The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aomsin3692, 2021-11-08 11:07:07

บทที่ 1

บทที่ 1

บทท่ี 1

ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ

พระราชดารัสพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว
ในวโรกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา
วันท่ี 6 ธันวาคม 2521

“...ถ้าประเทศท้ังปวงจะยกย่องนับถือกันโดยบริสุทธ์ิใจและช่วยเหลือเก้ือกูลกันและกัน
โดยพร้อมพรักแล้วก็เชื่อได้ว่าจะเกิดความเข้าใจในกันและกันอย่างแท้จริง พร้อมทั้งความร่วมมือกัน
ฉันมิตรอยา่ งแนน่ แฟ้นขึน้ ได้ แลว้ ความสงบสุข อิสรภาพ เสถียรภาพอันเสมอหน้าและถาวร ก็จะเกิด
มีข้ึนทกุ แหง่ หนในโลก ดงั ท่ีทุกคนปรารภปรารถนา...”

2 มนุษยสัมพันธท์ างธรุ กิจ

การอยู่ร่วมกบั ผู้อน่ื ใหอ้ ยู่อยา่ งสนั ตสิ ุขได้ ต้องอาศยั การมีมนษุ ยสมั พันธ์ มนุษย์ไม่สามารถ
อยู่โดดเด่ียวลาพังได้ จาเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น มนุษย์เร่ิมเรียนรู้มนุษยสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเกิด
จนถึงปัจจุบันโดยผ่านการเรียนรู้จากสถาบันครอบครัวและสถาบันอื่น ๆ มาโดยตลอดทาให้เกิด
การเรียนรู้ในเร่ืองของมนุษยสัมพันธ์และนาการเรียนรู้ที่ได้มาปฏิบัติเป็นเสน่ห์ติดตัวเพ่ือใช้ในการ
ดารงชีวิตให้เกิดความสุข เพราะมนุษย์ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม จึงต้องนาหลักมนุษยสัมพันธ์
มาเป็นตัวเช่ือมในการทากิจกรรมร่วมกัน.เพื่อให้เกิดความรัก ความผูกพันและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ถือไดว้ ่ามนุษยสัมพนั ธเ์ ปน็ ส่งิ ที่สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดในสังคม

การดารงชีวิตของมนุษย์นั้น ต้องอาศัยมนุษยสัมพันธ์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการเข้าใจ
ท่ีตรงกันและเกิดสัมพันธภาพที่ดีในการอยู่ร่วมกัน บุคคลท่ีมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมักจะ
เป็นท่ีประทับใจของบุคคลในสังคม ทาให้สามารถชนะใจคนและครองใจคนได้จะคิดทาส่ิงใด
กป็ ระสบความสาเร็จไดโ้ ดยงา่ ย ปกตคิ นเราไม่สามารถอยตู่ ามลาพังได้จาเป็นต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น
โดยเฉพาะในการประกอบอาชีพการทางานร่วมกัน จึงจาเป็นต้องมีมนุษยสัมพันธ์เพ่ือทาให้
การทางานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ในทางธุรกิจก็เช่นเดียวกันก็ต้องสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ภายในองค์กรธุรกิจเพื่อบริหารจัดการองค์กรเป็นไปตามเป้าหมายขององค์กรที่ต้ังไว้
ตลอดจนเป็นการลดความขัดแย้งทางธุรกิจและเป็นการสร้างสัมพันธภาพท่ี ดีระหว่างธุรกิจด้วยกัน
อีกด้วย บุคคลท่ีประสบความสาเร็จในการประกอบธุรกิจ มักให้ความสาคัญกับมนุษยสัมพันธ์.โดยเร่ิมจาก
การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีภายในองค์กร ซ่ึงจะสามารถทาให้บุคลากรภายในองค์กรทางานร่วมกันได้อย่างมี
ความสุขทั้งต่อตนเอง และเพ่ือนร่วมงาน และยังต้องสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการประกอบธุรกิจ
เพ่อื ใหธ้ ุรกจิ สามารถดาเนินการไปไดด้ ้วยความเรียบร้อยและมั่นคง

ดังนั้นการศึกษาวิชามนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ จาเป็นต้องศึกษาประวัติความเป็นมา
ของมนุษยสัมพันธ์ ปรัชญา ความหมาย ลักษณะ จุดมุ่งหมาย ความสาคัญ ประโยชน์และแนวทาง
การศึกษามนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ เพ่ือใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
และสามารถนาความรู้ท่ีได้มาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวันและการประกอบธุรกิจให้ประสบ
ความสาเร็จและมีความสขุ

ความหมายของมนุษยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

1. ความหมายของมนุษยสัมพนั ธ์
มนุษยสัมพันธ์มีความสาคัญในการดาเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคมให้อยู่ด้วยกันได้อย่าง
มีความสขุ ซง่ึ มผี รู้ ู้ นักวชิ าการหลายท่านได้ให้ความหมายของคาวา่ “มนษุ ยสัมพนั ธ์” ไวด้ งั น้ี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546:833) ได้ให้ความหมายของ
มนษุ ยสัมพนั ธไ์ ว้ว่า มนุษยสัมพันธ์ หมายถงึ ความสัมพันธ์ในทางสงั คมระหวา่ งมนุษย์ ซึ่งจะก่อให้เกิด
ความเขา้ ใจอันดตี ่อกนั

ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 3

สมพร สุทัศนีย์ (2554:3) กล่าวว่า มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การติดต่อเก่ียวข้องกัน
ระหว่างบุคคล เพื่อให้เกิดความรักใคร่ชอบพอความร่วมมือร่วมใจในการทากิจกรรมให้บรรลุ
เปา้ หมายและการดาเนนิ ชีวิตใหม้ ีความราบรื่น

ในขณะที่ รัตติกรณ์ จงวิศาล (2554:13) ได้ให้ทัศนะเก่ียวกับ มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง
การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การ และศึกษาปฎิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
กลุ่มและองค์การ เพ่ือให้ทั้งบุคคล กลุ่มและองค์การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน รวมถึงการศึกษา
ความสัมพันธ์แบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ท้ังความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นภายในองค์การ
และในทุกๆ สถานที่ที่มีคนอาศัยอยู่

นอกจากน้ี พูลสุข สังข์รุ่ง (2550:1) กล่าวว่า มนุษยสัมพันธ์ เน้นเรื่องการที่คนสามารถ
เข้ากนั ได้ดี ทาใหส้ ามารถทางานรว่ มกันได้อย่างมีความสุข ราบรื่นไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ร่วมมือกัน
ทางานอย่างดีเพื่อใหบ้ รรลเุ ป้าหมายท้งั ของตนเองและองค์การ

จากความหมายข้างต้นและจากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีของนักวิชาการ ผู้เขียนขอสรุป
คาว่ามนุษยสัมพันธ์ได้ว่า มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ของมนุษย์ในการสร้าง
ความสัมพันธ์ท่ีดี ท่ีเหมาะสมที่จะทาให้มนุษย์เกิดความพอใจและเข้าใจกันในการใช้ชีวิตร่วมกัน
ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข

2. ความหมายของธรุ กจิ
คาว่า “ธุรกิจ” ได้มผี ใู้ ห้ทัศนะเก่ียวกับธุรกิจไว้หลายความหมาย ไว้ดังนี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ..2542.(2546:557).ได้ให้ความหมายไว้ว่า

ธรุ กจิ หมายถงึ การงานประจาเกีย่ วกับอาชพี ค้าขาย หรือกจิ การอยา่ งอน่ื ทสี่ าคญั และทีไ่ ม่ใชร่ าชการ
ดารงศักดิ์ ชัยสนิท และ สุนี เลิศแสวงกิจ.(2552:13).กล่าวว่า ธุรกิจ หมายถึง

บุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มบุคคล หรือนิติบุคคลที่ทางานหรือร่วมมือกันทางานในการผลิต
การจาหน่าย การแลกเปล่ียนสินค้าหรือบริการต่างๆ ด้วยการสร้างสรรค์เพื่อตนเองและสังคม
โดยมงุ่ หวงั กาไรตอบแทน

สมคิด บางโม.(2553:1).ได้ให้ความหมายของคาว่า ธุรกิจ หมายถึง กิจกรรม
ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเน่ืองของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตการแลกเปลี่ยนซ้ือขายและการบริการ
โดยมจี ดุ มุ่งหมายเพือ่ แสวงหากาไรจากประกอบธุรกิจนั้น

ในขณะที่ Louis.E..Boone.และ David.L..Kurtz.(2011:5) ได้ให้คานิยามของ ธุรกิจ
คือ ทุกกิจกรรมท่ีแสวงหากาไรของสถานประกอบการในการผลิตสินค้าและบริการที่จาเป็น
สรู่ ะบบเศรษฐกจิ

นอกจากนี้ John.F..Steiner.และ George.A..Steiner.(2012:5).ได้ให้ทัศนะเก่ียวกับ
ธรุ กิจ คอื กิจกรรมทสี่ รา้ งผลกาไรจากสนิ คา้ และบรกิ ารเพอื่ สรา้ งความพงึ พอใจใหก้ ับผูบ้ ริโภค

4 มนษุ ยสัมพันธท์ างธุรกจิ

เมอ่ื พจิ ารณาจากความหมายของ ธุรกิจ ดังกล่าวข้างต้น จากแนวคิดทฤษฎีของนักวิชาการ
และการจากศึกษาของผู้เขียนสามารถสรุปได้ว่า ธุรกิจ หมายถึง กระบวนการบริหารจัดการโดยอาศัย
ทรัพยากรที่มีอยู่ผ่านกระบวนการผลิตให้เกิดเป็นสินค้าและบริการท่ีมีคุณภาพ เพ่ือตอบสนองความ
ต้องการและความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยอาศัยกระบวนการทางการตลาดในการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์และส่งมอบสินค้าและบริการ เพ่ือให้ถึงมือผู้บริโภค (Right.Man).ในสภาพใช้งานได้
(Right Product) ถึงสถานท่ีท่ีกาหนด (Right Place) ในเวลาที่กาหนด (Right Time) และคุณภาพ
ตรงต่อความต้องการของลูกค้า (Right.Quality) และหน่วยธุรกิจมีความพร้อมเผชิญกับความเสี่ยง
ในการขาดทุนหรือการไดก้ าไร

3. ความหมายของมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ
จากความหมายของมนษุ ยสัมพันธ์และความหมายของธุรกิจ ผู้เขียนขอให้นิยามได้ว่า

มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ของมนุษย์ในการประกอบธุรกิจเพ่ือสร้าง
ความสัมพันธ์ที่ดี ท่ีเหมาะสมภายในองค์กรและนอกองค์กร ที่จะทาให้มนุษย์เกิดความพอใจและ
เข้าใจกันในการใช้ชีวิตร่วมกันในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีความสุขและสมารถบรรลุวัตถุประสงค์
ขององคก์ รคอื กาไรดว้ ยหลกั มนุษยสัมพันธ์

จุดมงุ่ หมายของมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ

ธุรกิจทุกธุรกิจย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการทากาไรให้ได้มากที่สุด ซ่ึงองค์กรธุรกิจ
จาเปน็ ต้องอาศยั หลาย ๆ ปัจจัยในการทาให้ได้มาซ่ึงกาไรมากท่ีสุด หน่ึงในปัจจัยที่จะนาความสาเร็จ
มาให้กับองค์กรธุรกิจก็คือ การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในการประกอบธุรกิจ ผู้เขียนขอเสนอ
จุดมุ่งหมายของมนุษยสัมพันธ์ในการประกอบธุรกิจ ซ่ึงผู้ประกอบธุรกิจควรยึดจุดมุ่งหมายในการทา
ธุรกิจและมจี ดุ ม่งุ หมายของการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธไ์ ปดว้ ยกนั ดังนี้

1. เพื่อให้เข้าใจตนเอง ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทัน
ตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์ รู้ว่าเม่ือไหร่
ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเองตามความ
เปน็ จริง รถู้ ึงจุดอ่อนหรือขอ้ บกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็งหรือความสามารถ
ในเร่อื งใด

2. เพื่อให้เข้าใจผู้อื่น บุคคลส่วนใหญ่ชอบให้ผู้อื่นมาเข้าใจตนเอง ดังน้ัน ผู้ประกอบ
ธุรกิจจึงควรให้ความเข้าใจเพ่ือนร่วมงานโดยการทักทายปราศรัย ถามในสิ่งดี ๆ ของเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งจะช่วยให้เพ่ือนร่วมงานรู้สึกพอใจและเป็นสุข ในทางธุรกิจก็เช่นเดียวกันจะต้องเข้าใจถึง
ความต้องการของลกู ค้าเพื่อจะได้ตอบสนองตามความต้องการของลกู คา้

3. เพ่ือใหส้ ามารถยอมรับตนเองและปรับปรุงแก้ไขตนเอง การยอมรับได้แม้ว่าตนจะมี
จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องอย่างไร สามารถปรับปรุงและแก้ไขตนเองไม่ผูกขาดอยู่กับความคิดของ

ความรู้เบ้ืองตน้ เกย่ี วกบั มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ 5

ตนเองข้างเดียว ผู้ท่ีผูกขาดความคิดเห็นของตนมักเป็นคนท่ีชอบเอาชนะเมื่อแสดงความคิดเห็น เช่น
หากมีการติดต่อธุรกิจกับบริษัทอ่ืนก็จะต้องยอมรับความคิดเห็นของผู้ร่วมธุรกิจด้วย ไม่ควรถือเอา
ความเห็นของตนว่าสาคัญกว่าความเห็นของผู้อ่ืน โต้แย้งความเห็นของผู้อ่ืน เป็นต้น การแสดงต่อ
ผอู้ นื่ โดยวิธนี ม้ี กั ทาให้ขาดเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม หัวหน้างานก็มักไม่อยากมอบหมายงาน
ใหท้ างานสาคัญ เพราะมลี กั ษณะ.“เขา้ ทไ่ี หนวงแตกท่ีน่ัน”.จงึ ควรพยายามรับฟังและยอมรับฟังความ
คดิ เห็นของผอู้ ่ืนให้มากขน้ึ

4. เพ่ือให้สามารถยอมรับผู้อ่ืนและปรับตัวเข้ากับผู้อ่ืน การทางานร่วมกับผู้อื่นให้
ประสบผลสาเรจ็ ได้นัน้ .ควรเร่มิ ต้นจากการมองตัวเองและปรับเปล่ียนพฤติกรรมของตัวเองให้เป็นคน
ทมี่ องโลกในแง่ดี การย้ิมแยม้ แจ่มใสอย่เู สมอยอ่ มจะทาให้มเี สน่หแ์ ละจะทาให้ผู้อ่ืนอย่างเดินเข้ามาหา
มากยงิ่ ขึน้

5. เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจอนั ดีระหว่างเพ่อื นมนุษย์ ความสามารถในการทางานร่วมกับ
ผู้อ่ืนจึงเป็นสิ่งสาคัญและควรฝึกฝนให้มีข้ึน ขอให้คิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างมากมาย
หากสามารถเข้ากับผู้อื่นได้ดีและเม่ือตนเองได้รับการยอมรับและความร่วมมือจากบุคคลต่าง ๆ
แล้วก็ย่อมจะส่งผลให้ตนเองมีความสุขและสนุกกับงานที่ทาอยู่และในที่สุดก็จะส่งผลต่อเน่ืองไปยัง
ความสาเรจ็ ในหน้าท่กี ารงานของตวั เอง

6. เพื่อให้เกิดความรักใคร่ ศรัทธา เชื่อถือและไว้วางใจผู้อ่ืน การทางานร่วมกัน
ในองค์กรธุรกิจจะต้องสร้างความศรัทธาให้เกิดข้ึนในองค์กร สร้างความน่าเช่ือถือให้กับ
บุคคลภายนอก และให้ความไว้วางใจแก่บุคคลในองค์กรโดยการมอบหมายให้ทาหน้าที่อย่างเต็มที่
มีอิสระในการทางาน กระตือรือร้นในการทางาน ซ่ึงจะทาให้ผลงานที่ได้ได้รับมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลมากยงิ่ ขนึ้

7. เพ่ือให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ สามัคคี ในการทางานให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการ
ทางานและอยู่รว่ มกันในองค์กร หรือการทางานร่วมกันระหว่างธุรกิจ จะต้องมีเป้าหมายไปในทิศทาง
เดียวกัน เพื่อให้การทางานบรรลุตามจุดประสงค์ท่ีร่วมกันตั้งไว้และร่วมแรงร่วมใจกันช่วยผลักดัน
องคก์ รหรือธรุ กจิ ใหป้ ระสบความสาเรจ็ ไปดว้ ยกัน

8. เพ่ือลดปัญหาความขัดแย้ง ในการอยู่ร่วมกันและการทางานด้วยกันในบางครั้ง
ย่อมเกิดความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงาน หรือระหว่างคู่แข่งทางธุรกิจแต่หากบุคคลที่ทางานนั้น
มี ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ ท่ี ดี ก็ จ ะ ท า ใ ห้ ค ว า ม ขั ด แ ย้ ง ใ น ก า ร อ ยู่ ร่ ว ม กั น ห รื อ ก า ร ท า ง า น ร่ ว ม กั น ห ม ด ไ ป
เช่น การสร้างรอยยิ้มในการทางาน จะส่งผลให้ทางานอย่างมีความสุข และทาให้พร้อมที่จะรับมือ
กบั ปัญหาตา่ ง ๆ ที่จะเกิดขึน้ จากการทางาน

9. เพ่ือให้ตนเองมีความสุข ผู้อื่นมีความสุข และสังคมมีความสงบสุข ในการทางาน
ใ ด . ๆ . ก็ ต า ม ทั ศ น ค ติ เ ป็ น ส่ิ ง ส า คั ญ ซึ่ ง ทั ศ น ค ติ ย่ อ ม มี ส่ ว น สั ม พั น ธ์ โ ด ย ต ร ง ต่ อ ก า ร แ ส ด ง อ อ ก
ทางพฤติกรรมและหากมีทัศนคติหรือความคิดในเชิงลบ ย่อมมีพฤติกรรมท่ีไม่อยากให้ความร่วมมือ

6 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

กับคนอื่น ดังน้ันจะต้องมีทัศนคติที่ดีหรือความคิดในเชิงบวกในการทางานก็จะทาให้การทางาน
ร่วมกนั เปน็ ไปอยา่ งราบร่นื และมีความสุข

จากจดุ มงุ่ หมายของมนษุ ยสัมพันธท์ างธุรกิจพบว่า ในการสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ในทางธุรกิจ
นั้นมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้บุคคลเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อ่ืน ยอมรับซ่ึงกันและกันในการประกอบธุรกิจ
ย่อมส่งผลให้เกิดความรักความศรัทธา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งท่ีจะเกิดขึ้น
ภายในองคก์ ร นามาซงึ่ ความสขุ ท้งั ต่อตนเอง เพื่อนรว่ มงานและองค์กรธรุ กจิ อีกดว้ ย

ความสาคญั ของมนษุ ยสมั พันธก์ บั ธรุ กจิ

มนษุ ยสัมพันธ์มคี วามสาคญั ตอ่ บคุ คล ตอ่ ธุรกจิ และตอ่ สังคมโดยตรง มนุษยสัมพันธ์ทาให้
มนุษย์ไดร้ จู้ กั ความรัก ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจกัน เคารพ ศรัทธาการยอมรับและการร่วมมือ
ร่วมใจ โดยมีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับธุรกิจ ธุรกิจกับธุรกิจและธุรกิจ
กบั สังคม ซึ่งการสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ในการประกอบธรุ กจิ สามารถทาให้คนที่มาอยู่รวมกันได้นั้นต้องมี
ความเข้าใจซ่ึงกันและกันมีความไว้วางใจกัน มีความปรารถนาจะร่วมมือร่วมใจกัน รู้จักแบ่งหน้าท่ี
กันทา มีการกาหนดบทบาทหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้องค์กรและ
สังคมนน้ั ๆ กจ็ ะเปน็ ระเบยี บ มีความสขุ ดังน้นั มนุษยสัมพันธ์จึงมีความสาคัญในการดาเนินธุรกิจและ
ในการดาเนินชวี ิตของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ สามารถแยกกลุม่ ได้ 5 กลุม่ ดงั น้ี

1. ความสาคัญของมนษุ ยสัมพนั ธ์ทม่ี ีต่อการดาเนนิ ชวี ติ ในครอบครวั
ในการทาธุรกิจ หากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ก็ต้องให้ความเอาใจใส่ในการควบคุมดูแล

ให้ธุรกิจสามารถดาเนินไปให้ประสบความสาเร็จ ในบางคร้ังผู้นาครอบครัวอาจทาให้เวลาในการอยู่
กับครอบครัวลดน้อยลง ซ่ึงสิ่งท่ีสาคัญมากคือต้องอาศัยการสร้างมนุษยสัมพันธ์ภายในครอบครัว
สร้างความเข้าใจของคนในครอบครัว หากคนในครอบครัวมีความเข้าใจกันก็จะสามารถทาธุรกิจ
ควบคู่ไปกับการดาเนินชีวิตในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ซ่ึงมนุษยสัมพันธ์มีความสาคัญต่อการดาเนิน
ชีวติ ในครอบครวั ของคนทางธรุ กิจ ดังนี้

1.1 บคุ คลในครอบครวั มคี วามเขา้ ใจกัน ในสภาพครอบครัวของไทยในอดีตมีความ
เข้าใจอันดีในครอบครัวดีกว่าปัจจุบันมาก เนื่องจากครอบครัวในอดีตพ่อแม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว
คอยอบรมสั่งสอนลูกอย่างใกล้ชิด ทากิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เช่น รับประทานอาหารร่วมกัน
ประกอบอาชพี รว่ มกนั เชน่ ทานา ทาไร่ กอ่ ใหเ้ กิดความรักความผูกพัน ลูกเกิดความรักและศรัทธาพ่อแม่
พ่อแม่เกิดความรักความผูกพันกับลูก ผลของการมีมนุษยสัมพันธ์ในครอบครัวทาให้ลูกแสดงพฤติกรรม
ทีเ่ หมาะสม โดยการเชื่อฟังคาส่ังสอน ตั้งใจเรียน พ่อแม่เกิดความภาคภูมิใจในตัวลูกและเข้าใจลูกมากขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันหัวหน้าครอบครัวส่วนใหญ่ก็จะออกไปทางานนอกบ้านไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
เหมือนสมัยก่อน ดังนั้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ภายในครอบครัวจึงเป็นส่ิงที่สาคัญมากสาหรับ

ความรูเ้ บ้อื งต้นเกยี่ วกับมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 7

การดาเนินชีวิตครอบครัวของคนที่ทางานธุรกิจ คนทาธุรกิจควรให้ความสนใจและใส่ใจเพื่อให้ชีวิต
ครอบครวั และการดาเนินธรุ กิจประสบผลสาเรจ็ ไปพร้อม ๆ กันไดอ้ ยา่ งดี

1.2 บุคคลในครอบครัวมีความสุข จากการท่ีคนในครอบครัวได้ออกไปทางานเพื่อหา
รายได้มาจุนเจือภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว สามารถตอบสนองความต้องการของคนในครอบครัวได้
ซึ่งจะทาให้การดาเนินชีวิตทุกคนในครอบครัวน้ันมีความสุข เช่น พ่อทางานได้เงินเดือนทุกเดือนพอส้ินปี
ได้โบนัสจากการทางาน จึงพาคนในครอบครัวไปเท่ียวพักผ่อนทาให้คนในครอบครัวมีความสุขกันทุกคน
เป็นการสร้างความสมั พันธ์ระหว่างคนในครอบครัวได้ดว้ ย

1.3 บุคคลในครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดี มนุษยสัมพันธ์ในครอบครัวช่วยให้บุคคล
ในครอบครัวมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ เม่ือมีการทางานทาให้ในครอบครัวเกิดรายได้ส่งผล
ให้คุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวดีขึ้น เช่น พ่อแม่ทางานมีรายได้สามารถส่งลูกเรียนหนังสือ
ในระดับปริญญาตรีได้ ซึ่งทาให้คุณภาพชีวิตของลูกดีข้ึนและสร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว
และทาให้พ่อแม่มีความสุขกับความสาเร็จของลูก เม่ือสุขภาพจิตดีแล้วก็จะสามารถทาให้สุขภาพ
ร่างกายดีข้ึนไปด้วย ดังนั้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในครอบครัวสามารถทาให้คุณภาพชีวิตของคน
ในครอบครัวดีข้นึ ได้และสรา้ งความสขุ ในครอบครวั ได้

1.4 ครอบครัวมีความเข้มแข็ง จากที่ได้กล่าวมาท้ัง 3 ข้อแล้วจะเห็นได้ว่าหากคน
ในครอบครัวมีความเข้าในซึ่งกันและกันก็จะสามารถทาให้การดาเนินชีวิตในครอบครัวมีความสุข
ทาให้คุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวดีขึ้นและทาให้คนในครอบครัวมีความสุขทั้งทางกายและจิตใจ
ซ่ึงทาให้ครอบครัวมีความเข้มแข็งเป็นครอบครัวท่ีมีความสุขกับการดาเนินชีวิตเป็นอย่างมาก
ดังนัน้ มนษุ ยสมั พนั ธใ์ นครอบครัวจงึ เป็นส่ิงสาคัญท่ีสุดที่คนในครอบครวั พึงปฏบิ ัติต่อกัน

2. ความสาคญั ของมนษุ ยสมั พันธ์ทมี่ ตี อ่ การดาเนนิ ชวี ติ ในสงั คม
มนุษยถ์ ือว่าเปน็ สัตว์สงั คมกลมุ่ หน่ึง ท่ไี ม่สามารถดารงชวี ิตอยไู่ ด้โดยลาพัง ไม่ว่าสังคม

น้ันจะเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนข้ึนอยู่กับการร่วมตัวของมนุษย์เอง ไม่มีใครสามารถแยกตัวอยู่คนเดียวได้
อยา่ งสนั โดษ เพราะโดยอุปนสิ ัยของคนสว่ นใหญ่แล้วย่อมต้องการการยอมรับยกย่อง การได้รับความ
สนใจ ได้รับความรัก ความปลอดภัย การได้รับความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการดาเนินธุรกิจ
ก็เช่นเดียวกันจะต้องอาศัยการติดต่อกับบุคคลอ่ืนหรือธุรกิจอ่ืนในสังคม ท้ังน้ีด้วยปัจจัยต่าง ๆ
ที่ต้องการพึ่งพาจึงก่อให้เกิดหนทางในการดาเนินชีวิต ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้จากความคิดที่แตกต่าง
ของกันและกัน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคม รวมไปถึงสร้างชีวิตท่ีดีให้กับตนเองและคน
รอบข้าง สรรค์สร้างส่ิงใหม่ให้เกิดข้ึน เกิดจิตสานึกท่ีดี รักและสามัคคีกัน เคารพซ่ึงกันและกัน และมี
เป้าหมายร่วมกัน มนุษยสัมพันธ์จึงเป็นปัจจัยสาคัญในการดาเนินชีวิตของคนในสังคม ซ่ึงมีปัจจัยที่
สาคัญในการดาเนินชวี ิตในสังคม ดังนี้

2.1 มนุษย์กลัวความว้าเหว่ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องการพบปะติดต่อส่ือสารกัน
ไม่สามารถดาเนินชีวิตอยู่โดยลาพังได้ มนุษย์จึงต้องเข้าหากลุ่มเพื่อให้ตนเองไม่ต้องอยู่คนเดียว
มนุษย์จึงต้องสร้างความสัมพันธ์กัน เพื่อทาให้ตนเองรู้สึกว่าไม่ได้อยู่บนโลกน้ีโดยลาพัง รู้สึกสดใส

8 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

และไม่ซึมเศร้า นอกจากนี้การทาธุรกิจเองก็ไม่สามารถทาโดยลาพังได้ ต้องอาศัยบุคลากร
ที่เกี่ยวข้องมากมาย จึงทาให้หลีกเลี่ยงการอยู่โดยลาพังไม่ได้ จึงจาเป็นต้องพบปะและสื่อสารกันทา
ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจในเร่ืองการเจรจาต่อรอง เกิดการเข้าใจที่ตรงกันในการทาธุรกิจร่วมกัน
ส่งผลให้การประกอบธุรกจิ เป็นไปอยา่ งราบร่นื

2.2 มนุษย์ต้องการความรัก มนุษย์ทุกคนต้องการความรักความเอาใจใส่จากคน
รอบข้าง หากเป็นการทางานก็ต้องการความรักความเอาใจใส่จากหัวหน้างาน ในการร่วมธุรกิจ
กต็ อ้ งการความเอาใจใสผ่ รู้ ่วมธรุ กิจ เชน่ พนักงานในบริษทั ตอ้ งการให้หัวหน้างานเอาใจใส่การทางาน
ของพนักงาน มิใช่ปล่อยปะละเลยไม่ติดตามการทางานของพนักงาน เป็นต้น ซ่ึงการได้รับความรัก
ถือว่าเป็นพลังอย่างหนึ่งท่ีทาให้การใช้ชีวิตหรือการทางานของมนุษย์ดีขึ้น เม่ือมีแรงพลัง มีกาลังใจ
ที่จะทางานแล้ว ย่อมส่งผลทาให้ธุรกิจหรืองานท่ีตนทามีประสิทธิภาพตามไปด้วยซึ่งเป็นผลมาจาก
การท่มี นุษย์มกี ารสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ต่อกัน

2.3 มนุษย์ต้องการความปลอดภัย เป็นอีกปัจจัยที่มนุษย์อยากได้รับ การท่ีมนุษย์
มีความปลอดภัยในร่างกายและทรัพย์สิน ทาให้ตนเองรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ถ้ามนุษย์ต้องอยู่คน
เดียวจะรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภยั เท่าทค่ี วรจึงไดร้ วมกลุม่ กันสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลหรือกลุ่มที่จะ
ช่วยให้ปลอดภัยได้ เพราะการอยู่ร่วมกันช่วยทาให้เกิดการช่วยเหลือปกป้อง คุ้มครองซึ่งกันและกัน
ธรุ กจิ กเ็ ชน่ กนั หากตั้งอยู่โดดเดี่ยว โดยไม่มีเครือข่ายหรือไม่พ่ึงพาอาศัยใคร ย่อมหาทางท่ีจะก้าวหน้า
ได้ลาบาก

2.4 มนุษย์ต้องการความช่วยเหลือ ในบางอย่างมนุษย์ไม่สามารถทาตามลาพัง
เพียงคนเดียวได้จึงต้องอาศัยผู้อ่ืน โดยการขอความช่วยเหลือ เช่น การยกของหนัก ๆ การเกิดอุบัติเหตุ
การย้ายบ้าน การลงแขกเกี่ยวข้าวในอดีต เป็นต้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงทาให้มนุษย์เกิดการ
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่งผลทาให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน มีน้าใจ
รักและสามัคคีกัน ในส่วนของธุรกิจก็เช่นกัน หากมีการช่วยเหลือเก้ือกูลกัน ย่อมทาให้คนในองค์กร
เกดิ ความรัก ความสามัคคีกนั ย่อมส่งผลดีแตก่ ารดาเนินธุรกจิ อย่างแนน่ อน

2.5 มนุษย์ต้องการการยกย่อง มนุษย์ต้องการการยอมรับและยกย่องจากสังคม
และบุคคลรอบข้างในด้านความรู้ ความสามารถของตนเอง การท่ีมนุษย์ได้ทาบางส่ิงบางอย่าง
และก่อใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อส่วนรวม ยอ่ มต้องการได้รบั การยกยอ่ งสรรเสริญจากบุคคลในกลุ่ม ส่งผลทาให้
เกิดพลังที่จะทางานเพื่อส่วนร่วมและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากว่าส่วนตน เม่ือได้รับการยกย่อง
จากคนในองค์กรแล้ว ก็มีความปรารถนาท่ีจะทางานเพ่ือองค์กร ส่งผลทาให้องค์กรหรือธุรกิจท่ีตน
ทางานอยู่ได้รับความก้าวหน้าตามไปด้วย ซ่ึงเป็นผลมาจากการที่คนในสังคมสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี
ในการให้การยกย่องสมาชกิ ในสังคมทีต่ นเองอยู่

2.6 มนุษย์ต้องการการยอมรับ มนุษย์ต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม การที่บุคคลจะอยู่ในองค์กร
ได้อย่างมีความสุขได้น้ัน บุคคลในองค์กรต้องยอมรับสมาชิกใหม่ท่ีเข้ามาในองค์กรด้วยความจริงใจ
และสมาชิกใหม่ควรพยายามศึกษากฎระเบียบและแนวปฏิบัติขององค์กรเพ่ือปรับตัวเข้าหากลุ่ม ทา

ความรู้เบือ้ งต้นเกี่ยวกบั มนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจ 9

ใหอ้ งค์กรยอมรับและสามารถอย่รู ว่ มกับองค์กรได้ ความพยายามดังกล่าว คือการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ที่ดกี ับองคก์ ร เพอ่ื ได้รับการยอมรบั ให้เป็นสมาชิกขององค์กรโดยสมบูรณ์ เม่ือได้รับการยอมรับแล้วก็
จะสามารถทาอะไรได้อย่างมีความสุข ง่ายข้ึน สะดวกขึ้น รวดเร็วข้ึน ทาให้การทางานหรือการทา
ธรุ กิจมีความราบรน่ื ด้วยความเข้าใจที่ตรงกนั ทาให้งานนนั้ ออกมาอย่างมีคุณภาพ

2.7 มนุษย์เข้าใจตนเอง มนุษย์จะเข้าไปรวมกลุ่มกับผู้อื่นได้น้ัน มนุษย์ต้องศึกษา
และทาความเขา้ ใจตนเองก่อนว่าต้องการอะไร เช่น มนุษย์ต้องการอยู่ในองค์กรจึงต้องปรับตัวเข้าหา
องค์กร การจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในองค์กรได้ ต้องเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่นและสามารถยอมรับผู้อื่น
ได้ด้วย จึงจะทาให้อยู่ในองค์กรได้อย่างมีความสุข ในชีวิตของการทางาน ต้องทาความเข้าใจกับ
ตนเองว่าเราอยากท่ีจะทาอะไร ทาแล้วเรามีความสุขไหม ทาแล้วได้อะไร เพ่ือใคร เมื่อเข้าใจตนเอง
แลว้ ต้องคิดตอ่ วา่ ทาแล้วคนอน่ื จะรู้สกึ อย่างไร จะทาให้คนอ่ืนเดือดร้อนหรือไม่และมีผลกระทบอะไร
ตามมาดว้ ย จึงจะเรยี กวา่ ตนเองมคี วามเข้าใจตนเองอยา่ งแท้จรงิ

2.8 มนุษย์เกิดการร่วมแรงร่วมใจ มนุษยสัมพันธ์จะช่วยให้บุคคลในสังคมเกิดการ
ร่วมแรงร่วมใจกันได้ โดยการสร้างกิจกรรมร่วมกัน เช่น การทางาน การรับประทานอาหาร
การช่วยเหลือเพ่ือนไฟไหม้บ้าน และการแข่งขันกีฬา เป็นต้น ซ่ึงกิจกรรมดังกล่าวมีผลต่อการเสริมสร้าง
ความสามัคคีของบุคคลในสังคมให้ดีขึ้น เม่ือเกิดความสามัคคีแล้ว ย่อมทาให้การทางานเป็นทีม
การรว่ มมือรว่ มใจ สง่ ผลทาให้การทางานมีประสทิ ธิภาพมากข้ึน

2.9 มนุษย์เกิดความสามัคคี ในทุกกิจกรรมที่มนุษย์ทาร่วมกันก่อให้เกิด
ความสัมพันธ์ท่ีดีในเบ้ืองต้นแล้วยังทาให้มนุษย์ในสังคมและในองค์กรเกิดความสามัคคี สังคมและ
องค์กรมีความเข้มแข็ง ในทุก ๆ ด้าน และสามารถนาพาสังคมและองค์กรไปสู่จุดมุ่งหมายด้วยความ
ผาสุก ทาให้เกิดความก้าวหน้า เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง ปัญหาก็จะไม่เกิดสังคมและองค์กร
กส็ ามารถก้าวหน้าได้เรว็ ขนึ้

2.10 มนุษย์เกิดการผ่อนปรน หรือมีความยืดหยุ่น การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันต้องมี
กฎระเบียบในการควบคุมกลุ่มให้เกิดความเรียบร้อย กฎระเบียบที่ตั้งมานานอาจไม่เหมาะสมกับ
สภาพปัจจุบันก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับบุคคลในกลุ่มที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ เพ่ือให้เกิดความสุข
ในการอยู่ร่วมกันจึงควรมีการผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นในกฎระเบียบให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
โดยไม่สง่ ผลเสียต่อบุคคลสว่ นรวม การปฏิบัติเช่นน้ีถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีท่ีจะทาให้คน
สังคมและองคก์ รอยู่ด้วยกนั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข

2.11 มนษุ ย์ตอ้ งการประสบความสาเรจ็ ในการทากิจกรรมของมนุษย์ย่อมต้องการ
ความสาเรจ็ ในกจิ กรรมทีท่ า ในการทากิจกรรมให้สาเรจ็ ได้ตอ้ งอาศัยกลุ่มหรือเพ่ือนร่วมกลุ่มที่มีความ
ร่วมแรงร่วมใจ เข้าใจ สามัคคี จึงจะทาให้กิจกรรมสาเร็จลงได้ด้วย ก่อให้เกิดผลลัพธ์ท่ีดีต่อตนเอง
สงั คมและองค์กรท่ีตนเองไปอยดู่ ว้ ย

การที่มนุษย์จะสามารถดาเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขน้ัน ย่อมต้องอาศัยสภาวะ
ทางสังคมท่ีดี การได้รับความรักความเอาใส่ใจ การยกย่อง ร่วมไปถึงความเข้าใจท่ีดีย่อมทาให้

10 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ

สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ดีและมีความสุขตามไปด้วย ดังนั้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อคน
ในชุมชนเป็นสง่ิ สาคัญของการดาเนนิ ชีวติ ของมนุษย์ใหม้ คี วามสขุ ได้

3. ความสาคัญของมนษุ ยสมั พันธ์ทม่ี ตี อ่ การทางาน
มนุษยส์ มั พันธ์ทาให้เกิดความสามัคคีธรรมข้ึนในกลุ่มสังคมในหมู่คณะ มนุษย์สัมพันธ์

ทาให้การบริหารงานต่าง ๆ สามารถก่อให้เกิดการรวมพลัง ความร่วมแรงร่วมใจ เกิดความรักใคร่
สมัครสมานสามัคคีในการปฏิบัติงาน มนุษย์สัมพันธ์ทาให้สังคมเกิดความปกติสุข มนุษย์สัมพันธ์
สามารถสรา้ งความเขา้ ใจอันดีซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างสรรค์สังคม มนุษย์สัมพันธ์ทาให้งานต่าง ๆ
ประสบความสาเรจ็ เพราะเราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราทางาน หลายอย่าง คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความ
ร่วมมือซ่ึงกันและกัน งานจึงจะประสบความสาเร็จ มนุษย์สัมพันธ์ทาให้คนแตกต่างจากสัตว์อ่ืน
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในดา้ นจิตใจและมคี วามสาคัญต่อการดาเนินชีวิตในองค์กร ดงั น้ี

3.1 ทาให้รักในงาน มนุษย์เมื่อมาทางานในองค์การย่อมต้องการส่ิงตอบแทนมาใช้
ในการดารงชีวิต องค์กรจึงควรเข้าใจในความต้องการของมนุษย์ในเร่ืองนี้ โดยจัดหาสิ่งตอบแทน
เพื่อให้มนุษย์สามารถดารงชีพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการ
ดังกล่าวได้ ย่อมทาให้มนุษย์เกิดความรักองค์กรรักงานและตั้งใจทุ่มเทในการทางาน ส่งผลให้องค์กรมี
ความเจริญร่งุ เรืองสามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ท่ตี งั้ ไว้โดยง่าย

3.2 ทาให้ผลผลิตเพิ่ม การที่องค์กรได้นาหลักมนุษยสัมพันธ์มาใช้ในการทางาน
ทาให้บุคลากรรู้สึกว่าตนมีความสาคัญต่อองค์กรในการมีส่วนร่วมทาให้องค์กรเจริญเติบโต บุคลากร
จึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับองค์กรเพื่อให้องค์การมีความเจริญก้าวหน้า ทาให้ได้ผลผลิต
ที่ต้องการและสามารถเพมิ่ ผลผลติ ใหก้ ับองค์กรได้

3.3 ทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ องค์กรสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้น้ัน เป็นส่ิงที่
องค์กรทุกองค์กรต้องการ การบรรลุวัตถุประสงค์ต้องอาศัยบุคลากรในองค์กรที่มีความรัก
ความศรัทธาตอ่ องค์กร องค์กรจึงต้องสร้างความรัก ความศรัทธาให้เกิดกับบุคลากรโดยการเอาใจใส่
ดูแลบุคลากรให้มีความสุขและขจัดความทุกข์ให้หมดไป ส่งผลให้บุคลากรมีความรัก ในงานและ
พรอ้ มทจี่ ะผลักดันให้องค์กรบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ได้โดยเรว็

3.4 ทาให้คุณภาพชีวิตของบุคลากรในองค์กรดีข้ึน องค์กรทุกองค์กรอาศัย
บุคลากรในการทางานให้กับองค์กรเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยองค์กรให้ส่ิงตอบแทน คือ
เงินเดือน สวัสดิการ โบนัส คาชมเชย การยกย่องและเกียรติยศช่ือเสียง เป็นต้น เพื่อให้บุคลากรนา
ผลตอบแทนที่ได้เป็นเงินเดือน สวัสดิการ โบนัสไปใช้ในการดาเนินชีวิตที่เป็นอยู่ให้ดีข้ึนและได้
เกยี รตยิ ศชือ่ เสยี งการยอมรบั จากสังคมทสี่ ูงข้ึน

3.6 ทาให้มีความเจริญขององค์กร ส่ิงที่องค์กรปรารถนาคือ ความเจริญก้าวหน้า
ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ช่ือเสียง การเงิน ปัจจัยที่ทาให้องค์กรเจริญเติบโตคือการ
มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมบริหารจัดการ นอกจากปัจจัยดังกล่าวยังมีปัจจัยที่ช่วย

ความรเู้ บื้องตน้ เกีย่ วกบั มนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ 11

ส่งเสริมให้องค์กรมีความเจรญิ มากย่งิ ขนึ้ คือการมีบุคลากรทสี่ ามารถปรบั ตัวและทางานร่วมกับผู้อื่นได้
ดว้ ยความเขา้ ใจ ผู้บริหารองค์กรควรใหค้ วามสาคัญกับปจั จยั ดงั กลา่ วดว้ ย

3.7 ทาให้องค์กรมีความเข้มแข็ง องค์กรท่ีเข้มแข็งเกิดจากความพร้อมในด้านการ
บริหารจัดการที่ทันสมัยและมีกลยุทธ์ท่ีดี ความพร้อมทางด้านกาลังคนเป็นอีกปัจจัยหน่ึงที่เพิ่มความ
เข้มแขง็ ใหก้ บั องค์กร โดยการสรา้ งขวัญและกาลังใจในการทางาน เข้าใจเทคนิคในการครองใจคน ก็จะทา
ให้บุคลากรในองคก์ รเกิดความรกั องคก์ รและพร้อมท่ีจะนาองค์กรไปส่เู ป้าหมายทีว่ างไวไ้ ด้สาเร็จ

3.8 ทาให้นายจ้างเข้าใจลูกจ้าง ลูกจ้างคือบุคคลท่ีมีหน้าที่ทางานให้นายจ้างโดย
หวังผลตอบแทน เพ่ือนาไปตอบสนองความต้องการในการดาเนินชีวิต ส่ิงหนึ่งท่ีลูกจ้างต้องการคือ
การทางานอย่างมีความสุข ดังน้นั ลกู จา้ งจึงตอ้ งการให้นายจ้างเข้าใจถึงความรู้สึกความต้องการ การ
ท่นี ายจา้ งทาความเข้าใจลูกจา้ งยอ่ มทาให้ลูกจา้ งทางานได้อย่างมีความสุขเต็มใจทางานให้กับนายจ้าง
อยา่ งเต็มท่ี นายจ้างควรเอาใจใสล่ ูกจา้ งโดยการสอบถามถึงความทุกข์ร้อน เพอ่ื เข้าใจลูกจ้างให้มากที่สุด

3.9 ทาให้ลูกจ้างรักนายจ้าง องค์กรสามารถประสบความสาเร็จได้ต้องอาศัย
องคป์ ระกอบหลายด้าน ซ่ึงรวมถึงลูกจา้ งที่ช่วยทางานให้กับนายจ้างอย่างเต็มความสามารถ จึงขอให้
นายจ้างพึงระลึกอยู่เสมอว่าลูกจ้างมีบุญคุณต่อนายจ้าง จึงควรปฏิบัติต่อลูกจ้างเหมือนบุคคล
ในครอบครัว ให้ความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือลูกจ้างให้มีการกินดีอยู่ดี ทาให้ลูกจ้างเกิดความรัก
ความศรัทธาต่อนายจ้าง และมสี มั พนั ธภาพท่ีดใี นการอยู่รว่ มกนั

3.10 ทาให้เกิดความจงรักภักดี การสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรนั้นย่อมส่งผล
ให้คนในองค์กรเกิดความรักองค์กร โดยองค์กรตอบสนองความต้องการให้ลูกจ้างมีความสุข
และช่วยเหลือเมื่อเกิดทุกข์ ทาให้บุคลากรเกิดความรักองค์กรพร้อมท่ีจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับ
องคก์ รเพิ่มข้นึ

3.11 ทาให้ลดค่าใช้จ่าย ผู้บริหารให้ความสาคัญกับบุคลากรในองค์กรทาให้
บุคลากรเกิดความรักองค์กรไม่อยากเปลี่ยนท่ีทางานใหม่ ทาให้องค์กรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการหา
พนักงานใหม่ เพราะในการหาพนักงานใหม่ในแต่ละคร้ังองค์กรต้องเสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาในการฝึกหัด
งานให้กับพนักงานใหม่ ทาให้ไม่เกิดความต่อเนื่องในการทางาน ขาดความชานาญในการทางาน ในส่วน
ของพนักงานเก่าสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้ในด้านการสร้างความรู้ สึกให้บุคลากร
มีสว่ นร่วมในการเปน็ เจา้ ขององค์กร บุคลากรย่อมช่วยกันสอดส่องดูแลองค์กรในทุกด้าน เช่น ถ้าเห็น
บางส่ิงบางอย่างที่ไม่เหมาะสมจะรีบแก้ไขโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่โตแทนที่องค์กรต้องเสีย
คา่ ใชจ้ ่ายในการแก้ไขปัญหาทเ่ี กิดข้ึนก็สามารถลดค่าใชจ้ า่ ยให้กับองคก์ รได้

มนุษยสัมพันธ์มีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตในองค์กรเป็นอย่างมากเพราะการ
ทางานในองค์กรต้องอาศัยการทางานเป็นทีม การมีปฏิสัมพันธ์ การสร้างความสัมพันธ์ จึงทาให้เกิด
รกั ในงาน.ทาให้ผลผลติ เพมิ่ ข้นึ องค์กรมีความเจรญิ ก้าวหนา้ ได้ผลผลติ ตามที่ต้องการและสามารถเพิ่ม
ผลผลิตให้กับองค์กรได้ ตลอดจนทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของ
บุคลากรในองค์กรดีข้ึน เพราะองค์กรทุกองค์กรต้องอาศัยบุคลากรในการทางานให้กับองค์กร

12 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

เพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ องค์กรก็จะมีสิ่งตอบแทนให้กับบุคลากร ปัจจัยที่ทาให้องค์กร
เจริญเติบโตคือการมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมบริหารจัดการ ทาให้องค์กรมีความ
เข้มแข็งซึ่งเกิดจากความพร้อมในด้านการบริหารจัดการท่ีทันสมัยและมีกลยุทธ์ท่ีดีและความพร้อม
ทางด้านกาลังคน ทาให้นายจ้างเข้าใจลูกจ้าง ส่งผลให้ลูกจ้างเกิดความจงรักภักดี ผู้บริหารจึงควรให้
ความสาคัญกับบุคลากรในองค์กรทาให้ บุคลากรเกิดความรักองค์กรไม่อยากเปล่ียนท่ีทางานใหม่
ทาให้องค์กรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการหาพนักงานใหม่ ปัจจัยท้ังหมดล้วนเป็นผลจากการสร้าง
มนษุ ยสัมพันธท์ ่ีดีใหเ้ กดิ กับองคก์ ร

4. ความสาคญั ของมนษุ ยสัมพนั ธ์ทม่ี ตี ่อการดาเนนิ ธรุ กจิ
ในการดาเนินธุรกิจได้น้ันต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัยมาเป็นองค์ประกอบให้เกิด

เป็นธุรกิจ ซ่ึงผู้บริหารต้องให้ความสาคัญในปัจจัยและทรัพยากรจึงจะทาให้ธุรกิจประสบผลสาเร็จ
นอกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องแล้วผู้บริหารยังต้องอาศัยหลักมนุษยสัมพันธ์มาช่วยให้การดาเนิน
ธุรกิจประสบผลสาเร็จมากย่ิงขึ้น โดยผู้บริหารจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลเหล่านี้เพื่อให้
ประสบความสาเร็จในการประกอบธุรกิจ ดงั น้ี

4.1 คู่แข่งขัน ในการประกอบธุรกิจต้องมีคู่แข่งขันในทางธุรกิจ เป็นเร่ืองปกติในการ
ประกอบธุรกิจ ธุรกิจต้องทาการแข่งขันให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธุรกิจและมีน้าใจในการประกอบ
ธุรกิจ ให้ความร่วมมือกันในกิจกรรมเพ่ือส่วนรวม เคารพซ่ึงกันและกัน จัดหากลยุทธ์ทางธุรกิจ
ให้สามารถแขง่ ขันโดยไม่โจมตีคูแ่ ข่ง ธุรกิจก็จะสามารถยืนอยู่บนเวทแี หง่ การแขง่ ขันได้อยา่ งสงา่ งาม

4.2 ผู้ขายวัตถุดิบ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแห่งความสาเร็จของธุรกิจ ถ้าขาดผู้ขายวัตถุดิบ
ก็เปรียบเสมือนเป็นการตัดมือตัดเท้าในการประกอบธุรกิจ องค์กรธุรกิจต้องสร้างความสัมพันธ์กับ
ผู้ขายวัตถุดิบด้วยความจริงใจ ให้เกียรติกัน ให้ความสาคัญกัน ซ้ือขายแลกเปลี่ยนด้วยความเป็นธรรม
ไม่เอารัดเอาเปรียบ การที่ฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดเสียเปรียบ ฝ่ายที่เสียเปรียบย่อมรู้สึกถึงความไม่ซื่อสัตย์
และไมอ่ ยากทจี่ ะร่วมงานดว้ ย

4.3 ผู้บริโภค สินค้าและบริการท่ีองค์กรธุรกิจผลิตขึ้นมานั้นเกิดจากความต้องการ
ของผู้บริโภค ดังนั้น ผู้บริโภคจึงมีความสาคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มีผู้บริโภคธุรกิจก็ไม่สามารถ
ผลิตสินค้าและบริการได้ ธุรกิจควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเพ่ือผลิตสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ
ตรงต่อความต้องการและเอาใจใส่ผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ทาให้ผู้บริโภคเป็นลูกค้าประจาและช่วย
ประชาสัมพันธ์ให้เกดิ ลูกค้ารายใหม่เขา้ มาบริโภคสินคา้ และบริการของธุรกจิ ต่อไป

4.4 รัฐบาล.เป็นหน่วยงานท่ีออกกฎระเบียบต่าง ๆ ให้องค์กรธุรกิจปฏิบัติตาม
กฎระเบียบที่รัฐบาลกาหนดไว้ได้อย่างถูกต้อง และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนธุรกิจโดยการเป็นลูกค้า
เช่น หน่วยทหารส่ังตัดชุดทหารเกณฑ์กับธุรกิจตัดเย็บเส้ือผ้า เป็นผู้ให้ความรู้กับองค์กรธุรกิจ เช่น
เปิดอบรมภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ถือได้ว่ารัฐบาลมีบทบาทสาคัญกับธุรกิจมากจึงควรสร้าง
สมั พนั ธภาพและใหค้ วามร่วมมอื กับรฐั บาลในทุกเรอื่ งทีร่ ัฐบาลร้องขอ

ความรูเ้ บ้อื งต้นเกีย่ วกับมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 13

4.5 สิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจต้องอาศัยส่ิงแวดล้อมในการดารงชีวิต
การท่ีส่ิงแวดล้อมถูกทาลายไปเน่ืองจากการผลิตสินค้าและบริการจากองค์กรธุรกิจ ก่อให้เกิดความ
เดือนร้อนต่อผู้บริโภค ดังนั้น ธุรกิจต้องให้ความสาคัญในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อมทางสังคมให้คงอยู่ในสภาพท่ีดีและน่าอยู่ โดยต้องเสียสละรายได้บางส่วนเพ่ือมาดูแล
สิ่งแวดล้อม เม่ือผู้บริโภคเห็นองค์กรธุรกิจดูแลส่ิงแวดล้อมย่อมเกิดความศรัทธาต่อธุรกิจ และให้การ
สนบั สนนุ ธุรกจิ ตลอดไป

4.6 เศรษฐกิจโดยรวมดี.ในระบบเศรษฐกิจมีธุรกิจที่เข้าแข่งขันในตลาดมากมาย
ถา้ ธุรกจิ ทุกหน่วยปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑข์ องธุรกจิ โดยแข่งขันตามเกมส์ธุรกิจ ผลดีที่เกิดข้ึนก็คือผู้บริโภคมีสินค้า
และบริการท่ีมีคุณภาพหลากหลายและสามารถเลือกซ้ือได้ เกิดการซื้อขายแลกเปล่ียนจากการ
แข่งขันของธุรกิจ ทาให้เกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของ
ประเทศดขี ้นึ

การรักษามนุษยสัมพันธ์กับบุคคลที่เก่ียวข้องในการประกอบธุรกิจสามารถ ทาให้
การดาเนินธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนทาให้การประกอบธุรกิจประสบ
ความสาเร็จตามท่ีองค์กรได้ตง้ั ไวท้ ุกประการ

5. ความสาคญั ของมนษุ ยสมั พันธ์ทมี่ ตี อ่ การดาเนนิ การบรหิ ารประเทศ
มนุษย์ทุกคนสามารถฝึกการมีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดีได้ ถ้ามีความปรารถนา มีความตั้งใจ

จรงิ พร้อมที่จะฝกึ ฝน ศกึ ษาหาความรู้ ประสบการณ์ และนาไปปฏบิ ัตจิ ริง ๆ เพ่ือให้เกิดทักษะในการ
สร้างความสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพเพราะ "มนุษย์สัมพันธ์" เป็นส่ิงท่ีเกิดจากการเรียนรู้
ไม่ได้เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ มนุษย์สัมพันธ์จึงเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ในการเข้ากับคน การเอา
ชนะใจคน และการครองใจคนทุกระดับรวมถึงผู้บริหารประเทศซ่ึงควรต้องศึกษาหลักการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์กับประชาชนในประเทศเพื่อให้เกิดความผาสุกอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขร่มร่ืน ซ่ึงถ้า
ประเทศมกี ารนาหลักมนษุ ยสัมพนั ธม์ าใช้ในการบรหิ ารประเทศย่อมสง่ ผลใหเ้ กิดสิง่ ต่าง ๆ ดังน้ี

5.1 การมีพรรคการเมืองท่ีดี มีคุณธรรม เริ่มจากหัวหน้าพรรคการเมืองต้องมี
คุณธรรมจริยธรรมในการทาประโยชน์เพ่ือประชาชนและประเทศชาติ โดยถ่ายทอดนโยบายไปสู่
สมาชิกในพรรค และต้องเลือกสมาชิกเขา้ พรรคทีม่ ีคุณธรรมจริยธรรมในการร่วมแรงร่วมใจกันทางาน
เพื่อประชาชนสร้างสรรคส์ งิ่ ดี ๆ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ในสังคมและประเทศชาติ

5.2 เกิดการพัฒนาประเทศ ผู้นาประเทศนาหลักมนุษยสัมพันธ์ในด้านความซ่ือสัตย์
ยุติธรรมไปใช้ ในการทาประโยชน์เพ่ือประเทศชาติด้วยความซ่ือตรง ถูกต้อง ทาให้ประชาชนเกิด
ความศรัทธาและให้ความร่วมมือในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน และให้การสนับสนุนผู้นาที่มีความ
ซ่อื สัตย์ ยุตธิ รรม เพื่อรกั ษาผลประโยชนข์ องประชาชนและประเทศชาติ

5.3 ลดปัญหาความเลื่อมลา้ ผู้นาประเทศควรบรหิ ารจัดการประเทศด้วยความเสมอภาค
และเท่าเทียมกัน จัดสรรส่ิงต่าง ๆ ให้กับประชาชนโดยทั่วถึงกัน เพื่อให้คุณภาพชีวิตของประชาชนมีการ

14 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

พัฒนาที่เท่าเทียมกัน ทาให้ประชาชนไม่รู้สึกถึงความเลื่อมล้า ไม่ก่อให้เกิดการร้องเรียนจากการที่
ไม่ได้รับความยุติธรรม

5.4 ประเทศชาติเข้มแข็ง ประชาชนเป็นบุคลากรที่มีความสาคัญในการพัฒนา
ประเทศให้เข้มแข็ง ประชาชนในประเทศต้องมีสุขภาพกาย สุขภาพจิตท่ีแข็งแรงก่อน สุขภาพกาย
คือ การกินดีอยู่ดี มีงานทาสามารถนารายได้มาตอบสนองความต้องการของครอบครัวส่งผลให้มี
สุขภาพจิตท่ีดีตามไปด้วย เม่ือประชาชนในประเทศมีความสุขกายสุขใจแล้ว ก็จะมองถึงประโยชน์
ส่วนรว่ มทจี่ ะช่วยกันสร้างสรรค์เพ่อื ใหป้ ระเทศชาตเิ จริญรุ่งเรืองทดั เทยี มนานาประเทศต่อไป

การนาหลักมนุษยสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารประเทศจะนามาซึ่งความเจริญก้าวหน้า
ในทุก ๆ ด้าน และส่ิงท่ีสาคัญที่สุดก็คือการท่ีประชาชนในชาติเกิดความรักและสามัคคีกัน เกิดความสุข
ในการอยู่ร่วมกัน.เกิดการพัฒนาประเทศลดปัญหาความเล่ือมล้า เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
ส่งผลทาใหป้ ระเทศชาติเขม้ แข็ง

จากความสาคัญของมนุษยสัมพันธ์กับธุรกิจแล้ว จะเห็นได้ว่าหลักมนุษยสัมพันธ์นั้นเป็น
ปัจจัยที่มีผลทาให้การประกอบธุรกิจสามารถประสบความสาเร็จได้เป็นอย่างมาก ซึ่งผู้บริหารองค์กรควร
ตระหนัก และให้ความสาคัญกับหลักมนุษยสัมพันธ์เพื่อนามาบูรณาการร่วมกับศาสตร์ทางด้าน
การบรหิ ารจัดการได้อย่างกลมกลืน

ปรชั ญาพ้นื ฐานของมนุษยสมั พันธ์กบั ธุรกจิ

ปรัชญาเป็นเร่ืองเกยี่ วกับความเชอ่ื ท่ีมีแนวทางปฏิบัติอย่างมีระบบ โดยการแสวงหาความ
จริงเพ่อื หาคาตอบ ดังนั้น ปรัชญาพื้นฐานของมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ จึงเป็นความเช่ือพื้นฐานเกี่ยวกับ
มนุษยสัมพันธ์ท่ีเก่ียวกับมนุษย์ในการดาเนินธุรกิจ โดยผู้ประกอบธุรกิจจะต้องคานึง
และใหค้ วามสาคัญเพือ่ ใหก้ ารประกอบธรุ กจิ ประสบความสาเร็จบนพ้ืนฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างมี
ความสขุ ของบคุ ลากรทางธรุ กจิ ซ่งึ มีลกั ษณะดงั น้ี

1. มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี.มนุษย์ทุกคนเกิดมามีความเป็นมนุษย์ติดตัวมาเหมือนกัน
ซ่ึงมนุษย์ทุกคนในสังคม ควรจะได้เตือนสติตนเองในเร่ืองน้ีไว้ตลอด มนุษย์ทุกคนมีค่าของความเป็นมนุษย์
เป็นเผ่าพันธ์ุเดียวกัน มนุษย์ ทุกคนมีความสามารถเฉพาะตน และมนุษย์ก็มีความสามารถท่ีแตกต่าง
กัน ในเวลาเดียวกันจะให้มนุษย์มีความสามารถเหมือนกันย่อมเป็นไปได้ยาก มนุษย์ทุกคนจึงมีศักดิ์ศรี
แห่งความ สามารถทุกคน ถ้ามนุษย์บางกลุ่มรู้สึกว่าตนสูงกว่ามนุษย์ผู้อ่ืนและดูถูกเหยียดหยาม
มองมนุษย์ผู้อ่ืนต่ากว่าตนน่ันหมายถึงการดูถูกเหยียดหยามตนเอง มนุษย์ทุกคนย่อมอยากได้
การยอมรับนับถือ การยกย่องสรรเสริญ การให้เกียรติ การได้รับความสาคัญจากมนุษย์ด้วยกันและการ
ไดร้ ับความเปน็ คนเท่าเทียมกัน เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ต้องการถูกเหยียดหยาม ถ้ามนุษย์ทุกคนยอมรับ
ความเท่าเทียมกัน ความเสมอภาคกันก็จะทาให้เกิดความสัมพันธ์ท่ีดีในการอยู่ร่วมกัน ทางานร่วมกัน
ในสงั คมอยา่ งมีความสขุ

ความรเู้ บือ้ งต้นเกยี่ วกบั มนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 15

ภาพที่ 1.1 การใหเ้ กียรตใิ นศักดิศ์ รขี องความเปน็ มนุษย์

ในการทาธุรกิจนั้น ผู้บริหารควรให้เกียรติพนักงานของตนเองโดยถือว่าพนักงานทุกคน
มีความเท่าเทียมกันและให้ความสาคัญกับพนักงานทุกระดับในองค์กร แต่สิ่งท่ีไม่ควรทาอย่างยิ่งคือ
การดูถูกเหยียดหยาม การดุด่าว่ากล่าวโดยไร้เหตุผล ซึ่งเป็นสาเหตุที่นาไปสู่ความขัดแย้งในการ
ทางาน ถ้าพนักงานรู้สึกมีคุณค่าและศักด์ิศรี มีศักยภาพ มีอิสรภาพและมีการเคารพในศักดิ์ศรีและ
คุณคา่ ความเปน็ คนของคนทกุ คนอยา่ งเท่าเทียมกนั จะทาให้พนักงานเกิดความศรัทธาต่อตัวผู้บริหาร
และเกิดความจงรักภกั ดตี ่อองค์กรอยา่ งย่ังยืน

2. มนุษย์ต้องการการจูงใจพฤติกรรมของมนุษย์ท่ีแสดงออกมาย่อมมีสาเหตุ
แห่งพฤติกรรม โดยส่วนใหญ่พฤติกรรมท่ีแสดงออกมามีสาเหตุมาจากการได้รับการกระตุ้น
จากความต้องการของมนุษย์ ความต้องการของมนุษย์จะหยุดก็ต่อเมื่อได้รับการตอบสนองและจะเกิด
ความต้องการในสิ่งต่อไปไม่ส้ินสุด ซ่ึงความต้องการของมนุษย์ ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้า
อากาศ ท่ีอยู่อาศัย ยารักษาโรค ความต้องการเงินฐานะ ตาแหน่ง เกียรติยศ อานาจ ชื่อเสียง ความ
ปลอดภัยและความรัก เป็นต้น การสร้างมนุษยสัมพันธ์โดยอาศัยหลักการจูงใจจึงมีหลักอยู่ว่า
ถา้ มนุษยต์ ้องการสิง่ ใดใหต้ อบสนองสง่ิ นน้ั กจ็ ะทาให้มนษุ ยเ์ กิดความพอใจและอยากมปี ฏิสมั พนั ธ์ด้วย

การ แรงขับ/ เปา้ หมาย/ พฤตกิ รรม
กระตุ้น แรงชกั จูง เปา้ ประสงค์

ภาพที่ 1.2 กระบวนการจงู ใจ

16 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

พนักงานจะทางานได้ดีน้ัน ย่อมต้องมีการจูงใจหรือการกระตุ้นให้พนักงานอยากทางาน
โดยใช้ส่ิงจูงใจหรือรางวัล ซึ่งได้แก่ เงิน รางวัล สวัสดิการต่าง ๆ ตาแหน่ง การยกย่องชมเชย การให้
อิสระทางความคิดและการจัดสิ่งแวดลอ้ มทด่ี ีในการทางาน เป็นต้น หากพนักงานทุกคนได้รับสิ่งจูงใจ
ที่เหมาะสมกับความต้องการย่อมทาให้เกิดความพอใจ นาไปสู่การมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
และสามารถนาไปสู่การทากิจกรรมการงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ผู้บริหารควรให้
ความสนใจทจ่ี ะใหแ้ รงจูงใจแก่ผูร้ ่วมงาน แล้วมนษุ ยสมั พนั ธท์ ีด่ จี ะเกิดข้นึ ในองคก์ รได้อยา่ งถาวร

3. มนุษยม์ คี วามแตกต่างกัน มนุษย์มีความเหมือนและความแตกต่างกันอยู่ในตัวแต่ละ
บุคคล ในความเหมือนคือ มนุษย์ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความต้องการขั้นพื้นฐาน
เหมอื นกนั แตใ่ นเวลาเดียวกนั มนุษยก์ ม็ ีความแตกต่างกันท่ีปรากฏให้เห็นภายนอกร่างกาย เช่น เช้ือชาติ
สัญชาติ สภาพร่างกาย สูง ต่า ดาและขาว เป็นต้น ซึ่งในความแตกต่างที่เกิดขึ้น มนุษย์ต้องศึกษา
ความแตกต่างเพื่อให้เข้าใจในความแตกต่างของแต่ละบุคคล เช่น คนที่อยู่แอฟริกาผิวดาเพราะเผ่าพันธุ์
เป็นคนผิวดาเป็นกรรมพันธ์ุที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางคนเรียนเก่งถูกยกย่องชมเชยว่าเรียนเก่ง
เป็นคนดี ในเวลาเดียวกันบางคนเรียนไม่เก่งถูกตาหนิว่าเป็นเด็กไม่สนใจเรียน.แต่เขาอาจจะมี
ความสามารถอีกด้าน เช่น กีฬา.ร้องเพลง วาดภาพ เป็นต้น ดังน้ัน มนุษย์ย่อมมีความแตกต่าง
และความสามารถที่ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวทุกคน ถ้าทุกคนเข้าใจ
ในความแตกต่างของบุคคลแล้วก็จะทาให้ไม่เกิดข้อคาถามว่า “ทาไม” ทุกคนก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมี
ความสขุ โดยการเข้าใจในความแตกต่างเหล่านี้ เพ่อื เปน็ พน้ื ฐานในการเข้าใจเรื่องมนษุ ยสัมพนั ธ์

ภาพท่ี 1.3 ความแตกต่างด้านรูปรา่ ง

ความร้เู บอื้ งต้นเกี่ยวกับมนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ 17

ภาพที่ 1.4 ความแตกตา่ งดา้ นความสามารถ

ภาพท่ี 1.5 ความแตกต่างด้านเชื้อชาติ

ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาพทุ ธ

ภาพ
ภาพที่ 1.6 ความแตกตา่ งดา้ นศาสนา

18 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

ในทีท่ างานหรือในองค์กร หากเราได้ทางานร่วมกับคนที่เรารัก ย่อมทาให้มีความสุขและ
ไดง้ านทีม่ ีประสิทธิภาพ แตม่ ีหลายคร้งั ท่เี ราไม่สามารถเลอื กเพอ่ื นร่วมงานได้ตามใจ ทาให้ต้องทางาน
กับคนที่มีความแตกต่าง ท้ังในด้านความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ตลอดจนเจตคติที่ต่าง ๆ กัน เราจะ
ทาอย่างไรเพ่ือให้สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างราบรื่นและมีความสุข เพราะตราบใดที่ยังต้อง
ทางานในที่เดียวกัน เป็นเรื่องยากท่ีจะหลีกเล่ียงในการทางานหรือพบปะกัน ดังนั้นจึงต้องมีการ
ปรับตัวใหเ้ ขา้ กบั เพอื่ นร่วมงานไห้ไดเ้ พ่ือจะทาให้การทางานนัน้ เปน็ ไปอยา่ งราบรืน่ และมีความสขุ

จากปรชั ญาท่กี ล่าวมาเปน็ การสอ่ื ใหท้ ราบว่าในการดาเนินชีวิตของมนุษย์หรือการดาเนิน
ธุรกิจจาเป็นต้องใส่ใจการสร้างมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างมาก เพื่อทาให้สังคมของการอยู่ร่วมกัน
และสังคมของการประกอบธุรกิจสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและสามารถประกอบธุรกิจ
ให้ประสบผลสาเร็จไดต้ ามทีต่ ง้ั ไว้ทกุ ประการ

ประโยชน์ของมนษุ ยสมั พันธก์ บั ธรุ กิจ

มนุษยสัมพันธ์มีประโยชน์อย่างย่ิงในการทางานร่วมกันในสังคม เพราะช่วยให้มนุษย์
เรยี นรู้ท่จี ะยอมรบั ความคดิ เห็นของผอู้ นื่ และปรับตัวปรับใจให้เขา้ รว่ มสังคมและร่วมกิจกรรมกันอย่าง
สันติสุข มนุษยสัมพันธ์จึงเป็นเสมือนมนต์ขลังที่ช่วยให้สังคมเกิดความผาสุก ลดความเกลียดชัง
แม้ศัตรูผู้มีผลประโยชน์ขัดกันก็จะกลับกลายเป็นเห็นอกเห็นใจ เกิดเป็นมิตรภาพ เกิดความเข้าใจ
ที่ตรงกัน การติดต่อสัมพันธ์กันในทางการงานหรือส่วนตัว ก็จะเกิดผลดีมีประโยชน์ ในท่ีนี้อาจสรุป
ประโยชน์ของมนษุ ยสมั พนั ธ์ท่มี ีตอ่ การประกอบธุรกิจได้ดงั นีค้ ือ

1. เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ ตลอดจนความต้องการ
และสามารถตอบสนองความต้องการทางดา้ นรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และรู้ถึงความแตกต่าง รู้เทคนิคการ
ครองใจคนให้เข้ามาร่วมงานด้วยความรักและเต็มใจความสามารถในการทางานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็น
ส่ิงสาคัญและควรฝึกฝนให้ดีขึ้น เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในการทางานในองค์กรและการติดต่อธุรกิจ
เปน็ อย่างมาก

2. เพื่อให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ สามัคคี ในการทากิจกรรมร่วมกันในองค์กรให้สามารถ
บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ด้วยดี เมื่อได้รับการยอมรับและความร่วมมือจากบุคคลต่าง ๆ
ย่อมจะส่งผลให้บุคคลมีความสุขและสนุกกับงานที่ทาอยู่ และส่งผลต่อเนื่องไปยังความสาเร็จ
ในการทางานโดยการร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีในการแข่งขนั ในทางธุรกจิ ให้กบั องค์กร

3. เพื่อใหเ้ กิดแนวคดิ และพฤติกรรมไปในทศิ ทางเดียวกันไม่แตกแยก ทาให้กิจกรรมที่ทา
รว่ มกันเป็นไปด้วยความเรยี บร้อยและรวดเร็ว หากบุคลากรในองค์กรมีความจริงใจต่อกัน ย่อมทาให้
เกิดความรัก ความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันในการทาให้องค์กรประสบผลสาเร็จได้อย่างง่ายดาย
เกิดจากการสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ความจริงใจท่ีแสดงออกมานั้นย่อมสร้างความประทับใจ
และทศั นคตทิ ี่ดจี ากบคุ คลรอบข้าง

ความรู้เบ้อื งตน้ เกีย่ วกับมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ 19

4. เพ่ือให้เกิดความสงบสุขราบร่ืนในการอยู่ร่วมกัน และการปรับตัวให้ทางานร่วมกับ
ผ้อู ืน่ ได้เป็นอยา่ งดี การนาหลักมนุษยสัมพันธ์มาใช้ในองค์กร ย่อมส่งผลให้องค์กรอยู่กันอย่างเอ้ืออารี
ตอ่ กนั ถอ้ ยทีถอ้ ยอาศยั กนั เพราะบุคลากรในองคก์ รต่างมีจติ ใจท่ีดีตอ่ กัน ทุกคนก็จะหาวิถีทางในการ
อยรู่ ว่ มกนั เพ่อื ปรับตวั เข้าหากันใหอ้ ยดู่ ว้ ยกนั อยา่ งมคี วามสขุ

5. เพ่ือลดปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครอบครัว สังคมและในการทางาน การมี
มนุษยสัมพันธ์และมิตรภาพที่ดีจะทาให้เกิดความสดชื่น ส่งผลมายังครอบครัว คือ จะไม่มีอารมณ์
เครียด มาระบายความหงุดหงิดกับครอบครัว ทาให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องมีความสุข มีความพอใจที่ได้
มีกิจกรรมและปฏิบตั งิ านรว่ มด้วย

6. เพ่ือให้เกิดความช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่กับบุคคลที่ด้อยโอกาสให้มี
โอกาสเท่าเทียมกัน ทาให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ มนุษยสัมพันธ์
ชว่ ยส่งเสริม ความเขา้ ใจในระหว่าง สมาชิกของ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ การงาน ความเข้าใจอันดีมีผล
ทาให้การประกอบธุรกิจดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สมาชิกมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ทาให้เกิดความรู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ มนุษยสัมพันธ์จึงมีผลช่วยให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจ
ในการประกอบธรุ กิจการงานใหป้ ระสบความสาเร็จ โดยการนาหลักมนุษยสัมพันธ์มาใช้ในครอบครัว
อยูเ่ ปน็ ประจา

7. เพื่อให้เกิดสภาพครอบครัวท่ีมีความรักความเข้าใจกัน หากคนในครอบครัวมีความ
เข้าใจกันจะก่อให้เกิดความอบอุ่นเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวสามารถต่อสู้กับปัญหา
ในทุกเรอ่ื งได้ ทาให้ครอบครวั มคี วามสุขเพิม่ ขึ้น

8. เพ่ือให้เกิดขวัญและกาลังใจในการทางาน ส่งผลให้เกิดความอยากทางาน รักงาน
ทุ่มเททาให้องค์กรเจริญก้าวหน้าประสบความสาเร็จในการทางานงานตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
ที่กาหนดไว้.การมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า จะสามารถทางานร่วมกันได้ดี
จะประสบความสาเร็จก้าวหน้าในการทางาน และสามารถปฏิบัติภารกิจในหน้าท่ีของตนได้อย่าง
มีความสุข

9. เพื่อให้เกิดการรักษาผลประโยชน์เพื่อส่วนรวม ช่วยกันคิด ช่วยกันทา ช่วยกันแก้ไข
ปญั หา ทาใหเ้ กดิ ความร่วมมอื ร่วมใจกันในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ มนุษยสัมพันธ์ช่วยส่งเสริมความ
เข้าใจในระหว่างกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ การงานสร้างความเข้าใจอันดีมีผลทาให้การประกอบธุรกิจ
ดาเนนิ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ

10. เพ่ือให้เกิดความเข้มแข็งของสังคมและประเทศชาติ ทาให้เกิดความรักใคร่ศรัทธา
เช่ือถอื ซ่ึงกันและกนั อนั จะนามาส่ซู ึง่ ความสามัคคแี ละความสงบสขุ ของคนในสังคมต่อไป

11. เพ่ือให้บุคคลในสังคมมีจิตใจดี มอบส่ิงดี ๆ ให้แก่กันด้วยความจริงใจ จนเกิดเป็นสังคม
ท่ีน่าอยู่อย่างถาวร ทาให้เกิดความราบร่ืนในการคบหาสมาคม สามารถทางานร่วมกับบุคคลทุกคน
ได้อย่างดีทาให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันพร้อมจะร่วมมือกันทางานและอยู่ร่วมกัน
ด้วยความสขุ

20 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

12. เพื่อให้เกิดความรักใคร่ เช่ือถือ ศรัทธา เมตตา กรุณา หวังดี เคารพ ให้เกียรติ
ไว้วางใจกันในสังคม ทาให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันทาให้เกิดพลังร่วมมากขึ้นและลดความขัดแย้ง
ในกลมุ่

13. เพ่ือให้เกิดสภาพธุรกิจที่มีการแข่งขันอย่างมีจรรยาบรรณ ก่อให้เกิดประโยชน์
ต่อผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าและบริการท่ีมีคุณภาพ เป็นปัจจัยสาคัญในการประสานประโยชน์
เพ่ือป้องกนั และแกป้ ญั หาตา่ ง ๆ ทางสังคม เศรษฐกจิ การปกครองและการเมอื ง

14. เพื่อให้เกิดระบบการเมืองที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรม ยุติธรรม คานึงถึงประชาชน
และประโยชน์สว่ นรวม มุ่งสร้างสรรคส์ งิ่ ดี ๆ เพือ่ พัฒนาประเทศชาติ

15. เพ่ือให้เกิดคุณภาพชีวิตท่ีดีของประชาชนในด้านการกินดีอยู่ดี การศึกษา สุขภาพ
สภาพแวดล้อม สาธารณูปโภค การทางาน ระบบเศรษฐกิจ และสังคมมีความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีความประสงค์ดีต่อกัน นอกจากน้ีภาคธุรกิจก็จะมีความม่ันคง
เจรญิ กา้ วหน้า ทาให้พนกั งานได้รับรายได้ทเ่ี หมาะสม และมีคุณภาพชวี ิตที่ดขี ึ้น

16. เพื่อให้ทุกคนมีความสุข สังคมมีความสงบสุข ประเทศมีความมั่งคั่งและสร้างสรรค์
สงิ่ ทดี่ ีมีประโยชนใ์ ห้กบั ประชาชน ทาให้การประกอบธุรกิจ การงานร่วมกัน สาเร็จลลุ ่วงตามที่กาหนด
ไว้อย่างไดผ้ ล และมีความสมานฉนั ทก์ ันในหมู่คณะ

17. เพอื่ ประโยชน์ในการบริหารจดั การองค์กรใหเ้ จริญรงุ่ เรือง บรรลุวัตถปุ ระสงคไ์ ดโ้ ดยงา่ ย
18. เพื่อลดความเลื่อมล้าและความไม่เสมอภาคในการดารงชีวิตของบุคคลในสังคม
ให้มีความเทา่ เทยี มกนั ในทุก ๆ ดา้ น
จากประโยชน์ของมนุษยสัมพันธ์กับธุรกิจท่ีกล่าวมาข้างต้น มนุษยสัมพันธ์นั้นสามารถทาให้
เกิดความเข้าใจในธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ เกิดความร่วมแรงร่วมใจทาให้เกิดความเข้าใจ
ท่ีตรงกนั เปน็ ไปตามทิศทางเดยี วกัน ลดความคดิ เหน็ ท่แี ตกแยกโดยอยูด่ ว้ ยกันอย่างสงบสุข ลดปัญหา
ท่ีเกิดข้ึนในครอบครัว เกิดความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทาให้เกิดความรัก เกิดขวัญ
กาลังใจท่ีดีในการทางาน ส่งผลทาให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ให้กับองค์กร ตลอดจนสังคม
ประเทศชาตเิ กิดความสงบสุขรม่ เยน็

ประวัตคิ วามเป็นมาของมนษุ ยสัมพันธ์กบั ธรุ กจิ

มนุษยสัมพันธ์เป็นส่ิงที่เกิดข้ึนมาพร้อม ๆ กับการดาเนินชีวิตของมนุษย์ต้ังแต่เกิด
จนถึงตาย ซ่ึงจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของมนุษยสัมพันธ์นั้น อาจกล่าวได้ว่ามนุษยสัมพันธ์
มีประวัติความเป็นมาจากหลายแง่มุมไม่ว่าจะเป็นด้านการดาเนินชีวิต ศาสนา การทางาน
การประกอบธุรกิจ เป็นต้น ล้วนแล้วต้องอาศัยมนุษยสัมพันธ์เข้าไปเกี่ยวข้องท้ังส้ิน จากการศึกษา
ค้นคว้าของผู้เขียนและจากแนวคิดของนักวิชาการ ผู้เขียนได้สรุปเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา
ของมนษุ ยสัมพันธใ์ นการประกอบธรุ กิจไวด้ งั ต่อไปน้ี

ความรู้เบ้ืองตน้ เกยี่ วกบั มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกิจ 21

มนุษยสัมพันธ์เกิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติหลักธรรม
ไว้มากมายท่ีใช้ในการดาเนินชีวิต เพ่ือให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข หลักธรรมที่พระองค์
ได้ทรงสอนไว้เพ่ือนามาสร้างมนุษยสัมพันธ์ เช่น หัวใจของพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ได้แก่
การทาความดี ละเว้นการทาความช่ัว และทาใจให้บริสุทธ์ิ ซ่ึงเป็นหลักพ้ืนฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ของมนุษย์ทุกคนท่ีสามารถนาไปปฏิบัติได้เพื่อสร้างเสน่ห์สาหรับตนเองและการอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างมคี วามสุข

“ศาสนา” กับ “ธุรกิจ” ไม่ใช่เร่ืองที่ห่างไกลกัน การนาหลักธรรมของศาสนามาประยุกต์
ใช้ในการทาธุรกิจถือเป็นหัวใจสาคัญที่ทาให้องค์กรธุรกิจอยู่อย่างย่ังยืนได้ ดังนั้นธุรกิจในสังคม
โลกาภิวัตน์ควรเปิดกว้าง มีความเป็นสากล และควรจะต้องยึดหลักธรรมทางศาสนา โดยการนา
หลักธรรมประยุกต์และสอดแทรกในวธิ คี ดิ การทางานและการวางกลยุทธ์ขององคก์ ร

การนาหลักธรรมของศาสนาพุทธมาใช้ในการประกอบธุรกิจเป็นตัวช่วยดึงความศรัทธา
และสร้างส่ิงที่มีคุณค่าให้เกิดขึ้นกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและควรรักษาให้อยู่ได้ยาวนาน โดยเริ่มจาก
ผู้นาในองคก์ รธรุ กิจควรให้ความสาคัญและปฏิบัติดีกับพนักงานทุกคนด้วยความเท่าเทียมกันเป็นการ
สร้างศรัทธาและสัมพันธภาพท่ีดีให้กับพนักงานที่มีต่อผู้บริหาร หากนามาใช้กับการทาธุรกิจระหว่าง
คู่คา้ หรือกับผบู้ ริโภคจะต้องไมเ่ อารัดเอาเปรยี บคูค่ า้ และผูบ้ ริโภคมากเกินไป ดังนั้นการประกอบธุรกิจ
ในปัจจุบันควรตอ้ งนาหลักธรรมมาใช้เพอ่ื ใหธ้ รุ กิจเกดิ ความมน่ั คงกบั องค์กรได้

ศาสนาคริสต์ มีหลักมนุษยสัมพันธ์ที่ชาวโลกได้เห็นโดยชัดเจน คือ เร่ืองของความรัก
คาสอนท่ีน่าสนใจข้อหนึ่งก็คือ “ให้รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่ผูกพยาบาท มีใจปราณี รักผู้อื่น
แม้เป็นศัตรู” ซึ่งส่งเสริมให้คนในสังคมเกิดการรักกัน ห่วงใยกัน และคิดเสมอว่าทุกคน คือพี่น้อง
การคิดรา้ ยต่อกันก็จะไม่เกิดข้นึ เพราะทกุ คนคอื พ่นี ้องกนั ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจและบุคคลควรนาหลัก
คาสอนของศาสนาคริสต์ไปใช้ในการดารงชีวิตและการประกอบธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้โลกมีแต่ความรัก
และความปรารถนาดตี ่อกัน

การนากรอบความคิดและจริยธรรมของศาสนาคริสต์มาประยุกต์ใช้ในทางธุรกิจจะเห็น
ได้อย่างชัดเจนในการส่งเสริมให้ทุกคนรักกัน ในองค์กรทุกองค์กรถ้าได้น้อมนาหลักการดังกล่าว
ของศาสนาคริสต์ไปใช้แล้วย่อมส่งผลให้องค์กรเกิดความรัก ความสามัคคีท่ีดีต่อกันทาให้บุคลากร
ชว่ ยเหลือเก้ือกลู กัน ย่อมทาใหอ้ งค์กรเกิดเป็นองค์กรแหง่ ความสุขไดต้ ลอดไป

ศาสนาอิสลาม มีคาสอนที่นามาสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้คนสามารถดารงชีวิตได้อย่าง
มีความสุข เช่น “การรู้จักเอาอกเอาใจกัน” คือการสอดส่องดูแลให้ความสนใจในความทุกข์และสุข
ของบุคคลในสังคมโดยการทาดีต่อกัน ช่วยเหลือเก้ือกูลกันทาให้บุคคลในสังคมเกิดความรักกัน
ไม่ทะเลาะกัน และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการทากิจกรรมร่วมกัน ทาให้ประสบความสาเร็จในทุก ๆ ด้าน
จากการนาหลักทางศาสนามาประยกุ ต์ใช้

22 มนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจ

ศาสนาอิสลามได้ให้หลักการทางศาสนาในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ไว้ดีมาก ท่ีธุรกิจ
จะสามารถนาไปใช้ได้เป็นอย่างดี เน่ืองด้วยการทาธุรกิจที่อาจนามาซ่ึงความทุจริตและเอารัด
เอาเปรียบได้ง่าย ศาสนาอิสลามจึงย้าให้นักธุรกิจทาธุรกิจด้วยความสันติสุข สันติภาพ ทาธุรกิจด้วย
ความถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ดังน้ันนักธุรกิจต้องให้ความสาคัญอย่างจริงจังกับหลักการพื้นฐานในหลัก
ของศาสนาอิสลาม ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีนักธุรกิจจาเป็นต้องให้ความสาคัญเช่นเดียวกับหลักในการบริหาร
องคก์ รท่วั ไปด้วย

จากการได้แนวคิดเก่ียวกับมนุษยสัมพันธ์จากหลักศาสนาแล้ว ยังมีบุคคลท่ีได้พยายาม
คิดค้นวิธีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้เกิดกับมนุษยชาติ เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบ
ราบรน่ื มีมติ รไมตรีตอ่ กัน สามคั คีกัน บุคคลสาคัญทีใ่ หแ้ นวคดิ เก่ียวกบั มนษุ ยสมั พนั ธม์ ีดงั น้ี

จอห์น ล็อค (John Locke) (1969: 122-128) เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษได้ให้แนวคิด
ว่ามนุษย์เม่ือเกิดมาก็เปรียบเสมือนกระดาษที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อมนุษย์เติบโตข้ึนจะได้รับ
ประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าไว้ในจิต จนทาให้เกิดความรู้และสติปัญญา ถ้ามนุษย์ได้รับการเรียนรู้ที่ดีก็จะ
แสดงพฤติกรรมท่ีดีออกมา ซึ่งพฤติกรรมที่ดีนั้นย่อมเป็นท่ีพึงพอใจของบุคคลท่ีอยู่ร่วมด้วย ก่อให้เกิด
ความประทับใจและรู้สึกดีต่อกัน สร้างความรักความผูกพัน ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน ส่งผลให้การอยู่ร่วมกัน
และการทางานเป็นไปด้วยความราบรื่นบรรลุผลสาเร็จท่ีต้องการร่วมกันได้ ซ่ึงเป็นผลมาจากสิ่งท่ีดี
ในตวั มนุษย์ กค็ ือ มนุษยสัมพนั ธ์ทีด่ นี ่ันเอง

จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson) ปีคริสต์ศักราช 1878–1958 เป็นนักจิตวิทยา
ชาวอเมริกาและเป็นผู้ต้ังทฤษฎีพฤติกรรมนิยม โดยวัตสัน กล่าวว่า พฤติกรรมของมนุษย์มีสาเหตุ
มาจากส่ิงเร้าและการตอบสนอง (ลักขณา สริวัฒน์, 2557:15) จากการที่วัตสัน ได้กล่าวไว้นั้นย่อม
แสดงว่ามนุษย์จะทาอะไรหรือแสดงพฤติกรรมใดออกมาย่อมเกิดจากสิ่งเร้าท่ีมากระทบ ถ้ามนุษย์
ได้รับสิ่งเร้าที่ดีก็ย่อมแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมาเพ่ือตอบสนองพฤติกรรมท่ีมีสิ่งเร้ากระทา นามา
ซึ่งความสุขของทั้งสองฝ่ายที่จะอยู่ร่วมกันอย่างย่ังยืน นั่นจึงเป็นผลมาจากการ มีมนุษยสัมพันธ์
ที่มนษุ ยต์ า่ งหยบิ ย่นื ใหแ้ ก่กัน

ดูบริน (Dubrin) (1984 : 4) ไดพ้ ดู เกี่ยวกับหลักพ้ืนฐานของความแตกต่างระหว่างบุคคล
ทีม่ คี วามสมั พนั ธก์ บั การทางานไว้หลายข้อ แตม่ ีขอ้ หนงึ่ ท่ีน่าสนใจก็คือบุคคลมีการติดต่อกับบุคคลอ่ืนไม่
เหมือนกัน บางคนช่างพูดช่างเจรจามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอ่ืน ขณะที่บางคนเงียบขรึมชอบอยู่
คนเดียวซึ่งเป็นลักษณะของแต่ละคน ดังนั้น คนแต่ละคนจะทางานชนิดเดียวกันได้ผลไม่เหมือนกัน
เพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง ถ้าบุคคลมีความสุขอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ดี ก็จะทาให้เกิดความร่วมมือ
อย่างเต็มที่ในการทางานส่งผลให้งานสาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ในขณะเดียวกัน ถ้าบุคคลอยู่กับเพ่ือน
ร่วมงานแล้วเกิดข้อขัดแย้งย่อมไม่อยากทางาน ทาให้ผลงานท่ีเกิดมีประสิทธิภาพต่า ตามไปด้วย ปัจจัย
ท่ีทาให้การทางานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลย่อมข้ึนอยู่กับความเข้าใจในการทางานร่วมกัน
ตลอดจนความรักความห่วงใย การช่วยเหลือเก้ือกูลกัน ย่อมทาให้บุคคลอยากอยู่ร่วมกันและผลท่ี
ตามมากค็ ือคนทกุ คนอยู่ด้วยกนั อยา่ งมีความสุข องค์กรบรรลวุ ัตถุประสงค์ขององค์กรในด้านการผลิต

ความรเู้ บ้ืองตน้ เกยี่ วกบั มนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ 23

เฮนรี ฟายโยล (Henri Fayol).ปีคริสต์ศักราช 1961 นักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส
ได้พูดถึงหลักการบริหารงานไว้หลายข้อท่ีสามารถทาให้การทางานประสบความสาเร็จได้
(อานาจ ธีระนิช, 2553:76-77) ซ่ึงในแต่ละข้อน้ันมุ่งนาไปใช้กับคนโดยส่วนใหญ่ เพ่ือให้มีการติดต่อ
ประสานงานไปในทิศทางเดียวกันและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ หลักการบริหารของ
ฟายโยล ไดส้ อดแทรกหลักมนษุ ยสมั พันธ์ ในการทางานไว้ทัง้ สนิ้ เชน่ การทางานไปในทิศทางเดียวกัน
(Unity of Direction) ได้บอกไว้ว่าในการทางานควรมีหลักมนุษยสัมพันธ์ในเรื่องของการเป็นหน่ึง
ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ถ้าเข้าใจกัน (We Are Different But We Understand Each
Other) คือ Unity ไม่แตกกันสามัคคีกันย่อมทาให้เกิดความสาเร็จในหมู่คณะมีแต่ความสุข ความรัก
ความเขา้ ใจท่ีเป็นผลตอบแทน

เจมส์ ดี มูนีย์ และ อแลน ซี ริลีย์ (James D. Mooney .และ .Alan C. Reiley) ปีคริสต์ศักราช 1931
Mooney ไดพ้ จิ ารณาการบริหารว่าเป็นเทคนคิ หรือศิลปะของการส่ังการหรือชักนาบุคคลอื่น เทคนิค
ในการสร้างสัมพันธ์เพ่ือให้เกิดการประสานงานกันได้และเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยต้องมีการ
ประสานงานของหน้าท่ีต่าง.ๆ.จนสามารถผลิตเน้ืองานออกมาได้ (สุธรรม รัตนโชติ,.2552.:.400)
ซง่ึ ในการประสานงานต้องอาศัยหลกั ในการให้ความร่วมมือ.หลักการส่ังการอย่างไรให้เกิดความเข้าใจ
อันดี ซงึ่ ต้องยดึ หลกั การพูดทม่ี ศี ลิ ปะให้เกิดความคิดเห็นที่ตรงกัน.นาไปซ่ึงการประสานงานให้ดาเนิน
ต่อไปโดยอาศัยหลักการของ มนุษยสัมพันธ์เข้ามาช่วยในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร สั่งการ ให้เกิดความ
เขา้ ใจกันสามารถปฏิบัตงิ านได้และทางานรว่ มกนั อยา่ งมีความสขุ

เฟรเดอริก ดับบิว.เทเลอร์ (Frederick W. Taylor) ปีคริสต์ศักราช.1856–1915 วิศวกร
ชาวอเมริกา.บิดาของการบริหารแบบวิทยาศาสตร์ได้ให้แนวคิดเก่ียวกับการบริหารจัดการในการ
ทางานไว้หลายด้าน.ซ่ึงด้านหนึ่งที่.Taylor.พูดก็คือการที่คนงานหลบหนีงานอันเนื่องมาจากการ
ทค่ี นงานไมอ่ ยากใหน้ ายจา้ งรู้วา่ ในหนงึ่ วันทางานไดก้ ่ีช้ิน เพราะจะทาได้ก่ีชิ้นค่าตอบแทนก็ได้เท่าเดิม
Taylor.ยังช้ีให้เห็นการท่ีคนงานหลบหนีงานเพราะไม่ต้องการทางานให้มากกว่าส่วนแบ่งของงาน
ของเขา ความคิดท่ีคนงานมีต่อเร่ืองนี้คือ.“ทาไมเขาจะต้องทางานมากกว่าบุคคลอื่น.ท้ังท่ีได้รับ
ค่าตอบแทนเท่ากัน”.จึงเป็นสาเหตุทาให้คนงานพยายามหลบงาน หรือทางานให้ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้
Taylor จึงเสนอวิธีการลดการหลบหนีงานว่าควรจะต้องศึกษาการเคล่ือนไหวและเวลาและการจ่าย
ค่าตอบแทนต่อหน่วยของผลผลิต คือถ้าคนงานสามารถทางานได้ตามจานวนท่ีกาหนดในแต่ละวัน
แล้ว ถา้ ทาไดเ้ กินจากนั้นยอ่ มตอ้ งไดค้ ่าตอบแทนเพิ่มเตมิ (อานาจ ธรี ะนิช, 2553:71)

ซึ่งหลักการดังกล่าวท่ี.Taylor.นามาแก้ไขปัญหาน้ีก็คือการไม่เอารัดเอาเปรียบและยังนึก
ถึงจิตใจของคนงาน.ซ่ึงต้องให้ความยุติธรรม.ทาให้คนงานเหล่านั้นรู้สึกดีข้ึนและหันมาทางานด้วย
ความเตม็ ใจและไม่หลบงาน.ในการทางานมากและได้รับผลตอบแทนท่ีมาก ย่อมส่งผลให้ผลผลิตเพ่ิม
ตามไปดว้ ย จึงกล่าวได้ว่าการท่ี Taylor นาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวมาใช้นั้นย่อมต้องนึกถึงความถูกต้อง
ความเห็นใจ.ความเข้าใจ.ซ่ึงก็คือความรู้สึกท่ีดีต่อคนงาน.ก็คือมนุษยสัมพันธ์ท่ีเกิดจากการทางาน
น้นั เอง

24 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ

ฮิวโก มันสเตอเบิร์ก.(Hugo.Munsterberg) ปีคริสต์ศักราช 1863–1916.ได้มีแนวคิด
ทีจ่ ะพยายามหาบคุ คลทดี่ ีทส่ี ุดได้อย่างไร.และจะทางานให้ดีที่สุดได้อยา่ งไร การที่จะหาบุคคลที่ดีท่ีสุด
น้ัน (อานาจ ธีระนิช, 2553: 86) แนวคิดน้ีก็ยังสอดแทรกหลักมนุษยสัมพันธ์ไว้ คือต้องการหาคนดี.
ก็คือมีความรู้ความสามารถและพฤติกรรมท่ีดีที่จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้.การได้คนเก่งแต่ไม่มี
มนุษยสัมพันธ์.ก็ไม่สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้.ถึงได้มาก็ไม่เกิดประโยชน์จึงต้องหาคนที่มีความรู้
ความสามารถ และต้องมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีด้วย ดังน้ัน หลักของ.(Munsterberg).ได้ให้ความสาคัญกับ
เร่อื งนจี้ ึงจะไดบ้ ุคคลท่ีดีทส่ี ุดทีจ่ ะนามาทางานได้

แมรี่ พาร์กเกอร์ ฟอลเลท (Mary Parker Follett) ปีคริสต์ศักราช 1920–1930
แนวคดิ ของเธอคือศึกษาถึงจิตวิทยาความสัมพันธ์ในองค์การธุรกิจที่ประสานผลประโยชน์ของบุคคล
และองค์กร เธอได้เสนอแนะว่า “ทาสิ่งต่าง ๆ ด้วยจิตใจร่วมมือ”.(อานาจ ธีระนิช, 2553.:.84)
เป็นคาพูดที่ชัดเจนมากในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการทางานก็คือการท่ีคนเราจะทาอะไรต้องเต็ม
ใจทาและต้องร่วมมือร่วมใจในการทางานจึงจะเกิดผลสาเร็จ โดยต้องอาศัยการให้ความช่วยเหลือ
เข้าใจ เหน็ ใจ คดิ ดี ทาดีตอ่ กนั กอ่ ให้เกิดความรักใครส่ ามคั คี ยอ่ มทาให้เกดิ พฤติกรรมท่ี Mary กล่าวไว้ว่า
“ทาสิ่งตา่ ง ๆ ด้วยจติ ใจรว่ มมือ”.กจ็ ะนาไปส่คู วามสาเรจ็ ได้

แมกซ์ เวบเบอร์ (Max Weber) ปีคริสต์ศักราช 1864–1920.นักเศรษฐศาสตร์การเมืองและ
นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน.ได้เสนอแนวทางในการจัดองค์กร เพ่ือการบริหารที่มีประสิทธิภาพ
เกิดความเป็นธรรมมากท่ีสุด.(อานาจ ธีระนิช, 2553:79-81) หลักมนุษยสัมพันธ์ท่ี.Weber.นามาใช้
ก็คือการใ ห้บุคคลทา งานด้วยค วามสบาย ใจในการ ทางาน .ใน ส่ิงท่ีตนถนั ดและมีผู้บั งคับบัญช า
ตามสายงานท่ีคอยให้คาปรึกษาดูแลอย่างชัดเจน โดยหลักการบริหารงานบุคคลจะต้องมีคุณธรรม.
โดยยึดหลักการจากความรู้.ความสามารถของบุคคลท่ีเข้ามาทางานทาให้คนในองค์กรเกิดความรู้สึก
ในการบริหารงานบุคคลมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมทาให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในการเอาใจใส่ดูแล
และให้ความสาคัญบุคคลในองค์การให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นสบายใจก็จะส่งผลต่อการทางานที่ดี
ตอ่ องค์กรด้วย

เฮนรี่ เดนนิสัน.(Henry Dennison).เป็นผู้จัดต้ังแผนกบุคคลข้ึนในองค์การเป็นคนแรก
เชลดอน (Oliver Sheldon) เป็นผูเ้ ช่ือมปจั จยั การผลิต และปัจจัยมนุษย์เข้าด้วยกัน กระตุ้นนายจ้าง
ใ ห้ เ ห็ น ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง ลู ก จ้ า ง ค ว ร คิ ด อ ยู่ เ ส ม อ ว่ า ลู ก จ้ า ง คื อ บุ ค ค ล ท่ี ท า ใ ห้ กิ จ ก า ร ห รื อ อ ง ค์ ก ร
ขับเคลื่อนไปได้และสง่ ผลใหน้ ายจา้ งเกิดผลประโยชน์.ถา้ (สมใจ ลักษณะ, 2542:40) นายจ้างยึดหลัก
มนุษยสมั พนั ธ์ท่ีดีแล้ว และใหค้ วามสาคัญกับลกู จ้าง.ลูกจ้างกจ็ ะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อนายจ้าง.โดยการ
ตั้งใจทางาน ดังนน้ั จงึ ไมใ่ ช่เรื่องยากทจ่ี ะนาหลกั มนษุ ยสมั พนั ธม์ าช่วยในการทางานให้สาเร็จ

(จีราวัฒน์ คงแก้ว, 21 ธันวาคม 2557) บุญฤทธ์ิ มหามนตรี ประธานกรรมการ.บริษัท.
ไลอ้อน.(ประเทศไทย).จากัด.คนต้นคิด“องค์กรคนดี”.ท่ีเลือกใส่ “ความดี”.เข้าไปในคนและการ
ดาเนินธรุ กจิ ของพวกเขา.โดยเช่ือว่าส่ิงน้ีจะทาให้องค์กรไลอ้อนยืนหยัดอยู่ในแวดวงธุรกิจอย่างมั่นคง
และแขง็ แกร่งไปนานเทา่ นาน การจะไดร้ ับความรว่ มมือจากพนักงานให้ลุกขึ้นมาทาความดีโดยพร้อม

ความรูเ้ บือ้ งตน้ เกี่ยวกับมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ 25

เพรยี งกนั นั้น.บุญฤทธ์ิบอกวา่ ไมใ่ ช่เร่ืองของการบีบบังคับเพราะ.“ความดีบังคับไม่ได้”.แต่ต้องเป็นการ
สรา้ งตน้ แบบใหเ้ ห็น เปิดเวทีใหพ้ นกั งานทาความดี ไม่เพียงแค่ลดต้นทุน ความดีที่ใส่ไปในคนไลอ้อน.
ทาใหพ้ นักงานม.ี “ความสขุ ”.ความเครยี ดลดลง พร้อมจะสร้างผลงานทด่ี ใี หก้ ับองค์กร

(ตัน ภาสกรนที ผู้ชายตัน ตัน ที่ไม่เคยตัน, 21 ธันวาคม 2557) ตัน ภาสกรนที เป็นนัก
ธุรกิจผู้ก่อต้ังบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จากัด (มหาชน) เป็นนักธุรกิจท่ีมีความสามารถทางด้านการตลาด
และการจับใจดึงดูดลูกค้าได้กล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าหากเราทุกคนรู้จักแบ่งปันมอบโอกาสให้กันต่อไป.
จะเป็นการสร้างค่านิยมการช่วยเหลือเก้ือกูลกันในด้านธุรกิจเพ่ือขับเคล่ือนไปพร้อม ๆ กับความสุข
ของคนในสังคม”

(เปิดตัว (เปิดใจ) นักธุรกิจหม่ืนล้านสุดฮอตณัฐพล จุฬางกูร,.21.ธันวาคม 2557)
ณัฐพล จุฬางกูร.นักธุรกิจผู้ก่อต้ังบริษัทเครือซัมมิท ผลิตชิ้นส่วนยางอะไหล่รถและนักธุรกิจท่ีดิน
อสงั หาริมทรัพย์ มูลคา่ นับหมนื่ ลา้ นบาท นกั ธรุ กจิ หนมุ่ ผู้ประสบความสาเร็จจนได้ช่ือว่าเป็นนักธุรกิจ
หมื่นล้านกล่าวว่า."ถ้าตราบใดท่ีผมยังมีครอบครัว มีคนท่ีรักเรา.เงินไม่ใช่เรื่องที่สาคัญท่ีสุดในชีวิต
"ความผูกพัน" มากกว่าท่ีจะเป็นสิ่งยืดยาวและทาให้เรา มีความสุขอย่างแท้จริงและจะทุกข์ หรือสุข
ขึ้นอยู่กับใจของเราเอง ถ้ามีเงินเป็นพันล้าน.แต่ไม่มีครอบครัวอบอุ่น.ไม่มีคนรักและห่วงใยก็ไม่มี
ความสขุ อยดู่ ี"

(ปิติ ภิรมย์ภกั ดี ขุนพลโฆษณารุ่นใหม่ แห่งเบยี รส์ ิงห์, 21 ธนั วาคม 2557).ปิติ ภิรมย์ภักดี
นักธุรกิจทายาทธุรกิจเบียร์สิงห์ ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ในการประกอบธุรกิจไว้ว่า
กลยุทธ์ในการรักษาตาแหน่งผู้นา.ก็คือ.การทาตัวเป็นผู้นา ไม่ใช่ผู้ตาม มันเริ่มมาต้ังแต่เป้าหมาย
ต้องทาให้ตลาดมันมีความต่ืนเต้น มีการเคล่ือนไหวอยู่ตลอดเวลา.แต่เบ้ืองหลังการเป็นผู้นาในตลาด
น้ัน ต้องอาศัยบุคลากรในองค์กร ซึ่งคุณปิติจะให้เกียรติลูกน้อง.จากคาพูดที่ว่า.“การทางานท่ีดี
เราตอ้ งใหเ้ กยี รติท้งั ตัวเองและลูกน้องไมใ่ ช่เราเห็นวา่ หน้าทกี่ ารงานเราดีกว่าเขาแล้วเราจะเอาเปรียบ
เขา แ ล้ว เ ร าไป กดดั น เ ขา มัน ไม่ใช้ สิ่ งท่ีถูกต้อง ”.น้ี คือเ ห ตุผ ล ห น่ึ งท่ีทา ให้ อง ค์กร ธุ รกิจ ของ คุณปิ ติ
เจรญิ กา้ วหน้ามาถึงปจั จบุ นั ก็เพราะการสร้างมนุษยสมั พนั ธท์ ด่ี ีกับผ้ทู เี่ กย่ี วข้องรอบตัว

(จับเข่าคุยนักธุรกิจหนุ่มพันล้าน แม่สาย ประภาสะวัต, 21 ธันวาคม 2557) โจ แม่สาย.
ประภาสะวัต.ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์รายใหญ่และเป็นนายกสมาคมผู้ติดตั้ง
อุปกรณ์ใช้แก๊สสาหรับยานยนต์.นอกจากนี้ คุณโจ แม่สาย ยังทาธุรกิจเกี่ยวกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่
ตามอาคารตา่ ง.ๆ ซึ่งกจิ การเหลา่ นท้ี าใหป้ หี นง่ึ .ๆ มเี งินผา่ นมือนับพันล้านบาท.คุณโจถือเป็นผู้บริหาร
ท่มี อี ายนุ ้อย แตเ่ ขามีวิธีการจดั การบริหารลกู นอ้ ง โดยคุณโจ กล่าวว่า “ในสายตาของเขาไม่มีลูกน้อง
แต่ทุกคนคือผู้ร่วมทีมท่ีจะนาพาทีมไปสู่จุดหมายท่ีวางไว้ร่วมกัน ส่วนเขาเองมีหน้าที่บอกว่าใคร
จะต้องทางานส่วนไหนแค่นั้น และหากมีปัญหาก็ต้องช่วยเข้าไปแก้ไข ไม่ปล่อยให้พนักงานทางาน
อยา่ งเดยี วดาย”

จากท่ีกล่าวถึงจุดกาเนิดของมนุษยสัมพันธ์จนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนว่า มนุษย์ให้
ความสาคัญในการอยู่รวมกันเพราะการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมย่อมจะมีการพบปะพูดคุยกัน

26 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ

ติดต่อส่ือสารกัน ช่วยเหลือเก้ือกูลกันไม่มีมนุษย์คนใดท่ีจะสามารถอยู่ลาพังคนเดียวได้ ดังนั้นการมี
มนุษยสมั พันธ์จงึ เกิดข้นึ เพือ่ ใหม้ นุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสขุ

องคป์ ระกอบของมนุษยสัมพนั ธท์ างธรุ กิจ

มนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ในการหาวิธีการของพฤติกรรมท่ีเข้ากันได้อย่าง
มีความสุข ซึ่งมนุษยสัมพันธ์เป็นศาสตร์ในด้านความรู้เชิงวิชาการท่ีมีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน
น่าเช่ือถือและสามารถเป็นเหตุเป็นผลค้นคว้าหาคาตอบได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ส่วนมนุษยสัมพันธ์
เป็นศิลป์ในด้านการใช้พรสวรรค์ส่วนบุคคลร่วมกับวิชาการต่าง ๆ มาผสมกลมกลืนกับศิลป์ในการ
ติดต่อสัมพันธ์กับผู้อ่ืนสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับองค์กรหรือระหว่าง
องค์กรกับองค์กร เพื่อก่อให้เกิดความเคารพนับถือความจงรักภักดี ความสามัคคี ความสาเร็จในหน้าที่
การงานและความสุข ทั้งน้ีมีจุดประสงค์เพ่ือสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อให้ตนเองและผู้อื่นมี
ความสุขมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันและทางานกับผู้อื่น ดังน้ันจึงต้องให้ความสนใจมนุษย์ซ่ึงเป็น
ผู้ปฏิบตั ิงาน

ในฐานะเป็นแกนสาคัญของการทางาน มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจมีความต้องการ
มีความรู้สึก มีอารมณ์ มิใช่เป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์ หากได้รับการดูแลจากฝ่ายบริหารเป็นอย่างดี
อาจจะทาให้เพ่ิมประสิทธิภาพการทางานขึ้นมากกว่าเดิม ดังน้ัน องค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์
ทางธรุ กิจประกอบดว้ ย

มนุษยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

ศึกษาและคน้ หาตนเอง ศึกษาผู้อน่ื ศึกษาองค์กร

เข้าใจรูจ้ ักและยอมรับตนเอง เข้าใจผอู้ ่นื เข้าใจองคก์ ร

พฒั นาและปรบั ปรุงตนเอง ยอมรบั ผู้อนื่ ปรบั ตัวเข้ากับองคก์ ร

ตนเอง ผ้อู ่ืน สามารถอยใู่ นองคก์ ร
ได้อยา่ งกลมกลืนและมคี วามสขุ

ภาพท่ี 1.7 องคป์ ระกอบและผลของการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก วภิ าพร มาพบสขุ (2543:19)

ความรู้เบอ้ื งตน้ เกีย่ วกับมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 27

1. การเข้าใจ การยอมรับและปรับปรุงตนเอง หมายถึง การรู้ข้อดี ข้อเสีย และสามารถ
ยอมรับในพฤติกรรมของตนเองและพร้อมได้รับการพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้เกิดการยอมรับ
ในสังคมและประพฤติในส่ิงทดี่ ี ส่งผลใหต้ นเองและบุคคลรอบขา้ งมคี วามสุข

การเข้าใจตนเอง เป็นลักษณะการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงว่าตนเองเป็นใคร มีความรู้
ความสามารถทักษะ ประสบการณ์ในการทางานแค่ไหนระดับใด มีจุดแข็งคือความเก่งและจุดอ่อน
คือความไม่เก่งในด้านใดบ้างเร่ืองใดบ้าง เม่ือทราบถึงข้อดี ข้อเสียของตนเองแล้วก็จะต้องทาความ
เข้าใจและยอมรับในส่ิงท่ีตนเองเป็นไปได้ พร้อมที่จะพัฒนาข้อดีหรือจุดแข็งของตนเองให้ดียิ่งข้ึน
และปรับปรุงแก้ไขข้อเสียหรือจุดอ่อนของตนเองให้กลายเป็นจุดแข็งให้ได้ ส่ิงท่ีสาคัญในการเข้าใจ
ตนเองจะชว่ ยใหเ้ รารจู้ ักปรบั ตัวเข้ากบั บุคคลอื่นในองค์กรไดด้ ีมากขนึ้

2. การเข้าใจ การยอมรับและการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น.หมายถึง.การรับรู้และเข้าใจ
ในพฤติกรรมท่ีแสดงออกของผู้อ่ืน โดยที่ตนสามารถเข้าใจในสาเหตุแห่งพฤติกรรมและสามารถ
ปรบั ตัวใหเ้ ขา้ กบั พฤตกิ รรมดงั กลา่ วได้ด้วยความเตม็ ใจและสุขใจโดยไม่สง่ ผลเสยี ตอ่ บคุ คลอนื่

การเข้าใจบุคคลอ่ืน เป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของคน ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความ
ต้องการของบุคคล แรงจูงใจของบุคคล เพ่ือนาไปใช้ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นได้นานัปการ.เม่ือเรา
ต้องการไปติดต่อกับบุคคลใดเราต้องทราบก่อนว่าบุคคลนั้นเป็นใคร มีความรู้ ความสามารถ.ทักษะ
ประสบการณ์ทางด้านใด อยู่ในระดับใดชอบส่ิงใดไม่ชอบสิ่งใด โปรดปรานในส่ิงใดเป็นพิเศษ
มีคุณลักษณะท่ีเด่นทางด้านใดบ้าง เม่ือเราทราบถึงคุณลักษณะของบุคคลอ่ืนท่ีเราจะไปติดต่อแล้ว
จะต้องทาความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอ่ืน ซึ่งทาให้สามารถติดต่อกับบุคคลอื่นได้อย่าง
ราบรนื่

3. การเข้าใจและสามารถปรับตัวเข้ากับองค์กร หมายถึง การรู้ เข้าใจ และยอมรับ
สง่ิ แวดล้อมที่เกิดขน้ึ ในองคก์ รและสามารถปรับตวั ให้เขา้ กบั สงิ่ แวดล้อมนั้นด้วยความกลมกลืนอย่างมี
ความสขุ

การเข้าใจองค์กร เป็นการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมที่มีอยู่ในองค์กร และบุคคลอ่ืนซึ่งมีอิทธิพล
ต่อการทางาน เช่น ผู้บริหาร หัวหน้าฝ่าย เพ่ือนร่วมงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นส่ิงแวดล้อมที่ต้องให้
ความสาคัญและจาเป็นต้องเข้าใจถึงส่ิงแวดล้อมภายในองค์กร เมื่อเข้าใจสิ่งแวดล้อมแล้วก็จะต้อง
ยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้ได้ก็จะสามารถสร้างมุนษยสัมพันธ์
การทางานในองคก์ รอย่างมคี วามสขุ ได้

4. ตนเอง ผู้อื่น สามารถอยู่ในองค์กรได้อย่างกลมกลืนและมีความสุข หมายถึง
ผลของการศึกษาค้นหาตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อมในองค์กร เพื่อให้เกิดความเข้าใจและรู้จักตนเอง
ยอมรับในพฤติกรรมผอู้ น่ื และสามารถปรับตวั ให้เขา้ กับส่ิงแวดล้อมได้อยา่ งมคี วามสุข

จากกระบวนการท่ีกล่าวมาข้างต้นย่อมนามาซ่ึงการที่ตนเองและบุคคลในองค์กรต้อง
สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานและองค์กร ซึ่งการปรับตัวให้มีความสมดุลน้ัน
เป็นความสามารถทางจิตใจของบุคคลท่ีจะปรับตัวให้มีความสุขเข้ากับสังคมและองค์กรได้ด้วยดี

28 มนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ

มีสัมพันธภาพท่ีดีงามกับบุคคลอ่ืนและสามารถดาเนินชีวิตด้วยความสุขสบายใจ รวมท้ังสามารถ
ตอบสนองความต้องการของตนเองในสังคมทก่ี าลังเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีความขดั แย้งภายในจิตใจ

จากแผนภาพแสดงองค์ประกอบและผลของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ แสดงให้
เห็นว่า การที่จะสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจร่วมกันน้ันต้องเร่ิมที่ตนเองก่อนแล้วจึงทาความเข้าใจ
บุคคลรอบข้างในองค์กรจนสามารถปรับตัวให้เข้ากับองค์กรในการทางานได้ ซึ่งปัจจัยท้ังหมด
บคุ ลากรในองคก์ รควรให้ความสนใจและตระหนักในการยดึ ถือเปน็ แนวปฏิบัติในการสร้างองค์กรให้มี
ความสขุ ในการอยูร่ ่วมกันและการทางานรว่ มกัน

แนวทางการศึกษามนุษยสมั พันธเ์ พือ่ ประกอบธุรกจิ

จากการศึกษาทฤษฎีและตาราท่ีเก่ียวข้องเก่ียวกับแนวทางการศึกษามนุษยสัมพันธ์
ของผเู้ ขียน เพ่อื ใหผ้ ูศ้ กึ ษามีแนวทางในการเข้าใจเก่ียวกับมนุษยสมั พันธ์และสามารถนาไปประยุกต์ใช้
ในการดาเนนิ ชีวิตในสงั คมให้มคี วามสุขและนาไปใช้ในการประกอบธรุ กิจใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ได้

เนื่องจากมนุษยสัมพันธ์เป็นศาสตร์ท่ีต้องอาศัยความรู้จากศาสตร์อ่ืน ๆ เช่น จิตวิทยา
สังคมวิทยา มานุษยวิทยา เป็นต้น ซ่ึงความรู้เหล่านี้จะประกอบด้วยทฤษฎีหรือหลักวิชาการท่ีมี
หลักเกณฑ์และวิธีการต่าง.ๆ.ท่ีบุคคลแต่ละคนจะนามาบูรณาการกับความสามารถเฉพาะตัว
ต้องเข้าใจสภาพธรรมชาติและหน้าท่ีขององค์กร พฤติกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน
ภายในองคก์ ร ลักษณะและรูปแบบต่าง.ๆ.ขององค์กร เพื่อประยุกต์แนวทฤษฎีและแนวปฏิบัติให้เกิด
การมีมนุษยสัมพันธ์ขึ้น ดังนั้นแนวทางการศึกษามนุษยสัมพันธ์เพื่อประยุกต์ใช้ในทางธุรกิจ
จึงสามารถปฏิบตั ไิ ด้ 2 แนวทาง

1. แนวทางทฤษฎี คือ การศึกษาทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ ทางจิตวิทยา สังคมวิทยา
การบริหาร และศาสตร์อ่ืน ๆ เพ่ือให้ได้ความจริงเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจว่ามีธรรมชาติในการ
ประกอบธุรกิจเป็นอย่างไร มีความต้องการทางร่างกายและจิตใจของบคุลลที่เก่ียวข้องท้ังภายใน
และภายนอกองค์กรธุรกิจอย่างไร และมีพฤติกรรมและการดารงชีวิตในลักษณะใด เพ่ือจะได้ทราบ
หลักวิชาในการปฏิบัติต่อกันได้ถูกต้องเหมาะสมและสามารถนาหลักวิชาการเหล่านี้ ไปฝึกปฏิบัติ
ตอ่ ไป

2. แนวทางปฏิบัติ คือ.การนาความรู้ในภาคทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิทยา สังคมวิทยา
มานุษยวิทยาการบริหารและศาสตร์อื่น.ๆ.ไปฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถสร้าง
สัมพันธภาพกันระหว่างบุคคลได้ดีข้ึน รวมทั้งมีพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อการประกอบธุรกิจและทา
กจิ กรรมต่าง ๆ รว่ มกบั ผูอ้ ื่นไดด้ ี

ความร้เู บ้อื งต้นเก่ยี วกบั มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 29

เม่ือบุคคลอยู่ร่วมกันในองค์กรแล้วจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อกันอย่างไร แนวทางท่ีบุคคล
โต้ตอบกันนั้นเน้นศิลปะในการปฏิบัติต่อกัน โดยอาศัยหลักทฤษฎีในแนวทางแรกศึกษาธรรมชาติ
ของบุคคล ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด ประเพณี วัฒนธรรมและอื่น ๆ ว่าเหมือนกัน
หรอื แตกตา่ งกนั เพ่ือให้บคุ คลสามารถทางานรว่ มกันได้อยา่ งราบร่นื ปราศจากความขดั แย้ง

จากแนวทางการศึกษามนษุ ยสมั พนั ธ์เพอ่ื ใชใ้ นการประกอบธุรกิจ พบว่ามีแนวทางท่ีจะใช้
บูรณาการในการประกอบธุรกิจทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งผู้นาองค์กรธุรกิจจาเป็นต้องให้
ความสนใจและใส่ใจท่ีจะศึกษาทั้งในส่วนทฤษฎีที่ต้องมีหลักในการยึดถือเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
กับบุคคลรอบข้างทางธุรกิจและสามารถนาหลักทฤษฎีมาสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมและนาพา
องค์กรไปสู่จุดมุ่งหมายขององค์กรได้คือกาไรและทุกคนที่เก่ียวข้องมีสัมพันธภาพท่ีดีในการประกอบ
ธรุ กิจตอ่ ไป

วิชามนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจเน้นความสาคัญของเนื้อหา 5.ประเด็น เพ่ือประยุกต์ใช้
ในการประกอบธุรกจิ คือ

1. การพัฒนาศักยภาพของตนเอง (Self-Development) หมายถึง การศึกษาตนเอง
เพ่ือให้รู้ เข้าใจ ยอมรับตนเองและพัฒนาตนเองตามศักยภาพที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ให้ตนเป็นผู้ประกอบการธุรกิจท่ีดีและมีประสิทธิภาพขององค์กร การรู้จักตนเองและ
เขา้ ใจตนเองอยา่ งถูกต้องจะเป็นปัจจัยสาคญั ทส่ี ดุ ในการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ การรู้จักตนเองจะนาไปสู่
การพัฒนาและปรับปรุงตนเอง ดงั น้ัน วชิ ามนษุ ยสมั พันธ์จึงตอ้ งกลา่ วถึงเนื้อหาสาระครอบคลุมเร่ืองน้ี
และกล่าวเน้นถึงเร่ืองน้ีซ่ึงหัวข้อที่สาคัญท้ังในภาคทฤษฎีและการได้ฝึกปฏิบัติ เพ่ือให้บุคคลสามารถ
ตรวจสอบและประเมินตนเองได้ถูกต้อง เพื่อจะนาไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขตนเองได้ถูกต้อง
เหมาะสม เพื่อให้เป็นบุคคลท่ีมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลโดยท่ัวไปและในการประกอบธุรกิจ ทาให้
เกิดความรู้สึกว่าตนมีค่า จากการมีความสัมพันธ์และได้รับการยอมรับจากผู้อ่ืน เป็นต้นว่าความคิด
เห็นของเราได้รับการยอมรับจากผู้อ่ืน เราสามารถจะช่วยเหลือผู้อ่ืนได้ จะทาให้เกิดความภาคภูมิใจ
ในตนเองรูส้ กึ วา่ ตนมคี ่า

2. การเรียนรู้ความรับผิดชอบ (Responsibility) ความรับผิดชอบ หมายถึง การปฏิบัติ
หน้าท่ีของตนใหส้ าเร็จตามเป้าหมาย ผลของความสาเร็จจะสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติงานน้ันเสร็จ
ทันเวลาและผู้ปฏิบัติพร้อมท่ีจะรับผลการกระทาของตน ไม่ว่างานนั้นจะดี เลว สมบูรณ์ หรือ
บกพร่อง บุคคลแต่ละคนจะเรียนรู้ความรับผิดชอบของตนเอง ต่อหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายในการ
ปฏิบัติงาน ในองค์กรร่วมกับผู้อ่ืน ต่อสังคมและต่อประเทศชาติ การเรียนรู้ความรับผิดชอบ
ตามหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายในการปฏิบัติงาน ในการทางานร่วมกันเพื่อให้งานน้ันบรรลุเป้าหมาย
อย่างดีทสี่ ดุ

3. การติดต่อส่ือสาร (Communication).การติดต่อสื่อสารจะช่วยถ่ายทอดเจตนารมณ์
ความรู้สึก ทัศนคติ ค่านิยม และข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพ่ือให้บุคคลเกิดความเข้าใจตรงกัน ทาให้รู้
ข้อเท็จจริงและรู้อารมณ์ความรู้สึก ซ่ึงจะเป็นพื้นฐานสาหรับการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างบุคคล

30 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

ระหว่างกลุ่ม และระหว่างองค์กร หากองค์กรใดมีการติดต่อส่ือสารที่ไม่มีประสิทธิภาพองค์กรน้ันก็จะ
ไม่สามารถคงอย่ไู ด้ ถ้าผู้จัดการไม่สามารถสื่อสารกับพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงไม่สามารถที่จะ
จูงใจพนักงานให้ร่วมมือร่วมใจกันทางานได้ ครอบครัวใดหรือชุมชนใดหากขาดการติดต่อสื่อสารท่ีดี
ตอ่ กันก็ยอ่ มเกดิ ผลเสียตอ่ การมีความรัก ความศรทั ธา กาลังใจและความสามัคคีกลมเกลียวที่ดีต่อกัน
ฉะนั้นการติดต่อส่ือสารจึงถือว่าเป็นหัวใจสาคัญในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในทุก ๆ
องค์กร การศึกษาวิธีการถ่ายทอดข้อเท็จจริงและอารมณ์ความรู้สึกที่จะทาให้เกิดความสัมพันธ์อันดี
ในกลมุ่ ใหก้ ล่มุ ได้มีความเห็นสอดคล้องกนั และมีความเขา้ ใจตรงกนั

4. การจูงใจ.(Motivation).การจูงใจเป็นปัจจัยท่ีช่วยผลักดันให้มนุษย์เกิดพฤติกรรม
ต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ เช่น กระตุ้นให้บุคคลเข้าร่วมกิจกรรม กระตุ้นให้บุคคลพูดคุย
สนทนา กระตุ้นให้บุคคลขยันเรียน กระตุ้นให้บุคคลมีความมานะอดทน กระตุ้นให้บุคคลอยาก
ทางาน เปน็ ต้น

การศึกษาการจูงใจของตนเองและการจูงใจผู้อื่นให้มีทัศนคติตรงกัน มีจุดหมายร่วมกัน
เพื่อจุดประสงค์ในการทางานร่วมกันในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนถึงการจูงใจตนเอง
ใหม้ รี ะเบียบและความรับผิดชอบในการทางาน

จากตัวอย่างของการจูงใจเหล่าน้ี จะเห็นได้ว่า การจูงใจเป็นกระบวนการท่ีมีบทบาทสาคัญ
ที่สุดประการหนึ่งท่ีจะช่วยกระตุ้นให้บุคคลรู้จักสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะพลังอานาจของ
การจูงใจจะกระตุ้นให้บุคคลทาตามสิ่งท่ีเขาต้องการ ดังน้ัน การศึกษาเรื่องการจูงใจจึงเป็นส่ิงจาเป็น
ท่ีทุ ก ค น คว ร ท า คว า ม เ ข้ าใ จ แ ล ะจ ะต้ องช่ ว ย กั น สร้ า ง แ รง จู ง ใ จใ น เ ชิ ง สร้ า ง ส รร ค์ ต่ อกัน แ ล ะกั น
โดยเฉพาะในครอบครัว ในสังคม และในองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวอยู่ร่วมกัน
ด้วยความรัก ความอบอุ่นและเป็นพื้นฐานของการมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นบุคคลท่ีมีมนุษยสัมพันธ์
และพร้อมท่ีจะนาไปใชก้ บั เพอ่ื นมนุษย์ในสงั คมและในองค์การในการประกอบธุรกิจต่อไป

การท่ีบุคคลในองค์กรมีความสัมพันธ์กันตามท่ีเป็นอยู่เป็นเพราะเขาถูกกระตุ้นโดยพลัง
ทางจิตวิทยา ทางสังคม และทางเศรษฐกิจซึ่งมีอานาจท่ีจะกระตุ้นให้เขาทาส่ิงนั้นสิ่งนี้ในลักษณะ
น้ัน ๆ โดยเฉพาะ เมื่อเกิดมีการขัดแย้งในแรงจูงใจในคนงาน องค์กรจะเกิดการแตกร้าว เป็นที่
ประจกั ษ์วา่ ถา้ หวั หน้าและคนงานต่างกม็ ีแรงจูงใจทเ่ี หมาะสมในการทางานแลว้ ผลผลิตจะเพมิ่ ข้ึน

5. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา.(Empathy).คือการแสดงความรู้สึกเห็นใจและเข้าใจ
คนอื่นไม่ว่าผู้อื่นจะอยู่ในสภาพทุกข์หรือสุข เศร้าโศกหรือมีความสุข และเสียใจหรือดีใจ การแสดง
ความเห็นใจและเข้าใจต่อผู้อ่ืน อาจแสดงออกทางวาจา สีหน้าหรือกิริยาท่าทาง ซึ่งจะมีผลทาให้
ผู้อน่ื เกดิ ความสุขความสบายใจที่ร้วู า่ มคี นมาเอาใจใสต่ อ่ ตนเอง ซึ่งยอ่ มเป็นส่งิ ที่ทาให้เกิดสัมพันธภาพ
ที่ดีต่อกัน การขาดการเอาใจเขามาใส่ใจเราหรือการไม่มีความเห็นใจต่อกัน ย่อมจะเป็นสาเหตุของ
ความขัดแย้ง การบาดหมาง หรือการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ในสังคม หรือ ในองค์กรได้ ดังนั้น จึงถือ
ได้ว่า การเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นคุณสมบัติอีกประการหน่ึงที่จาเป็นสาหรับบุคคลทุกคนในการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ การขาดการเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นสาเหตุแรกของการขัดแย้งในองค์กร การเอาใจ

ความรเู้ บือ้ งตน้ เก่ยี วกบั มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ 31

เขามาใส่ใจเราเป็นคุณสมบัติสาคัญของผู้ไกล่เกล่ียความแตกร้าวของการขัดแย้งกันทางแรงงาน
การเห็นใจหรือเข้าใจความต้องการของผู้อ่ืน (Empathization) การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ตอ้ งศกึ ษาความแตกตา่ งของแต่ละบุคคลและตระหนักถงึ ปญั หาของแต่ละคนซงึ่ ไมเ่ หมือนกัน

จากความสาคัญของเนื้อหาวิชามนุษยสัมพันธ์ ทางธุรกิจเป็นภาพสะท้อนว่า
วิชามนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจมีความสาคัญและมีประโยชน์อย่างมหาศาลกับธุรกิจ กับบุคคลทุกคน
กับสังคมทุกสังคม กับองค์กรทุกองค์กร กับประเทศทุกประเทศ เป็นเหมือนกลยุทธ์ที่ทาให้การอยู่
ร่วมกันของคนในสังคม การอยู่ร่วมกันขององค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์และเนรมิตให้ทุกส่วน
ท่เี กย่ี วขอ้ งเกดิ ความสุขและมีรอยยม้ิ ในการท่ีอย่รู ว่ มกันด้วยความอม่ิ เอมใจ

สรปุ ท้ายบท

ใ น ก า ร ศึ ก ษ า วิ ช า ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ ท า ง ธุ ร กิ จ นั้ น จ า เ ป็ น ต้ อ ง มี ค ว า ม รู้ พ้ื น ฐ า น เ กี่ ย ว กั บ
มนุษยสัมพันธ์ เพ่ือเป็นแนวทางการศึกษาและเป็นพ้ืนฐานในการศึกษาสามารถนามาประยุกต์ใช้
ในการดาเนนิ ชวี ติ ประจาวันและการประกอบธุรกจิ ให้ประสบความสาเร็จต่อไป

มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ขอมนุษย์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ท่ีเหมาะสมทจี่ ะทาให้เกิดความพอใจและเข้าใจกันในการใชช้ ีวิตร่วมกัน

ธุรกิจ หมายถึง กระบวนการบริหารจัดการโดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ผ่านกระบวนการ
ผลิตให้เกิดเป็นสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของ
ผู้บริโภคโดยอาศัยกระบวนการทางการตลาดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์และส่งมอบสินค้าและ
บริการ เพอื่ ให้ถึงมอื ผู้บริโภค (Right Man) ในสภาพใช้งานได้ (Right Product) ถึงสถานที่ท่ีกาหนด
(Right Place) ในเวลาที่กาหนด (Right.Time) และคุณภาพตรงต่อความต้องการของลูกค้า
(Right Quality) และหน่วยธรุ กิจมีความพรอ้ มเผชิญกบั ความเส่ยี งในการขาดทนุ หรอื การได้กาไร

มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ หมายถึง การใชศ้ าสตรแ์ ละศิลป์ของมนุษย์ในการประกอบธุรกิจ
เพ่ือสร้างความสัมพันธ์ท่ดี ี ท่เี หมาะสมภายในองคก์ รและนอกองคก์ ร ทจ่ี ะทาให้มนุษย์เกิดความพอใจ
และเข้าใจกันในการใช้ชีวิตร่วมกันในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีความสุขและ สมารถบรรลุ
วัตถุประสงค์ขององคก์ รคือกาไรด้วยหลกั มนุษยสัมพันธ์

ในการดาเนินธุรกิจในปัจ จุบันย่อมต้องอาศัยหลักมนุ ษยสัมพันธ์เข้ามาบู รณากา ร
เพ่ือให้ดาเนินธุรกิจได้อย่างมีความสุข ซึ่งจุดมุ่งหมายของมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจจึงมีความสาคัญ
ต่อการดาเนินชีวิตในครอบครัวทา มีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตในสังคม มีความสาคัญต่อการ
ดาเนินชีวิตในองค์กร มีความสาคัญต่อการดาเนินธุรกิจและมีความสาคัญต่อการบริหารประเทศ
อีกด้วย โดยมีปรัชญาพ้ืนฐานของมนุษยสัมพันธ์ คือ มนุษย์ทุกคนมีศักด์ิศรี มนุษย์ต้องการการจูงใจ
มนุษย์มคี วามแตกต่างกัน

32 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ

ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ ท า ง ธุ ร กิ จ มี ป ร ะ โ ย ช น์ กั บ ธุ ร กิ จ ใ น ด้ า น ท า ใ ห้ เ ข้ า ใ จ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
และพฤติกรรมของมนุษย์ เกิดความร่วมแรงร่วมใจ มีความสามัคคีในการทากิจกรรมร่วมในองค์กร
ให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยดี เกิดความสงบสุขราบร่ืนในการอยู่ร่วมกันลดปัญหาความ
ขัดแยง้ ท่เี กิดขน้ึ ในสงั คมและการทางาน กอ่ ให้เกิดขวญั และกาลังใจในการทางานมากยิ่งขึน้

มนุษยสัมพันธ์มีองค์ประกอบท่ีจะทาให้สามารถอยู่ร่วมกันในองค์กลได้อย่างกลมกลืน
และมีความสุข คือ ต้องศึกษาและเข้าใจตนเองสามารถยอมรับตนเองและพัฒนาปรับปรุงตนเองได้
นอกจากนี้ยังต้องศึกษาและทาความเข้าใจผู้อื่นยอมรับผู้อ่ืนได้ ตลอดจนในการทางานในองค์กร
จะต้องศึกษาและทาความเข้าใจองค์กรเพื่อปรับตัวให้สามารถเข้ากับองค์กรและคนในองค์กรได้
จนทาใหต้ นเองและผ้อู นื่ สามารถอยใู่ นองค์กรได้อยา่ งกลมกลืนและมีความสุข

เม่ือมนุษย์สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ก็ย่อมทาให้มนุษย์รักใคร่ ชอบพอ
นับถือ ห่วงใย และมีความศรัทธาต่อกัน รวมทั้งมีการให้ความช่วยเหลือท้ังเร่ืองส่วนตัว การทางาน
และกิจกรรมต่าง ๆ ให้ดาเนินก้าวหน้าต่อไปด้วยดี ดังนั้นมนุษยสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่มีความสาคัญ
และมีความจาเป็นสาหรับทุกคน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็ตาม อย่างไรก็ดีการท่ีจะเข้าใจหลัก
และเทคนิควิธีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ได้ดีนั้น บุคคลควรเรียนรู้และทาความเข้าใจถึงความรู้
ในภาคทฤษฎีของมนุษยสัมพันธ์เสียก่อน เพ่ือนาความรู้เหล่าน้ีไปฝึกปฏิบัติและใช้ได้อย่างเหมาะสม
จึ ง จ ะ มี ผ ล ท า ใ ห้ บุ ค ค ล น้ั น ส า ม า ร ถ พั ฒ น า คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ใ น ก า ร อ ยู่ ร่ ว ม กั บ ผู้ อ่ื น ใ น สั ง ค ม ไ ด้ ดี
และการประกอบธุรกิจ หากใช้มนุษยสัมพันธ์มาส่งเสริมและสนับสนุน ก็จะทาให้การประกอบธุรกิจ
สาเร็จได้มากยิ่งข้ึนเช่นเดียวกัน.จึงอาจกล่าวได้ว่า.“มนุษยสัมพันธ์เป็นภารกิจส่วนตัวของบุคคล
ทกุ คนทตี่ อ้ งดูแลเอาใจใส่และพงึ กระทาตลอดเวลา เพ่อื ประโยชนส์ ุขของตนเอง ของผู้อื่น ขององค์กร
ของสงั คมและประเทศชาติ”

ความรเู้ บือ้ งตน้ เกย่ี วกับมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ 33

กรณศี ึกษา บทที่ 1
ทาไมไ่ ด้หรอื ไมไ่ ด้ทา

ณ บริษัท ผลิตเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง มีคุณการะเกด เป็นพนักงานอาวุโส โดยที่เธอทางานมา
กว่า 15 ปี และเธอก็เป็นพนักงานที่มีอายุมากท่ีสุดในบริษัท แต่เธอยังเป็นพนักงานปกติ ไม่สามารถ
ขน้ึ เป็นหัวหนา้ งานได้เลย เมอื่ เทยี บกับพนักงานทเี่ ขา้ มาใหม่ไดส้ ัก 2-3.ปี พวกเขาเหล่านั้นก็จะพัฒนา
และปรับปรุงตนเองใหเ้ กดิ ผลงานจนได้เล่อื นเป็นหวั งานและตาแหนง่ ทสี่ งู ขึน้ ไป

การท่ีคุณการะเกดไม่สามารถขึ้นเป็นหัวหน้างานได้ เนื่องมากจากเธอมักทางานตาม
หนา้ ท่เี ทา่ นั้น เสร็จแล้วเสร็จเลยไม่เคยคิดที่จะหาวิธีการทางานใหม่ ๆ ท่ีจะทางานให้มีประสิทธิภาพ
ให้มากข้ึน โดยเมื่อยามว่างเธอจะเปิดอินเตอร์เน็ตเล่นเพื่อผ่อนคลายความเครียด พอมีงานเธอก็ทา
ให้เสร็จแล้วก็เล่นอินเตอร์เน็ต เธอทาแบบน้ีเป็นประจามาโดยตลอด อีกท้ังในบางโอกาสท่ีหัวหน้า
งานมอบหมายงานให้เธอทา เธอก็จะมักบอกปัดงานโดยให้เหตุผลว่าเธอทากาลังทางานอยู่หลายงาน
จึงไม่ขอทางานที่หัวหน้าได้มอบหมาย ซึ่งเป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเธอ เหตุผลที่เธอตอบ
แบบนั้นเพราะเธอไม่สามารถทางานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ซ่ึงตามอายุงานแล้วเธอต้อง
สามารถทาไดแ้ ล้ว แตด่ ว้ ยเธอไมเ่ คยใสใ่ จและสนใจจึงทาใหเ้ ธอไมส่ ามารถทางานได้

ในบางครง้ั ท่ีทางโรงเรยี นของลูกคุณการะเกด นัดทากิจกรรม เธอไม่เคยปฏิเสธ โดยที่เธอ
กจ็ ะรีบลาทนั ทีและไปทากจิ กรรมกับลกู ของเธอไมว่ ่ากิจกรรมนั้นเล็กหรือใหญ่ สาคัญไม่สาคัญ เธอไป
หมดโดยไม่คานึงว่างานทางบริษัทจะมีมากน้อยแค่ไหน เพราะในบางคร้ังบริษัทมีคาสั่งซ้ือจากลูกค้า
มามาก ซึ่งต้องเร่งการผลิตและช่วยกันทางานให้เสร็จทันเวลา โดยพนักงานท้ังหมดต้องทางาน
ล่วงเวลา แต่เธอกลับทาตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนลาหยุดไปทากิจกรรมกับลูกโดยไม่สนใจเร่ืองภายใน
บริษทั เลย

คาถาม
1. ท่านคดิ วา่ คุณการะเกดมีขอ้ เสยี อะไรบา้ งในการทางานในองค์กรธรุ กจิ
2. ทา่ นคดิ วา่ คณุ การะเกดต้องปรับปรงุ ตัวอย่างไรกับการอยู่ในองค์การธรุ กจิ
3. ท่านคิดว่าบุคคลในองค์กรธุรกิจควรมีลักษณะอย่างไรที่จะทาให้องค์กรประสบ
ความสาเร็จ

34 มนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ

กรณีศึกษา บทท่ี 1
ปากหวานกน้ เปรีย้ ว

คุณพิมพา เป็นเจ้าของบริษัทส่งออกเคร่ืองหนังของประเทศ คุณพิมพา เป็นผู้หญิงเก่ง
ฉลาดหลักแหลม มีความรู้ ความสามารถสูงเม่ือเปรียบเทียบกับนักธุรกิจส่งออกด้วยกัน จนทาให้
บริษทั ของเธอประสบความสาเรจ็ ในการส่งออกเคร่ืองหนงั ของประเทศ

ภายในความสาเร็จดังกล่าว เกิดจากการทางานด้วยความรอบคอบ วางแผนอย่างรัดกุม
ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการบริหารงานในแต่ละส่วน ซ่ึงเกิดจากการติดตามงานของเธออย่างใกล้ชิด
ทุกขนั้ ตอน ทาให้พนักงานแต่ละแผนกเกิดความเครียด กดดันและเม่ือยามท่ีพนักงานมานั่งปรับทุกข์
กันก็จะพูดถึงคุณพิมพาอยู่บ่อยครั้ง โดยประเด็นท่ีพนักงานแต่ละแผนกมาปรับทุกข์กันคือ
คุณพวงพะยอมมักบังคับขู่เข็ญ ใช้อานาจกดดันหรือบางครั้งใช้ภาษาตาหนิท่ีค่อนข้างแรง โดยไม่นึก
ถึงจิตใจของพนักงานเลย แค่ต้องการให้งานสาเร็จเท่าน้ันเป็นพอ ส่งผลให้พนักงานไม่พอใจ
แต่พนักงานจะไม่แสดงออกให้คุณพิมพาเห็นว่าไม่พอใจ ทุกครั้งท่ีได้พบเจอคุณพิมพา พนักงานก็จะ
แสดงกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาไพเราะด้วยดี แต่ในใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นและก็ไม่อยากจะปฏิบัติ
แบบน้ันด้วย ทุกคนต่างก็อดทนที่จะทางานในบริษัทแห่งนี้ด้วยความขมขืน กดดันและอึดอัด
เนอ่ื งจากพนักงาน บางคนไมม่ ที ไี่ ป พนักงานบางคนมีที่ไปก็จะลาออกไปทางานที่อื่น จึงทาให้บริษัท
มีคนเข้าออกอยูเ่ ปน็ ประจา

ในบางคร้ังคุณพิมพา มักจะพูดให้ความหวังกับพนักงานที่ทางานดีแต่มีที่ท่าว่าจะลาออก
ถ้าทางานอีกสักพักก็จะปรับตาแหน่งที่สูงให้ ในขณะเดียวกันก็บอกกับพนักงานอีกหลายคน
เช่นเดียวกัน ซึ่งตาแหน่งดังกล่าวมีเพียงตาแหน่งเดียว ทาให้ผู้ที่พลาดตาแหน่งรู้สึกเสียความรู้สึก
ผิดหวังและหมดกาลังใจใน การทางาน แต่พนักงานก็ไม่กล้าแสดงอาการไม่พอใจเมื่อต้องพบกับ
คณุ พิมพาและคุณพมิ พากท็ าหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกดิ ขึ้น

คาถาม
1. ทา่ นคดิ วา่ คณุ พมิ พา สมควรเปน็ ผบู้ รหิ ารหรือไมเ่ พราะอะไร
2. ถ้าท่านเป็นเพื่อนคุณพิมพา ท่านจะแนะนาให้คุณพิมพาปรับปรุงตนเองอย่างไรในการ

ทางานและสร้างมนษุ ยสัมพนั ธท์ ด่ี ีกับพนักงานภายในบริษัทให้ประสบความสาเร็จท้ังด้านการทางาน
และการบรหิ ารคน

ความรูเ้ บ้ืองตน้ เก่ียวกับมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกจิ 35

กิจกรรม บทท่ี 1
เกม ภาพใครเอ่ย

วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ให้เกดิ ความสนกุ สนาน

2. เพือ่ ฝึกใหส้ รา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คล

3. เพือ่ ฝึกให้ทุกคนไดร้ ูจ้ ักกันมากขึ้น

4. เพ่อื ฝึกทักษะการสังเกต

จานวนผู้เล่น 20-30 คน

อปุ กรณ์ กระดาษ A4 เทา่ จานวนผู้ทากจิ กรรม

สถานท่ี หอ้ งเรยี น

เวลา 20 - 30 นาที

วิธเี ล่น 1. ผู้นากจิ กรรมแจกกระดาษใหผ้ ้ทู ากจิ กรรมทุกคน

2. ผู้นากิจกรรมช้ีแจงว่า ให้ทุกคนวาดภาพหน้าตาตัวเองให้เหมือนท่ีสุด

3. เมื่อผู้ทากิจกรรมวาดหน้าตัวเองเสร็จ ผู้นากิจกรรมเก็บรูปภาพทั้งหมด

4. ผนู้ ากิจกรรมนารปู ภาพแจกใหก้ ับผู้ทากจิ กรรมทกุ คน.โดยตอ้ งไมไ่ ด้รปู ตวั เอง

5. ผู้นากิจกรรมบอกให้ผู้ทากิจกรรมไปตามหาคนในรูปให้เจอ แล้วถามข้อมูล

ดังต่อไปน้ี ภายในเวลา 3.นาที ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ชอบรับประทานอาหารอะไร

ชอบรับประทานผลไม้อะไร ชอบรบั ประทานขนมอะไร ชอบสีอะไร มคี ติประจาใจคืออะไร

6. ผู้นากจิ กรรมสุ่มบางคู่ใหแ้ นะนาเพ่อื นทีละคู่

7. ผูน้ ากิจกรรมถามผู้รว่ มกจิ กรรมไดอ้ ะไรจากการเล่นกจิ กรรม

8. ผูน้ ากจิ กรรมสรุปวัตถุประสงคข์ องกิจกรรม

36 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

แบบฝึกหัด บทที่ 1

คาช้ีแจง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพิจารณาว่าข้อความน้ันถูกหรือผิด ถ้าถูกให้ทา
เครอ่ื งหมาย √ ถา้ ผดิ ให้ทาเครือ่ งหมาย X ลงหน้าข้อความในแตล่ ะข้อ
1. ธุรกิจในความหมายทางพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง การงานประจา

เก่ยี วกับอาชพี ค้าขายหรือกิจการอยา่ งอน่ื ท่สี าคัญและที่ไม่ใชร่ าชการ
2. หัวใจของศาสนาพุทธ คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ได้แก่ การทาความดี ละเว้นการทา

ความชวั่ และความดีใหบ้ รสิ ทุ ธิ์
3. “ให้รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่ผูกพยาบาท มีใจปราณี รักผู้อ่ืนแม้เป็นศัตรู”

คือหลกั คาสอนของศาสนาครสิ ต์
4. “มนุษย์เมื่อเกิดก็เปรียบเสมือนกระดาษท่ีว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย”.เป็นคากล่าวของ

จอหน์ ล็อค (John Lock) ซง่ึ เป็นนักปรชั ญาชาวองั กฤษ
5. “ทาไมเขาจะตอ้ งทางานมากกว่าบุคคลอื่นท้ังท่ีได้รับค่าตอบแทนเท่ากัน” คือแนวคิด

เก่ยี วกับการบริหารจดั การของเจมส์ ดี มนู ยี ์ และ อแลน ซี ริลีย์ (James D. Mooney และ Alan C.
Reiley)

6. บุคคลท่ีประสบความสาเร็จ มักให้ความสาคัญกับมนุษยสัมพันธ์ เพราะการมี
มนษุ ยสมั พนั ธ์ สามารถทาให้มีชีวติ อย่ใู นสังคมไดอ้ ย่างมีความสขุ ทัง้ ต่อตนเองและผู้อื่น

7. มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลท่ีเกิดข้ึนในองค์กรใดองค์การ
หนง่ึ เพ่อื ให้บุคคลเกิดความร่วมมือในการทางานที่จะนาไปสู่ความสาเร็จขององค์กรและสร้างความ
เข้าใจอนั ดตี ่อกันระหวา่ งบคุ คล ในองคก์ รเป็นคากลา่ วของ วิภาพร มาพบสขุ

8. มนษุ ยสมั พนั ธเ์ ปน็ การใช้ศาสตร์อยา่ งเดยี ว ในการหาวธิ ีการของพฤติกรรมที่เข้ากันได้
อยา่ งมคี วามสขุ

9. ตนเอง ผู้อ่ืน สามารถอยู่ในองค์กรได้อย่างกลมกลืนและมีความสุขเป็นผลของการ
สร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ

10. มนุษย์มีความเหมือนและความแตกต่างกันอยู่ในตัวแต่ละบุคคล.ในความเหมือน
คอื มนษุ ย์ทุกคนมคี วามเปน็ มนุษยเ์ หมือนกนั มคี วามตอ้ งการขนั้ พื้นฐานเหมือนกัน

11. พฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกมาย่อมมีสาเหตุแห่งพฤติกรรม โดยส่วนใหญ่
พฤติกรรมที่แสดง ออกมามีสาเหตุมาจากการได้รับการกระตุ้นจากความต้องการของมนุษย์
ความตอ้ งการของมนษุ ย์จะหยุดก็ต่อเมื่อไดร้ ับการตอบสนอง

12. ปรัชญาไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความเช่ือท่ีมีแนวทางปฏิบัติอย่างมีระบบ โดยการ
แสวงหาความจรงิ เพอื่ หาคาตอบ

13. แมกซ์ เวบเบอร์ (Max Weber) เปน็ ผู้จดั ต้ังแผนกบคุ คลขน้ึ ในองคก์ ารเป็นคนแรก

ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ยี วกบั มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 37

14. การใหบ้ คุ คลทางานด้วยความสบายใจในการทางานในสิ่งที่ตนถนัดเป็นแนวคิดของ
แมกซ์ เวบเบอร์

15. มนุษย์จะเข้าไปรวมกลุ่มกับผู้อื่นได้นั้น มนุษย์ต้องศึกษาและทาความเข้าใจตนเอง
ก่อนว่าต้องการอะไร

16. ในการดาเนินธุรกิจต้องอาศัยปัจจัยและทรัพยากรมาเป็นองค์ประกอบให้เกิดเป็น
ธุรกิจ ซ่ึงต้องให้ความสาคัญในปัจจัยและทรัพยากรท่ีกล่าวมาแล้ว จึงจะทาให้ธุรกิจประสบ
ผลสาเร็จ

17. การพัฒนาศักยภาพของตนเอง คือ การศึกษาตนเองเพ่ือให้รู้ เข้าใจ ยอมรับตนเอง
และพฒั นาตนเองตามศกั ยภาพทมี่ อี ยู่ใหส้ มบรู ณ์ที่สดุ

18. มนุษยสัมพันธ์เป็นศาสตร์ท่ีไม่ต้องอาศัยศาสตร์อื่น ๆ เข้าร่วมก็สามารถทาให้คน
ในสังคมอยู่ด้วยกันอยา่ งมคี วามสขุ

19. การจูงใจเป็นปัจจัยท่ีช่วยผลักดันให้มนุษย์เกิดพฤติกรรม ต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม
เปา้ ประสงค์

20. มนษุ ยสัมพนั ธเ์ ป็นภารกจิ สว่ นตวั ของบุคคลทุกคนท่ีต้องดูแลเอาใจใส่และพึงกระทา
ตลอดเวลา เพอ่ื ประโยชนส์ ุขของตนเอง ของผู้อื่น และของสังคม

38 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

คาชแ้ี จง จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. ใหท้ ่านบอกความหมายของมนุษยสัมพนั ธท์ างธุรกิจ หมายถงึ
2. ให้ท่านบอกประวัติความเป็นมาของมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจจากแนวคิดของบุคคล

ตา่ ง ๆ มา 1 แนวคิด
3. ให้ทา่ นบอกปรชั ญาพนื้ ฐานของมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจมีอะไรบ้าง
4. ใหท้ า่ นบอกความสาคัญของมุนษยสัมพันธ์ทางธุรกิจมีอะไรบา้ ง
5. ใหท้ า่ นจงอธิบายองคป์ ระกอบของมนุษยสัมพันธท์ างธุรกิจ
6. ให้ทา่ นบอกจุดมุง่ หมายของมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ มีอะไรบา้ ง
7. ประโยชน์ของมนุษยสมั พันธก์ ับธุรกจิ มอี ะไรบ้าง
8. แนวทางการศึกษามนุษยสมั พันธม์ กี แี่ นวทางจงอธิบาย
9. ท่านสามารถนาแนวคิดของมนุษย์สัมพันธ์เชิงธุรกิจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน

ไดอ้ ย่างไรบ้าง
10. ท่านสามารถนามนุษยส์ ัมพนั ธไ์ ปประยกุ ต์ใช้กับการประกอบธุรกิจได้หรือไม่อย่างไร

จงอธบิ าย

บทท่ี 2

การศึกษาความเขา้ ใจตนเองและผอู้ ่นื
เพื่อสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ

พระราชดารัสพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ตอบคณะทูตานุทูตในโอกาสเฉลิมพระชนพรรษา
วนั ที่ 6 ธันวาคม 2519 ณ พระที่น่ังจกั รีมหาปราสาท

“...ประชากรแต่ละประเทศควรจะมีชาติของตน มีการครองชีวิตเป็นของตนเอง
โดยไม่ตกอยใู่ ต้อิทธพิ ลหรอื ระบอบใดๆ อันไม่เป็นท่ีต้องการ ท้ังควรจะต้องมุ่งประสงค์ท่ีจะทานุบารุง
บ้านเมืองสร้างเสริมความเจริญ ความปรกติเรียบร้อยให้เกิดข้ึนในบ้านเมืองของตนๆ เพื่อให้
ประชาชนมีความผาสุกสงบท่ียั่งยืนแน่นอน นอกจากน้ันยังเช่ือมั่นว่า ถ้านานาประเทศมีจุดมุ่งหมาย
ร่วมกันดังนี้เป็นสาคัญก็น่าท่ีจะผูกมิตรไมตรีและทาความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี ในอันท่ีจะส่งเสริม
เกื้อกลู กนั และกนั หากทุกประเทศมสี มานฉันทพ์ ร้อมกนั ที่จะร่วมมือช่วยเหลือสนับสนุนกันด้วยความ
เข้าใจกันอันดีและความยกย่องนับถือกันโดยถือกันโดยบริสุทธิ์ใจแล้ว ทุกหนทุกแห่งก็จะมีแต่ความ
สงบเรียบร้อยและความเจริญก้าวหน้า.สันติสุขท่ีทุกคนเรียกร้องแสวงหาก็จะบังเกิดมีข้ึนได้สมจริง
ดงั ปรารถนา...

40 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้เกิดความสุขในการอยู่ร่วมกัน
รวมท้ังเกิดความราบรื่นในการประสานหรือทางานในองค์กรร่วมกับผู้อ่ืนได้นั้น บางครั้งแม้บุคคล
จะพยายามรักษาไว้ซ่ึงความสัมพันธ์อันดีแล้ว.ก็อาจจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งท่ีอาจเกิดขึ้นไม่ได้
ซ่ึงสาเหตุที่ทาให้เกิดความขัดแย้งน้ัน มีทั้งสาเหตุที่ควบคุมได้อันเกิดจากตัวบุคคล ส่ิงแวดล้อม
และสาเหตทุ ค่ี วบคุมไม่ได้ ซึ่งกอ็ าจเกิดได้ทั้งจากตัวบคุ คลและส่งิ แวดลอ้ มเช่นเดยี วกัน

ในการอยู่ร่วมกันในสังคมหรือในองค์กร.ในการทางานย่อมต้องมีความขัดแย้งเกิดข้ึน
ได้เสมอ ซึ่งสาเหตุของความขัดแย้งท่ีเกิดขึ้นมักใกล้ชิดกับตัวบุคคลมากท่ีสุด โดยบุคคลจะสามารถ
จัดการและควบคุมตัวเองได้มากน้อยเพียงใดน้ันอยู่กับตัวเราน่ันเอง วิธีการหนึ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิด
ความขัดแย้งจากสาเหตุดังกล่าวคือ การทาความเข้าใจเพื่อให้รู้เท่าทันตนเอง.อันจะนาไปสู่วิธีการ
ควบคุมตนและแก้ไขให้ประพฤติตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ยอมรับในความเป็นจริงกับสิ่งที่
ประกอบขึ้นเป็นตัวเรา สาหรับเป็นแนวทางในการปรับปรุงตนเอง เพ่ือให้เป็นท่ีรักใคร่ชอบพอของคน
ในองค์กรและสงั คมให้มากยงิ่ ข้ึนต่อไป

ในการประกอบธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้บริหารองค์กรจาเป็นต้อง
วางแผนในการใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ นามาบริหารจัดการให้ธุรกิจสามารถดาเนินต่อไปได้ ซ่ึงผลสาเร็จ
ในการบริหารธุรกิจนั้น ต้องอาศัยหลักการในการสร้างมนุษยสัมพันธ์เข้ามาช่วย โดยผู้บริหารธุรกิจ
จะต้องศึกษาและทาความเข้าใจในหลักการดังกล่าว รวมทั้งศึกษาและทาความเข้าใจตนเองก่อน
เป็นเบื้องต้น เพื่อเข้าใจตนเอง ตลอดจนศึกษาและทาความเข้าใจผู้อ่ืนเพ่ือสามารถเข้าใจผู้อื่นได้เป็น
อย่างดี อนั จะทาให้สามารถสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์กับบุคคลทางธรุ กจิ ทเี่ กี่ยวข้องได้เป็นอยา่ งดี

การเขา้ ใจและยอมรับตนเองเพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ

ในองค์กรธุรกิจมีบุคลากรมากมาย ซ่ึงมีลักษณะและพฤติกรรมท่ีแตกต่างกันไป
จากพฤติกรรมที่แตกต่างกันอาจนามาซึ่งความไม่เข้าใจกันหรือเกิดข้อขัดแย้งกัน จนส่งผลเสียต่อการ
ทางานร่วมกันซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่แต่ละบุคคลไม่เข้าใจตนเองและรวมถึงความไม่เข้าใจผู้อ่ืนด้วย
การท่ีบคุ คลจะรู้จกั และเข้าใจตนเอง อันจะนาไปสู่การยอมรับตนเองได้นั้น ไม่ใช่เร่ืองง่ายและถือเป็นเรื่อง
ท่ีสาคัญมาก เพราะตามปกติคนเรามีแนวโน้มเข้าข้างตนเองและปกป้องตนเองอยู่เสมอ จึงต้องอาศัย
การรับรู้ภาพพจน์ของตนเองอย่างถูกต้อง ว่าตนมีจุดดีและจุดด้อยด้านใดบ้าง มิฉะนั้นแล้วจะทาให้เกิด
เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรธุรกิจไปในทางท่ีถูกต้อง ดังท่ี
คาร์ล โรเจอร์.(Rogers, 1970) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน กล่าวถึง “ทฤษฎีตัวตน”.(Self.Theory)
ซึ่งนาไปสู่การทาความเข้าใจตนเองและสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบธุรกิจให้ประสบ
ผลสาเรจ็ ได้ โดยผู้บรหิ ารองค์กรธุรกจิ จะต้องศึกษาและทาความเขา้ ใจเก่ียวกับรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ลักษณะของมนุษย์ เป็นสิ่งท่ีผู้บริหารในองค์กรธุรกิจต้องใส่ใจและทาความเข้าใจว่า
มนษุ ย์ท่ตี นเองเกี่ยวขอ้ งมลี ักษณะอยา่ งไรเพอื่ ทาความเข้าใจและสามารถปรับกลยุทธ์ในการปกครอง

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผูอ้ น่ื เพอ่ื สร้างมนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กิจ 41

เพ่ือให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี อันจะนามาซึ่งการปฏิบัติงานที่ดีมีประสิทธิภาพต่อองค์กร ซึ่งตามปกติ
ลกั ษณะของมนุษยท์ ุกคนมีตัวตน 3 แบบ คอื

1.1 ตนตามอุดมคติ.(Ideal.Self).คือ ตนที่เราอยากมี อยากเป็น.แต่ยังไม่มี
และไม่สามารถเป็นได้ในปัจจุบัน เช่น นายธนา.เป็นแรงงานรับจ้าง.แต่นึกฝันอยากจะเป็นนายจ้าง
คอยออกคาส่ังกับลูกน้อง นางสาวฟ้าใส เป็นคนขี้อายไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้าแต่นึกอยาก
จะทางานในตาแหน่งประชาสมั พันธข์ องบริษัท เป็นต้น

จากลักษณะดังกล่าวแสดงให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจทราบว่า มนุษย์ที่อยู่ในองค์กรของ
ตนเองย่อมต้องการความก้าวหน้าในอนาคตท่ีอยากจะมีตาแหน่งที่สูงขึ้น ดีขึ้น ดังน้ันเมื่อผู้บริหารทราบ
ลกั ษณะความต้องการของมนุษยใ์ นองค์กรแล้วเพ่ือให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ในการทางานที่ดี ผู้บริหารองค์กร
ธุรกิจ ก็จะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้พวกเขามีความรู้ความสามารถที่จะสามารถก้าวสู่ตาแหน่งท่ีเขา
คาดหวังและอยากเป็น เม่ือมนุษย์กลุ่มน้ันได้ในสิ่งที่เขาต้องการและอยากเป็น ย่อมทาให้เขาเกิด
ความรู้สึกท่ีดีต่อผู้บริหาร ต่อองค์กร ทาให้เขามีความรักและทุ่มเทใจให้กับการทางานให้กับองค์กรอย่าง
เตม็ ความสามารถ

1.2 ตนตามที่เป็นจริง.(True.Self).คือ ลักษณะตัวตนตามท่ีตนเองเป็นอยู่ ตัวตน
ตามข้อเท็จจริง ซ่ึงเป็นไปไดท้ ั้งส่วนทต่ี นเองมองเหน็ และส่วนที่ตนมองไม่เห็น เช่น เป็นคนร่ารวยเป็น
คนตรงต่อเวลา เป็นคนมคี วามรบั ผดิ ชอบและจะพบวา่ บ่อยครง้ั เรามักจะมองไม่เห็นข้อเท็จจริงหรือตน
ตามท่เี ปน็ จริงของตนเอง เพราะเปน็ ส่ิงทีท่ าให้ตนรสู้ กึ เศรา้ ใจ เสยี ใจ ไมเ่ ทา่ เทยี มกับผู้อน่ื

ในลักษณะนี้ทาให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจต้องตระหนักและให้ความสาคัญกับพนักงาน
ในองค์กร เพอื่ ให้พนกั งานได้รู้จักตวั ตนของเขาใหม้ ากทสี่ ดุ เป็นการสะท้อนให้เขาได้รู้จักศักยภาพของ
เขาเองและสามารถยอมรับในความรู้ความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดี เพราะมันจะส่งผลดีต่อตัว
องค์กรในด้านการอยู่ร่วมกันและในด้านการทางาน และส่งผลดีต่อตัวพนักงานเองในด้านการรู้จัก
ตัวตนมากข้ึน ตลอดจนสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนในองค์กรได้เป็นอย่างดีแต่ถ้าพนักงาน
ในองค์กรทางานอยู่ในองค์กรธุรกิจและไม่ยอมรับความจริงหรือความผิดพลาดท่ีเกิดข้ึน จนทาให้
ตัวเองไม่เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งจะแตกต่างกับคนท่ียอมรับความจริง
สามารถเกดิ การเรียนรแู้ ละพฒั นาจนทาให้ตวั เองประสบความสาเร็จในองค์กรธุรกจิ ได้

1.3 ตนท่ีตนมองเห็น.(Self.Image).คือ ภาพตนท่ีตัวเองมองเห็นว่าเป็นคนอย่างไร
รับรู้ว่ามีความรู้ความสามารถอย่างไร เช่น ฉันเป็นคนสวย ฉันคนเก่ง ฉันเป็นหัวหน้าท่ีลูกน้องชอบ เป็นต้น
หรืออาจเป็นความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายที่ตนมีต่อตนเอง ซึ่งเรียกว่า อัตมโนทัศน์.(Self.Perception)
การรับรู้ท่ีมีต่อตนเองนี้มีอิทธิพลอย่างมากในการกาหนดพฤติกรรมคนเรา.โดยทั่วไปแล้วเรามักรับรู้
มองเห็นตนเองหลายแง่มุม ซ่ึงอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือภาพที่ผู้อื่นมองเห็น เช่น บุคคลที่ชอบเอา
รัดเอาเปรียบคนอ่ืนในการทางาน อาจไม่เคยนึกว่าตนเองจะเป็นบุคคลประเภทน้ันจนกระทั่งมีบุคคล
อนื่ มาบอกกล่าวใหไ้ ด้ยนิ เปน็ ต้น

42 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ

จากลักษณะของมนุษย์ท่ีกล่าวมาข้างต้นเป็นการแสดงให้ทราบว่าถ้าบุคคลในองค์กร
ธุรกิจสามารถมองเห็นตัวตนของตนเองให้ตรงกับตัวตนท่ีคนในองค์กรมองเห็น ก็จะทาให้พนักงาน
สามารถท่ีจะอยรู่ ่วมกับคนในองค์กรได้อย่างมีความสุข

2. การรบั รูภ้ าพพจน์ตนเอง
ในการทาความเข้าใจหรือรับรู้ตนเองนั้นเป็นผลดีของบุคคลและนักธุรกิจในการสร้าง

ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันภายในองค์กร หากตนตามท่ีมองเห็นกับตนตามท่ีเป็นจริง มีความแตกต่างกัน
มากหรอื มขี ้อขัดแย้งกันมาก บุคคลนั้นก็จะมีแนวโน้มที่จะก่อปัญหาให้กับตนเองและผู้อ่ืนได้ ซ่ึงการท่ี
บุคคลประเมินการรับรู้ตนเองว่าเป็นเช่นไรนั้น ย่อมทาให้บุคคลได้รู้จักตนเองมากขึ้นจากการท่ีตนเองได้
รับรู้ภาพพจนข์ องตนเอง ซึง่ ในการรบั รู้ภาพพจน์ของตนเองบุคคลสามารถรับรู้ภาพพจน์ตนเองได้หลายวิธี
ดังตอ่ ไปนี้

2.1 การรับรู้ด้วยตนเอง บุคคลมีการรับรู้ตนเองด้วยวิธีการต่าง.ๆ เพื่อเข้าใจและ
รู้จักตนเองให้มากข้ึนเพ่ือพัฒนาตนเองและสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคนในสังคมและในองค์กร
โดยบคุ คลสามารถรับรู้ภาพพจน์ตนเองด้วยตนเอง ดงั วธิ ีตอ่ ไปนี้

2.1.1 การส่องกระจก เพื่อสารวจรูปลักษณ์ภายนอก ท้ังรูปร่างหน้าตา
การแต่งกาย ทรงผม เพอ่ื รับร้แู ละจดจาภาพของตนเองว่าตนเองมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรและนาไปปรับ
ใช้ในการพัฒนาบุคลิกภาพตนเองให้เป็นท่ียอมรับและสามารถสร้างนุษยสัมพันธ์กับคนในสังคมได้
เช่น เมื่อนักธุรกิจแต่งตัวก่อนออกจากบ้านแล้วพบว่าเสื้อผ้าที่ใส่ไม่เหมาะสม ดังน้ันนักธุรกิจจึงควร
แต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ เพื่อให้เกียรติผู้ร่วมงานของตนเองและยังเป็นการรักษาภาพพจน์ของตนเอง
และองคก์ รให้ดูดสี มกับการเปน็ นกั ธรุ กิจด้วย

2.1.2 การสังเกตตนเอง เป็นการท่ีบุคคลหมั่นตรวจดูตนเองอยู่เป็นประจา
เพื่อหาจุดบกพร่องของตนเองเพื่อนามาพัฒนาและปรับปรุงให้ตนเองให้มีความพร้อมและสมบูรณ์
ในการสร้างความสมั พนั ธท์ ีด่ ีกบั ผ้อู นื่ ในสังคม ซึง่ ในการสังเกตตนเองสามารถทาได้ดงั นี้

1) การสังเกตใบหน้า ทาให้ตนทราบถึงอารมณ์ ความรู้สึกว่ามีลักษณะ หรือมี
การเปล่ียนแปลงอย่างไร รวมท้ังมีการแสดงใบหน้าเหมาะสมกับเวลา สถานที่และบุคคล หรือนับว่าเป็น
ส่วนสาคญั อย่างยิ่งในการติดตอ่ ประสานงานและการสื่อสารในการดาเนินงานในทางธุรกิจ กับบุคคล
อ่ืนเพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการติดต่อเจรจาทางธุรกิจเป็นไปตามที่ต้องการ เช่น สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
มีส่วนทาให้การประสานงานทางธุรกิจเกิดความราบร่ืน ตรงข้ามกับสีหน้าท่ีเศร้าหมองอาจทาให้
การประสานงานทางธุรกจิ น้ันเกิดอุปสรรคและไม่เปน็ ไปตามท่คี าดหวังไว้

2) การสงั เกตกิริยาท่าทาง กิริยาท่าทางย่อมบ่งบอกว่าตนเองเป็นคน เช่นไร
ชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด ทาอะไรได้ดีหรือควรปรับปรุงในส่ิงไหน เช่น การพูดหรือติดต่อเจรจางานในทาง
ธุรกิจกับบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าเรา โดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะทาให้ตนเอง
อาจจะมีอาการมือส่นั หน้าแดงและนา้ ลายแห้ง เป็นตน้ การสังเกตกิริยาท่าทางน้ียังรวมไปถึงมารยาท

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผอู้ น่ื เพ่อื สรา้ งมนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ 43

ในสถานการณ์ต่าง ๆ อีกด้วย เพ่ือทาให้บุคคลนั้นได้ปรับปรุงและพัฒนาตนเองในการทางานและสร้าง
มนุษยสมั พันธก์ ับคนในสังคมไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเหมาะสมต่อไป

3) สังเกตน้าเสียงของตนเอง จะสามารถบอกอารมณ์ท่ีเป็นอยู่ ในขณะนั้น
ของตนเองได้ รวมทั้งบอกลักษณะที่แสดงถึงการมีมารยาทหรือไม่มีมารยาทในการสนทนากับบุคคลอ่ืน
ยิ่งเม่ือคนเราอยู่ในองค์กรธุรกิจด้วยแล้วเราต้องรู้จักการใช้น้าเสียงให้เหมาะสมกับตาแหน่งหน้าที่
การงาน เช่น คุณกุ้งใช้น้าเสียงและคาพูดท่ีสุภาพน่าฟังประกอบกับการอธิบายรายละเอียดให้กับ
หุ้นส่วนของบริษัท ทาให้ผู้เป็นหุน้ ส่วนเกดิ ความประทับใจและอยากทจ่ี ะทาธุรกิจรว่ มกับคณุ กุ้งต่อไป

4) สังเกตเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เส้ือผ้าและสีสันของเสื้อผ้าที่สวมใส่
จะเป็นเคร่ืองบ่งบอกว่าตนเองมีรสนิยม เช่นไร สะอาด สกปรก พิถีพิถัน ส่ิงสาคัญอยู่ที่ว่าตนเอง
ต้องพึงสังเกตและระวังอยู่เสมอในการเลือกสวมใส่เส้ือผ้าให้ถูกกาลเทศะ ว่าเหมาะสมกับโอกาส
และสถานที่หรือไม่ เพราะในบางคร้ังการใส่เส้ือผ้าไม่เหมาะสมกับโอกาสและกาลเทศะอาจนามา
ซ่ึงความสัมพันธ์ท่ีดีได้ เช่น ไปงานศพใส่เส้ือผ้าสีฉูดฉาดหรือไม่สุภาพ ย่อมทาให้คนในงานรู้สึกไม่ดี
จึงเป็นการทาลายความสัมพันธ์ท่ีดีไดเ้ ช่นกัน

5 ) สังเกตการปรับตัวของตนเอง ว่ามีการปรับตัวท่ีเหมาะสมหรือไม่ รู้จัก
ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทาย หรือมีความสุขกับผู้อ่ืนในองค์กรหรือไม่ รวมถึงเพื่อนร่วมงานในวงการธุรกิจ
น้ัน ๆ เพ่ือเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองให้สามารถเข้ากับบุคคลที่ทาธุรกิจได้เป็นอย่างดี
ในการประกอบธุรกิจนั้น ตนเองควรต้องรับรู้ภาพพจน์ตนเองจากการปรับตัวเองให้เข้ากับเพื่อน
รว่ มงานให้ได้ และทส่ี าคัญผู้บริหารควรต้องสารวจตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองมีการปรับตัวท่ีดีขึ้น
เพือ่ ใหเ้ ขา้ กบั บุคคลในองค์กรไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด

6 ) สังเกตว่าตนเองมีความสามารถและความถนัดในด้านใด หากบุคคลรู้ว่า
ตนเองมีความสามารถและความถนัดด้านใด จะทาให้สามารถประพฤติและปฏิบัติตนได้เหมาะสม
ท้ังในด้านการเรียน การทางานและการประกอบอาชีพต่าง.ๆ.เช่น คุณประชามีความถนัดในด้าน
การวางแผนงานในเรื่องการทาธุรกจิ รว่ มกับผู้อนื่ คุณประชาก็จะสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้
อย่างเต็มท่ีและทาให้ผลงานที่ออกมาน้ันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด อีกทั้งเป็นการสร้าง
ความสัมพนั ธท์ ่ดี กี บั ผู้ร่วมธรุ กจิ อีกดว้ ย

7 ) สังเกตว่าตนเองมีบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร การสังเกต
ตนเองด้านบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยด้านต่าง.ๆ.จะช่วยให้บุคคลรู้จุดเด่นและจุดด้อยต่าง ๆ
เพ่ือสามารถแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนา ได้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อการมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีกับคนโดยท่ัวไป
ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมหรือแมก้ ระทงั่ ในองคก์ รธุรกิจกต็ าม

8) สังเกตว่าตนมีฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร การสังเกตตนเอง
ทางด้านเศรษฐกิจจะช่วยให้สามารถปฏิบัติตนได้เหมาะสมกับฐานะของตนเองไม่ปฏิบัติตนเกินฐานะ
ในการทาธุรกิจก็เช่นกัน นักธุรกิจควรลงทุนในการประกอบธุรกิจแต่พอตัว.เท่าที่เรามีงบประมาณ
ทรพั ยากรและความสามารถของเราที่มีอยู่ เพราะถ้าหากลงทุนมากอาจทาให้บริษัทขาดทุนหมุนเงิน

44 มนุษยสมั พันธท์ างธุรกิจ

ไม่ทัน.ประสบความล้มเหลวได้ ทาให้ตนเองเดือดร้อนและอาจทาให้ผู้อื่นเดือดร้อนตามไปด้วย
จากการท่ีตนเองใช้เงินเกินตัว โดยต้องไปขอกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน และอาจไม่สามารถใช้คืนได้
นามาส่กู ารทาลายความสมั พนั ธภาพและความเชื่อม่ันของธรุ กิจ

9) สังเกตตนเองวา่ มอี ารมณแ์ บบใดและสามารถควบคุมอารมณ์ได้หรือไม่
สงั เกตอารมณ์ตนวา่ เมอ่ื ไรท่เี กิดความรสู้ กึ พอใจ ไม่พอใจ โกรธ ไม่โกรธ มีความสุข ไม่มีความสุขซ่ึงการสังเกต
ว่าตนเองมีอารมณ์ลักษณะใดมากเป็นพิเศษ จะมีผลทาให้บุคคลนั้นรู้จักระงับจิตใจและควบคุมไม่ให้
เกิดอารมณ์ทไ่ี มด่ ีและพรอ้ มทีจ่ ะมีอารมณ์แจม่ ใส สามารถดงึ ดูดจติ ใจให้ผูอ้ ่นื เข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย
ไม่ว่าจะอย่ใู นสังคมหรอื แม้กระทงั่ ในองค์กรธุรกิจต่าง ๆ กต็ าม

10) สังเกตตนเองว่ามีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นหรือไม่ สามารถกระทาได้
โดยการสงั เกตและรวมถึงจดบันทึกลักษณะการติดต่อสัมพันธ์ที่ตนเองมีกับผู้อื่นในแต่ละสถานการณ์
เป็นประจา เพือ่ นามาวิเคราะห์ดูว่าตนเองมีระดับมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากน้อยเพียงใดหากมีน้อยเกินไป
จะได้ปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อให้เกิดการติดต่อเจรจาธุรกิจ.จะเห็นว่าการสังเกตน้ัน เป็นวิธีการหน่ึง
ท่ีจะชว่ ยให้นักธุรกจิ สามารถรับรเู้ ก่ียวกับตนเองไดถ้ กู ตอ้ งมากยิง่ ขน้ึ

จากการที่นักธุรกิจสามารถรับรู้ภาพพจน์ตัวเองด้วยตนเองได้นั้น ย่อมก่อให้เกิด
ประโยชน์ต่อตนเองในด้านการได้รู้จักจุดบกพร่องของตนเองเพ่ือพัฒนาแก้ไขปรับปรุงตนเอง
ให้ตนเองเป็นผู้มีความพร้อมในทุก ๆ ด้านและยังก่อประโยชน์ต่อส่วนรวม สังคม องค์กรธุรกิจ
ทที่ างาน ในการสรา้ งความสัมพันธท์ ีด่ ีและเปน็ บุคคลที่เป็นทรี่ ักใคร่ของคนในสังคมอกี ด้วย

2.2 การรับรู้ตนเองจากการวิเคราะห์กลไกทางจิต คือ การใช้วิธีวิเคราะห์พฤติกรรม
ท่ีตนแสดงออกเมื่อตนประสบกับความผิดหวังหรือพบกับอุปสรรค เพ่ือเป็นแนวทางในการพิจารณา
ถึงพฤติกรรมท่ีตนแสดงออกเพื่อแก้ปัญหา ซ่ึงพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์
กับผู้อื่นในองค์กรด้วยกลไกทางจิต (Mental.Mechanism).หรือกลไกป้องกันตนเอง (Defense
Mechanism) ซ่ึงวิธีการรับรู้ตนเองจากการวิเคราะห์กลไกลทางจิตจะทาให้บุคคลได้รู้จักตัวตนของ
ตนเองมากขึ้น ซ่ึงมีพฤติกรรมที่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจจะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของ
พนักงานในองค์กรว่ามีลักษณะเช่นไรเพ่ือสามารถร่วมงานกับบุคคลากรในองค์การได้เป็นอย่างดี
ซ่ึงมีพฤติกรรมท่ีต้องศึกษาดังต่อไปนี้

2.2.1 พฤติกรรมแบบถอยหนี.(Withdrawal).เป็นพฤติกรรมเมื่อบุคคล
ไม่สามารถเอาชนะปัญหาหรืออุปสรรคน้ันได้ จะมีการปรับตัวแบบถอยหนีจากเหตุการณ์นั้น
ในลักษณะต่าง ๆ กัน ซ่ึงผู้ประกอบการธุรกิจควรศึกษาเพื่อเข้าใจเม่ือเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและจะไม่ส่งผลเสียต่อการดาเนินธุรกิจ โดยลักษณะพฤติกรรม
แบบถอยหนีมลี ักษณะที่ตา่ งกันดงั น้ี

1) การปฏิเสธความจริง (Denial) เป็นการแสดงพฤติกรรมของบุคคล
ที่พยายามปฏิเสธ รวมท้ังไม่ยอมรับรู้ต่อเหตุการณ์หรือพฤติกรรมบางอย่างท่ีเกิดข้ึน อันเนื่องมาจาก
ส่ิงท่ีเกิดข้ึนน้ัน เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความผิดหวังหรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เช่น การสูญเสีย

การศึกษาความเขา้ ใจตนเองและผู้อืน่ เพ่อื สร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ 45

บุคคลอันเป็นท่ีรัก การเจ็บป่วย การผิดหวังจากการทาธุรกิจแล้วไม่เป็นไปตามเป้าหมายจนเกิดการ
ลม้ ละลาย โดยบคุ คลจะบอกวา่ เหตกุ ารณ์เหล่าน้ไี มไ่ ดเ้ กิดขนึ้ กบั ตนเอง เป็นต้น

2) การแสดงความพิการทางกาย (Conversion) เป็นการแสดงความผิดปกติ
ทางร่างกายออกมา เม่ือบุคคลพบกับสภาพการณ์ท่ีก่อให้เกิดความไม่สบายใจหรือผิดหวัง เช่น ผู้บริหาร
มอบหมายงานให้กับพนักงานและให้มานาเสนอผลงาน แต่ตนเองยังทางานไม่เสร็จจึงเกิดความกดดัน
และกลายเป็นลมหมดสติ หน้ามืด ตามองไม่เห็น แขนขาไม่มีแรง เป็นอาการที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
และจะหายเป็นปกติเม่ือสภาพการณ์ท่ีทาให้ไม่สบายใจน้ันหมดไป ซ่ึงจะเป็นผลเสียต่อการดาเนิน
ธุรกิจเป็นอยา่ งมาก

3) การทาตรงกันข้ามกับสิ่งท่ีคิด (Reaction.Formation) เป็นการแสดง
พฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตนเอง เพราะความรู้สึกน้ันเป็นสิ่งไม่ดีหรือสังคมไม่ยอมรับ
ความรู้สึกน้ัน เช่น เพื่อนร่วมธุรกิจบางคนแสดงความช่วยเหลือและหวังดีต่อหน้า แต่ลับหลังนินทา
ซ่อนความริษยาไว้โดยแสร้งทาดีเพ่ือกลบเกล่ือน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ในการดาเนินงานธุรกิจจบลง
ตามไปด้วย

4) การถดถอย.(Regression).เป็นการแสดงพฤติกรรมในอดีตคล้าย
วัยเด็ก เพื่อให้ตนเองสบายใจ เน่ืองจากพบกับสภาพการณ์ท่ีตนไม่ปรารถนาในปัจจุบัน เมื่อพบกับปัญหาที่
ตนแก้ไขไม่ได้ เช่น เมื่อทราบว่าตนต้องรับผิดชอบงานท่ีตนไม่ชอบ ก็แสดงพฤติกรรมหงุดหงิดออกมา
ทันทีโดยไม่มีการยับย้ังช่ังใจทาตัวเหมือนเด็ก.ๆ.ที่ไม่คิดทบทวนก่อนทาพฤติกรรม นามาซึ่งผลเสีย
ตอ่ ตนเองในการควบคุมอารมณ์ ทาให้เกดิ ภาพพจนท์ ี่ไม่ดีต่อหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน ตลอดจน
เป็นการทาลายความสัมพนั ธท์ ดี่ ีในองคก์ รการทางาน

5) การแยกตัวเองจากสังคม (Isolation) เป็นการปรับตัวโดยแยกตน
ออกจากสภาพการณ์ที่ไม่สมหวัง เช่น เพ่ือนในกลุ่มไม่ยอมรับตนเอง จึงพยายามแยกตัวออกจากกลุ่ม
ไม่สนใจกลุ่มพยายามเลี่ยงและชอบอยู่ลาพัง ซึ่งถือเป็นการหลีกหนีปัญหาและก่อให้เกิดผลเสีย
ตอ่ การสร้างมนษุ ยสัมพันธใ์ นการดาเนินงานภายในองค์กรได้

6) การเก็บกด (Depression) เป็นการพยายามลืมหรือไม่นึกถึงประสบการณ์
รวมท้ังความรู้สึก ความทรงจาท่ีทาให้ตนเองไม่สบายใจ ผิดหวัง หรือรู้สึกผิด เพ่ือหลีกเล่ียงความทุกข์
จากประสบการณ์เหล่าน้ัน ซ่ึงหากเก็บกดในปริมาณที่มาก อาจทาให้กลายเป็นโรคประสาทหรือ
โรคจิตได้.บุคคลเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมหรือในองค์กรธุรกิจ ก็ต้องรู้จักวิธีการควบคุมตนเอง
และหาวธิ กี ารจดั การกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้หมดไป เพ่ือไม่ให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะดังกล่าวเพราะจะ
สง่ ผลเสยี ในการสร้างความพนั ธ์ทั้งต่อตนเองและผูอ้ ่ืน

7) การเพ้อฝันหรือฝันกลางวัน.(Fantasy.or.Daydream).เป็นการสร้าง
จินตนาการหรือมโนภาพข้นึ เพอ่ื สนองความต้องการที่ตนไม่ได้รับในส่ิงที่ต้องการ เช่น ในการดาเนิน
ธุรกิจถ้าผู้บริหารองค์กรธุรกิจไม่อยู่กับความเป็นจริงที่เป็นอยู่ อาจส่งผลเสียกับองค์กรธุรกิจเสียหาย
ได้ นามาซึ่งความเดือดร้อนของพนักงานในบริษัทท่ีต้องถูกเลิกจ้างงาน ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์

46 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

ท่ีไม่ดีตามมาของพนักงานที่มีต่อผู้บริหารและองค์กรธุรกิจ ดังนั้นผู้บริหารและพนักงานในองค์กร
ธรุ กิจจะต้องอยู่กบั ความเป็นจรงิ เพ่อื พฒั นาและร่วมแก้ไขในส่วนท่เี กีย่ วข้องให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี

2.2.2 พฤติกรรมแบบก้าวร้าว (Aggression).เป็นการแสดงพฤติกรรมรุนแรง
เพ่ือระบายความรู้สึกคับแค้นใจของตนเอง ผู้บริหารองค์กรจึงจาเป็นต้องศึกษาและทาความเข้าใจ
เพราะเมื่อพนักงานเกิดพฤติกรรมก้าวร้าว ย่อมนามาซ่ึงความเสียหายและทาลายความสัมพันธ์
ที่จะเกิดข้ึนภายในองค์กรอย่างแน่นอน ซึ่งผู้บริหารควรเตรียมวางแผนหาทางแก้ไขได้ทันเวลา
ซึ่งพฤตกิ รรมแบบก้าวรา้ วทผ่ี ู้บริหารองค์กรธรุ กจิ จะต้องศึกษาและทาความเข้าใจมี 2 แบบ ไดแ้ ก่

1) ก้าวร้าวโดยตรง (Direct..Aggression).เป็นการแสดงความก้าวร้าว
ตอ่ บคุ คลหรอื สิ่งของทที่ าให้ตนเองโกรธโดยตรง เชน่ การเตะต่อย ทาร้ายร่างกายและการต่อว่า เปน็ ต้น

2) ก้าวร้าวแบบทดแทน.(Displaced.Aggression.หรือ.Displacement)
เป็นการแสดงความก้าวรา้ วต่อบคุ คลหรือสง่ิ ของทไ่ี ม่ไดเ้ ปน็ สาเหตุของความโกรธหรอื ความผดิ หวังทเ่ี กดิ ขึ้น
เช่น โกรธเจ้านายในที่ทางานเม่ือกลับบ้านไปดุด่าลูกและภรรยา หรือทะเลาะกับมารดาแต่ไปเตะตีสุนัข
ท่ีเลยี้ งไว้ เปน็ ต้น

2.2.3 พฤติกรรมแบบประนีประนอม.(Compromise).ซึ่งเป็นอีกพฤติกรรม
ทพี่ นักงานจะแสดงออกเม่ือเกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นภายในองค์กรท่ีเกิดผลดี ถือเป็นพฤติกรรม
ในการปรับตัวที่เหมาะสมที่สุดเมื่อพบปัญหาภายในองค์กร ตลอดจนเป็นการสร้างสัมพันธภาพท่ีดี
ต่อบุคคลท่ีเก่ียวข้อง ในการจัดการกับส่ิงที่ตนเองไม่ได้รับตามที่ตนต้องการเป็นวิธีการหาทางออก
ใหก้ ับตนเองด้วยทางสันติ ซ่งึ พฤติกรรมแบบประนีประนอมมลี ักษณะดงั น้ี

1) การทดแทน.(Substitution).เป็นการหาบุคคลหรือสิ่งอ่ืนมาทดแทน
ความผิดหวังที่ตนมี เช่น การหาบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง เนื่องจากภรรยามีปัญหาเร่ืองสุขภาพ.ไม่สามารถ
มีบุตรได้.การไปสมัครทางานกับบริษัทอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบริษัทที่ตนเองต้องการเน่ืองจาก
ตนเองไปสมัครแลว้ ไมผ่ ่านการคัดเลอื ก เป็นต้น

2) การชดเชย.(Compensation) เป็นการปรับตัวท่ีบุคคลพยายามแสดง
ความสามารถด้านอ่ืน.ๆ เพ่ือชดเชยข้อบกพร่องของตนเอง เช่น เป็นคนพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง
แต่เป็นคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีอย่างดีเยี่ยม คนหน้าตาไม่หล่อแต่เป็นคนพูดเก่ง ฉะฉาน เพ่ือทา
ตนใหเ้ ป็นทีร่ ักของผอู้ ื่น เพอื่ เปน็ จุดเด่นในการทางานร่วมกบั บุคคลอน่ื ในองคก์ รได้ เป็นตน้

3) การทดเทิด.(Sublimation).เป็นการเปลี่ยนแปลงความปรารถนา
ที่ตนเองชอบ แต่สังคมไม่ยอมรับ ให้เป็นลักษณะที่สังคมและตนเองยอมรับได้ เช่น การแสดงความรัก
ในเชงิ ชสู้ าวออกมาในรูปบทกวีหรอื นยิ าย หรือชอบใช้กาลังจงึ หันไปประกอบอาชีพนักมวย เปน็ ตน้

จากการที่บุคคลสามารถรับรู้ตนเองโดยผ่านการวิเคราะห์กลไกทางจิตว่าบุคคล
แต่ละประเภทมีลักษณะเช่นไร เพ่ือผู้บริหารองค์กรธุรกิจจะสามารถเข้าใจและสามารถปรับกลยุทธ์
ให้สอดคล้องกับลกั ษณะพฤตกิ รรมของพนักงานได้อย่างเหมาะสมเพ่ือประโยชน์ในการประกอบธุรกิจ
ใหป้ ระสบความสาเรจ็ ควบคู่กับการสรา้ งมนุษยสมั พนั ธท์ ี่ดใี นองค์กรธรุ กิจอกี ด้วย

การศกึ ษาความเข้าใจตนเองและผู้อื่นเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ 47

2.3 การรับรู้ตนเองจากคนอ่ืน.เป็นการรับรู้ตนเองโดยมีบุคคลรอบข้างเป็นผู้เสนอแนะ
และสะท้อนความเป็นตัวตนของเรา เพ่ือให้เราได้นาข้อเสนอแนะที่ได้จากคนอ่ืนมาพัฒนาปรับปรุงตนเอง
เพ่ือสร้างความสัมพันธ์ของตนเองกับผู้อ่ืน ซ่ึงมีความสาคัญกับผู้บริหารและพนักงานในองค์กรธุรกิจ
หากมีการประเมินตนเองจากผู้อื่นอยู่เสมอจะช่วยทาให้ผู้บริหารและพนักงานองค์กรธุรกิจสามารถ
รับรู้ตนเองได้ดีขนึ้ ซึง่ กระบวนการในการรับร้ตู นเองจากคนอนื่ มีดงั นี้

2.3.1 การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น การนาตนไปเปรียบเทียบโดยไม่มีอคติ อิจฉา
ริษยาหรือความเกลียดชังกับกลุ่มท่ีมีความคล้ายคลึงกับตัวเราในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิด
ค่านิยม บุคลิกภาพ ฐานะ ความสามารถทางสติปัญญา เป็นต้น จะทาให้เกิดการสารวจตนเองและรับรู้ว่า
พฤตกิ รรมของตนเองมีความเหมือนหรือแตกต่างจากคนอน่ื ในสังคมอย่างไร

จากการทต่ี นเองนาตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้ว ย่อมทาให้ตนเองสามารถ
รับรู้พฤติกรรมของตนเองว่าตนเองประพฤติและปฏิบัติตนเหมาะสมหรือไม่ เพราะถ้าตนเองรู้แล้ว
กจ็ ะสามารถปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมไม่ทาให้ผู้อ่ืนที่อยู่ด้วยเกิดความอึดอัดใจก็ถือว่าเป็นการรับรู้
ตนเองเพื่อสรา้ งความสมั พนั ธ์ที่ดีกบั ผอู้ นื่ ซ่งึ บุคคลที่อยู่ในองค์กรธุรกิจควรที่จะนามาปฏิบัติเพื่อสร้าง
ความน่าเชอื่ ถือมากย่ิงขึ้นในการติดตอ่ กับองค์กรธุรกิจได้เป็นอยา่ งดี

2.3.2 ทัศนคติท่ีผู้อื่นมีต่อตนเอง.เป็นการที่ตนเองรู้จักสังเกตหรือการเรียนรู้จาก
ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้อ่ืนในการยอมรับตนเองถึงปฏิกิริยาผู้อื่นท่ีมีต่อตนเอง ทั้งในทางด้านดีและ
ด้านไม่ดี จะช่วยทาให้ทราบลักษณะตนเองได้หลากหลายมุมมองข้ึน รวมท้ังบุคคลในองค์กรธุรกิจ
ควรจะมีการให้เพื่อนร่วมงานได้สะท้อนตัวตนของเราเพื่อจะได้ทราบจุดบกพร่องของตนเองและหา
แนวทางวา่ ควรจะทาอย่างไร หากต้องการท่จี ะรกั ษาความสมั พันธท์ ด่ี กี ับบุคคลตา่ ง ๆ เอาไว้

จากการท่ีตนเองได้รับรู้ตนเองจากคนอ่ืน ก็เป็นอีกวิธีท่ีผู้บริหารและพนักงาน
ในองค์กรธุรกิจจะได้ทราบถึงข้อดีข้อเสียของตนเองเพื่อจะได้มีแนวทางในการปรับปรุงตนเองให้เป็น
บุคคลที่เป็นรักใคร่ของคนในสังคมและในองค์กรการทางาน ส่งผลให้ตนเองและคนในองค์กร
อยดู่ ว้ ยกนั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ

2.4 การรับรู้ตนเองจากแบบทดสอบ.ปัจจุบันมีแบบทดสอบทางจิตวิทยาหลาย
ลักษณะ ท่สี ามารถวัดบคุ ลิกภาพ ความคิด ความถนัดของบุคคลได้ ท้ังนี้รวมถึงการใช้แบบสอบถาม
ต่าง ๆ ทม่ี กี ารศึกษาคน้ ควา้ โดยระเบียบวิธีการทางสถิติ จะช่วยให้เข้าใจถึงลักษณะต่าง ๆ ของตนเองได้ดี
และน่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็ตามความแม่นยาในการรับรู้หรือการทาความเข้าใจตนเองจากการใช้แบบสอบถามน้ี
สว่ นหนงึ่ ข้ึนกับการแปลผลโดยผู้เชยี่ วชาญและคณุ ภาพของแบบสอบถามต่าง ๆ ด้วย การรับรู้น้ีจะเป็น
ตัวช่วยให้ตนเองมีการปรับปรุงพัฒนาตนเองเพื่อนาไปสู่การสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการดาเนินชีวิต
และการทางานได้เป็นอยา่ งดี

2.5 การรับรู้ตนเองจากทฤษฎี การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ทางธุรกิจได้อย่างมี
ประสิทธิภาพนน้ั จะสามารถทาให้ การประกอบธุรกจิ ประสบผลสาเร็จตามที่ต้ังไว้ โดยจะสามารถทา
ไดห้ ลายวิธี ขน้ึ อย่กู ับเทคนคิ ของแต่ละบุคคล ซ่ึงการรับรู้ของตนเองเป็นส่วนหน่ึงท่ีทาให้บุคคลรู้เท่า

48 มนุษยสมั พันธท์ างธุรกิจ

ทนั ตนเอง อนั นาไปสวู่ ธิ คี วบคุมตนเองและแก้ไขอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อการสร้างมนุษย์
สัมพันธ์กับบุคคลอื่นในการดาเนินกิจกรรมทางธุรกิจร่วมกัน การรับรู้ตนเองจากทฤษฎี โดยมีทฤษฎี
ดังน้ี

2.5.1 ทฤษฎหี นา้ ต่างโจฮารี่.(The Johari-Window Theory)
โจเซฟ ลุฟท์ Joseph.Luft (1970 : 56) ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ คือนักจิตวิทยา

ชื่อ โจเซฟ ลุฟท์ และแฮรี่ อิงแฮม (Joseph.Luft.and.Harry.Ingham).ในปี ค.ศ.1955 เป็นทฤษฎีท่ีใช้
เป็นแบบแผนทาความเข้าใจพฤติกรรมและการสร้างสัมพันธภาพให้เกิดขึ้นกับบุคคลเม่ืออยู่ร่วมกันใน
สังคมและในองคก์ รตลอดจนในการประกอบธุรกิจ ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั น้ี

ตนเองรู้ ตนเองไมร่ ู้

ผู้อ่นื รู้ 1. บรเิ วณเปิดเผย 2. บรเิ วณจดุ บอด
(Open Area) (Blind Area)

ผูอ้ ืน่ ไม่รู้ 3. บรเิ วณซ่อนเรน้ 4. บรเิ วณมดื มน/อวิชชา

(Hidden Area) (Unknow Area)

ภาพที่ 2.1 ทฤษฎีหนา้ ตา่ งโจฮาร่ี (The Johari-Window Theory)
โดยทฤษฎีน้ีสรุปไว้ว่า บุคคลทุกคนมีพฤติกรรม 4 แบบ ตามช่อง ในหน้าต่าง

แต่ละบาน ซึ่งผู้นาองค์กรธุรกิจต้องพบพฤติกรรมต่าง ๆ ท่ีจะกล่าวต่อไปนี้ เพื่อให้ผู้นาองค์กรธุรกิจ
ไดเ้ รียนรู้พฤติกรรมตา่ ง ๆ เพ่ือเข้าใจบุคลากรในองค์กรใหม้ ากข้ึนโดยพฤติกรรมดงั กลา่ ว มีดังตอ่ ไปนี้

1) บริเวณเปิดเผย.(Open.Area).หมายถึง บริเวณท่ีเรารู้และเปิดเผย
ให้คนอน่ื รู้ โดยบุคคลแสดงพฤติกรรมภายนอกออกมาอย่างเปิดเผยและรู้ว่าตนแสดงพฤติกรรมอะไร
และในขณะเดียวกันเราก็รับรู้พฤติกรรมของผู้อื่นได้ด้วย เช่น ฉันเป็นคนชอบยิ้มกับเพื่อนร่วมงาน
และผอู้ น่ื เรามีการรับรู้ว่าเรากาลงั ย้ิมและพอใจผู้อนื่ ผอู้ ่ืนกม็ ีการรบั รตู้ รงกนั การติดตอ่ สัมพันธ์จึงเกิดขึ้น
ซึ่งบริเวณเปิดเผยจะกว้างข้ึนเมื่อบุคคลมีความสัมพันธ์คุ้นเคย สนิทสนมกัน โดยจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ
อยา่ งเปิดเผยและจรงิ ใจต่อกัน บุคคลจะสามารถรับรู้ตนเองได้ดี เน่ืองจากมีการรับคาวิจารณ์จากผู้อ่ืน
ตลอดเวลา มีผลทาให้เป็นบุคคลที่พร้อมจะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเพ่ือให้ตนเองมีความ
เจรญิ กา้ วหน้าและมีสัมพันธภาพที่ดีกบั ทกุ คนได้

การศกึ ษาความเข้าใจตนเองและผอู้ นื่ เพ่ือสรา้ งมนุษยสมั พันธท์ างธุรกจิ 49

พฤติกรรมการเปิดเผยตามทฤษฎีโจฮารี่นั้น มีข้อควรปฏิบัติเพื่อเสริมสร้าง
ความสมั พนั ธอ์ นั ดี ดงั ต่อไปนี้

1. ควรพิจารณาถึงบุคคลที่เราสนทนาด้วยว่ามีลักษณะเช่นไร เป็นคนพร้อม
ท่จี ะรบั ฟงั คาเปิดเผยของผอู้ ื่นหรือเป็นคนชอบดหู มิ่น อิจฉา เหยยี ดหยามเมื่อไดย้ นิ เร่ืองของผู้อน่ื

2. ควรพิจารณาถึงสถานการณ์ในขณะนั้นว่าสมควรจะเปิดเผยหรือไม่
โดยดจู ากความเหมาะสมของเวลาและสถานทีใ่ นการทางานเปน็ หลัก

3. พิจารณาถึงความรู้สึกของตนในขณะน้ันว่าเช่ือมั่นในระดับไหนที่จะพูด
เปิดเผยออกไป ซ่ึงการพูดในบางครั้งที่ไม่แน่ใจอาจทาให้เกิดความเดือดร้อนและไม่สบายใจได้
ในภายหลงั

ตารางท่ี 2.1 ผลดี-ผลเสยี ของการเปิดเผยตนเอง

ผลดีของการเปิดเผยตนเอง ผลเสียของการเปดิ เผยตนเอง
1. เปดิ เผยแล้วทาให้สบายใจ 1. หากเปดิ เผยมากเกนิ ไปหรือไม่ถกู กาลเทศะ
2. ทาให้มเี พื่อนมาก ดูเป็นคนคบง่าย จริงใจ อาจทาให้ได้รบั การดูหมน่ิ และกลายเป็นคนที่
3. มีโอกาสได้รับความชว่ ยเหลือไดง้ า่ ย ราคาญ
เม่อื มีปัญหา 2. เปิดเผยมากอาจกลายเป็นคนผูกขาด

4. เป็นผู้ให้ความรู้หรือข้อมลู แกผ่ ู้อ่ืน การสนทนา อีกทงั้ ทาให้ผอู้ ่นื เกิดความเบ่ือ

หน่าย

3. อาจทาใหผ้ ูอ้ น่ื และตนเองไดร้ ับความ

เดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่รูต้ วั

2) บริเวณจุดบอด.(Blind.Area).หมายถึง.บริเวณส่วนที่ตัวเราไม่รู้
แต่คนอื่นรู้ เป็นลักษณะหรือพฤติกรรมที่ตนเองแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเจตนาที่แสดงออกไป
แต่บุคคลอื่นสามารถสังเกตเห็นได้ เช่น มีกล่ินตัวของแต่ละคน หรือบางคนขณะท่ีพูดจะยักค้ิวไปด้วย
ทุกครั้ง พูดคาหยาบระหว่างการสนทนากับผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งการแสดงพฤติกรรมดังกล่าวนี้อาจส่งผล
กระทบตอ่ สมั พนั ธภาพในการอยูร่ ่วมกนั ในสงั คมและในองคก์ รทางาน

บุคคลประเภทนี้จะไม่ชอบรับฟังคาวิจารณ์จากผู้อื่นและไม่ชอบ เปิดเผย
ตนเอง เปน็ สาเหตหุ น่ึงทที่ าให้ไมส่ ามารถรับรู้และเขา้ ใจตนเองไดอ้ ย่างถูกต้องว่าตนเองมีลักษณะนิสัยแท้จริง
อยา่ งไร สง่ ผลทาให้ยากกบั การพฒั นาและปรับปรุงตนเองในการสร้างสัมพันธภาพท่ีดรี ่วมกบั ผอู้ ่ืนได้

3) บริเวณจุดซ่อนเร้น.(Hidden.Area).เป็นส่วนที่เราปกปิดสิ่งท่ีเรา
รูว้ า่ ตนเปน็ คนอยา่ งไร แต่ไมต่ อ้ งการให้ผู้อ่ืนรู้เนื่องจากบุคคลมีความไม่ไว้วางใจหรือเชื่อใจคนอ่ืนและ
นอกจากนั้นเปน็ เพราะหากผู้อื่นรู้แล้วอาจทาให้เกิดความเสียหายหรืออับอาย เช่น ความรู้สึกไม่พอใจและรู้สึก

50 มนุษยสมั พันธท์ างธุรกจิ

อจิ ฉาริษยาเพอ่ื นรว่ มงานที่ไดด้ ีกวา่ และเกบ็ ไว้ในใจไม่ให้ใครรู้ ซ่ึงจุดซ่อนเร้นนี้จะทาให้ลาบากในการสร้าง
สมั พันธภาพกับเพื่อนรว่ มงานได้

บุคคลประเภทน้ีจะไม่ชอบให้ใครทราบเร่ืองราวของตน ไม่ให้ความ
สนิทสนมกับใครอย่างแท้จริง.รวมทั้งไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงของตนเอง มีผลทาให้ขาดการ
พัฒนาตน เพ่ือนาไปสู่การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับผู้อ่ืนและอาจเกิดผลเสียต่อการดาเนินธุรกิจ
ในองค์กรได้

4) บริเวณมืดมนหรืออวิชชา.(Unknown.Area).เป็นส่วนที่การแสดง
พฤติกรรมท่ีตัวเองไม่รู้และผู้อื่นก็ไม่รู้ บางครั้งบุคคลมีการแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ตนเองไม่เคยรู้ไม่เคย
เข้าใจมาก่อนและคนอื่นก็ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกัน พฤติกรรมส่วนน้ีจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีบางเหตุการณ์
มากระตุ้น เช่น บุคคลบางคนมีกิริยามารยาทเรียบร้อย สุขุม แต่เมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์คับขันก็อาจ
มีพฤติกรรมก้าวร้าวเพื่อเอาชนะผู้อื่น เป็นต้น บุคคลประเภทน้ีขาดการรับฟังคาวิจารณ์ตนเองและก็
ไม่วิจารณ์ผู้อื่นด้วยและนอกจากนั้นยังไม่เปิดเผยตนเอง ซ่อนเร้นพฤติกรรมและไม่ยอมรับรู้
ข้อบกพร่องของตนจึงยากแก่การสร้างความสัมพนั ธ์กับผอู้ ื่น

การนาทฤษฎีหน้าต่างโจฮาร่ีไปใช้ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์น้ัน หลักการ
ทคี่ วรคานึงไดแ้ ก่

1. บุคคลควรเข้าใจและหวังดีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง และมีความไว้วางใจ
ซง่ึ กันและกัน

2. ควรเปิดเผยตนอย่างจริงใจ เพื่อสร้างรากฐานการมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับผู้อืน่

3. ควรรบั ฟงั ขอ้ วิจารณ์และพร้อมให้คาวิจารณ์ผู้อื่นอย่างเป็นธรรม
4. นาคาวิจารณ์ของผู้อื่นมาประเมินตนเอง อันจะนาไปสู่การยอมรับ
ตนเองและหาทางในการปรับปรงุ แก้ไขตนเองใหด้ ีขน้ึ ต่อไป
จากทฤษฎีหน้าต่างโจฮาร่ี ผู้บริหารองค์กรสามารถนาไปประยุกต์ใช้
ในการบริหารพนักงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะองค์กรธุรกิจท่ีต้องมีการแข่งขันกัน
อยา่ งมาก ในปัจจุบนั เพ่อื ทาความเขา้ ใจพฤตกิ รรมของพนกั งานภายในองค์กรและหาแนวทางในการ
แก้ไขพฤติกรรมในส่วนที่บกพร่องของพนักงานให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพ่ือนร่วมงาน
ในองคก์ รไดเ้ ป็นอยา่ งดี
3. พทุ ธศาสนากับการร้จู กั ตนเอง
ศาสนาที่มีอยู่ในโลกล้วนมุ่งเน้นอยากให้ทุกคนเป็นคนดี และมีความสุขในการดารงชีวิต
ถึงแม้จะมีหลักการและแนวทางการปฏิบัติท่ีแตกต่างกันออกไปบ้าง ในทางพุทธศาสนานั้น มีหลักธรรม
มากมาย หากบุคคลสามารถนาไปประยุกต์ใช้ให้เป็น ก็จะรู้จักสร้างความสัมพันธ์เพ่ือการอยู่ร่วมกับ
ตนเองและผู้อื่นอย่างมีความสุขได้ ในเร่ืองการรู้จักตนเองน้ัน บุคลิกภาพเป็นส่วนหนึ่งที่บุคคล
ในสังคมและบุคคลในองค์กรธุรกิจสามารถนามาประยุกต์ใช้ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการทางาน


Click to View FlipBook Version