คมู่ อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐาน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
เลม่ ๒ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี
ตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ดั
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)
๕ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
คูมือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร
และเทคโนโลยี
ชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ ๕ เลม ๒
ตามมาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวช้ีวดั กลุมสาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
จัดทําโดย
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
กระทรวงศกึ ษาธิการ
คาํ ชแี้ จง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู
แกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพ่ือตองการพัฒนาผูเรียนใหมีความรู
ความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูวิทยาศาสตรที่เช่ือมโยงความรูกับกระบวนการในการ
สืบเสาะหาความรูและการแกปญหาที่หลากหลาย มีการทํากิจกรรมดวยการลงมือปฏิบัติเพ่ือใหผูเรียนไดใช
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและทักษะแหงศตวรรษที่ ๒๑ ซ่ึงในปการศึกษา ๒๕๖๑ เปนตนไปนี้
โรงเรียนจะตองใชหลักสูตรกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
สสวท. จึงไดจัดทําหนังสือเรียนที่เปนไปตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วดั ของหลักสูตรเพ่ือใหโรงเรียนไดใ ช
สําหรบั จัดการเรยี นการสอนในชนั้ เรยี น
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปที่ ๕ เลม ๒ กลุมสาระ
การเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีเลมนี้ สสวท. ไดพัฒนาขึ้น เพื่อนําไปใชประกอบหนังสือเรียนรายวิชา
พน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปที่ ๕ เลม ๒ โดยภายในคูมอื ครปู ระกอบดวยผังมโนทัศน
ตัวชี้วัด ขอแนะนําการใชคูมือครู ตารางแสดงความสอดคลองระหวางเน้ือหาและกิจกรรมในหนังสือเรียนกับ
มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ช้วี ัด กลมุ สาระการเรียนรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตลอดจนแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู
ท่ีมุงเนนการพัฒนาทักษะรอบดาน ทั้งการอาน การสํารวจตรวจสอบ การฝกปฏิบัติ การปฏิบัติการทดลอง
การสืบคนขอมูล และการอภิปราย โดยมีเปาหมายใหนักเรียนพัฒนาท้ังดานความรู ทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร ทักษะแหงศตวรรษที่ ๒๑ จิตวิทยาศาสตร กระบวนการสืบเสาะหาความรู ทักษะการคิด
การอาน การส่ือสาร การแกปญหา ตลอดจนการนําความรูไปใชในชีวิตประจําวันอยางมีคุณธรรมและคานิยม
ท่เี หมาะสม สามารถดาํ รงชวี ิตอยูในสังคมแหงการเปลีย่ นแปลงในศตวรรษท่ี ๒๑ อยา งมีความสุข ในการจัดทํา
คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปท่ี ๕ เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรู
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีเลมน้ี ไดรับความรวมมืออยางดียิ่งจากคณาจารย ผูทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และ
ครผู สู อน จากสถาบนั การศึกษาตา ง ๆ จงึ ขอขอบคุณไว ณ ที่น้ี
สสวท. หวังเปนอยางยิ่งวาคูมือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที่ ๕
เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีเลมนี้ จะเปนประโยชนแกครูและผูเกี่ยวของทุกฝาย
ท่ีจะชวยใหการจดั การศึกษาดานวิทยาศาสตรม ีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หากมีขอเสนอแนะใดที่จะทําให
คูมือครูเลมน้สี มบรู ณยิง่ ข้นึ โปรดแจง สสวท. ทราบดวย จกั ขอบคุณยิ่ง
(ศาสตราจารยชูกจิ ลิมปจ าํ นงค)
ผอู ํานวยการสถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
สารบญั
หนา
เปาหมายของการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร........................................................................................ ก
คุณภาพของนักเรยี นวิทยาศาสตร เม่อื จบช้ันประถมศึกษาปท ี่ 6..................................................................... ข
ทกั ษะทีส่ าํ คัญในการเรียนรูวิทยาศาสตร ......................................................................................................... ง
ผังมโนทศั น (concept map) รายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2....... ซ
ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแกนกลาง วทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 ........................ฌ
ขอ แนะนาํ การใชค มู ือครู.................................................................................................................................. ฏ
การจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรในระดับประถมศึกษา ........................................................................... บ
การจัดการเรยี นการสอนท่ีเนนการสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตร............................................................ บ
การจดั การเรียนการสอนที่สอดคลองกับธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร ................................................................ ผ
และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร
การวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร............................................................................................ พ
ตารางแสดงความสอดคลองระหวา งเนือ้ หาและกิจกรรม ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2.......................... ม
กบั ตวั ช้วี ดั กลุมสาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
รายการวัสดุอปุ กรณวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2.................................................................................................. ล
หนว ยท่ี 4 วฏั จกั ร 1
ภาพรวมการจดั การเรียนรปู ระจาํ หนว ยท่ี 4 วัฏจกั ร 1
บทท่ี 1 วัฏจกั รนา้ํ 5
บทน้ีเร่มิ ตนอยางไร 8
เรือ่ งท่ี 1 แหลงนํ้า 12
กิจกรรมท่ี 1.1 นา้ํ แตละแหลงบนโลกมีอยูเทาใด 16
กิจกรรมท่ี 1.2 ทําอยา งไรจงึ จะใชนาํ้ อยางประหยัดและอนุรักษแ หลงนํ้าในทอ งถ่นิ ได 30
เรือ่ งที่ 2 เมฆ หมอก นา้ํ คาง และนํ้าคา งแขง็ 46
สารบัญ
กิจกรรมที่ 2 เมฆ หมอก นาํ้ คาง และนา้ํ คา งแขง็ เกดิ ขึ้นไดอยางไร หนา
เร่อื งที่ 3 หยาดนํา้ ฟา 50
65
กิจกรรมท่ี 3 ฝน หมิ ะ และลูกเหบ็ เกิดขน้ึ ไดอยางไร 69
เรื่องท่ี 4 การหมนุ เวยี นของน้ํา 79
83
กจิ กรรมท่ี 4 วัฏจักรน้ําเปน อยางไร 105
กจิ กรรมทา ยบทที่ 1 วัฏจกั รนํ้า 107
แนวคาํ ตอบในแบบฝก หัดทายบท 110
บทท่ี 2 วัฏจกั รการปรากฏของกลุมดาว 113
บทนเี้ ริ่มตน อยางไร 117
เรื่องที่ 1 ดาวเคราะหแ ละดาวฤกษ 121
137
กจิ กรรมที่ 1 มองเห็นดาวเคราะหแ ละดาวฤกษไดอยางไร 142
เร่ืองท่ี 2 กลมุ ดาวบนทอ งฟา 152
173
กจิ กรรมที่ 2.1 เหตุใดจึงเหน็ กลุมดาวเปนรูปรางตาง ๆ 175
กิจกรรมท่ี 2.2 วัฏจกั รการปรากฏของกลมุ ดาวเปน อยา งไร
กิจกรรมทา ยบทที่ 2 วฏั จกั รการปรากฏของกลุมดาว 178
แนวคําตอบในแบบฝกหดั ทา ยบท 178
180
หนวยที่ 5 สิง่ มีชีวติ 183
188
ภาพรวมการจัดการเรยี นรปู ระจําหนว ยที่ 5 ส่ิงมชี ีวติ 194
บทที่ 1 ลักษณะทางพันธกุ รรมของสิง่ มีชีวติ 216
บทน้เี ริ่มตน อยางไร 229
เรอื่ งท่ี 1 การถายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มีชีวิต
กจิ กรรมท่ี 1.1 ลกั ษณะทางพันธุกรรมของพชื มีอะไรบา ง
กจิ กรรมท่ี 1.2 ลักษณะทางพันธุกรรมของสตั วมอี ะไรบาง
กจิ กรรมที่ 1.3 ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของคนในครอบครัวเปน อยา งไร
สารบัญ
กิจกรรมทายบทที่ 1 ลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชวี ิต หนา
แนวคําตอบในแบบฝกหดั ทา ยบท 251
บทท่ี 2 สง่ิ มีชีวติ กบั สิง่ แวดลอม 253
บทน้เี ริม่ ตนอยางไร 256
เร่ืองที่ 1 โครงสรางและลักษณะของสิง่ มีชวี ิตในแหลงที่อยู 259
265
กิจกรรมท่ี 1 โครงสรา งและลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ิตเหมาะสมกบั แหลง ท่ีอยอู ยางไร 270
เร่ืองที่ 2 ความสมั พนั ธร ะหวางส่ิงมีชีวติ กบั สงิ่ มีชวี ติ 285
290
กจิ กรรมที่ 2 สิง่ มชี วี ิตมีความสมั พันธก บั สิ่งมชี วี ติ อยางไร 302
เรอ่ื งท่ี 3 ความสมั พันธร ะหวางสิ่งมีชีวติ กับสิง่ ไมมีชวี ิต 306
323
กจิ กรรมที่ 3 สงิ่ มีชวี ติ มีความสัมพันธกับสิ่งไมมชี วี ติ ในแหลงทีอ่ ยูอยา งไร 326
กจิ กรรมทา ยบทท่ี 2 สิ่งมีชวี ิตกับสง่ิ แวดลอ ม 329
แนวคําตอบในแบบฝกหัดทายบท 340
แนวคาํ ตอบในแบบทดสอบทา ยเลม 342
บรรณานุกรม
คณะทาํ งาน
ก คู่มอื ครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
เป้าหมายของการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเร่ืองของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ
ตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้วนาผลท่ีได้มาจัดระบบหลักการ แนวคิด
และทฤษฎี ดังน้ันการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด
นั่นคือใหเ้ กดิ การเรียนรู้ทงั้ กระบวนการและองค์ความรู้
การจดั การเรยี นร้วู ิทยาศาสตรใ์ นสถานศกึ ษามเี ปา้ หมายสาคญั ดงั น้ี
1. เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจแนวคิด หลกั การ ทฤษฎี กฎและความรู้พน้ื ฐานของวิทยาศาสตร์
2. เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจขอบเขตธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ และขอ้ จากดั ของวทิ ยาศาสตร์
3. เพอื่ ใหม้ ที กั ษะท่ีสาคัญในการสืบเสาะหาความรูแ้ ละพัฒนาเทคโนโลยี
4. เพื่อให้ตระหนักถึงการมีผลกระทบซึ่งกันและกันระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
สง่ิ แวดล้อม
5. เพื่อนาความรู้ แนวคิดและทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
สงั คมและการดารงชีวติ
6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะ
ในการส่ือสาร และความสามารถในการประเมนิ และตดั สินใจ
7. เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ผู้ทมี่ ีจติ วทิ ยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมในการใชว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
อยา่ งสร้างสรรค์
สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คูม่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ข
คณุ ภาพของนักเรียนวทิ ยาศาสตร์ เมือ่ จบชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6
นักเรียนท่ีเรียนจบช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ควรมีความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการ และจิตวิทยาศาสตร์
ดงั น้ี
1. เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตใน
แหล่งท่อี ยู่ การทาหน้าท่ีของสว่ นต่าง ๆ ของพืช และการทางานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์
2. เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย
การเปลีย่ นแปลงทางเคมี การเปล่ียนแปลงทผ่ี ันกลับได้และผันกลบั ไมไ่ ด้ และการแยกสารอยา่ งงา่ ย
3. เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่าง ๆ ผลท่ี
เกิดจากแรงกระทาต่อวัตถุ ความดัน หลักการท่ีมีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบ้ืองต้น
ของเสียง และแสง
4. เข้าใจปรากฏการณ์การข้ึนและตก รวมถึงการเปล่ยี นแปลงรปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบ
ของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การขึ้น
และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยี
อวกาศ
5. เข้าใจลักษณะของแหล่งน้า วัฏจักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง หยาดน้าฟ้า
กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก
ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของ
ปรากฏการณ์เรือนกระจก
6. ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผล
เชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทางานร่วมกัน เข้าใจสิทธิ
และหนา้ ที่ของตน เคารพสิทธิของผอู้ น่ื
7. ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาเก่ียวกับสิ่งท่ีจะเรียนรู้ตามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน
คาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสอดคล้องกับคาถามหรือปัญหาที่จะสารวจตรวจสอบ
วางแผนและสารวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการ
เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
8. วิเคราะห์ขอ้ มลู ลงความเหน็ และสรปุ ความสมั พนั ธข์ องข้อมลู ท่ีมาจากการสารวจตรวจสอบในรูปแบบ
ท่เี หมาะสม เพือ่ สอื่ สารความรจู้ ากผลการสารวจตรวจสอบไดอ้ ย่างมเี หตผุ ลและหลักฐานอ้างอิง
9. แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะศึกษาตามความ
สนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ
คดิ เหน็ ผ้อู ่ืน
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
10. แสดงความรับผิดชอบดว้ ยการทางานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายอยา่ งมงุ่ มนั่ รอบคอบ ประหยดั ซอื่ สตั ย์ จนงาน
ลลุ ว่ งเป็นผลสาเรจ็ และทางานรว่ มกับผู้อนื่ อย่างสรา้ งสรรค์
11. ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ในการดารงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหาความรู้
เพม่ิ เติม ทาโครงงานหรอื ช้ินงานตามที่กาหนดให้หรอื ตามความสนใจ
12. แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอย่างรคู้ ณุ ค่า
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ง
ทกั ษะทสี่ าคญั ในการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
ทักษะสาคัญที่ครผู สู้ อนจาเป็นต้องพัฒนาใหเ้ กดิ ขึน้ กบั นักเรียนเม่ือมีการจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
เชน่ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills)
การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพ่ือนาไปสู่
การสืบเสาะค้นหาผ่านการสังเกต ทดลอง สร้างแบบจาลอง และวิธีการอ่ืน ๆ เพ่ือนาข้อมูล สารสนเทศและ
หลักฐานเชิงประจักษ์มาสร้างคาอธิบายเก่ียวกับแนวคิดหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย
ทกั ษะการสังเกต (Observing) เปน็ ความสามารถในการใชป้ ระสาทสัมผสั อย่างใดอย่างหนงึ่ หรือ
หลายอย่างสารวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ลงความคิดเห็นของ
ผูส้ ังเกต ประสาทสัมผสั ทง้ั 5 ไดแ้ ก่ การดู การฟังเสยี ง การดมกลิ่น การชิมรส และการสัมผัส
ทักษะการวัด (Measuring) เป็นความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือในการวัดปริมาณต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ จากเครื่องมือท่ีเลือกใช้ออกมาเป็น
ตัวเลขได้ถกู ต้องและรวดเร็ว พร้อมระบหุ น่วยของการวดั ได้อย่างถูกต้อง
ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) เป็นความสามารถในการคาดการณ์อย่างมี
หลักการเก่ียวกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ โดยใช้ข้อมูล (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ท่ีเคย
เกบ็ รวบรวมไวใ้ นอดีต
ทักษะการจาแนกประเภท (Classifying) เปน็ ความสามารถในการแยกแยะ จดั พวกหรอื จัดกลุ่ม
ส่ิงต่าง ๆ ท่ีสนใจ เช่น วัตถุ สิ่งมีชีวิต ดาว และเทหวัตถุต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษาออกเป็น
หมวดหมู่ นอกจากนี้ยังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑ์หรือลักษณะร่วมลักษณะใดลักษณะ
หนง่ึ ของส่งิ ต่าง ๆ ที่ต้องการจาแนก
ทักษะการหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ
คือ พ้ืนที่ที่วัตถุครอบครอง ในที่นี้อาจเป็นตาแหน่ง รูปร่าง รูปทรงของวัตถุ สิ่งเหล่านี้อาจมีความสัมพันธ์กัน
ดงั นี้
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
จ คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกบั สเปซ เป็นความสามารถในการหาความเก่ียวข้อง
สัมพันธ์กันระหว่างพ้ืนที่ท่ีวัตถุต่าง ๆ
(Relationship between Space and Space) ครอบครอง
การหาความสมั พันธร์ ะหว่างสเปซกับเวลา เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง
สัมพันธ์กันระหว่างพื้นท่ีที่วัตถุครอบครอง
(Relationship between Space and Time) เมอ่ื เวลาผ่านไป
ทักษะการใชจ้ านวน (Using Number) เปน็ ความสามารถในการใช้ความรสู้ กึ เชิงจานวน และ
การคานวณเพื่อบรรยายหรอื ระบรุ ายละเอยี ดเชิงปริมาณของสิ่งทส่ี ังเกตหรือทดลอง
ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data)
เป็นความสามารถในการนาผลการสังเกต การวดั การทดลอง จากแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทาให้อยู่ในรูปแบบที่
มีความหมายหรือมคี วามสัมพนั ธก์ ันมากขึ้น จนงา่ ยตอ่ การทาความเข้าใจหรอื เห็นแบบรูปของข้อมูล นอกจากนี้
ยังรวมถึงความสามารถในการนาข้อมูลมาจัดทาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ
สมการ การเขยี นบรรยาย เพอ่ื สอ่ื สารให้ผ้อู ่ืนเขา้ ใจความหมายของขอ้ มลู มากขนึ้
ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์
การสังเกต การทดลองที่ได้จากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ท่ี
แม่นยาจึงเป็นผลมาจากการสังเกตท่ีรอบคอบ การวัดท่ีถูกต้อง การบันทึก และการจัดกระทากับข้อมูลอย่าง
เหมาะสม
ทักษะการต้ังสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เป็นความสามารถในการคิดหาคาตอบ
ล่วงหน้าก่อนดาเนินการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพ้ืนฐานคาตอบที่คิด
ล่วงหน้าที่ยังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมาก่อน การต้ังสมมติฐานหรือคาตอบท่ีคิดไว้
ล่วงหน้ามักกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ซึ่งอาจเป็นไปตามท่ี
คาดการณไ์ วห้ รือไม่ก็ได้
ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เป็นความสามารถในการ
กาหนดความหมายและขอบเขตของสงิ่ ต่าง ๆ ทอี่ ยใู่ นสมมตฐิ านของการทดลอง หรอื ท่ีเกีย่ วข้องกับการทดลอง
ใหเ้ ขา้ ใจตรงกัน และสามารถสังเกตหรอื วัดได้
ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เป็นความสามารถในการ
กาหนดตัวแปรต่าง ๆ ทั้งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงท่ี ให้สอดคล้องกับสมมติฐาน
ของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น ซึ่งอาจ
ส่งผลต่อผลการทดลอง หากไม่ควบคุมให้เหมือนกันหรือเท่ากัน ตัวแปรท่ีเกี่ยวข้องกับการทดลอง ได้แก่
ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีตอ้ งควบคุมให้คงที่ ซง่ึ ลว้ นเปน็ ปัจจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การทดลอง ดงั นี้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คูม่ อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ฉ
ตวั แปรตน้ (Independent Variable) หมายถึง สงิ่ ทีเ่ ป็นต้นเหตุทาใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลง จงึ ตอ้ ง
จดั สถานการณใ์ ห้มสี ง่ิ นี้แตกตา่ งกนั
ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึง สิ่งท่ีเป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่างให้
แตกต่างกนั และเราตอ้ งสังเกต วดั หรอื ติดตามดู
ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ (Controlled Variable) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ท่ีอาจส่งผลต่อการจัด
สถานการณ์ จึงต้องจัดสิ่งเหล่าน้ีให้เหมือนกันหรือเท่ากัน เพ่ือให้มั่นใจว่าผลจากการจัดสถานการณ์เกิดจาก
ตวั แปรต้นเท่าน้ัน
ทักษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอน คือ การออกแบบการ
ทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเป็นความสามารถในการ
ออกแบบและวางแผนการทดลองได้อยา่ งรอบคอบ และสอดคลอ้ งกับคาถามการทดลองและสมมติฐาน รวมถึง
ความสามารถในการดาเนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการทดลองได้ละเอียด
ครบถว้ น และเทีย่ งตรง
ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting and Making Conclusion)
ความสามารถในการแปลความหมาย หรือการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของข้อมูลท่ีมีอยู่ ตลอดจน
ความสามารถในการสรปุ ความสมั พันธข์ องข้อมลู ท้ังหมด
ทักษะการสร้างแบบจาลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสร้างและใช้สิ่งที่ทา
ขึ้นมาเพ่ือเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ
ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนาเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูป
ของแบบจาลองแบบตา่ ง ๆ
ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills)
สานักงานราชบัณฑติ ยสภาไดร้ ะบุทักษะที่จาเป็นแห่งศตวรรษท่ี 21 ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั สมรรถนะที่ควร
มีในพลเมืองยุคใหม่รวม 7 ด้าน (สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2558; สานักงาน
ราชบัณฑิตยสภา, 2557) ในระดับประถมศกึ ษาจะเน้นใหค้ รูผู้สอนสง่ เสริมให้นักเรียนมีทักษะ ดงั ต่อไปนี้
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หมายถึง การคิดโดยใช้เหตุผลท่ีหลากหลาย
เหมาะสมกับสถานการณ์ มีการคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ ประเมินหลักฐานและข้อคิดเห็นด้วยมุมมองท่ี
หลากหลาย สังเคราะห์ แปลความหมาย และจัดทาข้อสรุป สะท้อนความคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้
ประสบการณแ์ ละกระบวนการเรียนรู้
การแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถึง ความสามารถในการแก้ปัญหาท่ีไม่คุ้นเคย หรือ
ปัญหาใหม่ โดยอาจใช้ความรู้ ทักษะ วธิ ีการและประสบการณท์ เ่ี คยรูม้ าแล้ว หรือการสบื เสาะหาความรู้ วิธกี าร
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช คู่มอื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
ใหม่มาใช้แก้ปัญหา นอกจากน้ียังรวมถึงการซักถามเพ่ือทาความเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง หลากหลายเพ่ือให้ได้
วิธแี ก้ปัญหาทีด่ ีย่งิ ขน้ึ
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง ความสามารถในการส่ือสารได้อย่างชัดเจน เชื่อมโยง
เรียบเรียงความคิดและมุมมองต่าง ๆ แล้วส่ือสารโดยการใช้คาพูด หรือการเขียน เพื่อให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้
หลากหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการฟังอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เข้าใจ
ความหมายของผู้ส่งสาร
ความร่วมมือ (Collaboration) หมายถึง ความสามารถในการทางานร่วมกับคนกลุ่มต่าง ๆ ที่
หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพและให้เกียรติ มีความยืดหยุ่นและยินดีท่ีจะประนีประนอม เพื่อให้บรรลุ
เปา้ หมายการทางาน พรอ้ มทงั้ ยอมรบั และแสดงความรับผดิ ชอบต่องานท่ีทาร่วมกนั และเห็นคุณคา่ ของผลงาน
ทพ่ี ัฒนาข้ึนจากสมาชิกแตล่ ะคนในทีม
การสร้างสรรค์ (Creativity) หมายถึง การใช้เทคนิคท่ีหลากหลายในการสร้างสรรค์แนวคิด เช่น
การระดมพลังสมอง รวมถึงความสามารถในการพัฒนาต่อยอดแนวคิดเดิม หรือได้แนวคิดใหม่ และ
ความสามารถในการกลนั่ กรอง ทบทวน วเิ คราะห์ และประเมินแนวคิด เพ่อื ปรับปรงุ ให้ไดแ้ นวคิดท่จี ะส่งผลให้
ความพยายามอย่างสรา้ งสรรค์นเ้ี ปน็ ไปไดม้ ากท่ีสดุ
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology
(ICT)) หมายถึง ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพ่ือเป็นเครื่องมือสืบค้น จัดกระทา
ประเมินและส่อื สารข้อมูลความรูต้ ลอดจนรูเ้ ทา่ ทันสอ่ื โดยการใชส้ ่อื ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม มีประสทิ ธิภาพ
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คูม่ ือครรู ายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ซ
ผังมโนทัศน์ (concept map)
รายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 2
เน้ือหาการเรยี นรู้วิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 2
ประกอบดว้ ย
หน่วยท่ี 4 วัฏจักร หน่วยที่ 5 สิ่งมีชวี ิต
ไดแ้ ก่
ได้แก่
แหล่งน้า ลกั ษณะทางพันธุกรรม
ของส่ิงมีชีวติ
เมฆ หมอก นา้ ค้าง และ
น้าคา้ งแขง็ โครงสรา้ งและลกั ษณะ
หยาดน้าฟา้ ของสิ่งมีชวี ิตในแหล่งที่อยู่
การหมุนเวียนของนา้ ความสัมพันธ์ระหว่าง
ส่ิงมีชวี ติ กับส่ิงมีชีวติ
ดาวเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์
ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง
สง่ิ มีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวติ
กล่มุ ดาวบนทอ้ งฟ้า
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฌ คูม่ ือครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2
ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
ตัวชี้วัดชน้ั ปี สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ว 1.1 ป.5/1 ส่ิงมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีโครงสร้างและลักษณะที่
บรรยายโครงสร้างและลักษณะของสิ่งมีชีวิตท่ี เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซ่ึงเป็นผลมาจากการ
เหมาะสมกับการดารงชีวิตซึ่งเป็นผลมาจาก ปรับตวั ของส่ิงมีชีวติ เพอ่ื ให้ดารงชวี ิตและอยู่รอดได้
การปรับตวั ของส่ิงมีชีวติ ในแตล่ ะแหล่งทอี่ ยู่
ในแต่ละแหล่งท่ีอยู่ เช่น ผักตบชวามีช่องอากาศใน
ก้านใบช่วยให้ลอยน้าได้ ต้นโกงกางที่ขึ้นอยู่ในป่า
ชายเลนมีรากค้าจุนทาให้ลาต้นไม่ล้ม ปลามีครีบ
ชว่ ยในการเคลื่อนท่ีในน้า
ว 1.1 ป.5/2 ในแหล่งท่ีอยู่หน่ึง ๆ สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพันธ์
อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ ซึ่งกันและกันและสัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิต เพ่ือ
ส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ มีชวี ิตกับ ประโยชน์ต่อการดารงชีวิต เช่น ความสัมพันธ์กัน
สง่ิ ไม่มชี วี ติ เพ่อื ประโยชนต์ ่อการดารงชวี ิต
ด้านการกินกันเป็นอาหาร เป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัย
ว 1.1 ป.5/3 หลบภยั และเลยี้ งดูลกู ออ่ น ใชอ้ ากาศในการหายใจ
เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าที่ของ สิ่งมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหารโดยกินต่อกันเป็น
สง่ิ มีชวี ิตทเ่ี ป็นผ้ผู ลติ และผบู้ ริโภคในโซอ่ าหาร
ทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหารทาให้สามารถระบุ
ว 1.1 ป.5/4
ต ร ะ ห นั ก ใ น คุ ณ ค่ า ข อ ง สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ที่ มี ต่ อ บทบาทหน้าท่ขี องสง่ิ มชี ีวติ เป็นผ้ผู ลิตและผบู้ ริโภค
การดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต โดยมีส่วนร่วม
ในการดแู ลรักษาสิ่งแวดลอ้ ม
ว 1.3 ป.5/1 สิ่งมีชีวิตท้ังพืช สัตว์ และมนุษย์ เม่ือโตเต็มท่ีจะมี
อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการถ่ายทอด การสบื พันธ์ุเพ่ือเพ่ิมจานวนและดารงพันธุ์ โดยลูกท่ี
จากพอ่ แมส่ ูล่ กู ของพืช สัตว์ และมนุษย์
เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ว 1.3 ป.5/2 จากพ่อแม่ทาให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะ
แสดงความอยากรู้อยากเห็นโดยการถาม แตกต่างจากส่งิ มชี วี ิตชนดิ อืน่
คาถามเกี่ยวกับลักษณะที่คล้ายคลึงกันของ พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น
ตนเองกับพ่อแม่ ลกั ษณะของใบ สีดอก
สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น สีขน
ลกั ษณะของขน ลักษณะของหู
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คูม่ อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ญ
ตวั ชี้วดั ช้นั ปี สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
มนุษย์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น
เชิงผมที่หน้าผาก ลักยิ้ม ลักษณะหนังตา การห่อล้ิน
ลักษณะของตงิ่ หู
ว 3.1 ป.5/1 ดาวทีม่ องเห็นบนทอ้ งฟา้ อย่ใู นอวกาศซ่งึ เปน็ บริเวณ
เปรียบเทียบความแตกต่างของดาวเคราะห์และ ท่ีอยู่นอกบรรยากาศของโลกมีทั้งดาวฤกษ์และ
ดาวฤกษ์จากแบบจาลอง
ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกา เนิดแสง
จึงสามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะห์ไม่ใช่
แหล่งกาเนิดแสง แต่สามารถมองเห็นได้เนื่องจาก
แสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว
สะทอ้ นเขา้ สตู่ า
ว 3.1 ป.5/2 การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่างต่าง ๆ เกิดจาก
ใช้แผนที่ดาวระบุตาแหน่งและเส้นทางการข้ึน จินตนาการของผู้สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏ
และตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้า และ ในท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีการเรียงตัวของดาวฤกษ์
อธิบายแบบรูปเส้นทางการข้ึนและตกของกลุ่ม คงที่จึงมีรูปร่างเหมือนเดิม และมีเส้นทางการข้ึน
ดาวฤกษ์บนทอ้ งฟา้ ในรอบปี
และตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน และจะปรากฏ
ตาแหน่งเดิม การสังเกตตาแหน่งและการขึ้นและ
ตกของดาวฤกษแ์ ละกลุ่มดาวฤกษส์ ามารถทาได้โดย
ใช้แผนท่ีดาวซ่ึงระบุมุมทิศและมุมเงยที่กลุ่มดาวนั้น
ปรากฏ ผู้สังเกตสามารถใช้มือในการประมาณค่า
ของมุมทศิ และมุมเงยเมอื่ สังเกตดาวในท้องฟ้า
ว 3.2 ป.5/1 โลกมีทั้งน้าจืดและน้าเค็มซ่ึงอยู่ในแหล่งน้าต่าง ๆ
เปรียบเทียบปริมาณน้าในแต่ละแหล่งและระบุ ที่มีท้ังแหล่งน้าผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง
ปรมิ าณน้าทีม่ นุษยส์ ามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ แม่น้า และแหล่งน้าใต้ดิน เช่น น้าในดิน และ
จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้
น้าบาดาล น้าทั้งหมดของโลกแบ่งเป็นน้าเค็ม
ประมาณร้อยละ 97.5 ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและ
แหล่งน้าอื่น ๆ และท่ีเหลืออีกประมาณร้อยละ 2.5
เป็นน้าจืด ถ้าเรียงลาดับปริมาณน้าจืดจากมากไป
น้อยจะอยู่ท่ี ธารน้าแข็งและพืดน้าแข็ง น้าใต้ดิน
ช้ันดินเยือกแข็งคงตัวและน้าแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ
ความชื้นในดิน ความชื้นในบรรยากาศ บึง แม่น้า
และน้าในสงิ่ มชี ีวิต
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฎ คูม่ อื ครูรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2
ตัวชวี้ ดั ชน้ั ปี สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ว 3.2 ป.5/2 น้าจืดท่ีมนุษย์นามาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก จึงควร
ตระหนักถึงคุณค่าของน้าโดยนาเสนอแนวทาง ใช้นา้ อยา่ งประหยดั และร่วมกันอนรุ กั ษ์นา้
การใช้น้าอยา่ งประหยดั และการอนุรกั ษน์ า้
ว 3.2 ป.5/3 วัฏจกั รนา้ เป็นการหมุนเวยี นของน้าทีม่ แี บบรปู ซ้าเดิม
สร้างแบบจาลองที่อธิบายการหมุนเวียนของน้า และต่อเนื่องระหว่างน้าในบรรยากาศ น้าผิวดิน และ
ในวัฏจักรนา้
น้าใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดารงชีวิตของพืชและ
สัตว์ส่งผลต่อวัฏจักรน้า
ว 3.2 ป.5/4 ไอน้าในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้าเล็ก ๆ โดย
เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก มลี ะอองลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ เป็น
นา้ ค้าง และน้าคา้ งแขง็ จากแบบจาลอง
อนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้าจานวนมากเกาะ
กลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ
แต่ละอองน้าท่ีเกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน
เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้าท่ีควบแน่นเป็นละอองน้า
เกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้าค้าง
ถ้าอุณหภูมิใกล้พ้ื นดิน ต่า กว่าจุด เยื อ ก แ ข็ ง
น้าคา้ งก็จะกลายเปน็ น้าค้างแข็ง
ว 3.2 ป.5/5 ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้าฟ้าซ่ึงเป็นน้าท่ีมี
เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และ สถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพ้ืนดิน ฝนเกิดจาก
ลูกเหบ็ จากข้อมูลท่รี วบรวมได้
ละอองน้าในเมฆท่ีรวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถ
พยุงไว้ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้าในอากาศ
ระเหิดกลับเป็นผลึกน้าแข็ง รวมตัวกันจนมีน้าหนัก
มากข้ึน จนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้ จึงตกลงมา
ลูกเห็บเกิดจากหยดน้าที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้าแข็ง
แล้วถูกพายุพัดวนซ้าไปซ้ามาในเมฆฝนฟ้าคะนอง
ท่ีมขี นาดใหญ่และอยู่ในระดับสงู จนเปน็ ก้อนน้าแข็ง
ขนาดใหญข่ นึ้ แลว้ ตกลงมา
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มือครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ฏ
ข้อแนะนาการใชค้ ูม่ ือครู
คมู่ ือครเู ลม่ นจ้ี ัดทาข้นึ เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางการจดั กจิ กรรมสาหรับครู ในแต่ละหนว่ ยการเรียนรูน้ ักเรียน
จะไดฝ้ กึ ทกั ษะจากการทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ท้ังการสงั เกต การสารวจ การทดลอง การสืบคน้ ข้อมูล การอภปิ ราย
การทางานรว่ มกัน ซง่ึ เป็นการฝกึ ให้นักเรยี นชา่ งสังเกต รจู้ กั ตง้ั คาถาม รจู้ กั คิดหาเหตผุ ล เพือ่ ตอบปัญหาต่าง ๆ
ได้ด้วยตนเอง ท้ังนี้โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนไดเ้ รยี นรูแ้ ละค้นพบดว้ ยตนเองมากทส่ี ุด ดังน้ันในการจดั การ
เรียนรู้ ครูจึงเป็นผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนนักเรียนให้รู้จักสืบเสาะหาความรู้จากสื่อและ
แหล่งการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ และเพม่ิ เติมข้อมูลที่ถูกต้องแกน่ ักเรียน เพือ่ ใหน้ ักเรยี นมีทักษะจากการศึกษาหาความรู้
ด้วยตนเอง
เพ่ือให้เกิดประโยชน์จากคู่มือครูเล่มนี้มากที่สุด ครูควรทาความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละหัวข้อ
และข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม ดังน้ี
1. สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
สาระการเรียนรู้แกนกลางเป็นสาระการเรียนรู้เฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยีที่ปรากฏในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดไว้เฉพาะส่วนท่ีจาเป็น
สาหรับเป็นพ้ืนฐานเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวัน และเป็นพ้ืนฐานในการศึกษาต่อในระดับท่ีสูงข้ึน โดย
สอดคล้องกับสาระและความสามารถ ความถนัด และความสนใจของนักเรียน ในทุกกิจกรรมจะมี
สาระสาคัญ ซ่ึงเป็นเนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่ตามสาระการเรียนรู้โดยสถานศึกษาสามารถพัฒนาเพิ่มเติม
ไดต้ ามความเหมาะสม
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด ฯ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้เพิ่มสาระเทคโนโลยี
ซึ่งประกอบด้วยการออกแบบและเทคโนโลยี และวิทยาการคานวณ ท้ังนี้เพื่อเอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้
บูรณาการสาระทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กับกระบวนการเชิงวิศวกรรม ตามแนวคิด
สะเตม็ ศกึ ษา
2. ภาพรวมการจัดการเรียนรปู้ ระจาหน่วย
ภาพรวมการจัดการเรียนร้ปู ระจาหนว่ ยมีไวเ้ พ่ือเชอื่ มโยงเนือ้ หาสาระกับมาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวชี้วัดที่จะได้เรียนในแตล่ ะกิจกรรมของหน่วยนั้น ๆ และเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนาไปปรบั ปรงุ และ
เพ่ิมเตมิ ตามความเหมาะสม
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
แต่ละหน่วยการเรียนรู้นักเรียนจะได้ทากิจกรรมอย่างหลากหลาย ในแต่ละส่วนของหนังสือเรียนทั้ง
ส่วนนาบท นาเรื่อง และกิจกรรมมีจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับตัวชี้วัดชั้นปีเพื่อให้นักเรียนเกิด
การเรียนรู้ โดยยึดหลักให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
กระบวนการแก้ปัญหา การส่ือสาร และความสามารถในการตัดสินใจ การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตและ
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฐ คูม่ อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
ในสถานการณ์ใหม่ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสม
สามารถอยูใ่ นสังคมไทยได้อย่างมีความสุข
4. บทนม้ี ีอะไร
สว่ นที่บอกรายละเอียดในบทนั้น ๆ ซงึ่ ประกอบด้วยช่ือเรอื่ ง คาสาคัญ และชือ่ กจิ กรรม เพอื่ ครูจะ
ไดท้ ราบองค์ประกอบโดยรวมของแตล่ ะบท
5. ส่ือการเรยี นรู้และแหลง่ เรียนรู้
ส่วนท่ีบอกรายละเอียดสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ที่ต้องใช้สาหรับการเรียนในบท เร่ือง และ
กิจกรรมน้ัน ๆ โดยส่ือการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ประกอบด้วยหน้าหนังสือเรียนและแบบบันทึกกิจกรรม
และอาจมีโปรแกรมประยุกต์ เว็บไซต์ ส่ือส่ิงพิมพ์ สื่อโสตทัศนูปกรณ์หรือตัวอย่างวีดิทัศน์ปฏิบัติการ
ทางวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือเสรมิ สรา้ งความมนั่ ใจในการสอนปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตร์สาหรับครู
6. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21
ทักษะท่ีนักเรียนจะได้ฝึกปฏิบัติในแต่ละกิจกรรม โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็น
ทักษะท่ีนักวิทยาศาสตร์นามาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ในการสืบเสาะหาความรู้ ส่วนทักษะแห่ง
ศตวรรษท่ี 21 เป็นทักษะที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ
เพือ่ ให้ทันตอ่ การเปลย่ี นแปลงของโลก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ฑ
วีดิทศั น์ตัวอยา่ งปฏิบัตกิ ารวิทยาศาสตร์สาหรบั ครูเพือ่ ฝกึ ฝนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตา่ ง ๆ
มดี ังน้ี
รายการ ทกั ษะกระบวนการทาง Short link QR code
วทิ ยาศาสตร์
วีดิทัศน์ การสังเกตและการลง การสังเกตและการลง http://ipst.me/8115
ความเหน็ จากข้อมลู ความเห็นจากข้อมูล
ทาได้อยา่ งไร
วีดทิ ศั น์ การวัดทาไดอ้ ย่างไร การวัด http://ipst.me/8116
วีดทิ ศั น์ การใช้ตัวเลข การใช้จานวน http://ipst.me/8117
ทาได้อยา่ งไร
วดี ทิ ศั น์ การจาแนกประเภท การจาแนกประเภท http://ipst.me/8118
ทาได้อยา่ งไร
วดี ทิ ัศน์ การหาความสมั พันธ์ การหาความสัมพันธ์ http://ipst.me/8119
ระหว่างสเปซกบั สเปซ ระหวา่ งสเปซกับสเปซ http://ipst.me/8120
ทาได้อย่างไร http://ipst.me/8121
http://ipst.me/8122
วีดิทศั น์ การหาความสัมพันธ์ การหาความสมั พันธ์
ระหวา่ งสเปซกบั เวลา ระหว่างสเปซกบั เวลา
ทาได้อยา่ งไร
วดี ิทัศน์ การจัดกระทาและสือ่ การจัดกระทาและสื่อ
ความหมายข้อมลู ความหมายข้อมูล
ทาได้อย่างไร
วดี ทิ ศั น์ การพยากรณ์ การพยากรณ์
ทาได้อย่างไร
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฒ คมู่ อื ครรู ายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
รายการ ทักษะกระบวนการทาง Short link QR code
วทิ ยาศาสตร์ http://ipst.me/8123
วีดทิ ัศน์ ทาการทดลองได้
อย่างไร การทดลอง
วีดทิ ศั น์ การต้ังสมมตฐิ านทาได้ การตง้ั สมมติฐาน http://ipst.me/8124
อยา่ งไร
วีดิทศั น์ การกาหนดและ การกาหนดและควบคุม http://ipst.me/8125
ควบคมุ ตัวแปรและ ตัวแปรและการกาหนด
การกาหนดนิยาม นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ
เชงิ ปฏิบตั ิการทาได้
อยา่ งไร การตคี วามหมายข้อมลู และ http://ipst.me/8126
ลงข้อสรุป
วีดิทศั น์ การตีความหมาย
ขอ้ มูลและลงข้อสรุป
ทาได้อย่างไร
วีดิทัศน์ การสร้างแบบจาลอง การสรา้ งแบบจาลอง http://ipst.me/8127
ทาได้อยา่ งไร
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ณ
7. แนวคดิ คลาดเคลือ่ น
ความเชื่อ ความรู้ หรือความเข้าใจที่ผิดหรือคลาดเคลื่อนซึ่งเกิดข้ึนกับนักเรียน เนื่องจาก
ประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่รับมาผิดหรือนาความรู้ทีไ่ ด้รับมาสรุปตามความเข้าใจของตนเองผดิ แล้ว
ไม่สามารถอธิบายความเข้าใจนั้นได้ ดังนั้นเม่ือเรียนจบบทน้ีแล้วครูควรแก้ไขแนวคิดคลาดเคล่ือนของ
นักเรียนให้เป็นแนวคดิ ท่ีถกู ตอ้ ง
8. บทนเี้ ริ่มตน้ อยา่ งไร
แนวทางสาหรับครูในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพ่ือส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วยตนเอง
รู้จักค้นคว้าหาเหตุผล ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนนั้น ๆ โดยให้นักเรียนตอบ
คาถามสารวจความรู้ก่อนเรยี น จากนั้นครูสังเกตการตอบคาถามของนักเรียนและยังไม่เฉลยคาตอบที่
ถกู ต้อง เพือ่ ให้นกั เรยี นไปหาคาตอบจากเร่อื งและกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในบทนน้ั
9. เวลาที่ใช้
การเสนอแนะเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนว่าควรใช้ประมาณก่ีช่ัวโมง เพ่ือช่วยให้
ครูผู้สอนไดจ้ ดั ทาแผนการจัดการเรียนรไู้ ด้อย่างเหมาะสม อยา่ งไรก็ตามครูอาจปรับเปลย่ี นเวลาได้ตาม
สถานการณแ์ ละความสามารถของนักเรียน
10. วสั ดุอุปกรณ์
รายการวสั ดอุ ุปกรณ์ท้ังหมดสาหรบั การจดั กิจกรรม โดยอาจมีทง้ั วัสดุส้นิ เปลือง อุปกรณ์สาเร็จรูป
อุปกรณ์พื้นฐาน หรืออน่ื ๆ
11. การเตรยี มตวั ลว่ งหน้าสาหรับครู เพ่อื จัดการเรียนรู้ในครง้ั ถัดไป
การเตรียมตัวล่วงหน้าสาหรับการจัดการเรียนรู้ในครั้งถัดไป เพื่อครูจะได้เตรียมสื่อ อุปกรณ์
เครื่องมือต่าง ๆ ท่ีต้องใช้ในกิจกรรมให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีและมีจานวนเพียงพอกับนักเรียน โดย
อาจมบี างกจิ กรรมต้องทาลว่ งหน้าหลายวัน เชน่ การเตรยี มถงุ ปริศนาและข้าวโพดควั่ หรอื สิง่ ที่กนิ ได้
ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ
นักเรยี นในระดับช้ันประถมศึกษา มกี ระบวนการคิดที่เป็นรปู ธรรม ครจู งึ ควรจัดการเรียนการ
สอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติหรือทาการทดลองด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีหน่ึงท่ีนักเรียนจะได้มี
ประสบการณ์ตรง ดงั นนั้ ครผู ู้สอนจงึ ตอ้ งเตรยี มตวั เองในเรอ่ื งต่อไปน้ี
11.1 บทบาทของครู ครูจะต้องเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นาหรือผู้ถ่ายทอดความรู้เป็น
ผู้ช่วยเหลือ โดยส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนในการแสวงหาความรู้จากสื่อและ
แหล่งเรยี นร้ตู ่าง ๆ และให้ข้อมลู ที่ถูกต้องแกน่ ักเรียน เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นไดน้ าข้อมลู เหล่านั้นไป
ใช้สรา้ งสรรค์ความรู้ของตนเอง
11.2 การเตรียมตัวของครูและนักเรียน ครูควรเตรียมนักเรียนให้มีความพร้อมในการทากิจกรรม
ตา่ ง ๆ แต่บางครง้ั นักเรียนไม่เข้าใจและอาจจะทากิจกรรมไม่ถูกต้อง ดังนั้นครจู ึงต้องเตรียม
ตวั เอง โดยทาความเข้าใจในเร่อื งตอ่ ไปน้ี
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ด คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2
การสืบค้นข้อมูลหรือการค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สอบถามจากผู้รู้ในท้องถ่ิน
ดูจากรูปภาพแผนภูมิ อ่านหนังสือหรือเอกสารเท่าที่หาได้ น่ันคือการให้นักเรียนเป็นผู้หา
ความรู้และพบความรหู้ รือขอ้ มูลด้วยตนเอง ซึง่ เปน็ การเรียนรู้ดว้ ยวธิ ีสบื เสาะหาความรู้
การนาเสนอมีหลายวิธี เช่น ให้นักเรียนหรือตัวแทนกลุ่มออกมาเล่าเร่ืองที่ได้รับ
มอบหมายใหไ้ ปสารวจ สงั เกต หรอื ทดลอง หรอื อาจให้เขยี นเป็นคาหรือเป็นประโยคลงใน
แบบบันทึกกิจกรรมหรือสมุดอื่นตามความเหมาะสม นอกจากน้ีอาจให้วาดรูป หรือตัด
ข้อความจากหนงั สอื พมิ พ์ แลว้ นามาตดิ ไว้ในหอ้ ง เป็นตน้
การสารวจ ทดลอง สืบค้นข้อมูล สร้างแบบจาลองหรืออ่ืน ๆ เพ่ือสร้างองค์ความรู้
เป็นส่ิงสาคัญอย่างย่ิงต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ครูผู้สอนสามารถให้นักเรียนทากิจกรรม
ได้ทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือท่ีบ้าน โดยไม่จาเป็นต้องใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์
ราคาแพง อาจใช้อุปกรณ์ท่ีดัดแปลงจากส่ิงของเหลือใช้ หรือใช้วัสดุธรรมชาติ ข้อสาคัญ
คือ ครูผู้สอนต้องให้นักเรียนทราบว่า ทาไมจึงต้องทากิจกรรมนั้น และจะต้องทาอะไร
อย่างไร ผลจากการทากิจกรรมจะสรุปผลอย่างไร ซึ่งจะทาให้นักเรียนได้ความรู้ ความคิด
และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับเกิดค่านิยม คุณธรรม เจตคติทาง
วิทยาศาสตรด์ ว้ ย
12. แนวการจดั การเรยี นรู้
แนวทางสาหรับครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วย
ตนเอง รู้จักค้นคว้าหาเหตุผลและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการนาเอาวิธีการต่าง ๆ ของกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ไปใช้ วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ สสวท. เหน็ วา่ เหมาะสมที่จะนานักเรียนไปสู่เป้าหมายที่กาหนด
ไว้ก็คือ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงมีองค์ประกอบท่ีสาคัญ คือ การมองเห็นปัญหา การสารวจ
ตรวจสอบ และอภิปรายซกั ถามระหว่างครกู ับนักเรียนเพื่อนาไปสู่ขอ้ สรุป
ข้อเสนอแนะเพิ่มเตมิ
นอกจากครูจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามคู่มือครูนี้ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามความ
เหมาะสมเพ่อื ใหบ้ รรลุจดุ มงุ่ หมาย โดยจะคานงึ ถงึ เร่อื งตา่ ง ๆ ดังต่อไปนี้
12.1 นักเรยี นมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรู้ ครูควรให้นักเรียนทุกคนมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการ
เรียนรู้ตลอดเวลาด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนลงมือทากิจกรรมและอภิปรายผล โดยครูอาจ
ใชเ้ ทคนิคตา่ ง ๆ เชน่ การใชค้ าถาม การเสริมแรงมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพือ่ ใหก้ ารเรียนการ
สอนนา่ สนใจและมชี ีวิตชีวา
12.2 การใช้คาถาม เพอ่ื นานกั เรียนเข้าสู่บทเรยี นและลงขอ้ สรปุ โดยไม่ใชเ้ วลานานเกนิ ไป ทง้ั น้คี รู
ต้องวางแผนการใช้คาถามอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้คาถามท่ีมีความยากง่าย
พอเหมาะกับความสามารถของนักเรียน
12.3 การสารวจตรวจสอบซ้า เป็นส่ิงจาเป็นเพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือ ดังน้ันในการจัดการเรียนรู้
ครคู วรเน้นยา้ ให้นักเรียนได้สารวจตรวจสอบซา้ เพ่อื นาไปสูข่ ้อสรุปทถี่ ูกตอ้ งและเชื่อถือได้
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คูม่ ือครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ต
13. ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ
ข้อเสนอแนะสาหรับครูที่อาจเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ เช่น ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์
ที่เหมาะสมหรือใช้แทน ข้อควรระวัง วิธีการใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมและปลอดภัย วิธีการทากิจกรรม
เพ่ือลดขอ้ ผิดพลาด ตัวอยา่ งตาราง และเสนอแหล่งเรียนรเู้ พ่ือการคน้ คว้าเพิ่มเตมิ
14. ความรูเ้ พม่ิ เติมสาหรับครู
ความรู้เพิ่มเติมในเน้ือหาท่ีสอนซึ่งจะมีรายละเอียดที่ลึกขึ้น เพ่ือเพิ่มความรู้และความม่ันใจ
ในเรื่องที่จะสอนและแนะนานักเรียนที่มีความสามารถสูง แต่ครูต้องไม่นาไปสอนนักเรียนในชั้นเรียน
เพราะไม่เหมาะสมกบั วัยและระดับชั้น
15. อยา่ ลืมนะ
ส่วนทีเ่ ตือนไมใ่ ห้ครูเฉลยคาตอบทถี่ ูกต้อง กอ่ นท่ีจะได้รับฟังความคดิ และเหตผุ ลของนักเรียน
เพื่อให้นักเรียนได้คิดด้วยตนเองและครูจะได้ทราบว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองน้ัน
อย่างไรบ้าง โดยครูควรให้คาแนะนาเพื่อให้นักเรียนหาคาตอบได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้นครูควรให้
ความสนใจตอ่ คาถามของนักเรียนทกุ คนด้วย
16. แนวการประเมนิ การเรยี นรู้
การประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้จากการอภิปรายในช้ันเรียน คาตอบของนักเรียนระหว่าง
การจัดการเรียนรู้และในแบบบันทึกกิจกรรม รวมท้ังการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ไี ด้จากการทากจิ กรรมของนักเรยี น
17. กิจกรรมท้ายบท
สว่ นทใ่ี หน้ ักเรียนได้สรปุ ความรู้ ความเขา้ ใจ ในบทเรยี น และไดต้ รวจสอบความรูใ้ นเน้ือหาทเี่ รยี น
มาทัง้ บท หรืออาจตอ่ ยอดความรู้ในเรอ่ื งนน้ั ๆ
ข้อแนะนาเพิ่มเติม
1. การสอนอ่าน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคาว่า “อ่าน” หมายถึง ว่าตาม
ตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ หรืออีกความหมาย
ของคาว่า “อ่าน” หมายถึง สังเกตหรือพิจารณาดูเพ่ือให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ตีความ
เช่น อ่านรหัส อา่ นลายแทง
กรมวิชาการ (2546) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนเกิดลักษณะอันพึงประสงค์ท่ี
หลากหลาย เช่น รักการอ่านและรักการค้นคว้า เม่ือเรียนจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน นักเรียนควรจะสามารถใช้
กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตดั สินใจ แก้ปัญหาและสร้างวิสัยทัศน์ในการดาเนินชีวิตและมี
นิสัยรกั การอ่าน จะเห็นได้ว่า การอ่านเปน็ ทกั ษะที่สาคญั จาเป็นต้องเนน้ และฝึกฝนให้แก่นกั เรียนเปน็ อยา่ งมาก
ท้ังนี้นักเรียนแต่ละคนอาจมีทักษะในการอ่านท่ีแตกต่างกัน ข้ึนกับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ประสบการณ์
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ถ คู่มือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
เดิมของนักเรียน ความสามารถด้านภาษา หรือความสนใจเรื่องที่อ่าน ครูควรสังเกตนักเรียนว่านักเรียน
แต่ละคนมีความสามารถในการอ่านอยู่ในระดับใด ซ่ึงครูจะต้องพิจารณาท้ังหลักการอ่าน และความเข้าใจใน
การอ่านของนักเรยี น
การรู้เรื่องการอ่าน (Reading literacy) หมายถึง การเข้าใจข้อมูล เน้ือหาสาระของส่ิงท่ีอ่าน การใช้
ประเมินและสะท้อนมุมมองของตนเองเกี่ยวกับส่ิงท่ีอ่านอย่างต้ังใจเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวของตนเองหรือ
เพื่อพัฒนาความรู้และศักยภาพของตนเองและนาความรู้และศักยภาพนั้นมาใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน
สังคม (OECD, 2017)
กรอบการประเมินผลนกั เรยี นเพื่อใหม้ ีสมรรถนะการอ่านในศตวรรษท่ี 21 ตามแนวทางของ PISA สามารถ
สรุปได้ดงั แผนภาพด้านลา่ ง
จากกรอบการประเมินดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การรู้เร่ืองการอ่านเป็นสมรรถนะท่ีสาคัญที่ครูควรส่งเสริมให้
นักเรียนมีความสามารถให้ครอบคลุม ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลในส่ิงที่อ่าน เข้าใจเนื้อหาสาระท่ีอ่านไปจนถึง
ประเมินค่าเนื้อหาสาระที่อ่านได้ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องอาศัยการอ่านเพ่ือหาข้อมูล
ทาความเข้าใจเน้ือหาสาระของส่ิงที่อ่าน รวมทั้งประเมินส่ิงที่อ่านและนาเสนอมุมมองของตนเองเก่ียวกับสิ่งที่
อ่าน ผ้เู รียนควรได้รบั การส่งเสริมการอ่านดงั ต่อไปนี้
1. นกั เรยี นควรได้รบั การฝึกการอ่านข้อความแบบต่อเนือ่ ง จาแนกขอ้ ความแบบตา่ ง ๆ กนั เช่น การบอก
การพรรณนา การโต้แย้ง รวมไปถึงการอ่านข้อเขียนที่ไม่ใช่ข้อความต่อเน่ือง ได้แก่ การอ่านรายการ
ตาราง แบบฟอร์ม กราฟ และแผนผัง เป็นต้น ซ่ึงข้อความเหล่านี้เป็นสิ่งท่ีนักเรียนได้พบเห็นใน
โรงเรยี น และจะต้องใชใ้ นชีวิตจริงเม่อื โตเป็นผู้ใหญ่ ซ่งึ ในคมู่ ือครเู ล่มนต้ี ่อไปจะใช้คาแทนข้อความทั้งท่ี
เป็นขอ้ ความแบบตอ่ เน่อื งและขอ้ ความที่ไมใ่ ชข่ ้อความต่อเน่ืองว่า สง่ิ ทอี่ ่าน (Text)
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ท
2. นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนให้มีความสามารถในการประเมินส่ิงที่อ่านว่ามีความเหมาะสมสอดคล้อง
กับลักษณะของข้อเขียนมากน้อยเพียงใด เช่น ใช้นวนิยาย จดหมาย หรือชีวประวัติเพ่ือประโยชน์
ส่วนตัว ใช้เอกสารราชการหรือประกาศแจ้งความเพื่อสาธารณประโยชน์ ใช้รายงานหรือคู่มือต่าง ๆ
เพอ่ื การทางานอาชพี ใชต้ าราหรอื หนงั สอื เรยี น เพือ่ การศึกษา เป็นต้น
3. นกั เรียนควรไดร้ บั การฝกึ ฝนใหม้ ีสมรรถนะการอ่านเพื่อเรยี นรู้ ในดา้ นตา่ ง ๆ ต่อไปนี้
3.1 ความสามารถท่จี ะค้นหาเนือ้ หาสาระของสงิ่ ท่ีอา่ น (Retrieving information)
3.2 ความสามารถทีจ่ ะเข้าใจเน้ือหาสาระของสิ่งท่ีอา่ น (Forming a broad understanding)
3.3 ความสามารถในการแปลความของสง่ิ ทีอ่ ่าน (Interpretation)
3.4 ความสามารถในการประเมินและสามารถสะท้อนความคดิ เหน็ หรอื โต้แยง้ จากมุมมองของตน
เกี่ยวกบั เน้ือหาสาระของสิง่ ท่ีอา่ น (Reflection and Evaluation the content of a text)
3.5 ความสามารถในการประเมินและสามารถสะท้อนความคดิ เหน็ หรือโตแ้ ย้งจากมมุ มองของตน
เก่ยี วกับรูปแบบของสิ่งทีอ่ ่าน (Reflection and Evaluation the form of a text)
ทัง้ นี้ สสวท. ขอเสนอแนะวิธกี ารสอนแบบตา่ ง ๆ เพือ่ เป็นการฝกึ ทกั ษะการอา่ นของนกั เรียน ดังนี้
เทคนิคการสอนแบบ DR-TA (The directed reading-thinking activity)
การสอนอ่านที่มุ่งเน้นให้นกั เรียนได้ฝกึ กระบวนการคิด กล่ันกรองและตรวจสอบข้อมูลท่ีได้จากการอ่าน
ด้วยตนเอง โดยให้นักเรียนคาดคะเนเนื้อหาหรือคาตอบล่วงหน้าจากประสบการณ์เดิมของนักเรียน โดยมี
ขั้นตอนการจัดการเรยี นการสอน ดังน้ี
1. ครจู ัดแบง่ เนอื้ เรอ่ื งทจี่ ะอ่านออกเป็นส่วนยอ่ ย และวางแผนการสอนอ่านของเนือ้ เร่ืองทง้ั หมด
2. นาเขา้ สู่บทเรยี นโดยชักชวนใหน้ ักเรียนคิดว่านักเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเร่อื งที่จะอา่ นบา้ ง
3. ครใู ห้นกั เรยี นสังเกตรปู ภาพ หวั ขอ้ หรอื อ่ืน ๆ ทีเ่ กีย่ วกับเนื้อหาทีจ่ ะเรยี น
4. ครูต้ังคาถามให้นักเรียนคาดคะเนเนื้อหาของเรื่องที่กาลังจะอ่าน ซ่ึงอาจให้นักเรียนคิดว่าจะได้เรียน
เกยี่ วกับอะไร โดยครูพยายามกระตุ้นใหน้ กั เรยี นได้แสดงความคิดเหน็ หรือคาดคะเนเน้ือหา
5. ครูอาจให้นักเรียนเขียนส่ิงท่ีตนเองคาดคะเนไว้ โดยจะทาเป็นรายคนหรือเป็นคู่ก็ได้ หรือครูนา
อภปิ รายแลว้ เขียนแนวคดิ ของนักเรียนแต่ละคนไว้บนกระดาน
6. นักเรียนอ่านเนื้อเรื่อง จากนั้นประเมินหรือตรวจสอบ และอภิปรายว่าการคาดคะเนของตนเอง
ตรงกับเนื้อเร่ืองที่อ่านหรือไม่ ถ้านักเรียนประเมินว่าเรื่องที่อ่านมีเน้ือหาตรงกับท่ีคาดคะเนไว้ให้
นกั เรียนแสดงข้อความทส่ี นบั สนุนการคาดคะเนของตนเองจากเนื้อเรื่อง
7. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูวิเคราะห์ว่านักเรียนแต่ละคนสามารถใช้การคาดคะเนด้วย
ตนเองอย่างไรบา้ ง
8. ทาซ้าขั้นตอนเดิมในการอ่านเน้ือเรื่องส่วนอ่ืน ๆ เมื่อจบท้ังเร่ืองแล้ว ครูปิดเร่ืองโดยการทบทวน
เนอ้ื หาและอภิปรายถึงวิธีการคาดคะเนของนักเรยี นทคี่ วรใช้สาหรับการอ่านเร่ืองอื่น ๆ
สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ธ ค่มู ือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2
เทคนคิ การสอนแบบ KWL (Know – Want to know – Learned)
การสอนอ่านท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
และเปน็ ระบบ โดยผ่านตาราง 3 ช่อง คอื K-W-L (นกั เรยี นรู้อะไรบ้างเก่ียวกับเรื่องที่จะอา่ น นักเรียนต้องการรู้
อะไรเกี่ยวกับเร่ืองที่จะอ่าน นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่าน) โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน
ดังนี้
1. นาเข้าสู่บทเรียนด้วยการกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยการใช้คาถาม การนาด้วยรูปภาพหรือ
วดี ิทศั น์ท่ีเกี่ยวกับเน้อื เรือ่ ง เพอ่ื เชอื่ มโยงเข้าสูเ่ ร่ืองท่จี ะอ่าน
2. ครูทาตารางแสดง K-W-L และอธิบายขั้นตอนการทากิจกรรมโดยใช้เทคนิค K-W-L ว่ามีข้ันตอน
ดงั นี้
ขนั้ ท่ี 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกว่า ขั้น K มาจาก know (What we know) เป็นข้ันตอนที่ให้
นักเรียนระดมสมองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะอ่าน แล้วบันทึกส่ิงที่ตนเองรู้ลงใน
ตารางช่อง K ข้ันตอนน้ีช่วยให้นักเรียนรู้ว่าตนเองรู้อะไรแล้วต้องอ่านอะไร โดยครูพยายาม
ตัง้ คาถามกระตุ้นใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคิดเหน็
ขั้นท่ี 2 กจิ กรรมระหวา่ งการอ่าน เรียกวา่ ข้ัน W มาจาก want to know (What we want to know)
เป็นขั้นตอนที่ให้นักเรียนต้ังคาถามเกี่ยวกับสิ่งท่ีต้องการรู้เก่ียวกับเรื่องท่ีกาลังจะอ่าน โดยครู
และนักเรยี นรว่ มกนั กาหนดคาถาม แล้วบันทกึ สงิ่ ทีต่ อ้ งการรู้ลงในตารางช่อง W
ขั้นท่ี 3 กิจกรรมหลังการอ่าน เรียกว่า ขั้น L มาจาก learned (What we have learned) เป็น
ข้ันตอนที่สารวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการอ่าน โดยหลังจากอ่านเนื้อเร่ือง นักเรียน
หาข้อความมาตอบคาถามท่ีกาหนดไว้ในตารางช่อง W จากนั้นนาข้อมูลที่ได้จากการอ่านมา
จดั ลาดบั ความสาคญั ของข้อมูลและสรปุ เน้ือหาสาคัญลงในตารางช่อง L
3. ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรปุ เนอื้ หา โดยการอภิปรายหรือตรวจสอบคาตอบในตาราง K-W-L
4. ครูและนักเรียนอาจรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวกับการใช้ตาราง K-W-L มาชว่ ยในการเรียนการสอนการอ่าน
เทคนคิ การสอนแบบ QAR (Question-answer relationship)
การสอนอา่ นท่ีมุ่งเน้นใหน้ ักเรยี นมีความเข้าใจในการจดั หมวดหมู่ของคาถามและต้ังคาถาม เพ่อื ให้ได้มา
ซ่ึงแนวทางในการหาคาตอบ ซึ่งนักเรียนจะได้พิจารณาจากข้อมูลในเนื้อเร่ืองท่ีจะเรียนและประสบการณ์เดิม
ของนกั เรยี น โดยมีข้ันตอนการจดั การเรยี นการสอน ดงั นี้
1. ครจู ัดทาชดุ คาถามตามแบบ QAR จากเรือ่ งทีน่ ักเรียนควรรู้หรอื เร่ืองใกล้ตัวนกั เรยี น เพือ่ ชว่ ยให้นักเรียน
เข้าใจถึงการจดั หมวดหมู่ของคาถามตามแบบ QAR และควรเชอื่ มโยงกบั เร่ืองท่ีจะอ่านต่อไป
2. ครูแนะนาและอธิบายการสอนแบบ QAR โดยครูควรช้ีแจงนักเรียนเก่ียวกับการอ่านและการตั้งคาถาม
ตามหมวดหมู่ ได้แก่ คาถามท่ีตอบโดยใช้เน้ือหาจากเร่ืองท่ีอ่าน คาถามท่ีต้องคิดและค้นคว้า คาถามท่ี
ไมม่ คี าตอบโดยตรง ซ่งึ จะตอ้ งใชค้ วามร้เู ดมิ และสง่ิ ที่ผู้เขยี นเขียนไว้
3. นักเรียนอา่ นเนอื้ เรือ่ ง ต้งั คาถามและตอบคาถามตามหมวดหมู่ และรว่ มกนั อภิปรายเพื่อสรุปคาตอบ
4. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเก่ยี วกบั การใช้เทคนคิ นี้ดว้ ยตนเองได้อยา่ งไร
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มอื ครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 น
2. การใช้งานส่อื QR Code
QR Code เป็นรหัสหรือภาษาที่ต้องใช้โปรแกรมอ่านหรือสแกนข้อมูลออกมา ซึ่งต้องใช้งานผ่าน
โทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งกล้องไว้ แล้วอ่าน QR Code ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ เช่น
LINE (สาหรับโทรศัพท์เคล่ือนท่ี) Code Two QR Code Reader (สาหรับคอมพิวเตอร์) Camera (สาหรับ
ผลติ ภัณฑ์ของ Apple Inc.)
ข้นั ตอนการใชง้ าน
1. เปดิ โปรแกรมสาหรับอา่ น QR Code
2. เลอ่ื นอุปกรณอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเลต็ เพ่ือส่องรูป QR Code ไดท้ ั้งรูป
3. เปดิ ไฟลห์ รือลงิ ก์ท่ีขนึ้ มาหลงั จากโปรแกรมไดอ้ ่าน QR Code
**หมายเหตุ อปุ กรณท์ ี่ใช้อา่ น QR Code ตอ้ งเปดิ Internet ไวเ้ พอื่ ดงึ ข้อมลู
3. การใชง้ านโปรแกรมประยุกต์ความจรงิ เสริม (ภาพเคล่ือนไหว 3 มิติ)
เทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เป็นโปรแกรมท่ีสร้างข้ึนเพ่ือเป็นสื่อเสริมช่วยให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหา
สาระของบทเรียนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยใช้งานผ่านโปรแกรมประยุกต์ “AR สสวท.วิทย์ประถม” ซ่ึง
สามารถดาวนโ์ หลดได้ทาง Play Store หรอื App Store
**หมายเหตุ เน่ืองจากโปรแกรมมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่ เพ่ือการใช้งานท่ีดีควรมีพื้นที่ว่างในเคร่ืองไม่ต่ากว่า 2 GB
หากพนื้ ท่ีจัดเก็บไมเ่ พยี งพออาจตอ้ งลบข้อมูลบางอย่างออกก่อนตดิ ต้ังโปรแกรม
ขนั้ ตอนการตดิ ตั้งโปรแกรม
1. เข้าไปท่ี Play Store ( ) หรอื App Store ( )
2. คน้ หาคาวา่ “AR สสวท. วทิ ย์ประถม”
3. กดเข้าไปทโ่ี ปรแกรมประยกุ ต์ที่ สสวท. พัฒนา
4. กด “ตดิ ตง้ั ” และรอจนตดิ ตั้งเรยี บรอ้ ย
5. เข้าสู่โปรแกรมจะปรากฏหน้าแรก จากน้ันกด “วิธีการใช้งาน” เพ่ือศึกษาการใช้งานโปรแกรม
เบ้ืองตน้ ด้วยตนเอง
6. หลงั จากศกึ ษาวธิ กี ารใช้งานดว้ ยตนเองแล้ว กด “สแกน AR”
7. กดดาวนโ์ หลดที่ระดบั ช้นั ป. 5
7. เปิดหน้าหนังสือเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีสัญลักษณ์ AR
แล้วส่องรูปท่ีอยู่บริเวณสัญลักษณ์ AR โดยมีระยะห่างประมาณ
10 เซนติเมตร และเลอื กดภู าพในมุมมองต่าง ๆ ตามความสนใจ
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
บ คู่มอื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นระดบั ประถมศกึ ษา
นกั เรยี นในระดบั ประถมศึกษาตอนต้น (ป.1 - ป.3) ตามธรรมชาตแิ ล้วมคี วามอยากรู้อยากเหน็ เก่ียวกับ
สิ่งต่าง ๆ รอบตัว และเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดด้วยการค้นพบ จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยประสาทสัมผสั
ท้ังห้า ดังน้ันการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาตอนต้น จึงควรให้โอกาสนักเรยี นมีส่วนร่วมในการ
ลงมือปฏิบัติ การสารวจตรวจสอบ การค้นพบ การต้ังคาถามเพ่ือนาไปสู่การอภิปราย การแลกเปลี่ยนผลการ
ทดลองดว้ ยคาพดู หรือภาพวาด การอภิปรายเพอื่ สรุปผลรว่ มกนั สาหรบั นักเรียนในระดบั ชั้นประถมศึกษาตอน
ปลาย (ป.4-ป.6) มีพัฒนาการทางสติปัญญาจากขั้นการคิดแบบรูปธรรมไปสู่ข้ันการคิดแบบนามธรรม มีความ
สนใจในส่ิงต่าง ๆ รอบตัว และสนใจว่าส่ิงต่าง ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร และทางานอย่างไร นักเรียน
ในช่วงวัยนี้ต้องการโอกาสท่ีจะมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมกลุ่มโดยการทางานแบบร่วมมือ ดังนั้นจึงควร
ส่งเสริมให้นักเรียนทาโครงงานวิทยาศาสตร์ร่วมกันซึ่งจะเป็นการสร้างความสามัคคี และประสานสัมพันธ์
ระหว่างนกั เรียนในระดบั น้ีดว้ ย
การจดั การเรยี นการสอนทเี่ นน้ การสืบเสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หมายถึงวิธีการท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อศึกษาสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
อย่างเป็นระบบ และเสนอคาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งท่ีศึกษาด้วยข้อมูลที่ได้จากการทางานทางวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอยู่
หลากหลาย เช่น การสารวจ การสืบค้น การทดลอง การสรา้ งแบบจาลอง
นักเรียนทุกระดับช้ันควรได้รับโอกาสในการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาความสามารถ
ในการคิดและแสดงออกด้วยวิธีการที่เช่ือมโยงกับการสืบเสาะหาความรู้ซึ่งรวมทั้งการต้ังคาถาม การวางแผนและ
ดาเนินการสืบเสาะหาความรู้ การใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมในการรวบรวมข้อมูล การคิดอย่างมี
วิจารณญาณและมีเหตุผลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพยานหลักฐานและการอธิบาย การสร้างและวิเคราะห์
คาอธบิ ายทีห่ ลากหลาย และการสือ่ สารขอ้ โตแ้ ย้งทางวิทยาศาสตร์
การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นการสืบเสาะหาความรู้ ควรมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความต่อเน่ืองกัน
จากท่เี นน้ ครูเป็นสาคัญไปจนถงึ เนน้ นักเรยี นเป็นสาคัญ โดยแบง่ ไดด้ งั นี้
การสืบเสาะหาความรู้แบบครูเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Structured Inquiry) ครูเป็นผู้ต้ังคาถามและบอก
วธิ ีการใหน้ กั เรยี นค้นหาคาตอบ ครูชี้แนะนกั เรยี นทกุ ข้นั ตอนโดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การสืบเสาะหาความรู้แบบทั้งครูและนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Guided Inquiry) ครูเป็นผู้ตั้งคาถาม
และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการสารวจตรวจสอบให้กับนักเรียน นักเรียนจะเป็นผู้ออกแบบการทดลอง
ดว้ ยตวั เอง
การสืบเสาะหาความรู้แบบนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Open Inquiry) นักเรียนทากิจกรรมตามท่ีครู
กาหนด นักเรียนพัฒนาวิธี ดาเนินการสารวจ ตรวจสอบจากคาถามท่ีครูต้ังขึ้น นักเรียนต้ังคาถามในหัวข้อที่
ครเู ลือก พร้อมท้งั ออกแบบการสารวจตรวจสอบดว้ ยตนเอง
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค่มู ือครูรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ป
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในหอ้ งเรียน
เราสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนโดยจัดโอกาสให้ นักเรียนได้สืบเสาะหาความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ตามที่หลักสูตรกาหนด ด้วยกระบวนการแบบเดียวกันกับท่ีนักวิทยาศาสตร์สืบเสาะ แต่อาจมี
รูปแบบทห่ี ลากหลายตามบริบทและความพรอ้ มของครแู ละนกั เรียน เช่น การสบื เสาะหาความรู้แบบปลายเปิด
(Open Inquiry) ท่ีนักเรียนเป็นผู้ควบคุมการสืบเสาะหาความรู้ของตนเองต้ังแต่การสร้างประเด็นคาถาม
การสารวจตรวจสอบ (Investigation) และอธิบายส่ิงที่ศึกษาโดยใช้ข้อมูล (Data) หรือหลักฐาน (Evidence)
ท่ีได้จากการสารวจตรวจสอบ การประเมินและเช่ือมโยงความรู้ท่ีเก่ียวข้องหรือคาอธิบายอื่นเพ่ือปรับปรุง
คาอธิบายของตนและนาเสนอต่อผู้อ่ืน นอกจากนี้ ครูอาจใช้การสืบเสาะหาความรู้ที่ตนเองเป็นผู้กาหนดแนว
ในการทากิจกรรม (Structured Inquiry) โดยครูสามารถแนะนานกั เรยี นได้ตามความเหมาะสม
การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ครูสามารถออกแบบการสอนให้มีลักษณะ
สาคญั ของการสบื เสาะ ดงั นี้
ภาพ วฏั จักรการสบื เสาะหาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ในหอ้ งเรียน
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ผ คูม่ อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
การจดั การเรยี นการสอนท่ีสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์
และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ที่มีความแตกต่างจากศาสตร์อ่ืน ๆ
เป็นค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคาอธิบายท่ีบอกว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร มีการทางานอย่างไร
นักวิทยาศาสตร์คือใคร ทางานอย่างไร และงานด้านวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสังคม ค่านิยม
ข้อสรุป แนวคิด หรือคาอธบิ ายเหล่านจี้ ะผสมกลมกลืนอยู่ในตวั วิทยาศาสตร์ ความร้ทู างวิทยาศาสตร์ และการ
พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ
ของวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นอยู่กับระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนและ
ประสบการณ์ท่ีครจู ัดให้แกน่ ักเรยี น ความสามารถในการสังเกตและการส่ือความหมายของนักเรียนในระดับน้ี
ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ครูควรอานวยความสะดวกในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และแนวคิด
ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน นักเรียนในระดับน้ีเร่ิมท่ีจะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร วิทยาศาสตร์ทางาน
อย่างไร และนักวิทยาศาสตร์ทางานกันอย่างไรโดยผ่านการทากิจกรรมในห้องเรียน จากเร่ืองราวเก่ียวกับ
นักวิทยาศาสตร์ และจากการอภิปรายในหอ้ งเรยี น
นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายซ่ึงกาลังพัฒนาฐานความรู้โดยใชก้ ารสงั เกตมากข้ึน สามารถ
นาความรมู้ าใช้เพ่ือก่อใหเ้ กิดความคาดหวงั เก่ียวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว โอกาสการเรียนรสู้ าหรบั นักเรยี นในระดับน้ี
ควรเน้นไปที่ทักษะการตั้งคาถามเชิงวิทยาศาสตร์ การสร้างคาอธิบายที่มีเหตุผลโดยอาศัยพยานหลักฐานท่ี
ปรากฏ และการสื่อความหมายเก่ียวกับความคิดและการสารวจตรวจสอบของตนเองและของนักเรียนคนอ่ืน ๆ
นอกจากนี้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์สามารถเพ่ิมความตระหนักถึงความหลากหลายของคนในชุมชน
วิทยาศาสตร์ นักเรียนในระดับน้ีควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีช่วยให้เขาคิดอย่างมีวิจารณญาณเก่ียวกับ
พยานหลกั ฐานและความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพยานหลักฐานกบั การอธบิ าย
การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นแตล่ ะระดบั ช้นั มีพฒั นาการเปน็ ลาดับดังนี้
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 สามารถ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 สามารถ
ตง้ั คาถาม บรรยายคาถาม เขียนเก่ียวกบั ออกแบบและดาเนินการสารวจตรวจสอบ
คาถาม เพื่อตอบคาถามที่ไดต้ ้ังไว้
บันทึกข้อมูลจากประสบการณ์ สารวจ สอ่ื ความหมายความคิดของเขาจากสิ่งที่
ตรวจสอบชน้ั เรียน สังเกต
อภิปรายแลกเปลย่ี นหลกั ฐานและความคดิ อา่ นและการอภปิ รายเร่ืองราวต่าง ๆ
เรยี นรูว้ า่ ทกุ คนสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตรไ์ ด้
เก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค่มู อื ครูรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ฝ
ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 สามารถ ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 สามารถ
ทาการทดลองอย่างง่าย ๆ
ตัง้ คาถามทส่ี ามารถตอบได้โดยการใช้ ให้เหตผุ ลเก่ยี วกับการสังเกต การสอื่
ฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการสังเกต
ความหมาย
ทางานในกล่มุ แบบรว่ มมือเพื่อสารวจ ลงมือปฏิบตั กิ ารทดลองและการอภิปราย
ตรวจสอบ คน้ หาแหลง่ ข้อมลู ที่เชื่อถือได้และบูรณาการ
คน้ หาข้อมลู และการสอื่ ความหมายคาตอบ ขอ้ มลู เหล่านนั้ กับการสังเกตของตนเอง
ศึกษาประวัติการทางานของ
สร้างคาบรรยายและคาอธบิ ายจากสิง่ ท่ี
สงั เกต นกั วทิ ยาศาสตร์
นาเสนอประวตั ิการทางานของ
นักวทิ ยาศาสตร์
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 สามารถ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 สามารถ
สารวจตรวจสอบ สารวจตรวจสอบที่เนน้ การใช้ทักษะทาง
วิทยาศาสตร์
ตง้ั คาถามทางวทิ ยาศาสตร์
รวบรวมข้อมูลทเ่ี กย่ี วข้อง การมองหา
ตีความหมายข้อมูลและคิดอย่างมี แบบแผนของข้อมูล การส่ือความหมาย
วิจารณญาณโดยมีหลกั ฐานสนบั สนนุ และการแลกเปลยี่ นเรียนรู้
คาอธิบาย
เขา้ ใจความแตกต่างระหวา่ งวิทยาศาสตร์
เขา้ ใจธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์จากประวัตกิ าร และเทคโนโลยี
ทางานของนกั วิทยาศาสตร์ที่มคี วามมานะ
อตุ สาหะ เข้าใจการทางานทางวิทยาศาสตร์ผ่าน
ประวัตศิ าสตรข์ องนักวิทยาศาสตร์ทุกเพศ
ทีม่ หี ลายเชอ้ื ชาติ วัฒนธรรม
สามารถอ่านข้อมลู เพ่ิมเติมเกี่ยวกับการจดั การเรียนการสอนทเี่ น้นการสืบเสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์
และการจดั การเรียนรู้ทส่ี อดคล้องกับธรรมชาติของวิทยาศาสตรแ์ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากคู่มอื
การใชห้ ลกั สูตร
http://ipst.me/8922
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
พ คมู่ ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2
การวดั ผลและประเมินผลการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
แนวคดิ สาคญั ของการปฏริ ูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2542 และ
ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 ที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเปิด
โอกาสให้นักเรียนคิดและลงมือปฏิบัติด้วยกระบวนการท่ีหลากหลาย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
เต็มตามศักยภาพ การวัดและประเมินผลจึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใน
ห้องเรียน เพราะสามารถทาให้ครปู ระเมินระดบั พัฒนาการการเรียนรู้ของนักเรียนได้
กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีหลากหลาย เช่น กิจกรรมสารวจภาคสนาม กิจกรรมการสารวจ
ตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาคน้ คว้า กจิ กรรมศึกษาปัญหาพิเศษ หรือโครงงานวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็
ตามในการทากิจกรรมเหล่าน้ีต้องคานึงว่านักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน นักเรียนจึงอาจทางาน
ชิน้ เดยี วกันได้สาเร็จในเวลาทแี่ ตกต่างกนั และผลงานทไ่ี ด้กอ็ าจแตกต่างกนั ดว้ ย เมื่อนักเรียนทากจิ กรรมเหล่านี้
แล้วก็ต้องเก็บรวบรวมผลงาน เช่น รายงาน ช้ินงาน บันทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติต่าง ๆ เจตคติทาง
วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ความรัก ความซาบซ้ึง กิจกรรมที่นักเรียนได้ทาและผลงานเหลา่ น้ีต้องใช้
วิธีประเมินที่มีความเหมาะสมและแตกต่างกันเพ่ือช่วยให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถและความรู้สึก
นกึ คดิ ที่แทจ้ ริงของนักเรียนได้ การวัดผลและประเมนิ ผลจะมีประสิทธภิ าพกต็ ่อเมอื่ มีการประเมนิ หลาย ๆ ด้าน
หลากหลายวิธี ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับชวี ิตจริง และต้องประเมินอย่างต่อเน่ือง เพือ่ จะได้ข้อมูลที่
มากพอท่จี ะสะท้อนความสามารถทแ่ี ทจ้ ริงของนกั เรยี นได้
จดุ มุ่งหมายหลกั ของการวดั ผลและประเมนิ ผล
1. เพื่อค้นหาและวินิจฉัยว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเน้ือหาวิทยาศาสตร์ มีทักษะความชานาญใน
การสารวจตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์อย่างไรและในระดับใด เพ่ือเป็น
แนวทางให้ครูสามารถวางแผนการจัดการเรยี นการสอนได้อยา่ งเหมาะสมเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของนกั เรยี นได้
อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ
2. เพือ่ ใชเ้ ป็นข้อมูลย้อนกลับสาหรับนักเรียนวา่ มกี ารเรียนรอู้ ย่างไร
3. เพ่ือใช้เป็นข้อมูลในการสรุปผลการเรียน และเปรียบเทียบระดับพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของนักเรียน
แต่ละคน
การประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน มี 3 แบบ คือ การประเมินเพื่อค้นหาและวินิจฉัย การประเมิน
เพ่อื ปรบั ปรุงการเรยี นการสอน และการประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรยี นการสอน
การประเมินเพ่ือค้นหาและวินิจฉัย เป็นการประเมินเพื่อบ่งช้ีก่อนการเรียนการสอนว่า นักเรียนมี
พ้ืนฐานความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ เจตคติ และแนวคิดท่ีคลาดเคลื่อนอะไรบ้าง การประเมินแบบน้ีสามารถ
บ่งช้ีไดว้ ่านักเรยี นคนใดต้องการความชว่ ยเหลือเปน็ พิเศษในเรื่องท่ีขาดหายไป หรอื เป็นการประเมินเพื่อพัฒนา
ทักษะที่จาเป็นก่อนท่ีจะเรียนเรื่องต่อไป การประเมินแบบน้ียังช่วยบ่งชี้ทักษะหรือแนวคิดท่ีมีอยู่แล้วของ
นักเรียนอกี ดว้ ย
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 ฟ
การประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน เป็นการประเมินในระหว่างช่วงท่ีมีการเรียนการสอน
การประเมินแบบนี้จะช่วยบ่งชี้ระดับที่นักเรียนกาลังเรียนอยู่ในเร่ืองที่ได้สอนไปแล้ว หรือบ่งชี้ความรู้ของนักเรียน
ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีได้วางแผนไว้ เป็นการประเมินที่ให้ข้อมูลย้อนกลับกับนักเรียนและกับครูว่าเป็นไป
ตามแผนการที่วางไว้หรือไม่ ข้อมูลท่ีได้จากการประเมินแบบน้ีไม่ใช่เพื่อเป้าประสงค์ในการให้ระดับคะแนน แต่เพ่ือ
ชว่ ยครูในการปรบั ปรงุ การสอน และเพื่อวางแผนประสบการณต์ ่าง ๆ ทจ่ี ะให้กับนกั เรยี นต่อไป
การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนการสอน เกิดข้ึนเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนแล้ว ส่วนมากเป็น “การ
สอบ” เพื่อให้ระดับคะแนนแก่นักเรียน หรือเพื่อให้ตาแหน่งความสามารถของนักเรียน หรือเพ่ือเป็นการบ่งชี้
ความก้าวหน้าในการเรียน การประเมินแบบน้ีถือว่ามีความสาคัญในความคิดของผู้ปกครอง นักเรียน ครู ผู้บริหาร
อาจารย์แนะแนว ฯลฯ แต่ก็ไม่ใช่เป็นการประเมินภาพรวมทั้งหมดของความสามารถของนักเรียน ครูต้องระมัดระวัง
เมื่อประเมินผลรวมเพื่อตัดสินผลการเรียนของนักเรียน ทั้งน้ีเพ่ือให้เกิดความสมดุล ความยุติธรรม และเกิดความ
เท่ยี งตรง
การตัดสินผลการเรียนของนักเรียนมักจะมีการเปรียบเทียบกับส่ิงอ้างอิง ส่วนมากการประเมินมักจะ
อ้างอิงกลุ่ม (norm reference) คือเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มหรือ
คะแนนของนักเรียนคนอ่ืน ๆ การประเมินแบบกลุ่มน้ีจะมี “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” อย่างไรก็ตามการประเมินแบบ
อิงกลุ่มน้ีจะมีนักเรียนครึ่งหนึ่งท่ีอยู่ต่ากว่าระดับคะแนนเฉล่ียของกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีการประเมินแบบอิงเกณฑ์
(criterion reference) ซ่ึงเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนกับเกณฑ์ท่ีต้ังเอาไว้โดยไม่คานึงถึง
คะแนนของนักเรียนคนอ่ืน ๆ ฉะน้ันจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนจะต้องชัดเจนและมีเกณฑ์ที่บอกให้ทราบว่า
ความสามารถระดับใดจึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับ “รอบรู้” โดยที่นักเรียนแต่ละคน หรือชั้นเรียนแต่ละชั้น หรือ
โรงเรียนแต่ละโรงจะได้รับการตัดสินว่าประสบผลสาเร็จก็ต่อเม่ือ นักเรียนแต่ละคน หรือชั้นเรียนแต่ละชั้น หรือ
โรงเรียนแต่ละโรงได้สาธิตผลสาเรจ็ หรือสาธิตความรอบรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตามเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ ข้อมูล
ที่ใช้สาหรับการประเมินเพ่ือวินิจฉัย หรือเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน หรือเพ่ือตัดสินผลการเรียนการสอน
สามารถใช้การประเมินแบบอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ เท่าที่ผ่านมาการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนการสอนจะใช้
การประเมนิ แบบอิงกลุ่ม
แนวทางการวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การเรยี นรู้จะบรรลตุ ามเป้าหมายของการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ว่ี างไว้ ควรมแี นวทางดังต่อไปนี้
1. วัดและประเมินผลทั้งความรู้ความคิด ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม
ค่านยิ มดา้ นวทิ ยาศาสตร์ รวมทัง้ โอกาสในการเรยี นรู้ของนักเรียน
2. วิธีการวัดและประเมนิ ผลตอ้ งสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้
3. เก็บข้อมูลจากการวัดและประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา และตอ้ งประเมินผลภายใตข้ ้อมลู ท่ีมีอยู่
4. ผลของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนต้องนาไปสู่การแปลผลและลงข้อสรุปท่ี
สมเหตุสมผล
5. การวัดและประเมนิ ผลต้องมีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ทง้ั ในด้านของวธิ ีการวัดและโอกาสของการประเมิน
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ภ คูม่ ือครรู ายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
วธิ กี ารและแหลง่ ข้อมลู ที่ใชใ้ นการวดั ผลและประเมนิ ผล
เพ่อื ใหก้ ารวดั ผลและประเมนิ ผลได้สะท้อนความสามารถที่แท้จรงิ ของนกั เรยี น ผลการประเมินอาจ
ไดม้ าจากแหล่งข้อมลู และวธิ กี ารตา่ ง ๆ ดังต่อไปน้ี
1. สังเกตการแสดงออกเปน็ รายบุคคลหรอื รายกลมุ่
2. ชนิ้ งาน ผลงาน รายงาน
3. การสมั ภาษณ์ทั้งแบบเปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ
4. บันทกึ ของนักเรียน
5. การประชมุ ปรกึ ษาหารือรว่ มกันระหว่างนักเรยี นและครู
6. การวัดและประเมินผลภาคปฏิบตั ิ
7. การวัดและประเมินผลด้านความสามารถ
8. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร้โู ดยใชแ้ ฟ้มผลงาน
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ม
ตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างเน้อื หาและกจิ กรรม ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 2
กบั ตวั ชี้วัด กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
หนว่ ยการเรียนรู้ ชอื่ กิจกรรม เวลา ตัวชี้วัด
(ชวั่ โมง)
หนว่ ยท่ี 4 วฏั จักร บทที่ 1 วัฏจกั รน้า 1 ว 3.2
เร่ืองท่ี 1 แหลง่ นา้
1 ป.5/1 เปรยี บเทยี บปริมาณน้า
กิจกรรมที่ 1.1 น้าแตล่ ะแหลง่ บนโลกมี
อยู่เท่าใด 2 ในแต่ละแหลง่ และระบุปริมาณ
กิจกรรมที่ 1.2 ทาอย่างไรจึงจะใชน้ า้
อย่างประหยัดและอนรุ ักษ์แหลง่ น้าใน นา้ ท่ีมนษุ ยส์ ามารถนามาใช้
ทอ้ งถนิ่ ได้
เรอ่ื งท่ี 2 เมฆ หมอก น้าคา้ ง และนา้ คา้ งแขง็ 1 ประโยชน์ได้ จากข้อมูลท่ี
กิจกรรมที่ 2 เมฆ หมอก นา้ ค้าง และ
นา้ ค้างแข็งเกิดขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร รวบรวมได้
เรือ่ งท่ี 3 หยาดน้าฟ้า
กิจกรรมที่ 3 ฝน หมิ ะ และลูกเหบ็ ป.5/2 ตระหนักถึงคุณคา่ ของ
เกิดขึ้นไดอ้ ย่างไร
เรอ่ื งที่ 4 การหมุนเวยี นของนา้ 1 น้าโดยนาเสนอแนวทางการใช้
กจิ กรรมท่ี 4 วัฏจักรนา้ เป็นอยา่ งไร
กิจกรรมท้ายบทที่ 1 วัฏจักรน้า 2 น้าอยา่ งประหยดั และการ
อนุรักษ์น้า
1 ป.5/4 เปรยี บเทียบ
1 กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก
นา้ ค้าง และนา้ คา้ งแข็ง จาก
1 แบบจาลอง
2 ป.5/5 เปรียบเทยี บ
1 กระบวนการเกดิ ฝน หิมะ และ
ลูกเหบ็ จากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้
ป.5/3 สรา้ งแบบจาลองท่ี
อธบิ ายการหมุนเวียนของน้า
ในวัฏจักรนา้
บทที่ 2 วฏั จักรการปรากฏของกลุ่มดาว 0.5 ว 3.1
เรอ่ื งที่ 1 ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์
0.5 ป.5/1 เปรียบเทยี บความ
กิจกรรมท่ี 1 มองเห็นดาวเคราะหแ์ ละ
ดาวฤกษ์ได้อย่างไร 2 แตกตา่ งของดาวเคราะหแ์ ละ
เร่ืองที่ 2 กล่มุ ดาวบนท้องฟา้
ดาวฤกษจ์ ากแบบจาลอง
1 ป.5/2 ใช้แผนท่ีดาวระบุ
ตาแหน่งและเส้นทางการข้ึน
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ย คมู่ ือครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2
หน่วยการเรยี นรู้ ช่อื กิจกรรม เวลา ตวั ช้วี ดั
(ชว่ั โมง)
หนว่ ยท่ี 5
ส่งิ มีชวี ติ กจิ กรรมท่ี 2.1 เหตุใดจึงเหน็ กลมุ่ ดาว 1 และตกของกลุม่ ดาวฤกษ์บน
เปน็ รปู รา่ งต่าง ๆ ทอ้ งฟา้ และอธบิ ายแบบรปู
กิจกรรมท่ี 2.2 วัฏจกั รการปรากฏของ 2 เสน้ ทางการข้ึนและตกของกลุ่ม
กลุ่มดาวเปน็ อยา่ งไร ดาวฤกษบ์ นทอ้ งฟ้าในรอบปี
กจิ กรรมท้ายบทที่ 2 วฏั จักรการปรากฏของกลมุ่ ดาว 1
บทท่ี 1 ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มีชีวิต 1 ว 1.3
เรอ่ื งท่ี 1 การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของ 1 ป.5/1 อธบิ ายลกั ษณะทาง
สิ่งมีชีวิต พันธกุ รรมท่ีมีการถา่ ยทอดจาก
กิจกรรมท่ี 1.1 ลกั ษณะทางพันธุกรรม 2 พอ่ แม่สูล่ ูกของพืช สัตว์ และ
ของพืชมอี ะไรบา้ ง มนษุ ย์
กจิ กรรมที่ 1.2 ลักษณะทางพันธกุ รรม 2 ป.5/2 แสดงความอยากรู้
ของสัตว์มีอะไรบ้าง อยากเหน็ โดยการถามคาถาม
กิจกรรมท่ี 1.3 ลกั ษณะทางพันธกุ รรม 1 เกย่ี วกบั ลักษณะที่คล้ายคลงึ กัน
ของคนในครอบครัวเปน็ อยา่ งไร ของตนเองกับพ่อแม่
กิจกรรมท้ายบทที่ 1 ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของ 1
สง่ิ มีชีวิต
บทท่ี 2 สิ่งมชี ีวิตกับสิง่ แวดล้อม 1 ว 1.1
เรื่องท่ี 1 โครงสรา้ งและลักษณะของสง่ิ มีชีวิตใน 1 ป.5/1 บรรยายโครงสร้างและ
แหล่งที่อยู่ ลกั ษณะของสิ่งมีชวี ติ ที่
กจิ กรรมท่ี 1 โครงสรา้ งและลักษณะของ 2 เหมาะสมกับการดารงชวี ิตซ่งึ
ส่งิ มีชีวติ เหมาะสมกับแหล่งที่อย่อู ยา่ งไร เปน็ ผลมาจากการปรบั ตัวของ
เรื่องท่ี 2 ความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงมีชวี ติ กับ 1 ส่ิงมีชวี ิตในแตล่ ะแหลง่ ที่อยู่
สงิ่ มีชวี ติ ป.5/2 อธิบายความสัมพนั ธ์
กจิ กรรมที่ 2 สงิ่ มีชีวิตสัมพนั ธ์กับสงิ่ มชี ีวิต 1 ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ิตกับส่งิ มชี ีวติ
อย่างไร และความสัมพันธร์ ะหวา่ ง
เรื่องท่ี 3 ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชวี ิตกับ 1 สิ่งมีชีวิตกับสง่ิ ไม่มีชีวติ เพื่อ
สิง่ ไม่มีชีวติ ประโยชน์ต่อการดารงชีวิต
กิจกรรมที่ 3 ส่งิ มีชวี ติ สัมพนั ธ์กบั 2 ป.5/3 เขียนโซ่อาหารและระบุ
ส่ิงไม่มชี วี ิตในแหล่งท่อี ยู่อยา่ งไร บทบาทหน้าท่ีของสงิ่ มีชวี ิตที่
กจิ กรรมท้ายบทที่ 2 ส่งิ มชี วี ติ กบั ส่งิ แวดล้อม 1 เป็นผผู้ ลติ และผูบ้ ริโภคใน
โซ่อาหาร
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ร
หน่วยการเรยี นรู้ ชอ่ื กจิ กรรม เวลา ตวั ชี้วดั
(ช่วั โมง)
ป.5/4 ตระหนกั ในคุณค่าของ
ส่งิ แวดล้อมท่ีมีตอ่ การดารงชวี ิต
ของสิ่งมีชวี ิต โดยมีสว่ นร่วม
ในการดแู ลรักษาสิง่ แวดล้อม
รวมจานวนชว่ั โมง 40
หมายเหต:ุ กจิ กรรม เวลาท่ีใช้ และสิ่งทตี่ ้องเตรยี มลว่ งหนา้ นนั้ ครสู ามารถปรับเปลย่ี นเพ่ิมเตมิ ไดต้ ามความ
เหมาะสมของสภาพท้องถ่ิน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ล คมู่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2
รายการวสั ดอุ ปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2
ลาดบั ท่ี รายการ จานวน/กลมุ่ จานวน/ห้อง จานวน/คน
หนว่ ยท่ี 4 วฏั จักร 1 ฉบบั
1 ฉบบั
1 บกี เกอร์ขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร 1 ใบ
1 ใบ
2 หลอดฉีดยาขนาด 10 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร 1 อัน 1 กโิ ลกรมั
1 ถงุ
3 ชอ้ น 1 คนั 1 กลัก
4 นา้ 20 ลติ ร 1 มว้ น
9 ลูก
5 ขวดพลาสตกิ ขนาด 1,000 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร 22 ขวด 1 อัน
6 ใบเสรจ็ คา่ นา้ ก่อนทากิจกรรม
7 ใบเสรจ็ คา่ น้าหลังทากจิ กรรม
8 คตั เตอร์ 1 อัน
9 กระป๋องทรายสาหรบั ดับไฟ 1 ใบ
10 แท่งแก้วคน 1 อนั
11 แกว้ พลาสตกิ ใส 1 ใบ
12 ชอ้ นพลาสติก 1 คัน
13 นา้ สผี สมอาหาร 1 แกว้
14 กระติกน้ารอ้ น
15 นา้ แข็ง
16 เกลือแกง
17 ธูป 1 ดอก
18 ไม้ขีดไฟ
19 ขวดพลาสติกใส ขนาด 1,500-2,000 ลกู บาศก์เซนติเมตร 1 ขวด
20 กระดาษปรูฟ๊ 2 แผน่
21 สีเมจิก 1 กล่อง
22 เทปใส
23 ลูกเตา๋ วฏั จักรน้า
24 อุปกรณ์ใหส้ ัญญาน เชน่ นกหวีด
25 ไฟฉายขนาดใหญ่ 1 กระบอก
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ค่มู ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 ว
ลาดับที่ รายการ จานวน/กลมุ่ จานวน/หอ้ ง จานวน/คน
1 กระบอก
26 ไฟฉายขนาดเล็ก 1 กลอ่ ง
1 ลูก
27 กลอ่ งกระดาษทบึ พร้อมฝาปิด 1 อนั
1 รูป
28 วตั ถทุ รงกลมขนาดเลก็ 5 ชดุ
1 อัน
29 แวน่ กันแดด 1 เรอื น
1 แผน่
30 รูปกลุ่มดาวของนักดาราศาสตร์ 1 วง
31 แผนทดี่ าว
32 เขม็ ทิศ
33 นาฬกิ า
34 กระดาษแก้วสแี ดง
35 ยางรดั ของ
หน่วยที่ 5 ส่ิงมีชีวิต
1 บตั รภาพตน้ พชื รนุ่ ลูก 1 ชุด
1 ชดุ
2 บตั รภาพต้นพชื รุน่ พอ่ แม่ 1 ชดุ
1 กล่อง
3 บัตรภาพครอบครวั ของสตั ว์ 1 เรือ่ ง
4 สไี ม้
5 วีดทิ ศั น์ สารคดเี กี่ยวกับส่ิงมชี ีวิตตา่ ง ๆ ในแหล่งที่อยู่
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
1 คมู่ อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2 | หนว่ ยที่ 4 วฏั จักร
หนว่ ยที่ 4 วฏั จกั ร
ภาพรวมการจัดการเรยี นรู้ประจาหน่วยท่ี 4 วฏั จักร
บท เรือ่ ง กิจกรรม ลาดับการจัดการเรยี นรู้ ตวั ชี้วัด
บทท่ี 1 วัฏจกั รน้า เร่อื งท่ี 1 แหล่งนา้ กิจกรรมที่ 1.1 น้า โลกปกคลุมไปด้วยน้าจืดและน้าเค็ม ว.3.2
แต่ละแหล่งบนโลกมี ซง่ึ อยู่ในแหลง่ น้าตา่ ง ๆ ป.5/1 เปรียบเทียบปริมาณ
อยู่เทา่ ใด น้าในแต่ละแหล่ง และระบุ
นา้ เค็มและน้าจดื มปี ริมาณร้อยละ 97.5 ปริมาณน้าที่มนุษย์สามารถ
กิจกรรมท่ี 1.2 ท้า และ 2.5 ตามล้าดบั น้ามาใช้ประโยชน์ได้ จาก
อ ย่ า ง ไ ร จึ ง จ ะ ใ ช้ น้ า ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้
อ ย่ า ง ป ร ะ ห ยั ด แ ล ะ ปริมาณน้าจืดเรียงล้าดับจากมากไป
อนุรักษ์แหล่งน้าใน น้อยได้ดังนี ธารน้าแข็งและพืดน้าแข็ง ป.5/2 ตระหนักถึงคุณค่า
ท้องถิ่นได้ น้าใต้ดิน ชันดินเยือกแข็งคงตัวและ ของน้าโดยน้าเสนอแนว
น้าแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความชืนในดิน ท า ง ก า ร ใ ช้ น้ า อ ย่ า ง
ความชืนในบรรยากาศ บึง แม่น้า และ ประหยัดและการอนุรักษ์
น้าในสง่ิ มชี วี ติ น้า
น้าจืดท่ีมนุษย์น้ามาใช้ได้มีปริมาณ
น้อยมาก จึงควรใช้น้าอย่างประหยัดและ
ร่วมกันอนุรักษ์น้าเพ่ือให้มีน้าไว้อุปโภค
บริโภคต่อไป
แหล่งน้าในธรรมชาติ สามารถจ้าแนกได้
เปน็ 2 ประเภท คือ แหลง่ น้าผิวดนิ และ
แหล่งน้าใตด้ ิน
แหล่งน้าผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร
บงึ แม่นา้
แหล่งน้าใต้ดิน ได้แก่ น้าในดิน และ
นา้ บาดาล
เร่ืองท่ี 2 เมฆ หมอก กิจกรรมท่ี 2 เมฆ ไอน้าในอากาศจะควบแนน่ เป็นละอองน้า ป . 5 / 4 เ ป รี ย บ เ ที ย บ
น้าค้าง และ หมอก นา้ ค้าง และ เล็ก ๆ โดยมลี ะอองลอย เชน่ ฝุน่ ละออง กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก
นา้ คา้ งแขง็ นา้ ค้างแข็งเกิดขนึ ได้ หรอื อนภุ าคอน่ื ๆ เป็นอนภุ าคแกนกลาง น้าค้าง และน้าค้างแข็ง
อยา่ งไร เมื่อละอองน้าจ้านวนมากเกาะกลุ่ม จากแบบจ้าลอง
รวมกันลอยอยู่ในท้องฟ้า เรียกว่า เมฆ
แต่ละอองน้าท่ีเกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้
พนื โลก เรียกว่า หมอก
1 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ค่มู ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 | หน่วยท่ี 4 วัฏจกั ร
บท เร่อื ง กิจกรรม ลาดับการจัดการเรยี นรู้ ตวั ชวี้ ัด
ไอน้าท่ีควบแน่นเป็นละอองน้าเกาะอยู่บน
พืนผิววัตถุใกล้พืนโลก เรียกว่า น้าค้าง ถ้า
อุ ณ ห ภู มิ ใ ก ล้ พื น โ ล ก ต้่ า ก ว่ า
จุ ด เ ยื อ ก แ ข็ ง น้ า ค้ า ง จ ะ กล า ย เ ป็ น
น้าค้างแข็ง
เรือ่ งท่ี 3 หยาดนา้ ฟา้ กิจกรรมที่ 3 ฝน หมิ ะ ฝนเกิดจากละอองน้าในเมฆท่ีรวมตัวกัน ป . 5/ 5 เ ป รี ย บ เ ทีย บ
ลู กเ ห็ บ เ กิด ขึนได้ จ น อ า ก า ศ ไ ม่ ส า ม า ร ถ พยุ ง ไ ว้ไ ด้ จึ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร เ กิ ด ฝ น
อย่างไร ตกลงมา หิมะ และลูกเห็บ จาก
ขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้
หิมะเกิดจากไอน้าในอากาศระเหิดกลับ
เป็นผลึกน้าแข็ง รวมตัวกันจนมีน้าหนัก
มากขึนจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตก
ลงมา
ลูกเห็บเกิดจากหยดน้าที่เปล่ียนสถานะ
เป็นน้าแข็งแล้วถูกพายุพัดวนซ้าไปซ้ามา
ในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่
ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้าแข็งขนาดใหญ่
ขึนแลว้ ตกลงมา
ทังฝน หิมะ และลูกเห็บ เป็นหยาดน้าฟ้า
ซ่ึงเป็นน้าท่ีมีสถานะต่าง ๆ ท่ีตกจากฟ้าถึง
พืนโลก
เรอ่ื งท่ี 4 การ กจิ กรรมท่ี 4 วฏั จกั ร วฏั จักรนา้ เป็นแบบรูปการหมนุ เวยี นอย่าง ป.5/3 สร้างแบบจ้าลอง
หมุนเวยี นน้า น้าเป็นอยา่ งไร ต่ อ เ นื่ อ ง ข อ ง น้ า ผิ ว ดิ น น้ า ใ ต้ ดิ น ที่อธิบายการหมุนเวียน
น้าในบรรยากาศ และน้าจากกิจกรรม ของน้าในวัฏจักรนา้
ร่วมคดิ ร่วมท้า ตา่ ง ๆ ของส่ิงมีชีวติ
ก า ร เ ป ลี่ ย น ที่ อ ยู่ ข อ ง แ ห ล่ ง น้ า จ า ก
แหล่งน้าหนึ่งไปยังอกี แหล่งหน่งึ อาจมกี าร
เปลี่ยนสถานะหรือไม่เปล่ียนสถานะก็ได้
การเปลี่ยนที่อยู่ของอนุภาคน้าจากแหล่ง
น้าเดิมไปยังแหล่งน้าใหม่ไม่ว่าจะเกิดขึน
ท่ี บ ริ เ ว ณ ใ ด ใ น โ ล ก จ ะ มี ก ร ะ บ ว น ก า ร
เปลย่ี นแปลงท่เี ปน็ แบบรูปคงที่
2 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 | หน่วยที่ 4 วฏั จักร 6
บท เรื่อง กจิ กรรม ลาดับการจัดการเรยี นรู้ ตัวช้ีวัด
บทที่ 2 วัฏจักรการ เรื่องท่ี 1 ดาวเคราะห์ กิจกรรมท่ี 1 มองเห็น ดาวฤกษ์เป็นแหล่งก้าเนิดแสงจึง ว 3.1
ปรากฏของกลุ่มดาว และดาวฤกษ์ ด า ว เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ สามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะห์ ป.5/1 เปรียบเทียบ
ดาวฤกษ์ได้อยา่ งไร ไม่ใช่แหล่งก้าเนิดแสง แต่สามารถ ความแตกต่างของ
ม อ ง เ ห็ น ไ ด้ เ นื่ อ ง จ า ก แ ส ง จ า ก ดาวเคราะห์และดาว
ดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว ฤกษ์จากแบบจา้ ลอง
สะท้อนเขา้ สตู่ า
เร่อื งท่ี 2 กล่มุ ดาวบน กิจกรรมท่ี 2.1 เหตุใด การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่าง ป.5/2 ใช้แผนท่ีดาว
ท้องฟา้
จึงเห็นกลุ่มดาวเป็น ตา่ ง ๆ เกดิ จากจินตนาการของผู้สังเกต ร ะ บุ ต้ า แ หน่ ง และ
รปู รา่ งตา่ ง ๆ กลุ่มดาวต่าง ๆ ที่ปรากฏในท้องฟ้า เส้นทางการขึนและ
กิจกรรมที่ 2.2 วัฏจักร แต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์แตล่ ะดวงเรยี งกนั ท่ี ตกของกลุ่มดาวฤกษ์
ต้าแหน่งคงที่ กลุ่มดาวมีเส้นทางการ บ น ท้ อ ง ฟ้ า แ ล ะ
การปรากฏของ ขนึ และตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน กลุม่ อ ธิ บ า ย แ บ บ รู ป
กลมุ่ ดาวเปน็ อยา่ งไร ดาวแต่ละกลุ่มจะปรากฏท่ีต้าแหน่ง เส้นทางการขึนและ
เดิม ในเวลาเดิมในรอบปีหมุนเวียน ตกของกลุ่มดาวฤกษ์
บนท้องฟ้าในรอบปี
ซา้ ๆ กันเป็นวัฏจกั ร
การสังเกตตา้ แหน่ง การขนึ และตกของ
ดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวฤกษ์ สามารถ
ท้าได้โดยใช้แผนที่ดาวซึ่งระบุมุมทิศ
แ ล ะ มุ ม เ ง ย ที่ ก ลุ่ ม ด า ว นั น ป ร า ก ฏ
ผู้สังเกตสามารถใช้มอื ในการประมาณค่า
ของมุมเงยเมื่อสงั เกตดาวบนท้องฟา้
การสงั เกตตา้ แหน่ง การขึนและตกของ
ดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวฤกษ์ สามารถ
ท้าได้โดยใช้แผนท่ีดาว ซ่ึงระบุมุมทิศ
แ ล ะ มุ ม เ ง ย ที่ ก ลุ่ ม ด า ว นั น ป ร า ก ฏ
ผู้สังเกตสามารถใชม้ ือในการประมาณค่า
ของมุมเงยเมือ่ สังเกตดาวบนท้องฟ้า
ร่วมคิด รว่ มท้า
3 สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ค่มู อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 | หนว่ ยท่ี 4 วัฏจักร
4 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 | หนว่ ยท่ี 4 วัฏจักร
บทที่ 1 วฏั จักรนา้
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ประจาบท
เมื่อเรียนจบบทนี นักเรียนสามารถ
1. เปรียบเทียบปริมาณน้าในแต่ละแหล่งและระบุ
ปริมาณนา้ ทม่ี นษุ ย์สามารถน้ามาใช้ประโยชน์ได้
2. น้าเสนอแนวทางการใช้น้าอย่างประหยัดและการ
อนุรักษ์น้า
3. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง
และนา้ ค้างแข็ง
4. เปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ และลูกเหบ็
5. สร้างแบบจ้าลองการหมุนเวียนของน้าใน
วัฏจกั รน้า
เวลา 14 ชวั่ โมง
แนวคดิ สาคญั
พืนผิวโลกมีน้าปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ ซ่ึงเกือบทังหมด บทนม้ี ีอะไร
เป็นน้าเค็ม ส่วนน้าจืดที่น้ามาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก
เราจึงต้องใช้น้าอย่างประหยัด น้าจากแหล่งน้าต่าง ๆ ทัง เรอ่ื งท่ี 1 แหล่งนา้
น้าผิวดิน น้าใต้ดิน น้าในบรรยากาศ และน้าในสิ่งมีชีวิต กจิ กรรมท่ี 1.1 นา้ แต่ละแหลง่ บนโลกมีอย่เู ท่าใด
เกิดการหมุนเวียนระหว่างแหล่งต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง กจิ กรรมที่ 1.2 ท้าอย่างไรจึงจะใช้น้าอย่างประหยัด
กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง ฝน หิมะ
และลูกเห็บ เป็นปรากฏการณ์ที่ท้าให้เกิดการหมุนเวียน และอนุรักษ์แหลง่ นา้ ในทอ้ งถนิ่ ได้
ของน้าเปน็ วัฏจักร เรื่องท่ี 2 เมฆ หมอก นา้ ค้าง และนา้ ค้างแขง็
กจิ กรรมท่ี 2 เมฆ หมอก น้าค้าง และน้าค้างแข็ง
ส่ือการเรียนรู้และแหลง่ เรียนรู้
เกิดขึนได้อยา่ งไร
1. หนงั สอื เรียน ป.5 เลม่ 2 หน้า 1 - 44 เรอื่ งท่ี 3 หยาดนา้ ฟา้
กิจกรรมที่ 3 ฝน หมิ ะ และลกู เห็บ เกดิ ขนึ ได้อย่างไร
2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.5 เล่ม 2 หน้า 1 - 33 เรื่องท่ี 4 การหมุนเวยี นของนา้
กจิ กรรมท่ี 4 วฏั จักรน้าเป็นอยา่ งไร
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5
คู่มอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 | หนว่ ยท่ี 4 วัฏจักร
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21
รหสั ทักษะ 1.1 กจิ กรรมท่ี 4
1.2 2 3
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
S1 การสงั เกต
S2 การวดั
S3 การใชจ้ ้านวน
S4 การจ้าแนกประเภท
S5 การหาความสมั พันธ์ระหวา่ ง
สเปซกับสเปซ
สเปซกบั เวลา
S6 การจดั กระท้าและส่ือความหมายข้อมูล
S7 การพยากรณ์
S8 การลงความเห็นจากข้อมูล
S9 การตังสมมตฐิ าน
S10 การกา้ หนดนิยามเชิงปฏิบตั กิ าร
S11 การกา้ หนดและควบคุมตวั แปร
S12 การทดลอง
S13 การตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ
S14 การสร้างแบบจา้ ลอง
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
C1 การสรา้ งสรรค์
C2 การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ
C3 การแกป้ ัญหา
C4 การสือ่ สาร
C5 ความร่วมมือ
C6 การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร
หมายเหตุ: รหสั ทกั ษะทป่ี รากฏนี ใชเ้ ฉพาะหนงั สือคมู่ ือครเู ล่มนี
6 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 | หน่วยที่ 4 วัฏจกั ร
แนวคิดคลาดเคล่ือน
แนวคดิ คลาดเคลื่อนทอี่ าจพบและแนวคิดท่ีถูกต้องในบทท่ี 1 วฏั จกั รนา้ มีดังต่อไปนี
แนวคดิ คลาดเคลอื่ น แนวคดิ ทถ่ี ูกต้อง
วัฏจกั รน้าเกยี่ วขอ้ งกบั การแข็งตวั และการหลอมเหลว วฏั จกั รน้าเกีย่ วขอ้ งกบั การระเหยของนา้ การควบแนน่ ของ
ของน้า (Brody, 1993) ไอน้า และหยาดน้าฟา้ (ฝน หิมะ ลูกเห็บ) (UCAR, 2011)
น้าระเหยจากทะเลสาบและมหาสมทุ รเทา่ นนั การระเหยของนา้ ผิวดนิ นอกจากจะมีการระเหยจากทะเลสาบ
(Henriques, 2000) และมหาสมุทรแลว้ น้ายังระเหยจากแหล่งน้าผวิ ดนิ อื่น ๆ เช่น
บงึ ลา้ ธาร แมน่ า้ และยังระเหยจากพชื และสัตว์ได้ (USGS,
เมฆมีสถานะเปน็ แก๊ส (Philips, 1991) 2021)
เมฆประกอบดว้ ยน้าทังทเี่ ปน็ สถานะของเหลวและของแขง็
เม่ือนา้ กลายเป็นไอหรอื เดือดจะหายไปตลอดกาล (Philips, (NARST, 2000)
1991) เมื่อน้ากลายเปน็ ไอ ไอน้าจะควบแน่นเปน็ ละอองนา้ ตกลงมา
กลายเปน็ ฝน และการหมุนเวยี นของนา้ ในธรรมชาติจะมีการ
หมุนเวียนเป็นวัฏจกั ร (NARST, 2000)
ถ้าครูพบว่ามีแนวคดิ คลาดเคลือ่ นใดทีย่ งั ไม่ได้แกไ้ ขจากการทา้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ครูควรจัดการเรียนรูเ้ พิ่มเติมเพ่ือแก้ไข
ตอ่ ไป
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7
คู่มอื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เลม่ 2 | หน่วยท่ี 4 วฏั จกั ร
บทนี้เรม่ิ ต้นอยา่ งไร (1 ชวั่ โมง)
1. ครูทบทวนความรู้พืนฐานของนกั เรียนเก่ียวกับวัฏจักร ซึ่งเคยเรียนผ่าน ใ น ก า ร ท บ ท ว น ค ว า มรู้
มาแล้วในชันประถมศึกษาปีท่ี 2 เร่ืองวัฏจักรชีวิตของพืชดอก และ พืนฐาน ครูควรให้เวลานักเรียน
ชันประถมศกึ ษาปีที่ 3 เร่ืองวัฏจกั รชีวิตของสัตว์ โดยใชค้ า้ ถามดงั นี คิดอย่างเหมาะสม รอคอยอย่าง
1.1 วัฏจักรคืออะไร และปรากฏการณ์ใดบ้างที่เป็นวัฏจักร (วัฏจักรคือ อดทน นักเรียนต้องตอบค้าถาม
ช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์หรือกิจกรรมชุดหน่ึงซ่ึงเกิดขึนและ เหล่านีได้ถูกต้อง หากตอบไม่ได้
ด้าเนินติดต่อกันไปเป็นแบบรูปคงที่และหมุนเวียนกลับไปที่ หรือลืม ครูต้องให้ความรู้ท่ี
จุดเร่ิมต้นนันอีกต่อเน่ืองไปไม่มีสินสุด เช่น วัฏจักรชีวิต ถกู ต้องทันที
ของพืชดอก วฏั จักรชวี ิตของสตั ว์)
ครูชักชวนนักเรียนศึกษาเรื่องวัฏจักร โดยให้อ่านช่ือหน่วย และอ่าน
คาถามสาคัญประจาหน่วยท่ี 4 คือ “วัฏจักรน้าและวัฏจักร
การปรากฏของกลุ่มดาวเป็นอย่างไร และส้าคัญกับมนุษย์อย่างไร”
ครูให้นักเรียนตอบค้าถาม โดยยังไม่ต้องเฉลยค้าตอบ แต่จะให้นักเรียน
ย้อนกลับมาตอบอีกครงั หลังเรียนจบหนว่ ยนีแล้ว
2. ครูให้นักเรียนอ่านชื่อบท และจุดประสงค์การเรียนรู้ประจาบท ใน
หนังสอื เรียนหน้า 1 จากนนั ครูใช้ค้าถามวา่
3.1 บทนีจะไดเ้ รยี นเร่ืองอะไร (วัฏจกั รนา้ )
3.2 จากจุดประสงค์การเรียนรู้เม่ือเรียนจบบทนีนักเรียนสามารถท้า
อะไรได้บ้าง (จะสามารถเปรียบเทียบปริมาณน้าในแต่ละแหล่ง
และระบุปริมาณน้าทม่ี นุษย์สามารถน้ามาใชป้ ระโยชน์ได้ น้าเสนอ
แนวทางการใช้น้าอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้า เปรียบเทียบ
กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง และน้าค้างแข็ง เปรียบเทียบ
กระบวนการเกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ รวมทังสร้างแบบจ้าลอง
การหมนุ เวียนของน้าในวฏั จักรน้า)
3. นักเรียนอ่านช่ือบทและแนวคดิ สาคัญ ในหนังสือเรียน หน้า 2 จากนัน
ครูใช้ค้าถามว่า จากการอ่านแนวคิดส้าคัญ นักเรียนคิดว่าจะได้เรียน
เก่ียวกับเรื่องอะไรบ้าง (จะได้เรียนเก่ียวกับปริมาณน้าจืด น้าเค็ม น้าที่
มนุษย์น้าไปใช้ประโยชน์ การใช้น้าอย่างประหยัด กระบวนการเกิดเมฆ
หมอก น้าค้าง นา้ ค้างแขง็ ฝน หมิ ะ และลกู เห็บ และการหมนุ เวียนของ
น้าเปน็ วฏั จกั ร)
ครูชักชวนให้นักเรียนสังเกตรูป และร่วมกันอภิปรายว่าเป็นรูป
อะไร เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร จากนันให้อ่านเนือเร่ืองในหนา้ 2 โดยครู
8 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 | หน่วยท่ี 4 วฏั จักร
ฝึกทักษะการอ่านตามวิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของ ถ้านักเรียนไม่สามารถตอบ
นักเรียน ครูใช้ค้าถามเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจจากการอ่าน โดยใช้ ค้าถามหรืออภิปรายได้ตามแนว
ค้าถามว่า น้าในน้าตกแห่งนี เป็นน้าท่ีไดโนเสาร์เคยด่ืมมาก่อนหรือไม่ ค้าตอบ ครูควรให้เวลานักเรียน
เพราะเหตุใด (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) คิดอย่างเหมาะสม รอคอยอย่าง
4. ครูชักชวนนักเรียนตอบค้าถามเก่ียวกับวัฏจักรน้าในสารวจความรู้ อดทน และรับฟังแนวความคิด
กอ่ นเรยี น ของนักเรียน
5. นักเรียนท้าสารวจความรู้ก่อนเรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม หน้า 2-3
โดยนักเรียนอ่านค้าถามแต่ละข้อ ครตู รวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน การเตรียมตวั ล่วงหน้าสาหรบั ครู
จนแน่ใจว่านกั เรียนสามารถท้าได้ดว้ ยตนเอง จึงให้นักเรียนตอบคา้ ถาม เพือ่ จดั การเรยี นรู้ในครง้ั ถดั ไป
โดยค้าตอบของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน และค้าตอบอาจถูกหรือ
ผิดกไ็ ด้
6. ครูสังเกตการตอบค้าถามของนักเรียนเพ่ือตรวจสอบว่านักเรียนมี
แนวคิดเกี่ยวกับวัฏจักรน้าอย่างไร โดยอาจสุ่มให้นักเรียน 2-3 คน
น้าเสนอค้าตอบของตนเอง ครูยังไม่ต้องเฉลยค้าตอบ แต่จะให้นักเรียน
ย้อนกลับมาตรวจสอบอีกครังหลังเรียนจบบทนีแลว้ ทังนีครูอาจบันทึก
แนวคดิ คลาดเคลื่อนหรือแนวคิดทีน่ ่าสนใจของนักเรยี น แล้วน้ามาใช้ใน
การออกแบบการจดั การเรียนการสอนเพื่อแก้ไขแนวคิดคลาดเคลื่อนให้
ถูกต้อง และต่อยอดแนวคิดทีน่ า่ สนใจของนกั เรยี น
ในครังถัดไป นักเรียนจะได้
เรียนเร่ืองท่ี 1 แหล่งน้า ครูน้ารูป
แหล่งนา้ ต่าง ๆ เชน่ มหาสมุทร ทะเล
บึง แม่น้า น้าในดิน น้าบาดาล
ธารนา้ แข็ง เพอื่ ใหน้ กั เรยี นสงั เกตและ
จัดกลุ่มแหล่งน้า ในการตรวจสอบ
ความรู้ของนกั เรยี น
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 9
คู่มอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.5 เล่ม 2 | หน่วยท่ี 4 วฏั จักร
แนวคาตอบในแบบบนั ทกึ กิจกรรม
การส้ารวจความรู้กอ่ นเรียน นกั เรยี นอาจตอบคา้ ถามถูกหรอื ผดิ ก็ได้ขึนอยู่กบั ความร้เู ดิมของนกั เรียน
แตเ่ ม่อื เรียนจบบทเรียนแลว้ ใหน้ ักเรียนกลบั มาตรวจสอบค้าตอบอกี ครังและแก้ไขให้ถูกต้อง ดังตัวอยา่ ง
มหาสมทุ รและทะเล ความชื้นในดนิ
ธารน้าแขง็ และพืดน้าแขง็ ความชนื้ ในบรรยากาศ
นา้ ใตด้ ิน บึง
แม่นา้
ชนั้ ดนิ เยือกแขง็ คงตัวและนา้ แข็งใต้ดนิ นา้ ในสงิ่ มีชวี ิต
ทะเลสาบ
ในการอาบน้า ควรปิดน้าขณะถูสบู่
ในการแปรงฟนั ควรปิดน้าในขณะแปรงฟนั
นานา้ ที่เหลือจากการซกั ผ้าไปรดนา้ ตน้ ไม้หรอื ล้างพน้ื
10 สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี