The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aomsin3692, 2021-11-08 11:07:07

บทที่ 1

บทที่ 1

มนุษยสมั พันธก์ ับการจงู ใจในการทางาน 151

ในขอบเขตท่ีเหมาะสม เช่น ให้เม่ืออีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ ให้โดยไม่มีผลกระทบในทางเสียหาย
ต่องานส่วนรวม หรือช่วยเหลือโดยเลือกท่ีรักมักท่ีชัง คือ ขาดความยุติธรรม ซึ่งบางทีนาไปสู่การแตก
ความสามัคคีหรืออิจฉาริษยากันในหน่วยงาน การช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสมไม่ว่าจะอยู่
ในสถานะของผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่ระดับเดียวกัน หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็ย่อมนามาซ่ึงการอยู่
รว่ มกันโดยราบรน่ื สงบสขุ

5. มีการทางานร่วมกนั อย่างเปน็ ระบบ
การทางานร่วมกันโดยหลายคนน้ัน ถ้ามีทีมงาน.(Team.Work).ท่ีเหมาะสม คือ

มีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่และมีขอบข่ายงานที่กาหนด
เด่นชัด การดาเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดี มักส่งผล
ใหง้ านสาเร็จ และมีความสมั พนั ธ์อนั ดีต่อกนั ดว้ ย

6. มกี ารร่วมมือท่ีดี
การร่วมมือเป็นพฤติกรรมของกลุ่มท่ีมีลักษณะไปในทางเดียวกันของสมาชิกกลุ่ ม

คือ แต่ละบุคคลจะได้รับความสาเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อกลุ่มได้รับความสาเร็จ ดังน้ัน จึงจัดได้ว่า
การทางานร่วมกันน้ัน ถ้าทาให้ทุกคนร่วมมือกันทาเพื่อให้กลุ่มทางานสาเร็จได้ ก็จัดว่ากลุ่มดังกล่าว
มีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน วิธีน้ีจะเป็นที่ยอมรับของนักจิตวิทยามากกว่า
การแข่งขัน เนื่องจากในกระบวนการของการแข่งขันน้ัน เมื่อฝ่ายหน่ึงได้อีกฝ่ายหนึ่งจะเสีย แม้บางคร้ัง
การแขง่ ขนั อาจทาให้ผลงานของกลุ่มดีขน้ึ แต่ในแง่ของสมั พนั ธภาพมักเสยี ไป

7. ผมู้ าร่วมกลมุ่ ทางานมีลกั ษณะท่เี อ้อื ต่อการมีมนุษยสมั พันธ์ทีด่ ี
ในการทาธุรกิจร่วมกันถ้าผู้มาร่วมกลุ่มทางานมีลักษณะบางประการที่เอื้อต่อการ

มีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี คือ มีลักษณะส่วนตัวท่ีพร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทางานกลุ่มเป็นไปด้วย
ไมตรีอันดี เช่น สมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทางานน้ัน รู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีดาเนินงานกลุ่ม
รู้นโยบายและเป้าหมายของงาน มีความเป็นกันเอง คบคนง่าย มีลักษณะให้กาลังใจผู้อื่นเป็นต้น
ด้วยลกั ษณะของสมาชกิ กล่มุ ดังกล่าวน้ี มักส่งผลใหเ้ กดิ มนษุ ยสัมพนั ธอ์ ันดีกบั เพือ่ นรว่ มงาน

สรุปจากลักษณะ.7.ประการของกลุ่มทางานที่มีความสัมพันธ์ที่ดีดังกล่าว.จะเห็นได้ว่า
มีทงั้ ส่วนทีเ่ ปน็ รูปแบบของการทางานร่วมกัน และส่วนที่เป็นลักษณะส่วนตัวของผู้มาร่วมกลุ่มทางาน
ในส่วนที่เป็นรูปแบบการทางาน.เช่น มีการทางานร่วมกันแบบประชาธิปไตย มีความไว้วางใจและเช่ือ
ในความสามารถ มกี ารตดิ ตอ่ สอื่ สารท่ีดใี นหน่วยงาน มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตท่ีเหมาะสม มีการ
ทางานรว่ มกนั อยา่ งเปน็ ระบบและมีการร่วมมือท่ดี ีสาหรับสว่ นทเี่ ป็นลกั ษณะส่วนตัวของผู้มาร่วมกลุ่ม
ทางานนั้น จัดเป็นปัจจัยสาคัญมากท่ีจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพ่ือนร่วมงานเป็นไปด้วยดี
หรือไม่ ได้แก่ ความคิด จิตใจ เจตคติ บุคลิกภาพส่วนตัวของแต่ละบุคคล ซ่ึงเป็นท่ียอมรับกันว่า
ส่ิงเหล่านี้ มีอิทธิพลมากต่อความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามลักษณะดังกล่าว นักจิตวิทยา
มีความเชื่อว่าสามารถปรับเปล่ียนพัฒนาได้ ถ้าบุคคลมีความต้ังใจจริง ผู้ทางานร่วมกันจะถือเป็น
ความรับผดิ ชอบท่จี ะต้องปรับเปลีย่ นพฒั นาตน เพื่อสร้างความสัมพนั ธ์ทีด่ ีตอ่ กนั ในหน่วยงาน

152 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

การพฒั นาตนเพือ่ เสรมิ สร้างสัมพันธ์อันดีกับเพ่ือนรว่ มงาน

การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในการทางานร่วมกันน้ัน บุคคลควรตระหนักในความ
รับผิดชอบรว่ มกนั ว่าทุกคนจะเร่ิมท่ีตัวของตัวเอง การปรับเปลี่ยนตนเอง เพ่ือให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่าง
เป็นสุขนั้น อยู่ในวิสัยท่ีสามารถจัดการได้ดีกว่าการมุ่งปรับเปลี่ยนผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อม เมื่อบุคคล
มีพฤติกรรมที่ดีกับผู้อื่นในที่สุดก็จะได้ปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีจากผู้อ่ืนกลับคืนมาดังมีคากล่าว
ในประชุมโคลงโลกนิตติ อนหน่ึงทว่ี า่

ใหท้ ่านจักให้ ตอบสนอง

นบท่านทา่ นจกั ปอง นอบไหว้

รักท่านท่านควรครองความรัก เรานา

สามสิง่ น้เี วน้ ไว้ แด่ผู้ทรชน

ประชุมโคลงโลกนติ ิ
จากประชุมโคลงโลกนิติดังกล่าวมีความหมายว่า การท่ีบุคคลให้สิ่งใดแก่ผู้อื่นก็มีแนวโน้ม
จะได้รับส่ิงนั้นสะท้อนกลับคืนมาเช่นเดียวกัน ซ่ึงบางทีการสะท้อนกลับคืนมานั้นอาจมิใช่เพราะผู้อ่ืน
นามาให้เสมอไป ในหลายเรื่องได้รับจากความรู้สึกของตัวเราเอง เช่น เม่ือให้ความรักให้น้าใจ
แก่คนอื่น ผลจากการให้.ทาให้ตนเองรู้สึกปลาบปล้ืมเป็นสุข ภาคภูมิใจในตนเอง ความรู้สึกดี ๆ
ดังกล่าวนี้เป็นผลสะท้อนจากการให้ท่ีเกิดข้ึนในใจของเราเอง.โดยที่คนอ่ืนไม่ต้องนาความรู้สึกน้ีมาให้
และนับว่ามคี า่ สูงสง่ เนอื่ งจากเร่อื งของความรู้สกึ ดี ๆ นั้น ซ้ือหาไม่ได้ด้วยเงิน
การพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพ่ือนร่วมงาน อาจทาได้หลายลักษณะ
หลายแนวทาง ในที่นี้จะกล่าวโดยสังเขปในแนวปฏิบัติบางประการที่เหมาะสมกับผู้ทางาน ได้แก่
การสรา้ งอัตตมโนทัศน์ที่ตรงตามความเป็นจริงการมองตนเองและผู้อื่นในทางที่ดี การปฏิบัติต่อผู้อ่ืน
ในทางท่ีดี การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น การพัฒนาการวางตนตามสถานะและบทบาทในองค์กร
มีดังน้ี
1. การสรา้ งอตั มโนทัศน์ ทตี่ รงตามความเปน็ จริง

คาว่า อัตมโนทัศน์ ซึ่งบางคนเรียกว่า ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตนเองนี้ โรเจอร์
ซ่ึงเป็นผู้นาของนักจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยม กล่าวว่า เป็นความคิดความรู้สึกท่ีเป็นข้อสรุปต่อตนเอง
ของบุคคล ความคิดความรู้สึกดังกล่าวเป็นผลิตผลจากประสบการณ์ในชีวิตท่ีได้มีการปฏิสัมพันธ์
กับบุคคลรอบข้าง อัตตมโนทัศน์เป็นภาพท้ังหมดของบุคคลในความคิดคานึง ซ่ึงมิได้เจาะจง
ท่ีจดุ ใดจุดหนง่ึ โดยเฉพาะ เช่น ไม่เจาะจงว่าเป็นคนสูงมาก อ้วนมาก โกรธง่าย หงุดหงิด หรือเป็นคน
อารมณข์ นั เป็นตน้ หากแต่เปน็ ความคิดความรู้สึกเก่ียวกับตนเองในภาพรวมทั้งหมด เช่น ความรู้สึก
เกี่ยวกับสภาพอารมณ์และร่างกายท้ังหมด กิจกรรมทุกอย่างที่ปฏิบัติ ทุกสิ่งท่ีปฏิบัติและล้มเหลว

มนุษยสมั พันธก์ ับการจงู ใจในการทางาน 153

รวมท้ังความรู้สึกของบุคคลท่ีว่าบุคคลอ่ืนมองเขาอย่างไร เป็นต้น.ซ่ึงทั้งหมดเหล่านี้ เกิดจากการ
ที่บุคคลติดต่อสัมพันธ์ กับผู้อ่ืน เช่น ได้จากการสังเกตกิริยาอาการของผู้อ่ืนท่ีแสดงต่อตน จากการได้รับ
การยอมรบั หรอื ไมไ่ ดร้ ับการยอมรับจากตาแหน่งหน้าที่ในสังคม เป็นต้น ซึ่งอัตตมโนทัศน์เหล่านี้จะมี
ท้ังบวกและลบ

แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่น่าสนใจอย่างหน่ึงก็คือ บุคคลแต่ละคนมิได้มีอัตตมโนทัศน์
ที่ถูกต้องเที่ยงแท้เสมอไป บางคร้ังมีการเข้าใจตนเองผิดจากประสบการณ์บางประการ โดยอาจจะ
มองบวกมากไปเกี่ยวกับตนเอง เช่น มีเสน่ห์แรง ทางานเก่ง สติปัญญาเป็นเลิศ หรืออาจจะมอง
ในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่ เช่น อาจคิดว่าตนเองพูดไม่เป็น อ่อนแอ งุ่มง่าม บุคลิกภาพไม่ดี เป็นต้น คนบางคน
มองแตแ่ งด่ ีในตัวเองไมย่ อมรบั ขอ้ เสีย บางคนมองแต่ข้อเสียไม่ยอมรับข้อดี แท้ที่จริงแล้วบุคคลมักจะ
มที ั้งขอ้ ดแี ละข้อเสยี ในตัวเอง ซึ่งบุคคลควรที่จะพยายามสร้างอัตตมโนทัศน์ให้ตรงตามความเป็นจริง
โดยหมั่นสารวจตรวจสอบตนเองอยู่เสมอ โดยอาจจะพูดหรือเขียนประโยคต่างๆ ท่ีเป็นการบรรยาย
ตนเองแล้วพูดคุยกับผู้ใกล้ชิดว่าบุคคลเหล่าน้ันเห็นด้วยกับส่ิงท่ีพูดหรือเขียนอย่างไร หรืออีกวิธีหนึ่ง
ท่ีอาจจะช่วยให้การสารวจตรวจสอบตนเองเป็นไปได้ด้วยดี คือ การใช้แบบสารวจตนเอง ซึ่งบุคคล
จะต้องควบคุมตนเองให้ตอบอย่างซ่ือตรงและจริงใจต่อตนเอง เพ่ือให้ค้นพบตนเองที่แท้จริง ปัจจุบัน
มีผู้สร้างแบบสารวจตนเองเก่ียวกับมนุษยสัมพันธ์ไว้มาก ตัวอย่างแบบสารวจตนเอง ชุดหนึ่งที่น่าสนใจ
เช่น แบบสารวจชื่อ “มองตนเพื่อสร้างสัมพันธ์”.ของวัชรี ธุวรรม อันเป็นแบบสารวจท่ีสร้างและ
ปรับปรุงขึ้น เพื่อใช้สาหรับให้บุคคลสารวจตรวจสอบตนเองในลักษณะของตนบางด้านท่ีเก่ียวกับ
พัฒนาการทางสังคม เพ่ือให้รู้จักตนเองเพิ่มข้ึนเกี่ยวกับลักษณะทางสังคมของตน เพ่ือให้เกิดการ
พฒั นาตนด้านสมั พันธภาพกับผ้อู นื่ ซง่ึ จะนาไปสกู่ ารพฒั นางานในหนา้ ที่ไดด้ ว้ ย

2. การมองตนเองและผูอ้ ่นื ในทางทดี่ ี
นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ ซ่ึงโดยมากมักเป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม มีความเห็นว่า

เรื่องของมนุษยสัมพันธ์นั้น ควรเริ่มท่ีตัวเองเป็นจุดแรก ทั้งน้ีเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าการท่ีบุคคลรู้สึก
ต่อผู้อ่ืนเช่นไร ส่วนใหญ่มักข้ึนอยู่กับความรู้สึกของตนเอง ถ้ามีความรู้สึกท่ีดีเกี่ยวกับตนเองและมอง
ตนเองในทางที่ดี ก็มีแนวโน้มท่ีจะรู้สึกต่อผู้อื่นในทางท่ีดี และมองผู้อื่นดีด้วย คาว่า.“มองตนเอง
ในทางท่ีดี” ในความหมายของนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยมน้ันมิได้หมายความว่า จะให้บุคคลหลอก
ตนเองไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็ให้มองดีไปหมด แต่หมายถึงการมุ่งให้ความสนใจกับจุดดีของตนเอง
การคิดถึงตนเองในจุดท่ดี งี าม.เช่น มนี า้ ใจ รับผิดชอบ ตรงเวลา รักความยตุ ธิ รรม เป็นต้น จะส่งผลให้
ยึดถือปฏิบัติในสิ่งดีดังกล่าว จนอาจไม่มีเวลาคิดไม่ดี ทาไม่ดี ด้วยกระบวนการดังกล่าวน้ีนักจิตวิทยา
เชื่อว่าจะยิ่งทาให้ตนเองมีความดีเพิ่มขึ้น ส่วนความไม่ดีก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ซ่ึงเม่ือเป็นดังน้ี
จะทาให้เกิดความคิดความรู้สึกที่ดีเก่ียวกับตนเองเพ่ิมข้ึน ดังคาสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ซ่ึงกล่าวถึง
การมองผู้อ่ืนในแงด่ ี ดังนี้

154 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

มองแต่ในแงด่ ีเถดิ

เขามสี ่วน เลวบ้าง ชา่ งหัวเขา จงเลอื กเอาส่วนทีด่ ี เขามอี ยู่

เป็นประโยชน์แกโ่ ลกบ้างยงั น่าดู ส่วนทช่ี ่ัวอย่าไปรู้ของเขาเลย

จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามวั เท่ยี วคน้ หาสหายเอ๋ย

เหมือนเท่ยี วหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย ฝึกใหเ้ คยมองแตด่ มี ีคุณจริง

พทุ ธทาสภิกขุ (ทองทพิ ภา วิริยะพนั ธ์,2551:113)

จากคาสอนของท่านพุทธทาสภิกขุดังกล่าว ช้ีให้เห็นว่า มนุษย์เราทุกคนต่างมีส่วนท่ี
ไม่ดีอยู่ในตนเองด้วยกันท้ังนั้น ดังน้ัน.ในการทางานร่วมกันในหน่วยงาน ทุกคนควรถือเป็นเร่ืองปกติ
ธรรมดา และไม่ควรมุ่งให้ความสนใจกับความไม่ดีของเพ่ือนร่วมงาน ไม่มีใครที่จะมีแต่ความดี
โดยปราศจากความไม่ดี ถ้ามัวเสียเวลากับการค้นหาคนดีที่ปราศจากความไม่ดีก็จะพบว่าหาไม่ได้
ในโลกน้ี เสียเวลาและแรงงานโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าพยายามมองข้ามความไม่ดีของเขาและ
มงุ่ เลือกส่วนดี.ๆ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการทางานรว่ มกนั กจ็ ะช่วยให้บรรยากาศในการทางาน
และผลงานดีขึ้นได้ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกันด้วย กล่าวได้ว่าการมองกันในแง่ดี น้ัน
เปน็ ประโยชน์ทัง้ กบั ผมู้ อง ผู้ถกู มองและหนว่ ยงานเองกไ็ ดร้ ับประโยชน์เช่นเดียวกนั

3. การปฏิบตั ติ อ่ ผู้อื่นในทางท่ีดี
จอห์น.บี วัตสัน ผู้นาสาคัญของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ซ่ึงเป็นกลุ่มจิตวิทยา

ที่เช่ือในเรือ่ งการใช้สง่ิ เรา้ หรอื สง่ิ แวดลอ้ มมาเป็นเง่ือนไขในการปรับเปล่ยี น และพัฒนาพฤติกรรมของ
บุคคล ได้กล่าวให้เห็นอิทธิพลของส่ิงเร้าหรือสิ่งแวดล้อมต่อพฤติกรรมหรือการกระทาของคนไว้
ในหนังสือเล่มหนึ่งช่ือ.“พฤติกรรมนิยม”.ซึ่งเขาเขียนไว้ต้ังแต่ปี ค.ศ..1924.ความว่า“จงนาเด็กทารก
มาใหข้ า้ พเจา้ เลย้ี งดูสัก 1.โหล ซึ่งเป็นเด็กที่สมบูรณ์ ลักษณะปกติ ข้าพเจ้ารับรองว่าจะสามารถสร้าง
ใหเ้ ขาเหลา่ นนั้ เป็นอะไรกไ็ ดต้ ามตอ้ งการ อาจจะเป็นนายแพทย์ นักกฎหมาย ศิลปิน ผู้นาทางการค้า
หรือแม้กระท่ังขอทานและหัวขโมย ทั้งนี้โดยไม่สนใจว่าบรรพบุรุษของเด็กเหล่าน้ัน มีความสามารถ
อาชีพ หรือเชอื้ ชาตใิ ดมากอ่ น”

จากคาพูดของวัตสันดังกล่าว แสดงให้เห็นความเช่ือของนักจิตวิทยาในด้านพฤติกรรม
หรือการกระทาของบุคคลว่า บุคคลจะมีพฤติกรรมโน้มเอียงไปตามสิ่งเร้าหรือสภาพแวดล้อม
ถ้าได้รับแรงกระตุ้น หรือสิ่งแวดล้อมในแง่ดีพฤติกรรมก็ออกมาดี และถ้าแรงกระตุ้นเป็นไปในแง่ลบ
ก็อาจได้ผลพฤติกรรมในแง่ลบออกมา คาอธิบายนี้นามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในแง่ของการสร้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างเพือ่ นร่วมงานได้ แนวปฏิบัติท่ีสาคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อ่ืน เพื่อเสริมสร้าง
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพอ่ื นรว่ มงานด้วยกันมดี ังนี้

มนุษยสมั พนั ธก์ บั การจูงใจในการทางาน 155

3.1 ใหค้ วามสนใจเพ่อื นรว่ มงาน.คือบุคคลสว่ นใหญช่ อบให้ผู้อื่นสนใจ ดังนั้น จึงควรให้
ความสนใจเพื่อนร่วมงาน โดยการทักทายปราศรัย ถามในส่ิงดี ๆ ของเพื่อนร่วมงาน เช่น ผลงาน
ท่ีได้รับความสาเร็จ ครอบครัวท่ีอบอุ่น ลูก.ๆ ท่ีเจริญก้าวหน้า เป็นต้น.ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนร่วมงานรู้สึก
พอใจและเปน็ สขุ

3.2 ยิม้ แย้ม เป็นการย้ิมของบุคคลท่ีให้แก่อีกฝ่ายหน่ึง มักแสดงให้เห็นถึงความนิยม
ชมชื่น ชอบพอ รักใคร่ จึงเห็นได้ว่าการย้ิมเป็นหัวใจสาคัญของการสร้างสัมพันธภาพโดยไม่จากัด
สถานะ เช้ือชาติ เพศหรือวัย แต่ขณะเดียวกันก็ควรใช้การยิ้มให้เหมาะสมกับกาลเทศะด้วย ถ้ายิ้ม
ผิดเวลาผิดท่ีก็อาจทาลายความสัมพันธ์กันได้ เช่น เพื่อนกาลังมีความทุกข์แต่เรายิ้ม เพ่ือนกาลังถูก
สั่งพักงาน เราก็ยม้ิ กับคาสงั่ นนั้ เชน่ นเ้ี รียกว่าย้ิมผดิ เวลา

3.3 แสดงการจาได้ วิธีการแสดงการจาได้ เช่น จาช่ือ จาเหตุการณ์หรือเร่ืองราว
ทด่ี ๆี ท่เี คยเกีย่ วข้องกัน จาความสาเร็จท่ีเพื่อนได้รับ จาวันเกิด วันสมรสของเพ่ือนได้ เป็นต้น ซึ่งเม่ือ
มีโอกาสก็ทักทายหรือคุยเรื่องเก่าที่เก็บไว้ในความทรงจา หรืออวยพรในโอกาสวันสาคัญ ซึ่งจะช่วย
สร้างความร้สู ึกท่ดี ีต่อกันได้มากข้นึ

3.4 เป็นค่สู นทนาทด่ี ี การแสดงตนเปน็ คูส่ นทนาท่ีดีของเพื่อนร่วมงานน้ัน อาจทาได้
โดยการทาตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดคุยตามความต้องการของเขา ท้ังนี้โดยต้องฟังอย่าง
ตั้งใจฟัง เพื่อใหจ้ ับใจความได้และสามารถตอบคาพูดของคู่สนทนา ไม่ขัดจังหวะ ไม่ขัดคอ ซึ่งช่วยให้ผู้พูด
มีความสุข แต่ควรระวังงดการพูดเสริมเม่ือมีการนินทาบุคคลที่สาม เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ตอ่ ไป

3.5 ความคิดเห็นของผู้อื่น.คือไม่ผูกขาดอยู่กับความคิดของตนเองข้างเดียว
ผู้ที่ผูกขาดความคิดเห็นของตนมักเป็นคนที่ชอบเอาชนะ เม่ือแสดงความคิดเห็น ถือเอาความเห็น
ของตนว่าสาคัญกว่าความเห็นของผู้อ่ืน มักโต้แย้งความเห็นของผู้อื่น เป็นต้น.การแสดงต่อผู้อื่นโดยวิธีนี้
มักทาให้ขาดเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม หัวหน้างานก็มักไม่อยากมอบหมายงานสาคัญให้ทา
เพราะมีลักษณะ.“เข้าท่ีไหนวงแตกท่ีน่ัน”.จึงควรทาในสิ่งตรงข้าม คือ พยายามรับฟังและยอมรับฟัง
ความคดิ เหน็ ของผ้อู ่นื

3.6 แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ.ท้ังนี้เน่ืองจากเพ่ือนร่วมงานบางคน
มีอาวุโสด้านอายุ อาจสูงส่งด้วยชาติตระกูล อาจมีความรู้สูง อาจมีทักษะประสบการณ์เหนือผู้อ่ืน
หรืออาจมีตาแหน่งงานเหนือใครอยู่บ้าง ผู้มีจิตใจสูง มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติ
และเคารพในศักดิ์ศรีของเพ่ือนร่วมงานตามสถานภาพนั้นๆ หรืออย่างน้อยก็ยอมรับในศักด์ิศรีของ
ความเป็นเพอื่ นมนษุ ย์และเพื่อนร่วมงาน

3.7 แสดงความมนี า้ ใจ ซ่ึงการมีนา้ ใจต่อผู้อ่ืน.อาจแสดงออกได้หลายแนวทาง เช่น
การเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ.ให้อภัย.ให้กาลังใจ.คุณลักษณะต่างๆ
เหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยซ่ึงควรรักษาไว้และแสดงต่อเพื่อนร่วมงานด้วยกัน.ซ่ึงจะช่วย
ให้สมั พันธภาพเปน็ ไปดว้ ยดี

156 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

3.8 แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องจากเพ่ือนร่วมงานแต่ละคนในหน่วยงาน มักมี
วันพิเศษหรือเหตุการณ์สาคัญของชีวิตด้วยกันท้ังน้ัน เช่น อาจจะเป็นวันรับรางวัลพิเศษ การได้รับ
เหรียญเชิดชูเกียรติ ความพิเศษดังกล่าวเหล่านี้บุคคลควรหาโอกาสแสดงความช่ืนชมยินดีต่อเพื่อน
ร่วมงานด้วยความจริงใจ ซ่ึงจัดว่าเป็นการแสดงน้าใจให้ความสนใจ และยอมรับเพื่อนร่วมงาน
ในความสาเรจ็

จากที่กล่าวมาทั้งหมดในเร่ืองการปฏิบัติต่อผู้อ่ืนในทางที่ดี สิ่งเหล่าน้ีจัดเป็นการสร้าง
ส่ิงแวดล้อมหรือบรรยากาศทางจิตวิทยาที่ดีในที่ทางานในองค์กร ให้เกิดแรงกระตุ้นการตอบสนอง
ที่ดีจากอีกฝ่ายหน่ึง ช่วยให้เกิดสัมพันธภาพท่ีดีต่อกันมากข้ึนในองค์กร หลักปฏิบัติดังกล่าวนี้
เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่าตรงกับหลักสังคหวัตถุ.4.ในคาสอนของพระพุทธศาสนา.ซ่ึงเป็น
หลักธรรม 4.ประการที่ใช้ปฏิบัติเพ่ือเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพ่ือนร่วมงานได้.อันได้แก่.ทาน
ปิยะวาจา อัตถจริยาและสมานัตตตา คาว่า.“ทาน”.หมายถึงการให้น้าใจ.ให้เกียรติ ให้คาแนะนา
ช่วยเหลอื ให้ความเปน็ มติ ร คาว่า.“ปิยะวาจา”.หมายถึง การใช้วาจาดีรู้จักการพูดยกย่องชมเชยผู้อ่ืน
ไม่พูดจาเหน็บแนม ส่อเสียดใส่ร้ายผู้อ่ืน ไม่พูดในส่ิงที่ผู้อ่ืนไม่อยากฟัง.คาว่า.“อัตถจริยา”.หมายถึง.
การปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ท้ังต่อตนเองและแก่ผู้อื่นในแนวทางท่ีดีงามและ.คาว่า “สมานัตตตา”
หมายถึง.การปฏิบัติตนต่อผู้อ่ืนอย่างเสมอต้นเสมอปลายในแนวทางที่เหมาะสม ซ่ึงจะเห็นได้ว่า
แนวทางปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางท่ีดีน้ันมีลักษณะเป็นสากลและไม่ล้าสมัยไม่ว่าชาติใดภาษาใดหรือ
ยุคสมัยใดก็ยังยึดถือหลักท่ีคล้ายคลึงกัน ดังเช่นแนวคิดของนักจิตวิทยาที่สอดคล้องกับหลักคาสอน
ของพทุ ธศาสนาซ่ึงมีมาช้านานแลว้

4. การวางตนตามสถานะและบทบาทในองค์กรเพ่อื สร้างมนุษยสมั พันธ์

ในที่ทางานหนึ่ง ๆ จะมีผู้ทางานในตาแหน่งและระดับต่าง.ๆ กันไป ซ่ึงแบ่งได้กว้าง ๆ
เป็น 3.ระดับ คือผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา บุคคลในแต่ละระดับดังกล่าวจะมี
สถานะและบทบาทต่าง.ๆ กันไป ผู้ท่ีวางตนในการทางานร่วมกับบุคคลระดับต่าง.ๆ ได้โดยเหมาะสม
มักชว่ ยใหก้ ารทางานเป็นไปโดยราบร่ืนและอยู่กันได้ด้วยความสุข แนวทางในการวางตนตามสถานะ
และบทบาทในองค์กร มีโดยสงั เขปดังตอ่ ไปนี้

4.1 การวางตนในการทางานร่วมกับผู้บังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะอยู่
ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นาในการปฏิบัติงานและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงาน ในที่ทางานเหนือกว่า
ผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสาคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ
ให้ความร่วมมอื และเช่ือฟงั ในส่งิ ท่ชี อบดว้ ยเหตุผลและบทบาทหนา้ ท่ีโดยปฏบิ ัตดิ งั นี้

หรือโตเ้ ถยี ง 4.1.1 ยกยอ่ งผู้บงั คบั บัญชาตามควรแก่ฐานะ
4.1.2 รับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บังคับบัญชา หลีกเล่ียงการแสดงอารมณ์

4.1.3 ปฏบิ ัตงิ านด้วยความต้ังใจและเต็มความสามารถ เพือ่ ให้ผ้บู ังคับบัญชาเชอื่ ถือ

มนุษยสมั พันธก์ ับการจูงใจในการทางาน 157

4.1.4 ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคาสั่งขององค์กร เพื่อเป็นการให้เกียรติ
และยอมรบั ผู้บังคับบัญชา

4.1.5 เสนอข้อคดิ เหน็ โดยสุภาพอ่อนนอ้ ม เมื่อผู้บงั คบั บัญชาถามความเห็น
4.1.6 หลีกเลีย่ งการรบกวนผู้บังคบั บญั ชาด้วยเร่อื งเล็กน้อย
4.1.7 หลีกเล่ียงการบ่นเร่ืองงานท่ียากลาบากให้ผู้บังคับบัญชาฟัง เพราะอาจ
สร้างความเขา้ ใจผิดวา่ ตอ้ งการความดีความชอบ หรอื แสดงถงึ การขาดความอดทน
4.1.8 หลีกเล่ียงการนินทาผู้บังคับบัญชาลับหลัง ถ้ามีปัญหาเรื่องงานเกิดข้ึน
ควรหาโอกาสพูดกับผบู้ ังคบั บัญชาโดยตรงด้วยความออ่ นนอ้ มถ่อมตน
4.1.9 หลกี เลีย่ งการตอบรับหรือปฏิเสธตลอดเวลา การท่ีจะตอบรับหรือปฏิเสธ
ความเห็นของผู้บังคับบัญชา ควรให้เป็นไปด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเห็นว่าถูกก็ตอบรับ ถ้าเห็นว่าผิด
กป็ ฏเิ สธ ท้งั นใ้ี ห้เป็นไปตามขอ้ มูลทปี่ รากฏ ไมม่ กี ารประจบประแจง
4.1.10 หลีกเลี่ยงการทาตัวแข่งกับผู้บังคับบัญชา การเอาชนะหรือทาตัวเด่นกว่า
ผ้บู งั คับบญั ชานั้น โดยวัฒนธรรมไทยแล้วอาจดเู ป็นการขาดมารยาทท่เี หมาะสม
ด้วยหลักการวางตนในการทางานร่วมกับผู้บังคับบัญชาทั้ง 10.ประการ ดังกล่าว
ถ้าบุคคลใดปฏิบัติได้โดยครบถ้วนสมบูรณ์ ก็มีแนวโน้มว่าจะมีสัมพันธภาพอันดีกับผู้บังคับบัญชา
ได้ไมม่ ากกน็ อ้ ย
4.2 การวางตนในการทางานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน.ผู้ท่ีปฏิบัติงานในระดับ
เดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทางานอย่างมีประสิทธิภาพและมีบทบาทสู ง
ต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร เน่ืองจากอยู่ใกล้ชิดกันมากท่ีสุดและงานหลายงานก็ยังต้องอาศัย
ความร่วมมือและน้าใจช่วยเหลือกัน ดังน้ัน การวางตนในการทางาน ร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น
จึงตอ้ งวางตนโดยเป็นผใู้ ห้ ใหม้ ากทีส่ ดุ และปฏบิ ัติดตี ่อกันใหม้ ากท่ีสดุ ซึ่งได้กล่าวไว้บ้างแล้วในหัวข้อ
อื่น ๆ สาหรบั ในท่นี ีก้ ลา่ วโดยสังเขปไดด้ งั น้ี
4.2.1 มองเพือ่ นร่วมงานในแงด่ ี ให้ความจริงใจ ใหค้ วามช่วยเหลือ
4.2.2 หลีกเลย่ี งการผลกั ภาระรับผดิ ชอบของตนไปใหเ้ พ่อื นร่วมงาน
4.2.3 เมื่อมีปัญหาต้องพูดคุยกัน ควรพยายามเข้าหาเพื่อนร่วมงานก่อน เพื่อให้
เกียรติ ให้ความสาคญั
4.2.4 หาโอกาสพบปะสงั สรรค์กบั เพ่ือนร่วมงานตามสมควร อยา่ ปลีกตวั ตลอดเวลา
4.2.5 ให้การยกยอ่ งชมเชยตามโอกาสอันควร แต่อยา่ ให้มากไปจนดูไมจ่ ริงใจ
4.2.6 หลีกเล่ียงการแสดงอารมณ์เม่ือมีการขัดแย้งเกิดข้ึน และพยายามใช้เหตุ
ใช้ผลในการแกป้ ญั หา
4.2.7 หลีกเลี่ยงการทาตนเหนือเพื่อนร่วมงาน หรือใช้วาจาข่มขู่ ก้าวร้าว ดูหม่ิน
เหยียดหยาม
4.2.8 หลีกเล่ียงการขอร้องให้ช่วยเหลอื ในบางเรื่องท่เี ล็กน้อยและเราทาเอง

158 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

4.2.9 หลกี เลีย่ งการนนิ ทาว่ารา้ ย หรือวิพากษ์วจิ ารณ์ เพื่อนรว่ มงานลบั หลัง
4.2.10 ให้อภัย ให้โอกาส เมอื่ เพื่อนร่วมงานปฏิบัตผิ ิดพลาด
หลักปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานทั้ง 10.ประการท่ีกล่าวมานี้ เม่ือทุกคนในที่ทางาน
ต่างรว่ มใจปฏิบตั ดิ ้วยกัน ไม่เกยี่ งงานกนั วา่ ใหเ้ ขาทากอ่ นและเราจะทาตาม ก็น่าจะเชื่อได้ว่าช่วยสร้าง
สัมพนั ธภาพอันดีใหเ้ กดิ แก่หน่วยงานได้
4.3 การวางตนในการทางานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยการคานึงอยู่เสมอว่า
ผู้ใต้บังคับบัญชาคือฝ่ายปฏิบัติงานในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือและเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติ
ขาดความสุขในการทางานกม็ กั ส่งผลเสียตอ่ งานและมีผลกระทบทางลบมาถึงผู้บังคับบัญชาได้ในท่ีสุด
นอกจากนน้ั ผลงานของลกู น้องทกุ คนท้ังหมด เมื่อรวมกันแล้วก็คือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา
จึงควรต้องให้ความสาคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
เรื่องบทบาทของผู้บังคับบัญชานี้ได้กล่าวไว้บ้างแล้วในบทบาทท่ีว่าด้วยผู้บริหารงาน ดังน้ันในท่ีนี้
จงึ กล่าวเพิม่ เติมบางสว่ นโดยสงั เขป ดงั น้ี
4.3.1 เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเจริญก้าวหน้าในอาชีพ โดยอาจส่งไป
อบรม สมั มนา คน้ ควา้ วิจัย สนับสนนุ ใหผ้ ู้ใตบ้ ังคับบญั ชาแต่ละคนได้ทางานที่เหมาะสมแก่ตน ทั้งด้าน
ความสามารถและบคุ ลิกภาพ เพื่อให้ทางานไดด้ ว้ ยดี และมคี วามสุขในงาน
4.3.2 สื่อสารกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างชัดเจน เมื่อต้องการให้ทางานใดหรือ
ปฏิบตั อิ ย่างไรและหลีกเลยี่ งการส่ือสารทางเดียวให้มากทีส่ ุด
4.3.3 รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้อย่างไม่ลาบาก
และเป็นสุข ซ่ึงจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสียสละและทาประโยชน์ให้หน่วยงานเพ่ิมขึ้น
ยกย่องผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปรากฏแก่ผู้อื่นเม่ือเขาทาดี แต่เม่ือมีส่ิงผิดพลาดเกิดข้ึนควรเชิญเข้าพบ
พูดคยุ กันเป็นการสว่ นตวั ในบรรยากาศของความจรงิ ใจ
4.3.4 เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในงานให้มาก โดยการประชุม
ปรกึ ษา เสนอความคิดเหน็ และกระจายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแบง่ กนั รบั ผิดชอบ
4.3.5 ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาและปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
ดว้ ยความเป็นธรรม หลีกเลีย่ งการสง่ั การลงโทษ คาดโทษ โดยใชอ้ ารมณ์แทนเหตผุ ล
4.3.6 หลีกเลี่ยงการยกตนเองว่าสูงกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา เน่ืองจากอาจสร้าง
ความรู้สึกตอ่ ต้าน ไม่ยอมรบั ซง่ึ อาจทาใหม้ ีการกล่นั แกล้งกัน ด้วยวิธกี ารต่าง ๆ ตอ่ ไปได้
4.3.7 หลีกเล่ียงการจับผิดผู้ใต้บังคับบัญชา แต่แสดงให้เห็นว่าเขาจะได้รับการ
สนบั สนนุ ช่วยเหลอื จากผ้บู ังคบั บญั ชาให้ทางานได้โดยเต็มที่ เพื่อใหเ้ กิดผลดตี ่อหน่วยงาน
4.3.8 หลีกเล่ียงการแสดงความอยากได้ หรือการเบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชา
ซึ่งมีรายได้น้อยกว่าอยู่แล้ว หากแต่ควรทาตัวเป็นผู้ให้ในโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ตามสมควรและโดย
เสมอภาค

มนษุ ยสมั พันธ์กับการจูงใจในการทางาน 159

หลัก 8.ประการของการวางตัวต่อผู้ใต้บังคับบัญชาดังกล่าว ถ้าผู้บังคับบัญชาปฏิบัติ
ตามน้ี จะช่วยสร้างความรัก ความศรัทธา เกิดการยอมรบั จากผู้ใต้บังคับบัญชา ทาให้มีการร่วมมือกันดีข้ึน
ในการทางานร่วมกัน

ความรู้เกี่ยวกับการจูงใจในการทางานเป็นจิตวิทยาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน
รว่ มงาน ซงึ่ เป็นการนาความรู้เก่ียวกับธรรมชาติพฤติกรรมของบุคคลมาประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ในหน่วยงาน ตลอดจนความเข้าใจเกี่ยวกับแรงจูงใจและการจูงใจในการทางาน
เพื่อให้ทางานร่วมกันได้โดยเป็นสุขและได้ผลงานดีน้ัน ควรทาความเข้าใจต้ังแต่เรื่ององค์ประกอบ
ของมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งจะต้องมีท้ังการรู้จักตัวเอง การเข้าใจผู้อ่ืน และการเข้าใจสิ่งแวดล้อมแล้ว
ปรับปรุงพฒั นาตนเองใหเ้ ขา้ กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อนที่จะปรับปรุงพัฒนาตนเอง บุคคลต้องมี
ความเข้าใจว่าลักษณะของกลุ่มทางานที่ดีน้ัน ควรเป็นกลุ่มทางานร่วมกันแบบประชาธิปไตย มีความ
ไว้วางใจ เช่ือในความสามารถของกันและกัน มีการทางานร่วมกันอย่างเป็นระบบ มีการร่วมมือท่ีดี
และผู้มารวมกลุ่มทางานมีลักษณะบุคลิกภาพซึ่งเอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์ การเข้าใจเรื่อง
ลักษณะของกลุ่มทางานที่ดีดังกล่าว จะเป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงตนเองของบุคคล
เพ่ือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ซ่ึงหลักการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์เพื่อน
ร่วมงานนั้น บุคคลควรสร้างอัตมโนทัศน์ท่ีตรงตามความเป็นจริง มีความคิดความรู้สึกท่ีดีเกี่ยวกับตน
ซ่ึงจะส่งผลให้มองผู้อ่ืนในทางที่ดีด้วย เมื่อมองผู้อื่นในทางที่ดีได้ก็จะส่งผลให้อยากปฏิบัติต่อผู้อ่ืน
ในทางท่ดี ีซงึ่ ท้ายสดุ กจ็ ะไดพ้ ฤติกรรมทส่ี ะทอ้ นกลับมา

สรุปท้ายบท

การจูงใจในการทางานถือได้ว่าเป็นส่วนสาคัญอย่างหน่ึงในการบริหารองค์กรให้ประสบ
ผลสาเรจ็ เพราะว่าภายในองค์กรต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ต้องพึ่งพาอาศัยซ่ึงกันและกัน
เพือ่ ใหก้ จิ กรรมต่างๆ สาเร็จไปด้วยดี การจูงใจจึงหมายถึง กระบวนการที่บุคคลถูกกระตุ้นจากส่ิงเร้า
โดยจงใจใหเ้ กดิ การกระทาหรอื ดิ้นรนใหท้ าในสิง่ ท่ตี อ้ งการ

การจูงใจในการทางานมีความสาคัญช่วยเพิ่มพลังในการทางานให้บุคคล ช่วยเพิ่มความ
พยายามให้บุคคลและยังช่วยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทางานของบุคคล การจูงใจจึงสามารถนามา
ประยุกต์ใช้ในการทางานได้หลายแนวทาง ได้แก่ แนวทางการเสริมแรงตามทฤษฏีลาดับข้ัน
ความต้องการ 5 ขั้นของมาสโลว์ ได้แก่ ความต้องการทางกาย ความต้องการความปลอดภัย
ความต้องการความเปน็ เจ้าของและความรัก ความต้องการการยอมรบั และความต้องการความสาเร็จ
หรือตามแนวคิดทฤษฏีทฤษฎีความต้องการ 3 ประเภท (Three Needs Theory), ทฤษฎี ERG
(ERG Theory), ทฤษฎีการจูงใจของ Dauglas McGregor, ทฤษฎีความคาดหวัง (Expectancy
Theory), ทฤษฎีความเสมอภาค (Equity Theory, ทฤษฎีการจูงใจของ Lyman W. Porter, ทฤษฎี

160 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

การเสริมแรง (Reinforcement Theory), และทฤษฎีการกาหนดเป้าหมาย (Goal Setting
Theory) เปน็ ต้น

แนวทางการสร้างเสริมแรงจูงใจในการทางานดังกล่าว ซึ่งแยกกล่าวตามแนวคิด
และการศึกษาตามหัวเรื่องทฤษฎี และผลการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักวิจัยพฤติกรรมศาสตร์
แต่ละด้าน จะเห็นได้ว่ามีบางแนวทางต่างกัน บางแนวทางใช้หลักการเดียวกันตามการศึกษาแล้ว
ข้อค้นพบที่ได้ เน่ืองจากเป็นการศึกษาธรรมชาติการจูงใจในมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเป็นภาวะปกติที่จะได้
ข้อค้นพบทั้งส่วนท่ีเหมือนกันและต่างกัน เพราะมนุษย์มีทั้งลักษณะบางประการท่ีเป็นตัวร่วม
ท่ีคลา้ ยคลึงกนั และลกั ษณะบางประการทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ในการสร้างแรงจูงใจในการทางานแก่บุคคล
จึงตอ้ งอาศัยหลักการและทฤษฎอี นั เปน็ ข้อคน้ พบจากบุคคลส่วนใหญ่ที่คล้ายคลึงกัน กับท้ังต้องศึกษา
ลักษณะของบุคคลเฉพาะรายที่เป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสม
สอดคล้อง กับบุคคลน้ัน นอกจากนั้นบางคร้ังยังพบว่ากลวิธีในการสร้างแรงจูงใจต่างๆ ท่ีศึกษามา
มากมาย ไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใดๆ ก็อาจยังไม่ได้ผล อาจต้องศึกษาทดลองด้วยตนเอง จนกว่าจะพบวิธี
ที่ถกู ตอ้ งเหมาะสมในการสรา้ งแรงจงู ใจให้เกิดในการทางาน

มนุษยสมั พนั ธ์กบั การจงู ใจในการทางาน 161

กรณศี กึ ษา บทที่ 4
โลกลาเอียง

ปริศนาเป็นพนักงานในบริษัทแห่งหน่ึง เธอทางานในบริษัทแห่งนี้มาเป็นเวลานาน 10.ปี
แต่ตาแหน่งงานของเธอยังคงเป็นพนักงานเหมือนเดิมและเงินเดือนของเธอก็ได้ข้ึนเล็กน้อย
เม่ือเปรียบเทียบกับพนักงานในบริษัท ทั้ง ๆ ที่เธอต้ังใจทางานขยัน มีความรับผิดชอบงาน
มาโดยตลอด และพนักงานที่เข้ามาใหม่ ซึ่งเป็นลูกหลานของหัวหน้าแต่ละแผนกที่ฝากเข้ามาก็ได้
ปรับเล่ือนตาแหน่ง และก็ปรับเล่ือนเงินเดือน เธอจึงรู้สึกเบ่ือหน่ายกับการทางานในบริษัทแห่งนี้
เปน็ อยา่ งมาก

จากสภาพงานดังกล่าว ทาให้ปริศนาไม่ค่อยพูดจากับเพื่อนร่วมงาน เธอมักจะทางาน
ให้เสร็จ ไปวัน ๆ และก็กลับบ้าน บางครั้งถ้าเธอไม่สบายนิดหน่อยเธอก็จะลาหยุดไปเลย ซึ่งแต่ก่อน
เธอไมเ่ คย จะหยดุ งานเลยถา้ ไมจ่ าเปน็ ในชว่ งหลงั เธอมกั ทางานผิดพลาดอยู่เป็นประจา ทาให้ต้องถูก
ตาหนจิ ากหัวหน้างานเสมอ

ต่อมาเธอได้ตัดสินใจย่ืนจดหมายลาออกและผู้จัดการก็ได้เรียกเธอเข้ าพบเพราะว่าบริษัท
ไม่อยากเสยี พนกั งานท่ที างานกับบรษิ ัทมาเป็นเวลานานจึงได้เสนอขน้ึ เงินเดือนใหเ้ ธอ

คาถาม
1. หากนกั ศกึ ษาเป็นปริศนา นกั ศกึ ษาจะตดั สินใจอยา่ งไร
2. ถ้าท่านเป็นผจู้ ัดการบริษทั ทา่ นจะแก้ไขปัญหาที่เกดิ อย่างไร
3. หากนักศึกษาเป็นผู้จัดการบริษัท นักศึกษาจะมีเทคนิคในการจูงใจอย่างไร ให้ปริศนา
ไมล่ าออกจากบรษิ ัท

162 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ

กิจกรรม บทท่ี 4
เกม เครอื่ งดนตรีหรรษา

วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือให้เกดิ ความสนกุ สนาน
2. เพือ่ ฝึกการทางานเป็นทีมร่วมกนั
3. เพือ่ ฝึกการรว่ มแรงรว่ มใจกนั

จานวนผ้เู ลน่ 20-30 คน แบง่ เปน็ กลุ่มละ 5 คนจานวน 6 กลุ่ม
อุปกรณ์ -
สถานที่ ห้องเรียน
เวลา 20 - 30 นาที
วิธเี ล่น

1. ผนู้ ากจิ กรรมบอกให้ทุกคนยนื ขึ้นเป็นวงกลม แล้วนบั 1-5 ใครนบั เลขอะไรกใ็ ห้
รวมเปน็ กลมุ่ เดียวกัน

2. ผู้นากิจกรรมชี้แจงว่า ให้แต่ละกลุ่มเลือกเครื่องดนตรีไทยมา 1.อย่างที่ชอบ
3. ผู้นากิจกรรมชีแ้ จงต่อวา่ ใหแ้ ตล่ ะกล่มุ คิดเสียงของเครอ่ื งดนตรีท่ีเลอื กดว้ ย
4. จากน้ันผู้นากิจกรรมบอกจังหวะของเพลงท่ีจะให้แต่ละกลุ่มร้องตามเสียงของ
เครอื่ งดนตรี
5. ผู้นากิจกรรมลองทดสอบทีละกลุ่ม
6. ผู้นากิจกรรมออกคาส่ังให้ทุกกลุ่มน่ังลง ถ้าชี้กลุ่มไหนให้ลุกขึ้นแล้วทาท่าและ
ออกเสียงเคร่ืองดนตรีของตนเอง เม่ือทาเสร็จให้นั่งลง และก็จะชี้กลุ่มต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องให้
แต่ละกลมุ่ ดาเนนิ การเสรจ็
7. ผนู้ ากิจกรรมถามผู้รว่ มกิจกรรมได้อะไรจากการเลน่ กจิ กรรม
8. ผนู้ ากจิ กรรมสรุปวตั ถุประสงค์ของกิจกรรม

มนษุ ยสมั พันธ์กบั การจูงใจในการทางาน 163

แบบฝกึ หัด บทท่ี 4

คาชีแ้ จง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพจิ ารณาว่าข้อความนนั้ ถกู หรือผดิ ถา้ ถกู ให้ทา
เครอ่ื งหมาย √ ถา้ ผดิ ให้ทาเครื่องหมาย X ลงหน้าข้อความในแต่ละขอ้
1. ความต้องการแรงจูงใจ เป็นสภาพที่บุคคลขาดความสมดุล ทาให้เกิดแรงผลักดันให้

บคุ คล แสดงพฤตกิ รรมออกมา
2. แรงจงู ใจภายใน เปน็ สงิ่ ผลักดันจากภายในตัวบคุ คลด้วยเจตคติ และความคิดเหน็
3. บุคคลที่มีแรงจูงใจในการทางาน เป็นบุคคลที่มีความเชื่อม่ัน ความรับผิดชอบในการ

ทางาน
4. ทฤษฎีลาดับขน้ั ความตอ้ งการของมาสโลว์ ลาดบั สดุ ทา้ ย คือ ความต้องการความสาเร็จ

และความสมบูรณแ์ บบในชีวิต
5. ความต้องการทางสังคมและความต้องการทางจิตใจ เช่น ความต้องการความรัก

ความต้องการความมัน่ คง ความต้องการความปลอดภัยในการทางานธุรกิจ
6. ทฤษฎีการจงู ใจเนอ่ื งมาจากสง่ิ เรา้ ของกลมุ่ พฤตกิ รรม เปน็ ทฤษฎขี องมาสโลว์
7. พลังในการทางาน เป็นส่วนช่วยในการขับเคล่ือนพฤติกรรมการจูงใจของมนุษย์ในการ

ทางานทางธุรกจิ ให้สาเร็จตามเป้าหมายท่ีวางไว้
8. ทฤษฎแี รงจูงใจไร้สานึกของฟรอยด์ มีความคิดเห็นในเรื่องเพศและความก้าวร้าวที่เป็น

แรงขบั ให้เกดิ พฤติกรรม
9. ความต้องการทางสรีระ คือความต้องการที่ตอบสนอง เช่น ความต้องการทางเพศ

ความต้องการอนื่ ๆ ทท่ี าให้เกดิ การตอบสนองในร่างกาย
10. การต้งั เปา้ หมาย เปน็ การตัง้ ความปรารถนาหรอื การพยากรณ์ไว้ลว่ งหน้า
11. แมคคลีแลนด์และจอหน์ แอทคินสัน ได้เน้นการจูงใจของบุคคลท่ีได้มาของ

ความตอ้ งการ
12. ทฤษฎีของเฮอร์เบอร์ก ไดใ้ ห้ความสาคญั กับปัจจยั อยู่ 2.ประการ คือ ปัจจัยตัวกระตุ้น

และปัจจัยการยอมรบั
13. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเพื่อนร่วมงาน คือ พนักงานที่มีความรู้ที่ดีต่อกลุ่มเพ่ือนร่วมงาน

ในการทางานธุรกิจ
14. บุคคลทุกคนต้องการมีเวลาส่วนตัว ต้องการอยู่คนเดียว ต้องการความอิสระหรือทา

กจิ กรรมอ่นื ดว้ ยตวั เอง ท่ีเรียกว่า ชวี ิตสว่ นตัว
15. สิ่งล่อใจ คือส่ิงท่ีชักนาบุคคลให้กระทาการอย่างใด อย่างหน่ึงให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย

ที่ตงั้ ไว้
16. แรงจูงใจ คือรูปแบบการทางานหรือวิธีทางานท่ีก่อให้เกิดการค้นพบช่องทาง

ดาเนนิ งานท่ีดีกว่าประสบการณ์
17. การเปล่ยี นแปลง เป็นเครอื่ งหมายของความเจรญิ ก้าวหนา้ ของบุคคลในการทางาน

164 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

18. ส่งิ ลอ่ ใจ จดั อย่ใู นประเภทแรงจูงใจภายนอก
19. แรงขบั หมายถงึ สภาพทางจิตวทิ ยาท่ีเปน็ ผลมาจากความต้องการทางใจ
20. การตื่นตัวเป็นภาวะที่บุคคลพร้อมท่ีจะแสดงพฤติกรรม สมองพร้อมท่ีจะคิด
กล้ามเนือ้ พรอ้ มทีจ่ ะเคลือ่ นไหว

คาชแ้ี จง จงตอบคาถามต่อไปน้ี
1. มนษุ ยสัมพนั ธก์ ับการจูงใจในการทางานมีกที่ ฤษฎี อะไรบ้าง
2. จงอธิบายทฤษฎีลาดบั ขนั้ ความตอ้ งการของมาสโลว์ (Maslow’s.Hierachy.of Needs)

มาพอสงั เขป
3. ลักษณะของกลมุ่ งานทด่ี ี ควรมคี วามสัมพันธอ์ นั ดตี อ่ กนั อยา่ งไร ให้บอกมาเป็นข้อ ๆ
4. จงอธิบายความหมายการจงู ใจในการทางาน มาพอเข้าใจ
5. แรงจูงใจภายในกับแรงจงู ใจภายนอกมีลักษณะแตกตา่ งกนั อยา่ งไร อธบิ ายมาพอเข้าใจ
6. การประยุกต์แรงจูงใจในการทางาน มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลท่ีทางาน

ทางธุรกิจ เพ่อื ใหง้ านบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ มีแนวทางการประยุกต์ใช้อย่างไรบ้าง จงอธิบาย
มาพอสังเขป

7. ความต้องการพ้ืนฐานของมนุษย์แบ่งได้เป็นก่ีประเภท.พร้อมท้ังอธิบายความหมาย
มาพอสังเขป

8. แนวปฏิบัติท่ีสาคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่น เพ่ือเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
เพอื่ น
รว่ มงานมอี ะไรบ้าง

9. การเสรมิ สร้างแรงจงู ใจในการทางานควรคานึง คืออะไร อธบิ ายมาพอสังเขป
10. จงบอกความสาคญั การจูงใจในการทางานมาเป็นข้อ ๆ ให้เขา้ ใจ

บทที่ 5

การติดตอ่ สือ่ สารเพือ่ สร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกจิ

พระราชดารสั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั
เน่ืองในโอกาสการจัดงานวันสอื่ สารแห่งชาติคร้งั แรก

วนั ที่ 15 กรกฎาคม 2526
ณ พระตาหนักจติ รลดารโหฐาน

". . . ก า ร ส่ื อ ส า ร เ ป็ น ปั จ จั ย ที่ ส า คั ญ ย่ิ ง อ ย่ า ง ห น่ึ ง ใ น ก า ร พั ฒ น า ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ค ว า ม
เจริญก้าวหน้า รวมทั้งรักษาความม่ันคงและความปลอดภัยของประเทศด้วย ย่ิงในสมัยปัจจุบันท่ี
สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การติดต่อส่ือสารท่ีรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ย่อมมี
ความสาคัญมากเปน็ พิเศษ ทุกฝา่ ยและทุกหน่ายงานท่เี ก่ียวข้องกับการส่ือสารของประเทศ จึงควรจะ
ได้ร่วมมือกันดาเนินงานและประสานผลงานกันอย่างใกล้ชิดและสอดคล้อง สาคัญท่ีสุดควรจะได้
พยายามศึกษาค้นคว้าวิชาการและเทคโนโลยี อันทันสมัยให้ลึกและกว้างขวาง แล้วพิจารณาเลือก
เฟ้นส่วนท่ีดีมีประสิทธิภาพแน่นอน มาปรับปรุงใช้ด้วยความฉลาด ริเริ่มให้พอเหมาะพอสมกับฐานะ
และสภาพบ้านเมืองของเรา เพื่อให้กิจการส่ือสารของชาติได้พัฒนาอย่างเต็มที่และสามารถอานวย
ประโยชน์แกก่ ารสรา้ งเสรมิ เศรษฐกิจ สงั คมและเสถยี รภาพของบา้ นเมืองได้อยา่ งสมบูรณแ์ ท้จรงิ ..."

166 มนษุ ยสมั พันธท์ างธุรกิจ

การสื่อสารเป็นปัจจัยและมีบทบาทท่ีสาคัญในการดารงชีวิต มนุษย์จาเป็นต้อง
ติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา ในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ก็ตาม
จะต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน โดยมีจุดประสงค์เพ่ือแลกเปล่ียนข่าวสาร ข้อมูล ความรู้
ความคิด อันก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน การติดต่อสื่อสารจึงเป็นหัวใจสาคัญท่ีจะสร้าง
ความสัมพันธอ์ ันดรี ะหวา่ งเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ฉะน้ันมนุษย์จึงจาเป็นจะต้องมีความสามารถในการ
ติดต่อส่ือสารกับผู้อ่ืนได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการพูด การฟัง การเขียน การอ่าน ตลอดจน
มีความสามารถในการใช้เครื่องมือสื่อสารชนิดต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา
ในการติดต่อส่ือสารท่ีคลาดเคล่ือน ซ่ึงนั้นอาจทาให้การติดต่อส่ือสารน้ันล้มเหลวหรือเกิดความ
ขัดแยง้ ได้

ดังนั้น กระบวนการในการทางานขององค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจะต้องทาให้การ
ติดต่อสื่อสารระหว่างบุคลากรในฝ่ายต่าง ๆ ท้ังภายในและภายนอกองค์กรเป็นไปอย่างคล่องตัว
เพ่ือให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เกิดความร่วมมือและการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้
การทางานขององค์กรสามารถบรรลุเป้าหมาย ประสบผลสาเร็จและเกิดสัมพันธภาพท่ีดีภายใน
องคก์ ร

ความหมายของการตดิ ต่อส่ือสาร

คาว่า “การติดต่อสื่อสาร”.(Communication).ได้มีผู้ท่ีให้ความหมายในแง่มุมต่าง ๆ
ดงั น้ี

พลสขุ สังขร์ ุง่ (2550:69) ได้ให้ความหมายของการติดต่อสอ่ื สาร หมายถึง กระบวนการท่ี
ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้มีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างบุคคล โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การใช้
สัญลักษณ์ (Symbol) ใช้เครื่องหมาย (Signs) ใช้พฤติกรรม (Behavior) นอกจากน้ัน การสื่อสาร
ยังเป็นการแสดงความรู้สึก การสนทนาระหว่างกัน การพูด กาตอบสนอง การเขียน การฟังและการ
แลกเปล่ียน

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ (2551:178) ได้ให้คาจากัดความ การติดต่อส่ือสาร หมายถึง
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือข้อมูลข่าวสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้ส่งสาร (Sender)
และผรู้ บั สาร (Receiver)

ในขณะท่ี พิบูล ทีปะปาล (2555:200) ได้ให้นิยาม การติดต่อส่ือสาร หมายถึง
กระบวนการถ่ายทอดข่าวสารระหว่างบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง 2 ฝ่าย ฝ่ายหน่ึงเป็นผู้ส่งข่าวสารไปยัง
อีกฝ่ายหน่ึงซึ่งเปน็ ผรู้ ับขา่ วสาร เพอ่ื ให้เกิดการรับรู้ทาความเข้าใจรว่ มกัน

นอกจากนี้ เนตรพัณณา ยาวิราช (2552:172) ได้ให้ความหมาย การสื่อสาร
คือกระบวนการซ่ึงข้อมูลต่างๆ ได้ส่งจากผู้ส่งไปยังผู้รับด้วยความเข้าใจท่ีถูกต้องตรงกัน ผู้ส่งก็คือ
บุคคลท่ีมีความประสงค์ที่จะส่งข้อมูลและแนวคิด หรือแสดงออกถึงอารมณ์ ผู้รับคือบุคคลที่ได้รับ
ข่าวสารที่ไดถ้ ูกส่งมา

การตดิ ตอ่ สอื่ สารเพ่ือสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 167

จากความหมายท่ีมีผู้ให้ไว้แตกต่างกัน สามารถสรุปได้ว่า การติดต่อสื่อสาร
(Communication).หมายถึง การส่งข้อมูลข่าวสารจากบุคคลหน่ึงไปยังบุคคลหน่ึง หรือหลายคน
เพ่ือใหเ้ ข้าใจความหมายของขอ้ มลู ข่าวสารทผี่ ้สู ่งสง่ ไป และเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ซ่ึงการส่ง
ข่าวสารอาจอยู่ในรูปของการสื่อสารด้วยวาจา ลายลักษณ์อักษร การใช้กิริยาท่าทางอย่างหน่ึง
อยา่ งใดกไ็ ด้ โดยอาศยั ช่องทางในการติดต่อส่อื สาร

ความสาคญั ของการติดต่อส่ือสาร

การติดต่อสื่อสารเป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนเป็นปกติวิสัยของคนทุกคน และมีความ
เก่ยี วขอ้ งไปถงึ บุคคลอื่น ตลอดจนถึงสงั คม หน่วยงาน องค์กรที่แต่ละคนเกี่ยวข้องอยู่ ไม่ว่าจะกระทา
ส่ิงใดล้วนต้องอาศัยการติดต่อส่ือสารระหว่างกัน ดังท่ีเห็นในปัจจุบันสภาพสังคมท่ีคนจะต้อง
เก่ียวข้องกันมากขึ้น การสื่อสารก็ยิ่งมีความสาคัญต่อบุคคลและสังคมมากขึ้น หากคนในสังคม
ขาดความรู้ความเขา้ ใจในการส่ือสาร กไ็ มส่ ามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิดหรือทาให้เกิดความเข้าใจ
ระหว่างกันได้ ย่อมจะทาให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลและสังคมทุกวันนี้
มีอยู่ไมน่ ้อยท่ีเป็นสาเหตมุ าจากความล้มเหลวของการส่อื สาร

ดังนั้น การติดต่อส่ือสารท่ีดีจึงเป็นปัจจัยสาคัญในการเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
โดยเป็นเครื่องมือถ่ายทอดข้อมูล อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความต้องการ เพื่อให้อีกฝ่ายทราบ
และเกิดความเข้าใจ เกิดความรู้สึกท่ีดี ซึ่งนาไปสู่ความร่วมมือ ร่วมใจในการทางาน หรือกิจกรรม
ต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างราบร่ืน หากจะพิจารณาถึงความสาคัญของการ
ตดิ ตอ่ สอื่ สารท่ีมตี ่อมนุษย์แล้วสามารถแบ่งได้เปน็ 5 ประการ ดังน้ี

1. ความสาคัญต่อความเป็นสังคม การที่มนุษย์อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นสังคม ต้ังแต่
สังคมระดับเล็กคือ ครอบครัว ชุมชน เผ่าพันธ์ุ หน่วยงาน องค์กรไปจนถึงการรวมตัวเป็นสังคม
ขนาดใหญ่ในระดับประเทศนั้น จาเป็นต้องอาศัยการสื่อสารเป็นพื้นฐาน เพราะการสื่อสารทาให้เกิด
ความเขา้ ใจ และทาความตกลงกันได้ มีการติดต่อสื่อสารเพ่ือสร้างระเบียบของสังคมให้เป็นท่ียอมรับ
ระหว่างสมาชิก ทั้งนี้เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเป็นสังคม กล่าวคือ การมีสังคมมนุษย์
ต้องอาศัยการสื่อสาร สังคมมนุษย์เกิดจากการใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการจะรวมคนหลาย ๆ
คนใหม้ าอยรู่ วมกัน

2. ความสาคัญต่อชีวิตประจาวัน การสื่อสารมีบทบาทสาคัญต่อการดาเนิน
ชีวิตประจาวันของคนเราเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าตลอดเวลาที่เราตื่น เราจะทาการส่ือสารอยู่
ตลอดเวลา การส่อื สารไมว่ ่าจะเป็นการส่ือสารระหวา่ งบคุ คล การส่ือสารกลุ่มใหญ่ การสื่อสารภายใน
องค์กรและภายนอกองคก์ ร จะผา่ นการส่ือสารด้วยคาพูด การสื่อสารด้วยตัวหนังสือ การสื่อสารด้วย
กิริยาท่าทางและการส่ือสารมวลชนกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเราทาประจาวันน้ัน มีการส่ือสารเข้ามา

168 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

เก่ียวข้องอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาเรานอนหลับอยู่ หากเราฝันหรือละเมอเรื่องใดก็ตามก็ถือว่า
เปน็ การสือ่ สารรูปแบบหนง่ึ คอื การสือ่ สารภายในตัวบุคคล

3. ความสาคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ ปัจจุบันวงการอุตสาหกรรม มีการปฏิวัติ
ทางด้านเทคโนโลยีการผลิต ตลอดจนการพัฒนาประสิทธิภาพในการทางาน ทาให้ต้องอาศัย
การสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน ท้ังน้ีเพราะอุตสาหกรรมและองค์กรธุรกิจซึ่งถือเป็นองค์กร
หรือสถาบันท่ีจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและประชาชน ในทางตรงข้ามลูกจ้างขององค์กรเอง
ก็จะมีการรวมตัวกันเป็นองค์กรในรูปของสหภาพแรงงาน เพื่อให้มีพลังต่อรองแสดงความต้องการ
ของตนและข้อบกพร่องของฝ่ายบริหาร นอกจากนั้นโรงงานอุตสาหกรรมยังเกี่ยวข้องกับ
บคุ คลภายนอก ฝา่ ยต่าง ๆ อกี มากมายไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับท่ีตั้งของ
โรงงาน ผู้บรโิ ภคสินค้า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล เป็นต้น ฉะนั้น การดาเนินงานหรือการดาเนินกิจกรรม
ต่าง ๆ ของโรงงานอุตสาหกรรมและองค์กรธุรกิจย่อมมีผลกระทบต่อบุคคลเหล่าน้ีไม่โดยตรง
ก็โดยอ้อม นอกจากนั้นส่ิงหนึ่งท่ีองค์กรต้องการก็คือ ความสนับสนุนและความร่วมมือจากบุคคล
เหล่านั้น โดยองค์กรจะต้องสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่าน้ี ด้วยการใช้วิธีกิจการด้านสื่อสาร
ท่ีเรียกว่า "การประชาสัมพันธ์" (Public.Relations).ในการเผยแพร่ข่าวสารเพื่อลดปัญหาความ
ขัดแย้งและสร้างความเข้าใจท่ีถูกต้องและยังสามารถตรวจสอบประชามติหรือความคิดเห็นของ
ประชาชนกลุ่มตา่ ง ๆ ท่ีมีตอ่ องคก์ รด้วย

4. ความสาคญั ต่อการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการปกครองในระบอบใดหรือการปกครอง
ระดับใด คือต้ังแต่ระดับท้องถ่ินไปจนถึงระดับชาติ ย่อมจะมีท้ังผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองหรือ
ประชาชน ซึ่งท้ัง 2 ฝ่ายจาเป็นต้องอาศัยการสื่อสารเป็นเครื่องมือหรือกลไกท่ีสาคัญท่ีจะทาให้สังคม
เจริญก้าวหน้าและประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการดาเนินการปกครอง
ของรัฐบาลจาเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งเผยแพรข่ ่าวสารใหป้ ระชาชนได้รับทราบและเข้าใจ จะได้เกิดความร่วมมือ
และปฏิบัติตามนโยบาย ตลอดจนกฎเกณฑ์ท่ีรัฐบาลกาหนดไว้ นอกจากการเผยแพร่ข่าวสารแล้ว
รัฐบาลยังจาเป็นที่จะต้องรับทราบความรู้สึกนึกคิด ความต้องการหรือประชามติของประชาชนด้วย
เพราะสิ่งเหล่าน้ีสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางการดาเนินนโยบายของรัฐบาลให้สอดคล้อง
กับประชามติในกรณีของการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือนาไปใช้ควบคุมประชามติของ
ประชาชนไมใ่ ห้เบ่ยี งเบนหรอื ต่อตา้ นนโยบายของรัฐบาลในกรณขี องการปกครองระบอบเผด็จการ

5. ความสาคัญต่อการเมืองระหว่างประเทศ ในวงการเมืองระหว่างประเทศก็เช่นกัน
ทจ่ี าเป็นตอ้ งอาศัยการส่ือสารเข้ามาเป็นปัจจัยที่สาคัญ คือ พัฒนาการของเทคโนโลยีทางการสื่อสาร
ตา่ ง ๆ สามารถช่วยทาให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกติดต่อแลกเปล่ียนข่าวสารและความคิดกันได้สะดวก
และรวดเร็ว ดังนั้น ด้วยเหตุผลทางด้านการสื่อสารท่ีเจริญก้าวหน้าขึ้นและเหตุผลทางด้านการเมือง
จึงทาให้สังคมโลกปัจจุบันเป็นสังคมท่ีแคบ เพราะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกนั่นเอง
อน่ึงการติดต่อส่ือสาร หรือการดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายการเมืองระหว่าง
ประเทศต่าง ๆ จึงจาเป็นต้องมีหน่วยงานที่ต้ังข้ึนมาเพื่อรับผิดชอบด้านการส่ือสารโดยตรง เพ่ือทา

การตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพือ่ สร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 169

หน้าทเ่ี ผยแพร่ข่าวสารเก่ียวกับประเทศของตน สร้างความเข้าใจอันดีกับประเทศอื่น ตลอดจนชักจูง
ให้ได้รับความสนับสนนุ จากประเทศอืน่ และไดศ้ ึกษาถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชนในประเทศอ่ืน
ท่ีมีต่อประเทศของตน หน่วยงานสาคัญท่ีรับผิดชอบด้านการสื่อสารของการเมืองระหว่างประเทศ
ก็คือ กระทรวงการต่างประเทศและสถานฑูตต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นผู้จัดการกับการสื่อสารให้เหมาะสม
และสอดคล้องกับลักษณะทางจติ ใจ สงั คมและวฒั นธรรมของประชาชนชาติต่าง ๆ ที่มีความแตกต่าง
ไปจากประเทศของตน

อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การติดต่อส่ือสารเป็นเครื่องมืออย่างหน่ึงท่ีจะทาให้เกิด
ความสัมพันธ์ที่ดีภายในและภายนอกองค์กร ถ้ามีการสื่อสารท่ีดีมีประสิทธิภาพก็จะทาให้เกิดความ
เข้าใจซึ่งกันและกัน ส่งผลต่อกระบวนการทางานก็จะเป็นไปได้อย่างราบร่ืนประสบความสาเร็จ
ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร แต่ในทางกลับกันหากการสื่อสารล้มเหลวก็อาจก่อให้เกิดปัญหา
ความขดั แยง้ ตา่ ง ๆ ตามมาก็เป็นไปได้
กระบวนการติดตอ่ ส่ือสาร

กระบวนการตดิ ตอ่ ส่ือสารขององคก์ รในปัจจุบนั ผ้สู ่งสารจะตอ้ งมขี ้อเทจ็ จริงหรือข่าวสาร
ท่ีจะส่ง และวัตถุประสงค์ของการส่งข่าวสาร โดยผู้ส่งข่าวสารจะจัดข่าวสารให้อยู่ในลักษณะ
ท่ีสามารถจะส่งไปถึงผู้รับได้ดีและเข้าใจได้ดีท่ีสุด ซ่ึงข่าวสารจะถูกกาหนดในลักษณะต่าง ๆ และ
จะถูกหมุนเวียนไปในช่องทางการติดต่อส่ือสาร ซึ่งองค์ประกอบของกระบวนการติดต่อสื่อสาร
ประกอบด้วย 4 ประการ ดงั นี้

ภาพท่ี 5.1 กระบวนการตดิ ตอ่ ส่ือสาร
1. ผู้ส่งสาร.(Sender).หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือ หน่วยงานที่ทาหน้าท่ีในการ
สง่ สาร หรือเป็นแหล่งกาเนิดสาร ที่เป็นผู้เรมิ่ ต้นสง่ สารด้วยการแปลสารน้ันให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์

170 มนุษยสัมพนั ธท์ างธรุ กจิ

ท่ีมนุษย์สร้างขึ้นแทนความคิด ได้แก่ ภาษาและอากัปกิริยาต่าง ๆ เพ่ือส่ือสารความคิด ความรู้สึก
ข่าวสาร ความตอ้ งการและวัตถุประสงคข์ องตนไปยงั ผู้รับสารด้วยวิธีการใด ๆ หรือส่งผ่านช่องทางใด
ก็ตาม.จะโดยตั้งใจหรือไม่ต้ังใจก็ตาม เช่น ผู้พูด ผู้เขียน กวี นักจัดรายการวิทยุ สถานี
วิทยุกระจายเสียง สถานวี ิทยุโทรทศั น์ กองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ สถาบนั สอื่ มวลชน เป็นต้น

2. สาร (Message).หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ท่ีอาจอยู่ในรูป
ของข้อมูล ความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ เป็นต้น ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
ให้ได้รับรู้และแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถทาให้เกิดการรับรู้
ร่วมกันได้ เช่น ข้อความที่พูด ข้อความที่เขียน บทเพลงที่ร้อง รูปท่ีวาด เรื่องราวที่อ่าน ท่าทางที่สื่อ
ความหมาย เป็นต้น

3. ส่ือหรือช่องทาง (Media or Channel) เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญอีกประการหนึ่ง
ในการสื่อสาร หมายถงึ สง่ิ ทเ่ี ปน็ พาหนะของสาร ทาหน้าทีน่ าสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ผู้ส่งสาร
ตอ้ งอาศัยส่ือหรอื ชอ่ งทางทาหนา้ ทีน่ าสารไปสู่ผู้รับสาร

4. ผู้รับสาร.(Receiver).หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือมวลชนท่ีรับเรื่องราวข่าวสาร
จากผู้ส่งสารและแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback).ต่อผู้ส่งสารหรือส่งสารต่อไปถึงผู้รับสาร
คนอน่ื ๆ ตามจดุ มุ่งหมายของผ้สู ่งสาร เช่น ผเู้ ขา้ ร่วมประชุม ผู้ฟงั รายการวิทยุ กลุ่มผู้ฟังการอภิปราย
ผอู้ ่านบทความจากหนงั สือพมิ พ์ เป็นต้น

จากภาพท่ี 5.1 แสดงให้เห็นถึงกระบวนการส่ือสาร (Communication.Process)
โดยทั่วไปเร่ิมต้นจากผู้ส่งข่าวสาร.(Sender).ทาหน้าที่เก็บรวบรวมแนวความคิดหรือข้อมูลจาก
แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เม่ือต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสาร ก็จะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูล
ท่ีเก่ียวข้องออกมาเป็น ตัวอักษร น้าเสียง สี การเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งเรียกว่า ข่าวสาร.
(Massage).จะได้รับการใส่รหัส.(Encoding).แล้วส่งไปยังผู้รับข่าวสาร.(Receivers).ผ่านสื่อกลาง.
(Media).ในช่องทางการส่ือสาร.(Communication.Channels).ประเภทต่าง ๆ หรืออาจจะถูกส่ง
จากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ ผู้รับข่าวสาร เมื่อได้รับข่าวสารแล้วจะถอดรหัส.
(Decoding).ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีต หรือสภาพแวดล้อมในขณะน้ัน และมี
ปฏกิ ริ ิยาตอบสนองกลับไปยังผู้ส่งข่าวสารซ่ึงอยู่ในรูปขอความรู้ ความเข้าใจ การตอบรับ การปฏิเสธ
หรือการนิ่งเงียบก็เป็นได้ ท้ังน้ีข่าวสารท่ีถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารท้ังหมด
ก็เป็นได้ หรือข่าวสารอาจถูกบิดเบือนไปเพราะในกระบวนการสื่อสาร ย่อมมีโอกาสเกิดสิ่งรบกวน
หรือตวั แทรกแซง.(Noise.or.Interferes)ไดท้ กุ ขน้ั ตอนของการสือ่ สาร

การตดิ ต่อสื่อสารเพ่ือสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ 171

ประเภทการตดิ ตอ่ สื่อสาร

ประเภทของการสอื่ สารมกี ารจาแนกประเภทไวห้ ลายรูปแบบ ซึ่งมรี ายละเอียดดังน้ี
1. การตดิ ต่อส่ือสารจาแนกตามลักษณะของการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร จาแนกได้ดังนี้

1.1 การติดต่อส่ือสารแบบเป็นทางการ.(Formal.Communication).หมายถึง
การติดต่อส่ือสารที่กระทาผ่านสายบังคับบัญชาตามลาดับขั้นตอน ซึ่งการติดต่อสื่อสารแบบนี้
ผู้ มี อ า น า จ ต า ม ต า แ ห น่ ง ส า ม า ร ถ ส่ั ง ก า ร ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ช า ต า ม ข อ บ เ ข ต อ า น า จ ท่ี เ ข า มี อ ยู่
การติดต่อสื่อสารแบบทางการจะใช้แจ้งนโยบาย วิธีการดาเนินงาน และระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ
ไปยงั ผใู้ ต้บังคบั บัญชา

1.2 การติดต่อสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ.(Informal.Communication).
เป็นการติดต่อ ส่ือสารที่ไม่อยู่ในสายบังคับบัญชาตามลาดับขั้นตอน การติดต่อสื่อสารแบบน้ีจะมีอยู่
ทุกองค์กรซ่ึงมีความจาเป็นต้องใช้เพ่ือเสริมการสื่อสารแบบเป็นทางการ ให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน
การติดตอ่ สอ่ื สารอย่างไม่เป็นทางการจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือใช้ความสนิทสนมส่วนตัวในการ
ติดต่อประสานกันก่อนท่ีจะตามด้วยการติดต่ออย่างเป็นทางการ การติดต่อสื่อสารอย่างไม่เป็น
ทางการชว่ ยใหก้ ารบริหารองค์กรมปี ระสทิ ธภิ าพ

2. การตดิ ต่อสื่อสารจาแนกตามกระบวนการหรือการไหลของขา่ วสาร จาแนกได้ดงั น้ี
2.1 การสื่อสารทางเดียว.(One-Way.Communication) คือการสื่อสารที่ข่าวสาร

จะถูกส่งจากผู้ส่งไปยังผู้รับในทิศทางเดียว โดยไม่มีการตอบโต้กลับจากฝ่ายผู้รับ เช่น การสื่อสาร
ผา่ นสอ่ื วิทยุ โทรทัศน์ หนงั สอื พมิ พ์ การออกคาสั่งหรือมอบหมายงานโดย ฝ่ายผู้รับไม่มีโอกาสแสดง
ความคิดเห็น ซึ่งผู้รับอาจไม่เข้าใจข่าวสาร หรือเข้าใจไม่ถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่งและทางฝ่ายผู้ส่ง
เมื่อไม่ทราบปฏิกิริยาของผู้รับจึงไม่อาจปรับการส่ือสารให้เหมาะสมได้ การส่ือสารแบบนี้สามารถ
ทาได้รวดเร็วจงึ เหมาะสาหรับการสื่อสารในเร่ืองที่เข้าใจง่าย ในสถานการณ์ของการสื่อสารบางอย่าง
มีความจาเป็นต้องใช้การสื่อสารทางเดียว แม้ว่าเร่ืองราวที่สื่อสารจะมีความซับซ้อนก็ตาม เช่น กรณี
ผู้รับและผู้ส่งไม่อาจพบปะ หรือติดต่อส่ือสารกันได้โดยตรง การสื่อสารแบบกลุ่มใหญ่ และการ
ส่ือสารมวลชนซ่งึ ไมอ่ าจทราบผ้รู ับท่แี น่นอน

2.2 การส่ือสารสองทาง.(Two-way.Communication).คือการสื่อสารที่มีการส่ง
ข่าวสารตอบกลับไปมาระหว่างผู้ส่ือสาร ดังนั้นผู้ส่ือสารแต่ละฝ่ายจึงเป็นท้ังผู้ส่งและผู้รับ
ในขณะเดียวกัน ผู้สือ่ สารมโี อกาสทราบปฏิกริ ิยาตอบสนองระหวา่ งกนั ทาให้ทราบผลของการสื่อสาร
ว่าบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ และช่วยให้สามารถปรับพฤติกรรมในการสื่อสารให้เหมาะสมกับ
สถานการณ์ ตัวอย่างการสื่อสารแบบสองทาง เช่น การพบปะพูดคุยกัน การพูดโทรศัพท์ การออก
คาสัง่ หรือมอบหมายงานโดยฝ่ายรับมีโอกาสแสดงความคิดเห็น การส่ือสารแบบนี้จึงมีโอกาสประสบ
ผลสาเร็จได้มากกว่า แต่ถ้าเรื่องราวท่ีจะส่ือสารเป็นเรื่องง่าย อาจทาให้เสียเวลาโดยไม่จาเป็น
ในสถานการณ์ของการสื่อสารบางอย่าง เช่น ในการสื่อสารมวลชน ซ่ึงโดยปกติมีลักษณะเป็นการ

172 มนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กิจ

ส่ือสารทางเดยี ว นกั สอ่ื สารมวลชนก็มีความพยายามท่จี ะทาใหม้ กี ารส่ือสาร 2 ทางเกิดข้ึน โดยการให้
ประชาชนส่งจดหมาย โทรศัพท์ ตอบแบบสอบถาม กลับไปยังองค์กรสื่อมวลชน เพื่อนาผลไป
ปรบั ปรงุ การสื่อสารให้บรรลุผลสมบูรณ์ยง่ิ ข้นึ

3. การตดิ ต่อสอื่ สารจาแนกตามทิศทางในการสอื่ สาร จาแนกได้ดงั น้ี

ผู้บงั คับบัญชา

เพอ่ื นร่วมงาน ผใู้ ต้บังคับบัญชา เพ่อื นรว่ มงาน

ภาพท่ี 5.2 ทศิ ทางในการติดตอ่ สอ่ื สาร

3.1 การติดต่อสื่อสารจากบนลงมาล่าง (Downward.Communication)
เป็นแบบการติดต่อ สื่อสารท่ีนิยมใช้กันในองค์กรมานาน การติดต่อส่ือสารแบบน้ีเป็นการถ่ายทอด
นโยบายวัตถุประสงค์ ยุทธศาสตร์การทางาน แนวทางปฏิบัติงาน กฎระเบียบ ข้อบังคับ คาส่ัง
วิธีการทางาน รายงานประจาปี และข้อมูลย้อนกลับ เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบ ถือเป็นการ
ติดต่อส่ือสารท่ีมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กร การติดต่อส่ือสารจากบนลงมาล่าง
จะต้องอาศัยช่องทางการติดต่อสื่อสารหลายทางผสมผสานกัน เช่น.จัดทาคู่มือปฏิบัติงาน จดหมาย
ข่าว ป้ายประกาศ รายงานประจาปี เสียงตามสาย สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ การแจ้งด้วยปากเปล่า เช่น คาสั่ง
คาชี้แจง.การกล่าวสุนทรพจน์ การประชุม โทรทัศน์วงจรปิด โทรทัศน์หรือโทรศัพท์ เป็นต้น
นอกจากน้ียังต้องใช้เทคโนโลยี เช่น แฟกส์ อีเมล ซ่ึงผู้ส่งสารจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสาร
หรอื สถานการณ์น้ัน ๆ ด้วย

การตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพอ่ื สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 173

3.2 ก า ร ติ ด ต่ อ สื่ อ ส า ร จ า ก ล่ า ง ขึ้ น บ น . ( Upward. Communication)’
การตดิ ตอ่ สื่อสารแบบน้ีก็มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กรเช่นเดียวกับการติดต่อสื่อสาร
แบบบนลงมาล่าง การติดต่อสื่อสารแบบล่างข้ึนบนมีจุดประสงค์หลายอย่าง.ได้แก่.การออก
ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการปรับปรุงการทางาน การร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ การแสดง
ความรู้สึกต่อองค์กรและงานท่ีทา การบอกกล่าวความต้องการ การซักถามต่าง ๆ และการรายงาน
การปฏิบัติงาน เป็นต้น การติดต่อสื่อสารแบบล่างขึ้นบนเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารอย่างมากท่ีจะได้
ข้อมูลจากบุคลากรท้ังในองค์กรและชุมชน เพื่อนามาปรับปรุงการบริหารงานของตน ผู้บริหารต้อง
เปดิ ใจกว้างรับฟังขอ้ มูลทุกอยา่ งจากทุกฝา่ ย โดยตอ้ งยดึ หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม ซึ่งจะมีผลต่อ
ความรว่ มมือร่วมใจของบคุ ลากรและชุมชน

3.3 การติดต่อส่ือสารตามแนวนอน (Horizontal.Communication).การติดต่อ
สื่อสารแบบนี้ เป็นการส่ือสารระหว่างบุคคลระดับเดียวกัน เช่น การติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงาน
กับพนักงาน หรือหัวหน้าฝ่ายกับหัวหน้าฝ่าย การติดต่อสื่อสารอาจเป็นในเรื่องการปรึกษาหารือ
การแลกเปล่ียนความคิดเห็นเก่ียวกับปัญหา ความต้องการ ข้อเสนอแนะ หรือข้อมูลป้อนกลับ
ซึ่งการติดต่อส่ือสารลักษณะนี้มีความจาเป็นต่อการประสานงานในองค์กร เพื่อให้การทางานบรรลุ
เปา้ หมาย และการสร้างความสัมพันธ์อันดรี ะหว่างเพ่อื นรว่ มงานให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันทางาน
ให้เป็นไปในทิศทางเดยี วกนั ได้

4. การตดิ ต่อส่อื สารจาแนกตามภาษาสญั ลกั ษณ์ท่แี สดงออก จาแนกได้ดงั นี้
4.1 การติดต่อสื่อสารเชิงวัจนะ.(Verbal.Communication).หมายถึง.ภาษา

ที่แสดงออกโดยการใช้ถ้อยคา คาพูด.หรือตัวอักษร.ซึ่งได้แก่ ภาษาพูด ภาษาเขียน.เป็นต้น
วัจนภาษาเป็นส่ิงท่ีมนุษย์บัญญัติข้ึนใช้โดยไร้กฎเกณฑ์ มีความกากวมในตัวเองมีความเป็นนามธรรม
และมีความเก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อมในการสื่อสาร รวมท้ังประเพณีวัฒนธรรมของคนในสังคมนั้น
ความหมายท่ีเกิดจากวจั นภาษาจึงมคี วามสาคญั คอื มคี วามหมายอยู่ที่ตัวส่ือสารไม่ได้อยู่ใน วัจนภาษา
ที่ใช้ ดังนั้นความหมายท่ีเกิดจากการส่ือสารจึงมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปตามความรู้ความสามารถ
และลกั ษณะเฉพาะของผู้สื่อสารแต่ละคน

4.2 การติดต่อส่ือสารเชิงอวัจนะ(Non-verbal.Communication).หมายถึง
สารหรือภาษาท่ีไม่ได้แสดงออกโดยใช้ถ้อยคา คาพูดหรือ ตัวอักษรโดยตรง แต่แสดงออกทางอ่ืน
ซึ่งสามารถส่ือสารความหมายบางอย่างได้เช่นกัน ซึ่งได้แก่ เทศภาษา (Space).ได้แก่ ระยะห่าง
ระหว่างบุคคล กาลภาษา.(Time).ได้แก่ เวลา เนตรภาษา.(Eye.Contact).ได้แก่ การใช้สายตา
ปริภาษา.(Paralinguistic).ได้แก่ การใช้น้าเสียงหรืออารมณ์เสียง อาการภาษา (Body.Movement)
ได้แก่ การเคล่อื นไหวของอวัยวะรา่ งกายหรอื อริ ยิ าบถตา่ ง ๆ สัมผัสภาษา (Touch).ได้แก่ การจับต้อง
สัมผัส วัตถุภาษา.(Object).ได้แก่ วัตถุส่ิงของและลักษณะภายนอกต่างที่มองเห็นเป็น.สรุปได้ว่า
อวจั นภาษา คอื ภาษาทไ่ี ม่ใชถ้ ้อยคาแตส่ ามารถสื่อความหมายและความเข้าใจระหวา่ งกันได้

174 มนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กิจ

ในการส่ือสารในปัจจุบันของแต่ละหน่วยงานหรือองค์กร ย่อมมีวิธีในการส่ือสารตาม
ลักษณะขององค์กรน้ัน ๆ ซ่ึงผู้ประกอบธุรกิจแต่ละองค์กรก็จะได้นาไปใช้เพ่ือให้การสื่อสารภายใน
องค์กรและภายนอกองค์กรบรรลุวตั ถุประสงค์ขององค์กรไดเ้ ป็นอยา่ งดี

พัฒนาการของการตดิ ตอ่ สอื่ สาร

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของโลก นับต้ังแต่มนุษย์ได้มีการรวมกลุ่มกันเป็นสังคมขนาด
ใหญ่นั้น อาจแบ่งออกเป็น 4 ยุค ท่ีสาคัญตามลาดับ คือ เริ่มแรกเป็นการสื่อสารในยุคโบราณ ต่อมา
พัฒนาเป็นยุคของเกษตรกรรม และเปลี่ยนแปลงเป็นยุคอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบันได้ช่ือว่าเป็นยุค
ของการสื่อสาร เหตุผลท่ียุคปัจจุบันได้รับการเรียกขานว่าเป็นยุคของการสื่อสาร เพราะเป็นยุคท่ี
เทคโนโลยีด้านการสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก อัตราความเจริญเป็นไป
อย่างรวดเร็ว หลายอย่างแทบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะสามารถคิดค้นข้ึนมาได้ในศตวรรษน้ี
ความเจริญก้าวหน้าของการส่อื สารดังกลา่ ว โดยพฒั นาการของการติดตอ่ สอ่ื สารมีดงั น้ี

1. การส่ือสารในยุคโบราณ.เป็นการส่ือสารอย่างง่ายตามธรรมชาติของการดาเนินชีวิต
ในสมัยนั้น แม้ว่าการใช้ภาษาหรือรหัสสัญญาณในการส่ือสารจะอยู่ในขอบเขตจากัด แต่ก็สามารถ
ส่ือสารกันได้ผลดี เพราะผู้คนมีจานวนน้อย การสื่อสารจึงไม่ซับซ้อนและมนุษย์เองก็มีนิสัยชอบ
บอกกล่าวถึงสิ่งท่ีตนค้นพบ หรือเห็นว่าน่าสนใจให้คนอ่ืนได้ทราบอยู่แล้ว นอกจากการบอกกล่าว
โดยการสอ่ื สารอยา่ งง่าย ดว้ ยคาพดู หรอื ภาษาทา่ ทางแล้ว ภาพเขียนโบราณตามผนังถ้า เป็นหลักฐาน
สาคัญอนั หนึ่ง ท่ีแสดงใหเ้ หน็ ความพยายามท่ีจะสอื่ ความหมายของมนุษย์ ไม่วา่ ภาพหรือรอยขีดเขียน
เหล่านั้น จะขีดเขียนเพื่อความเพลิดเพลินหรือเขียนขึ้นเพ่ือบอกกล่าวให้ผู้อ่ืน โดยเฉพาะคนรุ่นหลัง
ไดท้ ราบกต็ าม ยอ่ มมีคุณคา่ ในแง่การสื่อสารเสมอ การสื่อสารในยุคนี้เป็นการสื่อสารกลุ่มย่อยเท่าน้ัน
เชอื่ ว่ายังไม่มีการสอ่ื สารแบบมวลชนเกิดขึ้น

2. การส่ือสารในยุคเกษตรกรรม.ในยุคน้ีเกิดการรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่
มีหัวหน้าหรือกษัตริย์ผู้ปกครอง พัฒนาการทางด้านความรู้ ความคิด การเมืองการปกครอง ทาให้
จาเปน็ ตอ้ งคดิ คน้ ภาษา หรือสัญลกั ษณ์เพอ่ื ใช้ในการส่อื สารให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน การส่ือสารจึงมี
ความซับซ้อนขึ้นตามไปด้วย เร่ิมจากการสื่อสารด้วยการเขียนภาพเหมือนของจริงในสมัยโบราณ
กลายมาเป็นอักษรภาพ และตัวอักษรที่มีลักษณะเป็นนามธรรมข้ึนเร่ือย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมี
การค้นพบกรรมวิธีทางการพิมพ์ย่ิงเป็นการช่วยสนับสนุนให้เกิดการบันทึกและเผยแพร่ความรู้
ข่าวสารต่างๆ มากข้ึนเป็นลาดับ มีความพยายามที่จะติดต่อส่ือสารและแลกเปลี่ยนข่าวสาร
ศิลปวัฒนธรรมระหว่างชุมชน เมื่อมีการอยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่การสื่อสารแบบมวลชน
จึงเกดิ ขึ้น

3. การสื่อสารในยุคอุตสาหกรรม.เน่ืองจากประชากรโลกมีจานวนเพ่ิมข้ึน มีการติดต่อ
ค้าขายระหว่างกลุ่มชนประกอบกับมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ท่ีสาคัญ เช่น การไฟฟ้า
อิเลคทรอนิคส์ เคร่ืองจักรทุ่นแรง เป็นเหตุผลักดันให้ต้องแสวงหากรรมวิธีในการผลิตสิน ค้า

การตดิ ต่อสอ่ื สารเพ่ือสร้างมนุษยสมั พันธท์ างธรุ กิจ 175

ให้เพียงพอต่อความต้องการ เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมคร้ังใหญ่ โดยเร่ิมจากประเทศในยุโรป
และขยายไปท่ัวโลกในเวลาต่อมา จากสังคมเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมท่ีมีความ
ซับซ้อนมากข้ึน ผู้คนทางานแข่งกบั เวลาเพ่ือใหไ้ ด้ผลผลิตมากๆ เมื่อสังคมมีความซับซ้อน การส่ือสาร
ก็มีความซับซ้อนตามไปด้วย การส่ือสารแบบมวลชนมีความสาคัญและหลีกเล่ียงไม่ได้ ในยุคน้ี
พัฒนาการของเคร่ืองมือการส่ือสาร ไฟฟ้า โทรเลข วิทยุ โทรทัศน์ และความก้าวหน้าทางการพิมพ์
รวมไปถึงการเปล่ียนแปลงทางการเมือง ส่งเสริมให้การส่ือสารระหว่างบุคคลและการสื่อสาร
แบบมวลชนขยายตัวอยา่ งกวา้ งขวาง

4. การสื่อสารในยุคปัจจุบัน.ยุคปัจจุบันได้ช่ือว่า เป็นยุคของการสื่อสารอย่างแท้จริง
เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ทุก.ๆ ด้าน ทาให้การส่ือสารกลายเป็นปัจจัยท่ีมีความสาคัญอย่างมาก สภาพของสังคมปัจจุบัน
ทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศและระดับโลก เกิดการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ การแก่งแย่ง
ทางการค้า จากอดตี ท่ีเคยทาสงครามรบพุ่งฆ่าฟันกันด้วยอาวุธ เพ่ือครอบครองดินแดนและหาแหล่ง
ทรพั ยากร กลายมาเป็นการทาสงครามทางการค้าและสงครามทางวัฒนธรรม สภาพของสังคมเช่นน้ี
ผู้ท่ีทราบหรือครอบครองข่าวสารข้อมูลมากกว่าย่อมเป็นผู้ได้เปรียบ ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ย่อมได้มา
โดยวิธีการของการส่ือสาร ซ่ึงนับว่าปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างย่ิง ท้ังในด้านเทคนิควิธีการและ
เครื่องมือส่ือสารอันทันสมัย เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงและใช้งานได้อย่างหลากหลาย
การส่ือสารทางไกล ไมว่ า่ จะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ ไม่เพียงเฉพาะการส่ือสารระหว่างอาเภอ จังหวัดหรือ
ระหว่างประเทศ ข้ามทวปี เท่าน้ัน ปัจจบุ ันเราสามารถสื่อสารได้ถงึ ระดับดวงดาว ทัง้ ภาพและเสียง

การสื่อสารถือได้ว่ามีความสาคัญและจาเป็นในการประกอบธุรกิจเป็นอย่างมาก
ซ่ึงพฒั นาการของการติดต่อส่อื สารกไ็ ด้พัฒนาใหเ้ จริญก้าวหนา้ มาจนถึงปัจจุบันได้ นามาซ่ึงประโยชน์
ในการใชต้ ดิ ต่อสอื่ สารทั้งสว่ นบุคคลและการดาเนินธรุ กิจได้ประสบผลสาเร็จได้

วตั ถุประสงค์ของการตดิ ต่อส่ือสารทางธุรกิจ

การติดต่อส่ือสารทางธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ซ่ึงในแต่ละ
สถานการณ์ในการประกอบธุรกิจจะมีวัตถุประสงค์ของการติดต่อส่ือสารท่ีแตกต่างกัน โดยการ
ติดต่อสื่อสารน้ัน จะสาเร็จได้หรือไม่ย่อมข้ึนอยู่กับท้ังฝ่ายผู้ส่งสารและฝ่ายผู้รับสาร ดังน้ัน
ในกระบวนการติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการติดต่อส่ือสารระดับใดผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างก็มี
วัตถุประสงค์ในการมาทาการติดต่อสื่อสารกันทั้งสิ้น โดยทั้ง 2 ฝ่ายอาจมีวัตถุประสงค์ในการ
ติดต่อส่ือสารที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรจะแยกพิจารณาออกจากกัน
เป็นวตั ถปุ ระสงค์ของผสู้ ง่ สารและวตั ถุประสงค์ของผู้รบั สาร ดังน้ี

176 มนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ

1. วตั ถปุ ระสงค์ของผสู้ ง่ สาร
1.1 เพ่ือแจ้งให้ทราบ ในการทาการสื่อสารนั้นผู้ส่งสาร มีความต้องการที่จะบอก

กลา่ วหรือช้แี จงข่าวสารเร่ืองราว เหตุการณ์ ข้อมูลหรือส่ิงอื่นใดให้ผู้รับสารได้รับทราบหรือเกิดความ
เข้าใจ โดยสามารถกระทาได้หลายช่องทาง เชน่ หนงั สอื พิมพ์.วิทยแุ ละโทรทัศน์ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบริษัทแห่งหน่ึงลงประกาศในหนังสือพิมพ์เพ่ือรับสมัครพนักงานหลาย อัตรา
ให้ประชาชนท่ัวไปได้รับทราบ จะเห็นได้ว่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลจะทาหน้าท่ีในฐานะผู้ส่งสาร
สว่ นประชาชนผู้อ่านหนงั สือพิมพ์ฉบบั น้ัน จะอย่ใู นฐานะผู้รับสาร

1.2 เพื่อสอนหรือให้การศึกษา.ผู้ส่งสารมีความต้องการท่ีจะสอนวิชาความรู้
หรือเร่ืองราวที่มีลักษณะเป็นวิชาการ เพ่ือให้ผู้รับสารได้รับความรู้เพิ่มข้ึนจากเดิม ตัวอย่างเช่น
วารสารหรือจุลสารเฉพาะด้าน.เช่น วารสารเพ่ือสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยจาการทางาน
ก็จะมีการลงตีพิมพ์บทความต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ อนามัยให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ
หรอื ข้อควรปฏิบตั ิและวธิ ีการพฒั นาฝีมือในการทางาน เปน็ ตน้

1.3 เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง ในการส่ือสารนั้นผู้ส่งสารมีความ
ต้องการทีจ่ ะทาใหผ้ ้รู บั สารเกดิ ความรน่ื เริงบันเทงิ ใจจากสารที่ตนเองส่งออกไป ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ
ของการพูด การเขียนหรือการแสดงกิริยาท่าทาง ตัวอย่างเช่น.นวนิยาย.เพลง.ละคร.เกมโชว์
การแสดงคอนเสิร์ตนักร้องในฐานะผู้ส่งสารจะใช้คาพูดหรือคาร้อง ประกอบกิริยาท่าทางเต้น
มีเสยี งดนตรปี ระกอบ หากเปน็ จังหวะท่สี นกุ สนาน เนอ้ื รอ้ ง ทานองดี ผู้ชมในฐานะผู้รับสารก็จะรู้สึก
สนกุ สนานและผอ่ นคลายอารมณ์ ถือเป็นการพกั ผอ่ นหย่อนใจไปในตัวได้

1.4 เพอ่ื เสนอหรือชกั จงู ใจ ผสู้ ง่ สารไดเ้ สนอแนะสิง่ ใดสิ่งหนึ่งตอ่ ผ้รู ับสารและมีความ
ต้องการชักจูงให้ผู้รับสารมีความคิดคล้อยตามหรือยอมรับปฏิบัติตามการเสนอแนะของตน
ตวั อย่างเช่น การโฆษณาสินคา้ ทางหน้าหนงั สอื พิมพ์ หรือทางวทิ ยกุ ระจายเสยี งหรอื ทางวิทยุโทรทัศน์
นิตยสารและส่ือเฉพาะกิจอ่ืน ๆ.ผู้โฆษณาในฐานะผู้ส่งสาร มีความต้องการท่ีจะเสนอแนะสินค้า
หรือบริการของตนและชักจูงใจหรือโน้มน้าวใจให้ประชาชน ซื้อสินค้าของตน ทางด้านประชาชน
ในฐานะผู้รับสารเมื่อดูโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ เหล่านั้นแล้ว.จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะซ้ือหรือไม่ซ้ือ
สินค้ายี่ห้อนน้ั ย่ีห้อน้ี เป็นตน้

2. วตั ถปุ ระสงคข์ องผ้รู ับสาร ในสว่ นของผู้รบั สารน้ัน เม่ือได้เข้าร่วมในกิจกรรมทางการ
ส่ือสารกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระดับใดก็ตาม ผู้รับสารก็จะมีวัตถุประสงค์
หรือความต้องการอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างจากการส่ือสารนั้น.ๆ ซ่ึงโดยทั่วไปผู้รับสารจะมี
วัตถปุ ระสงคห์ ลัก ๆ ในการทาการสอื่ สารดังน้ี

2.1 เพื่อทราบ ในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการสื่อสารน้ันผู้รับสารมีความต้องการ
ทจี่ ะทราบเร่ืองราว ข่าวสาร ข้อมูล เหตุการณ์ หรือสิ่งอื่น.ๆ.ท่ีมีผู้แจ้งหรือรายงานหรือชี้แจงให้ทราบ
หากข่าวสารที่ได้รับทราบนั้นเป็นของใหม่ก็จะทาให้ผู้รับสารได้ข่าวสารเพ่ิมเติม หากข่าวสารที่ได้
รบั ทราบเปน็ สิ่งทเี่ คยไดร้ บั ทราบมากอ่ น ก็จะเปน็ การยนื ยนั ความถกู ต้องของข่าวสารท่ีตนมีอยู่ให้เกิด

การตดิ ต่อสอื่ สารเพอ่ื สร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ 177

ความม่ันใจยงิ่ ขึ้น ตรงกนั ขา้ มหากข่าวสารทไ่ี ด้มาใหม่ขดั แย้งกับขา่ วสารท่ตี นมีอยู่เดิม ผู้รับสารก็จะได้
ใคร่ครวญว่าข่าวสารใดมคี วามนา่ เชอ่ื ถอื หรอื มคี วามถูกตอ้ งมากกวา่ กัน

2.2 เพื่อเรียนรู้ เป็นการแสวงหาความรู้ของผู้รับสารจากการสื่อสาร ลักษณะของ
สารในกรณีน้ี มักจะเป็นสารที่มีเน้ือหาสาระเก่ียวกับวิชาความรู้และวิชาการ เป็นการหาความรู้
เพิม่ เตมิ และเป็นการทาความเข้าใจกบั เน้อื หาสาระในการสอนของผู้ส่งสาร

2.3 เพื่อหาความพอใจ เป็นเรื่องปกติท่ีคนโดยทั่วไปจะทาการสื่อสารเพ่ือให้ทราบ
ข่าวคราว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมและทาการส่ือสารเพ่ือศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมให้กับ
ตนเองแล้ว คนเรายังมีความต้องการในเรื่องของความบันเทิงด้วย เพราะความบันเทิงสามารถ
ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยสร้างความสบายใจหรือเพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ดังนั้น
เมื่อมีโอกาส คนเราจึงมีความต้องการที่จะแสวงหาสิ่งที่สามารถมาช่วยสร้างความบันเทิงและสร้าง
ความสบายใจให้แก่ตนเองบ้าง เช่น ผู้รับสารอาจจะทาการสื่อสารด้วยการฟังเพลง ฟังละครวิทยุ
อ่านหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิง คอลัมน์บันเทิงต่าง ๆ ชมรายการโทรทัศน์บ้าง.เกมโชว์บ้าง
เล่นอินเตอร์เนต็ บา้ ง เป็นต้น

2.4 เพื่อใช้ในการตัดสินใจ หรือเพ่ือการกระทาส่ิงใดสิ่งหน่ึง นั่นย่อมหมายถึงว่า
ในการตัดสินใจของคนเราน้ัน.มักจะได้รับการเสนอแนะหรือชักจูงให้กระทาอย่างน้ันอย่างนี้
จากบุคคลอ่ืนอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นในการที่จะทาสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปย่อมจะมีการศึกษาทางเลือก
ว่าทางเลือกไหนจะดีกว่ากัน ซึ่งทางเลือกในการตัดสินใจของคนเราน้ีจึงข้ึนอยู่กับว่าข้อเสนอแนะ
นั้น ๆ.มีความน่าเช่ือถือและมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด.แต่อย่างไรก็ตามนอกเหนือจาก
ข้อเสนอแนะและการชักจูงจากบุคคลอ่ืน ๆ แล้วการตัดสินใจของคนเรายังจะต้องคานึงถึงการรับ
ข่าวสาร ขอ้ มูล ความรู้ และความเช่ือของแตล่ ะบุคคลทไ่ี ด้สัง่ สมกันมาดว้ ย

จากวัตถปุ ระสงคท์ ัว่ ไปท่ไี ดก้ ลา่ วมาแล้ว ยงั มีวัตถุประสงคข์ องการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ
ดงั ตอ่ ไปนี้

1. เพ่ือแจ้งข้อมูลข่าวสาร เป็นการท่ีผู้บริหารองค์กรธุรกิจต้องการแจ้งข้อมูลข่าวสาร
ขององค์กรต่อพนักงาน.เพื่อให้พนักงานได้รับรู้แนวความคิดและความต้องการ เพ่ือให้พนักงาน
สามารถปฏิบัตงิ านให้บรรลุวตั ถุประสงคร์ ว่ มกนั ได้

2. เพื่อกระตุ้นและจูงใจ การจูงใจเป็นองค์ประกอบสาคัญที่ก่อให้เกิดการพัฒนา
การทางานของพนักงานในองค์กร การได้รับการจูงใจและการกระตุ้นจากการสื่อสารจะทาให้องค์กร
มปี ระสทิ ธภิ าพหรือไม่ จงึ ขึ้นอย่กู ับความสามารถในการชักจงู ของผู้นาผา่ นการส่อื สารดงั กลา่ ว

3. เพ่ือประเมินผลการทางาน ปัจจุบันองค์กรมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา จึงทาให้
ผ้บู รหิ ารองค์กรต้องมีการประเมินผลการทางานสม่าเสมอเพื่อประเมินความก้าวหน้าของการทางาน
ดังนนั้ กระบวนการสอื่ สารของผู้บรหิ ารองค์กรจะต้องมีประสทิ ธภิ าพและสมบูรณ์พร้อมมีการส่งข้อมูล
ยอ้ นกลบั ซ่งึ จะทาใหอ้ งค์กรสามารถดาเนินงานไปในแนวทางทีถ่ ูกต้อง

178 มนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กจิ

4. เพ่ือสร้างความสัมพันธ์ในหมู่คณะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน
ผู้บริหารกับผู้บริหาร พนักงานกับพนักงานทั้งในสายการบังคับบัญชาที่เป็นทางการและไม่เป็น
ทางการก็จะเกิดจากการสื่อสารระหว่างกันท้ังส้ิน การสื่อสารจึงเป็นตัวสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน
และทาให้องค์กรดารงอยแู่ ละพัฒนาไปได้ในทุกสถานการณ์

5. เพื่อวินิจฉยั สงั่ การ หน้าท่ีอย่างหนึ่งของฝ่ายบริหารก็คือการออกคาสั่งกับกลุ่มบุคคล
ท่ีอยู่ในองค์กร การออกคาส่ังดังกล่าวจาเป็นต้องใช้การสื่อสารที่รวดเร็ว แน่นอนและถูกต้อง ดังนั้น
ถ้าผู้บริหารไมใ่ ช้การสื่อสารก็ไม่สามารถสงั่ การหรอื มอบหมายหนา้ ท่ี ใหพ้ นกั งานดาเนินการได้เลย

จากวตั ถปุ ระสงคท์ ่ัวไปและวตั ถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของการติดต่อส่ือสาร ล้วนมี
วัตถุประสงค์เพื่อการติดต่อประสานงานเพ่ือให้งานประสบผลสาเร็จและเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์
อนั ดีต่อกันของบคุ ลากรทง้ั ภายในและภายนอกองค์กร

ประโยชน์ของการติดต่อส่ือสารทางธุรกิจ

การติดต่อส่ือสารมีความสาคัญและมีประโยชน์ต่อการดาเนินธุรกิจในปัจจุบัน
เป็นอย่างมาก เพราะทาให้เกิดส่ิงดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นท้ังภายในและภายนอกองค์กรทาให้เกิดประโยชน์
ทางการบรหิ ารจดั การองค์กรธุรกจิ ใหป้ ระสบผลสาเร็จ ตลอดจนประโยชน์ท่ีทาให้บุคลากรอยู่ร่วมกัน
ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ โดยประโยชนข์ องการติดตอ่ สอ่ื สารท่เี กิดข้ึนในทางธุรกจิ ดังนี้

1. ทาให้บุคลากรทราบนโยบาย พันธกิจ วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์และมาตรฐานของ
องค์กร เพราะผู้บริหารต้องถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้บุคลากรเข้าใจ เพื่อให้การบริหารงานขององค์กร
บรรลุเปา้ หมาย

2. ทาให้บุคลากรทราบบทบาทและหน้าที่ของตน โดยผู้บริหารจะต้องมอบหมายงาน
ให้บคุ ลากรอย่างชดั เจน

3. ทาใหบ้ ุคลากรสามารถปฏบิ ตั งิ านให้บรรลุเป้าหมายหลักขององค์กรได้ เพราะหัวหน้า
งานจะต้องสอนและแนะนาวิธีการทางานให้บุคลากรแต่ละคน ให้เข้าใจการปฏิบัติงานในหน้าที่
ของตน

4. ช่วยเสริมสร้างขวัญกาลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร เพราะผู้บริหารจะคอย
กระตนุ้ จงู ใจด้วยการยกย่องชมเชย และเผยแพร่ผลการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากรอยูเ่ สมอ

5. ทาให้ผู้บริหารองค์กรได้ข้อมูลป้อนกลับเก่ียวกับการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
ทั้งในส่วนที่ก้าวหน้าและที่เป็นปัญหา ทาให้ผู้บริหารองค์กรสามารถนามาปรับปรุงการบริหารงาน
ของตนได้

6. ทาใหเ้ กดิ การรว่ มมือรว่ มใจกบั ชุมชนในการจดั การองคก์ ร
7. ทาให้เกิดบรรยากาศแห่งความอบอุ่น เป็นมิตร เป็นกันเอง เกิดความสามัคคีร่วมมือ
ร่วมใจกนั ปฏบิ ัติงาน

การตดิ ต่อสอื่ สารเพ่ือสรา้ งมนุษยสมั พันธท์ างธุรกจิ 179

8. ทาให้บุคลากรในระดับเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทางานของแต่ละ
คนหรือของแต่ละฝ่าย ทาให้ทราบวิธีการทางานและปัญหาของกันและกัน ก่อให้เกิดผลทางสังคม
วิทยาและทางจติ วิทยา

9. ทาใหบ้ ุคลากรยดึ เปา้ หมายขององคก์ รเปน็ หลักในการทางาน
10. ทาใหเ้ กิดการสง่ เสรมิ กระบวนการทางานเปน็ ทีม
11. ทาให้ผู้บริหารองค์กรสามารถเจรจาต่อรองกับฝ่ายต่างๆ และองค์กรภายนอก
ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
12. ทาให้ประหยัดทรัพยากรในการบริหาร.เนื่องจากมีการติดต่อส่ือสารที่ดีทาให้
ส่งผลในด้านของการประหยัดทรัพยากร เช่น การสั่งงานของหัวหน้างานที่ชัดเจนทาให้พนักงาน
ไม่ต้องพิมพ์เอกสารผิด ที่ต้องสูญเสียทรัพยากรกระดาษ หมึก ตลอดจนเสียเวลาและเสียโอกาส
ถา้ เอกสารน้นั ตอ้ งส่งให้ทนั เวลา
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของการติดต่อสื่อสารท่ีมีต่อธุรกิจนั้นส่งผลให้ธุรกิจเกิดการพัฒนา
และเจริญเติบโตได้ ตลอดจนบุคลากรเกิดความรัก สามัคคี เกิดสัมพันธภาพที่ดีในการอยู่ร่วมกัน
ได้อย่างมคี วามสขุ อนั ผลสืบเน่ืองมาจากการมีทักษะในการติดต่อสือ่ สารที่ดีของบุคลากรในองค์กร

ปัญหาและอปุ สรรคของการตดิ ตอ่ ส่อื สาร

ปัจจุบันการติดต่อสื่อสารเป็นเครื่องมือสาคัญของบุคคลทุกฝ่ายในองค์กร การทางาน
จะประสบความสาเร็จได้น้ัน ส่วนหน่ึงอยู่ท่ีความเข้าใจโดยต้องอาศัยการติดต่อสื่อสาร หากการ
ติดต่อสื่อสารเกิดปัญหาและอุปสรรคขึ้นก็จะส่งผลให้เกิดการเข้าใจผิด และส่งผลให้เกิดการทางาน
ผิดพลาดได้.ซ่ึงปัญหาและอุปสรรคที่ทาให้การส่ือสารไม่บรรลุผลน้ันอาจเกิดจากองค์ประกอบ
4 ประการ ดังนี้

1. ปัญหาและอุปสรรคทเี่ กิดจากผู้สง่ สาร
1.1 ผู้ส่งสารมีความรู้ความเข้าใจตลอดจนมีข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ต้องการส่ือ

ไม่เพียงพอ เช่น ทาให้เกิดความเข้าใจผิดพลาด เกิดความลังเลไม่แน่ใจ หรือได้รับข้อมูลผิดๆ ไปโดย
ไม่รู้ตวั

1.2 ผู้ส่งสารขาดกลวิธีในการถ่ายทอดหรือการนาเสนอท่ีดี กลวิธีในการถ่ายทอด
หรอื การนาเสนอทีด่ ีทเ่ี หมาะสม จะทาให้ผู้รับสารเกิดความสนใจ กระตือรือร้น และรับสารได้ถูกต้อง
รวดเร็วขึ้น

1.3 บคุ ลกิ ภาพของผสู้ ง่ สาร ผูส้ ่งสารทมี่ บี ุคลิกภาพท่ดี ี เช่น แต่งกายดี น้าเสียงน่าฟัง
ใบหน้ายิ้มแยม้ แจม่ ใส ยอ่ มช่วยปลุกเรา้ ใหผ้ ู้รบั สารเกดิ ความสนใจทจี่ ะรับสารยงิ่ ขน้ึ

1.4 ทศั นคติของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารที่มีทัศนคติท่ีดีต่อทั้งตนเองต่อผู้รับสาร ย่อมทาให้
การส่อื สารเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ

180 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

2. ปัญหาและอุปสรรคท่เี กิดจากสาร
2.1 สารยากเกินไปสาหรับผู้รับสาร เช่นเป็นเร่ืองท่ีผู้รับสารไม่เคยมีภูมิหลังมาก่อน

หรอื สารมีความสลับซบั ซอ้ น มีขอ้ มูลหรอื การอ้างอิงทย่ี ุง่ ยาก
2.2 สารขาดการจัดลาดบั ที่ดี จะทาให้เกดิ ความสับสนและขาดความนา่ สนใจข้นึ ได้
2.3 สารท่ีขัดกับค่านิยมหรือความเชื่อ หรือขัดต่อระบบความคิดของผู้รับสารหรือ

ของผู้ส่งสารเอง เช่น กาหนดให้พูดในเร่ืองท่ีผู้ส่งสารไม่ศรัทธา ไม่มีความเชื่อถือจะทาให้การพูดไม่มี
ชวี ิตชีวา

3. ปัญหาและอุปสรรคทเี่ กิดจากสื่อหรอื ช่องทาง
ส่ือหรือช่องทาง ภาษาพูดและภาษาเขียน อาจทาให้เกิดปัญหาในการสื่อสารด้วย

สาเหตุเกิดจากการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนไม่ชัดเจน เช่น พูดออกเสียงไม่ชัด การเลือกใช้คา
ไมต่ รงกับความหมาย การแบ่งวรรคตอน จังหวะการพูด การพูดหรือเขียนส้ันเกินไป หรือยาวเกินไป
เป็นต้น ปัญหาในการสื่อสารอาจมีสาเหตุมาจากส่ือมีขนาดเล็กเกินไป ความไม่ชัดเจนของสื่อ เช่น
รูปภาพ สัญลกั ษณ์ วตั ถสุ ง่ิ ของ การทาสญั ญาณการเคลือ่ น ไหว การทาท่าทาง เป็นต้น

4. ปญั หาและอุปสรรคทีเ่ กิดจากผู้รับสาร
4.1 ผู้รับสารขาดความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับสารท่ีตนจะได้รับ เช่น ไม่เคยได้ยินได้ฟัง

มากอ่ นหรอื ผรู้ บั สารมภี มู ิความรู้ที่ต่าหรือสูงเกนิ ไป
4.2 ผ้รู ับสารมีทัศนคติที่ไม่ดี เช่น มีทัศนคติท่ีไม่ดีต่อผู้ส่งสาร ต่อสาร จะทาให้ความ

สนใจลดนอ้ ยลง หรืออาจจะไมส่ นใจเลย
4.3 ผู้รับสารตั้งความคาดหวังไว้สูงเกินไป เช่น คาดหวังว่าจะได้รับฟังจากนักพูดที่มี

ชื่อเสียง แตเ่ มื่อถงึ เวลาเข้าจรงิ กลบั ไมเ่ ป็นอยา่ งนนั้ เปน็ ต้น
สาเหตุของการขาดคุณภาพในการส่งสารและรับสารอันเน่ืองมาจากอุปสรรคต่าง ๆ

ข้างต้นนั้น.ซ่ึงจะนาความเสียหายมาสู่องค์กรหรือตนเอง อาจเป็นต้นเหตุของความบาดหมาง
บ่ันทอนสัมพันธภาพอันดีต่อกันและกัน การดาเนินงานในองค์กรน้ันพบว่าปัญหาด้านการส่ือสาร
ส่วนใหญ่มาจากการขาดการให้ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ความชัดเจน
ในนโยบาย หรือเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในองค์กร จึงทาให้เป็นต้นเหตุของความไม่เข้าใจ
ความสับสน ไม่ชัดเจน ไม่แน่ใจ จึงต้องพยายามจะประเมินหรือคาดเดาสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วย
ตนเอง คิดเอาเอง คาดการณ์เอาเอง บ้างก็พยายามปะติดปะต่อเร่ืองราวต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจและ
ใหไ้ ดภ้ าพท่ีชัดเจนย่ิงขึ้น เป็นที่มาของข่าวลือได้ หากเหตุการณ์เช่นน้ีเกิดขึ้นย่อมทาให้เกิดความรู้สึก
ท่ไี มด่ ี ความรู้สึกในทางลบ การปฏบิ ัติงานท่ีผดิ พลาด การลงทนุ ลงแรงลงเวลาท่ีสูญเปล่า ความอึดอัด
คับข้องใจ ความไม่พอใจ ขาดการมีส่วนร่วมในการทางาน บางคร้ังอาจไม่ให้ความร่วมมือในการ
ทางาน อาจรู้สึกถึงความต่าต้อยขาดขวัญ กาลังใจในการปฏิบัติงาน และส่งผลต่อผลงานท่ีด้อย
คณุ ภาพ

การตดิ ต่อสอ่ื สารเพ่ือสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจ 181

เทคนิคการตดิ ตอ่ สื่อสารทางธรุ กิจ

การติดต่อส่ือสารภายในองค์กรธุรกิจมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น การสั่งงาน
การมอบหมายงาน การวิจารณ์ เป็นต้น ถ้ากระบวนการติดต่อสื่อสารดี การบริหารงานขององค์กร
ธุรกิจก็จะดีตามไปด้วย ตรงกันข้ามถ้าการติดต่อสื่อสารไม่ดีงานก็จะล่าช้าและเกิดความผิดพลาดสูง
ซ่ึงในการทางานในองค์กรธุรกิจมีการนาการติดต่อสื่อสารไปใช้ในการบริหารงานเพื่อให้องค์กร
ประสบผลสาเรจ็ โดยมีเทคนิคการติดต่อส่อื สาร ดงั นี้

1. เทคนคิ การสง่ั การ
การส่ังงานเป็นการติดต่อส่ือสารวิธีหน่ึงของผู้บริหารองค์กร โดยจุดประสงค์ของการ

ส่ังงาน คือการให้ผู้รับคาสั่งทาตามที่ผู้สั่งต้องการ การสั่งงานจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ขึ้นอยู่กับการ
ใช้มนุษยสมั พนั ธใ์ นการสง่ั งานของผู้บริหารองค์กรร่วมดว้ ย ซงึ่ มีรายละเอยี ดดังนี้

1.1 ควรออกคาส่ังทีเ่ ปน็ ไปได้ คอื เป็นคาส่ังท่ีปฏิบัติได้ เช่นการสั่งให้พนักงานทางาน
อย่างมีประสิทธิภาพน้ันจะต้องให้เครื่องมือที่ดี ใหม่และมีประสิทธิภาพ งานไม่ยากเกินไปและให้ทา
ในเวลาที่เหมาะสม

1.2 ก่อนสั่งงานใด ๆ ควรมีการวางแผนในการส่ังงานว่าจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
ทาอะไรและควรคิดให้รอบคอบกอ่ นออกคาสัง่ จะทาให้การออกคาสั่งแนน่ อนชัดเจน

1.3 ควรออกคาสั่งเชิงขอร้องเพ่ือให้เห็นว่าผู้รับคาส่ังมีความสาคัญสาหรับงานน้ี
เชน่ “คณุ ชว่ ยทางานให้ผมหน่อยนะ ถ้าคุณไม่ช่วยงานนี้คงไม่เสร็จแน่ ๆ” หรือออกคาส่ังเชิงปรึกษา
เชน่ “คณุ คิดว่าเราควรออกไปสารวจตลาดตอนนี้ดีไหม ยังไงคุณช่วยเตรียมคนเก็บข้อมูลไว้ได้เลยนะ
ผมเห็นว่าคุณเชยี่ วชาญในเรื่องนม้ี าก”

1.4 ควรส่ังงานทีละอย่าง เพ่ือป้องกันการสับสน ควรส่ังงานทีละอย่าง ลาดับคาสั่ง
เป็นขั้นตอนและเปดิ โอกาสให้ซกั ถามได้

1.5 ควรออกคาสั่งในลักษณะเชิญชวนและแนะนาให้กระทา เช่น ต้องการจะปรับ
แผนการรับบุคคลเข้าทางานควรพูดว่า “ผมว่าเราน่าจะปรับแผนการรับบุคคลเข้าทางานให้เข้ากับ
สภาพปัจจุบันนะ เราน่าจะรับสมัครคนเป็น 2 ระยะ และส่งคนไปติดต่อกับแผนกแนะแนวของ
สถาบันการศึกษาต่าง ๆ บ้าง เพื่อจะได้คนดี ๆ มาทางานดีไหมครับ”.การออกคาส่ังเช่นนี้ย่อมมี
ประสทิ ธิภาพเพราะเปน็ การช้ชี วนใหเ้ ห็นว่าเปน็ ส่ิงที่นา่ จะกระทา

1.6 ไม่ควรออกคาส่ังที่ขัดแย้งกันเอง ถ้าจาเป็นจะต้องเปล่ียนคาสั่งจะต้องอธิบาย
เหตผุ ลในการเปลีย่ นแปลงให้ชัดเจน

1.7 น้าเสยี งทส่ี ง่ั ควรเป็นน้าเสยี งธรรมดา หนกั แนน่ มนั่ คงแตม่ ิใชใ่ ชอ้ านาจ
1.8 ถ้าผู้รับคาส่ังทางานผิดพลาด ควรให้อภัยและช่วยกันหาสาเหตุของความ
ผิดพลาด

182 มนุษยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

1.9 จงพูดถึงหัวข้องานก่อนรายละเอียด เพราะผู้ท่ีรับคาสั่งโดยทั่วไปจะให้ความ
สนใจในคาแรกๆ มากกว่าคาหลังๆ การบอกหัวข้อแล้วขยายให้รายละเอียดทีหลังจะทาให้ไม่เกิด
ความสบั สน

1.10 หากมีความม่ันใจไม่มากในตัวผู้รับคาส่ังว่าจะจาได้ดีหรือไม่และเพ่ือป้องกัน
ความผิดพลาด ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาควรจะบันทึกคาสั่งลงกระดาษแล้วมอบให้แก่ผู้รับคาส่ัง
กไ็ ด้ ทง้ั นี้เนือ่ งจากความสามารถของคนไมเ่ หมือนกัน ผู้บงั คับบญั ชาท่ีรอบคอบมักจะไมล่ ะเลยในส่ิงน้ี

1.11 ให้เกียรติผู้รับคาส่ังด้วยการส่ังการแบบลายลักษณ์อักษร วิธีการนี้มักนามาใช้
ในงานที่เป็นพิธีการหรือแบบ Formal.Type.ซ่ึงนอกจากจะเป็นการให้เกียรติในงานท่ีได้รับเพราะ
จะทาให้ผู้อื่นทราบแล้ว ยังเป็นผลงานของผู้รับคาสั่งอีกด้วย เช่น การส่ังการด้วยลายลักษณ์อักษร
ให้ทาหนา้ ที่เป็นประธานกรรมการโครงการพัฒนาสุขภาพบคุ ลากรในหน่วยงาน เปน็ ต้น

1.12 ทบทวนคาส่ัง เน่ืองจากผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนมาจากหลายแห่งท้ังระดับ
การศึกษาและความสามารถในการรับคาส่ังท่ีแตกต่างกัน ดังน้ัน ในการส่ังงานหรือส่ังการ
ของผู้บังคับบัญชาควรมีการทบทวนคาส่ังให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เพ่ือไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ต่อการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในการปฏิบัติงานท่ีมีความเสี่ยงและเพ่ือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงาน
ได้อย่างถูกต้องและบรรลุเปา้ หมาย

1.13 กาหนดเวลา เป็นเทคนิคอีกอย่างที่จะทาให้ผู้รับคาส่ังเห็นความสาคัญของงาน
และผู้สั่งงาน เพราะมีผู้ส่ังงานเป็นจานวนไม่น้อยที่ไม่กาหนดเวลากากับลงไป ทาให้ผู้รับคาสั่ง
ไม่ทราบว่างานน้ันควรทาเร่งด่วนแค่ไหน ควรจัดลาดับความสาคัญของงานให้อยู่ในอันดับท่ีเท่าไร
ของจานวนงานทั้งหมดที่มอี ย่แู ลว้

1.14 อภิปรายร่วมกันก่อนการส่ังงาน หรืออาจจะเรียกว่าการปรึกษาหารือกัน
นัน่ เอง การอภปิ รายก่อนสง่ั งาน เป็นเทคนิคท่ีละเอียดอ่อนและผู้บังคับบัญชาควรใช้ทุกๆ คร้ังในการ
สั่งงาน เพราะจะทาให้ผู้รับคาส่ังรู้สึกเป็นเกียรติ เขาจะมีความรู้สึกว่างานน้ีมีความสาคัญ
เป็นความคิดของเขาด้วย และพร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างจริงใจ ขณะท่ีรับงานไปทานั่นคือ
การสั่งงานท่มี ปี ระสิทธภิ าพของผู้บงั คับบัญชานัน่ เอง

เทคนิคการติดต่อส่ือสารเก่ียวกับการส่ังงานในองค์กร เป็นเทคนิควิธีการท่ีผู้บริหาร
องค์กรต้องศึกษาและทาความเข้าใจที่จะฝึกฝนให้สามารถนาไปใช้ในการส่ังการให้ประสบผลสาเร็จ
ให้กบั องค์กรไดเ้ ป็นอย่างดี

2. เทคนิคการมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน คือการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดมอบหมายงาน อานาจ และความ

รับผิดชอบในการทางานให้แก่บุคคลอ่ืน โดยมั่นใจว่าผู้รับมอบหมายมีความสามารถและทักษะ
ทจี่ ะทางานน้นั ๆ ไดบ้ รรลุผลตามต้องการ โดยสิ่งสาคัญในการมอบหมายงาน คืองานท่ีถูกมอบหมาย
ไปนั้นยังคงเป็นงานของผู้มอบหมายอยู่ ความรับผิดชอบในผลของงานท่ีเกิดข้ึนยังตกเป็นของ
ผู้มอบหมายงาน ซ่ึงแตกต่างจากการส่ังงาน.(Assign).ที่ภาระงานและความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์

การตดิ ตอ่ ส่อื สารเพื่อสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 183

ท่ีเกิดข้ึนจะเป็นของผู้ทางานน้ันๆ.ในการมอบหมายงานให้ได้ผลสัมฤทธิ์ท่ีดีนั้น จาเป็นต้องอาศัย
การติดต่อสื่อสารเป็นเครื่องมือเพ่ือให้ผู้รับมอบงาน รับมอบงานด้วยความเข้าใจจากการส่ือสาร
ที่ชัดเจน และผู้มอบหมายงานก็ต้องมีทักษะที่ดีในการสื่อสารด้วย จึงจะทาให้การมอบหมายบรรลุ
วตั ถุประสงค์ของการมอบหมายงาน

วัตถุประสงค์ของการมอบหมายงาน ก็เพ่ือการพัฒนาลูกน้องหรือทีมงานผ่านการ
ส่ือสารจากผู้มอบหมายงานไปสู่ผู้รับมอบงาน ดังนั้นต้องทาความเข้าใจให้ชัดเจนว่าการมอบหมาย
งานไม่ใช่เกิดจากงานที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทา หรือทาไม่ไหว แต่เกิดเน่ืองจากเราต้องการทาให้คน
หรือทีมงานของเราได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และพัฒนาศักยภาพในการทางานเพ่ิมข้ึนต่อไป ซึ่งเทคนิค
การมอบหมายงานท่ีดี มดี งั น้ี

2.1 ต้องแน่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีทักษะ มีความสามารถ ความสามารถพิเศษและ
สามารถทจ่ี ะทางานได้

2.2 ช้แี จงใหผ้ ูร้ ับมอบงานทราบชัดเจนถงึ เหตผุ ลในการเลอื กบคุ คลหรือทีมงานนัน้ ๆ
2.3 สรา้ งทัศนคติที่ดีในการรับมอบหมายงาน ว่าจะนาไปสู่การพัฒนา ไม่ใช่เป็นการ
สรา้ งภาระ
2.4 มีการประเมินความรู้ ความสามารถของผู้รับมอบงาน เพ่ือนาไปสู่การใช้ความรู้
นน้ั .ๆ
2.5 อยา่ มอบหมายงานทต่ี ่าต้อย แต่ต้องเป็นงานท่ีสาคัญ ผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้เห็น
วา่ ทา่ นมน่ั ใจในตัวเขา
2.6 สรา้ งความชดั เจนถงึ หนา้ ท่ี ขอบเขต และอานาจที่มใี นการทางานน้ันๆ
2.7 จะต้องมน่ั ใจว่าผู้ใต้บงั คบั บัญชาเข้าใจงานอยา่ งชัดเจน ผใู้ ต้บังคับบัญชาเข้าใจว่า
ทา่ นตอ้ งการใหเ้ ขาทางานน้ันใหส้ าเรจ็
2.8 กาหนดเป้าหมายและความคาดหวงั ท่ีต้องการในผลลัพธข์ องงานอยา่ งชัดเจน
2.9 พจิ ารณาและจัดสรรทรพั ยากรเพอื่ สนบั สนุนการทางานให้บรรลุผล
2.10 กาหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานให้ชัดเจน รวมท้ังบอกถึงผลดีและ
ผลกระทบจากงาน
2.11 มกี ารเตรยี มการต่างๆ เพอื่ สนับสนนุ การทางาน
2.12 ยอมใหผ้ ใู้ ต้บงั คบั บัญชา ปรบั เปลย่ี นวธิ ีการทางานได้ มิใช่เพียงวิธีการของท่าน
เท่าน้ัน อย่างไรก็ตามถ้ามีกฎเกณฑ์หรือข้อจากัดที่อาจจะต้องปฏิบัติตาม ท่านต้องแน่ใจว่าได้มีการ
ส่ือสารกนั อย่างดี
2.13 ควรจัดหาให้มีทรัพยากรท่ีจาเป็นในการปฏิบัติงาน ถ้าท่านมอบหมายงาน
จาเป็นตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลือทจ่ี าเปน็ ด้วย
2.14 ควรให้สิ่งอานวยความสะดวก จัดให้มีเครือข่ายช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา
อย่ามีการตรวจตราอยา่ งเขม้ งวดเกินไป

184 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

2.15 ถา้ ผใู้ ตบ้ ังคับบัญชาทางานดกี ็ควรยกย่อง เพอื่ กาลงั ใจในการทางาน
2.16 ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาทางานไม่ดี ผู้บริหารที่ดีควรจะบอกวิธีที่จะปรับปรุง
ทถี่ กู ต้อง
2.17 จะต้องมอบหมายงานใหบ้ อ่ ยขึ้น เพื่อให้ทุกคนเกิดความชานาญในการทางาน
2.18 วิธีการติดตามงานและการให้ข้อมูลป้อนกลับ เพื่อพัฒนาคุณภาพ ทั้งน้ีต้อง
คานึงถึงการสร้างสมดุล ระหว่างการติดตามงานและการเปิดโอกาสให้ผู้รับมอบงานได้ทางานด้วย
ตนเองอยา่ งเตม็ ท่ี
สรุปได้วา่ การมอบหมายงานท่ีดี ต้องมีการวางแผน การเตรียมการและดาเนินงานอย่าง
ดีผ่านการติดต่อสื่อสารท่ีดี โดยคานึงถึงทั้งตัวงานที่มอบหมาย ความรู้ ความสามารถและทักษะ
ในการทางานของผู้รับมอบ รวมทั้งการให้อานาจในการดาเนินงานสนับสนุนทรัพยากรอย่างเต็มที่
และมีการติดตามผล อันจะนาไปสู่การทางานท่ีบรรลุเป้าหมายตามต้องการ คืองานได้ผล คนมีการ
พัฒนา องคก์ รเตบิ โตย่งั ยนื
โดยปกติการทางานจะต้องมีการแบ่งงานกันทา การมอบหมายหน้าท่ีเป็นการเร่ิมต้น
ของการจัดการของผูน้ า ในการมอบหมายหน้าที่ใหแ้ กผ่ ู้ใต้บงั คบั บัญชาทามากท่ีสุด เพื่อตนเองจะได้มี
เวลาในการวางแผนและวางโครงการต่าง ๆ ในอนาคต การมอบหมายหน้าท่ีจะมอบพร้อมกับอานาจ
แตก่ ารมอบอานาจนั้นเปน็ งานที่ยากท่ีสุดสาหรับผู้บริหารองค์กร ทั้งนี้เพราะปัญหาบางประการ เช่น
ผู้บรหิ ารบางคนกระจายงานไม่เป็น ผ้บู ริหารบางคนก็ไมไ่ วใ้ จผู้รว่ มงาน ไม่ยอมเส่ยี งต่อความผิดพลาด
บางคนรู้สึกอึดอัดใจที่ผู้ร่วมงานทางานเชื่องช้าไม่ทันใจ จึงไม่ยอมมอบงาน ผู้บริหารบางคนก็ไม่รู้จัก
ความสามารถของผู้ร่วมงานทาให้มอบงานไม่เหมาะสม หากผู้บริหารไม่มอบหมายหน้าที่ย่อมจะ
ประสบความสาเร็จยาก นอกจากน้ีผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะไม่พอใจ เมื่อได้รับหน้าที่ไม่เหมาะสม
หรือไม่ได้รับหน้าท่ี ผู้บริหารจะต้องใช้หลักการติดต่อส่ือสารร่วมกับหลักมนุษยสัมพันธ์ในการ
มอบหมายหนา้ ที่ ดังน้ี
1. ผู้บริหารต้องรู้จักและเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชา คือ รู้จักความรู้ความสามารถสติปัญญา
ความต้องการทศั นคติ เป็นตน้ การร้จู ักและเข้าใจเพ่ือร่วมงานจะเป็นพ้ืนฐานในการมอบหมายหน้าท่ี
ทเ่ี หมาะสม
2. ผู้บริหารต้องมอบงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถและความพอใจของ
ผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น ให้คนที่ชอบสังคม ชอบพูดคุย ชอบบริการทาหน้าท่ีประชาสัมพันธ์แทนการ
จดบันทกึ ข้อมลู เปน็ ตน้
3. ผบู้ รหิ ารต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใตบ้ งั คับบัญชาเลือกงานเอง ตัวอย่างเช่น มีตาแหน่งว่าง
2 ตาแหน่ง คือ.“พิมพ์ดีด”.กับ.“ประชาสัมพันธ์”.สมศรีพนักงานเก่าที่ทาหน้าท่ีพิมพ์ดีดได้พอใช้
แตผ่ ้จู ัดการสงั เกตเห็นว่าสมศรีชอบรับโทรศัพท์ ชอบต้อนรับแขกท่ีมาติดต่อจนผู้ที่มาติดต่อชมสมศรี
ว่ามีอัธยาศัยดีและมีน้าใจ ดังน้ัน สมศรี จึงพิมพ์งานเสร็จช้าเสมอ เม่ือมีตาแหน่งประชาสัมพันธ์
ว่างลง ผู้นาควรให้สมศรีเลือกระหว่างการเป็นพนักงานพิมพ์ดีดกับการเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์

การตดิ ต่อส่อื สารเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ 185

ในกรณีนี้ถ้าสมศรีเลือกงานประชาสัมพันธ์ผู้นาก็ต้องยอมและเปิดรับสมัครพนักงานพิมพ์ดีดใหม่
การเปิดโอกาสใหผ้ ู้ใต้บงั คับบญั ชา เลือกงานทเ่ี ขาชอบนน้ั จะช่วยให้เขาทางานได้ดีข้ึนและมีความรู้สึก
ทดี่ ีต่อผู้นาดว้ ย

4. ผู้บริหารต้องทาตัวให้ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับและเข้าใจการมอบหมายงาน
คือ มอบหมายงานพร้อมท้ังอธิบายขยายความให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจว่าต้องการอะไร อย่างไร
เม่อื ไรและให้ผู้ใต้บังคบั บัญชาทวนคาสัง่ ถงึ ลกั ษณะงานทตี่ อ้ งรบั ผิดชอบเพ่อื ใหเ้ ข้าใจตรงกนั

5. ผู้บริหารต้องมอบงานพร้อมทั้งมอบความรับผิดชอบและอานาจในการสั่งงาน
แก่ผ้บู ังคับบัญชาที่ต่ากว่า บ่อยครั้งท่ีผู้บังคับบัญชาระดับสูงมอบหน้าท่ีความรับผิดชอบ แต่มิได้มอบ
อานาจในการสั่งการ ผู้รับงานจึงไม่อาจทางานได้ เช่น ไม่สามารถส่ังให้คนขับรถออกไปได้ ผู้รับงาน
จึงเกดิ ความทอ้ แทใ้ จและไม่อยากทางาน

6. ผู้บริหารควรมอบงานให้กระจายท่ัวถึงทุกคน เพราะจะเป็นการวางแผนงาน
ให้พนักงานทุกคนไดท้ างานและได้แสดงศักยภาพของตนเองออกมาให้ผู้บรหิ ารไดเ้ ห็น

7. เม่ือผบู้ ริหารมอบหมายงานแลว้ กค็ วรปล่อยใหเ้ ขาทางานอย่างอิสระ คือต้องให้เกียรติ
และยอมรับความสามารถวา่ เขาตอ้ งทาได้สาเรจ็ ดังนัน้ ควรดูแลอยู่ห่าง ๆ

8. ผู้บริหารต้องบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบอย่างชัดเจนว่า ต้องการผลการปฏิบัติ
อยา่ งไร เพอื่ ใหผ้ ูร้ บั มอบปฏบิ ัติได้ถกู ต้อง

9. ผู้ปฏิบัติงานควรได้รับการฝึกทักษะให้เหมาะสมกับงาน ทั้งนี้เพราะคนมีการ
เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนงานมีความคงท่ี กรณีของสมศรีเมื่อผู้นาเห็นว่าสมศรีเหมาะกับงาน
ประชาสัมพนั ธแ์ ละสมศรีกช็ อบเช่นนั้น ผบู้ รหิ ารควรให้สมศรีได้มีการฝึกฝนงานเพิ่มเติมเพ่ืองานจะได้
มปี ระสทิ ธิภาพย่ิงขึ้น

10. ผู้บริหารควรมีการดูแลและติดตามผล เช่น ตรวจสอบดูว่างานส่วนใดเสร็จไปแล้ว
เสร็จตามกาหนดหรือไม่ เป็นไปตามมาตรฐานท่ีวางไว้หรือไม่พร้อมทั้งพิจารณาว่าวิธีการทางานน้ัน
เหมาะสมหรือควรเปลี่ยนแปลงการติดตามผล จะทาให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความตื่นตัวในการทางาน
การมอบหมายหน้าท่ีทาใหผ้ ใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาเกดิ ความภาคภมู ิใจท่ีได้รบั ความไว้วางใจ

การมอบหมายงานจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้แสดงความสามารถ
มีความรับผิดชอบและมีโอกาสสร้างสรรค์งาน การมอบหมายงานที่เป็นไปตามหลัก 10 ประการ
ข้าง ต้น จ ะช่ ว ย เพิ่ม สั ม พัน ธ ภ า พท่ี ดีร ะ ห ว่ างผู้ บ ริ ห า ร แล ะผู้ ร่ ว ม งา น ผ่ า น ก าร ติ ดต่ อส่ื อ ส า ร ที่ มี
ประสิทธิภาพอีกดว้ ย

3. เทคนิคการวจิ ารณ์ใหเ้ กดิ ประโยชน์

การวิจารณ์เป็นสิ่งท่ีผู้ถูกวิจารณ์ไม่อยากรับฟังและผู้วิจารณ์ก็ลาบากใจ แต่การ
วิจารณ์จะให้ได้ประโยชน์ต้องวิจารณ์เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่าวิจารณ์คนเพียง
เพ่ือทาให้ตนเด่น เม่ือจะวิจารณ์ใครควรนึกถึงใจเขาใจเรา ซ่ึงเทคนิคในการวิจารณ์ก็เป็นอีกเทคนิค

186 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

ท่ีผู้บริหารธุรกิจจาเป็นต้องฝึกทักษะการติดต่อส่ือสารทางด้านการวิจารณ์ เพ่ือไม่ให้เกิดผลเสีย
กับองค์กรตามมา โดยมีหลกั ดังนี้

3.1 ให้ถือเป็นเรื่องลับเฉพาะส่วนตัว.ถ้ามีความจาเป็นต้องมีการวิจารณ์บุคคล
จะต้องคิดเสมอว่าเขาย่อมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องไม่ดีของเขา จึงต้องถือเป็นความลับเฉพาะ
ของผู้วิจารณ์และผู้ถูกวิจารณ์เท่านั้น โดยการเรียกมาวิจารณ์เป็นการส่วนตัว ในสถานท่ีและเวลา
ที่เหมาะสม.เช่น ในองค์กร ถ้าจาเป็นจะต้องวิจารณ์ลูกน้องในปกครอง ก็ควรเรียกตักเตือนเป็น
ส่วนตัว ไมว่ จิ ารณต์ อ่ หนา้ เพือ่ นรว่ มงานคนอ่ืนๆ เพราะจะทาใหเ้ ขาเกิดความอับอายได้

3.2 กล่าวนาด้วยคาร่ืนหู.ก่อนเร่ิมการวิจารณ์อาจต้องหาเรื่องพูดคุยทั่ว ๆ ไป ไม่ให้
รู้สึกว่าวันนี้จะถูกวิจารณ์ ทาให้เหมือนเข้ามาพูดคุยเหมือนที่เคยได้พูดคุยกัน แล้วหาทางเข้าเรื่อง
ทต่ี ้องวจิ ารณใ์ นลกั ษณะทบ่ี อกให้เขาทราบและร่วมกันคิดหาทางแก้ไขรว่ มกัน

3.3 อย่าเพ่งตัวคน ให้เจาะผลงาน.บุคคลทางานผิดพลาดในเนื้องานต้องวิจารณ์
ที่เนื้องานเพ่ือหาหนทางแก้ไขงานท่ีบกพร่อง ไม่ควรท่ีจะพาลหาเรื่องวิจารณ์ตัวบุคคลไปด้วย
ควรแยกแยะระหว่างงานและคน

3.4 บอกทางแก้ไขไว้ด้วย.เม่ือได้ทาการวิจารณ์ให้ทราบแล้ว เพ่ือแสดงความจริงใจ
ที่ได้บอกข้อบกพรอ่ ง ผู้บริหารควรท่ีจะเสนอแนวทางทจี่ ะแก้ไขให้เรอ่ื งท่ีผิดพลาดมีทางออกท่ดี ีได้

3.5 ขอความร่วมมือ.ไม่ควรบีบบังคับเพราะเมื่อเกิดข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ควรท่ีจะ
ร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยการชี้แจงผลดีผลเสียที่จะเกิดข้ึนกับตัวเขาและกับองค์กร โดยการขอความ
ร่วมมือในการแก้ไขปัญหา อย่าใช้วิธีข่มขู่โดยเอาหน้าที่การงานมาเป็นข้อต่อรอง เพราะเขาจะทาไป
ด้วยความไม่พอใจ

3.6.ทาผิดคร้ังเดียว ว่าครั้งเดียวก็พอ.เมื่อบอกข้อผิดพลาดและหาทางออกของปัญหา
ที่เกิดได้แล้ว ควรเริ่มต้นปฏิบัติในสิ่งที่ได้คิดแก้ไขจนสาเร็จ และไม่พูดถึงเร่ืองที่ผิดพลาดในอดีตอีก
เพราะเป็นการตอกยา้ ในความผิดพลาดและผูท้ ผี่ ดิ พลาดกย็ ่อมไมอ่ ยากจะได้ยิน เพราะคนเรามีโอกาส
ทาผิดพลาดกันไดเ้ สมอ

3.7.จบคาวิจารณ์อย่างเป็นมิตร.ทุกคร้ังท่ีวิจารณ์ต้องแสดงเจตนาโดยชัดเจนตั้งแต่
เร่ิมสนทนาถึงความเป็นมิตรในการวิจารณ์ เพ่ือให้เขาได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดข้ึน ร่วมกันหาทาง
แก้ไขด้วยกัน และเม่ือจบการวิจารณ์ยืนยันอีกคร้ังว่าจะช่วยเหลือเขาจนกว่าจะแก้ไขปัญหาได้
เพอื่ แสดงถงึ ความหว่ งใย ความหวงั ดที ีเ่ รามตี อ่ เขาและไมต่ ้องการท่ีจะตอกย้าเขา

3.8.สอบหาความจาเป็นที่จะต้องวิจารณ์.ถ้าเรื่องที่ต้องการวิจารณ์น้ันเป็นเรื่องท่ีมี
ความสาคัญท่ีต้องได้รับการแก้ไข ก็จาเป็นต้องวิจารณ์โดยการบอกข้อผิดพลาดและเสนอแนะวิธี
แก้ไขใหด้ ้วย

3.9 ช่ังน้าหนักผลที่จะเกิดก่อนจะเปิดปากพูด.เมื่อพิจารณาได้ว่าเรื่องที่ต้องวิจารณ์
มีความสาคัญและจาเป็น ก่อนท่ีจะพูดทุกคร้ังต้องคิดก่อนพูดว่าจะพูดว่าอย่างไร และลองคิดต่อว่าถ้าพูด

การตดิ ต่อสอ่ื สารเพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ 187

ออกไปแล้ว จะมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน ถ้ามีผลดีก็พูดออกไปด้วยความจริงใจท่ีช่วยกันแก้ไข
แตถ่ า้ พดู แลว้ ไม่เกิดผลดกี ็เงยี บจะดีกว่า แตถ่ ้าเรอ่ื งที่จะตาหนไิ มส่ าคัญก็ไมพ่ ูดจะดีกว่า

3.10 เลือกสถานที่และเวลาท่ีเหมาะสม.ถ้าเลี่ยงได้การวิจารณ์เป็นสิ่งท่ีทุกคน
ไมป่ รารถนา แตถ่ า้ จะตอ้ งถูกวจิ ารณ์กค็ งไมอ่ ยากให้ใครเหน็ ควรจะวิจารณ์ในที่ท่ีเป็นส่วนตัวและควร
วจิ ารณ์บุคคลในเวลาท่ีเขามีความพรอ้ มดว้ ย

3.11 ในการวิจารณ์ต้องมีหลักฐาน.การวิจารร์ทุกคร้ังควรท่ีจะมีการบอกกล่าว
โดยชดั เจนและเม่ือมีการวิจารณ์เกิดข้ึนต้องมีการจดบันทึกในข้อที่ถูกวิจารณ์ และให้เกิดการยอมรับ
และเสนอแนวทางในการแก้ไขและวันเวลาทจ่ี ะดาเนินการ ตลอดจนการติดตามผลของการไปดาเนิน
แก้ไขเพอื่ เปน็ หลักฐานว่าได้ดาเนินการแล้ว

3.12 วิจารณ์แต่เพียงเร่ืองท่ีแก้ไขได้เท่านั้น.เพราะบางเรื่องเป็นเร่ืองที่เหนือวิสัย
ทีแ่ ก้ไขได้ เชน่ ผลผลติ ตกตา่ เกดิ จากเครื่องจกั รชารดุ เปน็ ตน้

จากสิ่งท่ีกล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถสรุปได้ว่า.เทคนิคการวิจารณ์ให้เกิดประโยชน์นั้น
มีความสาคัญมากต่อการทางานในองค์กรท่ัวไปและองค์กรธุรกิจ เพราะหากนาไปใช้ผิดท่ีผิดเวลา
หรือไม่พจิ ารณาให้ถ่ีถ้วน กย็ ่อมทจี่ ะเกดิ ผลเสยี ต่อหนว่ ยงาน มากกวา่ ผลดกี เ็ ป็นได้

หลกั ในการติดตอ่ สื่อสารให้ประสบความสาเร็จ

การส่ือสารจะประสบความสาเร็จตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ ผู้ส่งสารควรคานึงถึง
หลักการส่ือสาร ดังน้ี

1. ผู้ที่จะสื่อสารให้ได้ผลและเกิดประโยชน์ จะต้องทาความเข้าใจเร่ืององค์ประกอบ
ในการสื่อสารและปจั จยั ทางจติ วทิ ยาที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับรู้ การคิด การเรียนรู้ การจา ซ่ึงมีผล
ตอ่ ประสิทธิภาพในการส่ือสาร

2. ผู้ท่จี ะสื่อสารต้องคานึงถึงบริบทในการสื่อสาร บริบทในการส่ือสาร หมายถึง ส่ิงที่อยู่
แวดลอ้ มทม่ี ีส่วนในการกาหนดร้คู วามหมายหรอื ความเขา้ ใจในการส่อื สาร

3. คานึงถึงกรอบแห่งการอ้างอิง มนุษย์ทุกคนจะมีพื้นความรู้ทักษะ เจตคติ ค่านิยม
สังคม ประสบการณ์ เป็นต้น เรียกว่าภูมิหลังแตกต่างกัน ถ้าคู่สื่อสารใดมีกรอบแห่งการอ้างอิง
คล้ายกันใกลเ้ คียงกันจะทาใหก้ ารสื่อสารงา่ ยขึน้

4. การสื่อสารจะมีประสิทธิผล เมื่อผู้ส่งสารส่งสารอย่างมีวัตถุประสงค์ชัดเจนผ่านส่ือ
หรอื ชอ่ งทางท่ีเหมาะสมถึงผู้รับสารทีม่ ีทกั ษะในการสอื่ สารและมีวตั ถุประสงค์สอดคลอ้ งกนั

5. ผสู้ ่งสารและผ้รู บั สารควรเตรียมตัวและเตรยี มการล่วงหนา้ เพราะจะทาให้การส่ือสาร
ราบรื่น สะดวก รวดเร็ว เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที หากจะเกิดอุปสรรค
ที่จดุ ใดจดุ หน่งึ

188 มนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

6. คานึงถึงการใช้ทักษะ เพราะภาษาเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์ตกลงใช้ร่วมกันในการ
ส่ือความหมาย ซ่ึงถือได้ว่าเป็นหัวใจในการส่ือสาร คู่สื่อสารต้องศึกษาเรื่องการใช้ภาษาและสามารถ
ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล เน้อื หาของสารและช่องทางหรอื ส่ือทีใ่ ช้ในการสอื่ สาร

7. คานึงถึงปฏิกิริยาตอบกลับตลอดเวลา ถือเป็นการประเมินผลการส่ือสารท่ีจะทาให้
คู่สื่อสารรับรู้ผลของการส่ือสารว่าประสบผลดีตรงตามวัตถุหรือไม่ ควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลง
หรอื แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งใด เพอื่ ทีจ่ ะทาใหก้ ารสือ่ สารเกดิ ผลตามที่ต้องการ

8. ผู้พูดและผู้ฟังใช้ภาษากาย โดยเริ่มด้วยกิริยาท่าทางที่เป็นมิตรใช้น้าเสียงคาพูด
ทสี่ ุภาพ

9. ฝกึ การสังเกตอากัปกิริยาของผู้ฟังโดยพยายามเปิดใจผู้ฟังด้วยการใช้คาถามแบบเปิด
ข้ึนต้นด้วย 5.W 1.H (what who where when why and How) เพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหน่ึง
ได้พดู

10. ค้นหาสิ่งทีผ่ ู้พูดและผู้ฟงั มอี ยู่ร่วมกนั นามาเปน็ หวั ข้อในการสนทนา
11. มีความอดทนเป็นผู้ฟังท่ีดี ตั้งใจจับประเด็น ใจความสาคัญ พยายามเข้าใจ
ถึงความร้สู กึ ของผู้พูด โดยตดิ ตามสอบถามเรื่องราวเป็นระยะ
12. แสดงให้ผู้พูดรู้ว่าเข้าใจเขาโดยแสดงออกอย่างเหมาะสม เช่น พูดสนับสนุน
ใหก้ าลงั ใจ แสดงความเหน็ ใจ
13. แสดงทา่ ทางที่ใสใ่ จผูพ้ ูดโดยการโนม้ ตัวไปทางผู้พดู พยักหนา้ สบสายตานาน ๆ
ผู้ส่ือสารควรมีการฝึกใช้ภาษาท่ีเต็มไปด้วยความรู้สึกท่ีทาให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการตาม
ได้มากเท่าไร กย็ งิ่ ทาใหก้ ารส่ือความได้รบั ความสนใจมากย่งิ ขน้ึ นอกจากน้กี ารรจู้ ักใช้คาอุปมาอุปไมย
มาเปรียบเทียบให้เกิดการจุดประกายความคิดแก่ผู้ฟังจะทาให้เกิดความเข้าใจเร็วขึ้น สมบูรณ์ข้ึน
จะเห็นได้จากการท่ีนักพูดท่ีมีช่ือเสียงมักนิยมนามาพูดเสริมให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ฟัง
ความสาคัญของการส่ือสารให้ได้ความหมายและใจความท่ีสมบูรณ์ โดยสามารถทาให้ผู้ส่งสารและ
ผรู้ ับสารมคี วามเขา้ ใจตรงกันมากทีส่ ุดเท่าไร ก็ถอื เป็นการสื่อสารทม่ี ีประสทิ ธิภาพอยา่ งแท้จรงิ น่ันเอง

หลกั การติดตอ่ ส่ือสารเพอ่ื สร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

ในการทางานในองค์กรธุรกิจให้ประสบผลสาเร็จได้น้ัน จาเป็นต้องอาศัยหลักการบริหาร
จัดการที่ดี การมีทรัพยากรมนุษย์ที่ดี การที่จะให้บุคลากรมีความต้ังใจในการทางานได้จาเป็นต้อง
อาศัยการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากร จะเห็นว่าในการบริหารจัดการหรือการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ในองค์กรจะต้องอาศัยทักษะด้านการติดต่อส่ือสารในการดาเนินกิจกรรมดังกล่าว
ถ้าบุคคลมีทักษะด้านการสื่อสารที่ดีกับผู้อื่นจะช่วยเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ระหว่างกันได้เป็น
อย่างมาก โดยหลักการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ ซึ่งช่วยให้เกิดสัมพันธภาพท่ีดี
ภายในองค์กร อาจกล่าวไดโ้ ดยสงั เขปได้ดังน้ี

การตดิ ตอ่ สอื่ สารเพื่อสร้างมนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กจิ 189

1. สนใจ.เอาใจใส่ ให้ความสาคัญกับผู้ท่ีติดต่อส่ือสารด้วย ทั้งน้ีเน่ืองจากการให้ความ
สนใจ เอาใจใส่ ให้ความสาคัญกับคู่สนทนาหรือผู้ที่ติดต่อสื่อสารจะทาให้จับใจความการพูดการคุย
ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าเป็นการทางานร่วมกันในองค์กรธุรกิจก็จะทาให้เข้าใจเร่ืองงานได้ถูกต้อง
ทางานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ทุกคนมีความเข้าใจในงานตรงกัน การแสดงความสนใจเอาใจใส่
และให้ความสาคัญกับผู้ท่ีติดต่อสื่อสารด้วยน้ัน อาจกระทาได้ทั้งโดยสีหน้า ท่าทาง น้าเสียงและคาพูด
ซ่ึงแสดงการยอมรับ กระตือรือร้นต่อการสนทนา มองสบตาโดยเปิดเผยจริงใจ เต็มใจ ต่อการพูดคุย
ให้เวลาเพียงพอต่อการพูดคุยหรือติดต่อสื่อสารกัน พยายามทาความเข้าใจกับส่ิงท่ีอีกฝ่ายหน่ึง
ต้องการให้รบั ทราบ

2. หลีกเล่ียงการพูดพาดพิงถึง “คน”.เม่ือสนทนาเรื่องภายนอกตัว.คือในกรณีท่ีเป็น
การสนทนาแบบกันเองท่ัวไปหรือแม้แต่เรื่องงานบางเร่ือง ถ้าคู่สนทนาต่างพยายามหลีกเลี่ยง
การพูดพาดพิงถึงคน จะช่วยให้แต่ละฝ่ายสนใจส่ิงภายนอกตัว ลดการเพ่งเล็งที่คน ซึ่งอาจจะหมายถึง
คู่สนทนาหรือบุคคลท่ีสามอื่นๆ เป็นการป้องกันการวิพากษ์วิจารณ์ ซ่ึงบางทีเป็นน้าผ้ึงหยดเดียว
อันอาจนาไปสู่การขัดแย้งกันในองค์กรได้และอาจจะลุกลามเป็นเร่ืองราวใหญ่โต ถึงข้ันส่งผลกระทบ
ตอ่ องค์กรได้

3. ใช้คาถามเชิงอธิบายแทนการส่ังสอนหรือแนะนา.มนุษย์โดยท่ัวไปมักไม่ชอบ
ให้ใครมาอบรมส่ังสอนเรื่องการวางตัวหรือการประพฤติปฏิบัติ ยกเว้นเรื่องทักษะหรือความรู้
ทางเทคนิคในงานบางเร่ืองท่ีทาไม่เป็นและจาเป็นต้องเรียนรู้ ดังน้ัน เม่ือจาเป็นต้องให้พนักงานหรือ
เพ่ือนร่วมงานได้แนวทางปฏิบัติบางประการ เพ่ือกระตุ้นให้อีกฝ่ายหน่ึงได้คิดทบทวนหาเหตุผล
ในบางเร่ือง ซึ่งอาจจะช่วยให้เจ้าตัวคิดหาทางออกของปัญหาหรือหาวิธีทางานได้หลายแนวทางข้ึน
โดยทลี่ ดความร้สู ึกขดั แย้ง คับขอ้ งใจจากการถูกอบรมสัง่ สอน

4. ใช้ประโยคท่ีเริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่สองเม่ือพูดถึงส่ิงดี.เน่ืองจากการใช้
ประโยคทีเ่ ริ่มต้นดว้ ยสรรพนามบุรษุ ทส่ี อง เช่น ท่าน หรือ คุณ หรอื พี่ หรอื เธอ ช่วยใหค้ ูส่ นทนาเห็น
ว่าเราสนใจเขายอมรับเขา นอกจากน้ันยังช่วยแทนความรู้สึกในใจของผู้พูดแฝงออกมาด้วย เช่น
ถ้าผู้พูด พูดว่า “คุณเป็นคนเฉียบแหลมจริง.ๆ” อาจหมายความว่า “ฉันชื่นชมคุณเหลือเกิน เพราะ
คุณเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถมาก”.การใช้สรรพนามบุรุษท่ีสองช่วยเผย
ความรูส้ กึ ในใจทด่ี ี ๆ ของผพู้ ูดออกมาไดโ้ ดยไมต่ ้องบรรยายความรูส้ กึ ออกมาตรง ๆ

5. ใช้คาว่า.“เรา”.เมื่อต้องการให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นพวก.การใช้คาว่าเรา
ในการพูดคุย บางทีหมายถึง คุณ หรือ ท่าน ก็ได้ เช่น เม่ือพูดว่า “เราควรพยายามทางานช้ินนี้
ให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้” อาจหมายความว่าคุณควรเร่งมือทางานชิ้นน้ีข้ึนอีกหน่อย นอกจากน้ัน
การใช้เราในการสนทนายังทาให้เกิดความรสู้ ึกเป็นพวกพ้องเดียวกัน ลดความรู้สึกแบ่งแยกและใช้พูด
ชักจูงใจได้ดี เช่น เม่ือพูดว่าเรามีความรู้สึกทานองเดียวกันกับเขา มักทาให้ผู้ฟังคล้อยตามผู้พูด
โดยง่ายหรือเมื่อใชเ้ ราในการตาหนิ ผถู้ ูกตาหนิก็จะไม่เสียหน้ามากนัก ดังน้ัน แทนท่ีจะพูดว่าคุณ ก็ใช้

190 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

คาว่าเราทาให้มีความรู้สึกเป็นหมู่เป็นพวก ทาให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจ ถึงแม้จะพูดในส่ิงท่ีเป็นทางลบ
กย็ งั ไมด่ ูเปน็ การ ติเตยี น ดูว่าเป็นความผดิ ของเรารว่ มกนั

6. ใช้ประโยคท่ีเริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หน่ึง.เม่ือต้องการแสดงความรับผิดชอบ
ในส่ิงที่พูด การใช้ประโยคท่ีข้ึนต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง หมายถึงว่าผู้พูดตระหนักดี
ถึงความรับผิดชอบส่วนตัวในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ใช้ในการแสดงออกซึ่งประสบการณ์หรือแนวคิด
ส่วนตัว ผู้พูดมิได้พยายามปิดบังหรือหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในสิ่งท่ีตนพูด และมีความเต็มใจ
ในการแสดงความรู้สึกส่วนตัวกับผู้อื่น แต่บางทีการใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งบ่อยเกินไปในการสนทนา
ก็อาจแสดงให้เห็นว่าผู้พูดมีลักษณะยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง และชอบที่จะแสดงตัวว่าความคิดเห็น
ของตนนั้นเหนือกว่าผู้อื่น จึงควรระวังการใช้ให้อยู่ในระดับท่ีเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกินไปและ
ไม่ควรใช้สรรพนามบุรุษที่หน่ึงเพ่ือการยกตนข่มท่าน คือ เพื่อแสดงความเด่นความเก่ง หรือความมี
อานาจเหนอื ผู้อ่ืน ซ่ึงเปน็ ผลเสยี ต่อการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์กบั คนในองค์กร

7. ใช้สรรพนามบุรุษท่ีสอง-บุรุษที่หนึ่ง หรือ คุณ-ฉัน เมื่อต้องการแสดงความใกล้ชิด
จริงใจ.การใช้ คุณ-ฉัน หรือสรรพนามบุรุษท่ีสอง–หนึ่งกับบุคคลสองคน ทาให้เกิดความสัมพันธ์
ทีแ่ นน่ แฟน้ และรู้จักกนั มากข้นึ และเป็นการสื่อสารที่แท้จริงระหว่างความหมายไปในทางลบ แต่ก็ยัง
แฝงความรสู้ ึกเปน็ มิตรและซื่อสตั ย์ต่อกัน เชน่ ตัวอย่างประโยคท่ีว่า “ฉันคิดว่าส่ิงที่คุณทาทั้งหมดน้ัน
มนั ผิด” แมจ้ ะเปน็ ทางลบ แตก่ ็ยงั แสดงความร้สู ึกและเจตคติของผพู้ ูดที่มีต่ออีกฝ่ายหน่ึงว่าจริงใจต่อกนั

8. ใชค้ าวา่ “อยา่ งไร” เมื่อตอ้ งการข้อเทจ็ จริง การใช้อยา่ งไร ในคาถาม แสดงว่าผู้ถาม
ต้องการคาตอบจริง.ๆ และถามด้วยความสนใจจริง.ๆ เช่น เม่ือถามว่า.“คุณทางานนี้ได้อย่างไร”
หรือ.“เม่ือถามว่า คุณรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งท่ีเกิดขึ้น”.แสดงว่าผู้ถามต้องการทราบความจริง มิใช่
ต้องการข้อวิจารณ์จากผู้ถูกถาม หรือการปิดบังความเป็นจริงจากผู้ถูกถาม การใช้อย่างไร ในการ
สนทนาเป็นการเปิดทางไปสู่การสื่อสารระหว่างกันอย่างแท้จริง แต่ก็มีข้อระวังท่ีจะไม่คุกคามหรือ
ล่วงละเมิดเรอื่ งส่วนตวั ของผถู้ ูกถามจนเสียสัมพันธภาพต่อกันเนอ่ื งจากบคุ คลทกุ คนต่างไม่ชอบให้ใคร
ลว่ งล้าขอบเขตสว่ นตวั ของกันและกัน

9. ใช้คาว่า.“ทาไม”.ให้เหมาะสมตามจุดประสงค์.การใช้ ทาไม ในประโยคคาถาม
แสดงว่าผู้ถามต้องการคาอธิบายจากอีกฝ่ายหน่ึง และบ่อยเหมือนกันที่คาน้ีทาให้แปลความหมาย
ไปในทานองวิพากษ์วิจารณ์อีกฝ่ายหน่ึงได้ เช่น เม่ือถามว่า “คุณเอาพริกไทยใส่เข้าไป
ในแฮมเบอร์เกอร์ทาไม”.อาจตีความหมายได้ว่า.“คุณรู้ไหมพริกไทยน่ะ จะทาให้คุณจามไม่รู้จักหยุด
แยจ่ ริง”

อกี แง่หนึง่ คาวา่ “ทาไม” กช็ ่วยแสดงความจริงใจของผู้พูด ทาให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกท่ีดี
ขน้ึ ได้ เชน่ เมื่อพูดว่า.“ทาไมคุณมักคิดถึงแต่คนอื่นอยู่ตลอดเวลา”.หรืออาจแสดงความรู้สึกไม่จริงใจ
ของผู้พูดออกมาได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ท่ีพูดด้วย เช่น ถ้าพูดว่า.“ทาไมนะ คุณมักจะเป็นฝ่าย
เดียวกับผู้ตอบถูกเสมอ”.อาจตีความหมายได้ว่า “ฉันปวดหัวและเหน่ือยหน่ายในการท่ีคุณเป็นฝ่าย

การตดิ ต่อสือ่ สารเพอ่ื สรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ 191

ท่ีมาพร้อมกับการแก้ปัญหาได้ทุกที รู้สึกอิจฉาจริง.ๆ”.ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการใช้ภาษา
หรือคาพูดส่ือสารกันน้ัน ผู้ใช้ต้องระวังการใช้และรอบคอบในการส่ือสารความหมาย เพราะถ้า
ไม่ระวัง บางทีอาจสร้างความเข้าใจผิดและได้ความหมายเป็นตรงข้ามกับท่ีต้องการ ซึ่งมักมีตัวอย่าง
ความเข้าใจผดิ และความขัดแยง้ ในหนว่ ยงานให้เหน็ อยเู่ รอ่ื ย

10. ใช้วิธีสะท้อนความรู้สึกสะท้อนเน้ือหาคาพูดของคู่สนทนาเพ่ือแสดงความเข้าใจ
วิธีสะท้อนความรู้สึกหรือสะท้อนเน้ือหาคาพูดของคู่สนทนานั้น เป็นวิธีการของนักจิตวิทยากลุ่ม
มนุษยนิยมที่ใช้แสดงความเข้าใจอีกฝ่ายหน่ึง โดยไม่ต้องพูดคาว่า “ฉันเข้าใจคุณ”.ทั้งนี้เพราะคาว่า
“ฉันเข้าใจคุณ”.ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปน้ัน บางทีก็เป็นเพียงคาพูดทั้ง.ๆ ที่ไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง
การสะท้อนความรู้สึกหรือสะท้อนเนื้อหาคาพูดของคู่สนทนา เพ่ือแสดงความเข้าใจผู้อ่ืนน้ัน เป็นการ
เข้าถึงความรู้สึกหรือเน้ือหาในสิ่งที่เขากาลังส่ือสารให้เรารับทราบ ซึ่งเมื่อเรารับทราบและเข้าใจสาร
น้ันแล้ว กส็ ื่อความเขา้ ใจดงั กล่าวไปสูเ่ จา้ ตัวโดยใชว้ ธิ สี ะทอ้ นความรู้สึกหรอื สะทอ้ นเนื้อหาคาพดู

11. ใช้คาพูดเปิดเผยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจและพร้อมเป็นมิตร คือ ผู้ที่ขาดทักษะ
ในการพูดคุยกับผู้อ่ืนบางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทาให้คบคนยาก ไม่มีเพ่ือน
หรืออาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่ืนว่าเป็นคนไม่อยากคบหาสมาคมกับใคร ผู้ที่ขาดทักษะดังกล่าว
จึงควรฝึกฝนตนเองในการแสดงออกซ่ึงความรู้สึกและความในใจท่ีเป็นในระดับพื้นฐานท่ัวไป ซ่ึงมัก
เรียกกันว่าการเปิดเผยตนเอง เพ่ือเปิดใจอันเป็นการเปิดทางให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้ชิดกับตัวเราและ
เพื่อช่วยให้ผู้อ่ืนรู้จักเราเพ่ิมขึ้น ดังมีคากล่าวที่ว่า ถ้าเปิดตาโดยไม่เปิดใจให้แก่กันแล้ว เราจะอยู่
ด้วยกันได้อย่างไร คาพูดดังกล่าวน้ี สะท้อนให้เห็นความสาคัญของการเปิดเผยตนเอง เพื่อให้อยู่ร่วมกัน
และทางานร่วมกนั ได้โดยราบร่นื

หลักการติดต่อส่ือสารเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจท่ีกล่าวมาแสดงให้ผู้บริหาร
องค์กรได้ทราบว่าการใช้ภาษา คาพูดในการติดต่อสื่อสารกันในการทางานในองค์กรมีความสาคัญ
และจาเป็นท่ีจะมีผลทาให้องค์กรธุรกิจจะประสบผลสาเร็จได้มากน้อยมากเพียงใด ดังน้ันผู้บริหาร
องค์กรธุรกิจควรท่ีจะต้องศึกษาและฝึกทักษะการติดต่อส่ือสารเพ่ือให้ตนเองมีความชานาญและ
เชี่ยวชาญเพื่อให้การดาเนินธุรกิจมีความราบร่ืนท้ังด้านบริหารจัดการและด้านบริหารทรัพยากร
มนษุ ย์อยูด่ ้วยกนั ได้อยา่ งมีความสขุ

เทคโนโลยีการติดตอ่ สือ่ สารเพื่อสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

การติดต่อส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพในปัจจุบันจะต้องมีการนาเทคโนโลยีในมาช่วยในการ
เพ่ิมประสิทธิภาพของการติดต่อสื่อสารให้มีความรวดเร็ว ทันเวลาและถูกต้องแม่นยา เพื่อใช้ในการ
ตัดสินใจ การวางแผนและการดาเนนิ งานทกุ ด้าน การใช้เทคโนโลยีในสานักงานมีมากมายหลายชนิด
แตท่ ีก่ าลงั เปน็ ทีน่ ยิ มใชก้ ันอย่างแพร่หลายและมแี นวโนม้ วา่ จะใชม้ ากยิ่งขน้ึ ในอนาคต มีดังน้ี

192 มนุษยสัมพันธท์ างธุรกจิ

1. โทรศัพท์.(Telephone).เป็นอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคมที่ผู้ใช้สองคนหรือ
มากกว่า สามารถพูดคุยสนทนากันเมื่อไม่ได้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันท่ีจะได้ยินเสียงกันโดยตรง
ปัจจุบันโทรศัพท์ได้มีการพัฒนาเพ่ือความสะดวกสบายในการติดต่อส่ือสาร และสามารถใช้งานได้
ในหลายรูปแบบ เช่น การแชท ปฏิทิน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาย เกมส์ การใช้งานอินเทอร์เน็ต
บลูทธู อินฟราเรด กล้องถ่ายภาพ วิทยุ ดูหนังฟังเพลงและแผนท่ี เป็นต้น ซึ่งส่ิงเหล่านี้มนุษย์สามารถ
นามาใช้กับการทางานธุรกิจเพ่ือประหยัดค่าใช้จ่ายท่ีถูกลงและความสะดวกสบายรวดเร็ว โทรศัพท์
มีมากมายหลายชนดิ องค์กรสามารถเลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั ความต้องการ ในการใช้งาน โดยปัจจุบัน
มีโทรศพั ท์มากมายหลายชนดิ โดยแบ่งออกได้ ดังน้ี

1.1 โทรศัพท์ส่วนบุคคล หมายถึง โทรศัพท์ที่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลแสดง
ความจานงเพ่ือขอใช้โทรศัพท์ยื่นต่อองค์การหรือหน่วยงานท่ีรับผิดชอบในการให้บริการโทรศัพท์
โดยเสยี ค่าใชจ้ า่ ยในการขอหมายเลขและค่าติดตั้งตามอตั ราทีก่ าหนดไว้ในระเบยี บ ผู้ขอใช้จะต้องเป็น
ผู้จัดหาโทรศัพท์แบบกดปุ่มมาเชื่อมต่อกับสายท่ีองค์การเดินสายไว้ให้ โทรศัพท์ชนิดนี้มีทั้งแบบ
ธรรมดาและแบบไร้สาย

ภาพที่ 5.3 โทรศัพทส์ ว่ นบุคคล
1.2 โทรศัพท์สาธารณะ หมายถึง เครื่องโทรศัพท์ที่ทางองค์การโทรศัพท์หรือ
หน่วยงานที่รับผิดชอบในการให้บริการได้ทาการติดต้ังเพ่ือเป็นการบริการแก่ชุมชน มีท้ังแบบ
หยอดเหรียญ (Coin.Phone).และแบบใช้บัตร.(Card.Phone).นอกจากนี้ยังมีบริการโทรศัพท์
สาธารณะทางไกลต่างประเทศเพ่ือให้บริการแก่ชาวต่างชาติท่ีเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและผู้ที่
ตอ้ งการตดิ ต่อไปตา่ งประเทศอีกด้วย

การตดิ ต่อสือ่ สารเพ่อื สร้างมนษุ ยสัมพันธท์ างธุรกิจ 193

ภาพที่ 5.4 โทรศพั ท์สาธารณะ
1.3 โทรศัพท์เคล่ือนท่ีหรือโทรศัพท์มือถือ.(Mobile.Telephone).เข้ามามีบทบาท
ต่อการดาเนินธรุ กจิ หากไมม่ ีการพัฒนาระบบการส่ือสารทางด้านโทรศัพท์เคล่ือนที่ การดาเนินธุรกิจ
คงจะเป็นไปได้ยากเสียเปรียบคู่แข่งขัน ซ่ึงเป็นผลมาจากสภาพการจราจรในปัจจุบัน
โทรศัพท์เคลื่อนที่จึงมีความสาคัญเป็นอย่างมากต่อการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งระบบ
AIS,.DTAC.และ TrueMove เปน็ ต้น

ภาพท่ี 5.5 โทรศัพท์มือถอื
2. โทรสาร (Facsimile Technology) หรือ (FAX) คือ เครื่องมือท่ีใช้รับ-ส่งข้อมูล
ขา่ วสารดว้ ยการอาศัยหมายเลขโทรศพั ท์เป็นตัวกลางรับ – ส่ง เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารท่ีใช้กันมาก
ในปัจจุบัน เพราะเป็นอุปกรณ์ที่สามารถส่งข่าวสารได้ท้ังที่อยู่ในลักษณะท่ีเป็นรูปภาพ
(Picture).อักขระ (ตัวอักษร ตัวเลข รหัสต่าง ๆ) กราฟฟิค.(Graphics).และแผนภูมิ.(Charts).อีกทั้ง
ยังส่งไปได้ทั้งในระยะใกล้และไกลทั่วโลก เสียค่าใช้จ่ายน้อย ผู้รับและผู้ส่งได้รับส่ิงที่เหมือนกัน
ทุกประการในเวลาเพียงไม่ก่ีนาทีและยังจะเร็วขึ้นกว่าน้ันอีก เม่ือพัฒนาการด้านระบบเครือข่าย
พัฒนาขึ้นอีกระดับหน่ึง ปัจจุบันนี้มีการผลิตวงจรบนชิป ที่ควบคุมการส่งแฟกซ์ เมื่อใช้ในระบบ

194 มนุษยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

หน่วยความจาในกรณีที่ผู้รับไม่อยู่หรือกรณี ที่ผู้ส่งและผู้รับอยู่คนละประเทศ เวลาทางานต่างกัน
เช่น ประเทศผู้ส่งเป็นเวลากลางคืน ประเทศผู้รับเป็นเวลากลางวัน นอกจากนี้ยังเก็บความลับได้ดี
เพราะสามารถส่งถงึ เฉพาะบคุ คล

ภาพท่ี 5.6 เคร่ืองโทรสาร
3. การใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic.Mail.หรือ.E-Mail).บริการ
จ ด ห ม า ย ด่ ว น ผ่ า น ส า ย ที่ เ รี ย ก ว่ า .อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ เ ม ล์ . ( Electronic.Mail).ห รื อ อี เ ม ล์ . ( E-Mail)
เป็นบริการที่เป็นท่ีนิยมมาก เพราะสามารถส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายน้อยท่ีสุด
โดยเฉพาะการส่งข้อความไปยังต่างประเทศท่ัวโลก ช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์ได้มาก.การรับ–ส่ง
จดหมายด้วยอีเมล์นี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการรับ–ส่งจดหมายตามปกติ แต่ต้องมีชื่อและท่ีอยู่ของ
ผู้รบั และผู้ส่งในระบบอนิ เตอรเ์ นต็ กอ่ น เรยี กว่าที่อยอู่ เี มลห์ รอื อีเมลแ์ อดเดรส E-Mail Address

ภาพท่ี 5.7 ไปรษณีย์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ของ Hotmail
4. การใช้อินเทอร์เน็ต.(Internet).อินเทอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่าย.(Network)
เพือ่ เชื่อมโยงเครือข่ายมากมายเข้าด้วยกัน อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลทุก ๆ
เรื่องท่ีต้องการให้ค้นหาได้สะดวก รวดเร็วและมีมากมายมหาศาล.การใช้งานอินเทอร์เน็ตสาหรับ
องค์กร ใช้ได้ในการเช่ือมโยงข้อมูลทางธุรกิจ โดยการส่ือสารแห่งประเทศไทยได้อนุมัติการจัดต้ังให้
บริษัท โดย KSC.เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ ISP.รายแรกของประเทศไทย เพื่อให้บริการ
การเช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตแก่บุคคลทั่วไป ต่อมาได้มี ISP.เกิดข้ึนมาอีกหลายบริษัทเพื่อให้บริการ
เชิงพาณิชย์ เช่น ศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตประเทศไทย.Loxinfo.Samart.เทเลคอมเอเชีย ยูคอม
เป็นตน้

การตดิ ต่อสือ่ สารเพอ่ื สร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ 195

ภาพที่ 5.8 การใชอ้ ินเตอร์เน็ต
5. วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์.(Video.Conference).คือ.การติดต่อสื่อสารรูปแบบหนึ่ง
ท่สี ามารถรับและส่งข้อมูลภาพและข้อมูลเสียง เป็นลักษณะของการโต้ตอบกันแบบสองทางโดยผ่าน
ระบบและอุปกรณ์การส่ือสารการนาเทคโนโลยีการสื่อสารท่ีทันสมัยนี้มาใช้เป็นเครื่องมือในการ
สื่อสารในองค์กรการประชุมทางไกลท่ีผู้เข้าร่วมประชุมอยู่กันคนละสถานท่ี สามารถประชุมร่วมกัน
และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกัน ส่งได้ท้ังข้อความและภาพ และผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเห็นภาพและ
ข้อความต่าง ๆ เพื่อนามาอภิปรายร่วมกัน ทาให้การประชุมมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ียังนา
เทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอนทางไกลซึ่งใช้เป็นเคร่ืองมือช่วยสอนและ
การเรียนรู้ ส่ือสารแบบเห็นหน้าทันที สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ เช่น ครูคนเดียวสามารถสอน
นกั เรยี นได้หลายหอ้ งพร้อมกัน เปน็ ตน้

ภาพที่ 5.9 วดิ โี อคอนเฟอร์เรนซ์ (Video Conference)
6. เฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นบริการเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กท่ีมีผู้ใช้งานมากที่สุด
โดยในทุกวันนี้มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กถึงประมาณ 850.ล้านคนทั่วโลก ก่อตั้งข้ึนโดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547).ร่วมกับเพ่ือน ๆ
คือ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน,.ดิสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวส์ โดยในช่วงแรกเฟซบุ๊กได้เปิดให้ใช้งาน
เฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก่อนที่ต่อมาจะได้ขยายตัวออกไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ
ทั่วสหรัฐอเมริกา และขยายมาให้บริการแกผ่ ใู้ ชท้ ่วั ไปทุกคนเหมือนในปจั จุบัน

196 มนุษยสัมพนั ธท์ างธรุ กจิ

ภาพท่ี 5.10 เฟซบุก๊ (Facebook)
7. ไลน์ (LINE) คือแอพพลิเคช่ันที่ผสมผสานบริการ Messaging และ Voice Over IP
นามาผนวกเข้าด้วยกัน จึงทาให้เกิดเป็นแอพพลิชั่นท่ีสามารถแชท สร้างกลุ่ม ส่งข้อความ โพสต์รูป
ต่าง ๆ หรือจะโทรคุยกันแบบเสียงก็ได้ โดยข้อมูลท้ังหมดไม่ต้องเสียเงิน หากเราใช้งานโทรศัพท์ท่ีมี
แพคเกจอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว แถมยังสามารถใช้งานร่วมกันระหว่าง.iOS.และ.Android.รวมท้ัง
ระบบปฏบิ ตั กิ ารอื่น ๆ ได้

ภาพท่ี 5.11 ไลน์ (LINE)
8. ยูทูบ.(YouTube).เป็นเว็บไซต์แลกเปล่ียนภาพวิดีโอ (www.youtube.com)
โดยในเว็บไซต์น้ี ผู้ใช้สามารถอัพโหลดภาพวิดีโอเข้าไป เปิดดูภาพวิดีโอที่มีอยู่ และแบ่งภาพวิดีโอ
เหล่าน้ีให้คนอื่นดูได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ใน YouTube.จะมีข้อมูลเน้ือหารวมถึงคลิปภาพยนตร์
ส้ันๆ และคลิปที่มาจากรายการโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ และวิดีโอบล็อกกิ้ง เว็บไซต์ YouTube.ก่อตั้ง
ข้ึนวันที่.14 เดือนกุมภาพันธ์ 2005.โดยมีอดีตพนักงานของ PayPal.สามคนคือ Chad.Hurley,
Steve.Chen.และ.Jawed.Karim.เปน็ ผรู้ ว่ มกนั กอ่ ตง้ั แต่ตอ่ มา Jawed.Karim.ได้ออกจาก YouTube
เพ่ือไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Standford.โดย.YouTube.มีสานักงานตั้งอยู่ท่ีเมืองซานมาทีโอ
รฐั แคลฟิ อร์เนีย ปัจจบุ ันมพี นกั งานจานวน 67 คน

การตดิ ต่อสอ่ื สารเพอ่ื สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ 197

ภาพท่ี 5.12 ยูทูบ (YouTube)

ในการดาเนินธุรกจิ ในปจั จุบันจาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการส่ือสารเข้ามาช่วยทาให้
การประกอบธุรกิจสะดวกและรวดเร็วขึ้นได้ ถ้าผู้บริหารองค์กรธุรกิจสามารถเรียนรู้ ศึกษา ทาความ
เข้าใจและสามารถปฏิบัติได้อย่างชาชาญก็จะทาให้ผู้บริหารสามารถท่ีจะนาทักษะที่เกิดจากการใช้
เทคโนโลยีในการส่ือสารมาบูรณาการใช้ในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสาเร็จเหนือคู่แข่ง
ได้อยา่ งแน่นอน

สรุปทา้ ยบท

การติดต่อสื่อสาร หมายถึง.การส่งข้อมูลข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งหรือ
หลายคน เพื่อให้เขา้ ใจความหมายของข้อมลู ข่าวสารที่ผู้ส่งส่งไป และเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
ซ่ึงการส่งข่าวสารอาจอยู่ในรูปของการส่ือสารด้วยวาจา ลายลักษณ์อักษร การใช้กิริยาท่าทาง
อยา่ งหนึง่ อยา่ งใดกไ็ ด้ โดยอาศยั ช่องทางในการตดิ ต่อส่อื สาร

การติดต่อสื่อสารในปัจจุบันมีความสาคัญต่อการอยู่ร่วมกันในการดาเนินชีวิตประจาวัน
ในสงั คมและการดาเนนิ งานขององค์การตา่ ง ๆ อีกท้ังยังทาใหก้ ารบริหารประเทศชาติเกิดความเข้าใจ
อันดีทง้ั ในประเทศและกิจการระหว่างประเทศอกี ด้วย

ในการติดต่อส่ือสารทุกวันนี้มีรูปแบบการติดต่อส่ือสารหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
การติดต่อส่ือสารแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การติดต่อส่ือสารแบบบนลงล่างและ
จากล่างข้ึนบน การติดต่อสื่อสารทางเดียวและการติดต่อสองทาง การติดต่อแบบใช้คาพูดและ
การติดต่อสือ่ สารแบบไม่ใชค้ าพูด

พฒั นาการในการติดตอ่ ส่อื สารตั้งแตเ่ ร่มิ แรกมีวิวัฒนาการในยุคโบราณ โดยการเขียนตาม
ผนังถ้า หรือใช้นกพิราบสื่อสาร ต่อมาเป็นยุคเกษตรกรรมได้มีการคิดค้นเรื่องของการใช้ภาษาเข้ามา
เกี่ยวข้องในการส่ือสาร ส่วนในยุคอุตสาหกรรม มีการค้าขายติดต่อกันมากขึ้นในเชิงธุรกิจทาให้มี
การค้นคว้าเคร่ืองทุ่นแรงต่าง ๆ เข้ามาช่วยเช่น การใช้ไฟฟ้าเข้ามาช่วยในการส่ือสาร การใช้ส่ือ
ทางอิเล็กทรอนิกส์ และท้ายสุดคือยุคส่ือสารในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาต่อจากยุคอุตสาหกรรม
เพ่อื เพ่มิ ขดี ความสามารถในการติดต่อส่อื สารมากขึ้นในเชงิ ธรุ กจิ

198 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

วัตถปุ ระสงคข์ องการติดตอ่ สือ่ สารแบง่ ออกเป็นวัตถปุ ระสงคอ์ อกเป็น 2 ส่วน คือส่วนของ
ผู้ส่งสารและส่วนของผู้รับสาร วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารก็เพ่ือแจ้งข่าวสารให้ทราบ เพื่อสอนหรือ
ให้การศึกษา เพ่ือสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง เพื่อเสนอหรือชักจูง ส่วนวัตถุประสงค์
ของผู้รับสารก็เพื่อทราบข่าวสาร เพื่อเรียนรู้ เพื่อหาความพอใจและเพื่อใช้ในการตัดสินใจเพ่ือการ
กระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนวัตถุประสงค์ของการสื่อสารทางธุรกิจก็เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารขององค์กร
ตอ่ พนกั งาน เพ่อื กระตนุ้ และการจงู ใจพนักงาน เพอ่ื ประเมินผลการปฏิบัตงิ านของพนักงาน เพ่ือสร้าง
ความสัมพันธ์ในหมู่คณะและเพือ่ วินิจฉยั ส่ังการหนา้ ท่ีให้กับพนกั งาน

ประโยชนข์ องการติดต่อส่ือสารทาให้บุคลากรได้ทราบถึงนโยบาย พันธกิจ วิสัยทัศน์ของ
องค์กร ทาให้บุคลากรทราบบทบาทหน้าท่ีของตนเอง ทาให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานบรรลุ
เป้าหมายขององค์กรได้ ช่วยเสริมสร้างขวัญและกาลังใจการในการปฏิบัติงาน ช่วยให้ผู้บริหาร
ได้ข้อมูลย้อนกลับมาเพ่ือพัฒนาและปรับปรุง ช่วยให้เกิดการร่วมมือร่วมใจกันในการปฏิบัติงาน
สร้างบรรยากาศความอบอุ่นและความเป็นมิตรต่อกันภายในองค์การ ทาให้บุคลากรได้แลกเปลี่ยน
ความคิดเห็น ส่งเสริมกระบวนการทางานเป็นทีม ตลอดจนเกิดความมีพลังในการขับเคลื่อนองค์กร
ไปสจู่ ุดหมายท่ีต้องการ

ปัญหาและอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารเกิดจากผู้ส่งสารไม่มีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับสาร
ขาดเทคนคิ วิธกี ารทีท่ นั สมัยในการส่งสาร อาจเกดิ จากบคุ ลิกภาพของผสู้ ง่ สาร เช่น พูดเสียงไม่ชัดเจน
ทาให้ผ้รู บั สารไม่ได้ยินและไม่เขา้ ใจ ปัญหาและอปุ สรรคในการติดต่อสื่อสารท่ีเกิดจากสาร เช่น สารมี
ความยากเกินไป สารขาดการจัดลาดับข้อมูลที่ดี ปัญหาและอุปสรรคในการติดต่อส่ือสารที่เกิดจาก
สื่อหรือช่องทาง ได้แก่ การใช้ภาษาท้องถิ่น ภาษาเขียนไม่ชัดเจน พูดเสียงไม่ชัดเจน การแบ่ง
วรรคตอน จังหวะการพูด ส่วนปัญหาและอุปสรรคท่ีเกิดจากผู้รับสาร ได้แก่ ผู้รับสารขาดความรู้
เกี่ยวกับสาร ผู้รับสารมีทัศนคติไม่ดีต่อผู้ส่งสาร ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ในการ
ติดตอ่ สือ่ สารจงึ ตอ้ งคานงึ เพอ่ื การติดต่อสือ่ สารท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพขององคก์ ารต่อไป

เทคนิคในการตดิ ต่อส่อื สารท่ผี ูบ้ รหิ ารต้องนาไปใช้ในการบริหารในปัจจุบัน ได้แก่ เทคนิค
การสั่งการ เทคนิคการมอบหมายงาน เทคนิคการวิจารณ์ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคที่
สาคัญที่ผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ จะต้องตระหนักและให้ความสาคัญที่จะนาไปใช้เพ่ือให้เกิด
ประสทิ ธภิ าพในการติดตอ่ สื่อสารขององค์กรในปจั จุบันและอนาคต

หลักในการติดต่อส่ือสารเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจของผู้บริหารองค์กรจะต้อง
ให้ความสนใจ เอาใจใส่ให้ความสาคัญกับผู้ที่ติดต่อส่ือสารด้วย หลีกเล่ียงการพูดพาดพิงถึงคน
ใช้คาถามเชิงอธิบายแทนการสั่งสอนหรือแนะนา ใช้คาว่าเราเมื่อต้องการให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่ม
เป็นพวกเดียวกันและใช้คาพูดที่จริงใจเพ่ือแสดงความเป็นมิตรในการอยู่ร่วมกันในองค์กรให้มี
ความสขุ

การตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพอื่ สรา้ งมนุษยสมั พันธท์ างธรุ กจิ 199

การส่ือสารมีความสาคัญกับทุก ๆ คนในสังคม โดยเฉพาะองค์กรธุรกิจท่ีต้องอาศัยการ
ติดต่อส่ือสารกับคนในองค์กร ซ่ึงการท่ีผู้บริหารองค์กรจะไดรับความรวมมือรวมใจจากพนักงาน
ในองคการน้ัน ผู้บริหารองค์กรจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการติดตอส่ือสาร เพ่ือใหการ
ดาเนินงานเปนไปอยางราบรน่ื เกิดขวัญกาลังใจของผูปฏิบัตงิ าน เกิดความสมานฉันท ทายท่ีสุดจะทา
ใหงานสาเรจ็ ตามเปาหมายอยางมีประสิทธภิ าพ

หากปราศจากการวางกลยุทธก์ ารสือ่ สารทม่ี ปี ระสิทธิผลแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทาให้
พนักงานทุกคน เข้าใจเป้าหมายขององค์การ รู้ว่าบทบาทของตนเองคืออะไร ตนเองต้องทางาน
ที่รับผิดชอบอยู่อย่างไร เพ่ือให้องค์การบรรลุเป้าหมายน้ันและตระหนักถึงความจาเป็น
และความสาคัญที่ตนเองต้องทา เพื่อสนับสนุนเป้าหมายขององค์การ ดังนั้น การวางกลยุทธ์
การสื่อสาร จึงเป็นสิ่งท่ีขาดเสียมิได้ สาหรับองค์การใดก็ตามท่ีต้องการให้เกิดความสามัคคี พร้อมใจ
ของพนักงานทจ่ี ะทางานเพ่ือขบั เคล่ือนองค์การไปส่เู ปา้ หมายอยา่ งมพี ลัง

200 มนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กจิ

กรณศี ึกษา บทที่ 5

การประกาศนโยบายจากผบู้ ริหาร
การนานโยบายจากผู้บริหารที่มีการเปลี่ยนแปลงเพ่ือแจ้งให้กับพนักงานทราบเป็นเรื่อง
ท่ีลาบากใจของหัวหน้างานเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่แน่ใจว่าพนักงานจะเข้าใจหรือไม่ ซึ่งหัวหน้างาน
ชอบคิดไปวา่
1. พนกั งานคงรู้สึกไม่ดีเมอ่ื มกี ารเปลย่ี นแปลง
2. ถา้ พนกั งานไม่พอใจและท้อถอย จะทาอย่างไรดี
3. เกดิ มคี นถามผลลัพธ์ทีเ่ กิดข้นึ เราจะตอบอย่างไรดี
4. ชี้แจงไปแล้วไม่ปฏบิ ตั ิตาม จะแก้ไขอย่างไรดี
คุณมานะเป็นหัวหน้างานท่ีต้องชี้แจงเร่ืองการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน แล้วเกิดความ
ไม่มั่นใจข้ึน จึงเกิดความเครียดและเป็นกังวล คุณจะช่วยให้มานะปฏิบัติตัวอย่างไร เพ่ือช้ีแจงเร่ือง
ดังกลา่ วได้ราบรืน่


Click to View FlipBook Version