๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร เศรษฐกิจ และจัดให้มีกำรประสำนโครงกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจของกระทรวง ทบวง กรมในรัฐบำลและ หน่วยงำนต่ำงๆของทำงรำชกำรให้เป็นไปตำมจุดหมำยที่ก ำหนดไว้ โดยมีส ำนักงำนสภำพัฒนำกำร เศรษฐกิจแห่งชำติเป็นเจ้ำหน้ำที่ตระเตรียมงำนชั้นวิชำกำร ศึกษำภำวะเศรษฐกิจและทรัพยำกรของ ประเทศ วิธีหำทรัพยำกรที่จะน ำมำใช้ในกำรลงทุน ตลอดจนส ำรวจผลงำนตำมโครงกำรพัฒนำกำร เศรษฐกิจ” ๔๒ ๔. บทสรุปและอภิปรายผล จำกกำรศึกษำพบว่ำ วัตถุประสงค์ในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจขึ้นในประเทศไทย มำจำกแนวคิดว่ำกำรมีสถำนะเป็นส่วนรำชกำรอำจท ำให้ไม่มีควำมยืดหยุ่นคล่องตัวในกำรด ำเนินงำนที่ เพี ยงพอ จึงไ ด้มี ก ำ ร จัดตั้ง องค์ ก รขึ้นอี กแบบหนึ่งที่มี ค ว ำม อิ ส ร ะในก ำ รบ ริห ำ รง ำน มีอ ำนำจในกำรจัดท ำบริกำรสำธำรณะควบคู่ไปกับกำรประกอบกิจกำรเชิงพำณิชย์ได้โดยเรียกกิจกำร นั้นว่ำ "รัฐวิสำหกิจ"ในขณะที่สภำพปัญหำที่เกิดขึ้นคือ ควำมไม่ชัดเจนในกำรก ำหนดสถำนะควำมเป็น "รัฐวิสำหกิจ" ในกฎหมำย เนื่องจำกเป็นกำรก ำหนดบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" ภำยหลังจำกที่ได้มีกำร จัดตั้งองค์กรขึ้นแล้วในหลำยประเภทหลำยรูปแบบ ทั้งกิจกำรประเภทที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมำยมหำชน จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมำยเอกชน (บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคล) และจัดตั้งขึ้นโดยทุนหมุนเวียน ในขณะที่กำรบังคับใช้กฎหมำยต่ำงๆ ที่ก ำหนดบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" เอำไว้อย่ำงกว้ำงนั้นกลับไม่ได้มี กำรบังคับใช้กฎหมำยอย่ำงทั่วถึงครบถ้วนกับกิจกำรที่ได้ก ำหนดไว้ จึงนับเป็นควำมบกพร่องส ำคัญ ในทำงกฎหมำยประกำรหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่ำสถำนะควำมเป็นรัฐวิสำหกิจตำมที่ได้ก ำหนดนิยำม เอำไว้ในกฎหมำยนั้น มิได้พิจำรณำให้เห็นถึงควำมสอดคล้องกับเหตุแห่งควำมจ ำเป็นในกำรจัดตั้ง รัฐวิสำหกิจขึ้น รวมตลอดถึงเป้ำหมำยและควำมยืดหยุ่นในกำรบริหำรกิจกำรของรัฐวิสำหกิจนั้น ๆ ปัญหำส ำคัญที่ต่อเนื่องจำกควำมไม่ชัดเจนของสถำนะควำมเป็น "รัฐวิสำหกิจ" คือ กำรอ้ำงอิงบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" ตำมกฎหมำยว่ำด้วยวิธีกรงบประมำณไปใช้บังคับ ซึ่งนอกเหนือจำก กำรขำดประสิทธิภำพในกำรบังคับใช้กฎหมำยกับรัฐวิสำหกิจภำยใต้กฎหมำยว่ำด้วยวิธีกำร งบประมำณเองแล้ว กำรอ้ำงอิงบทนิยำมดังกล่ำวไปใช้ในกฎหมำยอื่นกลับเป็นกำรท ำให้กำรบังคับใช้ กฎหมำยด้อยประสิทธิภำพลงไปอีก นอกจำกนี้จำกกำรศึกษำยังพบว่ำมีแนวทำงพิเศษในกำรบัญญัติ ยกเว้นสถำนะควำมเป็นรัฐวิสำหกิจเอำไว้ในกฎหมำยจัดตั้งของบำงกิจกำรที่ไม่ประสงค์จะให้กิจกำรนั้น ต้องถือปฏิบัติไปตำมกฎหมำยต่ำงๆ ที่ใช้กับรัฐวิสำหกิจ ซึ่งส่งผลต่อกำรตีควำมและกำรสร้ำงควำม เข้ำใจที่มีในสถำนะควำมเป็นรัฐวิสำหกิจที่นอกจำกจะไม่สำมำรถระบุได้ว่ำกิจกำรใดเป็นรัฐวิสำหกิจ โดยแท้จริงแล้ว กำรตรำกฎหมำยให้กิจกำรหนึ่งไม่เป็นรัฐวิสำหกิจในลักษณะถำวรเป็นนิติวิธีที่สำมำรถ กระท ำได้ที่แม้ว่ำกฎหมำยที่จะตรำขึ้นในภำยหลังมีควำมมุ่งหมำยเพียงใด ก็จะไม่สำมำรถใช้บังคับกับ กิจกำรดังกล่ำวในฐำนะรัฐวิสำหกิจได้ และยิ่งไปกว่ำนั้น หำกมีนิติวิธีในกำรบัญญัติให้กฎหมำยที่จะตรำ ขึ้นในภำยหลังไปยกเลิกกำรยกเว้นสถำนะทำงกฎหมำยของกิจกำรดังกล่ำวได้ ย่อมสร้ำงควำมลักลั่นใน กำรบังคับใช้กฎหมำยให้มำกยิ่งขึ้นและไม่เป็นผลดีต่อระบบกำรบริหำรจัดกำรรัฐวิสำหกิจในฐำนะ หน่วยงำนส ำคัญของประเทศ ๔๒ พระรำชบัญญัติสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๒ หมำยเหตุท้ำยพระรำชบัญญัติ.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรแก้ไขปัญหำในกำรก ำหนดสถำนะให้กับ "รัฐวิสำหกิจ" ที่แท้จริง ที่หำกจะ ด ำเนินกำรเปลี่ยนแปลงบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" ในกฎหมำยไทยทุกฉบับ อำจเป็นเรื่องที่ไม่สำมำรถ กระท ำได้โดยเร็ว รวมถึงกระบวนกำรแก้ไขปรับปรุงกฎหมำยจ ำต้องอำศัยควำมร่วมมือจำกผู้รักษำกำร ตำมกฎหมำยแต่ละฉบับซึ่งท้ำยที่สุดอำจมีผลท ำให้กฎหมำยแต่ละฉบับยังก ำหนดบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" เอำไว้แตกต่ำงกันตำมแต่ละเจตนำรมณ์ของกฎหมำยจึงเห็นว่ำ กระบวนกำรที่เหมำะสม ที่จะสร้ำงควำมชัดเจนให้กับสถำนะควำมเป็น "รัฐวิสำหกิจ" จึงอยู่ที่กำรปรับเปลี่ยนสถำนะของกิจกร รัฐวิสำหกิจให้อยู่ภำยใต้รูปแบบเดียวกัน โดยอำจด ำเนินกำรได้ด้วยกำรแปลงสภำพรัฐวิสำหกิจให้มี สถำนะเป็นบริษัททั้งหมด กิจกำรใดหรือภำรกิจใดของกิจกำรนั้นที่ไม่เหมำะสมจะด ำเนินกำรใน รูปแบบของบริษัท ควรจะกลับไปเป็นหน้ำที่ของส่วนรำชกำรในกำรบังคับใช้กฎหมำยในทำงมหำชน หรืออำจด ำเนินกำรได้ด้วยกำรตรำกฎหมำยกลำงในล ำดับศักดิ์พระรำชบัญญัติเพื่อเป็นกฎหมำยแม่บท ในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจให้อยู่ภำยใต้กฎหมำยฉบับเดียว ๕. ข้อเสนอแนะ กำรศึกษำสถำนะควำมเป็น "รัฐวิสำหกิจ" ในกฎหมำยไทยข้ำงต้น ได้แสดงให้เห็นถึง สภำพปัญหำส ำคัญอันเป็นข้อจ ำกัดให้กับรัฐในกำรบังคับใช้กฎหมำยกับรัฐวิสำหกิจ ซึ่งเป็นรำกฐำน ส ำคัญของระบบนิติรัฐที่หำกกำรบังคับใช้กฎหมำยมีควำมไม่แน่นอนแล้วย่อมกระทบต่อกระบวนกำร ใดๆที่เกิดมีขึ้นทั้งจำกกำรกระท ำของรัฐวิสำหกิจเอง และกำรกระท ำของรัฐหรือฝ้ำยบริหำรที่จะ ขับเคลื่อนองค์กรรัฐวิสำหกิจให้ผ่ำนพ้นปัญหำและสำมำรถท ำหน้ำที่ในกำรจัดให้มีบริกำรสำธำรณะต่อ ประชำชนได้อย่ำงมีคุณภำพ แนวควำมคิดที่จะส่งผลให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงในกระบวนกำรตรำ กฎหมำยเพื่อก ำหนดสถำนะควำมเป็นรัฐวิสำหกิจที่ ชัดเจนในเบื้องต้นนี้ อำจกระท ำได้ในสองวิธีกำรคือ (๑) กำรแปลงสภำพรัฐวิสำหกิจทั้งปวงให้มีสถำนะเป็นบริษัท โดยกิจกำรใดที่ มุ่งหมำยจะด ำเนินภำรกิจในกำรให้บริกำรสำธำรณะและไม่สร้ำงรำยได้ให้แก่รัฐให้กลับไปเป็นหน้ำที่ของ ส่วนรำชกำรเพื่อให้สำมำรถใช้อ ำนำจรัฐได้อย่ำงเหมำะสม ส่วนกิจกำรใดที่มีลักษณะเป็นกำรประกอบ กิจกำรเชิงพำณิชย์ยิ่งกว่ำกำรให้บริกำรสำธำรณะจึงจะด ำเนินกำรแปลงสภำพให้มีสถำนะเป็นบริษัท ซึ่ง มีข้อดีที่จะท ำให้กิจกำรรัฐวิสำหกิจที่เป็นบริษัทสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเจตนำรมณ์ในกำรจัดตั้งที่ มุ่งลดขั้นตอนเพื่อให้สำมำรถปฏิบัติงำนได้อย่ำงคล่องตัวมำกขึ้นโดยแนวทำงนี้ถึงแม้ว่ำจะไม่มีผลโดยตรง ต่อกำรสร้ำงควำมชัดเจนในสถำนะควำมเป็น "รัฐวิสำหกิจ" ที่ปรำกฏอยู่ในกฎหมำยฉบับต่ำงๆ แต่โดย ผลในท้ำยที่สุดของกำรแปลงสภำพกิจกำรแล้ว จะคงเหลือเพียงกิจกำรประเภท "บริษัท" เท่ำนั้นที่จะมี สภำพเป็น "รัฐวิสำหกิจ" และเมื่อกิจกำรบริษัทเหล่ำนั้นถูกถือหุ้นโดยตรงจำกรัฐโดยกระทรวงกำรคลังใน ฐำนะที่เป็นส่วนรำชกำรที่มีหน้ำที่ในกำรดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน จนเกินกว่ำร้อยละห้ำสิบแล้ว กิจกำร เหล่ำนั้นจึงจะมีสถำนะเป็น "รัฐวิสำหกิจ" (๒) ตรำกฎหมำยกลำงในล ำดับศักดิ์พระรำชบัญญัติ เช่น ร่ำงพระรำชบัญญัติว่ำด้วย กำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจ พ.ศ. เป็นกฎหมำยแม่บทในกำรให้อ ำนำจในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจ และเพื่อให้รัฐวิสำหกิจทั้งหมดอยู่ภำยใต้กฎหมำยเดียวกันทั้งระบบ โดยอย่ำงน้อยในร่ำงพระรำชบัญญัติ ดังกล่ำวจะต้องครอบคลุมถึงวิธีกำรในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจโดยกำรตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ ในท ำนอง
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร เดียวกับ พระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล พ.ศ. ๒๔๙๖ โดยอำจรองรับกำรให้ รัฐวิสำหกิจบำงประเภทที่จัดตั้งขึ้นตำมร่ำงพระรำชบัญญัติดังกล่ำวสำมำรถใช้อ ำนำจรัฐบำงประกำร ตำมที่ก ำหนดในพระรำชบัญญัติได้ รวมถึงกำรวำงระบบกำรบริหำรจัดกำรรัฐวิสำหกิจทั้งในส่วนของกำร จัดตั้งคณะกรรมกำรกลำงในกำรก ำกับดูแลกิจกำรรัฐวิสำหกิจ กำรวำงเป้ำหมำย นโยบำยและแผน ไป จนถึงกำรสิ้นสุดสถำนะควำมเป็นรัฐวิสำหกิจ ซึ่งจะมีผลดีต่อทั้งในด้ำนนิติศำสตร์ที่จะมีควำมชัดเจนใน สถำนะควำมเป็นรัฐวิสำหกิจและกำรบังคับใช้กฎหมำยที่มีประสิทธิภำพ และผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจและ กำรเมืองที่ จะท ำให้ภำครัฐสำมำรถบริหำรจัดกำรรัฐวิสำหกิจได้อย่ำงเป็นรูปธรรมแล้ว ยังเกิดผลดีต่อ ประชำชนในฐำนะผู้รับบริกำรสำธำรณะอีกด้วย โดยแนวทำงนี้จะเป็นกำรด ำเนินกำรในลักษณะเดียวกับ กำรก ำหนดบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" ตำมมำตรำ ๔ แห่งพระรำชบัญญัติวิธีกำรงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งจวบจนปัจจุบันยังไม่ปรำกฏบันทึกที่แสดงถึงเหตุและผลว่ำ เหตุใดจึงต้องอ้ำงอิงบทนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" ตำมกฎหมำยดังกล่ำวทั้งที่กฎหมำยว่ำด้วยวิธีกำรงบประมำณนั้นมิได้เป็นกฎหมำยที่มี หน้ำที่ในกำรบ่งชี้สถำนะของกิจกำร มิได้เป็นกฎหมำยที่มีหน้ำที่ในกำรก ำกับดูแลกิจกำร และมิได้เป็นกฎหมำยที่เป็นแม่บทในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจขึ้นแต่ประกำรใด กำรมีกฎหมำยกลำง ที่เป็นกฎหมำยแม่บทที่ให้อ ำนำจในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจ จะส่งผลให้กฎหมำยใด ๆ ต่อจำกนี้ ที่จะใช้บังคับกับรัฐวิสำหกิจจะสำมำรถอ้ำงอิงบทนิยำม"รัฐวิสำหกิจ" จำกกฎหมำยแม่บทฉบับนี้ได้ นำงสำวลภัสรดำ ปำณะสิทธิ์ นิติกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ส ำนักกรรมำธิกำร ๒
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ขอบเขตอ านาจของคณะกรรมาธิการในการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ภำยใต้กำรปกครองระบอบประชำธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภำ (Parliamentary System) ฝ่ำยนิติบัญญัติ (The Legislative Branch) และฝ่ำยบริหำร (The Executive Branch) เป็นองค์กรที่มีสถำนะเท่ำเทียมกัน โดยต่ำงเป็นองค์กรผู้ทรงอ ำนำจอธิปไตย (Sovereignty) ซึ่งต่ำงได้ รับมำจำกประชำชน และมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงใกล้ชิดในลักษณะกำรตรวจสอบและถ่วงดุลอ ำนำจ (Check and Balance) ซึ่งกันและกัน๔๓ ฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำมำจำกกำรเลือกตั้งของประชำชน ในขณะที่ฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีมำจำกควำมไว้วำงใจของรัฐสภำ๔๔ ฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำ จึงเป็นหนึ่งในองค์กรตำมรัฐธรรมนูญ (Constitutional Organ) ที่มีควำมส ำคัญยิ่งในระบอบ ประชำธิปไตยในฐำนะที่ท ำหน้ำที่เป็นตัวแทนให้กับประชำชน (Representation) ผ่ำนกำรใช้อ ำนำจ นิติบัญญัติ (Legislative Power) ในกำรพิจำรณำจัดท ำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำร แผ่นดินของฝ่ำยบริหำร กำรอนุมัติหรือให้ควำมเห็นชอบในกิจกำรบำงอย่ำง กำรอนุมัติหรือให้ควำม เห็นชอบในตัวบุคคล รวมตลอดถึงกำรท ำหน้ำที่แก้ไขปัญหำควำมเดือดร้อนของประชำชน (Redress of Grievance)๔๕ อย่ำงไรก็ดี ในกำรท ำหน้ำที่ต่ำง ๆ ดังกล่ำวของรัฐสภำซึ่งประกอบไปด้วยสมำชิก เป็นจ ำนวนมำก ประกอบกับข้อจ ำกัดด้ำนระยะเวลำในกำรประชุม อำจส่งผลท ำให้กำรประชุมเพื่อ พิจำรณำและด ำเนินกำรเรื่องต่ำง ๆ ของรัฐสภำขำดควำมละเอียดรอบคอบและไม่มีประสิทธิภำพ “ระบบคณะกรรมำธิกำร (Committee)” จึงถูกก ำหนดให้มีขึ้นเพื่อเป็นกลไกแบ่งเบำภำระงำนของ รัฐสภำซึ่งอำจเรียกได้ว่ำเป็น “สภำเล็ก (Little Legislation) ในสภำใหญ่” เพรำะภำระงำนของ รัฐสภำมีขอบเขตกว้ำงขวำงและลึกซึ้งละเอียดอ่อนยำกเกินกว่ำที่รัฐสภำจะปฏิบัติหน้ำที่โดยพร้อม เพรียงกันได้๔๖ จนกลำยที่เป็นระบบที่ยอมรับในทำงสำกลจนมีผู้กล่ำวว่ำ “คณะกรรมำธิกำรเป็น กระดูกสันหลังของรัฐสภำซึ่งจะขำดไปเสียมิได้” โดยทั่วไปตำมหลักกฎหมำยรัฐธรรมนูญว่ำด้วยกระบวนกำรนิติบัญญัติ คณะกรรมำธิกำร ของรัฐสภำ (Parliamentary Committee) จะมีหน้ำที่และอ ำนำจในกำรศึกษำวิเครำะห์และ พิจำรณำกลั่นกรองเรื่องต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกำรใช้อ ำนำจนิติบัญญัติ เช่น กำรพิจำรณำจัดท ำ กฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของฝ่ำยบริหำร ผ่ำนกำรใช้อ ำนำจเรียกให้บุคคลใด ๆ มำชี้แจงข้อเท็จจริงหรือน ำส่งเอกสำรต่ำง ๆ ให้แก่คณะกรรมำธิกำร นอกจำกนี้ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ ดังกล่ำวของคณะกรรมำธิกำร คณะกรรมำธิกำรอำจแต่งตั้งคณะอนุกรรมำธิกำร (Sub-committee) เป็นผู้ช่วยในกำรท ำหน้ำที่รวบรวม สรุป และวิเครำะห์ข้อมูลส ำคัญต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอต่อ ๔๓ มนตรี รูปสุวรรณ, กฎหมำยรัฐสภำ, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพฯ: มหำวิทยำลัยรำมค ำแหง, ๒๕๔๓), หน้ำ ๗. ๔๔ วิษณุ เครืองำม, กฎหมำยรัฐธรรมนูญ, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ: นิติบรรณกำร, ๒๕๓๐), หน้ำ ๒๕๘. ๔๕ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, พิมพ์ครั้งแรก, (กรุงเทพฯ: สถำบันพระปกเกล้ำ, ๒๕๖๕), หน้ำ ๓. ๔๖ วิษณุ เครืองำม, กฎหมำยรัฐธรรมนูญ, หน้ำ ๔๒๑.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร คณะกรรมำธิกำรเพื่อพิจำรณำและจัดท ำควำมเห็นเสนอต่อไปยังรัฐสภำ ซึ่งคณะอนุกรรมำธิกำรจะมี ส่วนช่วยคณะกรรมำธิกำรในขั้นตอนสุดท้ำยให้สำมำรถตัดสินใจเรื่องต่ำง ๆ ได้อย่ำงถูกต้องและ รอบคอบมำกที่สุด๔๗ ส ำหรับประเทศไทย นับตั้งแต่พระรำชบัญญัติธรรมนูญกำรปกครองแผ่นดินสยำมชั่วครำว พุทธศักรำช ๒๔๗๕ ได้มีกำรก ำหนดระบบคณะกรรมำธิกำรไว้อย่ำงชัดเจนว่ำ ให้สภำมีอ ำนำจตั้ง อนุกรรมกำร๔๘ “เพื่อท ำกำรอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งหรือให้สอบสวนพิจำรณำท ำควำมเห็นในเรื่องใดเรื่อง หนึ่งขึ้นเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่อปรึกษำหรือตกลงอีกชั้นหนึ่งก็ได้” ซึ่งต่อมำรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรสยำม พุทธศักรำช ๒๔๗๕ ได้เปลี่ยนชื่อจำกค ำว่ำ “อนุกรรมกำร” เป็น “คณะกรรมำธิกำร” ๔๙ โดยมีอ ำนำจ “กระท ำกิจกำรหรือพิจำรณำสอบสวนข้อควำมใด ๆ อันอยู่ในวง งำนของสภำแล้วรำยงำนต่อสภำ” และนับจำกนั้นเป็นต้นมำ รัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับโดยเฉพำะ รัฐธรรมนูญฉบับถำวร๕๐ได้ก ำหนดให้มีระบบคณะกรรมำธิกำรและมีอ ำนำจในลักษณะดังกล่ำว เรื่อยมำ จนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๑๗ มำตรำ ๑๖๑ ได้แก้ไข เปลี่ยนแปลงอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรเป็น “กระท ำกิจกำรหรือพิจำรณำสอบสวนหรือศึกษำเรื่อง ใด ๆ อันอยู่ในอ ำนำจหน้ำที่ของสภำแล้วรำยงำนต่อสภำ” ต่อมำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๒๑ มำตรำ ๑๓๙ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรอีกครั้งเป็น “กระท ำกิจกำรหรือพิจำรณำสอบสวนหรือศึกษำเรื่องใด ๆ ตำมที่สภำมอบหมำยแล้วรำยงำนต่อ สภำ” ในขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๓๔ มำตรำ ๑๕๓ ได้ก ำหนด อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรเพียงแต่ “พิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติตำมที่วุฒิสภำหรือสภำ ผู้แทนรำษฎรมอบหมำย หรือกระท ำกิจกำรใด ๆ ตำมที่สภำมอบหมำยแล้วรำยงำนต่อสภำตำมเวลำที่ สภำก ำหนด”โดยไม่มีกำรก ำหนดถึงอ ำนำจในกำรพิจำรณำสอบสวนหรือศึกษำเรื่องใด ๆ อย่ำงไรก็ตำม ต่อมำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ ได้ก ำหนดอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรไว้ในท ำนองเดียวกันว่ำ “กระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบสวน หรือศึกษำเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอ ำนำจหน้ำที่ของสภำ แล้วรำยงำนต่อสภำ” ใน ปัจจุบันเป็นที่น่ำสังเกตว่ำ เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ มำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยฉบับดังกล่ำวได้ก ำหนดอ ำนำจของ ๔๗ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓ - ๔. ๔๘ ค ำว่ำ “อนุกรรมกำร” มีควำมหมำยเดียวกันกับค ำว่ำ “คณะกรรมำธิกำร” ในปัจจุบัน [คณะกรรมกำรร่ำงรัฐธรรมนูญ, ควำมมุ่งหมำยและค ำอธิบำยประกอบรำยมำตรำของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐, (กรุงเทพฯ: ส ำนักงำน เลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร, ๒๕๖๒), หน้ำ ๒๒๓.] ๔๙ คณะกรรมกำรร่ำงรัฐธรรมนูญ, ควำมมุ่งหมำยและค ำอธิบำยประกอบรำยมำตรำของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐, (กรุงเทพฯ: ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร, ๒๕๖๒), หน้ำ ๒๒๓. ๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๔๘๙ (มำตรำ ๕๙), รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย (ฉะบับชั่วครำว) พุทธศักรำช ๒๔๙๐ (มำตรำ ๖๗), รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๔๙๒ (มำตรำ ๑๓๔) และรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๑๑ (มำตรำ ๑๓๑)
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร คณะกรรมำธิกำรเปลี่ยนแปลงไปจำกเดิม คือ ได้เปลี่ยนแปลงอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรจำก “พิจำรณำสอบสวน” เป็น “พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ดังนั้น ควำมชัดเจนของขอบเขตอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรพิจำรณำสอบหำ ข้อเท็จจริงตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ โดยเฉพำะอ ำนำจในกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรซึ่งประกอบไปด้วย สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรที่มำจำกกำรเลือกตั้งของประชำชนผู้เป็นเจ้ำของอ ำนำจอธิปไตย จะเป็น เครื่องสนับสนุนให้กำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรในฐำนะที่เป็น กลไกส ำคัญของฝ่ำยนิติบัญญัติในกำรตรวจสอบและถ่วงดุลอ ำนำจ (Check and Balance) กับฝ่ำย บริหำร โดยเฉพำะกำรท ำหน้ำที่ควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินเป็นให้ไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ และเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภำพของประชำชนในท้ำยที่สุดนั่นเอง ๒. กฎหมาย กฎ ระเบียบ และยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง แนวคิด ทฤษฎี และหลักกฎหมำยที่ส ำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรใน กำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง มีดังต่อไปนี้ ๒.๑ อ านาจนิติบัญญัติกับการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน กำรปกครองระบอบประชำธิปไตย (Democracy) ในระบบรัฐสภำ (Parliamentary System) เป็นกำรปกครองที่ไม่ได้ยึดหลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Powers) ของมงเตส กิเออ (Montesquieu) อย่ำงเคร่งครัด๕๑ กล่ำวคือ หลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจของมงเตสกิเออแบ่ง อ ำนำจอธิปไตย (Sovereignty) ออกเป็น ๓ อ ำนำจ ได้แก่ อ ำนำจนิติบัญญัติ อ ำนำจบริหำร และ อ ำนำจตุลำกำร โดยแยกออกจำกกันอย่ำงเด็ดขำด และมอบให้องค์กรที่ต่ำงกัน ๓ องค์กร ได้แก่ รัฐสภำ คณะรัฐมนตรี และศำล เป็นผู้ใช้อ ำนำจนั้นแยกต่ำงหำกจำกกันและจะใช้อ ำนำจแต่ละอ ำนำจ ปนกันไม่ได้๕๒ ในขณะที่กำรปกครองในระบบรัฐสภำยึดหลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจที่ผ่อนคลำยควำม เข้มงวดลงแล้วโดยเป็นกำรแบ่งแยกอ ำนำจในลักษณะของแบ่งแยกหน้ำที่หรือแบ่งแยกองค์กรให้ท ำ หน้ำที่ที่แตกต่ำงกันออกไป (Separation of Functions) และยอมให้องค์กรผู้ใช้อ ำนำจอธิปไตยแต่ ละองค์กรมีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตำมที่รัฐธรรมนูญก ำหนด๕๓ ทั้งนี้ เพื่อให้องค์กรต่ำง ๆ เหล่ำนั้น ช่วยกันตรวจสอบและถ่วงดุลอ ำนำจ (Check and Balance) นอกจำกนี้ ภำยใต้กำรปกครองระบอบประชำธิปไตย (Democracy) ในระบบ รัฐสภำ (Parliamentary System) ฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำมำจำกกำรเลือกตั้งของประชำชน ในขณะที่ฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีมำจำกควำมไว้วำงใจของรัฐสภำ ๕๔ กล่ำวคือ รัฐสภำเป็น สถำบันเดียวของปกครองในระบบรัฐสภำ (Parliamentary System) ที่มำจำกกำรเลือกตั้ง ๕๑ วิษณุ เครืองำม, กฎหมำยรัฐธรรมนูญ, หน้ำ ๒๕๔ – ๒๕๕. ๕๒ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศำนต์, “หลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Powers)” ใน หนังสืออนุสรณ์งำนพระรำชทำนเพลิง ศพ ศ.ดร.สมภพ โหตระกิตย์, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๐), หน้ำ ๓๐๙. ๕๓ วิษณุ เครืองำม, กฎหมำยรัฐธรรมนูญ, หน้ำ ๒๕๕. ๕๔ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๒๕๘.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ของประชำชนและท ำหน้ำที่ต่ำง ๆ แทนประชำชน เช่น กำรพิจำรณำจัดท ำกฎหมำยและกำรให้ควำม เห็นชอบในกำรจัดตั้งรัฐบำล กิจกำรดังกล่ำวถือเสมือนว่ำประชำชนได้เป็นผู้กระท ำเอง ๕๕ ฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำจึงเป็นศูนย์กลำงแห่งอ ำนำจทำงกำรเมืองดังค ำกล่ำวของเซอร์ เอ็ดเวิร์ด โคค (Sir Edward Coke) อดีตประธำนศำลสูงของอังกฤษว่ำ “อ ำนำจและหน้ำที่รับผิดชอบของ รัฐสภำนั้นกว้ำงขวำงและเด็ดขำดมำกเสียจนจ ำกัดไม่ได้” ๕๖ และเมื่อประชำชนเลือกตั้งสมำชิกรัฐสภำ หรือสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรแล้วแต่กรณีจนได้สมำชิกครบถ้วนและพร้อมแล้ว สภำจะให้ควำม เห็นชอบในกำรจัดตั้งรัฐบำลโดยให้ควำมเห็นชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นนำยกรัฐมนตรีเพื่อ “จัดตั้ง รัฐบำล” หรือ “ประกอบคณะรัฐมนตรี (Form the Cabinet)” ๕๗ คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นดังกล่ำวมี หน้ำที่ในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินบนพื้นฐำนของ “ควำมไว้วำงใจของสภำ (Parliament’s Confidence)” เพรำะถือว่ำ คณะรัฐมนตรีว่ำจำกสภำ ไม่ใช่มำจำกประชำชนโดยตรง คณะรัฐมนตรี จึงต้องรักษำสัมพันธภำพกับสภำให้แนบแน่นและเข้ำกันได้ วันใดที่สภำหมดควำมไว้วำงใจ วันนั้น รัฐบำลก็ไม่สำมำรถตั้งอยู่ได้๕๘ และด้วยเหตุที่ฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีมำจำกควำมไว้วำงใจของ รัฐสภำดังกล่ำวนี้เอง ฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำจึงมีอ ำนำจในกำรควบคุมกำรท ำงำนของฝ่ำยบริหำร หรือคณะรัฐมนตรีได้ เรียกว่ำ “อ ำนำจในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน” ๕๙ กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน คือ มำตรกำรในกำรควบคุมดูแลกำรท ำงำน ของฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้วำงนโยบำยและเร่งรัดกำรปฏิบัติงำนตำมนโยบำย โดยผู้มี อ ำนำจในกำรควบคุมดูแลกำรท ำงำนของฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีคือฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำ ซึ่งในกรณีที่มีสองสภำจะหมำยถึงทั้งสภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำ แต่โดยหลักกำรแล้วจะเน้นควำม รับผิดชอบของฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีต่อสภำผู้แทนรำษฎรซึ่งสมำชิกมำจำกกำรเลือกตั้งมำกว่ำ วุฒิสภำซึ่งสมำชิกมำจำกกำรแต่งตั้ง ส่วนผู้ถูกควบคุมคือฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีฝ่ำยนิติบัญญัติ หรือรัฐสภำจะไม่ควบคุมกำรท ำงำนของข้ำรำชกำรประจ ำเพรำะถือว่ำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแต่ละ กระทรวงเป็นผู้ก ำหนดนโยบำยและเป็นผู้บังคับบัญชำของข้ำรำชกำรประจ ำในกระทรวงนั้น ๆ อยู่ แล้ว เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแต่ละกระทรวงจะต้องไปว่ำกล่ำวเอำกับข้ำรำชกำรประจ ำใน สังกัดของตนต่อไป๖๐ ทั้งนี้ มำตรกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของของฝ่ำยบริหำรหรือ คณะรัฐมนตรีโดยฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำมี ๔ มำตรกำร๖๑ ได้แก่ ๑) กำรตั้งกระทู้ถำมของสมำชิกสภำ (Question) ๒) กำรเสนอญัตติขอเปิดอภิปรำยเพื่อลงมติไม่ไว้วำงใจ (Vote of No Confidence) ๕๕ เรื่องเดียวกัน, หน้ำเดียวกัน. ๕๖ Jack Harvey, กำรเมืองกำรปกครองของอังกฤษ (How Britain is Governed) คณิน บุญสุวรรณ, ผู้แปล, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ คุรุสภำ, ๒๕๒๓), หน้ำ ๙. ๕๗ วิษณุ เครืองำม, กฎหมำยรัฐธรรมนูญ, หน้ำ ๒๕๘. ๕๘ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๒๕๙. ๕๙ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๒๖๑. ๖๐ เรื่องเดียวกัน, หน้ำเดียวกัน. ๖๑ มนตรี รูปสุวรรณ, กฎหมำยรัฐสภำ, หน้ำ ๘๗.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๓) กำรตั้งคณะกรรมำธิกำร ๔) กำรควบคุมกำรใช้จ่ำยเงินงบประมำณแผ่นดิน ๒.๒ อ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของฝ่ายนิติบัญญัติ “อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติ(Investigation Power)” หมำยถึง กำรสอบสวนหรือตรวจสอบอย่ำงเป็นทำงกำรขององค์กรฝ่ำยนิติบัญญัติในเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับวงงำนหรือหน้ำที่และอ ำนำจของฝ่ำยนิติบัญญัติ โดยฝ่ำยนิติบัญญัติมีอ ำนำจหลำยประกำรใน ลักษณะคล้ำยกับอ ำนำจของศำลในฝ่ำยตุลำกำรเพื่อสนับสนุนกำรแสวงหำข้อเท็จจริงดังกล่ำว เช่น อ ำนำจในกำรออกค ำสั่งเรียก อ ำนำจซักถำมหรือไต่สวนพยำน และอ ำนำจในกำรลงโทษฐำนละเมิด อ ำนำจรัฐสภำ๖๒ อ ำนำจต่ำง ๆ ดังกล่ำวเป็นอ ำนำจที่สืบเนื่องมำจำกอ ำนำจนิติบัญญัติขององค์กรฝ่ำย นิติบัญญัติ ฝ่ำยนิติบัญญัติไม่อำจปฏิบัติตำมหน้ำที่และอ ำนำจได้อย่ำงรอบคอบหรือมีประสิทธิภำพได้ หำกฝ่ำยนิติบัญญัติปรำศจำกซึ่งข้อมูลส ำคัญต่ำง ๆ ที่จ ำเป็นจะต้องได้รับ ทั้งนี้ เพื่อให้กำรปฏิบัติตำม หน้ำที่และอ ำนำจบรรลุผลสัมฤทธิ์ ๒.๒.๑ ที่มาและพัฒนาการของอ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของฝ่ายนิติบัญญัติ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติปรำกฏอย่ำงชัดเจนใน ระบบคณะกรรมำธิกำรของประเทศสหรัฐอเมริกำ โดยสภำคองเกรส (United States Congress) ได้ ใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงเป็นครั้งแรกเพื่อตรวจสอบและยืนยันรับรองสถำนภำพของ Robert Morris ว่ำเป็นบุคคลที่เหมำะสมและสมควรได้รับกำรแต่งตั้งให้ด ำรงต ำแหน่งที่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับกำรเงินกำรคลังของแผ่นดินหรือไม่๖๓ นอกจำกนี้ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของ สภำคองเกรสยังปรำกฏต่อมำในกำรแสวงหำข้อเท็จจริง “กรณีกำรปรำชัยทำงกำรทหำรของนำยพล อำเธอร์ เซนต์ แคลร์ (The Military Defeat of General Arthur St.Clair)” ซึ่งเป็นกรณีที่ถือว่ำหมุด หมำยส ำคัญของกำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติอย่ำงเป็นทำงกำรและ ก่อให้เกิดกำรวำงรำกฐำนของหลักกำรในเรื่องกำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติ บัญญัติขึ้นอย่ำงเป็นรูปธรรม๖๔ ข้อเท็จจริงของกรณีดังกล่ำวข้ำงต้นสืบเนื่องมำจำกนำยพลอำเธอร์ เซนต์ แคลร์ (General Arthur St.Clair) น ำกองก ำลังทหำรกว่ำ ๑,๔๐๐ นำย เข้ำสู้รบกับกองก ำลังอินเดีย แดงซึ่งมีก ำลังคนประมำณ ๑,๐๐๐ คน ผลจำกกำรสู้รบปรำกฏว่ำ กองก ำลังทหำรของนำยพลอำเธอร์ เซนต์ แคลร์ได้รับควำมปรำชัยและสูญเสียชีวิตทหำรไปกว่ำ ๙๐๐ นำย จนเป็นเหตุให้ประธำนำธิบดี จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ในขณะนั้นบังคับให้นำยพลอำเธอร์ เซนต์ แคลร์ลำออกจำก ต ำแหน่งเพื่อแสดงควำมรับผิดชอบต่อเหตุกำรณ์ดังกล่ำว อย่ำงไรก็ดี ในวันที่ ๒๗ มีนำคม ปี ค.ศ. ๖๒ Bryan A. Garner, “Legislative Investigation” in Black’s Law Dictionary, (St. Paul: West Pub. Co., 2009), p. 983, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๒๘. ๖๓ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุ ท ธ ศั ก ร ำ ช ๒ ๕ ๖ ๐ : ศึ ก ษ ำ เ ป รี ย บ เ ที ย บ ก ำ ร ท ำ ห น้ ำ ที่ ข อง ค ณ ะ ก ร ร ม ำ ธิ ก ำ ร ใ น ป ร ะ เ ท ศ ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก ำ , หน้ำ ๒๘ - ๒๙. ๖๔ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๒๙.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๑๗๙๒ นำยวิลเลียม บรำนช์ ไจล์ส (William Branch Giles) สมำชิกวุฒิสภำ ได้เสนอญัตติให้รัฐสภำ มีมติแสวงหำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับควำมเสียหำยจำกเหตุกำรณ์กำรสู้รบดังกล่ำว ผลจำกกำรเสนอญัตติ ดังกล่ำวของนำยวิลเลียม บรำนช์ ไจล์ส ได้น ำไปสู่กำรตั้งคณะกรรมำธิกำรขึ้นเพื่อท ำหน้ำที่แสวงหำ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับควำมเสียหำยของเรื่องดังกล่ำวโดยมีนำยโทมัส ฟิตซ์ไซมอนส์ (Thomas Fitzsimons) สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรจำกมลรัฐนอร์ท แคโรไลนำ (North Carolina) เป็นประธำน คณะกรรมำธิกำร และให้คณะกรรมำธิกำรดังกล่ำวมีอ ำนำจ “เรียกบุคคล เอกสำร และบันทึกอย่ำงใด ๆ ที่จ ำเป็นส ำหรับกำรแสวงหำข้อเท็จจริงด้วย ในระหว่ำงกำรแสวงหำข้อเท็จจริง คณะกรรมำธิกำรได้มี ค ำสั่งเรียกเอกสำรจำกหน่วยงำน The War Department และจำกหน่วยงำน The State Department ซึ่งเป็นหน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่ำว และรัฐบำลได้ให้ควำมร่วมมือใน กำรจัดส่งเอกสำรให้แก่คณะกรรมำธิกำรตำมที่ร้องขอ นับเป็นกำรยอมรับ “สิทธิในกำรสอบสวนของ รัฐสภำ (Congress’s Right to Investigate) อย่ำงเป็นทำงกำรครั้งแรกโดยฝ่ำยบริหำร ต่อมำ ใน วันที่ ๑๕ กุมภำพันธ์ ปี ค.ศ. ๑๗๙๓ สภำคองเกรสได้รำยงำนผลกำรแสวงหำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ สำเหตุควำมปรำชัยและกำรสูญเสียที่เกิดขึ้นว่ำเป็นผลมำจำกอำวุธยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่อยู่ในสภำพ ช ำรุดเสียหำย พลทหำรขำดกำรฝึกซ้อมทักษะกำรสู้รบ และกำรบริหำรจัดกำรที่ผิดพลำดของรัฐบำล แม้ว่ำรำยงำนผลกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติดังกล่ำวจะขัดแย้งกับควำมต้องกำรของ ฝ่ำยบริหำรที่ต้องกำรให้นำยพลอำเธอร์ เซนต์ แคลร์ลำออกจำกต ำแหน่งก็ตำม แต่ฝ่ำยบริหำรโดย ประธำนำธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ได้ยอมรับและถือปฏิบัติตำมรำยงำนผลกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำย นิติบัญญัติดังกล่ำวว่ำไม่ใช่กำรกระท ำที่ผิดพลำดของนำยพลอำเธอร์ เซนต์ แคลร์ทั้งหมดส ำหรับ ควำมปรำชัยและกำรสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่ำว ทั้งนี้ กำรแสวงหำข้อเท็จจริงของสภำคองเกรสดังกล่ำว รัฐบำลได้มีกำรสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ส่งเอกสำรบำงอย่ำงที่อำจกระทบหรือสร้ำงควำมเสียหำยต่อ สำธำรณะ (Injurious of the Public) ซึ่งต่อมำกำรสงวนสิทธิ์ดังกล่ำวได้พัฒนำมำเป็น “เอกสิทธิ์ของ ฝ่ำยบริหำร (Executive Privilege)”๖๕ จำกกรณีกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติดังกล่ำวข้ำงต้น ได้วำง หลักกำรส ำคัญซึ่งน ำไปสู่พัฒนำกำรของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติ๒ ประกำร ได้แก่๖๖ ๑) ฝ่ำยบริหำรยอมรับอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติ ในกำรเรียกบุคคล เอกสำร และบันทึกอย่ำงใด ๆ ที่จ ำเป็นส ำหรับกำรแสวงหำข้อเท็จจริง โดยที่ อ ำนำจดังกล่ำวไม่ได้รับกำรบัญญัติอย่ำงชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกำในเวลำต่อมำแต่อย่ำงใด ๒) ฝ่ำยบริหำรยอมรับและผูกพันตำมรำยงำนผลกำรแสวงหำข้อเท็จจริง ที่มำจำกกำรใช้อ ำนำจแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติ ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตำมหลักกำร ๖๕ Roger A. Bruns, David L. Hostetter, and Raymond W. Smock, Congress Investigates: A Critical and Documentary History, (New York: Facts On File, Inc., 2011), p. 2, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของ คณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำ หน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๒๙ - ๓๐. ๖๖ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓๐.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร แบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Power) ที่เรียกร้องให้ฝ่ำยบริหำรสำมำรถถูกตรวจสอบและถ่วงดุล อ ำนำจ (Check and Balance) ด้วยกำรถูกควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินโดยฝ่ำยนิติบัญญัติ ต่อมำ ใน “คดี Barry v. United States ex rel. Cunningham” ได้วำง หลักกำรของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติเพิ่มเติมว่ำ นอกจำกฝ่ำยนิติบัญญัติ จะมีอ ำนำจในกำรเรียกบุคคล เอกสำร และบันทึกอย่ำงใด ๆ ที่จ ำเป็นส ำหรับกำรแสวงหำข้อเท็จจริง จำกฝ่ำยบริหำรได้แล้ว ฝ่ำยนิติบัญญัติยังมีอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงครอบคลุมถึงสมำชิกฝ่ำย นิติบัญญัติเองและบุคคลทั่วไปด้วย และหำกบุคคลผู้ถูกเรียกมำให้ถ้อยค ำหรือส่งเอกสำรปฏิเสธหรือมิ ให้ควำมร่วมมือในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติ ฝ่ำยนิติบัญญัติมีอ ำนำจในกำรลงโทษ บุคคลดังกล่ำวใน “ฐำนละเมิดอ ำนำจรัฐสภำ” โดยถือว่ำอ ำนำจในกำรลงโทษบุคคลอันเนื่องมำจำก กำรละเมิดอ ำนำจรัฐสภำมีฐำนที่มำจำก “สิทธิในกำรป้องกันตนเองของรัฐสภำ (The Right of Selfpreservation) ดังเช่นที่ต่อมำปรำกฏในคดี Marshall v. Gordon ซึ่งศำลได้วำงหลักกฎหมำย เพิ่มเติมว่ำ อ ำนำจในกำรลงโทษบุคคลอันเนื่องมำจำกกำรละเมิดอ ำนำจรัฐสภำจะไม่ถูกน ำไปใช้กับ กำรลงโทษบุคคลอันเนื่องมำจำกกำรหมิ่นประมำทรัฐสภำ อย่ำงไรก็ตำม ในกรณีที่บุคคลผู้ถูกเรียกมำ ให้ถ้อยค ำหรือส่งเอกสำรเห็นว่ำกำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติเป็นกำรใช้ อ ำนำจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมำย โดยหลักแล้วฝ่ำยตุลำกำรหรือศำลจะไม่เข้ำมำก้ำวก่ำยหรือแทรกแซง เพื่อตรวจสอบควำมชอบด้วยกฎหมำยของกำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติ แต่บุคลคลดังกล่ำวสำมำรถหยิบยกเอำเหตุควำมไม่ชอบด้วยกฎหมำยขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือข้อแก้ต่ำงใน ระหว่ำงกระบวนพิจำรณำคดีควำมผิดทำงอำญำฐำนละเมิดอ ำนำจรัฐสภำได้๖๗ ทั้งนี้ เนื่องจำกกำรใช้ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติเป็นกำรใช้อ ำนำจเฉพำะในควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ฝ่ำยนิติบัญญัติกับฝ่ำยบริหำร ตำมหลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Power) และหลักกำร ตรวจสอบและถ่วงดุลอ ำนำจ (Check and Balance) ๒.๒.๒ เนื้อหาและขอบเขตของอ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของฝ่ายนิติบัญญัติ ขอบเขตของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติจะต้องมี เนื้ อห ำห รือ วัตถุป ร ะสงค์เป็นไปเพื่ อก ำ รท ำหน้ ำที่ ของฝ่ ำยนิติบัญญัติเท่ ำนั้น ได้แก่ กำรแสวงหำข้อเท็จจริงในประเด็นที่จ ำเป็นเกี่ยวกับกำรพิจำรณำจัดท ำกฎหมำย และกำรแสวงหำ ข้อเท็จจริงเพื่อกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของฝ่ำยบริหำร๖๘ ดังนั้น จะเห็นได้ว่ำ อ ำนำจใน กำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติหำใช่อ ำนำจอันที่มีขอบเขตกว้ำงขวำงไม่จ ำกัดไม่ หำกแต่ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงดังกล่ำวจะต้องมีวัตถุประสงค์เป็นไปเพื่อกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และ อ ำนำจของฝ่ำยนิติบัญญัติเท่ำนั้น (In Aid of the Legislative Function)๖๙ ด้วยวัตถุประสงค์ของ กำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติดังกล่ำวจึงเป็นขอบเขตหรือข้อจ ำกัดกำรใช้ ๖๗ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, แนวคิดและหลักกำรว่ำด้วยกำรละเมิดอ ำนำจรัฐสภำ, พิมพ์ครั้งแรก, (กรุงเทพฯ: สถำบันพระปกเกล้ำ, ๒๕๕๘), หน้ำ ๓๓. ๖๘ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๓๓. ๖๙ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓๑ – ๓๒.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร อ ำนำจมิให้รุกล้ ำเข้ำไปในเขตแดนที่เป็นเรื่องส่วนตัวของปัจเจกชน (Private Affairs of Individual Citizen) หรือก้ำวล่วงเข้ำไปในปริมณฑลแห่งอ ำนำจตุลำกำร (Invaded the Province of the Judiciary) ในเรื่องที่จ ำเป็นจะต้องได้รับกำรแก้ไขปัญหำหรือเยียวยำโดยกระบวนกำรทำงตุลำกำร รวมทั้งอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติจะต้องไม่มีอ ำนำจเหนือ “เอกสิทธิ์ของ ฝ่ำยบริหำร (Executive Privilege)” ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในเขตอ ำนำจของฝ่ำยบริหำรโดยแท้๗๐ เช่น เรื่องเกี่ยวกับกำรรักษำควำมปลอดภัยของประเทศหรือควำมปลอดภัยสำธำรณะ หรือเรื่องเกี่ยวกับ ประโยชน์ส ำคัญของแผ่นดิน๗๑ ทั้งนี้ เนื้อหำและขอบเขตของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของ ฝ่ำยนิติบัญญัติเป็นเรื่องซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตำมหลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Power) นั่นเอง๗๒ ๒.๓ การถ่ายโอนอ านาจนิติบัญญัติกับการท าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ในกำรท ำหน้ำที่ของฝ่ำยนิติบัญญัติซึ่งประกอบไปด้วยสมำชิกจ ำนวนมำกย่อม ปฏิเสธไม่ได้ว่ำก่อให้เกิดอุปสรรคบำงประกำรในกำรปฏิบัติหน้ำที่ รวมทั้งท ำให้กำรปฏิบัติหน้ำที่ เป็นไปด้วยควำมล่ำช้ำไม่คล่องตัว ดังนั้น “ระบบรัฐสภำเล็ก (Little Legislative System)” จึงถือก ำเนิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือและรองรับกับพันธกิจของฝ่ำยนิติบัญญัติให้ลุล่วงไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ โดยระบบคณะกรรมำธิกำรในรัฐสภำมีมำตั้งแต่สมัยรำชวงศ์ทิวเดอร์ (House of Tudor) แห่ง ประเทศอังกฤษ จำกนั้นได้พัฒนำมำเป็นองค์กรที่เรียกว่ำ “คณะกรรมำธิกำรในรัฐสภำสมัยใหม่ (Modern Parliamentary Committee)” ในภำยหลังช่วงสงครำมโลกครั้งที่สอง อย่ำงไรก็ตำม กำร ปฏิบัติหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรซึ่งได้รับกำรพัฒนำอย่ำงเต็มที่และอำจกล่ำวได้ว่ำมีประสิทธิภำพ สูงสุดในกำรปฏิบัติหน้ำที่กลับกลำยเป็นคณะกรรมำธิกำรในสภำคองเกรส (United States Congress) ของประเทศสหรัฐอเมริกำ๗๓ แนวคิดในกำรสร้ำงระบบคณะกรรมำธิกำรเป็นกำรถอดรูปแบบมำจำกกำรปฏิบัติ หน้ำที่ของรัฐสภำ แต่คณะกรรมำธิกำรจะมีควำมคล่องตัวในกำรปฏิบัติหน้ำที่และสำมำรถเข้ำถึง ประเด็นต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องในรำยละเอียดได้มำกกว่ำ เนื่องจำกจ ำนวนสมำชิกของคณะกรรมำธิกำรมี จ ำนวนไม่มำกเสมือนเป็น “ฝ่ำยนิติบัญญัติขนำดย่อม (Miniature Legislature)๗๔ เพื่อท ำหน้ำที่ให้ ควำมช่วยเหลือแก่รัฐสภำใหญ่ไม่ว่ำจะเป็นกำรแสวงหำข้อเท็จจริง กำรสอบสวนบุคคลหรือหน่วยงำน ใด ๆ กำรตรวจสอบเอกสำรหรือพยำนหลักฐำนต่ำง ๆ แล้วรำยงำนต่อรัฐสภำใหญ่ต่อไป หรือกำร ๗๐ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๓๒. ๗๑ ส ำนักกรรมำธิกำร ๑ ๒ และ ๓, รำยงำนผลกำรสัมมนำเชิงปฏิบัติกำร เรื่อง “กำรเสริมสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจในแนวทำง ปฏิบัติตำมพระรำชบัญญัติค ำสั่งเรียกของคณะกรรมำธิกำรของสภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๕๔”, พิมพ์ครั้งแรก, (กรุงเทพฯ: ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร, ๒๕๕๕), หน้ำ ๓๑. ๗๒ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓๒. ๗๓ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, แนวคิดและหลักกำรว่ำด้วยกำรละเมิดอ ำนำจรัฐสภำ, หน้ำ ๑๑๐ – ๑๑๑. ๗๔ Lawrence D. Longley and Roger H. Davidson, The New Roles of Parliament, (Portland: Frank Case Publishers, 1988), p. 3, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓๓.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ก ำหนดประเด็นกำรศึกษำค้นคว้ำและแสวงหำข้อเท็จจริงจนตกผลึกแล้วรำยงำนต่อรัฐสภำใหญ่เพื่อ พิจำรณำด ำเนินกำรต่อไป กระบวนกำรดังกล่ำวทั้งหมดเรียกว่ำ “กระบวนกำรในรัฐสภำ (Proceedings in Parliament)” ๗๕ ด้วยเหตุดังกล่ำวข้ำงต้น ระบบคณะกรรมำธิกำรของรัฐสภำ (Parliamentary Committee) จึงถือก ำเนิดขึ้นมำจำกอ ำนำจของรัฐสภำโดยตรงในกำรบริหำรจัดกำรองค์กรภำยใน ของตนเองตำมหลักกำร “รัฐสภำเองย่อมตระหนักรับรู้งำนของตนเองได้ดีกว่ำผู้อื่น (Exclusive Cognizance)” โดยมีกำรมอบอ ำนำจในทำงนิติบัญญัติ (Delegation of Legislative Powers) ของ “รัฐสภำใหญ่” ไปยัง “รัฐสภำเล็ก” ๗๖ อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรจึงมีรำกฐำนหรือที่มำจำกอ ำนำจ นิติบัญญัติ กำรปฏิบัติหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรย่อมมีวัตถุประสงค์เป็นไปเพื่อช่วยเหลือให้ กระบวนกำรนิติบัญญัติสำมำรถส ำเร็จลุล่วงไปได้ตำมพันธกิจหรือหน้ำที่และอ ำนำจของฝ่ำยนิติ บัญญัติตำมที่รัฐธรรมนูญก ำหนดไว้ ๒.๔ อ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการของประเทศไทย คณะกรรมำธิกำรคณะต่ำง ๆ ของรัฐสภำอำจเรียกได้ว่ำเป็น “สภำเล็ก (Little Legislature)” ซึ่งมีควำมส ำคัญอย่ำงยิ่งต่อกำรปฏิบัติงำนของรัฐสภำ คณะกรรมำธิกำรมีขึ้นเพื่อแบ่ง เบำภำรกิจของรัฐสภำซึ่งมีขอบเขตกว้ำงขวำงและเกี่ยวข้องกับปัญหำที่สลับซับซ้อน คณะกรรมำธิกำร เปรียบเสมือนเป็นคณะท ำงำนของที่ประชุมรัฐสภำ เนื่องจำกในกำรด ำเนินงำนต่ำง ๆ ของรัฐสภำ รัฐสภำไม่อำจกระท ำได้โดยกำรประชุมสภำที่ประกอบไปด้วยสมำชิกเป็นจ ำนวนมำกปฏิบัติหน้ำที่ กันเองโดยไม่มีกำรแบ่งงำนกัน๗๗ ในปัจจุบัน รัฐสภำไทยมีระบบคณะกรรมำธิกำรที่อำจจ ำแนกได้เป็น ๔ ประเภท๗๘ ได้แก่ ๑) คณะกรรมำธิกำรสำมัญ (Standing Committee) ๒) คณะกรรมำธิกำรวิสำมัญ (Special Committee) ๓) คณะกรรมำธิกำรเต็มสภำ (Committee of the Whole House) ๔) คณะกรรมำธิกำรร่วมกัน (Joint Committee) ในที่นี้จะได้กล่ำวถึงแต่เฉพำะคณะกรรมำธิกำรสำมัญ (Standing Committee) ประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรกับขอบเขตอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง ตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ๗๕ Kieron Wood, Contempt of Parliament, (Dublin: Clarus Press, 2011), p. 43, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, แนวคิดและหลักกำรว่ำด้วยกำรละเมิดอ ำนำจรัฐสภำ, หน้ำ ๑๑๒. ๗๖ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓๓. ๗๗ ชัยอนันต์ สมุทวณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์, กลไกรัฐสภำ, (กรุงเทพฯ: พิฆเนศ, ๒๕๑๘), หน้ำ ๗๔. ๗๘ มนตรี รูปสุวรรณ, กฎหมำยรัฐสภำ, หน้ำ ๑๐๕ – ๑๑๑.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๒.๔.๑ พัฒนาการของอ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริง รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยได้บัญญัติเกี่ยวกับอ ำนำจของ คณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงไว้โดยชัดแจ้งตั้งแต่พระรำชบัญญัติธรรมนูญกำรปกครอง แผ่นดินสยำมชั่วครำว พุทธศักรำช ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกจนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ อำจจะ ไม่ปรำกฏบทบัญญัติเกี่ยวกับอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงในรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วครำวบำงฉบับ๗๙ แต่ถ้ำเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถำวรแล้วจะปรำกฏบทบัญญัติดังกล่ำวทุกฉบับ พัฒนำกำรของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำรของประเทศไทย สำมำรถ พิจำรณำแบ่งได้ ดังนี้ ๑)การสอบสวนพิจารณาท าความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มำตรำ ๒๖ แห่งพระรำชบัญญัติธรรมนูญกำรปกครองแผ่นดินสยำม ชั่วครำว พุทธศักรำช ๒๔๗๕ ได้ก ำหนดให้สภำมีอ ำนำจตั้งอนุกรรมกำร๘๐ “เพื่อท ำกำรอย่ำงใดอย่ำง หนึ่งหรือให้สอบสวนพิจำรณำท ำควำมเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่อ ปรึกษำหรือตกลงอีกชั้นหนึ่งก็ได้” ซึ่งจะเห็นได้ว่ำ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจในกำร (๑) ท ำกำรอย่ำง ใดอย่ำงหนึ่ง และ (๒) สอบสวนพิจำรณำท ำควำมเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่ำ เมื่อ คณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรตำมหน้ำที่และอ ำนำจเสร็จแล้วให้เสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่อปรึกษำหรือ ตกลงอีกชั้นหนึ่ง ๒)การพิจารณาสอบสวนข้อความใด ๆ อันอยู่ในวงงานของสภา ต่อมำ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรสยำม พุทธศักรำช ๒๔๗๕ ได้ เปลี่ยนชื่อจำกค ำว่ำ “อนุกรรมกำร” เป็น “คณะกรรมำธิกำร” ๘๑ โดยมีอ ำนำจ “กระท ำกิจกำรหรือ พิจำรณำสอบสวนข้อควำมใด ๆ อันอยู่ในวงงำนของสภำแล้วรำยงำนต่อสภำ” ซึ่งจะเห็นได้ว่ำ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจในกำร (๑) กระท ำกิจกำร และ (๒) พิจำรณำสอบสวนข้อควำมใด ๆ โดยมี เงื่อนไขเพิ่มเติมว่ำ กำรด ำเนินกำรดังกล่ำวของคณะกรรมำธิกำรจะต้องเป็นเรื่อง “อันอยู่ในวงงาน ของสภา”และเมื่อคณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรตำมหน้ำที่และอ ำนำจเสร็จแล้วจะต้องรำยงำนต่อสภำ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับอ ำนำจของ คณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงในลักษณะดังกล่ำวนี้ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักร ไทย พุทธศักรำช ๒๔๘๙ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย (ฉะบับชั่วครำว) พุทธศักรำช ๒๔๙๐ ๗๙ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วครำวซึ่งไม่ปรำกฏบทบัญญัติเกี่ยวกับอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริง ได้แก่ ธรรมนูญกำรปกครองรำชอำณำจักร พุทธศักรำช ๒๕๐๒, ธรรมนูญกำรปกครองรำชอำณำจักร พุทธศักรำช ๒๕๑๕, รัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๑๙, ธรรมนูญกำรปกครองรำชอำณำจักร พุทธศักรำช ๒๕๒๐, ธรรมนูญกำรปกครองรำชอำณำจักร พุทธศักรำช ๒๕๓๔, รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย (ฉบับชั่วครำว) พุทธศักรำช ๒๕๔๙ และรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย (ฉบับ ชั่วครำว) พุทธศักรำช ๒๕๕๗ ๘๐ ค ำว่ำ “อนุกรรมกำร” มีควำมหมำยเดียวกันกับค ำว่ำ “คณะกรรมำธิกำร” ในปัจจุบัน [คณะกรรมกำรร่ำงรัฐธรรมนูญ, ควำมมุ่งหมำยและค ำอธิบำยประกอบรำยมำตรำของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐, หน้ำ ๒๒๓.] ๘๑ คณะกรรมกำรร่ำงรัฐธรรมนูญ, ควำมมุ่งหมำยและค ำอธิบำยประกอบรำยมำตรำของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐, หน้ำ ๒๒๓.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๔๙๒ และรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีผลใช้บังคับต่อ ๆ มำ ๓)การพิจารณาสอบสวนเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอ านาจหน้าที่ของสภา รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๑๗ ได้แก้ไขเพิ่มเติม อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรเป็น “กระท ำกิจกำรหรือพิจำรณำสอบสวนหรือศึกษำเรื่องใด ๆ อันอยู่ ในอ ำนำจหน้ำที่ของสภำแล้วรำยงำนต่อสภำ” นั่นคือ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจในกำร (๑) กระท ำ กิจกำร(๒) พิจำรณำสอบสวน และ (๓) ศึกษำโดยจะต้องเป็น “เรื่องใด ๆ อันอยู่ในอ านาจหน้าที่ของสภา” และเมื่อคณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรตำมหน้ำที่และอ ำนำจเสร็จแล้วจะต้องรำยงำนต่อสภำ ทั้งนี้ บทบัญญัติเกี่ยวกับอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำ ข้อเท็จจริงในลักษณะท ำนองเดียวกันกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๑๗ ข้ำงต้น ได้ถูกน ำกลับมำบัญญัติอีกครั้งในรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ โดยได้ก ำหนด อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรไว้ในท ำนองเดียวกันว่ำ “กระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบสวน หรือศึกษำ เรื่องใด ๆ อันอยู่ในอ ำนำจหน้ำที่ของสภำ แล้วรำยงำนต่อสภำ” ๔)การพิจารณาสอบสวนเรื่องใด ๆ ตามที่สภามอบหมาย ต่อมำ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๒๑ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรอีกครั้งเป็น “กระท ำกิจกำรหรือพิจำรณำสอบสวน หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ตำมที่สภำมอบหมำยแล้วรำยงำนต่อสภำ” นั่นคือ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจ ในกำร (๑) กระท ำกิจกำร (๒) พิจำรณำสอบสวน และ (๓) ศึกษำ แต่จะต้องเป็น “เรื่องที่สภา มอบหมาย”และเมื่อคณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรตำมหน้ำที่และอ ำนำจเสร็จแล้วจะต้องรำยงำนต่อสภำ ๕)การไม่บัญญัติเกี่ยวกับอ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้ง โดยปกติแล้ว รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยโดยเฉพำะรัฐธรรมนูญ ฉบับถำวรจะบัญญัติเกี่ยวกับอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงไว้โดยชัดแจ้ง อย่ำงไรก็ตำม มีเพียงรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๓๔ เท่ำนั้นซึ่งได้ก ำหนด อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรไว้เพียงแต่ “พิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติตำมที่วุฒิสภำหรือสภำ ผู้แทนรำษฎรมอบหมำย หรือกระท ำกิจกำรใด ๆ ตำมที่สภำมอบหมำยแล้วรำยงำนต่อสภำตำม เวลำที่สภำก ำหนด” โดยไม่มีกำรก ำหนดถึงอ ำนำจในกำรพิจำรณำสอบสวนหรือศึกษำเรื่องใด ๆ กล่ำวคือ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจเพียงแต่ (๑) พิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติตำมที่สภำมอบหมำย และ (๒) กระท ำกิจกำรใด ๆ ตำมที่สภำมอบหมำย เพียง ๒ ประกำรเท่ำนั้น ๖)การพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงเรื่องใด ๆ ที่อยู่ในหน้าที่และอ านาจของสภา รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ ในปัจจุบัน ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงจำก “พิจำรณำสอบสวน” เป็น “พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” กล่ำวคือ มำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญ ฉบับดังกล่ำวได้ก ำหนดให้คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจในกำร “กระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำ ข้อเท็จจริงหรือศึกษำเรื่องใด ๆ และรำยงำนให้สภำทรำบตำมระยะเวลำที่สภำก ำหนด” และได้
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ก ำหนดต่อไปว่ำ “กำรกระท ำกิจกำร กำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือกำรศึกษำตำมวรรคหนึ่ง ต้องเป็น เรื่องที่อยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำ” นั่นคือ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจในกำร (๑) กระท ำกิจกำร และ (๒) พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง (๓) ศึกษำ โดยจะต้องเป็น “เรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ านาจของสภา” และเมื่อคณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรตำมหน้ำที่และอ ำนำจเสร็จแล้วจะต้องรำยงำนต่อสภำ จำกพัฒนำกำรของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำร ตำมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยที่ผ่ำนมำสำมำรถสรุปได้ว่ำ โดยหลักกฎหมำย รัฐธรรมนูญ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงไม่ว่ำจะใช้ค ำว่ำ “กำรพิจำรณำ สอบสวน” หรือ “กำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ก็ตำม และอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของ คณะกรรมำธิกำรดังกล่ำวจะต้องกระท ำในเรื่องที่อยู่ภำยใต้ขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของสภำ โดยเมื่อคณะกรรมำธิกำรได้ด ำเนินกำรพิจำรณำแสวงหำข้อเท็จจริงจนเสร็จสิ้นแล้วจะต้องรำยงำน ให้สภำทรำบเพื่อให้สภำได้พิจำรณำและตัดสินใจด ำเนินกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อไป ๒.๔.๒ เนื้อหาและขอบเขตของอ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริง ในปัจจุบัน "เนื้อหำและขอบเขตของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของ คณะกรรมำธิกำรปรำกฏในมำตรำ ๑๒๙ วรรคหนึ่งถึงวรรคห้ำ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่ำ “มาตรา ๑๒๙ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอ านาจเลือกสมาชิกของแต่ละ สภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอ านาจเลือกบุคคลผู้เป็นสมาชิกหรือมิได้เป็นสมาชิก ตั้งเป็น คณะกรรมาธิการวิสามัญ หรือคณะกรรมาธิการร่วมกันตามมาตรา ๑๓๗ เพื่อกระท ากิจการ พิจารณาสอบหา ข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใด ๆ และรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่สภาก าหนด การกระท ากิจการ การสอบหาข้อเท็จจริง หรือการศึกษาตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ านาจของสภา และหน้าที่และอ านาจตามที่ระบุไว้ในการตั้ง คณะกรรมาธิการก็ดี ในการด าเนินการของคณะกรรมาธิการก็ดี ต้องไม่เป็นเรื่องซ้ าซ้อนกัน ในกรณีที่ การกระท ากิจการ การสอบหาข้อเท็จจริง หรือการศึกษาในเรื่องใดมีความเกี่ยวข้องกัน ให้เป็นหน้าที่ ของประธานสภาที่จะต้องด าเนินการให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องทุกชุดร่วมกันด าเนินการ ในการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอ านาจหรือมอบหมาย ให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระท าการแทนมิได้ คณะกรรมาธิการตามวรรคหนึ่งมีอ านาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือ เรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระท าหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบ หาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ แต่การเรียกเช่นว่านั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการที่ ปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อ านาจในกระบวนวิธีพิจารณาพิพากษาอรรถคดี หรือการบริหารงานบุคคล ของแต่ละศาล และมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ด ารงต าแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม หน้าที่และอ านาจโดยตรงในแต่ละองค์กรตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจการที่คณะกรรมาธิการสอบหา ข้อเท็จจริงหรือศึกษาที่จะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดหรือในก ากับ ให้ข้อเท็จจริง ส่ง เอกสาร หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียก” มำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ได้ก ำหนดหน้ำที่และอ ำนำจในกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำร โดยคณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจใน กำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำเรื่องใด ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ำที่และ อ ำนำจของสภำ เช่น กำรพิจำรณำจัดท ำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของฝ่ำย บริหำร กำรอนุมัติหรือให้ควำมเห็นชอบในกิจกำรบำงอย่ำง กำรอนุมัติหรือให้ควำมเห็นชอบในตัว บุคคล รวมตลอดถึงกำรท ำหน้ำที่แก้ไขปัญหำควำมเดือดร้อนของประชำชนและหน้ำที่และอ ำนำจตำมที่ ระบุไว้ในกำรตั้งคณะกรรมำธิกำร ทั้งนี้ ในกำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง คณะกรรมำธิกำรจะมอบ อ ำนำจหรือมอบหมำยให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระท ำกำรแทนมิได้ อีกทั้งก ำหนดให้คณะกรรมำธิกำรมี อ ำนำจเรียกเอกสำร หรือเรียกบุคคลใดมำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมคิดเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือ ในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำอยู่นั้นได้ แต่อ ำนำจเรียกเอกสำรหรือเรียกบุคคลใดมำ แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมคิดเห็นดังกล่ำว มิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติหน้ำที่ หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีหรือกำรบริหำรงำนบุคคลของศำล เพื่อให้กระบวน วิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีหรือกำรบริหำรงำนบุคคลของศำลมีควำมเป็นอิสระ นอกจำกนี้ คณะกรรมำธิกำรไม่มีอ ำนำจในกำรเรียกวัตถุอื่นใดที่ไม่ใช่เอกสำรหรือเอกสำรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อน ำมำ ประกอบกำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง เนื่องจำกคณะกรรมำธิกำรไม่มีอ ำนำจในกำรสอบสวน คดีอำญำ๘๒ และก ำหนดให้เป็นหน้ำที่รัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจกำรที่คณะกรรมำธิกำรกำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำต้องให้ควำมร่วมมือแก่คณะกรรมำธิกำรเพื่อให้กำรท ำหน้ำที่ของ คณะกรรมำธิกำรเป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ ๓. บทวิเคราะห์ ประเทศไทยซึ่งมีกำรปกครองในระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็น ประมุข หรือกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยในระบบรัฐสภำ (Parliamentary System) กำรแสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำรโดยเฉพำะคณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำ สภำผู้แทนรำษฎรเป็นกลไกหนึ่งของฝ่ำยนิติบัญญัติในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของ คณะรัฐมนตรี อย่ำงไรก็ตำม อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงมิใช่อ ำนำจซึ่งเป็นของคณะกรรมำธิกำร มำตั้งแต่ต้น แต่เป็นอ ำนำจที่ถือก ำเนิดขึ้นพร้อมกับกำรมีอยู่ของรัฐสภำในฐำนะองค์กรผู้ใช้อ ำนำจ อธิปไตยองค์กรหนึ่งซึ่งมีหน้ำที่และอ ำนำจส ำคัญในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของ ๘๒ ศำลรัฐธรรมนูญ, ค ำวินิจฉัยที่ ๑๗/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๗ ตุลำคม ๒๕๖๓ เรื่อง ผู้ตรวจกำรแผ่นดินเสนอเรื่องขอให้ศำล รัฐธรรมนูญพิจำรณำวินิจฉัยตำมรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๒๓๑ (๑) ว่ำ พระรำชบัญญัติค ำสั่งเรียกของคณะกรรมำธิกำรของสภำผู้แทนรำษฎร และวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๕๔ มำตรำ ๕ มำตรำ ๘ และมำตรำ ๑๓ มีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๑๒๙ หรือไม่, หน้ำ ๓ – ๔.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๕๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร คณะรัฐมนตรี๘๓ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริง (Investigation Power) จึงเป็นอ ำนำจที่ส ำคัญ ของรัฐสภำเพื่อท ำหน้ำที่ควบคุมตรวจสอบกำรด ำเนินงำนของคณะรัฐมนตรีว่ำเป็นไปตำมนโยบำยที่ได้ แถลงต่อรัฐสภำ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมำย รวมทั้งเป็นไปตำมเจตนำรมณ์ของประชำ ชนหรือไม่ อย่ำงไร แต่เนื่องจำกในทำงปฏิบัติด้วยข้อจ ำกัดเรื่ององค์ประกอบของจ ำนวนสมำชิกของ รัฐสภำซึ่งมีสมำชิกจ ำนวนมำก ดังนั้น เพื่อให้กำรท ำหน้ำที่ของรัฐสภำในกำรควบคุมตรวจสอบกำร ด ำเนินงำนของคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยควำมรวดเร็วและมีประสิทธิภำพ รัฐภำโดยสภำผู้แทนรำษฎร จึงได้แต่งตั้ง “คณะกรรมำธิกำรสำมัญ” ขึ้น พร้อมกับถ่ำยโอนอ ำนำจในทำงนิติบัญญัติ (Delegation of Legislative Powers)๘๔ ส ำหรับกำรแสวงหำข้อเท็จจริงให้แก่คณะกรรมำธิกำรด้วย อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำร ในทำงวิชำกำรต่ำงประเทศเรียกว่ำ “Investigation Power” ซึ่งมีลักษณะคล้ำยกับอ ำนำจของศำลในฝ่ำยตุลำกำรเพื่อสนับสนุนกำร แสวงหำข้อเท็จจริง เช่น อ ำนำจในกำรออกค ำสั่งเรียก อ ำนำจซักถำมหรือไต่สวนพยำน และอ ำนำจใน กำรลงโทษฐำนละเมิดอ ำนำจรัฐสภำ ๘๕ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงเป็นอ ำนำจที่ คณะกรรมำธิกำรใช้เพื่อด ำเนินกำรรวบรวมข้อมูล เอกสำร พยำนหลักฐำนต่ำง ๆ แล้ววิเครำะห์และ สรุปข้อมูลต่ำง ๆ ดังกล่ำวเพื่อเสนอต่อสภำเพื่อประกอบกำรพิจำรณำและตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ำย ได้อย่ำงถูกต้องและรอบคอบ คณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรจึงมีอ ำนำจในกำรเรียก เอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมเห็นในเรื่องที่พิจำรณำ สอบหำข้อเท็จจริงอยู่นั้นได้ดังปรำกฏในมำตรำ ๑๒๙ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ และเมื่อคณะกรรมำธิกำรประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรได้ด ำเนินกำรพิจำรณำสอบหำ ข้อเท็จจริงจนเสร็จสิ้นแล้วจะต้องรำยงำนให้สภำผู้แทนรำษฎรทรำบตำมระยะเวลำที่ก ำหนดเพื่อให้ สภำผู้แทนรำษฎรได้พิจำรณำและตัดสินใจด ำเนินกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อไป ดังปรำกฏในมำตรำ ๑๒๙ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำรของประเทศไทยปรำกฏขึ้นครั้งแรก ตำมพระรำชบัญญัติธรรมนูญกำรปกครองแผ่นดินสยำมชั่วครำว พุทธศักรำช ๒๔๗๕ ซึ่งได้ก ำหนดให้ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจใน “กำรสอบสวน” พิจำรณำท ำควำมเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อันเป็น ถ้อยค ำที่สอดคล้องกับ “ธรรมชำติของอ ำนำจนิติบัญญัติ” ตำมหลักกฎหมำยรัฐธรรมนูญ กล่ำวคือ กำรก ำหนดให้คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจใน “กำรพิจำรณำสอบสวน” (Investigation) เป็นกำรบ่งชี้ ๘๓ Oliver Rozenberg, “Inquiries by Parliaments” in The Political Use of a Democratic Right, (Brussel: European Parliament, 2020), p. 5, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๑๓๗. ๘๔ Christian Bumke and Andreas Voßkuhle, German Constitutional Law Introduction, Cases, and Principle, (Oxford: Oxford University Press, 2019), p. 2083, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรใน กำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของ คณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๑๓๗. ๘๕ Bryan A. Garner, “Legislative Investigation” in Black’s Law Dictionary, (St. Paul: West Pub. Co., 2009), p. 983, อ้ำงถึงใน พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๒๘.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร อย่ำงชัดแจ้งถึง “ธรรมชำติของอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริง (Nature of Investigative Power)” ที่คณะกรรมำธิกำรได้รับถ่ำยโอนอ ำนำจมำจำกสภำว่ำคืออ ำนำจอะไร มีลักษณะอย่ำงไร และถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ประกำรใด และนับจำกนั้นเป็นต้นมำ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย แทบทุกฉบับโดยเฉพำะรัฐธรรมนูญฉบับถำวร ได้ก ำหนดให้คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจใน “กำรพิจำรณำสอบสวน”ดังกล่ำวเรื่อยมำ ทั้งนี้ แม้ว่ำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียวเท่ำนั้นที่ไม่มีกำรใช้ถ้อยค ำว่ำ “กำรพิจำรณำสอบสวน” แต่ ตำมหลักกำรของกฎหมำยรัฐธรรมนูญแล้ว ตรำบเท่ำที่ยังคงปรำกฏ “กำรด ำรงอยู่ของอ ำนำจนิติ บัญญัติ” คณะกรรมำธิกำรก็ยังคงมีอ ำนำจในกำรรวบรวมข้อมูล เอกสำร พยำนหลักฐำนต่ำง ๆ แล้ว วิเครำะห์และสรุปข้อมูลต่ำง ๆ ดังกล่ำวเพื่อเสนอต่อสภำเพื่อประกอบกำรพิจำรณำและตัดสินใจใน ขั้นตอนสุดท้ำย อย่ำงไรก็ตำม เมื่อมำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงจำกถ้อยค ำ “พิจำรณำสอบสวน” เป็น “พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” เพื่อให้เกิดควำมชัดเจนในเรื่องภำรกิจของ คณะกรรมำธิกำร๘๖ และศำลรัฐธรรมนูญโดยค ำวินิจฉัยที่ ๑๗/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๗ ตุลำคม ๒๕๖๓ เรื่อง ผู้ตรวจกำรแผ่นดินเสนอเรื่องขอให้ศำลรัฐธรรมนูญพิจำรณำวินิจฉัยตำมรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๒๓๑ (๑) ว่ำ พระรำชบัญญัติค ำสั่งเรียกของคณะกรรมำธิกำรของสภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๕๔ มำตรำ ๕ มำตรำ ๘ และมำตรำ ๑๓ มีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๑๒๙ หรือไม่ เห็นว่ำ กำรด ำเนินกำรของคณะกรรมำธิกำรเป็น “กำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ไม่ใช่ “กำร พิจำรณำสอบสวน” ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ๘๗ ซึ่งตำมมำตรำ ๒ (๑๑) แห่ง ประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ ได้ก ำหนดนิยำมค ำว่ำ “กำรสอบสวน” หมำยควำมถึง กำร รวบรวมพยำนหลักฐำนและกำรด ำเนินกำรทั้งหลำยอื่นตำมบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมำยนี้ซึ่ง พนักงำนสอบสวนได้ท ำไปเกี่ยวกับควำมผิดที่กล่ำวหำ เพื่อที่จะทรำบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ควำมผิด และเพื่อจะเอำตัวผู้กระท ำผิดมำฟ้องลงโทษ จะเห็นได้ว่ำ ค ำว่ำ “กำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนกำรนิติบัญญัติ และค ำว่ำ “กำร สอบสวน” ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนวิธีพิจำรณำ ทำงอำญำ ย่อมมีควำมแตกต่ำงกัน เพรำะธรรมชำติของกำรแสวงหำข้อเท็จจริงที่แตกต่ำงกัน เช่น กำรแสวงหำข้อเท็จจริงในกระบวนกำรนิติบัญญัติมีวัตถุประสงค์เป็นไปเพื่อควบคุมตรวจสอบกำร ด ำเนินงำนของรัฐบำล และเมื่อคณะกรรมำธิกำรได้ด ำเนินกำรพิจำรณำแสวงหำข้อเท็จจริงจนเสร็จสิ้น แล้วจะต้องรำยงำนให้สภำทรำบเพื่อให้สภำได้พิจำรณำและตัดสินใจด ำเนินกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ๘๖ คณะกรรมกำรร่ำงรัฐธรรมนูญ, ควำมมุ่งหมำยและค ำอธิบำยประกอบรำยมำตรำของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐, หน้ำ ๒๒๔. ๘๗ ศำลรัฐธรรมนูญ, ค ำวินิจฉัยที่ ๑๗/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๗ ตุลำคม ๒๕๖๓ เรื่อง ผู้ตรวจกำรแผ่นดินเสนอเรื่องขอให้ศำล พิจำรณำวินิจฉัยตำมรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๒๓๑ (๑) ว่ำ พระรำชบัญญัติค ำสั่งเรียกของคณะกรรมำธิกำรของสภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๕๔ มำตรำ ๕ มำตรำ ๘ และมำตรำ ๑๓ มีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๑๒๙ หรือไม่, หน้ำ ๑๐.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ต่อไป ต่ำงจำกกำรแสวงหำข้อเท็จจริงในกระบวนวิธีพิจำรณำทำงอำญำมีวัตถุประสงค์เพื่อจะเอำตัว ผู้กระท ำผิดมำฟ้องลงโทษ ดังนั้น ตำมหลักกฎหมำยรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย จะบัญญัติอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงด้วยถ้อยค ำว่ำ “พิจำรณำสอบสวน” หรือ “พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ย่อมหำได้กระทบกระเทือนต่อ “กำรด ำรงอยู่ของอ ำนำจในกำร แสวงหำข้อเท็จจริง (Existence of Investigation Power)” และ “ธรรมชำติของอ ำนำจในกำร แสวงหำข้อเท็จจริง (Nature of Investigative Power)” ของคณะกรรมำธิกำรแต่อย่ำงใด ตรำบเท่ำที่ ภำยใต้โครงสร้ำงของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยยังคงมีกำรสถำปนำองค์กรผู้ใช้อ ำนำจ อธิปไตยในทำงนิติบัญญัติอยู่ นอกจำกนี้ อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำ สภำผู้แทนรำษฎร ตำมมำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ จะต้องมีวัตถุประสงค์เป็นไปเพื่อกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และอ ำนำจของฝ่ำยนิติบัญญัติเท่ำนั้น (In Aid of the Legislative Function)๘๘ นั่นคือ กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน แต่ถ้ำเป็น กำรด ำเนินกำรเพื่อแก้ไขปัญหำควำมเดือดร้อนของประชำชน (Redress of Grievance)๘๙ กำร แสวงหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำรจะต้องไม่รุกล้ ำเข้ำไปในเขตแดนที่เป็นเรื่องส่วนตัวของ ปัจเจกชน (Private Affairs of Individual Citizen)๙๐ แต่จะต้องเป็นไปเพื่อตรวจสอบกำรบริหำร รำชกำรแผ่นดินที่ผิดพลำดของรัฐบำลจนท ำให้ประชำชนหรือปัจเจกชนได้รับควำมเดือดร้อนเสียหำย แล้วรำยงำนให้สภำผู้แทนรำษฎรทรำบเพื่อพิจำรณำด ำเนินกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อรัฐบำล อีกทั้งกำร แสวงหำข้อเท็จของคณะกรรมำธิกำรจะต้องไม่ก้ำวล่วงเข้ำไปในปริมณฑลแห่งอ ำนำจตุลำกำร (Invaded the Province of the Judiciary) ๙๑ ดังจะเห็นได้จำกวรรคสี่ของมำตรำ ๑๒๙ ว่ำ “แต่ กำรเรียกเช่นว่ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจใน กระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล” ๔. สรุปผลและอภิปรายผล ประเทศไทยมีกำรปกครองในระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยในระบบรัฐสภำ (Parliamentary System) มีกำรแบ่ง แยกองค์กรผู้ใช้อ ำนำจอธิปไตยออกเป็น ๓ องค์กร ได้แก่ ฝ่ำยนิติบัญญัติ ฝ่ำยบริหำร และฝ่ำยตุลำ กำร องค์กรผู้ใช้อ ำนำจอธิปไตยทั้งสำมฝ่ำยต่ำงมีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในลักษณะกำรตรวจสอบ และถ่วงดุลอ ำนำจ (Check and Balance) ตำมหลักกำรแบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Power) ฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำนอกจำกจะมีอ ำนำจและหน้ำที่ส ำคัญในกำรพิจำรณำจัดท ำกฎหมำยแล้ว ๘๘ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, ปัญหำกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงภำยใต้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐: ศึกษำเปรียบเทียบกำรท ำหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรในประเทศสหรัฐอเมริกำ, หน้ำ ๓๑ – ๓๒. ๘๙ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๓. ๙๐ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๓๒. ๙๑ เรื่องเดียวกัน, หน้ำเดียวกัน.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ยังมีหน้ำที่และอ ำนำจที่ส ำคัญอีกประกำรหนึ่งในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของฝ่ำย บริหำรหรือคณะรัฐมนตรีอีกด้วย ซึ่งกำรควบคุมตรวจสอบกำรด ำเนินงำนของฝ่ำยบริหำรหรือ คณะรัฐมนตรีตำมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มีหลำยวิธี เช่น กำรตั้งกระทู้ถำม กำรอภิปรำยเพื่อลงมติไม่ไว้วำงใจ หรือกำรควบคุมกำรใช้จ่ำยเงินงบประมำณ แผ่นดิน ฯลฯ โดยกำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงผ่ำนกำรตั้งและด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำร สำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรคณะต่ำง ๆ เป็นวิธีกำรหนึ่งที่สภำผู้แทนรำษฎรใช้ในกำรควบคุมกำร บริหำรรำชกำรแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ อย่ำงไรก็ดีแม้ว่ำรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทยฉบับที่ผ่ำนมำจะใช้ถ้อยค ำว่ำ “พิจำรณำสอบสวน” ซึ่งต่ำงจำกรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ใช้ถ้อยค ำว่ำ “พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ก็ตำม แต่ตำม หลักกฎหมำยรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยจะบัญญัติอ ำ นำจของ คณะกรรมำธิกำรในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงด้วยถ้อยค ำใดก็ตำม คณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำ ผู้แทนรำษฎรย่อมมีอ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริง (Investigation Power) เสมอในฐำนะที่ตนที่ ได้รับมอบอ ำนำจนิติบัญญัติเพื่อกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของรัฐบำล ดังนั้น ในกรณีที่คณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรแสวงหำข้อเท็จจริงใน เรื่องใดแล้วพบกำรกระท ำควำมผิดของรัฐมนตรีหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ คณะกรรมำธิกำรไม่สำมำรถ รำยงำนผลกำรแสวงหำข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นแก่หน่วยงำนอื่น เช่น ส ำนักงำนต ำรวจแห่งชำติ ส ำนักงำนอัยกำรสูงสุด ส ำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดิน หรือคณะกรรมกำรป้องกันและปรำบปรำม กำรทุจริตแห่งชำติ เพื่อฟ้องและลงโทษผู้กระท ำควำมผิดได้ หำกแต่จะต้องรำยงำนผลกำรแสวงหำ ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นต่อสภำผู้แทนรำษฎรเพื่อให้สภำผู้แทนรำษฎรได้พิจำรณำและตัดสินใจด ำเนินกำร อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อคณะรัฐมนตรีในฐำนะที่รัฐมนตรีผู้กระท ำควำมผิดเป็นส่วนหนึ่งของ คณะรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินต่อรัฐสภำ หรือในฐำนะที่รัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชำสูงสุดของเจ้ำหน้ำที่ของรัฐผู้กระท ำควำมผิด นอกจำกนี้ ในกรณีที่คณะกรรมำธิกำร สำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรแสวงหำข้อเท็จจริงในเรื่องใดซึ่งเป็นเรื่องร้องเรียนของประชำชนหรือ ปัจเจกชน กำรแสวงหำข้อเท็จของคณะกรรมำธิกำรจะต้องไม่เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ ประชำชนหรือปัจเจกชนฝ่ำยใดฝ่ำยหนึ่ง หำกแต่จะต้องเป็นไปเพื่อตรวจสอบกำรบริหำรรำชกำร แผ่นดินที่ผิดพลำดของรัฐบำลจนท ำให้ประชำชนหรือปัจเจกชนได้รับควำมเดือดร้อนเสียหำย แล้ว รำยงำนให้สภำผู้แทนรำษฎรทรำบเพื่อพิจำรณำด ำเนินกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อรัฐบำล ทั้งนี้ เนื่องจำกกำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงของฝ่ำยนิติบัญญัติเป็นกำรใช้อ ำนำจเฉพำะใน ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงฝ่ำยนิติบัญญัติหรือรัฐสภำกับฝ่ำยบริหำรหรือคณะรัฐมนตรีเท่ำนั้น ตำมหลักกำร แบ่งแยกอ ำนำจ (Separation of Power) และหลักกำรตรวจสอบและถ่วงดุลอ ำนำจ (Check and Balance)
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๕. ข้อเสนอแนะ ๕.๑ ควรมีกำรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎรเพื่อก ำหนดนิยำมค ำว่ำ “กำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง” ว่ำหมำยถึงกำรกระท ำเช่นไรให้ชัดเจน อย่ำงในกรณีของกำร ก ำหนดนิยำมค ำว่ำ “กำรสอบสวน” ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ ๕.๒ ควรมีกำรก ำหนดแนวทำงปฏิบัติหรือขอบเขตกำรพิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงเพื่อ ป้องกันมิให้คณะกรรมำธิกำรใช้อ ำนำจในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจำก วัตถุประสงค์ในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินของรัฐบำล นำยปิติภัทร อัจฉรำวรรณ นิติกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ส ำนักกรรมำธิกำร ๒
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร การเสนอเรื่องต่อศาลปกครองของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ ก ำหนดให้ สภำผู้แทนรำษฎรมีอ ำนำจเลือกสมำชิกของสภำผู้แทนรำษฎรตั้งเป็นคณะกรรมำธิกำรสำมัญ เพื่อกระท ำกิจกำร สอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ อันอยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของ สภำผู้แทนรำษฎร เพื่อประโยชน์ในกำรด ำเนินงำนของสภำผู้แทนรำษฎรทั้งด้ำนกำรตรำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน กำรให้ควำมเห็นชอบเรื่องส ำคัญของประเทศเป็นไปด้วย ควำมละเอียดรอบคอบ โดยก ำหนดให้สภำผู้แทนรำษฎรตั้งคณะกรรมำธิกำรสำมัญขึ้น ๓๕ คณะ หนึ่งในนั้นคือ “คณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน” มีหน้ำที่และอ ำนำจกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระและองค์กรอัยกำร กำรด ำเนินงำนของ รัฐวิสำหกิจ กำรบริหำรจัดกำรขององค์กำรมหำชน และกองทุนต่ำง ๆ รวมทั้งตรวจสอบรำยงำน ตำมรัฐธรรมนูญและกฎหมำยที่เสนอต่อสภำผู้แทนรำษฎร จำกขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กร อัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ได้เล็งเห็นถึงควำมส ำคัญของกำรด ำเนินงำน ด้ำนกฎหมำยที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงำนขององค์กรอิสระ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกรณีกำรตรวจสอบ “กฎหมำยที่ผ่ำนควำมเห็นชอบจำกรัฐสภำ” และ “มีผลบังคับใช้แล้ว” รวมถึงกฎหมำยล ำดับรอง ที่ออกโดยอำศัยอ ำนำจของกฎหมำยดังกล่ำวเนื่องจำกกฎหมำยที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นกรอบ กำรบริหำรงำนของรัฐ กำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของรัฐและเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ส่งผลกระทบต่อ หน้ำที่ สิทธิเสรีภำพของประชำชน รวมถึงมีอิทธิพลต่อกำรด ำเนินกิจกำรขององค์กรต่ำง ๆ ในสังคม ด้วย จำกควำมส ำคัญดังกล่ำว จึงได้ศึกษำบทบำท หน้ำที่และอ ำนำจของ “ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน” ที่เป็น หนึ่งในองค์กรอิสระตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ในประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับกำรเสนอปัญหำควำมชอบด้วยกฎหมำยต่อศำลปกครองเพื่อตรวจสอบและแก้ไขกฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำของฝ่ำยบริหำรอันส่งผลกระทบให้เกิดควำมเดือดร้อนเสียหำยแก่ประชำชน ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทำงในกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน สภำผู้ทนรำษฎร ชุดที่ ๒๖ ตลอดจนเป็นฐำนข้อมูลและแนวทำงในกำรเสนอควำมเห็นทำงกฎหมำยเพื่อประกอบกำรพิจำรณำ ของกลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ต่อไป
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๒. กฎหมาย กฎ ระเบียบ และยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๒ องค์กรอิสระ “มำตรำ ๒๓๐ ผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีหน้ำที่และอ ำนำจ ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอแนะต่อหน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีกำรปรับปรุงกฎหมำย กฎ ข้อบังคับระเบียบ หรือค ำสั่ง หรือขั้นตอนกำรปฏิบัติงำนใด ๆ บรรดำที่ก่อให้เกิดควำมเดือดร้อนหรือ ควำมไม่เป็นธรรมแก่ประชำชน หรือเป็นภำระแก่ประชำชนโดยไม่จ ำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ (๒) แสวงหำข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่ำมีผู้ได้รับควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมอัน เนื่องมำจำกกำรไม่ปฏิบัติตำมกฎหมำยหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ำที่และอ ำนำจตำมกฎหมำยของ หน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับ ควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมนั้น (๓) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรำบถึงกำรที่หน่วยงำนของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วน ตำมหมวด ๕ หน้ำที่ของรัฐ ในกรณีที่หน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ด ำเนินกำรตำมข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกำร แผ่นดินตำม (๑) หรือ (๒) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทรำบ เพื่อพิจำรณำสั่งกำรตำมที่เห็นสมควรต่อไป ในกำรด ำเนินกำรตำม (๑) หรือ (๒) หำกเป็นกรณีที่เกี่ยวกับกำรละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินส่งเรื่องให้คณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติด ำเนินกำรต่อไป” “มำตรำ ๒๓๑ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมมำตรำ ๒๓๐ ผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจเสนอเรื่องต่อศำล รัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองได้เมื่อเห็นว่ำมีกรณี ดังต่อไปนี้ (๒) กฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใดของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ มีปัญหำ เกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครองและให้ ศำลปกครองพิจำรณำวินิจฉัยโดยไม่ชักช้ำ ทั้งนี้ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรจัดตั้งศำลปกครองและวิธี พิจำรณำคดีปกครอง” ๒.๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ “มำตรำ ๒๒ ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน มีหน้ำที่และอ ำนำจดังต่อไปนี้ (๑) เสนอแนะต่อหน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีกำรปรับปรุงกฎหมำย กฎ หรือ ค ำสั่ง หรือขั้นตอนกำรปฏิบัติงำนใด ๆ บรรดำที่ก่อให้เกิดควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรม แก่ประชำชน หรือเป็นภำระแก่ประชำชนโดยไม่จ ำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ (๒) แสวงหำข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่ำมีผู้ได้รับควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมอัน เนื่องมำจำกกำรไม่ปฏิบัติตำมกฎหมำยหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ำที่และอ ำนำจตำมกฎหมำยของ หน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับ ควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมนั้น (๓) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรำบถึงกำรที่หน่วยงำนของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วนตำมหมวด ๕ หน้ำที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ”
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร “มำตรำ ๒๓ ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมมำตรำ ๒๒ (๑) (๒) หรือ (๓) ผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจ เสนอเรื่องต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองได้เมื่อเห็นว่ำมีกรณี ดังต่อไปนี้ (๒) กฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใดของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐมีปัญหำ เกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครอง และให้ศำลปกครองพิจำรณำวินิจฉัยโดยไม่ชักช้ำ ทั้งนี้ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรจัดตั้งศำลปกครอง และวิธีพิจำรณำคดีปกครอง” ๒.๓ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ “มำตรำ ๙ ศำลปกครองมีอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำหรือมีค ำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) คดีพิพำทเกี่ยวกับกำรที่หน่วยงำนทำงปกครองหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐกระท ำกำร โดยไม่ชอบด้วยกฎหมำยไม่ว่ำจะเป็นกำรออกกฎ ค ำสั่งหรือกำรกระท ำอื่นใดเนื่องจำกกระท ำโดยไม่มี อ ำนำจหรือนอกเหนืออ ำนำจหน้ำที่หรือไม่ถูกต้องตำมกฎหมำย หรือโดยไม่ถูกต้องตำมรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีกำรอันเป็นสำระส ำคัญที่ก ำหนดไว้ส ำหรับกำรกระท ำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือ มีลักษณะเป็นกำรเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นกำรสร้ำงขั้นตอนโดยไม่จ ำเป็นหรือ สร้ำงภำระให้เกิดกับประชำชนเกินสมควร หรือเป็นกำรใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ” “มำตรำ ๔๓ ในกรณีที่ผู้ตรวจกำรแผ่นดินเห็นว่ำกฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใดของ หน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐตำมกฎหมำยประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน มีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำล ปกครองและให้ศำลปกครองพิจำรณำวินิจฉัยโดยไม่ชักช้ำ ในกำรเสนอควำมเห็นดังกล่ำวผู้ตรวจกำร แผ่นดินมีสิทธิและหน้ำที่เสมือนหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีตำมมำตรำ ๔๒” ๓. บทวิเคราะห์ ๓.๑ บทบาท หน้าที่และอ านาจของ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ในการเสนอเรื่องต่อศาลปกครอง ค ำว่ำ ‘Ombudsman’ (ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน) มีที่มำจำกภำษำสวีเดน แปลว่ำ “เจ้ำหน้ำที่ หรือตัวแทนของประชำชนหรือกลุ่มชน” องค์กรผู้ตรวจกำรแผ่นดินสมัยใหม่ มีรำกฐำน มำจำกค ำว่ำ Justitie ombudsman (Justice Ombudsman) ซึ่งมีกำรก่อตั้งตำมรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรสวีเดน ค.ศ. ๑๘๐๙ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบรัฐบำลและตรวจตรำองค์กรฝ่ำย บริหำรของภำครัฐ๙๒ ประเทศไทยได้รับแนวคิดของผู้ตรวจกำรแผ่นดินจำกรำชอำณำจักรสวีเดนเข้ำมำ แต่ในระยะแรกเป็นเพียงควำมเห็นและข้อเสนอในทำงวิชำกำรที่ยังไม่มีกำรด ำเนินกำรอย่ำงเป็น รูปธรรม จนเมื่อมีกำรประกำศใช้รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ ก ำหนด บทบัญญัติ มำตรำ ๑๙๖ - ๑๙๘ และพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ของรัฐสภำ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงมีกำรจัดตั้ง "ผู้ตรวจกำรแผ่นดินของรัฐสภำ" เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ๙๒ กนกขวัญ อนันตกูล, ‘บทบำทและประสิทธิผลขององค์กรผู้ตรวจกำรแผ่นดิน’ (๒๕๕๖) ๒ วำรสำรผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ๙๐, ๙๐.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ต่อมำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ หมวด ๑๑ ส่วนที่ ๑ มำตรำ ๒๔๒ - ๒๔๔ ประกอบบทเฉพำะกำลมำตรำ ๒๙๙ วรรคหนึ่ง ก ำหนดให้มี "ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน" จ ำนวน ๓ คน และให้ "ผู้ตรวจกำรแผ่นดินของรัฐสภำ" ซึ่งด ำรงต ำแหน่งอยู่ในวันที่ประกำศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (๒๔ สิงหำคมพ.ศ. ๒๕๕๐) ด ำรงต ำแหน่งเป็น "ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน"๙๓ จำกกำรพิจำรณำศึกษำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยทั้ง ๓ ฉบับ จึงสรุปบทบำท หน้ำที่และอ ำนำจของผู้ตรวจกำรแผ่นดินในกำรเสนอเรื่องต่อศำลปกครอง ดังนี้ อ านาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่บัญญัติให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีหน้ำที่ในกำรตรวจสอบควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกำรกระท ำของ หน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ปรำกฏตำมมำตรำ ๑๙๘ “มำตรำ ๑๙๘ ในกรณีที่ผู้ตรวจกำรแผ่นดินของรัฐสภำเห็นว่ำบทบัญญัติแห่ง กฎหมำย กฎ ข้อบังคับ หรือกำรกระท ำใดของบุคคลใดตำมมำตรำ ๑๙๗ (๑) มีปัญหำเกี่ยวกับ ควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินของรัฐสภำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำล รัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองเพื่อพิจำรณำวินิจฉัย ทั้งนี้ ตำมหลักเกณฑ์ว่ำด้วยวิธีพิจำรณำของ ศำลรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมำยว่ำด้วยวิธีพิจำรณำของศำลปกครอง แล้วแต่กรณี” แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมีปัญหำในกำรด ำเนินกำรของผู้ตรวจกำรแผ่นดิน เนื่องมำจำก ควำมไม่ชัดเจนของกฎหมำยที่จะพิจำรณำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือ ศำลปกครอง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมิได้ก ำหนดขอบเขตอ ำนำจระหว่ำงศำลรัฐธรรมนูญและศำล ปกครอง รวมทั้งขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมำย กฎ ข้อบังคับ ไว้อย่ำงชัดเจน ในระยะเริ่มแรกจึง เกิดปัญหำในทำงปฏิบัติระหว่ำงศำลรัฐธรรมนูญและศำลปกครองว่ำองค์กรใดจะมีอ ำนำจตรวจสอบ ควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหรือข้อบังคับ อ านาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ ได้เพิ่มอ ำนำจให้ผู้ตรวจกำร แผ่นดิน มีกำรยกระดับ เป็น "องค์กรอิสระ" ที่มีควำมเป็นอิสระทั้งในกำรบริหำรงำนและ กำรงบประมำณ มีกำรแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ โดยก ำหนดอ ำนำจหน้ำที่ของผู้ตรวจกำรแผ่นดินส ำหรับกำรตรวจสอบปัญหำควำมชอบด้วย รัฐธรรมนูญเพื่อเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองไว้ชัดเจนมำกขึ้น ตำมที่บัญญัติไว้ในมำตรำ ๒๔๕ “มำตรำ ๒๔๕ ผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจเสนอเรื่องต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำล ปกครองได้เมื่อเห็นว่ำมีกรณีดังต่อไปนี้ (๒) กฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใดของบุคคลใดตำมมำตรำ ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหำ เกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครอง และ ๙๓ ส ำนักงำนผู้ตรวจกำรแผ่นดิน, ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน สองทศวรรษแห่งกำรพัฒนำและท้ำทำย (พิมพ์ครั้งที่ ๑, ๒๕๖๓) น.๑๖๐.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ให้ศำลปกครองพิจำรณำวินิจฉัยโดยไม่ชักช้ำ ทั้งนี้ ตำมพระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งศำลปกครอง และวิธีพิจำรณำคดีปกครอง” หน้าที่และอ านาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ เดิมก ำหนดให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจเสนอเรื่องต่อศำล รัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองได้เมื่อเห็นว่ำมีกรณีที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมำยใดมีปัญหำเกี่ยวกับ ควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอ ำนำจพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้ตรวจกำรแผ่นดิน แม้ว่ำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๒๓๑ จะเป็นบทบัญญัติ ที่ก ำหนดให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีหน้ำที่และอ ำนำจตรวจสอบกำรใช้อ ำนำจรัฐ ซึ่งมีเจตนำรมณ์ ทำงกฎหมำยเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับอื่นข้ำงต้น แต่ก็มีควำมแตกต่ำงในบำงประกำร กล่ำวคือ มำตรำ ๒๓๑ มีกำรก ำหนดถ้อยค ำในบทบัญญัติว่ำ "ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมมำตรำ ๒๓๐ ผู้ตรวจกำร แผ่นดินอำจเสนอเรื่องต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองได้เมื่อเห็นว่ำมีกรณี ดังต่อไปนี้...” ทั้งนี้ พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ มำตรำ ๒๓ ยังได้ บัญญัติสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ จึงเห็นได้ว่ำ บทบัญญัติดังกล่ำวไม่ได้ให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีอ ำนำจตรวจสอบ ควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้โดยเอกเทศ หำกแต่ให้มีอ ำนำจตำมมำตรำนี้เฉพำะเมื่อได้มีกำรปฏิบัติ หน้ำที่ตำมมำตรำ ๒๓๐ แล้ว พบว่ำมีปัญหำเกี่ยวกับบทบัญญัติแห่งกฎหมำย กฎ ค ำสั่ง หรือ กำรกระท ำของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐใดไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือเป็นเพรำะ กฎหมำยที่มีอยู่แล้วนั้นไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ๙๔ ๓.๒ หลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อศาลปกครอง ๓.๒.๑ แนวทางในการพิจารณาเสนอเรื่องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจกำรแผ่นดินได้วำงแนวทำงในกำรใช้ดุลพินิจเสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อ ศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองเพื่อพิจำรณำวินิจฉัยปัญหำควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย ปรำกฏตำมแนวค ำวินิจฉัยผู้ตรวจกำรแผ่นดินที่ ๓๑/๒๕๖๑ และแนวค ำวินิจฉัยผู้ตรวจกำรแผ่นดินที่ ๑๓/๒๕๖๐ โดยจะต้องมีกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมมำตรำ ๒๓๐ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ และพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ มำตรำ ๒๒ (๑) (๒) หรือ (๓) เสียก่อน หมำยควำมว่ำ ประชำชนหรือผู้ร้องเรียนจะต้องได้รับควำม เดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมจำกเหตุใดเหตุหนึ่ง และผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีควำมเห็นเช่นนั้นมำก่อน แล้ว หำกผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีควำมเห็นต่อไปว่ำควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมเกิดจำก บทบัญญัติของกฎหมำย กฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใดของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ๙๔ ควำมมุ่งหมำยและค ำอธิบำยประกอบรำยมำตรำของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ น.๔๐๒.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๖๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย ผู้ตรวจกำรแผ่นดินจึงจะมีหน้ำที่และอ ำนำจ เสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครอง เพื่อพิจำรณำวินิจฉัยต่อไปได้๙๕ ในกำรเสนอเรื่องต่อศำลปกครองโดยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน เนื่องจำก มำตรำ ๒๓๑ ใช้ถ้อยค ำว่ำ “ผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจเสนอเรื่องต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองได้เมื่อเห็นว่ำ มีกรณี ดังต่อไปนี้” จึงมีข้อสังเกตว่ำ ผู้ตรวจกำรแผ่นดินก็อำจไม่ต้องเสนอเรื่องต่อศำลปกครองเฉพำะ แต่กรณีที่มีผู้ร้องเสมอไปหำกได้มีกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมมำตรำ ๒๓๐ แล้ว ๓.๒.๒ สิทธิในการฟ้องคดี พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๖๑ มำตรำ ๔๓ ก ำหนดให้ "...ผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีสิทธิเสมือนหนึ่ง เป็นผู้ฟ้องคดี"เมื่อพิจำรณำเปรียบเทียบกับผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศำลปกครองตำมนัยมำตรำ ๔๒ กำรเสนอเรื่องต่อศำลปกครองตำมอ ำนำจหน้ำที่ของผู้ตรวจกำรแผ่นดินนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ตรวจกำรแผ่นดินย่อมไม่ใช่ผู้ได้รับควำมเดือดร้อนหรือเสียหำยโดยตรง หรืออำจจะเดือดร้อนหรือ เสียหำยโดยมิอำจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องมำจำกกำรกระท ำหรือกำรงดเว้นกำรกระท ำของหน่วยงำนของ รัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐโดยตรงได้อย่ำงแน่แท้๙๖ เมื่อวิเครำะห์ถึงหน้ำที่และอ ำนำจของผู้ตรวจกำรแผ่นดินประกอบกับเจตนำรมณ์ของ กฎหมำย เห็นว่ำ กำรที่กฎหมำยก ำหนดสถำนะผู้ตรวจกำรแผ่นดินให้มี "สิทธิและหน้ำที่เสมือนหนึ่ง เป็นผู้ฟ้องคดีปกครอง" เป็นกำรก ำหนดให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินเป็น "ผู้มีสิทธิฟ้องคดีปกครองโดยผลของ กฎหมำย" ดังนั้นผู้ตรวจกำรแผ่นดินจึงมิได้เป็นผู้ได้รับควำมเดือดร้อนเสียหำยตำมควำมเป็นจริง แต่เป็นกำรก ำหนดให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินสำมำรถมีสิทธิและหน้ำที่เช่นเดียวกับผู้ฟ้องคดีปกครอง เพื่อประโยชน์ในกำรด ำเนินกระบวนพิจำรณำคดีปกครองเท่ำนั้น๙๗ ๓.๒.๓ แนวทางและข้อจ ากัดในการพิจารณาค าฟ้อง๙๘ของศาลปกครอง (๑) ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายล าดับรอง ตัวอย่ำงของค ำพิพำกษำศำลปกครองที่ได้วินิจฉัยในประเด็นของกฎ ค ำสั่ง หรือ กำรกระท ำอื่นใดมีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย สรุปได้ดังนี้ ๙๕ ส ำนักกฎหมำยและคดี ส ำนักงำนผู้ตรวจกำรแผ่นดิน, ‘ค ำวินิจฉัยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ปี พ.ศ.๒๕๖๐ – พ.ศ. ๒๕๖๑’ น. ๓๓ ๙๖ กนกรัตน์ ปัญญำนุรักษ์วงศ์, ‘รำยงำนกำรศึกษำควำมเป็นผู้ทรงสิทธิของผู้ตรวจกำรแผ่นดินในกำรฟ้องคดีต่อศำล ปกครอง’ (รำยงำนผลงำนวิชำกำรเสนอส ำนักงำนผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ๒๕๖๔) ๖๒ ๙๗ ควำมเห็นของศำสตรำจำรย์พิเศษ ดร.ชำญชัย แสวงศักดิ์ในกำรสัมมนำทำงวิชำกำร เรื่อง “ศำลปกครองกับกำรอ ำนวยควำม ยุติธรรมทำงปกครอง และกำรเสริมสร้ำงธรรมำภิบำลในสังคม ครั้งที่ ๑๕” จัดโดยส ำนักงำนศำลปกครอง ๑๙ กันยำยน ๒๕๖๕ ส ำนักงำนศำลปกครอง กรุงเทพมหำนคร อ้ำงถึงใน ‘ข้อสังเกตและมุมมองจำกกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และอ ำนำจของผู้ตรวจกำร แผ่นดิน’ (๒๕๖๕) ๒ วำรสำรผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ๒๑, ๓๐. ๙๘ ในหัวข้อนี้ จะวิเครำะห์ถึงแนวทำงและข้อจ ำกัดโดยใช้ค ำว่ำ “ค ำฟ้อง” แทนค ำว่ำ “กำรเสนอเรื่องต่อศำล”
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ค าพิพากษาศาลปกครองกลางที่ ๑๙๖๑/๒๕๕๖ ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องว่ำระเบียบคณะกรรมกำรปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เรื่อง กำรให้ควำมยินยอมในกำรน ำ ทรัพยำกรธรรมชำติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตำมกฎหมำยอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นกำรออก ระเบียบนอกเหนืออ ำนำจที่กฎหมำยแม่บทให้อ ำนำจไว้ จึงเป็น “กฎ” ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย ขอให้ศำลเพิกถอนระเบียบดังกล่ำว ซึ่งศำลปกครองกลำงเห็นว่ำ ระเบียบดังกล่ำวมีผลใช้บังคับเป็นกำรทั่วไปไม่มุ่งหมำย ให้ใช้บังคับกับกรณีใดหรือบุคคลใดเป็นกำรเฉพำะ จึงมีลักษณะเป็นกฎ ได้มีค ำพิพำกษำให้เพิกถอน ระเบียบฯ และพิจำรณำสถำนะของผู้ตรวจกำรแผ่นดินในฐำนะเป็นผู้ฟ้องคดีว่ำ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิ ฟ้องคดีต่อศำลปกครองตำมมำตรำ ๒๔๕ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ ประกอบกับพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ มำตรำ ๑๔ (๒) และพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มำตรำ ๔๓ เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับกำรที่เจ้ำหน้ำที่ของรัฐออกกฎโดยไม่ชอบด้วยกฎหมำยตำมมำตรำ ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระรำชบัญญัติเดียวกันและกำรฟ้องคดีนี้ศำลเห็นว่ำเป็นกำรฟ้องคดีปกครอง เกี่ยวกับกำรคุ้มครองประโยชน์สำธำรณะที่จะยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้ ตำมมำตรำ ๕๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำว ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิยื่นฟ้องคดีนี้คดีนี้ ต่อมำศำลปกครองสูงสุดก็ได้มีค ำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุดที่ อ.๓ ๑๑/๒๕๖๐ ยืนตำมค ำพิพำกษำศำลปกครองกลำงว่ำ เหตุผลในกำรออกระเบียบที่พิพำทมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อ กำรปรับปรุงทรัพยำกรและปัจจัยกำรผลิตให้เกิดผลดียิ่งขึ้น ตำมควำมหมำยของกำรปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม จึงเป็นกำรออกระเบียบโดยไม่มีอ ำนำจหรือนอกเหนืออ ำนำจตำมที่กฎหมำยบัญญัติไว้ พิพำกษำให้เพิกถอนระเบียบพิพำท เมื่อพิจำรณำค ำพิพำกษำศำลปกครองแล้วอำจสรุปได้ว่ำ ในกำรรับค ำฟ้องที่เสนอ โดยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ศำลปกครองมีขอบเขตในกำรพิจำรณำว่ำเป็น "กฎ" ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็น "กฎ" ที่ก่อให้เกิดควำมเดือดร้อนหรือ เสียหำยต่อประชำชนหรือไม่เป็นส ำคัญ อีกทั้งพิจำรณำถึงบุคคลผู้มีอ ำนำจในกำรออกกฎ เป็นเจ้ำหน้ำที่ของรัฐหรือหน่วยงำนของรัฐตำมพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำร แผ่นดินหรือไม่ และกำรเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำลปกครองนั้นเป็นกำรคุ้มครองประโยชน์ สำธำรณะ กำรกระท ำของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่ก่อให้เกิดควำมเดือดร้อนเสียหำย ต่อประชำชนหรือไม่ ประกอบกัน (๒) ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายในการกระท าของหน่วยงาน ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตัวอย่ำงของค ำพิพำกษำศำลปกครองที่ได้วินิจฉัยในประเด็นว่ำผู้ถูกฟ้องเป็น หน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐหรือไม่ สรุปได้ดังนี้ ค าสั่งศาลปกครองกลางที่ ๒๒๗๒/๒๕๕๕ ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องว่ำ กำรด ำเนินกำรจัดให้มีกำรประมูลคลื่นควำมถี่ของผู้ถูกฟ้องคดีตำมประกำศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และ วิธีกำรอนุญำตให้ใช้คลื่นควำมถี่ส ำหรับกิจกำรโทรคมนำคมเคลื่อนที่สำกล ผ่ำน 2.1 GHz พ.ศ. ๒๕๕๕
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มีปัญหำควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ เป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับ กำรที่หน่วยงำนทำงปกครองกระท ำกำรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมำยไม่ว่ำจะเป็นกำรออกกฎ ค ำสั่ง หรือ กำรกระท ำอื่นใด ซึ่งอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลปกครอง ศำลปกครองเห็นว่ำ มูลเหตุแห่ง กำรฟ้องคดีเป็นกำรกระท ำที่เป็นอ ำนำจหน้ำที่ของ กสทช. แต่เนื่องจำก กสทช. เป็นองค์กรของรัฐ ที่เป็นอิสระ และมิได้เป็นข้ำรำชกำรพนักงำน หรือลูกจ้ำงของหน่วยรำชกำร หน่วยงำนของรัฐ รัฐวิสำหกิจ หรือรำชกำรส่วนท้องถิ่น กสทช. จึงไม่ใช่บุคคลที่ผู้ฟ้องคดีมีอ ำนำจหน้ำที่พิจำรณำและสอบสวนหำ ข้อเท็จจริงตำมค ำร้องเรียนพร้อมเสนอควำมเห็นต่อศำลปกครองตำมมำตรำ ๒๔๔ วรรคหนึ่ง (๑) (ก) และมำตรำ ๒๔๕ (๒) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ ประกอบกับ มำตรำ ๑๓ วรรคหนึ่ง (๑) (ก) และมำตรำ ๑๔ (๒) แห่ง ๕๘ พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วย ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๒๒ แม้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินจะมีสิทธิและหน้ำที่เสมือนหนึ่งเป็นผู้ฟ้องคดี และ ค ำว่ำ "เจ้ำหน้ำที่ของรัฐ" ตำมนัยมำตรำ ๔๓ แห่งพระรำชบัญญัติฉบับเดียวกันจะหมำยรวมถึง กสทช. ด้วยก็ตำม แต่ศำลไม่อำจตีควำมให้ขัดหรือแย้งกับมำตรำ ๒๔๔ วรรคหนึ่ง (๑) (ก) ของรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐๙๙ ได้ ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้มีสิทธิเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็น ต่อศำลปกครอง ศำลปกครองชั้นต้นมีค ำสั่งไม่รับค ำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นและค ำขอให้ศำล ก ำหนดมำตรกำรหรือวิธีกำรคุ้มครองเพื่อบรรเทำทุกข์ชั่วครำวก่อนกำรพิพำกษำของผู้ฟ้องคดี ไว้พิจำรณำและให้จ ำหน่ำยคดีออกจำกสำรบบควำม ค าสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๘๖๑/๒๕๕๖ ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน (ผู้ฟ้องคดี) อุทธรณ์ค ำสั่ง ของศำลปกครองกลำงในคดีหมำยเลขแดงที่ ๒๒๗๒/๒๕๕๕ ศำลปกครองสูงสุดพิจำรณำแล้วเห็นว่ำ กำรที่รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ บัญญัติถึงอ ำนำจหน้ำที่ของผู้ฟ้องคดีไว้ แคบกว่ำพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และระเบียบของที่ ประชุมใหญ่ตุลำกำรในศำลปกครองสูงสุดว่ำด้วยวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ต้องตีควำมให้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย ในฐำนะเป็นกฎหมำยที่มีล ำดับศักดิ์สูงกว่ำ ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้มีสิทธิเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำลปกครองตำมมำตรำ ๒๔๕ แห่งรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ ประกอบกับมำตรำ ๑๔ (๒) แห่งพระรำชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิและหน้ำที่เสมือนเป็น ผู้มีสิทธิฟ้องคดีตำมมำตรำ ๔๒ ประกอบมำตรำ ๔๓ แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและ วิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศำลปกครองสูงสุดมีค ำสั่งยืนตำมค ำสั่งของศำลปกครองชั้นต้น ๓.๓ การด าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ได้เปิดช่องให้ผู้ตรวจกำร แผ่นดินสำมำรถด ำเนินกำรเชิงรุก โดยกำรยกประเด็นสำธำรณะหรือเรื่องร้องเรียนขึ้นพิจำรณำเองโดย ไม่มีผู้ร้องเรียน (Own-motion power) เพื่อใช้แก้ไขปัญหำควำมเดือดร้อนของประชำชน รวมถึง ๙๙ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ มำตรำ ๒๔๔ ผู้ตรวจกำรแผ่นดินมีอ ำนำจหน้ำที่ ดังต่อไปนี้ (๑) พิจำรณำและสอบสวนหำข้อเท็จจริงตำมค ำร้องเรียนในกรณี (ก) กำรไม่ปฏิบัติตำมกฎหมำย หรือปฏิบัตินอกเหนืออ ำนำจหน้ำที่ตำมกฎหมำยของข้ำรำชกำร พนักงำน หรือลูกจ้ำง ของหน่วยรำชกำร หน่วยงำนของรัฐ หรือรัฐวิสำหกิจ หรือรำชกำรส่วนท้องถิ่น
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรคุ้มครองสิทธิหรือประโยชน์สำธำรณะได้ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหำของระบบบริหำรรำชกำรแผ่นดิน และทุกข์ร้อนของประชำชนได้ที่ต้นเหตุเช่นเดียวกับสถำบันผู้ตรวจกำรแผ่นดินในต่ำงประเทศ๑๐๐ แต่กำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนก็เป็นบทบำทหน้ำที่ของผู้ตรวจกำรแผ่นดินที่ส ำคัญ จำกกำรรวบรวมผล กำรด ำเนินงำนในกำรพิจำรณำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำลปกครองตำมมำตรำ ๒๓ (๒) พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ปรำกฏตำมรำยงำนประจ ำปีของผู้ตรวจกำรแผ่นดิน สรุปผลได้ดังนี้ ๑. ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้รับเรื่องร้องเรียนจ ำนวน ๓๓ เรื่อง ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ได้พิจำรณำแล้วไม่เสนอเรื่องต่อศำลปกครองทั้ง ๓๓ เรื่อง ๒. ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีกฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่น ใดของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐมีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย จ ำนวน ๒๗ เรื่อง ไม่มีกำรเสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครอง ผู้ตรวจกำรแผ่นดินยุติ กำรพิจำรณำ จ ำนวน ๒๗ เรื่อง เนื่องจำกไม่เป็นไปตำมนัยของมำตรำ ๒๓ (๒) ๓. ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีกฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใด ของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐมีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย จ ำนวน ๓๔ เรื่อง ผู้ตรวจกำรแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครอง จ ำนวน ๑ เรื่อง ยุติกำรพิจำรณำ จ ำนวน ๓๓ เรื่อง ๔. ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีกฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใด ของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐมีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย จ ำนวน ๔๖ เรื่อง เสนอเรื่องพร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครอง จ ำนวน ๓ เรื่อง ยุติกำรพิจำรณำ จ ำนวน ๔๓ เรื่อง ทั้งนี้ ในกำรยุติกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนโดยไม่เสนอควำมเห็นต่อศำลปกครอง เป็นกำรวินิจฉัยโดยอำศัยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ประกอบกับพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ ๔. บทสรุปและอภิปรายผล เมื่อเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย ทั้ง ๓ ฉบับ ที่ได้กล่ำวมำข้ำงต้น พบว่ำรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินของ รัฐสภำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นต่อศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครองไว้ โดยบัญญัติถ้อยค ำรวม ประเด็นในมำตรำเดียวกัน ไม่ได้แยกชัดเจนว่ำเรื่องใดส่งศำลรัฐธรรมนูญ เรื่องใดส่งศำลปกครอง แต่รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๕๐ มีกำรบัญญัติแยกอนุมำตรำ (๑) (๒) ๑๐๐ เกรียงไกร เจียรประดิษฐ์, ‘บทบำทเชิงรุกของผู้ตรวจกำรแผ่นดินประเทศไทยในกำรตรวจสอบกำรใช้อ ำนำจรัฐ’ (๒๕๖๔) ๔วำรสำรสังคมศำสตร์และมำนุษยวิทยำเชิงพุทธ ๑๒๖, ๑๒๙.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ไว้ชัดเจนว่ำเรื่องที่มีลักษณะใดให้ส่งเรื่องไปยังศำลรัฐธรรมนูญหรือศำลปกครอง ซึ่งในรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ก็ได้บัญญัติแยกอนุมำตรำไว้เช่นเดียวกัน เมื่อพิจำรณำ บทบัญญัติเรื่องหน้ำที่และอ ำนำจของผู้ตรวจกำรแผ่นดินที่ก ำหนดในรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ และ พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบกับค ำพิพำกษำศำลปกครอง จึงสรุปองค์ประกอบในกำรพิจำรณำเรื่องใด ๆ เพื่อเสนอเรื่อง พร้อมด้วยควำมเห็นต่อศำลปกครองดังนี้ (๑) เป็น “กฎ” ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ก่อให้เกิดควำมเดือดร้อนหรือควำมไม่เป็นธรรมแก่ประชำชน (๒) บุคคลผู้มีอ ำนำจในกำรออกกฎ หรือค ำสั่งทำงปกครอง เป็นเจ้ำหน้ำที่ของรัฐหรือ หน่วยงำนของรัฐตำมพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยผู้ตรวจกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓) เป็นกำรเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นเพื่อเป็นกำรคุ้มครองประโยชน์สำธำรณะหรือ มีผลกระทบต่อประชำชนโดยส่วนรวม เพื่อให้ศำลปกครองพิจำรณำวินิจฉัยกำรกระท ำของหน่วยงำน ของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐดังกล่ำว จำกกำรศึกษำแนวทำงตำมค ำพิพำกษำของศำลปกครองและศำลปกครองสูงสุด กำรพิจำรณำเรื่องที่เสนอโดยผู้ตรวจกำรแผ่นดินนั้น ศำลปกครองไม่ได้พิจำรณำถึงเงื่อนไขและ หลักเกณฑ์ของควำมเป็นผู้ทรงสิทธิของผู้ตรวจกำรแผ่นดินเป็นส ำคัญ แต่พิจำรณำว่ำเรื่องดังกล่ำวเป็น กรณีที่กฎ ค ำสั่ง หรือกำรกระท ำอื่นใดของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐมีปัญหำเกี่ยวกับ ควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำย (ค ำพิพำกษำศำลปกครองกลำงที่ ๑๙๖๑/๒๕๕๖) รวมทั้ง พิจำรณำไปถึงสถำนะของผู้ถูกร้องเรียนหรือผู้ถูกฟ้องคดีในกำรออกกฎหรือค ำสั่งว่ำเป็นบุคคลที่อยู่ใน หน้ำที่และอ ำนำจของผู้ตรวจกำรแผ่นดินที่จะรับไว้พิจำรณำได้หรือไม่และน ำเงื่อนไขนี้มำเป็นเหตุ ในกำรไม่รับค ำร้องของผู้ตรวจกำรแผ่นดินไว้พิจำรณำ (ค ำสั่งศำลปกครองกลำงที่ ๒๒๗๒/๒๕๕๕ และ ค ำสั่งศำลปกครองสูงสุดที่ ๘๖๑/๒๕๕๖) อย่ำงไรก็ตำม หลักควำมเป็นผู้ทรงสิทธิของผู้ตรวจกำรแผ่นดินก็เป็นปัจจัยประกำรหนึ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อกำรด ำเนินงำนภำยใต้ขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของผู้ตรวจกำรแผ่นดิน โดยท ำให้ คดีพิพำทอำจมีผู้มีสิทธิฟ้องคดี ๒ ฝ่ำย คือ ผู้ทรงสิทธิที่แท้จริงซึ่งมีสิทธิฟ้องคดีอยู่แล้วและผู้ตรวจกำร แผ่นดิน ซึ่งกำรยื่นฟ้องหรือกำรเสนอเรื่องต่อศำลปกครองของทั้งสองอำจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่ำงกัน เช่น ผู้ทรงสิทธิที่แท้จริงมุ่งหมำยจะได้รับกำรเยียวยำควำมเสียหำย หำกเกิดกำรถอนฟ้อง กำรแสวงหำข้อเท็จจริงของผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจเป็นไปด้วยควำมล่ำช้ำ หรือไม่อำจแสวงหำ ข้อเท็จจริงต่อไปได้ เนื่องจำกข้อมูลเรื่องร้องเรียนไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจนเพียงพอ หรือไม่ได้รับ ควำมร่วมมือจำกหน่วยงำนของรัฐที่จะให้ข้อมูลจนเป็นเหตุให้กำรตรวจสอบและควบคุมกำรกระท ำ ที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำยของผู้ตรวจกำรแผ่นดินไม่บรรลุผลได้
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๕. ข้อเสนอแนะ ๑. รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มีเจตนำรมณ์ให้ผู้ตรวจกำร แผ่นดิน เป็นกลไกในกำรตรวจสอบกำรใช้อ ำนำจรัฐ ก ำหนดหน้ำที่และให้อ ำนำจพิจำณำเสนอเรื่องพร้อม ควำมเห็นต่อศำลปกครองหำกพบว่ำมีปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำยที่กระทบ ต่อควำมเดือดร้อนของประชำชน จึงพิจำรณำได้ว่ำกำรตรวจสอบดังกล่ำวมุ่งแก้ไขปัญหำในเชิงระบบ มำกกว่ำแก้ปัญหำรำยปัจเจก ยิ่งไปกว่ำนั้น ประเด็นแห่งปัญหำก็ได้ผ่ำนกระบวนกำรแสวงหำข้อเท็จจริง และคัดกรองจำกค ำวินิจฉัยของผู้ตรวจกำรแผ่นดินในชั้นแรกแล้ว ดังนั้น จึงควรก ำหนดหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขในกำรเสนอควำมเห็นให้มีควำมแตกต่ำงจำกกำรฟ้องคดีปกครองโดยทั่วไปของผู้เสียหำยที่แท้จริง หรือผู้ร้องเรียน กล่ำวคือ ผู้ตรวจกำรแผ่นดินอำจเสนอควำมเห็นต่อศำลปกครองสูงสุดเพื่อวินิจฉัยได้โดย ไม่ต้องเสนอควำมเห็นต่อศำลปกครองเป็นล ำดับ ท ำให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินไม่ต้องยื่นอุทธรณ์หำกศำล ปกครองมีค ำสั่งไม่รับค ำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นนั้น ทั้งนี้ ในกรณีที่มีปัญหำในกำรตีควำมข้อกฎหมำย ของศำลก็อำจน ำประเด็นดังกล่ำวเข้ำสู่กำรพิจำรณำของที่ประชุมใหญ่ตุลำกำรศำลปกครองสูงสุดเพื่อ ก ำหนดมติหรือแนวปฏิบัติให้เป็นบรรทัดฐำนเดียวกัน อนึ่ง ค ำสั่งไม่รับค ำเสนอเรื่องพร้อมควำมเห็นของ ศำลปกครองสูงสุดก็ไม่ได้ตัดสิทธิผู้ร้องเรียนในกำรฟ้องคดีแต่อย่ำงใด ๒. ในกำรก ำหนดให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน “มีสิทธิเสมือนหนึ่งเป็นผู้ฟ้องคดี” ควรก ำหนด หลักเกณฑ์และแนวทำงในกำรฟ้องคดีให้มีควำมชัดเจน เช่น กำรน ำหลักกำรตีควำมแบบแคบมำใช้ ในกำรพิจำรณำกรณีผู้ตรวจกำรแผ่นดินเป็นผู้ฟ้องคดีมีควำมเหมำะสมหรือไม่ ผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ต้องอยู่ภำยใต้เงื่อนไขของกำรแก้ไขเยียวยำควำมเดือดร้อนเสียหำยตำมมำตรำ ๔๒ วรรคสอง แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นเดียวกับผู้เสียหำย ที่แท้จริง หรือไม่ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหำในกำรตีควำมเกี่ยวกับสิทธิ หน้ำที่และสถำนะในคดี ปกครองของผู้ตรวจกำรแผ่นดิน ๓. ผลักดันกำรด ำเนินงำนเชิงรุกของผู้ตรวจกำรแผ่นดินในกำรแสวงหำข้อเท็จจริงและ ยกปัญหำเกี่ยวกับควำมชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมำยขึ้นพิจำรณำได้เองโดยไม่มีผู้ร้องเรียน ทั้งนี้ ยังคงให้ควำมส ำคัญกับเรื่องร้องเรียนที่มีผู้ยื่นค ำร้องให้ผู้ตรวจกำรแผ่นดินด ำเนินกำรใด ๆ เพื่อให้ กำรแก้ไขปัญหำที่ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สำธำรณะหรือประชำชนโดยส่วนรวมประสบควำมส ำเร็จ อย่ำงเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ดลยำ ถนอม นิติกรปฏิบัติกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ส ำนักกรรมำธิกำร ๒
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร แนวทางการจัดให้มีกฎหมายเพื่อรองรับการด าเนินงานในการรับค าแปรญัตติ ร่างพระราชบัญญัติและรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องราวร้องทุกข์เพื่อสนับสนุนการด าเนินงาน ให้แก่คณะกรรมาธิการ ผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ปัจจุบัน ได้มีกำรประกำศใช้พระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกรำคม ๒๕๖๖ มีหลักกำรและเหตุผลที่มุ่งส่งเสริมให้ หน่วยงำนของรัฐทุกหน่วยเกิดกำรท ำงำนและกำรให้บริกำรของภำครัฐสำมำรถใช้วิธีกำร ทำงอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับกำรด ำเนินกำรตำมแผนกำรปฏิรูปประเทศ ด้ำนกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน (ฉบับปรับปรุง) กิจกรรมปฏิรูปที่ ๑ ปรับเปลี่ยนรูปแบบ กำรบริหำรงำนและกำรบริกำรภำครัฐไปสู่ระบบดิจิทัล ตำมที่ก ำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย หมวด ๑๖ กำรปฏิรูปประเทศ มำตรำ ๒๕๘ ข. ด้ำนกำรบริหำรรำชกำร แผ่นดิน (๑) บัญญัติให้มีกำรน ำเทคโนโลยีที่เหมำะสมมำประยุกต์ใช้ในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินและ กำรจัดท ำบริกำรสำธำรณะเพื่อประโยชน์ในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินและเพื่ออ ำนวยควำมสะดวก ให้แก่ประชำชน ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มีหน้ำที่เกี่ยวกับรำชกำรประจ ำทั่วไปของสภำ ผู้ แ ท น ร ำ ษ ฎ ร ต ำ ม บ ท บั ญ ญั ติ แ ห่ง รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ มี ห น้ ำ ที่ ด ำ เ นิ นง ำ น เ พื่ อ ส นั บ ส นุ น กำรตรำกฎหมำย กำรควบคุมและกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน กำรพิจำรณำให้ควำมเห็นชอบ ในเรื่องที่มีควำมส ำคัญต่อประเทศ และภำรกิจตำมที่รัฐธรรมนูญ กฎหมำยและข้อบังคับ กำรประชุมสภำก ำหนดให้แก่สภำผู้แทนรำษฎร มีส ำนักกรรมำธิกำร ๑ ส ำนักกรรมำธิกำร ๒ และ ส ำนักกรรมำธิกำร ๓ เป็นส่วนรำชกำรในสังกัดส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ปรำกฏตำม ประกำศรัฐสภำ เรื่อง กำรแบ่งส่วนรำชกำรภำยใน และกำรก ำหนดหน้ำที่ควำมรับผิดชอบของส่วนรำชกำร ในสังกัดส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่ก ำหนดให้แต่ละส ำนักและกลุ่มงำนใน สังกัดรับผิดชอบงำนของคณะกรรมำธิกำรในกระบวนกำรของสภำผู้แทนรำษฎรในกำรพิจำรณำร่ำง พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ร่ำงพระรำชบัญญัติ ร่ำงข้อบังคับกำรประชุม ญัตติ หรือเรื่องที่ คณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงในเรื่องต่ำง ๆ ตำมรัฐธรรมนูญ ข้อบังคับ กำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร ข้อบังคับกำรประชุมรัฐสภำ กฎหมำยและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกำร ประชุมคณะกรรมำธิกำรและคณะอนุกรรมำธิกำร ตำมที่ได้รับมอบหมำย ซึ่งถือเป็นกระบวนงำนที่ ส ำคัญของภำรกิจงำนด้ำนนิติบัญญัติโดยกำรด ำเนินงำนตำมหน้ำที่และอ ำนำจของส ำนักกรรมำธิกำร ๑ส ำนักกรรมำธิกำร ๒ และส ำนักกรรมำธิกำร ๓ ผู้รับมอบหมำยงำนเห็นว่ำ ควรจัดให้มีกำรรับค ำแปร ญัตติร่ำงพระรำชบัญญัติ และกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ เพื่อสนับสนุนกำรด ำเนินงำนให้แก่ คณะกรรมำธิกำรผ่ำนวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจำกภำรกิจดังกล่ำวเป็นภำรกิจหลักที่ส ำคัญของ กำรปฏิบัติหน้ำที่ฝ่ำยเลขำนุกำรคณะกรรมำธิกำรซึ่งมีควำมเชื่อมโยงกับกำรให้บริกำรแก่ สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร และประชำชน เพื่อให้สำมำรถเข้ำถึงกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำร
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ได้อย่ำงรวดเร็ว อีกทั้งเป็นกำรขับเคลื่อนแผนปฏิบัติรำชกำรระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ในประเด็นกำรพัฒนำที่ ๑ พัฒนำองค์กรก้ำวสู่ Digital Parliament ซึ่งก ำหนดกลยุทธ์ในกำรพัฒนำกระบวนกำรปฏิบัติงำนเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ ประกอบ กับประเด็นกำรพัฒนำที่ ๓ ส่งเสริม และสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำคพลเมืองในกระบวนกำรนิติ บัญญัติ ซึ่งมุ่งหวังให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นองค์กรนิติบัญญัติที่ได้รับกำรยอมรับ จำกประชำชนด้วยกำรด ำเนินกลยุทธ์พัฒนำกระบวนกำรสื่อสำรทำงกำรเมืองเพื่อสร้ำงภำพลักษณ์ที่ดี ต่อสถำบันนิติบัญญัติได้อีกทำงหนึ่ง โดยกำรแปรญัตติ หมำยถึง ค ำขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง ข้อควำมรำยละเอียดหรือสำระส ำคัญในมำตรำต่ำง ๆ ของร่ำงพระรำชบัญญัติที่อยู่ในระหว่ำงกำร พิจำรณำของคณะกรรมำธิกำร ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของกำรพิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติในวำระที่สอง๑ โดยข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๒๕ ได้ก ำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกำร รับค ำแป รญัตติ ที่ก ำหนดให้สม ำชิกสภ ำผู้แทน ร ำษฎ รที่มีค ว ำมเห็นค ว รแก้ไขเพิ่มเติม ร่ำงพระรำชบัญญัติที่สภำผู้แทนรำษฎรได้มีมติในวำระที่หนึ่งรับหลักกำรแห่งร่ำงพระรำชบัญญัติ ให้เสนอค ำแปรญัตติเป็นหนังสือต่อประธำนคณะกรรมำธิกำรภำยในก ำหนดเจ็ดวัน นับแต่ วันถัดจำกวันที่สภำรับหลักกำรแห่งร่ำงพระรำชบัญญัติ เว้นแต่สภำจะได้ก ำหนดเวลำแปรญัตติส ำหรับร่ำง พระรำชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่ำงอื่น ส ำหรับกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์เป็นกำรด ำเนินงำน ตำมหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำร ปรำกฏในมำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรให้มีอ ำนำจ หน้ำที่ในกำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำเรื่องใด ๆ ทั้งนี้ กำรด ำเนินงำนต้อง เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำโดยประชำชนส่วนใหญ่มักจะรู้จักคณะกรรมำธิกำรผ่ำนกำร เสนอ/รับเรื่องรำวร้องทุกข์ซึ่งโดยมำกกระท ำเป็นหนังสือ กำรเรียกไปให้ข้อมูลเพื่อประกอบกำร พิจำรณำศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำร ซึ่งเป็นกำรใช้สิทธิตำมมำตรำ ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติรับรองสิทธิของบุคคล ที่จะเสนอเรื่องรำวร้องทุกข์ต่อหน่วยงำนของรัฐ ฟ้องหน่วยงำนของรัฐให้รับผิดเนื่องจำก กำรกระท ำหรือกำรละเว้นกำรกระท ำของข้ำรำชกำร พนักงำน หรือลูกจ้ำงของหน่วยงำนของรัฐ และ มำตรำ ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติรับรองสิทธิของ บุ ค ค ล แล ะชุมชนที่จ ะเข้ ำ ชื่อกันเพื่ อเสนอแน ะต่อหน่ ว ยง ำนของ รั ฐให้ด ำเนินก ำ รใด อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชำชนหรือชุมชน หรืองดเว้นกำรด ำเนินกำรใดอันจะกระทบต่อ ควำมเป็นอยู่อย่ำงสงบสุขของประชำชนหรือชุมชน ซึ่งหน่วยงำนของรัฐหมำยรวมถึงรัฐวิสำหกิจและ องค์กรอื่นของรัฐทั้งที่มีสถำนะเป็นนิติบุคคล และที่ไม่เป็นนิติบุคคลด้วย๒ โดยเมื่อพิจำรณำจำกหน้ำที่ และอ ำนำจของส ำนักกรรมำธิกำร ๑ ส ำนักกรรมำธิกำร ๒ และส ำนักกรรมำธิกำร ๓ หลักกำรและ เหตุผลกำรประกำศใช้พระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ แล้ว ๑ นำรีลักษณ์ ศิริวรรณ, การแปรญัตติ[Online], Available URL: http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0% B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4, (ม.ป.ป.). ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร, ความมุ่งหมายและค าอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (กรุงเทพมหำนคร : ส ำนักกำรพิมพ์ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร, ๒๕๖๒), หน้ำ ๖๐.
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ประกอบกับเมื่อพิจำรณำถึงกำรปฏิบัติงำนของเจ้ำหน้ำที่ประจ ำคณะกรรมำธิกำร ผู้รับมอบหมำยงำน เห็นว่ำในกำรสนับสนุนงำนของคณะกรรมำธิกำรควรที่จะศึกษำถึงแนวทำงกำรจัดให้มีกฎหมำยเพื่อ รองรับกำรด ำเนินงำนในกำรรับค ำแปรญัตติร่ำงพระรำชบัญญัติ และกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำว ร้องทุกข์ที่จะน ำไปสู่กำรด ำเนินกำรพิจำรณำศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงในเรื่องต่ำง ๆ ของ คณะกรรมำธิกำร ผ่ำนช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออ ำนวยควำมสะดวกให้แก่สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร รวมถึงประชำชนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ และรวดเร็วมำกยิ่งขึ้น ๒. กฎหมาย กฎ ระเบียบ และยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ๑) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มำตรำ ๔๑ “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ (๒) เสนอเรื่องรำวร้องทุกข์ต่อหน่วยงำนของรัฐ... (๓) ฟ้องหน่วยงำนของรัฐให้รับผิดเนื่องจำกกำรกระท ำหรือกำรละเว้น กำรกระท ำของข้ำรำชกำร พนักงำน หรือลูกจ้ำงของหน่วยงำนของรัฐ” มำตรำ ๔๓ “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ ...(๓) เข้ำชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงำนของรัฐให้ด ำเนินกำรใดอันจะเป็น ประโยชน์ต่อประชำชนหรือชุมชน หรืองดเว้นกำรด ำเนินกำรใดอันจะกระทบต่อควำมเป็นอยู่อย่ำง สงบสุขของประชำชนหรือชุมชนและได้รับแจ้งผลกำรพิจำรณำโดยรวดเร็ว...” มำตรำ ๑๒๙ “สภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำมีอ ำนำจเลือกสมำชิกของ แต่ละสภำตั้งเป็นคณะกรรมำธิกำรสำมัญ และมีอ ำนำจเลือกบุคคลผู้เป็นสมำชิกหรือมิได้เป็นสมำชิก ตั้ง เป็ น คณ ะ ก ร ร ม ำ ธิ ก ำ ร วิ ส ำ มั ญ ห รื อ คณ ะ ก ร ร ม ำ ธิ ก ำ ร ร่ ว ม กั น ต ำ ม ม ำ ต ร ำ ๑๓๗ เพื่อกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำเรื่องใด ๆ และรำยงำนให้สภำ ทรำบตำมระยะเวลำที่สภำก ำหนด กำรกระท ำกิจกำร กำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือกำรศึกษำตำมวรรคหนึ่ง ต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำ ...” ๒) พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์พ.ศ. ๒๕๖๕ ม ำต ร ำ ๔ “พระ ร ำชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับแก่หน่ วยง ำนของ รัฐทุกหน่วย ที่มิใช่หน่วยงำนของรัฐในฝ่ำยนิติบัญญัติ ฝ่ำยตุลำกำร องค์กรอิสระตำมรัฐธรรมนูญ องค์กรอัยกำร และหน่วยงำนอื่นของรัฐที่ก ำหนดในกฎกระทรวง เมื่ อ จ ะใ ช้พ ร ะ ร ำ ชบัญญั ตินี้ทั้งห ม ดห รื อบ ำง ส่ วน แ ก่หน่ ว ยง ำน ข อง รั ฐ ในฝ่ำยนิติบัญญัติฝ่ำยตุลำกำร องค์กรอิสระตำมรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอัยกำร ให้ตรำ เป็นพระรำชกฤษฎีกำ ในพระรำชกฤษฎีกำดังกล่ำวจะก ำหนดให้ใช้แก่องค์กรดังกล่ำวทั้งองค์กรหรือ บำงหน่วยงำน หรืองำนบำงประเภทก็ได้”
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มำตรำ ๕ “ในพระรำชบัญญัตินี้ “หน่วยงำนของรัฐ” หมำยควำมว่ำ รำชกำรส่วนกลำง รำชกำรส่วนภูมิภำค รำชกำร ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และหน่วยงำนอื่นของรัฐทุกหน่วย แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสำหกิจ ที่เป็นบริษัทจ ำกัดหรือบริษัทมหำชนจ ำกัด “ขออนุญำต” หมำยควำมรวมถึง ...ขอให้พิจำรณำ ขออุทธรณ์ ร้องทุกข์ หรือร้องเรียน ขอให้ด ำเนินกำร ... และขอรับบริกำรอื่นใดจำกหน่วยงำนของรัฐ” มำตรำ ๖ “เพื่อประโยชน์ในกำรด ำเนินกำรตำมพระรำชบัญญัตินี้ให้มีประสิทธิภำพ ให้คณะรัฐมนตรีก ำหนดวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งรวมถึงมำตรฐำนข้อมูลด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศ และกำรสื่อสำร ที่หน่วยงำนของรัฐจะต้องใช้และปฏิบัติให้สอดคล้องกัน เชื่อมโยงถึงกันได้ มีควำม มั่นคงปลอดภัย และประชำชนทั่วไปสำมำรถเข้ำถึงได้โดยสะดวก” มำตรำ ๗ “บรรดำกำรใด ๆ ที่กฎหมำยก ำหนดให้ต้องขออนุญำตต่อผู้อนุญำต ผู้ขอ อนุญำต จะเลือกยื่นค ำขออนุญำตดังกล่ำวรวมถึงน ำส่งเอกสำรหลักฐำนหรือส ำเนำเอกสำรหลักฐำน ประกอบค ำขออนุญำตต่อผู้อนุญำตโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ และให้ถือว่ำกำรยื่นค ำขออนุญำต นั้น เป็นกำรชอบด้วยกฎหมำยนั้น ๆ แล้ว และเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องจะปฏิเสธไม่รับกำรขอ อนุญำตนั้นเพียงเพรำะเหตุที่ผู้ขออนุญำตได้ยื่นโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์มิได้ ส ำเนำเอกสำรหลักฐำนที่ส่งโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ตำมวรรคหนึ่ง ผู้ส่ง ไม่ต้องลงนำมรับรอง ในกรณีที่กฎหมำยตำมวรรคหนึ่งหรือกฎที่ออกตำมกฎหมำยดังกล่ำวก ำหนดให้กำร ยื่นค ำขออนุญำตต้องท ำตำมแบบ วิธีกำร หรือเงื่อนไขที่ก ำหนด กำรที่ผู้ขออนุญำตได้ยื่นค ำขออนุญำต โดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์โดยมีข้อควำมตรงตำมแบบนั้น ๆ แล้ว ให้ถือว่ำผู้ขออนุญำตได้ยื่นค ำขอ อนุญำตตำมแบบ วิธีกำร หรือเงื่อนไขตำมที่ก ำหนดนั้นแล้ว และในกรณีที่กฎหมำยหรือกฎดังกล่ำว ก ำหนดให้ผู้ยื่นค ำขอต้องยื่นหรือส่งเอกสำรมำกกว่ำหนึ่งชุด กำรส่งโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ ดังกล่ำว ให้ถือว่ำผู้ยื่นค ำขอได้ยื่นหรือส่งครบจ ำนวนแล้ว ควำมในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่กำรจัดส่งหนังสือ รำยงำน เอกสำร หรือข้อมูล ... ให้แก่ทำงรำชกำรหรือหน่วยงำนของรัฐด้วยโดยอนุโลม” มำตรำ ๘ “ในกำรด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๗ ผู้อนุญำตจะก ำหนดวิธีกำร ทำงอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ขออนุญำตปฏิบัติเพิ่มเติมด้วยก็ได้ แต่ต้องเป็นไปเพื่ออ ำนวย ควำมสะดวกหรือป้องกันควำมเสี่ยง แก่ผู้ขออนุญำต หรือเพื่อกำรยืนยันตัวตน โดยประชำชนสำมำรถ เข้ ำถึงแล ะใช้ได้โด ยส ะด วกแล ะทั่ วไป แล ะไม่เป็นก ำ รเพิ่มภ ำ ร ะห รือเพิ่มค่ ำใ ช้ จ่ ำ ย แก่ผู้ขออนุญำตเกินจ ำเป็น กำรยืนยันตัวตนตำมวรรคหนึ่ง จะก ำหนดให้ด ำเนินกำรด้วยวิธีอื่นนอกจำกกำรแสดง บัตรประจ ำตัวประชำชนหรือหนังสือเดินทำงก็ได้ ถ้ำวิธีอื่นดังกล่ำวนั้นจะเป็นกำรสะดวกแก่ประชำชน ยิ่งขึ้น” มำตรำ ๑๐ “บรรดำค ำขออนุญำตหรือกำรติดต่อใด ๆ ที่ประชำชนส่งหรือ มีถึงหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทำงช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์ที่หน่วยงำน
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๗๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ของรัฐประกำศก ำหนด ให้ถือว่ำหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐนั้นได้รับตำมวันและเวลำที่ค ำ ขออนุญำตหรือกำรติดต่อนั้น ได้เข้ำสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ นั้น เว้นแต่วันและเวลำนั้นเป็นวัน หรือเวลำนอกท ำกำรของหน่วยงำนของรัฐ ให้ถือว่ำหน่วยงำนของ รัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐได้รับในวันและเวลำท ำกำรถัดไป ในกรณีที่เจ้ำหน้ ำที่ของรัฐที่ได้รับเรื่องตำมวรรคหนึ่งไม่มีหน้ำที่หรืออ ำนำจ ที่จะด ำเนินกำรได้ให้ส่งเรื่องต่อไปยังเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่มีหน้ำที่โดยตรง แต่ถ้ำเป็นกรณี ที่เจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่มีหน้ำที่โดยตรง อยู่ต่ำงหน่วยงำนกัน จะแจ้งให้ผู้ขออนุญำตหรือผู้ติดต่อ ให้ติดต่อกับเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่มีหน้ำที่โดยตรงก็ได้ แต่ต้องแจ้งให้ผู้ขออนุญำตหรือผู้ติดต่อทรำบว่ำ หน่วยงำนใดเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนั้น” มำตรำ ๑๕ “ในกำรติดต่อหรือส่งเรื่องถึงกันในระหว่ำงหน่วยงำนของรัฐด้วยกัน ระหว่ำง เจ้ำหน้ำที่ของรัฐกับหน่วยงำนของรัฐ หรือระหว่ำงประชำชนกับหน่วยงำนของรัฐ หรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้ำที่หรืออ ำนำจของเจ้ำหน้ำที่ของรัฐนั้น ถ้ำได้กระท ำโดย วิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ให้ถือว่ำเป็นกำรชอบด้วยกฎหมำยและใช้เป็นหลักฐำน ได้ตำมกฎหมำย...” มำตรำ ๒๐ “ให้หัวหน้ำหน่วยงำนของรัฐประกำศก ำหนดช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์ ส ำหรับ ประชำชนติดต่อรำชกำรตำมมำตรำ ๑๐” ๓) ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๒๕ “กำรพิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติในชั้นคณะกรรมำธิกำรที่สภำ ตั้ง สมำชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่ำงพระรำชบัญญัติ ก็ให้เสนอค ำแปรญัตติล่วงหน้ำ เป็นหนังสือต่อประธำนคณะกรรมำธิกำรภำยในก ำหนดเจ็ดวันนับแต่วันถัดจำกวันที่สภำ รับหลักก ำ รแห่ง ร่ ำงพ ระ ร ำชบัญญัติ เ ว้นแต่สภ ำจ ะได้ก ำหนดเ วล ำแป รญัตติส ำห รับ ร่ำงพระรำชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่ำงอื่น…” ๔) ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๕ กำรนัดประชุมให้ท ำเป็นหนังสือ และให้ส่งหนังสือนัดประชุมดังกล่ำวทำง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ในกรณีที่เห็นสมควร จะส่งหนังสือนัดประชุมทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่น เพิ่มเติมด้วย ก็ได้ ... ค ว ำมในวรรคหนึ่งให้น ำไปใช้บังคับกับ .. .กำ รเสนอค ำแปรญัตติ. .. ด้ วย โดยอนุโลม ทั้งนี้ ตำมระเบียบที่ประธำนวุฒิสภำก ำหนด” ๕) ระเบียบวุฒิสภาว่าด้วยการเสนอญัตติ การเสนอค าแปรญัตติ การยื่นกระทู้ถาม และการขอเปิดอภิปรายทั่วไป ของสมาชิกวุฒิสภาทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทางเทคโนโลยี อื่น พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๓ “ในระเบียบนี้ …
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร “ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์” หมำยควำมว่ำ ระบบที่ส ำนักงำนเลขำธิกำรวุฒิสภำ จัดให้มีขึ้น เพื่อใช้ในกำรรับและส่งข้อมูลโดยผ่ำนทำงระบบเครือข่ำยคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกัน “เทคโนโลยีสำรสนเทศ” หมำยควำมว่ำ ระบบที่ส ำนักงำนเลขำธิกำรวุฒิสภำ จัดให้มีขึ้นโดยน ำ เทคโนโลยีด้ำนคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสำรโทรคมนำคมที่เกี่ยวข้องกับกำรรับ และส่งข้อมูลมำใช้นอกจำกไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรสำร เว็บไซต์(Website) ระบบแอป พลิเคชันไลน์(Line) ...” ข้อ ๔ “ให้ส ำนักงำนก ำหนดที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือระบบเทคโนโลยี สำรสนเทศอื่น เพื่อรับและส่งข้อมูลเกี่ยวกับ... ค ำแปรญัตติ...ของสมำชิก และแจ้งให้สมำชิกทรำบโดย ทั่วกัน” ข้อ ๗ “สมำชิกผู้ใด...เสนอค ำแปรญัตติ ทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ ทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่น ให้สมำชิกผู้นั้นส่ง...ค ำแปรญัตติ... ให้ส ำนักงำนตำมที่อยู่ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์หรือระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่น ตำมที่ก ำหนดไว้ในข้อ ๔ กำรส่งทำงไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์หรือทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่นสำมำรถส่งได้ตลอดเวลำ ทุกวันไม่เว้นวันหยุดรำชกำร เว้นแต่กำรเสนอค ำแปรญัตติต้องส่งภำยในก ำหนดวันแปรญัตติตำมมติของที่ประชุมวุฒิสภำ” ข้อ ๘ “...กำรเสนอค ำแปรญัตติ...ที่ส่งทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ ทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่น ให้ถือว่ำวันที่ข้อมูลเข้ำสู่ระบบรับข้อมูลของส ำนักงำนเป็นวันที่...เสนอค ำ แปรญัตติ...” ข้อ ๙ “เมื่อส ำนักงำนได้รับ...ค ำแปรญัตติ...ทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือทำง เทคโนโลยีสำรสนเทศอื่นแล้ว ให้เจ้ำหน้ำที่น ำออกจำกระบบ เพื่อด ำเนินกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้องให้เป็นไปตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยและข้อบังคับกำรประชุมวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้ส ำนักงำนด ำเนินกำรลงทะเบียนรับเรื่องตำมงำนสำรบรรณ ... เอกสำร...กำรเสนอค ำแปรญัตติ... ที่ส่งทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือทำง เทคโนโลยีสำรสนเทศอื่น ตำมวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ถือว่ำ เป็นเอกสำรต้นฉบับ” ๖) แผนปฏิบัติราชการระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของส านักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แผนปฏิบัติรำชกำรระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำ ผู้แทน ร ำษฎ ร จัดท ำขึ้นเพื่อเป็นแน วท ำงในก ำ รด ำเนินง ำนของส ำนักง ำนเลข ำ ธิก ำ ร สภำผู้แทนรำษฎรและพัฒนำบทบำทของส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรในกำรสนับสนุน ภำรกิจของสถำบันนิติบัญญัติ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ยุทธศำสตร์ชำติ แผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ ๑๓ และแผนต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำรรับฟังควำมคิดเห็นของผู้บริหำรและบุคลำกรของ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรและควำมต้องกำรของผู้รับบริกำรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ทำงตรงและทำงอ้อมในกิจกรรมต่ำง ๆ โดยมีประเด็นกำรพัฒนำที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประเด็นการพัฒนาที่ ๑ พัฒนาองค์กรก้าวสู่ Digital Parliament เป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นหน่วยงำนที่เปิดเผยข้อมูลภำครัฐ น ำระบบดิจิทัลมำใช้ทั้งองค์กร กลยุทธ์ ๑. พัฒนำกระบวนกำรปฏิบัติงำนเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ ๒. พัฒนำระบบข้อมูลเพื่อน ำไปสู่กำรเปิดเผยข้อมูลภำครัฐ (Open data) ประเด็นการพัฒนาที่ ๓ ส่งเสริม และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองใน กระบวนการนิติบัญญัติ เป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นองค์กรนิติบัญญัติที่ได้รับกำรยอมรับจำก ประชำชน กลยุทธ์ ๑. ส่งเสริมและสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำคพลเมือง ๒. พัฒนำกระบวนกำรสื่อสำรทำงกำรเมืองเพื่อสร้ำงภำพลักษณ์ที่ดีต่อสถำบันนิติบัญญัติ ๓. บทวิเคราะห์ ผู้รับมอบหมำยงำนได้พิจำรณำศึกษำข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๒๕ ซึ่งก ำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกำรรับค ำแปรญัตติ ที่ก ำหนดให้สมำชิกสภำผู้แทน รำษฎรที่มีควำมเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่ำงพระรำชบัญญัติที่สภำผู้แทนรำษฎรได้มีมติรับหลักกำรใน วำระที่หนึ่งแห่งร่ำงพระรำชบัญญัติ ให้เสนอค ำแปรญัตติเป็นหนังสือต่อประธำนคณะกรรมำธิกำร ภำยในก ำหนดเจ็ดวันนับแต่วันถัดจำกวันที่สภำรับหลักกำรแห่งร่ำงพระรำชบัญญัติ เว้นแต่สภำจะได้ ก ำหนดเวลำแปรญัตติส ำหรับร่ำงพระรำชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่ำงอื่น และมำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้ำที่และอ ำนำจของ คณะกรรมำธิกำรให้มีหน้ำที่และอ ำนำจในกำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำ เรื่องใด ๆ และรำยงำนให้สภำทรำบตำมระยะเวลำที่สภำก ำหนด โดยประชำชนส่วนใหญ่มักจะรู้จัก คณะกรรมำธิกำรผ่ำนกำรเสนอเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ซึ่งโดยมำกกระท ำเป็นหนังสือ กำรเรียก ไปให้ข้อมูลเพื่อประกอบกำรพิจำรณำศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำร ซึ่งใช้สิทธิ ตำมมำตรำ ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติรับรองสิทธิ ของบุคคลที่จะเสนอเรื่องรำวร้องทุกข์ต่อหน่วยงำนของรัฐ ฟ้องหน่วยงำนของรัฐให้รับผิดเนื่องจำกกำร กระท ำหรือกำรละเว้นกำรกระท ำของข้ำรำชกำร พนักงำน หรือลูกจ้ำงของหน่วยงำนของรัฐ และ มำตรำ ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติรับรองสิทธิของ บุคคลและชุมชนที่จะเข้ำชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงำนของรัฐให้ด ำเนินกำรใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อ
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ประชำชนหรือชุมชน หรืองดเว้นกำรด ำเนินกำรใดอันจะกระทบต่อควำมเป็นอยู่อย่ำงสงบสุขของประชำชน หรือชุมชน ทั้งนี้ กำรด ำเนินงำนต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำ ก็มิได้มีบทบัญญัติใดที่ ได้ก ำหนด หรือออกเป็นระเบียบเพื่อให้สำมำรถรับค ำแปรญัตติ หรือรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ เพื่อประกอบกำรพิจำรณำศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำร ผ่ำนช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์ได้ เมื่อพิจำรณำถึงแนวทำงกำรปฏิบัติงำนด้ำนนิติบัญญัติของวุฒิสภำ ข้อบังคับ กำรประชุมวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๕ วรรคหนึ่ง และวรรคสำม ได้ก ำหนดให้กำรเสนอค ำแปร ญัตติ สำมำรถกระท ำได้ผ่ำนไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่นก็ได้ ทั้งนี้ ตำม ระเบียบที่ประธำนวุฒิสภำก ำหนด ต่อมำได้มีกำรประกำศใช้ระเบียบวุฒิสภำว่ำด้วยกำรเสนอญัตติ กำรเสนอค ำแปรญัตติ กำรยื่นกระทู้ถำม และกำรขอเปิดอภิปรำยทั่วไป ของสมำชิกวุฒิสภำทำง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทำงเทคโนโลยีอื่น พ.ศ. ๒๕๖๓ซึ่งประกำศใช้เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๓ ได้ก ำหนดแนวทำงปฏิบัติ ในกำรเสนอค ำแปรญัตติไว้ในข้อ ๗ โดยสมำชิกวุฒิสภำสำมำรถที่จะเสนอค ำ แปรญัตติได้ตำมที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่นที่ส ำนักงำน เลขำธิกำรวุฒิสภำก ำหนดซึ่งสำมำรถส่งได้ตลอดเวลำ ทั้งนี้ จะต้องส่งภำยในก ำหนดวันแปรญัตติตำม มติของที่ประชุมวุฒิสภำ โดยวันที่ข้อมูลเข้ำสู่ระบบรับข้อมูลของส ำนักงำนเป็นวันที่เสนอค ำแปรญัตติ (ข้อ ๘ วรรคหนึ่ง) และเมื่อส ำนักงำนเลขำธิกำรวุฒิสภำได้รับค ำแปรญัตติผ่ำนช่องทำงดังกล่ำวแล้ว จะต้องด ำเนินกำรตรวจสอบควำมถูกต้องให้เป็นไปตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ และข้อบังคับกำรประชุมวุฒิสภำ พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้ส ำนักงำนด ำเนินกำร ลงทะเบียนรับเรื่องตำมงำนสำรบรรณ (ข้อ ๙ วรรคหนึ่ง) โดยกำรเสนอค ำแปรญัตติที่ได้ส่งผ่ำนไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศอื่นที่ส ำนักงำนเลขำธิกำรวุฒิสภำก ำหนด ถือเป็น เอกสำรต้นฉบับ (ข้อ ๙ วรรคสำม) ส ำหรับพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นกฎหมำยกลำงที่มีวัตถุประสงค์หลักในกำรขจัดปัญหำและอุปสรรคทำงข้อกฎหมำย และกฎระเบียบต่ำง ๆ เพื่อให้ประชำชนสำมำรถยื่นค ำขอหรือติดต่อใด ๆ กับหน่วยงำนของรัฐหรือ เจ้ำหน้ำที่ของรัฐ สำมำรถท ำโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์โดยชอบด้วยกฎหมำย ทั้งนี้ เพื่อให้ สอดคล้องกับกำรพัฒน ำทำงเทคโนโลยีในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นกำรอ ำนวยคว ำมสะดวก และลดภำระค่ำใช้จ่ำยของประชำชน รวมทั้งลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภำพแก่กำรปฏิบัติรำชกำร ของภำครัฐ๓ ในมำตรำ ๔ และมำตรำ ๕ ซึ่งก ำหนดขอบเขตกำรใช้บังคับกฎหมำย และบทนิยำมค ำว่ำ “หน่วยงำนของรัฐ” ให้ใช้บังคับแก่หน่วยงำนของรัฐทุกหน่วย เว้นแต่ ๑. รัฐวิสำหกิจ ที่เป็นบริษัทจ ำกัดหรือบริษัทมหำชนจ ำกัด ๒. หน่วยงำนของรัฐในฝ่ำยนิติบัญญัติ ๓. หน่วยงำนของรัฐฝ่ำยตุลำกำร ๓ คณะกรรมกำรพัฒนำกฎหมำย ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกฤษฎีกำ, ค าอธิบายสรุปสาระส าคัญของพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทาง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ [Online], Available URL: https://lawreform.go.th/uploads/files/1673501700-oqr6b-rz3d3.pdf, ๒๕๖๔ (เมษำยน, ๒๙).
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๔. องค์กรอิสระตำมรัฐธรรมนูญ ๕. องค์กรอัยกำร ๖. หน่วยงำนอื่นของรัฐที่ก ำหนดในกฎกระทรวง ดังนั้น พระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ จึงไม่มีผล ใช้บังคับกับส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร เนื่องจำกเป็นหน่วยงำนของรัฐในฝ่ำย นิติบัญญัติ อย่ำงไรก็ตำม มำตรำ ๔ วรรคสอง ได้กล่ำวถึงกรณีที่หน่วยงำนที่ได้รับยกเว้น หำกมีควำมประสงค์จะน ำพระรำชบัญญัติฉบับนี้ไปใช้บังคับทั้งหมดหรือบำงส่วน ให้ตรำเป็น พระรำชกฤษฎีกำ ซึ่งในพระรำชกฤษฎีกำดังกล่ำวจะก ำหนดให้ใช้แก่องค์กรดังกล่ำวทั้งองค์กรหรือบำง หน่วยงำน หรืองำนบำงประเภทก็ได้ ผู้รับมอบหมำยงำนได้พิจำรณำแล้วเห็นว่ำ แนวทำงที่ออกโดยฝ่ำยบริหำร เพื่อบังคับกำรให้เป็นไปตำมพระรำชบัญญัติฉบับนี้ สำมำรถที่จะอนุโลมมำใช้กับส ำนักงำนเลขำธิกำร สภำผู้แทนรำษฎร ซึ่งเป็นหน่วยงำนของรัฐในฝ่ำยนิติบัญญัติเพื่อจัดให้มีกฎหมำยรองรับกำรด ำเนินงำน ในกำรรับค ำแปรญัตติร่ำงพระรำชบัญญัติ รวมถึงกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ เพื่อ สนับสนุนกำรด ำเนินงำนให้แก่คณะกรรมำธิกำรได้ โดยผู้รับมอบหมำยงำนขอน ำแนวทำงปฏิบัติและ กำรเตรียมควำมพร้อมของหน่วยงำนของรัฐเพื่อด ำเนินกำรตำมพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตำมที่ปรำกฏในหนังสือส ำนักงำน ก.พ.ร. ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๒๐๔/(๗๙๖- ๙๐๓, ๙๐๕-๑๒๓๕) ลงวันที่ ๒๗ ตุลำคม ๒๕๖๕ เรื่อง กำรแจ้งหน่วยงำนของรัฐเพื่อปฏิบัติตำม พระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยผู้รับมอบหมำยงำนขอชี้แจง ควำมหมำยของนิยำม “ขออนุญำต” ที่จะปรำกฏในแนวทำงปฏิบัติดังกล่ำว ซึ่งมีที่มำจำกมำตรำ ๔ แห่งพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจที่ ถูกต้องตรงกัน ซึ่งในที่นี้ ผู้รับมอบหมำยงำนหมำยถึง กำรขอให้คณะกรรมำธิกำรพิจำรณำค ำแปรญัตติ ขอร้องทุกข์ หรือร้องเรียน ส ำหรับค ำว่ำ “ประชำชน” ผู้รับมอบหมำยงำนหมำยควำมรวมถึง สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร ด้วย ทั้งนี้ ผู้รับมอบหมำยงำนจะกล่ำวในส่วนที่มีควำมเห็นว่ำแนวทำงปฏิบัติ และกำรเตรียมควำมพร้อมของหน่วยงำนของรัฐเพื่อด ำเนินกำรตำมพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำร ทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตำมที่ปรำกฏในหนังสือส ำนักงำน ก.พ.ร. น่ำจะสำมำรถด ำเนินกำร เพื่อสนับสนุนกำรด ำเนินงำนให้แก่คณะกรรมำธิกำรได้ ดังนี้ สาระส าคัญของมาตรา แนวทางปฏิบัติ/การเตรียมความพร้อม/ ผลจากการไม่ด าเนินการของหน่วยงาน มาตรา ๗ กำรยื่นค ำขออนุญำตและเอกสำร หลักฐำนประกอบค ำขอ โดยวิธีกำรทำง อิเล็กทรอนิกส์ แนวทางปฏิบัติ หน่วยงำนของรัฐต้องรับค ำขอและเอกสำรหลักฐำน ประกอบค ำขอโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ ส ำหรับ เอกสำรหลักฐำนไม่ต้องลงนำมรับรองโดยผู้ส่ง และเมื่อส่งโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์แล้ว
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร สาระส าคัญของมาตรา แนวทางปฏิบัติ/การเตรียมความพร้อม/ ผลจากการไม่ด าเนินการของหน่วยงาน (รวมถึงกำรจัดส่งหนังสือ ตำมมำตรำ ๗ วรรคสี่) ให้ถือว่ำส่งครบตำมจ ำนวนแล้ว หำกมีกำรก ำหนด ให้ยื่นมำกกว่ำ ๑ ชุด การเตรียมความพร้อม ๑. กำรลงทะเบียนที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ของหน่วยงำน และประกำศเผยแพร่ที่อยู่ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่ำว รวมทั้งจัดให้มีเจ้ำหน้ำที่ คอยตรวจสอบและรับเรื่องที่ส่งมำทำงช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนกำรจัดอบรมหรือสัมมนำเพื่อ สร้ำงควำมรับรู้และเข้ำใจให้แก่เจ้ำหน้ำที่ ที่เกี่ยวข้อง (ระเบียบส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยงำนสำรบรรณ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๖๔) และภำคผนวก ๗ แนบท้ำย) ๒. กำรทบทวน ปรับปรุงคู่มือส ำหรับประชำชน และกำรจัดท ำคู่มือส ำหรับประชำชน กรณีขออนุญำต ทำงอิเล็กทรอนิกส์ กรณีที่หน่วยงานไม่ด าเนินการ ๑. อำจต้องรับผิดในควำมเสียหำยที่เกิดแก่ผู้ยื่น ค ำขออนุญำต เนื่องจำกระยะเวลำด ำเนินกำร เริ่มจำกหน่วยงำนได้รับเรื่องเข้ำสู่ระบบ ๒. อำจเข้ำข่ำยละเว้นกำรปฏิบัติหน้ำที่โดยมิชอบ ตำมมำตรำ ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมำยอำญำ มาตรา ๘ กำรยื่นค ำขออนุญำตฯ ตำมมำตรำ ๗ จะก ำหนดวิธีกำร ทำงอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติมได้ เพื่ออ ำนวยควำมสะดวก ป้องกันควำมเสี่ยง หรือเพื่อกำรยืนยัน ตัวตน โดยประชำชนเข้ำถึงได้สะดวก ไม่เพิ่มภำระหรือค่ำใช้จ่ำยเกินจ ำเป็น ทั้งนี้ กำรยืนยันตัวตน จะท ำวิธีอื่น นอกจำกกำรแสดงบัตรประชำชนก็ได้ แนวทางปฏิบัติ หำกหน่วยงำนของรัฐก ำหนดวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มเติม จะต้องสะดวกกับประชำชนมำกกว่ำ ช่องทำงปกติ หรือเพื่อประโยชน์ในกำรป้องกัน ควำมเสี่ยงให้แก่ประชำชน รวมทั้งต้องไม่เพิ่มภำระหรือ ค่ำใช้จ่ำยให้ประชำชนเกินควำมจ ำเป็น การเตรียมความพร้อม กำรออกแบบวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์เฉพำะ ของหน่วยงำนส ำหรับอ ำนวยควำมสะดวกให้แก่ ประชำชน เช่น แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ให้ประชำชน
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร สาระส าคัญของมาตรา แนวทางปฏิบัติ/การเตรียมความพร้อม/ ผลจากการไม่ด าเนินการของหน่วยงาน กรอกค ำขอต่ำง ๆ หรือกำรสร้ำง แอปพลิเคชัน ทั้งนี้ ตำมควำมพร้อมของแต่ละหน่วยงำน มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ประกอบกับ มาตรา ๒๐ กำรส่งค ำขออนุญำต หรือกำรติดต่อใด ๆ จำกประชำชนถึงหน่วยงำน หรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐผ่ำนช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์ที่หน่วยงำนก ำหนด ถือว่ำหน่วยงำนได้รับตำมวัน และเวลำที่ค ำขออนุญำตหรือกำรติดต่อ เข้ำสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของหน่วยงำน แนวทางปฏิบัติ หน่วยงำนของรัฐจะต้องก ำหนดช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์ ส ำหรับประชำชนติดต่อรำชกำร และระบบ กำรปฏิบัติหน้ำที่ของเจ้ำหน้ำที่ของรัฐโดยวิธีกำร ทำงอิเล็กทรอนิกส์(มำตรำ ๒๐ วรรคหนึ่ง) การเตรียมความพร้อม กำรลงทะเบียนที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ของหน่วยงำน และประกำศเผยแพร่ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ดังกล่ำว รวมทั้งจัดให้มีเจ้ำหน้ำที่คอยตรวจสอบและรับเรื่อง ที่ส่งมำทำงช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจน กำรจัดอบรมหรือสัมมนำเพื่อสร้ำงควำมรับรู้ และเข้ำใจแก่เจ้ำหน้ำที่ที่เกี่ยวข้อง (ระเบียบส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยงำนสำรบรรณ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๖๔) และภำคผนวก ๗ แนบท้ำย) มาตรา ๑๐ วรรคสอง กำรส่งเรื่องไปยังเจ้ำหน้ำที่ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแจ้งให้ ผู้ขออนุญำตหรือผู้ติดต่อทรำบ กรณีที่ผู้ขออนุญำต หรือผู้ติดต่อ ส่งเรื่องมำผิดหน่วยงำน แนวทางปฏิบัติ ๑. เจ้ำหน้ำที่ที่ได้รับเรื่องหำกไม่มีหน้ำที่หรืออ ำนำจ ในกำรด ำเนินกำร จะต้องส่งเรื่องต่อไปยังเจ้ำหน้ำที่ ที่มีหน้ำที่โดยตรง ๒. กรณีเป็นเจ้ำหน้ำที่ต่ำงหน่วยงำนกัน จะแจ้งให้ ประชำชนติดต่อกับเจ้ำหน้ำที่ที่มีหน้ำที่โดยตรงได้ แต่ต้องแจ้งให้ประชำชนทรำบว่ำหน่วยงำนใด เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงเรื่องนั้น การเตรียมความพร้อม ๑. กำรลงทะเบียนที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของ หน่วยงำน และประกำศเผยแพร่ที่อยู่ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่ำว รวมทั้งจัดให้มีเจ้ำหน้ำที่ คอยตรวจสอบและรับเรื่องที่ส่งมำทำงช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนกำรจัดอบรมหรือสัมมนำ
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร สาระส าคัญของมาตรา แนวทางปฏิบัติ/การเตรียมความพร้อม/ ผลจากการไม่ด าเนินการของหน่วยงาน เพื่อสร้ำงควำมรับรู้และเข้ำใจแก่เจ้ำหน้ำที่ ที่เกี่ยวข้อง (ระเบียบส ำนักนำยกรัฐมนตรี ว่ำด้วยงำนสำรบรรณ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๖๔) และภำคผนวก ๗ แนบท้ำย) ๒. กำรสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจแก่เจ้ำหน้ำที่ในกำรติดต่อ หรือรับ – ส่งเอกสำรหลักฐำนทำงอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพำะเจ้ำหน้ำที่ที่รับผิดชอบงำนสำรบรรณ ๓. กำรจัดท ำคู่มือปฏิบัติงำน (Work Manual) ด้วยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ส ำหรับเจ้ำหน้ำที่ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง กำรติดต่อหรือส่งเรื่องถึงกันระหว่ำง หน่วยงำนของรัฐด้วยกัน ระหว่ำง เจ้ำหน้ำที่ของรัฐกับหน่วยงำนของรัฐ หรือระหว่ำงประชำชนกับหน่วยงำน ของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ถ้ำได้ กระท ำโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ ให้ถือว่ำเป็นกำรชอบและใช้เป็น หลักฐำนตำมกฎหมำยได้ หำกหน่วยงำนใดไม่สำมำรถ ด ำเนินกำรได้จะตรำพระรำชกฤษฎีกำ ยกเว้นเป็นกรณีได้ โดยต้องระบุเหตุผล ควำมจ ำเป็น และระยะเวลำ ที่จะยกเว้นให้ แนวทางปฏิบัติ กำรติดต่อหรือส่งเรื่องถึงกันของเจ้ำหน้ำที่และหน่วยงำน ของรัฐ และประชำชน ถ้ำได้กระท ำ โดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ ให้ถือว่ำเป็นกำรชอบและ ใช้เป็นหลักฐำนตำมกฎหมำยได้ การเตรียมความพร้อม กำรลงทะเบียนที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ของหน่วยงำนและประกำศเผยแพร่ที่อยู่ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่ำว รวมทั้งจัดให้มีเจ้ำหน้ำที่ คอยตรวจสอบและรับเรื่องที่ส่งมำทำงช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนกำรจัดอบรมหรือสัมมนำ เพื่อ สร้ำงควำมรับรู้และเข้ำใจแก่เจ้ำหน้ำที่ที่เกี่ยวข้อง (ระเบียบส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยงำนสำรบรรณ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๖๔) และภำคผนวก ๗ แนบท้ำย) จำกแนวทำงปฏิบัติ/กำรเตรียมควำมพร้อมข้ำงต้น ผู้รับมอบหมำยงำนสำมำรถที่จะ ส รุปถึงก ำ รอนุโลมน ำแน วท ำงที่ฝ่ ำยบ ริห ำ รบังคับก ำ รให้เป็นไปต ำมพระ ร ำชบัญญัติ กำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้ว่ำ ในกำรยื่นค ำแปรญัตติโดยสมำชิกสภำผู้แทน รำษฎร หรือกำรเสนอเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ที่จะน ำไปสู่กำรพิจำรณำศึกษำ หรือสอบหำ ข้อเท็จจริงในเรื่องต่ำง ๆ ให้แก่คณะกรรมำธิกำร ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรจะต้องจัดให้มี ช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้รับบริกำร (สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร หรือประชำชน) สำมำรถติดต่อรำชกำรประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ (มำตรำ ๒๐ วรรคหนึ่ง) โดยผู้รับมอบหมำยงำนเห็นควรจัดให้มีแบบฟอร์มทำงอิเล็กทรอนิกส์ให้
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร สำมำรถกรอกข้อมูลต่ำง ๆ เพื่อให้ผู้รับบริกำรสำมำรถด ำเนินกำรยื่นค ำขอตำมมำตรำ ๗ ได้โดยสะดวก จัดให้มีระบบยืนยันตัวตน เพื่อให้เจ้ำหน้ำที่ที่เกี่ยวข้องมั่นใจได้ว่ำ ผู้ขอรับบริกำรมี ตัวตนอยู่จริง ทั้งนี้ กำรพิสูจน์และยืนยันตัวตนทำงดิจิทัล ต้องมีกำรคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดี มี ระดับควำมมั่นคงปลอดภัยสูง สอดคล้องกับกฎ ระเบียบ และมำตรฐำนต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน ประชำชนสำมำรถเข้ำถึงได้โดยสะดวกและไม่สร้ำงภำระให้กับประชำชนผู้ขอรับบริกำรมำก จนเกินไป๔ (มำตรำ ๘ และมำตรำ ๖) และเมื่อผู้รับบริกำรได้ยื่นค ำขอมำยังส ำนักงำนผ่ำนช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์แล้ว จะต้องถือว่ำส ำนักงำนได้รับค ำขอตำมวันและเวลำที่ค ำขออนุญำตหรือกำรติดต่อ นั้น ได้เข้ำสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงำนของรัฐหรือเจ้ำหน้ำที่ของรัฐนั้น (มำตรำ ๑๐ วรรคหนึ่ง) ทั้งนี้ หำกเจ้ำหน้ำที่ที่รับเรื่อง หรือผู้บังคับบัญชำ พิจำรณำแล้วเห็นว่ำคณะกรรมำธิกำรไม่มีหน้ำที่หรือ อ ำนำจที่จะด ำเนินกำรได้ ให้ส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมำธิกำรที่มีหน้ำที่โดยตรง และต้องแจ้งให้ ผู้รับบริกำรทรำบว่ำหน่วยงำนใดเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนั้น (มำตรำ ๑๐ วรรคสอง) โดย กระบวนกำรที่ได้มีกำรติดต่อด้วยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ให้ถือว่ำเป็นกำรชอบด้วยกฎหมำย และใช้เป็นหลักฐำนได้ตำมกฎหมำย (มำตรำ ๑๕ วรรคหนึ่ง) ซึ่งกระบวนกำรทั้งหมด มีควำม คล้ำยคลึงกับระเบียบวุฒิสภำว่ำด้วยกำรเสนอญัตติ กำรเสนอค ำแปรญัตติ กำรยื่นกระทู้ถำม และกำร ขอเปิดอภิปรำยทั่วไป ของสมำชิกวุฒิสภำทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทำงเทคโนโลยีอื่น พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่ำงไรก็ตำม เนื่องจำกหนังสือร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ มีข้อมูลที่สำมำรถระบุตัว บุคคลนั้นได้ไม่ว่ำทำงตรงหรือทำงอ้อม หำกด ำเนินกำรส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมำธิกำร ที่มีหน้ำที่โดยตรงโดยมิได้สอบถำมควำมยินยอมจำกผู้รับบริกำร อำจเป็นเหตุให้ผู้รับบริกำร เกิดควำมกังวลเกี่ยวกับกำรเปิดเผยข้อมูลดังกล่ำวต่อบุคคลและหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องแม้ว่ำ คณะกรรมำธิกำรได้ด ำเนินกำรเพื่อแก้ไขปัญหำที่เกิดขึ้นตำมหน้ำที่และอ ำนำจก็ตำม ดังนั้น เจ้ำหน้ำที่ ที่เกี่ยวข้องควรสอบถำมควำมยินยอมจำกผู้รับบริกำรเสียก่อนที่จะด ำเนินกำรในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จำกบทวิเครำะห์ที่ผู้รับมอบหมำยงำนได้กล่ำวมำทั้งหมด หำกส ำนักงำนฯ พิจำรณำ แล้วเห็นว่ำควรบัญญัติแนวทำงดังกล่ำวให้ชัดแจ้ง สำมำรถที่จะด ำเนินกำรได้ ๒ แนวทำง ดังนี้ แนวท า งที่หนึ่ ง ต ร ำเป็นพระ ร ำชกฤษฎีก ำ ต ำมที่ม ำต ร ำ ๔ ว ร รคสอง ของพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ก ำหนดไว้ว่ำ เมื่อจะใช้ พระรำชบัญญัตินี้บำงส่วนแก่หน่วยงำนของรัฐในฝ่ำยนิติบัญญัติซึ่งหมำยถึงส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำ ผู้แทนรำษฎร ให้ตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ ซึ่งในพระรำชกฤษฎีกำดังกล่ำวจะก ำหนด ให้ใช้แก่องค์กรดังกล่ำวทั้งองค์กรหรือบำงหน่วยงำน หรืองำนบำงประเภทก็ได้ โดยน ำพระรำชบัญญัติ ไปใช้บังคับเฉพำะมำตรำ ๖ ซึ่งก ำหนดวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ให้หน่วยงำนของรัฐจะต้องใช้ระบบ ที่มีควำมมั่นคงปลอดภัย และสำมำรถเข้ำถึงได้โดยสะดวก มำตรำ ๗ และมำตรำ ๘ ซึ่งก ำหนดให้กำร ๔ ส ำนักงำนพัฒนำรัฐบำลดิจิทัล (องค์กำรมหำชน) (สพร.),ระบบเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) [Online], Available URL: https://www.dga.or.th/ourservices/digital-platform-services/digitalid/, ๒๕๖๕ (มีนำคม, ๑๗).
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ยื่นค ำขออนุญำตโดยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์เป็นกำรชอบด้วยกฎหมำย รวมถึงให้หน่วยงำนของรัฐ ก ำหนดวิธีกำรยืนยันตัวตน ประกอบกำรยื่นค ำขออนุญำต มำตรำ ๑๐ ที่ก ำหนดหน้ำที่ของเจ้ำหน้ำที่ ในกำรรับค ำขออนุญำต รวมถึงก ำหนดวันที่ได้รับค ำขออนุญำต มำตรำ ๑๕ ซึ่งก ำหนดให้กระบวนกำร ที่ได้มีกำรติดต่อด้วยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ให้ถือว่ำเป็นกำรชอบด้วยกฎหมำย และมำตรำ ๒๐ ซึ่งก ำหนดให้หน่วยงำนของรัฐประกำศก ำหนดช่องทำงทำงอิเล็กทรอนิกส์ส ำหรับประชำชน เพื่อใช้ในกำรติดต่อรำชกำร แนวทางที่สอง แก้ไขข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร หรือในกรณี ที่จะจัดให้มีกำรยกร่ำงข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎรขึ้นใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ กำรเสนอค ำแปรญัตติร่ำงพระรำชบัญญัติ และกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ เพื่อด ำเนินกำรตำมหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำ ข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ให้สำมำรถรับค ำขอดังกล่ำวผ่ำนวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ โดย ก ำหนดให้สำมำรถออกเป็นระเบียบเพื่อก ำหนดเป็นแนวทำงปฏิบัติเหมือนเช่นระเบียบวุฒิสภำว่ำด้วย กำรเสนอญัตติ กำรเสนอค ำแปรญัตติ กำรยื่นกระทู้ถำม และกำรขอเปิดอภิปรำยทั่วไป ของสมำชิก วุฒิสภำทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทำงเทคโนโลยีอื่น พ.ศ. ๒๕๖๓ ทั้งนี้ หำกมีกำรด ำเนินกำรน ำวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์มำใช้ในกำรด ำเนินงำน ถือเป็น กำรขับเคลื่อนแผนปฏิบัติรำชกำรระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำ ผู้แทนรำษฎร ประเด็นกำรพัฒนำที่ ๑ พัฒนำองค์กรก้ำวสู่ Digital Parliament ซึ่งก ำหนด เป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นหน่วยงำนที่น ำระบบ ดิจิทัลมำใช้ทั้งองค์กรตำมกลยุทธ์พัฒนำกระบวนกำรปฏิบัติงำนเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ และประเด็น กำรพัฒนำที่ ๓ ส่งเสริม และสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำคพลเมืองในกระบวนกำรนิติบัญญัติ ที่ ก ำหนดเป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำ ให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นองค์กรนิติ บัญญัติที่ได้รับกำรยอมรับจำกประชำชน กลยุทธ์กำรส่งเสริมและสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำค พลเมือง อันจะน ำไปสู่ภำพลักษณ์ที่ดีต่อสถำบันนิติบัญญัติ ๔. บทสรุปและอภิปรายผล ตำมที่ได้มีกำรประกำศใช้พระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกรำคม ๒๕๖๖ มีหลักกำรและเหตุผลที่มุ่งส่งเสริมให้ หน่วยงำนของรัฐทุกหน่วยเกิดกำรท ำงำนและกำรให้บริกำรของภำครัฐสำมำรถใช้วิธีกำรทำง อิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับกำรด ำเนินกำรตำมแผนกำรปฏิรูปประเทศด้ำนกำร บริหำรรำชกำรแผ่นดิน (ฉบับปรับปรุง) กิจกรรมปฏิรูปที่ ๑ ปรับเปลี่ยนรูปแบบกำรบริหำรงำนและ กำรบริกำรภำครัฐไปสู่ระบบดิจิทัล ตำมที่ก ำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย หมวด ๑๖ กำรปฏิรูปประเทศ มำตรำ ๒๕๘ ข. ด้ำนกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน (๑) บัญญัติให้มีกำรน ำเทคโนโลยี ที่เหมำะสมมำประยุกต์ใช้ในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินและกำรจัดท ำบริกำรสำธำรณะเพื่อประโยชน์ ในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน และเพื่ออ ำนวยควำมสะดวกให้แก่ประชำชน นั้น
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๘๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ผู้รับมอบหมำยงำนได้พิจำรณำถึงแนวทำงในกำรจัดให้มีกฎหมำยเพื่อรองรับกำร ด ำเนินงำนในกำรรับค ำแปรญัตติร่ำงพระรำชบัญญัติรวมถึงกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ที่ จะน ำไปสู่กำรพิจำรณำศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงในเรื่องต่ำง ๆ ของคณะกรรมำธิกำร ผ่ำนช่องทำง อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นไปตำมหลักกำรและเหตุผลของกำรประกำศใช้พระรำชบัญญัติฉบับดังกล่ำว ซึ่งส ำนักกรรมำธิกำร ๑ ส ำนักกรรมำธิกำร ๒ และส ำนักกรรมำธิกำร ๓ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำ ผู้แทนรำษฎร เป็นหน่วยงำนหลักที่รับผิดชอบงำนของคณะกรรมำธิกำรในกระบวนกำรของสภำ ผู้แทนรำษฎรในกำรพิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ร่ำงพระรำชบัญญัติ ร่ำง ข้อบังคับกำรประชุม ญัตติ หรือเรื่องที่คณะกรรมำธิกำรด ำเนินกำรศึกษำ หรือสอบหำข้อเท็จจริงใน เรื่องต่ำง ๆ ตำมรัฐธรรมนูญ ข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร ข้อบังคับกำรประชุมรัฐสภำ กฎหมำยและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกำรประชุมคณะกรรมำธิกำรและคณะอนุกรรมำธิกำร ตำมที่ ได้รับมอบหมำยเพื่ออ ำนวยควำมสะดวกให้แก่สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร และประชำชน อีกทั้งเป็นกำร ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติรำชกำรระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของส ำนักงำนเลขำธิกำร สภำผู้แทนรำษฎร ประเด็นกำรพัฒนำที่ ๑ พัฒนำองค์กรก้ำวสู่ Digital Parliament ซึ่งก ำหนด เป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นหน่วยงำนที่น ำระบบ ดิจิทัลมำใช้ทั้งองค์กรตำมกลยุทธ์พัฒนำกระบวนกำรปฏิบัติงำนเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ และประเด็น กำรพัฒนำที่ ๓ ส่งเสริม และสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำคพลเมืองในกระบวนกำรนิติบัญญัติ ที่ ก ำหนดเป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำ ให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นองค์กรนิติ บัญญัติที่ได้รับกำรยอมรับจำกประชำชน กลยุทธ์กำรส่งเสริมและสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำค พลเมือง อันจะน ำไปสู่ภำพลักษณ์ที่ดีต่อสถำบันนิติบัญญัติ ก่อนที่จะพิจำรณำศึกษำตำมแนวทำงของพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ ผู้รับมอบหมำยงำนได้ศึกษำพบว่ำ ข้อบังคับกำรประชุม สภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๒๕ ซึ่งก ำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกำรรับค ำแปรญัตติ และมำตรำ ๑๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับ หน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำร มิได้มีบทบัญญัติใดที่ได้ก ำหนด หรือออกเป็นระเบียบเพื่อให้ สำมำรถรับค ำแปรญัตติ หรือรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์เพื่อประกอบกำรพิจำรณำศึกษำ หรือ สอบหำข้อเท็จจริงของคณะกรรมำธิกำร ผ่ำนช่องทำงอิเล็กทรอนิกส์ได้จึงได้พิจำรณำถึงแนวทำงกำร ปฏิบัติงำนของวุฒิสภำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่ำว โดยวุฒิสภำได้มีกำรก ำหนดแนวทำงปฏิบัติ ในกำรเสนอค ำแปรญัตติไว้ในระเบียบวุฒิสภำว่ำด้วยกำรเสนอญัตติ กำรเสนอค ำแปรญัตติ กำรยื่น กระทู้ถำม และกำรขอเปิดอภิปรำยทั่วไป ของสมำชิกวุฒิสภำทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทำง เทคโนโลยีอื่น พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งประกำศใช้เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นกำรประกำศใช้ ก่อนที่พระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับ ส ำหรับพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำกกำรศึกษำพบว่ำ มำตรำ ๔ วรรคหนึ่ง ได้ก ำหนดขอบเขตกำรใช้บังคับกฎหมำย ให้ใช้บังคับแก่ หน่วยงำนของรัฐทุกหน่วย เว้นแต่หน่วยงำนของรัฐในฝ่ำยนิติบัญญัติ ดังนั้น พระรำชบัญญัติกำร ปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ จึงไม่มีผลใช้บังคับกับส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำ
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๙๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ผู้แทนรำษฎร อย่ำงไรก็ตำม มำตรำ ๔ วรรคสอง ได้กล่ำวถึงกรณีที่หน่วยงำนที่ได้รับยกเว้น หำกมี ควำมประสงค์จะน ำพระรำชบัญญัติฉบับนี้ไปใช้บังคับทั้งหมดหรือบำงส่วน ให้ตรำเป็นพระรำช กฤษฎีก ำ ซึ่งในพระ รำชกฤษฎีกำดังกล่ำ วจะก ำหนดให้ใช้แก่องค์กรดังกล่ำวทั้งองค์กร หรือบำงหน่วยงำน หรืองำนบำงประเภทก็ได้ ผู้รับมอบหมำยงำนจึงได้พิจำรณำศึกษำประกอบกับ แนวทำงที่ฝ่ำยบริหำรบังคับกำรให้เป็นไปตำมพระรำชบัญญัติกำรปฏิบัติรำชกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยได้พิจำรณำแล้วเห็นว่ำ สำมำรถน ำพระรำชบัญญัติฉบับนี้ไปใช้บังคับเฉพำะมำตรำ ๖ ซึ่งก ำหนดวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ให้หน่วยงำนของรัฐจะต้องใช้ระบบที่มีควำมมั่นคงปลอดภัย และ สำมำรถเข้ำถึงได้โดยสะดวก มำตรำ ๗ และมำตรำ ๘ ซึ่งก ำหนดให้กำรยื่นค ำขออนุญำตโดยวิธีกำร ทำงอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกำรชอบด้วยกฎหมำย รวมถึงให้หน่วยงำนของรัฐก ำหนดวิธีกำรยืนยันตัวตน ประกอบกำรยื่นค ำขออนุญำต มำตรำ ๑๐ ที่ก ำหนดหน้ำที่ของเจ้ำหน้ำที่ในกำรรับค ำขออนุญำต รวมถึงก ำหนดวันที่ได้รับค ำขออนุญำต มำตรำ ๑๕ ซึ่งก ำหนดให้กระบวนกำรที่ได้มีกำรติดต่อด้วย วิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดให้ถือว่ำเป็นกำรชอบด้วยกฎหมำย และมำตรำ ๒๐ ซึ่งก ำหนดให้ หน่วยงำนของรัฐประกำศก ำหนดช่องทำงทำงอิเล็กทรอนิกส์ส ำหรับประชำชนเพื่อใช้ในกำรติดต่อ รำชกำร อย่ำงไรก็ตำม หำกมีควำมประสงค์ที่จะแก้ไขข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร หรือใน กรณีที่จะจัดให้มีกำรยกร่ำงข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎรขึ้นใหม่ ควรที่จะบัญญัติให้สำมำรถ ออกเป็นระเบียบเพื่อก ำหนดเป็นแนวทำงปฏิบัติเหมือนเช่นระเบียบวุฒิสภำว่ำด้วยกำรเสนอญัตติ กำรเสนอค ำแปรญัตติ กำรยื่นกระทู้ถำม และกำรขอเปิดอภิปรำยทั่วไป ของสมำชิกวุฒิสภำ ทำงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทำงเทคโนโลยีอื่น พ.ศ. ๒๕๖๓ ๕. ข้อเสนอแนะ ๑) ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรควรพิจำรณำศึกษำถึงกำรน ำวิธีกำรทำง อิเล็กทรอนิกส์มำใช้ในกำรรับค ำแปรญัตติ และกำรรับเรื่องร้องเรียน/เรื่องรำวร้องทุกข์ เพื่อเป็นกำรอ ำนวยควำมสะดวกให้แก่สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร และประชำชน ซึ่งเป็น กำรขับเคลื่อนแผนปฏิบัติรำชกำรระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำ ผู้แทนรำษฎร ประเด็นกำรพัฒนำที่ ๑ พัฒนำองค์กรก้ำวสู่ Digital Parliament ซึ่งก ำหนด เป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นหน่วยงำนที่ น ำระบบดิจิทัลมำใช้ทั้งองค์กรตำมกลยุทธ์พัฒนำกระบวนกำรปฏิบัติงำนเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ และ ประเด็นกำรพัฒนำที่ ๓ ส่งเสริม และสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำคพลเมือง ในกระบวนกำรนิติ บัญญัติ ที่ก ำหนดเป้ำประสงค์ประเด็นกำรพัฒนำ ให้ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรเป็นองค์กร นิติบัญญัติที่ได้รับกำรยอมรับจำกประชำชน กลยุทธ์กำรส่งเสริมและสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมของภำค พลเมือง อันจะน ำไปสู่ภำพลักษณ์ที่ดีต่อสถำบันนิติบัญญัติ ๒) จัดให้มี หรือแก้ไขกฎหมำยที่เกี่ยวข้องให้สอดรับกับกำรน ำวิธีกำรทำง อิเล็กทรอนิกส์มำใช้ในกำรรับค ำแปรญัตติ และกำรรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ เพื่อสนับสนุนกำร ด ำเนินงำนให้แก่คณะกรรมำธิกำร
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๙๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๓) เมื่อมีกำรน ำวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์มำใช้ในกำรปฏิบัติรำชกำรแล้ว ส ำนักงำน จะต้องเสริมสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจให้แก่สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร บุคคลที่ได้รับกำรแต่งตั้งเพื่อช่วย ปฏิบัติงำนให้แก่สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร เจ้ำหน้ำที่ฝ่ำยเลขำนุกำรคณะกรรมำธิกำรทุกกลุ่มงำน เพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจในกำรปฏิบัติงำนผ่ำนวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องตำมกฎหมำยที่ เกี่ยวข้องกับกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำร นำยศุภวิชญ์ พิมลเอกอักษร นิติกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกีฬำ ส ำนักกรรมำธิกำร ๒
๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๙๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตามกระแสพระราชด ารัส พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา รัฐสภำประกอบด้วยสภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำ ซึ่งเป็นผู้ใช้อ ำนำจนิติบัญญัติ อันเป็นส่วนหนึ่งของอ ำนำจอธิปไตยของปวงชนชำวไทย สมำชิกรัฐสภำถือว่ำเป็นผู้แทนปวงชนชำวไทย ตำมบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้ำที่ที่ส ำคัญ อันได้แก่ กำรออกกฎหมำยเพื่อบังคับใช้ กำรควบคุมตรวจสอบกำรบริหำรรำชกำรของรัฐบำล และกำรให้ควำมเห็นชอบในเรื่องส ำคัญต่ำง ๆ จำกควำมส ำคัญของอ ำนำจหน้ำที่ดังกล่ำว รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยจึงได้ก ำหนดให้ สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรและสมำชิกวุฒิสภำต้องปฏิบัติหน้ำที่ด้วยควำมซื่อสัตย์สุจริตไม่อยู่ภำยใต้ อำณัติหรือกำรครอบง ำใด ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชำติและควำมผำสุกของประชำชน นอกจำกนี้ กระบวนกำรตำมรัฐธรรมนูญก่อนที่สมำชิกรัฐสภำจะเข้ำปฏิบัติหน้ำที่ต้องเข้ำ เฝ้ำทูลละอองธุลีพระบำทพร้อมกันในรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสำมัญประจ ำปีครั้งแรก เพื่อน้อมรับ พระบรมรำโชวำทของพระมหำกษัตริย์หรือผู้แทนพระองค์ก่อนเข้ำรับหน้ำที่ฝ่ำยนิติบัญญัติตำมควำม มุ่งหมำยแห่งรัฐธรรมนูญให้สัมฤทธิผล ในรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระบรมชนกำธิเบศร มหำภูมิพลอดุลยเดชมหำรำช บรมนำถบพิตร (รัชกำลที่ ๙) มีพระรำชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภำนำนัปกำรตำมสถำนกำรณ์ ของบ้ำนเมืองในแต่ละยุคสมัยโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรเสด็จพระรำชด ำเนินมำด้วยพระองค์เองหรือ โดยผู้แทนพระองค์ ในรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสำมัญประจ ำปีครั้งแรก สิ่งส ำคัญในรัฐพิธีเปิดประชุมคือ พระรำชด ำรัสของพระองค์ท่ำนที่พระรำชทำนในวโรกำสดังกล่ำว ซึ่งสะท้อนแนวพระรำชด ำริได้เป็น อย่ำงดี โดยมีจุดมุ่งหมำยให้เป็นคติเตือนใจและเป็นแนวทำงในกำรปฏิบัติหน้ำที่ให้กับสมำชิกรัฐสภำ และหมำยใจว่ำกำรท ำหน้ำที่ฝ่ำยนิติบัญญัติของสมำชิกรัฐสภำที่เข้ำมำรับหน้ำที่อันส ำคัญยิ่งนี้จะ ปฏิบัติหน้ำที่ด้วยควำมมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อประโยชน์ของประเทศชำติและประชำชนอย่ำงแท้จริง อย่ำงไร ก็ตำมที่ผ่ำนมำยังเห็นว่ำพฤติกรรมหรือแนวคิดในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของสมำชิกบำงคนไม่สอดคล้องกับ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและควำมมุ่งหมำยของพระรำชด ำรัสที่พระองค์ท่ำนพระรำชทำนไว้ อำทิ กรณี องค์ประชุมสภำไม่ครบ กำรใช้เงื่อนไของค์ประชุมยับยั้งสิ่งที่ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ำยโดยกำรไม่เข้ำร่วม เป็นองค์ประชุมเพื่อสกัดกั้นอีกฝ่ำยหนึ่ง กำรเล่นเกมกำรเมืองในสภำมองที่ผลประโยชน์ทำงกำรเมือง มำกกว่ำผลประโยชน์ของประชำชน ท ำให้กำรท ำงำนของสภำไม่สำมำรถด ำเนินต่อไปได้ อีกทั้งกำรใช้ เสียงข้ำงมำกในสภำรวบรัดลงมติโดยไม่ฟังควำมเห็นของฝ่ำยค้ำนหรือเสียงคัดค้ำนของประชำชน เช่น กรณีกำรพิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระท ำควำมผิดเนื่องจำกกำรชุมชน ทำงกำรเมือง กำรแสดงออกทำงกำรเมืองของประชำชน พ.ศ. .... เป็นต้น จนเกิดกำรชุมนุมต่อต้ำน รัฐบำลและกำรชุมนุมเพื่อตอบโต้กำรต่อต้ำนรัฐบำลในขณะนั้นเกิดเป็นควำมขัดแย้งอย่ำงรุนแรง กระทั่งน ำไปสู่กำรยุบสภำในที่สุด ทั้งนี้ ในห้วงหลำยทศวรรษที่ผ่ำนมำ สถำนกำรณ์กำรเมืองไทยที่มีนักกำรเมืองเป็นตัว ละครส ำคัญได้เกิดปัญหำควำมขัดแย้ง เกิดปรำกฏกำรณ์ที่ประชำชนแบ่งฝักแบ่งฝ่ำยอย่ำงชัดเจน