การพฒั นาตนเองเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกิจ 101
2.4 การเลอื กกีฬาใหเ้ หมาะกับอายุ
การออกกาลังกายนั้นเป็นส่ิงสาคัญต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมากและไม่ควร
หกั โหมกับร่างกายเรามากจนเกินไป ดงั น้นั นักธุรกิจควรเลอื กกีฬาทีเ่ หมาะสมกับอายุของเราซ่ึงในวัย
ทางานนั้นอาจไม่มีเวลาในการออกกาลังกาย แค่เพียงเดินข้ึนลงบันใดแทนการใช้ลิฟต์ ก็ถือว่าเป็น
การออกกาลังกายได้เหมือนกัน ซึ่งนักธุรกิจสามารถเลือกออกกาลังกายและแนะนาบุคคลรอบข้าง
ในการออกกาลังกายให้เหมาะสมกับอายุ ได้ดงั นี้
2.4.1 วัยเด็ก อายุ 1-10.ปี.กล้ามเน้ือและกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มท่ี
ออกกาลังกายติดต่อกันได้ไม่นานก็จะรู้สึกเหน่ือย ร่างกายต้องการพักผ่อนมาก ชอบการอยู่รวม
เป็นกลุ่มเล่นกบั เพอ่ื นหลาย ๆ คน
กีฬาท่ีเหมาะสม.ควรให้ทาร่วมกันเป็นหมู่คณะ เน้นกิจกรรมท่ีให้เด็ก
ได้ฝึกใช้ความสัมพันธ์ของมือ สายตา เท้า และได้เคล่ือนไหวร่างกายตลอดเวลา เช่น วิ่ง กายบริหาร
เกมสเ์ บ็ดเตล็ด ปนี ปา่ ย ว่ายนา้ ยดื หยุ่น เปน็ ต้น
ควรหลีกเล่ียงกีฬาท่ีปะทะกันรุนแรง เพราะอาจทาให้กระดูกแตกหักได้
และไม่ควรให้เดก็ เล่นหรอื ออกกาลังกายมากเกินไป
2.4.2 วัยรุ่น อายุ 11-16.ปี ร่างกายเด็กกาลังเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
โดยเด็กผู้หญิงจะมีพัฒนาการทางกายมากกว่าเด็กผู้ชายในระยะเริ่มต้น แต่ในช่วงปลายเด็กผู้ชาย
จะเจริญเติบโตมากกว่า ด้านจิตใจเด็กวัยน้ีจะเร่ิมจับกลุ่มโดยแยกหญิง-ชาย และชอบกิจกรรมที่ต้อง
แข่งขนั ชอบการผจญภยั
กีฬาท่ีเหมาะสม.เน้นความคล่องแคล่วว่องไว หรือฝึกให้ใช้ทักษะเฉพาะ
อยา่ ง เช่น ฟตุ บอล บาสเกตบอล แบดมนิ ตัน เปน็ ต้น
ข้อควรระวัง ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กเข้าใจ ว่าร่างกายยังมีความ
อดทนจากัด ถ้าเหนอื่ ยควรหยุดพักก่อน และหลกี เลีย่ งกีฬาทมี่ ีการปะทะกันรนุ แรง เช่น กีฬาชกมวย
2.4.3 วัยหนุ่มสาว อายุ 17-35.ปี.ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และไม่จากัด แต่สมรรถภาพทางร่างกายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าได้รับการดูแลอย่างไร
ในวัยเด็ก ผู้ที่ต้องการเป็นนักกีฬาสามารถฝึกร่างกายและทักษะทางการกีฬาได้อย่างเต็มท่ี ทุกรูปแบบ
ในชว่ งนี้
2.4.4 วัยกลางคน อายุ 36-55.ปี ร่างกายสะสมไขมันมากข้ึนต้องการการพักผ่อน
มากขน้ึ ความทนทานของรา่ งกายเริ่มลดลง
กีฬาท่ีเหมาะสมควรเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวที่ช้าเน้นความเพลิดเพลิน
ความสบายใจ และปฏิบัตไิ ดอ้ ย่างสม่าเสมอ เช่น จ๊อกก้ิง ว่ายน้า ป่ันจักรยาน และกายบริหารต่าง ๆ
เปน็ ตน้
ข้อควรระวัง โรคข้อต่าง ๆ และการบาดเจ็บท่ีกล้ามเนื้อเพราะความยืดหยุ่น
ของกล้ามเนอ้ื ลดลง
102 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ
2.5 ปรับสมดุลชีวิตด้วยตนเอง การแพทย์แผนตะวันออกเชื่อว่า สุขภาพคนเรา เก่ียวพัน
กัน 3 สว่ น คือ กาย จิต และสิ่งแวดล้อมเมื่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงในสามสิ่งน้ีเกิดเสียสมดุลย่อมส่งผลกระทบ
ต่อร่างกาย และทาให้เกิดอาการการเจ็บป่วยได้ตั้งแต่ ปวดหัว ตัวร้อน จนถึงโรคร้ายแรงอย่าง
มะเร็งได้ อย่างไรก็ตามความแตกต่างของสังคม วัฒนธรรม ช่วงเวลา และพ้ืนฐานของสมดุลชีวิตแต่ละ
คนแตกต่างกัน การดูแลสุขภาพ.รูปแบบต่าง.ๆ.จึงไม่ได้เหมาะสมสาหรับทุกคน แต่ละคนจึงต้องหาวิธี
ที่ดีที่สุดสาหรับตนเองเพื่อสร้างบุคลิกภาพท่ีดีในการทางาน จึงมีวิธีเสนอให้กับนักธุรกิจในการปรับ
สมดลุ ชีวติ ด้วยตนเองมวี ธิ ดี งั ตอ่ ไปน้ี
2.5.1 ฟงั เสยี งร่างกาย.สังเกตได้ว่าสิ่งไหนท่ีเหมาะกับตัวเอง หากรู้สึกร้อนหรือ
หนาวเกินไป รู้สึกเจ็บปวดหรือแสบ ควรหยุดพฤติกรรมที่ส่งผลด้านลบต่อร่างกายนั้นทันที เพราะ
ร่างกายเราสามารถแยกแยะส่ิงดีและไม่ดี แต่ทั้งน้ีต้องสังเกตด้วยว่าเสียงน้ันเป็นความต้องการของ
ร่างกายจรงิ ๆ หรอื เกดิ จากความตอ้ งการในใจของตนเอง
2.5.2 สังเกตความเปล่ียนแปลง.เมื่อร่างกายเสียสมดุลอาจแสดงออก
ทางส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หม่ันสังเกตความเปล่ียนแปลงก็จะสามารถแก้ไขและป้องกันตนเอง
จากโรคภัยไข้เจ็บได้ทัน เช่น ความผิดปกติท่ีตา มีอาการตาแห้ง ตาขาวขุ่น ตามีสีเหลือง ริมฝีปาก
แห้ง แตกลอก ลิ้นสามารถดูได้ท้ังสี รูปร่างและขอบล้ิน กล่ินปาก หรือเล็บซ่ึงสังเกตได้ทั้งสี
และรูปทรงของเล็บ ถ้าเล็บขาว อาจมีปัญหาที่ตับ เล็บเป็นสีแดง บวมโตอาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
เล็บเหลืองหนายาวช้าอาจมีปัญหาท่ีปอด เป็นต้น เร่ืองเหล่านี้เป็นการสารวจร่างกายในเบ้ืองต้น
เท่าน้ัน ไม่ได้สรุปว่าต้องป่วยเป็นโรคร้ายเสมอไป แต่เพ่ือความไม่ประมาทควรไปพบแพทย์ผู้เช่ียวชาญ
เพื่อวินิจฉัยอยา่ งละเอยี ดตอ่ ไป
2.5.3 ปรับเปล่ียนพฤติกรรม หลายครั้งที่เราดาเนินชีวิตตามความพอใจ
จนส่งผลเสียต่อร่างกาย การสร้างความสมดุลจึงต้องปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้เกิดความเหมาะสม
ท้งั ต่อร่างกายและจิตใจ โดยเรม่ิ จาก
1) ตน่ื นอนแต่เชา้ มดื กอ่ นพระอาทติ ยข์ ้นึ
2) ทาความสะอาดปากและฟันด้วยการแปรงฟัน และขูดทาความสะอาดล้ิน
ซง่ึ จะเป็นการบริหารลิ้นไปในตัวดว้ ย
3) ดื่มน้าอุ่น 1.แก้ว หรือตามความต้องการของร่างกาย เพราะน้า
จะช่วยขับของเสียทางไตและลาไส้ใหญ่ดีขึ้น
4) อาบน้าชาระร่างกาย วนั ละ 2 คร้งั
5) เข้านอนก่อน 22.00 น..การนอนที่ดีต้องไม่ฝันและต่ืนนอนด้วยความ
สดชื่น ควรนอนในเวลากลางคืนเท่าน้ัน ยกเว้นอ่อนเพลียหรือไม่สบาย หรือผู้สูงอายุสามารถ
นอนกลางวันได้
6) ไม่ควรนอนหลับในท่านอนคว่าหน้า เพราะทาให้อวัยวะภายใน
ถกู กดทบั
การพัฒนาตนเองเพ่ือสรา้ งมนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ 103
2.5.4 สร้างสมดุลด้วยการบริโ ภ ค .รับประทานอาหารเม่ือรู้สึกหิว
เพราะความหิวหมายความวา่ ร่างกายไดเ้ ผาผลาญอาหารม้ือก่อนหมดแล้ว การกินอาหารเมื่อยังไม่หิว
เป็นสาเหตขุ องการเจ็บป่วยหลายอย่าง ท้ังเบ่ืออาหาร ท้องอืด ไปจนถึงการถ่ายอุจาระทันทีหลังจาก
รบั ประทานอาหาร เลือดจางหรือปวดท้องบอ่ ย ๆ
แตถ่ า้ ถงึ เวลารับประทานแล้วยังไม่รู้สึกหิวแสดงว่าธาตุไฟหรือระบบย่อยอาหาร
อาจเสียสมดุล อย่ารับประทานในขณะที่อารมณ์ผิดปกติ เพราะจะทาให้ระบบย่อยอาหารเสียสมดุล
และทางานได้ไม่เต็มที่
อาหารเช้าควรเป็นอาหารเบา เช่น ข้าวต้มและควรรับประทานก่อน 08.00.น.
รบั ประทานมอื้ กลางวันก่อนเที่ยง ซึ่งควรเป็นม้ือที่หนักที่สุด และรับประทานมื้อเย็นก่อนพระอาทิตย์
ตกดนิ (18.00 น.) เพราะการรบั ประทานมื้อเย็นในตอนค่าระบบเผาผลาญอาหารจะทาได้ไม่ดี (แต่ถ้า
ไม่สามารถทาได้ ก็ไมค่ วรรบั ประทานอาหารมากจนเกนิ ไป)
การรับประทานอาหารอิ่มมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ และควรเค้ียวอาหารช้า ๆ
ไ ม่ ค ว ร ด่ื ม น้ า ม า ก เ กิ น ไ ป ก่ อ น ห รื อ ห ลั ง รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร เ พ ร า ะ มี ผ ล ต่ อ ร ะ บ บ ย่ อ ย อ า ห า ร
ควรรับประทานอาหารในบรรยากาศที่รื่นรมย์ สถานที่เหมาะสม ไม่มีเสียง กลิ่นหรือสิ่งรบกวน
หลังรับประทานอาหารควรนั่งพัก 2-3 นาที แล้วอาจเดินเล่น 10-20.นาที เพ่ือช่วยย่อยอาหารในแต่ละ
สปั ดาห์ควรงดอาหาร 1 วัน เพอ่ื ช่วยลดพษิ ในรา่ งกาย
2.6 ลมหายใจเหม็น สาเหตุมกั เกิดหลังจากการรับประทานอาหารรสจัดและอาหาร
ท่ีมีกลิ่นฉุ่น เช่น ทุเรียน อาหารคาว เป็นต้น แก้ไขได้โดยการแปรงฟันบ้วนปาก ด้วยน้ายาดับกล่ิน
ปากหรือเค้ียวยาอมและควรไปหาหมอตรวจฟัน ว่ามีฟันผุหรือเหงือกเป็นแผลหรืออาจมีสาเหตุ
มาจากฟันและรบี ทาการรักษา เพ่ือให้การทางานในสงั คมไมเ่ ป็นทีร่ ังเกียจของเพือ่ นรว่ มงาน
2.7 ฟันเหลือง เกิดจากการที่เราไม่รักษาความสะอาดของฟัน ควรไปพบ
ทนั ตแพทย์เพื่อขดู หนิ ปนู แปรงฟันเป็นประจาทุกเช้าและก่อนเข้านอน ด้วยผงเบกก้ิงโซดาผสมเกลือ
อย่างละครึ่ง จะช่วยให้ฟันขาวเป็นเงางามได้ ในส่วนของสุภาพสตรีควรเลือกทาลิปสติกสีแดงเข้ม
เล่ียงสีส้มหรือชมพู จะช่วยทาให้สีของฟัน ขาวข้ึนเพื่อเรียกความม่ันใจของตัวเราเองและทาให้เรา
มนั่ ใจในการทางาน
2.8 กล่ินตัวเหม็น สาเหตุเกิดจากเหงื่อหรือการท่ีเราไม่รักษาความสะอาด
ของร่างกาย ที่มีการสะสมของเช้ือแบคทีเรีย ซ่ึงเป็นท่ีมาของการเกิดกลิ่นตัวท่ีเหม็น หรือส่วนหนึ่ง
อาจเกิดจากกรรมพันธ์ุหรือน้าหนักตัวท่ีมากเกินไป แก้ได้โดยหากเป็นคนอ้วนควรลดไขมันส่วนเกิน
ออกแลว้ ดูว่ากลนิ่ ตวั ท่เี หมน็ จะน้อยลงหรือไม่ ถ้ายังมกี ลน่ิ เหมน็ อยู่ เชอ่ื ว่ากลิน่ ตัวน้ีเกิดจากกรรมพันธุ์
วิธีแก้ไข คือ พยายามรักษาความสะอาดของร่างกาย หากมีเหง่ือออกมาก ๆ ไม่ควรสะสมเอาไว้
ซึง่ จะทาให้เพอ่ื นรว่ มงานรังเกียจหรอื ไม่อยากอยู่ใกล้ ควรหา น้าหอมมาฉีดตามร่างกาย เพ่ือเป็นการ
ดบั กล่ิน
104 มนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ
3. การพัฒนากิริยามารยาท.ถือว่ามีความสาคัญสาหรับนักธุรกิจท่ีจะทาให้ดูดีมีสง่าราศี
ในการวางตัวในสังคมต้ังแต่การยืน การน่ัง การเดิน แม้กระท่ังการนอน ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
กิริยามารยาทในสังคมที่ควรรู้ เพื่อสามารถปฏิบัติตามสถานการณ์และสถานท่ีได้ถูกต้อง จนทาให้เป็น
ท่ียอมรับของลูกน้องทาให้ลูกน้องเคารพนับถือในตัวนักธุรกิจและยังส่งผลให้มีบุคลิกภาพท่ีดีอีกด้วย
นักธรุ กิจจึงต้องมาศกึ ษาเร่อื งการพฒั นากิรยิ ามารยาท ดังตอ่ ไปน้ี
3.1 การยืนโดยคานึงถึงมารยาท.เป็นการแสดงท่วงท่าอย่างหนึ่งท่ีสื่อให้บุคคลอื่น
เห็นลักษณะรูปร่าง ส่วนทรงได้ โดยการยืนจะสร้างภาพลักษณ์ของบุคคลได้ อย่างเช่น นักธุรกิจ
จะต้องมีลักษณะการยืนท่ีเด่นสง่า อกผายไหล่ผ่ึง เป็นต้น การยืนสามารถจัดเป็นประเภทต่าง ๆ
ไดด้ งั นี้
3.1.1 การยนื ทีเ่ ป็นพธิ ี
1) การยืนเคารพในพิธีที่มีการบรรเลงเพลงมหาฤกษ์หรือเพลงมหาชัย
เม่ือได้ยินเพลงมหาฤกษ์หรือเพลงมหาชัยบรรเลงให้ยืนตรง หน้าตรง มือแนบลาตัวจนกว่า
จะจบเพลง
2) การยืนเคารพในพิธีให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับ ให้ยืนแสดงความเคารพ
เม่ือประธานวางเคร่ืองขมาหรือจุดเพลิงเผาศพและเม่ือการเชิญศพผ่านให้ยืนตรงแสดงความเคารพ
ดว้ ย
3) การยืนเม่ือประธานในพิธีเดินผ่านทุกคนในท่ีนั้นลุกขึ้นยืนตรงหันหน้า
ไปทางประธานทก่ี าลังเดินผา่ นปล่อยมอื ไว้ขา้ งลาตัว
4) การยืนฟังโอวาท ให้ยืนตรง ชิดเท้า ปล่อยมือไว้ข้างตัว หันหน้าไปทาง
ผูใ้ หโ้ อวาทและฟงั อยา่ งตงั้ ใจ
3.1.2 การยนื ที่ไมเ่ ปน็ พิธี
1) การยืนรับคาส่ัง ใหย้ ืนตรง ชิดเทา้ หนา้ ตรง ปลอ่ ยมือไวข้ า้ งลาตวั
2) การยืนให้เกียรติผู้ใหญ่ การยืนลักษณะนี้ใช้เมื่อเรานั่งสนทนากันอยู่แล้ว
มีผู้ใหญ่เดินเข้ามาหรืออยู่ร่วมสนทนาด้วย.ให้ลุกขึ้นยืนตรง มือประสานกันอยู่ระดับเอว ค้อมตัวลงเล็กน้อย
รอจนผใู้ หญน่ งั่ ลงแล้วจงึ น่งั ตาม
3) การยืนสนทนากับผู้ใหญ่ ให้ยืนตรงชิดเท้า ค้อมตัวลงเล็กน้อย
มอื ประสานกันอยู่ระดบั เอว ไม่ควรยืนชิดหรอื ห่างผู้ใหญ่จนเกินไป
4) การยืนคุยกับเพ่ือน.การยืนพักผ่อนและการยืนดูมหรสพ.ควรยืน
ในลักษณะสุภาพ.ไม่ก่อความราคาญหรือเกะกะกีดขวางผู้อื่น เช่น ยืนพูดข้ามศีรษะ หรือยืนบังผู้อ่ืน
ในการยนื ดูมหรสพหรอื ขบวนแห่ เป็นตน้
5) การยืนเขา้ แถวคอย ลักษณะการยืนเช่นเดียวกับข้อ.4).แต่ต้องเข้าแถว
ให้เป็นระเบียบเรียงลาดับก่อนหลัง ไม่ควรแย่งกัน เช่น การยืนตามลาดับก่อนหลังในการเตรียมข้ึนรถ
โดยสาร ในการข้นึ เผาศพ ในการรดน้าอวยพรคบู่ า่ วสาว และในการตักอาหารแบบช่วยตัวเอง
การพฒั นาตนเองเพื่อสรา้ งมนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ 105
6) การยืนปฏิบัติหน้าท่ี.ได้แก่การยืนประกาศ ยืนบรรยายหรือยืนแสดง
ปาฐกถา เป็นต้น ควรยนื ในลักษณะสุภาพ
3.2 การเดินโดยคานึงถึงมารยาท เป็นบุคลิกภาพพ้ืนฐานในสังคมของนักธุรกิจ
แต่ละบุคคลที่จะปรากฏตัวให้บุคคลในสังคมได้เห็นในด้านการแต่งกาย ท่วงทีกริยา มารยาทการ
แสดงออก ท่ีจะทาให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจทั้งในด้านบวกและด้านลบ ผู้ที่มีบุคลิกภาพดี
ด้านการเดินก็จะทาให้ดูสง่างามน่าคบหาสมาคม.บุคลิกภาพเป็นส่ิงท่ีนักธุรกิจสามารถพัฒนาได้ด้วย
การฝึกฝนให้เหมาะสมกับกาลเทศะ โดยการเดินท่ีนักธุรกิจจะต้องทาการศึกษาสามารถจัดเป็น
ประเภทต่าง ๆ ไดด้ ังน้ี
3.2.1 การเดินในพิธีทางศาสนา.การเดินเวียนเทียนหรือทาประทักษิณ ในวันสาคัญ
ทางพระพุทธศาสนาหรือในโอกาสอ่ืนเพื่อแสดงคารวะต่อพระรัตนตรัย ปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถาน
เดินเวียนขวา 3 รอบ โดยให้มปี ูชนยี วัตถุหรือปูชนียสถานอย่ทู างขวามอื ของผู้เดนิ และพงึ ปฏิบตั ิดังน้ี
1) เดินประนมมือโดยมีดอกไม้ ธูปเทียนพร้อม ในกรณีท่ีไม่มีดอกไม้
ธปู เทยี นเพยี งประนมมือก็ได้
2) ขณะเดนิ ควรระมัดระวังอย่าใหธ้ ปู เทียนทีจ่ ดุ ไฟอยู่ไปถูกคนอ่ืน
3) ขณะเดินควรระลึกถึงพระพุทธคุณ.พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ
ท่ี แ น ะไ ว้ น้ี พอ เ ป็ น แ น ว ป ฏิ บั ติ แ ต่ ถ้ า ผู้ ใ ด จ ะ บ า เ พ็ ญ จิ ต ภ า ว น า ก า ห น ด กร ร ม ฐ า น อย่ า ง อ่ื น ห รื อ
พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา กไ็ ด้
3.2.2 การเดินในพิธีตา่ ง ๆ
1) การเดินตามศพเวียนเมรุ ให้เดินในลักษณะสารวม เดินเวียนซ้าย
3 รอบ โดยใหเ้ มรอุ ยูท่ างซ้ายมอื ของผเู้ ดนิ
2) การเดินขึ้นและลงเมรุเผาศพ ให้เดินเรียงแถวตามลาดับอย่างมี
ระเบยี บไม่แย่งกันขึน้ หรอื ลง รวมท้ังไม่แยง่ กันรับของทีร่ ะลึก
3) การเดินในขบวนแห่.ได้แก่.ขบวนแห่ในพิธีต่าง.ๆ เช่น แห่องค์กฐิน
แหเ่ ทยี นพรรษาและแหพ่ ระศพ เปน็ ต้น ให้เดินอย่างมีระเบียบและถกู ตอ้ งตามกฎจราจร
4) การเดินเข้า–ออกระหว่างการประชุม โดยมารยาทท่ัวไป ผู้ท่ีมีความ
จาเป็นต้องเดินเข้าหรือออกระหว่างท่ีกาลังมีการประชุม ควรแสดงความเคารพประธานของที่
ประชมุ ทกุ ครัง้ ดว้ ยการไหวห้ รือคานับเมอื่ ลกุ จากทีน่ ั่ง และเมอ่ื เข้าสู่ทีป่ ระชมุ
3.2.3 การเดินผ่านผู้ใหญ่.ขณะท่ีผ่านผู้ใหญ่ไม่ควรเดินลงส้น หรือมีเสียงดังและต้อง
ผา่ นในระยะห่างพอสมควร
1) ขณะผู้ใหญ่ยืน ท้ังชายและหญิงให้เดินผ่านในลักษณะสารวม ปล่อยมือ
ไวข้ ้างลาตัวและคอ้ มตวั เมื่อใกลถ้ งึ ผใู้ หญ่
106 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
2) ขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ท้ังชายและหญิงให้เดินผ่านในลักษณะสารวม
ปล่อยมอื ไวข้ ้างลาตวั คอ้ มตัวพร้อมกบั ยอ่ เข่าเม่ือใกล้ถึงผู้ใหญ่นั่งเก้าอ้ีอยู่ แต่ถ้าเป็นในบ้านอาจจะใช้
วิธีเดินเขา่ ก็ได้
3) ขณะผู้ใหญ่นั่งหรือนอนกับพื้น.ทั้งชายและหญิงให้เดินผ่านในลักษณะ
สารวมเม่ือถึงท่ีผู้ใหญ่นั่งอยู่ให้ทรุดตัวลงเดินเข่าเม่ือผ่านผู้ใหญ่ไปแล้วค่อยลุกขึ้นเดินวิธี เดินเข่า
ให้คุกเข่าปลายเท้าตั้ง แล้วค่อยสืบเข่าออกทีละข้างเหมือนกับการเดินและค้อมตัวลงเล็กน้อย
เมื่อใกล้จะถงึ ผใู้ หญ่
3.2.4 การเดินนาหรือเดินตามผ้ใู หญ่
1) การเดนิ นา เดนิ ระยะหา่ งพอสมควร จะอยู่ดา้ นใดแล้วแต่สถานที่จะอานวย
แต่โดยปกติผู้เดินจะอยู่ทางซ้ายมอื ของผใู้ หญ่เดินลักษณะสารวม
2) การเดินตาม เดนิ เบ้อื งหลงั เยื้องไปทางซ้ายมือของผู้ใหญ่ เดินลักษณะ
สารวมระยะหา่ งพอสมควร
3.3 การน่ังโดยคานึงถึงมารยาท เป็นการแสดงออกถึงมารยาทในสังคมที่มี
ความสาคัญที่นักธุรกิจจะต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับกาลเทศะ โดยเฉพาะการเจรจาในการทาธุรกิจ
จะต้องอาศัยมารยาทในการน่ังเป็นสาคัญ ดังนั้นบุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับธุรกิจควรศึกษามารยาทด้าน
การน่ังอย่างครบถ้วน โดยอาจจดั เป็นประเภทตา่ ง ๆ ได้ดังนี้
3.3.1 การนง่ั พับเพียบ.คือการน่งั ราบกบั พ้ืนพับขาให้ขาขวาทับขาซ้ายหรือขาซ้าย
ทบั ขาขวา อาจแบง่ ออกได้ดังตอ่ ไปน้ี
1) การน่ังพับเพียบธรรมดา คือการน่ังพับเพียบวางมือไว้บนหน้าขาหรือ
เอามือท้าวพ้ืนก็ได้ โดยให้ปลายนิ้วมือเหยียดไปข้างหน้า ถ้านั่งขาขวาทับขาซ้ายให้ใช้มือซ้ายท้าวพ้ืน
ถ้านั่งขาซ้ายทับขาขวาให้ใช้มือขวาท้าวพื้นอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่สะดวกและเหมาะสม ลักษณะน้ีใช้
ในการนั่งสนทนากบั เพื่อนหรือนงั่ อยตู่ ามลาพัง
2) การนั่งพับเพียบต่อหน้าผู้ใหญ่ อาจน่ังท่าใดท่าหน่ึงตามความเหมาะสม
แต่ไม่ควรท้าวแขน สายตาทอดลงเล็กน้อย และไม่จ้องตาผู้ใหญ่จนเสียกิริยา การนั่งลักษณะนี้ใช้ได้
ทง้ั ชายและหญิง คือ การน่งั พบั เพยี บตอ่ หน้าผู้ใหญ่
3) การน่ังพับเพียบประนมมือ.คือ การน่ังพับเพียบโดยประนมมือให้น้ิวมือ
แนบชิดกัน ฝ่ามือราบปลายนิ้วต้ังข้ึน แขนแนบลาตัวอยู่ระดับอก ไม่กางศอก การนั่งลักษณะน้ีใช้ใน
โอกาสที่น่ังฟังพระเทศน์ฟังพระสวดมนต์ เม่ือตนเองสวดมนต์รับฟังโอวาทหรือ รับพรจากผู้ใหญ่
สามารถใชไ้ ด้ทงั้ ชายและหญงิ
3.3.2 การนั่งหมอบ.น่ังพับเพียบเก็บปลายเท้า หมอบลงไปให้ศอกข้างใดข้างหน่ึง
ลงถึงพ้ืน ถ้าขาใดแนบพ้ืนก็ให้ศอกข้างน้ันลงถึงพ้ืนด้วย มือประสานกันไม่ก้มหน้า สายตาทอดลงต่า
การน่งั ลักษณะนใ้ี ชไ้ ดท้ งั้ ชายหญงิ เมื่อเข้าเฝา้ หรือรอรับเสดจ็ แบบไทย
การพฒั นาตนเองเพือ่ สร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ 107
3.3.3 การนั่งคุกเข่า คือ การนง่ั ยอ่ เขา่ ลงให้ตดิ พืน้
1) การนั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง.นั่งตัวตรงปลายเท้าตั้ง น่ังลงบนส้นเท้า
มือท้ังสองข้างคว่าบนหน้าขาท้ังสองข้าง.(แบบเทพบุตร).การนั่งลักษณะน้ีใช้นั่งเม่ือผู้ชายจะกราบพระแบบ
เบญจางคประดิษฐ์ หรอื ใช้นัง่ ในทา่ ถวายบงั คมทง้ั ชายและหญิง
2) การนัง่ คุกเขา่ ปลายเท้าราบ.นั่งตัวตรงปลายเท้าราบ นั่งลงบนฝ่าเท้า
มือทั้งสองข้างวางคว่าบนหน้าขาท้ังสองข้าง.(แบบเทพธิดา).การน่ังลักษณะนี้ใช้น่ังเมื่อผู้หญิงจะกราบพระ
แบบเบญจางคประดษิ ฐ์
3.3.4 การนัง่ เก้าอี้
1) การน่ังเก้าอ้ีโดยท่ัวไป.คือ นั่งตามสบาย ถ้าเป็นเก้าอี้ท่ีมีท่ีเท้าแขน
จะเอาแขนวางพาดก็ได้ ไม่ควรน่ังโยกเก้าอี้ น่ังได้ท้ังชายและหญิง เม่ือสนทนาอยู่กับเพื่อนหรือน่ัง
ในทต่ี ่าง ๆ ทไ่ี ม่เป็นพธิ กี าร
2) การน่งั เก้าอ้ีต่อหน้าผู้ใหญ่ เป็นการนง่ั โดยสารวมกิริยาและสายตาตาม
สมควรไม่ก้มหน้า นั่งท่าใดท่าหนึ่งดังต่อไปน้ี น่ังเก้าอ้ีตัวตรง หลังไม่พิงพนักเก้าอี้ มือทั้งสองข้างประสานกัน
วางบนหน้าขา
3) การนั่งเล่นหรือน่ังพักผ่อน คือ การน่ังในอิริยาบถตามสบายจะนั่งในลักษณะ
ใดก็ได้ตามความพอใจ เช่น นั่งกับพื้น แต่เม่ือผู้ใหญ่ผ่านเข้ามาในท่ีนั้นควรน่ังสารวม ไม่ไขว่ห้าง ไม่กระดิก
เท้าหรือเหยยี ดเทา้ ไปทางผูใ้ หญ่
3.4 การแสดงความเคารพ การแสดงความเคารพมีหลายลักษณะ เช่น การประนมมือ
การไหว้ การกราบ การคานับ การถวายความเคารพ การถวายบังคม เป็นต้น ดังน้ันนักธุรกิจจะต้อง
ศึกษาเกี่ยวกับการแสดงความเคารพโดยต้องพิจารณาผู้ท่ีจะรับความเคารพด้วยว่าอยู่ในฐานะชนชั้น
วรรณะใดเพื่อแสดงความเคารพได้ถูกต้องและเหมาะสมหรือเป็นเช่นใด หรือในโอกาสใด อาจเป็น
ในโอกาสแสดงความยินดีแก่เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะเป็นงานอื่น.ๆ.แล้วจึงแสดงความเคารพ
ให้ถูกตอ้ งและเหมาะสม การแสดงความเคารพแบง่ ไดด้ ังนค้ี ือ
3.4.1 การประนมมือ ควรประนมมือให้น้ิวมือแนบชิดกันฝ่ามือราบปลายน้ิว
ต้ังขึ้น แขนแนบลาตัวอยู่ระดับอกไม่กางศอก ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน การประนมมือนี้
ใชใ้ นการสวดมนต์ ฟงั พระสวดมนต์ ฟังพระธรรมเทศนาและในขณะที่พูดกับพระสงฆ์ซึ่งเป็นท่ีเคารพ
นับถอื เปน็ ต้น
3.4.2 การไหว้.การไหว้เป็นการแสดงความเคารพโดยการประนมมือให้น้ิวชิดกัน
ยกขึน้ ไหว้ การไหว้แบบไทยแบ่งออกเปน็ 4 แบบตามระดบั ของบคุ คล ดงั นี้
1) ระดับที่ 1 การไหว้พระ.ได้แก่การไหว้พระรัตนตรัยรวมท้ังปูชนียวัตถุ
และปูชนยี สถานทีเ่ ก่ยี วกับพระพุทธศาสนา ในกรณีท่ีไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้โดย
ประนมมือใหป้ ลายนิ้วหัวแมม่ ือจรดอยูร่ ะหวา่ งค้ิว
108 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ
2) ระดบั ท่ี 2 การไหว้ผู้มีพระคุณหรือผู้อาวุโส ได้แก่ พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา
ยาย ครู อาจารย์และผู้ทเ่ี ราเคารพนับถืออย่างสูง โดยประนมมือใหป้ ลายนว้ิ หวั แม่มือจรดปลายจมูก
3) ระดบั ท่ี 3 การไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไป.ท่ีเคารพนับถือหรือผู้อาวุโส
รวมทั้งผู้ท่ีเสมอกันโดยประนมมือยกข้ึนให้ปลายน้ิวหัวแม่มือจรดปลายคาง ในการไหว้ผู้เสมอกันทั้งชาย
และหญิงใหย้ กมือขน้ึ ไหวพ้ ร้อมกัน
4) ระดับท่ี 4 การไหว้บุคคลท่ีอ่อนอาวุโสท่ีมีอายุน้อยกว่าตน โดยการ
ประนมมอื ยกขึ้นให้ปลายนว้ิ อย่ใู นระดบั อก ก้มศรี ษะเล็กน้อย สายตามองด้วยความเอน็ ดู
3.4.3 การกราบ เป็นการแสดงความเคารพด้วยวิธีนั่งประนมมือขึ้น
ใหป้ ลายนิ้วหัวแม่มือจรดหน้าผากแลว้ น้อมศีรษะลงจรดพ้ืนหรือจรดมือ ณ ที่ใดที่หนึ่งแล้วน้อมศีรษะ
ลงบนมือน้ัน เช่น กราบลงบนตัก ก็อนุโลมถือว่าเป็นกราบ ถ้าหมอบแล้วน้อมศีรษะจรดมือที่ประนม
ถึงพ้ืนเรียกว่า หมอบกราบ การกราบมี 2 ลักษณะ คือการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์และการ
กราบผใู้ หญ่
1) การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ใช้กราบพระรัตนตรัย ได้แก่
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง การให้อวัยวะท้ัง.5.คือ
เข่าทัง้ 2 มอื ทงั้ 2 และหนา้ ผากจรดพืน้ ขณะมือถึงพื้นตอ้ งแบมือแนบกบั พื้น กราบ 3 คร้งั
2) การกราบผู้ใหญ่.ใช้กราบผู้ใหญ่ท่ีมีอาวุโส รวมท้ังผู้ท่ีมีพระคุณได้แก่
พ่อแม่ ครูอาจารย์และผู้ท่ีเราเคารพ กราบเพียงคร้ังเดียวท้ังชายและหญิงน่ังพับเพียบ ทอดมือท้ังสอง
ข้างลงพร้อมกัน ให้แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว ประนมมือไว้ที่หน้าผากแตะ
สว่ นบนของมอื ทีป่ ระนม ในขณะกราบไมค่ วรกระดกนว้ิ หวั แม่มือขน้ึ รับหนา้ ผากและไมแ่ บมือ
3.4.4 การคานบั ใหย้ นื ตรงมือปล่อยไว้ข้างลาตัวก้มศีรษะเล็กน้อย การคานับนี้
ส่วนมากเป็นการปฏิบัติของชาย แต่ให้ใช้ปฏิบัติได้ทั้งชายและหญิงเมื่อแต่งเครื่องแบบและไม่ได้
สวมหมวก
3.4.5 การแสดงความเคารพโดยทั่วไป
1) การแสดงความเคารพศพ.จะต้องกราบพระพุทธรูปเสียก่อน
แล้วจึงไปทาความเคารพศพ ส่วนการจุดธูปหน้าศพน้ันเป็นเร่ืองเฉพาะของลูกหลาน หรือศิษยานุศิษย์
หรือผูเ้ คารพนบั ถอื ทีป่ ระสงคจ์ ะบูชา
2) การเคารพอนุสาวรีย์บุคคลสาคัญ.อนุสาวรีย์บุคคลสาคัญอาจเป็น
รูปป้ัน ภาพถ่าย ภาพวาด หรือสัญลักษณ์อ่ืนก็ได้ ให้แสดงความเคารพด้วยการคานับหรือกราบหรือ
ไหว้แล้วแต่กรณี
การพัฒนาตนเองเพ่ือสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ 109
4. การพัฒนาการแต่งกาย
การแต่งตัวให้ดูดี ถือเป็นศาสตร์และศิลป์แขนงหนึ่ง ซ่ึงผู้ที่ชอบแต่งตัว หรือคนท่ีมี
อาชีพเกี่ยวกับเส้ือผ้าและเคร่ืองแต่งกายจะต้องศึกษาและเรียนรู้ไว้ เพ่ือจะได้เลือกให้เหมาะสมกับ
ตัวเองและผูท้ ่ีรับบริการ รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องแต่งกายให้ดูดี จาเป็นต้องศึกษาเพื่อแต่งกายให้ดูดี
เหมาะสมกับเวลาและสถานทีด่ ว้ ย
สาหรับวิธีในการแต่งตัวให้ดูดี ไม่ได้หมายความว่าต้องสวมเสื้อผ้าท่ีมีราคาแพง
หรือเสื้อผ้าท่ีมียี่ห้อ หากแต่ต้องคานึงถึงรูปร่าง บุคลิกลักษณะ สภาพภูมิอากาศและความเหมาะสม
ตามกาลเทศะ เลือกที่จะแต่งตัวให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ น่ันจึงถือเป็นการแต่งตัวที่ดูดี ผู้พบเห็น
ก็อยากมอง เป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพของบุคคล ดังคาโบราณ “ไก่งามเพราะขน คนงาม
เพราะแต่ง”
ในการแต่งตัวสิ่งที่ต้องคานึงถึงอันดับแรกคือ ต้องรู้จักตัวเองว่าตนมีรูปร่างอย่างไร
เชน่ สผี ิวขาวหรือคล้า ผอม อ้วน หรอื ทว้ ม สดั สว่ นไหนของร่างกายท่ีใหญ่หรือเล็ก เช่น ต้นแขนใหญ่
ต้นขาใหญ่ เมื่อรูจ้ ุดบกพร่องแลว้ จงึ ค่อยมาเลือกเส้ือผา้ ท่ีสามารถอาพรางรูปร่างได้ ส่วนคนท่ีมีรูปร่าง
ดีอยู่แล้ว ก็ควรเลือกสวมใส่เส้ือผ้าตามความเหมาะสมแก่เวลาและสถานท่ี นักธุรกิจจึงต้องคานึกถึง
เรอ่ื งการแต่งกายจะได้เพิ่มความน่าเชื่อถือ นา่ มองได้
นอกจากน้ี ยังตอ้ งรวู้ า่ ตวั เองเป็นคนมบี ุคลิกภาพอยา่ งไร บางคนมีบคุ ลิกภาพดูเป็นคน
เรียบร้อยมาก คนท่ีมีบุคลิกเช่นนี้หากจะมาสวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดโชว์แผ่นหลังหรือเนินอกก็คง
ไม่เหมาะสมกับบุคลิกภาพ สีผิวก็มีส่วนสาคัญในการเลือกใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน คนท่ีมีสีผิวคล้ามาก
ควรหลีกเลี่ยงสีสด ๆ อย่างเชน่ สสี ม้ สแี ดง สเี ขยี ว ท้ังนี้ การเลือกเส้อื ผ้าสวมใส่ยังจะต้องดูเรื่องราคา
ของเส้ือผา้ ทส่ี วมใสด่ ้วยว่ามคี วามเหมาะสมกับรายไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด
คนท่ีมีรูปร่างอ้วนควรใช้ผ้าท่ีมีลายเป็นเส้นยาวลงมาหรือลายทางตรงและควรใช้เสื้อผ้า
สีเข้ม จะเป็นการเพิ่มความสมดลุ ให้กบั รูปร่างได้ ส่วนคนผอมก็ให้ใช้ผ้าท่ีมีลายขวาง คนท่ีมีรูปร่างผอม
มกั จะมคี วามเช่ือวา่ ถ้าสวมเสื้อผ้า หลวม ๆ จะช่วยพรางรูปร่างได้ ซึ่งเป็นความเช่ือที่ผิด ย่ิงใช้เส้ือผ้า
ที่หลวมก็จะยิ่งทาให้ผู้พบเห็น เกิดการเปรียบเทียบเส้ือผ้ากับรูปร่างของคน ๆ น้ัน ควรใช้เสื้อผ้าสี
สว่าง ถ้าจะใสเ่ สอื้ ผา้ ลายดอก ก็ขอให้เปน็ ดอกใหญ่
นอกจากเร่ืองของบุคลิกภาพและรูปร่างของผู้สวมใส่แล้ว คนที่แต่งตัวต้องดูเร่ืองของ
สภาพอากาศประกอบด้วย เมืองไทยเปน็ เมอื งร้อน หากเลือกสวมใส่เส้ือผ้าหนา ๆ หลาย ๆ ชั้นก็ต้อง
ดูความจาเป็นอ่ืนด้วย หากน่ังทางานในห้องปรับอากาศก็สามารถสวมใส่เส้ือผ้าลักษณะนี้ได้ เพราะ
ข้อดขี องการสวมใสเ่ สอื้ ผ้าหลาย ๆ ช้ันกค็ อื สามารถใช้หลักการทบั ซอ้ นและการเล่นสเี สอื้ ผ้า
อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เสื้อผ้าลักษณะนี้ใช่ว่าจะเหมาะสมกับคนไทยทุกคน เพราะ
เมืองไทยเป็นเมืองร้อน จึงควรเลือกเสื้อใช้ผ้าที่มีเส้นใยธรรมชาติ อย่างเช่น ผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน
เป็นต้น ไมค่ วรเลือกใช้สเี ขม้ เพราะเสื้อผา้ สเี ข้มจะยง่ิ ดดู ซับความร้อนเข้ามาสูร่ ่างกายเพ่ิมขนึ้
110 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกจิ
ในส่วนของวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิง ที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าเปิดเผยน้ัน ให้คานึงถึง
วฒั นธรรมไทย การสวมใส่เส้ือผ้าที่เปิดเผยมากเกินไป เช่น เปิดไหล่ เปิดหลัง เปิดเนินอกและต้องไป
อยู่ในที่สาธารณะหรือแหล่งชุมชน นอกจากจะเส่ียงต่อการถูกลวนลามทางสายตาแล้ว บางคร้ังอาจ
ถกู ทาร้ายและยงั มีผลตอ่ สุขภาพด้วย หากตอ้ งไปอยูก่ ลางแดดเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจส่งผลให้ ผิวหนัง
ไหม้ หรอื อาจเป็นสาเหตุของการเกดิ มะเรง็ ผวิ หนังในทีส่ ุด
การแต่งกายเป็นเครื่องมือสร้างมิตรภาพ ในการแต่งกายที่เหมาะสมนอกจากช่วย
"สร้างงาน" ให้เราแล้วยังเป็นเครื่องมือช่วย "สร้างมิตรภาพ" ให้เราได้เป็นอย่างดี แอนดรูว์ แมตทิวส์
กล่าวไว้ในหนังสือ Making Friends.ว่า "ถ้าเราอยากได้เพ่ือนหรือรักษาเพ่ือนไว้ จงใช้สติไตร่ตรอง
ในการแต่งตัว" คากล่าวนั้นเป็นคากล่าวที่ไม่เกินจริง เพราะเวลาท่ีเราต้องออกงาน พบปะผู้คน
เราควรใส่ชุดที่เอื้อต่อการสร้างมิตรภาพ เราควรตระหนักว่าการแต่งกายนั้น เชื่อมโยงกับมิตรภาพ
อย่างแนบแนน่ คนบางคนยึดตนเองเปน็ ศนู ย์กลาง แตง่ กายโดยยึดความพึงพอใจของตนเองเป็นหลัก
ไม่เคยคิดถึงกลุ่มท่ีตนไปปฏิสัมพันธ์ด้วย อาจทาให้ต้องเสียเพื่อน เสียมิตรภาพไปโดยไม่รู้ตัว เช่น
ยึดติดสไตล์การแต่งตัวของตนเองจนไม่คานึงถึงความรู้สึกของผู้จัดงาน หรือมีเป้าหมายในการ
แต่งกายเพ่อื มาอวดว่าตนเองมฐี านะดีกวา่ คนอืน่ ๆ อาจเสียเพอ่ื นไปหลังจากวนั น้นั เป็นตน้
การแต่งกายสาหรับไปงานต่าง ๆ จะสนับสนุนการสร้างมิตรภาพด้วยเป็นหลัก
สิ่งแรกที่คานึงถึงคือ "การเอาใจเขามาใส่ใจเรา" โดยพิจารณาว่า งานนั้นคาดหวังให้ผู้เข้าร่วมงาน
แต่งชุดแบบใด ถ้างานนน้ั เรียกร้องความสุภาพ ความเป็นสากลมกั เลือกใส่สูท ใส่ชุดท่ีสุภาพเรียบร้อย
ถ้างานนั้นเรียกร้องความเป็นไทยหรือต้องการให้ผู้เข้าร่วมงานใส่ชุดประจาชาติ ชุดประจาท้องถ่ิน
กค็ วรจะต้องใส่ชุดประจาชาติหรือชุดประจาท้องถิ่น แม้ว่าในบางชุด เม่ือใส่แล้วยังอดขาตนเองไม่ได้
เพราะเป็นชุดท้องถ่ินท่ีใส่แล้วดูแปลก ๆ ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ถ้าสามารถเลือกเครื่องแต่งกาย
ท่ีสร้างความสบายใจให้แก่ท้ังสองฝ่าย คือ เอาใจเจ้าภาพด้วยและเราสบายใจด้วยจะดีท่ีสุด เช่น
สีของเส้ือผ้าควรเป็นสีท่ีเราชอบและคนรอบข้างมองเห็นแล้วเกิดความรู้สึกสบายตา.ไม่สร้างมลพิษ
ทางสายตา ส่วนเนื้อผ้าควรเลอื กทีเ่ ราใสแ่ ลว้ สบาย เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ช่วยให้เราไม่อึดอัด
มคี วามคดิ ปลอดโปร่งและมีความสขุ มากข้ึน เปน็ ต้น
หากเราสามารถแต่งกายตอบสนองความคาดหวังของผู้อ่ืนได้ ย่อมเท่ากับเป็นการ
หยิบย่ืนมิตรภาพด้วยการให้เกียรติและแสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่ม
การร่วมงานย่อมเป็นไปด้วยความราบร่ืน เราจะมีความสุขตลอดงานเมื่อพบปะสายตาท่ีหยิบย่ืน
มติ รภาพให้ และเรารู้ว่ามิตรภาพนน้ั จะดารงอยู่สบื ตอ่ ไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะใช้การแต่งกายเป็นเคร่ืองมือสร้างงาน สร้างมิตรภาพ แต่ใน
วถิ ีชีวติ สว่ นตวั ยามวา่ ง ควรเลือกท่ีจะใส่ชุดลาลอง ในสไตลแ์ ละสีสันทีต่ นเองชอบมากท่ีสุด ช่วยให้ผม
เกิดความรู้สึกสบาย ๆ ปลดปล่อยจากกรอบ กฎเกณฑ์ทางสังคม เป็นการแต่งกายท่ีบ่งบอกถึงความ
เป็นตวั เราจริง ๆ
การพฒั นาตนเองเพื่อสรา้ งมนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กจิ 111
5. การพัฒนาการพดู
การพัฒนาการพูด เป็นการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจอันดี แต่ในการ
ใช้ภาษาพูดน้ันต้องรู้จักหลักและวิธีการใช้ภาษาที่จะติดต่อสื่อสารในทางบวก ก็คือการพูดแต่ส่ิงดี ๆ
น่ันเอง ดังน้ัน การพูดควรมีการสารวจตนเองว่าการพูดของท่านได้พัฒนาไปมากน้อยเพียงใด โดยมี
วิธีการสารวจท้ังก่อนและหลังการพูด ลองประเมินตนเองตามความเป็นจริง แล้วจึงลองแก้ไข
ปรับปรุง พัฒนา เปลี่ยนแปลงตนเอง ก็จะพบว่าการพัฒนาการพูดของตนเองได้ก้าวหน้ามากน้อย
เพียงใด สาหรับบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจการพูด ถือเป็นส่วนหนึ่งท่ีจะช่วยให้การดาเนินธุรกิจ
ประสบผลสาเร็จได้ หากพูดไพเราะ น่าฟัง น่าสนใจบุคคลท่ีติดต่อธุรกิจก็จะให้ความสนใจทั้งในตัว
ของบุคคลและธุรกิจ แม้แต่บุคคลใดท่ีหน้าตาดี บุคลิกภาพดี แต่คาพูดเป็นแบบมะนาวไม่มีน้าก็ไม่
สามารถดึงดดู ใหผ้ ู้อนื่ สนใจได้ โดยวธิ ีการทจ่ี ะสามารถช่วยในการพฒั นาการพูด มดี งั นี้
5.1 วิธแี ก้ไขความประหมา่ ตืน่ เตน้ ไม่ใหเ้ ป็นอปุ สรรคต่อการพูด
การปฏิบัติตนเพื่อเอาชนะความประหม่าและต่ืนเต้น อันเป็นการสร้างความ
มน่ั ใจใหก้ ับตนเองนัน้ มีวธิ กี ารดงั นี้
5.1.1 เตรียมซ้อมเร่ืองท่ีจะพูดไว้ให้แม่นยาท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ แต่ไม่ใช่ท่องจา
ทกุ คาพูด ซง่ึ การฝกึ ซอ้ มพดู มีความสาคัญตอ่ ความสาเรจ็ ในการพดู ของนกั ธุรกจิ ในแตล่ ะครงั้ ได้
5.1.2 ให้ความสนใจในเร่ืองราวที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองท่ีจะพูดไว้ให้มากพอ
เพ่งความสนใจไปสู่เรื่องที่จะนาไปพูด อย่าเพ่งมาท่ีตนเองมากนัก.อาจสร้างความสับสนให้พูดฟัง
เก่ียวกับจุดประสงค์ท่จี ะพดู
5.1.3 หาข้อมูลเกี่ยวกับคนฟังให้มากพอ เพ่ือจะได้ดัดแปลงเรื่องที่พูด
ใหเ้ หมาะสมกับคนฟังให้มากทีส่ ุด จึงจะทาให้คนฟังมคี วามสนใจกับส่งิ ทค่ี นพดู นาเสนอ
5.1.4 ขณะท่ีพูด พยายามพูดกับคนฟัง อย่ามองส่ิงท่ีไม่มีชีวิตอย่างอื่น
ในหอ้ งน้ัน เชน่ เพดานห้อง อยา่ พดู ขา้ มศรี ษะคนฟงั ไปหมด ตอนพูดจะต้องมองไปท่ีผู้ฟัง
5.1.5 พยายามทรงตัวให้ดี ขณะท่ีพูดอย่าลืมว่าทุกส่วนของร่างกายมีส่วนช่วย
ส่งสารไปยังผู้ฟังพร้อม ๆ กับคาพูดนั้น การทรงตัวให้สมดุลจะทาให้ผู้พูดเองรู้สึกมีความม่ันใจ
ในตวั เองมากขน้ึ
5.1.6 ต้ังใจไว้ให้มั่นคงเสมอว่า จะพยายามพูดให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจอย่าง
แจม่ แจง้ ชัดเจน ไม่สับสน ปรวนแปร
5.2 ขอ้ แนะนาในการฝกึ ฝนตนเองให้เป็นนักพดู ทดี่ ี ดังน้ี
5.2.1 จงพูดเร่ืองท่ีเรารู้ดีที่สุดหรือเร่ืองท่ีถนัดท่ีสุดและมีความชานาญ
ในเร่ืองน้ัน โดยเฉพาะบคุ คลทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั ธุรกจิ จะต้องพูดถึงธรุ กจิ ท่ีประกอบอยูไ่ ด้อย่างชัดเจน
5.2.2 จงเตรียมตัวมาให้พร้อม.เพื่อให้การสาเร็จลุล่วงตามหัวข้อของการพูด
ในด้านธุรกิจการเตรียมความพร้อมมีความสาคัญมากในเจรจาต่อรองธุรกิจ หากธุรกิจไหนมีการ
เตรยี มความพรอ้ มมากกวา่ ยอมไดเ้ ปรียบกวา่ เสมอ
112 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ
5.2.3 จงสร้างความเช่ือมั่นในตนเอง.ก่อนท่ีจะพูดเราควรมีความมั่นใจ
ในเร่ืองท่ีเราจะพูด.บวกกับมีความเช่ือมั่นในตัวเอง เพ่ือไม่เกิดความประหม่าและส่งผลให้คนอื่นฟัง
เรอ่ื งทเ่ี ราพูดไมร่ เู้ ร่ือง
5.2.4 จงแต่งกายให้สะอาด เหมาะสมและเรียบร้อย.การแต่งกายให้สะอาด
และเรียบร้อยน้ันจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น .การแต่งกายให้เหมาะส มก็เช่นเดียวกัน
การแต่งกายให้เหมาะสมกับตาแหน่งฐานะและนอกจากน้ันควรแต่งกายให้เหมาะกับตาแหน่ง
การทางานท่ีจะเออ้ื ตอ่ การทางานใหส้ ะดวกสบายอีกดว้ ย
5.2.5 จงปรากฏกายอย่างกระตือรือร้น.เพื่อให้ผู้พบเห็นได้ตื่นตาตื่นใจในเรื่อง
ที่จะพูด ในฐานะท่ีเป็นผู้พูดที่มีความกระตือรือร้นน้ันทาให้ผู้ฟังสนใจในตัวของผู้พูดเอง หากทาตัว
เฉยชากจ็ ะทาใหผ้ ฟู้ งั น่าเบือ่ ตามไปดว้ ย
5.2.6 จงใช้กิริยาท่าทางประกอบการพูด.จะช่วยเสริมความน่าสนใจให้กับผู้ฟัง
มากยง่ิ ข้ึน เพราะผู้พูดได้แสดงออกกิริยาท่าทางมากกว่าท่ีนั่งพูดคุยกันเฉย ๆ อีกท้ังการแสดงท่าทาง
จะช่วยประกอบความเข้าใจใหก้ ับผู้ฟังอกี ดว้ ย
5.2.7 จงสบสายตากับผู้ฟัง.เพื่อให้ผู้ฟังได้มีความสนใจในเรื่องท่ีเราพูดอยู่
ผพู้ ดู ควรมีการสบตาผู้ฟังด้วยบางครั้ง เป็นการตรวจสอบความสนของผู้ฟังและสามารถดึงดูดให้ผู้ฟัง
มองดเู ราอีกดว้ ย
5.2.8 จงใช้น้าเสียงให้เป็นธรรมชาติ.เพ่ือให้การพูดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
มีความน่าส นใจมากขึ้นและเพ่ือให้ผู้ฟังได้ฟังอย่างตั้งใจ ไม่น่าเบ่ือจนเกินไป .ไม่ควรใช้น้าเสียง
ท่ีสงู เกนิ ไปหรอื ตา่ เกนิ ไป เนอ่ื งจากจะทาให้ผูฟ้ ังฟังไมเ่ ข้าใจหรือเข้าใจความหมายผดิ ไป
5.2.9 จงใช้ภาษาของผู้ฟัง.ต้องมีการตรวจสอบว่าผู้ฟังอยู่ในระดับการฟัง
ของภาษาใด ผู้พูดควรจะรู้ว่าควรใช้ภาษาแบบใดในการพูดแต่ละคร้ัง.เพ่ือในการส่ือความหมาย
ในคาพูดตรงกบั ผฟู้ งั
5.2.10 จงยกตัวอย่างหรือแทรกอารมณ์ขัน.ในการพูดแต่ละคร้ัง.อาจใช้เวลา
ในการพูดค่อนข้างนานจึงอาจทาให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย ถ้าผู้พูดมีอารมณ์ขันก็จะทาให้ผู้ฟัง
ไม่เบื่อท่ีจะตอ้ งฟังการบรรยายเป็นเวลานาน ๆ ได้
5.3 เทคนิคการพูดให้ประทับใจคน.ท่านซุนวู นักปราชญ์ชาวจีน ได้กล่าวว่า
ตามตาราพิชัยสงคราม “การรบให้ชนะแม่ทัพจะต้องรู้กาลังเราและกาลังเขา”.เมื่อนาหลักการรบ
มาเปรียบเทียบกับการพูด.ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีเมื่อเวลาจะพูด โดยเฉพาะการพูด
ในทางธุรกิจแล้วนั้น.การพูดเพ่ือให้เกิดความประทับใจจะทาให้บุคคลอื่นจดจาในตัวของเราได้
และเมื่อการติดต่อธุรกิจกันใหม่ในคร้ังต่อ ๆ ไป จะสามารถดาเนินงานได้อย่างง่ายและรวดเร็ว
แมก้ ระทงั่ อาจจะได้รับโอกาสในดา้ นธุรกจิ อืน่ ๆ อีกดว้ ย ดังนั้นเทคนิคการพดู ใหป้ ระทบั ใจคน มีดงั น้ี
การพัฒนาตนเองเพ่อื สรา้ งมนุษยสมั พันธท์ างธุรกิจ 113
5.3.1 ต้องรู้เรา.หมายถึงตัวผู้พูด.เปรียบกับตัวแม่ทัพเวลาจะพูดต้องรู้เรา คือรู้
ฐานะ.สิทธิ.หน้าที่.ขณะพูดกับผู้อื่น.เราอยู่ในฐานะอะไร.ควรมีสิทธิและหน้าที่อย่างไรก็ย่อมแล้วแต่
สถานการณน์ ั้น ๆ
5.3.2 ต้องรู้เขา.หมายถึงตัวผู้ฟัง.เปรียบได้กับข้าศึก เวลาจะพูดต้องรู้จัก
กาลเทศะ ในการพูดกับบคุ คล สถานที่และโอกาสหรอื สภาพแวดล้อมในสถานการณน์ ้ัน ๆ
5.3.3 ต้องรู้วิธีพูด.ก็เปรียบได้กับวิธีรบ.เวลาจะพูดต้องฝึกตนเองและต้อง
ปรับปรุงตนเองให้มีบุคลิกภาพท่ีสง่างามทุกอิริยาบถ ยืน เดิน น่ัง การแต่งกาย สีสัน รูปแบบต้องให้
ผสมผสาน กลมกลนื เหมาะสมกบั กาลเทศะของสงั คมนิยม
จากเทคนิคการปรับปรุงการพูดท่ีกล่าวมาท้ังหมด ล้วนเป็นประโยชน์ในการทาให้ผู้พูด
มีความม่ันใจในการพูดและมีเสน่ห์ในการพูดได้เป็นอย่างดี อีกท้ังการพูดท่ีดีย่อมจะทาให้สามารถ
สร้างมนุษยสัมพนั ธก์ บั คนรอบขา้ ง ตลอดจนในการติดต่อส่ือสารในทางธุรกิจก็จะประสบความสาเร็จ
ตามทตี่ งั้ ไว้ทุกประการ
การพฒั นาความฉลาดด้านต่าง ๆ เพือ่ สร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ
มนุษย์ทุกคนมีคณุ สมบัตขิ องการสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์อยู่ในตัว มากบ้างน้อยบ้าง ข้ึนอยู่กับ
ลักษณะส่วนตัวของแต่ละบุคคล บางคนมีคุณสมบัติของการสร้างมนุษยสัมพันธ์อยู่ท่ีรูปร่าง.หน้าตา
จิตใจ คาพดู และพฤติกรรมการแสดงออกตา่ ง ๆ แตค่ วามสาคัญของคุณสมบัติที่กล่าวมาน้ันขึ้นอยู่กับ
การสร้างเสริมและการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้มี
มนุษยสัมพันธ์ที่ดีอยู่เสมอ โดยการพัฒนาตนเองหรือการปรับตัวน้ันเพ่ือที่จะทาให้ตนเองดีข้ึน
สามารถเขา้ กับผ้อู ่นื ไดด้ ีและผู้อ่ืนอยากเข้ามาร่วมกิจกรรมกับตนเอง.โดยในปัจจุบันมีการพูดถึงความ
ฉลาดด้านต่าง ๆ มากมายหลายด้านเพ่ือพัฒนาให้ตนเองมีความฉลาดในด้านต่าง ๆ เพ่ือสามารถ
สร้างความสัมพันธ์กับคนในสังคมได้ เราจึงต้องศึกษาให้เข้าใจเพื่อพัฒนาความฉลาดในด้านต่าง ๆ
ดงั น้ี
1. ความฉลาดทางเชาว์ปัญญา (IQ,.Intelligent.Quotient).คือ.ความสามารถด้าน
สติปัญญา การเรียนรู้ จดจาด้านวิชาการ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การแก้ปัญหาเชิงตรรกะและ
การคิดวิเคราะห์ การทดสอบ IQ.วัดได้ด้วยแบบทดสอบ คน IQ.สูงมักเป็นผู้เรียนเก่ง ฉลาด ทาอาชีพ
ท่ีเกี่ยวกับการใช้ความคิด ความจา เช่น แพทย์ วิศวกร นักการเงิน เป็นต้น IQ.มีองค์ประกอบหลาย
ด้านท้ังพันธุกรรม การฝึกฝนตนเองและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก ตลอดจนความ
รกั และความเอาใจใส่จากพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม IQ.มีผลต่อการประสบความสาเร็จในชีวิตเพียง 20%
เท่านั้น (ทรงศิริ ยทุ ธวสิ ุทธิ, 2543: 38-39)
114 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ
2. ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ,.Emotional.Quotient).คือ การรู้จักควบคุมตนเอง
เขา้ ใจอารมณ์ มีวนิ ัย บังคับใจตนเอง ไม่แสดงออกตามอารมณ์พาไป คน EQ สูง จะมีมนุษยสัมพันธ์ดี
เข้ากับคนอ่ืนง่าย ทางานเป็นทีมได้ สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นและรักษาให้ยืดยาวได้ รู้จักเห็นอก
เหน็ ใจและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น ซึ่งอารมณ์สาคัญท่ีต้องควบคุมให้ได้คือก้าวร้าว ความต้องการ
ทางเพศ ความกลวั และมนุษยสมั พันธ์กับผอู้ ื่น
3. ค วาม ฉลาด ใน กา รเผชิ ญอุปส รรค (AQ,.Adversity.Quotient).คือ. การ มี
น้าอดน้าทนในการเอาชนะอุปสรรคท่ีผ่านเข้ามาในชีวิต ความพยายามควบคุมสถานการณ์และแก้ไข
สถานการณ์และกล้าเผชิญอุปสรรคด้วยตนเอง.มุมมองปัญหาท่ีต้องแก้ไขว่ามีจุดจบไม่ทางใด
ก็ทางหนึ่ง อดทนและทนต่อปัญหาต่างๆ ได้ มีงานวิจัยพบว่าคนที่มี AQ.สูงหรือมีจิตใจชอบการต่อสู้
จะมีสุขภาพแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย หากเจ็บป่วยก็จะฟ้ืนตัวเร็วกว่าผู้ท่ี AQ.ต่า.ที่รู้สึกพ่ายแพ้ท้อแท้
อยู่ตลอดเวลา หากเป็นมากอาจถึงขัน้ เป็นโรคซมึ เศรา้ และฆา่ ตัวตายในท่ีสุด
4. ความฉลาดในการมจี ริยธรรม ศีลธรรม (MQ, Moral Quotient) คือ จริยธรรมและ
ศลี ธรรมส่วนตัว สง่ ผลต่อการควบคมุ ตนเองใหม้ ีระเบยี บวนิ ัย รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ซื่อสัตย์
กตัญญู มคี วามรู้ผิดถกู สานึกช่วั ดี อ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะ ซึ่ง MQ.ไม่สามารถฝึกฝนหรือ
ขัดเกลาได้ในเวลาสั้นๆ แต่เกิดจากการส่ังสมและปลูกฝังต้ังแต่เด็กและฝังลงใต้จิตสานึก เม่ือถูก
กระตุ้น (ตอนเป็นผ้ใู หญ่) MQ.จะแสดงออกมา แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่เคยถูกปลูกฝัง MQ.มาก่อน เม่ือถูก
กระตุ้นกอ็ าจไม่สามารถเป็นคนดีได้มากนัก
5. ความฉลาดในการดูแลสุขภาพพลานามัย (HQ,.Health.Quotient).คือ การมี
สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะหากร่างกายไม่แข็งแรง การพัฒนาคิวด้านอ่ืนๆ
คงเกดิ ขึ้นไม่ได้ การดแู ลสขุ ภาพทด่ี คี วรดแู ลท้ังการออกกาลงั กาย อาหารและสุขภาพใจ ไปพรอ้ มกัน
6. ความฉลาดในการเล่น (PQ,.Play.Quotient).คือ การมีทักษะในการเล่น
การวางแผน การเคล่อื นไหว การตัดสินใจ การทางานเปน็ หมคู่ ณะ รู้แพ้ รูช้ นะ ร้อู ภัย
7. ฉลาดในการเข้าสังคม (SQ,.Social.Quotient).คือความสามารถในการเข้าสังคม
มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส การวางตัว บุคลิกภาพในการเข้าสังคม รวมถึงภาษากาย (Body
Language) ขณะพูดกับผู้อื่น การตรงต่อเวลาและมารยาททางสังคมด้วย SQ อาจมีความใกล้เคียง
กับ EQ.แต่ต่างกัน เพราะ SQ.เป็นเรื่องที่เก่ียวกับการวางตัวในสังคม มีการแต่งตัว การพูดจา ส่วน
EQ เป็นเร่ืองของอารมณ์และมนุษยสัมพันธ์ไม่มีเรื่องของการแต่งตัว เข้ามาเก่ียวข้อง แต่ทั้งสองตัวน้ี
กเ็ ก้อื หนนุ กัน เพราะหากเปน็ คนท่ี EQ และ SQ สูง ก็จะไดร้ ับการยอมรบั จากสังคมมากกว่า
8. ความฉลาดในการมองโลกในแง่บวก (OQ,.Optimist.Quotient).คือ การมอง
โลกแง่ดี เปลี่ยนมุมมองใหม่ ทาจิตใจให้แจ่มใส พร้อมเผชิญปัญหา มองอุปสรรคเป็นความท้าทาย
การมองโลกแง่ดีทาให้เป็นคนมีสุขภาพจิตดีเมื่อเกิดปัญหาไม่เครียดจนเกินไปและ พร้อมจะฝ่าฟันไป
ซ่ึงต้องมีความมานะอดทน (AQ).ช่วยในการเอาชนะอุปสรรค คนท่ีมองโลกแง่ดีและมีความมานะ
อดทนจงึ เป็นผปู้ ระสบความสาเรจ็ ในชีวิตมากกว่า ผู้มองโลกแง่ร้ายและไม่กลา้ ท่ีเผชิญปญั หา
การพัฒนาตนเองเพอื่ สร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 115
9. ความฉลาดในการคิดสร้างสรรค์ (UQ,.Utopia.Quotient).คือ ความสามารถ
ในการสร้างสรรค์จินตนาการ รู้จักคิดฝัน.(ทางบวก).เป็นที่มาของความคิดเชิงสร้างสรรค์.(Creative)
จินตนาการ เป็นการพัฒนาสมองซีกขวา คนที่มีพลังในการจินตนาการจะเป็นผู้สามารถสร้างสรรค์
งานใหม่ สิง่ ใหม่ๆ คนท่มี ีพลงั ในการจิตนาการจะเปน็ ผกู้ ล้าลองผิด ลองถูก และพร้อมจะเผชิญปัญหา
แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้พลังด้านจินตนาการด้านลบ หรือในทางที่ผิด อาจกลายเป็นคนหุนหันพลันแล่น
กา้ วร้าว ขาดการไตรต่ รอง ตอ่ ต้านสงั คมและคนรอบข้าง ยดึ ติดอยใู่ นโลกแห่งความฝนั
ดังที่กล่าวมาจะเห็นได้กว่าการมี Q.ต่างๆ นั้นทาให้สามารถพัฒนาตนเองเพ่ือการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ได้ เนื่องจากการมี Q.แต่ละ Q.จะเป็นตัวเสริมสร้างให้บุคคลนั้นเกิดการผลักดัน
ความสามารถภายในตัวเองออกมาทั้งในเรื่องของความคิดและศิลปะในการแสดงออก ดังน้ัน Q
แตล่ ะ Q จงึ เป็นสิ่งสาคญั ที่จะชว่ ยใหบ้ คุ คลสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
การพัฒนาตนเองเพอ่ื เปน็ ทีต่ ้องการของประเทศชาติ
ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาหลายอย่างมากมายรวมถึงปัญหาเก่ียวกับพฤติกรรม
ของคนไทยปัจจุบันท่ีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศชาติ
มาโดยตลอด ทาให้ประเทศไทยของเราเริ่มเป็นเมืองท่ีไม่น่าอยู่ ดังน้ันเราในฐานะคนไทยควรต้องมี
การพฒั นาตนเองเพ่อื เป็นคนไทยที่ประเทศชาติตอ้ งการในปจั จุบนั โดยควรมีลกั ษณะดังนี้
1. รู้จักพึ่งตนเอง.มีอุดมคติ.ในการดาเนินชีวิตอยู่ในสังคมท่ีต้องมีการแข่งขันกันสูง
ต่างคนต่างต้องทามาหากินเพ่ือความอยู่รอดของตนเองก่อนเสมอ การท่ีคนเราจะมารอขอความ
ช่วยเหลือจากคนอน่ื คงเป็นไปได้ยาก จากสภาพการณ์ดังกล่าวจึงต้องคิดและต้ังใจทาทุกส่ิง ทุกอย่าง
ด้วยตัวเองก่อนเสมออย่างเต็มความสามารถ ต้องคิดอยู่เสมอว่าคนทุกคนมีความสามารถท่ีจะ
สรา้ งสรรค์ส่ิงตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง เมื่อผูอ้ น่ื สามารถทาได้เราก็ยอ่ มทาไดเ้ ช่นกัน
2. มีระเบียบวินัย คุณธรรม.จริยธรรม.ในโลกปัจจุบันมนุษย์มีการเปล่ียนแปลงของ
พฤติกรรมไปในทางที่ขาดคุณธรรมจริยธรรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพการณ์ท่ีต้องแข่งขันกันทาให้
ทุกคนคิดถึงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก จึงคิดหาวิธีท่ีทาให้ตนเองได้ประโยชน์มากท่ีสุด.จนทาให้ลืม
ในเรื่องของความถูกต้องเหมาะสมไป เช่น การแซงคิวซื้อของ.การทิ้งขยะในที่สาธารณะ.เป็นต้น.เราจึง
ควรเร่ิมอบรมสั่งสอนเรื่องของการมีระเบียบวินัย คุณธรรมจริยธรรมให้ลูกหลานต้ังแต่ยังเล็กๆ
เพอื่ เขาจะได้จดจาไว้ เม่อื เติบโตขึ้นมาจะได้มคี ณุ ธรรมดังกลา่ วติดตวั สง่ ผลใหส้ ังคมน่าอยู่
3. รู้จักคิด ริเริ่ม.คนไทยเป็นคนท่ีเก่งมีความรู้ความสามารถในทุกด้านไม่แพ้ชาติใด
เชน่ ดร..อาจอง ชมุ สาย ณ อยธุ ยา ผคู้ ิดคน้ วธิ ีจอดยานอวกาศลงดาวองั คารหรือเกษตรกรไทย.คิดค้น
วิธีการปลูกข้าวหอมมะลิท่ีมีคุณภาพ แสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักคิดและสร้างสรรค์สิ่งท่ีดีมีประโยชน์
มากมายให้เป็นที่ประจักษ์ของคนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิด สติปัญญา ความรู้ความสามารถ
ท่ีไมเ่ ป็นรองใคร
116 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ
4. มีความภาคภูมิใจ.เกิดความรักภาคภูมิใจและห่วงแหนในศิลปวัฒนธรรมและ
ทรัพยากรของชาติ ประเทศไทยมีส่ิงมีค่ามากมายที่เราควรอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ตลอดไปให้ลูกหลาน
ได้ ชื่น ชม ใน คว าม งด งา ม ของศิ ลป วัฒ นธ รร มอั น ทร งคุ ณค่ า .ส ถา นที่ ท่อง เที่ ยว อัน เ ป็ นธรรมชาติ
ความเป็นไทยท่ีเป็นเอกลักษณ์ ทาให้ชาติต่าง ๆ ให้ความสาคัญเข้ามาท่องเท่ียวประเทศไทย.เพื่อมา
ชนื่ ชมในความงดงามของสิง่ มีคา่ และนาเงินตราเข้าประเทศมากมาย เราคนไทยจาต้องระลึกอยู่เสมอ
ทจ่ี ะตอ้ งชว่ ยกันดูแลรักษาสิ่งมีคา่ ของไทย เอาไวใ้ ห้ลูกหลานและชาวโลกได้ชนื่ ชม
5. ขยัน.อุตสาหะ.ประหยัด.การเป็นผู้มีกินมีใช้ได้ต้องอาศัยความขยันในการประกอบ
อาชีพอันสุจรติ ต้ังใจมุมานะอดทนในการทางานเพ่ือได้ส่ิงตอบแทนมาดารงชีวิตให้มีความสุข รู้จักใช้
ทรพั ย์ทไ่ี ดม้ าอยา่ งประหยดั และออมเงินไวเ้ พื่อความไม่ประมาทในวันข้างหนา้
6. มีทัศนคติที่ดีต่อระบบประชาธิปไตย.รักชาติ.ศาสนาและพระมหากษัตริย์
คนไทยมีระบอบประชาธิปไตยในการปกครองประเทศ เพื่อให้คนในประเทศมีสิทธิ์มีเสียงมีส่วนร่วม
ในการพัฒนาประเทศ ด้วยการเลือกคนดีเข้าไปเป็นตัวแทนในการคิดพัฒนาประเทศ คนไทยจึงควร
คิดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะเลือกต้ังทุกครั้ง.เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเลือกคนทาลายชาติ.
คนไทย ทกุ คนต้องภูมิใจในความเป็นเอกราชของเราที่ได้รักษามา อย่าปล่อยให้คนในชาติเดียวกันทาลาย
เอกราชและความเปน็ ชาติของเรา
7. สานึกในหน้าท่ีและความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ.ทุกคนมีหน้าที่
ที่ต้องประพฤติปฏิบัติ เช่น หน้าที่ของครูต้องสอนหนังสือ หน้าที่ของหมอต้องรักษาคนไข้ ทุกคนท่ีอยู่
ในสังคมจะต้องรู้จักบทบาทและหน้าที่ของตนที่ตนได้รับ.ท้ังหน้าที่ต่อตนเองในการเอาใจใส่ ดูแล
สุขภาพกายสขุ ภาพใจใหเ้ ปน็ คนทส่ี มบรู ณ์ หน้าท่ีต่อครอบครัว พ่อแม่ต้องดูแลสั่งสอนลูก ลูกต้องเช่ือ
ฟังคาสั่งสอนพ่อแม่.หน้าท่ีต่อสังคมปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคมด้วยความเต็มใจ .เช่น.การเสีย
ภาษี การทาบัตรประชาชน.การเลอื กตงั้ .หน้าท่ีต่อประเทศชาติช่วยกันสอดส่องดูแล ผู้ท่ีจะมาทาลาย
ชาติ.เช่น.ผู้ค้ายาบ้า.ซ่ึงเป็นตัวทาลายท่ีร้ายแรงมากสามารถทาลายต้ังแต่ต้นกล้าท่ีจะเติบโตมาเป็น
พลเมอื งทดี่ เี พือ่ พฒั นาประเทศชาติ
8. มีความสามัคคีกันระหว่างคนในชาติ.ประวัติศาสตร์ไทยในอดีต.มีความเจ็บปวดมาก
ท่ีชาติไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้น สาเหตุเกิดจากคนในชาติไม่รู้รักสามัคคีกัน ทรยศ เห็นแก่ประโยชน์
ส่วนตัว อดีตที่ผิดพลาดจึงเป็นบทเรียนที่ต้องนามาแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นซ้าอีก ถึงเวลาท่ีเลือดไทยต้องสู้
เพื่อลูกหลานและประเทศชาติของเราให้มีความมั่นคง ด้วยการรักและสามัคคีไม่เห็นประโยชน์
สว่ นตัว เม่ือประเทศชาติส่วนรวมแขง็ แรงคนในประเทศกจ็ ะมีความสงบสุขตามมา
9. มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ.การมีสุขภาพกายดี จะทาให้
สุขภาพใจดีตามไปด้วย.คนไทยจึงควรหันมาออกกาลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3.ครั้ง.ๆ.ละ.30.นาที
เพ่ือมีสุขภาพที่แข็งแรง.สามารถสู้กับงานและปัญหาต่าง ๆ.ท่ีเข้ามาได้.ควรส่งเสริมการออกกาลังกาย
ให้เยาวชน เพอ่ื ให้มสี ุขภาพพลานามัยทดี่ แี ละห่างไกลจากยาเสพตดิ ได้
การพัฒนาตนเองเพอ่ื สรา้ งมนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ 117
10. มีความเมตตา กรุณา.เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม รู้จักช่วยเหลือผู้ท่ีมีความทุกข์
ในสังคม อยา่ ปลอ่ ยให้ปญั หาทีเ่ กดิ ขึน้ เป็นปญั หาของสังคมตอ่ ไปถา้ สามารถช่วยเหลือได้ เช่น เมื่อเกิด
อุบัติเหตุควรให้การช่วยเหลือเบ้ืองต้นก่อนที่จะหาผู้อ่ืนมาช่วย อย่าคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของ
ตนเอง หากเกิดเหตุการณก์ ับตนเองบ้างจะเป็นอย่างไร ถา้ ทกุ คนไม่ชว่ ยเหลอื กนั
11. มีความซ่ือสัตย์ สุจริต ยุติธรรม ในการประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่ทาให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน นามาซึ่งความเจริญงอกงามในชีวิต ถ้าบุคคลใดก็ตาม
ประกอบอาชีพไม่สุจริต เช่น ค้ายาบ้า คดโกงประเทศชาติ ก็จะนามาซ่ึงความหายนะแก่ตนเอง
และครอบครัว
ประเทศไทยได้ช่ือว่า.“สยามเมืองยิ้ม”.ท่ีคนทั่วโลกได้กล่าวขานว่าเราเป็นประเทศ
ที่มีน้าใจไมตรี ยิ้มแย้มแจ่มใสน่าอยู่ ถ้าพวกเราคนไทยทุกคนได้ปฏิบัติแนวคิดท่ีได้กล่าวมาข้างต้น
ก็ย่อมจะทาให้ทุกคนที่เป็นคนไทยสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุขและมีความสุข ตลอดจนแสดง
ให้คนทว่ั โลกได้เหน็ ว่าประเทศไทยของเรายงั ย้ิมและตอ้ นรบั อยเู่ สมอ
การพฒั นาทักษะใหเ้ ป็นคนในศตวรรษที่ 21
เพื่อรองรับการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนทางด้าน สังคม เศรษฐกิจและการเมืองรวมถึง
ประชาเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล รวมท้ังการเติบโต
ขึ้นอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและการส่ือสาร พ ร้อมทั้งการใช้ชีวิตในโลกดิจิตอล .
(Digital.Life).ดังน้ัน คนในศตวรรษท่ี 21 จึงควรพัฒนาตนเองให้มีทักษะท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิต
ตอ่ การทางานและตอ่ การสร้างมนุษยสัมพันธใ์ นศตวรรษที่ 21 โดยควรมีทักษะดงั น้ี
1. ความสร้างสรรค์และนวัตกรรม คนในศตวรรษท่ี 21 สามารถแสดงความคิด
สร้างสรรค์ ผลิตความรู้และพัฒนานวัตกรรมท่ีเป็นผลิตผลและกระบวนการโดยใช้เทคโนโลยีด้วย
วิธีการต่างๆ ดังน้ี
1.1 ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรทู้ ม่ี ีเพอื่ สร้างแนวคดิ ใหม่ ผลิตภณั ฑ์ใหมห่ รือกระบวนการใหม่
1.2 สรา้ งงานทีเ่ ปน็ ต้นแบบเพื่อสอ่ื ถงึ ตวั ตนหรอื กลุ่ม
1.3 ใชโ้ มเดลและการจาลองเพ่อื สารวจระบบและปญั หาทซ่ี บั ซอ้ น
1.4 หาแนวโนม้ และคาดการณค์ วามเปน็ ไปได้
2. การส่ือสารและการทางานร่วมกัน คนในศตวรรษท่ี 21 สามารถใช้ประโยชน์
จากสื่อดิจิตอลและสภาพแวดล้อมทางดิจิตอลเพื่อสื่อสารและทางานร่วมกันรวมทั้งเพ่ือสนับสนุน
การเรยี นรทู้ างไกลสาหรับตนเองและผู้อ่นื ด้วยวธิ ีการดังน้ี
2.1 มีปฏิสัมพันธ์ให้ความร่วมมือและเผยแพร่งานร่วมกับเพื่อน ผู้เชี่ยวชาญ
และบคุ คลอ่นื ๆ โดยใชส้ ่ือดิจิตอลและสภาพแวดล้อมทางดิจิตอลตา่ งๆ ดังน้ี
118 มนุษยสมั พันธ์ทางธุรกจิ
2.2 สื่อสารข้อมูลและความคิดไปสู่ผู้รับจานวนมากอย่างมีประสิทธิผลโดยใช้สื่อ
หลากหลายรูปแบบ
2.3 พฒั นาความเขา้ ใจทางวฒั นธรรมและจิตสานกึ ต่อโลก การคลุกคลีกับผู้เรียนจาก
วฒั นธรรมอ่นื
2.4 ชว่ ยเหลือสมาชกิ ในโครงการให้ผลติ ผลงานทเ่ี ปน็ ตน้ แบบและช่วยแกไ้ ขปัญหา
3. ความเช่ียวชาญในการค้นคว้าหาข้อมูล คนในศตวรรษท่ี.21.สามารถใช้เคร่ืองมือ
ดิจิตอลเพ่อื รวบรวม ประเมินผลและใชข้ ้อมูลดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ ดงั นี้
3.1 วางแผนยทุ ธศาสตร์เพื่อเปน็ แนวทางในการสบื คน้
3.2 ค้นหา จัดระเบียบ วิเคราะห์ ประเมิน สังเคราะห์และใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรม
จากแหล่งข้อมูลและส่อื ต่างๆ
3.3 ประเมินผลและคัดเลือกแหล่งข้อมูลและเครื่องมือดิจิตอลตามความเหมาะสม
กับภารกิจนนั้ ๆ
3.4 ประมวลข้อมูลและรายงานผล
4. การคิดเชงิ วพิ ากษ์ การแกป้ ัญหาและการตดั สินใจ คนในศตวรรษท่ี.21.สามารถแสดง
ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อวางแผนและวิจัย บริหารโครงการ แก้ปัญหาและตัดสินใจจากข้อมูล
โดยใชเ้ ครือ่ งมือดิจิตอลและแหลง่ ขอ้ มูลดจิ ติ อลทีเ่ หมาะสม ดว้ ยวิธีการตา่ งๆ ดังนี้
4.1 กาหนดและนยิ ามปัญหาท่แี ท้จรงิ และคาถามสาคญั เพ่ือคน้ คว้า
4.2 วางแผนและบริหารกจิ กรรมเพอ่ื หาคาตอบหรือทาโครงการให้ลลุ ่วง
4.3 รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพ่อื หาคาตอบหรือตดั สนิ ใจโดยอาศัยข้อมลู
4.4 ใช้กระบวนการตา่ ง ๆ และแนวทางทห่ี ลากหลายเพอ่ื สารวจทางเลือกอนื่ ๆ
5. ความเป็นพลเมืองดิจิตอล.(Digital.Citizenship).คนในศตวรรษที่.21.สามารถแสดง
ความเข้าใจประเด็นสังคม วัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ท่ีเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและปฏิบัติตน
อยา่ งมีจริยธรรมและตามครรลองกฎหมาย ดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ ดังนี้
5.1 สนับสนุนและฝึกใช้ข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีอย่างปลอดภัย ถูกกฎหมาย
และอยา่ งรบั ผิดชอบ
5.2 แสดงทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การเรียนรู้
และการเพิ่มผลผลติ
5.3 แสดงใหเ้ หน็ วา่ ตนเองรจู้ ักรับผิดชอบต่อการเรยี นรู้ตลอดชีวิต
5.4 แสดงความเป็นผนู้ าในฐานะพลเมอื งดิจติ อล
การพฒั นาตนเองเพอื่ สร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 119
6. การใช้งานเทคโนโลยีและแนวคิด คนในศตวรรษที่.21.สามารถแสดงให้เห็นว่าเข้าใจ
แนวคิด ระบบและการทางานของเทคโนโลยี ดว้ ยวิธีการต่างๆ ดังนี้
6.1 เข้าใจและใชร้ ะบบเทคโนโลยไี ด้
6.2 เลอื กและใช้โปรแกรมประยกุ ตอ์ ย่างมีประสทิ ธผิ ล
6.3 แก้ไขปญั หาของระบบและโปรแกรมประยุกต์ได้
6.4 รู้จกั ใช้ความรู้ที่มีปจั จุบันเพื่อเรยี นรูผ้ ่านเทคโนโลยใี หม่ๆ
จากทีไ่ ด้กลา่ วมาเก่ียวกบั ทักษะทจ่ี าเปน็ และสาคัญในการท่ีจะเป็นคนในศตวรรษท่ี.2.น้ัน
จะต้องให้ความสาคัญและใส่ใจในเรื่องท่ีกล่าวมาข้างต้น เพื่อให้สามารถก้าวทันต่อการเปล่ียนแปลง
ของโลกและสามารถปฏบิ ตั ิงานในองคก์ รตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและมคี วามสุข
สรุปทา้ ยบท
คนเรามีส่วนประกอบที่แบ่งออกได้สองส่วน คือ กาย กับ ใจ จาเป็นต้องพัฒนาควบคู่กัน
ไปเพ่ือสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับบุคคลในสังคมและองค์กรธุรกิจได้ โดยแนวคิดเบื้องต้นในการ
พัฒนาและปรับปรงุ เพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพันธ์ประกอบด้วย สารวจตนเอง จดบันทึกลักษณะพฤติกรรม
ที่ไม่เหมาะสมของตนเอง กาหนดเป้าหมายในการพัฒนาและปรับปรุงจนเอง กาหนดวิธีการพัฒนา
และปรับปรุง จัดทาแผนหรือกาหนดการในการปรับปรุงแก้ไข ติดตามและประเมินผลตนเอง
ทบทวนตั้งแตต่ น้ จนจล
การพฒั นาบุคลิกภาพเพื่อสรา้ งมนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ มีการพัฒนาทั้งบุคลิกภาพภายใน
และบคุ ลิกภาพภายนอก โดยการพัฒนาบคุ ลิกภาพภายในเพ่ือสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจต้องอาศัย
แนวคิดในการพัฒนาตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ แนวคิดในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มี
คุณธรรม แนวคิดเกี่ยวกบั การปรับปรุงตนเองในการอยู่รว่ มกบั ผอู้ นื่ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ และการพัฒนา
บุคลกภาพภายนอกเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจมี 5 ด้านที่ต้องพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุง
รปู รา่ งหนา้ ตา การดูแลรักษาสุขภาพ การปรับปรุงกิริยามารยาท การปรับปรุงการแต่งกาย และการ
ปรับปรุงการพดู
วิ ธี ก า ร ใ น ก า ร พั ฒ น า ต น เ อ ง ห รื อ ป รั บ ป รุ ง ตั ว เ อ ง เ พ่ื อ ส ร้ า ง ร า ก ฐ า น ใ น ก า ร ส ร้ า ง
มนุษยสมั พันธท์ างธุรกิจมี 6 วิธี ได้แก่ การพัฒนาตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกค้า การพัฒนา
ตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา การพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์
กับผู้ใต้บังคับบัญชา การพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพ่ือนร่วมงาน การพัฒนาตนเอง
เพื่อเป็นคนไทยท่ีประเทศชาติต้องการและการพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์โดยการพัฒนา
บุคลิกภาพ
120 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
คนเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นบุคคลท่ัวไปหรือนักธุรกิจ จาเป็นต้องมีการพัฒนาและปรับปรุง
ตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพท่ีดี เพื่อให้ตนเองเป็นคนมีความสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน
สุขภาพร่างกาย สุขจิตใจ.อารมณ์.สังคมและสติปัญญา.การมีมารยาทท่ีดีในสังคม หรือการมี
สัมพันธภาพท่ีดีกับคนโดยทั่วไปและเราควรจาว่าหลักการพื้นฐานในการสร้างมนุษย สัมพันธ์น้ัน
จะตอ้ งพฒั นาทีต่ นเองก่อน
ดังน้ัน.ในการปรับปรุงตนเอง.จึงมีความสาคัญที่เราต้องให้ความสนใจและความสาคัญ
เป็นอย่างยิ่งในการสร้างมนุษยสัมพันธ์.ท่ีจะทาให้เราสามารถเป็นบุคคลอันเป็นท่ีรักของทุกคน
ในสงั คมได้
การพฒั นาตนเองเพอื่ สร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 121
กรณศี กึ ษา บทที่ 3
บา้ นนอกเข้ากรงุ
น้าฟ้า เป็นนักศึกษามหาวิยาลัยช่ือดังแห่งหน่ึงของภาคเหนือ เธอกาลังจบการศึกษา
มาใหม่ ๆ น้าฟ้าเธอเป็นคนร่าเริง แจ่มใส เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ผลงานการเรียนอยู่ในระดับดี มาโดย
ตลอด ตาแหน่งเกียรตินิยมอันดับ.1.จึงเป็นของเธอ ด้วยความเพียบพร้อมท้ังบุคลิกหน้าตาและ
คุณสมบัติอื่นๆ วันหนึ่งเธอได้รับการตอบรับการทางานจาก บริษัท วิวแอนด์วัน โลจิสติกส์ จากัด
บริษทั ชน้ั นาในดา้ นโลจิสตกิ ส์ระหว่างประเทศ ซงึ่ เปน็ งานท่นี ้าฟา้ ต้งั ใจและใฝ่ฝนั ที่จะเขา้ รว่ มงานดว้ ย
พอถึงเวลานัดน้าฟ้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อรายงานตัวเข้าทางานกับบริษัททุกอย่าง
เป็นไปอย่างราบรน่ื และเธอก็เร่ิมทางาน
น้าฟ้าตั้งใจและขยันทางานอย่างเต็มท่ี แต่เธอไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ผ่านไป 2 สัปดาห์
ผู้จัดการได้เรียกเธอเข้าพบและได้ถามเธอว่า “คุณน้าฟ้าเป็นไงบ้างกับการทางาน คุณรู้สึกดีมั้ย”
“ก็ดีนะคะ” “แล้วตอนนี้เธอคุ้นเคยกับคนอ่ืนบ้างรึยัง” น้าฟ้าตอบน้าเสียงค่อยๆ ว่า “ก็ไม่ค่อยได้
พูดคยุ กับใครเลยไม่ค่อยรู้จักใครเลยค่ะ” ผจู้ ัดการจงึ ถามวา่ “แล้วทาไมหละ่ ” น้าฟ้าตอบด้วยน้าเสียง
เขินอาย “คอื หนูไม่ค่อยมั่นใจค่ะ กลัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้เพราะหนูมาจากบ้านนอก จะพูดอะไรก็กลัว
ผิดกลัวไม่ถูกใจคนอ่ืน” หลังจากน้ันผู้จัดการจึงแนะนาและให้น้าฟ้าปรับปรุงตนเองเพราะไม่เช่นนั้น
จะเป็นปัญหาต่อการทางานได้
อกี สัปดาห์ผ่านไปผ้จู ดั การสงั เกตเห็นน้าฟา้ ไดม้ กี ารปรบั ปรุงตนเอง ด้วยการเรียนรู้นิสัยใจ
คอผู้อื่นเธอพยายามทักทาย พูดคุยกับเพ่ือนร่วมงานคนอ่ืน ๆ ด้วยความเป็นกันเอง และเธอก็เริ่ม
คนุ้ เคยกับผอู้ ื่นมากข้นึ สง่ ผลต่อการทางานของเธอทเี่ ป็นไปอย่างราบรืน่
อีกมุมหนึ่ง สาลี่ เด็กเก่าพนักงานดีเด่นประจาปี เธอเห็นความก้าวหน้าของน้าฟ้าเธอจึง
รู้สึกกลัวว่าน้าฟ้าจะได้ความดีความชอบและโคล่นตาแหน่งพนักงานดีเด่นของเธอ เธอจึงไม่ค่อยพูด
เวลานา้ ฟา้ คยุ ดว้ ยก็เหมอื นถามคาตอบคาและจะคอยจิกสายตาตลอด จนน้าฟ้ารสู้ กึ ระแคะระคาย
วันหน่ึงผู้จัดการมอบหมายงานให้สาลี่และน้าฟ้าออกเดินทางไปสัมมนาด้วยกันท่ี
ตา่ งจงั หวัด ซ่งึ สรา้ งความไมพ่ อใจให้กับสาล่เี ป็นอย่างมากที่ต้องเดินทางรว่ มกับน้าฟา้
คาถาม
1. การอายเร่ืองของความเป็นคนบ้านนอก ทาให้เป็นอุปสรรคต่อการทางาน ท่านคิดว่า
ทา่ นจะมวี ธิ ีการอยา่ งไรท่ีปรับปรุงและพฒั นาตนเองในเร่ืองดังกล่าวให้สามารถทางานร่วมกบั ผู้อ่นื ได้
2. ถา้ นักศกึ ษาเปน็ น้าฟา้ นกั ศึกษาจะปรบั ปรงุ ตนเองอยา่ งไร เพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดี
ใหเ้ ข้ากบั สาลไ่ี ดอ้ ยา่ งไร
122 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ
กิจกรรม บทท่ี 3
เกม รวมกนั เราอยู่
วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ให้เกดิ ความสนุกสนาน
2. เพอื่ ฝกึ การปรบั ปรุงตนเองใหช้ ว่ ยเหลอื กลุ่ม
3. เพ่ือฝกึ การคิดการวางแผนร่วมกันในกลมุ่
4. เพือ่ ฝึกการร่วมแรงร่วมใจกัน
5. เพื่อฝกึ การชว่ ยเหลือเกื้อกูลกัน
6. เพื่อฝึกความสามัคคีกัน
จานวนผเู้ ล่น ก่ีคนก็ได้
อปุ กรณ์ -
สถานท่ี ห้องเรียน
เวลา 20 - 30 นาที
วิธเี ลน่ 1. ผู้นากิจกรรมบอกให้ทกุ คนหยบิ เก้าอ้ีออกมาคนละตวั แล้วนั่งให้ทวั่ บริเวณห้อง
2. ผู้นากจิ กรรมชแ้ี จงวา่ ผู้นาจะให้ทมี งานนั่งเก้าอี้ไว้ 1 ตัว
3. เม่ือเร่ิมกจิ กรรม ผู้นากิจกรรมจะสง่ั ให้ทีมงานของผู้นาลกุ จากเกา้ อี้ เพื่อใหเ้ ก้าอี้
ว่างลง
4. ผู้นาชี้แจงต่อว่า เก้าอี้ท่ีวางลงจะต้องมีคนน่ัง ถ้าว่างลง ผู้นากิจกรรมจะไปน่ัง
เกา้ อ้ที วี่ าง
5. ผู้เล่นกิจกรรมทุกคนจะต้องช่วยกันนั่งเก้าอ้ีอย่าให้ผู้นากิจกรรมนั่งเก้าอี้ตัวท่ีว่าง
ได้
6. ถา้ ผนู้ ากิจกรรมสามารถน่ังเก้าอ้ีได้ แสดงว่าผเู้ ล่นกิจกรรมจะเปน็ ผ้แู พ้
7. ถ้าในรอบ 1-3 ผู้นากิจกรรมสามารถน่ังเก้าอี้ได้ ผู้นากิจกรรมลองให้ผู้เล่น
กจิ กรรมลองวางแผนกนั สกั 3 นาที และเริม่ กจิ กรรมใหม่อีกครง้ั
8. ถ้าในรอบ 4-6 ผู้นากิจกรรมยังสามารถน่ังเก้าอ้ีได้อีก ผู้นากิจกรรมลองให้ผู้เล่น
กจิ กรรมลองวางแผนกนั สกั 5 นาที และเร่ิมกิจกรรมใหม่อกี คร้ัง
9. ผ้นู ากจิ กรรมถามผู้ร่วมกจิ กรรมได้อะไรจากการเลน่ กิจกรรม
10. ผู้นากิจกรรมสรปุ วัตถปุ ระสงค์ของกิจกรรม
การพฒั นาตนเองเพอื่ สร้างมนุษยสมั พันธท์ างธรุ กจิ 123
แบบฝึกหดั บทท่ี 3
คาชี้แจง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพิจารณาว่าข้อความน้ันถูกหรือผิด ถ้าถูกให้ทา
เครื่องหมาย √ ถา้ ผดิ ใหท้ าเคร่อื งหมาย X ลงหน้าขอ้ ความในแตล่ ะข้อ
1. การเป็นผู้มีใจทเี่ บกิ บานต้องฝึกมองโลกในแง่ดีจะทาให้เกิดความสบายใจสุขใจ ถึงแม้
มีเร่อื งรา้ ยแรงขนาดไหนก็เหน็ วา่ เปน็ เร่อื งปกตสิ ามารถแก้ไขได้
2. การไตร่ตรองเป็นการคิดโดยอาศัยเหตุผลบนพ้ืนฐานความจริงและความถูกต้อง
เพ่ือนามาเป็นข้อมูลในการตดั สนิ ใจ
3. การตรงต่อเวลามีความสาคัญมาก ทุกคร้ังท่ีท่านตรงต่อเวลาแสดงถึงความพร้อม
ของรา่ งกายและจติ ใจในการทาภารกจิ ขา้ งหนา้ โดยไมท่ าใหผ้ ู้อื่นต้องรอคอยและเกิดความเสียหาย
4. การเป็นผู้สังเกตน้ันจะทาให้เป็นผู้ที่ฉลาด.รอบรู้.แก้ปัญหาได้จากสิ่งท่ีเคยได้จดจา
ที่กอ่ ใหเ้ กดิ เกรด็ ความรู้
5. การพูดแต่ความจริงเป็นการแสดงถึงความจริงใจของผู้พูด.ดังน้ันเราจึงควรความจริง
ทกุ เรอื่ งกบั ทุกคน
6. การมุ่งทางานของตนให้สาเร็จก่อน ในเวลาเดียวกันเพื่อน ๆ กาลังทางานให้ส่วนรวม
อยูโ่ ดยทง่ี านสว่ นตัวของเพื่อนกย็ งั ไม่เสร็จถือวา่ เพ่ือนเป็นคนขาดความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีของตนเอง
และเราคอื ผทู้ มี่ คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ งานสูงกว่าเพ่ือน
7. เมื่อมขี ้อขดั แย้งกับผูบ้ ังคับบัญชา ไม่ควรโต้แยง้ หรอื แสดงอาการโกรธ
8. การนินทาผู้บังคับบัญชาเป็นเร่ืองปกติท่ีผู้ใต้บังคับบัญชาเกือบทุกคนต้องนินทา
เพราะใคร ๆ กน็ ินทากันท้ังน้ัน
9. การทาตัวเหนือผู้อ่ืนทาให้บุคคลท่ีถูกมองว่าต่ากว่าไม่อยากท่ีจะคบค้าสมาคมด้วย
จงึ ควรทาตัวใหเ้ สมอกันกบั เพือ่ น เพอื่ ใหส้ ามารถไปไหนมาไหนได้อย่างมคี วามสขุ
10. การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์มีความสาคัญกับตนเองและบุคคล
รอบข้าง
124 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ
คาช้ีแจง จงตอบคาถามต่อไปน้ี
1. หลกั เบื้องตน้ ในการพัฒนาและปรับปรงุ ตนเองมีอะไรบ้าง
2. แนวคิดในการพัฒนาตนเอง เพ่ือให้ตนเองและผู้อ่ืนมีความสุข มีวิธีการพัฒนาตนเอง
อะไรบ้าง ให้บอกมาเปน็ ข้อ ๆ
3. การปรับปรุงตนเองในการอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข ประกอบด้วย
อะไรบ้าง ให้บอกมาเป็นข้อ ๆ
4. การพัฒนาบคุ ลกิ ภาพภายนอกตอ้ งปรบั ปรงุ ด้านต่าง ๆ กี่ดา้ น มีอะไรบา้ ง
5. ขอ้ แนะนาในการฝกึ ฝนตนเองใหเ้ ปน็ นกั พูดทด่ี ี มีอะไรบ้าง
6. การพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน มีวิธีการพัฒนาตนเอง
อยา่ งไร จงอธบิ ายมาเปน็ ขอ้ ๆ
7. การพัฒนาตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกค้า มีวิธีการพัฒนาตนเองอย่างไร
จงอธบิ ายมาเปน็ ข้อ ๆ
8. ท่านมวี ธิ ีการดูแลรกั ษาสุขภาพและรา่ งกายของท่านในชีวิตประจาวัน ให้มีสุขภาพท่ีดี
และสะอาดอยู่เสมออยา่ งไร เพอื่ ใชใ้ นการสร้างมนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ อธบิ ายมาพอเข้าใจ
9. การดูแลสขุ ภาพมีความสาคัญตอ่ การประกอบธุรกจิ อยา่ งไร จงอธิบาย
10. ท่านคิดว่าการพัฒนาบุคลิกภาพมีประโยชน์ต่อการนาไปประยุกต์ใช้ในการประกอบ
ธรุ กิจอยา่ งไร จงอธิบาย
บทท่ี 4
มนษุ ยสมั พันธก์ บั การจูงใจในการทางาน
พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว
ในพธิ พี ระราชทานปริญญาบัตรแก่ผูส้ าเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วนั ที่ 17 กรกฎาคม 2530
ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
" . . . ห ลั ก ก า ร ส า คั ญ ป ร ะ ก า ร ห นึ่ ง ที่ จ ะ ส่ ง เ ส ริ ม ใ ห้ ป ฏิ บั ติ ง า น ส า เ ร็ จ แ ล ะ
เจริญก้าวหน้าได้แท้จริง คือการไม่ทาตัวทาความคิดให้คับแคบ หากให้มีเมตตาและไมตรียินดี
ประสานสัมพันธ์กับผูอ้ ่นื โดยเฉพาะผ้รู ่วมงานอยา่ งจริงใจ..."
126 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ
บุคคลทุกคนมักต้องมีกลุ่มมีพวก มีกลุ่ม เช่น ครอบครัว เพ่ือนฝูง ทีมงาน สมาคม ชมรม
ผู้ทางานในหน่วยงานเดียวกัน หรือแม้กระทั่งการทางานในองค์กรธุรกิจก็จัดว่าเป็นกลุ่มหรือพวก
ประเภทหน่ึง ประกอบด้วยคนจานวนมากมาอยู่ร่วมกันและทางานร่วมกันในบทบาทหน้าท่ีแตกต่าง
กันซึ่งแต่ละคนมักมีเพื่อนฝูงร่วมงานท้ังท่ีอยู่ในระดับที่เหนือกว่า หรือเท่ากัน รวมถึงเพื่อนร่วมงาน
ทต่ี ่ากว่า ซึง่ ไมว่ า่ จะอยใู่ นตาแหน่งใด บุคคลเหล่าน้ีต้องทางานเก่ียวข้องและติดต่อสัมพันธ์กัน ถ้าหาก
บรรยากาศของความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดีก็จะส่งผลให้บุคคลน้ันเป็นสุข เน่ืองจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ความสุข ส่วนใหญ่ของชีวิตจึงมักข้ึนอยู่กับการอยู่ร่วมกันอย่างไรให้มีความสุข ทั้งในแง่การอยู่ร่วมกับ
ผู้อ่ืนและทางานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น.เพ่ือให้มนุษย์มีความสุขในการทางานและอยู่ร่วมกับผู้อื่น
มนุษย์จึงควรเรียนรู้และปรับปรุงตนเองในเร่ืองจิตวิทยาของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่ว มงาน
อนั ไดแ้ กม่ นษุ ยสมั พนั ธ์ในองค์กรนั่นเอง
ในบทน้ีจะขอกล่าวถึงการสร้างความสัมพันธ์ในหน่วยงานหรือองค์กรแล้วก่อให้เกิด
ประโยชน์ส่งผลต่อการจูงใจในการทางานให้กับหน่วยงาน .จะเห็นได้ว่าม นุษยสัมพันธ์ใน องค์กร
มีองค์ประกอบ เป็น 3.ประการ คือ การรู้จักตน การเข้าใจเพ่ือนร่วมงานและสิ่งแวดล้อมในการ
ทางานท่ีดี ในเรื่องของการรู้จักตนน้ัน บุคคลควรต้องวิเคราะห์ตนเพื่อให้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
ทั้งลักษณะที่ดีและไม่ดี แล้วปรับปรุงตนเองในส่วนท่ีเป็นลักษณะที่ไม่ดี ซ่ึงอาจสร้างปัญหา
และอุปสรรคในการทางานและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่ืน นอกจากจะเป็นแนวทางให้สามารถ
วิเคราะห์เพ่ือนร่วมงานและเข้าใจเพื่อนร่วมงานให้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยยอมรับความแตกต่างระหว่าง
บคุ คลและพัฒนาตนใหเ้ ขา้ กับเพือ่ นรว่ มงานได้ดี ส่วนความเข้าใจในเรอื่ งของสิ่งแวดล้อมในท่ีทางานดี
จะเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลวิเคราะห์ส่ิงแวดล้อมในท่ีทางานแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นแนวทาง
พัฒนาตนให้เข้ากับที่ทางานได้ด้วย ซึ่งท้ังหมดดังกล่าวน้ันจะส่งผลต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร
ไปในทางที่ดีก็จะทาให้บุคคลเป็นสุข เพื่อนร่วมงานเป็นสุขและส่ิงแวดล้อมในท่ีทางานดี ซึ่งหมายถึง
ประสิทธิภาพท่ีดีขององค์กรในการขับเคล่ือนและดาเนินอย่างเป็นระเบียบแบบแผนที่ดี ส่งผลให้
องค์กรมีความเจริญก้าวหน้าและมีกาไรจากการดาเนินกิจการและประสบความสาเร็จในการ
ดาเนินการของทกุ องค์กร
การจงู ใจในการทางาน
การทางานทางธุรกิจหรืองานอุตสาหกรรมเป็นงานท่ีจะต้องคานึงถึงผลได้ผลเสีย กาไร
ขาดทุน ทั้งการดาเนินงานยังเต็มไปด้วยการแข่งขันทุกเรื่องไม่ว่าจะด้านคุณภาพของสินค้าและ
บริการการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การตลาด รวมไปถึงการควบคุมต้นทุนการผลิตและอ่ืน.ๆ
ท่ีเก่ียวข้องแต่ปัญหาที่ต้องประสบกันมาทุกยุคทุกสมัย คือการทางานของคนในองค์กร ซ่ึงจัดเป็น
ทรัพยากรบุคคลที่มีค่าขององค์กร ทาอย่างไรจะให้ทรัพยากรบุคคลเหล่านั้นทางานอย่างเต็มท่ี
เต็มความสามารถเพ่ือให้ได้งานทม่ี ีคณุ ภาพดีทสี่ ุดและด้วยปริมาณมากท่ีสุด ผู้บริหารองค์กรหลายคน
มนุษยสมั พันธ์กบั การจงู ใจในการทางาน 127
อาจคิดถึงกลยุทธ์การให้รางวัลและการลงโทษ ผู้บริหารบางคนคิดถึงหลักมนุษยสัมพันธ์ให้อยู่กันด้วย
ความรัก ความเข้าใจ แล้วพลังการทางานก็จะตามมา และมีผู้บริหารอีกส่วนหนึ่งท่ีคิดถึงคากล่าวว่า
“ชาติจะดีไม่ต้องทาสีก็แดง”.คือคนดีไม่ว่าอย่างไรก็ทางานดีสม่าเสมอ เพราะมีสิ่งผลักดันในการ
ทางานที่มาจากภายในตัวของบุคคลผู้นั้นเอง แต่สาหรับบางคนที่คิดรวยทางลัด หลอกคนมากักขัง
หน่วงเหน่ียวใช้กาลังบังคับให้ทางาน วิธีน้ันน่าจะได้ช่ือว่ามิได้ใช้กลยุทธ์ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
แตอ่ ยา่ งใด ในการเสริมสร้างคนให้ทางาน ทง้ั ยังเปน็ การผดิ ศีลธรรมและผิดกฎหมายอกี ด้วย
การเสริมสร้างหลักมนุษยสัมพันธ์ให้คนทางานได้เป็นอย่างดีนั้น นอกจากทาให้เกิด
พฤติกรรมการทางานท่ีมุ่งเพิ่มปริมาณและคุณภาพแล้ว ยังเน้นบรรยากาศที่ผู้ปฏิบัติมีความสุขความ
พอใจและเต็มใจลงทุนลงแรง เพื่อให้ผลงานบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ การทางานในลักษณะ
ดังกล่าวคือ การจูงใจในการทางาน(Work.Motivation).ซ่ึงผู้ทางานธุรกิจควรให้ความสาคัญ
และสนใจศึกษา เพื่อพัฒนางานให้เจริญก้าวหน้า ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงความหมายของการจูงใจ ความเป็นมา
และความสาคญั ของการจูงใจในการทางาน ลักษณะและท่ีมาของแรงจูงใจ ทฤษฎีและการศึกษาเร่ือง
การจงู ใจและการประยกุ ตค์ วามรู้เร่ืองการจูงใจไปใชใ้ นงานธรุ กิจ
ในการดาเนินธุรกิจนั้น การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นส่ิงจาเป็นในการดาเนินงาน
เพราะว่าภายในองค์กรต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ ต้องพึ่งพาอาศัยซ่ึงกันและกันเพ่ือให้
กิจกรรมตา่ ง ๆ สาเรจ็ ไปด้วยดี
ดังน้ัน ในการดาเนินธุรกิจ การจูงในการทางานถือได้ว่าเป็นส่วนสาคัญอย่างหน่ึงที่เป็น
ตัวช่วยทาให้องค์กรประสบความสาเร็จ เม่ือองค์กรสามารถจูงใจพนักงานได้ก็จะทาให้พนักงาน
ทางานอยา่ งเต็มที่ ย่อมสง่ ผลให้ผลงานมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับ อีกทั้งยังส่งผลให้องค์กร
ไดง้ านทม่ี คี ุณภาพและประสบความสาเรจ็
1. ความหมายของการจงู ใจ
ได้มนี ักวิชาการและผู้รไู้ ด้ใหค้ วามหมายของการจูงใจไว้ดงั นี้
พูลสุข สังข์รุ่ง (2550:144) กล่าวว่า การจูงใจเป็นแรงผลักดันจากภายในของบุคคล
ให้เกิดพฤติกรรมท่ีมีเป้าหมายและต่อเน่ือง เช่น คนท่ีต้องการสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคง
จะพยายามทางานให้มากขน้ึ ทางานพิเศษที่ก่อรายได้มากขน้ึ โดยไม่รจู้ กั เหน็ดเหน่ือย นักศึกษาท่ีขยัน
เรียนทุกวันเพราะต้องการทั้งความรู้และผลการเรียนท่ีพอใจ ลูกที่พยายามเรียนหนังสือให้ดีที่สุด
เพอื่ จะไดร้ ับรางวลั จากพอ่ แม่ เปน็ ตน้
ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ (2551:79) ได้ให้ความหมาย การจูงใจ หมายถึง กระบวนการ
ตา่ งๆ ท่ีร่างกายและจิตใจถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าทาให้เกิดการแสดงออกของพฤติกรรม เพ่ือที่จะบรรลุ
จดุ มงุ่ หมายทตี่ ้องการ
ในขณะท่ี พิบูล ทีปะปาล.(2555:134).ได้ให้คาจากัดความ แรงจูงใจ หมายถึง
แรงผลักดันภายในบุคคล อันเกิดจากกลไกลภายในร่างกายได้รับการกระตุ้น จนกลายเป็นเหตุจูงใจ
ให้บุคคลนนั้ แสดงพฤตกิ รรมออกมา โดยมที ศิ ทางมุ่งไปสู่เปา้ หมายอยา่ งใดอย่างหน่ึง
128 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ
นอกจากนี้ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี (2557:140) ได้คานิยาม แรงจูงใจ คือ แรงปรารถนา
ภายในท่มี อี ทิ ธิพลต่อบุคคล อันเป็นสาเหตุให้บุคคลแสดงออกซึ่งพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา
ในสถานการณ์ใดสถานการณห์ น่ึงเพอ่ื บรรลคุ วามต้องการท่ียงั ไม่ได้รบั การตอบสนอง
จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า การจูงใจ คือ กระบวนการท่ีบุคคลถูกกระตุ้น
จากสิ่งเร้า โดยจงใจให้กระทาหรือดิ้นรน เพือ่ ให้บรรลจุ ดุ ประสงค์บางอย่าง
จากความหมายการจูงใจจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจเป็นพฤติกรรมที่มิใช่
เป็นเพียงการตอบสนองสิ่งเร้าปกติธรรมดา ลักษณะของการตอบสนองสิ่งเร้าปกติธรรมดา
เช่น การขานรบั เมอ่ื ได้ยนิ เสียงเรียก การหันไปมองเมื่อมีคนเดินผ่านหน้า การยกหูโทรศัพท์เมื่อมีกร่ิง
ดังข้นึ ตวั อยา่ งท่ยี กมานี้เป็นการตอบสนองส่ิงเร้าที่ยังไม่จัดว่าเป็นการจูงใจ ส่วนพฤติกรรมท่ีเกิดจาก
การจูงใจพนกั งานนั้นจะเปน็ แนวคดิ หนึ่งของผ้บู ริหารองคก์ ร อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในระบบการทางาน
เพ่ือให้พนักงานเกิดการกระตุ้น ส่งผลให้องค์กรได้ผลงานที่ดีมีคุณภาพ ตัวอย่างเช่น การที่เจ้าหน้าที่
บัญชีพยายามทาบญั ชีให้เรียบร้อย เพ่ือต้องการคาชมจากหัวหน้างาน การท่ีพนักงานขายต้ังใจมาทางาน
สมา่ เสมอไมข่ าดงานและต้ังใจทายอดขาย เพราะหวังจะได้รับความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษ การที่
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลต้ังใจทางานช้ินหนึ่งเป็นอย่างดี เพราะตระหนักในศักดิ์ศรีของตัวเอง เป็นต้น
ตัวอย่าง 3.ประการน้ี จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมมีความเข้มข้นมีทิศทาง มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการไปสู่
จุดใด จึงมิใช่พฤติกรรมท่ัว.ๆ ไปที่เกิดจากการตอบสนองสิ่งเร้าธรรมดา นอกจากน้ันพฤติกรรม
การจูงใจที่เกิดข้ึน ยังเป็นผลเน่ืองมาจากแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นที่เรียกว่า แรงจูงใจ ซ่ึงจะได้
กล่าวโดยละเอียดต่อไป
2. ความเปน็ มาของการจงู ใจในการทางาน
นิติพน ภูตะโชติ (2556:187) การใช้กลยุทธ์เพ่ือกระตุ้นการปฏิบัติงานของผู้ร่วมงาน
ใหไ้ ปสูเ่ ปา้ หมายท่ตี อ้ งการนน้ั มิใชข่ องใหมท่ ่เี พงิ่ เริ่มเกดิ ข้ึนในเร็ว.ๆ นี้ ในสมัยโบราณก็มีการใช้วิธีการ
ดังกล่าวทั้งกับมนุษย์ด้วยกัน และกับสัตว์ท่ีจัดเป็นผู้ร่วมงานด้วยเช่นกัน กลยุทธ์ที่นามาใช้
บางประการเปน็ ไปโดยทาใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ิ เกิดความพอใจสมัครใจท่ีจะทา กลยทุ ธบ์ างประการแม้จะได้ผล
ในการสร้างแรงกระตุ้นใหท้ างานไดม้ ากขึ้น แต่ผู้ปฏิบัติอาจมีเจตคติทางลบต่อผู้บริหาร เพราะถูกเอา
รดั เอาเปรยี บเกนิ ไปหรอื บคุ คลภายนอกอาจมองโดยไมย่ อมรับนักเพราะเอารัดเอาเปรียบกนั
เฟรเดอริก.ดับบิว.เทเลอร์.(Frederick W..Taylor).ปีคริสต์ศักราช 1856–1915
วิศวกรชาวอเมริกา ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของการบริหารแบบวิทยาศาสตร์ เขาได้ทาการศึกษา
ทฤษฎีการจูงใจเกี่ยวกับระบบการจ่ายค่าตอบแทนแก่คนงานในอัตราที่สามารถทาผลผลิตได้มาก
ดังน้ัน เขาจึงเสนอระบบการจ่ายค่าตอบแทนต่อหน่วยของผลผลิต เป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทน
ต่อชนิ้ (A Price Rate System) ซึ่งระบบนีจ้ ะมีการจา่ ยผลตอบแทนเป็น 2 แบบคอื
1. การจ่ายค่าตอบแทนตามมาตรฐานที่กาหนดไว้ เป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่
คนงานที่ทางานและมีผลผลิตตามมาตรฐานที่ได้กาหนดไว้ ถ้าพนักงานสามารถทางานได้ตาม
มาตรฐานที่กาหนดก็จะได้รับค่าตอบแทนตามระบบนี้
มนุษยสมั พันธ์กับการจงู ใจในการทางาน 129
2. การจ่ายค่าตอบแทนสูงกว่ามาตรฐาน คนงานจะได้รับค่าตอบแทนตามจานวน
ผลผลิตที่สามารถทาได้ คือจะคิดอัตราค่าตอบแทนต่อหน่วยของการผลิต ถ้าคนงานผู้ใดสามารถทา
ผลผลิตได้จานวนมากก็จะได้รับค่าตอบแทนมาก แต่ถ้าทาผลผลิตได้น้อยจะได้รับค่าตอบแทนน้อย
ตามหนว่ ยหรือตามผลงานของคนงานแตล่ ะคน
จากการท่ี Taylor.นามาหลักการจูงใจมาแก้ไขปัญหาน้ี โดยการจ่ายค่าตอบแทน
ตามชนิ้ งาน ไม่เอารัดเอาเปรียบและยงั นกึ ถงึ จติ ใจของคนงาน.ใหค้ วามยตุ ิธรรม.ทาให้คนงานเหล่าน้ัน
รสู้ กึ ดีขน้ึ และหันมาทางานด้วยความเต็มใจและไม่หลบงาน.ในการทางานมากและได้รับผลตอบแทน
ท่ีมาก.ย่อมส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มตามไปด้วย.จึงกล่าวได้ว่าการที่.Taylor.นาวิธีการจูงใจมาแก้ปัญหา
ดังกล่าว นั่นย่อมต้องนึกถึงความถูกต้อง ความเห็นใจ ความเข้าใจ ซึ่งก็คือความรู้สึกที่ดีต่อคนงาน
ก็คือมนษุ ยสมั พันธ์ทเ่ี กดิ จากการทางานนนั้ เอง
3. ความสาคัญของการจูงใจในการทางาน
การทาความเข้าใจเรื่องความสาคัญของการจู งใจในการทางานอาจทาได้
โดยตั้งปัญหาถาม-ตอบ เก่ียวกับพฤติกรรมของคนบางคนท่ีเราพบเห็นในชีวิตประจาวัน ตัวอย่าง
รายการปัญหา เช่น เพราะอะไรนักวิทยาศาสตร์บางคนจึงใช้เวลามากมายเหลือเกินอยู่ในห้องทดลอง
บางคนใชเ้ วลาส่วนใหญเ่ กอื บตลอดชวี ิตของเขาทเี ดยี วเพื่อการทดลองน้นั .ๆ ก็เพราะเกิดจากแรงจูงใจ
ทัง้ ส้ิน เพราะพฤติกรรมเหล่านั้นมสี ่ิงผลกั ดนั หรอื มีแรงจูงใจให้เกิดขึ้น คือ เป็นพฤติกรรมที่มีการจูงใจ
พฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจจะเป็นพฤติกรรมที่มีความเข้มข้น จริงจัง ลงทุนลงแรง กระทาในส่ิงน้ัน
เพ่ือให้ผลงานหรือผลการกระทาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ.ผู้เขียนจึงขอกล่าวสรุปเป็นข้อ ๆ
ถงึ ความสาคัญของการจงู ใจในการทางานไดด้ ังนี้
3.1 การจูงใจชว่ ยเพิ่มพลังในการทางานใหบ้ คุ คล
พลัง (Energy).เป็นแรงขับเคลื่อนท่ีสาคัญต่อการกระทาหรือพฤติกรรมของ
มนุษย์ ในการทางานใด.ๆ ถ้าบุคคลมีแรงจูงใจในการทางานสูง ย่อมทาให้ขยันขันแข็ง กระตือรือร้น
กระทาให้สาเรจ็ ซึ่งตรงกันข้ามกบั บคุ คลทท่ี างานประเภท.“เช้าชาม เย็นชาม”.ที่ทางานเพียงเพื่อให้
ผ่านไปวัน.ๆ ดังนั้น ในการดาเนินธุรกิจนั้นต้องมีการจูงใจบุคลากร เพื่อให้องค์กรธุรกิจสามารถ
ดาเนินไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและเพอ่ื ให้บคุ ลากรมคี วามมงุ่ ม่ันท่จี ะทางานออกมาให้ดีท่ีสุดและส่งผล
ให้องคก์ รประสบความสาเร็จ
3.2 การจูงใจชว่ ยเพิ่มความพยายามในการทางานใหบ้ คุ คล
ความพยายาม.(Perseverance).ทาให้บุคคลในองค์กรมีความมานะ อดทน
บากบั่น คิดหาวธิ ีการนาความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของตนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่องาน
ให้มากท่ีสุด เพ่ือให้บุคลากรไม่ท้อถอยหรือละความพยายามง่าย.ๆ แม้งานจะมีอุปสรรคขัดขวาง
และเมื่องานได้รบั ผลสาเร็จด้วยดีก็มักคิดหาวธิ กี ารปรับปรุงพัฒนาให้ดขี ึน้ เร่ือย ๆ
130 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ
3.3 การจงู ใจช่วยใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงรปู แบบการทางานของบุคคล
การเปลี่ยนแปลง.(Variability).รูปแบบการทางานหรือวิธีทางานในบางครั้ง
ก่อให้เกิดการค้นพบช่องทางดาเนินงานที่ดีกว่า หรือประสบผลสาเร็จมากกว่า นักจิตวิทยาบางคน
เชื่อว่าการเปล่ียนแปลงเป็นเครื่องหมายของความเจริญก้าวหน้าของบุคคล แสดงให้เห็นว่าบุคคล
กาลังแสวงหาการเรียนรู้ส่ิงใหม่.ๆ ให้ชีวิตบุคคลท่ีมีแรงจูงใจในการทางานสูง เม่ือด้ินรนเพื่อจะบรรลุ
วัตถุประสงค์ใด.ๆ หากไม่สาเร็จบุคคลก็มักพยายามค้นหาส่ิงผิดพลาดและพยายามแก้ไข ให้ดีขึ้น
ในทุกวิถีทาง ซึ่งทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงการทางานจนในที่สุด ทาให้ค้นพบแนวทางท่ีเหมาะสม
ซง่ึ อาจจะต่างไปจากแนวเดมิ
3.4 การจูงใจในการทางานช่วยเสริมสร้างคุณค่าของความเป็นคนที่สมบูรณ์
ให้บคุ คล
บุคคลที่มีแรงจูงใจในการทางานจะเป็นบุคคลท่ีมุ่งมั่นทางานให้เกิดความ
เจรญิ ก้าวหน้า และการมุ่งมน่ั ทางานทต่ี นรับผดิ ชอบให้เจริญกา้ วหนา้ จัดว่าบุคคลผู้น้นั มีจรรยาบรรณ
ในการทางาน (Work.Ethics).ผู้มีจรรยาบรรณในการทางานจะเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ ม่ันคง
ในหน้าที่ มีวินัยในการทางาน ซึ่งลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ ผู้มีลักษณะดังกล่าวน้ี
มกั ไม่มีเวลาเหลอื พอทีจ่ ะคดิ และทาในส่งิ ท่ีไม่ดี
จากท่ีกล่าวมาท้ัง 4.ประการ จะเห็นได้ว่าการจูงใจเป็นเคร่ืองมือในการสร้าง
มนุษยสมั พันธ์กับบคุ ลากรภายในองค์กร การที่องค์กรใดมีทรัพยากรบุคคลที่มีแรงจูงใจในการทางาน
สูง ย่อมส่งผลให้องค์กรน้ัน.ๆ บรรลุเป้าหมายที่ต้องการเจริญก้าวหน้า เพราะพนักงานดังกล่าว
จะทุ่มเทพลังงานและความสามารถอย่างเต็มท่ี โดยไม่รู้จักเหน็ดเหน่ือย เพื่อให้ผลงานสาเร็จตาม
นโยบายและเป้าหมายของงาน ซ่ึงจาเป็นต้องอาศัยการสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีกับบุคลากรในองค์กร
นอกจากน้ันยังมีบุคคลอีกส่วนหนึ่งซ่ึงเช่ือว่าการสร้างแรงจูงใจให้บุคคลมุ่งม่ันทางานให้เจริญก้าวหน้า
ยังช่วยเสรมิ สร้างความเปน็ คนท่สี มบรู ณ์ใหแ้ ก่ผู้น้นั ชว่ ยให้ใชช้ ีวิตอย่างมีความหมายและช่วยสร้างคน
ให้ดไี ด้ เพราะการทางานเปน็ หัวใจสาคญั สว่ นหนง่ึ ของชีวิตมนษุ ย์ทาให้ชวี ติ มีคณุ คา่
4. ลกั ษณะและทม่ี าของแรงจูงใจ
แรงจูงใจ (Motives).เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการจูงใจ จากตัวอย่างพฤติกรรม
การจูงใจในการทางานท่ีได้กล่าวไว้ในหัวข้อที่ว่าด้วยความหมายของการจูงใจ ในเรื่องพฤติ กรรม
การทางานของเจ้าหน้าท่ีบัญชี พนักงานขาย และผู้จัดการฝ่ายบุคคล จากตัวอย่างดังกล่าว ซึ่งแสดง
ให้เห็นว่าความต้องการคาชม ทาให้เจ้าหน้าท่ีบัญชีตั้งใจทาบัญชีให้เรียบร้อย ความหวังท่ีจะได้รับความดี
ความชอบพิเศษ ทาให้พนักงานขายมาทางานสม่าเสมอและตั้งใจทายอดขาย ความรักศักดิ์ศรี
ในตัวเองของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ทาให้ต้ังใจทางานเป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมการจูงใจทางธุรกิจ
มิใช่อยู่.ๆ จะเกิดขึ้นมาเอง ต้องมีสิ่งจูงใจ สิ่งท่ีมาจูงใจนั้นเรียกว่า.“แรงจูงใจ”.ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นหรือ
แรงผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายปลายทาง และเพ่ือให้งานออกมาดีเม่ืองาน
มนุษยสมั พันธก์ บั การจูงใจในการทางาน 131
ออกมาดีก็จะส่งผลให้องค์กร มีงานที่มีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะประสบความสาเร็จในการดาเนิน
ธรุ กจิ
มแี นวคดิ และคาอธิบายมากมายที่กล่าวถึงลักษณะและท่ีมาของแรงจูงใจ แนวคิดและ
คาอธิบายดังกล่าวแม้จะพูดถึงส่ิงเดียวกันแต่มีจุดเน้นที่ต่างกันไป ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงลักษณะและที่มา
ของแรงจงู ใจทน่ี า่ จะเป็นประโยชนแ์ ละเข้าใจง่ายสาหรบั ผู้ประกอบการธรุ กจิ และองค์กรทัว่ ไป
4.1 ลกั ษณะของแรงจูงใจ แรงจงู ใจมี 2 ลักษณะ ดังนี้
4.1.1 แรงจงู ใจภายใน (Intrinsic Motives)
แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งผลักดันจากภายในตัวบุคคล ซ่ึงอาจจะเป็นเจตคติ
ความคิดเห็น ความสนใจ ความต้ังใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการ เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ
ดงั กลา่ วเหล่าน้ี มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมค่อนขา้ งถาวร เช่น คนงานที่เห็นคุณค่าของงาน มองว่าองค์กร
คือสถานที่ให้ชีวิตแก่เขาและครอบครัว เขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์กร กระทาการต่าง.ๆ ให้องค์กร
เจริญก้าวหน้า หรือในกรณีที่บ้านเมืองประสบปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงเวลาของเศรษฐกิจขาลง
องคก์ รจานวนมากอยูใ่ นภาวะขาดทุน ไม่มีเงินจ่ายค่าตอบแทน แต่ด้วยความผูกพันเห็นใจกันและกัน
ท้ังเจ้าของกิจการและพนักงานต่างร่วมกันค้าขายอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น แซนวิช.ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
เพียงเพื่อให้มีรายได้ประทังชีวิตกันไปทั้งผู้บริหารและลูกน้อง ในขณะเดียวกันในภาวะดังกล่าวน้ีจะเห็น
ว่าพนักงานหลายรายที่ไม่ท้ิงเจ้านาย ทั้งเต็มใจไปทางานวันหยุด โดยไม่มีค่าตอบแทน ถ้าการกระทา
ดังกล่าวเป็นไปโดยความรู้สึกหรือเจตคติท่ีดีต่อเจ้าของกิจการ หรือด้วยความรับผิดชอบในฐานะ
สมาชิกคนหน่ึงขององค์กร มิใช่เพราะเกรงจะถูกไล่ออกหรือไม่มีท่ีไป ก็กล่าวได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดจาก
แรงจงู ใจภายใน
4.1.2 แรงจงู ใจภายนอก (Extrinsic Motives)
แรงจูงใจภายนอกเป็นสิ่งผลักดันภายนอกตัวบุคคลที่มากระตุ้นให้เกิด
พฤติกรรม อาจจะเปน็ การไดร้ บั รางวลั เกียรตยิ ศชอื่ เสยี ง คาชม การได้รับการยอมรับยกย่อง เป็นต้น
แรงจูงใจนี้ไม่คงทนถาวรต่อพฤติกรรม บุคคลจะแสดงพฤติกรรมเพื่อตอบสนองส่ิงจูงใจดังกล่าว
เฉพาะในกรณีท่ีต้องการรางวัล ต้องการเกียรติยศ.ชื่อเสียง คาชม การยกย่อง การได้รับการยอมรับ
เป็นต้น ตัวอย่างแรงจูงใจภายนอกท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม เช่น การที่คนงานทางานเพียงเพื่อแลก
กับค่าตอบแทนหรือเงินเดือน การแสดงความขยันต้ังใจทางานเพียงเพื่อให้หัวหน้างานมองเห็นแล้ว
ได้ความดคี วามชอบ เป็นต้น
4.2 ท่ีมาของแรงจูงใจ
แรงจูงใจมีที่มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น อาจจะเน่ืองมาจากความต้องการ
หรือแรงขับ หรือสิ่งเร้าใจ หรือภาวะการณ์ตื่นตัวในบุคคลหรืออาจจะเน่ืองมาจากการคาดหวัง
หรือบางคร้ังบางคราวก็อาจเป็นแรงจูงใจไร้สานึก คือ เน่ืองมาจากการเก็บกดซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว
จะเห็นได้ว่าการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในคนเราน้ันไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เนื่องจากพฤติกรรมของ
มนุษย์ มีความซับซ้อน แรงจูงใจอย่างเดียวกันอาจทาให้เกิดพฤติกรรมต่างกัน แรงจูงใจต่างกันอาจทาให้
132 มนุษยสมั พันธท์ างธุรกจิ
เกิดพฤติกรรมเหมือนกัน พฤติกรรมอย่างหน่ึงอาจเกิดจากแรงจูงใจหลายอย่างและในบุคคล
ตา่ งสังคมก็มกั มแี รงจงู ใจตา่ งกนั เนื่องจากสังคมทีต่ า่ งกัน มกั ทาให้เกิดแรงจงู ใจต่างกนั
ทฤษฎกี ารจงู ใจ
นิติพล ภูตะโชติ (2556:187-212) มีนักวิชาการท่ีมีช่ือเสียงหลายท่านได้ทาการศึกษา
เก่ียวกับทฤษฎีการจูงใจ ซึ่งแต่ละทฤษฎีก็มีลักษณะของการจูงใจท่ีแตกต่างกันไป ประกอบด้วย 10
ทฤษฎี ดังน้ี ทฤษฎี 2 ปัจจัย (Two.Factors.Theory), ทฤษฎีลาดับข้ันความต้องการของมาสโลว์
(Maslow’s Hierachy.of.Needs), ทฤษฎีความต้องการ 3 ประเภท (Three.Needs.Theory),
ทฤษฎี.ERG.(ERG.Theory),.ทฤษฎีการจูงใจของ Dauglas.McGregor, ทฤษฎีความคาดหวัง
(Expectancy Theory), ทฤษฎีความเสมอภาค (Equity Theory, ทฤษฎีการจูงใจของ Lyman W.
Porter, ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory),.และทฤษฎีการกาหนดเป้าหมาย (Goal
Setting.Theory) ดังน้ัน ผู้บริหารองค์การจะต้องรู้จักเลือกและนาไปประยุกต์ใช้เพ่ือให้เกิดความ
เหมาะสมกับสถานการณแ์ ละสามารถสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ใหเ้ กิดขึ้นในภายองค์การได้ดังน้ี
1. ทฤษฎี 2.ปัจจัย (Two.Factors.Theory) ของเฟรเดอริก เฮอร์ซเบอร์ก
(Frederick Herzberg)
เฟรเดอร์ริก.เฮอร์ซเบอร์ก.(Frederick..Herzberg). เป็นนักจิตวิทยา.ได้กล่าวว่า
ทฤษฎี 2 ปัจจัย (Two.Factors.Theory) มีปัจจัยที่สาคัญ 2 อย่างที่ทาให้คนมีความพอใจและ
ไมพ่ อใจในการทางาน จากการที่เขาได้ทาการศึกษาและสารวจความคิดเห็นของนักบัญชีและวิศวกร
จานวน 200 คน ในโรงงานอุตสาหกรรม 11 แห่ง ที่เมือง Pittsburgh เป็นการสารวจความพึงพอใจ
แบบดั้งเดิมคือ ความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจในการทางาน และผลิของการวิเคราะห์ข้อมูล
พบวา่ มปี ัจจยั หลายอยา่ งทที่ าให้พนกั งานมีความรู้สกึ พอใจและไม่พอใจในการทางาน ปัจจัยดังกล่าว
สามารถแยกออกไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดงั นี้
1. ปจั จัยสขุ อนามยั (Hygiene Factors)
เป็นปัจจัยท่ีป้องกันและลดความรู้สึกไม่พอใจในการทางานของพนักงาน
เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการทางาน ถ้าไม่มีปัจจัยดังกล่าวจะทาให้พนักงานเกิดความรู้สึกไม่พอใจในการ
ทางาน ถึงแม้ปัจจัยนี้จะไม่ใช่ปัจจัยจูงใจในการทางานโดยตรงก็ตาม ปัจจัยสุขอนามัยประกอบด้วย
ปจั จยั 10 ประการ
1.1 นโยบายและการบริหาร คือ พนักงานรู้สึกว่าฝ่ายจัดการมีการส่ือสารท่ีดี
กบั พนักงาน พนกั งานก็มีความรูส้ ึกท่ดี ีตอ่ องค์กรและนโยบายการบรหิ ารงานบคุ คล
1.2 การนิเทศงาน คือ พนักงานรู้สึกว่า ผู้บริหารงานตั้งใจสอนและแจกจ่าย
หนา้ ทีค่ วามรบั ผดิ ชอบ
1.3 ความสมั พันธ์กับหวั หน้างาน คือ พนักงานมคี วามรู้สึกที่ดตี ่อหัวหน้างานของเขา
มนุษยสมั พนั ธก์ ับการจูงใจในการทางาน 133
1.4 สภาวะการทางาน คือ พนักงานรู้สึกดีต่องานที่ทา และสภาพการณ์ของ
ทท่ี างาน
1.5 ค่าตอบแทนการทางาน คือ พนักงานรู้สึกว่าเง่ือนไขค่าตอบแทนการทางาน
มคี วามเหมาะสม
1.6 ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน คือ พนักงานมีความรู้สึกท่ีดีต่อกลุ่ม
เพือ่ นรว่ มงาน
1.7 ชีวิตส่วนตัว คือ พนักงานรู้สึกว่างานของเขา ท้ังด้านชั่วโมงการทางาน
การย้ายงาน ไม่กระทบตอ่ ชวี ิตสว่ นตัว
1.8 ความสัมพันธ์กบั ลูกนอ้ ง คือ หวั หน้างานมีความรู้สกึ ท่ดี ตี ่อผ้ใู ต้บงั คบั บัญชา
1.9 สถานภาพ คือ พนักงานรู้สกึ วา่ งานของเขามีตาแหน่งหนา้ ทีด่ ี
1.10 ความมนั่ คง คอื พนักงานมคี วามรู้สึกม่ันคง ปลอดภัยในงานท่ีปฏิบัติและงาน
มีความม่ันคง
2. ปจั จยั จูงใจ (Motivator Factors)
เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการทางาน เพราะเป็นปัจจัยท่ีกระตุ้นให้พนักงานทุ่มเท
ความสามารถและความพยายามทางานให้ได้ดีที่สุด ปัจจัยจูงใจจะมีผลต่อความสาเร็จของงาน
พนักงานจะเกิดความพึงพอใจในงาน ปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อประสิทธิภาพในการทางานของ
พนกั งานโดยตรง ประกอบดว้ ยปจั จยั 6 ประการ ดงั นี้
2.1 ความสัมฤทธิ์ผล คือ พนักงานควรต้องมีความรู้สึกว่าเขาทางานได้สาเร็จ
ซ่ึงอาจจะท้ังหมดหรือบางส่วน เพื่อให้พนักงานเกิดความภาคภูมิใจกับงานที่ทาอยู่ อีกทั้งเพื่อให้
พนกั งานมีความสุขทีจ่ ะทางาน ทาให้พนกั งานเกิดความจงรักภกั ดตี ่อองค์กร
2.2 การยอมรับนับถือจากผู้อ่ืน คือ พนักงานควรต้องมีความรู้สึกว่าความสาเร็จ
ของเขาน้ันมีคนอื่นรบั รู้ มีคนยอมรบั
2.3 ลักษณะงานท่ีน่าสนใจ คือ พนักงานควรต้องมีความรู้สึกว่า งานท่ีเขาทา
มีความนา่ สนใจ น่าทา
2.4 ความรับผิดชอบ คือ พนักงานควรต้องมีความรู้สึกว่าเขามีสิ่งท่ีจะต้องรับผิดชอบ
ต่อตนเองและตอ่ งานของเขา
2.5 โอกาสที่จะเจริญก้าวหน้า คือ พนักงานควรต้องรู้สึกว่า เขามีศักยภาพที่จะ
เจรญิ ก้าวหนา้ ในงานของเขา
2.6 การเจริญเติบโต คือ พนักงานจะต้องตระหนักว่าเขามีโอกาสเรียนรู้เพิ่มข้ึน
จากงานทที่ า มีทักษะหรอื ความเชี่ยวชาญจากการปฏิบัติงาน
ส รุ ปก าร บริ หา รง าน เ พื่อ ส ร้ าง แร งจู งใ จ ใน กา รท าง าน ให้ บุ คล าก รเ กิด คว าม รั ก
และผูกพันในงานท่ีตนเองรับผิดชอบ ผู้บริหารควรเน้นปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจในการทางาน เช่น
การมอบงานให้รับผิดชอบมากขึ้น การส่งเสริมความก้าวหน้าของพนักงาน เป็นต้น ส่วนปัจจัยด้าน
134 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกิจ
สุขอนามัยก็ควรต้องให้ความสนใจด้วย แต่มิใช่เน้นเพ่ือสร้างแรงจูงใจในการทางาน หากแต่เป็นไป
เพอื่ ปอ้ งกนั มิให้ผปู้ ฏิบตั ิงานเกดิ ความไม่พอใจในการทางาน ถ้าทาไดเ้ พียงเท่านี้ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว
2. ทฤษฎลี าดบั ขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierachy of Needs)
อับบราฮัม เอช มาสโลว์ (Abraham.H. Maslow).เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม
ทฤษฎีของเขาได้ช่ือว่าเป็นทฤษฎีลาดับความต้องการ เขาได้อธิบายความต้องการของมนุษย์ว่ามีอยู่
2 ชนดิ คอื
1. ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ที่ มี อ ยู่ ด้ั ง เ ดิ ม ( Innate.Needs.or.Unlearned.Needs)
เป็นความต้องการท่ีติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กาเนิด ซึ่งแต่ละคนจะมีความต้องการน้ีอยู่แล้ว เช่น ความ
ตอ้ งการอาหาร นา้ ดม่ื อากาศหายใจ ท่อี ยอู่ าศยั เส้อื ผ้าเครื่องนุม่ หม่ ความตอ้ งการทางเพศ เปน็ ตน้
2. ความต้องการที่เกิดจากการเรียนรู้ (Learned Needs) ความต้องการดังกล่าว
แต่ละคนจะมีความต้องการท่ีแตกต่างกัน ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม โอกาส ประสบการณ์
การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล ความต้องการท่ีเกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่ ความต้องการมีงานทาท่ีม่ันคง
ความต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความต้องการยอมรับจากสังคม ความต้องการ
ใหค้ นเคารพยกย่องนบั ถือ ความตอ้ งการประสบความสาเร็จในชีวติ เป็นตน้
จากความต้องการ 2 ชนิด ดังกล่าว Abraham H. Maslow ได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับ
พฤติกรรมความต้องการของมนุษยเ์ อาไว้ ดงั น้ี
1. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ และความต้องการก็มีการเปล่ียนแปลง
อยู่ตลอดเวลา ถ้าความต้องการหนึ่งได้รับการตอบสนอง มนุษย์ก็จะเกิดความต้องการใหม่ข้ึนมาอีก
ซงึ่ จะเปน็ เช่นนี้เรอ่ื ย ๆ อยา่ งไมม่ ีสิน้ สุดตลอดเวลาท่ียงั มชี ีวติ อยู่
2. ความต้องการใดที่ได้รับการตอบสนองเรียบร้อยแล้ว ความต้องการนั้นจะไม่ทาให้
เกิดการจงู ใจอีกต่อไป สิ่งท่ีจะทาให้เกิดการจูงใจได้อีกก็คือ ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
เพราะจะมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้น การจูงใจท่ีจะได้ผลจะต้องเป็นความ
ตอ้ งการทย่ี ังไมไ่ ดร้ ับการตอบสนอง มฉิ ะนน้ั จะใชเ้ ป็นแรงจงู ใจไมไ่ ด้
3. ความต้องการของมนุษย์จะเกิดข้ึนโดยจะเรียงตามลาดับข้ัน จากขั้นต่าสุด
เรยี งลาดับไปเร่อื ย ๆ จนถงึ ระดับสูงสุด
ทฤษฎีลาดับข้ันของความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Needs Hierarchy of
Needs) สามารถอธบิ ายรายละเอยี ด ได้ดังนี้
1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological.Needs) เป็นความต้องการ
ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ เป็นการตอบสนองความต้องการ
ทางร่างกายโดยตรง เช่น ความต้องการอาหาร เครื่องนุ่งห่ม อากาศหายใจ น้าดื่ม ท่ีอยู่อาศัย
ยารักษาโรค ความต้องการทางเพศ การพักผ่อน ความสะดวกสบาย เป็นต้น ความต้องการทาง
ร่างกายน้ี สว่ นใหญเ่ ป็นเรื่องเก่ียวกับความต้องการด้านปัจจัยส่ีของมนุษย์ เพราะเป็นปัจจัยท่ีมีความ
จาเป็นต่อการดารงชวี ติ ของมนษุ ย์
มนุษยสมั พันธ์กบั การจูงใจในการทางาน 135
2. ความต้องการความม่ันคงและปลอดภัย (Safety.Needs.and.Security
Needs) เป็นความต้องการอยากจะได้รับการปกป้องคุ้มครองอันเกิดจากปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
เพอื่ ให้เกิดความม่ันใจในความม่ันคงและปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินท่ีมีอยู่ ความต้องการในข้ันน้ี
ได้แก่ ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต ความต้องการความมั่นคงในอาชีพการทางาน
ความปลอดภัยในทรัพย์สิน ความปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ท่ีอาจจะเกิดข้ึน ความมีเสถียรภาพ
ในเร่ืองต่าง ๆ มนุษย์จะเกิดความต้องการในข้ันน้ีก็ต่อเมื่อความต้องการทางร่างกายได้รับการ
ตอบสนองเรียบร้อยแล้ว
3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองความ
ต้องการทางร่างกายและความต้องการทางด้านความม่ันคงและปลอดภัยแล้ว มนุษย์จะมีความ
ต้องการใหม่เกิดข้ึนคือ มีความต้องการทางสังคม ต้องการอยากจะมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม อยากจะมีเพ่ือน อยากจะให้สังคมและเพื่อนยอมรับ ต้องการ
ความรกั ความเขา้ ใจจากคนอน่ื ตอ้ งการอยากจะมีส่วนรว่ มในสงั คม อยากจะเปน็ สมาชิกในกลุ่มอาชีพ
สมาคมและองค์กรต่าง ๆ ความต้องการทางสังคมจะให้ความสาคัญเก่ียวกับเรื่องมิตรภาพ การมี
สว่ นร่วมในสังคม ความสมั พันธ์กบั คนอ่ืน ทง้ั นเ้ี พื่อใหเ้ ป็นทีย่ อมรบั ในสงั คม
4. ความต้องการได้รับการยกย่องจากบุคคลอ่ืน (Esteem.Needs) เมื่อมนุษย์
ได้เข้าไปมีสว่ นรว่ มในสงั คม และสังคมก็ใหก้ ารยอมรบั ความตอ้ งการข้ันต่อไปมนุษย์ต้องการอยากจะ
เปน็ คนเดน่ คนดงั ในสังคม และตอ้ งการใหส้ ังคมยกย่องในความเกง่ ความสามารถของตน เพราะจะทา
ให้รสู้ ึกวา่ ตนเองมีคณุ คา่ มีความภาคภูมิใจท่ีไดร้ ับการยกย่องและใหเ้ กียรติจากสงั คม
5. ความต้องการประสบความสาเร็จในชีวิต (Self.Actualization.Needs)
เปน็ ความต้องการข้ันสงู สดุ หรอื ขัน้ สุดทา้ ย ซ่งึ ความต้องการนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือความต้องการขั้นท่ี 1
ถึง 4 ได้รับการตอบสนองเรียบร้อยแล้ว ความต้องการขั้นสูงสุดนี้เป็นความต้องการท่ีจะได้รับ
ความสาเร็จสูงสุดในชวี ิตของแตล่ ะคนท่ีไดต้ ัง้ เป้าหมายเอาไว้ ซึ่งแต่ละคนจะต้ังเป้าหมายความสาเร็จ
ในชีวิตเอาไว้แตกต่างกนั เชน่ ต้องการอยากจะเป็นประธานกรรมการของบริษัทท่ีมีช่ือเสียง ต้องการ
อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องการอยากจะเป็นนักแสดงท่ีมีช่ือเสียง ต้องการเป็นนักกีฬาทีมชาติ
เปน็ ตน้
ความต้องการทั้ง 5.ขั้นของทฤษฎีลาดับความต้องการของมาสโลว์ จะเป็นความ
ต้องการเปน็ ไปตามลาดบั จากขั้นที่ 1 ไปจนถึงขนั้ สูงสุดคอื ข้นั ท่ี 5 ความต้องการต่าง ๆ จะไม่ข้ามขั้น
ซ่ึงความต้องการน้ีจะใช้ในการจูงใจให้พนักงานทางาน เม่ือพนักงานได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่
เกิดแรงจูงใจได้อีก ดังนั้น ในการกระตุ้นเพ่ือจูงใจพนักงานทางาน ผู้บริหารจะต้องรู้ความต้องการ
ของพนักงานเสียก่อนว่ามีความต้องการในข้ันใด เพ่ือจะเลือกส่ิงจูงใจให้สอดคล้องกับความต้องการ
ของพนักงาน จึงจะสามารถใช้เป็นส่ิงจูงใจให้พนักงานทางานให้แก่องค์การได้และยังสามารถสร้าง
มนุษยสัมพนั ธ์ทดี่ ีใหก้ บั คนในองค์กรได้อกี ด้วย
136 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ
ภาพที่ 4.1 แสดงลาดบั ข้ันความตอ้ งการ ของมาสโลว์
3. ทฤษฎีความต้องการ 3 ประเภท (Three Needs Theory) ของ McClelland
(McClelland’s Achievement Motivation)
เดวิด ซี แมคคลีแลนด์ (David C. McClelland) เป็นนักจิตวิทยา ได้เสนอแนวคิดว่า
คนเราจะมีความต้องการข้ันพื้นฐานอยู่ 3 ประการหรือเรียกว่า Three.Needs.Theory
ซึ่งประกอบด้วย ความต้องการทางด้านอานาจ (Needs for Power) ความต้องการทางด้านสังคม
(Needs.for.Affiliation) ค ว ามต้ องกา รทา งด้าน คว าม สาเร็ จ ( Needs.for.Achievement)
และรายละเอยี ดท้ัง 3 อย่างสามารถอธิบายได้ ดังน้ี
1. ความต้องการทางด้านอานาจ (Needs.for.Power) มนุษย์มีความปรารถนา
อยากจะมีอานาจเหนอื บุคคลอน่ื มีความต้องการท่ีจะควบคุมชี้นาผอู้ ื่น บงั คับบัญชาและส่ังการคนอ่ืน
ให้ปฏิบตั ิตามคาสง่ั ของตนเอง แต่ก่อนทีจ่ ะทาเช่นน้ีได้ เขาจะต้องมีอานาจและมีตาแหน่งหน้าท่ีสูง ๆ
ดังนั้น จึงทาให้คนเกิดความสนใจในการแสวงหาอานาจ เพ่ือจะได้มีอิทธิพลเหนือคนอื่น ในการ
บริหารองค์การจะเปิดโอกาสให้พนักงานเจริญก้าวหน้าในอาชีพ และสามารถเล่ือนตาแหน่งไปถึง
ผู้บริหารระดับสูงได้ พนักงานจึงพยายามแข่งขันกันเพื่อที่จะได้ตาแหน่งและอานาจ ความต้องการ
ด้านอานาจมีทั้งผลดีและผลเสีย ถ้าความต้องการอานาจเพ่ือท่ีจะใช้ให้การทางานสาเร็จลุล่วงตาม
เป้าหมายขององค์การก็ถือว่าเป็นผลดี แต่ถ้าการใช้อานาจเพื่อตอบสนองความ ต้องการด้าน
ผลประโยชน์ส่วนตวั จะเกดิ ผลเสียต่อองคก์ ารมากกว่า
มนุษยสมั พันธก์ ับการจูงใจในการทางาน 137
2. ความต้องการทางด้านสังคม (Needs for Affiliation) เป็นความต้องการอยาก
จะมีความผูกพันกับบุคคลอ่ืน ต้องการอยากจะมีเพ่ือน มีสังคม ต้องการเป็นท่ีรักของผู้อื่น ดังน้ัน
บุคคลจะแสวงหามิตรภาพ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอ่ืน บุคคลดังกล่าวจะถูกจูงใจให้ทางาน
เก่ียวกับการติดต่อสื่อสาร งานด้านประชาสัมพันธ์ เพราะเขาจะได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับ
บุคคลอน่ื เพราะบุคคลเหลา่ นี้จะไมช่ อบทางานตามลาพงั เพยี งคนเดยี ว
3. ความต้องการทางด้านความสาเร็จ (Needs.for.Achievement) เป็นความ
ต้องการที่จะทางานให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่ได้กาหนดเอาไว้ บุคคลกลุ่มน้ีจะให้
ความสาคัญกบั ความสาเรจ็ ของงานเปน็ อยา่ งมากและจะมีลกั ษณะดังน้ี
3.1 เป็นผทู้ ่ีชอบทางานเปน็ อิสระ และมีความรับผิดชอบสูง
3.2 มีการกาหนดเป้าหมายให้เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง เพ่ือที่จะ
สามารถไปให้ถงึ ซ่ึงเป้าหมายนัน้
3.3 เนน้ เร่อื งของการบรรลุเป้าหมาย
3.4 มีความต้องการข้อมลู ย้อนกลบั เกย่ี วกับผลงานที่ไดท้ าไปแลว้
3.5 มคี วามเต็มใจทจ่ี ะทางานหนักและมีความพยายามสูง
3.6 แสวงหาความท้าทายและกล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผล
ความต้องการทัง้ 3 ด้าน ตามทฤษฎีความต้องการของ David C. McClelland พบว่า
ทุกคนมีความต้องการแต่อาจจะมีความต้องการท่ีแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละบุคคล เช่น
คนทม่ี คี วามตอ้ งการทางด้านความสาเรจ็ สูง จะมีความต้องการทางด้านสังคมต่า สาหรับคนท่ีมีความ
ต้องการทางด้านสังคมสูงก็มักจะมีความต้องการทางด้านความสาเร็จต่า ดังนั้น ผู้บริหารองค์กรควร
ใหค้ วามสาคัญเกีย่ วกับเรือ่ งดังกล่าว เพื่อใช้พิจารณาในการจูงใจและสร้างมนุษยสัมพันธ์กับพนักงาน
ได้เปน็ อย่างดี
4. ทฤษฎี ERG ของ Clayton P. Alderfer
เคลย์ตัน พี แอลเดอเฟอร์ (Clayton P. Alderfer) ได้ทาการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับ
ลาดับขั้นความต้องการของ Maslow ให้เกิดการขยายกว้างย่ิงขึ้น ซึ่งเรียกว่า ทฤษฎี ERG.(ERG
Theory) เขาไดแ้ บง่ ความตอ้ งการของมนษุ ย์ออกเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้
1. ความต้องการการดารงชีวิต (Existence.=.E) เป็นความต้องการทางร่างกาย
ความต้องการความม่ันคงปลอดภัย ซ่ึงความต้องการนี้จะสอดคล้องกับความต้องการในลาดับขั้นท่ี 1
และ 2 ตามแนวคิดลาดบั ความต้องการของ Maslow.คือความตอ้ งการในปัจจยั 4 และความต้องการ
ดา้ นความมั่นคงและความปลอดภัยในชวี ิต
2. ความต้องการด้านความสัมพันธ์ (Relatedness = R) เป็นความต้องการด้าน
สังคม คือ ต้องการมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ต้องการเพื่อน ต้องการสังคม ต้องการความรัก และ
การยอมรับจากคนอื่น ซ่ึงความต้องการด้านความสัมพันธ์จะตรงกับความต้องการทางสังคมและ
ความตอ้ งการได้รับการยกยอ่ งยอมรบั จากบุคคลอื่นของ Maslow
138 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ
3. ความต้องการด้านความเจริญเติบโต (Growth.=.G) เป็นความเจริญก้าวหน้า
ในหน้าที่การงาน คนจะใช้ความพยายามและทุ่มเทความรู้ความสามารถเพ่ือการทางาน ทั้งน้ีเพื่อให้
ได้มาซึ่งความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ซ่ึงความต้องการนี้จะตรงกับความต้องการประสบ
ความสาเรจ็ ในชวี ติ และเป็นลาดับขั้นที่ 5 ของ Maslow
ดังนั้น แนวความคิดของ Clayton.P..Alderfer เชื่อว่า ความต้องการของมนุษย์
จะเป็นลาดับขั้นจาก E ไปสู่ R และไป G ตามลาดับ ถ้าความต้องการข้ันแรกได้รับการตอบสนอง
มนุษยจ์ ะเกดิ ความต้องการข้ึนใหม่อีกและสูงข้ึนไปเร่ือย ๆ ตามลาดบั
5. ทฤษฎีการจงู ใจของ Dauglas McGregor (Douglas McGregor’s Theory)
ดักสาส แมคเกร์เกอร์ (Dauglas.McGregor).ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับการจูงใจ
โดยเขาไดก้ าหนดสมมติฐานธรรมชาติของมนุษย์ออกเป็น 2 ด้าน ที่มีความแตกต่างกัน คือ ทฤษฎี X
(Theory X) และทฤษฎี Y (Theory Y) โดยมีรายละเอยี ดดังนี้
1. ทฤษฎี X.(Theory.X) เป็นการมองธรรมชาติมนุษย์ในแง่ลบ คือ มองว่าคน
กลุ่มน้ีไม่มีความกระตือรือร้น ข้ีเกียจทางาน ดังนั้น สมมติฐานของมนุษย์ตามทฤษฎี X จะมีลักษณะ
ดงั น้ี
1.1 โดยปกติทัว่ ไปคนไมช่ อบทางาน ถ้ามีโอกาสจะพยายามหลกี เลย่ี งการทางาน
1.2 เน่ืองจากธรรมชาติของมนุษย์ไม่ชอบการทางาน ดังน้ัน ผู้บริหารจึงมีความ
จาเป็นต้องวิธีการบังคับให้ทางาน มีการควบคุม ข่มขู่ และลงโทษ เพื่อให้ได้ผลงานตามที่องค์การ
ตอ้ งการ
1.3 คนงานส่วนใหญ่มักไม่มีความรับผิดชอบต่อการทางาน งานใดท่ีไม่ได้ส่ัง
จะไมท่ าคอื จะทางานตามคาสั่งเท่านัน้
1.4 คนงานส่วนมากจะขาดความทะเยอทะยาน และขาดความกระตือรือร้น
ในการทางาน
2. ทฤษฎี Y (Theory Y) เป็นการมองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่บวก คือ มีความ
เชื่อว่า มนุษย์เป็นคนดีมีความรับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ ดังน้ัน สมมติฐานตามทฤษฎี Y จะมีลักษณะ
ดงั น้ี
2.1 การทางานเป็นเรื่องปกติ ทุกคนเกิดมาต้องทางาน ดังนั้น จึงไม่มีความ
จาเปน็ ท่ีจะต้องหลีกเลยี่ งการทางาน
2.2 คนจะรู้ถึงเป้าหมายของตนเอง และมีความสามารถควบคุมตนเองได้โดยไม่
จาเปน็ ต้องให้ผอู้ ่นื มาคอยควบคมุ คนมีความทะเยอทะยานและสามารถทางานให้บรรลเุ ป้าหมายได้
2.3 คนมีความรับผิดชอบในการทางานของตน การควบคุม การข่มขู่และการ
ลงโทษ ไม่ใช่วิธีการที่จะทาให้คนงานปฏิบัติงานได้สาเร็จตามเป้าหมายขององค์การ เพราะคนงาน
มีความสามารถและรับผิดชอบในหน้าทีก่ ารงานของตนเองได้
มนษุ ยสมั พันธก์ บั การจูงใจในการทางาน 139
2.4 คนทุกคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในเรื่องต่าง ๆ และสามารถแก้ไขปัญหา
ใหแ้ กอ่ งคก์ ารได้
2.5 การสรา้ งความผูกพันกับองค์การ จะมีผลมาจากการได้รับรางวัลตามผลงาน
ทีต่ นทาไดส้ าเรจ็
ตามแนวคิดของ Dauglas McGregor หากผู้บริหารมีแนวความคิดและยอมรับตาม
ข้อสมมติฐานของทฤษฎี X คือ มีความเช่ือว่า พนักงานมีความขี้เกียจ พยายามหลีกเล่ียงการทางาน
ไม่รับผิดชอบหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย ขาดความกระตือรือร้นในการทางาน ผู้บริหารจะใช้
วิธีการจูงใจพนักงานโดยมีการควบคุมอย่างใกล้ชิด ใช้กฎระเบียบบังคับ ข่มขู่ และลงโทษ เพื่อให้
พนกั งานทางาน ไม่เปดิ โอกาสใหพ้ นกั งานไดม้ สี ว่ นรว่ มในเรื่องตา่ ง ๆ การบริหารงานจะมีลักษณะรวม
อานาจ ทาให้การจูงใจในลักษณะนี้ไม่เอื้อต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับพนักงานได้เท่าที่ควร แต่ถ้า
ผบู้ ริหารยอมรบั ตามทฤษฎี Y ท่เี ช่ือว่า พนกั งานเห็นการทางานเป็นเรื่องปกติ ไม่มีความจาเป็นต้องมี
การควบคุม พนักงานก็สามารถทางานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การได้ เพราะพนักงานมีความ
รับผิดชอบในหน้าท่ีของตน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความผูกพันกับองค์การ ในการจูงใจ
ผู้บริหารจะใช้วิธีการจูงใจโดยการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในเรื่องต่าง ๆ ใช้กฎระเบียบ
ข้อบงั คับเท่าที่จาเป็น ให้รางวัลแก่พนักงานตามความสามารถ ใช้ระบบการบริหารแบบการกระจาย
อานาจ ทาให้การจูงใจลกั ษณะน้ีสามารถสร้างมนษุ ยสัมพันธใ์ ห้เกิดขน้ึ ในองค์การได้เปน็ อย่างดี
6. ทฤษฎคี วามคาดหวงั (Expectancy Theory) ของ Victor H. Vroom
วิกเธอร์ เอช วรูม (Victor H. Vroom) ได้เสนอแนวคิดการจูงใจที่เรียกว่า ทฤษฎี
ความคาดหวัง (Expectancy Theory) เขาได้อธิบายว่า บุคคลมักจะทางานโดยมีความคาดหวังว่า
ในการทางานนัน้ เขาจะได้ผลตอบแทนตามทเี่ ขาต้องการ เป็นการพยายามอธิบายเก่ียวกับพฤติกรรม
ของบุคคลว่ามีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายและความคาดหวังในสิ่งที่เขาได้รับ ทฤษฎีความคาดหวัง
จะเกยี่ วกบั ปจั จยั 3 อย่าง คือ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามกับการทางาน ( Effort-Performance
Relationship) คือความพยายามทุ่มเทให้กับการทางานกับผลงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการใช้
ความพยายามในการทางานในครั้งนน้ั
2. ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ก า ร ท า ง า น กั บ ร า ง วั ล (Performance-Reward
Relationship) คือ การทางานในระดับใดระดบั หนงึ่ ซงึ่ จะทาใหบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ และรางวลั ที่จะไดร้ บั
3. ความสัมพันธ์ระหว่างรางวัลกับเป้าหมายส่วนบุคคล (Reward-Personal Goals
Relationship) คือ มูลค่าหรือคุณค่าของรางวัลท่ีองค์การให้เพื่อตอบแทนแก่พนักงาน มีคุณค่ามาก
พอทจ่ี ะใชเ้ ป็นการจูงใจพนักงาน
140 มนุษยสมั พันธท์ างธรุ กิจ
ดังน้ัน ในการจูงใจตามทฤษฎีความคาดหวัง ผู้บริหารควรนาไปประยุกต์เพ่ือให้เกิด
ประโยชน์ในการจงู ใจและการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธก์ บั พนกั งานในองคก์ าร ดงั น้ี
1. ผลตอบแทนทีท่ างองค์การจะใหพ้ นักงานเป็นอะไร มีมูลค่า มีความสาคัญมากหรือ
น้อยเพียงใด พนักงานให้ความสนใจกับผลตอบแทนเหล่าน้ันหรือไม่ และผลตอบแทนน่าสนใจ
มากหรอื นอ้ ยเพียงใด
2. ผลตอบแทนที่องค์การนาเสนอเพื่อให้แก่พนักงาน สามารถดึงดูดความสนใจ
พนักงานได้มากน้อยเพียงใด ผลตอบแทนดึงดูดพนักงานในทางบวกหรือทางลบ หรือไม่สามารถ
ดึงดดู ไดเ้ ลย
3. พนักงานจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงได้จะผลตอบแทนหรือรางวัลน้ัน องค์การใช้
หลักเกณฑ์อะไรในการวัดผลการปฏิบัติงาน จะต้องมีคามชัดเจน มีมาตรฐานในการประเมินผล
การปฏิบตั ิงานและมคี วามยุติธรรม
4. ความสามารถของพนักงานในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ได้รางวัล
หรือผลตอบแทน พนักงานมีความรู้ความสามารถ มีทักษะความชานาญมากหรือน้อยเพียงใด
มีโอกาสปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ พนักงานได้มีการฝึกอบรมพัฒนาเพียงพอหรือไม่ และมี
กาลงั ใจในการปฏิบัตหิ น้าทใ่ี หบ้ รรลุเปา้ หมายเพียงใด
7. ทฤษฎคี วามเสมอภาค (Equity Theory) ของ James Stacy Adams
James.Stacy.Adams.ได้นาเสนอแนวคิดของทฤษฎีความเสมอภาค (Equity
Theory) เขาเช่ือว่า โดยปกติพนักงานจะรับรู้ว่าผลตอบแทนในการทางานของเขาย่อมมี
ความสัมพันธ์กับผลงาน ถ้าเขาทุ่มเทให้กับการทางานมาก (Inputs) ผลงานน่าจะออกมาดี
(Outcomes) เมอ่ื นาไปเปรยี บเทยี บกับคนอื่นท่ีปฏิบัติงานในลักษณะเดียวกัน ถ้าเกิดความเท่าเทียม
กันถือว่าเกดิ ความเป็นธรรม แตถ่ ้าผลงานเท่ากันแต่ผลตอบแทนได้ไม่เท่ากัน ก็เกิดความไม่เป็นธรรม
ขึ้นในองค์การ ความไม่เท่าเทียมกันอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การมอบหมายงาน การให้
รางวลั การขึน้ เงินเดอื น การใหค้ วามดคี วามชอบ การเล่ือนตาแหน่ง เป็นต้น ดังนั้น เมื่อพนักงานเกิด
ความรู้สึกว่ามีความไม่เสมอภาคหรือไม่เป็นธรรม ก็จะเกิดความรู้สึกความไม่เสมอภาคในทางลบ
(Felt.Negative.Inequity) ซ่ึงจะเกิดข้ึนกับบุคคลท่ีไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนความรู้สึกไม่
เสมอภาคในเชงิ บวก (Felt Positive Inequity) จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่รู้สึกว่า ตนได้รับความยุติธรรม
มากกวา่ อื่น
James Stacy Adams ได้อธิบายรายละเอียดเก่ียวกับทฤษฎีความเสมอภาคมีปัจจัย
ที่เกี่ยวขอ้ ง ดงั นี้
1. การเปรยี บเทยี บ (Comparison) เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ความทุ่มเท
ในการปฏิบัติงาน ( Inputs) กับผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการทางาน ( Outcomes)
การเปรียบเทียบความสัมพันธ์จะยึดถือมาตรฐาน กฎเกณฑ์และสังคมเป็นเครื่องวัดของการ
มนษุ ยสมั พันธก์ บั การจูงใจในการทางาน 141
เปรียบเทียบ ถ้าผลลัพธ์ ท่ีได้ไม่แตกต่างกับบุคคลอื่น ก็ถือว่ามีความยุติธรรม แต่ถ้ามีความแตกต่าง
กันไมว่ ่าจะมากกวา่ หรือน้อยกวา่ คนอ่นื ก็ถือว่าเกดิ ความไมเ่ สมอภาค ไม่ยุตธิ รรม
2. การท่มุ เทในการปฏบิ ตั ิงาน (Inputs) เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวบุคคลแต่ละคนในการ
ทมุ่ เท่ให้กับการทางาน เช่น การเสียสละ ความพยายามอย่างเต็มที่ ความต้ังใจ การอุทิศตนเพ่ือการ
ทางาน เป็นการใช้ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความชานาญ ความเพียรพยายามเพื่อให้ได้ผลงาน
เป็นที่พอใจ
3. ผลตอบแทน (Outcomes) เป็นผลประโยชน์ทั้งหมดท่ีพนักงานคนนั้นได้รับ
จากการทมุ่ เทใหก้ บั การทางาน เช่น เงนิ เดอื น ค่าจ้าง สวัสดิการ โบนัส รางวัล การส่งเสริมสนับสนุน
การเล่ือนข้ันเลื่อนตาแหน่ง ความเจริญก้าวหน้า ขวัญและกาลังใจ ศักด์ิศรีเกียรติยศต่าง ๆ
การยกยอ่ ง การยอมรบั ในสังคม
ปัจจัยทีใ่ ชใ้ นการเปรยี บเทียบการทางาน ประกอบด้วย
Inputs (I) ประกอบด้วย ความเพียรพยายาม การเสียสละ ความต้ังใจ การอุทิศตน
การใชค้ วามรูค้ วามสามารถ ทักษะความชานาญ ประสบการณ์
Outcomes.(O).ประกอบด้วย เงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ โบนัส รางวัล
การส่งเสริม สนับสนุน การเล่ือนขั้นเลื่อนตาแหน่ง ความเจริญก้าวหน้า การเคราร พยกย่อง
การยอมรบั ขวญั และกาลงั ใจ ศักดิศ์ รีเกยี รติยศ
Another.Person.(A,.B…).เ ป็ น บุ ค ค ล อื่ น ห รื อ พ นั ก ง า น ค น อ่ื น ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร
เปรียบเทยี บผลงาน
จากทฤษฎีความเสมอภาคของ James.Stacy.Adams เขาได้กาหนดสูตรในการ
เปรยี บเทียบความเสมอภาคของการทางานเอาไว้ ดังน้ี
ภาพท่ี 4.2 สูตรเปรียบเทียบความเสมอภาคของการทางาน
142 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ
เมอื่ พนกั งานเกิดความรู้สกึ วา่ ไม่เป็นธรรมไม่เสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นความไม่เสมอภาค
ในทางลบ หรอื ความไมเ่ สมอภาคในทางบวกก็ตาม พนักงานจะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาให้เกิด
ความเสมอภาคอีกคร้งั หนึ่ง พฤตกิ รรมทพี่ นกั งานแสดงออกมาจะมีลักษณะดงั นี้
1. การเปล่ยี นแปลงปจั จยั นาเข้า (Inputs) คือ ความทุ่มเทในการทางานอาจจะลดลง
ความพยายาม การเสียสละ ความตั้งใจในการทางานลดลง เพราะเกดิ ความรสู้ ึกไมเ่ ป็นธรรม
2. เปล่ียนแปลงผลลัพธ์ (Outcomes) เงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ ผลประโยชน์
ตอบแทนต่าง ๆ
3. พนักงานอาจจะลาออกจากงาน หรือหยุดพฤติกรรมต่าง.ๆ หรือหลีกเล่ียง
สถานการณ์ท่เี กดิ ขึ้น
4. เปลี่ยนแปลงการรับรหู้ รือความรู้สึกใหม่ เช่น เดิมเคยมีความรู้สึกว่าตนเองทางาน
ได้ในระดบั ปกตเิ ท่ากับคนอน่ื แต่พ่งึ มารตู้ อนนว้ี ่า ตนเองทางานหนกั กว่าคนอื่น
5. เปลี่ยนแปลงความรู้สึกท่ีมีต่อบุคคลอื่น ผลงานของเราไม่ดีเท่าของนาย ก แต่ยัง
ดกี ว่าผลงานของนาย ข เป็นตน้
จากผลการศึกษาการเปรียบเทียบความเสมอภาคในการทางานของพนักงาน
มปี ระเด็นทสี่ าคญั ควรแก่การพจิ ารณา ดงั น้ี
1. ถ้าพนกั งานเกิดความรูส้ ึกวา่ เขาไดร้ ับผลตอบแทนหรือรางวัลไม่เท่าเทียมกับบุคคล
อ่ืน เขาจะเกิดความไม่พอใจ เขาจะลดความทุ่มเทในการทางาน เป็นการลดปริมาณงานหรือผลงาน
ทจี่ ะไดร้ ับ
2. ถ้าพนักงานเห็นว่า ค่าตอบแทนหรือรางวัลท่ีเขาได้รับเท่าเทียมกับบุคคลอ่ืนและมี
ความเปน็ ธรรมเกดิ คามเสมอภาค เขากจ็ ะท่มุ เทให้กบั การทางานเหมอื นเดิม
3. หากพนักงานคิดว่า ผลตอบแทนที่เขาได้รับสูงกว่าการทุ่มเทในการทางานของเขา
พนกั งานจะเพ่ิมความทุม่ เทให้กับการทางานมากข้ึน ไม่เช่นนั้นผลตอบแทนหรือรางวัลท่ีได้รับอาจจะ
ลดลง
8. ทฤษฎกี ารจงู ใจของ Lyman W. Porter และ Edward E. Lawler
Porter และ Lawler ได้ทาการศึกษาทฤษฎีการจูงใจ โดยได้ทาการพัฒนาจากทฤษฎี
ความคาดหวังของ Victor H. Vroom ซ่ึงจะเน้นเก่ียวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงาน
กบั ความพงึ พอใจ ความคาดหวงั ของรางวลั ทพี่ นกั งาจะได้รบั เทา่ เทียมกัน จะทาให้พนักงานเกิดความ
พึงพอใจ พนักงานจะคานึงถึงคุณค่าของรางวัลท่ีจะได้รับ รางวัลที่จะได้รับประกอบด้วย รางวัล
ภายนอก (Extrinsic Reward) และรางวัลภายใน (Intrinsic Reward) พนักงานแต่ละคนจะทาการ
ประเมินผลเกี่ยวกับความเสมอภาคหรือความยุติธรรมของรางวัล รวมถึงระดับความสาเร็จของการ
ปฏิบัติงาน ถ้าเขาเกิดความรู้สึกว่า รางวัลที่ได้รับมีความเสมอภาคหรือยุติธรรม เขาก็จะเกิดความ
พงึ พอใจในการทางานน้ัน
มนษุ ยสมั พันธ์กบั การจงู ใจในการทางาน 143
ทฤษฎกี ารจูงใจของ Porter และ Lawler มีปัจจัยท่ีสาคัญเก่ียวกับเรื่องของการจูงใจ
ดังน้ี
1. รางวลั ภายนอก (Extrinsic Reward) และรางวัลภายใน (Intrinsic Reward)
รางวัลภายนอก ได้แก่ รายได้ การเล่ือนข้ันเลื่อนตาแหน่ง ค่าตอบแทน ความ
ม่ันคง
รางวัลภายใน ได้แก่ การยอมรบั ตวั เอง ความรูส้ ึกถึงความสาเร็จของงาน ซึ่งจะทา
ใหเ้ ขาเกิดความดใี จ พึงพอใจ ช่นื ชมในผลงานทีท่ า
2. ความสาเร็จของงาน ประสิทธภิ าพของงานจะแสดงออกมาท่ผี ลของงาน
3. ความยุติธรรม พนักงานจะรับรู้ความยุติธรรมหรือความเสมอภาคได้จาก
ค่าตอบแทนหรือรางวัลที่เขาได้รับ รางวัลจะมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของพนักงาน ถ้ารางวัลหรือ
ค่าตอบแทนทไ่ี ดร้ บั มคี วามยตุ ธิ รรม พนกั งานจะพึงพอใจ แตถ่ ้ารางวลั หรือค่าตอบแทนที่เขาได้รับเกิด
ความไม่เสมอภาคไม่ยตุ ธิ รรม จะเกิดความผิดหวังและไม่พอใจกบั ค่าตอบแทนและรางวลั ทีไ่ ด้รับ
9. ทฤษฎีการเสรมิ แรง (Reinforcement Theory) ของ B.F. Skinner
บี เอฟ สกนิ เนอร์ (B.F. Skinner) ได้อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีเสริมแรงว่า ปัจจัยที่ทาให้
เกิดพฤติกรรมมนุษย์มีผลมาจากการเสริมแรงที่กระตุ้นให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ซ้า ๆ กันซ่ึง
ปัจจัยเสริมแรงแบ่งได้ 2 ประเภท ดังน้ี
1. ปัจจัยเสริมแรงด้านบวก (Positive Reinforces) เป็นปัจจัยท่ีสร้างความพอใจ
ให้แก่บุคคล มันมีคุณค่ามีความสาคัญสาหรับเขา ดังน้ัน บุคคลจะแสดงพฤติกรรมออกมาซ้า ๆ กัน
ถ้าเขาได้รับการตอบสนองในทางที่ดี ปัจจัยเสริมแรงด้านบวก ได้แก่ การเลื่อนข้ันเล่ือนตาแหน่ง
การขึ้นเงินเดือน รางวัล โบนัส พนักงานดีเด่นประจาปี การชมเชย การยกย่อง การยอมรับ
ในความสามารถ การส่งเสริมสนับสนุน การให้กาลังใจ การให้เกียรติ การประกาศเกียรติคุณ
ในความสามารถ
2. ปัจจัยเสริมแรงด้านลบ (Negative Reinforces) เป็นปัจจัยที่ทาให้บุคคลเกิด
ความรู้สึกน้อยเน้ือต่าใจ ไม่พอใจ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวตอบสนองในทางไม่ดี ทาให้เขาขาดขวัญ
หมดกาลังใจในการทางาน ปัจจัยเสริมแรงด้านลบ ได้แก่ การถูกทาโทษ การลดข้ันเงินเดือน
การโยกย้าย ไมไ่ ด้โบนัส ไม่ไดข้ ึ้นเงนิ เดอื นประจาปี ถกู ตาหนจิ ากหัวหน้า ไม่ไดร้ บั การสนบั สนนุ
ความสาคัญของทฤษฎีเสรมิ แรงของ B.F. Skinner คือ บุคคลจะแสดงพฤติกรรมหรือ
มีการกระทาเพื่อต้องการอยากได้รางวัล ในด้านการบริหาร สิ่งที่จะสามารถกระตุ้น เพ่ือใช้ในการ
จูงใจพนกั งานใหแ้ สดงพฤติกรรมก็คือ การจูงใจในทางบวกจะเป็นวิธีท่ีดีท่ีสุด ถ้าจูงใจในทางลบหรือ
เสริมแรงด้านลบจะเกิดผลเสียต่อการบริหารองค์การมากกว่า ดังนั้น ผู้บริหารที่มีแนวความคิดตาม
ทฤษฎีของ B.F..Skinner จะเน้นให้ความสาคัญกับการจูงใจในทางบวก คือ การสนับสนุนส่งเสริม
ยกยอ่ ง ยอมรับ ใหร้ างวลั ชมเชย ขนึ้ เงินเดอื น ให้โบนัส ให้ความช่วยเหลือ ให้กาลงั ใจ
144 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ
ปัจจยั เสริมแรงในดา้ นบวกจะได้ผลดีย่ิงขึ้นเมื่อพนักงานได้รับมอบหมายงานท่ีมีความ
เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของเขา และเขาได้มีส่วนร่วมในเร่ืองต่าง ๆ ขององค์การ และเขา
ก็จะพยายามปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามท่ีองค์การต้องการและ
สามารถประยกุ ตเ์ พื่อสรา้ งสมั พันธภาพทดี่ ีภายในองค์การได้
10. ทฤษฎีการกาหนดเป้าหมาย (Foal Settine Theory) ของ Edwin A Locker
Gary Latham
ทฤษฎีการกาหนดเป้าหมาย (Goal Settine Theory) ของ Edwin A Locker Gary
Latham เขามีความเช่ือว่า การกาหนดเป้าหมายจะมีความสัมพันธ์กับผลงาน ลักษณะงานที่ท้าทาย
สามารถไปถึงได้ ยอมรับว่าเป้าหมายนั้นมีความสาคัญ ข้อมูลย้อนกลับหรือผลลัพธ์ก็มีความสาคัญ
กับการกาหนดเป้าหมายด้วย จากผลการศึกษาของทฤษฎีการกาหนดเป้าหมาย มีประเด็นท่ีสาคัญ
3 ประการ ดังนี้
1. เป้าหมายจะต้องมีลักษณะเจาะจง (Goals that are specific) ในการกาหนด
เป้าหมายจะต้องมีการเจาะจงเป้าหมายที่แน่นอน เป้าหมายจะต้องมีความท้าทายและสามารถ
ไปถึงได้ เป้าหมายที่ไม่ชัดเจนไม่แน่นอน ไม่มีความท้าทาย ไม่สามารถปฏิบัติได้จะไม่เป็นท่ียอมรับ
ดังนนั้ เป้าหมายจะตอ้ งกาหนดให้แน่ชดั ว่าจะทาอะไร ที่ไหน เม่อื ไหร่
2. ต้องให้การยอมรับความสาคัญของเป้าหมาย (Acceptance of the goal is
important) ทุกคนจะต้องให้ความสาคัญกับเป้าหมายที่กาหนดไว้ ทั้งนี้เพ่ือที่จะให้เป้าหมาย
ดังกล่าวบรรลุผล บุคคลท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ร่วมทากิจกรรม ร่วมกัน
รับผิดชอบ ใหข้ า่ วสารข้อมลู ท่ีเปน็ ประโยชน์ ให้การสนบั สนนุ ส่งเสริม
3. ตอ้ งการข้อมูลย้อนกลับ (Need Feedback) ในการทางานย่อมมีความต้องการ
ผลลัพธ์จากการปฏิบัติงาน เพ่ือจะได้รับทราบว่า สิ่งที่กระทาไปมีผลดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะข้อมูล
ย้อนกลบั จะชว่ ยในการปรบั ปรงุ การปฏิบัตงิ านในคร้ังตอ่ ไป
ในการกาหนดเป้าหมาย Edwin.A.Locker.Gary.Latham ได้ให้แนวคิดและหลักการ
ในการกาหนดเป้าหมายเอาไว้ดงั น้ี
1. ในการกาหนดเป้าหมาย จะต้องเจาะจงลักษณะของงานเอาไว้ ให้ชัดเจน
ต้องกาหนดทง้ั หน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบเอาไวใ้ ห้แนน่ อน เพ่อื ให้สะดวกต่อการปฏบิ ัติ
2. ต้องมีการกาหนดวิธกี ารในการปฏิบัตงิ านเอาไว้ด้วยวา่ ต้องใชว้ ิธีการอยา่ งไร
3. มีการกาหนดเป้าหมายเอาไว้อย่างแน่นอนทั้งดา้ นคณุ ภาพและปริมาณ
4. กาหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานว่า ต้องใช้เวลายาวนานมากหรือน้อยเพียงใด
ในการปฏิบตั ิหนา้ ทีด่ งั กลา่ ว
5. กาหนดลาดับความสาคัญของเป้าหมาย เป้าหมายท่ีทาได้ยาก ผลประโยชน์
ตอบแทนสงู มคี วามสาคญั มาก ลาดับความสาคัญต้องมาเปน็ อันดบั แรก
มนุษยสมั พันธก์ ับการจงู ใจในการทางาน 145
6. ความยากลาบากของเป้าหมาย เป้าหมายที่ยากลาบากจะก่อให้เกิดผลงานสูง และ
บรรลุเป้าหมายได้ยาก
7. สร้างทีมงานให้เข้มแข็ง ขจัดความขัดแย้งต่าง ๆ ให้หมดไป ไม่เช่นนั้น
จะไมส่ ามารถไปถึงเป้าหมายได้
8. การให้ผลประโยชน์ตอบแทน เช่น เงิน รางวัล และผลประโยชน์อ่ืน ๆ ช่วยให้เกิด
ความผูกพันกับเปา้ หมาย ความคาดหวังตอ่ ความสาเร็จสงู
ทฤษฎีการกาหนดเป้าหมายเป็นแนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจ จะมีความสัมพันธ์กันมาก
โดยเฉพาะการนาไปประยุกต์ใช้งาน คือแนวคิดด้านเน้ือหาจะบอกถึงความต้องการของบุคคล และ
แนวคิดด้านกระบวนการจะบอกถึงวิธีการเพื่อนาไปใช้จูงใจพนักงาน คือต้องรู้ว่าพนักงานมีความ
ต้องการและมีความหวังอะไร ซึ่งจะนาสิ่งเหล่านี้ไปใช้เป็นแนวทางในการกาหนดเป้าหมายและใช้
ในการจูงใจ นอกจากนั้น ในเรื่องการจูงใจ ผู้บริหารจะต้องพิจารณาถึงเร่ืองความเป็นธรรม
ความเสมอภาค คา่ ตอบแทน ผลประโยชน์ รางวัลมคี ณุ ค่า มีความเหมาะสมที่แต่ละคนจะได้รบั
ทฤษฎีและการศึกษาเร่ืองการจูงใจที่กล่าวมาในที่นี้ เป็นเพียงส่วนหน่ึงจากทฤษฎี
และการศึกษาเร่ืองการจูงใจจานวนมาก โดยเลือกนามากล่าวเพ่ือให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจเรื่องการจูงใจ
ในลักษณะท่ีจะเลือกนาไปประยุกต์ใช้ในงานในการประกอบธุรกิจ ซึ่งจะต้องเลือกไปใช้ให้เหมาะสม
กับบุคคล สถานการณ์และองค์กร เพื่อสร้างบรรยากาศท่ีดีต่อการทางาน ซ่ึงก็นับว่าเป็นการประยุกต์
ทฤษฎีทมี่ ปี ระโยชน์ต่อการสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ในการทางานในองค์กร
การประยุกตค์ วามรู้เร่อื งการจงู ใจไปใชใ้ นการทางาน
การจูงใจมีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรมและการทางานของบุคคล ผู้บริหารองค์กร
ท่ีปรารถนาความก้าวหน้าในองค์กร จึงควรให้ความสนใจกับการประยุกต์การจูงใจไปใช้ประโยชน์
ในงานให้เกิดแก่พนักงานและเกิดแก่ตนเองด้วย ท้ังน้ีเพ่ือให้งานบรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ ซ่ึงในที่น้ี
จะกล่าวใน 2.ประเด็น คือ ข้อควรคานึงในการเสริมสร้างแรงจูงใจและแนวทางการเสริมสร้าง
แรงจงู ใจในการทางาน
ทฤษฎีและการศึกษาเร่ืองการจูงใจมีหลายลักษณะ การที่จะนาแนวคิดของแต่ละทฤษฎี
หรือผลการศึกษาแต่ละเรื่องไปใช้ประโยชน์ในการสร้างแรงจูงใจในงาน จึงทาได้ในแง่มุมท่ีต่างๆ กันไป
ในขั้นตอนของการประยุกต์ใช้นี้ ผู้นาไปใช้จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มบุคคลท่ีเราจะไป
สรา้ งแรงจงู ใจใหเ้ กิดแก่เขา ถ้าเลอื กวิธกี ารไมเ่ หมาะสมแรงจงู ใจก็ย่อมไม่เกดิ
1. ขอ้ ควรคานึงในการเสริมสรา้ งแรงจูงใจในการทางาน มีสิง่ ที่ควรคานึงถึงดงั ต่อไปนี้
1.1 ความแตกต่างระหว่างบุคคล.คือ มนุษย์เราแม้จะมีลักษณะร่วมของความ
เป็นมนุษย์ที่เหมือนกันหลายประการ แต่ความแตกต่างระหว่างบุคคลก็ยังมีมาก ไม่ว่าจะเป็นความต้องการ
เจตคติ ความสามารถ การแสดงออกทางอารมณ์ ความถนัดและความสนใจ ซ่ึงผู้ดาเนินงานธุรกิจ
ควรให้ความสาคัญกับความแตกต่างดังกล่าว แล้วค้นหาวิธีการสร้างแรงจูงใจท่ีเหมาะสมกับบุคคล
146 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ
เฉพาะราย เพราะความแตกต่างของบุคคลนั้น สามารถทาให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์เกิดเป็นผลงาน
หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับองค์กรธุรกิจสามารถท่ีจะพัฒนาให้เหนือกว่าคู่แข่งได้ การมีบุคลากรที่ดี
ที่มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ย่อมทาให้ธุรกิจเกิดความโดดเด่นและเป็นท่ีสนใจของประชาชน
และนักลงทนุ
1.2 แนวโน้มพฤติกรรมเม่ือได้รับแรงกระตุ้น.คือ ผู้ทาหน้าที่สร้างแรงจูงใจในการ
ทางานน้ัน ต้องคานึงถึงพฤติกรรมของบุคคล เน่ืองมาจากส่ิงเร้าเป็นตัวกระตุ้นให้แสดงออก
ซ่ึงส่วนใหญเ่ กดิ จากความตอ้ งการ อาจเป็นความตอ้ งการทางกาย ทางสงั คม หรืออาจเป็นแรงกระตุ้น
จากหลายองค์ประกอบ ถ้าผู้บริหารองค์กรสามารถคาดการแนวโน้มพฤติกรรมเมื่อได้รับแรงกระตุ้น
ของพนักงานได้แน่นอนหรือค่อนข้างแน่นอน คือรู้ว่าใครจะแสดงพฤติกรรมอย่างไร เมื่อได้รับ
แรงกระตนุ้ ต่าง ๆ ก็ย่อมใช้ตวั กระตนุ้ น้ัน ๆ จงู ใจการทางานของพนกั งานได้
1.3 ศักด์ิศรีความเป็นคน มนุษย์ทุกคนย่อมมีศักด์ิศรีของความเป็นคนในตัวเอง
นักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยมจะเน้นความสาคัญในเร่ืองงานเหล่าน้ีมาก มนุษย์มีศักด์ิศรี มีศักยภาพ
มีความสามารถ มีความดีงามในความเป็นมนุษย์ของตน ทุกคนควรมีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ในฐานะ
เกิดมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในการสร้างแรงจูงใจในการทางานให้เกิดในตัวพนักงาน จึงอาจจาเป็นต้อง
ใชว้ ิธีการทค่ี านึงถงึ ศักด์ศิ รีความเปน็ คนดงั กล่าว ไมค่ วรทาให้พนกั งาน เกดิ ความรู้สกึ ว่าเขาได้รับการปฏิบัติ
เยี่ยงเคร่อื งจักรหรอื สัตว์โลกประเภทอน่ื
2. แนวทางการเสรมิ สรา้ งแรงจงู ใจในการทางาน
จากความรู้เกี่ยวกับเรื่องการจูงใจท้ังหมดที่กล่าวมาอาจใช้เป็นแนวทางแก่ ผู้บริหาร
องค์กรใหส้ ามารถเสริมสรา้ งแรงจูงใจในการทางาน ไดด้ ังนี้
2.1 แนวความคดิ ในทฤษฎีลาดับขนั้ ความต้องการของมาสโลว์ ที่ว่าความต้องการ
ขั้นต้น ๆ มาก่อน ถ้ายังไม่ได้สนองความต้องการระดับต้น.ๆ ความต้องการระดับสูงขึ้นไป
จะยังไมเ่ กิด ดังนั้น ผู้บริหารหรือผู้จัดการองค์กรจึงควรศึกษาทาความเข้าใจพนักงาน ก่อนว่ามีความ
ตอ้ งการ อยใู่ นระดบั ใดแลว้ นาสงิ่ ทส่ี นองความต้องการดงั กล่าว มาเป็นสิง่ จูงใจในการทางาน ซ่ึงในแต่ละระดับ
ข้ันตอนอาจมีต่าง ๆ กัน ดงั ตารางต่อไปนี้
มนุษยสมั พนั ธ์กับการจูงใจในการทางาน 147
ตารางที่ 4.1 ลาดับขัน้ ความต้องการของมาสโลว์
ลาดบั ขนั้ ความต้องการ ส่ิงทตี่ ้องการ สิ่งจงู ใจ
1. ความต้องการทางกาย อาหาร น้า การพักผ่อน อากาศ ค่าตอบแทน ค่าจ้าง เงินเดือน
เพศ การขบั ถา่ ย วันหยดุ เวลาพัก สวสั ดกิ าร
2. ความต้องการความม่ันคง ความปลอดภัย ความมั่นคง เงินสงเคราะห์ ความมั่นคงของ
และความปลอดภัย การคมุ้ ครอง งาน เง่ือนไขของหน่วยงาน
ในการรักษาความปลอดภัย
การประกันภยั ประกันชีวิต
3. ความต้องการทางสงั คม กลุ่ม พ ว กพ้อ ง คร อบครั ว สัมพันธภาพที่ดีในหน่วยงาน
มี ส่ ว น ใ น สั ง ค ม ค ว า ม รั ก การทางานเป็นทีม ไมตรีจิตของ
การเอาใจใส่ ผรู้ ่วมงาน
4. ความต้องการได้รับการ สถานะในสังคม การยกย่อง ตาแหน่งงาน การยอมรับจาก
ยกยอ่ งจากบคุ คลอ่นื ชมเชย สั ง ค ม ผ ล สั ม ฤ ท ธ์ิ ใ น ง า น
โล่รางวัล คาชมเชย การได้เป็น
พนักงานดีเด่น
5. ความต้องการความสาเร็จ สัมฤทธผ์ิ ลในงาน ความ งานเพ่ืองาน งานเพื่อความดี
และความสมบูรณ์แบบใน ภาคภูมใิ จในตนเอง คณุ ธรรม ในตวั ของมนั เอง
ชวี ติ คา่ นยิ มสว่ นตน
จากตาราง จะเห็นว่าความต้องการในแต่ละลาดับข้ัน นาไปสู่การจูงใจในการทางาน
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การและสร้างความพึงพอใจในการทางานตลอดจนการสร้าง
มนษุ ยสัมพนั ธ์ทดี่ ีในการอยรู่ ว่ มกนั ในองคก์ ารได้อยา่ งมีความสุข
2.2 การต่ืนตัว.ท่ีว่าการต่ืนตัวในระดับที่พอดีมีผลต่อการเกิดพฤติกรรมอย่างมี
เป้าหมายที่ดีกว่าระดับอ่ืน ดังนั้น ในองค์การจึงควรจัดบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการตื่นตัวในการ
ทางานของพนักงานในระดับท่ีพอดี ไมใ่ หเ้ กิดความผดิ พลาดในการทางาน วิธีการเพื่อให้พนักงานหรือ
ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในภาวะตื่นตัว เช่น อาจจะเป็นการจัดสภาพแวดล้อม แสงเสียง หรือการให้พนักงาน
มุ่งแก้ปัญหาหรือแสวงหาช่องทางปฏิบัติงานที่เหมาะสมด้วยตนเอง.ให้รับผิดชอบงานเป็นส่วน.ๆ และมีอานาจ
ตัดสินใจในงานนนั้ จะดีกวา่ การทางานตามทไ่ี ดร้ ับคาสั่ง ซึ่งจะพบในหน่วยงานหลายแห่งที่หัวหน้าไม่เคย
ปล่อยให้ลูกน้องได้คิดและทาได้ด้วยตนเอง คอยรับงานและฟังคาสั่งท่ีหัวหน้าจะส่ังงานมาให้เท่าน้ัน
เมื่อทาเสร็จแล้วก็นาผลงานไปมอบให้และรับงานใหม่มาทาตามคาส่ังอีก วิธีนี้ถ้าลูกน้องเป็นคนเก่ง
และมีประสิทธิภาพจะเกิดความเบ่ือหน่าย ทาให้ขาดแรงจูงใจในการทางาน อาจจะส่งผลเสียต่อ
148 มนษุ ยสมั พันธท์ างธุรกจิ
องค์กรได้ เพราะหากพนักงานเกิดการเบื่อหน่ายมากๆอาจจะขอลาออก เพื่อไปหางานใหม่ท่ีท้าทาย
ตวั เองกวา่ น้ีทาใหอ้ งค์กรเสียบุคลากรทีม่ ีความรคู้ วามสามารถไป
2.3 ความคาดหวัง ที่ว่าการต้ังระดับความคาดหวังที่เป็นไปได้ พอดีและเหมาะสม
สาหรับตนเอง ซึ่งมักจะคาดหวังตามค่านิยมของตน จะเป็นส่ิงกระตุ้นหรือสิ่งท้าทายให้มีชีวิตชีวา
และมานะพยายามให้บรรลเุ ป้าหมายให้ได้ ดงั น้นั ผู้จัดการองค์กรจึงควร สอื่ สาร สร้างความเข้าใจที่ดี
ให้เกดิ แกพ่ นกั งาน เพ่ือให้ความคาดหวังน้นั .ๆ.เปน็ สิง่ ท่ีเป็นไปได้ เพ่อื จะไมเ่ กิดความท้อแท้ คับข้องใจ
ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งองค์กรและตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใช้วิธีหลอกลวงให้พนักงาน
ต้ังความหวังลม ๆ แล้ง ๆ โดยเป็นจริงไม่ได้ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีอย่างแน่นอน บางทีถึงขั้นทาลาย
องค์กรใหเ้ สียหาย หรืออาจเกดิ ปัญหาแก้แค้นในรปู แบบต่างๆ
2.4 สง่ิ ลอ่ ใจ.ทว่ี ่าสง่ิ ล่อใจเปน็ แรงจูงใจภายนอกซ่ึงอาจจะเป็นวัตถุ สัญลักษณ์ คาพูด
ท่าทีของผู้ที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจในบุคคล ใช้เป็นการจูงใจในการทางานได้ ดังนั้น ผู้จัดการหรือ
เจ้าขององค์กรจึงควรพยายามทาความเข้าใจพนักงาน แล้วใช้สิ่งท่ีเขาพอใจมาเป็นส่ิงล่อใจให้เกิด
พฤติกรรมตามต้องการ อาจจะเป็นรางวัล ส่ิงของ คาชม เกียรติ โล่สัญลักษณ์ การจัดให้มีการ
ประกวดชิงรางวัลหรือชิงความเป็นหนึ่งในงานบางงาน หรือแม้แต่การต้ังสัดส่วนโบนัสประจาปี
ตามอัตรายอดขายหรือปริมาณงาน ก็จัดว่ามีส่วนช่วยสร้างแรงจูงใจในการทางานให้แก่พนักงานได้
ข้อควรระวังคือการเลือกสิ่งที่จะนามาเป็นเครื่องล่อ ซ่ึงจะต้องเลือกในส่ิงที่พนักงานพอใจหรือ
อยากได้
2.5 แรงจูงใจภายนอกและแรงจูงใจภายใน.ที่ว่าแรงจูงใจภายในให้ผลต่อพฤติกรรม
การทางานของพนักงานที่ถาวรมากว่าแรงจูงใจภายนอก ไม่ว่าจะได้ผลตอบแทนเป็นส่ิงของหรือรางวัล
หรือไม่ ก็ยังคงทางานดีสม่าเสมอ ดังน้ัน ผู้บริหารองค์กรจาเป็นต้องใช้แรงจูงใจภายนอกในช่วงต้น
เพื่อให้เกดิ พฤติกรรมการทางานทดี่ ีของพนักงาน แตก่ ต็ อ้ งพยายาม สอดแทรกให้เกิดแรงจูงใจภายใน
ไปด้วย เช่น เม่ือใช้สิ่งล่อใจมาทาให้พนักงานขยันทางาน เมื่อขยันก็ทาให้เกิดผลสาเร็จท่ีดี ความสาเร็จ
ในงานทาให้พนักงานสนใจงาน ให้ความสาคัญกับงาน อยากทางานให้ดีต่อไป จัดว่าเร่ิมเกิดแรงจูงใจ
ภายในแล้ว เมือ่ ได้รบั แรงเสรมิ จากผู้บรหิ ารหรือหวั หนา้ งาน ให้ตระหนักในความสาคัญของงานนั้น ๆ
มากขึ้น โดยช้ีให้เห็นประโยชน์และคุณค่าในการทางานดี ก็จะส่งผลให้พนักงานมีแนวโน้มตั้งใจ
ทางานดีสม่าเสมอมากข้ึน ซ่ึงบางทีก็อาจต้องใช้ คาขวัญ สุภาษิต คาพังเพย บทกลอนสอนใจ เข้ามา
ช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดแก่พนักงานดังกล่าว.อันจะทาให้พนักงานรักในตัวหัวหน้าและ
รักที่จะทางานใหก้ บั องคก์ รได้อยา่ งเต็มที่และสุดความสามารถ
2.6 ปัจจัยด้านสุขอนามัย.ในทฤษฎีสองปัจจัยของเฮอร์เบอร์ก ซ่ึงเป็นปัจจัยด้าน
ส่ิงแวดล้อมของงาน แม้ผลการศึกษาจะพบว่าไม่ถึงกับทาให้เกิดแรงจูงใจในการทางาน แต่ถ้าไม่จัด
ให้มีในหน่วยงานก็จะพบว่าพนักงานไม่พอใจ จึงเป็นแนวคิดแก่ผู้บริหารองค์กรท่ีต้องใส่ใจ
ให้ความสาคัญและจัดให้มีปัจจัยด้านการบารุงรักษาในองค์กร ท้ังในด้านการนิเทศงาน นโยบาย
และการบริหารองค์กร ภาวการณ์การทางาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมงาน ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร
มนษุ ยสมั พันธก์ บั การจงู ใจในการทางาน 149
ชีวิตส่วนตัวท่ีดีและสภาพการทางาน การจัดให้มีปัจจัยดังกล่าว เพ่ือทาให้พนักงานเกิดความรู้สึก
อยากท่ีจะทางาน เพราะบรรยากาศทาใหร้ ้สู กึ ผ่อนคลาย สบายตา น่าทางาน เมื่อพนักงานอยากที่จะ
ทางาน อารมณด์ กี จ็ ะทาใหง้ านท่ที าออกมาดตี ามไปดว้ ย
2.7 ปัจจยั จงู ใจ ในทฤษฎสี องปัจจัยของเฮอร์ซเบอร์ก ซ่ึงเป็นปัจจัยด้านงาน ถ้าจัดให้
มีข้นึ จะสง่ ผลให้พนกั งานพึงพอใจ ปัจจยั ดา้ นงานดงั กลา่ ว ได้แก่ ความสัมฤทธิ์ผล การยอมรับนับถือจากคน
อ่ืน ความน่าสนใจของงาน การได้มีโอกาสรับผิดชอบ โอกาสก้าวหน้าและโอกาสให้พนักงานตัดสินใจ
รับผดิ ชอบในงาน ให้ทางานร่วมกันหรือพัฒนางานร่วมกัน เช่น อาจตั้งกลุ่มสร้างคุณภาพงานให้อิสระในการ
ทางาน ให้มีโอกาสรับทราบผลงานสม่าเสมอ เพ่ือแสดงการยอมรับและให้ได้มีโอกาสทดลองงานใหม่ ๆ
รวมท้ังมอบงานพิเศษบางด้านให้ทา ทั้งนี้เพ่ือเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าของพนักงานและตัว
องค์กรธุรกิจเองดว้ ย
2.8 ความต้องการ 3 ประเภท ของแมคคลีแลนด์ ซึ่งเน้นจุดสาคัญท่ีความต้องการ
ความสาเร็จของบุคคลโดยบุคคลมิได้หวังรางวัลตอบแทนจากความสาเร็จนั้น หากแต่มีความสุขความ
พอใจกับผลงานที่สาเร็จได้ด้วยดี จึงเป็นแนวปฏิบัติแก่ผู้บริหารองค์กร ในการมอบหมายงานที่เปิดโอกาส
ให้เขารับผิดชอบในงานนั้นให้มากที่สุด ผู้บริหารหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเก่ียวให้เขาได้ทางานตามระดับ
ความสามารถ คือไม่ง่ายเกินไปหรือยากเกินไปและให้มีการส่ือสาร เพื่อให้เจ้าตัวรับทราบผลงาน
โดยสม่าเสมอและต่อเน่ือง เพ่ือให้พนักงานน้ัน.ๆ ม่ันใจในความมั่นคงของความก้าวหน้าในงาน
ของตนเอง ความม่ันคงของความก้าวหน้าในงาน ในท่ีนี้มิได้หมายถึงตาแหน่งงานหรือค่าตอบแทน
แต่หมายถึงผลสัมฤทธขิ์ องงานท่เี ป็นไปโดยตอ่ เน่ือง
2.9 ทฤษฎีแรงจูงใจไร้สานึกของซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ว่าแรงจูงใจไร้สานึกเป็นสิ่ง
ผลักดันให้เกิดพฤติกรรม แม้แนวคิดจากทฤษฎีดังกล่าวไม่สามารถนามาเป็นแนวทางสร้างแรงจูงใจ
ให้แก่พนักงานได้ เพราะแรงจูงใจไร้สานึกเป็นเร่ืองเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล แต่ก็ช่วยให้ผู้บริหาร
องค์กรเกิดความเข้าใจในพฤติกรรมท่ีเกิดจากแรงจูงใจไร้สานึกของพนักงานได้บ้างไม่มากก็น้อย
ถ้าแรงจูงใจไร้สานึกมอี ยูจ่ รงิ ในบคุ คล
2.10 ทฤษฎกี ารจงู ใจท่เี น่อื งมาจากส่ิงเร้าของกลุ่มพฤติกรรมนิยม ท่ีเห็นว่าควรใช้
ส่ิงเร้าท่ีเหมาะสมมาทาให้บุคคลแสดงพฤติกรรม และเม่ือเกิดพฤติกรรมท่ีพึงปรารถนาแล้วก็ให้
แรงเสริมกับพฤติกรรมท่ีพึงปรารถนาน้ัน เพื่อให้แสดงพฤติกรรมที่ดีดังกล่าวอีกในเวลาต่อไป
เป็นแนวความคิดแก่ผู้บริหารและผู้จัดการองค์กร ในการสร้างส่ิงแวดล้อมท่ีเหมาะสมท่ีจะกระตุ้น
ให้บุคคลทางานและเม่ือทางานได้รับผลดีก็ควรมีระบบการให้แรงเสริมในลักษณะต่างๆ ตามที่
พนกั งานนัน้ ๆ ต้องการ เพอ่ื สนับสนุนให้มพี ฤตกิ รรมการทางานท่ีดีโดยสม่าเสมอต่อไป
ในการประยุกต์ความรู้เรื่องการจูงใจไปใช้ในการทางาน ถือว่ามีความสาคัญและมีความ
จาเปน็ สาหรับการพฒั นาองคก์ รให้ประสบความสาเร็จ ซึ่งผู้บริหารองค์กรควรคานึงในการเสริมสร้าง
แรงจงู ใจในการทางานและหาแนวทางการเสริมสร้างแรงจูงใจในการทางานให้เหมาะสมกับบุคลากร
และเหมาะสมกบั วฒั นธรรมขององคก์ รนนั้ ๆ
150 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ
ลักษณะของกล่มุ ทางานทม่ี ีความสัมพนั ธอ์ ันดี
การศึกษาเรื่องลักษณะของกลุ่มทางานที่มีความสัมพันธ์อันดีในทางธุรกิจเพื่อให้ผู้บริหาร
และบุคลากรองค์กรธุรกิจเกิดความเข้าใจและค้นหาแนวทางเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ในองค์กรท่ีตนเองเป็นสมาชิก ตามบทบาทหน้าท่ีของตนในองค์กรน้ัน ๆ คาว่า “ลักษณะของกลุ่ม
งาน”.ท่ีกล่าวถึงในท่ีน้ีมุ่งเน้นที่พฤติกรรมการกระทา การปฏิบัติต่อกันและกันของผู้ทางานที่ทางาน
รว่ มกนั เป็นกล่มุ ซึง่ มีลกั ษณะท่ีสาคัญดังต่อไปน้ี
1. มกี ารทางานร่วมกันแบบประชาธปิ ไตย
บุคคลส่วนใหญ่มักต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่มท่ีตนเป็นสมาชิกซึ่งการทางาน ในทาง
ธุรกิจร่วมกันแบบประชาธิปไตยจะสนองความต้องการน้ีได้ โดยท่ีทุกคนต่างมีสิทธ์ิ มีเสียงในการ
แสดงความคิดเห็นต่อรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติของเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งจาก
ผลการศึกษาวิจัยของ เลอวิน นักจิตวิทยากลุ่มทฤษฎีสนาม พบว่าการทางาน ร่วมกัน
แบบประชาธิปไตย ช่วยให้กลุ่มมีความร่วมมือและงานสาเร็จดีกว่ากลุ่มเผด็จการหรือกลุ่มเสรีนิยม
จึงกล่าวได้ว่าการทางานร่วมกันแบบประชาธิปไตยช่วยเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ ขององค์กรได้เป็น
อย่างดี
2. มคี วามไวว้ างใจและเชอ่ื ในความสามารถซง่ึ กันและกนั
บุคคลทั่วไปมักต้องการความเช่ือถือและความไว้วางใจจากผู้อื่น ดังนั้นในการทางาน
ร่วมกันทุกคนควรต้องให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพ่ือน
ร่วมงาน ไม่เข้าไปก้าวก่าย ถ้าเขาไม่ขอความช่วยเหลือ การก้าวก่ายเกินหน้าที่มักก่อให้เกิดปัญหา
ความขดั แย้ง สรา้ งผลเสยี ตอ่ งานมากกวา่ ผลดี
3. มกี ารติดต่อสื่อสารทีด่ ใี นหนว่ ยงาน
มนุษย์ทุกคนมักต้องการความชัดเจนในงาน และต้องการความสบายใจในการอยู่ร่วมกัน
ซ่ึงการติดต่อส่ือสารท่ีดี นอกจากช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกันแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์
ส่วนตัวกันด้วย ถ้ากลุ่มมีการติดต่อส่ือสารที่ดีจะมีส่วนส่งเสริมท้ังประสิทธิภาพของงานและการอยู่
ร่วมกันในกลุ่มทางานท่ีดีนั้นมักใช้การส่ือสารสองทางหรือหลายทางมากกว่า การส่ือสารทางเดียว
คือให้มีการตอบโต้ อภิปราย แสดงความเห็นหรือซักถามข้อสงสัยร่วมกันมากกว่าที่จะรับคาสั่ง
หรอื รบั ฟังความคิดอยขู่ ้างเดียว ขณะเดยี วกนั ในการใช้ภาษาเพอื่ สือ่ สารไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียน
ก็ใหเ้ ปน็ ไปในทางทสี่ ร้างสรรคใ์ ห้เกดิ ผลดีซ่ึงกันและกัน
4. มกี ารชว่ ยเหลอื กันในขอบเขตทเ่ี หมาะสม
ในการทางานและอยู่ร่วมกันในกลุ่ม ถ้าทุกคนพร้อมต่อการเป็นผู้ให้ย่อมทาให้เกิด
ความสุขในกลุ่มได้ การช่วยเหลือเพ่ือนร่วมงานจัดว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่งซ่ึงก่อให้เกิด
ความรู้สึกเป็นมิตร ซาบซ้ึงใจ พึงพอใจและเกิดความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน แต่ท้ังน้ีต้องเป็นการให้