The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

30 องค์ความรู้เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Knowledge Management, 2023-07-25 00:08:59

30 องค์ความรู้เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ

30 องค์ความรู้เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ

๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร (ข) กำงเกงขำยำวสีกำกีแกมเขียวแบบฝึก ข ลักษณะเช่นเดียวกับกำงเกงขำยำว สีกำกีแกมเขียวแบบปกติ เว้นแต่ที่บริเวณใต้ขอบกำงเกงด้ำนหน้ำใกล้แนวตะเข็บกำงเกงด้ำนข้ำง มีกระเป๋ำเป็นกระเป๋ำเจำะข้ำงละ ๑ กระเป๋ำ ปำกกระเป๋ำเฉียงไม่มีปก และที่ใต้ขอบกำงเกงบริเวณ ตะโพก ด้ำนหลังมีกระเป๋ำหลังข้ำงละ ๑ กระเป๋ำ เป็นกระเป๋ำเจำะรูปสี่เหลี่ยมมีปกรูปสี่เหลี่ยมขัดดุม ๒ ดุม ตรงมุมปก ตรงแนวตะเข็บกำงเกงทั้งสองข้ำงมีกระเป๋ำปะยืดชำยข้ำงละ ๑ กระเป๋ำ ตัวกระเป๋ำ เป็นรูปสี่เหลี่ยมตรงกลำงพับจีบ ๒ จีบ ชำยหน้ำและชำยล่ำงเย็บติดกับขำกำงเกง ชำยหลังพับจีบ เพื่อให้ขยำยได้มีปกรูปสี่เหลี่ยม ชำยปกด้ำนบนและด้ำนหน้ำเย็บติดกับขำกำงเกง ขัดดุมที่กึ่งกลำงปก และมุมปกที่เปิดแห่งละ ๑ ดุม รังดุมทั้งหมดซ่อนไว้ด้ำนในของฝำกระเป๋ำ เมื่อสวมประกอบกับ รองเท้ำสูงครึ่งน่องสีด ำหรือรองเท้ำเดินป่ำ ให้สอดปลำยขำกำงเกงไว้ภำยในรองเท้ำและใช้ประกอบกับ เสื้อคอเปิดสีกำกีแกมเขียวแบบ ข เมื่อพิจำรณำข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๕ ค. (๓) เปรียบเทียบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติ เครื่องแบบนักศึกษำวิชำทหำรและเครื่องแบบผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้ว จะเห็นได้ว่ำ ลักษณะกำงเกงของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ มีควำมคล้ำยคลึงกับกำงเกง ขำยำวสีกำกีแกมเขียวแบบฝึก ก ของเครื่องแบบนักศึกษำวิชำทหำรและผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๔. เข็มขัด ข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๕ ค. (๔) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียว ให้ใช้เข็มขัดท ำด้วยด้ำยถักสีกำกีแกมเขียว กว้ำง ๓ เซนติเมตร หัวเข็มขัดและปลำยเข็มขัดให้มีลักษณะเช่นเดียวกันกับเข็มขัดของเครื่องแบบปกติกำกีคอพับ และ ข้อ ๕ ข. (๕) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบปกติกำกีคอพับ ให้ใช้เข็มขัดท ำด้วยด้ำยถักสีกำกีกว้ำง ๓ เซนติเมตร หัวเข็มขัดท ำด้วยโลหะสีทองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำทำงนอนปลำยมน กว้ำง ๓.๕ เซนติเมตร ยำว ๕ เซนติเมตร มีรูปครุฑดุนนูนอยู่กึ่งกลำงหัวเข็มขัด ไม่มีเข็มส ำหรับสอดรู ปลำยเข็มขัดหุ้มด้วย โลหะสีทองกว้ำง ๑ เซนติเมตร กฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยเครื่องแบบข้ำรำชกำรกำรเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๓ (๓) (ง) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบสีกำกีแกมเขียวคอแบะ ข้ำรำชกำรกำรเมืองชำยและหญิง ให้ใช้เข็มขัด ท ำด้วยด้ำยถักสีกำกีแกมเขียว กว้ำง ๓ เซนติเมตร หัวเข็มขัดและปลำยเข็มขัด ให้มีลักษณะเช่นเดียวกับ เข็มขัดของเครื่องแบบสีกำกีคอพับ และข้อ ๓ (๑) (จ) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบปกติกำกีคอพับ ข้ำรำชกำรกำรเมืองชำย ให้ใช้เข็มขัดท ำด้วยด้ำยถักสีกำกี กว้ำง ๓ เซนติเมตร หัวเข็มขัดท ำด้วย โลหะสีทองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำทำงนอนปลำยมน กว้ำง ๓.๕ เซนติเมตร ยำว ๕ เซนติเมตร มีรูป ครุฑดุนนูนอยู่กึ่งกลำงหัวเข็มขัด ไม่มีเข็มส ำหรับสอดรู ปลำยเข็มขัดหุ้มด้วยโลหะสีทอง กว้ำง ๑ เซนติเมตร ส่วนข้ำรำชกำรกำรเมืองหญิงให้อนุโลมตำมแบบเข็มขัดของข้ำรำชกำรกำรเมืองชำย จะเห็นได้ว่ำกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีดังกล่ำว ได้ก ำหนดลักษณะของเข็มขัดไว้คล้ำยกับเข็มขัดของ เครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ แต่ไม่ปรำกฏภำพเข็มขัดแนบท้ำยกฎดังกล่ำวแต่อย่ำงใด กฎส ำนักนำยกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๗๑ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติ เครื่องแบบข้ำรำชกำรฝ่ำยพลเรือน พุทธศักรำช ๒๔๗๘ ข้อ ๒ ๒.๑ (๕) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบปฏิบัติรำชกำร ข้ำรำชกำรชำย ให้ใช้เข็มขัดท ำด้วยด้ำยถักสีกำกี กว้ำง ๓ เซนติเมตร หัวเข็มขัดท ำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำทำงนอน ปลำยมนกว้ำง ๓.๕ เซนติเมตร ยำว ๕ เซนติเมตร มีรูปครุฑดุนนูน อยู่กึ่งกลำงหัวเข็มขัด ไม่มีเข็มส ำหรับสอดรู ปลำยเข็มขัดหุ้มด้วยโลหะสีทอง กว้ำง ๑ เซนติเมตร ส่วนข้ำรำชกำรหญิง ให้ใช้คำดทับขอบกระโปรง โดยใช้เข็มขัดอนุโลมตำมแบบข้ำรำชกำรชำย


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติเครื่องแบบนักศึกษำ วิชำทหำรและเครื่องแบบผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้อ ๙ ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบฝึกให้ใช้เข็มขัด สีกำกีแกมเขียว ท ำด้วยด้ำยหรือไนล่อนถักสีกำกีแกมเขียว กว้ำง ๓ เซนติเมตร หัวเข็มขัดท ำด้วยโลหะสีทอง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำทำงนอนปลำยมน กว้ำง ๓.๕ เซนติเมตร ยำว ๕ เซนติเมตร พื้นเกลี้ยง มีรูปเครื่องหมำย กรมกำรรักษำดินแดนอยู่เหนือช่อชัยพฤกษ์ดุนนูนอยู่กึ่งกลำงหัวเข็มขัดไม่มีเข็มส ำหรับสอดรู ปลำยสำยเข็มขัด หุ้มด้วยโลหะสีทอง กว้ำง ๑ เซนติเมตร ใช้คำดทับขอบกำงเกงโดยให้สำยเข็มขัดสอดไว้ภำยในห่วงกำงเกง เมื่อพิจำรณำข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๕ ค. (๔) ข้อ ๕ ข. (๕) เปรียบเทียบกับกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยเครื่องแบบข้ำรำชกำร กำรเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๓ (๓) (ง)ข้อ ๓ (๑) (จ)และกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีฉบับที่ ๗๑ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติเครื่องแบบข้ำรำชกำรฝ่ำยพลเรือน พุทธศักรำช ๒๔๗๘ ข้อ ๒ ๒.๑ (๕) แล้ว จะเห็นได้ว่ำ ลักษณะเข็มขัดตำมข้อบังคับของรัฐสภำและกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีดังกล่ำว มีลักษณะคล้ำยคลึงกัน เพียงแต่สีเข็มขัดของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำให้ใช้ สีกำกีแกมเขียว ๕. รองเท้ำ ข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๕ ค. (๕) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียว ให้ใช้รองเท้ำสูงครึ่งน่องสีกำกีแกมเขียว หรือสีด ำ มีรูร้อยเชือก กฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยเครื่องแบบข้ำรำชกำรกำรเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๓ (๓) (จ) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบสีกำกีแกมเขียวคอแบะ ข้ำรำชกำรกำรเมืองชำยและหญิง ให้ใช้รองเท้ำ สูงครึ่งน่อง สีกำกีแกมเขียวหรือสีด ำ มีรูร้อยเชือก จะเห็นได้ว่ำกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีดังกล่ำว ได้ก ำหนดลักษณะของรองเท้ำไว้คล้ำยกับรองเท้ำของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิก รัฐสภำ แต่ไม่ปรำกฏภำพรองเท้ำแนบท้ำยกฎดังกล่ำวแต่อย่ำงใด


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติเครื่องแบบ นักศึกษำวิชำทหำรและเครื่องแบบผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้อ ๑๐ (๑) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบปกติ ให้ใช้รองเท้ำหุ้มส้นสีด ำ ชนิดผูกเชือก ท ำด้วยหนังหรือวัตถุเทียมหนังสีด ำ มีรูส ำหรับร้อยเชือกไม่น้อยกว่ำสองคู่ และไม่เกินหกคู่ ส้นใหญ่และสูงพอสมควร และ (๒) ก ำหนดว่ำ เครื่องแบบฝึก ให้ใช้รองเท้ำสูงครึ่งน่องสีด ำ ลักษณะเช่นเดียวกับรองเท้ำหุ้มส้นสีด ำ ชนิดผูกเชือก เว้นแต่มีหนังหรือวัตถุเทียมหนังหุ้มเลยข้อเท้ำประมำณครึ่งน่อง มีรูส ำหรับร้อยเชือกมำกกว่ำหกคู่ และวรรคสอง ก ำหนดว่ำ รองเท้ำทุกชนิดต้องมีส้นและไม่มีลวดลำย ซึ่งกำรแต่งกำยของนักศึกษำ วิชำทหำรและผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำรส่วนมำกใช้รองเท้ำสูงครึ่งน่องสีด ำ เมื่อพิจำรณำข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๕ ค. (๕) เปรียบเทียบกับกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยเครื่องแบบข้ำรำชกำรกำรเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๓ (๓) (จ) และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติเครื่องแบบ นักศึกษำวิชำทหำรและเครื่องแบบผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้อ ๑๐ แล้ว จะเห็นได้ว่ำ ลักษณะรองเท้ำตำมข้อบังคับของรัฐสภำ กฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีและกฎกระทรวงดังกล่ำว มีลักษณะ คล้ำยคลึงกัน ๖. โอกำสในกำรแต่งกำย ข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๕ ค. วรรคท้ำย ก ำหนดว่ำ ให้ใช้เครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวเป็นเครื่องแบบสนำมในโอกำส ตรวจกำรเฉพำะกิจ พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ก ำหนดนิยำมค ำว่ำ “ตรวจกำร” หมำยควำมว่ำ ตรวจดูกำรงำนให้ด ำเนินไปโดยเรียบร้อย และค ำว่ำ “เฉพำะกิจ” หมำยควำมว่ำเจำะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ค ำว่ำ “ตรวจกำรเฉพำะกิจ” จึงหมำยถึง กำรลงพื้นที่ ตรวจดูเหตุกำรณ์หรือสถำนกำรณ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งในภูมิประเทศ เมื่อได้รับกำรร้องเรียนหรือมีเหตุ อันสมควร ตำมอ ำนำจหน้ำที่ที่ก ำหนดไว้ในข้อบังคับกำรประชุมรัฐสภำ สภำผู้แทนรำษฎร หรือ วุฒิสภำ ซึ่งจะมีควำมแตกต่ำงกับโอกำสในกำรแต่งเครื่องแบบปกติกำกีคอพับและเครื่องแบบปกติ กำกีตรวจกำร


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๔. บทสรุปและอภิปรำยผล เมื่อพิจำรณำส่วนประกอบต่ำง ๆ ของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ แล้ว จะเห็นได้ว่ำลักษณะและเครื่องหมำยประกอบหมวกของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียว ของสมำชิกรัฐสภำมีควำมคล้ำยคลึงกับหมวกของเครื่องแบบสีกำกีแกมเขียวคอแบะของข้ำรำชกำร กำรเมืองชำยและหญิงต ำแหน่งรัฐมนตรี แต่สีหมวกของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ ที่ปรำกฏตำมภำพแนบท้ำยข้อบังคับเป็นสีกำกีมิใช่สีกำกีแกมเขียว ส ำหรับลักษณะเสื้อของเครื่องแบบ ปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำมีควำมคล้ำยคลึงกับเสื้อคอเปิดสีกำกีแกมเขียวของเครื่องแบบ นักศึกษำวิชำทหำรและผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร ทั้งแบบ ก และแบบ ข บำงประกำร ส่วนลักษณะ กำงเกงของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ แม้ว่ำจะมีควำมคล้ำยคลึงกับกำงเกง ขำยำวสีกำกีแกมเขียวแบบฝึก ก ของเครื่องแบบนักศึกษำวิชำทหำรและผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำรก็ตำม แต่เนื่องจำกเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ ก ำหนดให้มีกระเป๋ำเสื้อเป็นกระเป๋ำปะ ด้ำนบน ๒ กระเป๋ำ และกระเป๋ำย่ำมด้ำนล่ำง ๒ กระเป๋ำ ซึ่งเป็นไปตำมลักษณะเสื้อคอเปิดสีกำกี แกมเขียวของเครื่องแบบนักศึกษำวิชำทหำรและผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร แบบ ข ดังนั้น กำรแต่งกำย เครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำจึงต้องปล่อยชำยเสื้อไว้นอกกำงเกง ส่วนลักษณะ รองเท้ำของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ มีควำมคล้ำยคลึงกับที่ก ำหนดไว้


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ในกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยเครื่องแบบข้ำรำชกำรกำรเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติเครื่องแบบนักศึกษำวิชำทหำรและ เครื่องแบบผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำร พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งกำรแต่งกำยของนักศึกษำวิชำทหำรและ ผู้ก ำกับนักศึกษำวิชำทหำรส่วนมำกใช้รองเท้ำสูงครึ่งน่องสีด ำ นอกจำกนี้ ส ำหรับชื่อตัวและชื่อสกุลของสมำชิก ต้องปักด้วยด้ำยหรือไหมสีเหลือง หรือสีทองเช่นเดียวกับเครื่องหมำยสังกัด ส่วนลักษณะเข็มขัดของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียว ของสมำชิกรัฐสภำ มีลักษณะคล้ำยคลึงกับที่ก ำหนดไว้ในกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยเครื่องแบบ ข้ำรำชกำรกำรเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ และกฎส ำนักนำยกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๗๑ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตำมควำม ในพระรำชบัญญัติเครื่องแบบข้ำรำชกำรฝ่ำยพลเรือน พุทธศักรำช ๒๔๗๘ แต่เครื่องแบบปกติ กำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำก ำหนดให้ใช้เข็มขัดสีกำกีแกมเขียว ๕. ข้อเสนอแนะ เมื่อพิจำรณำส่วนประกอบต่ำง ๆ ของเครื่องแบบปกติกำกีแกมเขียวของสมำชิกรัฐสภำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งสีหมวกแก๊ปทรงอ่อนของเครื่องแบบดังกล่ำวที่ปรำกฏตำมภำพแนบท้ำยข้อบังคับ ของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นสีกำกี มิใช่สีกำกีแกมเขียว ดังนั้นควรพิจำรณำแก้ไขสีหมวกตำมภำพแนบท้ำยข้อบังคับให้ถูกต้อง นอกจำกนี้ สมำชิกรัฐสภำ คณะกรรมำธิกำรกิจกำรสภำผู้แทนรำษฎร ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ตลอดจนผู้มีส่วน เกี่ยวข้องอำจพิจำรณำแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของรัฐสภำว่ำด้วยเครื่องแบบสมำชิกรัฐสภำในเรื่องอื่นใด ตำมที่เห็นว่ำจ ำเป็นและเหมำะสมได้ ว่ำที่ร้อยตรีกันตภณ ไทยค ำ นิติกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรสภำผู้แทนรำษฎร ส ำนักกรรมำธิกำร ๒


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๙๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร แนวทำงเพิ่มประสิทธิภำพในกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณ ของทุนหมุนเวียน ๑. ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ ตำมหลักกำรโดยทั่วไป บรรดำเงินที่ส่วนรำชกำร รัฐวิสำหกิจ หรือหน่วยงำนอื่นของรัฐ จัดเก็บหรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ต้องน ำส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดินทั้งหมด ไม่สำมำรถน ำไปใช้จ่ำยหรือ หักไว้เพื่อกำรใด ๆ ได้ และกำรจ่ำยเงินแผ่นดินจะต้องจ่ำยออกจำกคลัง ผ่ำนกระบวนกำรพิจำรณำ งบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี โดยควำมเห็นชอบของรัฐสภำ เนื่องจำกเงินแผ่นดินเป็นเงินของ ประชำชนทั้งชำติ กำรจ่ำยเงินแผ่นดินจึงต้องให้รัฐสภำซึ่งเป็นตัวแทนของประชำชนอนุมัติ อย่ำงไรก็ตำม เพื่อให้กำรขับเคลื่อนภำรกิจต่ำง ๆ ของรัฐส ำเร็จลุล่วง และเกิดควำมคล่องตัวในกำรใช้จ่ำยเงิน จึงมี กฎหมำยยกเว้นหลักกำรทำงกำรคลังในกำรจัดเก็บและจ่ำยเงินแผ่นดินดังกล่ำว โดยอนุญำตให้ส่วน รำชกำร รัฐวิสำหกิจ หรือหน่วยงำนอื่นของรัฐ สำมำรถเก็บเงินรำยได้ไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลัง เป็นรำยได้แผ่นดินซึ่งเป็นที่มำของ “เงินนอกงบประมำณ” โดยเงินนอกงบประมำณมีบทบำทส ำคัญใน ฐำนะที่เป็นกลไกหนึ่งในกำรสนับสนุนกำรด ำเนินงำนของรัฐบำลโดยเฉพำะนโยบำยกำรคลังทั้งในส่วน กำรกระตุ้นเศรษฐกิจ กำรรักษำเสถียรภำพด้ำนรำคำ กำรจ้ำงงำน กำรกู้ยืม และกำรกระจำยรำยได้ เนื่องจำกมีควำมคล่องตัวในกำรบริหำรจัดกำรจำกกำรผ่อนคลำยควำมควบคุมกฎระเบียบต่ำง ๆ ตลอดจนเป็นกำรกระจำยอ ำนำจและเพิ่มขีดควำมสำมำรถให้หน่วยงำนของรัฐสำมำรถด ำเนินกำรตำม วัตถุประสงค์ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพยิ่งขึ้น “ทุนหมุนเวียน” เป็นเงินนอกงบประมำณประเภทหนึ่ง จัดตั้งขึ้นเพื่อกิจกำรที่อนุญำตให้น ำ รำยรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน จำกข้อมูลของกองก ำกับและ พัฒนำระบบเงินนอกงบประมำณ กรมบัญชีกลำง พบว่ำ ปัจจุบันมีทุนหมุนเวียน ๑๑๖ ทุน โดยใน ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ทุนหมุนเวียนมีรำยได้รวม ๔๒๘,๖๘๗ ล้ำนบำท คิดเป็นร้อยละ ๑๓ ของ งบประมำณรำยจ่ำยฯ (พ.ศ. ๒๕๖๔ งบประมำณรำยจ่ำยฯ ๓,๒๘๕,๙๖๒ ล้ำนบำท) และมีสินทรัพย์รวม กว่ำ ๔,๗๙๒,๘๒๒ ล้ำนบำท โดยในปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ทุนหมุนเวียนต่ำง ๆ ได้น ำทุนหรือก ำไร ส่วนเกินส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน ๕๗,๙๙๐ ล้ำนบำท คิดเป็นร้อยละ ๓.๗๖ ของรำยได้ทุนหมุนเวียน ทั้งหมด๕ ซึ่งจะเห็นได้ว่ำทุนหมุนเวียนน ำทุนหรือก ำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดินค่อนข้ำงน้อย ท ำให้เงินของทุนหมุนเวียนซึ่งเป็นเงินนอกงบประมำณมีจ ำนวนมำก และส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่มีสภำพ คล่องสูง ประกอบกับมีกำรผ่อนคลำยกฎระเบียบทำงกำรคลังเพื่อให้ทุนหมุนเวียนมีควำมคล่องตัวใน กำรใช้จ่ำยเงิน เช่น ก ำหนดให้ทุนหมุนเวียนไม่ต้องขออนุมัติงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปีจำกฝ่ำยนิติ บัญญัติโดยคณะกรรมกำรบริหำรของแต่ละทุนหมุนเวียนสำมำรถออกระเบียบและอนุมัติใช้จ่ำยเงินได้เอง ๕ กองก ำกับและพัฒนำระบบเงินนอกงบประมำณ กรมบัญชีกลำง. ข้อมูลภำพรวมเงินนอกงบประมำณและทุนหมุนเวียน. กรมบัญชีกลำง : กรุงเทพฯ (๒๕๖๕, น. ๓๔-๓๕)


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ดังนั้น หำกกำรบริหำรทุนหมุนเวียนขำดประสิทธิภำพ อำจก่อให้เกิดกำรทุจริต และเกิด ค่ำเสียโอกำสของงบประมำณที่จะน ำไปใช้ด ำเนินกำรในเรื่องที่ส ำคัญอื่น ๆ ได้ ดังจะเห็นได้จำกกำร ด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และ กองทุน ที่ผ่ำนมำ ซึ่งพบว่ำมีกำรร้องเรียนเกี่ยวกับกำรใช้จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียนหลำยกองทุน เช่น กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อกำรศึกษำ กองทุนสนับสนุนกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ กองทุนพัฒนำสื่อปลอดภัย และสร้ำงสรรค์กองทุนพัฒนำทรัพยำกรน้ ำบำดำล และกองทุนเพื่อควำมปลอดภัยในกำรใช้รถ ใช้ถนน เป็นต้น โดยคณะกรรมำธิกำรได้มีกำรประชุมเพื่อพิจำรณำศึกษำและสอบหำข้อเท็จจริง เกี่ยวกับกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนหลำยครั้ง แต่พบปัญหำว่ำ กลุ่มงำน คณะกรรมำธิกำรมีฐำนข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุนหมุนเวียนค่อนข้ำงน้อย และเอกสำรทำงวิชำกำร เกี่ยวกับทุนหมุนเวียนที่มีส่วนใหญ่เป็นเพียงกำรค้นคว้ำและรวบรวมข้อมูลในเบื้องต้น ยังไม่มี กำรศึกษำและวิเครำะห์ข้อมูลในเชิงลึกอย่ำงเพียงพอ เนื่องจำกกำรจัดท ำเอกสำรทำงวิชำกำรในเรื่อง ดังกล่ำว จ ำเป็นต้องใช้องค์ควำมรู้ในด้ำนงบประมำณ กำรเงิน และกำรคลังภำครัฐ อีกทั้งต้องมี กำรศึกษำวิเครำะห์กฎหมำยหลำยฉบับ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ พระรำชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ พระรำชบัญญัติวิธีกำรงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระรำชบัญญัติวินัยกำรเงินกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระรำชบัญญัติกำรบริหำรทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนกฎหมำยอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้เวลำในกำรศึกษำและวิเครำะห์ข้อมูลแต่ด้วย ภำระงำนของกลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรมีมำก วิทยำกรและนิติกรประจ ำกลุ่มงำนจึงไม่สำมำรถจัดท ำ เอกสำรทำงวิชำกำรในเรื่องดังกล่ำวได้ทัน ท ำให้คณะกรรมำธิกำรไม่มีเอกสำรทำงวิชำกำรที่มีคุณภำพ และจ ำนวนเพียงพอที่จะใช้เป็นฐำนข้อมูลประกอบกำรพิจำรณำได้อย่ำงทันท่วงที จำกเหตุผลดังกล่ำวข้ำงต้น จึงจ ำเป็นต้องมีกำรศึกษำ วิเครำะห์ และจัดท ำเอกสำรทำง วิชำกำรที่เกี่ยวข้องกับกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภำพกำรปฏิบัติงำนของกลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ในกำรสนับสนุนกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรกิจกำร ศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน สภำผู้ทนรำษฎร ชุดที่ ๒๖ ในกำรพิจำรณำศึกษำหรือสอบหำข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่ำว โดยมีประเด็นปัญหำที่ต้องพิจำรณำศึกษำ โดยละเอียดเป็นต้นว่ำ ควรก ำหนดมำตรกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณอย่ำงไร ไม่ให้ กำรใช้จ่ำยเงินถูกจ ำกัดมำกเกินไป จนขัดต่อวัตถุประสงค์ของกำรจัดตั้งทุนหมุนเวียนที่ต้องกำรควำม ยืดหยุ่นในกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณ หรือควรก ำหนดสัดส่วนของเงินนอกงบประมำณอย่ำงไร ให้เงินนอกงบประมำณมีอย่ำงจ ำกัดและเท่ำที่จ ำเป็น ไม่ให้กระทบกับกำรปฏิบัติงำนของส่วนรำชกำร รัฐวิสำหกิจ หรือหน่วยงำนอื่นของรัฐ เป็นต้น ๒. กฎหมำย กฎ ระเบียบ และยุทธศำสตร์ที่เกี่ยวข้อง กำรจัดตั้งทุนหมุนเวียนสำมำรถด ำเนินกำรได้โดยอำศัยอ ำนำจตำมพระรำชบัญญัติ งบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี หรือพระรำชบัญญัติเฉพำะ ด ำเนินกำรภำยใต้กรอบวัตถุประสงค์


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร และกิจกรรมที่แตกต่ำงกันไปของแต่ละหน่วยงำน โดยมีกฎหมำยที่เกี่ยวข้องกับเงินนอกงบประมำณ และทุนหมุนเวียน ดังนี้ ๒.๑ พระรำชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระรำชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ก ำหนดขอบเขต ของเงินนอกงบประมำณไว้ในมำตรำ ๓ โดยบัญญัติควำมหมำยเกี่ยวกับเงินนอกงบประมำณประเภทเงินยืม ทดรองรำชกำร เงินฝำก เงินขำยบิล และทุนหมุนเวียน ดังนี้ “เงินยืมทดรองรำชกำร” หมำยควำมว่ำ เงินซึ่งกระทรวงกำรคลังอนุญำตให้ส่วนรำชกำร มีไว้ตำมจ ำนวนที่เห็นควร เพื่อทดรองจ่ำยเป็นค่ำใช้สอยปลีกย่อยประจ ำส ำนักงำนตำมข้อบังคับ และ ระเบียบของกระทรวงกำรคลัง “เงินฝำก” หมำยควำมว่ำ เงินที่กระทรวงกำรคลังรับฝำกไว้และจ่ำยคืนตำมค ำขอ ของผู้ฝำกตำมข้อบังคับและระเบียบของกระทรวงกำรคลัง “เงินขำยบิล” หมำยควำมว่ำ เงินที่กระทรวงกำรคลังรับไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง เพื่อโอนไป จ่ำย ณ ที่อีกแห่งหนึ่งตำมข้อบังคับและระเบียบของกระทรวงกำรคลัง “ทุนหมุนเวียน” หมำยควำมว่ำ ทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจกำรซึ่งอนุญำตให้น ำรำยรับสมทบ ทุนไว้ใช้จ่ำยได้ “มำตรำ ๔ ภำยใต้บังคับแห่งมำตรำ ๑๓ บรรดำเงินทั้งปวงที่พึงช ำระให้แก่รัฐบำลไม่ ว่ำเป็นภำษีอำกร ค่ำธรรมเนียม ค่ำปรับ เงินกู้หรือเงินอื่นใด หัวหน้ำส่วนรำชกำรที่ได้เก็บหรือรับเงิน นั้นมีหน้ำที่ควบคุมให้ส่งเข้ำบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ หรือส่งคลังจังหวัดหรือคลังอ ำเภอตำม ก ำหนดเวลำและข้อบังคับที่รัฐมนตรีก ำหนด โดยไม่หักเงินไว้เพื่อกำรใด ๆ เลย รัฐมนตรีมีอ ำนำจก ำหนดข้อบังคับอนุญำตให้หัวหน้ำส่วนรำชกำรใด ๆ หักรำยจ่ำย จำกเงินที่จะต้องส่งเข้ำบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ หรือส่งคลังจังหวัดหรือคลังอ ำเภอได้ ในกรณีดังนี้ (๑) รำยจ่ำยที่หักนั้นเป็นรำยจ่ำยที่มีกฎหมำยอนุญำตให้จ่ำยได้ (๒) รำยจ่ำยที่จ ำเป็นต้องจ่ำยตำมระเบียบที่ได้รับควำมตกลงจำกกระทรวงกำรคลัง เพื่อเป็นค่ำสินบนรำงวัล หรือค่ำใช้จ่ำยในกำรจัดให้ได้มำซึ่งเงินอันพึงต้องช ำระให้แก่รัฐบำล (๓) รำยจ่ำยที่ต้องจ่ำยคืนให้แก่บุคคลใด ๆ เพรำะเป็นเงินอันไม่พึงต้องช ำระให้แก่รัฐบำล” ๒.๒ พระรำชบัญญัติวินัยกำรเงินกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระรำชบัญญัติวินัยกำรเงินกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้ให้ควำมหมำย ของทุนหมุนเวียนและเงินนอกงบประมำณไว้ในมำตรำ ๔ ดังนี้ “ทุนหมุนเวียน” หมำยควำมว่ำ กองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุนหมุนเวียน ทุน หรือทุนหมุนเวียน ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจกำรที่อนุญำตให้น ำรำยรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลัง “เงินนอกงบประมำณ” หมำยควำมว่ำ บรรดำเงินทั้งปวงที่หน่วยงำนของรัฐจัดเก็บ หรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ตำมกฎหมำย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือจำกนิติกรรมหรือนิติเหตุ หรือกรณีอื่นใด ที่ต้องน ำส่งคลัง แต่มีกฎหมำยอนุญำตให้สำมำรถเก็บไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลัง


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๒.๓ พระรำชบัญญัติกำรบริหำรทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ “มำตรำ ๔ ทุนหมุนเวียน หมำยถึงว่ำ กองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุน หมุนเวียน ทุน หรือทุนหมุนเวียน ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจกำรที่อนุญำตให้น ำรำยรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ำยได้โดย ไม่ต้องน ำส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน” “มำตรำ ๑๔ ให้หน่วยงำนของรัฐที่ประสงค์จะขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถำนะ เป็นนิติบุคคลเสนอเรื่องต่อคณะกรรมกำรเพื่อพิจำรณำเสนอควำมเห็นต่อคณะรัฐมนตรี หลักเกณฑ์ วิธีกำร และเงื่อนไขในกำรขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนตำมวรรคหนึ่งให้เป็นไป ตำมที่รัฐมนตรีประกำศก ำหนดโดยควำมเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี” “มำตรำ ๑๕ ทุนหมุนเวียนที่หน่วยงำนของรัฐขอจัดตั้งตำมมำตรำ ๑๔ จะต้อง มีลักษณะดังต่อไปนี้ (๑) มีควำมจ ำเป็นต้องจัดตั้งตำมนโยบำยของรัฐบำล (๒) ไม่มีกำรด ำเนินกำรในลักษณะเดียวกับภำรกิจปกติของหน่วยงำนของรัฐที่ขอ จัดตั้ง และไม่ซ้ ำซ้อนกับหน้ำที่ของหน่วยงำนของรัฐอื่นหรือทุนหมุนเวียนที่ได้ด ำเนินกำรอยู่แล้ว (๓) ไม่เป็นกำรประกอบกิจกำรแข่งขันกับภำคเอกชน รัฐวิสำหกิจ หรือกิจกรรมที่ เอกชนหรือรัฐวิสำหกิจสำมำรถด ำเนินกำรได้ (๔) มีลักษณะอื่นตำมที่คณะกรรมกำรนโยบำยกำรบริหำรทุนหมุนเวียนประกำศก ำหนด” ๒.๔ พระรำชกฤษฎีกำก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุด และกำรน ำทุนหรือผลก ำไรส่วนเกิน ของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕ “มำตรำ ๖ กำรก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุด ให้ค ำนวณโดยน ำประมำณกำร รำยจ่ำยประจ ำปีบัญชีปัจจุบันและประมำณกำรรำยจ่ำยประจ ำปีบัญชีย้อนหลังไปอีกสองปี รวมกัน สำมรอบปีบัญชีคูณด้วยร้อยละเฉลี่ยของควำมสำมำรถในกำรจ่ำยเงินสำมรอบปีบัญชีที่ล่วงมำแล้ว ในกรณีที่กำรก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุดที่ค ำนวณตำมหลักเกณฑ์ในวรรคหนึ่ง จะท ำให้ทุนหมุนเวียนใดมีจ ำนวนเงินสะสมสูงสุดมำกเกินควำมจ ำเป็นต่อกำรด ำเนินงำนในปีบัญชีใด คณะกรรมกำรมีอ ำนำจก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุดของทุนหมุนเวียนในปีบัญชีนั้น โดยให้ค ำนวณ โดยน ำประมำณกำรรำยจ่ำยประจ ำปีบัญชีปัจจุบันและประมำณกำรรำยจ่ำยประจ ำปีบัญชีย้อนหลังไปอีก หนึ่งปีรวมกันสองรอบปีบัญชี คูณด้วยร้อยละเฉลี่ยของควำมสำมำรถในกำรจ่ำยเงินสองรอบปีบัญชีที่ล่วง มำแล้ว ทุนหมุนเวียนใดเห็นว่ำจ ำนวนเงินสะสมสูงสุดที่ค ำนวณตำมวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณีจะไม่เพียงพอในกำรด ำเนินงำน จะขอก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุดเพิ่มขึ้นก็ได้โดยต้อง ได้รับควำมเห็นชอบจำกคณะกรรมกำร” ๓. บทวิเครำะห์ ๓.๑ ควำมหมำยและลักษณะทั่วไปของ “เงินนอกงบประมำณ” และ “ทุนหมุนเวียน” พระรำชบัญญัติวินัยกำรเงินกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระรำชบัญญัติวิธีกำร งบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และระเบียบกระทรวงกำรคลังว่ำด้วยกำรเบิกเงินจำกคลัง กำรรับเงิน


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรจ่ำยเงิน กำรเก็บรักษำเงิน และกำรน ำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ให้ค ำนิยำมของ “เงินนอก งบประมำณ” ไว้ตรงกันคือ หมำยถึง บรรดำเงินทั้งปวงที่หน่วยงำนของรัฐจัดเก็บ หรือได้รับไว้เป็น กรรมสิทธิ์ตำมกฎหมำย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือจำกนิติกรรมหรือนิติเหตุ หรือกรณีอื่นใด ที่ต้องน ำส่ง คลัง แต่มีกฎหมำยอนุญำตให้สำมำรถเก็บไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลัง ดังนั้น เงินนอกงบประมำณ จึงไม่ถูกน ำไปรวมเป็นรำยได้แผ่นดิน กำรให้ค ำนิยำมของเงินนอกงบประมำณดังกล่ำว มีองค์ประกอบส ำคัญอยู่ ๒ ประกำร คือ ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของหน่วยงำนของรัฐประกำรหนึ่ง และเป็นเงินที่มีกฎหมำยอนุญำตให้สำมำรถเก็บ ไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลังอีกประกำรหนึ่ง ซึ่งกำรให้ค ำนิยำมดังกล่ำวมุ่งเน้นไปที่กำรที่เงินที่เป็น กรรมสิทธิ์ของหน่วยงำนของรัฐนั้นไม่ต้องน ำส่งคลัง และหำกเป็นเงินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของหน่วยงำนของรัฐ นั้นต้องน ำส่งคลัง ก็ไม่ถือเป็นเงินนอกงบประมำณ ซึ่งกำรให้นิยำมเงินนอกงบประมำณไว้ตำม ควำมหมำยข้ำงต้นนั้นไม่ครอบคลุมถึงควำมหมำยของเงินนอกงบประมำณทั้งหมด เพรำะยังมีเงินนอก งบประมำณบำงกรณีที่กฎหมำยบัญญัติให้ต้องน ำส่งคลัง๖ กำรแบ่งประเภทของเงินนอกงบประมำณนั้น หำกใช้เงินคงคลังเป็นเกณฑ์ จะแบ่ง ออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ เงินนอกงบประมำณที่เป็นเงินคงคลัง และเงินนอกงบประมำณที่มิได้เป็น เงินคงคลัง โดยเงินนอกงบประมำณที่เป็นเงินคงคลัง หมำยถึง เงินทั้งปวงที่มิใช่เงินงบประมำณ แต่เป็นเงิน นอกงบประมำณที่อยู่ในควำมรับผิดชอบของส่วนรำชกำร รัฐวิสำหกิจ หรือหน่วยงำนอื่นของรัฐ ซึ่ง กระทรวงกำรคลังรับไว้โดยมีข้อผูกพันว่ำจะต้องจ่ำยคืนให้แก่เจ้ำของเงิน เช่น เงินที่ส่วนรำชกำร รัฐวิสำหกิจหรือหน่วยงำนของรัฐ น ำไปฝำกไว้กับกระทรวงกำรคลังและธนำคำรแห่งประเทศไทย คลัง จังหวัด หรือคลังอ ำเภอ เป็นกำรชั่วครำว เงินยืมทดรองรำชกำร และเงินขำยบิล เป็นต้น ดังนั้น เงินนอก งบประมำณที่เป็นเงินคงคลังจึงถือเป็นเงินคงคลังประเภทหนึ่ง แต่ไม่ถูกน ำไปรวมเป็นรำยได้แผ่นดิน เพื่อจัดสรรเป็นรำยจ่ำยตำมพระรำชบัญญัติงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี ส่วนเงินนอกงบประมำณที่มิได้เป็นเงินคงคลัง หมำยถึง เงินที่กฎหมำยอนุญำตให้ ส่วนรำชกำร รัฐวิสำหกิจ หรือหน่วยงำนอื่นของรัฐ เก็บไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่น ำส่งคลัง โดยหน่วยงำนที่ เป็นเจ้ำของเงินนอกงบประมำณดังกล่ำวสำมำรถเบิกจ่ำยได้อย่ำงอิสระจำกกระบวนกำรจัดสรร งบประมำณ โดยสำมำรถแบ่งเงินนอกงบประมำณที่มิได้เป็นเงินคงคลัง ได้เป็น ๒ ประเภท๗ ได้แก่ ๑. ทุนหมุนเวียน หมำยถึง กองทุน เงินทุน หรือทุนหมุนเวียนต่ำง ๆ ที่จัดตั้งขึ้น ตำมกฎหมำยเฉพำะ เพื่อให้หน่วยงำนของรัฐน ำเงินงบประมำณที่ได้ก ำหนดเป็นทุนหมุนเวียนไปใช้จ่ำย ในกิจกรรมหรือวัตถุประสงค์ตำมกฎหมำยนั้น ๆ หรือน ำเงินรำยรับที่หน่วยงำนภำครัฐได้รับจำก กำรด ำเนินงำนสบทบไว้ใช้จ่ำยหมุนเวียนในกิจกำร โดยไม่ต้องน ำส่งเป็นรำยได้แผ่นดิน ซึ่งสำมำรถแบ่ง ประเภททุนหมุนเวียนออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ ทุนหมุนเวียนที่ไม่มีรำยได้เป็นของตนเอง ทุนหมุนเวียน ที่มีรำยได้เป็นของตนเอง และทุนหมุนเวียนที่มีรำยได้หลักจำกกำรจัดสรรภำษีให้เป็นกำรเฉพำะ ดังนี้ ๖ นนทกร เกรียงศิริ. วิเคราะห์กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารเงินนอกงบประมาณของประเทศไทย. รำยงำนกำร วิจัย. กรุงเทพฯ: คณะนิติศำสตร์มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์. (๒๕๖๑, น. ๙) ๗ วริยำ โควสุรัตน์. การควบคุมการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณที่ไม่ใช่เงินคงคลังของส่วนราชการ. วิทยำนิพนธ์ มหำบัณฑิต คณะนิติศำสตร์ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์. (๒๕๕๘, น. ๓๕-๓๗)


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๑.๑ ทุนหมุนเวียนที่พึ่งงบประมำณเป็นหลัก เป็นกลุ่มเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่สำมำรถ หำรำยได้จำกภำรกิจของเงินทุนได้ จึงไม่มีเงินทุนในกำรบริหำรงำนของเงินทุนหมุนเวียนจ ำเป็นต้องได้รับ เงินอุดหนุนจำกงบประมำณอย่ำงต่อเนื่อง เช่น กองทุนหลักประกันสุขภำพแห่งชำติ กองทุนสนับสนุน กำรวิจัย กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อกำรศึกษำ และกองทุนหมู่บ้ำนและชุมชนเมืองแห่งชำติ ๑.๒ ทุนหมุนเวียนที่มีรำยได้จำกภำรกิจหลัก เป็นกลุ่มทุนหมุนเวียนที่มีรำยได้ จำกภำรกิจของเงินทุน โดยเป็นรำยได้ที่จัดเก็บจำกประชำชนหรือภำคธุรกิจเป็นกำรเฉพำะ เช่น กองทุน ประกันสังคม กองทุนวิจัยและพัฒนำกิจกำรกระจำยเสียง กิจกำรโทรทัศน์และกิจกำรโทรคมนำคมเพื่อ ประโยชน์สำธำรณะ และกองทุนน้ ำมันเชื้อเพลิง ๑.๓ ทุนหมุนเวียนที่มีรำยได้หลักจำกกำรจัดสรรภำษีให้เป็นกำรเฉพำะ เช่น กองทุนสนับสนุนกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ และกองทุนพัฒนำกำรกีฬำแห่งชำติ ที่มีรำยได้หลักจำกภำษีที่ รัฐจัดเก็บจำกผู้ผลิตและผู้น ำเข้ำสินค้ำสุรำและยำสูบ ๒. เงินนอกงบประมำณที่มีกฎหมำยก ำหนดไว้เป็นกำรเฉพำะ หมำยถึง กลุ่มเงินที่มี กฎหมำยก ำหนดไว้เป็นกำรเฉพำะ ให้เป็นของหน่วยงำนใด ๆ เช่น องค์กำรมหำชนที่มีรำยได้ส่วนหนึ่งมำ จำกค่ำธรรมเนียม ค่ำตอบแทน ค่ำบริกำร หรือรำยได้จำกกำรด ำเนินกำร รวมถึงเงินอุดหนุนจำกรัฐบำล โดยไม่ต้องส่งงบประมำณที่เหลือจ่ำยคืนคลัง หรือองค์กรอิสระอย่ำงส ำนักงำนตรวจเงินแผ่นดินที่มี บทบัญญัติเรื่องรำยได้ที่ไม่ต้องน ำส่งคลังตำมกฎหมำยว่ำด้วยเงินคงคลัง และกฎหมำยว่ำด้วยวิธีกำร งบประมำณ ดังนั้น เงินดังกล่ำวจึงเป็นเงินที่รัฐบำลไม่สำมำรถบังคับใช้ได้โดยตรง ตำรำงที่ ๑ เปรียบเทียบจ ำนวนเงินนอกงบประมำณที่เป็นเงินคงคลังและเงินนอก งบประมำณที่มิได้เป็นเงินคงคลัง ประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๒ – พ.ศ. ๒๕๖๔ หน่วย : ล้ำนบำท ล ำดับ รำยกำร ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จ ำนวนเงิน ร้อยละ จ ำนวนเงิน ร้อยละ จ ำนวนเงิน ร้อยละ ๑ เงินนอก งบประมำณที่เป็น เงินคงคลัง (เงินฝำก กระทรวงกำรคลัง) ๒๖๕,๗๕๖ ๕.๗๖ ๓๑๕,๔๖๒ ๖.๕๒ ๓๕๑,๑๒๐ ๖.๘๓ ๒ เงินนอก งบประมำณที่มิได้ เป็นเงินคงคลัง (ทุน หมุนเวียน) ๔,๓๔๕,๑๔๗ ๙๔.๒๔ ๔,๕๒๕,๒๙๖ ๙๓.๔๘ ๔,๗๙๒,๘๒๒ ๙๓.๑๗ รวม ๔,๖๑๐,๙๐๔ ๑๐๐ ๔,๘๔๐,๗๕๙ ๑๐๐ ๕,๑๔๓,๙๔๓ ๑๐๐ ที่มำ : กองก ำกับและพัฒนำระบบเงินนอกงบประมำณ กรมบัญชีกลำง


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๓.๒ ภำพรวมเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียน ทุนหมุนเวียนถือเป็นเงินนอกงบประมำณประเภทหนึ่ง (เงินนอกงบประมำณที่มิได้ เป็นเงินคงคลัง) เนื่องจำกกฎหมำยอนุญำตให้สำมำรถเก็บเงินรำยได้ไว้ใช้จ่ำยโดยไม่ต้องน ำส่งคลังเป็น รำยได้แผ่นดิน โดยพระรำชบัญญัติกำรบริหำรทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระรำชบัญญัติวินัย กำรเงินกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้ให้ควำมหมำยของ “ทุนหมุนเวียน” ว่ำหมำยถึง กองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุนหมุนเวียน ทุน หรือทุนหมุนเวียน ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจกำรที่อนุญำตให้น ำ รำยรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ำยได้โดยไม่ต้องน ำส่งคลัง ปัจจุบันมีทุนหมุนเวียนทั้งสิ้น ๑๑๖ ทุน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ทุนหมุนเวียนที่มีสถำนะเป็นนิติบุคคล ๑๕ ทุน และทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถำนะเป็นนิติ บุคคล ๑๐๑ ทุน โดยภำพรวมงบกำรเงินของทุนหมุนเวียน ทั้ง ๑๑๖ ทุน ตั้งแต่ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๔ พบว่ำ มีสินทรัพย์รวมกว่ำ ๔,๐๐๐,๐๐๐ ล้ำนบำท ดังนี้ ตำรำงที่ ๒ ภำพรวมงบกำรเงินของทุนหมุนเวียน ตั้งแต่ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๔ หน่วย : ล้ำนบำท ปีงบประมำณ ฐำนะกำรเงิน ผลกำรด ำเนินงำน สินทรัพย์รวม สินทรัพย์สุทธิ รำยได้รวม ค่ำใช้จ่ำยรวม ๒๕๖๒ ๔,๓๔๕,๑๔๗ ๒,๖๖๓,๑๓๑ ๖๒๖,๒๔๗ ๓๖๒,๓๑๔ ๒๕๖๓ ๔,๕๒๕,๒๙๖ ๒,๗๓๙,๐๑๒ ๖๐๖,๐๘๗ ๔๘๑,๖๑๖ ๒๕๖๔ ๔,๗๙๒,๘๒๒ ๒,๙๑๕,๕๗๓ ๔๒๘,๖๗๘ ๔๓๒,๒๕๔ ที่มำ : กองก ำกับและพัฒนำระบบเงินนอกงบประมำณ กรมบัญชีกลำง เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของเงินนอกงบประมำณกับเงินงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี งบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และ พ.ศ. ๒๕๖๔ พบว่ำ ในปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ทุนหมุนเวียน มีสินทรัพย์รวม ๔,๕๒๕,๒๙๖ ล้ำนบำท ซึ่งมำกกว่ำงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี ๑,๓๒๕,๒๙๖ ล้ำน บำท (งบประมำณรำยจ่ำยฯ ๓,๒๐๐,๐๐๐ ล้ำนบำท) และในปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ทุนหมุนเวียน มีสินทรัพย์รวม ๔,๗๙๒,๘๒๒ ล้ำนบำท มำกกว่ำงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี ๑,๕๐๖,๘๖๐ ล้ำนบำท (งบประมำณรำยจ่ำยฯ ๓,๒๘๕,๙๖๒ ล้ำนบำท) ซึ่งจะเห็นได้ว่ำเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียน มีสัดส่วนค่อนข้ำงสูง ตำรำงที่ ๓ สัดส่วนของเงินนอกงบประมำณกับเงินงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และ พ.ศ. ๒๕๖๔ หน่วย : ล้ำนบำท ปีงบประมำณ เงินงบประมำณ เงินนอกงบประมำณ เงินฝำก ทุนหมุนเวียน ๒๕๖๓ ๓,๒๐๐,๐๐๐ ๓๑๕,๔๖๒ ๔,๕๒๕,๒๙๖ ๒๕๖๔ ๓,๒๘๕,๙๖๒ ๓๑๕,๑๒๐ ๔,๗๙๒๘๒๒ ที่มำ : รำยงำนกำรวิเครำะห์ร่ำงพระรำชบัญญัติงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ – ๒๕๖๔


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร และเมื่อพิจำรณำสัดส่วนกำรน ำทุนหรือก ำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน พบว่ำ ทุนหมุนเวียนมีกำรน ำทุนหรือก ำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดินค่อนข้ำงน้อย โดยในระหว่ำง ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๖๖ ทุนหมุนเวียนต่ำง ๆ น ำทุนหรือก ำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรำยได้ แผ่นดิน คิดเป็นร้อยละ ๓.๗๖, ๕.๔๓ และ ๖.๑๗ ของรำยได้เงินนอกงบประมำณทั้งหมด (ตำมล ำดับ)๘ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้ำงต่ ำ ท ำให้เงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนมีจ ำนวนมำกเกินควำมจ ำเป็น และมำกกว่ำสัดส่วนของเงินนอกงบประมำณของต่ำงประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกำและญี่ปุ่น ทั้งนี้ เงิน นอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนจะไม่ถูกน ำไปรวมเป็นรำยได้แผ่นดินเพื่อจัดสรรเป็นรำยจ่ำยตำม พระรำชบัญญัติงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี ดังนั้น หำกกำรบริหำรสินทรัพย์ของทุนหมุนเวียนขำด ประสิทธิภำพ อำจจะก่อให้เกิดค่ำเสียโอกำสของงบประมำณที่จะน ำไปใช้ด ำเนินกำรในเรื่องที่ส ำคัญอื่น ๆ ๓.๓ ปัญหำในกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียน เนื่องจำกทุนหมุนเวียนจัดตั้งขึ้นเพื่อกิจกำรที่อนุญำตให้น ำรำยรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ำย ได้ โดยไม่ต้องน ำส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน จึงมีกำรผ่อนคลำยกฎระเบียบทำงกำรคลังเพื่อให้เกิดควำม คล่องตัวในกำรเบิกจ่ำย โดยไม่ผูกยึดกับกฎระเบียบรำชกำร และให้อ ำนำจหน่วยงำนรำชกำรที่ รับผิดชอบสำมำรถออกกฎระเบียบและอนุมัติใช้จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียนได้เอง ซึ่งกำรผ่อนคลำยกฎระเบียบ ทำงกำรคลังดังกล่ำว ได้ส่งผลกระทบต่อกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียน ดังนี้ ๓.๓.๑ ผลกระทบต่อกำรตรวจสอบของฝ่ำยนิติบัญญัติ เมื่อพิจำรณำแหล่งที่มำของรำยได้ของทุนหมุนเวียน พบว่ำ ทุนหมุนเวียน ส่วนใหญ่มีรำยได้จำกภำรกิจหลักเพียงพอในกำรใช้จ่ำยด ำเนินงำน หรือมีรำยได้หลักจำกกำรจัดสรร ภำษีให้เป็นกำรเฉพำะ จึงไม่ต้องขอรับกำรอุดหนุนงบประมำณจำกรัฐสภำ โดยคณะกรรมกำรของแต่ ละทุนหมุนเวียนสำมำรถออกระเบียบและอนุมัติใช้จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียนได้เอง ซึ่งไม่เป็นไปตำม หลักควำมยินยอม และหลักอ ำนำจในกำรอนุมัติเป็นของรัฐสภำ แตกต่ำงจำกเงินงบประมำณที่ กฎหมำยก ำหนดให้ต้องได้รับกำรอนุมัติจำกฝ่ำยนิติบัญญัติก่อนจึงจะน ำไปใช้จ่ำยได้ จึงท ำให้เกิดกำร ตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่ำงฝ่ำยนิติบัญญัติและฝ่ำยบริหำร อย่ำงไรก็ตำม แม้ว่ำทุนหมุนเวียนส่วนใหญ่ไม่จ ำเป็นต้องขอรับกำรอุดหนุน งบประมำณจำกรัฐสภำ แต่ยังหมุนหมุนเวียนบำงส่วนที่มีรำยได้ไม่เพียงพอในกำรใช้จ่ำยด ำเนินงำน จึง ต้องขอรับกำรจัดสรรงบประมำณจำกรัฐสภำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกำรกู้ยืม กำรสงเครำะห์และสวัสดิกำร และกำรสนับสนุนส่งเสริม โดยในปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๖ มีทุน หมุนเวียนได้รับกำรจัดสรรงบประมำณจำกรัฐสภำ ทั้งสิ้น ๓๐ ทุน รวมเป็นเงิน ๒๐๖,๙๘๕ ล้ำนบำท คิดเป็นร้อยละ ๕.๖ ของงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปี โดยทุนหมุนเวียนที่ได้รับกำรจัดสรรงบประมำณ มำกที่สุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภำพแห่งชำติ ๑๔๒,๒๙๗ ล้ำนบำท (ร้อยละ ๖๘.๘) กองทุนประชำรัฐสวัสดิกำรเพื่อเศรษฐกิจฐำนรำกและสังคม ๓๕,๕๑๔ ล้ำนบำท (ร้อยละ ๑๗.๒) กองทุนส่งเสริมวิทยำศำสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ๑๗,๐๑๑ ล้ำนบำท (ร้อยละ ๘.๒) กองทุนเพื่อ ๘ เอกสำรงบประมำณ ฉบับที่ ๗ รำยงำนสถำนะและแผนกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของหน่วยรับงบประมำณ ประจ ำปี งบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๖


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ควำมเสมอภำคทำงกำรศึกษำ ๖,๐๗๓ บำท (ร้อยละ ๒.๙) และกองทุนกำรแพทย์ฉุกเฉิน ๑,๐๕๐ ล้ำนบำท (ร้อยละ ๐.๕) รวมงบประมำณทุนหมุนเวียน ๕ อันดับ ๒๐๑,๙๔๘ ล้ำนบำท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๖ ของงบประมำณทุนหมุนเวียนทั้งหมดที่ขอรับกำรอุดหนุนงบประมำณ (๓๐ ทุน) แต่ในกระบวนกำร พิจำรณำงบประมำณของทุนหมุนเวียนดังกล่ำว พบว่ำ แผนกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณที่ทุน หมุนเวียนแสดงไว้ในเอกสำรงบประมำณมีเพียงกรอบวงเงินส ำหรับกำรใช้จ่ำย ไม่มีรำยละเอียดที่ ชัดเจนเพียงพอต่อกำรพิจำรณำงบประมำณ อีกทั้งทุนหมุนเวียนบำงส่วนไม่มีกำรรำยงำน ควำมก้ำวหน้ำหรือผลกำรด ำเนินงำนให้รัฐสภำทรำบ ๓.๓.๒ ผลกระทบต่อกำรตรวจสอบของฝ่ำยบริหำร พระรำชบัญญัติกำรบริหำรทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ก ำหนดมำตรกำร ก ำกับและบริหำรทุนหมุนเวียน โดยก ำหนดให้มีคณะกรรมกำรนโยบำยกำรบริหำรทุนหมุนเวียน ที่มี รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกำรคลังเป็นประธำน มีอ ำนำจตำมที่ก ำหนดในมำตรำ ๑๑ ดังนี้ (๑) ก ำหนดนโยบำยและแผนกำรบริหำรทุนหมุนเวียนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (๒) พิจำรณำกลั่นกรองกำรขออนุมัติจัดตั้งทุนหมุนเวียน (๓) ก ำกับติดตำมกำรบริหำรทุนหมุนเวียน ( ๔ ) เสนอให้มีหลักเกณฑ์ในกำรก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุดส ำหรับ ทุนหมุนเวียนต่ำง ๆ ตำมควำมเหมำะสมต่อคณะรัฐมนตรี โดยหลักเกณฑ์ดังกล่ำวต้องตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ (๕) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีในกำรรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน (๖) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในกำรน ำทุนหรือผลก ำไรส่วนเกินของทุน หมุนเวียนส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน ทั้งนี้ ตำมหลักเกณฑ์ที่ตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ (๗) ประกำศก ำหนดหลักเกณฑ์กำรประเมินผลทุนหมุนเวียนและกำรจัดท ำ รำยงำนทำงกำรเงินของทุนหมุนเวียน (๘) ก ำหนดมำตรฐำนเกี่ยวกับกำรบริหำรงำนบุคคล กำรเงิน กำรพัสดุ ตลอดจนกำรก ำหนดค่ำตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิกำรต่ำง ๆ ของคณะกรรมกำรบริหำร ผู้บริหำรทุนหมุนเวียน และลูกจ้ำง (๙) ปฏิบัติกำรอื่นใดตำมที่กฎหมำยก ำหนดให้เป็นอ ำนำจหน้ำที่ของคณะกรรมกำร หรือตำมที่คณะรัฐมนตรีมอบหมำย กำรบริหำรทุนหมุนเวียนตำมมำตรำ ๑๘ ของพระรำชบัญญัติกำรบริหำร ทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ก ำหนดให้แต่ละทุนหมุนเวียนมีคณะกรรมกำรบริหำรทุนหมุนเวียนของ ตนเอง โดยหัวหน้ำหน่วยงำนของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนเป็นประธำน มีอ ำนำจตำมที่ก ำหนดในมำตรำ ๒๑ ดังนี้ (๑ ) ก ำหนดนโยบำย ก ำกับดู แลกำรบริห ำรจัดกำร และติ ดต ำม กำรด ำเนินงำนให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน (๒) ก ำหนดข้อบังคับว่ำด้วยกำรบริหำรงำนบุคคล กำรเงิน กำรพัสดุ ตลอดจน กำรก ำหนดค่ำตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิกำรต่ำง ๆ ของคณะกรรมกำรบริหำร ผู้บริหำรทุน หมุนเวียนและลูกจ้ำงให้สอดคล้องกับมำตรฐำนที่คณะกรรมกำรก ำหนดตำมมำตรำ ๑๑ (๘) (๓) พิจำรณำอนุมัติแผนกำรด ำเนินงำนประจ ำปี


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร (๔) แต่งตั้งผู้บริหำรทุนหมุนเวียน ในส่วนกำรประเมินผลกำรด ำเนินงำนของทุนหมุนเวียน ได้ก ำหนดไว้ในมำตรำ ๓๑ ให้กรมบัญชีกลำงมีหน้ำที่ประเมินผลกำรด ำเนินงำนทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถำนะเป็นนิติบุคคลเป็น ประจ ำทุกปี และบังคับใช้กับทุนหมุนเวียนที่มีสถำนะเป็นนิติบุคคลซึ่งกฎหมำยไม่ได้บัญญัติเรื่อง ดังกล่ำวไว้เป็นกำรเฉพำะโดยอนุโลมด้วย ตำมมำตรำ ๓๑ กรมบัญชีกลำงมีหน้ำที่ประเมินผลในด้ำนต่อไปนี้ (๑) กำรเงิน (๒) กำรปฏิบัติกำร (๓) กำรสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (๔) กำรบริหำรจัดกำรทุนหมุนเวียน (๕) กำรปฏิบัติงำนของคณะกรรมกำรบริหำร ผู้บริหำรทุนหมุนเวียน พนักงำน และลูกจ้ำง (๖) ด้ำนอื่น ๆ ตำมที่คณะกรรมกำรประกำศก ำหนด โดยกำรประเมินผลดังกล่ำวให้เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ วิธีกำร และเงื่อนไขที่ คณะกรรมกำรนโยบำยกำรบริหำรทุนหมุนเวียนประกำศก ำหนด และมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้ กรมบัญชีกลำงรวบรวมและจัดท ำรำยงำนสรุปผลกำรด ำเนินงำนในภำพรวมของทุนหมุนเวียนทั้งหมด ต่อคณะกรรมกำร เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภำผู้แทนรำษฎร และวุฒิสภำ ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่ำกำรใช้จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียนเป็นอ ำนำจของฝ่ำยบริหำร โดยคณะกรรมกำรบริหำรทุนหมุนเวียนท ำหน้ำที่ก ำหนดนโยบำย ก ำกับดูแล บริหำรจัดกำร และ ติดตำมกำรด ำเนินงำนและกำรใช้จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียน ท ำให้กำรบริหำรทุนหมุนเวียนค่อนข้ำงมี ควำมคล่องตัวและเป็นอิสระสูง หำกกำรบริหำรทุนหมุนเวียนขำดวินัยและมีกำรทุจริต อำจท ำให้กำร ใช้จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียนไม่ตรงตำมวัตถุประสงค์กำรจัดตั้ง ไม่คุ้มค่ำ และเกิดค่ำเสียโอกำสในกำร น ำงบประมำณไปใช้ด ำเนินกำรเรื่องส ำคัญอื่น ๆ ของประเทศได้ นอกจำกนี้ ควรมีกำรปรับปรุงวิธีกำร ประเมินผลกำรด ำเนินงำนของทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลำงให้สะท้อนถึงประสิทธิภำพและควำมคุ้มค่ำ ในกำรด ำเนินงำน เนื่องจำกกำรประเมินผลของกรมบัญชีกลำงในปัจจุบันใช้หลัก Balance Scorecard ซึ่งเน้นเรื่องกำรบริหำรภำยในองค์กรเป็นหลัก ขำดกำรประเมินประสิทธิภำพของกำรตอบสนอง นโยบำยภำครัฐ ไม่มีกำรวิเครำะห์ผลกระทบจำกกำรด ำเนินงำนของทุนหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจ และไม่มีกำรวิเครำะห์ควำมคุ้มค่ำของกำรด ำเนินงำน โดยแนวทำงหนึ่งในกำรยกระดับควำมโปร่งใส ทำงกำรคลังของทุนหมุนเวียน อำจท ำได้โดยกำรจัดตั้งหน่วยงำนอิสระท ำหน้ำที่ติดตำมและประเมินผล กำรด ำเนินงำนและกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณในทุกรูปแบบของรัฐบำล ในลักษณะเช่นเดียวกับ ส ำนักงบประมำณแห่งรัฐสภำของสหรัฐอเมริกำ ๓.๓.๓ ผลกระทบต่อกำรตรวจสอบขององค์กรอิสระ กำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนโดย องค์กรอิสระ พบปัญหำว่ำ คณะกรรมกำรตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นองค์กรหลักมีหน้ำที่และอ ำนำจ โดยตรงในกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียน มุ่งเน้นตรวจสอบเฉพำะ รำยงำนกำรเงินเป็นหลัก เนื่องจำกพระรำชบัญญัติว่ำด้วยวินัยกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก ำหนดให้ ส ำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดินต้องตรวจสอบและให้ควำมเห็นรำยงำนกำรเงินของหน่วยรับตรวจ ภำยใน


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๐๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๑๘๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมำณ ท ำให้ส ำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดินไม่มีอัตรำก ำลังเพียงที่จะ ตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนว่ำเป็นไปตำมวัตถุประสงค์ ประหยัด เกิด ผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภำพ และเป็นไปตำมกฎหมำยหรือไม่ ๔. บทสรุปและอภิปรำยผล ทุนหมุนเวียนเป็นเงินนอกงบประมำณประเภทหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นตำมควำมจ ำเป็นของ หน่วยงำนรัฐ หรือตำมนโยบำยของรัฐบำล เงินนอกงบประมำณเป็นเครื่องมือส ำคัญที่ฝ่ำยบริหำรใช้ใน กำรขับเคลื่อนภำรกิจต่ำง ๆ ให้ส ำเร็จลุล่วง เนื่องจำกมีอิสระและมีควำมคล่องตัวในกำรใช้จ่ำยเงิน มำกกว่ำเงินงบประมำณที่ต้องได้รับกำรอนุมัติจำกฝ่ำยนิติบัญญัติก่อนจึงจะน ำไปใช้จ่ำยได้ปัจจุบันมี ทุนหมุนเวียน ๑๑๖ ทุน มีสินทรัพย์รวมกว่ำ ๔,๐๐๐,๐๐๐ ล้ำนบำท ซึ่งค่อนข้ำงสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศพัฒนำแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นควบคุมจ ำนวนเงินนอกงบประมำณให้มีเท่ำที่จ ำเป็น โดยมีเพียง ๑๘ บัญชีพิเศษนอกงบประมำณ เมื่อพิจำรณำมำตรกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียน ในปัจจุบัน พบว่ำ ยังขำดควำมรัดกุม เนื่องจำกมีกำรผ่อนคลำยกฎระเบียบทำงกำรคลังเพื่อให้เกิด ควำมคล่องตัวในกำรเบิกจ่ำย โดยไม่ผูกยึดกับกฎระเบียบรำชกำร และให้อ ำนำจหน่วยงำนรำชกำรที่ รับ ผิด ช อบ ส ำม ำ ร ถ อ อ ก กฎ ร ะเบี ยบ แ ล ะ อนุ มั ติใช้ จ่ ำ ยเงิน ข องทุนห มุน เ วี ยนไ ด้ เ อง โดยไม่ต้องผ่ำนกำรอนุมัติงบประมำณจำกฝ่ำยนิติบัญญัติ นอกจำกนี้ เมื่อพิจำรณำมำตรกำรตรวจสอบ กำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนโดยกลไกของฝ่ำยบริหำรเอง พบว่ำ ยังไม่มี ประสิทธิภำพเท่ำที่ควร เนื่องจำกพระรำชบัญญัติกำรบริหำรทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ก ำหนดให้ หน่วยงำนของรัฐผู้ใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณท ำหน้ำที่ตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของ ตนเอง ซึ่งไม่เป็นไปตำมหลักกำรตรวจสอบได้ ส่วนกำรตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณโดย องค์กรอิสระ พบว่ำ คณะกรรมกำรตรวจเงินแผ่นดินมุ่งเน้นตรวจสอบเฉพำะรำยงำนกำรเงินเป็นหลัก เนื่องจำกไม่มีอัตรำก ำลังเพียงที่จะตรวจสอบกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของกองทุนว่ำเป็นไปตำม วัตถุประสงค์ ประหยัด เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภำพ และเป็นไปตำมกฎหมำยหรือไม่ ส่งผลให้กำร ใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนขำดประสิทธิภำพ เกิดควำมซ้ ำซ้อนกับภำรกิจของส่วน รำชกำร และเป็นช่องทำงท ำให้เกิดกำรทุจริตได้ง่ำย ๕. ข้อเสนอแนะ ๕.๑ พิจำรณำควบรวมทุนหมุนเวียนที่มีวัตถุประสงค์คล้ำยคลึงกัน หรือมีภำรกิจรับผิดชอบ เกี่ยวพันกันอย่ำงใกล้ชิดเป็นกองทุนเดียว โดยประเทศไทยมีทุนหมุนเวียนมำกถึง ๑๑๖ ทุน ในขณะที่ ประเทศพัฒนำแล้ว เช่น ญี่ปุ่น มีเพียง ๑๘ บัญชีพิเศษนอกงบประมำณ คณะกรรมกำรนโยบำยกำร บริหำรทุนหมุนเวียนอำจพิจำรณำรวมกองทุนที่มีวัตถุประสงค์คล้ำยคลึงกันหรือมีภำรกิจเกี่ยวพันกัน อย่ำงใกล้ชิดเป็นกองทุนเดียว โดยอำจพิจำรณำให้หลำยกระทรวงร่วมรับผิดชอบกองทุนร่วมกัน ซึ่งจะ ส่งเสริมให้เกิดกำรด ำเนินกำรแบบบูรณำกำร และยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่มีผลกำรด ำเนินงำนไม่คุ้มค่ำ หรือหมดควำมจ ำเป็นที่จะต้องด ำเนินกำรตำมวัตถุประสงค์ในกำรจัดตั้งทุนหมุนเวียน หรือสำมำรถ


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ด ำเนินกำรภำยใต้ภำรกิจปกติของหน่วยงำนของรัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภำพของกำรใช้จ่ำย งบประมำณ สะดวกต่อกำรก ำกับดูแล และลดควำมซ้ ำซ้อน ๕.๒ น ำเงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนเข้ำสู่กระบวนกำรพิจำรณำงบประมำณ ของรัฐสภำ โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมำยว่ำด้วยกำรก ำหนดจ ำนวนเงินสะสมสูงสุด และกำรน ำทุนหรือ ผลก ำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดิน เพื่อให้ทุนหมุนเวียนน ำทุนหรือผลก ำไร ส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรำยได้แผ่นดินมำกขึ้น ลดจ ำนวนทุนหมุนเวียนและเงินนอก งบประมำณให้มีอย่ำงจ ำกัดและเท่ำที่จ ำเป็นโดยไม่กระทบกับกำรปฏิบัติงำนของหน่วยงำนของรัฐ ซึ่ง จะท ำให้เงินนอกงบประมำณของทุนหมุนเวียนส่วนนี้ถูกน ำไปรวมเป็นรำยได้แผ่นดิน และจัดสรรเป็น งบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปีผ่ำนกระบวนกำรพิจำรณำงบประมำณของรัฐสภำ นอกจำกนี้ ในกำรกำรจัดสรรงบประมำณรำยจ่ำยให้แก่หน่วยงำนของรัฐ ควรด ำเนิน กำรตำมหลักเกณฑ์ที่พระรำชบัญญัติว่ำด้วยวินัยกำรเงินกำรคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๗ ก ำหนดอย่ำงเคร่งครัด กล่ำวคือ “กำรจัดสรรงบประมำณรำยจ่ำยให้แก่หน่วยงำนของรัฐต้องค ำนึงถึง... (๒) ฐำนะเงินนอกงบประมำณของหน่วยงำนของรัฐที่สำมำรถใช้จ่ำยได้ รวมตลอดถึงรำยได้หรือเงินอื่น ใดที่หน่วยงำนของรัฐนั้นมีอยู่หรือสำมำรถน ำมำใช้จ่ำยได้” ดังนั้น ในกำรจัดสรรงบประมำณควร พิจำรณำรำยได้นอกงบประมำณด้วย กรณีที่ทุนหมุนเวียนมีรำยได้นอกงบประมำณสูง ควรพิจำรณำน ำ เงินรำยได้ดังกล่ำวมำสมทบกับงบประมำณรำยจ่ำยเพื่อด ำเนินภำรกิจของหน่วยงำน เพื่อช่วยลดภำระ งบประมำณแผ่นดิน ๕.๓ ปรับปรุงวิธีกำรประเมินผลกำรด ำเนินงำนของทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลำง ให้สะท้อนถึงประสิทธิภำพและควำมคุ้มค่ำในกำรด ำเนินงำน และก ำหนดแนวทำงตรวจสอบกำรใช้ จ่ำยเงินของทุนหมุนเวียนของส ำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดินโดยมุ่งเน้นตรวจสอบกำรปฏิบัติตำม กฎหมำย ผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภำพกำรด ำเนินงำนของทุนหมุนเวียน หรืออำจจัดตั้งหน่วยงำน อิสระในลักษณะเช่นเดียวกับส ำนักงบประมำณแห่งรัฐสภำของสหรัฐอเมริกำ เพื่อท ำหน้ำที่ติดตำม และประเมินผลกำรด ำเนินงำนและกำรใช้จ่ำยเงินนอกงบประมำณของรัฐบำลโดยเฉพำะขึ้น ๕.๔ จัดท ำระบบฐำนข้อมูลสำรสนเทศทุนหมุนเวียนที่ทันสมัย และน่ำเชื่อถือ เพื่อช่วยให้ กำรบริหำรจัดกำรและกำรก ำกับดูแลทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภำพ ลดควำมซ้ ำซ้อนของกำรด ำเนินงำน และเป็นประโยชน์ต่อกำรประเมินผลกำรด ำเนินงำนและกำรประเมินภำระทำงกำรคลังในอนำคต โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งทุนหมุนเวียนขนำดใหญ่หรือทุนหมุนเวียนที่ต้องพึ่งงบประมำณภำครัฐในกำร ด ำเนินงำนและมีควำมเสี่ยงที่จะประสบปัญหำทำงกำรเงินในอนำคต ควรมีกำรเปิดเผยข้อมูลกำร ด ำเนินงำน และข้อมูลทำงกำรเงินให้ประชำชนรับทรำบและเข้ำใจปัญหำที่ก ำลังเกิดขึ้น เพื่อให้ภำค ประชำสังคมที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีส่วนร่วมก ำหนดแนวทำงเพื่อกำรแก้ไขปัญหำร่วมกัน นำงสำววำรุณี แสนภักดี วิทยำกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ส ำนักกรรมำธิกำร ๒


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ศึกษำผลกำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนที่อยู่ภำยใต้กำรก ำกับดูแล ของกระทรวงศึกษำธิกำร ๑. ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ได้ก ำหนดหน้ำที่และอ ำนำจของ สภำผู้แทนรำษฎรไว้ ได้แก่ กำรตรำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน และกำรให้ควำม เห็นชอบในเรื่องส ำคัญของประเทศ แต่ด้วยสภำผู้แทนรำษฎรประกอบไปด้วยสมำชิก เป็นจ ำนวนมำก ประกอบกับข้อจ ำกัดของระยะเวลำในกำรประชุมซึ่งอำจจะส่งผลให้กำรประชุมเพื่อ พิจำรณำเรื่องต่ำง ๆ ของสภำผู้แทนรำษฎร ขำดควำมละเอียดรอบคอบ ดังนั้น รัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ จึงก ำหนดให้สภำผู้แทนรำษฎรมีอ ำนำจ เลือกสมำชิกของสภำผู้แทนรำษฎรตั้งเป็นคณะกรรมำธิกำรสำมัญเพื่อกระท ำกิจกำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ อันอยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำผู้แทนรำษฎรได้ ทั้งนี้ เพื่อให้กำรด ำเนินงำน ของสภำผู้แทนรำษฎรไม่ว่ำจะเป็นกำรตรำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน หรือกำร ให้ค ว ำมเห็นชอบเ รื่องส ำคัญของป ร ะเทศเป็นไปด้ ว ยค ว ำมล ะเอียด รอบคอบ ฉ ะนั้น “คณะกรรมำธิกำร” จึงนับได้ว่ำเป็นเครื่องมือและกลไกที่ส ำคัญของกำรด ำเนินงำนตำมหน้ำที่และ อ ำนำจของสภำผู้แทนรำษฎร ดังจะเห็นได้จำกข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) ซึ่งก ำหนดให้สภำผู้แทนรำษฎรตั้งคณะกรรมำธิกำรสำมัญขึ้น ๓๕ คณะ และหนึ่งใน คณะกรรมำธิกำรเหล่ำนั้น คือ “คณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน” ตำมข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) ก ำหนดให้ สภำผู้แทนรำษฎรตั้งคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำร มหำชน และกองทุน มีอ ำนำจหน้ำที่กระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของศำล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยกำร กำรด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจ กำร บริหำรจัดกำรขององค์กำรมหำชน และกองทุนต่ำง ๆ รวมทั้งตรวจสอบรำยงำนตำมรัฐธรรมนูญและ กฎหมำยที่เสนอต่อสภำผู้แทนรำษฎร โดยมีกำรจัดตั้งอนุกรรมำธิกำร ๒ คณะเพื่อสนับสนุนกำร ด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำร ได้แก่ คณะอนุกรรมำธิกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผลกำร ด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนและกองทุน และคณะอนุกรรมำธิกำรติดตำม ตรวจสอบ และ ประเมินผลกำรด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจ ในครำวประชุมคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมำชน และกองทุน สภำผู้แทนรำษฎร ครั้งที่ ๓ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยำยน ๒๕๖๒ และในครำวประชุมคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน สภำผู้แทนรำษฎร ครั้งที่ ๔ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลำคม ๒๕๖๒ ที่ประชุมมีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมประกำศตั้งคณะอนุกรรมำธิกำรเพื่อให้กำรด ำเนินงำนของคณะ อนุกรรมำธิกำรครอบคลุมบทบำทภำรกิจ หน้ำที่ และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรตำมข้อบังคับกำร ประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) โดยแก้ไขเพิ่มเติมประกำศคณะกรรมำธิกำรฯ ที่ ๒/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๓ ตุลำคม ๒๕๖๒ เรื่องตั้งคณะอนุกรรมำธิกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผล


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนและกองทุน โดยเปลี่ยนชื่อคณะอนุกรรมำธิกำรจำกเดิมเป็นคณะ อนุกรรมำธิกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผลกำรด ำเนินงำนขององค์กรอิสระ องค์กำรมหำชน และกองทุน พร้อมทั้งให้แก้ไขเพิ่มเติมหน้ำที่และอ ำนำจของคณะอนุกรรมำธิกำรให้ครอบคลุมกำร ด ำเนินงำนขององค์กรอิสระ ซึ่งในกำรด ำเนินงำนของคณะอนุกรรมำธิกำรได้มีกำรพิจำรณำศึกษำผลกำรด ำเนินงำนของ องค์กำรมหำชนต่ำง ๆ โดยองค์กำรมหำชนในสังกัดของกระทรวงศึกษำธิกำรมีควำมน่ำสนใจเนื่องจำก เกี่ยวข้องกับกำรศึกษำของประกำศ ดังนั้น จึงควรมีกำรศึกษำผลกำรด ำเนินงำนและกำรวิเครำะห์ภำพรวม กำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนไม่สังกัดกระทรวงศึกษำเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกำรพิจำรณำของ คณะกรรมำธิกำรชุดต่อไปและเป็นฐำนข้อมูลของกลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กร อัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ต่อไป ๒. กฎหมำย กฎ ระเบียบ และยุทธศำสตร์ที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ “มำตรำ ๑๒๙ สภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำมีอ ำนำจเลือกสมำชิกของแต่ละสภำตั้ง เป็นคณะกรรมำธิกำรสำมัญ และมีอ ำนำจเลือกบุคคลผู้เป็นสมำชิกหรือมิได้เป็นสมำชิก ตั้งเป็น คณะกรรมำธิกำรวิสำมัญ หรือคณะกรรมำธิกำรร่วมกันตำมมำตรำ ๑๓๗ เพื่อกระท ำกิจกำร พิจำรณำ สอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำใด ๆ และรำยงำนให้สภำทรำบตำมระยะเวลำที่สภำก ำหนด กำรกระท ำกิจกำร กำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือกำรศึกษำตำมวรรคหนึ่ง ต้องเป็นเรื่อง ที่อยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำ และหน้ำที่และอ ำนำจตำมที่ได้ระบุไว้ในกำรตั้งคณะกรรมำธิกำรก็ดี ในกำรด ำเนินกำรของคณะกรรมำธิกำรก็ดี ต้องไม่เป็นเรื่องซ้ ำซ้อนกัน ในกรณีที่กระท ำกิจกำร กำรสอบหำข้อเท็จจริงหรือกำรศึกษำในเรื่องใดมีควำมเกี่ยวข้องกันให้เป็นหน้ำที่ประธำนสภำที่จะต้อง ด ำเนินกำรให้คณะกรรมำธิกำรที่เกี่ยวข้องทุกชุดร่วมกันด ำเนินกำร ในกำรสอบหำข้อเท็จจริง คณะกรรมำธิกำรจะมอบอ ำนำจหรือมอบหมำยให้บุคคล หรือคณะบุคคลใดกระท ำกำรแทนมิได้ คณะกรรมำธิกำรตำมวรรคหนึ่งมีอ ำนำจเรียกเอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใด มำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมคิดเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำอยู่นั้นได้แต่กำรเรียกเช่นนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือ ใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล และมิให้ ใช้บังคับแก่ผู้ด ำรงต ำแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และอ ำนำจโดยตรง ในแต่ละองค์กรตำมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือตำมพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี” ให้เป็นหน้ำที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจกำรที่คณะกรรมำธิกำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำที่จะต้องสั่งกำรให้เจ้ำหน้ำที่ของรัฐในสังกัดหรือในก ำกับ ให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสำร หรือ แสดงควำมคิดเห็นตำมที่คณะกรรมำธิกำรเรียก


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ให้สภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำเปิดเผยบันทึกกำรประชุม รำยงำนกำรด ำเนินกำร รำยงำนกำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือรำยงำนกำรศึกษำ แล้วแต่กรณี ของคณะกรรมำธิกำรให้ประชำชน ทรำบเว้นแต่สภำผู้แทนรำษฎรหรือวุฒิสภำ แล้วแต่กรณี มีมติให้เปิดเผย ๒.๒ ข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ “ข้อ ๙๐ (๓) คณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน มีหน้ำที่และอ ำนำจกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือ ศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยกำร กำร ด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจ กำรบริหำรจัดกำรขององค์กำรมหำชน และกองทุนต่ำง ๆ รวมทั้ง ตรวจสอบรำยงำนตำมรัฐธรรมนูญและกฎหมำยที่เสนอต่อสภำ” ๒.๓ พระรำชบัญญัติองค์กำรมหำชน พ.ศ. ๒๕๔๒ สำระส ำคัญของพระรำชบัญญัติองค์กำรมหำชน พ.ศ.๒๕๔๒ องค์กำรมหำชนเป็นองค์กำรที่จัดตั้งขึ้นโดยพระรำชกฤษฎีกำที่ออกตำมควำม ในพระรำชบัญญัตินี้ โดยรัฐบำลมีแผนงำนหรือนโยบำยด้ำนใดด้ำนหนึ่งโดยเฉพำะเพื่อจัดท ำบริกำร สำธำรณะ และมีควำมมุ่งหมำยให้มีกำรใช้ประโยชน์ทรัพยำกรและบุคคลให้เกิดประสิทธิภำพสูงสุด กิจกำรอันเป็นบริกำรสำธำรณะที่จะจัดตั้งองค์กำรมหำชนตำมวรรคหนึ่ง ได้แก่กำรรับรองมำตรฐำน และประเมินคุณภำพกำรศึกษำ กำรศึกษำอบรมและพัฒนำเจ้ำหน้ำที่ของรัฐกำรทะนุบ ำรุงศิลปะแล วัฒนธรรม กำรพัฒนำและส่งเสริมกำรกีฬำ กำรส่งเสริมและสนับสนุนกำรศึกษำและกำรวิจัย กำร ถ่ำยทอดและพัฒนำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี กำรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติ กำร บริกำรทำงกำรแพทย์ และสำธำรณประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้ โดยต้องไม่เป็นกิจกำรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ แสวงหำก ำไรเป็นหลัก ทุน รำยได้ และทรัพย์สิน ทุนและทรัพย์สินในกำรด ำเนินกิจกำรขององค์กำรมหำชน ประกอบด้วย ๑) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับโอนมำ ๒) เงินที่รัฐบำลจ่ำยให้เป็นทุนประเดิม ๓) เงิน อุดหนุนทั่วไปที่รัฐบำลจัดสรรให้ตำมควำมเหมำะสมเป็นรำยปี ๔) เงินอุดหนุนจำกภำคเอกชนหรือ องค์กรอื่น รวมทั้งจำกต่ำงประเทศหรือองค์กำรระหว่ำงประเทศ และเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ ๕) ค่ำธรรมเนียม ค่ำบ ำรุง ค่ำตอบแทน ค่ำบริกำร หรือรำยได้จำกกำรด ำเนินกำร ๖) ดอกผลของเงินหรือ รำยได้จำกทรัพย์สินขององค์กำรมหำชน กำรบริหำร และอ ำนำจหน้ำที่ คณะกรรมกำรของแต่ละองค์กำรมหำชน ประกอบด้วย ประธำนกรรมกำรและกรรมกำร โดยมีองค์ประกอบตำมที่ก ำหนดไว้ในพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้ง และให้ ผู้อ ำนวยกำรเป็นกรรมกำรและเลขำนุกำรโดยประธำนกรรมกำรและกรรมกำรขององค์กำรมหำชน จะต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจกำรที่กระท ำกับองค์กำรมหำชนนั้น หรือกิจกำรที่เป็นกำรแข่งขัน กับกิจกำรขององค์กำรมหำชน ไม่ว่ำทำงตรงหรือทำงอ้อม คณะกรรมกำรมีอ ำนำจหน้ำที่ควบคุมดูแลองค์กำรมหำชนให้ด ำเนินกิจกำรเพื่อไป เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ท ำก ำหนดไว้ อ ำนำจหน้ำที่เช่นว่ำนี้ให้รวมถึง


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๑) ก ำหนดนโยบำยกำรบริหำรงำน และให้ควำมเห็นชอบแผนงำนขององค์กำรมหำชน ๒) อนุมัติแผนกำรลงทุนและแผนกำรเงินขององค์กำรมหำชน ๓) ควบคุมดูแลกำรด ำเนินงำนและกำรบริหำรทั่วไป ตลอดจนออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกำศ หรือข้อก ำหนดเกี่ยวกับองค์กำรมหำชนในเรื่อง ดังนี้ (ก) กำรจัดแบ่งส่วนงำนขององค์กำรมหำชน และขอบเขตหน้ำที่ของส่วนงำนดังกล่ำว (ข) กำรก ำหนดต ำแหน่ง (ค) กำรคัดเลือก กำรบรรจุ กำรแต่งตั้ง กำรถอดถอน วินัยและกำรลงโทษ ทำงวินัย กำรออกจำกต ำแหน่ง กำรร้องทุกข์และกำรอุทธรณ์กำรลงโทษของเจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำงของ อง ค์ ก ำ ร มห ำ ช น ร ว ม ทั้ง วิ ธี ก ำ ร แ ล ะเงื่ อ นไ ขใน ก ำ ร จ้ ำง ลู ก จ้ ำง ข อง อง ค์ ก ำ ร มห ำ ชน (ง) กำรบริหำรและกำรจัดกำรกำรเงิน กำรพัสดุ และทรัพย์สินขององค์กำรมหำชน (จ) กำรจัด สวัสดิกำรและสิทธิประโยชน์อื่นแก่เจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำงขององค์กำรมหำชน (ฉ) ขอบเขตอ ำนำจ หน้ำที่และระเบียบเกี่ยวกับกำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้ตรวจสอบภำยใน และ (ช) อ ำนำจหน้ำที่อื่นตำมที่ พระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งก ำหนด กำรก ำกับดูแล ให้รัฐมนตรีผู้รักษำกำรตำมพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรมหำชนใดมี อ ำนำจหน้ำที่ก ำกับดูแลกำรด ำเนินกิจกำรขององค์กำรมหำชนนั้นให้เป็นไปตำมกฎหมำย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกำรจัดตั้งองค์กำรมหำชนนั้น เพื่อกำรนี้ให้รัฐมนตรีมีอ ำนำจสั่งให้ องค์กำรมหำชนชี้แจงแสดงควำมคิดเห็น ท ำรำยงำนหรือยับยั้งกำรกระท ำขององค์กำรมหำชนที่ขัดต่อ วัตถุประสงค์ของกำรจัดตั้งองค์กำรมหำชน นโยบำยของรัฐบำล หรือมติคณะรัฐมนตรีที่กับองค์กำร มหำชน ตลอดจนสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำรด ำเนินกำรได้ กำรยุบเลิก องค์กำรมหำชนเป็นอันยุบเลิกในกรณีอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) เมื่อสิ้นสุดระยะเวลำกำรด ำเนินกิจกำรขององค์กำรมหำชนตำมที่ก ำหนดไว้ ในพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้ง (๒) เมื่อกำรด ำเนินกิจกำรตำมวัตถุประสงค์ที่ก ำหนดไว้ในพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้ง องค์กำรมหำชนนั้นเสร็จสิ้นลง และรัฐมนตรีผู้รักษำกำรตำมพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรมหำชนนั้น ได้ยุติกำรด ำเนินกำรขององค์กำรมหำชนนั้นในรำชกิจจำนุเบกษำ (๓) ในกรณีนอกจำก (๑) และ (๒) เมื่อรัฐบำลเห็นควรยุบเลิกกำรด ำเนินกิจกำรของ องค์กำรมหำชน โดยตรำเป็นเป็นพระรำชกฤษฎีกำยุบเลิก ทรัพย์สินขององค์กำรมหำชนเป็นทรัพย์สินของรัฐ และเมื่อมีกำรยุบเลิกองค์กำร มหำชนให้มีเจ้ำหน้ำที่ท ำกำรตรวจสอบทรัพย์สินและช ำระบัญชีรวมทั้งกำรโอนหรือกำรจ ำหน่ำย ทรัพย์สินที่ยังคงเหลืออยู่และกำรจัดกำรเกี่ยวกับบุคลำกรขององค์กำรมหำชน ทั้งนี้ ตำมหลักเกณฑ์ วิธีกำร และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีก ำหนด ผู้รักษำกำรตำมกฎหมำยและวันบังคับใช้ ให้นำยกรัฐมนตรีรักษำตำมพระรำชบัญญัตินี้


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๓. บทวิเครำะห์ องค์กำรมหำชนเป็นองค์กรที่ท ำหน้ำที่ปฏิบัติตำมนโยบำยหรือแผนงำนพิเศษของรัฐบำล โดยเฉพำะเรื่องกำรให้บริกำรสำธำรณะทำงสังคมและวัฒนธรรมและมีควำมเหมำะสมที่จะจัดตั้ง หน่วยงำนบริหำรขึ้นใหม่ซึ่งแตกต่ำงจำกกำรด ำเนินงำนของส่วนรำชกำรและรัฐวิสำหกิจ ทั้งนี้ องค์กำร มหำชนเป็นหน่วยงำนของรัฐที่มีสภำพเป็นนิติบุคคลระบบงบประมำณได้จำกเงินอุดหนุนที่รัฐบำล จัดสรรให้เป็นรำยปีมีควำมอิสระในกำรใช้จ่ำยและไม่ต้องส่งงบประมำณส่วนที่เหลือคืนคลังปัจจุบันมี องค์กำรมหำชน จ ำนวน ๕๙ แห่งให้บริกำรสำธำรณะในด้ำนต่ำง ๆ อำทิ กำรพัฒนำและถ่ำยทอด วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี กำรศึกษำ วิจัย และฝึกอบรม กำรบริกำรทำงสำธำรณสุขและกำรแพทย์ เป็นต้น กลไกกำรบริหำรมีผู้อ ำนวยกำรซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมกำรผ่ำนกระบวนกำรสรรหำระบบเปิด บริหำรงำนภำยใต้กำรควบคุมดูแลของคณะกรรมกำรและกำรก ำกับดูแลของรัฐมนตรีผู้รักษำกำรโดย คณะกรรมกำรมีอ ำนำจในกำรก ำหนดระเบียบข้อบังคับในกำรบริหำรงำนตำมที่ก ำหนดไว้ในกฎหมำย จัดตั้งองค์กำรมหำชนได้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทตำมกฎหมำยที่จัดตั้ง ดังนี้ ๑) จัดตั้งโดยพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งตำมพระรำชบัญญัติองค์กำรมหำชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม จ ำนวน ๓๕ แห่ง ๒) จัดตั้งตำมพระรำชบัญญัติเฉพำะ จ ำนวน ๒๔ แห่ง นอกจำกนั้นสำมำรถจ ำแนกกลุ่มองค์กำรมหำชนตำมลักษณะงำนบริกำรออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ ๑ พัฒนำและด ำเนินกำรตำมนโยบำยส ำคัญของรัฐเฉพำะด้ำนเป็นองค์กำรมหำชนที่ จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนำและด ำเนินกำรตำมนโยบำยส ำคัญเฉพำะด้ำนของรัฐให้เกิดผลในทำงปฏิบัติภำยใต้ ระยะเวลำจ ำกัดซึ่งต้องกำรผู้บริหำรที่มีควำมสำมำรถสูงในกำรบริหำรงำนเชิงยุทธศำสตร์ทั้งในประเทศ และระหว่ำงประเทศซึ่งองค์กำรมหำชนในกลุ่มนี้ต้องได้รับควำมเห็นชอบจำกคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ เงินเดือนประจ ำของผู้อ ำนวยกำรอยู่ที่ ๑๐๐,๐๐๐ – ๓๐๐,๐๐๐ บำท และอัตรำเบี้ยประชุมกรรมกำร ๖,๐๐๐ – ๒๐,๐๐๐ บำทต่อเดือน กลุ่มที่ ๒ บริกำรที่ใช้เทคนิควิชำกำรเฉพำะด้ำนหรือสหวิทยำกำรจัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริกำรที่ใช้ วิชำชีพระดับสูงซับซ้อนหรือเป็นงำนศึกษำวิจัยทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ที่มีเป้ำหมำยในกำรริเริ่มหรือสร้ำง นวัตกรรมที่จ ำเป็นต้องใช้ผู้มีควำมรู้ควำมสำมำรถเฉพำะและควำมสำมำรถในกำรบริหำรองค์กรที่มี กิจกรรมหลำกหลำยมีขอบเขตกำรท ำงำนครอบคลุมในระดับประเทศหรือต้องด ำเนินกิจกรรมเพื่อ บรรลุวัตถุประสงค์โดยกำรร่วมมือกับต่ำงประเทศ ทั้งนี้ เงินเดือนประจ ำของผู้อ ำนวยกำรอยู่ที่ ๑๐๐,๐๐๐ – ๒๕๐,๐๐๐ บำท และอัตรำเบี้ยประชุมกรรมกำร ๖,๐๐๐ – ๑๖,๐๐๐ บำทต่อเดือน กลุ่มที่ ๓ บริกำรสำธำรณะทั่วไปจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ด ำเนินงำนศึกษำวิจัยทั่วไปหรืองำนบริกำร ทั่วไปหรืองำนปกติประจ ำหรืองำนให้บริกำรแก่กลุ่มลูกค้ำผู้รับบริกำรเฉพำะครอบคลุมในขอบเขต จ ำกัด ต้องใช้ผู้มีควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรบริหำรองค์กรขนำดเล็กที่มีธุรกรรมไม่หลำกหลำย ทั้งนี้ เงินเดือนประจ ำของผู้อ ำนวยกำรอยู่ที่ ๑๐๐,๐๐๐ – ๒๐๐,๐๐๐ บำท และอัตรำเบี้ยประชุมกรรมกำร ๖,๐๐๐ – ๑๒,๐๐๐ บำทต่อเดือน


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรประเมินองค์กำรมหำชนประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๓ นั้นมีกรอบกำรประเมิน ประกอบไปด้วย ๑) ประสิทธิผล ๒) กำรผลักดันยุทธศำสตร์ของประเทศ ๓) ประสิทธิภำพ ๔) กำรตอบสนองประชำชน ๕) กำรควบคุมดูแลกิจกำรของคณะกรรมกำร โดยจ ำแนกผลกำรประเมินออกเป็น ๔ ระดับ คือ ดีมำก ดี พอใช้ และต้องปรับปรุงโดย ในปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๑ องค์กำรมหำชนที่ได้รับกำรประเมินพบว่ำอยู่ในระดับคุณภำพ จ ำนวน ๔๖ แห่ง ระดับมำตรฐำน จ ำนวน ๘ แห่ง และไม่ได้รับกำรประเมิน จ ำนวน ๑ แห่ง (เกณฑ์กำร ประเมิน ปี ๒๕๖๑ ต่ำงจำก ปี ๒๕๖๓) ทั้งนี้ มีข้อสั่งกำรนำยกรัฐมนตรีวันที่ ๖ มกรำคม ๒๕๕๘ ให้ทบทวนควำมจ ำเป็นในกำรมีอยู่ ขององค์กำรมหำชนโดยยึดหลักเกณฑ์กำรพิจำรณำควำมจ ำเป็นในกำรมีอยู่ขององค์กำรมหำชน คือ วัตถุประสงค์กำรจัดตั้งบทบำทภำรกิจและผลกำรปฏิบัติงำนพบว่ำมี จ ำนวน ๑ หน่วยงำนที่ถูกให้ปรับ ยุบ คือ ส ำนักงำนพัฒนำพิงคนคร (องค์กำรมหำชน) โดยให้โอนส ำนักงำนเชียงใหม่ไนท์ซำฟำรีไปสังกัด องค์กำรสวนสัตว์และโอนศูนย์ประชุมและแสดงสินค้ำนำนำชำติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระ ชนมพรรษำ ๕ ธันวำคม ๒๕๕๔ ให้กรมธนำรักษ์และมีองค์กำรมหำชนที่เห็นควรเปลี่ยนรัฐมนตรี รักษำกำรฯ จ ำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ ๑.) ส ำนักงำนส่งเสริมกำรจัดประชุมและนิทรรศกำร ๒.) ส ำนักงำน รับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ และ ๓.) สถำบันระหว่ำงประเทศเพื่อกำรค้ำและกำรพัฒนำ ผลกำรพิจำรณำศึกษำผลกำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนที่อยู่ภำยใต้กำรก ำกับดูแลของ กระทรวงศึกษำธิกำร คณะอนุกรรมำธิกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผลกำรด ำเนินงำนขององค์กรอิสระ องค์กำรมหำชนและกองทุน ในคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ได้พิจำรณำศึกษำผลกำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนที่อยู่ภำยใต้กำร ก ำกับดูแลของกระทรวงศึกษำธิกำร ดังนี้ (๑) โรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์ โรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์จัดตั้งขึ้นตำมพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งโรงเรียนมหิดลวิทยำ นุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหำรจัดกำรและด ำเนินกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในระดับ มัธยมศึกษำที่มุ่งเน้นควำมเป็นเลิศด้ำนวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ส ำหรับนักเรียนที่มีศักยภำพสูง ด้ำนวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ กำรด ำเนินงำนของโรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์ในรอบ ๕ ปีย้อนหลังได้รับกำร ประเมินโดยแบบประเมินองค์กำรมหำชนตำมมำตรกำรปรับปรุงประสิทธิภำพในกำรปฏิบัติรำชกำร ประจ ำปีงบประมำณ ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ ปรำกฏผลกำรประเมิน ดังนี้


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๕๙ มีกำรประเมินใน ๔ มิติ ได้แก่ ประสิทธิภำพ ของกำรปฏิบัติงำน คุณภำพกำรให้บริกำร ประสิทธิภำพของกำรปฏิบัติงำน และกำรก ำกับดูแลกิจกำร และกำรพัฒนำได้รับคะแนนรวม ๓.๙๑ และ ๔.๓๑ ตำมล ำดับ ปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๒ มีกำรประเมินใน ๕ องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ ๑ ประสิทธิภำพในกำรด ำเนินงำนตำมหลักภำรกิจพื้นฐำนงำน ประจ ำ งำนตำมหน้ำที่ปกติหรืองำนตำมหน้ำที่ควำมรับผิดชอบหลัก (วัตถุประสงค์กำรจัดตั้งองค์กำร มหำชน) งำนตำมกฎหมำยกฎนโยบำยของรัฐบำลหรือมติคณะรัฐมนตรี (Function Base) องค์ประกอบที่ ๒ ประสิทธิภำพในกำรด ำเนินงำนตำมหลักภำรกิจยุทธศำสตร์ แนวทำงปฏิรูปภำครัฐนโยบำยเร่งด่วนหรือภำรกิจที่ได้รับมอบหมำยเป็นพิเศษ (Agenda Base) องค์ประกอบที่ ๓ ประสิทธิภำพในกำรด ำเนินงำนตำมหลักภำรกิจพื้นที่/ท้องถิ่น ภูมิภำคจังหวัดกลุ่มจังหวัดหรือกำรบูรณำกำรกำรด ำเนินงำนหลำยพื้นที่หรือหลำยหน่วยงำน (Area Base) องค์ประกอบที่ ๔ ประสิทธิภำพในกำรบริหำรจัดกำรและพัฒนำนวัตกรรมในกำร บริหำรจัดกำรระบบงำนงบประมำณทรัพยำกรบุคคลและกำรให้บริกำรประชำชนหรือหน่วยงำนของรัฐ (Innovation Base) รวมทั้งกำรก ำกับดูแลกิจกำรของคณะกรรมกำร องค์ประกอบที่ ๕ ศักยภำพในกำรเป็นหน่วยงำนที่มีควำมส ำคัญเชิงยุทธศำสตร์ เพื่อกำรพัฒนำประเทศตำมแผนหรือนโยบำยระดับชำตินโยบำยของรัฐบำล (Potential Base) ประกอบกับผลกำรประเมินโดยองค์กรภำยในและภำยนอกประเทศ ทั้งนี้ กำรด ำเนินงำนพบปัญหำและข้อจ ำกัด ดังนี้ ๑) สืบเนื่องจำกพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งโรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มำตรำ ๑๔ ก ำหนดให้จ ำนวนกรรมกำรบริหำรโรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์ไม่น้อยกว่ำกึ่ง หนึ่งต้องไม่เป็นข้ำรำชกำรซึ่งมีต ำแหน่งหรือเงินเดือนประจ ำพนักงำนหรือลูกจ้ำงของส่วนรำชกำร หน่วยงำนของรัฐ รัฐวิสำหกิจหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเว้นแต่เป็นผู้สอนในสถำบันอุดมศึกษำ ของรัฐ และมำตรำ ๑๕ ยังก ำหนดให้ประธำนกรรมกำรและกรรมกำรผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีอำยุไม่เกิน เจ็ดสิบปีบริบูรณ์ส่งผลให้กำรสรรหำกรรมกำรบริหำรโรงเรียนให้มีองค์ประกอบและคุณสมบัติตรงตำมที่ กฎหมำยบัญญัติมีข้อจ ำกัดอย่ำงยิ่งดังนั้น จึงควรมีแก้ไขเพิ่มเติมพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งโรงเรียนมหิดล วิทยำนุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยก ำหนดให้เจ้ำหน้ำที่ของรัฐสำมำรถด ำรงต ำแหน่งกรรมกำรบริหำร โรงเรียนได้เกินกว่ำกึ่งหนึ่งของจ ำนวนกรรมกำรทั้งหมดและแก้ไขคุณสมบัติกรรมกำรบริหำรโรงเรียน โดยก ำหนดให้บุคคลที่มีอำยุเกินกว่ำเจ็ดสิบปีสำมำรถด ำรงต ำแหน่งกรรมกำรบริหำรโรงเรียนได้ ทั้งนี้ รำยละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีกำร และเงื่อนไข ให้เป็นไปตำมที่กฎหมำยก ำหนด ๒) แม้ว่ำปัจจุบันโรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์จะได้รับกำรก ำหนดกรอบวงเงินรวม ส ำหรับค่ำใช้จ่ำยด้ำนบุคลำกรอยู่ที่ร้อยละ ๓๒ ของแผนกำรใช้จ่ำยเงินประจ ำปีแต่ค่ำใช้จ่ำยจ ำนวน ดังกล่ำวไม่เพียงพอต่อกำรบริหำรจัดกำรด้ำนบุคลำกรของโรงเรียนให้เป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพได้


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร และเมื่อพิจำรณำงบประมำณด้ำนบุคลำกรของโรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์เปรียบเทียบกับ งบประมำณด้ำนบุคลำกรของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. พบว่ำ สพฐ. จัดสรรงบประมำณกว่ำร้อยละ ๗๐ เป็นค่ำใช้จ่ำยด้ำนบุคลำกร ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องและเหมำะสมกับลักษณะภำรกิจของโรงเรียนใน กำรให้บริกำรด้ำนกำรศึกษำในสำขำวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ซึ่งจ ำเป็นต้องใช้บุคลำกรที่มี คุณภำพและควำมเชี่ยวชำญเฉพำะด้ำนซึ่งมีค่ำตอบแทนสูงจ ำนวนมำกจึงควรก ำหนดกรอบวงเงินรวม ส ำหรับค่ำใช้จ่ำยด้ำนบุคลำกรของโรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์ไม่เกินร้อยละ ๔๐ ของแผนกำร ใช้จ่ำยเงินประจ ำปี (๒) ส ำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน) ส ำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (สมศ.) จัดตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนำเกณฑ์และวิธีกำรประเมินคุณภำพภำยนอกและท ำกำรประเมินผล กำรจัดกำรศึกษำเพื่อให้มีกำรตรวจสอบคุณภำพของสถำนศึกษำโดยค ำนึงถึงควำมมุ่งหมำยหลักกำร และแนวทำงกำรจัดกำรศึกษำในแต่ละระดับตำมที่ก ำหนดไว้ในพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ให้มีกำรประเมินคุณภำพภำยนอกของสถำนศึกษำทุกแห่งอย่ำงน้อยหนึ่งครั้งในทุก ๕ ปีนับตั้งแต่กำรประเมินครั้งสุดท้ำยและเสนอผลกำรประเมินต่อหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องและสำธำรณชน สืบเนื่องจำกนโยบำยกำรชะลอกำรประเมินคุณภำพกำรศึกษำรอบที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๓) สมศ. จึงไม่สำมำรถด ำเนินกำรประเมินคุณภำพสถำนศึกษำที่มีก ำหนด จะต้องรับกำรประเมินในระหว่ำงช่วงเวลำดังกล่ำวได้ ทั้งนี้ อดีตรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงศึกษำธิกำร (นำยแพทย์ธีรเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ได้มอบนโยบำยแก่ สมศ. ให้เริ่มประเมินคุณภำพภำยนอกได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่งผลให้ในระหว่ำงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๑ มีกำรประเมินสถำนศึกษำไปเพียง จ ำนวน ๒ แห่ง เท่ำนั้น ในระหว่ำงที่ไม่มีกำรประเมินคุณภำพภำยนอก สมศ. ได้พัฒนำเตรียมกำรด้ำน ระบบกำรประเมินคุณภำพภำยนอกวำงแนวทำงและเตรียมควำมพร้อมของกำรพัฒนำผู้ประเมิน ภำยนอกซึ่งกำรพัฒนำกรอบแนวทำงกำรประเมินคุณภำพภำยนอกรอบที่ ๔ ได้มีกำรรับฟังควำม คิดเห็นจำกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่ำงกว้ำงขวำงทั้งหน่วยงำนต้นสังกัดสถำนศึกษำและหน่วยงำนที่ เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้รับบริกำรมีควำมพึงพอใจและเห็นประโยชน์ของกำรน ำผลกำรประเมินคุณภำพ ภำยนอกไปใช้ในกำรปรับปรุงเพื่อยกระดับคุณภำพกำรศึกษำอีกทั้ง สมศ. ยังได้เตรียมกำรด้ำนระบบ เทคโนโลยีสำรสนเทศและระบบบริหำรจัดกำรภำยในส ำนักงำนเพื่อรองรับกำรประเมินคุณภำพภำยนอก อย่ำงไรก็ตำม ในปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สมศ. สำมำรถด ำเนินกำรได้เพียง กำร pre-analysis เนื่องจำก สมศ. ยังไม่ได้รับรำยงำนประเมินตนเอง (SAR) ที่ได้รับกำรตรวจสอบ จำกหน่วยงำนต้นสังกัดตำมกฎกระทรวงว่ำด้วยกำรประกันคุณภำพ พ.ศ. ๒๕๖๑ ภำยในระยะเวลำที่ ก ำหนด และในปีงบประมำณ พ.ศ.๒๕๖๒ สมศ. ยังไม่สำมำรถจัดกำรประเมินสถำนศึกษำ ระดับอุดมศึกษำได้ จนกว่ำจะมีควำมชัดเจนด้ำนกฎหมำยเกี่ยวกับกำรประเมินคุณภำพภำยนอก สถำนศึกษำระดับอุดมศึกษำและด้ำนโครงสร้ำงของกระทรวงกำรอุดมศึกษำ วิทยำศำสตร์ วิจัย และ


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๑๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร นวัตกรรม ซึ่งได้มีกำรรำยงำนข้อขัดข้องดังกล่ำวแก่รัฐมนตรีช่วยว่ำกำรกระทรวงศึกษำธิกำรเพื่อหำ แนวทำงแก้ไขข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นแล้ว จำกกำรด ำเนินกำรประเมินผลสถำนศึกษำมำกว่ำ ๒๐ ปีของ สมศ. พบว่ำ กำรประเมินเกิดผลกระทบต่อสถำนศึกษำน้อยมำกเนื่องจำกไม่มีบทลงโทษใด ๆ แก่สถำนศึกษำที่ไม่ ผ่ำนกำรประเมิน อีกทั้งสถำนศึกษำไม่ได้น ำผลกำรประเมินไปใช้ในกำรพัฒนำปรับปรุงคุณภำพตนเอง ระดับคุณภำพของสถำนศึกษำแต่ละแห่งจึงขึ้นอยู่กับควำมเข้มแข็งของกำรประกันคุณภำพภำยในของ สถำนศึกษำนั้นเอง (๓) สถำบันทดสอบทำงกำรศึกษำแห่งชำติ (องค์กำรมหำชน) สถำบันทดสอบทำงกำรศึกษำแห่งชำติ (สทศ.) มีพันธกิจในกำรเป็นสถำบันทำง วิชำกำรและวิชำชีพและเป็นแหล่งอ้ำงอิงระดับชำติและนำนำชำติที่เชี่ยวชำญด้ำนกำรทดสอบและ กำรประเมินผลทำงกำรศึกษำเพื่อให้คนไทยมีคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรศึกษำในทุกระดับและทุก ประเภทกำรศึกษำสู่ระดับสำกล ในระหว่ำงปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ สทศ. ได้ด ำเนินกำรตำมพันธกิจ ทั้ง ๗ ข้อโดยมีผลกำรด ำเนินงำนที่ส ำคัญ ดังนี้ ๑) ด ำเนิ นโค รงก ำ ร จั ด ก ำ รทด สอบ ร ะดั บ ช ำติ ขั้ นพื้ น ฐ ำน ( O-NET) ชั้นประถมศึกษำปีที่ ๖ วิชำภำษำไทยด้วยรูปแบบข้อสอบอัตนัยเพื่อเป็นกำรส่งเสริมและพัฒนำทักษะ ด้ำนกำรอ่ำนเขียนภำษำไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษำปีที่ ๖ และผลกำรทดสอบสำมำรถสะท้อน ศักยภำพด้ำนกำรอ่ำนและเขียนได้โดยหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องสำมำรถน ำไปใช้ในกำรพัฒนำกำรศึกษำ ต่อไปรวมถึงอบรมพัฒนำครูผู้ตรวจข้อสอบอัตนัยวิชำภำษำไทยตำมภูมิภำคต่ำง ๆ เพื่อจัดท ำเป็น ฐำนข้อมูลครูที่มีคุณสมบัติในกำรเป็นครูผู้ตรวจข้อสอบอัตนัยชั้นประถมศึกษำปีที่ ๖ ๒) พัฒนำระบบรำยงำนผลกำรทดสอบทำงกำรศึกษำระดับชำติขั้นพื้นฐำนด้วย แผนที่ของประเทศไทย (Reporting System of Ordinary National Educational Test with Map of Thailand) โดยน ำข้อมูลผลกำรทดสอบทำงกำรศึกษำระดับชำติขั้นพื้นฐำน (O-NET) ในแต่ละ ระดับชั้น ของกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ตั้งแต่ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๐ ไปพัฒนำคุณภำพกำรเรียนกำรสอนและ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทำงด้ำนกำรเรียนรู้ ๓) เป็นศูนย์กำรบริกำรข้อมูลทำงด้ำนกำรทดสอบทำงกำรศึกษำเพื่อสนับสนุนให้ นักวิจัยองค์กำรหรือหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องสำมำรถน ำผลกำรทดสอบไปศึกษำวิจัยหรือพัฒนำปรับปรุง ระบบกำรเรียนกำรสอนพัฒนำหลักสูตร ๔) จัดท ำระบบกำรทดสอบด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-testing) โดยร่วมมือกับ มหำวิทยำลัย ๑๗ แห่งทั่วประเทศเพื่อขยำยโอกำสในกำรทดสอบให้กับนักเรียนตลอดจนรองรับ รูปแบบกำรทดสอบที่หลำกหลำยและมีกำรน ำสื่อประสม (multimedia) มำใช้ในกำรทดสอบแทน กำรทดสอบในรูปแบบกระดำษค ำตอบท ำให้ประหยัดทรัพยำกรได้เป็นอย่ำงมำก


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร แต่อย่ำงไรก็ตำม ปัจจุบัน สทศ. ประสบปัญหำเกี่ยวกับสถำนที่ท ำงำนเนื่องจำก อำคำรพญำไทพลำซ่ำที่เช่ำอยู่มีข้อจ ำกัดด้ำนพื้นที่สถำนที่จอดรถควำมพร้อมของระบบสำธำรณูปโภค ซึ่งไม่สำมำรถรองรับภำระงำนของ สทศ. ในกำรจัดสอบแยกตำมประเภทและมีจ ำนวนครั้งกำรสอบ หลำยรอบในแต่ละปี ทั้งนี้ กำรจัดสอบของ สทศ. มีผู้เข้ำสอบมำกกว่ำ ๓.๕ ล้ำนคนต่อปี ในส่วนข้อกล่ำวหำในเรื่องกำรออกข้อสอบไม่ตรงหลักสูตรนั้น สทศ. ได้ยืนยันว่ำ สทศ. ได้ด ำเนินกำรออกข้อสอบตำมมำตรฐำนกำรชี้วัดมำโดยตลอดกรณีกำรกล่ำวหำว่ำ สทศ. ออก ข้อสอบไม่ตรงหลักสูตรจะต้องพิจำรณำเป็นรำยข้อกำรกล่ำวอ้ำงอย่ำงกว้ำง ๆ ดังกล่ำวจึงไม่น่ำจะ ถูกต้อง ทั้งนี้ ควรต้องย้อนกลับไปพิจำรณำว่ำโรงเรียนได้จัดกำรเรียนกำรสอนตำมตัวชี้วัด วัตถุประสงค์ และหลักสูตรหรือไม่ สทศ. เป็นเพียงหน่วยงำนปลำยน้ ำที่มีหน้ำที่ทดสอบวัดผลไม่ได้มี ภำรกิจเกี่ยวกับกำรจัดกำรเรียนกำรสอนแต่อย่ำงไร ดังนั้น จึงเป็นหน้ำที่ของทุกฝ่ำยที่เกี่ยวข้องไม่ว่ำ จะเป็นผู้ก ำหนดหลักสูตรผู้จัดกำรเรียนกำรสอนผู้ประเมินคุณภำพสถำนศึกษำผู้ท ำกำรทดสอบ ประเมินผลในกำรบูรณำกำรกำรท ำงำนร่วมกันเพื่อยกระดับคุณภำพกำรศึกษำของประเทศ (๔) สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดตั้งขึ้นโดยมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ ต่อมำได้รับอนุมัติให้จัดตั้งอย่ำงเป็นทำงกำรโดยสภำบริหำรคณะ ปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ประกำศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๒) ในสถำนะสถำบันของรัฐ เป็นนิติบุคคลแต่ไม่เป็นส่วนรำชกำรกำรด ำเนินงำนของ สสวท. ระหว่ำงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ มีดังนี้ ๑) ผลิตหนังสือเรียน หลักสูตร สื่อ ๒) พัฒนำและขยำยบริกำรของศูนย์เรียนรู้ดิจิทัล (IPST Learning Space) และ สื่อดิจิทัล เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ที่รองรับกำรยกระดับคุณภำพกำรศึกษำขยำยโอกำสและควำม เท่ำเทียมในกำรเรียนรู้โดยเปิดโอกำสให้ประชำชนทุกคนสำมำรถเข้ำถึงสื่อที่ได้มำตรฐำนได้รับกำรคัด กรองคุณภำพและควำมถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชำญสอดคล้องกับหลักสูตรในโรงเรียนที่ผ่ำนมำพบว่ำมีผู้เข้ำ ใช้งำนศูนย์กำรเรียนรู้ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่ำงต่อเนื่องทุกปี ๓) วัดผลประเมินผลโดยด ำเนินกำรสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) และเก็บข้อมูลจำกนักเรียนกลุ่มตัวอย่ำงอำยุ ๑๕ ปี จำกโรงเรียนทุกสังกัด กำรศึกษำและพัฒนำข้อสอบ PISA Like วิชำวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ระดับประถมศึกษำตอน ปลำยและมัธยมศึกษำตอนต้นในรูปแบบกำรทดสอบด้วยคอมพิวเตอร์นอกจำกนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ สสวท. ยังได้รับมอบหมำยจำกกระทรวงศึกษำธิกำรให้พัฒนำกรอบกำรสร้ำงข้อสอบและข้อสอบ ONET วิชำวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ในระดับประถมศึกษำปีที่ ๖ มัธยมศึกษำปีที่ ๓ และ มัธยมศึกษำปีที่ ๖ ระดับชั้นละ ๒ ฉบับเป็นปีแรก และในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ประเทศไทยได้ตอบรับเป็น สมำชิกสมทบ (Associate Member) ในสภำบริหำรของโปรแกรม PISA ขององค์กำรเพื่อควำมร่วมมือ ทำงเศรษฐกิจและกำรพัฒนำ (Organisation for Economic Co-operation and Development-OECD)


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๔) พัฒนำครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำโดยขับเคลื่อนกำรด ำเนินงำนผ่ำนศูนย์ สะเต็มศึกษำแห่งชำติ (STEM) ศูนย์สะเต็มศึกษำภำค จ ำนวน ๑๓ ศูนย์และโรงเรียนเครือข่ำยสะเต็มศึกษำ จ ำนวน ๗๘ โรงเรียน ๕) ลดควำมเหลื่อมล้ ำทำงกำรศึกษำด้วยกำรพัฒนำครูในโรงเรียนโครงกำร พระรำชด ำริฯ โรงเรียน ตชด. และโรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดำร กว่ำ ๑,๔๐๐ คน รวมถึงน ำร่องพัฒนำ โรงเรียนคุณภำพด้ำนวิทยำศำสตร์คณิตศำสตร์และเทคโนโลยี จ ำนวน ๓๒ โรงเรียนในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยำ และหนองคำย โดยมีวัตถุประสงค์ให้มีโรงเรียนคุณภำพประจ ำ อ ำเภอเพื่อรองรับนักเรียนที่มีศักยภำพในพื้นที่และลดกำรเข้ำมำเรียนในโรงเรียนส่วนกลำงของ นักเรียนต่ำงพื้นที่ ๖) พัฒนำและส่งเสริมผู้มีควำมสำมำรถพิเศษทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีศักยภำพตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษำปีที่ ๔ ให้ศึกษำด้ำนวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยีในสำขำที่ตนสนใจโดยไม่ขึ้นอยู่กับควำมต้องกำรของหน่วยงำน ๗) ให้ทุนกำรศึกษำและส่งเสริมอัจฉริยภำพนักเรียนที่มีควำมสำมำรถพิเศษ ทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และเทคโนโลยี (SMT) ประกอบด้วยโครงกำรโอลิมปิกวิชำกำร โครงกำรส่งเสริมกำรผลิตครูที่มีควำมสำมำรถพิเศษทำงวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ (สควค.) โครงกำรพัฒนำอัจฉริยภำพทำงวิทยำศำสตร์และคณิตศำสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษำปีที่ ๓ และประถมศึกษำปีที่ ๖ ทั้งนี้ กำรด ำเนินงำนของ สสวท. พบปัญหำและอุปสรรค ดังนี้ ๑) ในกำรพัฒนำหลักสูตร สื่อ หนังสือเรียน พบว่ำ กำรจัดท ำหลักสูตรของทุก กลุ่มสำระวิชำของหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องขำดกำรบูรณำกำรร่วมกันตลอดจนกำรพัฒนำหลักสูตร สื่อ หนังสือเรียน ขำดควำมต่อเนื่องและไม่สำมำรถด ำเนินกำรได้อย่ำงทันท่วงทีเนื่องจำกองค์ควำมรู้มีกำร พัฒนำอย่ำงรวดเร็วจึงมีควำมจ ำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสนับสนุนกำรเรียนรู้ของผู้เรียนในอนำคต ๒) ในกำรอบรมครูและกำรยกระดับโรงเรียนพบว่ำครูมีภำระงำนในโรงเรียนมำก จ ำนวนครูที่จ ำเป็นต้องได้รับกำรอบรมมีจ ำนวนมำกแต่ขำดงบประมำณทรัพยำกรและระบบที่ดีในกำร จัดอบรมครูขำดแรงจูงในในกำรเข้ำร่วมกำรอบรมและพัฒนำตนเองระยะเวลำที่ครูได้รับกำรอบรมยัง ไม่เป็นไปตำมมำตรฐำนสำกล ๓) ในกำรให้ทุนกำรศึกษำและกำรส่งเสริมอัจฉริยภำพ SMT พบว่ำเส้นทำง อำชีพ (Career Path) สภำพแวดล้อมและกำรสนับสนุนรวมถึงอำชีพนักวิทยำศำสตร์และนักวิจัยไม่ ดึงดูดให้ผู้มีควำมสำมำรถพิเศษทำง SMT เลือกเรียนสำขำวิทยำศำสตร์ อีกทั้ง ขำดกำรบริหำรจัดกำร ผู้มีควำมรู้ควำมสำมำรถพิเศษทำง SMT อย่ำงเป็นระบบแม้ในปัจจุบันจะมีกำรส่งเสริมกำรศึกษำด้ำน วิทยำศำสตร์ให้แก่ผู้มีควำมสำมำรถพิเศษทำง SMT เพิ่มมำกขึ้น เช่น ห้องเรียนพิเศษห้องเรียน วิทยำศำสตร์โรงเรียนวิทยำศำสตร์แต่กำรส่งเสริมดังกล่ำวเป็นกำรส่งเสริมนักเรียนที่มีควำมสำมำรถ พิเศษ SMT ให้เข้ำสู่สำขำวิชำชีพที่มีรำยได้และค่ำตอบแทนสูง เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ มำกกว่ำ กำรส่งเสริมให้ประกอบอำชีพเป็นนักวิทยำศำสตร์และนักวิจัย


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ๔. บทสรุปและอภิปรำยผล องค์กำรมหำชนเป็นองค์กรที่ท ำหน้ำที่ปฏิบัติตำมนโยบำยหรือแผนงำนพิเศษของรัฐบำล โดยเฉพำะเรื่องกำรให้บริกำรสำธำรณะทำงสังคมและวัฒนธรรมและมีควำมเหมำะสมที่จะจัดตั้ง หน่วยงำนบริหำรขึ้นใหม่ซึ่งแตกต่ำงจำกกำรด ำเนินงำนของส่วนรำชกำรและรัฐวิสำหกิจปัจจุบันมี องค์กำรมหำชน จ ำนวน ๕๙ แห่ง แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทตำมกฎหมำยที่จัดตั้ง ได้แก่ องค์กำร มหำชนที่จัดตั้งโดยพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งตำมพระรำชบัญญัติองค์กำรมหำชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จ ำนวน ๓๕ แห่ง และองค์กำรมหำชนที่จัดตั้งตำมพระรำชบัญญัติเฉพำะ จ ำนวน ๒๔ แห่ง องค์กำรมหำชนที่อยู่ภำยใต้กำรก ำกับดูแลของกระทรวงศึกษำธิกำรมีทั้งสิ้น จ ำนวน ๖ แห่ง แบ่งได้ดังนี้ (๑) องค์กำรมหำชนที่จัดตั้งตำมพระรำชบัญญัติองค์กำรมหำชน พ.ศ. ๒๕๔๒ จ ำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยำนุสรณ์ สถำบันทดสอบทำงกำรศึกษำแห่งชำติ (องค์กำรมหำชน) และส ำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน) (๒) องค์กำรมหำชนที่จัดตั้งตำมพระรำชบัญญัติเฉพำะ จ ำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ คุรุสภำ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรส่งเสริมสวัสดิกำรและสวัสดิภำพครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ (สกสค.) และ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ทั้งนี้ คณะอนุกรรมำธิกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผลกำรด ำเนินงำนขององค์กรอิสระ องค์กำรมหำชนและกองทุน ในคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ได้พิจำรณำศึกษำผลกำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนที่อยู่ภำยใต้กำร ก ำกับดูแลของกระทรวงศึกษำธิกำร จ ำนวน ๔ แห่ง พบว่ำเมื่อพิจำรณำสภำพปัญหำโดยรวมจะเห็นได้ ว่ำส่วนใหญ่จะมีข้อจ ำกัดเรื่องงบประมำณโดยเฉพำะในส่วนของงบบุคลำกรและอำจมีปัญหำควำม ซ้ ำซ้อนและควำมจ ำเป็นของภำรกิจงำน ๕. ข้อเสนอแนะ จำกกำรศึกษำผลกำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนที่อยู่ภำยใต้กำรก ำกับดูแลของ กระทรวงศึกษำธิกำรพบว่ำองค์กำรมหำชนแม้จะมีควำมคล่องตัวและอิสระในกำรบริหำรจัดกำรแต่ ควรมีกำรทบทวนควำมจ ำเป็นในกำรมีอยู่ขององค์กำรมหำชนตำมหลักเกณฑ์กำรพิจำรณำควำม จ ำเป็นในกำรมีอยู่ขององค์กำรมหำชน คือ วัตถุประสงค์กำรจัดตั้งบทบำทภำรกิจและผลกำร ปฏิบัติงำนนอกจำกนั้นควรมีกำรศึกษำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนขององค์กำรมหำชนทั้ง จ ำนวน ๕๙ แห่ง เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนกำรปฏิบัติหน้ำที่ของคณะกรรมำธิกำรต่อไป นำยนพพร มำระกะ วิทยำกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ส ำนักกรรมำธิกำร ๒


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ขอบเขตหน้าที่และอ านาจของคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุนในการกระท ากิจการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง และศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินงานของหน่วยงานของศาล ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ได้ก ำหนดหน้ำที่และอ ำนำจ ส ำคัญของสภำผู้แทนรำษฎรไว้ ได้แก่ กำรตรำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน และ กำรให้ควำมเห็นชอบในเรื่องส ำคัญของประเทศ แต่ด้วยสภำผู้แทนรำษฎรประกอบไปด้วยสมำชิกเป็น จ ำนวนมำก ประกอบกับข้อจ ำกัดของระยะเวลำในกำรประชุมซึ่งอำจส่งผลให้กำรประชุมเพื่อพิจำรณำ เรื่องต่ำง ๆ ของสภำผู้แทนรำษฎรขำดควำมละเอียดรอบคอบ ดังนั้น รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักร ไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ จึงก ำหนดให้สภำผู้แทนรำษฎรมีอ ำนำจเลือกสมำชิกของสภำ ผู้แทนรำษฎรตั้งเป็นคณะกรรมำธิกำรสำมัญเพื่อกระท ำกิจกำร สอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ อันอยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำผู้แทนรำษฎรได้ ทั้งนี้ เพื่อให้กำรด ำเนินงำนของสภำผู้แทนรำษฎรไม่ ว่ำจะเป็นกำรตรำกฎหมำย กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน หรือกำรให้ควำมเห็นชอบเรื่อง ส ำคัญของประเทศเป็นไปด้วยควำมละเอียดรอบคอบ ฉะนั้น “คณะกรรมำธิกำร” จึงนับได้ว่ำเป็น เครื่องมือและกลไกที่ส ำคัญของกำรด ำเนินงำนตำมหน้ำที่และอ ำนำจของสภำผู้แทนรำษฎร ดังจะเห็น ได้จำกข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ ซึ่งก ำหนดให้สภำผู้แทนรำษฎรตั้ง คณะกรรมำธิกำรสำมัญขึ้น ๓๕ คณะ และหนึ่งในคณะกรรมำธิกำรนั้น คือ “คณะกรรมำธิกำรกิจกำร ศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน” ๑ ตำมข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) ก ำหนดให้ คณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน มี หน้ำที่และอ ำนำจกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำร ด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระและองค์กรอัยกำร กำรด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจ กำรบริหำรจัดกำรขององค์กำรมหำชน และกองทุนต่ำง ๆ รวมทั้งตรวจสอบรำยงำนตำมรัฐธรรมนูญ และกฎหมำยที่เสนอต่อสภำผู้แทนรำษฎร อันเป็นหน้ำที่และอ ำนำจที่มีลักษณะเป็นกำรควบคุมกำร บริหำรรำชกำรแผ่นดินของรัฐบำล โดยในกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรนั้น คณะกรรมำธิกำร อำจเป็นผู้หยิบยกประเด็นหรือปัญหำต่ำง ๆ ขึ้นพิจำรณำเอง หรือมีกำรร้องเรียนจำกประชำชน ผู้ได้รับควำมเดือดร้อนเสียหำยและคณะกรรมำธิกำรพิจำรณำแล้วเห็นว่ำเป็นเรื่องที่อยู่ใน ขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรและสมควรได้รับกำรพิจำรณำ ฉะนั้น ภำยใต้กรอบกำร ด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรตำมข้อ ๙๐ (๓) ของข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ย่อมเห็นได้ว่ำ ขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรเกี่ยวข้องกับหน่วยงำนหลำกหลำย ๑ ส ำนักกรรมำธิกำร ๑ ๒ ๓, คู่มือองค์ควำมรู้ตำมมำตรฐำนแนวทำงก ำหนดควำมรู้ ควำมสำมำรถ ทักษะ และสมรรถนะของต ำแหน่งนิติกร, (กรุงเทพมหำนคร, ๒๕๖๒), น.๒๘ – ๒๙.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ประเภท ทั้งหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยกำร ตลอดจนรัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ซึ่งหน่วยงำนดังกล่ำวมีอยู่จ ำนวนมำกและมีภำรกิจกำรด ำเนินงำนที่แตกต่ำงหลำกหลำย ไม่ว่ำจะเป็นกำรด ำเนินงำนด้ำนกฎหมำยที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระ และองค์กร อัยกำร รวมทั้งกำรจัดบริกำรสำธำรณะด้ำนพำณิชยกรรมและด้ำนอุตสำหกรรม ด้ำนสังคม และด้ำน วัฒนธรรมของรัฐวิสำหกิจและองค์กำรมหำชน รวมทั้งกำรบริหำรจัดกำรกองทุนต่ำง ๆ ทั้งนี้ กำร ด ำเนินงำนของหน่วยงำนดังกล่ำวย่อมส่งผลกระทบต่อประชำชนเป็นจ ำนวนมำกทั้งผลกระทบในด้ำน ที่เป็นประโยชน์และผลกระทบอันอำจท ำให้ประชำชนได้รับปัญหำควำมเดือดร้อนเสียหำยจำกกำร ด ำเนินงำนของหน่วยงำนดังกล่ำว ทั้งนี้ จำกกำรด ำเนินงำนที่ผ่ำนมำของคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กร อัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ได้รับเรื่องร้องเรียนจำกประชำชนเกี่ยวกับกำร ด ำ เ นิ นง ำน แ ล ะ ก ำ ร ด ำ เนินโ ค รง ก ำ ร ต่ ำง ๆ ข องห น่ ว ยง ำนที่ อ ยู่ใน ข อบเ ข ตหน้ ำที่ และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรเป็นจ ำนวนมำก โดยเฉพำะเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับกำร ด ำเนินงำนและกำรพิจำรณำคดีของศำล เช่น กำรขอควำมเป็นธรรมกรณีกำรอุทธรณ์ค ำพิพำกษำ กำร ขอให้พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของส ำนักงำนศำลยุติธรรม กำรขอให้ตรวจสอบ กำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้พิพำกษำ กำรขอควำมเป็นธรรมกรณีศำลปกครองมีค ำพิพำกษำและค ำสั่งโดยไม่ ปฏิบัติตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง กำรขอให้ตรวจสอบ กำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้อ ำนวยกำรส ำนักอ ำนวยกำรประจ ำศำลล้มละลำยกลำง กรณีปฏิบัติหน้ำที่หรือ ละเว้นกำรปฏิบัติหน้ำที่โดยมิชอบ กำรขอให้พิจำรณำตั้งองค์กรอิสระเพื่อท ำหน้ำที่ตรวจสอบกำร ปฏิบัติหน้ำที่ของฝ่ำยตุลำกำร เป็นต้น ซึ่งหำกพิจำรณำประเด็นของเรื่องร้องเรียนดังกล่ำวจะพบว่ำ เป็น กำรร้องเรียนขอควำมเป็นธรรมใน ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) กำรขอให้ตรวจสอบกำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้ พิพำกษำ และ ๒) กำรขอให้ตรวจสอบกำรพิจำรณำคดีของศำล ซึ่งเมื่อพิจำรณำขอบเขตหน้ำที่และ อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ตำมข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) และข้อ ๙๗ ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ แล้วจะเห็นได้ว่ำ ข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) ก ำหนดว่ำ “คณะกรรมำธิกำรกิจกำร ศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน มีหน้ำที่และอ ำนำจกระท ำ กิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของ ศำล” โดยไม่ได้ก ำหนดนิยำม ควำมหมำย หรือขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรใน ประเด็นนี้ไว้อย่ำงชัดเจน โดยเฉพำะค ำว่ำ “กำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล” ว่ำมีควำมหมำย หรือขอบเขตครอบคลุมถึงเรื่องใดหรือประเด็นใดบ้ำง นอกจำกนี้ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ ก็ไม่ได้ก ำหนดควำมหมำยหรือขอบเขตในประเด็นนี้ไว้ชัดเจน เช่นกัน โดยมำตรำ ๑๒๙ วรรคสี่ ก ำหนดเพียงว่ำ “คณะกรรมำธิกำรตำมวรรคหนึ่งมีอ ำนำจเรียก เอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมเห็นในกิจกำรที่กระท ำ หรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำอยู่นั้นได้แต่กำรเรียกเช่นว่ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือ


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล” เท่ำนั้น ประกอบกับแนวทำงกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนใน ประเด็นนี้ของคณะกรรมำธิกำรชุดที่ผ่ำนมำก็ไม่ได้ก ำหนดนิยำม ควำมหมำย หรือขอบเขตหน้ำที่และ อ ำนำจที่ชัดเจนว่ำเรื่องใดหรือประเด็นใดบ้ำงที่เกี่ยวข้องกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำลที่อยู่ ในขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรตำมข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) ซึ่งที่ผ่ำนมำฝ่ำยเลขำนุกำรของคณะกรรมำธิกำรจึงต้องจัดท ำควำมเห็นทำง กฎหมำยเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนดังกล่ำวของคณะกรรมำธิกำรว่ำเรื่อง ร้องเรียนดังกล่ำวอยู่ในขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรหรือไม่ โดยยังไม่มีกำรก ำหนด กรอบหรือขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจในประเด็นนี้อย่ำงชัดเจนเช่นกัน จำกปัญหำและควำมส ำคัญดังกล่ำวจึงควรต้องมีกำรศึกษำและวิเครำะห์ว่ำหน้ำที่และและ อ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรในกำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่ เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำลนั้น มีขอบเขตครอบคลุมถึงกำรด ำเนินงำนของ หน่วยงำนใดของศำลและเป็นกำรด ำเนินกำรในลักษณะใดบ้ำง เพื่อเป็นแนวทำงในกำรด ำเนินงำนของ คณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน สภำผู้แทนรำษฎร ชุดที่ ๒๖ และเป็นแนวทำงในกำรจัดท ำบันทึกควำมเห็นทำงกฎหมำยเพื่อ ประกอบกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนของกลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กร อัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ๒. กฎหมาย กฎ ระเบียบ และยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ “มำตรำ ๑๒๙ สภำผู้แทนรำษฎรและวุฒิสภำมีอ ำนำจเลือกสมำชิกของแต่ละสภำตั้ง เป็นคณะ กรรมำธิกำรสำมัญ และมีอ ำนำจเลือกบุคคลผู้เป็นสมำชิกหรือมิได้เป็นสมำชิก ตั้งเป็น คณะกรรมำธิกำรวิสำมัญ หรือคณะกรรมำธิกำรร่วมกันตำมมำตรำ ๑๓๗ เพื่อกระท ำกิจกำร พิจำรณำ สอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำเรื่องใด ๆ และรำยงำนให้สภำทรำบตำมระยะเวลำที่สภำก ำหนด กำรกระท ำกิจกำร กำรสอบหำข้อเท็จจริง หรือกำรศึกษำตำมวรรคหนึ่ง ต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ำที่และอ ำนำจของสภำ และหน้ำที่และอ ำนำจตำมที่ระบุไว้ในกำร ตั้งคณะกรรมำธิกำรก็ดี ในกำรด ำเนินกำรของคณะกรรมำธิกำรก็ดี ต้องไม่เป็นเรื่องซ้ ำซ้อนกัน ในกรณี ที่กำรกระท ำกิจกำร กำรสอบหำข้อเท็จจริงหรือกำรศึกษำในเรื่องใดมีควำมเกี่ยวข้องกัน ให้เป็นหน้ำที่ ของประธำนสภำที่จะต้องด ำเนินกำรให้คณะกรรมำธิกำรที่เกี่ยวข้องทุกชุดร่วมกันด ำเนินกำร ในกำรสอบหำข้อเท็จจริง คณะกรรมำธิกำรจะมอบอ ำนำจหรือมอบหมำย ให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระท ำกำรแทนมิได้ คณะกรรมำธิกำรตำมวรรคหนึ่งมีอ ำนำจเรียกเอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคล ใดมำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง ห รือศึกษ ำอยู่นั้นได้แต่ก ำ รเ รียกเช่น ว่ ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพ ำกษ ำห รือตุล ำก ำ ร ที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคล ของแต่ละศำล และมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ด ำรงต ำแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติตำม


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร หน้ำที่และอ ำนำจโดยตรงในแต่ละองค์กรตำมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือตำมพระรำชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี ...” “มำตรำ ๑๘๘ กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีเป็นอ ำนำจของศำล ซึ่งต้องด ำเนินกำร ให้เป็นไปตำมกฎหมำย และในพระปรมำภิไธยพระมหำกษัตริย์ ผู้พิพำกษำและตุลำกำรย่อมมีอิสระในกำรพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีตำมรัฐธรรมนูญ และกฎหมำยให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปรำศจำกอคติทั้งปวง” “มำตรำ ๑๙๓ ให้แต่ละศำล ยกเว้นศำลทหำร มีหน่วยงำนที่รับผิดชอบงำนธุรกำรที่มี ควำมเป็นอิสระในกำรบริหำรงำนบุคคล กำรงบประมำณ และกำรด ำเนินกำรอื่น โดยให้มีหัวหน้ำ หน่วยงำนคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชำขึ้นตรงต่อประธำนของแต่ละศำล ทั้งนี้ ตำมที่กฎหมำยบัญญัติ ให้ศำลยุติธรรมและศำลปกครองมีระบบเงินเดือนและค่ำตอบแทนเป็นกำรเฉพำะ ตำมควำมเหมำะสมตำมที่กฎหมำยบัญญัติ” “มำตรำ ๑๙๖ กำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำศำลยุติธรรมต้องมีควำมเป็น อิสระและด ำเนินกำรโดยคณะกรรมกำรตุลำกำรศำลยุติธรรม ซึ่งประกอบด้วยประธำนศำลฎีกำเป็น ประธำนและกรรมกำรผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นข้ำรำชกำรตุลำกำรในแต่ละชั้นศำล และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งไม่ เป็นหรือเคยเป็นข้ำรำชกำรตุลำกำร บรรดำที่ได้รับเลือกจำกข้ำรำชกำรตุลำกำรไม่เกินสองคน ทั้งนี้ ตำมที่กฎหมำยบัญญัติ” ๒.๒ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ “มำตรำ ๖ ข้ำรำชกำรฝ่ำยตุลำกำรศำลยุติธรรม ได้แก่ (๑) ข้ำรำชกำรตุลำกำร คือ ข้ำรำชกำรผู้มีอ ำนำจและหน้ำที่ในกำรพิจำรณำพิพำกษำ อรรถคดี รวมตลอดถึงผู้ช่วยผู้พิพำกษำ และข้ำรำชกำรผู้ได้รับแต่งตั้งให้ด ำรงต ำแหน่งที่เรียกชื่ออย่ำง อื่นตำมมำตรำ ๑๑ วรรคสอง (๒) ดะโต๊ะยุติธรรม คือ ข้ำรำชกำรซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้มีอ ำนำจและหน้ำที่ในกำร วินิจฉัยชี้ขำดข้อกฎหมำยอิสลำม (๓) ข้ำรำชกำรศำลยุติธรรม คือ ข้ำรำชกำรผู้มีอ ำนำจหน้ำที่ในทำงธุรกำร ซึ่งได้รับกำรบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นข้ำรำชกำรตำมกฎหมำยว่ำด้วยระเบียบบริหำรรำชกำรศำล ยุติธรรม” ๒.๓ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ “มำตรำ ๕ ให้มีส ำนักงำนศำลยุติธรรมเป็นส่วนรำชกำรที่เป็นหน่วยงำนอิสระ มีฐำนะเป็นนิติบุคคล กำรแบ่งส่วนรำชกำรภำยในของส ำนักงำนศำลยุติธรรมและกำรก ำหนดอ ำนำจหน้ำที่ ของส่วนรำชกำรนั้น ให้ท ำเป็นประกำศ ก.บ.ศ. ประกำศตำมวรรคสอง เมื่อได้รับควำมเห็นชอบจำกประธำนศำลฎีกำและประกำศใน รำชกิจจำนุเบกษำแล้วให้ใช้บังคับได้”


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร “มำตรำ ๖ ส ำนักงำนศำลยุติธรรมมีอ ำนำจหน้ำที่ที่เกี่ยวกับงำนธุรกำรของศำล ยุติธรรม งำนส่งเสริมงำนตุลำกำร และงำนวิชำกำร ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและอ ำนวยควำมสะดวกให้แก่ ศำลยุติธรรม รวมทั้งเสริมสร้ำงให้กำรพิจำรณำพิพำกษำคดีเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และมี ประสิทธิภำพ” ๒.๔ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ “มำตรำ ๗๖ ให้มีส ำนักงำนศำลปกครองเป็นส่วนรำชกำรที่เป็นหน่วยงำนอิสระตำม รัฐธรรมนูญมีฐำนะเป็นนิติบุคคล” “มำตรำ ๗๗ ส ำนักงำนศำลปกครองมีอ ำนำจหน้ำที่ ดังต่อไปนี้ (๑) รับผิดชอบในงำนธุรกำรของศำลปกครอง (๒) ด ำเนินกำรเกี่ยวกับคดีปกครองตำมค ำสั่งของศำลปกครอง (๓) ด ำเนินกำรบังคับให้เป็นไปตำมค ำบังคับของศำลปกครอง (๔) ศึกษำและรวบรวมข้อมูลเพื่อประโยชน์แก่กำรปฏิบัติงำนของศำลปกครอง (๕) วิเครำะห์เหตุแห่งกำรฟูองคดีปกครองเพื่อเสนอแนะแนวทำงกำรปรับปรุงวิธี ปฏิบัติรำชกำรต่อหน่วยงำนของรัฐที่เกี่ยวข้อง (๖) จัดพิมพ์และเผยแพร่ค ำพิพำกษำหรือค ำสั่งของศำลปกครอง (๗) จัดให้มีกำรศึกษำอบรมและพัฒนำควำมรู้ของตุลำกำรศำลปกครอง ข้ำรำชกำรฝ่ำย ศำลปกครองและเจ้ำหน้ำที่อื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประสำนงำนกับหน่วยงำนอื่น ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนำหลักกฎหมำยมหำชนกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน และบุคลำกรด้ำนกฎหมำย มหำชน (๘) ปฏิบัติกำรอื่นตำมบทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัตินี้ หรือตำมที่มีกฎหมำย ก ำหนดให้เป็นอ ำนำจหน้ำที่ของส ำนักงำนศำลปกครอง ๒.๕ ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ “ข้อ ๙๐ (๓) คณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน มีหน้ำที่และอ ำนำจกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือ ศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระและองค์กรอัยกำร กำร ด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจ กำรบริหำรจัดกำรขององค์กำรมหำชน และกองทุนต่ำง ๆ รวมทั้ง ตรวจสอบรำยงำนตำมรัฐธรรมนูญและกฎหมำยที่เสนอต่อสภำ” “ข้อ ๙๗ กำรเรียกเอกสำรจำกบุคคลใด ๆ หรือเรียกบุคคลใด ๆ มำแถลงข้อเท็จจริงหรือ แสดงควำมคิดเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำ อยู่ให้ท ำเป็นหนังสือลงลำยมือชื่อประธำนคณะกรรมำธิกำรหรือรองประธำนคณะกรรมำธิกำร ผู้ปฏิบัติหน้ำที่แทนประธำนคณะกรรมำธิกำร ในกรณีที่บุคคลตำมวรรคหนึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ให้ประธำนคณะกรรมำธิกำรแจ้งให้ นำยกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีซึ่งบังคับบัญชำหรือก ำกับดูแลหน่วยงำนที่บุคคลนั้นสังกัดทรำบ และให้เป็น หน้ำที่ของนำยกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบสั่งกำรให้บุคคลนั้นให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสำร หรือ แสดงควำมเห็นตำมที่คณะกรรมำธิกำรเรียก


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรเรียกเอกสำรจำกบุคคลหรือกำรเรียกบุคคลมำแถลงข้อเท็จจริงตำมวรรคหนึ่ง มิให้ ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำ อรรถคดีหรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล และมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ด ำรงต ำแหน่งในองค์กรอิสระ ในส่วนที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และอ ำนำจโดยตรงในแต่ละองค์กรตำมบทบัญญัติใน รัฐธรรมนูญหรือตำมพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี” ๓. บทวิเคราะห์ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ ก ำหนดให้ คณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรมีหน้ำที่และอ ำนำจกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำ ข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ และรำยงำนให้สภำผู้แทนรำษฎรทรำบตำมระยะเวลำ ที่สภำผู้แทนรำษฎรก ำหนด และข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ ได้ก ำหนดให้มีคณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎรโดยมีหน้ำที่และอ ำนำจตำมที่ก ำหนด ไว้ โดยข้อ ๙๐ (๓) ก ำหนดให้มีคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน โดยมีหน้ำที่และอ ำนำจ “กระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยกำร กำรด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจ กำรบริหำรจัดกำรขององค์กำรมหำชน และกองทุนต่ำง ๆ รวมทั้ง ตรวจสอบรำยงำนตำมรัฐธรรมนูญและกฎหมำยที่เสนอต่อสภำ” โดยหน้ำที่และอ ำนำจส ำคัญประกำร หนึ่งของคณะกรรมำธิกำรชุดนี้คือ กำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล อย่ำงไรก็ตำม เมื่อพิจำรณำแล้วพบว่ำ ข้อบังคับ กำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ไม่ได้ก ำหนดนิยำมหรือขอบเขตค ำว่ำ “กำรด ำเนินงำน ของหน่วยงำนของศำล” ว่ำมีควำมหมำยหรือขอบเขตครอบคลุมกำรด ำเนินงำนในลักษณะหรือ ประเภทใดและหน่วยงำนของศำล คือ หน่วยงำนใดบ้ำง นอกจำกนี้ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักร ไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ ก็ไม่ได้ก ำหนดนิยำมหรือขอบเขตในประเด็นนี้ไว้แต่อย่ำงใด โดยรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ ก ำหนดเพียงให้สภำ ผู้แทนรำษฎรมีอ ำนำจเลือกสมำชิกของแต่ละสภำตั้งเป็นคณะกรรมำธิกำรสำมัญ เพื่อกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำเรื่องใด ๆ และรำยงำนให้สภำผู้แทนรำษฎรทรำบตำม ระยะเวลำที่สภำผู้แทนรำษฎรก ำหนด รวมทั้งมำตรำ ๑๒๙ วรรคสี่ ก ำหนดเพียงว่ำ “คณะกรรมำธิกำร ตำมวรรคหนึ่งมีอ ำนำจเรียกเอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดง ควำมเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำอยู่นั้นได้แต่กำรเรียก เช่นว่ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธี พิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล” เท่ำนั้น ประกอบกับ แนวทำงกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนในประเด็นนี้ของคณะกรรมำธิกำรชุดที่ผ่ำนมำก็ไม่ได้ก ำหนดนิยำม ควำมหมำย หรือขอบเขตอ ำนำจหน้ำที่ที่ชัดเจนว่ำเรื่องใดหรือประเด็นใดบ้ำงที่เกี่ยวข้องกับกำร ด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำลที่อยู่ในขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรตำม ข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓)


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๒๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร จำกกรณีดังกล่ำวจึงส่งผลโดยตรงต่อกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน สภำผู้แทนรำษฎร ชุดที่ ๒๕ โดยเฉพำะประเด็นกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียนจำกประชำชนที่เกี่ยวข้องกับกำรด ำเนินงำนของ หน่วยงำนของศำลว่ำ เรื่องดังกล่ำวอยู่ในขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรหรือไม่ ดังนั้น จึงจ ำเป็นที่จะต้องมีกำรศึกษำและวิเครำะห์ว่ำหน้ำที่และอ ำนำจของคณะ กรรมำธิกำรในกำร กระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง หรือศึกษำเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับกำรด ำเนินงำนของ หน่วยงำนของศำลนั้น มีขอบเขตครอบคลุมถึงกำรด ำเนินงำนในลักษณะหรือประเภทใดและ หน่วยงำนของศำลคือหน่วยงำนใดบ้ำง เพื่อเป็นกรอบและแนวทำงในกำรด ำเนินงำนของ คณะกรรมำธิกำร ทั้งนี้ ในกำรพิจำรณำว่ำ “กำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล” มีควำมหมำยหรือ ขอบเขตครอบคลุมถึงกำรด ำเนินงำนในลักษณะหรือประเภทใดและหน่วยงำนของศำลคือหน่วยงำน ใดบ้ำงนั้น สำมำรถพิจำรณำได้ใน ๒ ประเด็น ดังนี้ (๑) ประเด็น “การด าเนินงาน” มีความหมายหรือขอบเขตครอบคลุมการด าเนินงานใน ลักษณะหรือประเภทใดของหน่วยงานของศาล ข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓) ไม่ได้ก ำหนดนิยำมหรือ ขอบเขตของค ำว่ำ “กำรด ำเนินงำน” ของหน่วยงำนของศำลว่ำมีควำมหมำยหรือขอบเขตครอบคลุม กำรด ำเนินงำนในลักษณะหรือประเภทใดบ้ำง อย่ำงไรก็ตำม เมื่อพิจำรณำรัฐธรรมนูญแห่ง รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๒๙ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ก ำหนดหน้ำที่และอ ำนำจ ของคณะกรรมำธิกำรสำมัญประจ ำสภำผู้แทนรำษฎร โดยมำตรำ ๑๒๙ วรรคสี่ ก ำหนดให้ คณะกรรมำธิกำรมีอ ำนำจเรียกเอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมำแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดง ควำมเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำอยู่นั้นได้ แต่กำรเรียก เช่นว่ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธี พิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล และมำตรำ ๑๘๘ ก ำหนดให้กำร พิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีเป็นอ ำนำจของศำล ซึ่งต้องด ำเนินกำรให้เป็นไปตำมกฎหมำย และในพระ ปรมำภิไธยพระมหำกษัตริย์ และผู้พิพำกษำและตุลำกำรย่อมมีอิสระในกำรพิจำรณำพิพำกษำอรรถ คดีตำมรัฐธรรมนูญและกฎหมำยให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปรำศจำกอคติทั้งปวง รวมทั้ง มำตรำ ๑๙๖ กำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำศำลยุติธรรมต้องมีควำมเป็นอิสระและ ด ำเนินกำรโดยคณะกรรมกำรตุลำกำรศำลยุติธรรม ประกอบกับข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๗ ก ำหนดให้กำรเรียกเอกสำรจำกบุคคลหรือกำรเรียกบุคคลมำแถลงข้อเท็จจริง มิ ให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำ พิพำกษำอรรถคดีหรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล จำกบทบัญญัติดังกล่ำวจะเห็นได้ว่ำ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยได้ยืนยันหลักกำร แบ่งแยกอ ำนำจระหว่ำงอ ำนำจบริหำร อ ำนำจนิติบัญญัติ และอ ำนำจตุลำกำร โดยก ำหนดให้กำร พิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีของผู้พิพำกษำและตุลำกำรต้องมีควำมเป็นอิสระปรำศจำกกำรแทรกแซง จำกฝ่ำยบริหำรและฝ่ำยนิติบัญญัติ รวมถึงกำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำศำลยุติธรรมต้องมี ควำมเป็นอิสระด้วย รวมทั้งอ ำนำจกำรเรียกเอกสำรจำกบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมำแถลง


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำ ของคณะกรรมำธิกำรนั้น ห้ำมมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้ อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล ดังนั้น เบื้องต้นอำจก ำหนดควำมหมำยหรือขอบเขตค ำว่ำ “กำรด ำเนินงำน” ตำมข้อบังคับกำรประชุมสภำ ผู้แทนรำษฎร ข้อ ๙๐ (๓) ว่ำมีควำมหมำยหรือขอบเขตครอบคลุมเฉพำะกำรด ำเนินกำรใด ๆ ของ หน่วยงำนของศำลที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำ และตุลำกำร เช่น กำรแต่งตั้ง กำรโยกย้ำย หรือกำรเลื่อนขั้นผู้พิพำกษำหรือตุลำกำร เป็นต้น ทั้งนี้ กำร ด ำเนินกำรใด ๆ ที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำและ ตุลำกำรดังกล่ำว จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงำนด้ำนธุรกำรของหน่วยงำนของศำล เช่น กำรจัดซื้อจัด จ้ำง กำรประมูลงำน หรือกำรออกค ำสั่งใด ๆ ที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำน บุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำและตุลำกำร เป็นต้น (๒) ประเด็น “หน่วยงานของศาล” มีความหมายหรือขอบเขตครอบคลุมการ ด าเนินงานของหน่วยงานใดของศาล จำกข้อ (๑) ค ำว่ำ “กำรด ำเนินงำน” มีควำมหมำยหรือขอบเขตครอบคลุมเฉพำะกำร ด ำเนินกำรใด ๆ ของหน่วยงำนของศำลที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคล เกี่ยวกับผู้พิพำกษำและตุลำกำร เช่น กำรแต่งตั้ง กำรโยกย้ำย หรือกำรเลื่อนขั้นผู้พิพำกษำหรือตุลำกำร เป็นต้น ทั้งนี้ กำรด ำเนินกำรใด ๆ ที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคล เกี่ยวกับผู้พิพำกษำและตุลำกำรดังกล่ำว จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงำนด้ำนธุรกำรของหน่วยงำน ของศำล เช่น กำรจัดซื้อจัดจ้ำง กำรประมูลงำน หรือกำรออกค ำสั่งใด ๆ ที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำ อรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำและตุลำกำร เป็นต้น ดังนั้น ค ำว่ำ “หน่วยงำน ของศำล” จึงต้องหมำยควำมถึงเฉพำะกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนธุรกำรของศำลที่ไม่เกี่ยวข้องกับ กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำและตุลำกำร ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๙๓ ก ำหนดให้แต่ละ ศำล ยกเว้นศำลทหำร มีหน่วยงำนที่รับผิดชอบงำนธุรกำรที่มีควำมเป็นอิสระในกำรบริหำร งำนบุคคล กำรงบประมำณ และกำรด ำเนินกำรอื่น ๆ โดยให้มีหัวหน้ำหน่วยงำนคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชำขึ้นตรง ต่อประธำนของแต่ละศำล โดยในส่วนของศำลยุติธรรมนั้น พระรำชบัญญัติระเบียบบริหำรรำชกำร ศำลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ มำตรำ ๕ ก ำหนดให้มีส ำนักงำนศำลยุติธรรมเป็นส่วนรำชกำรที่เป็น หน่วยงำนอิสระมีฐำนะเป็นนิติบุคคล และมำตรำ ๖ ก ำหนดให้ส ำนักงำนศำลยุติธรรมมีอ ำนำจหน้ำที่ ที่เกี่ยวกับงำนธุรกำรของศำลยุติธรรม งำนส่งเสริมงำนตุลำกำร และงำนวิชำกำร ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุน และอ ำนวยควำมสะดวกให้แก่ศำลยุติธรรม รวมทั้งเสริมสร้ำงให้กำรพิจำรณำพิพำกษำคดีเป็นไป โดยสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภำพ และพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรตุลำกำรศำลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ มำตรำ ๖ ก ำหนดให้ข้ำรำชกำรศำลยุติธรรม คือ ข้ำรำชกำรผู้มีอ ำนำจและหน้ำที่ในทำง ธุรกำรซึ่งได้รับกำรบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นข้ำรำชกำรตำมกฎหมำยว่ำด้วยระเบียบบริหำรรำชกำรศำล ยุติธรรม ดังนั้น หน่วยงำนของศำลยุติธรรมจึงหมำยควำมถึงส ำนักงำนศำลยุติธรรมเฉพำะในส่วนของ กำรด ำเนินงำนทำงธุรกำรของส ำนักงำนศำลยุติธรรม เช่น กำรจัดซื้อจัดจ้ำง กำรประมูลงำน หรือ


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรออกค ำสั่งใด ๆ ที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำนบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำ และตุลำกำร เป็นต้น ส ำหรับศำลปกครองนั้น พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดี ปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มำตรำ ๗๖ ก ำหนดให้มีส ำนักงำนศำลปกครองเป็นส่วนรำชกำรที่เป็นหน่วยงำน อิสระตำมรัฐธรรมนูญมีฐำนะเป็นนิติบุคคล และมำตรำ ๗๗ ก ำหนดให้ส ำนักงำนศำลปกครองมีอ ำนำจ หน้ำที่รับผิดชอบในงำนธุรกำรของศำลปกครอง ดังนั้น หน่วยงำนของศำลปกครองจึงหมำยควำมถึง ส ำนักงำนศำลปกครองเฉพำะในส่วนของกำรด ำเนินงำนทำงธุรกำรของส ำนักงำนศำลปกครอง เช่นเดียวกัน ดังนั้น ค ำว่ำ “หน่วยงำนของศำล” จึงหมำยควำมถึงกำรด ำเนินงำนใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ งำนธุรกำรของศำลยุติธรรมและศำลปกครอง คือ กำรด ำเนินงำนทำงธุรกำรของส ำนักงำนศำล ยุติธรรมและส ำนักงำนศำลปกครองที่ไม่เกี่ยวข้องกับกำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำรบริหำรงำน บุคคลเกี่ยวกับผู้พิพำกษำและตุลำกำร ๔. บทสรุปและอภิปรายผล จำกกำรศึกษำและวิเครำะห์บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ พระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรตุลำกำรศำลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ พระรำชบัญญัติ ระเบียบบริหำรรำชกำรศำลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำ คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ในเบื้องต้นแล้วเห็น ว่ำ หน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำร มหำชน และกองทุน ในกำรกระท ำกิจกำร พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริง และศึกษำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ กำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำลนั้น มีควำมหมำย และขอบเขตครอบคลุมเฉพำะกำรด ำเนินงำน ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงำนธุรกำรของส ำนักงำนศำลยุติธรรมและส ำนักงำนศำลปกครองที่ไม่เกี่ยวข้องกับ กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดีและกำรบริหำรงำนบุคคลของผู้พิพำกษำและตุลำกำร เช่น กำรจัดซื้อ จัดจ้ำง กำรประมูลงำน หรือกำรออกค ำสั่งใด ๆ ที่ไม่ใช่กำรพิจำรณำพิพำกษำอรรคดีและกำร บริหำรงำนบุคคลของผู้พิพำกษำและตุลำกำร ๕. ข้อเสนอแนะ ๕.๑ ควรมีกำรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับกำรประชุมสภำผู้แทนรำษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๓ บท นิยำม หรือข้อ ๙๐ (๓) เพื่อก ำหนดควำมหมำยหรือขอบเขตหน้ำที่และอ ำนำจของคณะกรรมำธิกำรกิจกำร ศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ในประเด็น “กำร ด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล” ว่ำมีควำมหมำยหรือขอบเขตครอบคลุมเรื่องใดบ้ำง เพื่อให้เกิด ควำมชัดเจนในกำรตีควำมและกำรด ำเนินงำนของคณะกรรมำธิกำรชุดต่อไป รวมทั้งสอดคล้องกับ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐ ๕.๒ ควรมีกำรจัดท ำคู่มือหรือแนวทำงปฏิบัติในกำรจัดท ำควำมเห็นในประเด็น “กำร ด ำเนินงำนของหน่วยงำนของศำล” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบกำรพิจำรณำด ำเนินงำนของคณะ กรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน และ


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร เป็นข้อมูลประกอบกำรจัดท ำบันทึกควำมเห็นทำงกฎหมำยเพื่อประกอบกำรพิจำรณำเรื่องร้องเรียน ของกลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน นำยดนุพล นันตำแสง นิติกรช ำนำญกำร กลุ่มงำนคณะกรรมำธิกำรกิจกำรศำล องค์กรอิสระ องค์กรอัยกำร รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และกองทุน ส ำนักกรรมำธิกำร ๒


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๓ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการก าหนดสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจของไทย๒ ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา “รัฐวิสำหกิจ” เป็นหน่วยงำนที่จัดท ำบริกำรสำธำรณะ ซึ่งเป็นกำรท ำหน้ำที่ของ หน่วยงำนหลักทำงเศรษฐกิจและสังคม๓ แต่ไม่ปรำกฏว่ำกิจกำรใดเป็นรัฐวิสำหกิจแห่งแรกของประเทศ ไทย เพรำะกำรที่จะพิจำรณำว่ำกิจกำรใดเป็นรัฐวิสำหกิจแห่งแรกนั้นต้องพิจำรณำตั้งแต่กิจกำรนั้นเริ่ม ด ำเนินงำน ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยยังไม่มีกฎหมำยก ำหนดนิยำมของรัฐวิสำหกิจขึ้น ในขณะที่ ข้อมูลทำงด้ำนวิชำกำรส่วนใหญ่เป็นกำรวำงแนวทำงกำรวิเครำะห์ถึงสภำพของปัญหำจำกกำร ด ำเนินงำนของรัฐวิสำหกิจและแนวทำงกำรแก้ไขที่เหมำะสม ปัจจุบันกฎหมำยต่ำง ๆ ของไทยที่ได้ ก ำหนดนิยำม “รัฐวิสำหกิจ” ไว้ ล้วนแต่เป็นกำรอ้ำงอิงต่อเนื่องกันมำตำมกฎหมำยต้นแบบ เช่น พระรำชบัญญัติวิธีกำรงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ที่มีกำรก ำหนดประเภทองค์กรที่หลำกหลำยรูปแบบ ทั้งองค์กำรของรัฐบำล หน่วยงำนธุรกิจที่รัฐบำลเป็นเจ้ำของ รวมถึงบริษัทที่รัฐถือหุ้นเกินกว่ำร้อยละห้ำ สิบที่จะเรียกว่ำ “รัฐวิสำหกิจ” ซึ่งแท้จริงแล้วกิจกำรเหล่ำนั้นควรจะเป็น “รัฐวิสำหกิจ” หรือ “วิสำหกิจของรัฐ” หรือไม่ กลับไม่ปรำกฏหลักฐำนที่แน่ชัด นอกจำกนี้ควำมไม่ชัดเจนในสถำนะของ รัฐวิสำหกิจดังกล่ำวกลับมีกำรน ำไปก ำหนดเป็นบทนิยำมตำมกฎหมำยฉบับต่ำง ๆ ที่แตกต่ำงกันไป ตำมแต่เจตนำรมณ์ อันส่งผลกระทบต่อประสิทธิภำพในกำรบังคับใช้กฎหมำยอีกด้วย อย่ำงไรก็ดี กำรศึกษำปัญหำรำกฐำนของรัฐวิสำหกิจไทย คือ ปัญหำในกำรก ำหนดสถำนะ “รัฐวิสำหกิจ” กล่ำวคือ ตั้งแต่กำรเริ่มต้นจัดตั้งรัฐวิสำหกิจแห่งแรกในประเทศไทยมำจนปัจจุบันยังไม่มีควำมชัดเจนว่ำ ประเทศ ไทยมุ่งประสงค์จะให้มีรัฐวิสำหกิจขึ้นเพื่อกำรใด และกำรน ำกฎหมำยแต่ละฉบับไปใช้บังคับกับ รัฐวิสำหกิจแต่ละแห่งนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกำรจัดตั้งหรือไม่เพียงใด กำรศึกษำสถำนะของ รัฐวิสำหกิจจึงมีควำมจ ำเป็นอย่ำงยิ่งต่อกำรปรับใช้กฎหมำยให้สอดคล้องกับหลักกำร วัตถุประสงค์และ ควำมจ ำเป็นในกำรมี “รัฐวิสำหกิจ” ในประเทศไทย วัตถุประสงค์ในกำรจัดตั้งและกฎหมำยมี่ก ำหนดสถำนะให้กิจกำรนั้นเป็นรัฐวิสำหกิจ ในกฎหมำยแต่ละฉบับมีขอบเขตควำมครอบคลุมประเภทและจ ำนวนกิจกำรที่แตกต่ำงกัน เช่น พระรำชบัญญัติวิธีกำรงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ที่ก ำหนดขอบเขตประเภทกิจกำรไว้ครอบคลุมมำก ที่สุด แต่กลับเป็นกำรก ำหนดบทนิยำม “รัฐวิสำหกิจ” ที่ไม่สอดคล้องกับหลักกำรและวัตถุประสงค์ใน กำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจ อีกทั้งยังพบว่ำมีกำรน ำบทนิยำม “รัฐวิสำหกิจ” ตำมพระรำชบัญญัติวิธีกำร งบประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ไปใช้อ้ำงอิงเป็นบทนิยำมตำมกฎหมำยฉบับต่ำง ๆ เป็นจ ำนวนมำกทั้งที่ยัง ไม่มีควำมแน่ชัดว่ำมีกิจกำรใดต้องอยู่ในบังคับของกฎหมำยแต่ละฉบับนั้น ส่งผลให้กำรบังคับใช้ กฎหมำยขำดประสิทธิภำพ ๒ ณัฐวุฒิ ไพศำลวัฒนำ, วำรสำรบัณฑิตศึกษำนิติศำสตร์ ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ เดือน เมษำยน – มิถุนำยน ๒๕๖๕ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์. ๑๕๐ -๑๘๔ ๓ สถำบันวิจัยเพื่อกำรพัฒนำประเทศไทย, “บทบำทของธุรกิจและรัฐวิสำหกิจในกำรสร้ำงควำมมั่นคงให้แก่ชุมชน” ในรำยงำนทีดีอำร์ไอ (ฉบับที่ ๕๘ เดือนพฤษภำคม ๒๕๕๑) ๓-๕.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๔ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ประเภทของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสำหกิจแต่ละแห่งถูกจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมำยที่แตกต่ำงกันไม่ว่ำจะเป็น พระรำชบัญญัติ พระรำชกฤษฎีกำ หรือบริษัทตำมแต่เหตุผลและควำมจ ำเป็นเฉพำะเรื่อง รัฐวิสำหกิจ ที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมำยเฉพำะจะเป็นรัฐวิสำหกิจที่มีวัตถุประสงค์ในกำรด ำเนินงำนที่เกี่ยวข้องกับควำม มั่นคงของชำติหรือบริกำรสำธำรณะเนื่องจำกกำรด ำเนินภำรกิจดังกล่ำวมีควำมจ ำเป็นต้องใช้อ ำนำจ ในทำงมหำชนที่เป็นกำรกระทบสิทธิของเอกชนบำงประกำรเพื่อประโยชน์ในทำงสำธำรณะ เช่น อ ำนำจในกำรรอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อปักเสำพำดสำย เป็นต้น ในขณะที่รัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดย พระรำชกฤษฎีกำจะด ำเนินภำรกิจในเชิงพำณิชย์กำรค้ำกำรขำยโดยไม่มีกำรใช้อ ำนำจรัฐหรืออ ำนำจ มหำชนที่จะกระทบสิทธิบุคคลอื่น ส่วนรัฐวิสำหกิจประเภทหำรำยได้จะเป็นกำรจัดตั้งโดยกฎหมำย เอกชนในรูปบริษัทจ ำกัดตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์หรือในรูปของบริษัทมหำชนจ ำกัดตำม กฎหมำยว่ำด้วยบริษัทมหำชนจ ำกัด และนอกจำกนี้ยังมีกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจอีกประเภทหนึ่งในส่วน รำชกำรเป็นหน่วยงำนธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้ำของ ไม่มีฐำนะเป็นนิติบุคคล และใช้เงินงบประมำณแผ่นดินใน กำรด ำเนินกำร๔ (๑) กำรจัดตั้งโดยกฎหมำยมหำชน กำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจขึ้นในประเทศไทยปรำกฏ ข้อเท็จจริงว่ำกิจกำรรัฐวิสำหกิจส่วนใหญ่จะมีกำรจัดตั้งขึ้นโดยกำรตรำกฎหมำยเป็นกำรเฉพำะเพื่อ จัดตั้งกิจกำรนั้น โดยมีล ำดับศักดิ์ของกฎหมำยที่ใช้ในกำรจัดตั้งกิจกำร ดังนี้ (๑.๑) กฎหมำยเฉพำะในล ำดับศักดิ์พระรำชบัญญัติหรือกฎหมำยอื่นที่เทียบเท่ำ ในกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจ เช่น ประกำศคณะปฏิวัติ พระรำชก ำหนด โดยก ำหนดเนื้อหำบทบัญญัติเป็น กำรจัดตั้งหน่วยงำนโดยรัฐเป็นเจ้ำของผ่ำนกำรให้เงินประเดิมในกำรจัดตั้งกิจกำรและให้งบลงทุน ทั้งสิ้นจำกรัฐ โดยกฎหมำยจัดตั้งจะมีกำรก ำหนดวัตถุประสงค์ตำมขอบเขตอ ำนำจหน้ำที่ที่จะ ด ำเนินกำรว่ำมีควำมจ ำเป็นที่จะต้องมีอ ำนำจและสิทธิพิเศษต่ำง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรัฐวิสำหกิจที่ เป็นกิจกำรส ำคัญ ๆ และเป็นกิจกำรขนำดใหญ่ ได้แก่ กิจกำรด้ำนสำธำรณูปโภค รัฐวิสำหกิจเหล่ำนี้ ได้แก่ กำรไฟฟ้ำฝ่ำยผลิตแห่งประเทศไทย กำรประปำส่วนภูมิภำค กำรรถไฟแห่งประเทศไทย ส ำนักงำนสลำกกินแบ่งรัฐบำล กำรทำงพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นต้น รัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งโดย พระรำชบัญญัติเป็นหน่วยงำนของรัฐที่มีฐำนะเป็นนิติบุคคลตำมกฎหมำยมหำชน ที่ก ำหนด วัตถุประสงค์หลักในกำรประกอบกิจกำรในกำรให้บริกำรสำธำรณะ โดยมีกำรก ำหนดวัตถุประสงค์อื่น เพิ่มเติมเพื่อเปิดโอกำสให้สำมำรถด ำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันหรือต่อเนื่องใกล้เคียงกันกับวัตถุประสงค์ หลัก ซึ่งส่วนใหญ่มีควำมคล้ำยคลึงกัน แต่จะแตกต่ำงกันในรำยละเอียดตำมควำมเหมำะสมและควำม จ ำเป็นในกำรประกอบกำรของรัฐวิสำหกิจแต่ละแห่งที่ก ำหนดไว้ในพระรำชบัญญัติ๕ (๑.๒) กฎหมำยในล ำดับศักดิ์พระรำชกฤษฎีกำเพื่อจัดตั้งรัฐวิสำหกิจโดยอำศัย อ ำนำจตำมควำมในกฎหมำยแม่บทคือ พระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล พ.ศ. ๒๔๙๖ ๔ สมหญิง เจียมศักดิ์ศรี, “มำตรกำรทำงกฎหมำยในกำรควบคุมรัฐวิสำหกิจ ศึกษำเฉพำะกรณีรัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งโดยพระรำชบัญญัติ” (วิทยำนิพนธ์ นิติศำสตรมหำบัณฑิต จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย ๒๕๓๓) ๒๗,๓๘. ๕ นันทวัฒน์ บรมำนันท์, ค ำอธิบำยกฎหมำยปกครอง รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน และหน่วยบริกำรรูปแบบพิเศษ ครั้งที่ ๗, (publaw.net,๒๕๕๓)


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๕ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ซึ่งกิจกำรรัฐวิสำหกิจเหล่ำนี้จะมีชื่อขึ้นต้นของกิจกำรว่ำ “องค์กำร” ๖ เช่น องค์กำรตลำดเพื่อ เกษตรกร องค์กำรคลังสินค้ำ องค์กำรสวนสัตว์ องค์กำรอุตสำหกรรมป่ำไม้ องค์กำรขนส่วนมวลชน กรุงเทพ เป็นต้น กฎหมำยแม่บทฉบับนี้มีบทบัญญัติรองรับกำรใช้อ ำนำจของฝ่ำยบริหำรในกำรจัดตั้ง รัฐวิสำหกิจ โดยบัญญัติไว้ในมำตรำ ๓ ว่ำ “เมื่อรัฐบำลเห็นเป็นกำรสมควรจะจัดตั้งองค์กำรเพื่อด ำเนิน กิจกำรอันเป็นสำธำรณะหรือเพื่อประโยชน์ในทำงเศรษฐกิจ หรือช่วยเหลือในกำรครองชีพ หรือ อ ำนวยกำรแก่ประชำชน โดยใช้เงินทุนจำกงบประมำณแผ่นดิน ก็ให้กระท ำได้โดยตรำเป็นพระรำช กฤษฎีกำ” ๗ และมำตรำดังกล่ำวเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมำยจัดตั้งรัฐวิสำหกิจในหลำกหลำยแห่งตำม เป้ำประสงค์และตำมควำมจ ำเป็นของรัฐบำลในแต่ละยุคสมัย อีกทั้งสำระส ำคัญของกำรจัดตั้งกิจกำร รัฐวิสำหกิจโดยพระรำชกฤษฎีกำนี้จะมีควำมคล้ำยคลึงกับกำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจขึ้นโดยกฎหมำย เฉพำะโดยรัฐจะเป็นผู้ออกทุนประเดิมทั้งหมดในลักษณะเดียวกับรัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งโดย พระรำชบัญญัติ โดยพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งกิจกำรจะมีกำรก ำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต และอ ำนำจ หน้ำที่ในกำรด ำเนินกำรไว้ด้วย๘ ในขณะที่กิจกำรรัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระรำชกฤษฎีกำนี้จะไม่มี บทบัญญัติที่ให้อ ำนำจรัฐหรืออ ำนำจมหำชน เช่น อ ำนำจในกำรรอนสิทธิเพื่อประโยชน์สำธำรณะ เป็น ต้น โดยกิจกำรรัฐวิสำหกิจกลุ่มนี้จะมีลักษณะเป็นกำรจัดตั้งหน่วยงำนเพื่อประโยชน์ในทำงเศรษฐกิจ หรือกำรพำณิชย์เป็นหลัก (๒) กำรจัดตั้งโดยกฎหมำยเอกชน รูปแบบของกิจกำรรัฐวิสำหกิจที่มีกำรจัดตั้งขึ้นโดย กฎหมำยเอกชนให้มีสถำนะเป็นบริษัทจ ำกัดหรือบริษัทมหำชนจ ำกัดจะมีวัตถุประสงค์หลัก เช่นเดียวกับกิจกำรของบริษัทเอกชนที่ต้องกำรให้เกิดควำมคล่องตัวและควำมยืดหยุ่นในกำรประกอบ กิจกำรเยี่ยงเอกชน โดยรัฐวิสำหกิจในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีกำรเว้นไม่ต้องปฏิบัติตำมระเบียบหรือ หลักเกณฑ์ขั้นตอนของรัฐบำงประกำร โดยสำมำรถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ (๒.๑) รัฐวิสำหกิจประเภทที่มีสถำนะเป็นบริษัทจ ำกัดนี้จัดตั้งขึ้นตำมหลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่ก ำหนดไว้ในประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ ซึ่งเป็นกำรจัดตั้งกิจกำรในรูปแบบ เดียวกันกับบริษัทเอกชน โดยที่รัฐหรือกระทรวงกำรคลังจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เกินกว่ำร้อยละห้ำสิบ ของทุนทั้งหมดของกิจกำรหรือเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของกิจกำรรัฐวิสำหกิจประเภทบริษัทจ ำกัดนี้ รัฐวิสำหกิจประเภทบริษัทจ ำกัดนี้จะมีกำรก ำหนดกฎเกณฑ์กำรบริหำรกิจกำรเยี่ยงเอกชนเพื่อให้ กิจกำรมีควำมคล่องตัวและเป็นอิสระ เช่น บริษัท ขนส่ง จ ำกัด บริษัท อู่กรุงเทพ จ ำกัด บริษัทวิทยุ กำรบินแห่งประเทศไทย จ ำกัด บริษัท ไม้อัดไทย จ ำกัด เป็นต้น (๒.๒) รัฐวิสำหกิจประเภทที่มีสถำนะเป็นบริษัทมหำชนจ ำกัดโดยจัดตั้งขึ้นตำม พระรำชบัญญัติบริษัทมหำชนจ ำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งกิจกำรประเภทนี้จัดตั้งขึ้นภำยใต้เป้ำหมำยในกำร ระดมทุนในตลำดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งส่งผลให้รัฐหรือกระทรวงกำรคลังจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วนที่เกินกว่ำร้อยละห้ำสิบของทุนทั้งหมดของกิจกำรโดยจะมีผู้ถือหุ้นรำยอื่นเข้ำร่วมเป็นผู้ถือ หุ้นในกิจกำรด้วย รัฐวิสำหกิจประเภทบริษัทมหำชนจ ำกัดนี้นอกจำกจะมีกำรก ำหนดกฎเกณฑ์ภำยใน ๖ ไม่รวมถึง “องค์กำรเภสัชกรรม” ซึ่งเป็นรัฐวิสำหกิจที่ตรำขึ้นโดยพระรำชบัญญัติองค์กำรเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๐๙ ๗ พระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล พ.ศ. ๒๔๙๖ มำตรำ ๓. ๘ สมหญิง เจียมศักดิ์ศรี(เชิงอรรถ ๒), ๒๘,๓๘.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๖ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร เพื่อให้กิจกำรมีควำมคล่องตัวเช่นเดียวกับรัฐวิสำหกิจประเภทบริษัทจ ำกัดแล้ว กิจกำรประเภทบริษัท มหำชนจ ำกัดนี้ยังต้องถือปฏิบัติตำมหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับบริษัทมหำชนจ ำกัดอื่นๆ เช่น กฎหมำยว่ำ ด้วยบริษัทมหำชนจ ำกัด กฎหมำยว่ำด้วยหลักทรัพย์และตลำดหลักทรัพย์ เป็นต้น ในขณะที่บำง กิจกำรที่เป็นบริษัทมหำชนจ ำกัดเละเป็นกิจกำรรัฐวิสำหกิจประเภทสถำบันกำรเงินยังคงต้องถือปฏิบัติ ตำมกฎหมำยขององค์กรก ำกับดูแลด้วย เช่น กฎหมำยว่ำด้วยธนำคำรแห่งประเทศไทย กฎหมำยว่ำ ด้วยธุรกิจสถำบันกำรเงิน เป็นต้น กิจกำรรัฐวิสำหกิจประเภทบริษัทมหำชนจ ำกัดนี้จึงถือได้ว่ำมี มำตรฐำนในกำรปฏิบัติงำนเทียบเท่ำกิจกำรบริษัทมหำชนจ ำกัดของภำคเอกชนที่กระจำยหุ้นในตลำด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีตัวอย่ำงกิจกำรเช่น บริษัท กำรบินไทย จ ำกัด (มหำชน) ธนำคำรกรุงไทย จ ำกัด (มหำชน) บริษัท ทีโอที จ ำกัด (มหำชน) เป็นต้น๙ อย่ำงไรก็ดี รัฐวิสำหกิจที่ จัดตั้งตำมหลักเกณฑ์ที่ก ำหนดในพระรำชบัญญัติบริษัทมหำชนจ ำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้ถือได้ว่ำเป็น กิจกำรที่มีฐำนะเป็นนิติบุคคลตำมกฎหมำยเอกชน กำรด ำเนินงำนโดยทั่วไปจึงเป็นไปตำม คณะกรรมกำรและที่ประชุมผู้ถือหุ้นเหมือนดังเช่นรัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งโดยประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ (๓) กำรจัดตั้งโดย "ทุนหมุนเวียน" ตำมกฎหมำยว่ำด้วยเงินคงคลัง ข้อบังคับว่ำด้วยวิธี ปฏิบัติเกี่ยวกับกำรเงินขององค์กำร พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นข้อบังคับที่อำศัยอ ำนำจตำมควำมในมำตรำ ๑๓ แห่งพระรำชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกำรคลังได้ก ำหนด ข้อบังคับเอำไว้เพื่อรองรับกำรด ำเนินงำนขององค์กำรค้ำหรือส่วนรำชกำรที่ด ำเนินกิจกำรท ำนอง กำรค้ำ หรืออุตสำหกรรม โดยได้แบ่งบรรดำองค์กำรที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนของรัฐออกเป็น ๒ ประเภท คือ องค์กำรที่ด ำเนินกิจกำรโดยมีบัญชีทุน หรือทุนหมุนเวียน ไว้ที่กระทรวงกำรคลัง กับ องค์กำรที่ด ำเนินกิจกำรโดยไม่มีบัญชีทุนหรือทุนหมุนเวียนไว้ที่กระทรวงกำรคลัง และข้อบังคับ ดังกล่ำวเป็นฐำนอ ำนำจส ำคัญให้กับองค์กำรต่ำงๆ ที่ใช้ทุนหมุนเวียนของรัฐในกำรด ำเนินกิจกำรให้ กระทรวงทบวงกรมเจ้ำสังกัดตั้งกรรมกำรขึ้นคณะหนึ่งเพื่อควบคุม กำรด ำเนินงำนรวมถึงให้ทุก องค์กำรมีข้อบังคับเกี่ยวกับกิจกำรของตน๑๐ ซึ่งในปัจจุบันปรำกฏว่ำมีองค์กรที่อำศัยข้อบังคับฉบับนี้ เป็นฐำนในกำรจัดตั้งกรรมกำรขึ้นเพื่อควบคุมกำรด ำเนินงำนและตรำข้อบังคับเพื่อกำรบริหำรงำน ภำยในองค์กำรเองซึ่งถูกพิจำรณำว่ำมีสถำนะเป็นรัฐวิสำหกิจเช่นกัน เช่น โรงพิมพ์ต ำรวจ ส ำนักงำน ต ำรวจแห่งชำติ เป็นต้น๑๑ ซึ่งกิจกำรรัฐวิสำหกิจประเภทนี้จะถูกจัดตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรีโดยมี สภำพเป็นหน่วยงำนธุรกิจของรัฐ (Business Unit) ที่ไม่เป็นนิติบุคคลและจัดตั้งขึ้นในส่วนรำชกำรโดย รัฐให้ทุนประเดิมเพื่อใช้จ่ำยในกำรด ำเนินงำน มีกำรก ำหนดระเบียบหรือข้อบังคับในกำรบริหำรงำน ภำยในของตนเอง และอยู่ภำยใต้กำรควบคุมดูแลของกระทรวงเจ้ำสังกัด รัฐวิสำหกิจเหล่ำนั้น ได้แก่ องค์กำรสุรำ กรมสรรพสำมิต โรงพิมพ์ต ำรวจ ส ำนักงำนต ำรวจแห่งชำติ โรงงำนยำสูบ กระทรวงกำรคลัง (ปัจจุบันได้มีกำรตรำพระรำชบัญญัติกำรยำสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผล ๙ สลักจิต กุลเตชะมำภรณ์, “มำตรกำรทำงกฎหมำยเกี่ยวกับกำรด ำรงต ำแหน่งคณะกรรมกำรในรัฐวิสำหกิจของข้ำรำชกำรกำรเมืองและ ข้ำรำชกำรประจ ำ” (วิทยำนิพนธ์ นิติศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยศรีปทุม) ๒๖. ๑๐ ข้อบังคับว่ำด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับกำรเงินขององค์กำร พ.ศ. ๒๔๙๖ ๑๑ ระเบียบส ำนักงำนต ำรวจแห่งชำติว่ำด้วยประมวลระเบียบกำรต ำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ ๕๗ ลักษณะเบ็ดเตล็ด (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ บทที่ ๓๔ ข้อบังคับโรงพิมพ์ต ำรวจ, ค ำปรำรภ.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๗ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ท ำให้ สถำนะของโรงงำนยำสูบสิ้นสุดลง และมีสภำพเป็นกำรยำสูบแห่งประเทศไทยขึ้นแทน) และ ส ำนักงำนธนำนุเครำะห์ กรมพัฒนำสังคมและสวัสดิกำร เป็นต้น กำรแบ่งประเภทของรัฐวิสำหกิจโดยพิจำรณำจำกวัตถุประสงค์ในกำรจัดตั้ง กำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจขึ้นในประเทศไทยแต่ละแห่งในแต่ละช่วงเวลำมีควำมแตกต่ำงกันไปตำม เจตนำรมณ์และวัตถุประสงค์ในกำรจัดตั้งซึ่งสำมำรถจ ำแนกได้ดังนี้ (๑) รัฐวิสำหกิจที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เป็นกำรหำรำยได้ รัฐวิสำหกิจกลุ่มนี้จัดตั้ง ขึ้นโดยมีมูลเหตุจำกกำรควบคุมกำรผลิตและกำรบริโภคสินค้ำบำงชนิดที่มีผลกระทบต่อประชำชน หรือก่อโทษทำงสังคม และกำรควบคุมนี้ก่อให้เกิดกำรแสวงหำรำยได้ให้กับรัฐไปด้วยนอกเหนือจำก เงินภำษีอำกร ตำมเหตุผลในทำงกำรคลังมหำชน๑๒ ตัวอย่ำงเช่น กำรยำสูบแห่งประเทศไทย ที่ท ำ หน้ำที่ผลิตยำสูบและมวนบุหรี่เพื่อจ ำหน่ำย ส ำนักงำนสลำกกินแบ่งรัฐบำลที่มีหน้ำที่ในกำรออกสลำก จ ำหน่ำยให้กับประชำชนที่ปกติจะเข้ำข่ำยเป็นกำรพนัน โรงงำนไพ่ที่มีหน้ำที่ในกำรผลิตไพ่ส ำรับ ประเภทต่ำงๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทหลักที่ใช้ในกำรเล่นกำรพนัน องค์กำรสุรำที่มีหน้ำที่ผลิตสุรำ กลั่นหรือแอลกอฮอลล์เพื่อใช้ประกอบกำรผลิตสุรำและของมึนเมำ๑๓ (๒) รัฐวิสำหกิจที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในเรื่องของควำมมั่นคงของประเทศ ตัวอย่ำงของกิจกำรรัฐวิสำหกิจที่ตั้งขึ้นภำยใต้แนวคิดและวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจกำร ที่ดูแลเรื่องควำมเข้มแข็งมั่นคงของประเทศ ปรำกฏให้เห็นทั้งในสมัยรัชกำลที่ ๕ ที่ทรงตั้ง กรมรถไฟ กรมไปรษณีย์และโทรเลข ขึ้นเพื่อติดต่อและสื่อสำร และในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครำม มีกำร จัดตั้งองค์กำรแบตเตอรี่ ที่ท ำหน้ำที่ผลิตแบตเตอรี่เพื่อใช้กับยำนพำหนะทำงสงครำม เช่น รถถัง เป็น ต้น องค์กำรแก้วที่ท ำหน้ำที่ผลิตแก้วและวัตถุทนไฟเพื่อใช้ในกำรสงครำม องค์กำรฟอกหนังที่ท ำ หน้ำที่ผลิตรองเท้ำที่ทหำรใช้ในกำรปฏิบัติกำรทำงทหำรต่ำงๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกำรผลิตที่จ ำเป็นแก่ กำรเป็นยุทธปัจจัยแก่กองทัพในกำรสู้รบในสงครำม๑๔ อย่ำงไรก็ดีในปัจจุบันภำรกิจของกรมรถไฟได้ ถูกมอบหมำยไปยังกำรรถไฟแห่งประเทศไทย ในขณะที่ภำรกิจของกรมไปรษณีย์และโทรเลขนั้น ได้ มอบหมำยไปยังกิจกำรรัฐวิสำหกิจสองแห่งในช่วงเวลำหนึ่ง คือ องค์กำรโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และกำรสื่อสำรแห่งประเทศไทยและได้มีกำรแปลงสภำพกิจกำรรัฐวิสำหกิจทั้งสองแห่งมำเป็นสำม กิจกำรในเวลำต่อมำ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จ ำกัด (มหำชน) บริษัท กสท โทรคมนำคม จ ำกัด (มหำชน) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จ ำกัด ซึ่งในปี ๒๕๖๔ นี้เอง ได้มีกำรควบรวมกิจกำรระหว่ำงบริษัท ทีโอที จ ำกัด (มหำชน) และบริษัท กสท โทรคมนำคม จ ำกัด (มหำชน) ขึ้นเป็นกิจกำรรัฐวิสำหกิจแห่งใหม่ ๑๒ จันทจิรำ เอี่ยมมยุรำ, วิสำหกิจมหำชน (รัฐวิสำหกิจ) ในกฎหมำยไทย” (วิทยำนิพนธ์ นิติศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์ ,๒๕๒๙),๖๘ ๑๓ ศำสตรำ โตอ่อน, “ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรัฐกับรัฐวิสำหกิจในกำรแปรรูปรัฐวิสำหกิจไทย” (วิทยำนิพนธ์มหำบัณฑิต คณะนิติศำสตร์ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์,๒๕๔๖) ๔๕ ๑๔ เพิ่งอ้ำง ๔๕


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๘ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร โดยมีชื่อเรียกว่ำ บริษัท โทรคมนำคมแห่งชำติ จ ำกัด (มหำชน)๑๕ ในขณะที่องค์กำรแก้ว๑๖ องค์กำร แบตเตอรี่๑๗ องค์กำรฟอกหนัง๑๘ ได้มีกำรตรำพระรำชกฤษฎีกำยุบเลิกกิจกำรไปแล้ว (๓) รัฐวิสำหกิจที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในกำรจัดท ำบริกำรสำธำรณะกำรจัดท ำ บริกำรสำธำรณะเป็นเป้ำหมำยหลักในกำรจัดตั้งและกำรด ำเนินภำรกิจของรัฐวิสำหกิจ เพื่อให้ ประชำชนได้มีควำมเป็นอยู่ที่ดี มีควำมผำสุกปลอดภัย ซึ่งเป็นกำรสร้ำงมำตรฐำนคุณภำพชีวิตของคน ในประเทศ และเพื่อให้กำรด ำเนินภำรกิจของรัฐวิสำหกิจบรรลุเป้ำหมำยในกำรจัดท ำบริกำรสำธำรณะ ที่มีคุณภำพนั้น กิจกำรรัฐวิสำหกิจจะเป็นผู้ลงทุนจัดให้มีบริกำรสำธำรณะและโครงสร้ำงพื้นฐำนที่ จ ำเป็นต่อกำรด ำรงชีวิตในแต่ละวันของประชำชน ในขณะที่กำรจัดท ำบริกำรสำธำรณะโดย รัฐวิสำหกิจนั้นยังมีควำมจ ำเป็นที่จะต้องสร้ำงรำยได้กลับมำยังรัฐในฐำนะผู้ออกทุน กิจกำรรัฐวิสำหกิจ ส่วนใหญ่ที่ จัดให้มีบริกำรสำธำรณะจึงมีลักษณะเป็นกำรประกอบกิจกำรเชิงพำณิชย์คู่ขนำนไปกับกำร ประกอบอุตสำหกรรมในสำขำหรือประเภทที่รัฐวิสำหกิจแห่งนั้นต้องด ำเนินกำร ทั้งในกิจกำรที่ต้องจัด ให้มีสำธำรณูปโภค เช่น กำรไฟฟ้ำฝ่ำยผลิตแห่งประเทศไทย กำรประปำนครหลวง กำรไฟฟ้ำนคร หลวง กำรประปำส่วนภูมิภำค และกำรไฟฟ้ำส่วนภูมิภำค เป็นต้น และกิจกำรที่เป็นสำธำรณูปกำร พื้นฐำน (Infrastructure) เช่น กำรทำงพิเศษแห่งประเทศไทย กำรรถไฟแห่งประเทศไทย กำรรถไฟฟ้ำ ขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย กำรท่ำเรือแห่งประเทศไทย และกำรเคหะแห่งชำติ เป็นต้น ซึ่งกิจกำร รัฐวิสำหกิจที่มีวัตถุประสงค์เป็นกำรจัดให้มีบริกำรสำธำรณะนี้ยังเป็นกิจกำรที่วำงรำกฐำนส ำคัญทั้งใน กำรพัฒนำเศรษฐกิจและเป็นเครื่องหมำยบ่งชี้กำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจของประเทศ อย่ำงไรก็ดี กิจกำรรัฐวิสำหกิจประเภทนี้ซึ่งมีเป้ำหมำยหลักคือกำรจัดให้มีบริกำรสำธำรณะที่มิได้มุ่งแสวงหำ รำยได้หรือก ำไรสูงสุดในกิจกำร แต่ด้วยควำมเปลี่ยนแปลงในทำงเศรษฐกิจรวมถึงเป้ำหมำยและ นโยบำยของภำครัฐที่มุ่งหมำยให้กิจกำรเหล่ำนี้มีรำยได้เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กิจกำรรัฐวิสำหกิจ ประเภทนี้จึงมีกำรประกอบกิจกำรที่มีเป้ำหมำยรองจำกเป้ำหมำยในกำรจัดให้มีบริกำรสำธำรณะคือ กำรสร้ำงรำยได้จำกกิจกำรหลักและกิจกำรเสริม เช่น กำรโฆษณำหรือกำรให้เช่ำทรัพย์สินที่ดินต่ำงๆ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่เพิ่มเติมขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปจำกกรอบวัตถุประสงค์ตั้งต้นนั้น๑๙ (๔) รัฐวิสำหกิจที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อด ำเนินกำรตำมแนวนโยบำยของรัฐเป็น กำรเฉพำะในช่วงเวลำที่ผ่ำนมำของประวัติศำสตร์กำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจไทย รัฐวิสำหกิจ มีสภำพกลำยเป็นเครื่องมือทำงเศรษฐกิจโดยแท้ของรัฐบำลซึ่งอำจจัดตั้งกิจกำรเพื่อรับผิดชอบกำร แก้ปัญหำทำงเศรษฐกิจ ทำงสังคม ทำงกำรเมือง หรือแม้แต่แก้ไขปัญหำในทำงกำรเกษตร หรือ ทรัพยำกรธรรมชำติ โดยสำมำรถจ ำแนกประเภทรัฐวิสำหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ด ำเนินกำรตำมแนวนโยบำยของรัฐเป็นกำรเฉพำะจ ำนวน ๖ ประเภท ได้แก่ ประเภทที่หนึ่งคือ รัฐวิสำหกิจประเภทสถำบันกำรเงิน เช่น ธนำคำรแห่งประเทศไทย๒๐ (พระรำชบัญญัติธนำคำรแห่ง ๑๕ หนังสือบริษัทโทรคมนำคมแห่งชำติ จ ำกัด (มหำชน) ที่ เอ็นซี รข.๒/๘๘ ลงวันที่ ๑๕ มกรำคม ๒๕๖๔ เรื่อง แจ้งกำรควบรวมกิจกำรของ บริษัท ทีโอที จ ำกัด (มหำชน) และบริษัท กสท โทรคมนำคม จ ำกัด (มหำชน) ๑๖ พระรำชกฤษฎีกำยุบเลิกองค์กำรแก้ว พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๗ พระรำชกฤษฎีกำยุบเลิกองค์กำรแบตเตอรี่ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๘ พระรำชกฤษฎีกำยุบเลิกองค์กำรฟอกหนัง พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๙ ศำสตรำ โตอ่อน (เชิงอรรถ ๑๑) ๔๕. ๒๐ พระรำชบัญญัติธนำคำรแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ มำตรำ ๕.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๓๙ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ในมำตรำ ๕ ให้ธนำคำรแห่งประเทศไทยไม่มีสถำนะเป็น รัฐวิสำหกิจตำมกฎหมำยว่ำด้วยวิธีกำรงบประมำณและกฎหมำยอื่น) ธนำคำรออมสิน ๒๑ เพื่อสร้ำง อุปนิสัยกำรออมให้กับประชำชน ธนำคำรอำคำรสงเครำะห์๒๒เพื่อสร้ำงโอกำสในกำรมีที่พักอำศัย ให้กับประชำชนในชำติ เป็นต้น ประเภทที่สองคือรัฐวิสำหกิจที่มีวัตถุประสงค์ในกำรอนุรักษ์และใช้ ประโยชน์ทรัพยำกรธรรมชำติ เช่น กำรปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย๒๓(ปัจจุบันแปลงสภำพเป็นบริษัท ปตท. จ ำกัด (มหำชน) แล้ว ซึ่งเดิมมีภำรกิจในกำรจัดหำแหล่งพลังงำนให้กับประชำชนและต่อมำ ขยำยผลไปสู่กำรรักษำระดับรำคำน้ ำมันรวมถึงกำรสร้ำงรำยได้ให้กับรัฐ องค์กำรอุตสำหกรรมป่ำไม้๒๔ ซึ่งมีภำรกิจในกำรส่งเสริมกิจกำรพำณิชย์ในกำรใช้ป่ำไม้มำผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ในช่วงเวลำที่เอกชน ยังไม่มีควำมพร้อมในกำรประกอบกิจกำรดังกล่ำว เป็นต้น ประเภทที่สำมคือรัฐวิสำหกิจประเภท เกษตรกรรมและพำณิชยกรรม เช่น องค์กำรสวนยำง (องค์กำรสวนยำงได้ควบรวมกับส ำนักงำน กองทุนสงเครำะห์กำรท ำสวนยำงและจัดตั้งเป็นกิจกำรรัฐวิสำหกิจแห่งใหม่ ชื่อว่ำ กำรยำงแห่ง ประเทศไทย ตำมพระรำชบัญญัติกำรยำงแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘) ซึ่งมีภำรกิจในกำรส่งเสริม กลไกกำรจ ำหน่ำยยำงพำรำและผลิตภัณฑ์จำกต้นยำง (น้ ำยำงพำรำ) และต่อมำมีภำรกิจในรักษำ ควำมสมดุลของระดับรำคำยำงพำรำในประเทศด้วย องค์กำรสะพำนปลำ๒๕ ซึ่งมีภำรกิจในกำรจัดให้มี แพปลำเพื่อประกอบกิจกำรประมง องค์กำรตลำด๒๖ เพื่อส่งเสริมให้มีกำรจัดตลำดที่เป็นสื่อกลำงใน กำรค้ำขำยสินค้ำ องค์กำรเภสัชกรรม๒๗ เพื่อจัดให้มียำและเวชภัณฑ์ที่จ ำเป็นต่อควำมปลอดภัยและ มั่นคงของประชำชน องค์กำรสวนพฤกษศำสตร์๒๘ เพื่อจัดให้มีกำรรักษำพืชพันธุ์ทั้งในเชิงอนุรักษ์และ ในเชิงพำณิชย์ได้ เป็นต้น ประเภทที่สี่คือรัฐวิสำหกิจประเภทส่งเสริมกิจกรรมต่ำงๆ เช่น กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย๒๙ เพื่อส่งเสริมกำรท่องเที่ยวในประเทศโดยดึงดูดจำกนักท่องเที่ยวทั้ง ชำวไทยและชำวต่ำงชำติ กำรกีฬำแห่งประเทศไทย๓๐ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้ำนกำรกีฬำทั้งเพื่อควำม เป็นเลิศและกีฬำเพื่ออำชีพ หรือแม้แต่กำรรักษำสุขภำพของประชำชน เป็นต้น ประเภทที่ห้ำคือ รัฐวิสำหกิจประเภทส่งเสริมธุรกิจต่อเนื่อง เช่น บริษัท สหโรงแรมไทยและกำรท่องเที่ยว จ ำกัด ซึ่งมี กำรจัดให้มีโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และประเภทสุดท้ำยคือรัฐวิสำหกิจประเภทที่ รัฐต้อง ประกอบกิจกำรเองเนื่องจำกมีต้นทุนสูง เช่น บริษัทไทยเดินเรือทะเล จ ำกัด เพื่อจัดให้มีกำรเดินเรือ ทั้งภำยในและระหว่ำงประเทศ และสถำบันกำรบินพลเรือน๓๑ เพื่อจัดให้มีองค์กรสร้ำงควำมรู้เกี่ยวกับ กำรฝึกบินหรือกำรให้ใบอนุญำตกำรบินให้กับพลเรือน เป็นต้น กิจกำรรัฐวิสำหกิจประเภทนี้แม้ว่ำจะ ๒๑ พระรำชบัญญัติธนำคำรออมสิน พ.ศ. ๒๔๘๙. ๒๒ พระรำชบัญญัติธนำคำรอำคำรสงเครำะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖. ๒๓ พระรำชบัญญัติกำรปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ (ถูกยกเลิกโดยพระรำชกฤษฎีกำก ำหนดเงื่อนเวลำยกเลิกกฎหมำยว่ำด้วยกำร ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔). ๒๔ พระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรอุตสำหกรรมป่ำไม้ พ.ศ. ๒๕๔๔. ๒๕ พระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรสะพำนปลำ พ.ศ. ๒๕๙๖. ๒๖ พระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรตลำด พ.ศ. ๒๕๙๖. ๒๗ พระรำชบัญญัติองค์กำรเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๐๙ ๒๘ พระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรสวนพฤกษศำสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๕. ๒๙ พระรำชบัญญัติกำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒. ๓๐ พระรำชบัญญัติกำรกีฬำแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘. ๓๑ พระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งสถำบันกำรบินพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๐ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร ถูกจัดตั้งขึ้นตำมแนวนโยบำยของรัฐเฉพำะแต่ภำรกิจโดยรวมของรัฐวิสำหกิจจะยังคงมีควำมเกี่ยวพัน กับทั้งกำรให้บริกำรประชำชน กำรสร้ำงควำมสมดุลให้กับเศรษฐกิจ รวมถึงกำรแสวงหำรำยได้เพื่อ ประโยชน์หรือก ำไรในกำรด ำเนินกิจกำรด้วย๓๒ ๒. กฎหมาย/กฎ/ระเบียบ ยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง กฎหมำยไทยที่ถือเป็นกฎหมำยต้นแบบในกำรก ำหนดนิยำม “รัฐวิสำหกิจ” เช่น พระรำชบัญญัติวิธีกำรงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งได้ก ำหนดบทนิยำมไว้ในมำตรำ ๔ ควำมว่ำ ““รัฐวิสำหกิจ” หมำยควำมว่ำ (ก) องค์กำรของรัฐบำลหรือหน่วยงำนธุรกิจที่รัฐบำลเป็นเจ้ำของ (ข) บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนรำชกำรมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำ สิบ (ค) บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนรำชกำรและ/หรือรัฐวิสำหกิจตำม (ก) และ/หรือ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำสิบ (ง) บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนรำชกำร และ/หรือรัฐวิสำหกิจตำม (ค) และ/หรือ (ก) และ/หรือ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำสิบ (จ) บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติส่วนบุคคลที่ส่วนรำชกำร และ/หรือรัฐวิสำหกิจตำม (ง) และ/หรือ (ก) และ/หรือ (ข) และ/หรือ (ค) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำ สิบ” ๓๓ ทั้งนี้ เป็นกำรน ำรวมเอำองค์กรหลำกหลำยประเภท หลำกหลำยรูปแบบเอำไว้ทั้ง “องค์กำรของรัฐบำล” “หน่วยงำนธุรกิจที่รัฐบำลเป็นเจ้ำของ” “บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วน รำชกำรมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำสิบ” และบริษัทที่ถูกถือหุ้นจำกกิจกำรข้ำงต้นจนเกินกว่ำร้อย ละห้ำสิบ รองลงไปอีกหลำยชั้น ซึ่งจะถูกเรียกว่ำ “รัฐวิสำหกิจ” และมำอยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำยว่ำ ด้วยวิธีกำรงบประมำณนั้น เป็นประเด็นส ำคัญอย่ำงยิ่งที่จะท ำให้เข้ำใจต้นแบบทำงควำมคิดทั้งในส่วน ของกำรก ำหนดนิยำมในกฎหมำยภำยหลังจำกมีกำรจัดตั้งกิจกำรดังกล่ำว ในส่วนของเหตุผลของกำร ก ำหนดนิยำม “รัฐวิสำหกิจ” ที่ครอบคลุมและหลำยประเภทองค์กร และในส่วนของกำรน ำนิยำมที่กว้ำง ขวำงครอบคลุมนั้นไปอ้ำงอิงในกฎหมำยฉบับอื่น ๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ๓. บทวิเคราะห์ กำรจัดตั้งรัฐวิสำหกิจขึ้นในประเทศไทยตลอดระยะเวลำที่ผ่ำนมำ แสดงให้เห็นว่ำมี วัตถุประสงค์ส ำคัญเพื่อให้องค์กรนั้นด ำเนินภำรกิจในสองลักษณะควบคู่กันไป ทั้งในกำรจัดให้บริกำร สำธำรณะต่อประชำชนและประกอบกิจกรรมเชิงพำณิชย์ ภำยใต้หลักกำรและแนวคิดที่ว่ำ กำรจัดให้มี บริกำรสำธำรณะโดยส่วนรำชกำรอำจมีข้อจ ำกัดในหลำยประกำร ทั้งในเรื่องของควำมเป็นอิสระและ ควำมคล่องตัวในเชิงธุรกิจ เช่น กรณีของกำรรถไฟแห่งประเทศไทยที่ได้มีกำรตรำพระรำชบัญญัติกำร ๓๒ ศำสตรำ โตอ่อน (เชิงอรรถ ๑๑) ๔๖. ๓๓ พระรำชบัญญัติวิธีกำรงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๒.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๑ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร รถไฟแห่งประเทศไทย พุทธศักรำช ๒๔๙๔ โดยรับโอนภำรกิจจำกกรมรถไฟ (กรมรถไฟแผ่นดิน หรือ กรมรถไฟหลวง) ตำมข้อเสนอของธนำคำรโลกที่ จะให้เงินกู้เพื่อบูรณะและปรับปรุงสภำพของรถไฟ๓๔ เป็นต้น นอกจำกนี้ ประเทศไทยได้มีกำรจัดตั้งหน่วยงำนของรัฐในรูปแบบหนึ่งที่ มีหน้ำที่ในกำรจัดท ำ บริกำรสำธำรณะ หน้ำที่ในกำรด ำเนินกำรเชิงพำณิชย์ หรือหน้ำที่ในกำรรักษำควำมมั่นคงของประเทศ ทำงด้ำนเศรษฐกิจ ซึ่งหน่วยงำนของรัฐในลักษณะดังกล่ำวถูกเรียกว่ำ "รัฐวิสำหกิจ" และเป็นเวลำ ๘๐ กว่ำปีภำยหลังกำรเปลี่ยนแปลงระบอบกำรปกครองของประเทศไทยซึ่งข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศำสตร์ ปรำกฏว่ำ รัฐวิสำหกิจที่ถูกจัดตั้งขึ้นแห่งแรกและยังคงประกอบกำรอยู่จนปัจจุบันนี้ คือ บริษัท ขนส่ง จ ำกัด (เดิมชื่อ บริษัท เดินอำกำศไทย จ ำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๓๖ ซึ่งเดิมเป็นหน่วยงำน บุกเบิกริเริ่มกำรบินพำณิชย์ในประเทศไทยเป็นรำยแรก และเดินรถยนต์โดยสำรสำยกรุงเทพฯ - ลพบุรี กรุงเทพฯ - ปรำจีนบุรี และต่อมำในสมัยสงครำมโลกครั้งที่สอง จึงเป็นรัฐวิสำหกิจและเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ขนส่ง จ ำกัด" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑๓๕ ทั้งนี้ไม่ปรำกฏเหตุผลในเชิงประวัติศำสตร์ถึงเหตุผลในกำร จัดตั้งหน่วยงำนดังกล่ำวในรูปแบบของบริษัทจ ำกัด ๓.๑ กำรก ำหนดประเภทองค์กรให้เป็น “รัฐวิสำหกิจ” ในกฎหมำยไทย ช่วงเวลำภำยหลังจำกกำรเปลี่ยนแปลงกำรปกครอง ในช่วงรัฐบำลของจอม พล ป. พิบูลสงครำม ได้เข้ำมำมีอ ำนำจในกำรบริหำรประเทศ รัฐบำลดังกล่ำวได้ถือเอำเหตุผลในกำร พัฒนำเศรษฐกิจและควำมเป็นชำตินิยมเข้ำมำด ำเนินธุรกิจอย่ำงกว้ำงขวำง ๓๖ โดยในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้มีกำรตรำกฎหมำยว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล๓๗ ซึ่งประกอบไปด้วยกันทั้งสิ้น ๗ มำตรำ โดยมีสำระส ำคัญเป็นกำรให้อ ำนำจแก่รัฐบำลในกำรจัดตั้งหน่วยงำนขึ้นได้โดยอิสระ ดังจะเห็นได้จำก บทบัญญัติในมำตรำ ๓ และหลักกำรและเหตุผลของกำรตรำพระรำชบัญญัติดังกล่ำวที่ก ำหนดว่ำ "เนื่อง จ ำก รั ฐบ ำลมีค ว ำม จ ำเป็นต้อง จัดตั้งองค์ก ำ รของ รั ฐบ ำลขึ้น เพื่อด ำเนินกิจกำรอันเป็นสำธำรณประโยชน์ หรือเพื่อประโยชน์ในกำรเศรษฐกิจ หรือเพื่อช่วยเหลือใน กำรครองชีพหรืออ ำนวยบริกำรแก่ประชำชน ซึ่งกิจกำรเหล่ำนี้บำงเรื่องไม่สมควรที่จะจัดตั้งเป็นหน่วย รำชกำรตำมกฎหมำยว่ำด้วยระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดิน เพรำะมีลักษณะหนักไปในทำงกำรค้ำ หรืออ ำนวยบริกำรแก่ประชำชนเป็นพิเศษ จึงเห็นสมควรให้มีกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำลเพื่อด ำเนิน กิจกำรต่ำงๆ ดังกล่ำวโดยเรียบร้อยและรัดกุมต่อไป"๓๘ ในขณะที่สำระส ำคัญของกฎหมำยดังกล่ำวในมำตรำอื่นๆ นั้นเป็นเพียงกำร ก ำหนดรำยละเอียดที่พึงมีในพระรำชกฤษฎีกำจัดตั้งองค์กำรที่จะได้มีกำรตรำขึ้นต่อไป ซึ่งจำกหลักกำร ที่ปรำกฏในพระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล พ.ศ. ๒๔๙๖ กลับไม่ปรำกฏว่ำได้มี ๓๔ กำรรถไฟแห่งประเทศไทย, “ประวัติกำรรถไฟแห่งประเทศไทย” <http://www.railway.co.th/main/ profile/history.html> สืบค้นเมื่อ ๑๒ พฤษภำคม ๒๕๖๖. ๓๕ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรนโยบำยรัฐวิสำหกิจ กระทรวงกำรคลัง “ประมวลกฎหมำยจัดตั้งรัฐวิสำหกิจ” (๒๕๕๗) ๑. ๓๖ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม, ประวัติควำมเป็นมำของรัฐวิสำหกิจ” (เอกสำรประกอบกำรสัมมนำทำงิวชำกำรในโอกำสเฉลิมฉลองครบ ๕๐ ปี มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์และ ๓๕ ปีคณะเศรษฐศำสตร์, คณะเศรษฐศำสตร์ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์, มกรำคม ๒๕๕๗) ๑-๗. ๓๗ พระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล พ.ศ. ๒๔๙๖. ๓๘ อมรำลักษณ์ รักษ์วงศ์, “สรุปสำระส ำคัญพระรำชบัญญัติว่ำด้วยกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำล” ศูนย์ข้อมูลกฎหมำยกลำง ส ำนักงำน คณะกรรมกำรกฤษฎีกำ,มกรำคม ๒๕๔๘ <http:/web.krisdika.go.th/data/lawabout/lawdetail_๑๔๕.htm> สืบค้นเมื่อ ๑๒ พฤษภำคม ๒๕๖๖.


๓๐ องค์ความรู้เพื่อน าไปสู่แนวปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ๑๔๒ คณะท ำงำนบริหำรจัดกำรควำมรู้ (Knowledge Management : KM) และนวัตกรรมของส ำนักกรรมำธิกำร ๒ ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร กำรก ำหนดชื่อเรียกองค์กำรของรัฐบำลดังกล่ำวว่ำเป็น "รัฐวิสำหกิจ" และไม่ได้ก ำหนดนิยำม "รัฐวิสำหกิจ"เอำไว้ในกฎหมำยดังกล่ำวแต่ประกำรใด นอกจำกนี้ยังปรำกฏหลักกำรส ำคัญว่ำ "กิจกำร เหล่ำนี้บำงเรื่องไม่สมควรที่จะจัดตั้งเป็นหน่วยรำชกำรตำมกฎหมำยว่ำด้วยระเบียบบริหำรรำชกำร แผ่นดิน" ซึ่งแสดงให้เห็นเจตจ ำนงค์ส ำคัญของกำรจัดตั้งองค์กำรของรัฐบำลว่ำมุ่งประสงค์ที่จะให้ กิจกำรดังกล่ำวไม่เป็นหน่วยรำชกำร จนล่วงเวลำมำจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้มีกำรตรำกฎหมำยส ำคัญ ขึ้นสองฉบับ และเป็นกฎหมำยหลักของประเทศโดยได้มีกำรก ำหนดนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" เอำไว้โดย ชัดเจนในกฎหมำย ได้แก่ (๑) พระรำชบัญญัติสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งได้มี กำรประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำเมื่อวันที่ ๔ กรกฎำคม ๒๕๐๒ ได้มีกำรก ำหนดนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" เอำไว้ในมำตรำ ๔ บัญญัติว่ำ" "รัฐวิสำหกิจ" หมำยควำมว่ำ บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งทุน ทั้งสิ้นเป็นของกระทรวง ทบวงกรม ในรัฐบำลหรือกระทรวง ทบวง กรมในรัฐบำลมีทุนรวมอยู่ด้วยเกิน กว่ำร้อยละห้ำสิบ หรือบริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลใดๆ ที่บริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่ำว ข้ำงต้นมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้ำสิบ และให้หมำยควำมรวมถึงองค์กำรของรัฐบำลหรือหน่วยงำน ธุรกิจที่รัฐบำลเป็นเจ้ำของและรวมตลอดถึงบริษัทหรือห้ำงหุ้นส่วนนิติบุคคลใดๆ ที่องค์กำรของรัฐบำล หรือหน่วยงำนธุรกิจของรัฐบำลมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้ำสิบ"๓๙ โดยมีควำมมุ่งหมำยที่จะใช้บังคับกับทั้งกิจกำรหลักคือกิจกำรที่มีสถำนะเป็นบริษัท หรือห้ำงหุ้นส่วนที่ทุนทั้งสิ้นหรือมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำสิบเป็นของกระทรวง ทบวง กรม ใน รัฐบำล และกิจกำรรองคือกิจกำรที่บริษัทซึ่งเป็นกิจกำรหลักมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่ำร้อยละห้ำสิบ และ หมำยควำมรวมถึงองค์กำรของรัฐบำลหรือหน่วยงำนธุรกิจที่ รัฐบำลเป็นเจ้ำของและรวมตลอดถึงบริษัท หรือห้ำงหุ้นส่วนที่องค์กำรของรัฐบำลหรือหน่วยงำนธุรกิจที่รัฐบำลเป็นเจ้ำของมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อย ละห้ำสิบ ในขณะที่เมื่อพิจำรณำพระรำชบัญญัติสภำเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๔๙๓ กลับไม่ปรำกฏว่ำมี กำรก ำหนดนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" เอำไว้แต่ประกำรใด๔๐ ดังนั้น ข้อมูลในเชิงประวัติศำสตร์เท่ำที่มีกำร บันทึกไว้ จึงส่งผลให้พระรำชบัญญัติสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๒ เป็นกฎหมำยฉบับ แรกในช่วงเวลำภำยหลังกำรเปลี่ยนแปลงกำรปกครองที่ได้มีกำรก ำหนดนิยำม "รัฐวิสำหกิจ" เอำไว้ใน ขณะที่เมื่อพิจำรณำไปในเนื้อหำบทบัญญัติของพระรำชบัญญัติสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๒ นั้นมีสำระส ำคัญเป็นกำรจัดตั้งคณะกรรมกำรกลำงที่เรียกว่ำ "สภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ" โดยมีนำยกรัฐมนตรีเป็นประธำน๔๑ ซึ่งมีหน้ำที่ในกำรพิจำรณำเกี่ยวกับพัฒนำกำรเศรษฐกิจอันว่ำด้วย เรื่องของกำรขยำยก ำลังกำรผลิตของชำติกำรท ำให้ดีขึ้นซึ่งภำวะกำรศึกษำ อนำมัย ที่อยู่อำศัยและ โภชนำกำรของประชำกร และกิจกำรอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับกำรนั้น ประกอบกับเหตุผลในกำรประกำศใช้ พระรำชบัญญัติดังกล่ำวได้ก ำหนดว่ำ “โดยที่เป็นกำรสมควรที่จะจัดตั้งสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติเพื่อชี้ แนวนโยบำยอันจะน ำไปสู่เสถียรภำพและพัฒนำกำรเศรษฐกิจ ก ำหนดจุดหมำยแห่งพัฒนำกำร ๓๙ พระรำชบัญญัติสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๒ มำตรำ ๔. ๔๐ พระรำชบัญญัติสภำเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๔๙๓. ๔๑ พระรำชบัญญัติสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๒ มำตรำ ๕.


Click to View FlipBook Version