The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ม.6 เล่ม 2 (ปรับปรุง พ.ค.66)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by บุษราคัม ทองกุล, 2023-10-31 23:23:14

คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ม.6 เล่ม 2 (ปรับปรุง พ.ค.66)

คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ม.6 เล่ม 2 (ปรับปรุง พ.ค.66)

336 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 2. 1) หาความถี่ของแตละอันตรภาคชั้นจากความถี่สะสมไดดังนี้ อันตรภาคชั้น ความถี่สะสม ความถี่ 61 67 − 3 3 68 74 − 6 3 75 81 − 9 3 82 88 − 24 15 89 95 − 47 23 96 102 − 63 16 103 109 − 76 13 110 116 − 80 4 ดังนั้น ครูมีระดับน้ําตาลในเลือดอยูในชวง 89 95 − มิลลิกรัมตอเดซิลิตร มากที่สุด โดยมีจํานวน 23 คน 2) จากขอมูลสามารถเขียนฮิสโทแกรมไดดังนี้ 3) ขอสรุปดังกลาวไมเปนจริง เนื่องจากถาสมมติวาครูทั้ง 16 คน ที่มีระดับน้ําตาลในเลือด อยูในชวง 96 102 − มิลลิกรัมตอเดซิลิตร มีระดับน้ําตาลในเลือดสูงกวา 100 มิลลิกรัม ตอเดซิลิตร จะไดวามีครูที่มีระดับน้ําตาลในเลือดสูงกวา 100 มิลลิกรัมตอเดซิลิตร หรือ จํานวนครู (คน) ระดับน้ําตาลในเลือด(มิลลิกรัมตอเดซิลิตร) 24 20 16 12 8 4 0 60.5 67.5 74.5 81.5 88.5 95.5 102.5 109.5 116.5


คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 2 337 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อยู่ในช่วง 100 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ทั้งหมด 16 13 4 33 คน ซึ่งคิดเป็น ร้อยละ 33 100 41.25 80 ของครูทั้งหมด ดังนั้น ครูที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานจึงมีน้อยกว่าร้อยละ 42 ของครู ทั้งหมด 3. 1) มี 29 11 40 เขตที่อัตราส่วนพื้นที่สีเขียว 10 ประเภท ต่อจ านวนประชากร น้อยกว่า 40 ตารางเมตรต่อคน 2) มี 1 1 1 3 เขตที่อัตราส่วนพื้นที่สีเขียว 10 ประเภท ต่อจ านวนประชากร ไม่น้อยกว่า 80 ตารางเมตรต่อคน 3) จากฮิสโทแกรม เขตที่มีอัตราส่วนพื้นที่สีเขียว 10 ประเภท ต่อจ านวนประชากร มากที่สุดมีอัตราส่วนพื้นที่สีเขียวต่อจ านวนประชากรอยู่ในช่วง 280 300 ตารางเมตร ต่อคน และเนื่องจากเขตนี้มีประชากร 182,235 คน ดังนั้น ในเขตนี้จะมีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 280182,235 51,025,80 0 ตารางเมตร นั่นคือ สามารถสรุปได้ว่า พื้นที่สีเขียวในเขตนั้นไม่น้อยกว่า 50,000,000 ตารางเมตร 4. 1) แพทย์ประจ าโรงพยาบาลเอกชนที่สุ่มมามีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดอยู่ในช่วง 190 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มากที่สุด และมีแพทย์อยู่ในช่วงนี้ 9 คน 2) ระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดของแพทย์ประจ าโรงพยาบาลรัฐบาลที่สุ่มมา มีค่าสูงสุดอยู่ในช่วง 240 250 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และมีแพทย์อยู่ในช่วงนี้ 2 คน 3) 3.1) จากฮิสโทแกรม มีแพทย์ประจ าโรงพยาบาลเอกชนที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมใน เลือดสูงกว่าค่าปกติ 5 2 5 1 1 14 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 14 100 46.67 30 ของจ านวนแพทย์ประจ าโรงพยาบาลเอกชนที่สุ่มมาทั้งหมด 3.2) จากฮิสโทแกรม มีแพทย์ประจ าโรงพยาบาลเอกชนและแพทย์ประจ า โรงพยาบาลรัฐบาลที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดสูงกว่าค่าปกติ 14 9 7 4 4 2 40 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 100 66.67 60 ของ จ านวนแพทย์ที่สุ่มมาทั้งหมด


338 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 3.3) แพทยประจําโรงพยาบาลเอกชนที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือด สูงกวาคาปกติมีจํานวนนอยกวาแพทยประจําโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีระดับ คอเลสเตอรอลรวมในเลือดสูงกวาคาปกติอยู 26 14 12 − = คน 4) คําตอบมีไดหลากหลาย เชน • แพทยประจําโรงพยาบาลเอกชนที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดอยูในชวง 190 200 − มิลลิกรัมตอเดซิลิตร มีจํานวนมากที่สุด โดยแพทยประจําโรงพยาบาล เอกชนที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดปกติมีจํานวนมากกวาแพทยประจํา โรงพยาบาลเอกชนที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดสูงกวาคาปกติอยู 16 14 2 − = คน • แพทยประจําโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือดอยูในชวง 200 210 − มิลลิกรัมตอเดซิลิตร มีจํานวนมากที่สุด รองลงมาคือ ชวง 210 220 − มิลลิกรัมตอเดซิลิตร โดยแพทยประจําโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีระดับคอเลสเตอรอล รวมในเลือดปกติมีจํานวนนอยกวาแพทยประจําโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีระดับ คอเลสเตอรอลรวมในเลือดสูงกวาคาปกติอยู 26 4 22 − = คน • แพทยประจําโรงพยาบาลเอกชนที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดปกติมีจํานวน มากกวาแพทยประจําโรงพยาบาลรัฐบาลอยู 16 4 12 − = คน 5. 1) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพจุดไดดังนี้ จํานวนภาพยนตร (เรื่อง) ที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 จํานวน 50 คน ชมในหนึ่งป 0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24 26 28 30 32 34


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 339 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพลําตนและใบไดดังนี้ 0 3 5 5 6 7 7 7 9 1 0 0 2 5 5 5 6 6 6 6 6 6 6 7 7 7 7 8 8 8 9 9 2 0 0 0 1 2 2 3 4 5 5 5 5 6 6 7 8 8 3 2 2 3 2) นักเรียนที่ชมภาพยนตรมากกวา 12 เรื่อง ในหนึ่งป คิดเปนรอยละ 39 100 78 50 × = ของจํานวนนักเรียนทั้งหมด 6. 1) เขียนแผนภาพลําตนและใบของคะแนนสอบวิชาภาษาไทยและวิชาคณิตศาสตรไดดังนี้ วิชาภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร 6 0 4 5 7 9 2 5 0 2 2 5 6 7 9 9 8 3 6 0 3 4 5 5 6 7 9 9 9 8 8 7 7 7 7 7 6 6 5 4 0 0 0 7 0 0 0 1 3 4 4 5 7 7 8 8 9 8 7 7 6 4 3 3 2 2 1 1 1 1 1 1 8 0 1 1 2 2 5 8 4 2 2 9 0 5 2) จากแผนภาพลําตนและใบในขอ 1) เขียนตารางความถี่แสดงจํานวนนักเรียนที่ไดเกรด ตาง ๆ ของแตละวิชา ไดดังนี้ เกรด จํานวนนักเรียน (คน) วิชาภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร 4 4 2 3 15 6 2 16 13 1 2 8 0 3 11 3) นักเรียนที่คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรขาดไปเพียง 1 คะแนน แลวจะไดเกรดดีขึ้นคือ นักเรียนที่ได59, 69 และ 79 คะแนน ซึ่งมีทั้งหมด 4 คน


340 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 4) เมื่อเปรียบเทียบจากเกรด พบวา นักเรียนสวนใหญในหองนี้ถนัดวิชาภาษาไทยมากกวา วิชาคณิตศาสตร 7. 1) เรียงขอมูลจากนอยไปมากไดดังนี้ 5 6 6 7 7 8 9 9 10 10 10 11 12 12 13 14 14 15 15 16 16 16 17 17 17 18 18 18 19 20 20 ขอมูลมีทั้งหมด 31 ตัว จะได Q1 อยูในตําแหนงที่ 31 1 8 4 + = ดังนั้น 1 Q = 9 Q2 อยูในตําแหนงที่ 2 31 1 ( ) 16 4 + = ดังนั้น 2 Q = 14 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 31 1 ( ) 24 4 + = ดังนั้น 3 Q = 17 ดังนั้น ควอรไทลที่ 1 ควอรไทลที่ 2 และควอรไทลที่ 3 ของขอมูลชุดนี้ คือ 9, 14 และ 17 คัน ตามลําดับ 2) แทน Q1 และ Q3 ดวย 9 และ 17 ตามลําดับ ใน Q QQ 1 31 − − 1.5( ) จะได 9 1.5 17 9 3 − − =− ( ) แทน Q1 และ Q3 ดวย 9 และ 17 ตามลําดับ ใน Q QQ 3 31 + − 1.5( ) จะได 17 1.5 17 9 29 + −= ( ) เนื่องจากไมมีขอมูลที่มีคานอยกวา −3 หรือมากกวา 29 ดังนั้น ขอมูลชุดนี้ไมมีคานอกเกณฑ 3) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพกลองไดดังนี้ 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 จํานวนรถจักรยานยนต(คัน)


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 341 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 4) จากแผนภาพกลอง จะเห็นวาจํานวนรถจักรยานยนตที่มาจอดบริเวณหนาบานของ นภาพักตรในชวง 9 ถึง 14 คัน มีการกระจายมากที่สุด รองลงมาคือชวง 5 ถึง 9 คัน สวนชวง 14 ถึง 17 คัน และชวง 17 ถึง 20 คัน มีการกระจายนอยใกลเคียงกัน 8. 1) เรียงขอมูลจากนอยไปมากไดดังนี้ 3.6 5.0 5.4 5.5 5.6 5.8 5.8 5.9 6.0 6.0 6.1 6.3 6.4 6.5 6.7 6.8 6.9 7.0 7.0 7.2 7.2 7.3 7.5 7.5 7.7 8.0 8.0 ขอมูลมีทั้งหมด 27 ตัว จะได Q1 อยูในตําแหนงที่ 27 1 7 4 + = ดังนั้น Q1 = 5.8 Q2 อยูในตําแหนงที่ 2 27 1 ( ) 14 4 + = ดังนั้น 2 Q = 6.5 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 27 1 ( ) 21 4 + = ดังนั้น Q3 = 7.2 ดังนั้น ควอรไทลที่ 1 ควอรไทลที่ 2 และควอรไทลที่ 3 ของขอมูลชุดนี้ คือ 5.8, 6.5 และ 7.2 เซนติเมตร ตามลําดับ 2) แทน Q1 และ Q3 ดวย 5.8 และ 7.2 ตามลําดับ ใน Q QQ 1 31 − − 1.5( ) จะได 5.8 1.5 7.2 5.8 3.7 − −= ( ) แทน Q1 และ Q3 ดวย 5.8 และ 7.2 ตามลําดับ ใน Q QQ 3 31 + − 1.5( ) จะได 7.2 1.5 7.2 5.8 9.3 + −= ( ) จากขอมูล มี3.6 นอยกวา 3.7 แตไมมีขอมูลที่มีคามากกวา 9.3 ดังนั้น ขอมูลชุดนี้มีคานอกเกณฑคือ 3.6 3) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพกลองไดดังนี้ 3.5 4 4.5 5 5.5 6 6.5 7 7.5 8 5 5.8 6.5 7.2 8 ความยาวของกลวยทอด (เซนติเมตร)


342 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 4) จากแผนภาพกลอง จะเห็นวาความยาวของกลวยทอดในชวง 5 ถึง 5.8 เซนติเมตร ชวง 5.8 ถึง 6.5 เซนติเมตร ชวง 6.5 ถึง 7.2 เซนติเมตร และชวง 7.2 ถึง 8 เซนติเมตร มีการกระจายใกลเคียงกัน 9. 1) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพกลองไดดังนี้ 2) เนื่องจากรอยละ 90 ของคะแนนสอบของแตละวิชาเทากับ 90 50 45 100 × = คะแนน และจากแผนภาพกลอง จะเห็นวา • มีนักเรียนประมาณครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมด ไดคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร มากกวา 46 คะแนน • มีนักเรียนประมาณหนึ่งในสี่ของนักเรียนทั้งหมด ไดคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษ มากกวา 45 คะแนน ดังนั้น วิชาคณิตศาสตรมีนักเรียนไดรับรางวัลมากกวาวิชาภาษาอังกฤษ 10. 1) คะแนนต่ําสุดของนักเรียนกลุมนี้คือ 60 คะแนน และคะแนนสูงสุดของนักเรียนกลุมนี้ คือ 67 คะแนน 2) เนื่องจาก 91 ตรงกับ Q3 จึงมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/2 ที่ไดคะแนนมากกวา 91 คะแนน ประมาณ 25% คะแนนสอบ 38 40 42 44 46 48 50 วิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตศาสตร


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 343 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 3) เนื่องจาก 75 ตรงกับ Q2 จึงมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/1 ที่ไดคะแนนนอยกวา 75 คะแนน ประมาณ 50% 4) เนื่องจาก 77 ตรงกับ Q1 จึงมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/2 ที่ไดคะแนนมากกวา 77 คะแนน ประมาณ 75% 5) คําตอบมีไดหลากหลาย เชน นาจะมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/2 ไดเกรด 4 ในวิชาคณิตศาสตรมากกวานักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/1 เนื่องจากควอรไทลที่ 2 ของคะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 6/2 คือ 85 คะแนน ซึ่งมากกวา 80 คะแนน ดังนั้น นาจะมีนักเรียนในหองนี้ มากกวาครึ่งหนึ่งที่ไดเกรด 4 ในขณะที่ควอรไทลที่ 2 ของคะแนนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/1 คือ 75 คะแนน ซึ่งนอยกวา 80 คะแนน ดังนั้น นาจะมีนักเรียน ในหองนี้นอยกวาครึ่งหนึ่งที่ไดเกรด 4 11. จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพการกระจายไดดังนี้ จากแผนภาพการกระจาย จะเห็นวาเมื่อความสูงของนักเรียนมากขึ้น น้ําหนักของ นักเรียนจะมีแนวโนมมากขึ้นดวย ดังนั้น ความสูงและน้ําหนักของนักเรียนมีความสัมพันธในทิศทางเดียวกัน 70 60 50 40 30 20 10 0 140 145 150 155 160 165 170 ความสูง (เซนติเมตร) น้ําหนัก (กิโลกรัม)


344 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 12. จากแผนภาพการกระจาย จะเห็นวาเมื่อความสูงจากระดับน้ําทะเลปานกลางมากขึ้น ความดันอากาศจะมีแนวโนมลดลง ดังนั้น ความดันอากาศและความสูงจากระดับน้ําทะเลปานกลางมีความสัมพันธในทิศทาง ตรงกันขาม 13. จากแผนภาพการกระจาย จะเห็นวาเมื่ออายุมากขึ้น จํานวนเพื่อนสนิทของนักเรียนไมได มากขึ้นหรือนอยลงตาม ดังนั้น จํานวนเพื่อนสนิทและอายุของนักเรียนไมมีความสัมพันธเชิงเสน แบบฝกหัด 3.3.1 1. 1) พิจารณาขอมูลคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 1 จะได คาเฉลี่ยเลขคณิตของคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 1 คือ 248 225 280 324 346 320 284 275 325 375 300.20 10 +++++++ + = + บาท เรียงขอมูลคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 1 จากนอยไปมากไดดังนี้ 225 248 275 280 284 320 324 325 346 375 เนื่องจากมัธยฐานอยูในตําแหนงที่ 5.5 2 10 1 = + ดังนั้น มัธยฐานของคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 1 คือ 284 320 302 2 + = บาท เนื่องจากขอมูลคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 1 มีความถี่เปน 1 เทากันหมด ดังนั้น ไมมีฐานนิยมของคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 1 พิจารณาขอมูลคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 2 จะได คาเฉลี่ยเลขคณิตของคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 2 คือ 260 232 245 220 256 248 276 235 244 280 249.60 10 +++++++ + = + บาท


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 345 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เรียงขอมูลคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 2 จากนอยไปมากไดดังนี้ 220 232 235 244 245 248 256 260 276 280 เนื่องจากมัธยฐานอยูในตําแหนงที่ 5.5 2 10 1 = + ดังนั้น มัธยฐานของคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 2 คือ 246.50 2 245 248 = + บาท เนื่องจากขอมูลคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 2 มีความถี่เปน 1 เทากันหมด ดังนั้น ไมมีฐานนิยมของคาจางรายวันของพนักงานชั่วคราวในรานที่ 2 2) ควรเลือกทํางานรานที่ 1 เนื่องจากโดยเฉลี่ยแลวจะไดรับคาจางรายวันมากกวารานที่ 2 2. 1) เรียงขอมูลจากนอยไปมากไดดังนี้ 7 9 11 11 12 12 13 13 14 14 14 14 15 15 15 15 16 16 16 17 17 18 18 19 19 27 28 ขอมูลมีทั้งหมด 27 ตัว จะได Q1 อยูในตําแหนงที่ 27 1 7 4 + = ดังนั้น 1 Q = 13 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 27 1 ( ) 21 4 + = ดังนั้น 3 Q = 17 แทน Q1 และ Q3 ดวย 13 และ 17 ตามลําดับ ใน Q QQ 1 31 − − 1.5( ) จะได 13 1.5 17 13 7 − −= ( ) แทน Q1 และ Q3 ดวย 13 และ 17 ตามลําดับ ใน Q QQ 3 31 + − 1.5( ) จะได 17 1.5 17 13 23 + −= ( ) จากขอมูล ไมมีขอมูลที่นอยกวา 7 แตมี 27 และ 28 ที่มากกวา 23 ดังนั้น คานอกเกณฑ คือ 27 และ 28 2) คาเฉลี่ยเลขคณิตของระยะเวลาที่ลูกคาจํานวน 27 คน ใชในการทําธุรกรรมที่ธนาคาร แหงนี้คือ 415 15.37 27 ≈ นาที


346 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 3) คาเฉลี่ยเลขคณิตของระยะเวลาที่ลูกคาใชในการทําธุรกรรมที่ธนาคารแหงนี้ โดยไมรวม คานอกเกณฑ คือ 415 27 28 ( ) 360 14.4 25 25 − + = = นาที 4) ถึงแมขอมูลชุดนี้จะมีคานอกเกณฑถึงสองคา แตคาเฉลี่ยเลขคณิตที่ไดจาก ขอ 2) และ 3) ไมแตกตางกันมาก เนื่องจากขอมูลสวนใหญมีคาใกลเคียงกัน และ คานอกเกณฑทั้งสองคามีคาใกลเคียงกันและไมตางจากขอมูลที่มีคามากที่สุดมาก 3. เนื่องจากคะแนนสอบยอยวิชาคณิตศาสตรแตละครั้งมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน และคิดเปน รอยละ 15 ของคะแนนทั้งหมด จะได น้ําหนักของการสอบยอยแตละครั้งคือ 15 0.15 100 = เนื่องจากคะแนนสอบปลายภาควิชาคณิตศาสตรมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน และคิดเปน รอยละ 70 ของคะแนนทั้งหมด จะได น้ําหนักของการสอบปลายภาคคือ 70 0.7 100 = ดังนั้น คะแนนเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนคนนี้คือ 0.15 74 0.15 80 0.7 62 ( ) ( ) ( ) 66.5 0.15 0.15 0.7 + + = + + คะแนน 4. 1) คาเฉลี่ยเลขคณิตของจํานวนการตายของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ คือ 61 4.36 14 ≈ ตัว เรียงขอมูลจํานวนการตายของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ จากนอยไปมากไดดังนี้ 0 0 0 2 2 3 4 5 5 6 7 8 9 10 เนื่องจากมัธยฐานอยูในตําแหนงที่ 7.5 2 14 1 = + ดังนั้น มัธยฐานของจํานวนการตายของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ คือ 4 . 5 4 5 2 + = ตัว จากขอมูล จะเห็นวา 0 มีความถี่สูงสุด ดังนั้น ฐานนิยมของจํานวนการตายของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ คือ 0 ตัว


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 347 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จะเห็นวาไมควรใชฐานนิยมเปนตัวแทนของขอมูลชุดนี้ เพราะทําใหเขาใจวาพื้นที่ สวนใหญไมมีไกปาตาย ทั้งที่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 มีพื้นที่ถึง 11 พื้นที่ ที่มีไกปา ตายตั้งแต 2 10 − ตัว 2) คาเฉลี่ยเลขคณิตของจํานวนการเกิดของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ คือ 6 49.93 9 14 9 ≈ ตัว เรียงขอมูลจํานวนการเกิดของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ จากนอยไปมากไดดังนี้ 26 28 30 31 32 34 38 40 42 46 46 48 126 132 เนื่องจากมัธยฐานอยูในตําแหนงที่ 7.5 2 14 1 = + ดังนั้น มัธยฐานของจํานวนการเกิดของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ คือ 38 40 39 2 + = ตัว จากขอมูล จะเห็นวา 46 มีความถี่สูงสุด ดังนั้น ฐานนิยมของจํานวนการเกิดของไกปาในพื้นที่สํารวจทั้ง 14 พื้นที่ คือ 46 ตัว จะเห็นวาควรใชเปนมัธยฐานเปนตัวแทนของขอมูลชุดนี้ เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิต และฐานนิยมมีคามากกวาขอมูลสวนใหญ 5. เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมของจํานวนจดหมายรับรองของผูสมัคร จํานวน 148 คน คือ 2.9, 3 และ 3 ฉบับ ตามลําดับ สามารถอธิบายไดวาผูสมัครสวนใหญ ยื่นจดหมายรับรองครบทั้ง 3 ฉบับ แตยังคงมีผูสมัครบางคนที่ยื่นจดหมายรับรองไมครบ 3 ฉบับ 6. สมมติวาน้ําหนักของนักเรียน 3 คนนี้คือ x x , และ 46 กิโลกรัม เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของน้ําหนักของนักเรียน 3 คน คือ 38 กิโลกรัม จะได 46 3 + +x x = 38 x = 34 ดังนั้น นักเรียนสองคนที่เหลือหนักคนละ 34 กิโลกรัม


348 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 7. วิธีที่ 1 เนื่องจากขอมูลชุดนี้มี 7 ตัว และมีคาเฉลี่ยเลขคณิตคือ 81 จะได ผลรวมของขอมูลทั้ง 7 ตัว เปน 7 81 567 × = ถาตัดขอมูลออกไป 1 ตัว จะเหลือขอมูล 6 ตัว และมีคาเฉลี่ยเลขคณิตคือ 78 จะได ผลรวมของขอมูล 6 ตัวที่เหลือเปน 6 78 468 × = ดังนั้น ขอมูลที่ถูกตัดออกไปมีคาเทากับ 567 468 99 − = วิธีที่ 2 สมมติขอมูลที่ถูกตัดออกไปคือ a สวนขอมูล 6 ตัวที่เหลือคือ 12 6 xx x ,, , เนื่องจากเมื่อตัด a ออกไป ขอมูล 6 ตัวที่เหลือมีคาเฉลี่ยเลขคณิตคือ 78 ดังนั้น 6 1 6 i i x = ∑ = 78 6 1 i i x = ∑ = 468 แตเนื่องจากขอมูล 7 ตัวนี้มีคาเฉลี่ยเลขคณิตคือ 81 จะได 6 1 7 i i a x = +∑ = 81 468 7 a + = 81 a = 99 ดังนั้น ขอมูลที่ถูกตัดออกไปมีคาเทากับ 99 8. สมมติวาคะแนนสอบยอยวิชาคณิตศาสตรทั้ง 5 ครั้ง ของนอยหนา เมื่อเรียงจากนอยไปมาก เปน 12345 xxxxx ,,,, เนื่องจากมัธยฐานของขอมูลชุดนี้คือ 87 คะแนน จะได x3 = 87 เนื่องจากฐานนิยมของขอมูลชุดนี้คือ 80 คะแนน จะได 1 2 x x = = 80 เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนี้คือ 86 คะแนน จะได 4 5 80 80 87 5 ++++ x x = 86 4 5 x x + = 183 เนื่องจากคะแนนสอบยอยวิชาคณิตศาสตรทั้ง 5 ครั้งของนอยหนาเปนจํานวนเต็ม และ 87 4 5 < < x x


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 349 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จะไดวา 5 x มีคาสูงที่สุดที่เปนไปได เมื่อ x4 = 88 และจะได 5 x = −= 183 88 95 ดังนั้น คะแนนสอบยอยที่สูงที่สุดที่เปนไปไดของนอยหนาคือ 95 คะแนน แบบฝกหัด 3.3.2 1. เรียงขอมูลจากนอยไปมาก ไดดังนี้ 24 28 32 32 36 38 40 42 44 46 54 จะได พิสัยของเวลาที่ใชในการติดตั้งประตูคือ 54 24 30 − = นาที เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 11 1 3 4 + = จะไดQ1 = 32 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 11 1 ( ) 9 4 + = จะไดQ3 = 44 ดังนั้น พิสัยระหวางควอรไทลของเวลาที่ใชในการติดตั้งประตูคือ 44 32 12 − = นาที เนื่องจากขอมูลที่กําหนดในโจทยเปนขอมูลของตัวอยาง ให i x แทนเวลาที่ใชในการติดตั้งประตูบานที่ i เมื่อ i∈{1, 2, 3, ... , 11} และ x แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของเวลาที่ใชในการติดตั้งประตู จะได 24 28 32 32 36 38 40 42 44 46 54 416 37.8 11 11 x ++++++++++ = = ≈ จากขอมูล จะได i x x x i − ( ) 2 x x i − 24 –13.8 190.44 28 –9.8 96.04 32 –5.8 33.64 32 –5.8 33.64 36 –1.8 3.24 38 0.2 0.04 40 2.2 4.84 42 4.2 17.64 44 6.2 38.44 46 8.2 67.24 54 16.2 262.44 ( ) 11 2 1 747.64 i i x x = ∑ − =


350 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของเวลาที่ใชในการติดตั้งประตูคือ 747.64 8.65 11 1 ≈ −นาที และความแปรปรวนของเวลาที่ใชในการติดตั้งประตูคือ 747.64 74.764 10 = นาที2 2. 1) เรียงขอมูลในตารางจากนอยไปมาก ไดดังนี้ จะได พิสัยของปริมาณพลังงานของอาหารจานเดียวชุดนี้คือ 933 117 816 − = กิโลแคลอรี เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 11 1 3 4 + = จะไดQ1 = 337 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 11 1 ( ) 9 4 + = จะไดQ3 = 553 ดังนั้น พิสัยระหวางควอรไทลของปริมาณพลังงานของอาหารจานเดียวชุดนี้คือ 553 337 216 − = กิโลแคลอรี 2) พิสัยระหวางควอรไทลเหมาะสําหรับใชอธิบายลักษณะการกระจายของขอมูลชุดนี้ มากกวาพิสัย เนื่องจากเมื่อพิจารณาผลตางของขอมูล 2 ตัวใด ๆ จะไดวาสวนใหญแลว ขอมูลไมไดตางกันมากถึง 816 กิโลแคลอรี โดยผลตางของขอมูลจะใกลเคียงกับ พิสัยระหวางควอรไทลที่คํานวณได ซึ่งเทากับ 216 กิโลแคลอรี 3. เนื่องจากขอมูลที่กําหนดในโจทยเปนขอมูลของประชากร ใหµ 1 และ σ 1 แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุของสมาชิก ในครอบครัวนี้ในปจจุบัน ตามลําดับ ใหµ 2 และ σ 2 แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุของสมาชิก ในครอบครัวนี้ในอีก 5 ปขางหนา ตามลําดับ จะได µ 1 = 45 42 20 17 16 5 ++++ 28 σ 1 = ( ) ( ) ( ) ( ) ( ) 2 2 222 45 28 42 28 20 28 17 28 16 28 5 − + − + − +− +− = 814 5 = 117 337 337 344 444 475 519 522 553 717 933


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 351 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี σ 1 ≈ 12.76 และ 2 σ 1 814 5 = 162.8 ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุของสมาชิกในครอบครัวนี้มีคาประมาณ 12.76 ป และความแปรปรวนของอายุของสมาชิกในครอบครัวนี้คือ 162.8 ป2 และจะได µ 2 = (45 5 42 5 20 5 17 5 16 5 ) ( ) ( ) ( ) ( ) 5 ++ ++ ++ ++ + = 33 และ σ 2 = ( ) ( ) ( ) ( ) ( ) 2 22 22 50 33 47 33 25 33 22 33 21 33 5 − +− +− +− +− = 814 5 ≈ 12.76 ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุของสมาชิกในครอบครัวนี้ในอีก 5 ปขางหนา มีคาประมาณ 12.76 ป จะเห็นวาในอีก 5 ปขางหนา สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุของสมาชิกในครอบครัวนี้ ยังคงเทากับสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุของสมาชิกในครอบครัวนี้ในปจจุบัน 4. เรียงขอมูลจากนอยไปมาก ไดดังนี้ 870 1,236 1,423 1,458 1,506 1,633 1,664 จะได พิสัยของขอมูลชุดนี้คือ 1,664 870 794 − = ราย เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 7 1 2 4 + = จะไดQ1 = 1,236 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 37 1 ( ) 6 4 + = จะไดQ3 = 1,633 ดังนั้น พิสัยระหวางควอรไทลของขอมูลชุดนี้คือ 1,633 1,236 397 − = ราย เนื่องจากขอมูลที่กําหนดในโจทยเปนขอมูลของประชากร ให i x แทนจํานวนผูบาดเจ็บรวมตั้งแต พ.ศ. 2556 – 2558 ในวันที่ i ของชวง 7 วันอันตราย ของเทศกาลปใหม เมื่อ i∈{1, 2, 3, ... , 7} และ µ แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนี้ =


352 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จะได µ = 870 1,236 1,423 1,458 1,506 1,633 1,664 7 ++++++ = 9,790 7 ≈ 1,398.57 จากขอมูล จะได i x xi − µ ( ) 2 xi − µ 870 –528.57 279,386.24 1,236 –162.57 26,429.00 1,423 24.43 596.82 1,458 59.43 3,531.92 1,506 107.43 11,541.20 1,633 234.43 54,957.42 1,664 265.43 70,453.08 ( ) 7 2 1 446,895.68 i i x µ = ∑ − ≈ ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุดนี้คือ 446,895.68 252.67 7 ≈ ราย 5. สัมประสิทธิ์การแปรผันของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 1 คือ 4.8 0.066 73.2 ≈ และสัมประสิทธิ์การแปรผันของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 2 คือ 3.6 0.069 52.4 ≈ เนื่องจากสัมประสิทธิ์การแปรผันของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 2 มากกวาสัมประสิทธิ์การแปรผันของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 1 เพียงเล็กนอย สรุปไดวาคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 2 มีการ กระจายมากกวาคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 1 เพียง เล็กนอย หรือกลาวไดวาคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 353 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี หอง 1 เกาะกลุมกันมากกวาคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 หอง 2 เพียงเล็กนอย 6. เนื่องจากขอมูลที่กําหนดในโจทยเปนขอมูลของประชากร ให i x และ i y แทนอุณหภูมิสูงสุดและอุณหภูมิต่ําสุดของจังหวัดขอนแกน ใน พ.ศ. 2548 + i เมื่อ i∈{1, 2, 3, ... , 10} ตามลําดับ µ xและ µ yแทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของอุณหภูมิสูงสุดและอุณหภูมิต่ําสุดของจังหวัด ขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 ตามลําดับ และ σ xและ σ y แทนสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอุณหภูมิสูงสุดและอุณหภูมิต่ําสุดของ จังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 ตามลําดับ จะได µ x = 39.3 41.1 38.5 39.6 41.2 39.3 39.0 41.8 40.5 41.0 10 +++++++++ = 40.13 และ µ y = 12.0 12.6 11.9 10.2 13.5 11.6 15.0 11.6 10.2 11.6 10 +++++++++ = 12.02 จากขอมูล จะได i x i x x − µ ( ) 2 i x x − µ 39.3 –0.83 0.69 41.1 0.97 0.94 38.5 –1.63 2.66 39.6 –0.53 0.28 41.2 1.07 1.14 39.3 –0.83 0.69 39.0 –1.13 1.28 41.8 1.67 2.79 40.5 0.37 0.14


354 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี i x i x x − µ ( ) 2 i x x − µ 41.0 0.87 0.76 ( ) 10 2 1 11.37 i x i x µ = ∑ − ≈ และ i y i y y − µ ( ) 2 i y y − µ 12.0 –0.02 0.00 12.6 0.58 0.34 11.9 –0.12 0.01 10.2 –1.82 3.31 13.5 1.48 2.19 11.6 –0.42 0.18 15.0 2.98 8.88 11.6 –0.42 0.18 10.2 –1.82 3.31 11.6 –0.42 0.18 ( ) 10 2 1 18.58 i y i y µ = ∑ − ≈ ดังนั้น 11.37 1.07 10 σ x ≈ ≈ และ 18.58 1.36 10 σ y ≈ ≈ จะได สัมประสิทธิ์การแปรผันของอุณหภูมิสูงสุดของจังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 คือ 1.07 0.03 40.13 ≈ และสัมประสิทธิ์การแปรผันของอุณหภูมิต่ําสุดของจังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 คือ 1.36 0.11 12.02 ≈ เนื่องจากสัมประสิทธิ์การแปรผันของอุณหภูมิสูงสุดของจังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 นอยกวาสัมประสิทธิ์การแปรผันของอุณหภูมิต่ําสุดของจังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 355 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สรุปไดวาอุณหภูมิสูงสุดของจังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 มีการกระจายนอยกวา อุณหภูมิต่ําสุดของจังหวัดขอนแกน หรือกลาวไดวาอุณหภูมิสูงสุดของจังหวัดขอนแกน ตั้งแต พ.ศ. 2549 – 2558 เกาะกลุมกันมากกวาอุณหภูมิต่ําสุดของจังหวัดขอนแกน แบบฝกหัด 3.3.3 1. 1) เรียงขอมูลจากนอยไปมาก ไดดังนี้ 12.00 12.00 19.00 25.20 30.00 36.00 39.00 40.00 84.00 136.00 240.00 300.00 500.00 720.00 779.20 เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 15 1 4 4 + = จะได 1 Q = 25.20 Q2 อยูในตําแหนงที่ 2 15 1 ( ) 8 4 + = จะได 2 Q = 40.00 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 15 1 ( ) 12 4 + = จะได 3 Q = 300.00 ดังนั้น ควอรไทลที่ 1 ควอรไทลที่ 2 และควอรไทลที่ 3 ของขอมูลชุดนี้ คือ 25.20, 40.0 และ 300.00 เมกะวัตต ตามลําดับ 2) กําลังผลิตที่มีโรงไฟฟาพลังน้ําเขื่อนขนาดใหญจํานวนครึ่งหนึ่งมีกําลังผลิตนอยกวา คือ Q2 ซึ่งเทากับ 40.00 เมกะวัตต 3) เนื่องจาก 3 Q = 300.00 ดังนั้น โรงไฟฟาพลังน้ําเขื่อนขนาดใหญที่มีกําลังผลิตมากกวาควอรไทลที่ 3 คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนศรีนครินทร 2. 1) เรียงขอมูลจากนอยไปมาก ไดดังนี้ 289 304 305 311 313 324 324 329 341 342 345 353 เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 12 1 3.25 4 + = ดังนั้น Q1 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 3 และ 4 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 305 และ 311 ในการหา Q1 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้


356 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 3 และ 4 มีตําแหนงตางกัน 431 − = มีคาตางกัน 311 305 6 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 3.25 3 0.25 − = มีคาตางกัน 0.25 6 1.5 1 × = ดังนั้น Q1 = += 305 1.5 306.5 เนื่องจาก Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 12 1 ( ) 9.75 4 + = ดังนั้น Q3 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 9 และ 10 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 341 และ 342 ในการหา Q3 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 9 และ 10 มีตําแหนงตางกัน 10 9 1 − = มีคาตางกัน 342 341 1 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 9.75 9 0.75 − = มีคาตางกัน 0.75 1 0.75 1 × = ดังนั้น Q3 =+ = 341 0.75 341.75 จะไดวาควอรไทลที่ 1 และควอรไทลที่ 3 ของขอมูลชุดนี้ คือ 306.5 และ 341.75 คน ตามลําดับ 2) เนื่องจาก Q1 = 306.5 ดังนั้น เดือนที่มีจํานวนทารกแรกเกิดนอยกวาควอรไทลที่ 1 คือ เดือนมกราคม กุมภาพันธ และพฤศจิกายน 3) เนื่องจาก Q3 = 341.75 ดังนั้น เดือนที่มีจํานวนทารกแรกเกิดมากกวาควอรไทลที่ 3 คือ เดือนเมษายน กรกฎาคม และกันยายน 3. 1) เรียงระยะเวลาตั้งทองเฉลี่ยของสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม 10 ชนิดนี้จากนอยไปมาก ไดดังนี้ 100 105 166 201 238 330 365 406 425 660 เนื่องจาก P20 อยูในตําแหนงที่ 20 10 1 ( ) 2.2 100 + = ดังนั้น P20 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 2 และ 3 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 105 และ 166 ในการหา P20 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 357 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 2 และ 3 มีตําแหนงตางกัน 321 − = มีคาตางกัน 166 105 61 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 2.2 2 0.2 − = มีคาตางกัน 0.2 61 12.2 1 × = ดังนั้น P20 =+ = 105 12.2 117.2 เนื่องจาก P80 อยูในตําแหนงที่ 80 10 1 ( ) 8.8 100 + = ดังนั้น P80 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 8 และ 9 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 406 และ 425 ในการหา P80 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 8 และ 9 มีตําแหนงตางกัน 98 1 − = มีคาตางกัน 425 406 19 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 8.8 8 0.8 − = มีคาตางกัน 0.8 19 15.2 1 × = ดังนั้น P80 =+ = 406 15.2 421.2 จะไดวาเปอรเซ็นไทลที่ 20 และเปอรเซ็นไทลที่ 80 ของระยะเวลาตั้งทองเฉลี่ยของสัตว เลี้ยงลูกดวยน้ํานม 10 ชนิดนี้ คือ 117.2 และ 421.2 วัน ตามลําดับ 2) เรียงอายุขัยเฉลี่ยของสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม 10 ชนิดนี้จากนอยไปมาก ไดดังนี้ 8 10 12 15 15 15 16 20 35 41 เนื่องจาก P20 อยูในตําแหนงที่ 20 10 1 ( ) 2.2 100 + = ดังนั้น P20 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 2 และ 3 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 10 และ 12 ในการหา P20 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 2 และ 3 มีตําแหนงตางกัน 321 − = มีคาตางกัน 12 10 2 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 2.2 2 0.2 − = มีคาตางกัน 0.2 2 0.4 1 × = ดังนั้น 20 P =+ = 10 0.4 10.4 เนื่องจาก P80 อยูในตําแหนงที่ 80 10 1 ( ) 8.8 100 + = ดังนั้น P80 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 8 และ 9 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 20 และ 35 ในการหา P80 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้


358 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 8 และ 9 มีตําแหนงตางกัน 98 1 − = มีคาตางกัน 35 20 15 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 8.8 8 0.8 − = มีคาตางกัน 0.8 15 12 1 × = ดังนั้น 80 P =+= 20 12 32 จะไดวาเปอรเซ็นไทลที่ 20 และเปอรเซ็นไทลที่ 80 ของอายุขัยเฉลี่ยของสัตวเลี้ยงลูก ดวยน้ํานม 10 ชนิดนี้ คือ 10.4 และ 32 ป ตามลําดับ 3) สัตวที่มีระยะเวลาตั้งทองเฉลี่ยมากกวาเปอรเซ็นไทลที่ 80 คือ สัตวที่มีระยะเวลา ตั้งทองเฉลี่ยมากกวา 421.2 วัน ซึ่งไดแกยีราฟและชาง สัตวที่มีอายุขัยเฉลี่ยนอยกวาเปอรเซ็นไทลที่ 20 คือสัตวที่มีอายุขัยเฉลี่ยนอยกวา 10.4 ป ซึ่งไดแกกวางและยีราฟ ดังนั้น สวนสัตวแหงนี้จะเลือกเพิ่มจํานวนยีราฟ ชาง และกวาง 4. เรียงคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/2 จากนอยไปมาก ไดดังนี้ 27 31 35 37 43 49 49 54 55 56 57 59 60 61 61 64 67 68 70 70 73 73 74 77 78 78 78 82 86 88 เนื่องจาก P90 อยูในตําแหนงที่ 90 30 1 ( ) 27.9 100 + = ดังนั้น P90 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 27 และ 28 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 78 และ 82 ในการหา P90 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 27 และ 28 มีตําแหนงตางกัน 28 27 1 − = มีคาตางกัน 82 78 4 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 27.9 27 0.9 − = มีคาตางกัน 0.9 4 3.6 1 × = ดังนั้น P90 =+ = 78 3.6 81.6 จะไดวาเปอรเซ็นไทลที่ 90 ของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 6/2 คือ 81.6 คะแนน


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 359 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จากตัวอยางที่ 24 จะได เปอรเซ็นไทลที่ 80 ของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/1 คือ 81.6 คะแนน ดังนั้น ขอสรุปที่วา “เปอรเซ็นไทลที่ 90 ของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/2 มากกวาเปอรเซ็นไทลที่ 80 ของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6/1” ไมเปนจริง 5. 1) คาเฉลี่ยเลขคณิตของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาตรี คือ 298,924 15,732.84 19 ≈ บาท สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาตรี มีคาประมาณ 1,984.83 บาท สัมประสิทธิ์การแปรผันของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาตรี คือ 1,984.83 0.13 15,732.84 ≈ คาเฉลี่ยเลขคณิตของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก คือ 594,163 29,708.15 20 ≈ บาท สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก มีคาประมาณ 11,625.01 บาท สัมประสิทธิ์การแปรผันของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก คือ 11,625.01 0.39 29,708.15 ≈ เนื่องจากสัมประสิทธิ์การแปรผันของเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มี วุฒิปริญญาตรีนอยกวาสัมประสิทธิ์การแปรผันของเงินเดือนของพนักงานใหมแรก บรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก ดังนั้น เงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาตรีมีการกระจายนอยกวา เงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก


360 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 2) เรียงขอมูลเงินเดือนของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก จากนอยไปมาก ไดดังนี้ 18,028 19,940 20,957 21,050 21,342 22,643 23,125 23,454 23,823 24,163 26,555 26,686 28,677 30,879 32,505 33,050 37,871 39,526 56,807 63,082 เนื่องจาก P30 อยูในตําแหนงที่ 30 20 1 ( ) 6.3 100 + = ดังนั้น ตําแหนงของพนักงานใหมแรกบรรจุที่มีวุฒิปริญญาโท/เอก ที่ไดเงินเดือน นอยกวาเปอรเซ็นไทลที่ 30 ไดแก ตําแหนงเจาพนักงานการเงินและบัญชี เจาหนาที่ บัญชีและเจาหนาที่การเงิน ตําแหนงนักวิเคราะหนโยบายและแผน และนักวางแผน ตําแหนงนักทรัพยากรบุคคล เจาหนาที่ฝกอบรม เจาหนาที่ทรัพยากรบุคคล และ เจาหนาที่วิเทศสัมพันธตําแหนงนักประชาสัมพันธ และเจาหนาที่ประชาสัมพันธ ตําแหนงนักวิชาการคอมพิวเตอร และนักเขียนโปรแกรม และตําแนงเศรษฐกร และ นักเศรษฐศาสตร แบบฝกหัดทายบท 1. 1) ยอดชําระ เงิน (บาท) ความถี่ ความถี่ สะสม ความถี่สัมพัทธ ความถี่สะสมสัมพัทธ สัดสวน รอยละ สัดสวน รอยละ ต่ํากวา 100 2 2 2 0.04 50 = 4 0.04 4 100 – 199 4 6 4 0.08 50 = 8 0.12 12 200 – 299 11 17 11 0.22 50 = 22 0.34 34 300 – 399 13 30 13 0.26 50 = 26 0.60 60 400 – 499 14 44 14 0.28 50 = 28 0.88 88 500 – 599 5 49 5 0.10 50 = 10 0.98 98


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 361 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ยอดชําระ เงิน (บาท) ความถี่ ความถี่ สะสม ความถี่สัมพัทธ ความถี่สะสมสัมพัทธ สัดสวน รอยละ สัดสวน รอยละ 600 – 699 1 50 1 0.02 50 = 2 1.00 100 2) ลูกคามียอดชําระเงินอยูในอันตรภาคชั้น 400 – 499 มากที่สุด 3) ลูกคาที่มียอดชําระเงินต่ํากวา 100 บาท มี 2 คน ซึ่งมีจํานวนมากกวาลูกคาที่มียอด ชําระเงินตั้งแต 600 – 699 บาท ซึ่งมีเพียง 1 คน 4) ลูกคาที่มียอดชําระเงินตั้งแต 400 บาทขึ้นไป คิดเปนรอยละ 28 10 2 40 + += ของ จํานวนลูกคา 50 คนนี้ 5) ลูกคาที่มียอดชําระเงินตั้งแต 200 บาท แตนอยกวา 500 บาท คิดเปนรอยละ 88 12 76 − = ของจํานวนลูกคา 50 คนนี้ 2. 1) ปริมาณฟลูออไรด ( x) ความถี่ 0 0.5 ≤ <x 15 0.5 1 ≤ <x 7 1 1.5 ≤ <x 4 1.5 2 ≤ <x 1 x ≥ 2 3 จากตารางความถี่ อาจสรุปไดวายี่หอน้ําดื่มบรรจุขวดที่มีปริมาณฟลูออไรดอยูในชวง ตั้งแต 0 แตนอยกวา 0.5 มิลลิกรัมตอลิตร มีจํานวนมากที่สุด รองลงมาคือชวงตั้งแต 0.5 แตนอยกวา 1 มิลลิกรัมตอลิตร สวนชวงตั้งแต 1.5 แตนอยกวา 2 มิลลิกรัมตอลิตร เปนชวงที่มีจํานวนยี่หอน้ําดื่มบรรจุขวดนอยที่สุด โดยมีเพียงยี่หอเดียว 2) จํานวนยี่หอน้ําดื่มบรรจุขวดที่มีปริมาณฟลูออไรดตั้งแต 2 มิลลิกรัมตอลิตรขึ้นไป คิดเปนรอยละ 3 100 10 30 × = ของจํานวนยี่หอน้ําดื่มบรรจุขวดที่สํารวจทั้งหมด


362 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 3. จากโจทย กําหนดจํานวนอันตรภาคชั้นเทากับ 5 ชั้น คาเริ่มตนคือ 0 มิลลิเมตร และ คาสุดทายคือ 510 มิลลิเมตรสามารถเขียนตารางความถี่ไดดังนี้ 1. คํานวณความกวางของอันตรภาคชั้น ไดดังนี้ คาสุดทาย – คาเริ่มตน จํานวนอันตรภาคชั้น 510 0 102 5 − = = ดังนั้น ความกวางของอันตรภาคชั้นคือ 102 มิลลิเมตร 2. กําหนดอันตรภาคชั้นในรูปชวง โดยแบงเปน 5 ชั้น พรอมทั้งหาจํานวนขอมูลทั้งหมด ที่อยูในแตละอันตรภาคชั้น จะไดตารางความถี่ดังนี้ ปริมาณน้ําฝนรายเดือน ( x) ความถี่ 0 102 ≤ <x 19 102 204 ≤ <x 9 204 306 ≤ <x 5 306 408 ≤ <x 2 408 510 ≤ <x 1 จากตารางความถี่ อาจสรุปไดวา ตั้งแต พ.ศ. 2554 – 2556 ปริมาณน้ําฝนรายเดือนของ จังหวัดระยองในชวงตั้งแต 0 แตนอยกวา 102 มิลลิเมตร มีความถี่สูงที่สุด รองลงมาคือ ชวงตั้งแต 102 แตนอยกวา 204 มิลลิเมตร สวนชวงตั้งแต 408 แตนอยกวา 510 มิลลิเมตร มีความถี่ต่ําที่สุด 4. 1) เกรด ความถี่ (คน) 4 8 3 13 2 10 1 12 0 2 2) นักเรียนหองนี้ไดเกรด 3 มากที่สุด


คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 2 363 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3) นักเรียนที่ได้ตั้งแต่เกรด 3 ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 8 13 100 46.67 45 ของจ านวน นักเรียนทั้งหมด 5. 1) จากโจทย์ ก าหนดจ านวนอันตรภาคชั้นเท่ากับ 5 ชั้น ค่าเริ่มต้นคือ 0 ชิ้น และค่าสุดท้าย คือ 25 ชิ้น สามารถเขียนตารางความถี่ได้ดังนี้ 1. ค านวณความกว้างของอันตรภาคชั้น ได้ดังนี้ ค่าสุดท้าย – ค่าเริ่มต้น จ านวนอันตรภาคชั้น 25 0 5 5 ดังนั้น ความกว้างของอันตรภาคชั้นคือ 5 ชิ้น 2. จะได้ตารางความถี่ของข้อมูลเป็นดังนี้ จ้านวนสินค้า ขอบล่าง – ขอบบน ความถี่ 0 – 4 –0.5 – 4.5 8 5 – 9 4.5 – 9.5 15 10 – 14 9.5 – 14.5 3 15 – 19 14.5 – 19.5 3 20 – 24 19.5 – 24.5 1 2) จากข้อมูลสามารถเขียนฮิสโทแกรมได้ดังนี้ 16 14 12 10 8 6 4 2 จ านวนคน จ านวนสินค้า (ชิ้น) – 0.5 4.5 9.5 14.5 19.5 24.5


364 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 3) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพจุดไดดังนี้ 4) เรียงขอมูลจากนอยไปมาก ไดดังนี้ 2 2 3 3 3 4 4 4 5 5 5 5 6 6 7 7 7 8 8 8 9 9 9 12 13 14 15 16 19 22 จากโจทย มีขอมูล 30 ตัว มีคาต่ําสุดคือ 2 และคาสูงสุดคือ 22 หา 1 2 Q Q, และ Q3 ไดดังนี้ เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 30 1 7.75 4 + = ดังนั้น Q1 = 4 เนื่องจาก Q2 อยูในตําแหนงที่ 2 30 1 ( ) 15.5 4 + = ดังนั้น Q2 = 7 เนื่องจาก Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 30 1 ( ) 23.25 4 + = ดังนั้น Q3 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 23 และ 24 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 9 และ 12 ในการหา Q3 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 23 และ 24 มีตําแหนงตางกัน 24 23 1 − = มีคาตางกัน 12 9 3 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 23.25 23 0.25 − = มีคาตางกัน 0.25 3 0.75 1 × = ดังนั้น 3 Q =+ = 9 0.75 9.75 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 จํานวนสินคา (ชิ้น)


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 365 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จะไดวาควอรไทลที่ 1 ควอรไทลที่ 2 และควอรไทลที่ 3 ของจํานวนสินคา คือ 4, 7 และ 9.75 ชิ้น ตามลําดับ หาคานอกเกณฑไดดังนี้ แทน Q1 และ Q3 ดวย 4 และ 9.75 ตามลําดับ ใน Q QQ 1 31 − − 1.5( ) จะได 4 1.5 9.75 4 4.625 − − =− ( ) แทน Q1 และ Q3 ดวย 4 และ 9.75 ตามลําดับ ใน Q QQ 3 31 + − 1.5( ) จะได 9.75 1.5 9.75 4 18.375 + −= ( ) จากขอมูล ไมมีขอมูลที่นอยกวา −4.625 แตมี 19 และ 22 ที่มากกวา 18.375 ดังนั้น คานอกเกณฑ คือ 19 และ 22 จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพกลองไดดังนี้ 6. 1) จํานวนนักเรียนที่จําคําศัพทไดมากกวา 92 คํา คิดเปนรอยละ 7323 100 33.33 45 +++ × ≈ ของจํานวนนักเรียนทั้งหมด 2) จํานวนนักเรียนที่จําคําศัพทไดมากกวา 70 คํา แตไมเกิน 80 คํา คิดเปนรอยละ 12462 100 33.33 45 ++++ × ≈ ของจํานวนนักเรียนทั้งหมด 3) จากฮิสโทแกรม จะไดวาจํานวนคําศัพทที่นักเรียนจํานวนมากที่สุดจําไดอยูในชวง 92 – 94 คํา 0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24 จํานวนสินคา (ชิ้น)


366 คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 2 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7. 1) เขียนตารางความถี่ที่แสดงขอบล่างของชั้นและขอบบนของชั้นของแต่ละอันตรภาคชั้น ของผลการทดสอบการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/1 ได้ดังนี้ คะแนน ขอบล่าง – ขอบบน จ้านวนนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/1 20 – 22 19.5 – 22.5 1 17 – 19 16.5 – 19.5 8 14 – 16 13.5 – 16.5 12 11 – 13 10.5 – 13.5 15 8 – 10 7.5 – 10.5 11 5 – 7 4.5 – 7.5 3 เขียนฮิสโทแกรมแสดงผลการทดสอบการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1/1 ได้ดังนี้ จ านวนนักเรียน (คน) คะแนน 16 14 12 10 8 6 4 2 0 4.5 7.5 10.5 13.5 16.5 19.5 22.5


คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 2 367 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) เขียนตารางความถี่ที่แสดงขอบล่างของชั้นและขอบบนของชั้นของแต่ละอันตรภาคชั้นของ ผลการทดสอบการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/2 ได้ดังนี้ คะแนน ขอบล่าง – ขอบบน จ้านวนนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/2 20 – 22 19.5 – 22.5 0 17 – 19 16.5 – 19.5 11 14 – 16 13.5 – 16.5 28 11 – 13 10.5 – 13.5 11 8 – 10 7.5 – 10.5 0 5 – 7 4.5 – 7.5 0 เขียนฮิสโทแกรมแสดงผลการทดสอบการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1/2 ได้ดังนี้ จ านวนนักเรียน (คน) คะแนน 28 26 24 22 20 18 16 14 12 10 8 6 4 2 0 4.5 7.5 10.5 13.5 16.5 19.5 22.5


368 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 3) เมื่อพิจารณาฮิสโทแกรมของนักเรียนทั้งสองหอง พบวา คะแนนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 1/1 มีการกระจายมากกวาคะแนนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1/2 เนื่องจากความกวางของแทงของฮิสโทแกรมของนักเรียนทั้งสองหองเทากัน แตจํานวนแทงของฮิสโทแกรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1/1 มีมากกวาจํานวน แทงของฮิสโทแกรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1/2 โดยที่คะแนนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 1/1 อยูในชวง 5 – 22 คะแนน และคะแนนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 1/2 อยูในชวง 11 – 19 คะแนน 8. 1) ขอมูลมีทั้งหมด 20 ตัว เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 20 1 5.25 4 + = ดังนั้น Q1 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 5 และ 6 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 7 และ 8 ในการหา Q1 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 5 และ 6 มีตําแหนงตางกัน 65 1 − = มีคาตางกัน 87 1 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 5.25 5 0.25 − = มีคาตางกัน 0.25 1 0.25 1 × = ดังนั้น 1 Q =+ = 7 0.25 7.25 เนื่องจาก Q2 อยูในตําแหนงที่ 2 20 1 ( ) 10.5 4 + = ดังนั้น 2 Q = 8 เนื่องจาก Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 20 1 ( ) 15.75 4 + = ดังนั้น 3 Q = 9 จะไดวาควอรไทลที่ 1 ควอรไทลที่ 2 และควอรไทลที่ 3 ของขอมูลชุดนี้ คือ 7.25, 8 และ 9 คะแนน ตามลําดับ 2) แทน Q1 และ Q3 ดวย 7.25 และ 9 ตามลําดับ ใน Q QQ 1 31 − − 1.5( ) จะได 7.25 1.5 9 7.25 4.625 −− = ( )


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 369 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี แทน Q1 และ Q3 ดวย 7.25 และ 9 ตามลําดับ ใน Q QQ 3 31 + − 1.5( ) จะได 9 1.5 9 7.25 11.625 +− = ( ) จากขอมูล มี 1 และ 3 ที่นอยกวา 4.625 แตไมมีขอมูลที่มากกวา 11.625 ดังนั้น คานอกเกณฑ คือ 1 และ 3 3) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพกลองไดดังนี้ จากแผนภาพกลอง จะเห็นวาขอมูลในชวง 5 ถึง 7.25 มีการกระจายมากที่สุด รองลงมาคือชวง 8 ถึง 9 และชวง 9 ถึง 10 สวนชวง 7.25 ถึง 8 มีการกระจาย นอยที่สุด 9. เปนไปไมไดที่แผนภาพกลอง (3) จะแสดงคะแนนเฉลี่ยจากการสอบทั้งสองครั้งของนักเรียน แตละคนในกลุมนี้ เนื่องจากถาแผนภาพกลอง (3) แสดงคะแนนเฉลี่ยจากการสอบทั้งสองครั้ง ของนักเรียนแตละคนในกลุมนี้จะไดวามีนักเรียนที่ไดคะแนนเฉลี่ยจากการสอบทั้งสองครั้ง เปน 80 คะแนน แตจากแผนภาพกลอง จะเห็นวาคะแนนสูงสุดจากการสอบครั้งที่ 2 คือ 80 คะแนน และคะแนนสูงสุดจากการสอบครั้งที่ 1 คือ 70 คะแนน ดังนั้น คะแนนเฉลี่ยจาก การสอบทั้งสองครั้งของนักเรียนแตละคนจะตองไมเกิน 80 70 75 2 + = คะแนน 10. เมื่อพิจารณาจากฮิสโทแกรม จะไดวาลักษณะการกระจายของขอมูลชุดนี้คลายกับ การแจกแจงสมมาตร และมัธยฐานหรือ Q2 ควรมีคาประมาณ 15,000 บาท ดังนั้น แผนภาพกลองที่ไดจากฮิสโทแกรมดังกลาวคือ แผนภาพกลอง ข 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 คะแนนความพึงพอใจ


370 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 11. จากแผนภาพการกระจาย จะเห็นวาเมื่อจํานวนเว็บเพจที่ลูกคาเยี่ยมชมมากขึ้น จํานวนเงิน ที่ลูกคาสั่งซื้อสินคาจะมีแนวโนมมากขึ้นดวย ดังนั้น จํานวนเงินที่ลูกคาสั่งซื้อสินคาและจํานวนเว็บเพจที่ลูกคาเยี่ยมชมมีความสัมพันธใน ทิศทางเดียวกัน 12. จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพการกระจายไดดังนี้ จากแผนภาพการกระจาย จะเห็นวาเมื่อความสูงจากระดับน้ําทะเลปานกลางมากขึ้น จํานวนสายพันธุพืชตอพื้นที่ 0.04 ตารางเมตร จะมีแนวโนมลดลง ดังนั้น จํานวนสายพันธุพืชตอพื้นที่ 0.04 ตารางเมตร และความสูงจากระดับน้ําทะเล ปานกลางมีความสัมพันธในทิศทางตรงกันขาม ความสูงจากระดับน้ําทะเลปานกลาง (กิโลเมตร) 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0 1.2 1.4 1.6 1.8 2.0 20 18 16 14 12 10 8 6 4 2 0 จํานวนสายพันธุพืชตอพื้นที่ 0.04ตารางเมตร


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 371 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 13. 1) สายการบิน D ตรงเวลาที่สุด และสายการบิน J ไมตรงเวลามากที่สุด 2) สายการบิน I เกิดเหตุการณที่กระเปาเดินทางสูญหายมากที่สุด และสายการบิน A เกิดเหตุการณที่กระเปาเดินทางสูญหายนอยที่สุด 3) ขอสรุปที่วา “สายการบิน J เกิดเหตุการณกระเปาเดินทางสูญหายบอยกวาสายการบิน B ประมาณ 2 เทา” ไมเปนจริง เนื่องจากสายการบิน J มีจํานวนครั้งของการเกิด เหตุการณกระเปาเดินทางสูญหายอยูระหวาง 7 – 8 ครั้งตอผูโดยสาร 1,000 คน แตสายการบิน B มีจํานวนครั้งของการเกิดเหตุการณกระเปาเดินทางสูญหาย อยูระหวาง 5 – 6 ครั้งตอผูโดยสาร 1,000 คน ดังนั้น สายการบิน J มีจํานวนครั้งของการเกิดเหตุการณกระเปาเดินทางสูญหาย มากกวาสายการบิน B ไมถึง 2 เทา 4) ขอสรุปที่วา “สายการบินที่เกิดเหตุการณกระเปาเดินทางสูญหายบอย มีแนวโนม ที่จะตรงเวลา” ไมเปนจริง โดยจากแผนภาพการกระจาย จะเห็นวาเมื่อจํานวนครั้งของ การเกิดเหตุการณกระเปาเดินทางสูญหายมากขึ้น รอยละของเที่ยวบินตรงเวลา จะมีแนวโนมลดลง ดังนั้น จํานวนครั้งของการเกิดเหตุการณกระเปาเดินทางสูญหายและรอยละของ เที่ยวบินตรงเวลามีความสัมพันธในทิศทางตรงกันขาม 14. ขอมูลชุด ก คาเฉลี่ยเลขคณิต = 5 5 3 6 2 7 2 8 2 9 2 10 ( ) ( ) ( ) ( ) ( ) ( ) 16 +++++ = 6.9375 มัธยฐาน = 6 7 2 + = 6.5 ฐานนิยม = 5 ขอมูลชุด ข คาเฉลี่ยเลขคณิต = 4 1 3 2 2 3 4 30 ( ) ( ) ( ) 11 + + ++ ≈ 4.55 มัธยฐาน = 2


372 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ฐานนิยม = 1 15. 1) ขอมูลชุด ก คาเฉลี่ยเลขคณิต = 2 2 3 3 5 2 7 8 10 2 14 19 ( ) ( ) ( ) ( ) 13 + + + ++ + + ≈ 7.85 มัธยฐาน = 7 ฐานนิยม = 5 ขอมูลชุด ข คาเฉลี่ยเลขคณิต = 0.9 1.2 1.7 2.1 2.5 2.8 3.2 3.3 3.7 1 4 5.7 1 ++++++++++ .8 = 2.9 มัธยฐาน = 2.8 ขอมูลชุดนี้ไมมีฐานนิยม ขอมูลชุด ค คาเฉลี่ยเลขคณิต = 59 73 82 87 87 90 6 +++++ ≈ 79.67 มัธยฐาน = 82 2 + 87 = 84.5 ฐานนิยม = 87 2) ขอมูลชุด ก พิสัย = −= 19 2 17 ขอมูลชุด ก มี 13 ตัว เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 13 1 3.5 4 + = ดังนั้น Q1 คือคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลในตําแหนงที่ 3 และ 4 ซึ่งคือ 3 5 4 2 + =


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 373 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เนื่องจาก Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 13 1 ( ) 10.5 4 + = ดังนั้น Q3 คือคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลในตําแหนงที่ 10 และ 11 ซึ่งคือ 10 14 12 2 + = จะได พิสัยระหวางควอรไทล = −= 12 4 8 ให i x แทนขอมูลชุด กตัวที่ i เมื่อ i∈{1, 2, 3, ... , 13} และ x แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุด ก จาก 1) จะไดวา x ≈ 7.85 จากขอมูลชุด ก จะได i x x x i − ( ) 2 x x i − 2 –5.85 34.22 3 –4.85 23.52 3 –4.85 23.52 5 –2.85 8.12 5 –2.85 8.12 5 –2.85 8.12 7 –0.85 0.72 7 –0.85 0.72 8 0.15 0.02 10 2.15 4.62 14 6.15 37.82 14 6.15 37.82 19 11.15 124.32 ( ) 13 2 1 311.66 i i x x = ∑ − ≈ ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุด ก คือ 311.66 13 1− ≈ 5.10 และความแปรปรวนของขอมูลชุด ก คือ 311.66 25.97 12 ≈


374 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ขอมูลชุด ข พิสัย =−= 5.7 0.9 4.8 ขอมูลชุด ข มี 11 ตัว เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 11 1 3 4 + = ดังนั้น 1 Q = 1.7 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 11 1 ( ) 9 4 + = ดังนั้น 3 Q = 3.7 จะได พิสัยระหวางควอรไทล =−= 3.7 1.7 2 ให i y แทนขอมูลชุด ขตัวที่ i เมื่อ i∈{1, 2, 3, ... , 11} และ y แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุด ข จาก 1) จะไดวา y = 2.9 จากขอมูลชุด ข จะได i y i y y − ( ) 2 i y y − 0.9 –2.0 4.00 1.2 –1.7 2.89 1.7 –1.2 1.44 2.1 –0.8 0.64 2.5 –0.4 0.16 2.8 –0.1 0.01 3.2 0.3 0.09 3.3 0.4 0.16 3.7 0.8 0.64 4.8 1.9 3.61 5.7 2.8 7.84 ( ) 11 2 1 21.48 i i y y = ∑ − = ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุด ข คือ 21.48 11 1− ≈ 1.47 และความแปรปรวนของขอมูลชุด ข คือ 21.48 2.15 10 =


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 375 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ขอมูลชุด ค พิสัย =−= 90 59 31 ขอมูลชุด ค มี 6 ตัว เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 6 1 1.75 4 + = ดังนั้น Q1 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 1 และ 2 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 59 และ 73 ในการหา Q1 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 1 และ 2 มีตําแหนงตางกัน 21 1 − = มีคาตางกัน 73 59 14 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 1.75 1 0.75 − = มีคาตางกัน 0.75 14 10.5 1 × = ดังนั้น 1 Q =+ = 59 10.5 69.5 เนื่องจาก Q3 อยูในตําแหนงที่ 36 1 ( ) 5.25 4 + = ดังนั้น Q3 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 5 และ 6 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 87 และ 90 ในการหา Q3 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 5 และ 6 มีตําแหนงตางกัน 651 − = มีคาตางกัน 90 87 3 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 5.25 5 0.25 − = มีคาตางกัน 0.25 3 0.75 1 × = ดังนั้น 3 Q =+ = 87 0.75 87.75 จะได พิสัยระหวางควอรไทล = −= 87.75 69.5 18.25 ให i z แทนขอมูลชุด คตัวที่ i เมื่อ i∈{1, 2, 3, 4, 5, 6} และ z แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุด ค จาก 1) จะไดวา z ≈ 79.67 จากขอมูลชุด ค จะได i z i z z − ( ) 2 i z z − 59 –20.67 427.25 73 –6.67 44.49 82 2.33 5.43


376 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี i z i z z − ( ) 2 i z z − 87 7.33 53.73 87 7.33 53.73 90 10.33 106.71 ( ) 6 2 1 691.34 i i z z = ∑ − ≈ ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุด ค คือ 691.34 6 1− ≈ 11.76 และความแปรปรวนของขอมูลชุด ค คือ 691.34 138.27 5 ≈ 3) ขอมูลชุด ก มีสัมประสิทธิ์การแปรผัน คือ 5.10 0.65 7.85 ≈ ขอมูลชุด ข มีสัมประสิทธิ์การแปรผัน คือ 1.47 0.51 2.9 ≈ และขอมูลชุด ค มีสัมประสิทธิ์การแปรผัน คือ 11.76 0.15 79.67 ≈ เนื่องจากขอมูลชุด ก มีสัมประสิทธิ์การแปรผันมากกวาขอมูลชุด ข และ ค ดังนั้น ขอมูลชุด ก มีการกระจายมากที่สุด 16. ใหabc , , และ d แทนคะแนนสอบวิชาภาษาไทย คณิตศาสตรภาษาอังกฤษ และ คอมพิวเตอรของศิริวิทยตามลําดับ เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบของวิชาคณิตศาสตรและภาษาไทยเทากับ 21.5 คะแนน นั่นคือ 21.5 2 a b + = จะได a b + = 43 −−−(1) เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบของวิชาภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอรเทากับ 28.5 คะแนน นั่นคือ 28.5 2 c d + = จะได c d + = 57 −−−(2) จาก (1) และ (2) จะได abcd +++ = 100 ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบทั้งสี่วิชานี้คือ 100 25 4 = คะแนน


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 377 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 17. เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของอายุนักเรียน = ผลรวมของอายุของนักเรียน จํานวนนักเรียน จะได ผลรวมของอายุนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 =× = 15 60 900 ป ผลรวมของอายุนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 =×= 17 50 850 ป ผลรวมของอายุนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 =× = 18 40 720 ป ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตของอายุนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 – 5 ของโรงเรียนแหงนี้คือ 900 850 720 16.47 60 50 40 + + ≈ + + ป 18. 1) การหาเกรดเฉลี่ยคือการหาคาเฉลี่ยเลขคณิตถวงน้ําหนัก โดยที่ขอมูลคือเกรดของ แตละวิชาและน้ําหนักของแตละขอมูลคือหนวยกิตของแตละวิชา ดังนั้น เกรดเฉลี่ย = ผลรวมของผลคูณของหนวยกิตและเกรดของแตละวิชา ผลรวมของหนวยกิต จากผลการเรียนภาคเรียนสุดทายของนักเรียนคนนี้จะสามารถหาผลรวมของผลคูณ ของหนวยกิตและเกรดของแตละวิชา และผลรวมของหนวยกิต ไดดังนี้ ชื่อวิชา หนวยกิต เกรด หนวยกิต × เกรด ภาษาไทย 6 1.0 3.5 3.5 คณิตศาสตร 6 1.0 3 3 สังคมศึกษา 6 0.5 4 2 พระพุทธศาสนา 6 0.5 4 2 ศิลปะ 5 0.5 3 1.5 เครือขายและโครงงานคอมพิวเตอร 0.5 2.5 1.25 ภาษาอังกฤษ 6 1.0 4 4 เสริมทักษะภาษาไทย 2 1.0 3.5 3.5 วิทยาศาสตรเพิ่ม 2 0.5 2 1 ชีวิตกับสุขภาพ 3 0.5 4 2 กีฬากับสุขภาพ 3 0.5 4 2


378 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชื่อวิชา หนวยกิต เกรด หนวยกิต × เกรด ภาษาญี่ปุน 6 3.0 4 12 ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 6 0.5 3.5 1.75 ภาษาอังกฤษเพื่อการอาน – เขียน 6 1.0 4 4 ภาษาอังกฤษรอบรู 6 1.0 4 4 รวม 13.0 - 47.5 ดังนั้น เกรดเฉลี่ยของภาคเรียนสุดทายของนักเรียนคนนี้คือ 47.5 3.65 13.0 ≈ 2) เนื่องจาก เกรดเฉลี่ยของ 5 ภาคเรียน = จะได ดังนั้น ผลรวมของผลคูณของหนวยกิตและเกรดเฉลี่ยของแตละภาคเรียนจํานวน 5 ภาคเรียน คือ 3.75 75.0 281.25 × = เนื่องจากเกรดเฉลี่ยของทั้ง 6 ภาคเรียน = ดังนั้น เกรดเฉลี่ยของทั้ง 6 ภาคเรียนของนักเรียนคนนี้คือ 47.5 281.25 3.74 13.0 75.0 + ≈ + 19. สมมติวาขอมูลชุดนี้เมื่อเรียงจากมากไปนอยคือ abcde ,,, , เนื่องจากขอมูล 2 ตัวสุดทาย คือ 102 และ 99 ตามลําดับ จะได d = 102 และ e = 99 เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของจํานวนเต็ม 5 จํานวนนี้ คือ 360 จะได 102 99 5 abc +++ + = 360 abc + + = 1,599 ผลรวมของผลคูณของหนวยกิตและเกรดเฉลี่ยของแตละภาคเรียนจํานวน ภาคเรียน ผลรวมของหนวยกิตของทั้ง ภาคเรียน 5 5 ผลรวมของผลคูณของหนวยกิตและเกรดเฉลี่ยของแตละภาคเรียนจํานวน 5 ภาคเรียน 75.0 3.75 = ผลรวมของผลคูณของหนวยกิตและเกรดของแตละวิชาของภาคเรียนที่ + ผลรวมของผลคูณของหนวยกิตและเกรดเฉลี่ยของแตละภาคเรียนจํานวน ภาคเรียน ผลรวมของหนวยกิตของทั้ง ภาคเรียน 6 5 6


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 379 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี a = 1,599 − −b c เนื่องจากขอมูลชุดนี้เรียงจากมากไปนอยคือ abc , , , 102, 99 ดังนั้น a มีคามากที่สุดที่เปนไปได เมื่อ b c = = 102 จะได a = 1,599 102 102 − − = 1,395 ดังนั้น คาที่มากที่สุดที่เปนไปไดของขอมูลชุดนี้คือ 1,395 20. สมมติวาขอมูลชุดนี้เมื่อเรียงจากนอยไปมากคือ abcde ,,, , เนื่องจากมัธยฐานของขอมูลชุดนี้คือ 5 จะได c = 5 เนื่องจากพิสัยของขอมูลชุดนี้คือ 5 จะไดe a − = 5 นั่นคือ e a = + 5 เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนี้คือ 5 จะได 5 5 ( ) 5 ab d a +++ + + = 5 2abd + + = 15 ถา a ≥ 4 จะได b d + ≤ 7 ซึ่งเปนไปไมได เนื่องจาก 4 ≤ ≤ b d ดังนั้น a < 4 เนื่องจากฐานนิยมของขอมูลชุดนี้คือ 5 ดังนั้น ขอมูลที่มีคาเทากับ 5 จะตองมีความถี่อยางนอย 2 ถา b d = = 5 จะได2 5 a = ดังนั้น a = 2.5 ซึ่งเปนไปไมได เนื่องจาก a เปนจํานวนเต็ม ดังนั้น จะมีเพียงตัวใดตัวหนึ่งใน b และ d ที่เทากับ 5 กรณี 1 b = 5 เนื่องจาก a < 4 จะไดวา a อาจเปน 1, 2 หรือ 3 สมมติวา a = 1 เนื่องจาก e a = + 5 จะได e = 6 และเนื่องจาก b = 5 และ 2 15 abd ++ = จะไดd = 8 ซึ่งเปนไปไมได เนื่องจาก d e ≤ สมมติวา a = 2 เนื่องจาก e a = + 5 จะได e = 7 และเนื่องจาก b = 5 และ 2 15 abd ++ = จะไดd = 6 ดังนั้น 2, 5, 5, 6, 7 เปนชุดขอมูลหนึ่งที่เปนไปได


380 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สมมติวา a = 3 เนื่องจาก e a = + 5 จะได e = 8 และเนื่องจาก b = 5 และ 2 15 abd ++ = จะไดd = 4 ซึ่งเปนไปไมได เนื่องจาก b d ≤ กรณี 2 d = 5 เนื่องจาก a < 4 จะไดวา a อาจเปน 1, 2 หรือ 3 สมมติวา a = 1 เนื่องจาก e a = + 5 จะได e = 6 และเนื่องจาก d = 5 และ 2 15 abd ++ = จะไดb = 8 ซึ่งเปนไปไมได เนื่องจาก b c ≤ สมมติวา a = 2 เนื่องจาก e a = + 5 จะได e = 7 และเนื่องจาก d = 5 และ 2 15 abd ++ = จะไดb = 6 ซึ่งเปนไปไมได เนื่องจาก b c ≤ สมมติวา a = 3 เนื่องจาก e a = + 5 จะได e = 8 และเนื่องจาก d = 5 และ 2 15 abd ++ = จะไดb = 4 ดังนั้น 3, 4, 5, 5, 8 เปนชุดขอมูลหนึ่งที่เปนไปได ดังนั้น ชุดของขอมูลที่เปนไปไดทั้งหมด คือ 2, 5, 5, 6, 7 และ 3, 4, 5, 5, 8 21. 1) เรียงขอมูลจากนอยไปมาก ไดดังนี้ ขอมูลชุดนี้มี 11 ตัว เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ 11 1 3 4 + = ดังนั้น 1 Q = 67 Q2 อยูในตําแหนงที่ 2 11 1 ( ) 6 4 + = ดังนั้น 2 Q = 78 และ Q3 อยูในตําแหนงที่ 3 11 1 ( ) 9 4 + = ดังนั้น 3 Q = 90 ดังนั้น ควอรไทลที่ 1 ควอรไทลที่ 2 และควอรไทลที่ 3 ของขอมูลชุดนี้ คือ 67, 78 และ 90 ชิ้น ตามลําดับ 30 65 67 75 75 78 80 85 90 92 125


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 381 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 2) พิสัยของขอมูลชุดนี้คือ 125 30 95 − = ชิ้น พิสัยระหวางควอรไทลของขอมูลชุดนี้คือ 90 67 23 − = ชิ้น เนื่องจากเมื่อพิจารณาผลตางของขอมูล 2 ตัวใด ๆ จะไดวาสวนใหญแลวขอมูลไมได ตางกันมากถึง 95 ชิ้น โดยผลตางของขอมูลจะใกลเคียงกับพิสัยระหวางควอรไทล ที่คํานวณได ซึ่งเทากับ 23 ชิ้น ดังนั้น พิสัยระหวางควอรไทลเหมาะสําหรับใชอธิบายการกระจายของขอมูลชุดนี้ มากกวาพิสัย 3) เนื่องจาก 25 1 50 2 P QP Q = = , และ P Q 75 3 = ดังนั้น P P 25 = = 67, 78 50 และ 75 P = 90 เนื่องจาก P90 อยูในตําแหนงที่ 90 11 1 ( ) 10.8 100 + = ดังนั้น P90 อยูระหวางขอมูลในตําแหนงที่ 10 และ 11 ซึ่งมีคาอยูระหวาง 92 และ 125 ในการหา P90 จะใชการเทียบบัญญัติไตรยางศ ดังนี้ เนื่องจากขอมูลในตําแหนงที่ 10 และ 11 มีตําแหนงตางกัน 11 10 1 − = มีคาตางกัน 125 92 33 − = จะไดวาตําแหนงตางกัน 10.8 10 0.8 − = มีคาตางกัน 0.8 33 26.4 1 × = ดังนั้น P90 =+ = 92 26.4 118.4 ดังนั้น เปอรเซ็นไทลที่ 25 เปอรเซ็นไทลที่ 50 เปอรเซ็นไทลที่ 75 และเปอรเซ็นไทลที่ 90 ของขอมูลชุดนี้ คือ 67, 78, 90 และ 118.4 ชิ้น ตามลําดับ 22. 1) จากขอมูลสามารถเขียนแผนภาพลําตนและใบไดดังนี้ นักกีฬาบาสเกตบอลชาย นักกีฬาบาสเกตบอลหญิง 15 3 4 7 16 0 1 3 6 7 8 8 8 9 6 5 17 0 1 1 2 2 4 5 9 8 5 3 1 0 0 0 18 1 2 8 8 6 5 5 5 0 0 19 6 20


382 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 2) จากแผนภาพในขอ 1) จะเห็นวาขอมูลความสูงของนักกีฬาบาสเกตบอลชายและหญิง ไมมีขอมูลใดที่มีคาแตกตางจากขอมูลตัวอื่นในแตละชุดมาก ดังนั้น จึงควรใชคาเฉลี่ยเลขคณิตเปนตัวแทนของขอมูลแตละชุด 3) คาเฉลี่ยเลขคณิตของความสูงของนักกีฬาบาสเกตบอลชายคือ 3,759 187.95 20 = เซนติเมตร จะไดวา มีนักกีฬาบาสเกตบอลชายที่สูงมากกวาคาเฉลี่ยเลขคณิตอยู 11 คน ดังนั้น นักกีฬาบาสเกตบอลชายที่สูงมากกวาคาเฉลี่ยเลขคณิตคิดเปนรอยละ 11 100 55 20 × = ของจํานวนนักกีฬาบาสเกตบอลชายทั้งหมด 23. เนื่องจากขอมูลที่กําหนดในโจทยเปนขอมูลของตัวอยาง ให i x และ i y แทนเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของนักเรียนหอง 1 และ หอง 2 คนที่ i เมื่อ i∈{1, 2, 3, ... , 10} ตามลําดับ x และ y แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของ นักเรียนหอง 1 และหอง 2 ที่สุมมา ตามลําดับ และ x s และ y s แทนสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวัน ของนักเรียนหอง 1 และหอง 2 ที่สุมมา ตามลําดับ จะได 354 35.4 10 x = = และ 501 50.1 10 y = = จากขอมูล จะได i x i x x − ( ) 2 i x x − 0 –35.4 1,253.16 20 –15.4 237.16 30 –5.4 29.16 42 6.6 43.56 35 –0.4 0.16 82 46.6 2,171.56 54 18.6 345.96 28 –7.4 54.76


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 383 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี และ ดังนั้น 6,150.4 26.14 10 1 x s = ≈ −และ 11,194.9 35.27 10 1 y s = ≈ − ดังนั้น สัมประสิทธิ์การแปรผันของเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของนักเรียนหอง 1 คือ 26.14 0.74 35.4 ≈ และสัมประสิทธิ์การแปรผันของเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของนักเรียนหอง 2 คือ 35.27 0.70 50.1 ≈ เนื่องจากสัมประสิทธิ์การแปรผันของเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของนักเรียน หอง 1 มากกวานักเรียนหอง 2 ดังนั้น เวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของนักเรียนที่สุมมา 10 คน จากหอง 1 มีการ กระจายมากกวาเวลาที่ใชในการอานหนังสือในหนึ่งวันของนักเรียนที่สุมมา 10 คน จากหอง 2 i x i x x − ( ) 2 i x x − 0 –35.4 1,253.16 63 27.6 761.76 ( ) 10 2 1 6,150.4 i i x x = ∑ − = i y i y y − ( ) 2 i y y − 45 –5.1 26.01 40 –10.1 102.01 62 11.9 141.61 10 –40.1 1,608.01 24 –26.1 681.21 15 –35.1 1,232.01 30 –20.1 404.01 60 9.9 98.01 95 44.9 2,016.01 120 69.9 4,886.01 ( ) 10 2 1 11,194.9 i i y y = ∑ − =


384 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 24. 1) มัธยฐานของจํานวนลูกเกดที่ใสในขนมปงแตละอันของรานที่ 1 คือ 30 เม็ด และมัธยฐานของจํานวนลูกเกดที่ใสในขนมปงแตละอันของรานที่ 2 คือ 31 เม็ด 2) จากแผนภาพกลองของรานที่ 1 จะได Q3 = 31 ดังนั้น ขนมปงจากรานที่ 1 ที่มีจํานวนลูกเกดนอยกวา 31 เม็ด คิดเปนรอยละ 75 ของ ขนมปงที่ซื้อจากรานที่ 1 ทั้งหมด 3) จากแผนภาพกลองของรานที่ 2 จะไดวาควอรไทลที่ 3 ของจํานวนลูกเกดที่ใสใน ขนมปงแตละอันที่ซื้อจากรานที่ 2 คือ 33 เม็ด 4) อรรถฤทธิ์ควรซื้อขนมปงลูกเกดจากรานที่ 1 เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากแผนภาพกลอง จะเห็นวาแผนภาพกลองของรานที่ 1 มีความกวางนอยกวารานที่ 2 มาก ดังนั้น จํานวนลูกเกดในขนมปงแตละอันของรานที่ 1 ใกลเคียงกันมากกวารานที่ 2 5) อรรถฤทธิ์ควรซื้อขนมปงลูกเกดจากรานที่ 2 เนื่องจากมีจํานวนขนมปงของรานที่ 2 ประมาณรอยละ 25 ที่มีจํานวนลูกเกดมากกวาขนมปงของรานที่ 1 นอกจากนี้ ยังมีแนวโนมสูงวามีจํานวนขนมปงของรานที่ 2 ไมถึงรอยละ 25 ที่มีจํานวนลูกเกด นอยกวาขนมปงของรานที่ 1 25. วิธีที่ 1 สมมติคาขนมของมานี ชูใจ และปติคือ a b, และ c บาท ตามลําดับ เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของคาขนมของทั้งสามคน คือ 50 บาท และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคาขนมของทั้งสามคน คือ 0 บาท จะได ( ) ( ) ( ) 222 50 50 50 0 3 abc − +− +− = ( ) ( ) ( ) 222 abc − +− +− = 50 50 50 0 แตเนื่องจาก ( ) ( ) 2 2 a b −≥ −≥ 50 0, 50 0 และ ( ) 2 c − ≥ 50 0 จะได ( ) 2 a − 50 = ( ) 2 b − 50 = ( ) 2 c − 50 = 0 a − 50 = b − 50 = c − 50 = 0 ดังนั้น a = b = c = 50 สมมติคาขนมของมานะคือ d บาท เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของคาขนมของทั้งสี่คน คือ 45 บาท จะได 50 50 50 45 4 +++ = d


คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 2 385 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี d = 30 ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคาขนมของทั้งสี่คน คือ ( ) ( ) ( ) ( ) 2222 50 45 50 45 50 45 30 45 8.66 4 − +− +− +− ≈ บาท วิธีที่ 2 เนื่องจากสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคาขนมของทั้งสามคน คือ 0 บาท จะไดวาทั้งสามคนไดคาขนมจากผูปกครองเทา ๆ กัน และเนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของคาขนมของทั้งสามคนคือ 50 บาท ดังนั้น มานี ชูใจ และปติไดคาขนมจากผูปกครองคนละ 50 บาท สมมติคาขนมของมานะคือ d บาท เนื่องจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของคาขนมของทั้งสี่คน คือ 45 บาท จะได 50 50 50 45 4 +++ = d d = 30 ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคาขนมของทั้งสี่คน คือ ( ) ( ) ( ) ( ) 2222 50 45 50 45 50 45 30 45 8.66 4 − +− +− +− ≈ บาท 26. 1) ตองการยกตัวอยางขอมูลชุด ก และ ข ที่สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุด ก มากกวาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุด ข ดังนั้น ขอมูลชุด ก ควรมีความแตกตางในชุดขอมูลมากกวาขอมูลชุด ข คําตอบมีไดหลากหลาย เชน ใหขอมูลชุด ก ประกอบดวย 1, 2, 5, 8, 9 และขอมูลชุด ข ประกอบดวย 11, 12, 13, 14, 15 จะไดคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุด ก คือ 12589 5 5 ++++ = คาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุด ข คือ = 13 สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุด ก คือ ( ) ( ) ( ) ( ) ( ) 22222 15 25 55 85 95 10 3.16 5 − +− +− +− +− = ≈ 11 12 13 14 15 5 ++++


Click to View FlipBook Version