The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aomsin3692, 2021-11-08 11:07:07

บทที่ 1

บทที่ 1

เทคนคิ การสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 301

ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และยังทาให้แก้ไขปัญหาท่ีผ่านเข้ามาได้อย่างมีสติ แค่นี้เรา
กจ็ ะสามารถดารงชีวติ อยใู่ นสังคมได้อย่างมีความสุข

17.2 การสะกดอารมณ์.วิธีนี้ต้องรู้จักข่มใจและต้องมีสติมากพอสมควร อาจใช้วิธี
นับจานวนตัวเลขต้งั แต่ 1–10 หรือ 1-100 ก็ได้ หรืออาจจะฝึกจิตใจของตนเองว่าเราไม่สามารถห้าม
ความคิดหรือการกระทาของคนอื่นได้ แต่เราสามารถท่ีจะห้ามตัวเราไมให้ทาไม่ให้คิดได้ เพื่อที่ใจเรา
จะได้สงบและมีความสุขในการใช้ชวี ิต แค่นี้ก็จะช่วยให้อารมณ์ของเราผ่อนคลายลงไดบ้ ้าง

17.3 การหลีกหนีเหตุการณ์.วิธีนี้จะทาให้อารมณ์ไม่หมกมุ่นอยู่กับบรรยากาศท่ีมีผล
ต่อสภาพจติ ใจและอารมณ์ ซ่งึ จะทาใหอ้ ารมณ์สงบลงได้ วิธนี ีจ้ ะใช้ได้ผลกับคนท่ีไม่สามารถจะควบคุม
อารมณต์ นเองได้ เมอ่ื สามารถระงับอารมณ์ไดแ้ ล้วจงึ คอ่ ยกลบั มาเผชิญหน้ากบั เหตกุ ารณ์ใหม่

17.4 การระบายออกกับผู้ใกล้ชิดหรือเพื่อนสนิท.ท่ีสามารถรับฟังปัญหา
และเข้าใจในปัญหาท่ีเกิดข้ึนได้ดีกว่าการเก็บตัวอยู่คนเดียว ซ่ึงจะเป็นการสร้างความกดดันให้กับตนเอง
และอาจจะทาในส่ิงที่ไม่คาดคิดได้ การระบายความรู้สึกและอารมณ์กับคนสนิทหรือคนท่ีใกล้ชิด
จะทาให้ได้ข้อคิดข้อเสนอแนะ และคาแนะนาในการปฏิบัติตน ซึ่งจะส่งผลให้อารมณ์ผ่อนคลาย
ไดเ้ ช่นกัน

18. สุขภาพดเี พราะออกกาลังกาย
การออกกาลังกายทาให้สุขภาพแข็งแรงมีรูปร่างท่ีดีข้ึน ดังนั้น นักธุรกิจจึงควรออกกาลัง

กายให้ได้เป็นประจา หรือถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้เป็นประจา ก็ควรทาให้อวัยวะต่าง ๆ ได้เคล่ือนไหวบ้าง
ดีกว่าอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทาอะไรเลย เช่น หลีกเล่ียงการใช้ลิฟต์ แต่หันมาใช้บันไดแทน หรือกวาดบ้าน
ถบู ้านดว้ ยตนเองดกี วา่ กนิ แล้วนอน เปน็ ตน้

จะเห็นได้ว่าการออกกาลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและบุคลิกภาพมากมาย
ดงั นน้ั บุคคลทที่ างานในองคก์ รกค็ วรใสใ่ จในเร่ืองของการออกกาลังกายด้วยการออกกาลังกาย ให้ได้
เป็นประจา เพราะบางคร้ังการท่ีน่ังทางานนาน ๆ ก็จะทาให้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไม่สบายบ่อย ๆ
การหันมาใสใ่ จสุขภาพ ก็เป็นสิ่งทดี่ อี ย่างหนง่ึ อาจจะเปน็ การผ่อนคลายจากการทางาน ได้อีกด้วย

19. จาชือ่ คนอ่ืนใหแ้ ม่น
คาที่ไพเราะที่สุดสาหรับทุกคนคือชื่อของตนเอง การมีชื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหน่ึงของ

กิจกรรมใด ๆ หรือการที่ผู้อ่ืนประกาศเรียกชื่อของตนได้อย่างถูกต้อง จะทาให้เจ้าของช่ือรู้สึกว่าตน
เป็นบุคคลท่สี าคญั และรสู้ กึ ยนิ ดี พร้อมที่จะเขา้ ร่วมกจิ กรรมต่าง ๆ เป็นอย่างดี

การจดจาช่ือและเรียกชื่อผู้อ่ืนได้ถูกต้องแม่นยา เป็นการสร้างความประทับใจ
และสามารถเอาชนะใจผู้อ่ืนได้ ดังน้ัน นักธุรกิจที่ต้องทางานกับบุคคลภายในและภายนอกองค์กร
ต้องได้พบเจอกับบุคคลมากมาย จาเป็นท่ีจะต้องจาชื่อของแต่ละบุคคลให้ได้ เพราะถ้าจะได้ทางาน
ร่วมกันครงั้ ต่อไปกจ็ ะได้ ทักทายชือ่ เขาได้ถกู ต้อง และจะทาให้เขาจะภูมิใจในตัวเราว่าเราจาชื่อเขาได้
ซึง่ อาจจะสร้างความประทบั ใจในการร่วมทาธุรกจิ หรอื ในการทางานได้

302 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ

จากสิ่งท่ีกล่าวมาข้างต้นน้ัน สามารถสรุปได้ว่า เทคนิคในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
โดยการปรบั ตัวเองนนั้ สามารถเลอื กทาไดห้ ลายวธิ ีตามแต่ท่ีบุคคลจะถนัดและช่ืนชอบ เพราะถ้าหาก
บุคคลผู้นั้นนาไปปรับใช้กับตัวเองแล้วย่อมส่งผลดีมากมายท้ังต่อตนเอง เพื่อนร่วมงานและองค์กร
ธรุ กิจ เช่น ทาให้เปน็ ผู้ท่ีบคุ คลอ่นื อยากคบค้าสมาคมดว้ ย เป็นต้น

เทคนิคการครองใจคนเพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ

การทาธรุ กจิ ในปจั จุบันต้องสามารถการครองใจคนได้ ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่นักธุรกิจควรจะ
ปฏิบัติให้ได้ เพ่ือให้ธุรกิจดาเนินไปอย่างราบรื่น และประสบความสาเร็จสูงสุด ซึ่งเทคนิคในการ
ครองใจคนมีเทคนิคดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ศึกษาคนที่จะทางานด้วย.หม่ันสังเกตว่าเขาเป็นคนอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร
และเขามีความสามารถพิเศษด้านไหนที่เด่น แล้วเอาส่ิงท่ีเขามีดีมาเป็นหนทางในการสร้างมิตร
เพ่ือสานสัมพันธ์กับเพ่ือนร่วมงานหรือคู่ค้า เช่น เขาเป็นคนมีบุคลิกภาพดีชอบแต่งตัว เราควรพูดชม
เมื่อเขาแต่งตัวสวยมาทางาน เช่น “เสื้อตัวน้ีสวยจังเลย เหมาะกับเธอมาก ถ้าฉันใส่คงสวยเท่าเธอ
ไม่ได้”.เขาก็จะรู้สึกดีใจในความพิเศษของเขาที่คนอื่นมีไม่เหมือนตนเอง และก็อยากท่ีจะคบกับเรา
เพราะอยู่กับเราแล้วเขาสบายใจ

2. เขา้ ใจและยอมรับสภาพทเ่ี ขาเปน็ อยู่ .ถา้ คิดที่จะคบกับใครสักคน ต้องกล้าท่ีจะยอมรับ
สภาพความเป็นจริงของตัวตนของเขาท้ังในด้านบุคลิกภาพ นิสัย ครอบครัว หรือ การทางาน
การเร่ิมต้นของการคบย่อมอาจเกิดปัญหาบ้างในเร่ืองของนิสัยใจคอท่ีอาจรับไม่ได้ แต่ต้องทาความ
เข้าใจและให้อภัย มองข้ามในบางสิ่งบางอย่างที่เขาทาไม่ดีและต้องอดทนในการทาความดี
เพื่อชนะใจ เช่น ให้ความช่วยเหลือในยามที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเร่ืองงาน เรื่องส่วนตัว
เพราะจะทาให้เขาเกิดความประทับใจ ความเป็นกันเองและในท่ีสุดเขาก็จะรู้ถึงความเป็นมิตรแท้
ท่เี รามีใหเ้ ขายามที่เขาไมม่ ใี ครเลย

3. อ่อนน้อมถ่อมตน.คงไม่มีใครที่อยากคบเพ่ือนร่วมงานที่ทาตัวเหนือเพ่ือนคนอื่น ๆ
อวดตัวว่าเกง่ เหน็ แก่ตัวไม่ยอมชว่ ยงานคนอน่ื ๆ ย่อมทาใหเ้ พอ่ื นในกลุ่มเกิดอาการไม่พอใจและไม่ให้
เข้ากลุ่มด้วย ฉะน้ันไม่ควรโอ้อวดถึงแม้จะมี ความสามารถพิเศษจริง ก็ควรให้เขาได้เห็นและยอมรับ
ด้วยตนเอง

4. มีบุคลิกภาพท่ีดี.เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องให้ความสาคัญในเร่ืองของบุคลิกภาพภายนอก
รูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท การแต่งกาย การเข้าสังคม รวมถึงบุคลิกภาพภายใน อารมณ์
ความรู้สึกตา่ ง ๆ ท่แี สดงออกมาในทางสร้างสรรค์ เพ่อื ใหบ้ ุคคลรอบข้างเกิดความสุข สบายใจ เพราะ
เม่ือเรามีบุคลกิ ภาพท่ดี ีแล้ว เวลาท่ีจะไปติดต่อคบค้าสมาคมกับใครในการทาธุรกิจก็ย่อมที่จะประสบ
ความสาเรจ็ ได้เชน่ กัน

เทคนคิ การสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 303

5. ยิ้มแย้มแจ่มใส.ด้วยการมองโลกในแง่ดีก็จะทาให้อารมณ์ดีแสดงออกมาทางสีหน้า
และท่าทางที่มีชีวิตชีวา เมื่อเจอคนท่ีรู้จักกันก็ย้ิมแย้มทักทายกันเป็นการสร้างมิตรไว้ เพราะการมีมิตร
ย่อมดกี วา่ มีศตั รู ในขณะเดยี วกนั ในการตดิ ตอ่ ทางธรุ กจิ กับคู่คา้ ก็ย่อมท่ีจะสาเร็จไปกว่าคร่ึง เนื่องจาก
การย้มิ แย้มแจม่ ใส เปน็ การสรา้ งมติ รไมตรที ่ีดีตอ่ กนั

6. มศี ิลปะในการพูด.ทุกคนมีปากท่จี ะพดู แต่จะพดู ได้ดีนน้ั มีนอ้ ย จึงควรคิดทุกครั้งที่จะ
พูดอะไรออกไป ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ เกิดโทษ เช่น ทาให้ผู้อื่นเสียใจ ไม่พอใจ ก็จงอย่าพูด
ออกไป พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์แม้กระท่ังการโกหกแล้วทาให้เขาสบายใจก็ควรต้องทาและต้อง
ไม่เกิดผลเสียตามมา เช่น ในการเจรจาต่อรองธุรกิจผู้เจรจาควรจะมีศิลปะในการพูดเพราะจะทา
ให้คเู่ จรจาเกดิ ความประทบั ใจและสามารถโน้มน้าวใหค้ ่เู จรจาคลอ้ ยตามได้ เป็นตน้

7. อย่าเอ่ยปมด้อยหรือจับผิดคนอื่นที่เราจะพูดด้วย.ปมด้อยของตนเองย่อมไม่ต้องการ
ใหใ้ ครกล่าวถงึ เพราะมนั เป็นการตอกย้าใหเ้ กิดความเจ็บปวด และทาใหเ้ ขาอายได้ ถ้ามีคนมากจงพูด
แต่ส่ิงท่ีดีของเขา เพราะคนทุกคนย่อมอยากให้พูดแต่ส่ิงท่ีดีของตนเองและต้องการเป็นคนเก่ง
ในสายตาคนอ่ืน ถ้าจะมีการพูดถึงปมด้อยก็ควรให้เขาพูดออกมาเอง เช่น “เดือนน้ีเราทายอดขายได้
แยม่ ากเลย ทาอย่างไรดี” หรือเราอาจจะพดู ถึงปมด้อยของเราเอง เพ่ือให้เขารู้สึกว่าคนอ่ืนก็มีปมด้อย
เหมอื นกับเขา มนั จะทาให้เขารู้สึกดขี ้นึ เช่น “เราก็เหมอื นกนั ยอดขายพอ ๆ กบั นายเลย”

8. ยกย่องและช่ืนชม.เป็นคาท่ีร่ืนหูและไพเราะที่สุดของผู้ท่ีถูกชมเชย เป็นคาพูดท่ี
สร้างสรรค์มากและเราก็ไม่ได้ลงทุนอะไรก็แค่เอ่ยมันออกมา เมื่อใดก็ตามที่เพ่ือนในกลุ่มได้ทาดีกับ
ตนเองหรือกับผู้อ่ืน ควรให้คายกย่องชมเชยอย่างจริงใจ และบอกต่อถึงความดีของเขาให้บุคคลอื่น
ได้ทราบเพื่อเป็นความภาคภูมิใจท่ีเขาได้ทาความดี และยังเป็นแรงบันดาลใจให้เขาคิดทาความดีต่อไป
เชน่ ถา้ หากผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงาน สามารถหาลูกค้าให้กับบริษัทเพ่ิมขึ้น เราก็ควรกล่าว
ช่นื ชม เพ่ือทจี่ ะใหเ้ ขาตงั้ ใจทางานต่อไป เปน็ ตน้

9. มีอารมณ์ขัน.อารมณ์ขันเป็นคุณสมบัติในการสร้างความสัมพันธ์และช่วยสร้าง
บรรยากาศของการทางานใหม้ คี วามร่วมไม้ร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้างานกับทีมงาน
ทสี่ าคญั คือทาใหบ้ รรยากาศการทางานผ่อนคลาย และทาให้ทีมงานมีความรู้สึกท่ีดีต่อท้ังหัวหน้างาน
และองค์กร หมั่นหาเรอื่ งท่ชี วนให้หวั เราะเกบ็ สะสมไว้ ยามที่เกิดสถานการณ์ที่เครียดมันอาจสามารถ
ช่วยเหลือให้สถานการณ์ดีข้ึนได้ คนมีอารมณ์ขันมักมีคนชอบพูดด้วย เพราะอยู่ด้วยแล้วมีความสุข
สบายใจ ไม่น่าเบื่อ การจะพูดเร่ืองสนุกก็ต้องดูเวลาและสถานท่ีให้เหมาะสมด้วย เพราะถ้าผิดเวลา
ผดิ สถานท่ีอาจทาให้สถานการณ์แย่ย่ิงกวา่ เดิมก็ได้

10. เป็นนักฟังท่ีดี.เมื่อต้องมีการสนทนากับเพ่ือนต้องหม่ันคอยสังเกตว่าเขาเป็นคนท่ี
ชอบพูด เราก็ควรที่จะเป็นผู้ฟังท่ีดีและมีการโต้ตอบด้วยท่าทางว่ากาลังฟังเขาอยู่ จะพูดเม่ือเขาถาม
ความคิดเห็น หรือเมื่อเขาอยากให้เราพูด เพราะคนที่ชอบพูดย่อมไม่ชอบที่จะให้ใครมาพูดแทรก
ขณะท่ตี นกาลงั พดู เราควรฟงั โดยสบตาผ้พู ูดเสมอและไม่พูดขัดจังหวะหรือพูดแทรกในขณะท่ีอีกฝ่าย
หนึ่งพดู

304 มนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กิจ

11. วางตนให้เป็นกลาง.การรู้จักวางตัวให้เป็นกลาง ในองค์กรธุรกิจนั้นผู้บริหาร
ต้องวางตัวให้เป็นกลางโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงจนออกนอกหน้าและรู้จักหาวิธีรอมชอมยุติ
ปัญหาให้ท้ังสองฝ่ายด้วยความเข้าใจและอาศัยเหตุผล.จะทาให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความประทับใจในตัว
คุณได้.ผู้ที่รู้จักวางตัวให้เป็นกลางมักจะมีลักษณะเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์สูง มีสติต้ังม่ัน
ไม่ตกใจกับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและที่สาคัญผู้ท่ีรู้จักวางตัวให้เป็นกลางจะต้องเป็นคนท่ีมีเหตุมีผล
ไม่ฟังความเพียงข้างเดียว เพราะคนท่ีทะเลาะกันส่วนมากมักมีความเชื่อและอคติที่แตกต่างกัน
ออกไป ซ่ึงล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะเอาชนะด้วยกันท้ังนั้น ทางท่ีดีเราควรวางตัวให้เป็นกลางและหา
วธิ ยี ตุ ิการทะเลาะกันดว้ ยเหตผุ ลจะดกี วา่

12. ความเสมอต้นเสมอปลาย.ผู้ท่ีมีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีการเปล่ียนแปลง
ทางด้านจิตใจและอารมณ์บ่อยเกินไปนัก ย่อมทาให้ผู้ท่ีได้รู้จักคบหาเกิดความประทับใจได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ความเสมอต้นเสมอปลายยังเป็นการวัดคุณค่าในตัวคนผู้น้ันอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
หากเราเป็นผู้ผลิตสินค้าส่งให้กับบริษัทที่เราทาการค้าด้วย ก็ควรส่งสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ตามที่
ตกลงกนั ไว้ตง้ั แต่เร่ิมทาธรุ กิจจนถงึ ปัจจุบันก็ยังส่งสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเหมือนเดิม โดยไม่มีการ
ปลอมปนสนิ ค้า ท่ไี ม่มีคณุ ภาพ กจ็ ะทาใหล้ ูกค้าเกิดความประทับใจได้ เปน็ ตน้

13. การรักษาสัญญา.เมื่อใดก็ตามท่ีไดต้ กปากรับคาให้คาสัญญากับใครไว้แล้ว ก็ควรจะ
ทาให้ได้ตามที่รับปากไว้ เพราะถ้าไม่สามารถจะทาตามท่ีเคยสัญญาไว้ได้จะต้องกลายเป็นคนท่ี
ไม่น่าเช่ือถืออีกต่อไป.ถ้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถทาได้ตามที่ตกลง ก็ไม่ควรเอ่ยคาสัญญา ควรรอจนกว่าจะ
แน่ใจจริง ๆ เพราะถ้าทาไมไ่ ดจ้ ะทาให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความรู้สึกไม่พอใจ และไม่มีความเชื่อถือในตัว
ของคุณอีกต่อไป เช่น ในการทาธุรกิจ หากสามารถทาตามสัญญาทใ่ี ห้ลูกค้าไว้ได้ ก็ควรจะทาให้ลูกค้า
เกดิ ความประทับใจ และบริษัทเกิดความน่าเชื่อถอื จนกลับมาใชบ้ ริการของเราอีกครั้ง

14. เข้ากบั เพื่อนร่วมงานให้ได้.เราควรหาวธิ ีทจี่ ะสรา้ งมนุษยสัมพันธ์อันดีกับเพ่ือนร่วมงาน
โดยการรูจ้ ักพบปะพูดคุย ใหค้ วามเปน็ กันเองกบั ผู้รว่ มงาน ใหค้ วามสาคัญกับผู้ร่วมงาน มีน้าใจและให้
ความช่วยเหลือกับผู้ร่วมงานตามสมควร.แสดงความจริงใจกับผู้ร่วมงาน หลีกเลี่ยงการนินทาว่าร้ายหรือ
วิพากษ์วิจารณ์ ยกย่องชมเชยเพ่ือนร่วมงานด้วยความบริสุทธ์ิใจ หากสามารถปฏิบัติได้ก็จะเป็นท่ีรักใคร่
ของผูร้ ว่ มงานได้เปน็ อยา่ งดี

15. วางตัวเหมาะสม.การรู้จักวางตัวให้เหมาะสม เป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเองวิธีหนึ่ง
การวางตัวให้เหมาะสมสามารถเห็นได้เมื่อต้องประสบกับภาวะที่กดดัน และต้องเผชิญกับปัญหา
ผู้ท่ีวางตัวได้เหมาะสมจะมีความน่าเชื่อถือ และสามารถเป็นท่ีพ่ึงพาให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย.เมื่อรู้จัก
การวางตัวให้เหมาะสมแล้ว คุณจะมีภาพลักษณ์ท่ีดี เป็นท่ีประทับใจต่อผู้ท่ีได้คบหาสมาคมด้วย
หากเปน็ การทาธุรกิจการวางตัวใหเ้ หมาะสมของนักธุรกจิ จะส่งผลใหก้ ารดาเนินงานเปน็ อย่างราบรนื่

16. รู้จักเป็นผู้ให้.การรู้จักให้เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนปฏิบัติตามได้ยาก เพราะรู้สึกถึงความ
ขัดแย้งในจิตใจ ท่ีรู้สึกอยากจะเป็นผู้รับมากกว่าการเป็นผู้ให้ แต่ถ้าได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว
จะเห็นว่าการเป็นผู้ให้น้ันทาให้เราได้รับประโยชน์มากกว่าการเป็นผู้รับเสียอีก ส่ิงท่ีจะได้รับจากการ

เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 305

เป็นผู้ให้อย่างแรกก็คือ ความสุขกายและความสบายใจ.ซ่ึงผู้ที่ไม่เคยเป็นผู้ให้เลยจะไม่เคยได้รับ
ความรู้สึกเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไร มีความสุขมากแค่ไหน เช่นกันในการทาธุรกิจบุคคลควรรู้จักเป็น
ผ้ใู ห้บา้ ง อย่างเช่น การทาประโยชน์ใหแ้ ก่สงั คมบา้ ง ไม่ใช่ม่งุ แตก่ าไรเพียงอย่างเดียว ผู้ท่ีมีนิสัยไม่เคย
เป็นผู้ให้เลย มักจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่มีใครให้ความนิยมชมชอบและไม่อาจสร้างความ
ประทับใจให้ใคร ๆ ได้ ตรงกันข้ามกับคนที่เป็นผู้ให้คนเหล่าน้ีมักจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ เป็นท่ี
ประทับใจแก่ผู้ท่ีได้รู้จักคบหาด้วย.ดังน้ัน จงเริ่มต้นท่ีจะเป็นผู้ให้เสียแต่บัดนี้ จะทาให้คุณได้รับรู้ถึง
ความสุขที่แท้จริงจากการให้ว่าเป็นอย่างไร.เช่น ในการทาธุรกิจเราก็ต้องมีการคืนกาไรให้กับลูกค้า
มกี ารตอบแทนสังคม เพื่อใหอ้ งค์กรเป็นทร่ี จู้ ักไปในตวั และเพอื่ ใหอ้ งค์กรเจรญิ เติบโตอย่างยงั่ ยนื

17. คล้อยตามผู้อ่ืนบ้าง.การรู้จักคล้อยตามผู้อ่ืนเสียบ้าง จะช่วยทาให้คุณดูมีเสน่ห์ข้ึน
และยงั ชว่ ยทาให้เกิดความประทับใจในตัวของคุณข้ึนได้อีกด้วย ผู้ท่ีมีลักษณะใจแคบ หัวแข็ง ไม่ยอมรับฟัง
ความคิดเห็นของใคร ยึดถือตัวเองเป็นใหญ่ ลักษณะของคนประเภทนี้จะทาให้ผู้ใกล้ชิดหรือผู้พบเห็น
เอือมระอา ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ อาจจะไม่ถึงกับเป็นการสร้างศัตรูให้กับตนเอง แต่ก็ไม่ใช่การสร้าง
มิตรภาพที่ดีให้กับตนเองแน่นอน.ดังนั้น.การรู้จักเปิดใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
หรือเพื่อนร่วมงานบ้าง รู้จักน่ิงและคล้อยตามผู้อ่ืน ถ้าไม่ทาให้เราต้องสูญเสียอะไรท่ีย่ิงใหญ่ไปนัก
ก็เป็นส่ิงท่ีควรปฏิบัติอย่างยิ่ง อย่างน้อยส่ิงท่ีเราจะได้รับตอบแทนกลับมาก็คือมิตรภาพท่ีดีน่ันเอง
ดงั คากลา่ วทีว่ ่า “จงทาตวั เป็นนา้ ครงึ่ แกว้ เพือ่ ท่จี ะได้เรียนรูเ้ พ่มิ เตมิ จากผู้อืน่ ”

18. เสียสละและรว่ มมือร่วมใจ.ความสามคั คีปรองดองเป็นสิ่งท่ีไม่อาจเห็นได้ในคนเพียง
คนเดียว แต่จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อมีการรวมกลุ่มเพ่ือทาสิ่งใดส่ิงหน่ึง ความสามัคคีเป็นการร่วมแรงร่วมใจกัน
ท่ีจะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ซ่ึงเป็นการสร้างความประทับใจให้กับผู้ท่ีได้พบเห็นและ
ผทู้ ่ีได้รว่ มทางานด้วย การทางานหรือการทาธุรกิจหากบุคคลทางานร่วมกันด้วยความสามัคคีก็จะทา
ให้ธรุ กจิ ประสบความสาเรจ็ ไดอ้ ย่างรวดเรว็

จากทีก่ ล่าวมานัน้ สามารถสรุปได้ว่า เทคนิคในการครองใจคนเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ทาง
ธุรกิจนั้น เราสามารถนามาใช้ในการโน้มน้าวให้บุคคลคล้อยตามได้มาก เพื่อให้สามารถทางาน
ทาธุรกจิ และอยู่ในองค์กรร่วมกับผอู้ ่ืนได้อย่างมีความสขุ และประสบผลสาเร็จในการทางาน

เทคนิคการสรา้ งมนุษยสัมพันธใ์ นการบริหารงานทางธรุ กิจ

การที่เราต้องตดิ ตอ่ สัมพนั ธก์ ับบุคคลอื่น ๆ ในธรุ กจิ ย่อมมีโอกาสจะขัดแย้งไม่เข้าใจกัน แต่ก็มี
วธิ ที ี่ดจี ะทาใหบ้ ุคคลท่เี ราตดิ ตอ่ ธุรกิจด้วยนั้น มีความรู้สึกท่ีพอใจ ประทับใจ รักใคร่ เห็นอกเห็นใจ เข้าใจ
และให้ความร่วมมือและเชื่อถือเราน้นั สามารถทาไดด้ ังน้ี

1. มีความสุภาพอ่อนโยน.เป็นพฤติกรรมท่ีทุกคนอยากได้รับจากบุคคลท่ีอยู่ร่วมกัน
ทางดา้ นกริ ิยามารยาทท่สี ุภาพ ใหเ้ กียรตซิ ึง่ กันและกัน พดู จาไพเราะ พดู แต่สิง่ ทส่ี ร้างสรรค์สบายใจ

306 มนษุ ยสมั พันธท์ างธุรกจิ

2. มีน้าใจ.มอบสิ่งดี ๆ ให้กับเพ่ือนร่วมงานด้วยความจริงใจ ร่วมแสดงความยินดี
ในโอกาสทเี่ พอื่ นได้ดี และให้ความชว่ ยเหลืออย่างใกลช้ ดิ ในยามทเ่ี พอ่ื นมีทุกข์

3. ย้ิมแย้มแจ่มใส.เมื่อเร่ิมต้นทางานย้ิมให้กัน เพ่ือสร้างบรรยากาศท่ีดีในการทางาน
และการติดต่อธุรกจิ

4. มีความรับผิดชอบ.เมื่อได้รับมอบหมายงานให้ทา ตั้งใจทางานด้วยความเต็มใจ
และสามารถทางานเสรจ็ ไดท้ ันเวลา

5. มีความร่วมมือ.ในการทางานนั้นไม่สามารถทาสาเร็จได้เพียงคนคนเดียว คุณก็คือ
ส่วนหนง่ึ ของทมี งานท่ีจะต้องให้ความร่วมแรงร่วมใจในการทางานท่ีจะให้งานขององค์กรสาเร็จลงได้
ดงั นั้นทุกคนคือคนสาคญั ในการทางานเป็นทมี

6. อย่าทาตัวมีปัญหา.ในองค์กรมีคนเป็นจานวนมากท่ีเข้ามาทางานร่วมกัน ต่างคน
ตา่ งความคดิ แตท่ ุกคนตอ้ งมีแนวทางเดียวกันก็คือ การอยู่ร่วมกันอย่างไรให้มีความสุขและทางานร่วมกัน
ให้กับองค์กรได้ ถ้าบุคคลใดเกิดทาตัวแตกแยกจากผู้อ่ืนย่อมทาให้เกิดปัญหาขึ้น อาจทาให้งาน
หยุดชะงักลงได้ทาให้เกิดความเสียหายกับองค์กร

7. คิดก่อนพูด.คาพูดบางคาอาจทาร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ทุกคร้ังที่จะพูดควรคิดตริตรอง
ให้รอบคอบก่อนว่าสิ่งท่ีจะพูดน้ันจะเกิดผลเสียกับตนเองและผู้อ่ืนหรือไม่ เช่น พูดออกไปแล้วจะทา
ใหผ้ ูอ้ ื่นเสยี หาย ถ้าผถู้ ูกพูดมารบั รู้อาจโกรธได้ ก็ควรจะหยุดพดู จะดกี วา่ หนั มาพดู เร่ืองที่ทาให้ตนเองและ
ผู้อนื่ เกดิ ประโยชน์สบายใจจะดกี ว่า

8. ตรงต่อเวลา เม่อื มกี ารนัดหมายใดก็ตามจะต้องไปให้ทันเวลานัดหมาย เป็นการสร้าง
ภาพพจน์ที่ดีในเร่ืองของการเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ มีความเกรงใจบุคคลอื่นที่จะต้องมารอคอย
คนท่ีไมต่ รงตอ่ เวลา ส่วนการไปล่าช้าทาให้เกิดผลเสียตอ่ ตนเองทาให้บุคคลไมเ่ กิดความศรทั ธา ส่วนบุคคล
ที่รอคอยก็เกิดความไม่พอใจ หงุดหงิด ทาให้บรรยากาศเสีย ทาให้งานล่าช้าเสียหาย ซ่ึงการตรงต่อ
เวลาเป็นส่งิ ท่ีสาคญั ยิ่งในการทาธุรกจิ

9. ไม่นินทา.ให้ทุกคนนึกย้อนกลับมองดูตัวเองว่า เราทาดีทุกอย่างได้หรือไม่ ถ้าตอบว่า
ไม่ได้ คนอ่ืนกท็ าไมไ่ ด้เช่นกนั แล้วเราจะมาพูดถึงส่ิงไม่ดีของผู้อื่นทาไมกัน ถ้าท่านพูดส่ิงไม่ดีของผู้อื่น
ผู้อ่ืนก็ย่อมพูดถึงสิ่งไม่ดีของท่านเช่นกัน การพูดนินทาว่าร้ายกันเป็นการทาลายมิตรภาพท่ีน่ากลัว
ที่สดุ ที่เราควรหลกี เลี่ยงให้ไกล

10. อย่าโอ้อวด.การมีดีอยู่กับตนเองน้ันไม่จาเป็นต้องบอกให้ผู้อื่นรู้ อ่อนน้อมถ่อมตนไว้
ควรให้ผู้อ่ืนได้รับรู้และสัมผัสในส่ิงดีของเราเอง จะทาให้เขายอมรับได้เอง เช่น หากเราทางาน
ในองค์กรก็ไม่ควรโอ้อวดว่าเรานั้นเก่งเหนือคนอ่ืน ๆ ในทีม แต่ควรต้ังใจทางานในส่วนของเรา
ใหอ้ อกมาดีทีส่ ดุ เป็นตน้

11. จริงใจ.ไม่แสดงพฤติกรรมท่ีตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเองกับเพื่อนร่วมงาน
เชน่ เขาไมส่ วยกช็ มวา่ เขาสวย จงมีความจริงใจกับเพื่อน ถึงเขาไม่สวยแต่เขาก็มีจิตใจที่ดี ที่เราอยาก
คบค้าสมาคมด้วย

เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ 307

12. รูจ้ ักอาวโุ ส.ในสงั คมไทยยังใหค้ วามสาคญั กบั ความอาวุโสอยู่ โดยการให้ความเคารพ
ให้เกียรติ ให้ความสาคัญ.ขอคาแนะนาในการบริหารจัดการงานเพราะถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ในการ
ทางานมากอ่ น

13. ไม่อิจฉา.รูส้ ึกดใี จและรว่ มแสดงความยินดีที่เพื่อนร่วมงานได้ดีในทุก ๆ เรื่องด้วยความ
จริงใจ

14. มนี า้ ใจเอือ้ เฟ้ือเผอื่ แผ่ ให้ความช่วยเหลือในทุกเรื่องท่ีสามารถจะทาได้ ถ้อยทีถ้อยอาศัย
กัน ยามเรามีน้อยกแ็ บง่ ปันน้อย มีมากก็แบง่ ปนั มากให้กับผู้อน่ื ท่ยี งั ตอ้ งการความช่วยเหลือ บางส่ิงบางอย่าง
ทเ่ี รามแี ละไมใ่ ช้ประโยชน์ มันอาจมีประโยชน์กบั บุคคลอ่นื ก็ควรแบ่งปันให้กบั เขา

15. ไม่โกรธง่าย.ต้องรู้จักควบคุมตนเอง.โดยการฟังเหตุผลก่อนทุกคร้ัง เพราะการที่
บุคคลกระทาการใดลงไปย่อมมีเหตุผลแห่งการกระทาน้ัน อารมณ์โกรธเป็นการทาลายบุคลิกภาพ
และภาพพจน์ที่ดีของเราได้

จากส่ิงท่ีกล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการ
บริหารงานทางธรุ กิจให้ประสบความสาเรจ็ นนั้ มีมากมายหลายอย่าง โดยสามารถฝึกตัวเองให้ทาตาม
เทคนิคข้างตน้ ไดแ้ ล้ว ก็ยอ่ มทจ่ี ะส่งผลให้องคก์ รประสบความสาเรจ็ ไดเ้ ช่นกัน

เทคนิค 12 ประการ เพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพนั ธใ์ นการทางาน

ในการทางานให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายขององค์กรน้ัน มีข้อควรปฏิบัติ
ดงั ต่อไปน้ี

1. มองคนในแง่ดี.มีความสุจริต จริงใจต่อทุก ๆ คน ด้วยการคิดในเชิงบวกกับเพ่ือนร่วมงาน
ปฏบิ ตั ิตอ่ เพอ่ื นด้วยความรสู้ กึ ที่หวังดี ยินดีทาใหก้ ับเพือ่ นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

2. วางตัวให้ดีมีจิตใจยุติธรรม.ปฏิบัติตนด้วยการยึดความถูกต้องเป็นท่ีต้ัง และรับฟัง
ความคิดในทุกเร่ืองของเพื่อนร่วมงาน เพ่ือเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ไม่เข้าข้างคนท่ีผิดแม้จะเป็น
เพอื่ นสนทิ

3. ซื่อสัตย์ สุจริต.ไม่คิดอิจฉาริษยาในความเด่นของเพ่ือนร่วมงานจนทาให้เกิดการคิดร้าย
ใส่ร้าย กลั่นแกล้งเพื่อนร่วมงาน พลอยยินดีเม่ือเห็นเพ่ือนร่วมงานได้ดี และต้ังใจทางานให้กับองค์กร
ให้สมกบั ค่าตอบแทน

4. หมั่นยกย่องชมเชยอย่างสุจริตใจ.เม่ือเพ่ือนร่วมงานทาประโยชน์เพ่ือส่วนรวม
ควรให้คาชมเชย และยกย่องในท่ีสาธารณะท่ีเหมาะสม เพ่ือให้เขาเกิดความภาคภูมิใจท่ีเขาได้ทา
ความดแี ละยงั เปน็ กาลังใจใหเ้ ขาอยากทาความดีต่อไป

5. ใชว้ ิธีเสนอแนะแทนการตาหนิอย่างรุนแรง.ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น จงคิดว่าคนทุกคน
มีสิทธิ์ผิดพลาดได้ จงให้กาลังใจเพื่อนร่วมงาน ชี้ข้อผิดพลาดและร่วมกันช่วยเพื่อนร่วมงานแก้ปัญหา
ทเี่ กดิ

308 มนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กจิ

6. ย้ิมแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับทุกคน.รอยย้ิมเป็นเสน่ห์ที่ทุกคนต้องการ รอยย้ิม
สามารถทาให้สถานการณ์ท่ีแย่กลับดีขึ้นมาได้ รอยยิ้มก็ยังทาให้คนอยากเข้ามาพูดคุย ทาให้เราเกิด
สงั คมและไดเ้ พื่อนใหม่ ๆ ในการแลกเปล่ียนความคิด ให้ความชว่ ยเหลอื ในยามทเ่ี กิดปัญหา

7. พยายามควบคุมอารมณ์.การท่ีคนมีอารมณ์ที่ดีเปรียบเสมือนดอกไม้บานมีกล่ินหอม
ทุกคนก็อยากทีจ่ ะเขา้ มาดมกลิน่ แต่ถ้าคนอารมณเ์ สียก็ไม่มีใครอยากเข้ามาใกล้เหมือนดอกไม้ท่ีเห่ียว
มีกล่ินเหม็น การจะควบคุมอารมณ์ได้ต้องคานึงถึงเหตุผลท่ีเราควรจะอารมณ์เสียหรือไม่ หยุดดูก่อน
ฟังก่อน บางทีเราอาจจะคิดล่วงหน้าไปก่อนโดยยังไม่รู้คาตอบก็โกรธแล้ว ทาให้บุคคลที่อยู่รอบข้าง
ไม่เกิดความศรัทธา ไม่น่าเช่อื ถอื

8. อย่าเอาแต่ใจตัวเอง.จงฟังเหตุผลและความคิดเห็นของผู้อ่ืนบ้าง ผู้รู้มากก็คือผู้ท่ีฟังมาก
การที่คนเราไม่มีสติคิดในสิ่งท่ีเกิดข้ึน ก็จะตัดสินใจตามใจตนเองเพื่อให้ตนเองสบายใจ โดยไม่คานึงถึง
ผู้อ่ืนแม้ผู้อ่ืนจะเดือดร้อน เป็นภัยท่ีน่ากลัวสาหรับตนเองท่ีต้องได้รับการพัฒนาอย่างยิ่ง ควรหยุดฟัง
ส่ิงต่าง ๆ และรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืนบ้าง เพราะความคิดของคนเพียงคนเดียวอาจดีเท่าความคิด
ของคนหลายคนไม่ได้ จงึ ควรเปิดรบั ความคิดใหม่ ๆ ท่ีจะมาชว่ ยใหเ้ ราเปน็ ผทู้ ่ีมีความรมู้ ากขึ้น

9. จงทาหน้าที่ของเราให้ดีท่ีสุด.ภารกิจท่ีต้องรับผิดชอบของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน
จงต้ังใจและใส่ใจในงานที่ได้รับผิดชอบให้ดีที่สุด ถ้าเม่ือใดเราได้ทางานเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ควรให้
ความช่วยเหลือเพ่ือนร่วมงานถ้าเขาต้องการ และต้องไม่ก้าวก่ายงานของเพื่อน เมื่อเพ่ือนยังไม่ร้องขอความ
ช่วยเหลือ

10. ตัดนิสัยกังวลให้หมดไป.คนเราจะทาอะไรให้ดีได้ต้องมีสติและมีสมาธิ ในการ
ทางานจะรู้ว่าทาอะไรอยู่ แต่ถ้าในใจมีเร่ืองอื่นมารบกวนในขณะทางานก็จะทาให้งานท่ีทาน้ัน
ไม่สามารถสาเร็จลงได้.การทางานให้ได้ดีนั้นต้องตัดความกังวลใจ หรือส่ิงรบกวนต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน
รอบขา้ งออกไปก่อน คดิ ทลี ะเร่อื ง ทาทีละเร่ือง จะคิดทาสง่ิ ใดก็สาเรจ็ ลงไดด้ ้วยดี

11. ยกย่องให้เกียรติและให้ความสาคัญกับบุคคลอ่ืนอย่างจริงใจเสมอ.การที่ได้รับ
เปน็ คนสาคัญของใครสกั คน เป็นความภาคภูมิใจท่ีเขานึกถึงให้เกียรติ ในทางกลับกันบุคคลอื่นก็ย่อม
ตอ้ งการเป็นคนสาคญั เช่นกัน ดงั นั้น ควรให้เกียรติและยกย่องซ่ึงกันและกันเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดี
ตอ่ กันในการทางาน

12. จงพยายามพูดให้น้อย และฟังให้มาก.การฟัง คิด แล้วค่อยพูด คาพูดที่ออกมา
จะได้รับการกล่ันกรองเป็นอย่างดีทาให้ทาอะไรไม่ผิดพลาด แต่การพูดแล้วค่อยมาคิดทีหลังนั้น จะเกิด
ข้อเสียหายมากมายตามมา การฟังมากเป็นเหมือนถังที่ว่างเปล่ารอรับสิ่งต่าง ๆ ท่ีเป็นความรู้ใส่ลงมา
การพูดมากเหมือนถงั ที่พ่นนา้ ออกจนหมดไม่เหลอื อะไรเลย จงหยดุ พูด เพอ่ื ฟงั บ้าง

จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการทางานน้ัน
หากองค์กรใดได้มีการนาเทคนิค 12 ประการนี้เข้าไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของตน ก็จะทาให้องค์กร
นั้นประสบความสาเร็จในการทางาน บุคคลกรอยู่กันอย่างมีความสุข ส่งผลให้งานท่ีทานั้น
มปี ระสิทธิภาพตามไปด้วย

เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 309

เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์กบั บุคคลตา่ ง ๆ ในทางธุรกจิ

การทจ่ี ะสรา้ งความสมั พนั ธอ์ ันดกี บั บุคคลตา่ งในสังคมไดน้ น้ั ควรจะไดเ้ รียนรู้ถึงธรรมชาติ
ความต้องการของคนโดยท่ัวไปเสียก่อน ถ้าหากต้องการจะทาให้เขาเกิดความพึงพอใจก็ควรจะทา
ในสิ่งท่ีบุคคลอื่นต้องการ การที่จะทาอะไรหรือให้อะไรแก่คนอ่ืนในสิ่งท่ีเขาไม่ต้องการก็จะไม่ช่วย
สรา้ งใหเ้ กดิ ความสัมพนั ธ์อนั ดีขึ้นได้ เชน่ นาอาหารอร่อย ๆ มาให้กับคนท่ีกาลังอ่ิมอยู่แล้ว เช่นนี้ย่อม
ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ควรจะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่าเขามีความต้องการในส่ิงใด ถ้าให้ถูกต้อง
ตามความต้องการของเขา เขาจึงจะเกิดความพึงพอใจกฎเกณฑ์ข้อน้ีเป็นเง่ือนไขที่สาคัญมากในการ
สร้างให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ ในองค์กรในปัจจุบันมีบุคคลท่ีต้องเก่ียวข้องสัมพันธ์กันหลายกลุ่ม
ซ่ึงต้องอาศัยมนุษยสัมพันธ์มาช่วยให้บุคคลกลุ่มต่าง ๆ สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
โดยเทคนคิ ในการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์กับบุคคลตา่ ง ๆ ในทางธุรกจิ สามารถปฏบิ ัติไดด้ งั นี้

ผู้บังคบั บญั ชา

ลูกคา้ ลกู คา้

เพอ่ื นร่วมงาน ตนเอง เพอ่ื นร่วมงาน

ลูกค้า ลูกค้า
ผใู้ ต้บงั คับบญั ชา

ภาพท่ี 8.1 ทศิ ทางการสร้างมนุษยสัมพันธก์ บั บคุ คลต่าง ๆ ในทางธุรกจิ

310 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

1. เทคนคิ การสร้างมนุษยสมั พันธ์กับผู้บงั คับบัญชา
ในการบริหารงานในองค์กรทุกองค์กรต้องอาศัยผู้บังคับบัญชาหรือผู้นา ร่วมกับ

บคุ ลากรในองคก์ ร เพอื่ ทจ่ี ะนาพาองคก์ รไปสจู่ ดุ หมายปลายทางได้ ในการทางานร่วมกันให้เกิดความ
ราบรื่นได้จาเป็นต้องอาศัยความเข้าใจกันในการอยู่ร่วมกัน ท้ังผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงาน ดังน้ัน
ในการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์กบั ผู้บังคับบญั ชาจึงมีเทคนคิ ดงั นี้

1.1 เรียนรูน้ สิ ยั ของผู้บังคับบัญชา การทม่ี นุษยจ์ ะอย่รู ่วมกบั บคุ คลอน่ื ควรท่ีจะต้อง
ศึกษานิสัย เพื่อทราบว่าต้องการอะไร ชอบอะไร โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา ท่ีต้องร่วมงานด้วยและมี
ผลต่อความเจริญในหน้าที่การงาน จาเป็นต้องศึกษานิสัยเพื่อจะได้ทางานได้ตามท่ีผู้บังคับบัญชา
ต้องการ และรสู้ ่งิ ทผ่ี บู้ ังคบั บญั ชาไมช่ อบ กค็ วรหลีกเลีย่ ง

1.2 ใหค้ วามสนใจแก่ผู้บงั คับบญั ชา เปน็ วิธีท่ีทาให้ผ้บู ังคับบัญชาทราบถึงบทบาทและ
ความสาคัญของผู้บังคับบัญชา.โดยให้การยอมรับ.นับถือ.ยกย่อง.รับฟังคาส่ังและปฏิบัติตาม
เมื่อเกิดปัญหาเข้าไปขอคาปรึกษาหารือและข้อเสนอแนะ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาได้รู้ว่าผู้บังคับบัญชา
มีความสามารถและมีความสาคัญเสมอ ควรให้การเอาใจใส่ดูแล และในบางคร้ังท่ีผู้บังคับบัญชา
ไมร่ ขู้ ้อมูลทสี่ าคัญ ควรให้ข้อมูลทถ่ี ูกต้องและเปน็ ประโยชน์

1.3 ทางานให้ได้.ไม่ประจบสอพลอ.ควรต้ังใจทางานและแสดงผลงานออกมา
ปรากฏให้ผู้บังคับบัญชาเห็นในความสามารถ.ดีกว่าการประจบสอพลอ.เพราะการประจบสอพลอ
จะมีผลในระยะสั้น .แต่เม่ือเวลาผ่านไปผู้บังคับบัญชาสามารถรู้ได้ว่าใครทางานดี .ก็ย่อมส่งผลเสีย
กับคนทปี่ ระจบสอพลอ เพราะผ้บู งั คับบญั ชาจะไม่เชือ่ ฝมี อื ในการทางาน

1.4 มกี ิริยามารยาท.วาจาสภุ าพ.อ่อนน้อมถอ่ มตนต่อผ้บู ังคับบญั ชา.การมีกิริยาและ
วาจาท่ีสุภาพเป็นเสน่ห์ท่ีผู้บังคับบัญชาเห็นแล้วย่อมรู้สึกเอ็นดูและรู้สึกถึงการให้เกียรติด้วย.กิริยา
ท่าทาง.วาจา.ตลอดจนการรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน.ไม่โอ้อวด.โดยแสดงผลงานให้ผู้บังคับบัญชาได้เห็น
ในความสามารถ

1.5 หาทางทาให้ความคิดของผู้บังคับบัญชาเกิดผล.ผู้บริหารในการทางาน
ย่ อ ม ต้ อ ง คิ ด ว า ง แ ผ น ใ น ก า ร ท า ง า น ให้ เ กิ ด ค ว า ม ส า เ ร็ จ .โ ด ย ก า ร ผ่ า น ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ช า .ดั ง นั้ น .
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีก็ควรให้ความร่วมมือและร่วมแรงร่วมใจท่ีจะทาให้ความคิดในการวางแผนงานของ
ผบู้ ังคบั บัญชาสาเรจ็ ได้ นามาซงึ่ ความเจริญของหน่วยงาน

1.6 ทางานในหน้าที่ให้สมบูรณ์ท่ีสุด.มีความขยันอดทนในการทางาน.มีความต้ังใจ
มุมานะ พยายาม คน้ หาวิธีในการทางานทด่ี ีท่ีสดุ และพัฒนางานที่ตนเองรับผิดชอบให้สามารถประสบ
ความสาเร็จได้ โดยไม่ท้อถอยกับความยากลาบาก จงคิดอยู่เสมอว่าการทางานมาก คิดมาก ย่อมทา
ให้เกิดความเชยี่ วชาญในงานท่ที า

1.7 ให้ความเคารพยกย่องผู้บังคับบัญชาตามฐานะ.บังคับบัญชาคือผู้ท่ีเป็นผู้นา
ของลูกน้อง.ลูกน้องท่ีดี ก็ควรให้เกียรติ.เคารพผู้นา.เคารพในความคิดและให้เกียรติโดยการยกย่อง
ให้สาธารณชนได้ทราบ และควรหลกี เล่ยี ง การแสดงความกระด้างกระเด่ืองและไม่พอใจ

เทคนคิ การสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ 311

1.8 เมื่อมีข้อขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา.ไม่ควรโต้แย้งหรือแสดงอาการโกรธ.จงคิดว่า
ผู้บังคับบัญชาก็คือผู้ใหญ่.ท่ีมาเป็นผู้ปกครองของเราท่ีต้องเช่ือฟังคาสั่งสอน.หรือหากเกิดข้อขัดแย้ง
อาจเกิดจากความไม่เข้าใจ ควรช้ีแจงอธิบายถึงเหตุผลและนาเสนอข้อมูลท่ีถูกต้อ งเป็นจริง
ประกอบการอธิบายหรือในบางครั้งลูกน้องอาจไม่เข้าใจผู้บังคับบัญชาทาให้แนวความคิดไม่ตรง กัน
ไม่ควรโต้แย้งหรือแสดงอาการโกรธควรฟังเหตุผล การชี้แจงของผู้บังคับบัญชาก่อนถึงข้อขัดแย้ง
และความไมเ่ ขา้ ใจในแนวความคดิ ทไี่ มเ่ หมือนกนั

1.9 อย่าก่อเร่ืองกับเพ่ือนร่วมงาน.การก่อการวิวาทในที่ทางาน.เป็นพฤติกรรม
ทไี่ มเ่ หมาะสม ส่งผลเสียต่อการทางานคงไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนชอบลูกน้องที่เกเรสร้างความปั่นป่วน
วุ่นวายให้กับหน่วยงานทาให้เกิดผลเสียต่องาน เกิดการแตกแยก เม่ือเกิดผลเสียจากลูกน้องท่ีเกเ ร
เพียงคนเดยี ว ผบู้ งั คับบญั ชากค็ งต้องเชญิ ลกู น้องออกเพื่อลดปัญหาท่ีเกดิ ขนึ้ ในองคก์ ร

1.10 ปรับปรุงผลงานและความสามารถของตนเองอยู่เสมอ.คนท่ีรักความก้าวหน้า
จะไม่หยุดนิ่งอยู่กับท่ีจะหาหนทางพัฒนาตนเองในศาสตร์ท่ีตนต้องใช้ในการประกอบอาชีพ เพ่ือความ
อยู่รอด.โดยหาความรู้ใส่ตนเองเพิ่มข้ึน มีความเช่ียวชาญในงานมากขึ้น ทาให้สามารถสร้างผลงาน
โดดเด่นใหห้ น่วยงานเจรญิ ก้าวหน้าตอ่ ไป

1.11 เข้าพบผ้บู งั คบั บญั ชาใหเ้ หมาะสมกับโอกาสและเวลา.ควรตรวจสอบทุกคร้ัง
ก่อนเข้าพบว่าผู้บังคับบัญชามีภาระอยู่หรือไม่ ควรจองเวลาเข้าพบกับเลขาไว้ก่อน เพราะในบางเรื่อง
ที่จะขอเข้าพบผู้บังคับบัญชาอาจจะยังไม่พร้อมในเรื่องท่ีเสนอ อาจต้องดูความเหมาะสมของโอกาส
และเวลาทค่ี วรเข้าพบในแต่ละเรื่องที่เสนอดว้ ย

1.12 อย่ารบกวนผู้บังคับบัญชาด้วยเร่ืองเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะผู้บังคับบัญชามีภาระ
งานในการบริการจัดการมากอยู่แล้ว เรื่องบางเร่ืองสามารถตัดสินใจได้ก็ควรตัดสินใจหรือช่วยกัน
แก้ปัญหาแทน ถ้าลูกน้องนาเร่ืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปรบกวน อาจทาให้เกิดความไม่พอใจและไม่เชื่อ
ในฝีมือในการตัดสินใจ จึงควรหลกี เล่ียง

1.13 อย่านินทาผู้บังคับบัญชาลับหลัง.เป็นพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมอย่างย่ิงจะ
นามาซึ่งความเส่ือมขององค์กรและผู้นา การท่ีผู้ใต้บังคับบัญชานาผู้บังคับบัญชามานินทา เป็นการไม่ให้
เกียรติอย่างมาก.เพราะผู้ใต้บังคับบัญชายังไม่ให้เกียรติแล้วบุคคลอื่นจะให้เกียรติได้อย่างไร ผลเสีย
ที่ตามมาถา้ ผู้บังคับบัญชามารบั รู้ย่อมส่งผลเสียต่อหน้าท่ีการงานได้

1.14 แสดงความขอบคุณเม่ือผู้บังคับบัญชาปฏิบัติดีต่อเรา.เป็นการสานึกในบุญคุณ
ที่ผู้บังคับบัญชาได้ให้ความช่วยเหลือและหาโอกาสตอบแทนในบุญคุณท่ีผู้บังคับบัญชาหยิบย่ืนให้
โดยการตัง้ ใจทางานด้วยความซ่ือสัตยจ์ งรักภักดใี ห้กับผู้บงั คับบัญชาและองค์กร

1.15 สรรเสรญิ คุณงามความดีของผู้บังคับบัญชาในโอกาสสมควร คนทุกคนย่อม
มีส่ิงดีและไม่ดีในตัว แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาทาส่ิงที่ดีงามมีประโยชน์ก็ควรจะยกย่อง.ชมเชย.สรรเสริญ
ให้บุคคลทั่วไปได้รับรู้ถึงความดีท่ีท่านได้ทา เพ่ือเป็นการช่วยสร้างเสริมบารมีและการยอมรับกับ
บุคคลทั่วไป

312 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ

2.16 อย่าบ่นถึงความลาบากต่อหน้าผู้บังคับบัญชา.เพราะผู้บังคับบัญชาย่อม
ต้องการได้ลูกน้องที่มีความขยัน ตั้งใจ มานะอดทน สู้งาน ลูกน้องจึงต้องคิดอยู่เสมอว่าการที่ตนเอง
มีรายไดเ้ พราะมงี านทา ถา้ ไม่มงี านกจ็ ะไม่มีรายได้ไปดารงชีวิต มีคนอีกมากมายไม่มีงานทาและอยาก
ได้งาน แต่ตนเองมีโอกาสได้ทางานแล้วจงตั้งใจทาต่อไป จึงไม่ควรบ่นถึงความยากลาบาก
ให้ผ้บู งั คบั บญั ชาไดย้ ิน

ใ น ก า ร ส ร้ า ง ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ กั บ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ช า ถื อ ว่ า เ ป็ น สิ่ ง ส า คั ญ ที่ เ ร า ใ น ฐ า น ะ
ผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องสร้างสัมพันธภาพที่ดีไว้ เพ่ือให้สามารถปฏิบัติงานกับผู้บังคับบัญชาได้ด้วย
ความสขุ และสบายใจตลอดระยะเวลาในการทางานร่วมกัน

2. เทคนิคการสร้างมนษุ ยสมั พันธ์กับผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชา
เมื่ออยู่ในที่ทางาน ส่ิงหนึ่งท่ีจะขาดไม่ได้ คือ การเป็นผู้บังคับบัญชาและการเป็น

ผู้ใต้บังคับบัญชา ซ่ึงผู้ใต้บังคับบัญชามีความสาคัญสาหรับผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างมากในการเป็นตัว
ขับเคลื่อนให้องค์กรเดินไปได้ ซ่ึงผู้บังคับบัญชาจะต้องสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาไว้
เพื่อใหส้ ามารถทางานรว่ มกันได้อยา่ งมีความสขุ และประสบผลสาเร็จในการทางาน โดยเทคนิคในการ
สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธก์ บั ผใู้ ต้บังคบั บัญชา มดี ังนี้

2.1 การตระหนักและยอมรับในความมีศักด์ิศรีของมนุษย์.โดยพื้นฐานในความ
เหมือนกันของบุคคลทุกคนทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ก็คือความเป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์
ทุกคนต้องการการยอมรับในศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์จากบุคคลรอบข้าง แต่ถ้าผู้บังคับบัญชา
ใช้อานาจในทางทผ่ี ดิ โดยไม่คานึงถึงความเดือดร้อนของผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมทาให้ลูกน้องเกิดความ
ไม่ศรัทธา ดังน้ัน ผู้บังคับบัญชาควรให้ความสาคัญยอมรับในศักด์ิศรีของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อสร้าง
ความประทบั ใจใหก้ บั ผู้ใต้บงั คับบญั ชา

2.2 สนใจ เอาใจใส่ ดูแลทุกข์สุข.เป็นหน้าท่ีที่ผู้บังคับบัญชาต้องให้ความสนใจ
ในทุกข์สุขที่เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชา.โดยเข้าไปดูแลเรื่องของเงินเดือน ค่าจ้าง ผลตอบแทน
ที่เป็นธรรม รวมถึงสวัสดิการที่จัดให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา.ตลอดจนการเข้าไปดูแลทุกข์สุขที่เกิดขึ้น
ในครอบครวั ให้การช่วยเหลือ ให้คาปรึกษาและหาวธิ ีแกไ้ ขปัญหาท่เี กิดขนึ้ ใหก้ บั ผ้ใู ต้บังคบั บญั ชา

2.3 การบริหารงานด้วยความยุติธรรม.มนุษย์ทุกคนต้องการได้รับการปฏิบัติจากบุคคล
ท่ีเท่าเทียมกันเสมอภาคกัน ดังน้ันผู้บริหารท่ีดีควรพิจารณา ตัดสินใจในการปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
ด้วยความเสมอภาค ยุติธรรม โดยพิจารณาจากเหตุผล และข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง โดยเฉพาะในเร่ือง
ของการให้รางวัลตอบแทน เช่นการข้ึนเงินเดือน ควรมีเกณฑ์ท่ีชัดเจน แน่นอน สามารถอธิบายถึง
ขอ้ เทจ็ จรงิ ในการตัดสินใจได้

2.4 มอบหมายงานให้เหมาะสม.การมอบหมายงานให้ตรงกับความรู้ความสามารถ
ในตาแหนง่ ท่ีถนดั ย่อมทาให้เกิดความสุขในการทางานและสามารถเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพได้ เกิดความ
ชานาญในการปฏิบัติงาน เกิดการพัฒนางานให้ดีย่ิงขึ้นและยังสามารถเป็นผู้สอนงานให้กับพนักงาน
รนุ่ หลงั ไดจ้ ากความเช่ยี วชาญ

เทคนคิ การสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 313

2.5 การรู้จักควบคุมอารมณ์.อารมณ์โกรธเป็นส่ิงที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่พึงปรารถนา
ท่ีจะได้รับจากผู้บังคับบัญชาและถ้าต้องเจอกับผู้บังคับบัญชาเจ้าอารมณ์ ทาให้เกิดความเบ่ือหน่าย
ที่ต้องทางานร่วมกับผู้บังคับบัญชา.ก่อให้เกิดความไม่เส่ือมศรัทธาในตัวผู้บังคับบัญชา และอาจเกิด
ผลเสียกับผู้บังคับบัญชาในการตัดสินใจผิดพลาดไปด้วยอารมณ์โมโห ผู้บังคับบัญชาจึงควรควบคุม
อารมณโ์ กรธ ดว้ ยเหตุผลกอ่ นตดั สินใจ

2.6 ยกย่อง ชมเชย.เม่ือผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถสร้างสรรค์ส่ิงที่ดีให้กับองค์กรหรือ
ปฏิบัติงานได้สูงกว่าเกณฑ์ส่งผลให้เกิดช่ือเสียง หรือทาประโยชน์เพ่ือส่วนรวม เช่น คิดค้นวิธีทางาน
แบบใหม่ให้ประหยัดกว่าเดิม ในฐานะผู้บังคับบัญชาควรให้คายกย่องชมเชย เพื่อเป็นกาลังใจในการ
ปฏบิ ัติงานตอ่ ไป

2.7 ส่งเสริมให้มีโอกาส.การท่ีผู้บังคับบัญชาได้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความรู้
ความสามารถเข้ามาอยู่ในหน่วยงานก็ควรส่งเสริมให้มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการทา งานให้เต็ม
ความสามารถและถ้าสามารถปฏบิ ัตงิ านได้อยา่ งดีเย่ียมก็ควรสนับสนุนให้ขึ้นเป็นหัวหน้างาน เพ่ือความ
เจรญิ ก้าวหน้าของผูใ้ ตบ้ ังคบั บัญชาต่อไป

2.8 รับฟังความคิดเห็น ถือเป็นโอกาสท่ีดีของผู้บังคับบัญชาท่ีได้รับฟังความคิดเห็น
ของผู้ใต้บังคับบัญชาท่ีจะช่วยกันร่วมแสดงความคิดเห็นที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร เพ่ือนาความ
คิดเห็นท่ีไดม้ าพัฒนา ปรบั ปรุง แก้ไของคก์ ร เช่นกรณีที่เกดิ ปญั หาข้อขัดแย้ง 2 ฝ่ายก็ควร รับฟังความ
คิดเห็นและเหตุผลของทั้ง 2.ฝ่ายก่อนที่จะตัดสินใจ และความคิดเห็นของบุคคลอ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง
มาประกอบการตัดสินใจ เพราะถ้าตัดสินใจพลาดอาจเกิดผลเสียกับอีกฝ่าย ส่งผลให้ไม่เกิดความ
เช่อื ถือในตวั ผูบ้ งั คบั บญั ชา

2.9 อย่าหลงตนเองและอย่าใช้อานาจเกินความจาเป็น.ผู้บังคับบัญชาหลายคน
พัฒนาตนเองจนข้ึนมาสู่ตาแหน่งที่สูงได้ ก็ต้องอาศัยความรู้ความสามารถต้ังแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา.
แต่เมอ่ื มาเป็นผู้บังคับบัญชากลบั ลืมตัวใช้อานาจในการสั่งการไปในทางท่ีไม่ควร ผู้บังคับบัญชาจึงควร
นึกถึงวันท่ีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกับผู้บังคับบัญชาที่หลงตนเองและใช้อานาจไป
ในทางทผี่ ดิ กจ็ ะทาให้ผู้บงั คบั บัญชาคดิ ทาส่ิงใดกจ็ ะใชค้ วามคิดไตรต่ รองเพิ่มมากขน้ึ

2.10 มีความจริงใจต่อผู้ร่วมงาน.ให้การช่วยเหลือในทุก ๆ ด้าน เช่น ในด้านการ
ทางานให้การสอนงานอย่างเต็มความสามารถที่จะช่วยให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความรู้ความสามารถ
ในการทางาน จัดงานให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของลูกน้อง เพ่ือลูกน้องจะได้ใช้ ความรู้
ความสามารถไดอ้ ย่างเต็มที่ ให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาครอบครัว เช่น ไฟไหม้บ้าน คนในครอบครัว
เสียชีวิต ตลอดจนเอาใจใส่ดูแลในเรื่องเงินเดือน ค่าจ้างและผลประโยชน์ท่ีผู้ใต้บังคับบัญชาควรจะ
ได้รับ

314 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

2.11 การทาตนเป็นตัวอย่างท่ีดี.เป็นตัวอย่างที่ดีในการบริหารงานด้วยความซ่ือสัตย์
ยุติธรรม ตรงไปตรงมา โปร่งใส มีความเสมอต้นเสมอปลายในการปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่แยก
ชัน้ วรรณะ สิ่งตา่ ง ๆ ท่กี ลา่ วย่อมทาให้ผ้ใู ต้บังคบั บัญชาเกดิ ความเคารพ และยึดเปน็ แบบอย่างในการ
ทางานและการดาเนนิ ชวี ติ ต่อไป

ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ช า ถื อ ไ ด้ ว่ า มี ค ว า ม ส า คั ญ ส า ห รั บ ผู้ บ ริ ห า ร แ ล ะ อ ง ค์ ก ร ใ น ก า ร
เป็นผู้ขับเคล่ือนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ซ่ึงถ้าผู้บริหารรู้จักวิธีการท่ีจะสร้างสัมพันธภาพที่ดี
กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้แล้ว ก็ไม่ใช้เร่ืองยากที่ผู้บริหารจะประสบผลสาเร็จในการบริหารองค์กรในยุค
ที่มีการแข็งขันกนั สงู

3. เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสมั พันธก์ ับเพ่ือนรว่ มงาน
มนุษย์ทุกคนย่อมมีเพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้น คนเราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง

ตามลาพัง เพ่ือนเป็นบุคคลท่ีคอยช่วยคิดแก้ไขปัญหา เป็นท่ีปรึกษา เพื่อนสามารถมีได้ทุกที่ ไม่ว่า
จะเป็นเพ่ือนบ้าน เพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนร่วมงานและเพ่ือนในทางธุรกิจ ซึ่งการสร้างมนุษยสัมพันธ์
กบั เพอื่ นร่วมงานน้ัน สามารถทาได้ดังน้ี

3.1 จงเริ่มต้นทักทายเพ่ือนก่อน.ถ้าอยากได้หนังสือต้องไปร้านหนังสือ เช่นเดียวกัน
ถ้าอยากมีเพื่อนก็ต้องเข้าหาเพื่อน การจะมีเพ่ือนได้น้ันต้องเปิดใจและพร้อมจะเข้าหาเพื่อนก่อน โดยการ
ทักทายเพื่อนก่อนด้วยมิตรไมตรี ย้ิมแย้ม แจ่มใส ด้วยความจริงใจ คงไม่มีใครท่ีจะไม่ยิ้มตอบ
หรือมีไมตรีตอบ นอกเสียจากเขาเป็นคนท่ีผิดปกติ ดังน้ันการทักทายเพ่ือนร่วมงานก่อนจะช่วยสร้าง
ความสัมพันธ์ที่ดีในการทางาน ยิ่งเป็น นักธุรกิจการพูดทักทายก่อนจึงถือเป็นจุดเร่ิมต้นในการสร้าง
โอกาสทางธรุ กิจใหก้ ับตนเอง

3.2 อย่าทาตัวเหนือเพ่ือน.คนทุกคนไม่ต้องการให้ใครดีกว่าตนเอง.การทาตัวเหนือ
ผู้อื่นทาให้บุคคลที่ถูกมองว่าต่ากว่าไม่อยากที่จะคบค้าสมาคมด้วย จึงควรทาตัวให้เสมอกันกับเพ่ือน
เพ่ือให้สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างมีความสุข.ไม่เป็นท่ีจับตามองของเพื่อนร่วมงาน เวลาเราทา
อะไรผิดจะมีแตค่ นมาตอกย้า จากเพ่อื นร่วมงานได้

3.3 ใจกวา้ งและมีความเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่.เพ่ือนที่ดีควรเป็นท่ีพึ่งพาของเพื่อนที่เดือดร้อน
และมีความเสยี สละ คนทคี่ ดิ เล็กคิดนอ้ ย ขาดน้าใจย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของเพื่อนฝูงในยามท่ีเพ่ือน
ต้องการความช่วยเหลือหรือเพื่อนมีความทุกข์ ถ้าเราอยู่ในฐานะท่ีช่วยเหลือได้ควรท่ีจะเข้าช่วยทันที
อย่างน้อยถ้าช่วยเหลือด้านอ่ืนไม่ได้ก็ควรให้กาลังใจเพ่ือนหรือให้คาปรึกษาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ของเพ่ือนร่วมงาน

3.4 เป็นผู้ท่ีมีความจริงใจอย่างต่อเน่ือง.โดยการปฏิบัติส่ิงที่ดีให้เพื่อนอย่าง
สม่าเสมอ.เสมอต้นเสมอปลายแม้กาลเวลาจะเปล่ียนไปนานเท่าใดก็ตาม.แต่คงยังปฏิบัติต่อเพื่อน
เหมือนเดิมทุกอย่างและยังคงเพ่ิมความรักและความห่วงใยมากยิ่งขึ้นจากการที่ได้คบหากันมานาน
จนเกิดเป็นเพ่ือนแท้.เช่น นักธุรกิจกับลูกค้า ถ้านักธุรกิจขาดความจริงใจกับลูกค้า ลูกค้าก็จะขาด
ความเชือ่ มน่ั ในธุรกจิ เชน่ กนั

เทคนคิ การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 315

3.5 ให้ความช่วยเหลือ.เห็นใจเพ่ือนในยามทุกข์ ในช่วงชีวิตของคนย่อมต้องมีช่วง
ที่เกิดข้อผิดพลาดในชีวิตได้ การหยิบยื่นความช่วยเหลือเห็นใจเพื่อนยามทุกข์ทรมานใจ.โดยการ
ช่วยเหลือกาลังกายกาลังใจ.เท่าที่เราจะสามารถช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของเพ่ือนให้ลดน้อยลงไป
ส่วนคนท่ีมีความสุขจะมีแต่คนให้ความสนใจมากกว่าคนท่ีมีความทุกข์ เราจึงหันมาช่วยคนที่มีความทุกข์
กันดีกว่า ถ้าคนที่เป็นทุกข์ได้รับความจริงใจ จากการให้ความช่วยเหลือจากเพ่ือนร่วมงาน จะทาให้
คนที่เป็นทุกข์มีกาลังใจข้ึนมาและเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน จึงเป็นการดีที่เราได้เพื่อนเพ่ิม
มากขน้ึ เพื่อเสรมิ สร้างความสมั พนั ธใ์ นธุรกิจไดเ้ ป็นอย่างดี

3.6 รู้จักยกย่องชมเชยและให้เกียรติเพ่ือน.เมื่อเพ่ือนทาดีก็ควรแสดงความดีใจ
และชมเชยเพ่ือนร่วมงาน เช่น เพื่อนทางานดีจนได้เลื่อนตาแหน่งเป็นหัวหน้าควรแสดงความยินดี
กล่าวยกย่องชมเชยเพื่อน.เม่ือเพื่อนมีตาแหน่งที่สูงกว่าตนก็ควรให้การยอมรับและให้เกียรติในฐานะ
ท่ีเพ่ือนเป็นผู้บังคับบัญชา ควรเช่ือฟังคาสั่งและให้ความร่วมมือในการทางานด้วยความเต็มใจ
ไม่เหน็ แกต่ วั ว่าเพือ่ นได้เป็นหวั หน้างาน ไมเ่ อาเปรียบผู้อ่นื

3.7 ยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อน.คนทุกคนมีโอกาสที่จะผิดพลาดได้จากการ
ที่เช่ือม่ันในตนเองสูงจนเกินไป โดยเช่ือว่าตนเองเก่งเหนือผู้อื่น ในการรับฟังความคิดเห็นของเพื่อน
นั้นก็คงไม่เสียหายที่จะนาความคิดเห็นมาเป็นข้อมูล เพ่ือใช้เป็นข้อปรับปรุงตัวเองในเรื่องของการ
ทางานและประกอบการพิจารณาตัดสินใจ.ทาให้เพ่ือนมองว่าเราเป็นคนใจกว้างที่จะยอมรับฟัง
ความคิดของผู้อน่ื อยู่เสมอ

3.8 ทาตนให้ร่าเริงแจ่มใส.แสดงถึงเป็นบุคคลที่มีสุขภาพจิตที่ดีก็จะทาให้มองโลก
ในแง่ดี คนท่ีร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสจะแสดงออกมาทางสีหน้า.หากใครได้อยู่ใกล้ย่อมทาให้ทุกคนมี
ความสุขและอยากเปน็ เพ่อื นด้วยกัน การท่ีคนมีจิตใจท่ีหมองมัวมองโลกในแง่ร้าย ทาอะไรก็หงุดหงิด
หน้าตาจะบูดบึ้งเหมือนยักษ์.ใคร ๆ.ก็ต่างไม่อยากอยู่ใกล้หรือยุ่งด้วยเพราะกลัวต้องได้รับอารมณ์
ทไ่ี ม่ดี อาจทาให้เราหงดุ หงดิ ตามไปดว้ ย

3.9 ใหค้ วามรว่ มมือในกจิ การของเพื่อนอย่างเต็มที่.คนเราเกิดมาจะต้องอยู่ร่วมกัน
จาเป็นต้องอาศัยซ่ึงกันและกัน.พ่ึงพาอาศัยกัน ไม่แตกแยกกัน ทางานกันเป็นกลุ่ม ไม่ท้ิงกันและกัน
งานบางอย่างบุคคลไม่สามารถกระทาได้เพยี งคนเดียว เช่น เม่ือในหมู่บ้านมีงานแต่งงาน ชาวบ้านก็จะ
ช่วยกันทาอาหาร ขนม จัดตกแต่งสถานท่ีเพื่อให้งานมีความสมบูรณ์ โดยร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มท่ี
เพราะในโอกาสต่อไปต้องมีงานที่บ้านของเราเพ่ือนบ้านก็จะได้มาช่วยเหลือเหมือนที่เราได้ช่วยเหลือ
เขาไว้ ดังกับคาทว่ี ่า “น้าพึ่งเรอื เสือพึ่งป่า”

3.10 อย่าซัดทอดความผิดและนินทาเพื่อน.การทางานร่วมกันอาจเกิดผลดีและไม่ดี
ทุกคนจึงต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน รับผิดเม่ือทาผิดพลาดโดยไม่โทษใคร และคิดหาทางแก้ไข
ส่วนรับชอบก็เช่นกันทาดีก็ต้องรับร่วมกัน ไม่ออกตัวว่าเป็นผลงานของตนเองเพียงคนเดียวส่วนการ
นินทาว่าร้ายเพ่ือนไม่สมควรอย่างยิ่ง.เพราะคาพูดเหล่านี้ไม่สร้างสรรค์และไม่เกิดประโยชน์เป็นการ
ทาลายมิตรภาพท่ีดี ควรหลีกเลี่ยงคาพูดท่ีทาให้เพื่อนต้องเดือดร้อนหรือเสียหาย จึงเป็นสาเหตุท่ีทา

316 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

ให้เพ่ือนร่วมงานไม่ไว้ใจกันและทาให้การทางานเกิดความล่าช้า เพราะต้องคอยที่จะระแวงเพ่ือน
ร่วมงานอยู่ตลอดเวลา

จากทกี่ ลา่ วมาขา้ งต้น สามารถสรปุ ได้วา่ ในการสรา้ งมนุษยสัมพนั ก์ ับเพ่ือนร่วมงานนั้น
เราต้องเร่มิ ต้นจากตัวเราเองก่อน เม่ือเราทาดีกับเขาจริงใจต่อเขาและใส่ใจในทุกรายละเอียดของเขา
กจ็ ะทาให้ไดเ้ พ่ือนทดี่ ีกลบั คนื มาเชน่ กนั

4 เทคนิคการสร้างมนุษยสมั พันธ์กับลูกค้า
โดยธรรมชาตมิ นษุ ยม์ คี วามแตกต่างกัน เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ นานา ลูกค้าก็เช่นกัน

ย่อมมีความแตกต่างกันและเหมือนกันในบางอย่าง เพื่อให้รู้เท่าทันธรรมชาติของลูกค้าในการท่ีจะ
สามารถขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้และลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดน้ัน โดยมีเทคนิค
ในการสร้างมนษุ ยสมั พันธก์ ับลูกค้าไดด้ งั นี้

4.1 เต็มใจบริการลูกค้า.ต้องคิดอยู่เสมอว่า.ถ้าไม่มีลูกค้าเราก็อยู่ไม่ได้.ลูกค้าคือ
ผู้มีพระคุณสาหรับเรา ลูกค้าเข้าร้านหมายถึงว่า ลูกค้ากาลังจะนาเงินมาให้ต้องคิดว่าจะทาอย่างไร
ท่ีจะเอาเงินลูกค้าออกจากกระเป๋ามาให้ได้มากที่สุด.โดยแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการท่ีมีคุณภาพให้กับ
ลูกค้า ตลอดจนเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีให้คาแนะนาเก่ียวกับสินค้าที่ขาย หรือบริการด้านอ่ืน ๆ ท่ีลูกค้า
รอ้ งขอด้วยความเต็มใจ

4.2 ให้บริการที่รวดเร็วแก่ลูกค้า.เม่ือลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ.ควรรีบ
ดาเนินการด้วยความรวดเร็ว.เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องรอนานหรือเมื่อลูกค้าซ้ือสินค้าไปใช้ที่บ้านแล้วเกิด
ปัญหา.จะต้องให้บริการช่วยเหลือด้วยความรวดเร็ว.อาจต้องรีบโทรศัพท์ไปให้คาปรึกษาหรือถ้า
ไม่เขา้ ใจ อาจต้องไปดูแลถึงท่ีบ้านเป็นการสร้างความประทับใจเพ่ือให้ลูกค้ากลับมาซ้ือสินค้า.อีกคร้ัง
และแนะนาลูกคา้ รายใหม่ใหเ้ รา

4.3 มีจรรยามารยาทดีสุภาพต่อลูกค้า.เป็นเสน่ห์ท่ีสาคัญในการแสดงกิริยามารยาท
ที่สุภาพ อ่อนน้อม สีหน้า แววตา รอยยิ้ม ทาให้ลูกค้าเกิดความสบายใจ ประทับใจ เมื่อเข้ามาในร้านเห็น
สีหน้าที่ย้ิมแย้มแจ่มใส มีน้าเสียงที่เป็นมิตร ให้การต้อนรับและคาแนะนาที่ดีด้วยน้าเสียงสุภาพ.แม้แต่
ลูกค้าเลือกสินค้าแล้วไม่ถูกใจและไม่ตกลงซื้อก็ต้องไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจ .ต้องย้ิมแล้วบอกว่า
ไม่เป็นไรและกล่าวขอบคุณทุกครั้งท่ีลูกค้าออกจากร้าน.ลูกค้าจะเกิดความประทับใจถึงแม้ไม่ได้ซ้ือ
แตถ่ ้ามีโอกาสต้องใช้สินค้าลูกค้าจะนึกถึงและกลับมาใช้บริการที่เรามีอยู่หรืออาจช่วยประชาสัมพันธ์
ให้ถา้ มเี พ่อื นอยากซ้ือสินค้าท่ีทางรา้ นมีอยู่ ย่อมนกึ ถงึ บริการของเราเป็นอนั ดับแรก

4.4 ให้การตอ้ นรบั ลูกคา้ หรือผูม้ าติดตอ่ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อบุคคลได้พบ
เจอสิ่งแรกท่ีมองคือใบหน้า มนุษย์ทุกคนย่อมอยากได้เจอใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ถึงแม้ใบหน้าจะไม่สวย
ไม่หล่อ.แต่ถ้าหน้าตาสวยหล่อ.แล้วยิ้มแย้มแจ่มใส.ก็ยิ่งเพ่ิมเสน่ห์มากข้ึน.การย้ิมแย้มแจ่มใส
เปรยี บเสมือนมีดอกไมป้ ระดบั อยู่ในรา้ น.ทาใหด้ ูสดช่นื น่ามอง.ลูกค้าก็ย่อมอยากเข้ามาดูในร้านอาจจะ
ไมซ่ อ้ื ของแต่อยากเข้ามาเพราะมสี ่ิงเจรญิ หเู จริญตาให้ดูหรืออาจตัดสินใจซ้ือสินค้าเพราะใบหน้าที่ย้ิมแย้ม
แจม่ ใสและบรกิ ารทีส่ ุภาพ

เทคนคิ การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 317

4.5 สานึกเสมอว่าตนเป็นตัวแทนของหน่วยงาน.ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ
หน่วยงาน และสามารถสร้างความประทับใจให้ลูกค้าจนลูกค้าซ้ือสินค้าและบริการของหน่วยงาน
ตลอดจนกลับมาซื้อสินค้าซ้าและแนะนาลูกค้าใหม่ให้กับเราด้วย แต่ถ้าไม่คิดว่าเป็นตัวแทนของ
หนว่ ยงานจะทาอะไรไปตามใจที่อยากทา เช่น ลูกค้าจู้จี้ก็แสดงสีหน้าและน้าเสียงไม่พอใจ ย่อมส่งผล
เสียให้กับหน่วยงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะภาพพจน์ท่ีเสียไปน้ันยากที่จะสร้างขึ้นมาใหม่
อาจต้องใช้เวลานานหรอื อาจจะสรา้ งไมไ่ ดเ้ ลยกเ็ ป็นได้

4.6 เปน็ ผพู้ ูดท่ดี ีและผูฟ้ ังทีด่ ี.มีความสามารถในการพูดและการฟัง.ในขณะท่ี ลูกค้า
เข้าร้าน.ก็ต้องรู้จักต้อนรับด้วยกิริยาท่ีสุภาพวาจาท่ีเป็นมิตรพร้อมให้บริการยามที่ลูกค้าต้องการ
คาแนะนาเกี่ยวกับสินค้าก็สามารถให้คาแนะนาลูกค้าต้องการได้.ในเวลาเดียวกันที่ลูกค้า ซักถามก็
ควรต้ังใจฟัง เอาใจใส่โดยมีปฏิกิริยาตอบรับในขณะสนทนาให้รู้ว่ากาลังใส่ใจกับลูกค้าและสามารถ
สนทนาในทุกเรื่องทลี่ ูกค้าต้องการเพ่ือสร้างความคุ้นเคยและยอมรับฟังข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้อง
เพ่ือให้ลกู คา้ เกดิ ความเปน็ กันเองและตัดสินใจซื้อสนิ ค้า

4.7 หลีกเล่ียงการโต้เถียงกับลูกค้า.จงจาประโยคนี้ไว้.“ลูกค้าคือพระราชา”.พระราชา
ต้องการ อะไร ก็ต้ องจั ด ห ามาให้ .พร ะร าช าจ ะด่ าจ ะว่ าก็ต้ องทน แล ะไม่โ กร ธ .เ พร าะลู กค้าคือผู้ ที่
นารายได้มาให้ใช้ในการดารงชีวิต ถ้าไม่มีลูกค้าจะอยู่อย่างไร.ดังน้ัน จึงไม่ควรโต้เถียงลูกค้าโดยเด็ดขาด
รบั ฟงั คารอ้ งขอของลูกค้า ถา้ สามารถจดั ให้ไดร้ บี ดาเนินการใหท้ นั ที ถา้ ไมม่ ีสนิ ค้าให้แนะนาสินค้าใหม่
แทน.แต่ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องขอโทษที่ไม่มีสินค้าและช่วยแนะนาร้านค้าที่มีสินค้าที่ลูกค้าต้องการ
เปน็ การสร้างภาพพจน์ให้กบั หน่วยงาน

4.8 อย่าทาให้ลูกค้าสะเทือนใจ.พฤติกรรมที่เราแสดงออกมาต้องไม่ทาให้ลูกค้าเกิด
ความรู้สึกอาย เสียหน้า ไม่ว่าจะเป็นคาพูด สายตา สีหน้า ท่าทาง หรือแม้กระทั่งการหลอกล่อให้ซ้ือ
สนิ ค้าเมื่อกลบั ไปใช้ท่บี ้านแลว้ ไมด่ ีอยา่ งท่ีแนะนา ยอ่ มสร้างความรสู้ กึ ทผี่ ดิ หวัง และหมดศรัทธาทาให้
สูญเสียความสัมพันธ์ที่ดี ไม่กลับมาซ้ือสินค้าอีกและอาจบอกต่อถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ลูกค้า
รายอื่นทราบ

4.9 ถ่อมตนท้ังร่างกายและวาจา.ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน.ไม่โอ้อวด ให้เกียรติ
ลูกค้ายกย่องชมเชยลูกค้า.ถ่อมตนเม่ือลูกค้าชมเชยและยอมรับผิดทุกกรณีไม่ว่าลูกค้าจะถูกหรือผิด
ก็ตาม.ธรรมชาติมนุษย์ย่อมต้องการพูดคุยกับคนที่มองว่าตนเองเป็นคนดีและถูกต้องเสมอ.คล้อยตาม
ตนเอง ดงั นัน้ จึงตอ้ งจาหลกั ข้อน้ีไว้เพอ่ื ความอยู่รอดของตนเองและหน่วยงาน

4.10 มีความซ่ือสัตย์สุจริต.ในการผลิตสินค้าต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ราคายุติธรรม
ตรงต่อความต้องการของลูกค้า.ไม่โกหกหรือแนะนาสินค้าท่ีไม่ดีให้ลูกค้า.ในการผลิตสินค้าต้องไม่
ทาลายสิ่งแวดล้อมซ่ึงส่งผลเสียต่อชุมชนที่ลูกค้าอาศัย โดยการจัดทาเคร่ืองป้องกันต่าง ๆ.เพื่อให้
ลกู ค้าอยู่ในชมุ ชนไดอ้ ยา่ งมีความสขุ และรู้สึกถงึ ความรบั ผิดชอบต่อสังคมของหน่วยงาน ส่งผลให้เกิด
ความศรัทธาในหน่วยงาน เมื่อตอ้ งใชส้ ินคา้ ทห่ี น่วยงานผลิตกจ็ ะมาซือ้ ท่ีหน่วยงานเป็นที่แรก

318 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ

มีคากล่าวว่า “ลูกค้าคือพระราชา” นั้นแสดงให้เห็นว่าลูกค้ามีความสาคัญมาก
เพราะลูกค้าคือคนที่จะนาเงินมาให้ธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรธุรกิจจึงจาเป็นต้องตระหนักและให้ความ
สนใจในรายละเอียดเกี่ยวกับลูกค้าให้มาก โดยคอยกากับดูแลพนักงานในการให้ความสาคัญ
และให้ความสนใจกับลกู ค้าไว้เปน็ อนั ดับหน่ึงเสมอ เพื่อใหอ้ งคก์ รสามารถดาเนินต่อไปไดอ้ ย่างม่ันคง

เทคนิคการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในครอบครัว

ครอบครัวเปน็ สถาบนั ทางสงั คมขนาดเลก็ ท่ีสุด และมคี วามสาคัญที่สุดในการสร้างสมาชิก
ให้มีคุณภาพ ซึ่งบุคคลในครอบครัวจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
ในครอบครวั ทด่ี ี เพื่อใหอ้ ยดู่ ้วยกนั อยา่ งมีความสุขได้ต้องอาศยั หลักเกณฑด์ งั ต่อไปน้ี

1. ต้องมีความสุจริตจริงใจต่อกัน.เป็นเรื่องสาคัญที่ต้องพึงระวังในการอยู่ร่วมกันเป็น
ครอบครัวท่ีจะต้องมีความจริงใจต่อกันในทุกเร่ืองไม่มีความลับท่ีก่อให้เกิดผลเสียต่อครอบครัว
ควรปรกึ ษาหารือกัน เพ่ือหาหนทางแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นร่วมกัน จะเป็นการสร้างความรู้สึกท่ีดีต่อกัน
และยงั เปน็ การพสิ จู นถ์ ึงความลาบากท่ตี อ้ งฟันฝา่ อปุ สรรคไปดว้ ยกัน ว่ารกั กันจริงแค่ไหน

2. ต้องทาหน้าท่ีของตนให้สมบูรณ์.บทบาท คือสถานะที่เราได้รับ เช่น บทบาทพ่อแม่
แต่เม่ือทุกคนมีบทบาทก็ต้องแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมออกมา ที่เราเรียกว่าหน้าท่ี ทุกคนมีหน้าท่ี
ที่ต้องทา ซ่ึงหน้าท่ีของคนในครอบครัวก็คือการร่วมแรงร่วมใจกันท่ีจะทาให้ครอบครัวมีความสุข
และยังต้องประพฤติปฏิบัติในหน้าท่ีของตนให้สมบูรณ์ด้วย เช่น พ่อ ต้องเป็นหลักให้กับครอบครัว
โดยการหาเลยี้ งครอบครัว และให้ความรักความหว่ งใยอยา่ งเสมอตน้ เสมอปลาย

3. ต้องให้ความเป็นกันเองแก่สมาชิกในครอบครัว.คือ การสร้างความคุ้นเคยให้คน
ในครอบครัวเกิดความรู้สึกสบายใจ มีความสุข กล้าพูด กล้าแสดงออกกับคนในครอบครัว ในการ
สร้างความเป็นกันเองของคนในครอบครัวโดยเฉพาะ พ่อ แม่ น้ันสาคัญคือ ถ้าสามารถทาให้ลูก ๆ
รสู้ กึ เป็นกันเอง ยามใดเม่ือลูกเกิดปัญหาก็จะกล้าเข้ามาปรึกษา แต่ถ้าครอบครัวไม่มีความเป็นกันเอง
เมอ่ื ลูกเกิดปญั หาเขายอ่ มหาทป่ี รกึ ษาท่อี ื่น ยอ่ มจะนามาซงึ่ อนั ตรายต่อตัวลกู ได้

4. ต้องมีน้าใจไมตรีต่อกัน.เป็นน้าทิพย์ที่บุคคลในบ้านต้องเติมให้กัน พ่อก็ต้องให้ความรัก
จริงใจ เอาใจใส่ดูแลแม่ แม่ก็ต้องให้ความรัก จริงใจ เอาใจใส่ดูแลพ่อเช่นกัน ยามพ่อบ้านกลับบ้านมา
แม่บ้านก็จัดเตรียมน้าดื่มเย็น ๆ ให้ วันสาคัญ ๆ ก็ต้องจัดเตรียมของขวัญให้ซึ่งกันและกัน ส่วนพ่อ
และแม่ก็ต้องให้ความรัก ความห่วงใยลูก โดยการอบรมสั่งสอน ให้คาชมเชย ส่วนลูก ก็ต้องทาตัว
เป็นเด็กดี ตัง้ ใจเรียน

5. ต้องรู้จักกาลเทศะ.ในครอบครัวย่อมเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายในครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย คนในครอบครัวต้องมีความพร้อมที่จะร่วมใจกันรับท้ังเร่ืองดี
เรื่องรา้ ยรว่ มกนั ยามใดที่เกิดปัญหาในบ้าน พ่อบ้านคือคนท่ีต้องมีภาระรับผิดชอบมาก แม่บ้านก็ต้องรู้ว่า

เทคนคิ การสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 319

เวลานี้เป็นเวลาท่ีต้องคอยอยู่ข้าง ๆ เป็นกาลังใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับพ่อบ้านทุกคร้ังที่เกิดปัญหาและ
ไมท่ าตัวให้พอ่ บา้ นเกดิ ความไม่สบายใจ

6. ต้องมีความเสียสละเพื่อครอบครัวเสมอ.เม่ือต้องมาอยู่ในครอบครัวเดียวกันแล้วต้อง
ชว่ ยกันทุกหนทางท่ีจะทาให้ครอบครัวมีความอบอุ่น สมบูรณ์ มีความสุข มีกินมีใช้ แม้จะต้องเหนื่อย
สักเพียงใด ทุกคนในครอบครัวจึงต้องเสียสละความสุขส่วนตัว เช่น ลูก อาจต้องตื่นเช้าช่วยเหลือ
พ่อแม่ในการประกอบอาชีพเพ่ือเลี้ยงครอบครัว พ่อต้องทางานเหนื่อยมากข้ึน เพ่ือนาเงินมาจ่าย
ค่าเทอมให้ลูก แมไ่ มซ่ ้ือเสอื้ ผา้ ท่ีอยากไดเ้ ม่ือลูกต้องเข้าโรงพยาบาล

7. ต้องเอาใจใส่ให้คู่สมรสได้รับความสุขทางเพศอย่างดีท่ีสุด.เม่ือพ่อบ้านแม่บ้านได้ทา
หน้าที่ด้านอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว สิ่งหนึ่งท่ีเป็นปัจจัยที่สาคัญของคนเราก็คือ การมีเพศสัมพันธ์
ธรรมชาติมนุษย์ย่อมมีความต้องการทางเพศ ตามหลักสรีระของร่างกาย ควรต้องให้ความสุข
กับคู่ของเราด้วยความรู้สึกโดยการถ่ายทอดความรัก ความเอื้ออาทรในขณะท่ีมีเพศสัมพันธ์
ด้วยความนุ่มนวลและต้องกล้าที่จะพูดคุยกันเพ่ือปรับปรุงในสิ่งท่ีบกพร่อง เพื่อให้ชีวิตครอบครัว
อยู่กนั ไดอ้ ย่างยดื ยาว

8. ตอ้ งเพ่ิมพูนความรักและความชน่ื ชมและความรถู้ ึงคณุ ค่าของอีกฝ่ายหนึ่งข้ึนมาให้มาก
ที่สุด คนเราย่ิงอยู่ด้วยกันถ้าหยิบย่ืนส่ิงที่ดีให้แก่กัน ก็จะย่ิงผูกพันกันมากขึ้น หมั่นเติมความรักให้กัน
เอาใจใส่ดูแล มีคาชมท่ีมอบให้แก่กัน เพื่อสร้างสีสันให้กับครอบครัวและให้นึกอยู่เสมอถึงคุณงาม
ความดีท่ีต้องต่อสู้บากบั่นกับความลาบากมาด้วยกัน เพราะถ้าระลึกอยู่เสมอย่อมจะทาให้เกิดความ
รู้สกึ ถึงคณุ คา่ ของคูช่ ีวิตและเป็นการสง่ เสริมใหเ้ กดิ ความรักกันมากย่ิงข้นึ

9. ต้องเป็นคนมีเหตุผลใจคอเยือกเย็นอยู่เสมอ.เหตุผลเป็นสิ่งสาคัญของครอบครัว.บุคคล
ในครอบครัวต้องใจเยน็ ในการตดั สนิ ใจ ในการกระทาหรอื ปญั หาท่ีเกดิ ขนึ้ ดว้ ยการรอคอยเวลาท่ีจะฟัง
เหตุผลให้จบก่อน เช่น ลูกทาแก้วน้าแตก เพราะจะนาน้ามาให้คุณพ่อดื่ม ถ้าใจร้อนไม่ฟังเหตุผล
อาจส่งผลเสียต่อคนในครอบครวั ได้

10. ตอ้ งให้ความเห็นอกเห็นใจ.ความเมตตากรุณาแก่สมาชิกในครอบครัว ทุกคนในครอบครัว
ต่างก็ต้ังใจทาหน้าท่ีของตน เพื่อให้ครอบครัวมีความสุข จึงควรมองความดีท่ีแต่ละคนในบ้าน
ทาให้ครอบครัว บางคร้ังพ่อทางานหนักและเครียด คนในครอบครัวก็ต้องเห็นอกเห็นใจท่ีจะทา
ทกุ อยา่ งใหพ้ ่อสบายใจ เมอ่ื กลับเข้าบา้ น พ่อบ้านก็ต้องเข้าใจแม่บ้านที่ต้องดูแลบ้านและลูก ๆ ไม่เอา
เร่ืองเครียดหรืออารมณ์เสียจากท่ีทางานมาระบายกับคนในบ้าน ถ้าทุกคนในบ้านเห็นอกเห็นใจกัน
และรูส้ กึ ดีต่อกนั กจ็ ะทาใหค้ รอบครวั นา่ อยู่ได้

11. ต้องทาตัวให้เป็นคนกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวา.จะเกิดอะไรข้ึนกับครอบครัว
ก็ตาม ทุกคนต้องคอยย้ิม ให้กาลังใจกันและกัน ช่วยกันแก้ปัญหา ด้วยการจัดการกับตนเองก่อนคือ
หน้าตาต้องย้ิมแย้มแจ่มใส จัดสภาพบ้านให้สะอาดไม่รกรุงรัง เปิดหน้าต่างให้ดูบ้านสว่าง รดน้าต้นไม้
ในบ้านให้เขียวสบายตา หากิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวร่วมกัน เช่น ช่วยกันทาอาหาร
ดโู ทรทัศน์ ร้องเพลงคาราโอเกะด้วยกนั ปลกู ตน้ ไม้ ออกกาลังกาย หรอื พากันไปเทย่ี วนอกบา้ น

320 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

12. ตอ้ งมีความนุ่มนวล สุภาพ และมีปิยะวาจาต่อสมาชิกในครอบครัว.ความนุ่มนวล
สุภาพ การพูดจาไพเราะเป็นส่ิงที่ทุกคนปรารถนา ส่ิงต่าง ๆ ท่ีกล่าวมา พ่อแม่จะต้องเป็นผู้เริ่มทาก่อน
เพ่ือเป็นแบบอย่างให้ลูก ๆ ได้ทาตาม การมีพฤติกรรมที่สุภาพเป็นส่ิงที่ควรกระทา เช่น การแสดง
ความรักกับลูกด้วยการโอบกอด หอมแก้ม การพูดชมการทาอาหารของแม่ ถือได้ว่าถ้าครอบครัวใด
ให้ความสาคญั กจ็ ะเป็นการสร้างความสมั พันธ์ทด่ี ใี หก้ ับครอบครวั

จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งท่ีทุกคนควรนามาใช้ปฏิบัติ เพราะจะทาใ ห้เกิดสิ่งดี ๆ มากมาย
ต่อครอบครัวของเราท่ีจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข เมื่อครอบครัวของเรามีความสุขแล้ว หากเราไป
ทางานในองค์กรเราก็จะปฏิบัติด่ังเหมือนองค์กรเป็นบ้านหลังที่สองของเรา จึงส่งผลให้องค์กรน้ัน
น่าอยู่ บคุ คลในองคก์ รรกั ใคร่กลมเกลียวกัน ตลอดจนผลงานทีท่ านน้ั มปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ อีกด้วย

เทคนิคการสนทนาเพื่อสรา้ งความรู้สึกที่ดี

การพูดเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีเป็นการแสดงถึงความเข้าใจบุคคลท่ีเราสนทนาด้วย
เพื่อตอบสนองความต้องการของคู่สนทนาให้รู้สึกดีกับการสนทนาทาให้ สามารถสร้างความรู้สึกที่ดี
ต่อกันได้ ถือว่าเป็นส่ิงสาคัญในการประกอบธุรกิจเป็นอย่างมากที่จะนาเทคนิคในการสนทนา
เพ่ือสร้างความรู้สึกที่ดีให้เกิดกับผู้เกี่ยวข้องทางธุรกิจ เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นเกิดความประทับใจ
ในการที่จะทาธุรกิจร่วมกับเราตลอดไป ซึ่งเทคนิคในการสนทนาเพ่ือสร้างความรู้สึกท่ีดีสามารถ
ปฏิบตั ิได้ดังนี้

1. มองหน้าผู้พูด ใครก็ตามท่ีเราได้สนทนาด้วยนั้นมีค่าควรแก่การมองทุกคน การมองจะช่วย
ให้คุณเอาใจใส่สิ่งท่ีเขาพูด เพ่ือให้เขารู้ว่าเรากาลังฟังในสิ่งท่ีเขาพูด เช่น เวลาเจรจาต่อรองธุรกิจ
ควรจะมองหนา้ ผู้พดู เพ่อื ใหเ้ ขารวู้ ่าเราสนใจท่ีจะทาธุรกจิ กบั เขาจริง ๆ

2. สนใจในส่ิงท่ีอีกฝ่ายหน่ึงพูด.หากเห็นด้วยให้พยักหน้า มีปฏิกิริยาตอบรับให้ผู้พูด
ได้ทราบถึงความสนใจ เช่น ยิ้มให้หรือทาตามบทท่ีเขาบอก ขณะที่พูดขอความร่วมมือในการทากิจกรรม
และรว่ มแสดงความคดิ เห็นดว้ ยเพือ่ ให้ค่สู นทนาธรุ กจิ รูว้ า่ เราสนใจในสิ่งทเ่ี ขาพดู

3. ยื่นหน้าหาผู้พูด.หากสังเกตจะเห็นว่าคนไหนพูดได้น่าสนใจ น่าฟัง คุณจะย่ืนหน้า
เข้าไปฟัง ส่วนคนที่คุณคิดว่าไม่เอาไหน คุณจะแสดงท่าทางเนือย ๆ ไม่อยากฟัง เพราะฉะนั้นในการ
เจรจาธุรกจิ เราควรจะพูดให้น่าสนใจเพ่อื ดึงดูดใหค้ ูค่ ้าสนใจในธรุ กิจของเรา

4. ถามปัญหาบ้าง.เป็นการบอกผู้พูดว่าเราฟังอยู่.เป็นการแสดงให้คู่สนทนารู้ว่าเราฟัง
เรอ่ื งราวของเขาและสนใจเร่อื งราวของเขา จงึ อยากถามในบางเรือ่ งท่ีเขาสนทนากบั เรา

5. อย่าขัดคอ.ผู้พูดจะรู้สึกเป็นเกียรติท่ีไม่ถูกขัดคอจนกว่าจะพูดจบ ยิ่งเป็นเกียรติอย่างย่ิง
หากคุณสนใจผู้พูดโดยพูดเสริมว่า.“จะกรุณาประเด็นสุดท้ายเพ่ิมเติมหน่อยได้ไหมครับ ”

เทคนคิ การสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 321

เช่น การเจรจาธุรกิจไม่ควรพูดขัดคอ เวลาคู่ค้ากาลังพูดอยู่เพราะอาจทาให้คู่ค้าเข้าใจว่าเรามีปัญหา
ขดั แยง้ อาจทาให้โอกาสในการร่วมทาธรุ กิจหมดไป

6. ยึดเรื่องที่พูดไว้ก่อน.อย่าได้เสนอเร่ืองอ่ืนขึ้นแทรก จนกว่าเรื่องที่ผู้พูดจะพูดจบ ไม่ว่า
คณุ อยากจะพูดถึงเรือ่ งใหม่มากเพยี งใดก็ตาม

7. ใช้คาพูดของผู้พูดเป็นแนวแสดงความคิดเห็น เม่ือคนอื่นพูดจบ คุณควรจะย้าถึง
บางส่ิงบางอย่างที่เขาได้พูดไปแล้ว การกระทาอย่างน้ีไม่เพียงแต่แสดงว่าคุณฟังเท่านั้น แต่เป็นการ
เสนอแนวความคิดของคุณโดยที่ผู้พูดจะโต้แย้งไม่ได้อีก เช่น การกล่าวว่า “ตามท่ีคุณพูดว่า” หรือ
“ดเู หมือนคณุ จะพูดว่า”

จากการที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคการสนทนาเพ่ือสร้างความรู้สึก
ท่ีดีน้ัน มีเทคนิคที่น่าสนใจมาก หากองค์กรธุรกิจใดสามารถนาไปปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเร่ือง
ของการเจราจาตดิ ต่อลกู คา้ ตดิ ตอ่ ขอกู้เงนิ ก็จะบรรลุผลสาเรจ็ ได้เช่นกนั

เทคนิคการสนทนาเพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

ในการดาเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องอาศัยการติดต่อส่ือสารกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ซ่งึ กนั และกนั ทั้งในองค์กรและนอกองค์กร มนุษย์ต้องอาศัยการสนทนาพูดคุย เพื่อรู้จักบุคคลที่เก่ียวข้อง
ใหม้ ากยิ่งข้ึน โดยการพัฒนาเทคนิคในการสนทนาให้ดีข้ึน เพื่อให้สามารถส่ือสารให้เข้าใจและสามารถ
ปฏบิ ัตติ ามทีเ่ ราต้องการได้ และผฟู้ งั รสู้ ึกดีตอ่ คาพูดท่ีได้รับดว้ ยเทคนคิ ในการสนทนาเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
ทางธรุ กิจ มี 4 ประการ ดงั นี้

1. การสร้างความประทบั ใจ มขี น้ั ตอนในการปฏบิ ตั อิ ยู่ 3 ขัน้ ตอน ดงั นี้
1.1 การสร้างความประทับใจกับคู่สนทนาโดยตรง โดยการใช้กิริยาท่าทาง สีหน้า

แววตา น้าเสียง คาพูด ในทางท่ีเป็นมิตร เช่น เมื่อเจอกันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายกัน โดยมีการจับมือกัน
หรือทาความเคารพถ้ามีอาวุโสกว่า เพ่ือสร้างความคุ้นเคย หรืออาจจะทักทายคู่สนทนาด้วยคาว่า
“ดีใจจงั เลยวันน้ที ่ไี ด้เจอคุณ”.เป็นต้น.การสร้างความประทับใจกับคู่สนทนาหรือคู่ค้าสามารถกระทา
ได้โดยตรงกับเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนการพบปะกับลูกค้า หรือผู้บริหารระดับสูง เพื่อการสนทนา
ที่เป็นไปอยา่ งราบร่ืนและประสบผลสาเร็จ

1.2 การสร้างความประทับใจกับส่ิงของของคู่สนทนา.โดยการพูดชมส่ิงของอันเป็น
ที่รักของผู้ที่เราสนทนาด้วย เช่น “ต่างหูเพชรสวยมากเลยค่ะ”.หรือ.“หอมจังเลยค่ะวันน้ีใส่น้าหอม
อะไรคะ่ ” หรอื “ขนมทเ่ี อามาใหว้ นั นนั้ อร่อยมากเลย” เป็นต้น

1.3 การสร้างความประทับใจกับครอบครัวของคู่สนทนา.โดยการพูดเกี่ยวกับ
ครอบครัวของเขาในทางทีด่ ี เชน่ “ลูกสาวเปน็ อยา่ งไรบ้าง เขานา่ รักมาก ๆ เลย”.หรือ “คุณแม่สบายดี
ไหมคะ่ ฝากความคิดถงึ ทา่ นด้วยนะคะ่ ” หรือ “ช่วงนอี้ ากาศเยน็ ฝากเสื้อไปให้เจ้าตูบ (สุนัข) ด้วยค่ะ”
เปน็ ต้น เพื่อใหค้ ู่สนทนาหรอื คูค่ า้ มคี วามรู้สึกวา่ เราใหค้ วามสาคญั กบั ครอบครวั ของคสู่ นทนา

322 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

2. การหาสิ่งเด่นและส่ิงด้อย มขี นั้ ตอนในการปฏิบัตอิ ยู่ 4 ข้ันตอนดงั นี้
2.1 สนทนาในส่ิงเด่น.คือการพูดคุยเก่ียวกับตัวผู้สนทนาในเร่ืองที่เขามีความเก่ง โดดเด่น

เช่น หน้าตาดี หุ่นดี ร้องเพลงไพเราะ เรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง การได้รับรางวัล โล่ เกียรติบัตร พยายาม
พดู หรือถามถึงส่งิ เหล่านั้น จะทาให้เขาเกดิ ความภาคภมู ิใจ และอยากสนทนากับเราไปตลอด

2.2 สนทนาในส่ิงท่ีเขาชอบ.พยายามสังเกตว่าเขาชอบส่ิงของอะไร ชอบทาอะไร
หาหนทางพูดถึงสิ่งท่ีเขาชอบ หรือ เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีเขาชอบ เมื่อเขาต้องการ เช่น เขาชอบ
สุนัข เราก็จะสนทนาถึงสุนัขตัวโปรดของเขา เขาชอบทาขนมก็ขอเป็นลูกมือเขาและช่ืนชม
ในความสามารถของเขา เป็นต้น

2.3 สนทนาในสิ่งท่ีกาลังเป็นที่น่าสนใจ เป็นการเปิดประเด็นในเรื่องที่เกิดข้ึน
ในปัจจุบันท่ีเป็นเหตุการณ์ สถานท่ี ส่ิงของ บุคคล ท่ีน่าสนใจอยู่ในขณะน้ัน เช่น เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
เพราะเปน็ เรอื่ งที่น่าสนใจและตอ้ งตดิ ตาม ถ้าพูดคยุ กับคนชอบกฬี าก็ต้องพูดเร่ืองกีฬา เพราะจะทาให้
สามารถสร้างความสนทิ สนมคนุ้ เคยไดง้ า่ ย เป็นต้น

2.4 สนทนาในส่ิงท่ีเป็นความทุกข์ ในบางครั้งที่คู่สนทนาเกิดความไม่สบายใจ เพ่ือให้
เขาได้ระบายความทุกข์ในใจออกมา โดยการสร้างความคุ้นเคยให้คู่สนทนาเกิดความไว้เนื้อเช่ือใจ จนกล้า
พูดเรื่องไม่สบายใจให้เราฟังเอง และเราก็รับฟังพร้อมปลอบโยน ให้คาปรึกษาและร่วมหาหนทาง แก้ไข
ปญั หาท่ีเกิด

3. การสรา้ งทักษะในการตอบรับ มขี ้นั ตอนในการปฏบิ ัติอยู่ 5 ขน้ั ตอน
3.1 หยุดพูด เม่ือคู่สนทนากาลังพูด ต้องหยุดพูดเพื่อรับฟังส่ิงท่ีคู่สนทนากาลังจะบอก

กับเราให้ได้มากท่ีสุด เม่ือเวลาท่ีเขาถามความคิดเห็นเก่ียวกับเรื่องท่ีพูดจะได้ตอบคาถามและแนะนาได้
เป็นการแสดงความเอาใจใส่ สนใจในตวั ผทู้ เ่ี ราสนทนาดว้ ย

3.2 พยักหน้า เป็นการตอบรับให้คู่สนทนา ในขณะที่ผู้สนทนาพูด ให้ทราบว่าเราฟังอยู่
สนใจเรอื่ งท่พี ูดอยู่ และเข้าใจด้วยจึงพยกั หน้าตอบรับ สีหน้าและแววตาก็ต้องสอดคล้องกับเรื่องที่พูด
และการพยักหน้าดว้ ย

3.3 ออกเสียงรับ.ในบางคร้ังคู่สนทนาพูดอยู่ อาจตอบรับด้วยการออกเสียงเบา ๆ
แสดงการรบั รใู้ นเร่อื งท่พี ูด เช่น “อือ” หรือ “ออ๋ ” ประกอบกบั การพยักหนา้ รว่ มด้วย

3.4 ตอบรบั เปน็ คาพูด ใหท้ ราบว่าเข้าใจ และยังต้ังใจฟังอยู่ เช่น “ครับ” หรือ “ค่ะ”
หรือ “ใช่”.เพ่ือให้เกิดความสมบูรณ์ควรใช้สีหน้า แววตา ศีรษะประกอบการตอบรับด้วย จะทาให้
คสู่ นทนาร้สู กึ ดีขน้ึ

3.5 การมีส่วนร่วม.ในการพูดของคู่สนทนา ในบางครั้งอาจต้องการให้ผู้ฟังได้ร่วม
แสดงความคิดเห็นหรือแสดงความรู้สึกกับเรื่องท่ีตนพูด เช่น เม่ือพูดคุยเร่ืองสนุกสนาน ผู้ฟังก็ต้องมี
ปฏิกริ ิยาโดยการหัวเราะ หรือเม่ือคุยเรื่องเศร้าหน้าตาก็ต้องเศร้า แต่ควรระวังในการแสดงความรู้สึก
เกินไปกว่าเร่ืองท่ีเขาพูด จะกลายเป็นการดถู กู หรอื ลอ้ เลียนไป

เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 323

4. การย้าให้เกดิ ความสาคัญ มขี น้ั ตอนในการปฏิบตั ิอยู่ 3 ขั้นตอนดังน้ี
4.1 ทวนทุกคาพูด.เพื่อตรวจสอบความถูกต้องในส่ิงท่ีคู่สนทนาได้พูด เช่น หัวหน้างาน

สง่ั งาน พนักงานควรจดและทวนคาส่งั ทห่ี ัวหนา้ งานไดส้ ่ังงานไว้ เพื่อเป็นการแสดงให้หัวหน้างานรู้ว่าสิ่งท่ีเขา
ตอ้ งการใหป้ ฏบิ ตั ิเราไดจ้ ดบันทึกเพื่อนาไปปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งครบถว้ น

4.2 ทวนทกุ คาแตเ่ ปลีย่ นสรรพนาม เปน็ การพูดซ้าคาเดิม ประโยคเดิม ของผู้พูดแต่
เปลี่ยนสรรพนามของผู้พูดเพ่ือให้เกิดในเชิงเห็นใจ ห่วงใย และดีใจ เช่น.ผู้พูดพูดว่า “ฉันได้เล่ือน
ตาแหน่งเป็นผู้จัดการแล้ว”.ผู้ฟังพูดว่า “เธอได้เล่ือนตาแหน่งเป็นผู้จัดการแล้ว เก่งจังเลย”.หรือ ผู้พูด
พูดว่า “ผมอยากได้สรุปยอดขายและกาไรของเดือนน้ีครับ”.ผู้ฟังพูดว่า.“คุณอยากได้สรุปยอดขาย
และกาไรของเดือนน้ีหรือรอแปบ๊ เดียว เดย๋ี วดฉิ ันเอามาคะ่ ให้”

4.3 ทวนเฉพาะส่วนสาคัญ.เป็นการทวนเฉพาะคา หรือประโยค ที่สาคัญและหา
คาเสริม ถ้าเป็นเร่ืองเศร้าก็เสริมคาที่แสดงความเสียใจ ถ้าเป็นเรื่องดีก็เสริมคาท่ีแสดงความดีใจ เช่น
ผู้พูด พูดว่า “ลูกสาวฉันเข้าโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้”.ผู้ฟังพูดว่า “แล้วลูกสาวเป็นอย่างไรบ้าง”.หรือ
ผู้พดู พดู วา่ “ผมได้ลูกชาย” ผู้ฟังพดู วา่ “ดใี จดว้ ยที่คณุ ไดล้ ูกชาย” เป็นต้น

จากสิง่ ทีก่ ล่าวมาขา้ งตน้ สามารถสรปุ ได้วา่ เทคนิคการสนทนาเพ่ือสร้างมนุษย์สัมพันธ์
ทางธุรกิจ สามารถช่วยให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจนาไปปรับใช้ในการทางาน เพ่ือให้การทางานเป็นไป
อย่างราบรื่น ปราศจากข้อขัดแย้ง จนทาให้สามารถทางานร่วมกับบุคคลในองค์กรได้อย่างประสบ
ความสาเร็จ

เทคนิคการครองใจคนด้วยคาพูด

ในการทางานของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน จาเป็นท่ีจะต้องมีการสื่อสารกันด้วย
การพูดคุย เนื่องจากการสื่อสารด้วยวาจาเป็นส่ิงสาคัญกว่าการสื่อสารในรูปแบบอื่น ๆ เพราะทาให้
มนุษย์เข้าใจกันง่ายขึ้น ดังน้ัน การพูดให้ประสบความสาเร็จและครองใจคนได้นั้น จะต้องอาศัย
เทคนคิ ตา่ ง ๆ ในการพูดใหค้ รองใจคน ดังนี้

1. มีศิลปะในการพูดให้น่าฟัง.การใช้คาพูดได้อย่างดีและมีศิลปะจะทาให้สามารถจูงใจ
และเอาชนะใจคนอ่ืนได้ มีความคิดเห็นคล้อยตามได้ ด้วยการหม่ันฝึกฝนและเรียนรู้ในหลักการใช้ภาษา
ที่สุภาพ ไม่หยาบคาย ก้าวร้าว เป็นภาษาที่ทุกคนอยากได้ยิน การให้เกียรติและเคารพ ในความคิด
ของคู่สนทนา การพูดคุยในเร่ืองท่ีคู่สนทนาสนใจ.อากัปกิริยาของคู่สนทนาเกิดความอึดอัดมากน้อย
เพียงใดต้องคอยใหค้ วามสนใจ นอกจากนี้ในทางธุรกจิ ก็ควรหมั่นฝกึ ฝนการมีศิลปะในการพูดให้น่าฟัง
เพื่อการติดต่อเจราจาทางธุรกจิ กบั ลกู ค้าให้ประสบความสาเร็จได้

2. ยกย่องชมเชยให้เป็น.เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทุกคนที่ปรารถนาจะได้รับ
การ ยกย่องชมเชยจากคนอ่ืน เพราะการยกย่องชมเชยจะทาให้คนผู้น้ันรู้สึกว่าเป็นคนมีคุณค่า โดยเฉพาะ
การยกย่องชมเชยท่ีมาจากความจริงใจไมเ่ สแสร้ง หรือการยกยอปอปั้นเพ่ือหวังส่ิงตอบแทน การรู้จัก

324 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

ยกย่องชมเชยผู้อ่ืนจะทาให้ผู้น้ันรู้สึกดีและประทับใจอีกทั้งยังรู้สึกเป็นมิตร ซ่ึงเพียงเท่านี้คุณก็จะ
สามารถเอาชนะใจผู้อื่นได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการยกย่องชมเชยผู้บังคับบัญชา ว่าเป็นผู้ท่ีมี
ความรคู้ วามสามารถทจี่ ะนาพาองคก์ รไปสคู่ วามสาเรจ็ ได้ เป็นต้น

3. ไม่พูดถึงความทุกข์ของตนเอง.คนทุกคนในโลกล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งน้ัน
จะต่างกันก็ตรงที่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อยเท่านั้น ดังน้ัน.คงไม่มีใครที่จะอยากฟังเรื่องราวท่ีมีแต่
ความทุกข์ท่ีฟังแล้วรู้สึกหดหู่ เศร้าใจอยู่เป็นประจา ยกเว้นการปรับทุกข์เพื่อขอคาปรึกษาจากคน
สนทิ หรอื จิตแพทยเ์ ท่านน้ั

ดังนั้น เมื่อมีความทุกข์ ลองทาในส่ิงที่ดี ๆ ทาจิตใจให้เบิกบานจะดีกว่า การเล่าความทุกข์
ให้ผอู้ นื่ ฟงั เพราะนัน่ ก็เท่ากับว่าได้ทาให้คนรอบข้างรูส้ ึกไมร่ นื่ รมย์ไปกับคุณด้วย

4. ไม่ดูถูกเหยียดหยามคนท่ีด้อยกว่า.เมื่อใดก็ตามที่เราพบเห็นหรือได้รู้จักคนท่ีด้อยกว่า
เราควรที่จะให้กาลังใจเขา ปฏิบัติตนต่อเขาเสมือนว่าเขาเป็นเพื่อนของเราคนหนึ่ง หรือเม่ือใดก็ตาม
ที่เขาทาอะไรผิดพลาด ก็ไม่ควรที่จะซ้าเติมหรือด่าทอเขาด้วยคารุนแรง แต่ควรท่ีจะให้อภัยแก่เขา
เพียงเท่าน้ีเขาก็จะรู้สึกดี มีกาลังใจมากย่ิงข้ึน และคุณก็จะกลายเป็นคนท่ีมีคุณค่ากับเขา ผู้ท่ีได้พบเห็น
หรอื ใกลช้ ิดกับคณุ ก็จะรู้สกึ ประทบั ใจในอุปนสิ ัยของคุณ

5. การทกั ทายคนรู้จัก การทกั ทายคนร้จู กั ทกุ ครง้ั ที่ได้พบกัน เป็นการสร้างความประทับใจให้
ผู้ที่เราไดท้ กั ทายเขา ผ้ทู ่รี ู้จักกันแต่ไม่เคยคดิ ทีจ่ ะหยดุ ทกั ทายกันเลยเป็นมารยามที่ไม่ดีอย่างย่ิงเพราะ
จะทาให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเราหย่ิง จะทาให้เสียมิตรภาพที่ดีไปง่าย ๆ และในทางธุรกิจผู้บริหารและ
บคุ คลก็ควรจะทักทาย ไม่ว่าเขาจะมีตาแหน่งหน้าที่ที่ สูงกว่าหรือต่ากว่าเราก็ตาม เพ่ือเป็นการสร้าง
มติ รทีด่ ีตอ่ กนั อย่างนอ้ ยการเปล่งวาจาทักทาย “สวัสดีค่ะ” หรือ “สวัสดีครับ”.ก็จะคงความเป็นมิตร
ไว้ได้อกี นาน

6. ตาหนิติเตียนอย่างมีศิลปะ.เมื่อใดก็ตามท่ีมีความจาเป็นท่ีจะต้องตาหนิติเตียนผู้อ่ืน
ควรตาหนิท่ีการกระทาของเขา มิใช่ตาหนิท่ีตัวของเขาและควรแนะนาแนวทางที่ถูกต้องให้ด้วย
หรืออาจจะใช้วิธีเร่ิมต้นพูดถึงส่ิงท่ีดี ๆ ก่อนและตอนท้ายอาจจะตาหนิติเตียนถึงส่ิงที่ไม่ดีและเสริม
ด้วยการให้กาลงั ใจก็ได้ เพียงเท่าน้ีผู้ท่ีได้รับการตาหนิติเตียนก็จะไม่รู้สึกต่อต้านหรือไม่พอใจ แต่กลับ
รสู้ ึกตอ้ งการทีจ่ ะปรับปรงุ แก้ไขในข้อผดิ พลาดเหล่าน้ันอีกด้วย.ในทางธุรกิจก็เช่นเดียวกันถ้าพนักงาน
หรือลูกจ้างทาผิดก็ค่อย ๆ เตือน อย่าว่าแรงเกินไปให้พนักงานเกรงกลัว เพราะคนเรามีโอกาส
ทาผิดพลาดกนั ได้

7. อย่าลามปาม.การรู้จักพูดจายกย่องบุพการีของผู้ท่ีเราสนทนาด้วย จะทาให้เขารู้สึกดี
และประทับใจในตัวคุณได้ การพูดจายกย่องบุพการีของผู้อื่นควรพูดด้วยความรู้สึกที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง
หลอกลวง หรอื ยกยอปอปัน้ จนเกินไป หนั มาใหค้ วามเคารพพูดจายกย่องบุพการผี ู้อืน่ ดูบ้าง

8. การขอรอ้ งย่อมดีกว่าการออกคาส่ัง.การขอร้อง เป็นการขอความช่วยเหลือผู้อื่น ในเรื่อง
ต่าง ๆ ดังน้ัน.การขอร้องที่สัมฤทธ์ิผลจะต้องทาให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกคล้อยตามและยินดีท่ีจะช่วยเหลือ
ด้วยความเต็มใจ

เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 325

สง่ิ สาคัญท่ีสุดในการขอร้องคือคาพูดที่ใช้จะต้องมีความสภุ าพ อ่อนหวาน ซ่ึงจะทาให้ฝ่าย
ตรงข้ามรู้สึกว่าตนเองมีความสาคัญมากพอ ทาให้เกิดความร่วมมือที่จะช่วยเหลือโดยไม่รู้สึก
ขดั ขืนเลย

แต่เม่ือใดก็ตามที่เราใช้วิธีการออกคาสั่ง จะทาให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าถูกบังคับ ทาให้เขา
ต่อต้านและขัดขืนที่จะช่วยเหลือ หรืออาจจะช่วยเหลือแต่ก็เป็นไปด้วยความไม่เต็มใจ ซ่ึงผลลัพธ์ท่ีได้
ก็จะไมด่ เี ท่ากบั การขอรอ้ ง

9. คาขอบคุณและคาขอโทษ.ผู้ท่ีมีเสน่ห์ดึงดูดใจและสามารถสร้างความประทับใจ
ให้กับคนรอบข้างได้ ต้องรู้จักมารยาททางสังคมเป็นอย่างดี การกล่าวคาขอบคุณและคาขอโทษเป็น
มารยาททางสังคมทจี่ าเปน็ และสาคญั อยา่ งยิง่ ในการสร้างเสน่ห์และสร้างความประทบั ใจ

การรู้จกั กลา่ วคาขอบคุณทุกครัง้ เมอื่ ได้รับสิ่งที่ดี จากบุคคลอ่ืน แม้ว่าบุคคลน้ันจะมีอายุ
นอ้ ยกว่าก็ตาม ก็ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวคาขอบคุณ อีกทั้งการใช้น้าเสียงในการกล่าวขอบคุณก็ควรเป็น
น้าเสยี งทแี่ สดงถึงความยนิ ดี และความพอใจตอ่ สงิ่ ทไี่ ดร้ ับด้วย

ส่วนการกล่าวคาขอโทษนั้น ควรกล่าวเม่ือเราได้กระทาส่ิงผิดพลาดและก่อให้เกิด
ความเสยี หายตอ่ บคุ คลอื่น ไม่วา่ เร่ืองนน้ั จะเปน็ เรือ่ งเลก็ น้อยหรอื เรื่องใหญ่ก็ตาม

10. ศิลปะในการวิจารณ์ผู้อื่น.การรู้จักวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นท่ีทาให้เกิดประโยชน์เกิดสิ่งที่ดี ๆ
ได้นั้น จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องอาศัยศิลปะและการศึกษาทาให้การวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปในทาง
ทสี่ ร้างสรรค์

การวิพากษ์วิจารณ์ที่ดีควรกล่าวถึงข้อดีก่อนแล้วจึงกล่าวถึงข้อเสีย ในทางธุรกิจ
ก็เหมือนกันไม่ควรพูดข้อเสียหรือสิ่งไม่ดีก่อน แต่ควรพูดสิ่งที่ดีก่อน หลังจากนั้นจึงสรุปด้วยข้อดี
อีกคร้ังหน่ึง และเมื่อใดก็ตามท่ีได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์จงแน่ใจว่าคาวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปในทาง
สรา้ งสรรค์ จริง ๆ เพราะวา่ ถ้าวจิ ารณ์ผิดพลาดอาจทาให้เกดิ ผลเสยี ต่อตวั เองและองคก์ รได้

11. หลังงานเล้ียงต้องขอบคุณ.ในการทาธุรกิจย่อมจะได้รับเชิญหรือการ์ดเชิญให้ไป
ร่วมงานเลี้ยง ในวาระต่าง ๆ.นอกจากจะมีของกานัลติดไม้ติดมือไปในงานแล้ว ควรมีการส่ง
คาขอบคุณหรือการ์ดสักใบที่แสดงคาขอบคุณและเขียนถึงความประทับใจในงานวันนั้นด้วย
เพียงเท่านี้ก็จะทาให้เจ้าของงานภาคภมู ิใจและมีความสขุ อกี ทั้งเจ้าของงานยงั คงประทับใจและนึกถึง
อยู่เสมอด้วย และเป็นที่แน่นอนว่าในงานเล้ียงคร้ังต่อไปจะมีรายชื่อของคุณเป็นแขกผู้มีเกียรติท่ีจะ
ไดร้ บั การเช้อื เชญิ ให้มารว่ มงานอกี ต่อไปด้วย

12. ไม่พดู ดกั คอใคร.เม่ือใดก็ตามทคี่ ณุ กาลังสนทนาหรือเลา่ อะไรอยู่ ถา้ มีคนพูดแซงหรือ
พูดดักคอคุณไว้ก่อน คุณจะรู้สึกหมดอารมณ์ ไม่อยากที่จะเล่าต่อไปอีก ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าคุณต้อง
กลายมาเป็นผู้ฟังก็ควรคิดถึงใจเขาใจเราด้วยเช่นกัน.เช่น ถ้าหากเราไปติดต่อเจราจาธุรกิจกับลูกค้า
ควรท่จี ะพดู คล้อยตามความคิดเหน็ ของลูกค้าไป ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม เพ่ือให้การเจรจาธุรกิจ
ในคร้ังนปี้ ระสบความสาเรจ็ ไปได้ด้วยดี

326 มนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กิจ

13. ศิลปะในการพูดปลอบใจ.เป็นธรรมดาของมนุษย์เม่ือยามที่มีความทุกข์ รู้สึก
กลุ้มอกกลุ้มใจยอ่ มตอ้ งการท่ีจะมคี นมาแสดงความเปน็ ห่วงเป็นใยและเห็นอกเห็นใจ การพูดปลอบใจ
เป็นวิธีการอยา่ งหนึ่งทจ่ี ะทาใหผ้ ู้ทมี่ คี วามทกุ ขไ์ ด้คลายความเศรา้ ลงได้บ้าง

การพูดปลอบใจที่ดีไม่ใช่การแสดงความสงสาร เพราะจะทาให้ผู้ที่มีความทุกข์อยู่แล้ว
รู้สึกห่อเห่ียวและเศร้ามากข้ึนกว่าเดิมอีก เพราะการพูดท่ีมีลักษณะสงสาร ผู้พูดมักจะไม่รู้สึกว่าตนเอง
ไดพ้ ดู ซ้าเติมและตอกยา้ ความทุกข์ของเขาเขา้ ไปอกี

คาปลอบใจท่ีดีจึงจะทาให้เขาคลายความเศร้าและมีความหวังมากย่ิงข้ึน ลักษณะ
ของคาปลอบใจทด่ี ีต้องมลี ักษณะดงั ต่อไปน้ี

13.1 การพูดยกย่องในสว่ นท่ีดจี นทาใหเ้ กิดกาลังใจ
13.2 การพูดถ่อมตนเองว่ามนุษย์ทุกคนย่อมเคยผิดหวังหรือเคยผิดพลาดมาแล้ว
ท้ังนนั้
13.3 การสร้างความหวังให้เขาได้เห็นว่าในอนาคตเขากจ็ ะสามารถทาสิ่งดี ๆ ไดอ้ ีก
13.4 การกล่าวช่วยเหลือเขา ตามกาลงั และความสามารถของคุณเอง
13.5 การกลา่ วปลอบใจ ควรกล่าวด้วยนา้ เสยี งทีม่ ีความเปน็ มิตรและจริงใจไมเ่ สแสรง้
14. ไม่นินทาใครลับหลัง.การนินทาว่าร้ายผู้อื่นเป็นนิสัยที่ไม่ดีอย่างหนึ่งควรหลีกเล่ียง
การกระทาน้นั เสีย การนินทาวา่ ร้ายผ้อู ่ืนอาจจะทาให้ผู้พูดรู้สึกสนุกปากหรือสะใจที่ได้ทา แต่ผลลัพธ์ที่จะ
ตามมาสู่ตัวคุณก็คือ คุณจะไม่มีใครคบหาด้วยความจริงใจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้อ่ืนก็รู้สึกกลัวว่าคุณ
จะนาเรอ่ื งของเขาไปนนิ ทาลับหลังนน่ั เอง.ในขณะเดียวกันหากเราในฐานะนักธุรกิจก็ไม่ควรเอาข้อมูล
ของลูกค้ามานินทาลับหลัง เพราะความลับไม่มีในโลก เมื่อลูกค้าคนน้ันรู้ว่าเราเอาเร่ืองเขามานินทา
เราเองน้นั แหละท่จี ะเป็นฝ่ายเสยี หาย รวมทั้งองค์กรยงั เสียภาพลกั ษณ์อกี ด้วย
15. ไม่พูดเร่ืองที่ไม่เป็นมงคล.หลายคนคงทราบกันดีว่ามารยาทการพูดบนโต๊ะอาหาร
ไม่ควรจะพูดถึงส่ิงท่ีไม่เป็นมงคล ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองน่าเกลียด น่ากลัว ลามก โหดร้าย เป็นต้น และ
เร่ืองดงั กล่าวเหลา่ นกี้ จ็ ัดเป็นมารยาทอย่างหนง่ึ ของการสนทนาท่วั ๆ ไปด้วย เพราะนอกจากจะทาให้
บรรยากาศในการสนทนาเสียไปแล้ว ยังทาให้ผู้ฟังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอีกด้วย การพูดถึงแต่เรื่อง
อัปมงคลเหลา่ นีม้ ักไม่ค่อยกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์หรอื ความจรรโลงใจมากนัก
16. เมื่อมีคนมาพูดหยาบคายกับเรา.เม่ือใดก็ตามท่ีเราต้องสนทนากับผู้ท่ีมีนิสัยชอบ
ตวาดหรือตะคอกใส่เรา ส่ิงต้องห้ามอย่างยิ่งคือ อย่าไปเสียงดังแข่งกับเขา แต่จงเบาเสียงลงแล้วค่อย.ๆ
พูดกบั เขาดว้ ยนา้ เสยี งทน่ี ิง่ และสงบ การพูดกับเขาในลักษณะนี้จะทาให้เขารู้สึกตัวข้ึนได้ และเราควร
บอกกับเขาให้รู้ด้วยว่า เขาไม่จาเป็นที่จะต้องตวาดใส่เรา เพราะเราจะไม่ว่ิงหนีจากเขาไปไหน
พร้อมกับบอกเขาว่าเราไม่ได้โกรธเขาด้วย ถ้าเขายังเป็นคนสุภาพและพร้อมท่ีจะรักษามิตรภาพ
ระหว่างกันไว้ เขาจะหยุดเสยี งดังและขอโทษเราทันที

เทคนคิ การสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 327

17. คุยโทรศัพท์อย่างมีมารยาท.เม่ือยกหูโทรศัพท์ขึ้นคร้ังใด ควรใช้วิธียิ้มกับโทรศัพท์
เสียก่อนท่ีจะพูดใส่หูโทรศัพท์ น้าเสียงก็จะฟังดูสุภาพอ่อนหวานข้ึนมาทันที ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
ท่ีสร้างความประทับใจให้กับผู้ท่ีโทรเข้ามา.เช่น หากมีสายโทรเข้ามาในองค์กรเราควรที่จะพูดจา
ไพเราะ เพราะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหก้ ับองค์กรได้อีกทางหนง่ึ

18. ตอบคาถามให้เป็น.เมื่อใดก็ตามที่คนถามถึงสารทุกข์สุกดิบของเรา ไม่ว่าจะถาม
ตามมารยาทหรือถามเพราะต้องการจะรู้จริง ๆ เราก็ควรจะใช้วิธีตอบคาถามที่ฟังดูแล้วไม่ทาให้
ผู้ถามต้องรู้สึกวา่ ได้สรา้ งความราคาญหรอื สร้างความยุ่งยากลาบากใจทีจ่ ะตอบ

19. พูดในเชิงบวก.เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า คาพูดเพียงไม่ก่ีคาก็มีอิทธิพลมากมายต่อคนอ่ืน
บางครั้งคาพูดอาจสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ฟัง หรือคาพูดบางคาอาจกระตุ้นให้ผู้ฟังรู้สึกดี
กระชุ่มกระชวย มีพลังใจท่ีจะลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคได้ต่อไป ซ่ึงถ้าหากเรานาการพูด
ในเชิงบวกน้ีมาปรับใช้ในทางธุรกิจเพ่ือเจรจากับลูกค้า หรือพูดกับเพ่ือนรวมงาน ก็จะทาให้เรามี
โอกาสประสบความสาเรจ็ ได้เชน่ กนั

20. คาพูดก่อนลาจากกัน.ถ้าการสนทนาต้ังแต่ต้นจนกระท่ังกาลังจะส้ินสุดการสนทนา
เป็นไปด้วยดีมาตลอดก็ไม่ควรจะลืมคาพูดที่มีความหมายดี ๆ.เพ่ือเป็นการท้ิงท้ายก่อนจะลาจากกันไป
เพราะน่ันก็เท่ากับเป็นการส่งความรู้สึกที่ดีให้กับคู่สนทนาแล้วเช่นกัน และแน่นอนว่าย่อมทาให้
คู่สนทนาประทับใจมากขึ้นไปอีก คาพูดท่ีดี ๆ ท่ีควรกล่าวก่อนจะลาจากกัน ยกตัวอย่างเช่น
“ได้พูดคยุ กับคุณวนั นสี้ นุกมากครบั ”.“เดนิ ทางกลบั โดยสวัสดิภาพนะค่ะ”.“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”.
คาพูดสั้น ๆ เพียงเท่าน้ี ก็สามารถสร้างมิตรภาพที่ดีให้กับคู่สนทนาได้และยังทาให้เขาอยากกลับมา
สนทนาและกลับมาร่วมธุรกิจกับเราในคร้งั ตอ่ ไปอกี

21. ไม่พูดเดาใจผู้อื่น.ผู้ที่มีนิสัยชอบพูดแซง พูดแทรกข้ึนมากลางวงสนทนาหรือขณะ
เจรจาธุรกิจอยู่ หรือพูดเดาใจ ทายใจผู้อื่นอยู่เป็นประจา ย่อมทาให้ผู้ที่กาลังพูดรู้สึกว่าไม่ให้เกียรติ
เขาเลย ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะกระทาตนเป็นผู้อวดรู้ สอดรู้ เพราะการกระทาเหล่าน้ีจะสร้างความ
ไมพ่ อใจและยังเป็นการแสดงให้เหน็ อกี ด้วยวา่ คนผ้นู ั้นไม่มีมารยาทที่ดีในการฟังเลยแม้แตน่ ้อย

22. ไม่เอาชนะด้วยการโต้เถียง.การเอาชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยการโต้เถียง เป็นปัญหา
สาคญั ประการหนึ่งในการชกั จงู ใจให้ฝา่ ยตรงขา้ มให้มีความคดิ เหน็ ตรงกับเรา

ดังน้ัน หากเรามีความต้องการท่ีจะโต้เถียง เพราะจุดประสงค์ในการแลกเปลี่ยน
ความคิดและทัศนคติเท่านั้น เราควรต้องระมัดระวังในเร่ืองของคาพูดที่รุนแรง หรือมุ่งหวังท่ีจะ
เอาชนะแตเ่ พยี งอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการตดิ ตอ่ ธุรกิจการคา้ ดว้ ยแล้ว เรายิ่งต้องหลีกเลี่ยง
ทจ่ี ะเอาชนะด้วยการโต้เถยี งเป็นอย่างย่งิ

23. การพูดต่อหน้าผู้คน หลายคนมักรู้สึกกลัวที่จะออกไปพูดต่อหน้าคนจานวนมาก ๆ
เพราะกลัวต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือผู้ฟังไม่สนใจในหัวข้อที่เรากาลังพูด ดังนั้น จึงควรหาทาง
ในการพูดต่อหน้าคนจานวนมาก โดยการสร้างกาลังใจให้ตนเอง ย้าอยู่เสมอว่าเราต้องทาได้ มีความ
กล้าหาญและเช่ือมั่นในตนเอง เริ่มต้นฝึกฝนการพูด โดยการฝึกพูดกับกระจกแล้วพัฒนาฝึกพูด

328 มนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ

ในกลุ่มเพ่ือนจนเกิดความเคยชิน แล้วจึงพูดกับคนแปลกหน้าเป็นจานวนมาก นอกจากน้ีเทคนิค
ในการพดู ตอ่ หน้าคนเป็นจานวนมากให้ประสบความสาเร็จ ก็เป็นส่ิงสาคัญท่ีไม่ควรมองข้ามไป ยกตัวอย่าง
เช่น.การเลือกจุดสาหรับการยืนที่เหมาะสม อย่าให้ความสนใจกับผู้ฟังท่ีไม่สนใจการพูดของท่าน.
ฉะนั้น กอ่ นที่จะนาเสนองานให้ลูกค้า ต้องมีการฝึกพูดหลาย ๆ คร้ัง เพื่อให้เกิดความชานาญและลด
ความตื่นเต้นลงได้ จงึ จะทาให้สามารถนาเสนองานได้อย่างสมบรู ณ์

จากส่ิงที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคการครองใจคนด้วยคาพูดนั้น
มีประโยชน์มากมายต่อตนเอง และการทาธุรกิจ หากองค์กรใดนาไปปรับใช้ ก็จะทาให้เราสามารถ
ครองใจคนในองค์กรได้และเวลาติดต่อค้าขายกบั ลูกคา้ กจ็ ะประสบความสาเรจ็ ตามไปด้วย

เทคนิคการสรา้ งความประทับใจดว้ ยคาขอบคุณ

การสร้างความประทับใจด้วยคาขอบคุณถือว่าเป็นอีกเทคนิคหน่ึงที่มีความสาคัญใน การ
อยู่ร่วมกันในสังคมและในทางธุรกิจ เพ่ือให้ลูกค้าและบุคคลรอบข้างเกิดความประทับใจ ซ่ึงเทคนิค
การสรา้ งความประทับใจดว้ ยคาขอบคุณ มเี ทคนคิ ดงั ตอ่ ไปนี้

1. ขอบคุณด้วยความจริงใจ พูดไปด้วยความจริงใจ ด้วยความรู้สึกมีชีวิตชีวา อย่าได้เพียงแต่
ปลอ่ ยใหพ้ ้นริมฝปี าก จงตัง้ ใจให้เป็นคาพดู ท่ี

2. พูดให้ชัดถ้อยชัดคาอย่าพึมพา พูดออกมาตรง ๆ อย่าทาเป็นอายคร่ึงหนึ่ง อยากขอบคุณ
ครง่ึ หนึ่ง

3. หากเป็นไปได้ ควรเรียกช่ือบุคคลที่เราต้องการจะขอบคุณ.ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ก็จนใจ
หากพอจะระบุชอื่ ได้ ก็อยา่ ได้พูดแต่เพียงวา่ “ขอบคุณทุกท่าน” ระบุช่อื คนนน้ั คนนไี้ ปเลย

4. มองหนา้ ขณะท่ีพูด จะขอบคุณใครก็ต้องมองหน้าเขาดว้ ย เปน็ การส่ือถึงความจริงใจ
5. ฝึกตนให้รู้จักขอบคุณคนเสมอ มองหาส่ิงท่ีคนอื่นทาให้เราซึ่งพอจะขอบคุณเขาได้
ให้เปน็ ไปโดยจิตสานกึ และอัตโนมัติ ฝกึ จนเป็นนิสัย
6. ใส่ใจในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่ีเขาทาให้เรา คาขอบคุณจะมีอานุภาพย่ิงข้ึนถ้าอีกฝ่ายหน่ึง
ไม่นกึ หรือไม่หวงั ว่าจะไดร้ ับคาขอบคุณจากเรา
จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นน้ันสามารถสรุปได้ว่าการสร้างความประทับใจด้วยคาขอบคุณ
มีวิธกี ารที่สามารถทาได้ง่าย ใครก็ทาได้ เพ่ือให้คนท่ีเราต้องการสานสัมพันธ์ด้วย เช่น คู่ค้าทางธุรกิจ
เพอ่ื นรว่ มงานในองค์กรเกิดความประทบั ใจ

เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 329

เทคนิคการวิจารณ์ในการสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์

การวิจารณ์เป็นส่ิงท่ีผู้ถูกวิจารณ์ไม่อยากรับฟังและผู้วิจารณ์ก็ลาบากใจ แต่การวิจารณ์
จะใหไ้ ดป้ ระโยชนต์ ้องวจิ ารณ์เพ่อื ให้บรรลเุ ปา้ หมายด้วยกันทัง้ สองฝา่ ย อยา่ วจิ ารณ์คนเพียงเพื่อทาให้
ตนเด่น เม่ือจะวิจารณ์ใครควรนึกถึงใจเขาใจเรา ซ่ึงเทคนิคในการวิจารณ์ก็เป็นอีกเทคนิค
ท่ีผู้บรหิ ารธุรกิจจาเป็นตอ้ งฝึกทกั ษะด้านน้เี พอ่ื ไมใ่ ห้เกิดผลเสียกับองค์กรตามมา โดยมีหลักดงั นี้

1. ใหถ้ ือเป็นเร่ืองลบั เฉพาะส่วนตัว ถ้ามีความจาเป็นต้องมีการวิจารณ์บุคคลจะต้องคิด
เสมอวา่ เขายอ่ มไม่อยากใหใ้ ครรูเ้ รือ่ งไม่ดขี องเขา จึงต้องถอื เป็นความลับเฉพาะของผู้วิจารณ์และผู้ถูก
วิจารณ์เทา่ นัน้ โดยการเรียกมาวิจารณ์เป็นการสว่ นตวั ในสถานทแี่ ละเวลาที่เหมาะสม เช่น ในองค์กร
ถ้าจาเป็นจะต้องวิจารณ์ลูกน้องในปกครอง ก็ควรเรียกตักเตือนเป็นส่วนตัว ไม่วิจารณ์ต่อหน้าเพื่อน
รว่ มงานคนอืน่ ๆ เพราะจะทาใหเ้ ขาเกดิ ความอบั อายได้

2. กล่าวนาด้วยคารื่นหู.ก่อนเริ่มการวิจารณ์อาจต้องหาเรื่องพูดคุยท่ัว ๆ ไป ไม่ให้รู้สึกว่า
วันนี้จะถูกวิจารณ์ ทาให้เหมือนเข้ามาพูดคุยเหมือนที่เคยได้พูดคุยกัน แล้วหาทางเข้าเรื่องท่ีต้อง
วิจารณใ์ นลักษณะที่บอกให้เขาทราบและรว่ มกันคิดหาทางแกไ้ ขร่วมกนั

3. อย่าเพ่งตัวคน ให้เจาะผลงาน.บุคคลทางานผิดพลาดในเน้ืองานต้องวิจารณ์ท่ีเน้ืองาน
เพื่อหาหนทางแก้ไขงานที่บกพร่อง ไม่ควรท่ีจะพาลหาเรื่องวิจารณ์ตัวบุคคลไปด้วย ควรแยกแยะ
ระหวา่ งงานและคน

4. บอกทางแก้ไขไว้ด้วย.เมื่อได้ทาการวิจารณ์ให้ทราบแล้ว เพื่อแสดงความจริงใจท่ีได้
บอกขอ้ บกพร่อง ควรทจ่ี ะเสนอแนวทางที่จะแก้ไขใหเ้ ร่อื งทผี่ ดิ พลาดมีทางออกท่ดี ีได้

5. ขอความร่วมมือ.ไม่ควรบีบบังคับเพราะเม่ือเกิดข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ควรท่ีจะร่วมกัน
แก้ไขปัญหาโดยการช้ีแจงผลดีผลเสียท่ีจะเกิดข้ึนกับตัวเขาและกับองค์กร โดยการขอความร่วมมือ
ในการแก้ไขปัญหา อย่าใช้วิธีข่มขู่โดยเอาหน้าที่การงานมาเป็นข้อต่อรอง เพราะเขาจะทาไปด้วย
ความไมพ่ อใจ

6. ทาผิดคร้ังเดียว ว่าครั้งเดียวก็พอ.เมื่อบอกข้อผิดพลาดและหาทางออกของปัญหาที่เกิด
ได้แล้ว ควรเร่ิมต้นปฏิบัติในสิ่งท่ีได้คิดแก้ไขจนสาเร็จ และไม่พูดถึงเรื่องที่ผิดพลาดในอดีตอีก
เพราะเป็นการตอกยา้ ในความผิดพลาดและผทู้ ผี่ ดิ พลาดก็ย่อมไม่อยากจะไดย้ ิน เพราะคนเรามีโอกาส
ทาผดิ พลาดกนั ได้เสมอ

7. จบคาวิจารณ์อย่างเป็นมิตร.ทุกคร้ังท่ีวิจารณ์ต้องแสดงเจตนาโดยชัดเจนตั้งแต่เริ่ม
สนทนาถึงความเป็นมิตรในการวิจารณ์ เพื่อให้เขาได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ร่วมกันหาทางแก้ไข
ด้วยกัน และเมอ่ื จบการวิจารณ์ยืนยนั อกี ครง้ั ว่าจะช่วยเหลือเขาจนกวา่ จะแก้ไขปญั หาได้ เพื่อแสดงถึง
ความหว่ งใย ความหวงั ดีทีเ่ รามีต่อเขา และไม่ตอ้ งการท่ีจะตอกยา้ เขา

8. สอบหาความจาเป็นทจี่ ะต้องตาหนิ.ถ้าเร่ืองที่ต้องการตาหนินั้นเป็นเรื่องท่ีมีความสาคัญ
ท่ตี ้องได้รับการแก้ไข กจ็ าเป็นต้องตาหนโิ ดยการบอกขอ้ ผดิ พลาดและเสนอแนะวธิ ีแก้ไขใหด้ ้วย

330 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

9. ช่ังน้าหนักผลที่จะเกิดก่อนจะเปิดปากพูด.เม่ือพิจารณาได้ว่าเร่ืองที่ต้องตาหนิ
มีความสาคัญและจาเป็น ก่อนที่จะพูดทุกคร้ังต้องคิดก่อนพูดว่าจะพูดว่าอย่างไร และลองคิดต่อว่าถ้าพูด
ออกไปแล้ว จะมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน ถ้ามีผลดีก็พูดออกไปด้วยความจริงใจท่ีช่วยกันแก้ไข
แตถ่ ้าพูดแล้วไม่เกิดผลดกี ็เงียบจะดีกวา่ แต่ถา้ เรอ่ื งทจี่ ะตาหนิไม่สาคญั ก็ไมพ่ ูดจะดีกวา่

10. เลือกสถานท่ีและเวลาที่เหมาะสม.ถ้าเล่ยี งได้การตาหนิเป็นส่ิงท่ีทุกคนไม่ปรารถนา
แต่ถ้าจะต้องถูกตาหนิก็คงไม่อยากให้ใครเห็น ควรจะตาหนิในที่ที่เป็นส่วนตัวและควรตาหนิบุคคล
ในเวลาท่เี ขามคี วามพร้อมด้วย

11. ในการตาหนิต้องมีหลักฐาน.การตาหนิทุกคร้ังควรท่ีจะมีการบอกกล่าวโดยชัดเจน
และเม่ือมีการตาหนิเกิดขึ้นต้องมีการจดบันทึกในข้อที่ถูกตาหนิและให้เกิดการยอมรับและเสนอ
แนวทางในการแก้ไขและวันเวลาที่จะดาเนินการ ตลอดจนการติดตามผลของการไปดาเนินแก้ไข
เพ่ือเป็นหลกั ฐานวา่ ได้ดาเนินการแลว้

12. ตาหนิแตเ่ พียงเรื่องท่แี กไ้ ขไดเ้ ท่านั้น.เพราะบางเรอ่ื งเป็นเร่ืองท่ีเหนือวิสัยท่ีแก้ไขได้
เช่น ผลผลิตตกต่าเกดิ จากเคร่อื งจกั รชารดุ เป็นต้น

จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถสรุปได้ว่าเทคนิคการวิจารณ์ให้เกิดประโยชน์นั้น
มีความสาคัญมากต่อการทางานในองค์กรทั่วไปและองค์กรธุรกิจ เพราะหากนาไปใช้ผิดท่ีผิดเวลา
หรือไม่พจิ ารณาให้ถ่ถี ว้ น กย็ ่อมทีจ่ ะเกดิ ผลเสียตอ่ หน่วยงาน มากกว่าผลดกี ็เป็นได้

สรปุ ท้ายบท

การท่ีจะเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจท่ีดีน้ัน จึงเป็นเร่ืองท่ีอาศัยเทคนิคในการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ โดยเทคนิคดังกล่าวได้แก่ เทคนิคการสร้างความรู้สึกที่ดีเพ่ือการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ทางธุรกิจ เทคนิคนี้ต้องเร่ิมจากตัวเอาก่อนโดยต้องหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือการคิดเชิงบวก
เมื่อเร่ิมทางานต้องทางานด้วยใจที่เบิกบานทางานอย่างจริงจัง ทาเต็มท่ี รู้จักควบคุมตนเองให้ได้
และมีสติปัญญาอยู่เสมอ เทคนิคการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจโดยการปรับที่ตนเอง โดยการ
เสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดูดี มีจิตใจท่ีเข้มแข็ง ยิ้มแย้มแจ่มใส มีคุณธรรมประจาใจ รู้จักรับผิดชอบ
รู้จักระงับความโกรธและความโมโห ไม่เป็นคนหลงตัวเอง เคารพนับถือผู้อื่น เป็นต้น เทคนิคการ
ครองใจคน เพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ ต้องศึกษาคนท่ีทางานด้วย เข้าใจและยอมรับสภาพ
ที่เขาเป็นอยู่ อ่อนน้อมถ่อมตน มีศิลปะในการพูด ยกย่องและชื่นชม มีอารมณ์ขัน เป็นต้น เทคนิค
การสรรหาเพ่ือน ต้องให้เกียรติ เอาใจใส่แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ร่วมเป็นร่วมตาย ปรับความเข้าใจกัน
เทคนิคการสนทนาเพ่ือสร้างความรู้สึกที่ดี ต้องมองหน้าผู้พูด สนใจในสิ่งท่ีอีกผ่ายพูด อย่าขัดคอ
ให้คาพดู เป็นแนวแสดงความคิดเห็น

เทคนคิ การสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 331

การทางานให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายขององค์กรน้ันต้องอาศัยเทคนิค 12
ประการ เพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการทางาน ดังน้ี มองคนในแง่ดี วางตัวให้ดีมีจิตใจยุติธรรม
ซ่ือสัตย์ สุจริต หม่ันยกย่องชมเชยอย่างสุจริตใจ ใช้วิธีเสนอแนะแทนการตาหนิอย่างรุนแรง ยิ้มแย้ม
แจ่มใสเป็นกันเองกับทุกคน พยายามควบคุมอารมณ์ อย่าเอาแต่ใจ ทาหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
ตัดนสิ ัยกงั วลให้หมดไป ยกย่องใหเ้ กียรตผิ ู้อืน่ อย่างจริงใจ และพยายามพดู ใหน้ อ้ ยและฟังให้มาก

การสร้างมนุษยสัมพันธ์เป็นเสมือนสายใยยึดเหน่ียวให้มนุษย์ทุกคนในสังคมเกิดความรัก
ความปรารถนาดีต่อกันนามาซ่ึงความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคมและในองค์กร ในการสร้าง
มนษุ ยสมั พนั ธน์ นั้ เปน็ ศลิ ปะที่มนษุ ยต์ ้องมีความรู้รอบตัวในหลาย ๆ ด้าน ท้ังด้านจิตวิทยา วัฒนธรรม
และมารยาททางสังคมแล้ว แต่ถ้ามนุษย์เข้าใจแต่หลักการโดยไม่ลงมือปฏิบัติ จะไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์อันใด ฉะนั้นเพื่อให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีและเป็นประโยชน์ในการอยู่ร่วมกันในองค์กร
และในสังคม ควรปรับปรุงและฝึกฝนตนเองในการสร้างเสริมมนุษยสมั พนั ธก์ ับผอู้ น่ื อยเู่ สมอ

เมอ่ื ท่านได้ศึกษาหลักการและเทคนิคในการสร้างเสริมมนุษยสัมพันธ์แล้ว ท่านควรนาไป
ปฏบิ ตั ิในชวี ิตประจาวันของท่าน จะเป็นการช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของท่านให้มีมนุษยสัมพันธ์ ที่ดีได้
ในขณะเดียวกันท่านจะเป็นท่ีรักใคร่ของบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น เพ่ือนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา
และสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและการทาธุรกิจก็จะทาให้ธุรกิจมีความ
เจริญก้าวหนา้ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว

332 มนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ

กรณีศึกษา บทท่ี 8
นายแสนดี

นายแสนดีทางานกับบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้ังแต่เร่ิมบุกเบิกกิจการจนถึงปัจจุบัน
ประมาณ 20.ปี ทาให้นายแสนดีมีความรักและความผูกพันกับองค์กรนี้เป็นอย่างมาก เขาทุ่มเท
ท้ังแรงกายและแรงใจในการทางานให้กับบริษัทอย่างสุดความสามารถ บางครั้งเขาก็ทางานมากเกิน
หน้าท่ีของเขา เพราะด้วยมีใจรักในการทางาน ไม่ว่างานอะไรก็ตาม เขามักคิดว่ามันเป็นงานของเขา
และมีใจมุ่งพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้า นายแสนดีมักจะไม่ปฏิเสธท่ีจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน
ในการทางาน แม้ว่างานที่ตนเองรับผิดชอบก็หนักเอาการอยู่ แต่เขาก็ไม่เคยปริปากออกมาและยินดี
ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานทาเสมอ รวมถึงถ้าผู้บังคับบัญชาขอร้อง ทาให้ท้ังผู้บังคับบัญชาและเพ่ือน
ร่วมงานรู้สึกดีกับเขาในความมีน้าใจของเขา จนทาให้คนเหล่าน้ันทาจนเคยชินเป็นนิสัยและมักเอา
งานมาให้นายแสนดีทาอยู่เป็นประจา โดยไม่เคยคิดหรือเกรงใจนายแสนดีแต่อย่างใด ทุกคนอาศัย
ในความเป็นคนดีของนายแสนดีท่ีจะเอาเปรียบนายแสนดีโดยการนางานต่าง ๆ มาให้นายแสนดี
ทาแบบไม่ได้มองวา่ นายแสนดีเปน็ เพือ่ นรว่ มงานซง่ึ เขากท็ าดีกบั ทุก ๆ คน

จากการถูกเอาเปรียบบ่อย ๆ ครั้ง ทาให้นายแสนดีเกิดความเหน่ือยในงานและยังถูก
เพ่ือนร่วมงานเอาเปรียบ ใช้งานเขาต่าง ๆ นานา ทาให้นายแสนดีหมดความอดทน และประกาศกับ
ทุกคนว่าการเป็นคนดีแล้วถูกทาร้าย ถูกเอาเปรียบ เขาจะขอเป็นคนไม่ดีหรือเป็นคนร้ายจะดีกว่า
เพราะจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ ต้ังแต่นั้นมา นายแสนดีก็ทางานเฉพาะหน้าที่ ไม่ช่วยเหลืองานใคร ๆ
ทง้ั สิน้

คาถาม
1. ทา่ นคดิ ว่านายแสนดมี ีเทคนคิ ในการสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์กบั เพือ่ น ๆ ในองคก์ รอย่างไร
2. ถ้าท่านเป็นบุคคลกลุ่มที่เอาเปรียบนายแสนดี ท่านคิดว่าท่านจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
อยา่ งไร
3. ถ้าท่านเป็นหัวหน้าองค์กรน้ี ท่านจะทาให้นายแสนดีกับมารักองค์กรเหมือนเดิม
ไดอ้ ย่างไร

เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 333

กจิ กรรม บทที่ 8
เรารกั กัน

วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ใหเ้ กิดความสนกุ สนาน
2. เพื่อฝึกการวางแผนรว่ มกนั ในกล่มุ
3. เพอื่ ฝึกการร่วมแรงรว่ มใจกนั

จานวนผ้เู ล่น 4. เพ่อื ฝึกการชว่ ยเหลือเกื้อกูลกัน
5. เพือ่ ฝึกความสามัคคีกนั
20-30 คน โดยแบ่งเปน็ กล่มุ ละ 5 คน จานวน 6 กลมุ่

อุปกรณ์ เกา้ อเี้ ท่าจานวนสมาชิกในกลุ่ม

สถานท่ี ห้องเรียน

เวลา 20 - 30 นาที

วิธีเล่น 1. ผนู้ ากจิ กรรมบอกให้ทุกคนยืนขึ้นเป็นวงกลม แล้วนบั 1-5 ใครนับเลขอะไรกใ็ ห้

รวมเป็นกล่มุ เดียวกนั

2. ผู้นากิจกรรมช้ีแจงว่า ให้สมาชิกนาเก้าอี้มานั่งเป็นวงกลม โดยหันหลังชนกัน

เปน็ วงกลม

3. ในรอบแรกใหท้ ุกกลุ่มนง่ั ทุกคน

4. ในรอบท่ี 2 ผู้นาช้ีแจง ให้นาเก้าอ้ีออก 1.ตัว แล้วให้สมาชิกทุกคนนั่งอยู่บน

เก้าอท้ี ่ีเหลือ กล่มุ ไหนมีสมาชกิ หลน่ จากเก้าอี้ กลมุ่ นั้นจะเปน็ ผู้แพ้

5. ในรอบท่ี 3.ให้นาเก้าอ้ีออก 2 ตัว แล้วให้สมาชิกทุกคนนั่งบนเก้าอี้ท่ีเหลือ

ทาแบบนีไ้ ปเรือ่ ย ๆ

6. นาเก้าอ้ีออกจนเหลือเก้าอ้ี 1 ตัว แล้วให้สมาชิกทุกคนนั่งบนเก้าอี้ท่ีเหลือ

และจับเวลาว่ากลมุ่ ไหนอย่บู นเกา้ อไี้ ดน้ านทสี่ ุด

7. ผู้นากิจกรรมถามผูร้ ่วมกจิ กรรมได้อะไรจากการเล่นกิจกรรม

8. ผนู้ ากิจกรรมสรปุ วัตถปุ ระสงค์ของกจิ กรรม

334 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

กิจกรรม บทท่ี 8

เกมรว่ มแรงร่วมใจ

วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อใหเ้ กิดการทางานเปน็ ทีม

2. เพอ่ื ให้เกดิ แนวคดิ ในการวางแผนใหง้ านสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์

3. เพื่อให้เกิดความสนุกสนานในการเลน่ เกม

4. เพอ่ื ให้เกิดความรกั ความสามัคคี

5. เพ่อื ฝกึ ทักษะการเปน็ ผ้นู า

จานวนผู้เลน่ เกม 20 – 30

อปุ กรณ์ กระดาษหนังสือพิมพ์

สถานท่ี หอ้ งเรียน

เวลา 20 – 30 นาที

วธิ เี ลน่ เกม 1. ผู้นากิจกรรมแบ่งทีมออกเป็นทีมละ 4 - 5 ทีม กลุ่มล่ะประมาณ 5 – 6 คน

พรอ้ มทงั้ นง่ั เปน็ แถวตอนยาว แถวละ่ 1 ทมี

2. ผนู้ ากิจกรรมแจกกระดาษหนังสือพมิ พ์ให้ ทมี ละ่ 1 แผ่น

3. ผูน้ ากิจกรรมอธบิ ายข้ันตอนวิธีเล่นเกมใหก้ ับผ้ทู ากจิ กรรมทราบถงึ วิธเี ล่น

4. ให้ผู้ทากิจกรรมในแต่ละทีมให้วางกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้บนพ้ืน โดยให้

สมาชิกในทีมเหยียบกระดาษหนังสือพิมพ์ให้ครบทุกคน และไม่ให้ออกนอกกระดาษหนังสือพิมพ์

ทวี่ างไว้

5. ช่วงที่เหยียบกระดาษหนังสือพิมพ์ให้ผู้เล่นอยู่บนกระดาษหนังสือพิมพ์

อยา่ งนอ้ ย 5 – 10 วนิ าที โดยทีมใดออกนอกกระดาษหนังสือพมิ พก์ ่อนถือว่าแพ้

6. โดยจะพับครงึ่ กระดาษหนังสอื พมิ พ์ต่อไป จนกวา่ จะได้ทีมทช่ี นะ

7. ผนู้ ากิจกรรมให้สัญญาณเริ่มเกม ทีมไหนอยู่บนกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นทีม

สดุ ท้ายอยา่ งมาก 2 ทมี เปน็ ฝา่ ยชนะ

8. ผนู้ ากิจกรรมถามผ้รู ่วมกิจกรรมได้อะไรจากการเล่นกิจกรรม

9. ผ้นู ากจิ กรรมสรุปวัตถุประสงคข์ องกจิ กรรม

เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 335

แบบฝึกหดั บทท่ี 8

คาช้ีแจง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพิจารณาว่าข้อความน้ันถูกหรือผิด ถ้าถูกให้ทา
เคร่อื งหมาย √ ถา้ ผดิ ให้ทาเครือ่ งหมาย X ลงหน้าข้อความในแต่ละขอ้
1. ผทู้ ี่ไดพ้ ัฒนาจติ ใจของตนเองให้ม่ันคงอยู่ในเทคนิคการสร้างมนุษย์สัมพันธ์โดยการปรับ

ท่ีตนเอง
2. การมใี บหน้าท่ีย้ิมแย้มแจม่ ใสเป็นการเสรมิ สรา้ งบคุ ลิกภาพใหด้ ูดี
3. ผู้ที่มีคุณธรรมประจาใจ เป็นผู้ท่ีรู้จักใช้สติปัญญาไตร่ตรองทุกส่ิง และแยกแยะว่าส่ิงใด

เป็นคุณและเป็นโทษ
4. บุคคลท่ีชอบหลงตัวเอง มักจะเป็นผู้ท่ีประเมินค่าในตัวเองสูงกว่าบุคคลอ่ืนเสมอ

และมักจะมองผูอ้ นื่ สูงกว่าตนเอง
5. บุคคลท่มี กี ลน่ิ ตัว กลน่ิ ปาก ทัง้ ท่เี ปน็ กลิน่ ประจาหรอื กลนิ่ แปลกปลอม สิ่งเหล่านี้ไม่เป็น

อปุ สรรคทาใหบ้ รรยากาศและมติ รภาพแย่ลง
6. การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าท่ีเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน เหมาะสมกับเพศและวัย จะทาให้

ดูโดดเดน่ ได้ มีคนช่นื ชม อยากคบหาดว้ ยในสงั คม ถึงแม้วา่ จะไม่ได้แตง่ กายดว้ ยของที่มีย่ีห้อหรือราคา
แพงกต็ าม

7. การพูดในส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ โดยการโกหกแล้วทาให้สถานการณ์ดีข้ึน เป็นการกระทา
ทผี่ ิด

8. การพูดเรื่องสนุกต้องดูเวลาและสถานท่ีให้เหมาะสมด้วย เพราะถ้าผิดเวลาผิดสถานท่ี
อาจทาใหบ้ รรยากาศแย่ลงก็ได้

9. ผู้ที่มีลักษณะใจแคบ หัวแข็ง ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใคร ยึดถือตัวเองเป็นใหญ่
ลักษณะของคนประเภทนจี้ ะทาใหผ้ ู้ใกล้ชดิ หรอื ผพู้ บเห็นเอือมระอา ไม่อยากอยู่ใกล้

10. ทกุ ครั้งที่เกิดปัญหา ไม่ควรพดู คยุ กันเลย เพราะจะทาใหป้ ัญหายิง่ ลกุ ลามไปกนั ใหญ่
11. หลักการสนทนา เพ่ือสร้างความรสู้ กึ ทด่ี ี คือสนใจในสงิ่ ท่อี ีกฝา่ ยหนึง่ พดู
12. การยกย่องชมเชยจะทาให้คนผู้นั้นรู้สึกว่าเป็นคนมีคุณค่า โดยเฉพาะการยกย่อง
ชมเชยที่มาจากความจริงใจไมเ่ สแสรง้
13. เมื่อใดก็ตามที่เราพบเห็นหรือได้รู้จักคนท่ีด้อยกว่า เราควรหลีกเล่ียงท่ีจะคบหรือคุย
กบั เขา เพราะจะทาให้คนอนื่ มองเราตา่ ต้อยไปด้วย
14. ไม่ควรกลา่ วคาขอบคุณกบั ผ้มู ีอายนุ ้อยกวา่ เพราะผิดมารยาททางสังคม
15. การวิจารณผ์ ใู้ ตบ้ ังคับบญั ชา ควรวจิ ารณ์ในทีส่ าธารณะ เพ่ือใหผ้ ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาคนอื่น
ไดร้ บั ทราบขอ้ วิจารณ์ของเพ่ือน จะไดไ้ ม่ต้องกระทาผดิ ซา้ อกี
16. การมดี ีอยูก่ บั ตนเองนั้น จาเป็นตอ้ งบอกให้ผู้อน่ื รู้ เพ่ือใหเ้ ขายอมรบั ตนเอง

336 มนุษยสมั พันธท์ างธรุ กิจ

17. ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น จงคิดว่าคนทุกคนมีสิทธ์ิผิดพลาดได้ จงให้กาลังใจเพ่ือน
ร่วมงาน ชีข้ อ้ ผิดพลาดและร่วมกันช่วยเพอ่ื นรว่ มงานแกป้ ญั หาท่ีเกดิ

18. การฟัง คิด แล้วค่อยพูด คาพูดท่ีออกมาจะได้รับการกล่ันกรองเป็นอย่างดีทาให้
ทาอะไรไม่ผดิ พลาด แตก่ ารพูดแล้วค่อยมาคดิ ทหี ลงั นัน้ จะเกิดข้อเสียหายมากมายตามมา

19. การถูกลูกค้าด่าโดยไร้เหตุผล ควรส่ังสอนลูกค้าให้รู้สึกตัวเพราะทุกคนก็คือมนุษย์
มีความเท่าเทียมกัน “เธออย่ามาด่าฉนั แบบไร้เหตผุ ลแบบนี้นะ”

20. การทาลายมติ รภาพทีน่ า่ กลวั ที่สุดท่เี ราควรหลีกเลย่ี งให้ไกล

คาชี้แจง จงตอบคาถามต่อไปน้ี
1. เทคนิคการสร้างมนุษยสัมพันธ์โดยการปรับท่ีตนเอง มีเทคนิคอย่างไรให้บอกมา

เป็นข้อ ๆ
2. เทคนิคการสร้างความประทบั ใจเมอ่ื แรกพบ มเี ทคนิคอย่างไรใหบ้ อกมาเปน็ ขอ้ ๆ
3. เทคนิควิธชี นะใจคน มเี ทคนคิ อยา่ งไรให้บอกมาเปน็ ข้อ ๆ
4. เทคนิคการหาเพ่ือน มีเทคนิคอยา่ งไรให้บอกมาเปน็ ข้อ ๆ
5. เทคนิค เพื่อสรา้ งความรูส้ กึ ทด่ี ี มีเทคนคิ อย่างไรให้บอกมาเปน็ ขอ้ ๆ
6. เทคนิคการสนทนา เพือ่ สร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ มีเทคนิคอย่างไรให้บอกมาเป็นข้อ ๆ
7. เทคนิคการครองใจคนด้วยคาพดู มเี ทคนิคอยา่ งไรใหบ้ อกมาเปน็ ขอ้ ๆ
8. เทคนคิ การวิจารณใ์ หเ้ กิดประโยชน์ มเี ทคนคิ อย่างไรใหบ้ อกมาเป็นข้อ ๆ
9. เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสมั พันธใ์ นการบริหารงาน มีเทคนิคอย่างไรใหบ้ อกมาเปน็ ข้อ ๆ
10. ท่านคิดว่าเทคนิคการสร้างมนุษยสัมพันธ์มีความสาคัญและมีประโยชน์ต่อการ

ประกอบธุรกจิ อย่างไร จงอธบิ าย

บทท่ี 9

จรรยาบรรณทางธรุ กจิ

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดุลยเดช
พระบรมราโชวาท ในพธิ พี ระราชทานปริญญาบตั ร
ของมหาวทิ ยาลยั มหดิ ล วันที่ 4 กรกฎาคม 2540

“...การงานทุกอย่างทุกอาชีพ ย่อมจะมีจรรยาบรรณของตนเอง.จรรยาบรรณน้ัน
จะบญั ญัตเิ ปน็ ลายลักษณ์อกั ษรหรอื ไม่ก็ตาม แตเ่ ปน็ สง่ิ ท่ียดึ ถือกันว่าเป็นความดีงามที่คนในอาชีพน้ัน
พงึ ประพฤตปิ ฏบิ ัติ หากผใู้ ดลว่ งละเมดิ กอ็ าจกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกบ่ ุคคลหมู่คณะและส่วนรวมได้
เหตุนี้การปฏิบัติงานในทุกสาขาอาชีพนอกจากจะต้องมีความรู้ในสาขาข องตนอย่างลึกซ้ึงจัดเจน
และศึกษาให้ก้าวหน้าอยู่เสมอแล้ว ยังจะต้องยึดม่ันในจรรยาบรรณในวิชาชีพของตน.ทั้งข้อที่ควร
ปฏิบัติและไม่พึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย จึงจะสามารถประพฤติตนปฏิบัติงาน ให้ประสบ
ความสาเร็จได้รับความเช่ือถือ ยกย่องในเกียรติ ในศักด์ิศรีและในความสามารถด้วยประการ
ทั้งปวง...”

338 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

หวั ใจเมือง

เมืองใดไม่มีทหารหาญ เมอื งนัน้ ไมน่ านเปน็ ข้า

เมืองใดไรจ้ อมพารา เมอื งน้นั ไม่ช้าอับจน

เมอื งใดไม่มีพาณิชเลศิ เมอื งนนั้ ย่อมเกดิ ขัดสน
เมอื งใดไร้ศลิ ปโ์ สภณ เมืองนั้นไม่พ้นเส่อื มทราม
เมืองนน้ั ไมแ่ คล้วคนหยาม
เมืองใดไมม่ ีกวแี กว้

เมอื งใดไร้นารงี าม เมอื งนน้ั ส้นิ ความภมู ิใจ

เมอื งใดไมม่ ดี นตรเี ลิศ เมอื งน้ันไม่เพรศิ พสิ มัย

เมืองใดไร้ธรรมอาไพ เมอื งนน้ั บรรลยั แน่เอย

ถนอม อคั รเศรณี

จากบทกลอนดังกล่าว.ได้กล่าวถึงความสาคัญท่ีทาให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองก้าวทัน

อารยะประเทศ ถ้าขาดส่ิงใดส่ิงหน่ึงย่อมทาให้แต่ละเมืองมีความบกพร่องแตกต่างกันไป โดยเฉพาะ
ในบาทสุดท้ายได้กล่าวถึง “ธรรม”.ท่ีจะนามาใช้ในบ้านเมืองให้เกิดความสุข แต่ถ้าขาดธรรมะแล้ว
ยอ่ มทาให้บา้ นเมืองน้ันอยู่กันอยา่ งไม่มคี วามสุข ดงั น้ัน ในบา้ นเมืองที่ดีควรต้องมีธรรมะในการดาเนิน

ชีวิตทุกคน เพ่ือให้ทุกคนนาหลักธรรมมาเป็นต้นแบบในการปฏิบัติต่อผู้อ่ืน เม่ือทุกคนในบ้านเมือง

มธี รรมะก็จะทาใหบ้ ้านเมืองนัน้ อย่กู ันอย่างสงบสขุ
ในปัจจุบันมีการเปลีย่ นแปลงมากมายเกดิ ขนึ้ อย่างรวดเร็ว ทาให้ความเจริญทางด้านวัตถุ

เข้ามาแทนที่ธรรมชาติ ซ่ึงเราทุกคนต้องพ่ึงพาอาศัยกันมาโดยตลอด ความเจริญทางด้านวัตถุมีมากขึ้น

เท่าไร ก็จะทาใหค้ วามเจริญทางดา้ นจิตใจของมนุษย์ลดลงตามไปด้วย จนส่งผลกระทบให้มนุษย์ขาด

คุณธรรมจริยธรรมท่ีควรปฏิบัติต่อกัน ทาให้ปัญหาการขาดคุณธรรมจริยธรรมได้ถูกนามาพูดกันอยู่
บ่อยคร้ัง.จิตใจท่ีต่าลงกับวัตถุท่ีเพิ่มข้ึนอาจเนื่องมาจากสาเหตุของการด้ินรนเพ่ือความอยู่รอด
ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่พวกพ้อง การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นล้วนเป็นสาเหตุท่ีสาคัญของปัญหา
ทางด้านคณุ ธรรมจริยธรรม จริยธรรม คืออะไร ทาไมคนเราต้องมีจริยธรรม การมีจริยธรรมจะทาให้

สังคมดีได้อย่างไร ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรให้ความสาคัญเพื่อที่จะทาความเข้าใจและ

หาคาตอบเพอ่ื ทจี่ ะไดน้ ามาเป็นแนวทางในการดารงชวี ิตในสังคมให้สงบสุข
การดาเนินธุรกิจจาเป็นต้องปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณ และสอดคล้องกับ กฎหมาย

เป็นความรับผดิ ชอบขององค์กรที่ต้องรับทราบและปฏบิ ัตติ าม ดว้ ยความซ่ือสัตย์สุจริต โปร่งใส โดยมี

หลักการกากับดูแลกิจการ และจริยธรรมทางสังคมท่ีดี เพื่อความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ

โดยคานึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เคารพต่อสิทธิของผู้อ่ืนอย่างเสมอภาค.ให้ความสาคัญ
ตอ่ ข้อเสนอแนะตา่ งๆ ของผู้อื่น และดาเนินธุรกิจด้วยความซ่ือสัตย์ โปร่งใส ใช้ความรู้ ความสามารถ
และทกั ษะการบริหารจัดการอย่างเต็มความสามารถเพ่ือให้ธุรกิจเจริญเติบโต ก่อให้เกิดผลตอบแทน

ที่เหมาะสม ส่ิงเหล่าน้ลี ้วนแตท่ าใหธ้ ุรกิจสามารถดารงอยไู่ ดอ้ ยา่ งเขม้ แข็งและมัน่ คง

จรรยาบรรณทางธุรกิจ 339

ในปัจจุบันท้ังสังคมและองค์กรธุรกิจได้มีการเปล่ียนแปลงไป ผู้บริโภคและสังคม
มีความคาดหวังว่าองค์กรธุรกิจจะต้องดาเนินงาน โดยยึดถือจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
ไม่ใช่เพ่ือหวังกาไรเพียงอย่างเดียว ซ่ึงในปัจจุบันคู่แข่งขันทางธุรกิจมีมากมาย จึงทาให้ผู้บริโภค
มีทางเลือกมากข้ึน องค์กรธุรกิจจึงต้องหันมาสนใจและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมให้มากข้ึน
ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้มีการบัญญัติข้อปฏิบัติที่ควรปฏิบัติให้กับวิชาชีพต่าง ๆ เพ่ือเป็นสัญลักษณ์เตือน
ผู้ประกอบวิชาชีพ ในการประกอบวิชาชีพด้วยความซ่ือสัตย์สุจริตและท่ีสาคัญควรมีจริยธรรม
ในวิชาชีพของตน ท้งั ตอ่ ตนเองและผอู้ นื่ จงึ ทาให้เกิดมี “จรรยาบรรณ” ในวิชาชีพตา่ ง ๆ อยใู่ นสังคม

ความหมายของจริยธรรมและจรรยาบรรณทางธรุ กจิ

จริยธรรมและจรรยาบรรณ มีความสาคัญในการประกอบอาชีพแต่ละอาชีพเป็นอย่างมาก
ในการทจี่ ะประพฤติปฏบิ ตั ิให้ถูกต้องดีงาม ไดม้ ีนกั วชิ าการได้ใหค้ วามหมายไว้ดังน้ี

จรยิ ธรรม
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546:291) ได้ให้ความหมายว่า จริยธรรม
หมายถงึ ธรรมที่เปน็ ข้อปฏิบตั ิ ศีลธรรม กฎศีลธรรม
เนตร์พัณณา ยาวิราช (2551:1) ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ จริยธรรม คือ กฎเกณฑ์ความ
ประพฤติของมนุษย์ มีมโนธรรมและรู้จักไตร่ตรองแยกแยะความดี ความช่ัว ถูก ผิด ควร ไม่ควร
เปน็ การควบคมุ ตัวเอง และเปน็ การควบคมุ กนั เองในกลุม่ หรือเป็นศลี ธรรมเฉพาะกลุม่
ในขณะท่ี จนิ ตนา บุญบงการ (2553:27) ได้ให้นิยามเกี่ยวกับ จริยธรรม คือ ข้อประพฤติ
ปฏบิ ัตหิ รือหลกั ควมประพฤติปฏบิ ัตทิ ดี่ ีงามท่ีเหมาะสม ที่มคี ุณธรรมและถูกตอ้ งตามศลี ธรรม
นอกจากนี้ อนิวัช แก้วจานง (2550:244) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ จริยธรรม เป็นหลักหรือ
วิธีการท่ีมีส่วนของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องโดยสังคมให้การยอมรับและนาไปประพฤติปฏิบัติ
เพือ่ ความสุขนน่ั คอื กระทาความดี ละเว้นความชวั่
จากความหมายข้างต้นพอสรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึง “พฤติกรรม ความคิดที่เหมาะสม
ดีงามที่ควรปฏิบัติให้สอดคล้องกับโอกาส เวลา สถานการณ์ กับบุคคลในสังคมเพื่อประโยชน์และ
การอยู่ร่วมกนั อยา่ งสงบสขุ ”
จรรยาบรรณ
เมื่อได้ทราบความหมายของจริยธรรมกันไปแล้ว ส่วนความหมายของจรรยาบรรณนั้น
ได้มผี ู้ให้ความหมายของคาวา่ จรรยาบรรณไว้หลายทา่ น ดังน้ี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546:289) ได้ให้ความหมาย จรรยาบรรณ
หมายถึง ประมวลความประพฤติท่ีผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกาหนดขึ้นเพ่ือรักษาและ
ส่งเสรมิ เกียรตคิ ณุ ชื่อเสยี งและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื ไม่กไ็ ด้

340 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

จากความหมายขา้ งต้นพอสรปุ ได้วา่ จรรยาบรรณ หมายถงึ พฤติกรรมทีด่ ีงามที่เกิดจาก
จิตสานึกท่ีดีในการประกอบวิชาชีพด้วยความยินดีและเต็มใจ โดยจะกาหนดเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือไมก่ ไ็ ด้

จรรยาบรรณทางธรุ กจิ
จากความหมายของจริยธรรมและจรรยาบรรณท่ีผู้รู้ได้กล่าวไว้ เมื่อนามารวมกับคาว่า
ธุรกจิ แลว้ จึงมีผู้ใหค้ วามหมายของจริยธรรมทางธุรกจิ หรอื จรรยาบรรณทางธรุ กจิ ไวด้ งั น้ี
อนิวชั แกว้ จานง (2550:248) ไดใ้ ห้แนวคิดเกยี่ วกบั จริยธรรมทางธุรกิจเป็นเรื่องเก่ียวกับ
เกณฑ์หรือมาตรฐานในการดาเนินธุรกิจที่ถูกกาหนดข้ึนเพ่ือพิจารณาหรือวินิจฉัยการกระทาอย่างใด
อย่างหนง่ึ ของธรุ กจิ ว่าเป็นการกระทาท่ถี กู ผิด ดี หรือไม่ดี หรอื ไมอ่ ยา่ งไร
นอกจากนี้ Fernando,.A.C..(2009:5).กล่าวว่า จริยธรรมทางธุรกิจ หมายถึง การนา
แนวคิดด้านจริยธรรมมาใช้กับการดาเนินธุรกิจ พฤติกรรมของธุรกิจท่ีจริยธรรมจะถูกคาดหวัง
โดยสาธารณะ โดยครอบคลมุ ทกุ หนา้ ท่ขี องกจิ กรรมการดาเนนิ งานของธุรกจิ
จากความหมายข้างต้นพอสรุปได้ว่า จรรยาบรรณทางธุรกิจ หมายถึง การผสมผสาน
ระหว่างเศรษฐกิจและจริยธรรมโดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมนโยบายและการปฏิบัติของภาคธุรกิจ
เพ่ือผลตอบแทนตามคุณค่าของการลงทุน อย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายทั้งเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร
ผู้ร่วมงาน ผบู้ รโิ ภค ผรู้ บั บรกิ าร รฐั บาล สงั คม ซ่งึ มีความสาพนั ธเ์ ชงิ เศรษฐกิจร่วมกัน

ความสาคญั ของจรรยาบรรณ

ปัจจุบันสังคมได้เปล่ียนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทาให้เกิดกระแสความรุนแรง
ของความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสังคมธุรกิจที่ต้องการความอยู่รอด ความร่ารวย
ความเจริญมั่งคั่ง จึงมีส่วนทาให้เกิดความเห็นแก่ตัวอันนามาสู่การเอารัดเอาเปรียบ การทาผิดกฎหมาย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทาลายสังคมธุรกิจ และสังคมโดยรวมด้วย ดังนั้นการประกอบวิชาชีพต่างๆ น้ัน
ผู้ประกอบการจึงจาเป็นจะต้องตระหนักถึงความสาคัญของจรรณยาบรรณในวิชาชีพของตน เพื่อเป็น
แนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องชอบธรรมอันจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและประเทศชาติ โดยผู้เขียนได้สรุป
ความสาคญั จรรยาบรรณไว้ดงั นี้

1. จรรยาบรรณ.ทาหน้าท่ีปกป้องสิทธิตามกฎหมาย ให้กับผู้ประกอบอาชีพให้ประพฤติ
ปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม ไม่กระทาส่ิงผิดกฎหมาย และเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น อันจะก่อให้เกิด
ประโยชนท์ ้งั ตนเองและผอู้ ่นื

2. จรรยาบรรณ.ช่วยขัดเกลาลักษณะนิสัยที่ไม่เหมาะสมและสามารถทาให้ลดปัญหา
การละเมิดลิขสิทธิ์ ลดปัญหาการคดโกง ฉ้อฉล ความเจ้าเล่ห์การเอารัดเอาเปรียบ ลดการปลอมปน
เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ความมักง่าย ลาเอียงเข้าข้างพวกพ้อง ความใจแคบ ไม่ยอมเสียสละ ซึ่งหาก

จรรยาบรรณทางธรุ กิจ 341

สิ่งเหล่านี้ลดลงก็จะส่งผลให้สังคมมีความยุติธรรมมากข้ึน ความขัดแย้งต่าง ๆ ก็จะลดน้อยลง ผู้คน
หนั มาชว่ ยเหลอื เก้อื กูลกันและกนั สงั คมโดยรวมกจ็ ะสามารถอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสขุ

3. จรรยาบรรณ.เป็นตัวควบคุมมาตรฐาน รับประกันคุณภาพและปริมาณในการผลิต
สินคา้ และการประกอบอาชีพน้ัน ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคสินค้าได้รับสิ่งท่ีดีมีประโยชน์ และคุ้มค่ากับเงิน
ทีเ่ สียไป

4. จรรยาบรรณ.ช่วยควบคุมจริยธรรม คุณธรรมมารยาทของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการ
ผู้ผลิต ผู้ค้า เช่น ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที
ความเห็นอกเหน็ ใจ เปน็ ต้น

5. จรรยาบรรณ.ช่วยสร้างภาพลักษณท์ ่ดี ใี ห้กับเจา้ ของกิจการรวมถงึ ภาพลกั ษณ์โดยรวม
ขององค์กร ซ่ึงจะทาให้เห็นถึงการมีวัฒนธรรมองค์กรท่ีดี มีความโดดเด่นในเร่ืองคุณความดีซ่ึงจะ
ส่งผลดตี อ่ ความจงรักภักดีของลูกค้า และยังเป็นการดึงดูดผู้ที่มีความรู้ความสามารถหรือผู้ร่วมลงทุน
สนใจที่จะเข้ามาร่วมงานหรือร่วมลงทุนกับองค์กร จึงส่งผลให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้ า
และประสบความสาเรจ็ ได้ในท่สี ดุ

6. จรรยาบรรณ.ทาให้เกิดความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจ เช่น หากลูกค้าเกิดความ
เช่ือถือหรือไว้วางใจในการใช้สินค้า ก็จะทาให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อตราผลิตภัณฑ์ เกิดการซ้ือซ้า
จนกลายเปน็ ลูกค้าประจา และยังเกิดการบอกต่อ ซ่ึงสง่ ผลให้องค์กรมีลูกคา้ ท่ีเพิ่มมากขึน้ เป็นตน้

7. จรรยาบรรณ.ช่วยให้เกิดความเคารพต่อสิทธิของผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างเสมอภาค
ให้ความสาคญั ตอ่ ข้อเสนอแนะตา่ งๆ ของผู้ถอื หุ้นโดยนาไปปฏบิ ตั ิให้เกิดผล

8. จรรยาบรรณ.ชว่ ยให้เว้นจากการเบียดเบียนต่อผู้จัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบ (Supplier)
หรอื หุ้นส่วน เช่น กดราคาสินค้า การปิดบังข้อมูล ไม่จ่ายเงินให้ตามกาหนดเวลา ตาหนิสินค้าว่าไม่ดี
เพอ่ื ท่ีจะได้ซือ้ ในราคาถกู ๆ เป็นต้น

9. จรรยาบรรณ.ก่อให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินอย่างเพียงพอ ครบถ้วน
ใหร้ ายละเอียดเกย่ี วกบั ผลการดาเนินงานและเอกสารการเงนิ แกผ่ ู้ถอื หุ้นอย่างถูกต้อง โปร่งใส ชัดเจน
และเป็นธรรม

กล่าวโดยสรุปแล้ว การมีจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพจะช่วยควบคุม
ความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพน้ัน ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใด ๆ ก็ตามทาให้ดารงอยู่ในคุณธรรม
ความซ่ือสัตย์ อันจะเป็นการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าในอาชีพได้ และลดปัญหาความขัดแย้ง
ตา่ ง ๆ ได้

342 มนุษยสัมพันธท์ างธุรกิจ

ประโยชน์ของจรรยาบรรณทางธุรกจิ

จรรยาบรรณเป็นหลักความประพฤติอันเหมาะสมท่ีแสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรม
ในการประกอบอาชีพท่ีกลุ่มบุคคลแต่ละสาขาวิชาชีพประมวลข้ึนไว้เป็นหลักเพ่ือให้สมาชิกยึด ถือ
ปฎิบัติเพื่อรักษาช่ือเสียงและส่งเสริมเกรียติคุณของวิชาชีพของตน หากจะประเมินคุณค่าหรือ
ประโยชนข์ องการท่ีองค์กรธุรกิจมจี รรยาบรรณทางธุรกจิ ผู้เขยี นขอสรุปไดด้ งั นี้

1. จรรยาบรรณก่อให้เกิดภาพลักษณ์ท่ีดี.การสร้างภาพลักษณ์ขององค์การ ช่วยเอ้ือ
ให้ธุรกิจดาเนินไปได้อย่างก้าวหน้าและม่ันคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับธุรกิจขนาดใหญ่ซ่ึงเกี่ยวพัน
กับกลุ่มประชาชนจานวนมาก หากองค์การมีจรรยาบรรณในการทาธุรกิจรักษามาตรฐานของสินค้า
และบริการให้คงคุณภาพอย่างสม่าเสมอ จะทาให้ได้รับการยอมรับและเช่ือถือ ทาให้ผู้บริโภคมีความ
ภกั ดตี อ่ สนิ ค้าและบรกิ ารนั้น อันจะสง่ ผลต่อการเพ่ิมขึ้นของยอดขายและกาไรดว้ ย

2. จรรยาบรรณก่อให้เกิดความเชื่อถือ.การติดต่อระหว่างกันไม่ว่าจะเป็นการติดต่อ
ส่วนตัวหรือด้านการค้า ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งหนึ่งท่ีสาคัญ เช่น การรักษาคามั่นสัญญาทางธุรกิจ
ต่างๆ มักจะเสนอบริการที่หลากหลาย แต่มีไม่กี่แห่งที่จะดาเนินการเร่ืองดังกล่าวให้สาเร็จลุล่วง
ถ้าธุรกิจสัญญาว่าจะทาอะไรแล้วสามารถทาตามคาสัญญาน้ันได้จะทาให้ธุรกิจท่ีรักษาสัญญาและมี
ความซ่อื สตั ย์ยอ่ มได้รบั ความเชื่อถืออนั ก่อให้เกิดความไดเ้ ปรียบในการทาธุรกิจ

3. จรรยาบรรณก่อให้เกิดความเจริญม่ันคงและย่ังยืน.ในการท่ีธุรกิจจะเติบโตมีความ
ม่ันคงก้าวหน้าและย่ังยืนรวมถึงเป็นท่ียอมรับของสังคมได้น้ัน ส่ิงที่เป็นรากฐานสาคัญประการหน่ึง
คือ การดาเนินธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณ ได้แก่จรรยาบรรณ ของบริษัท จรรยาบรรณของกรรมการ
จรรยาบรรณของผู้บริหาร และจรรยาบรรณของพนักงาน ธุรกิจท่ีปฏิบัติตามจรรยาบรรณทางธุรกิจ
จะได้รับความเจริญอย่างม่ันคงและยั่งยืน ส่วนธุรกิจท่ีมุ่งแสวงหากาไรและผลประโยชน์ อาจมีความ
เจริญชวั่ คราว แตใ่ นทีส่ ดุ กต็ อ้ งประสบปัญหาและความหายนะในทส่ี ดุ

4. จรรยาบรรณก่อให้เกิดการทุ่มเท.ทุกองค์กรต่างต้องการความเจริญก้าวหน้าและ
ผลกาไรสูงสุด โดยมีบุคลากรเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามทิศทางท่ีองค์กร
กาหนดไว้ ซ่ึงต่างต้องอาศัยบุคลากรท่ีมีความรู้ ความสามารถและพร้อมท่ีจะทุ่มเทให้กับการทางาน
แต่การที่จะทาให้บุคลากรเกิดความจงรักภักดีจนนาไปสู่ความทุ่มเท และเต็มใจในการปฏิบัติงาน
ได้นั้น ส่ิงสาคัญอันดับแรกคือการท่ีองค์กรต้องให้ความรัก ความจริงใจ รวมถึงสามารถตอบสนอง
ความต้องการพื้นฐานของบุคลากรใหไ้ ด้ ไมว่ ่าจะเปน็ การจ่ายคา่ ตอบแทนท่เี ป็นธรรม การจัดตาแหน่ง
หน้าที่งานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลรวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของบุคลากร และการที่องค์กร
มีการปฏิบัติต่อพนักงานอย่างมีจริยธรรมสร้างให้เห็นความยุติธรรม ซ่ือสัตย์ ซื่อตรงในการปฏิบัติงาน
ย่อมทาให้พนักงานมีกาลังใจในการปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ (Full.Capacity).อันนามา
ซงึ่ การผลติ และการบริการที่ดี

จรรยาบรรณทางธุรกจิ 343

5. จรรยาบรรณก่อให้เกิดการลดหย่อนทางกฎหมาย.บริษัทที่มีการดาเนินงานโดยการ
รักษาจรรยาบรรณมาโดยตลอดย่อมได้รับการลดหย่อนการลงโทษทางกฎหมายในกรณีที่เกิด พลาด
พลง้ั ทางคดีความ

6. จรรยาบรรณก่อให้เกิดการทางานอย่างมีความสุข.การมีจรรยาบรรณที่ดีต่อกัน
ระหว่างธุรกิจและสังคม ย่อมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันและกัน ก่อให้เกิดความสงบสุขข้ึน
เกิดการทางานร่วมกันอย่างมีความสุข ต่างก็ให้เกียรติ เคารพ ยกย่อง นับถือซ่ึงกันและกันสร้าง
ความสัมพันธ์ทีดีต่อกัน ไม่มีปัญหาบาดหมางซึ่งกันและกันทาให้งานท่ีออกมาได้มาตรฐานและมี
ประสิทธิภาพมากย่ิงขน้ึ

7. จรรยาบรรณก่อให้เกิดการแข่งขนั ทเี่ ป็นธรรม.โลกในปัจจุบันเป็นโลกของยุคโลกาภิวัตน์
ต้องมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง การปฏิบัติตามจรรยาบรรณทางธุรกิจจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการ
แข่งขันท่ีเป็นธรรม ไม่เกิดการรวมตัวกันสร้างอานาจผูกขาดที่เอารัดเอาเปรียบกันต่อผู้บริโภค
และคู่แข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม โดยการให้ร้ายป้ายสีทับถมไม่ว่าโดยทางอ้อมหรือด้วยการข่มขู่และ
กีดกันอันทาให้คู่แข่งเสียโอกาสอย่างไม่เป็นธรรม เช่น การขายตัดราคา การทุ่มเทสินค้าเข้าตลาด
ซ่ึงจะทาให้ธุรกิจไม่ประสบความสาเรจ็ อย่างทจ่ี ะเป็น

จากที่กล่าวมาข้างต้น ประโยชน์ของจรรยาบรรณทางธุรกิจ เป็นส่ิงที่ก่อให้เกิด
ความเปน็ ธรรม ความโปรง่ ใส ความไมเ่ อารัดเอาเปรียบกัน ต่อการทาธุรกิจ ซึ่งทาให้การดาเนินธุรกิจ
เจรญิ เตบิ โตได้อย่างมปี ระสิทธิภาพตอ่ ธรุ กจิ นัน้ ๆ อย่างมัน่ คงและยั่งยนื

สภาพการณข์ องจรรยาบรรณในสงั คมไทยปจั จบุ ัน

ในอดตี ที่ผ่านมาโดยภาพรวมลกั ษณะทางจริยธรรมของคนไทยสอดคล้องกับลักษณะของ
ความเช่ือทางจริยธรรมแบบศาสนาคือการอ่อนน้อมถ่อมตน เมตตา กรุณา รู้จักพอ เป็นต้น ซึ่งเป็น
ลักษณะทางจริยธรรมของคนไทยในสังคมสมัยก่อนหรือสังคมชนบท แต่สังคมปัจจุบัน และสังคม
เมอื งหาจริยธรรมดงั้ เดมิ ได้ยากแล้ว ท้ังน้ีเพราะอารยธรรมวัตถุนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ของตะวนั ตกมีอิทธพิ ลตอ่ สงั คมไทยสมยั ใหม่ เพราะไดร้ บั การบีบค้ันจากการแข่งขัน ในระบบทุนนิยม
ทาให้เห็นความสาคัญของทรัพย์สิ่งของมากขึ้น เพราะความจาเป็นต้องสะสมทุนทรัพย์เพ่ือความ
อยู่รอดในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ดังนั้น คุณค่าทางจิตใจจึงเริ่มถูกบดบังจากการให้ความสาคัญ
แก่ทรัพย์สินสิ่งของ สภาพของชุมชนท่ีขยายใหญ่โตขึ้น มีความเป็นเมืองมากขึ้น มีคนต่างถิ่นคนแปลก
หนา้ มากขนึ้ ทาให้เงนิ ทองมีบทบาทมากกว่าน้าใจ ความเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ แบบเดิม ๆ หรือการเน้นหลักการ
กฎระเบียบและความถกู ต้องเปน็ ธรรม เน้นสิทธหิ น้าท่เี ทา่ เทียมกนั จึงเร่มิ เลือนหายไป

การพัฒนาของระบบเศรษฐกิจและระบบสังคมเป็นปัจจัยอย่างหน่ึงที่ทาให้จริยธรรมของ
คนไทยเปล่ียนไปในทางที่ห่างจากศาสนา ระบบทุนนิยมจาต้องสะสมทุนและมีวิถีชีวิตและ
ความสัมพันธ์ของคนไม่แห้งแล้ง โหดเห้ียม แต่แรงบีบค้ันของการแข่งขันในระบบทุนนิยมก็ทาให้

344 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ

คนจานวนมากตระหนักต่อไปว่า ความมีน้าใจ ความเอ้ือเฟือเผื่อแผ่อย่างเดียวไม่สามารถทาให้
อยูร่ อดและประสบความสาเร็จ ในระบบท่เี งนิ ตราเป็นเครื่องวดั คา่ อกี ทัง้ คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคน
แปลกหน้า ไม่รู้จักกัน ย่ิงกว่าน้ันระบบทุนนิยมจาเป็นต้องแข่งขันกัน ทาให้คนต้องให้ความสาคัญแก่
กฎเกณฑ์ กฎหมายมากกว่าการไว้ใจ เชื่อใจ คนสมัยปัจจุบันจึงให้ความสาคัญแก่สิทธิหน้าที่ ที่มีต่อกัน
มากกว่าความเชือ่ ในคุณธรรมของกนั และกนั

สถานการณ์ที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติในขณะน้ี ส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุของ
สภาพสังคมไทยท่ีไม่มีความพร้อม และไม่แข็งแรงพอทั้งความสามารถและการปรับตัว ที่จะรองรับ
ต่อสภาพสถานการณ์การเปล่ียนแปลงกระแสของโลก ที่กระทบต่อประเทศไทยอย่างรวดเร็ว
ส่วนภายในประเทศเอง สาเหตุท่ีทาให้เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่สาคัญก็คือ ค่านิยม วัฒนธรรม
จิตวญิ ญาณ ระบบความคดิ ตลอดจนจรรยาบรรณของบุคคลในองค์กร โดยเฉพาะสถาบันทางการเงิน
โดยตรง ผลกระทบท่ีรุนแรงและส่งผลโดยท่ัวหน้าต่อประชาชนทุกคน ทุกองค์กรในประเทศอย่าง
มหาศาล นั่นคือปัญหาทางระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นจุดเร่ิมต้นของทุกปัญหาท่ีติดตามมาเป็นลูกโซ่
อนั เกิดจากบคุ คลขาดจรรยาบรรณไม่คานงึ ถึง คุณธรรม จริยธรรม วฒั นธรรม หนา้ ที่ความรับผิดชอบ
ขององคก์ รอย่างแท้จรงิ

ลักษณะพฤตกิ รรมขององค์กรทข่ี าดจรรยาบรรณ

หากองค์กรใดไม่คานึงถึงความสาคัญและประโยชน์ของการยึดจรรยาบรรณในการ
ประกอบอาชีพแล้ว อาจทาให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่องค์กรน้ัน ๆ ได้ท้ังในระยะส้ันและ
ระยะยาว ทงั้ นส้ี ภาพของการขาดจรยิ ธรรมในองคก์ รบางอย่างมีลักษณะดังต่อไปน้ี

1. ความโลภ เป็นกิเลสอย่างหนึ่งในบรรดากิเลสใหญ่ 3 อย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ
ซ่ึงโลภะ เกิดจากตัณหาคือความทะยานอยากได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วทาให้จิตหิวโหยอยากได้ เกิดความ
ดิ้นรน อยู่ไม่เป็นสุข หากหยุดย้ังไม่ได้ก็จะเป็นต้นเหตุให้ด้ินรนแสวงหาส่ิงที่อยากได้มาสนองความ
ต้องการ เช่น ลักขโมย ทุจริต คอรัปชั่น โกง ปล้น เป็นต้น เม่ือบุคคลเกิดความอยากได้ อยากมี
เพือ่ สนองความต้องการของตน จึงคิดทุกวิถีทางท่ีจะประพฤติปฏิบัติในส่ิงที่จะก่อประโยชน์ให้กับตน
ในสังคมธุรกิจ ก็เช่นกันปัจจุบันจะเห็นได้จากการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคเพ่ือนามาสู่กาไร
อันมหาศาล เช่น การลดคุณภาพสินค้าลงแต่ราคาเท่าเดิม การใส่สารเคมีเจือปนในอาหาร เป็นต้น
ซง่ึ สงิ่ เหล่าน้ีจะทาใหผ้ บู้ รโิ ภคเกิดความไมเ่ ชอ่ื ใจจนไมก่ ลบั มาซื้อสนิ คา้ หรือใชบ้ รกิ ารอีก

2. ผู้ปฏิบัติงานคานึงถึงเฉพาะผลประโยชน์ส่วนตัวเกินควรไม่มีความจงรักภักดีต่อองค์กร
เนื่องจากการยึดผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ผลเสียจึงเกิดขึ้นกับองค์กรน้ันๆ การกระทาแบบนี้
เปน็ การกระทาทผี่ ิดทางจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณ

3. องคก์ รมีการดาเนนิ การอย่างไมซ่ ื่อสตั ย์หรือไม่เป็นไปตามข้อตกลงท่ีวางไว้เบื้องต้น ส่งผล
กระทบต่อการดาเนินการของธุรกิจทาให้ขาดความนา่ เช่ือถือจากบคุ คลในสงั คม

จรรยาบรรณทางธรุ กจิ 345

4. มีการผลิตสินค้าและบริการโดยไม่คานึงถึงผลกระทบที่มีต่อผู้บริโภ คและ
ผลกระทบที่มีต่อส่ิงแวดล้อม การขาดจรรยาบรรณในข้อน้ีอาจทาให้ธุรกิจขององค์กรเกิดความ
เสียหายข้ึนมาภายหลังได้ เพราะถ้าผู้บริโภคได้รับสินค้าท่ีไม่ได้มาตรฐานก็อาจจะฟ้องร้องหรือเรียก
คา่ ทดแทนแกบ่ ริษัทท่จี าหนา่ ยสนิ คา้ นนั้ ได้

5. เลือกปฏิบัติต่อบุคลากรในองค์กร มีการละเมิดรวมท้ังกดข่ีสิทธิพื้นฐานและค่าตอบแทน
แกผ่ ู้ร่วมงาน ทาให้เกดิ การเหลือ่ มลา้ กันในองค์กร และผลท่ีตามมาก็คือ บุคลากรในองค์กรเกิดความ
ไมพ่ อใจอาจนามาซึ่งความขัดแยง้ ภายในองคก์ ร สง่ ผลให้การปฏบิ ตั ิงานไมม่ คี ณุ ภาพตามไปด้วย

6. ผู้บริหารใช้อานาจส่ังการแก่ผู้ปฏิบัติงานโดยไม่สุจริตหรือผิดจรรณยาบรรณ ทั้งน้ี
รวมถงึ การพจิ ารณาเลอื่ นตาแหน่งงานแก่ลูกจ้างอย่างไม่ยุติธรรม ถ้าผู้บริหารขององค์กรมีพฤติกรรม
เช่นนี้อาจทาให้พนกั งานหมดความเลอื่ มใสศรัทธาต่อผู้บริหารและการบังคบั บญั ชาในอนาคต

7. ดาเนินกิจการโดยไม่ก่อประโยชน์แก่องค์กรหรืออาจทาให้องค์กรเสียผลประโยชน์
ผลที่ตามมาคือ องค์กรเกิดการสูญเสียทั้งทรัพย์และชื่อเสียง ได้ผลกาไรไม่ตรงตามเป้าหมาย
ทก่ี าหนดไว้ อาจทาให้เกิดการลม้ ละลายได้

8. ให้ความเท็จหรือความจริงท่ีคาดเคลื่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสินค้าและบริการ
การขาดจรรยาบรรณในข้อน้ี เกิดความเสียหายต่อองค์กรโดยตรง เพราะข้อเท็จจริงของสินค้ามี
ความสาคญั อยา่ งยงิ่ สาหรับผู้บริโภค

9. เน้นสร้างความสาคัญของตนเองเหนือผลประโยชน์ขององค์การ ถือว่าเป็นบุคคล
ที่เห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม การกระทาแบบนี้เป็นการกระทาท่ีผิดทางจริยธรรมและ
จรรยาบรรณ อาจทาให้องคก์ รไมบ่ รรลตุ ามเป้าหมายที่กาหนดไว้

10. ไม่กล้าคัดค้านเม่ือพบเห็นการปฏิบัติท่ีขัดจริยธรรม ในสังคมปัจจุบันการเพิกเฉย
ในสงิ่ ท่ีตนเองเหน็ วา่ ผดิ นนั้ มีอยู่มากมาย ส่ิงเหลา่ นี้เป็นส่ิงท่ีทาให้บริษัทไม่มีความเจริญก้าวหน้าทาให้
บรษิ ัทถดถอยลงและยงั เปน็ สงิ่ ที่ผดิ จรรยาบรรณในวชิ าชพี นัน้ อกี ด้วย

11. ไม่ได้ตอบแทนลูกจ้างในสัดส่วนท่ีสอดคล้องกับประโยชน์ท่ีได้รับจากลูกจ้างผล
สุดท้ายองค์กรนั้น อาจจะเสียลูกจ้างที่มีความรู้และประสบการณ์ไปโดยไม่รู้ตัว ดังน้ันการตอบแทน
ลกู จา้ งทีจ่ งรักภักดตี ่อองคก์ ร คือหน้าที่ทผ่ี บู้ ริหารในองค์กรน้นั ควรให้ความสาคัญ

12. ไม่คงสภาพแวดล้อมให้เหมือนเดิม หรือเพ่ิมคุณค่าใด ๆ ให้แก่สภาพแวดล้อม หลังจากใช้
ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมน้ันแล้ว.เม่ือองค์กรได้ผลประโยชน์ใด ๆ จากสภาพแวดล้อมนั้นๆ แล้วก็
ควรรักษาสภาพแวดล้อมน้นั ใหค้ งอยตู่ ่อไป เชน่ การตดั ไม้ทาลายปา่ ของบรษิ ทั ผลิตกระดาษ เปน็ ตน้

13. กล่าวข้อเท็จต่อลูกจ้าง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ขององค์กร.ส่งผลให้องค์กรนั้น
อาจจะเสียลูกจ้างไปเลยก็ได้หรืออาจเกิดการฟ้องร้องขึ้นมาภายหลังก็เป็นไปได้ ซ่ึงผลที่เกิดขึ้นน้ัน
ไม่ส่งผลดใี หแ้ กอ่ งคก์ ร

346 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ

14. ไม่ยอมรับผิดชอบต่อความเสียหายท่ีเกิดขึ้นต่อลูกจ้างหรือบุคคลอ่ืน การขาด
จรรยาบรรณในข้อน้ีคือหัวใจสาคัญขององค์กรก็ว่าได้ เพราะเม่ือองค์กรนั้นไม่มีความรับผิดชอบ
ตอ่ ลูกจ้าง ตอ่ ไปก็จะไม่มใี ครกล้าไปทางานท่ีองค์กรนนั้

15. ดาเนินการบางอย่าง หรือยอมให้มีกิจกรรมบางอย่างเกิดขึ้นได้ท้ัง ๆ ท่ีไม่เป็นประโยชน์
ต่อองค์กรหรือทาให้องค์กร ต้องสูญเสียท้ังเวลาและเงินทอง.ก่อให้เกิดการทุจริตต่อองค์กรผลสุดท้าย
องคก์ รน้ันกจ็ ะไม่ประสบความสาเร็จ

จากลักษณะพฤติกรรมขององค์กรที่ขาดจรรยาบรรณที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่า
องคก์ รที่ขาดจรรยาบรรณ จะทาให้องคก์ รนั้นเกดิ ผลเสียทางด้านการทาธุรกจิ ระหว่างองค์กรอ่ืน ๆ และเกิดผล
เสยี ทางดา้ นบคุ ลากร เพราะบุคลากรที่ไม่เกิดการยอมรับอาจจะส่งผลในด้านของการติดต่อสื่อสารกันระหว่าง
ธุรกจิ หรือในการทาธุรกจิ ไม่นา่ ไว้วางใจ ความไม่น่าเช่ือถอื ในการทาธุรกจิ ในภายภาคหนา้

ลกั ษณะพฤติกรรมขององคก์ รท่มี ีจรรยาบรรณ

เม่ือทราบถึงสภาพบางอย่างท่ีบอกถึงการขาดจริยธรรมในองค์กรแล้วน้ัน ลักษณะพฤติกรรม
ขององค์กรท่แี สดงถงึ การมจี รรยาบรรณพอกลา่ วโดยสรปุ ดังน้ี

1. มีการปฏิบัติต่อทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือลูกค้าแม้กระทั่งผู้ท่ี
เกี่ยวข้องอย่างยุติธรรม โดยไม่ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นสาคัญ แต่คานึงถึงประโยชน์ผู้อื่นและ
ผลกระทบที่เกิดข้นึ ตอ่ สว่ นรวมเสมอ

2. องค์กรมีการยึดถือและปฏิบัติในเรื่องจรรยาบรรณ ซ่ึงรวมถึงการมีคุณธรรมและ
จริยธรรมอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม มีการรณรงค์ให้ผู้ปฏิบัติงานมีจิตสานึกตระหนักเร่ือง
จิตสาธารณะ ซึ่งหากทุกคนทาดีและปฏบิ ัติหน้าท่ีด้วยดี ยอ่ มจะทาให้ท้ังองค์กรดี

3. องค์กรมีการประกอบกิจการโดยคานึงถึงประโยชน์ของสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่
เรียกร้องให้สมาชิกทาเพื่อองค์กรแต่เพียงฝ่ายเดียว อันจะทาให้เกิดขวัญและกาลังใจในการ
ปฏิบัตงิ านแก่ลูกจา้ ง ใหต้ ้งั ใจปฏิบตั หิ นา้ ท่ีของตนไดอ้ ยา่ งดที ีส่ ดุ

ที่ ก ล่ า ว ม า นี้ เ ป็ น ลั ก ษ ณ ะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ข อ ง อ ง ค์ ก ร ธุ ร กิ จ ที่ ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ไ ด้ ด้ ว ย
จรรยาบรรณอันสูงสุด ซึ่งหากมีการยึดหลักพฤติกรรมเหล่าน้ีเป็นเบื้องต้นแล้วในการประกอบการต่าง ๆ
ก็จะประสบความสาเร็จได้อยา่ งงา่ ยดาย

จรรยาบรรณทางธรุ กจิ 347

ประเดน็ ที่ควรพิจารณาเก่ยี วกบั จรรยาบรรณขององค์กรธรุ กจิ

สมเดช มุงเมือง (2545:116-120).ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับประเด็นที่ควรพิจารณาเก่ียวกับ
จรรยาบรรณขององค์กรธุรกิจไวว้ ่า จริยธรรมในองค์กรไม่ได้เกิดข้ึนจากตัวบุคคล หรือสภาพแวดล้อม
ทางสงั คมเท่านัน้ สภาพแวดล้อมและบรรยากาศทางดา้ นจรรยาบรรณในท่ีทางานก็มีความสาคัญด้วย
บรรยากาศทางด้านจรรยาบรรณขององค์กรก็คือกระบวนการในการตัดสินใจในเร่ืองต่าง ๆ ท่ีต้ังอยู่บน
พ้ืนฐานระหว่างผิดกับถูกเม่ือมีการตัดสินใจในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง โดยจรรยาบรรณในองค์กร มีประเด็น
ท่คี วรพิจารณา 4 เรือ่ ง คอื

1. มาตรฐานทางด้านจรรยาบรรณในองค์กร องค์กรจะต้องกาหนดมาตรฐานทางด้าน
จรรยาบรรณขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยให้คนที่ทางานในองค์กรกาหนดข้ึนมาเอง เพราะแต่ละคนมีหลักของ
จรรยาบรรณไม่เหมือนกัน และนอกจากน้ันองค์กรจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าองค์กรคาดหวังอะไร
จากพนักงานผู้ปฏิบัติงาน เพราะบางครั้งคนท่ีปฏิบัติงานรู้ว่าองค์กรต้องการอะไรแต่อาจไม่ชัดเจน
หรือเข้าใจผิดได้

บางบริษัทอาจยึดถือหลักที่ว่า จงปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนกับที่ท่านอยากให้คนอื่น
ปฏิบัติต่อเราน้ันอาจไม่เป็นการเพียงพอ เพราะองค์กรจะต้องกาหนดมาตรฐานข้ึนมาควบคุมพฤติกรรม
ของคน การไม่กาหนดมาตรฐานทางด้านจรรยาบรรณจะทาให้คนปฏิบัติแตกต่างกันตามค่านิยม
และจารีตประเพณขี องสงั คม

2. สัญญาณอันตราย ได้แก่ ส่ิงท่ีแสดงให้เห็นว่าคนในองค์กรจะต้องรักษาจรรยาบรรณ
ไว้อย่างสม่าเสมอ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาทางด้านจรรยาบรรณขึ้นแก่องค์กร สัญญาณอันตรายเป็นสิ่งแสดงว่า
คนในองค์กรประพฤติผดิ ต่อจรรยาบรรณ พฤตกิ รรมที่แสดงสัญญาณอนั ตรายได้แก่

2.1 คนในองค์กรมุง่ แสวงหารายได้ใหก้ ับองค์กรในระยะสั้นมากกวา่ ระยะยาว
2.2 องค์กรไม่กาหนดหลักของจรรยาบรรณไว้เปน็ ลายลักษณ์อกั ษร
2.3 เม่ือเกิดปัญหาการประพฤติผิดจรรยาบรรณ องค์กรก็แก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
โดยได้วางแผนป้องกนั ปัญหาในอนาคต
2.4 ไม่สนใจหรือไม่เอาใจใส่การประพฤติปฏิบัติตามกฎของจรรยาบรรณจนอาจ
สง่ ผลตอ่ ค่าใชจ้ ่ายขององค์กร
2.5 พิจารณาเร่ืองจรรยาบรรณในแง่ของกฎหมายและการสร้างความสัมพันธ์อันดี
ต่อสังคมเท่านั้น โดยไมห่ วงั ผลว่าองค์กรจะปฏบิ ัติตามหลกั ของจรรยาบรรณท่ีดีหรือไม่
2.6 ขาดหลกั การในการดาเนินการท่ีเหมาะสมเกยี่ วกบั ปัญหาทางด้านจรรยาบรรณ
2.7 ตอบสนองความต้องการของผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของโดยการผลักภาระค่าใช้จ่าย
ไปใหส้ ังคมหรือองคก์ รอืน่

348 มนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจ

3. หลักจรรยาบรรณขององค์กร สิ่งท่ีเป็นสัญญาณบ่งช้ีว่าองค์กรมีความผูกพัน
หรือมีความมุ่งม่ันท่ีจะปฏิบัติให้สอดคล้องกับจรรยาบรรณก็คือ การกาหนดหลักของจรรยาบรรณ
ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร การประพฤติให้เป็นไปตามหลักของจรรยาบรรณเป็นเร่ืองต้องกระทาไม่ใช่
เป็นการสมัครใจ นอกจากน้ันองค์กรและผู้บริหารที่มีพฤติกรรมสอดคล้องกับหลักของจรรยาบรรณ
จะทาใหไ้ ด้รับผลดใี นระยะยาว

การเขียนหลักของจรรยาบรรณจะต้องกระทาอย่างระมัดระวังและนาไปใช้อย่างเหมาะสม
สอดคล้องกบั นโยบายของบริษัท โดยจะต้องกาหนดไว้ให้ครอบคลุมทุกเรื่อง เช่น ความประพฤติของ
พนักงาน สังคมและสภาพแวดล้อม ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่สัญญา กิจกรรมทางการเมืองและเทคโนโลยี เป็นต้น
การเขยี นหลกั จรรยาบรรณท่ดี ีควรมลี กั ษณะดงั นี้

3.1 หลักจรรยาบรรณต้องเกี่ยวข้องกับทุกคน มีความสาคัญกับทุกคนท่ีมีส่วนร่วม
ในกิจกรรมขององค์กร

3.2 จะต้องทาเป็นนโยบายของบริษัท แต่ให้เขียนแยกออกต่างหากไปจากนโยบาย
ทัว่ ไปของบริษทั เพ่อื แสดงให้เห็นว่ามคี วามสาคัญ

3.3 ควรเขียนให้สั้นแต่เข้าใจง่าย ชัดเจน และคนสามารถจดจาได้
3.4 อย่าเขียนในลักษณะจาเจ ล้าสมัย หรือใช้ถ้อยคาวกวนจะต้องเป็นการเขียน
ทน่ี ่าเชอ่ื ถือ
3.5 ควรเขียนให้มีน้าหนักว่าสาคัญ และเม่ือเขียนไว้แล้วผู้บริหารจะต้องนาไปแถลง
ช้แี จงให้ทกุ คนเขา้ ใจขอ้ สาคญั หลักของจรรยาบรรณที่เขียนไวจ้ ะต้องนาไปใช้ไดจ้ รงิ ในทางปฏิบัติ
4. โครงการทางด้านจรรยาบรรณ ผลของการทาผิดจรรยาบรรณไม่ได้เป็นความ
รับผิดชอบของผูเ้ กี่ยวขอ้ งกบั การทาผิดจรรยาบรรณเท่าน้ันแตต่ กอยูก่ ับทุกคน การป้องกันไม่ให้มีการ
ทาผิดจรรยาบรรณจึงเป็นวิธีท่ีดีที่สุด ความรับผิดชอบของการทาผิดวินัยจึงอยู่ท่ีคนที่มีส่วนร่วม
ในการกาหนดโครงการทางด้านจรรยาบรรณ
โครงการด้านจรรยาบรรณมี 2 วิธีคือ การบังคับใช้ (Compliance – Based) กับการปลูกฝัง
ให้เกิดสานกึ (Integrity – Based)
4.1 โครงการทางด้านจรรยาบรรณโดยการบังคับใช้ คือโครงการที่ออกแบบข้ึน
เพื่อป้องกันการตรวจสอบ และลงโทษการกระทาผิดจรรยาบรรณ ทาให้เกิดการระมัดระวัง ควบคุมและ
การลงโทษผู้ท่ีทาผิดลักษณะท่ีสาคัญของโครงการก็คือการกาหนดมาต รฐานและกระบวนการ
ทางกฎหมาย ให้ผู้บริหารระดับสูงสอดส่องดูแล ตรวจสอบ รายงาน ลงโทษผู้กระทาผิดโดยมุ่งไม่ให้มีการ
ทาผิดเกิดข้ึนอีกในอนาคต ในแง่ของบริษัทจะลดการทาผิดจรรยาบรรณลงและไม่ให้บริษัท
ถูกฟ้องร้องหรือถูกดาเนินคดีในศาล แต่ในแง่ของคนหรือพนักงานของบริษัทจะส่งผลให้ขวัญ
และกาลังใจในการทางานลดลง ไม่ได้ทาให้คนมีสานึกเพิ่มเติมแต่อย่างใดผลเกิดในระยะส้ันและไม่เพียง
พอทีจ่ ะยกมาตรฐานทางด้านจรรยาบรรณให้สูงแตอ่ ย่างใด

จรรยาบรรณทางธุรกจิ 349

4.2 โครงการปลูกฝงั ใหเ้ กดิ สานึก.เป็นสิ่งทีท่ ามากไปกวา่ การหลกี เลยี่ งการทาผิดกฎหมาย
ดาเนินการ โดยการฝึกอบรมให้คนเข้าใจความสาคัญของการมีคุณธรรมในการทางานและบางทีอาจ
ต้องเปลีย่ นแปลงทัศนคติและพฤตกิ รรมบางส่ิงบางอยา่ ง.เพื่อให้คนรู้สึกว่าต้องมีการดาเนินการให้เกิน
เลยไปกว่าทก่ี ฎหมายกาหนด สว่ นประกอบทส่ี าคัญของโครงการปลูกฝงั จติ สานึกด้านจรรยาบรรณมีดังน้ี

4.2.1 ทุกคนต้องมีความเข้าใจอย่างแท้จริงถึงคุณค่าของการกระทาท่ีมี
จรรยาบรรณและตอ้ งมีส่วนรว่ มในการสรา้ งคุณค่าดว้ ย

4.2.2 ผู้นาขององค์กรจะต้องยอมรับและผูกมัดในคุณค่าของการมีจรรยาบรรณ
อย่างจรงิ จังและเต็มใจทจ่ี ะกระทา

4.2.3 ในทุกเรื่องของการตัดสินใจและการดาเนินงานขององค์กร จะต้องสะท้อน
ใหเ้ ห็นถงึ การยดึ ถือคณุ คา่ น้ันอยา่ งแท้จริง

4.2.4 ระบบข้อมูลการรายงาน และรวมถึงระบบการประเมินผลงานของ
พนักงานจะต้องยดึ ถือคณุ ค่าของการกระทาท่ีตั้งอยบู่ นหลกั จรรยาบรรณท่ดี ี

4.2.5 คนในองค์กรทุกระดับจะต้องมีทักษะและความรู้ทางด้านจรรยาบรรณ
สาหรับเป็นพ้ืนฐานในการปฏบิ ัตงิ านประจาวันอยา่ งต่อเนอ่ื ง

องค์กรท่ียึดถือโครงการปลุกจิตสานึกของการมีจรรยาบรรณอย่างแท้จริงจะได้
ประโยชนใ์ นการแบ่งปันกับองค์กรอ่ืน พนักงานมีขวัญกาลังใจสูง และจะมีความสัมพันธ์ท่ีดีกับสังคม
ท่ีองคก์ รนั้นเก่ยี วข้องด้วย

จรรยาบรรณวชิ าชีพ

จรรยาบรรณวิชาชีพเป็นส่ิงสาคัญของทุกอาชีพที่จะเป็นตัวกาหนดให้แต่ละอาชีพ
ประกอบอาชีพด้วยพฤตกิ รรมที่เหมาะสมดีงามนามาซงึ่ เกยี รติยศ ช่ือเสียงของวิชาชีพนั้น ต่อไปจะขอ
ยกตัวอยา่ งโดยสงั เขปของจรรยาบรรณวิชาชพี ต่าง ๆ ดงั น้ี

1. จรรยาบรรณนกั ธรุ กิจ นักธุรกิจพงึ ควรมีจรรยาบรรณดงั ตอ่ ไปนี้
1.1 พงึ ให้เกียรตบิ ุคคลเหนอื วัตถเุ สมอ
1.2 พงึ ถอื วา่ เกยี รติสาคญั กว่าผลประโยชน์อ่ืนใดท้ังส้นิ
1.3 พึงมเี มตตาธรรมตอ่ ทกุ คนท่ีด้อยกว่าตนไม่วา่ ในทางใด
1.4 พงึ สุจริตในการแจง้ คุณภาพของสนิ คา้ หรอื บริการของตน
1.5 พึงเฉล่ียผลกาไรอย่างท่ัวถึงแก่ผู้ร่วมงานทุกคนตามอัตราส่วนของความรับผิดชอบ

อยา่ งนอ้ ยที่สดุ จะตอ้ งเพียงพอสาหรับให้ครอบครวั ดารงชพี อยู่ได้อย่างเหมาะสม
1.6 พึงร่วมมือกับนักธุรกิจ นักบริการอื่น เพื่อบริการสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ

มากทสี่ ดุ สะดวกและปลอดภัยทสี่ ุด
1.7 พึงให้ผูใ้ ตบ้ ังคบั บญั ชามีส่วนร่วมในการออกความคดิ เห็นเพื่อปรับปรุงกิจการ

350 มนุษยสัมพนั ธท์ างธุรกิจ

1.8 พึงส่งเสริมผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีโอกาสหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งในด้านอาชีพ.สังคม
มนุษยธรรม

1.9 พึงให้ความปลอดภัยในการทางานแก่บุคลากรให้มากท่ีสุด และให้มีเวลาพักผ่อน
เพียงพอตามลักษณะของงาน

1.10 พงึ ปฏิบัติตอ่ ชนชน้ั กรรมาชพี ในฐานะผรู้ ว่ มงานไมใ่ ช่เคร่ืองจกั ร
1.11 พึงรับผิดชอบ ดูแลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนดารงชีพได้อย่างเหมาะสมกับ
ศักดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์
1.12 พึงสนใจส่งเสริมการศกึ ษาของทายาทของผูร้ ว่ มงาน
1.13 พงึ สง่ เสริมใหผ้ ู้ใตบ้ ังคับบัญชาเก็บหอมรอมรบิ และร่วมลงทนุ ในกิจการด้วย
1.14 พงึ ร่วมมือกับรัฐบาลในทุกทางเพือ่ ส่งเสริมประชาธิปไตยและความสงบสุขของ
บ้านเมือง
1.15 พึงตระหนักว่าชนช้ันกรรมาชีพก็มีความเป็นมนุษย์ มีวิญญาณ มีชีวิตจิตใจ
ตอ้ งการความสงบสุขเหมอื นคนทว่ั ๆ ไป
ในฝ่ายกรรมกร ผู้ใช้แรงงาน ก็ต้องสานึกเสมอว่านายจ้างกับลูกจ้างเป็นของคู่กัน
ถ้าขาดอยา่ งหนงึ่ กไ็ ม่มอี กี อย่างหนงึ่ ตอ้ งพึ่งพาอาศยั กนั ดังนั้น ต้องต่างมีจริยธรรมต่อกัน ฝ่ายชนช้ันกรรมาชีพ
ก็ต้องมีจรรยาบรรณด้วย
2. จรรยาบรรณของนักการตลาด
สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา (American.Marketing.Association).ได้กาหนด
จรรยาบรรณของนกั การตลาดให้สมาชกิ ของสมาคมถอื เป็นแนวปฏบิ ัติมขี ้อความดังน้ี
ในฐานะสมาชิกของสมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกาข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าจะ
ยอมรับทจี่ ะปฏิบตั ิตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของข้าพเจ้าและรับผิดชอบต่อสังคมและผูอ้ น่ื
2.1 จะรบั ผดิ ชอบต่อสังคมและองคก์ รที่ขา้ พเจ้าทางานอยู่
2.2 ขอสัญญาว่าจะนาเสนอสินค้า บริการและความรู้ความเข้าใจอย่างซ่ือสัตย์สุจริต
และโปรง่ ใส
2.3 มงุ่ ม่นั ที่จะปรับปรุงความรู้และฝกึ ฝนดา้ นการตลาดเพอื่ ให้มีคุณค่าต่อสังคม
2.4 สนับสนนุ ใหผ้ ู้บริโภคมอี ิสระในการตดั สนิ ใจภายใต้กฎหมายและมาตรฐานของสังคม
2.5 ขอสัญญาว่าจะใช้มาตรฐานสูงสุดของวิชาชีพในการปฏิบัติงานและการแข่งขัน
ทางการค้า
2.6 ภายใต้กฎและแนวปฏิบัติของสมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าจะลาออก
จากการเป็นสมาชกิ ของสมาคม หากพบว่าข้าพเจ้าละเมดิ จรยิ ธรรมแห่งวิชาชีพ


Click to View FlipBook Version