีคำ สั่งให้พระภิกษุรูปนั้น สละสมณเพศเสียได้ พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศ ตามความในวรรคก่อน ต้องสึกภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น มาตรา ๒๗ เมื่อพระภิกษุรูปใดต้องด้วย กรณีข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องคำ วินิจฉัยตามมาตรา ๒๕ ให้รับ นิคหกรรมไม่ถึงให้สึก แต่ไม่ยอมรับนิคหกรรม นั้น (๒) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็น อาจิณ (๓) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง (๔) ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้ภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำ หนดในกฎมหาเถรสมาคม พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศ ตามวรรคสอง ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วัน ที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น มาตรา ๒๘ พระภิกษุรูปใดต้องคำ พิพากษา ถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย ต้องสึกภายใน สามวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
112 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๙ พระภิกษุรูปใดถูกจับโดย ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงาน สอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควร ให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่ พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้ เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุ รูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงาน สอบสวนมีอำ นาจจัดดำ เนินการให้พระภิกษุ รูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ มาตรา ๓๐ เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือ ขังพระภิกษุรูปใดตามคำ พิพากษาหรือคำ สั่ง ของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำ นาจ หน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำ พิพากษาหรือ คำสั่งของศาล มีอำ นาจดำ เนินการให้พระภิกษุ รูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๓๑ วัดมีสองอย่าง (๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (๒) สำ นักสงฆ์ มาตรา ๓๑ วัดมีสองอย่าง (๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (๒) สำ นักสงฆ์ ให้วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป หมวด ๕ วัด
สมัยรัตนโกสินทร์ 113 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น มาตรา ๓๒ ทวิแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๒ การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย การยุบเลิกวัด และการขอรับ พระราชทานวิสุงคามสีมา ให้เป็นไปตาม วิธีการที่กำ หนดในกฎกระทรวง ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดที่ถูก ยุบเลิกให้ตกเป็นศาสนสมบัติกลาง มาตรา ๓๒ ทวิ วัดใดเป็นวัดร้างที่ไม่มี พระภิกษุอยู่อาศัย ในระหว่างที่ยังไม่มีการยุบ เลิกวัด ให้กรมการศาสนามีหน้าที่ปกครอง ดูแลรักษาวัดนั้น รวมทั้งที่วัด ที่ธรณีสงฆ์และ ทรัพย์สินของวัดนั้นด้วย การยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่ จำ พรรษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่กำ หนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๓ ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัด มีดังนี้ (๑) ที่วัด คือ ที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของ วัดนั้น (๒) ที่ธรณีสงฆ์ คือ ที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด (๓) ที่กัลปนา คือ ที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผล ประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา
114 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๓๔ ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอน กรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ และ ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัด ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ มาตรา ๓๔ การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้กระทำ ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ เว้นแต่เป็นกรณี ตามวรรคสอง การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เมื่อ มหาเถรสมาคมไม่ขัดข้องและได้รับค่า ผาติกรรมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานนั้นแล้ว ให้กระทำ โดยพระราช กฤษฎีกา ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับ วัดหรือกรมการศาสนา แล้วแต่กรณี ในเรื่อง ทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสน สมบัติกลาง มาตรา ๓๕ ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์เป็น ทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการ บังคับคดี มาตรา ๓๕ ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสน สมบัติกลาง เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความ รับผิดชอบแห่งการบังคับคดี มาตรา ๓๖ วัดหนึ่งให้มีเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง และถ้าเป็นการสมควรจะให้มีรองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วยก็ได้
สมัยรัตนโกสินทร์ 115 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๗ เจ้าอาวาสมีหน้าที่ดังนี้ (๑) บำ รุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสน สมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี (๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและ คฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำ นักอาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบหรือคำ สั่งของมหาเถร สมาคม (๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอน พระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ (๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการ บำ เพ็ญกุศล มาตรา ๓๘ เจ้าอาวาสมีอำ นาจดังนี้ (๑) ห้ามบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งมิได้รับ อนุญาตของเจ้าอาวาสเข้าไปอยู่อาศัยในวัด (๒) สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ใน โอวาทของเจ้าอาวาสออกไปเสียจากวัด (๓) สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่ หรือพำ นักอาศัยในวัด ทำ งานภายในวัด หรือ ให้ทำ ทัณฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษ ในเมื่อ บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ในวัดนั้นประพฤติผิด คำสั่งเจ้าอาวาสซึ่งได้สั่งโดยชอบด้วยพระธรรม วินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบหรือ คำสั่งของมหาเถรสมาคม
116 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๙ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าอาวาสหรือ เจ้าอาวาสไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้ง ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ให้ผู้รักษาการแทน เจ้าอาวาสมีอำ นาจและหน้าที่เช่นเดียวกับ เจ้าอาวาส การแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ให้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนด ในกฎมหาเถรสมาคม มาตรา ๔๐ ศาสนสมบัติแบ่งออกเป็น สองประเภท (๑) ศาสนสมบัติกลาง ได้แก่ ทรัพย์สิน ของพระศาสนาซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง (๒) ศาสนสมบัติของวัด ได้แก่ ทรัพย์สิน ของวัดใดวัดหนึ่ง การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติ กลาง ให้เป็นอำ นาจหน้าที่ของกรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของ ศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติ ของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำ หนดในกฎ กระทรวง มาตรา ๔๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัด ทำ งบประมาณประจำ ปีของศาสนสมบัติกลาง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้ งบประมาณนั้นได้ หมวด ๖ ศาสนสมบัติ
สมัยรัตนโกสินทร์ 117 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ และ ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๔๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ วรรคสอง หรือ มาตรา ๒๘ ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินหกเดือน มาตรา ๔๒ ผู้ใดมิได้รับแต่งตั้งให้เป็น พระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอนจากความเป็น พระอุปัชฌาย์ตามมาตรา ๒๓ แล้วกระทำการ บรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลอื่น ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี มาตรา ๔๓ ผู้ใด (๑) หมดสิทธิ์ที่จะได้รับบรรพชาอุปสมบท โดยต้องปาราชิกมาแล้ว แต่มารับบรรพชา อุปสมบทโดยปิดบังความจริง (๒) ต้องปาราชิกแล้วไม่ละการแต่งกาย อย่างเพศบรรพชิต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หกเดือน มาตรา ๔๓ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๕ จัตวา วรรคสอง มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ วรรคสาม หรือมาตรา ๒๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งปี มาตรา ๔๔ ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์ไทย อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือความ แตกแยก ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ มาตรา ๔๔ ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะต้องปาราชิกมาแล้วไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัย ตามมาตรา ๒๕ หรือไม่ก็ตาม แต่มารับบรรพชา อุปสมบทใหม่โดยกล่าวความเท็จหรือปิดบัง ความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หมวด ๗ บทกำ หนดโทษ
118 ตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ไทยกับระบบสมณศักดิ์ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น มาตรา ๔๔ ทวิและมาตรา ๔๔ ตรีแห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๔ ทวิ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จ พระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๔๔ ตรี ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือ คณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือความแตกแยก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๔๕ ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้ดำ รงตำ แหน่งในการปกครอง คณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงาน ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา ๔๖ การปกครองคณะสงฆ์อื่น นอกจากคณะสงฆ์ไทย ให้เป็นไปตามกฎ กระทรวง มาตรา ๔๖ การปกครองคณะสงฆ์อื่นให้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำ หนดใน กฎกระทรวง หมวด ๘ เบ็ดเตล็ด
สมัยรัตนโกสินทร์ 119 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา๑๘ บรรดากฎกระทรวง กฎมหาเถร สมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหา เถรสมาคมที่ออกตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๙ วัดที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๐ ให้พระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้ง และสถาปนาให้มีสมณศักดิ์อยู่ก่อนวันใช้ พระราชบัญญัตินี้ยังมีสมณศักดิ์นั้นต่อไป ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการมหา เถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่ กรรมการหรือ อนุกรรมการใดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ หรือตามกฎกระทรวง กฎมหาเถร สมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถร สมาคมซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ยังคงดำ รงตำ แหน่ง หรือปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนครบวาระการดำ รง ตำ แหน่งหรือจนกว่ามหาเถรสมาคมจะมีมติ เป็นประการอื่น มาตรา ๒๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้