The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aomsin3692, 2021-11-08 11:07:07

บทที่ 1

บทที่ 1

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผอู้ ่ืนเพอ่ื สรา้ งมนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กิจ 51

ต่าง ๆ จึงควรทาความเข้าใจตนเองและนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตและการทางานในองค์กร
ซ่ึงหลักของพุทธศาสนาสามารถทาให้บุคคลรู้จักตนเองโดยผ่านบุคลิกภาพ สามารถแบ่งได้เป็น 4 งาม
ซึ่งเรยี กวา่ ความงาม4 ช้ัน ได้แก่

3.1 งามอาภรณ์ หมายถึง.วัตถุท่ีห่อหุ้มร่างกาย เช่น เสื้อผ้า เคร่ืองนุ่งห่ม
เคร่ืองประดับรวมถึงเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนท่ีช่วยป้องกันอันตรายแก่ร่างกาย รวมท้ังเป็นส่วน
ทช่ี ว่ ยสง่ เสริมให้บคุ คลมคี วามสง่างาม โดยตามหลักพุทธศาสนาสิ่งท่ีควรคานึงถึงในเรื่องนี้ได้แก่ความ
สะอาด การนุ่งห่มเรียบร้อย ถูกต้องกับกาลเทศะ ซ่ึงถ้าพนักงานสามารถปฏิบัติได้ก็จะเป็นการสร้าง
ภาพลักษณ์ที่ดใี ห้กบั องค์กร

3.2 งามร่างกาย หมายถึง เน้ือตัวงาม ซึ่งในการติดต่อส่ือสารทางธุรกิจบุคลิกภาพ
ถือเป็นสิ่งสาคญั ท่ีจะนาไปสู่การสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับบุคคลอ่ืน ซ่ึงศาสนาพุทธวางหลักว่าร่างกาย
งามประกอบดว้ ย

3.2.1 ผิวดี หมายถึง ผิวเกล้ียงเกลา สะอาดสะอ้าน ปราศจากกล่ินไม่พึงประสงค์
ไม่มกี ลากเกลื้อนหรือโรคผวิ หนังใด ๆ

3.2.2 เสียงดี.หมายถึง การพูดด้วยน้าเสียงสุภาพ ควรเป็นเสียงน่าฟัง ไม่กระโชก
โฮกฮากหรือเสียงดังจนเกินควร รวมทั้งต้องเหมาะสมกับเพศตนด้วย อาทิเช่น ผู้หญิงก็ควรมีเสียงเล็ก
กลมกล่อม สว่ นผูช้ ายนัน้ ควรมเี สียงกังวาน ห้าวหาญ นา่ เกรงขาม

3.2.3 ทรงดี หมายถงึ ทรวดทรงทางรา่ ยกาย เช่น ส่วนสูง น้าหนักต้องสมส่วนไม่อ้วน
ไม่ผอมเกินไป ท้ังนี้ควรรวมถึงการมีร่างกายแข็งแรงท่ีสมบูรณ์ สุขภาพดี ไม่ง่อยเปลี้ยพิการ
แตอ่ ย่างใด

3.2.4 รูปดี หมายถึง การมีลักษณะท่าทางท่ีดี การวางตนที่เหมาะสม มีความ
สะอาด สวยงาม สามารถสร้างความประทับใจแก่บุคคลท่ีพบเห็น จากส่ิงท่ีกล่าวมาท้ัง 4.ประการ
พุทธศาสนาจึงถอื ว่าเปน็ ลกั ษณะงามร่างกาย

3.3 งามมารยาท หมายถึง มีกิริยาท่าทาง การวางตัว การแสดงออกท่ีสุภาพ พฤติกรรม
เหมาะสมกับกาลเทศะ ในทางธุรกิจกริยามารยาท ถือเป็นสิ่งสาคัญในการสร้างมนุษย์สัมพนธ์กับผู้อ่ืน
ดังหลักธรรมทเ่ี รยี กว่า สปั ปรุ ิสธรรม 7 อนั เปน็ หลกั ธรรมในการวางตน ได้แก่

3.3.1 ความเป็นผู้รู้จักเหตุ (ธัมมัญญุตา) คือ รู้จักวิเคราะห์สาเหตุความเป็นไป
ของสิ่งต่าง ๆ หาสาเหตุว่าส่ิงท่ีเป็นอยู่เกิดข้ึนจากอะไรบ้าง การพิจารณาอย่างรอบคอบจะทาให้เรา
ไม่ด่วนสรุปตัดสินใจในการกระทาส่ิงต่าง ๆ ท่ีอาจนามาซึ่งความเดือดร้อนหรือเข้าใจผิดได้ ในการ
สร้างมนุษยสมั พันธ์ บคุ คลควรเปน็ ผรู้ ้จู ักเหตแุ ละมกี ารพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ

3.3.2 ความเป็นผู้รู้จักผล (อัตถัญญุตา) คือ การรู้จักคาดคะเนถึงผลท่ีจะตามมา
ของสาเหตุต่าง ๆ เม่ือเราทราบผลที่จะเกิดข้ึนล่วงหน้า ก็จะปฏิบัติตนไปในแนวทางท่ีถูกต้อง
ได้มากขึน้ เชน่ การเปน็ นักศกึ ษาก็ควรทราบว่า การเรียนหนังสือให้ได้คะแนนดี เป็นผลของความหม่ันเพียร

52 มนุษยสมั พันธท์ างธุรกิจ

เอาใจใส่รับผิดชอบในการเรียน หรือการสอบตกเป็นผลของการเกียจคร้าน ไม่สนใจเรียนเอาแต่
เท่ยี วเตร่ เป็นต้น

3.3.3 ความเป็นผู้รู้จักตน (อัตตัญญุตา) คือ การรู้จักตนอยู่เสมอว่าตนเป็นใคร
มีฐานะมีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมเพียงใด เม่ือรู้ว่าตนยังไม่ชานาญหรือบกพร่องในด้านใด
กจ็ ะไดห้ าความชานาญ เพอื่ จะพัฒนาตน ไมห่ ลงตนเองหรือหลงเช่อื ใครง่าย ๆ

3.3.4 ความเป็นผู้รู้จักประมาณ (มัตตัญญุตา) คือ การรู้จักความพอดี พอเหมาะ
พอควรในการทาทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ไม่หักโหมหนักมากเกินไปในเวลาทางาน การรู้จักระมัดระวัง
คาพูดตนใหอ้ ยู่ในขอบเขตพอดี ไมม่ ากหรือนอ้ ยไปในขณะสนทนากับผู้อนื่

3.3.5 ความเป็นผู้รู้จักกาล (กาลัญญุตา) คือ การรู้จักจังหวะ เวลาในการ
กระทาสิ่งต่าง ๆ เช่น รู้จักตัดสินใจลงมือกระทา โดยไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งถือว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
ในการใช้เวลา การรู้จักกระทาหรือพูดท่ีไม่เหมาะสมกับเวลาหรือโอกาส อาจก่อให้เกิดผลเสียหาย
กบั ตนเองหรอื ผ้อู ่ืนได้

3.3.6 ความเป็นผู้รู้จักชุมชนหรือสังคม (ปริสัญญุตา) คือ การรู้จักชุมชนหรือ
สังคมว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น มีวัฒนธรรม มีค่านิยม การแต่งกาย มีแบบแผนการดาเนินชีวิต
อย่างไร เพ่อื ท่เี ราจะได้ปรบั ตัวและวางตัวได้ถูกต้อง เหมาะสมในสงั คมน้นั ๆ

3.3.7 ความเป็นผู้รู้จักบุคคล.(ปุคลัญญุตา).คือ การทาความเข้าใจ รู้จัก
ลักษณะของบุคคลว่ามีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านความรู้ เจตคติ นิสัยใจคอ ความประพฤติ
เพือ่ ท่ีจะยอมรับและปฏบิ ตั ิตอ่ บคุ คลนนั้ ไดถ้ ูกตอ้ ง

ซ่ึงถ้าผู้ประกอบธุรกิจรู้จักวางตนได้เหมาะสมโดยยึดหลักธรรมดังกล่าวแล้วน้ันจะ
ทาให้สามารถรู้จักตนเองมากข้ึน รู้จักการปฏิบัติตนได้ถูกต้อง มีมารยาทกับคนท่ัวไปและบุคคล
ภายในและภายนอกองค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถสร้างความเข้าใจและมิตรภาพอันดี
ในการประกอบธรุ กจิ ใหป้ ระสบผลสาเร็จได้

3.4 งามจิต หมายถึง การมองโลกในแง่ดี คิดแต่สิ่งดี ๆ ถือว่าเป็นสิ่งท่ีสาคัญ
เป็นความงามท่ีเกิดขึ้นภายใน เป็นแก่นแห่งความงดงามต้องมาจากจิตใจภายในต่อเพื่อนมนุษย์
รวมทั้งส่ิงต่าง.ๆ.มีเมตตา มีน้าใจ เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่โดยไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทน บุคคลในลักษณะน้ีถือว่า
เป็นบุคคลที่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอ่ืนได้เป็นอย่างดี ซึ่งควรยึดหลักธรรม ท่ีช่วยในการ
สังเคราะหผ์ ู้อ่ืนท่ีเรียกว่า สงั คหวตั ถุ 4 ได้แก่

3.4.1 ทาน หมายถึง การให้แก่ผู้อื่น ให้ได้ท้ังอามิสทานซึ่งเป็นปัจจัยต่าง.ๆ
ได้แก่ ทรัพย์สินส่ิงของในเวลาอันควร เช่น บริจาคเงินหรือส่ิงของให้แก่เด็กกาพร้า คนชราหรือ
ผู้ด้อยโอกาสกว่า มิตรสหายที่ขาดแคลน รวมทั้งให้ของขวัญในวาระต่าง ๆ เป็นต้น หรืออาจเป็นการ
ให้ความช่วยเหลือโดยการแนะนา ใหค้ วามรู้หรอื ประสบการณ์ เช่น ในการอบรมวิชาชีพให้แก่ผู้ยากไร้โดยไม่
คดิ ค่าตอบแทน ซ่ึงถือเปน็ รปู แบบของวิทยาทาน หรืออาจเป็นการให้ในรูปแบบของธรรมทานให้การ
ตักเตือนสงั่ สอน รวมท้ังอภยั ทานคือการให้อภยั ในส่ิงท่ีผดิ พลาด

การศึกษาความเขา้ ใจตนเองและผูอ้ ่นื เพอ่ื สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ 53

3.4.2 ปิยวาจา หมายถึง การใช้วาจาคาพูดที่ไพเราะ อ่อนหวาน ไม่ใช้คาพูดในทาง
ที่ทาให้ผู้อื่นเส่ือมเสีย ไม่พูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียด ยุยงให้ผู้อื่นแตกกัน พูดให้ผู้อ่ืนสะเทือนใจหรือพูดโกหก
รวมท้ังไม่พูดจาหยาบคาย ก้าวร้าว

3.4.3 อัตถจริยา หมายถึง การประพฤติตนในสิ่งท่ีเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
หรอื ส่วนรวม ช่วยเหลือเก้ือกลู กนั เช่น ให้การช่วยเหลือยามเจบ็ ปว่ ย

3.4.4 สมานัตตตา หมายถึง การเป็นคนวางตนได้เหมาะสม เสมอต้นเสมอปลาย
ไม่ถือตัว มีความพอดี มีการปรับตัวให้เข้ากับผู้อ่ืน ซ่ึงต้องอาศัยการทาความเข้าใจตนเองและผู้อื่น
เพ่ือทจี่ ะนาไปส่กู ารวางตัวเข้ากนั ไดข้ องบคุ คล

ในการรู้จักตนเองน้ัน เราอาจมีหลายวิธี ซ่ึงแต่ละวิธีก็จะนาไปสู่การยอมรับในส่ิงท่ี
ตนเองเปน็ อยู่ อันจะเป็นประโยชนใ์ นติดต่อกันระหวา่ งบุคคล ชว่ ยสรา้ งเสริมมนุษยสมั พนั ธด์ ้วยกนั ทั้งส้นิ

4. การยอมรบั ตนเอง
การยอมรับตนเอง.หมายถึง.การท่ีบุคคลรู้จักเข้าใจตนเองรู้ข้อดีข้อบกพร่อง

และภาพพจน์ตนเองอย่างแท้จริง โดยพ้ืนฐานของการยอมรับตนเองน้ันมาจากการรู้จักตนเองทาให้
มองเหน็ ภาพทเ่ี ปน็ เอกลักษณ์ของตนอย่างแท้จริง แต่การค้นหาเอกลักษณ์ของตนเองดังกล่าวอาจทา
ไม่ได้ง่ายนัก หากบุคคลขาดการยอมรับตนเองในทุกด้าน เช่น ในการทางานบางคนยอมรับตนเอง
เฉพาะส่วนที่ดีแต่ไม่ยอมรับตนเองในส่วนที่บกพร่อง.จึงทาให้เกิดผลเสียในการทางานในองค์กร
อีกดว้ ย

นอกจากน้ีบุคคลและองค์กรธุรกิจควรทาความเข้าใจเพ่ือทาความรู้จักและยอมรับ
ตัวเองมากข้ึนว่าการยอมรับตนเองประกอบด้วยส่ิงสาคัญ 6 ประการเพื่อเป็นพ้ืนฐานในการนาไป
ประยุกต์ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ได้ดงั ต่อไปน้ี

4.1 ดา้ นความรู้ หากบคุ คลทาความรจู้ ักและยอมรบั ตนเองอยู่เสมอถึงความรู้ในด้าน
ตา่ ง ๆ อย่ตู ลอดแลว้ .จะทาให้รู้จักเปรียบเทียบตนเองกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่เพ่ือเลือกและหาทาง
ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งต่อคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งความรอบรู้
ในหลักการ ทฤษฎีและนาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างรอบคอบมีเหตุผล ก็จะทาให้ประสบความสาเร็จ
อีกด้วยและสามารถนาความรู้ความสามารถท่ีมีมาประยุกต์ใช้ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคน
ในองคก์ รไดเ้ ปน็ อย่างดี

4.2 ด้านสุขภาพและศักยภาพทางร่างกาย เพ่ือประเมินดูความสามารถทางกาย
ที่ตนมีอยู่ว่าเพียงพอที่จะจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ดีมากน้อยหรือมีข้อจากัดของร่างกายในด้านใด
และมีความพร้อมท่ีจะสรา้ งสมั พันธภาพทีด่ ีกบั คนอนื่ ๆ ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด

4.3 ด้านฐานะทางเศรษฐกิจ การรู้จักตนในด้านฐานะทางเศรษฐกิจจะทาให้บุคคล
สามารถวางแผนในการบริหารทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ในการตอบสนองเป้าหมายต่างๆ ท่ีตนได้ต้ังไว้
อีกท้ังยังเป็นการช่วยในการประมาณตนในด้านการใช้จ่าย ไม่ให้ตนฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายเกินฐานะอันทา
ให้อาจเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา.เพราะการที่บุคคลสามารถรู้จักและยอมรับตนเองในด้าน

54 มนษุ ยสมั พันธท์ างธุรกจิ

เศรษฐกจิ ได้เป็นอย่างดี ย่อมสามารถท่ีจะปรบั ตัวและไม่ทาให้ผู้อ่ืนเดือดร้อนเป็นการสร้างสัมพันธ์ท่ีดี
ในองค์กร

4.4 ด้านสตปิ ัญญา.บุคคลมคี วามสามารถทางสติปญั ญาแตกตา่ งกนั ไป บางคนเป็นผู้เรียนรู้
รับรู้สิ่งต่าง.ๆ ได้เร็ว และในขณะเดียวกัน หลายคนก็อาจมีการรับรู้ในเรื่องต่าง.ๆ.ได้ช้าหรือมีความ
ถนัดในการเข้าใจแต่ละด้านไม่เท่าเทียมกัน หากการทางานในองค์กรบุคคลแต่ละบุคคลควรทาความรู้จัก
ตนเองในด้านสติปญั ญานี้ จะทาใหห้ าวธิ ีเสริมสรา้ งจุดบกพร่องของตนหรือส่งเสริมสติปัญญาด้านที่ตน
ถนัดได้และยังสามารถนาสติปัญญาที่ตนมีอยู่ไปช่วยเหลือเพ่ือนร่วมงานในการทางานหรือการ
อยู่รว่ มกนั ก็ถือวา่ เปน็ การนาสตปิ ัญญาไปสร้างมนุษยสัมพันธไ์ ดอ้ ีกทาง

4.5 ด้านนิสัยและความสนใจ การได้ทาในสิ่งท่ีตนเองมีความสนใจจะทาให้บุคคล
ปฏิบัติส่ิงนั้นได้ดี ดังนั้น การสารวจและทาความเข้าใจถึงนิสัยและความสนใจของตนเองก็จะทาให้
ประสบความสาเร็จในการทาส่ิงต่าง.ๆ ได้อย่างมีความสุขด้วย นอกเหนือไปจากนั้นการรู้จักนิสัย
ข้อบกพร่องของตนเองก็จะทาให้ตนได้ตระหนักถึงอารมณ์รวมทั้งบุคลิกภาพบางด้านอันอาจเป็นส่ิง
ท่ขี ัดขวางความสมั พนั ธ์รว่ มกนั กับบคุ คลอ่นื ได้

4.6 ด้านความสามารถและความถนัดเฉพาะ ความสามารถมีทั้งความสามารถ
โดยทว่ั ไปทค่ี นอืน่ ๆ สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้เหมือนกนั และความสามารถพเิ ศษอนั เป็นความถนัดโดยเฉพาะบุคคล
ซ่ึงถือว่าเป็นส่ิงที่มีนอกเหนือจากบุคคลอ่ืน โดยความถนัดเฉพาะบุคคลนี้ บางคร้ังอาจเอ้ือต่อการสร้าง
ความสัมพันธ์ให้เกิดข้ึนได้ เช่น มีความถนัดเฉพาะในศิลปะการประกอบอาหารต่าง ๆ จะทาให้มีเสน่ห์
กบั ผ้ทู ่รี จู้ กั และพบเหน็

การรู้จักยอมรับตนเองตามท่ีได้กล่าวมาข้างต้นน้ันทาให้ผู้บริหารองค์กรและบุคคล
ในองค์กรธุรกิจได้รู้ว่าตนเองมีความรู้ความสามารถอะไรบ้างและยอมรับในความเป็นตัวตนของ
ตนเอง ตลอดจนสามารถนาความรู้ความสามารถท่ีตนเองมีอยู่มาปรับใช้ในการทางานและการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์กับคนในองคก์ รไดเ้ ป็นอย่างดี

5. ปจั จัยท่ีมีอิทธพิ ลต่อการยอมรับตนเอง
ในการยอมรับตนเองได้นั้น ถอื เป็นสงิ่ ทด่ี ีของบุคคลในการเข้าใจตัวตนของตนเองและ

สามารถพัฒนาตนเองใหม้ ีความพร้อมในทกุ ๆ ด้านเพือ่ ผ้ทู ี่เกีย่ วข้องกบั การประกอบธุรกิจจะสามารถ
นามาประยุกต์ใชใ้ นการทางานและการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์กับบุคคลภายในและภายนอกองค์กรธุรกิจ
ได้ ซึง่ ปัจจัยท่มี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การยอมรบั ตนเอง มีดงั ตอ่ ไปนี้

5.1 การสะท้อนภาพจากบุคคลอื่น หมายถึง.การสังเกตปฏิกิริยาท่ีผู้อื่นแสดงต่อตนเอง
ออกมาในการทางาน ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรา ถ้าเขายอมรับเราได้ก็จะปฏิบัติดีกับเรา ในทาง
ตรงกันขา้ มถา้ เขาไม่ยอมรับเราก็จะปฏิบัติไม่ดีกับเรากลับมา เราจึงควรนาสิ่งที่ได้รับจากการสะท้อน
มาพจิ ารณาเพ่อื แกไ้ ขข้อบกพรอ่ งของตัวเราในการอยู่ร่วมกนั ในองคก์ รไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

5.2 การยอมรับตนเองข้ันพื้นฐาน หมายถึง การเชื่อว่าตนได้รับการยอมรับจากผู้อ่ืน
อย่างไม่มีเง่ือนไข เป็นผลทาให้ตนเกิดการยอมรับในตัวเองทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้าน

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผู้อ่ืนเพ่อื สรา้ งมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจ 55

ที่บกพร่อง เช่น ต้องรู้จักยอมรับว่าตนพูดไม่ไพเราะ เป็นคนใจร้อน.เพื่อนามาปรับปรุงแก้ไขในการ
สรา้ งสัมพันธภาพในการอยรู่ ว่ มกนั

5.3 การยอมรบั ตนเองอยา่ งมีเง่อื นไข หมายถงึ การยอมรับตนเองที่เกิดจากการปฏิบัติตาม
กฎหรือทาตามความคาดหวังของคนอื่น ในลักษณะของการทางานในองค์กร รับรู้ตนเองว่ามีนิสัยอย่างไร
ก็ปฏิบัติตัวอย่างน้ัน ซ่ึงเป็นไปตามเง่ือนไขขององค์กร เช่น เป็นคนท่ีเชื่อฟัง ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของ
องค์กรเปน็ อยา่ งดี

5.4 การประเมินตนเอง หมายถึง การนาลักษณะต่าง ๆ ของตนไปเปรียบเทียบ
กับคนในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งหากพบว่าตนมีลักษณะบางอย่างท่ีดีกว่าก็จะยอมรับในด้านนั้น ๆ ของตนสูง
และสามารถนาความรูค้ วามสามารถมาพัฒนาการทางานรว่ มกับเพ่ือนร่วมงานในองค์กรได้

5.5 การเปรียบเทียบตนจรงิ กบั ตนในอุดมคติ เปรียบเทียบตนที่เราคิดว่าเราเป็นกับ
ตนที่คิดว่าอยากจะเป็น หากไม่แตกต่างกันมาก แสดงว่าการยอมรับในตนเองจะมีมาก ในทางตรงกันข้าม
หากตนท่ีคิดว่าเราเป็นต่างจากตนท่ีอยากจะเป็นมาก ย่อมทาให้ยอมรับในตนเองน้อย เช่น อยากเป็น
ผู้บริหาร แต่เป็นคนท่ีไม่มีความสามารถและไม่แสดงผลงานให้ผู้บริหารระดับสูงได้เห็น ก็ย่อมทาให้
บคุ คลนน้ั หลอกตนและยอมรบั ตนได้นอ้ ย

จากปัจจัยที่มีอิทธิพลในการยอมรับตนเอง ทาให้ทราบว่าปัจจัยที่กล่าวมีความสาคัญ
ที่จะสง่ เสริมให้ผู้เกี่ยวข้องกับธรุ กจิ สามารถยอมรับตนเองได้ และกล้าที่จะพัฒนาและปรับปรุงตนเอง
ให้สามารถทางานให้กบั องค์กรไดอ้ ยา่ งเต็มความสามารถนาพาองค์กรไปสูจ่ ดุ มงุ่ หมายทว่ี างไวไ้ ด้

การเข้าใจและยอมรับผูอ้ ืน่ เพอ่ื สร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ

ในการอยู่ร่วมกับบุคคลในสังคมของการทาธุรกิจ จาเป็นต้องติดต่อเกี่ยวข้อง.พบปะ
สังสรรค์กับบุคคลที่มีลักษณะต่าง.ๆ.กันเป็นจานวนมาก ทาให้ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
เพ่ือสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลต่าง ๆ ซึ่งการจะทาเช่นน้ันได้ต้องมีการเรียนรู้ท่ีจะเข้าใจผู้อื่นในลักษณะ
ที่ตวั เขาเป็น โดยไม่คาดหวงั ให้เปน็ อยา่ งที่เราต้องการเพอ่ื ใหก้ ารอยรู่ ว่ มกันเป็นไปอยา่ งสันติสขุ

นอกจากน้ันหากเราสามารถเข้าใจความแตกต่างของบุคคลได้และสร้างความเข้าใจได้
การแสดงพฤติกรรมก็จะสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการติดต่อระหว่างบุคคลได้มากข้ึน ทาให้อยู่
รว่ มกันในองค์กรและสงั คมอยา่ งเป็นสขุ ขจัดข้อขัดแยง้ หรอื ปญั หาต่าง ๆ ในการทางานและการสร้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้.โดยประเด็นในการเข้าใจและยอมรับผู้อ่ืนเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์
ทางธรุ กจิ มดี งั น้ี

1. ความสาคญั ของการเข้าใจผู้อน่ื
การเข้าใจผู้อ่ืนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอย่างมากมายในการสร้างมนุษยสัมพันธ์

ซึ่งฟรีดแมน (Freedman).ได้สรุปถึงความสาคัญและอิทธิพลของการเข้าใจผู้อื่นว่ามีอิทธิพล
ตอ่ พฤติกรรมของบุคคล ดังน้ี

56 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

1.1 ความประทับใจ.บคุ คลจะรบั รู้เข้าใจพฤติกรรมผู้อ่ืนและอาจเกิดความประทับใจ
ได้แม้ว่าจะเป็นเพียงพฤติกรรมเล็ก.ๆ น้อย.ๆ เช่น ผู้บริหารยิ้มให้กับพนักงาน พนักงานก็เกิดความ
ประทับใจกับรอยยิ้ม.เพียงครั้งเดียวของผู้บริหารเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
แต่กลับสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีให้เกิดข้ึนในการทางานร่วมกันและยังส่งผลให้พนักงานอยากร่วมงาน
กับผ้บู ริหารตลอดไป

1.2 เกณฑ์การประเมินผล เป็นหลักในการใช้พิจารณาและแสดงออกว่าพฤติกรรม
ระดับใดของบุคคลจึงจะเกิดความประทับใจในพฤติกรรมของผู้อื่นได้ เช่น ในการทางานผู้บริหารมีการ
ซักถามเกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบของพนักงานเป็นเพียงแค่การทักทายด้วยประโยคธรรมดา ก็อาจเป็นที่
ประทับใจหรอื พอใจให้กับพนกั งานไดแ้ ละทาให้มีใจรักและทุ่มเทการทางานให้กับผบู้ ริหารอยา่ งเต็มท่ี

1.3 บุคคลที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จะมีพฤติกรรมท่ีดีต่อกัน ซ่ึงในการทางาน
ในองค์กรธุรกิจจะต้องมีการติดต่อประสานงานกันและอาจเกิดความขัดแย้งกันหรือมีทัศนคติไม่ค่อย
ตรงกัน ย่อมจะมีพฤติกรรมท่ีดีต่อกันได้ยาก.ดังน้ันผู้บุคคลควรทาความเข้าใจและศึกษาบุคคล
ท่ีเก่ียวข้องกับเราให้มากเพื่อให้เข้าใจกันได้มากที่สุดที่จะทาให้ตนเองสามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น
ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

1.4 การสรุปผลการเข้าใจผู้อื่น ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดได้อันจะมีผลต่อการแสดงพฤติกรรม
ของบุคคลด้วย เช่น สรุปว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว เราจึงไม่อยากท่ีจะเข้าไปเก่ียวข้องด้วย ถ้าการ
สรุปผลการเข้าใจของตนเองต่อผู้อื่นออกมาในทางลบ บุคคลควรที่จะนามาคิดพิจารณาก่อนเสมอ
ท่ีจะตัดสินใจเพราะอาจทาให้เราเสียเพ่ือนท่ีดีไปได้ ส่วนการท่ีเราสรุปผลการเข้าใจผู้อื่นในทางบวก
ก็เช่นเดียวกันก็ต้องหาข้อมูลว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ เพราะถ้าเขาดีไม่จริงเราจะได้ไม่ไปข้อง
เกีย่ วกบั เขาและจะได้รู้เทา่ ทันเพอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ ข้อขัดแย้งต่อกนั

1.5 การเข้าใจผู้อ่ืนมักมีอคติเข้าไปเกี่ยวข้อง การท่ีบุคคลเข้าใจผู้อ่ืนผิดย่อมทาให้
เกิดผลเสียในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ต่อกันและทาให้บุคคลมีพฤติกรรมผิดไปจากท่ีควรจะเป็นได้
ซ่ึงผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรศึกษาและทาความเข้าใจเมื่อเกิดอคติจากความไม่เข้าใจบุคลากร
ในองค์กร ซง่ึ การมอี คตติ ่อผอู้ ่ืนทางพทุ ธศาสนาเรยี กว่า อคติ 4 ประกอบดว้ ย

1.5.1 ฉันทาคติ (ลาเอียงเพราะความรัก).เม่ือเรารักหรือประทับใจในตัวผู้ใด
หรือส่ิงใดแล้ว ก็มักจะเกิดความลาเอียงเข้าข้างเสมอ ถึงแม้ว่าบางคร้ังจะเป็นส่ิงท่ีไม่ถูกต้องก็ตาม เช่น
ผูบ้ ริหารสนทิ กบั พนักงานคนใดคนหน่ึง เมอ่ื พนกั งานคนดังกล่าวทาผิดผู้บริหารก็จะปกป้องไม่ลงโทษ
ซ่ึงอคติดังกล่าวทาให้เกิดความไม่เคารพจากพนักงานคนอื่นๆ ส่งผลให้การปกครองเสียตามไปด้วย
อีกทั้งความสัมพันธ์ในองค์กรก็จะเกิดการแตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน อันจะมีผลเสียต่อคุณภาพ
และประสิทธภิ าพของงาน

1.5.2 โทสาคติ.(ลาเอียงเพราะความโกรธ).เมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นไม่ว่าจะเป็น
อารมณ์โกรธ หรือเกลียดก็ตาม บุคคลก็มักจะไม่คิดถึงเหตุผลความเป็นจริง แต่จะตัดสินบุคคลหรือ
สิ่งอ่ืนจากความโกรธของตนเอง เช่น เราอาจจะเคยพบเพ่ือนร่วมงานใหม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี

การศึกษาความเขา้ ใจตนเองและผู้อนื่ เพ่ือสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ 57

ต่อเราครั้งเดียว.โดยที่เราไม่มีโอกาสศึกษาแง่มุมอ่ืนของผู้นั้น.ก็ทาให้รับรู้ว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว
จึงไม่อยากติดต่อหรือทางานร่วมกับเขาอีกต่อไป การมีอคติด้านนี้ก็ทาให้สัมพันธภาพระหว่างเพ่ือน
กห็ มดลงไปได้ถ้าบคุ คลขาดสติในการพจิ ารณา

1.5.3 โมหาคติ (ลาเอยี งเพราะความโงเ่ ขลาหลงผิด) ในบางคร้ังความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หรือความเช่ือของบุคคลก็ทาให้เกิดอคติได้ เช่น เคยมีเพื่อนบอกเราว่าเพื่อนร่วมงานที่ย้ายเข้ามาอยู่
ใหม่เป็นคนเห็นแก่ตัว.เราก็จะรับรู้เช่นน้ันและเกิดความรู้สึกไม่ชอบ ไม่ไว้วางใจการแสดงออกท่ีมี
ต่อเขาก็อาจจะเป็นไปอย่างเย็นชาหรือตัวอย่างความเช่ือว่าคนท่ีตนติดต่อด้วยในปัจจุบันเป็นคนเก่ง
มีจิตใจเอ้ือเฟื้อ แต่แท้ที่จริงแล้วความเอื้อเฟื้อน้ันเกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ เม่ือคนอ่ืน ๆ ตักเตือน
ก็ไม่ยอมเชื่อก็อาจทาให้ประเมินหรือเข้าใจผู้นั้นอย่างไม่ยอมเปล่ียนความคิด จึงทาให้การทางาน
ในองค์กรเสือ่ มประสทิ ธภิ าพ

1.5.4 ภยาคติ.(ลาเอียงเพราะความกลัว).เป็นการลาเอียงอันเกิดจากความกลัวว่า
คนอ่ืนจะไม่ชอบเรา หรือกลัวเพราะผู้อ่ืนมีอิทธิพลเหนือกว่าเรา เช่น หัวหน้างานเสนอเลื่อนตาแหน่ง
ให้กบั พนกั งานตอ่ ผู้บริหาร แตผ่ ู้บรหิ ารตอ้ งการให้พนักงานอกี คนขนึ้ ดารงตาแหน่งนี้แทนจึงใช้อานาจ
ในการเป็นผู้บริหารส่ังการให้หัวหน้างานแต่งต้ังพนักงานอีกคนขึ้นรับตาแหน่งแทน ก็จะทาให้
พนักงานที่ไม่ได้รับการแต่งต้ังเกิดการไม่ยอมรับหรือทาความเข้าใจในตัวหัวหน้างานน้ันผิดพลาดไป
จากสิ่งท่เี ป็นข้อเท็จจริงได้ นามาซง่ึ ความแตกแยกในกลมุ่ และองค์กร

ความสาคัญของการเข้าใจผู้อ่ืนจึงมีส่วนสาคัญในการพัฒนาสร้างมนุษยสัมพันธ์กับ
บุคคลในองค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก ถ้าบุคคลสามารถเข้าใจบุคคลรอบข้างได้เป็นอย่างดีแล้วย่อมทา
ให้สามารถปฏบิ ตั ติ นเข้ากบั บคุ คลไดแ้ ละสามารถอยู่ดว้ ยกนั ได้อย่างมีความสขุ

2. วิธีการศึกษาเพ่อื ความเขา้ ใจผ้อู ่ืน
ในการทางานในองค์กรธุรกิจและการอยู่ร่วมกันในสังคมให้มีความสุขน้ัน จาเป็นต้อง

อาศัยการเข้าใจผู้อ่ืนอย่างแท้จริง ก็จะนามาซ่ึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ โดยวิธีการศึกษา
เพ่ือความเข้าใจผอู้ ืน่ มีดังตอ่ ไปนี้

2.1 พิจารณาจากใบหน้าบุคคล โดยการสังเกตการแสดงออกทางสีหน้า ว่าขณะน้ัน
ผู้อื่นมีความรู้สึกอย่างไร เช่น หน้าบึ้งอาจเป็นการแสดงออกของอารมณ์โกรธ ถ้าเห็นเพ่ือนร่วมงาน
ในองค์กรหน้าบ้ึงหรืออารมณ์เสียถ้าเราเข้าไปตอนนี้อาจเกิดข้อขัดแย้งหรือทะเลากันได้ เราก็ควร
หลีกเลีย่ งกอ่ นและมาหาวนั ที่เขาอารมณ์ดี เพ่ือไม่ให้ความสัมพนั ธท์ ่มี อี ยู่ต้องพังลง

2.2 พิจารณาจากแววตาหรือดวงตา.เพ่ือสารวจความรู้สึก ซ่ึงโดยปกติแล้วมนุษย์
มักแสดงความรู้สึกออกมาทางดวงตา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกดีใจ เสียใจและผิดหวัง ในฐานะท่ีเรา
ทางานร่วมกันในองค์กรเดียวกันก็ควรจะหมั่นสังเกตแววตาของเพื่อนร่วมงานด้วยเพราะเขาอาจมี
ความทุกขท์ ีต่ อ้ งการความช่วยเหลือจากเรา ซึ่งถ้าเราได้เข้าไปช่วยเหลือเขาไม่ว่าจะเป็นการปลอบใจ
การให้คาปรึกษา อาจทาให้เขาสามารถแก้ปญั หาผ่านไปดว้ ยดี ก็ถอื ว่าเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี
กบั เพอื่ นในยามทกุ ข์ยาก

58 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

2.3 พิจารณาจากบุคลิกภาพ โดยการพิจารณาจากการพูดจาและกิริยาท่าทางโดยรวม
ของเพ่ือนร่วมงานในองค์กร เช่น เพื่อนร่วมงานมีอาการเหงื่อออกมากเป็นพิเศษเมื่อมีอารมณ์กลัว
จะไม่สนใจหรือใส่ใจผู้ใดเลยหากมีเรื่องที่ทาให้เครียด ถือได้ว่าเป็นการสังเกตความผิดปกติของเพื่อน
ว่าเขาเป็นอะไร อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อกันโดยการพิจารณาเพื่อน
จากบุคลิกภาพ เพ่ือสร้างความเข้าใจในตัวเพ่ือนและให้ความช่วยเหลือเพื่อนให้ได้มากที่สุด ถือเป็น
การสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ในการอยู่รว่ มกนั อย่างมีความสุข

2.4 พิจารณาจากเจตนารมณ์ของบุคคล โดยพิจารณาดูเจตนาหรือสาเหตุของการ
กระทาของผู้อื่น เช่น บางคนมีการแสดงพฤติกรรมเน่ืองจากความกดดันทางอารมณ์ บ้างต้องการ
เรียกร้องความสนใจ หรือบางอย่างเป็นเพราะมีความผิดปกติของร่างกาย เมื่อเราสามารถรับรู้ได้ว่า
เขามีความต้องการอะไรเราก็จะสามารถตอบสนองความต้องการเขาได้ ก็จะสามารถสร้างความรู้สึก
ทดี่ แี ละประทบั ใจตามมาอกี ดว้ ย

2.5 พิจารณาจากทฤษฎีวิเคราะห์การส่ือสารระหว่างบุคคล.(Transactional
Analysis : TA) ของอีริค เบิร์น (Eric Berne) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ช่วยให้ผู้ศึกษาได้รู้จักบุคลิกภาพของตน
เข้าใจพฤติกรรมตนเองในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอ่ืน รวมทั้งเข้าใจพฤติกรรมผู้อื่นอีกด้วยและยัง
สามารถปรับปรงุ แกไ้ ขให้ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลเปน็ ไปอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเน้ือหาหนึ่งในทฤษฎีนี้
ไดก้ ลา่ วถงึ การรับร้บู คุ คลอน่ื พบว่าบคุ คลจะมีทัศนคติต่อตนเองและผู้อ่ืนในแบบใดแบบหนึ่ง โดยการศึกษา
ครั้งน้ีจะทาให้บุคคลเข้าใจตนเองและผู้อ่ืนมากยิ่งข้ึนในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ร่วมกันทั้งในส่วนตัวและ
ในการดาเนินธุรกิจ เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรทางธุรกิจได้เข้าใจในพฤติกรรมของคนในองค์กรธุรกิจว่ามี
พฤติกรรมที่แตกต่างกันท่ีผู้บริหารจะได้ปรับวิธีการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมดังกล่าวจนสามารถทาให้
การบริหารองค์กรสามารถประสบผลสาเร็จและบุคลากรในองค์กรก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ซึ่งเรียกว่าทัศนะแห่งชีวิตหรือตาแหน่งชีวิต (Life Position) มี 4 แบบ ดังน้ี (สมพร สุทัศนีย์,
2554:180)

2.5.1 ฉันเลว แต่คุณดี (I’m.not.O.K..,You’re.O.K.).คนที่มีทัศนะเช่นน้ีจะ
มองตนเองในแง่ลบชอบตาหนิตนเอง รับรู้ว่าผู้อื่นดีกว่าตนเองท้ังหมด ในการติดต่อสัมพันธ์กับคนรอบ
ข้างจึงมีลักษณะต้องการได้รับการเอาใจใส่จากคนรอบข้าง.ชอบเก็บตัวเงียบ ไม่กล้าแสดงออก
ไมม่ น่ั ใจในบคุ ลกิ ภาพของตน มแี ตช่ นื่ ชมลักษณะของผู้อ่ืน.เช่น ประโยคท่ีบอกว่า “ฉันเป็นคนต้อยต่าไม่มี
ใครชอบ ไม่มคี ณุ คา่ แต่เธอมีคุณค่ากวา่ ฉันมากมาย มแี ต่คนชนื่ ชมเธอ” เป็นต้น

จากทัศนะแห่งชีวิตท่ีกล่าวมา แสดงให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรท่ีจะให้
ความสาคัญ ให้เกียรติกับบุคลากรภายในองค์กร เพ่ือให้บุคลากรรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าที่จะสามารถ
ทาประโยชนเ์ พอ่ื องคก์ รได้ และยงั ทาใหบ้ ุคลากรรู้สึกว่าองค์กรไม่ได้มองตนเองไร้ค่าอย่างท่ีตนเองคิด
ย่อมส่งผลให้บุคลากรเกิดความรูสึกท่ีดีต่อผู้บริหารและต่อองค์กร นามาซึ่งความทุ่มเทและเอาใจกับ
การทางานมากย่ิงขึน้

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผู้อ่ืนเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ 59

2.5.2 ฉันดี แต่คุณเลว (I’m.O.K. .,You’re.not.O.K.).เป็นทัศนะของคนที่มอง
วา่ ตนเองดมี คี ณุ ค่ารบั รวู้ า่ คนอน่ื ดอ้ ยกวา่ ตนทงั้ หมด ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม มักตาหนิผู้อ่ืนหากมีส่ิง
ผิดพลาดเกดิ ขึ้นกจ็ ะโยนความผิดและกล่าวโทษผอู้ น่ื พูดจาไม่คอ่ ยให้เกียรติใครมีลักษณยกตนข่มท่าน
เช่น ประโยคที่พูดว่า “โทรศัพท์ท่ีเธอใช้ไม่สวยไม่เห็นดีเท่าของฉันเลย”.หรือ.“เธอเรียนจบ ปวส..มาได้
ยงั ไงนะ รายงานง่าย ๆ แคน่ ี้ยงั ทามาไมถ่ ูก” เป็นตน้

จากทัศนะแห่งชีวิตที่กล่าวมาเบื้องต้น ผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรปรับปรุง
พฤติกรรมของตนเองเพื่อไม่ให้พนักงานในองค์กรที่ทางานร่วมกันรู้สึกว่าตนเองทาความผิดฝ่ายเดียว
หรือกระทาความผิด เพราะคาพูดท่ีผู้บริหารอาจจะเป็นการข่มเหงจิตใจ เสียกาลังใจในการทางาน
เพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดอีก.ทาให้มนุษยสัมพันธ์ในการทางานระหว่างผู้บริการองค์กรกับ
พนกั งานในองคก์ รลดลง

2.5.3 ฉันเลว คุณก็เลวด้วย (I’m not O.K. ,You’re not O.K.) เป็นการรับรู้
ตนเองและผูอ้ น่ื วา่ ไม่มคี ุณคา่ ใด ๆ เลย มองโลกในแง่ร้าย มลี ักษณะเปน็ ผู้หมดหวังในชีวิต ไม่มีเป้าหมายใด ๆ
ท้อแท้ง่าย ไม่ประสบความสาเร็จในการดาเนินชีวิต อันทาให้คนที่มีการรับรู้ตาแหน่งชีวิตเช่นน้ี
มแี นวโนม้ ทจี่ ะปว่ ยเป็นโรคประสาท โรคจิตได้ง่าย รวมทั้งมีแนวโน้มในการฆ่าตัวตายได้ง่าย เมื่อพบอุปสรรค
เช่น คาพูดของบคุ คลท่ีวา่ “อะไร ๆ ก็ไม่ดีท้ังน้นั เราอย่าพยายามทาเลย ไม่ว่ายงั ไงเธอหรือฉันก็คงทา
ให้ดขี น้ึ มาไม่ได”้ เป็นตน้

จากทัศนะแห่งชีวิตท่ีกล่าวมาแสดงให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรท่ีจะให้ต้องรีบ
เข้าไปดูบุคลากรกลุ่มน้ีเป็นการเร่งด่วน โดยการหันมาให้ความสนใจให้ความสาคัญ จัดฝึกอบรม
เก่ียวกับการคิดเชิงบวก (Positive.Thinking) เพราะถ้าไม่รีบเข้าไปดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
อาจสง่ ผลเสยี ต่อการทางานและสมั พันธภาพทดี่ ีในองค์การและนอกองค์กรได้

2.5.4 ฉันดี คุ ณก็ดีด้วย (I’m.O.K..,You’re.O.K.).เป็นทัศนะของคนที่ มี
สุขภาพจิตท่ีดี เน่ืองจากมีการมองตนเอง และผู้อื่นในแง่ดีเสมอ ยอมรับในศักด์ิศรี คุณค่าของตนเอง
และผู้อ่ืน มักจะมีสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้คนรอบข้าง สามารถทางานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี ชีวิตมี
ความสขุ เชน่ ประโยคทีพ่ ดู ว่า “เรามาช่วยกันทางานช้ินนี้ให้สาเร็จเถอะ แม้ว่ามันจะยากแต่ฉันว่าเรา
คงผ่านมนั ไปได”้ .เปน็ ต้น

จากทัศนะแห่งชีวิตท่ีกล่าวมาเบื้องต้น ผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรมีการเสริม
กาลังใจ ถึงแม้การทางานในคร้ังน้ีจะประสบผลสาเร็จหรือไม่ประสบผลสาเร็จก็ตาม เป็นการ
ให้กาลังใจในการทางานเพอื่ ที่จะไดน้ าพาองค์กรให้อยรู่ อด เรากจ็ ะได้มีความสขุ ในการทางานรว่ มกนั

สรุปได้ว่า ทัศนะแห่งชีวิตท่ีกล่าวมาเป็นสิ่งท่ีผู้เก่ียวข้องกับการประกอบธุรกิจ
สามารถนาทัศนะท้ัง 4.ทัศนะที่ต้องเกิดข้ึนภายในองค์กรมาเตรียมการวางแผนเพ่ือเสริมพฤติกรรม
ที่บุคลากรขาดและคงรักษาพฤติกรรมท่ีดีของบุคลากรไว้เพื่อให้การทางานและการประกอบธุรกิจ
ประสบผลสาเรจ็ บคุ ลากรอยู่ดว้ ยกันอย่างเขา้ ใจกัน

60 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

3. วิธกี ารศึกษาเพอ่ื เข้าใจบคุ ลิกภาพของบคุ คลในแต่ละยุค
ในสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับ

สถานการณท์ างการเมอื ง สงั คม เศรษฐกจิ ในชว่ งนัน้ ทีเ่ ปน็ แรงผลกั ดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและคน
ในแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมัยก็จะมีพฤติกรรม ความคิด ทัศนคติ ความรู้ ความสามารถ ค่านิยมการบริหาร
จัดการท่ีแตกต่างกันออกไป จึงได้จัดแบ่งกลุ่มคนออกเป็นรุ่นต่าง ๆ 8 รุ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จึงควรทาความเข้าใจบคุ คลแต่ละยุควา่ มอี ุปนิสัยอยา่ งไร เพ่ือสามารถปรับตัวและสร้างมนุษยสัมพันธ์
กบั คนแตล่ ะร่นุ ได้ดงั น้ี

3.1 Lost Generation
บุคคลรุ่นน้ีจะเป็นประชากรยุคแรกท่ีเกิดต้ังแต่ปี พ.ศ. 2426-2443 หรือในช่วง

ทศวรรษท่ี 80 ปัจจุบันคนกลุ่มน้ีเสียชีวิตไปหมดแล้ว จึงถูกต้ังช่ือว่า "Lost Generation" เหตุการณ์
ทส่ี าคญั ทีเ่ กดิ ข้นึ ในชวี ติ ของคนยุคน้ีก็คือ การเข้าร่วมสงครามโลกคร้งั ท่ี 1

3.2 Greatest Generation
Greatest Generation หรอื ท่ีร้จู ักกันว่า G.I. Generation คนกลุ่มน้ีเกิดในช่วง

ปี พ.ศ. 2444-2467 คือยุคก่อนสงครามโลกคร้ังท่ี 2 พวกเขาจึงกลายมาเป็นกาลังหลักของการต่อสู้
ในชว่ งสงครามโลกคร้งั ที่ 2 เม่อื สงครามสงบ เกิดสภาพเศรษฐกิจตกตา่ ไปทั่วโลก คนรุ่นนี้จึงเป็นกาลัง
สาคญั ในการฟื้นฟแู ละพัฒนาเศรษฐกจิ ให้กลับมาดีขึน้ อกี ครง้ั

ผู้คนในยุคน้ันจะมีความเป็นทางการสูง ผู้ชายจะใส่สูทผูกเนคไทเมื่อออกจาก
บา้ นคนในสงั คมจะมีแบบแผนปฏิบตั ไิ ปในทิศทางเดียวกัน คือ มีความคิด ความเห็น ความเชื่อเป็นไป
ในทศิ ทางเดียวกัน เชอื่ มน่ั รฐั บาล อานาจรฐั มีจิตสานึกความเปน็ พลเมืองร่วมกัน

3.3 Silent Generation
บุคคลยุคน้ีจะเป็นคนท่ีเกิดในช่วง พ.ศ. 2468-2488 ประชากรรุ่นน้ีจะมีไม่มาก

เท่ารุ่นอ่ืน ๆ เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งท่ี 2 พอดีและหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่า
ดงั นัน้ ผ้คู นจึงมชี ีวิตความเปน็ อยูท่ ย่ี ากลาบาก ต้องทางานหนกั ในโรงงาน หามรุ่งหามค่า คนรุ่นนี้จึงมี
ความเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมาก มีความจงรักภักดีต่อนายจ้าง และประเทศชาติสูง เคารพ
กฎหมาย เปน็ ยุคท่ีผู้หญิงเร่ิมออกมาทางานนอกบ้านกันมากขึ้น กระทั่งเวลาผ่านไปเศรษฐกิจเริ่มฟื้น
ตัว คนในรุ่นน้ีจึงได้รับโอกาสมากขึ้น มีช่องทางการสร้างกิจการของตัวเอง รวมท้ังมีบทบาทในการ
พฒั นาเทคโนโลยีตา่ ง ๆ เป็นรากฐานจนถงึ ปจั จบุ ันนี้

3.4 Baby Boomer
บุคคลในยุค Baby.Boomer.หรือ.Gen-B.หมายถึงคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.

2489-2507 หรือในยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สาเหตุ ท่ีเรียกว่า "เบบี้บูมเมอร์" ก็เพราะว่า
หลังจากสงครามโลกครั้งท่ี 2 สงบลง บ้านเมืองที่ผ่านการสู้รบได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ประชากรท่ีเหลอื อยู่ในแตล่ ะประเทศจงึ ตอ้ งเรง่ ฟ้นื ฟูประเทศให้กลับมาแข็ง แกร่งมั่นคงอีกครั้ง แต่ว่า
สงครามทีผ่ ่านพ้นไปก็ได้คร่ากาลังพล และแรงงานไปเป็นจานวนมาก ประเทศเหล่าน้ีจึงขาดแรงงาน

การศกึ ษาความเข้าใจตนเองและผ้อู นื่ เพอ่ื สร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 61

ในการขับเคลอ่ื นประเทศ คนในยุคน้ันจึงมีค่านิยมที่จะต้องมีลูกหลาย ๆ คน เพ่ือสร้างแรงงานขึ้นมา
พัฒนาประเทศชาติ จงึ เป็นที่มาของคาวา่ "เบบ้ีบูมเมอร์"

ปัจจุบันน้ี คนยุคเบบี้บูมเมอร์คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 49 ปีข้ึนไปและเริ่มเข้าสู่วัย
ชราแล้ว คนกลุ่มน้ีจึงเป็นคนท่ีมีชีวิตเพื่อการทางาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทนสูง ทุ่มเท
ให้กับการทางานและองค์กรมาก สู้งาน พยายามคิดและทาอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคน
ถูกครอบครวั ส่งั สอนมาให้เป็นคนประหยัด อดออม จึงมีการใช้จ่ายอย่างรอบคอบและระมัดระวังคน
ในยุคอ่ืน ๆ อาจจะมองคนยุคเบบี้บูมเมอร์ว่าเป็นพวก "อนุรักษนิยม" เป็นคนท่ีเคร่งครัด
ในขนบธรรมเนยี มประเพณี แต่คนกลมุ่ นีถ้ อื ว่านา่ จะมจี านวนมากทสี่ ดุ ในสังคมปัจจบุ นั เลยทีเดยี ว

3.5 Generation X
คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2508-2522 อาจเรียกอีกช่ือว่า "ยับป้ี"

(Yuppie) ทย่ี อ่ มาจาก Young.Urban.Professionals.เพราะเกิดมาพร้อมในยุคทโ่ี ลกม่ังคั่งแล้ว จึงใช้
ชีวิต อย่างสุขสบาย เติบโตมากับการพัฒนาของวิดีโอเกม.คอมพิวเตอร์.สไตล์เพลงแบบฮิปฮอป
และอาจทนั ดูทีวจี อขาวดาด้วย

ปัจจุบัน คนยุค Gen-X.เป็นคนวัยทางาน มีอายุต้ังแต่ 30 ปีขึ้นไปแล้ว
พฤติกรรมของคนกลุ่มน้ีท่ีเด่นชัดมากก็คือ ชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสาคัญ
กับเร่ืองความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว มีแนวคิดและการทางานในลักษณะรู้ทุกอย่างทา
ทกุ อยา่ งไดเ้ พียงลาพงั ไม่พึ่งพาใคร เป็นตัวของตวั เองสงู มีความคดิ เปดิ กวา้ ง มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์

อย่างไรก็ตาม หลายคนใน.Gen-X.มีแนวโน้มท่ีจะต่อต้านสังคม ไม่ได้เชื่อเร่ือง
ศาสนาและไม่ได้ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตั ว
กับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นมองว่าการอยู่ก่อนแต่งหรือการหย่าร้างก็เป็นเร่ืองปกติ
เช่นเดียวกับเร่ืองเพศท่ี 3 ซ่ึงต่างจากกลุ่มเบบ้ีบูมเมอร์ท่ีมองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องผิดจารีตประเพณี
เปน็ อยา่ งยิ่ง

3.6. Generation Y
ยุคเจเนอเรช่ันวาย (Generation.Y).หรือยุค Millennials.ซ่ึงก็คือคนที่เกิดอยู่

ในช่วงปี พ.ศ. 2523-2540 คนกลมุ่ น้เี ติบโตขึน้ มาทา่ มกลางความเปลย่ี นแปลง และค่านิยมที่แตกต่าง
ระหว่างรุ่นปู่ย่าตายายกับรุ่นพ่อแม่ แต่ก็รับเอาความเจริญรุดหน้าของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต
เขา้ มาแทรกอยูใ่ นการดารงชีวติ ประจาวนั ด้วย

ยุคนี้จะเป็นยุคท่ีเศรษฐกิจกาลังเติบโตเป็นอย่างมากทาให้พ่อแม่ท่ีค่อนข้าง
จะประสบความสาเร็จในชีวิตแล้วจะดูแลเอาใจใส่ลูก ๆ เป็นอย่างดี เด็กยุคน้ีจึงมักจะถูกตามใจ
ต้ังแต่เด็ก ได้ในส่ิงท่ีคนรุ่นพ่อแม่ไม่ค่อยได้ มีการศึกษาดี มีลักษณะนิสัยชอบการแสดงออก มีความ
เปน็ ตวั ของตวั เองสูง ไมช่ อบถูกบงั คับให้อยูก่ รอบ ไมช่ อบอย่ใู นเงื่อนไข ชอบเสพข่าวสารผ่านช่องทาง
ต่าง ๆ ที่หลากหลาย มีอิสระในความคิด กล้าซัก กล้าถามในทุกเร่ืองท่ีตัวเองสนใจ ไม่หว่ันกับ

62 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

คาวิจารณ์มีความเป็นสากลมาก มองว่าการนิยมชมชอบวัฒนธรรมหรือศิลปินต่างชาติเป็นเร่ือง
ธรรมดา

ปัจจุบัน คนกลุ่มนี้อยู่ในทั้งช่วงวัยเรียน และวัยทางาน และจากการที่ยุคนี้
เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่น่าแปลกใจท่ีคนกลุ่มน้ีจะมีความสามารถในการทางาน
ที่เก่ียวกับการติดต่อส่ือสาร ชอบงานด้านไอที ใช้ความคิดสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ รวมท้ังสามารถ
ทาอะไรหลาย ๆ อย่างไดใ้ นเวลาเดยี วกัน เรยี กได้ว่าสามารถใช้เคร่ืองมือเคร่ืองไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว
อย่างท่ีเราอาจจะเคยเห็นภาพคนยุคใหม่ท่ีน่ังเล่น iPad.ไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แถมบางคน
ยงั กนิ ขา้ วไปพร้อม ๆ กนั ด้วยอีกต่างหาก

ในเรื่องการทางาน คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทางานว่าสิ่งท่ีทามีผล
ต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไรและชอบทางานเป็นทีม ต่างจากกลุ่ม Gen-X.ท่ีชอบวันแมนโชว์
มากกว่า เพราะคนในวัย Gen-X.จะถูกฝึกมาแบบนั้น ต่างจากวัย Gen-Y.ท่ีเติบโตมาพร้อมกับการ
ประชุม การระดมความคิดเห็น แต่ทว่าคนกลุ่มน้ีจะไม่ค่อยอดทนเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่นัก หวังท่ีจะ
ทางานได้เงินเดือนสูง ๆ แต่ไม่อยากไต่เต้าจากการทางานข้างล่างขึ้นไป คาดหวังในการทางานสูง
ต้องการคาชม กลุ่ม Gen-Y.มักจะจัดสรรเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวในจุดที่สมดุลกัน พอหลัง
เลกิ งานอาจไปทากิจกรรมอืน่ .ๆ เพ่อื สรา้ งความสขุ ให้กับตัวเอง เช่น ไปเล่นฟิตเนส ไปพบปะสังสรรค์
กับเพื่อนฝูง จะไม่ค่อยหมกมุ่นอยู่กับงานเหมือนกับคนรุ่นก่อน นอกจากนี้ กลุ่ม Gen-Y.จะเป็นคน
มองโลกในแงด่ ี มใี จชว่ ยเหลือสังคม รกั ษาสงิ่ แวดลอ้ ม มีความสัมพันธท์ ่ดี ีและแน่นแฟน้ กับพอ่ แม่

3.7 Generation Z
Gen-Z.คือ คานิยามล่าสุดของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลัง

พ.ศ. 2540 ข้นึ ไป เทยี บอายแุ ล้วก็คือวยั ของเด็ก ๆ น่นั เอง เด็ก ๆ กลุ่ม Gen-Z นี้ จะเติบโตมาพร้อม
กับส่ิงอานวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ
และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้ส่ิงเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจาวัน แต่ส่ิงหนึ่งท่ีเด็กรุ่น Gen-Z.แตกต่าง
จากรุ่นอ่ืน.ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทางานท้ังคู่
ต่างจากรุ่นก่อน.ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทางานคนเดียว.ด้วยเหตุผลน้ีเด็ก Gen-Z.หลาย ๆ คน
จงึ ได้รับการเล้ียงดจู ากคนอน่ื มากกว่าพอ่ แมข่ องตัวเอง

ถ้าเราลองเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว เราก็จะได้พบกับคนรุ่นต่าง ๆ ท่ียังหลงเหลือ
อย่ใู นปจั จบุ ันก็คือ Baby Boomer, Gen-X, Gen-Y และ Gen-Z ซึ่งนกั การตลาด นกั ธรุ กิจ ผู้บริหาร
องคก์ รต่าง ๆ จะให้ความสาคญั กับเร่ืองน้ีมากทีเดียว เพราะจะช่วยทาให้พวกเขาได้เรียนรู้และเข้าใจ
บุคคลในวัยต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเร่ืองต่าง ๆ ส่วนตัวเราเอง การได้
เข้าใจส่ิงเหล่านี้ก็จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว ลดช่องว่างในสังคมการทางานตลอดจน
สามารถเขา้ ใจธรรมชาติของคนในแต่ละยคุ เพ่ือปรับตวั อยู่ดว้ ยกันได้อยา่ งมีความสุข

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผ้อู ่ืนเพ่อื สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ 63

4. วิธกี ารศึกษาเพ่อื การยอมรับผ้อู ่ืน
การยอมรับผู้อื่นเป็นการให้ความเชื่อถือแก่บุคคลอ่ืนในฐานะที่เป็นเพ่ือนมนุษย์ ซ่ึงมี

ความรู้สึก มีประสบการณ์ มีความสามารถ และมีความคิดที่จะพัฒนาตนเองได้ การยอมรับผู้อ่ืนถือเป็น
การสะท้อนถึงเจตคติท่ีบุคคลนั้นมีต่อบุคคลอื่น ซึ่งผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรศึกษาและทาความเข้าใจ
แนวทางในการศึกษาผูอ้ ่นื เพื่อสามารถยอมรบั และเข้าใจพนักงานในองค์กรธุรกิจของตนเองได้ อีกทั้ง
จะได้หาวิธีในการส่งเสริมให้พนักงานเป็นท่ียอมรับขององค์กรธุรกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีการศึกษา
เพ่อื การยอมรับผอู้ ่ืนสามารถกระทาไดห้ ลายวิธี ดังน้ี

4.1 การให้ความสนใจต่อพฤติกรรมของบุคคลอ่ืน.เช่น ให้ความสนใจต่อความ
เชื่อถือ ค่านิยม การรับรู้ ลักษณะนิสัยของบุคคล เป็นต้น.ซ่ึงพฤติกรรมเหล่าน้ีจะสะท้อนให้เห็นถึง
บุคลิกภาพของบุคคลว่าแต่ละคนมีธรรมชาติ และพฤติกรรมท่ีแตกต่างกัน เราจึงควรรับรู้และให้
ความสนใจต่อลักษณะท่ีดีของบุคคล เพ่ือนามาเป็นแบบอย่างต่อการพัฒนาปรับปรุงบุคลิกภาพของ
ตนเอง และควรให้อภัยต่อจุดด้อยของบุคคลอ่ืน เพื่อเป็นการสร้างรากฐานการมีสัมพันธภาพท่ีดี
ตอ่ กันระหว่างบุคคลในองคก์ ร

4.2 การแสดงความชืน่ ชมต่อบคุ คลอ่ืน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าบุคคลน้ันเป็นคน
สาคัญและมีคุณค่าควรแก่การยกย่องชมเชย ซึ่งจะช่วยให้ผู้น้ันเกิดความรู้สึกพอใจและภาคภูมิใจ
ในตนเอง เราควรฝึกตนเองให้มีนิสัยรู้จักยกย่องชมเชยผู้อ่ืนเสมอ เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์
ทุกคนชอบคาชมมากกว่าคาตาหนิ และการแสดงความชื่นชมยินดีในความสาเร็จของผู้อื่น
หรอื พยายามหาความดขี องผ้อู ่นื มาพดู สรรเสรญิ ดว้ ยความจริงใจ ย่อมเป็นการแสดงการยอมรับผู้อ่ืน
ไดว้ ธิ หี นึ่ง

4.3 มีเจตคติท่ีดีต่อผู้อ่ืน การมีความรู้สึกชอบพอ ยกย่อง ชมเชย รับรู้ปัญหาของผู้อื่น
หรือมีความเห็นอกเห็นใจเห็นคุณค่าของผู้อ่ืน เป็นบันไดท่ีนาบุคคลไปสู่การสร้างมิตรภาพท่ีดีต่อกัน
แม้บางคร้ังแนวความคิดของแต่ละคนอาจจะไม่ตรงกัน อาจมีการขัดแย้งกันบ้าง เพราะต่างฝ่ายต่าง
ไม่ยอมรับในแนวคิดของกันและกัน แต่หากใช้เหตุผลในการพูดคุย สนทนากันด้วยความน่ิมนวล ทาความ
เข้าใจซึ่งกันและกัน ทาให้บุคคลแต่ละฝ่ายต่างเร่ิมยอมรับแนวคิดของกันและกันเพ่ิมมากข้ึนหรือบางครั้ง
เม่ือต่างฝ่ายต่างจะเอาชนะกันและไม่ยอมลงรอยกันท้ัง.2.ฝ่ายควรจะหยุดสารวจ คิดไตร่ตรองถึงความ
บกพรอ่ งของตนเอง เพอ่ื ปรับปรงุ ตนเองให้เปน็ ทีย่ อมรบั ของอกี ฝา่ ยหนง่ึ

หากบุคคลสามารถยอมรับซึ่งกันและกันได้ ก็ย่อมจะเป็นบ่อเกิดแห่งการ
มีสัมพันธภาพที่ดีสามารถร่วมดาเนินชีวิต ร่วมทางานและช่วยเหลือกิจการงานให้เกิดความราบรื่น
ในทีส่ ุด

5. การปฏิบตั ิตอ่ ผอู้ ืน่ เพอ่ื สร้างเสริมมนษุ ยสัมพันธ์
ในการศึกษาผู้อื่นเพ่ือการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขน้ัน โรเบิร์ต เฮช.ลอร์สัน (Robert.H.

Lorson) ได้แบ่งมนุษย์ไว้ 5 ประเภทและเสนอแนะวิธีในการติดต่อสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์
อันดงี ามกบั คนและองค์กรในประเภทต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสาคัญสาหรับผู้บริหาร

64 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

องค์กรธุรกิจท่ีจะต้องรู้และทาความเข้าใจกับบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ที่จะมีอยู่ในองค์กรของตนเอง
ไม่ประเภทใดก็ประเภทหนึ่ง ผู้บริหารองค์กรธุรกิจก็จะสามารถรับมือกับพฤติกรรมได้ทันท่วงที
และไม่เกิดความเสยี หายต่อองคก์ รในอนาคต ซ่ึงแบบของมนษุ ยท์ งั้ 5 ประเภท มีดงั ต่อไปน้ี

5.1 พวกหัวด้ือหัวร้ัน คนประเภทน้ีเป็นคนที่ชอบคัดค้านในเรื่องต่างๆ
ชอบโต้เถียง ไม่ยอมจานน รวมทั้งไม่ชอบการเปล่ียนแปลง รู้สึกไม่พอใจเมื่อให้ปฏิบัติอย่างใด
อย่างหน่ึง เมอื่ ตอ้ งติดต่อกบั คนประเภทน้ีผูบ้ ริหารองค์กรควรปฏิบัตดิ ังน้ี

5.1.1 พยายามใช้ประโยคในเชิงขอร้องให้มากที่สุด เช่น “ช่วยหยิบของบนโต๊ะ
ให้หน่อยได้ไหมคะ” เป็นต้น.การกระทาเหล่าน้ีจะทาให้บุคคลน้ันสามารถติดต่อและร่วมงาน
กับบคุ คลประเภทนี้ไดง้ า่ ย และยังเปน็ การสรา้ งสัมพันธไมตรีต่อบุคคลในองค์กรธรุ กิจอีกดว้ ย

5.1.2 อย่าพยายามช้ีให้เห็นความผิดของเขาหรอื ใหย้ อมรับในความผดิ พลาดแต่ควร
จะช้ีให้เห็นถึงผลของการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมด้วยความยุติธรรม จะทาให้บุคคลประเภทนี้ต้ังใจ
ทางานในองค์กร เพราะบุคคลจาพวกนี้จะไม่ค่อยยอมรับข้อบกพร่องของตน รวมทั้งไม่ชอบให้พูดย้าถึง
ความผิดพลาดมากนัก ดังน้นั อาจตอ้ งช่วยให้กาลงั ใจเพื่อให้เขาแก้ตัวใหมอ่ ีกคร้ัง

5.1.3 หากมีการกระทาท่ีแสดงให้เห็นถึงการได้รับความร่วมมือจากเขาต้องถือ
โอกาสชมเชยทันที จึงทาให้บุคคลประเภทน้ีเกิดความมั่นใจในตนเองและต้ังใจทางานให้กับองค์กร
ไดเ้ ปน็ อย่างดี

5.2 พวกเฉ่ือยชา บุคคลประเภทนี้ก่อนที่จะลงมือทาส่ิงใดจะเสียเวลาเป็นอย่างมาก
ในการคิดใคร่ครวญ.ไม่ชอบที่จะทาสิ่งใดโดยท่ีรู้สึกเหมือนตนไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน การทางาน
ในองค์กรกับบุคคลประเภทนี้จะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก เพ่ือทาความเข้าใจให้บุคคลประเภทนี้มีความ
เขา้ ใจในงานของตวั เองท่ีได้รับผิดชอบ เพือ่ ใหง้ านขององค์กรนน้ั ออกมาดีและมีประสิทธิภาพ ในการติดต่อ
กับบคุ คลจาพวกนี้ผู้บรหิ ารองค์กรจงึ ตอ้ งปฏบิ ตั ิดังนี้

5.2.1 ในการออกคาส่ังควรพูดช้าๆ อย่างเข้าใจง่าย หรือให้ทวนคาส่ัง
และรวมท้ังให้เวลาหลังจากที่สั่งไปแล้วพอสมควร.ถ้าไม่มีการทวนคาสั่งอาจทาให้งานในองค์กรเกิด
ความลา่ ช้ามากย่ิงขน้ึ

5.2.2 ควรให้ความสาคัญกับความพยายามของเขาด้วยการให้การชมเชยยกย่อง
หรือใหก้ าลงั ใจทนั ที จงึ จะทาให้บคุ คลประเภทน้เี กิดความตง้ั ใจในการทางานขององค์กรใหด้ ยี ิ่งข้ึน

5.2.3 หากมีการเปลี่ยนแปลงในสิ่งใดสิ่งหน่ึงต้องอธิบายให้บุคคลน้ันเข้าใจ
อย่างชัดเจนและให้โอกาสซักถาม จนเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง.เมื่อเขาเกิดความชัดเจนในงานแล้วบุคคล
ประเภทนก้ี จ็ ะทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ

5.2.4 ช้ีให้เห็นข้อบกพร่องของเขาอย่างตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจ
อย่าแสดงท่าทีว่าไม่พอใจในข้อผิดพลาดของเขาและต้องให้เวลาในการปรับปรุงแก้ไขด้วย โดยให้
บุคคลประเภทนี้ร้ขู ้อบกพรอ่ งของตนเองอยา่ งตรงไปตรงมา เพื่อให้บุคคลประเภทนี้พัฒนาตัวเองให้ดี
ยิง่ ขน้ึ และคอยเสรมิ กาลงั ใจอยูต่ ลอดเวลา

การศึกษาความเขา้ ใจตนเองและผอู้ ่ืนเพอื่ สรา้ งมนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ 65

5.3 พวกอารมณ์อ่อนไหวง่าย เป็นพวกถกู กระทบด้วยเร่ืองต่าง ๆ แล้วจะทาให้เร่ือง
เหล่านั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าส่ิงที่ควรจะเป็นได้ โมโหง่าย ไม่ชอบการส่ังให้ทา ดังนั้น ในการทางาน
ในองค์กรควรต้องใช้ประโยคคาสั่งเชิงแนะนาไม่ควรบังคับ หรือโต้เถียงกับเขาเพราะอาจทาให้เกิดความ
ขัดแยง้ ในองค์กรได้ ในการตดิ ต่อกบั บุคคลจาพวกน้ีผูบ้ ริหารองค์กรจึงต้องปฏบิ ัตดิ งั นี้

5.3.1 หากต้องการออกคาส่ัง ควรส่ังโดยใช้ประโยคคาสั่งเชิงแนะนา ไม่ควรโต้เถียง
กับเขาและพยายามแสดงให้เห็นว่าเป็นมิตรกับเขาเพื่อให้เขาไว้ใจเราและทางานให้กับเราได้อย่าง
มปี ระสิทธิภาพ

5.3.2 เอาใจใส่ต่อเขาให้มากท่ีสุดแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม นอกจากนั้น
การแสดงความเห็นใจเป็นสิ่งท่ีค่อนข้างจาเป็น รวมท้ังเปิดโอกาสให้เขาได้พูดระบายความรู้สึกนึกคิด
ของเขาเอง จะทาให้เขาเกดิ ความม่ันใจและเชอ่ื มัน่ ในตนเองในการทางานวา่ เขาทาได้

5.3.3 ควรชมเชยบ่อย ๆ ซึ่งจะทาให้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากเขามาก ดังนั้น
การท่ีเราชมเชยบุคคลประเภทนี้จะทาให้เขามีความมั่นใจในตนเอง และยังทาให้เขาอยู่ร่วมกับองค์กร
ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ

5.3.4 การตาหนิเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทาให้ผู้อ่ืนไม่สบายใจได้มาก หากต้องการ
ตาหนิจึงควรพยายามสง่ เสริมจดุ เด่นของเขาก่อนท่ีจะแนะนาใหเ้ ขาปรบั ปรุงตนเองในดา้ นใด

5.3.5 เมื่อมเี รื่องไม่เข้าใจเกดิ ข้ึนควรมีการช้ีแจงเรอ่ื งต่าง ๆ กับตัวเขาเองให้เป็น
ทเี่ ข้าใจ เพ่ือเขาจะไดห้ ายเปน็ ทุกข์ และไมค่ วรปล่อยปะละเลยให้เขาคิดไปเอง จนทาให้เขาเสียความ
เชื่อมั่นในตนเองและอาจส่งผลกระทบตอ่ องค์กรในด้านของการดาเนินงาน

5.4 พวกข้ีขลาด พวกน้ีจะค่อนข้างหวาดกลัว เมื่อไม่พอใจจะไม่ค่อยแสดงออก
ให้ทราบ ขอ้ี าย ไมก่ ล้าซกั ถามหรอื กล้าแสดงออก ไมค่ ่อยมคี วามคดิ ริเร่มิ แตเ่ ป็นคนสงสัยง่าย บุคคลประเภท
น้จี ึงต้องไดร้ ับความช่วยเหลอื และมกี ารออกคาสงั่ ซึง่ คาสั่งนน้ั จะต้องมกี ารอธิบายอย่างชดั เจนใหเ้ ข้าใจจึงจะ
ทาใหบ้ คุ คลประเภทนที้ างานออกมาได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ในการติดต่อกับบุคคลจาพวกนี้ผู้บริหารองค์กร
จึงต้องปฏบิ ตั ิดังน้ี

5.4.1 เนื่องจากไม่ค่อยซักถาม ดังนั้นหากต้องการให้ช่วยเหลือ หรือออกคาสั่ง
ควรตอ้ งมีการอธิบายอย่างชดั เจนให้เขา้ ใจ หรอื อาจใช้วิธีการทวนคาสั่งด้วย จึงจะทาให้ไม่เกิดผลเสีย
ในการทาธรุ กิจและไมเ่ กิดข้อผดิ พลาดได้

5.4.2 ควรท่ีจะสังเกตความรู้สึกของเขา เมื่อพอใจหรือไม่พอใจส่ิงใด เนื่องจาก
บคุ คลประเภทนีจ้ ะไม่เขา้ มาแจ้งหรอื พูดคุยโดยตรง

5.4.3 เมอ่ื มกี ารใช้ความคดิ ริเร่มิ ที่เป็นประโยชน์ หรือมีการกล้าแสดงออกที่เป็น
การทาดี ควรยกย่องชมเชยคนเหล่านี้ทันที ดังน้ันบุคคลประเภทเราควรให้คาชมเชยอยู่ตลอด
เพ่ือเปน็ แรงกระตุ้นใหเ้ ขาตัง้ ใจทางานในองค์กรอย่างต่อเนือ่ ง

66 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

5.4.4 พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงข้อบกพร่องหรือจุดด้อยของเขา ให้ถือ
โอกาสชมสว่ นดที ี่เขาไดป้ ฏบิ ัติไปแล้ว พูดให้เขาสบายใจ จะทาให้บุคคลประเภทนี้ตั้งใจทางาน ส่งผล
ให้งานทีอ่ อกมานนั้ มีประสทิ ธิภาพและยังสามารถเข้ากับบุคคลอื่นในองคก์ รได้อีกด้วย

5.4.5 หากมีการเปล่ียนแปลงเกิดข้ึน ควรพยายามชี้แจงให้เห็นถึงประโยชน์ท่ีจะเกิด
ข้ึนกับเขาหรือสังคมรอบตัวเขา หากมีการเปลี่ยนแปลงในด้านนั้น ๆ.ดังน้ันหากองค์กรเกิดการ
เปลี่ยนแปลงควรมีการอธิบายให้บุคคลเหล่านี้เข้าใจ เพ่ือท่ีจะให้เขาอยู่ร่วมกับสังคมและองค์กร
ได้อย่างมีความสุข โดยไมห่ วาดระแวงส่งิ ท่อี ยู่รอบตัวเขา

5.5 พวกระราน บุคคลประเภทน้ีจะกล้าพูดกล้าแสดงออก ชอบโต้เถียง ไม่ชอบคิด
กอ่ นพูด ไมอ่ ดทนในสิ่งท่ตี นเองไมพ่ อใจและมกั ยึดตนเองเป็นใหญ่ ซึ่งข้อนี้จะเป็นผลเสียในการทางาน
ในองคก์ รในดา้ นของการติดต่อสือ่ สารหรือแม้แต่การอยู่ร่วมกันในการทางานซึ่งอาจทาให้งานออกมา
ไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควรและอาจเกิดการผิดพลาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมั่นใจในความคิดของตนเอง
มากเกนิ ไป ในการสร้างความสมั พนั ธข์ องการติดต่อกันกับคนประเภทน้ีผู้บริหารองค์กรจึงต้องปฏิบัติ
ดงั น้ี

5.5.1 หากต้องการสั่งหรือใช้คาสั่ง ควรใช้คาส่ังเชิงขอร้องให้ช่วย แต่ควรมีการ
ตรวจสอบอย่เู ปน็ ระยะ เน่อื งจากคนจาพวกน้ียงั ขาดความรอบคอบ

5.5.2 บางครั้งอาจมีพฤติกรรมชอบร้องเรียน เนื่องจากต้องการให้เอาใจใส่เขา
ดังนั้น อาจใช้วิธีพูด เพื่อให้เขารู้สึกว่าเราก็เห็นว่าเขาเป็นบุคคลท่ีสาคัญคนหนึ่งและเป็นคนที่มี
ความสามารถในการทางานนนั้ ๆ เพอ่ื ให้เขามคี วามม่นั ใจและมีใจรักในการทางาน

5.5.3 อย่ายกย่องชมเชยบ่อยคร้ังเกินไปจนรู้สึกพร่าเพร่ือ ให้ชมเฉพาะผลงานเด่น ๆ
และใชค้ าชมส้นั ๆ ให้เห็นความจริงใจ เพื่อไม่ให้บุคคลประเภทน้ีหลงตัวเองในการทางานมากเกินไป
จนเกิดความประมาทในการทางานและเกิดความผดิ พลาดในการทางานในองคก์ ร

5.5.4 หากพบส่ิงบกพร่อง คนประเภทนี้จะไม่ค่อยยอมรับในสิ่งบกพร่องเท่าไร
ควรค่อย ๆ ชี้แจงตามข้อเทจ็ จริงกบั ตวั บคุ คลจะได้ผลดกี ว่า

5.5.6 อาจให้เขาเป็นแกนหลักนาในการเปล่ียนแปลงบางส่ิงบางอย่าง เนื่องจาก
บคุ คลจาพวกน้ีมกี ารปรบั ตวั ได้รวดเร็ว

จากแบบของมนุษย์ทั้ง 5.แบบ ทาให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจได้รู้แนวทางในการปฏิบัติ
ตนกับมนุษย์ทั้ง 5.รูปแบบที่ในแต่ละองค์กรจะหลีกหนีพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้อย่างแน่นอน
ซึ่งผู้บริหารก็จะสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสมท่ีจะให้พวกเขาสามารถทางานได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพและมีความสขุ กบั การทางานในองค์กรธรุ กิจไดอ้ ย่างยาวนาน

6. ประโยชนข์ องการยอมรับผู้อน่ื
เมื่อผู้บริหารองค์กรธุรกิจได้ศึกษาเพ่ือทาความเข้าใจและยอมรับผู้อื่นแล้วน้ัน ย่อมทาให้

ผู้บริหารเห็นแนวทางในการจะปรับประยุกต์เพื่อการบริหารองค์กรธุรกิจให้ประสบความสาเร็จได้
ซึง่ ประโยชน์ของการยอมรบั ผู้อืน่ มีดังต่อไปน้ี

การศกึ ษาความเขา้ ใจตนเองและผอู้ น่ื เพ่ือสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ 67

6.1 ช่วยให้บุคคลมีความเข้าใจและเห็นคุณค่าในความสามารถและความดีของ
บุคคลอื่น

6.2 ช่วยให้บุคคลเกิดความเข้าใจในตนเองและเห็นข้อบกพร่องของตนเอง ยอมรับและ
พรอ้ มท่จี ะแกไ้ ขปรบั ปรุงจุดบกพร่องของตนเองให้เปน็ ที่ยอมรับของคนอนื่

6.3 ช่วยก่อให้เกิดสัมพันธภาพหรือมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน.ทาให้การร่วมงานการ
ติดตอ่ ประสานงานนน้ั เกดิ ความราบรื่น ทาให้องค์กรสามารถประสบผลสาเร็จได้

6.4 ทาให้บุคคลเกิดความพร้อมท่ีจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับ
ในศักยภาพของกันและกัน ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพเดือดร้อนหรือไม่ก็ตามทุกคนต่างมีความรู้สึกดี ๆ
ใหแ้ กก่ นั และกนั

6.5 ช่วยให้ครอบครัว ชุมชน สังคมและองค์กรต่าง ๆ มีประสิทธิภาพเพราะทุกคน
ตา่ งรว่ มมือร่วมใจกันสรา้ งความสามคั คี ความเข้าใจอันดีตอ่ กัน

การที่บุคคลทุกคนสามารถท่ีเข้าใจตนเอง ยอมรับตนเอง เข้าใจผู้อ่ืน ยอมรับผู้อื่น
ตลอดจนเข้าใจสิ่งแวดล้อมและสามารถปรับตัวได้ ก็จะทาให้บุคคลสามารถอยู่ร่วมกันในสังคม
ได้อย่างมคี วามสขุ

สรุปทา้ ยบท

การศึกษาความเข้าใจตนเองและผู้อ่ืนเป็นอีกวิธีในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจได้
ซ่ึงจะต้องทาความเข้าใจและยอมรับตนเองในลักษณะของความเป็นมนุษย์ซ่ึงมีอยู่ 3 แบบ คือ
ตนตามอุดมคติ ตนตามที่เป็นจริงและตนที่ตนมองเห็น ต้องรับรู้ภาพพจน์ตองเองโดยการส่งกระจก
สงั เกตตนเอง การรับรู้ตนเองจาการวิเคราะห์กลไกทางจิต.การรับรู้ตนเองจากคนอ่ืน การรับรู้ตนเอง
จากแบบทดสอบ การับรู้ตนเองจากทฤษฎี เชน่ ทฤษฎีหนา้ ตา่ งโจฮารี่

การเข้าใจและยอมรับผู้อ่ืนเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจนั้นจะต้องเข้าใจความสาคัญ
ของการเขา้ ใจผู้อื่น วิธีการศึกษาเพื่อเข้าใจผู้อื่น วิธีการศึกษาเพ่ือยอมรับผู้อ่ืนและการปฏิบัติต่อผู้อื่น
เพื่อเสริมสร้าง โดยวิธีการศึกษาเพื่อทาให้เกิดความเข้าใจผู้อื่นและการยอมรับผู้อ่ืน ควรพิจารณา
จากใบหนา้ บคุ คล แววตาหรือดวงตา บุคลิกภาพ เจตนารมณ์ของบุคคล ให้ความสนใจต่อพฤติกรรม
ของบุคคลอ่ืน การแสดงความช่ืนชมต่อบุคคลอื่น หากบุคคลสามารถยอมรับซึ่งกันและกันได้ก็ย่อม
เป็นบ่อเกิดแห่งการมีสัมพันธภาพท่ีดีสามารถร่วมดาเนินชีวิต ร่วมทางานและช่วยเหลือกิจการงาน
ใหเ้ กิดความราบรน่ื ในทสี่ ดุ

ในการท่ีจะสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ในทางธุรกิจไดน้ ้ัน ไมใ่ ชเ่ รอื่ งยากที่จะปฏิบัติเพียงแค่บุคคล
ท่ีเก่ียวข้องกับการประกอบธุรกิจจะต้องเริ่มต้นที่ตนเอง เร่ิมจากการศึกษาการพยายามทาความ
เข้าใจกับธรรมชาติความต้องการของมนุษย์ การทาความรู้จักตนเอง สารวจตนเองในแต่ละด้าน

68 มนุษยสมั พันธท์ างธุรกจิ

ว่ามีลักษณะเช่นไร ยอมรับในส่วนด้อยหรือข้อบกพร่องของตนเอง เพื่อนาไปสู่การพัฒนาลักษณะ
เหล่าน้ันให้ดีข้ึน รวมถึงยอมรับในส่วนดีหรือจุดเด่นของตนเองด้วย สิ่งเหล่านี้หากได้มีการทบทวน
หรือพัฒนาตลอด ก็จะช่วยสร้างการตระหนักร้ตู วั อยู่เสมอในการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน เกิดความระมัดระวัง
ในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้อ่ืนไว้ได้ส่วนหนึ่ง ซ่ึงนอกเหนือไปจากนั้นการศึกษาเพ่ือทา
ความรู้จักและฝึกทจ่ี ะยอมรับในตัวผูอ้ ่นื ตระหนักถงึ ความสาคัญในการทาความเข้าใจผู้อ่ืน หาวิธีการ
ในการตอบสนองต่อความต้องการท่ีแตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม ก็จะทาให้เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มี
มนษุ ยสัมพันธ์อันดีกับผู้อ่ืนในสังคมและในองค์กรการทางาน ทาให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี
ความสุข

การศกึ ษาความเขา้ ใจตนเองและผอู้ ื่นเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 69

กรณศี กึ ษา บทที่ 2
ไดด้ ีเพราะความแก่

นายมนตรี ทางานเปน็ พนกั งานอย่บู รษิ ทั ผลติ ชนิ้ ส่วนรถยนต์ โดยนายมนตรไี ด้เร่มิ ต้นชีวิต
การทางานท่ีบริษัทแห่งน้ีจนถึงปัจจุบัน ด้วยการที่เป็นพนักงานอยู่มานานและความเห็นใจของ
ประธานบรษิ ทั จึงไดเ้ ลือ่ นตาแหน่งขึ้นเป็นระดับผู้จัดการแผนก ธรรมชาติของนายมนตรีแล้วเป็นคน
ทชี่ อบจะเป็นหัวหนา้ คนแตไ่ ม่ค่อยศึกษาวิธีการทางานอย่างละเอียดทุกข้ันตอนด้วยความใส่ใจ จึงทา
ให้เขาข้นึ มาเปน็ หวั หนา้ แผนกชนดิ ที่เรยี กว่า รู้แบบฉาบฉวย หลาย ๆ คร้ังเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหา
และให้คาแนะนาลูกน้องได้ และก็มีหลายคร้ังท่ีประธานบริษัทเรียกไปตาหนิในเร่ืองของการใส่ใจ
ในงานของตนเองอยา่ งละเอยี ด เพราะทุกคร้ังท่ีประธานบริษัทสอบถามเรื่องงานในแผนก นายมนตรี
มักตอบไมไ่ ด้จนต้องเรียกลกู น้องมาชว่ ยอธิบายเกือบทุกครัง้

นายมนตรีมักชอบออกสงั คมกับประธานบริษัท และชอบวางตัวเป็นผู้บริหารบริษัทให้คน
ในสังคมได้รู้ว่าเขามีลักษณะท่าทางท่ีดีและมีความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการแผนกและคน
ในสังคมท่ีไม่รู้จักนายมนตรี ก็มักช่ืนชมในนายมนตรีว่าเป็นผู้จัดการแผนกท่ีมีความรู้ความสามารถ
และมีความเช่ียวชาญ โดยท่ีนายมนตรี ก็จะแสดงอาการภูมิใจในตัวเอง ในส่ิงท่ีคนในสังคมได้บอก
และเขากเ็ ข้าใจว่าตนเองมีความรู้ ความสามารถและความเชี่ยวชาญตามที่คนในสังคมบอก ตลอดจน
นายมนตรี ก็ไม่ยอมที่จะทาความเข้าใจตนเองในเร่ืองของความเป็นจริงที่ตนเองไม่มีความรู้
ความสามารถและความเช่ยี วชาญในงานของตนเองแต่อย่างใด

คาถาม
1. ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรข้ึนกบั บริษทั แห่งนี้ถ้านายมนตรียังเปน็ แบบน้ี
2. ท่านคิดว่านายมนตรีควรจะทาความเข้าใจตนเองในเร่ืองใดบ้างและควรปรับปรุง
ตนเองอยา่ งไร

70 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

กิจกรรม บทที่ 2
เกมแนะนาตัวพรอ้ มของฝาก

วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน

2. เพอ่ื ฝึกให้สรา้ งความสมั พันธภ์ ายในกลุ่ม

3. เพ่อื ฝกึ ไหวพริบของผูเ้ ล่น

4. เพือ่ ฝึกเร่ืองการใชภ้ าษาไทย

จานวนผู้เล่น 20-30 คน

อปุ กรณ์ -

สถานที่ หอ้ งเรยี น

เวลา 20 - 30 นาที

วธิ ีเลน่ 1. ผนู้ ากจิ กรรมบอกให้ทุกคนยืนขนึ้ เปน็ ตัวยู หรอื วงกลมกไ็ ด้

2. ผู้นากิจกรรมชี้แจงว่า ต่อไปน้ีจะให้ทุกคนแนะนาตัว โดยมีกติกาว่า เม่ือบอก

ชื่อตัวเองแล้ว ให้ตามด้วยของฝาก ซึ่งของฝากจะต้องเป็นของท่ีกินได้ จะเป็นผลไม้ ผัก ขนม ก็ได้

เชน่ ผมชอ่ื อรรถพร เอาแก้วมังกรมาฝาก

3. ของฝากที่ตามหลังช่ือจะต้องให้มีเสียงคล้องจองกับชื่อด้วย เช่นจากข้อ 2

ผมช่ือ อรรถพร ลงท้ายด้วย.พร เอาแก้วมังกร มาฝาก ลงท้ายด้วย กร ซ่ึงมีเสียงเหมือนกันคือ พร

และกร

4. ถ้าคนใดบอกช่ือตามด้วยของฝากไม่คล้องจองกัน หรือบอกของฝากซ้า

กบั คนอื่นจะถูกลงโทษ

5. ผ้นู ากิจกรรมบอกใหท้ ุกคนแนะนาทีละคนจนครบทุกคน

6. ผ้นู ากจิ กรรมถามผ้รู ว่ มกิจกรรมได้อะไรจากการเลน่ กจิ กรรม

7. ผู้นากจิ กรรมสรุปวัตถปุ ระสงคข์ องกิจกรรม

การศกึ ษาความเข้าใจตนเองและผ้อู ื่นเพอ่ื สร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ 71

แบบฝึกหดั บทท่ี 2

คาชี้แจง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพิจารณาว่าข้อความนั้นถูกหรือผิด ถ้าถูกให้ทา
เครือ่ งหมาย √ ถ้าผดิ ใหท้ าเครอ่ื งหมาย X ลงหนา้ ข้อความในแตล่ ะข้อ
1. ตนตามอุดมคติ คือ ตนที่เราอยากมี อยากเป็น แต่ยังไม่มีและไม่สามารถเป็นได้

ในปจั จบุ ัน
2. ตนตามท่ีเป็นจริง คือภาพตนที่ตัวเองมองเห็นว่าเป็นคนอย่างไรรับรู้ว่ามีความรู้

ความสามารถอย่างไร
3. การรบั ร้ภู าพพจน์ของตนเองท่ีงา่ ยทีส่ ุด คือการส่องกระจก
4. การแสดงความพิการทางร่างกายเป็นการแสดงความผิดปกติทางร่างกายออกมา

เมอื่ บุคคลพบกบั สภาพการณ์ทก่ี ่อให้เกดิ ความไม่สบายใจหรอื ผดิ หวัง เช่น เป็นลมหมดสติ หน้ามืดตา
มองไมเ่ หน็ แขนขาไม่มีแรง

5. เพื่อนบางคนแสดงความช่วยเหลือและหวังดีต่อหน้า แต่ลับหลังนินทาซ่อนความริษยา
ไว้โดยแสร้งทาดีเพื่อกลบเกลื่อน เปน็ การแสดงพฤตกิ รรมตรงกันข้ามกบั ความรสู้ กึ ของตนเอง

6. เพ่ือนในกลุ่มไม่ยอมรับตนเอง จึงพยายามแยกตัวออกจากกลุ่ม ไม่สนใจกลุ่มพยายาม
เล่ียงและชอบอยู่ลาพัง เป็นการการปรบั ตวั แบบถอยหนี ทีเ่ รียกวา่ การเกบ็ กด

7. ก้าวร้าวโดยตรงเป็นการแสดงความก้าวร้าวต่อบุคคลหรือสิ่งของท่ีทาให้ตนเองโกรธ
โดยตรง เช่น การเตะต่อย ทาร้ายรา่ งกายและการต่อวา่

8. ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่ บริเวณจุดบอด เป็นลักษณะหรือพฤติกรรมที่ตนเองแสดงออก
โดยไมร่ ตู้ ัว

9. ทฤษฎีหน้าต่างโจฮาร่ี บริเวณจุดซ่อนเร้น เป็นการแสดงพฤติกรรมท่ีตัวเองไม่รู้
และผอู้ ืน่ กไ็ ม่รู้

10. ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่ บริเวณจุดมืดมน เป็นส่วนที่การแสดงพฤติกรรมท่ีตัวเองไม่รู้
และผอู้ น่ื กไ็ มร่ ู้

11. ทฤษฎหี นา้ ตา่ งโจฮาร่ี บริเวณจุดที่ต้องพึงระวังมากที่สุดคือ บริเวณเปิดเผย เพราะจะ
สร้างความเดือนร้อนใหก้ บั ผ้อู นื่

12. งามมารยาท หมายถึง การมีกิริยาท่าทาง การวางตัว การแสดงออกท่ีสุภาพและมี
พฤติกรรมเหมาะสมกับกาลเทศะ

13. ความเปน็ ผู้รู้จกั ตน คอื การรจู้ กั ความพอดี พอเหมาะพอควรในการทาทุกสิ่งทุกอย่าง
14. ความเปน็ ผรู้ จู้ ักบุคคล คอื การทาความเข้าใจ รู้จักลักษณะของบุคคลวา่ มีความแตกต่างกัน
ทั้งในด้านความรู้ เจตคติ นิสัยใจคอเพอื่ ที่จะปฏบิ ัติตอ่ บุคคลนนั้ ได้ถูกต้อง
15. งามจิต หมายถึง การมองโลกในแง่ดี คดิ แตส่ ิง่ ดี ๆ เป็นความงามทเ่ี กดิ ข้นึ ภายใน
16. ตนที่เราคิดว่าเราเป็นกับตนที่คิดว่าอยากจะเป็น หากไม่แตกต่างกันมากแสดงว่า
การยอมรบั ในตนเองจะมมี าก

72 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ

17. “โทรศัพท์ที่เธอใช้ไม่สวยไม่เห็นดีเท่าของฉันเลย”.เป็นคาพูดของคนท่ีคิดว่า (I’m not
O.K. ,You’re not O.K.)

18. “อะไร ๆ ก็ไมด่ ีทงั้ นัน้ เราอยา่ พยายามทาเลย ไม่ว่ายังไงเธอหรือฉันก็คงทาให้ดีขึ้นมา
ไม่ได้”เปน็ คาพูดของคนที่คดิ ว่า (I’m not O.K. ,You’re not O.K.)

19. “เรามาช่วยกันทางานช้ินน้ีให้สาเร็จเถอะ แม้ว่ามันจะยากแต่ฉันว่าเราคงผ่านมันไป
ได”้ เปน็ คาพดู ของคนท่คี ดิ วา่ (I’m O.K. ,You’re O.K.)

20. บคุ คลประเภทนก้ี ่อนท่ีจะลงมือทาสิ่งใดจะเสียเวลาเป็นอย่างมากในการคิดใคร่ครวญ
ไม่ชอบทจ่ี ะทาสง่ิ ใดโดยที่รู้สึกเหมือนตนไม่ได้คิดใหถ้ ่ีถว้ นเสียก่อน เป็นบุคคลประเภทขข้ี ลาด

คาช้แี จง จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. ลกั ษณะมนุษย์ มีลกั ษณะตัวตนของมนุษย์ก่ีแบบ อะไรบ้าง จงอธิบายมาพอสงั เขป
2. การรบั รูภ้ าพพจน์ตนเองด้วยตนเอง มีการรับรู้ก่ีวิธอี ะไรบ้าง
3. การรบั ร้ภู าพพจน์ตนเองดว้ ยการวิเคราะห์กลไกจิต มกี ารรับร้กู ่วี ธิ อี ะไรบ้าง
4. การรับรู้ตนเองจากทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่ บคุ คลมีพฤติกรรม 4.แบบมีอะไรบา้ งจงอธิบาย
5. ผลดีและผลเสยี ของการเปิดเผยตนเองมีอะไรบ้าง
6. พุทธศาสนากับการรจู้ ักตนเอง ไดก้ ลา่ วเกี่ยวกับความงาม 4 ชัน้ ได้แก่อะไรบ้างจงอธบิ าย
7. การยอมรบั ตนเอง ประกอบด้วยส่ิงสาคญั กปี่ ระการ อะไรบ้าง
8. ประโยชนข์ องการยอมรบั ผู้อื่นมอี ะไรบา้ ง
9. ปัจจยั ท่มี ีอิทธพิ ลต่อการยอมรับตนเอง มีอะไรบ้าง
10. การเข้าใจผู้อื่นแบบมอี คติ ประกอบด้วยอคติอะไรบ้าง จงอธบิ าย
11. ใหท้ า่ นอธิบายแนวคิดเรื่อง (Transactional Analysis : TA) ของอิริค เบิร์น ซ่ึงกล่าวว่า

บุคคลจะมีทัศนคติต่อตนเองและผู้อื่นในแบบใดแบบหน่ึง ซ่ึงเรียกว่า ทัศนคติแห่งชีวิตหรือตาแหน่ง
ชวี ติ (Life Position) มี 4 แบบ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง

12. การศึกษาความเข้าใจตนเองและผู้อ่ืน สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการประกอบ
ธุรกิจได้อยา่ งไร จงอธิบาย

บทท่ี 3

การพฒั นาตนเองเพื่อสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั
ในพิธพี ระราชทานปรญิ ญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันท่ี 25 มิถุนายน 2496

“...ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงาม สาหรับสุภาพชน รู้จัก
สัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัว
เพ่ือประโยชนส์ ว่ นรวม...”

74 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

จากการท่ีได้รู้จักและเข้าใจตนเองและผู้อ่ืนในบทท่ีแล้ว.ทาให้ได้ทราบข้อดี.ข้อเสียของ
ตนเองเพื่อนาข้อเสียมาปรับปรุง.แก้ไข.เปล่ียนแปลงและพัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลที่มีความพร้อม
ทั้งร่างกายและจิตใจ.เพราะคนเรามีส่วนประกอบท่ีแบ่งออกได้สองส่วน.คือ.กายกับใจ.จาเป็นต้อง
พัฒนาควบคู่กนั ไปเพอ่ื สามารถสรา้ งมนุษยสมั พันธก์ บั บุคคลในสังคมและในองค์กรธุรกิจได้ ซ่ึงในการ
พัฒ น าบุ คคล มัก จ ะให้ คว ามส าคัญการ พั ฒ น าทางด้ าน ร่ างกาย .โ ด ย การ ให้ อาห าร ที่มีป ร ะโ ย ช น์
ครบถ้วน.ออกกาลังกาย.พักผ่อน.ตลอดจนการแต่งกายให้มีบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม.ซ่ึงการพัฒนา
บุคลิกภาพภายนอก คือการดูแลร่างกายให้ดูดี แต่ในด้านของจิตใจเราไม่เคยดูแลเอาใจใส่ให้อาหารใจ
ส่งผลให้จิตใจพิการหรือไม่สมบูรณ์ได้ เหมือนดังคากล่าวที่ว่า “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” คาว่า “สวยแต่
รูป” ก็คือ การมีร่างกายและบุคลิกภาพที่ดี ส่วนคาว่า “จูบไม่หอม” นั้นหมายถึงการท่ีคนเรามี
หน้าตาท่ีสวยงามแต่ถ้าจิตใจไม่สวยงามก็ไม่มีประโยชน์อะไร.ดังนั้นคา ๆ น้ีจึงให้ความสาคัญที่ใจคน
ถ้าคนเราสวยท้ังกายและใจ ก็จะมีคากล่าวต่อมาว่า.“สวยรูป จูบหอม”.ซ่ึงเป็นเสน่ห์ของคนเรา
ที่จะทาให้บคุ คลทอ่ี ยรู่ อบขา้ งเกดิ ความประทับใจอยากคบค้าสมาคมเป็นมิตร

ในการปรับปรุงตนเองเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจจะส่งผลให้บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับ
ธุรกิจสามารถที่จะนาไปพัฒนาแก้ไขเปล่ียนแปลงตนเอง เพ่ือติดต่อสัมพันธ์ในการประกอบธุรกิจ
ทาให้การตดิ ตอ่ ธรุ กจิ สามารถทจี่ ะดาเนนิ งานไดอ้ ย่างราบรนื่ ไร้อุปสรรค เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและ
กันระหว่างบุคคลทีเ่ กี่ยวข้องกบั ธุรกิจดว้ ยกนั

ดังนน้ั ในการปรบั ปรงุ ตนเองเพอื่ สร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจบุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจ
จาเป็นต้องพัฒนาท้ัง 2 ด้าน คือท้ังบุคลิกภาพภายใน ก็คือใจและบุคลิกภาพภายนอก ก็คือร่างกาย
ไปพร้อมกันก็จะทาให้บุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจสามารถสร้างรากฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ทางธุรกจิ ได้ดว้ ยตัวเอง

ความหมายของบุคลกิ ภาพ

บุคลิกภาพท่ีดีถือว่าเป็นส่ิงท่ีทาให้บุคคลดูดี ทาให้ผู้พบเห็นแล้วเกิดความประทับใจ
อยากเขา้ มาสร้างความสมั พนั ธ์ด้วย ซงึ่ มผี ใู้ ห้ความหมายเกีย่ วกับคาว่าบุคลกิ ภาพ ไว้ดังนี้

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546:629).ได้ให้ความหมายของ
บุคลกิ ภาพ หมายถึง สภาพนสิ ัยจาเพาะคน

พิบูล ทีปะปาล (2555:74).บุคลิกภาพ หมายถึง ภาพรวมท้ังหมดซึ่งเป็นลักษณะ
เฉพาะตัวบคุ คลทท่ี าให้บุคคลมีลกั ษณะแตกตา่ งกัน และมีรูปแบบการตอบสนองต่อส่ิงแวดล้อมท่ีเป็น
เอกลักษณ์ของตนเองอยา่ งสมา่ เสมอ

ในขณะที่ สุพานี สฤษฎ์วานิช (2552:94) ได้ให้นิยามเกี่ยวกับบุคลิกภาพ หมายถึง
ภาพรวมทุกแง่ทุกมุมของบุคคลคนนั้น สามารถสังเกตได้และวัดได้ บุคลิกภาพโดยทั่วไปจะคงที่และ

การพฒั นาตนเองเพื่อสรา้ งมนุษยสัมพันธท์ างธุรกิจ 75

สม่าเสมอ มีทั้งส่วนท่ีเห็นได้ง่ายและส่วนที่อยู่ลึก มีท้ังส่วนท่ีเหมือน ๆ กัน.(Common) และส่วนท่ี
เป็นลกั ษณะเฉพาะ (Unique) ไม่เหมือนคนอน่ื

จากความหมายของคาว่าบุคลิกภาพ ผู้เขียนขอให้คานิยามดังนี้ บุคลิกภาพ หมายถึง
คุณลักษณะท่ีเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล แสดงออกโดยพฤติกรรมท่ีบุคคลนั้นมีต่อส่ิงแวดล้อม
ที่ตนกาลังเผชิญอยู่ และพฤติกรรมน้ีจะคงเส้นคงวาพอสมควรลักษณะของแบบแผนพฤติกรรม
และแบบแผนการคิดทีเ่ ป็นตวั กาหนดลักษณะเฉพาะบคุ คลในการปรบั ตัวกับส่งิ แวดล้อม

บุคลิกภาพภายใน หมายถึง ส่ิงที่มองไม่เห็น แต่สามารถสัมผัสและรู้ได้ด้วยการ
ติดต่อสื่อสาร การคบหาซ่ึงกันและกันจะทาให้สามารถรู้ได้ว่าแต่ละคนมีบุคลิกภาพภายในอย่างไร
เชน่ เปน็ คนขยนั อดทน เขม้ แขง็ ความกลา้ ความกลัว เป็นตน้

บุคลกิ ภาพภายนอก หมายถึง สิ่งที่สัมผัสหรือสังเกตได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก
ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ เช่น รูปร่าง หน้าตาที่ การแต่งกาย
การพูด การวางตวั เป็นต้น
ตารางที่ 3.1 ลกั ษณะบุคลกิ ภาพภายนอกและบุคลกิ ภาพภายใน

ลักษณะบุคลิกภาพภายนอก ลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพภายใน

1. รปู รา่ ง เชน่ อว้ น ผอม สูง เตี้ย 1. ความรสู้ ึก เชน่ รัก เกลยี ด ชอบ หลง
2. หน้าตาท่ี เช่น หลอ่ สวย 2. อารมณ์ เช่น โกรธ หงดุ หงิด เบิกบาน
3. การแตง่ กาย 3. นสิ ัยใจคอ เช่น ขีข้ โมย ข้เี ล่น เมตตา
4. การพดู จาหรือสาเนยี งภาษา 4. ความคดิ เชน่ การคิดเอาชนะคนอนื่
5. การวางตวั ในสังคม 5. การต้งั เปา้ หมายในชีวติ
6. การเดิน การนั่ง การวิง่ 6. ทศั นคติ คา่ นยิ ม
7. สุขภาพ 7. ความอดทน
8. กริยามารยาท 8. ความขยันม่งุ มานะ พยายาม
9. การแสดงออกทางสหี นา้ แววตา 9. ความเอาใจใส่

หลกั เบอ้ื งต้นในการพัฒนาตนเองเพือ่ สรา้ งมนุษยสัมพนั ธท์ างธรุ กจิ

ก า ร พั ฒ น า แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง ต น เ อ ง เ พ่ื อ ส ร้ า ง ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ ท า ง ธุ ร กิ จ มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์
เพ่ือให้บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับธุรกิจมีบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สามารถติดต่อ
ประสานงานรว่ มกบั บคุ คลภายในและภายนอกองค์กรได้อย่างมีความสุข โดยการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ของแต่ละบุคคลน้ัน มีเทคนิคท่ีแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบและการส่ังสมประสบการณ์

76 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสามารถพัฒนาวิธีการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ให้เหมาะสมกับโอกาส
สถานท่ีและบคุ คล

จากการศึกษาของผู้เขียนเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงตนเองเพื่อให้สามารถสร้าง
มนุษยสัมพันธ์กับคนท่ัวไปในสังคมและในการประกอบธุรกิจน้ัน ผู้เขียนขอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
หลักเบือ้ งต้นในการพัฒนาเพ่อื สร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ ประกอบด้วย

1. สารวจตนเอง ในสภาพของตนเองท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันมีข้อดีที่ควรพัฒนาให้ดีย่ิงขึ้น
และมขี ้อบกพร่องทค่ี วรไดร้ บั การพัฒนาปรับปรงุ เปลีย่ นแปลง แกไ้ ข โดยการตรวจสอบที่ตนเองก่อน
เปน็ ลาดบั แรก เพราะตนจะรู้จักตวั เองมากกวา่ ผ้อู น่ื แตบ่ างอยา่ งตนเองอาจไม่รู้ต้องอาศัยคนรอบข้าง
เช่น เพ่ือน พ่อแม่ ญาติและเพื่อนร่วมงาน มาช่วยบอกข้อบกพร่องของตัวเราเพ่ือเกิดการพัฒนาตนเอง
ให้ดีขึ้นและตนเองสามารถยอมรับในพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนเองได้ด้วยและมีความพร้อมที่จะได้รับ
การพัฒนา

2. จดบันทึกลักษณะ โดยการจดบันทึกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตนเองท่ีควรได้รับ
การพัฒนาหรือปรับปรุงไว้ให้หมดทุกอย่าง แล้วนามาพิจารณาถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมว่าควร
ได้รับการพัฒนาก่อนหลัง โดยพิจารณาผลเสียท่ีเกิดขึ้นกับตนเองและบุคคลรอบข้างว่าพฤติกรรมใด
ส่งผลเสียมากที่สดุ พฤติกรรมน้ันก็ควรจะได้รบั การพัฒนาและปรับปรงุ ก่อน

3. กาหนดเป้าหมายในการพัฒนาและปรับปรุงตนเอง บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจ
จะต้องกาหนดเป้าหมายในการพัฒนาตนเองอย่างชัดเจน เพื่อพัฒนาให้ตนเองดีข้ึนได้ในระดับ
เบื้องต้น ปานกลางหรือดีเลิศ โดยเร่ิมจากข้ันเบ้ืองต้นก่อนแล้วเริ่มทาการพัฒนา ปรับปรุงส่วนที่
ตอ้ งการแกไ้ ขทีละนอ้ ยจนสามารถปรบั ปรงุ ได้ทุกสว่ น

4. กาหนดวิธีการพัฒนาและปรับปรุง โดยการหาต้นเหตุของปัญหา คือพฤติกรรม
ท่ีไม่เหมาะสมมีสาเหตุจากอะไรแล้วหาวิธีแก้ไขทีละเรื่อง ในการได้มาซ่ึงวิธีการปรับปรุงนั้นสามารถ
ประสบความสาเร็จได้ต้องอยู่ที่ตัวของบุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจท่ีจะปรับปรุง ต้องยอมรับ
ในพฤติกรรมที่จะปรับปรุงและพร้อมที่จะนาวิธีการที่จะพัฒนาและปรับปรุงไปปฏิบัติและต้องมีความ
เช่ือม่ันว่าเม่ือปรับปรุงตนเองแล้วจะทาให้ตนเองดีข้ึน เพ่ือสร้างกาลังใจท่ีจะพัฒนาและปรับปรุง
ตนเอง

5. จัดทาแผนหรือกาหนดการในการปรับปรุงแก้ไข มีการวางแผนจะทาอะไร ทาเม่ือไหร่
ซึ่งจะชว่ ยประกอบการวิเคราะห์ให้บุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจได้เรียนรู้ถึงการปรับปรุงตนเองโดยการ
วิเคราะห์พฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมนามาหาวิธีการปรับปรุงแก้ไขและกาหนดระยะเวลา .ในการ
ปรับปรุง.เพ่ือตรวจสอบความก้าวหน้าในการปรับปรุงและพัฒนา แล้วดาเนินข้ันต่อไปจนถึง
จุดมุง่ หมายทีต่ อ้ งการ คอื การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมทด่ี ขี น้ึ

6. ติดตามและประเมินผลตนเอง โดยตรวจสอบจากผลของพฤติกรรมที่ได้ปฏิบัติตาม
แผนท่วี างไว้ว่าทาได้หรอื ไม่ มีปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุงในเร่ืองใด หรือมีบางวิธีการท่ีนามา
พัฒนาและปรับปรุงไม่เหมาะสมจนทาให้ไม่สามารถพัฒนาได้ ก็ควรนามาตรวจสอบและหาวิธีการ

การพัฒนาตนเองเพือ่ สร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ 77

ใหม่ในการปรับปรุงแต่ถ้าสามารถปฏิบัติได้ตามแผนท่ีวางไว้ควรให้กาลังใจตนเอง ในการพัฒนา
และปรับปรุงในพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมต่อไปทาเช่นนี้เรื่อยไปจนสามารถพัฒนาและปรับปรุง
พฤติกรรมที่ไม่ปรารถนาได้สาเร็จ จึงทาให้นักธุรกิจต้องติดตามและประเมินผลตนเองอยู่ตลอด
ถ้าหากยังไม่ดีพอกจ็ ะปรับปรุงแก้ไขได้อย่างทนั ทว่ งที

7. ทบทวนตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงสาเหตุต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในการพัฒนาและปรับปรุงให้
สาเร็จได้วา่ มปี ัจจัยใดทเ่ี ป็นสว่ นเสริมใหส้ าเรจ็ ได้ และนาหลักการดังกล่าวมาปรบั ใชใ้ นการพัฒนาและ
ปรับปรงุ พฤตกิ รรมทไี่ มพ่ ึงประสงค์ต่อไป ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงที่ไม่สาเร็จนั้นมีสาเหตุเกิดจาก
ปัจจัยใดแล้วนามาคิด วิเคราะห์ ตรวจสอบ เพ่ือหาวิธีการใหม่ในการปรับปรุงครั้งต่อไปให้สามารถ
ประสบความสาเร็จตามทต่ี ั้งไวท้ กุ ประการ

ทบทวน
ตั้งแตต่ น้
จนจบ

ภาพที่ 3.1 หลักเบื้องต้นในการพฒั นาตนเอง
บุคคลทเ่ี ก่ียวข้องกับธุรกิจสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดเก่ียวกับหลักเบ้ืองต้นในการพัฒนา
และปรบั ปรุงตนเองเพือ่ สร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ ซึ่งมีประโยชน์ต่อตนเองในด้านการทางานและ
เพิ่มศักยภาพของตนเองเพ่ือเพ่ิมความเชื่อมั่นให้กับหัวหน้าองค์กรอีกด้วย การพัฒนาตนเองสาหรับ
บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจถือเป็นส่ิงจาเป็น เนื่องจากธุรกิจมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว

78 มนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ

และตลอดเวลา ดังน้ัน การยอมรับตนเองและพร้อมที่จะพัฒนาปรับปรุงตนเองจึงถือเป็นสิ่งที่ดี
ต่อบุคคลที่เกีย่ วข้องกับธุรกิจ

การพัฒนาบุคลกิ ภาพภายในเพ่อื สรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ

การปรับปรุงตนเองโดยการพัฒนาบุคลิกภาพภายในน้ัน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจจะต้องมี
การพัฒนาในด้านจิตใจ ความรู้สึกและทัศนคติ โดยได้มีผู้รู้ได้ให้แนวคิดไว้หลายท่านด้วยกัน
ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้

1. แนวคิดในการพฒั นาตนเองเพื่อสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ เป็นการสังเกตลักษณะ
นสิ ัยของตนเองและเข้าใจลกั ษณะนิสัยของเพื่อนร่วมงานหรือผู้ท่ีติดต่อธุรกิจด้วย เพ่ือให้ตนเองและเพ่ือน
รว่ มงานมคี วามสุขนั้น มีแนวคิดในการพฒั นาตนเองท่ีหลากหลายผ้เู ขียนขอยกมา 13 ขอ้ ดงั น้ี

1.1 เป็นผู้มีใจสงบ.(Calmness) คือการมีใจท่ีน่ิงไม่ต่ืนเต้นในเร่ืองท่ีดีหรือร้าย
เม่ือประสบความสาเร็จมีความสุขก็ไม่ดีใจจนเกินงาม เมื่อเกิดความผิดพลาดสูญเสียก็ไม่เสียใจ
จนขาดสติ การท่ีจะสงบหรือไม่ตื่นเต้นได้ต้องมีสติในการหยุดคิดอย่างมีเหตุผล การฝึกจิตใจท่ีได้รับผลเสีย
แก่ตนเอง.เช่น การลงทุนทาธุรกิจจะตอ้ งมกี ารขาดทนุ และไดก้ าไรเปน็ เรื่องธรรมดา บุคคลท่ีเกี่ยวข้อง
กับธุรกิจจะต้องยอมรับในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผลการดาเนินธุรกิจจะต้องข้ึนอยู่กับ
เศรษฐกิจ ดังน้ัน ผู้ลงทุนจะต้องรับรู้ถึงเหตุและผลของมัน ทาให้เกิดความสงบและยอมรับสภาพท่ี
เ กิ ด ข้ึ น ไ ด้ .ส่ ง ผ ล ใ ห้ มี จิ ต ใ จ ที่ เ ข้ ม แ ข็ ง ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า ต่ า ง . ๆ . ท่ี เ กิ ด ขึ้ น ใ น ก า ร ด า เ นิ น ธุ ร กิ จ
หากผู้ประกอบธุรกิจทุกคนมีจิตใจที่สงบ ก็จะทาให้มีสมาธิในการทางาน หากพบเจอปัญหาในการ
ทางาน ก็จะหาทางแกป้ ญั หาได้งา่ ยขึ้น

1.2 เป็น ผู้ มีใจเบิกบาน . (Cheerfulness) คือ มีคว ามพร้อมรับส่ิงต่าง ๆ
ด้วยความเต็มใจ การมีใจที่เบิกบานนั้นต้องฝึกมองโลกในแง่ดีก่อนก็จะทาให้คิดแต่ส่ิงท่ีดี เกิดความ
สบายใจสขุ ใจ ถึงแมม้ เี ร่อื งรา้ ยแรงขนาดไหนก็เห็นว่าเป็นเร่ืองปกติสามารถแก้ไขได้ เช่น นักโทษสอง
คนติดคกุ มีโอกาสเห็นโลกเท่ากัน นักโทษคนหนึ่งมองดูโลกโดยการมองดินเห็นแต่โคลนตม ทาให้รู้สึก
หดหู่ใจ แล้วก็สรุปว่าโลกนี้ช่างเลวร้ายไม่น่าอยู่ แต่นักโทษอีกคนมีกาลังใจดีอยู่เสมอ เมื่อมองโลก
ออกไปภายนอกโดยเงยหน้ามองดเู บอื้ งสูงเห็นดวงดาวแพรวพราว และเห็นโลกเป็นส่ิงสวยงาม ดังนั้น
คนท่ีมีใจเบิกบานอยู่เสมอนั้น จะทาให้มีความสุขอยู่ตลอดเวลา เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้อยู่เสมอ
คนท่ีมาเกี่ยวข้องรู้สึกอยากร่วมสนทนาด้วย ผู้มีจิตใจท่ีเบิกบานอยู่เสมอย่อมเป็นเสน่ห์อย่างหน่ึง
ท่ีชักจูงให้คนอยากเข้าใกล้ ตรงกันข้ามกับคนท่ีเป็นทุกข์ หดหู่ โศกเศร้า ย่อมไม่มีใครอยากเข้ามา
อยู่ร่วมด้วย โดยแนวทางการฝกึ ใจใหเ้ บกิ บาน มีดงั น้ี

1.2.1 ต้องฝึกหัดมองเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในแง่ดี หรือมองทางบวก บุคคล
ท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจจะมองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน ในแง่ดีอยู่เป็นประจา
โดยจะต้องหาแนวทางในการปรับกลยุทธใ์ นการดาเนนิ ธุรกจิ ให้เขา้ กบั สถานการณอ์ ยเู่ สมอ

การพฒั นาตนเองเพ่อื สร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ 79

1.2.2 ต้องคบกับผู้ที่มีอัธยาศัยร่ืนเริง เบิกบานแจ่มใสและทากิจกรรมท่ีทาให้
จิตใจเบิกบาน ถ้าเหน่ือยจากการทางานก็ควรพักผ่อน เช่น นอนหลับ ร้องเพลง เล่นกีฬา
ดูหนัง และฟงั เพลง เป็นตน้

1.2.3 ควรฝึกใจให้เป็นคนสันโดษ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี รู้จักประมาณ
ตนเอง กล้ายอมรับความเป็นจริงท่ีเกิดข้ึน เจ้าของธุรกิจต้องยอมรับถึงลักษณะของธุรกิจที่ดาเนินอยู่
และรู้จักประมาณความต้องการและความสามารถของตนเองให้ สอดคล้องกับการทาธุรกิจที่ตนเอง
ทาอยู่ ตลอดจนมีความพรอ้ มในการรับสง่ิ ทจี่ ะเกิดขน้ึ จากการดาเนนิ งานของตนเองได้

1.2.4 ขจัดความทุกข์ ความวิตกกังวล เพราะสิ่งเหล่าน้ีจะทาให้หัวใจ
ไม่เบิกบาน การดาเนินธุรกิจอาจต้องพบกับความเส่ียงท่ีจะได้กาไรและขาดทุนได้ทุกขณะ ซึ่งภาระ
การขาดทุนนามาซ่ึงความทกุ ข์ วิตกกงั วลเกดิ ความเครยี ดตามมา ดังนั้น ผู้ที่เก่ียวข้องกับธุรกิจจะต้อง
มกี ารระบายกับบุคคลที่ไว้วางใจ เข้าวัดปฏิบัติธรรม ทาบุญ ให้ทาน เพื่อให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านและ
มสี ตมิ ากย่ิงขน้ึ

1.2.5 ต้องฝึกใจตนเองท่ีจะเข้าใจสิ่งดี ๆ บ้างถ้าไม่เคยทา เช่น เป็นคนหน้าบึ้ง
ลองส่องกระจกดูว่าตอนหน้าบึ้งเป็นอย่างไร แล้วลองยิ้มดูว่าเป็นอย่างไร และเปรียบเทียบดูว่าส่ิงไหน
ดีกว่ากัน ถ้าตนเองบอกว่าย้ิมดีกว่าลองฝึกยิ้มกับบุคคลรอบข้าง แล้วจะมีรอยยิ้มกลับคืนมาให้เรา
เทา่ กบั ทีเ่ รายิ้มให้ โลกนกี้ ็จะดูนา่ อยู่ขึ้น

1.3 เป็นผู้มีหัวใจเข้มแข็ง (Strong-mindedness) เป็นสิ่งสาคัญในการดาเนิน
ชีวิตของคนในการต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิตไปได้ เพราะในชีวิตของคนต้องเจอกับปัญหาและ
อุปสรรค ใหญ่บ้างเล็กบ้างในช่วงของชีวิต ซ่ึงต้องใช้กาลังใจท่ีเข้มแข็งเข้าต่อสู้จนสามารถเอาชนะได้
เช่น นักธุรกิจบางคนท่ีเป็นหน้ีสินหลายพันล้านเกิดจากการบริหารงานผิดพลาดต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่
โดยการขายแซนวิส จากที่เคยเป็นนักธุรกิจใส่เส้ือสูทอยู่ห้องแอร์ ขายสินค้าราคาแพง ได้รับเงินเป็นพันล้าน
แต่ต้องมาขายสินค้าราคาไม่กี่บาท ใส่เสื้อยืด ยืนตากแดดขายแซนวิส แต่ด้วยจิตใจท่ีเข้มแข็งสามารถ
ทาให้เขากล้าที่จะเจอกับความเป็นจริงและยอมรับกับส่ิงท่ีเกิดข้ึนในชีวิตด้วยการต้ังสติ แล้วคิด
หาทางออกด้วยใจท่ีสู้ ก็สามารถทาให้อุปสรรคท้ังหลายผ่านพ้นไปได้ บุคคลจึงควรคิดต่อว่ายังมีบุคคล
ท่ีได้พบเจอสิ่งที่แย่ ๆ มากกว่าเราอีกมากมาย การฝึกคิดเช่นน้ีย่อมทาให้เรามีใจท่ีเข้มแข็งกล้าที่จะ
เผชิญและสู้กบั อุปสรรคต่อไปดว้ ยความมน่ั ใจ

1.4 เป็นผู้มีความเช่ือมั่นในตนเอง (Self Confidence) การท่ีคนเราจะสามารถ
ทาอะไรได้สาเร็จน้ัน ต้องอาศัยความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในตัวบุคคล ไม่มีใครท่ีจะปราศจากความเชื่อมั่น
ในตนเอง เพราะถ้าไม่เช่ือมั่นในตนเอง ก็ไม่สามารถก้าวข้ึนแท่นแห่งความสาเร็จได้ การสร้างความเช่ือมั่น
ใหก้ บั ตนเอง ตอ้ งร้จู กั การเคารพวา่ ตนมีความสามารถท่จี ะทาได้ในทางของตน เพราะไม่มีใครรู้จักเรา
เท่ากับตนเองและให้กาลังใจตวั เองอยู่ตลอดเวลาว่าเราทาได้ ตัวอย่างง่าย ๆ และใกล้ตัวเรามากที่สุด
ก็คือ การท่ีเราจะเกิดมาอยู่ในท้องแม่ได้ ต้องแข่งขันกับพวกพี่น้องของเราคืออสุจิ ต้ังหลายล้านตัว
แต่ด้วยความสามารถของตนเองก็สามารถเกิดมาเป็นตัวเราได้ จงเช่ือมั่นในความรู้ ความสามารถ

80 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ

ของตนก็จะสามารถเอาชนะและทาสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างท่ีต้องการและในทางธุรกิจนั้นมีบุคคล
ท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจจานวนมากที่เข้ามาแข่งขัน ซ่ึงมีความเก่งไม่แพ้กัน ดั้งน้ันเราจึงต้องมีความ
เชือ่ มนั่ ในตนเองอยู่เสมอ เพื่อจะทาให้ตนเองสามารถแขง่ ขันกบั บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับธรุ กจิ อน่ื ๆ ได้

1.5 เป็นผู้มีความไตร่ตรอง (Reflection) มีประโยชน์สาหรับตัวเราเป็น
อยา่ งมาก การไตร่ตรองเป็นการคิดโดยอาศัยเหตุผลบนพื้นฐานความจริงและความถูกต้อง เพ่ือนามา
เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ การเป็นผู้มีความไตร่ตรองจะทาให้รู้เหตุของปัญหา เกิดความรอบคอบ
รู้เท่าทันคน ไม่ทาอะไรผิดพลาด คนที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักไตร่ตรองคือคนโง่ ย่อมตกเป็นเหยื่อของคน
ฉลาด เช่น กรณีข่าวในโทรทัศน์ที่มีบุคคลได้รับโทรศัพท์ว่าเป็นผู้โชคดี ได้รับรางวัลเงินสดสองแสนบาท
จากการสมุ่ หมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทจาหน่ายโทรศัพท์มือถือ เม่ือมีสิ่งล่อใจจึงทาให้คนไม่สนใจท่ีจะใส่ใจ
รายละเอียด เม่ือทางบริษัทบอกให้ไปตู้เอทีเอ็ม.(ATM).เพื่อโอนเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็ม ก็รีบไปท่ีตู้เอทีเอ็ม
และกดปุ่มตามท่ีทางบริษัทบอกให้กดทางโทรศัพท์ ซึ่งปุ่มท่ีกดนั้นเป็นการโอนเงินในบัญชีเงินฝากของ
ตนเองให้กบั ทางบริษัทท่ีหลอกหลวง โดยอาศัยการให้กดปุ่มที่เป็นคาอธิบายภาษาอังกฤษซ่ึงผู้กดปุ่ม
ไม่รูค้ วามหมายของภาษาองั กฤษจึงกดปมุ่ โอนเงนิ ใหโ้ ดยง่าย.เป็นอีกหนึง่ บทเรียนของการไม่ไตร่ตรอง
ให้รอบคอบ เพราะสังคมในปัจจุบันมีส่ิงท่ีเป็นอันตรายหลายรูปแบบจึงควรไตร่ตรอง.ทบทวน.คิดให้
มากก่อนตัดสินใจทุกครั้ง บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจก็ควรที่จะคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ เพราะในการ
ทาธุรกิจก็ย่อมมีการผิดพลาดเกิดข้ึน หากเราคิดไตร่ตรอง ตรวจตราให้ดีอยู่ตลอดเวลาเป็นผลทาให้
ผลงานทอ่ี อกมามีประสทิ ธภิ าพโดยไม่ก่อให้เกดิ ความเสียหาย

1.6 เป็นผู้มีความละเอียดลออ (Thoroughness) เป็นความรอบคอบอีกวิธีหน่ึง
ที่จะทาให้การทางาน หรือการดาเนินชีวิตไม่เกิดข้อผิดพลาดได้คนที่มีหน้าที่การงานท่ีสูงควรต้องมี
คณุ สมบัติข้อน้ีไว้ติดตัว ในการทางานในตาแหน่งท่ีสูงต้องรับผิดชอบมากข้ึนและมีความเส่ียงมากข้ึน
เช่นกันจึงต้องให้ความสนใจในการฝึกหัดให้มีความละเอียดลออเพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยท่ีสุด
บางคนทางานเสร็จเร็วแต่เกิดข้อผิดพลาดต้องกลับมาแก้ไข แต่บางคนทางานเสร็จช้าแต่งานเรียบร้อย
ดังน้ัน ควรมีสติในการปฏิบัติภารกิจทุกขณะเวลาและหมั่นสังเกต ตรวจสอบ ทบทวน โดยการหา
ความรู้เพิ่มเติมในเร่ืองที่ทาเพ่ือเป็นข้อมูลในการไตร่ตรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดและความเสียหาย
แก่ตนเอง ผู้อื่น และส่วนรวมได้ บุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจ เม่ือทางานแล้วควรมีการตรวจสอบ
อีกครั้ง.เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดต่องาน ดังน้ัน บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจต้องเป็นคนมีความ
ละเอียดลออในการทางานหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นส่งผลทาให้งานเกิดความล่าช้าทาให้เกิดผลเสีย
ต่อองคก์ ร

1.7 เป็นผู้เสมอต้นเสมอปลาย (Steadiness) เป็นส่ิงท่ีทุกคนควรมี เพราะการ
เสมอตน้ เสมอปลายน้ันแสดงถึงความแน่วแน่ หนักแน่นของจิตใจ ในการปฏิบัติให้เป็นผู้มีความเสมอ
ต้นเสมอปลายน้ัน ก็เหมือนกับน้าที่หยดลงหินทาให้กร่อนได้ การฝึกให้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายต้อง
หัดเป็นคนใจเย็น อดทนดังประโยคที่ว่า ช้า ๆ ได้พร้า 2.เล่มงาม.ไม่ใจร้อน ใจเร็วเกินไป เพราะบาง
ส่ิงบางอย่างไม่สามารถเร่งได้ก็จาเป็นต้องรอ เช่น ปลูกมะม่วงวันน้ีแล้วจะกินผลมะม่วงวันน้ีเป็นไป

การพฒั นาตนเองเพ่อื สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ 81

ไม่ได้ต้องใจเย็น ๆ รดน้าไปเรื่อย.ๆ ทุกวัน ๆ มันก็จะออกผลมาให้กินเอง แต่ถ้าใจร้อน รดน้าตอนปลูก
ช่วงแรกมาก อาจทาให้รากเน่าตายได้ ฝึกทาอะไรให้เป็นกิจวัตรประจาวัน ทาให้เกิดเป็นเรื่องปกติ
กล่าวโดยสรุป ความเสมอต้นเสมอปลายนี้ต้องอาศัยความใจเย็น ทาอะไรเป็นเวลา การต้ังม่ันในความ
เพียร ทาอะไรมีจุดหมายไม่ลดละความพยายามจนกว่าจะสาเร็จ ดังนั้นบุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจ
ก็ต้องมีความเสมอต้นเสมอปลายในเรื่องของการทางานเพราะถ้าหากไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย
ก็จะทาให้งานท่ีมุ่งหวังไว้ไม่สาเร็จ แต่ถ้าเรามีความเสมอต้นเสมอปลายก็จะทาให้สิ่งที่เรามุ่งหวังน้ัน
ประสบความสาเร็จในการทางานไม่ว่างานนั้นจะหนักหรือเบาแค่ไหนก็จะทาให้งานนั้นออกมาดี
และมีประสิทธภิ าพ

1.8 เป็นผู้หาเหตุผลให้ถูกต้อง (Right Reasoning) เหตุผลเป็นสิ่งสาคัญในการ
ทางานหรือการอยู่ร่วมกัน การต่อสู้ทางความคิด เช่น การโต้วาทีของฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน ฝ่ายใด
ท่ีมีเหตุผลมากกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ หรือแม้แต่ในการประชุมมีการถกเถียงกันแต่สุดท้ายฝ่ายใด
ท่ีมีเหตุผลดีกว่าก็จะเป็นท่ียอมรับของท่ีประชุม เหตุผลที่ได้มาประกอบการคิดหรือกระทา ต้องถูกต้อง
ด้วยการมีเหตุผลที่ถูกต้องจึงเป็นคุณสมบัติท่ีสาคัญของผู้นาทุกคน ในการหาเหตุผลที่ถูกต้องน้ันต้องอาศัย
การหาขอ้ มูลโดยการไตรต่ รอง คิดทบทวน โดยอาศัยประสบการณ์และปรึกษาผู้รู้ที่มีความเช่ียวชาญ
มาประกอบการตัดสินใจ เม่ือได้ข้อเท็จจริงนามาไตร่ตรองดีแล้ว ก็จะได้เหตุผลที่ถูกต้องออกมา
เป็นผลลัพธ์ ซึ่งสามารถใช้ในการอ้างอิงในการต่อสู้ทางความคิดกับผู้อื่น หรือใช้ในการทางาน
ประจาวัน บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจจะต้องยึดหลักเหตุและผล ประกอบในการทางานเพ่ือช่วย
ในการตัดสินใจในการทางาน การควบคุมบคุ ลากรภายในองคก์ ร การตดั สนิ ใจในการลงทุน เป็นตน้

1.9 เป็นผู้รู้จักกาลเทศะ (Tact) คือการรู้วิธีปฏิบัติตนท่ีเหมาะสมกับบุคคล
เวลา สถานการณแ์ ละสถานท่ี โดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์และระเบียบของสังคม ไม่ทาตัวผิดไปจากผู้อ่ืน
การเป็นผู้รู้จักกาลเทศะน้ัน ต้องศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติในสังคมที่ตนเองไม่มีความรู้ให้รู้จน
สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ในบางเรื่องที่ไม่สามารถศึกษา
ในตาราได้ ควรสอบถามผู้รู้ในสังคมน้ัน ๆ เพื่อให้คาแนะนาและสามารถปฏิบัติและปรับตัวได้
การไม่รู้จักกาลเทศะย่อมเป็นท่ีรังเกียจของคนรอบข้าง เช่น ส่งเสียงดังขณะท่ีคนอื่นน่ังสมาธิ
อยู่ในโบสถ์ ในทางธรุ กจิ ส่ิงที่สาคญั อยา่ งหน่ึงคือ การรู้จักกาลเทศะ เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ต้องรู้จักภาระหน้าที่ของตนเอง รู้จักว่าจะทาส่ิงไหนดีและสิ่งไหนที่ไม่ดี รวมท้ังในเร่ืองของมารยาท
ในการพูดคุยในองคก์ รด้วย

1.10 เป็นผู้ตรงต่อเวลา (Exactitude) เป็นผู้ท่ีมีความรับผิดชอบ รักษาคาพูด
มีวินัย มีมารยาท มีความพร้อมไม่เห็นแก่ตัว เป็นคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดส่ิงดี ๆ ตามมา การตรงต่อเวลา
มีความสาคัญมาก ทุกครั้งที่ท่านตรงต่อเวลาแสดงถึงความพร้อมของร่างกายและจิตใจในการทา
ภารกิจข้างหน้าโดยไม่ทาให้ผู้อื่นต้องรอคอยและเกิดความเสียหาย วิธีฝึกปฏิบัติให้เป็นผู้ตรงต่อเวลา
ค ว ร มี ก า ร จ ด บั น ทึ ก เ พื่ อ เ ตื อ น ค ว า ม จ า แ ล ะ ด า เ นิ น ภ า ร กิ จ ท่ี ไ ด้ รั บ ผิ ด ช อ บ ม า ใ ห้ แ ล้ ว เ ส ร็ จ
โดยไมผ่ ดั วันประกันพรุง่ จัดเรยี งความสาคญั ของงานก่อนหลงั รวมถึงความพร้อมของตนเองและต้อง

82 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

คานึงอยเู่ สมอว่ามคี นรอคอยช้นิ งานอยเู่ พือ่ จะดาเนินขนั้ ตอ่ ไป และการเปน็ นักธุรกิจท่ีดีได้น้ันต้องเป็น
ผู้มีความตรงต่อเวลาเป็นสาคัญ เนื่องจากเราต้องติดต่อธุรกิจกับบุคคลอ่ืนอยู่เสมอ เราก็ควรท่ีจะมี
ความตรงตอ่ เวลา และไม่ควรทาอะไรล่าช้า อาจทาให้เกิดผลเสียต่อธรุ กจิ ตามมาอกี ดว้ ย

1.11 เป็นผู้มีความสังเกต (Observation) เป็นเสน่ห์ของบุคคลท่ีจะตื่นตัวระลึก
ได้ของจิตต่อส่ิงท่ีพบ โดยสามารถจดจารายละเอียดต่าง ๆ ให้ได้มากท่ีสุด การเป็นผู้สังเกตน้ันจะทา
ให้เป็นผ้ทู ฉี่ ลาด รอบรู้ แกป้ ญั หาได้ จากสิง่ ทีเ่ คยได้จดจาท่ีก่อให้เกิดเกร็ดความรู้ เทคนิควิธีการท่ีง่าย
จากการช่างสังเกต การเป็นผู้สังเกตยังเป็นการสร้างความประทับใจกับผู้ท่ีเราได้พบเป็นครั้งท่ีสอง
ที่สามารถสังเกตหน้าตาจดจาได้และเรียกช่ือได้ถูกต้อง ในการเป็นผู้นาถ้าสามารถจาลูกน้องได้ย่อม
สร้างความประทับใจ ความศรัทธาให้เกิดกับลูกน้องเป็นเรื่องเล็ก.ๆ น้อย.ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์
อันมหาศาล ทาให้ลูกน้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทางานให้กับหน่วยงานจนสามารถประสบ
ความสาเร็จได้ผลดีที่เกิดกับสมองในการเป็นคนช่างสังเกตก็คือจะเป็นผู้มีความจาท่ีดี ช่วยกระตุ้น
สมองใหท้ างาน และเกิดพัฒนาการให้เป็นคนฉลาดรอบรู้ การใช้สมองในการคิดมาก ทาให้เกิดความ
ชานาญในการคิด.ถ้าพบเจอสิ่งใดก็เป็นเร่ืองง่ายของสมองในการจดจาเพราะสมองถูกฝึกและกระตุ้น
มาตลอด.บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจต้องมีไหวพริบในการทางานอยู่เสมอ รู้จักการสังเกตว่าคนอ่ืน
ทาอะไรดมี ีประโยชน์ เพือ่ ท่จี ะนาสิง่ นัน้ มาประยกุ ตใ์ ชก้ ับตนเองใหด้ ยี ิ่งขึ้น

1.12 เป็นผู้กล้าหาญ.(Courage) ต้องสร้างความม่ันใจ โดยการดึงสิ่งท่ีดี
ในตนเองออกมาก่อน เพ่ือให้ตนเองเกิดความรู้สึกว่าตนมีคุณค่า มีความรู้ มีความสามารถพอที่จะ
แข่งขันกับผู้อ่ืนได้ ก่อให้เกิดความม่ันใจในความรู้ความสามารถของตน ทาให้มีจิตใจเข้มแข็งกล้าคิด
กล้าตัดสินใจ กล้าเผชิญกับความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งที่เผชิญจะดีหรือไม่ก็ตาม การเป็นผู้กล้าหาญ
กล้าคิด กล้าทา กล้าแสดงออก และกล้าเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ โดยไม่หวั่นกลัว ย่อมนามา
ซง่ึ ความสาเรจ็ ขององค์กรทางธรุ กิจได้เป็นอย่างดี

1.13 การพูดแต่ความจริง (Truthfulness) เป็นการแสดงถึงความจริงใจของผู้พูดว่า
เป็นคนอย่างไร น่าเช่ือถือไว้วางใจได้มากน้อยเพียงใด ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแม้มีคนมากล่าว
ความเท็จใส่ร้าย แต่ในท่ีสุดความจริงก็ย่อมปรากฏออกมา การพูดแต่ความจริงของบุคคลเป็นการ
แสดงนิสัยเป็นคนซ่ือสัตย์ เป็นธรรม น่าเชื่อถือ กล้าหาญ มีความรับผิดชอบ ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีน่า
สรรเสรญิ อย่างยงิ่ นักธรุ กิจทุกคนตอ้ งมีความจริงใจ ซ่ือสตั ย์ไมค่ ดโกง เพราะ หากเราไม่มีความจริงใจ
ก็จะไม่มใี ครกล้าตดิ ตอ่ ธุรกจิ กบั เรา ซง่ึ อาจจะสง่ ผลกระทบต่องานของเราเป็นอย่างมาก

จากแนวคิดในการพัฒนาตนเองให้สามารถประกอบธุรกิจได้ประสบความสาเร็จ
ผู้ประกอบการธุรกิจจึงควรที่จะศึกษาและทาความเข้าใจเพ่ือจะได้ฝึกทักษะต่าง ๆ จากแนวคิด
ทก่ี ล่าวมาเพอ่ื ให้ตนเองสามารถเป็นผปู้ ระกอบธุรกิจทม่ี ีมนุษยสัมพันธ์ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

2. แนวคิดในการพฒั นาตนเองใหเ้ ป็นผ้มู ีคุณธรรม
แนวคิดในการพัฒนาตนเองของนักธุรกิจให้เป็นผู้มีคุณธรรมและสามารถสร้าง

มนุษยสัมพันธ์กับบุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์กร มีนักปราชญ์ชาวจีน ขงจื้อได้กล่าวเก่ียวกับ

การพัฒนาตนเองเพือ่ สร้างมนษุ ยสัมพนั ธท์ างธุรกจิ 83

เร่ืองของคุณธรรมไว้ว่า “ใครก็ตามซึ่งอยู่ในโลกน้ี ถ้าปฏิบัติตามคุณธรรม 5 ประการน้ี ย่อมได้ช่ือว่า
มมี นุษยธรรม”.คณุ ธรรมทัง้ 5 ประการไดแ้ ก่

2.1 ความสุภาพอ่อนโยน เป็นการแสดงกิริยามารยาทท่ีเหมาะสมกับกาลเทศะ
ที่แสดงออกด้วยแววตา น้าเสียง ใบหน้า กิริยาท่าทาง รวมถึงความรู้สึกภายใน คือเป็นเสน่ห์ที่บุคคล
รอบข้างอยากเข้าใกล้และเป็นมิตรด้วย เม่ือเราให้ความสุภาพอ่อนโยนกับผู้ที่อ่อนกว่าจะเกิดความ
ศรัทธา ช่ืนชม ยกย่อง นับถือ ถ้าให้ความสุภาพอ่อนโยนกับผู้ท่ีอาวุโสกว่าจะเกิดความรักใคร่ เมตตา
เอ็นดู ซ่ึงทั้ง 2 กรณีจะช่วยให้สามารถทาภารกิจใดก็ตาม ก็จะสามารถสาเร็จและได้รับความร่วมมือ
เป็นอย่างดี ดว้ ยความเต็มใจ ความสุภาพอ่อนโยนแล้ว จะทาให้คนรอบข้างหรือผู้ร่วมงานก็จะเต็มใจ
ท่ีจะเขา้ มาทางานรว่ มกันกบั เรา

2.2 ความไม่เหน็ แกต่ ัว คอื การทีไ่ ม่คดิ ทจ่ี ะทาเพ่อื ตนเองเพียงอย่างเดียว ในขณะที่มี
งานส่วนรวม ซ่ึงเปน็ ภารกจิ ท่ตี นเองตอ้ งรบั ผิดชอบร่วมด้วย เช่น การมุ่งทางานของตนให้สาเร็จก่อน
ในเวลาเดียวกันเพ่ือน ๆ กาลังทางานให้ส่วนรวมอยู่ โดยที่งานส่วนตัวของเพื่อนก็ยังไม่เสร็จ วิธีขจัด
ไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตัว โดยการมอบหมายงานและแบ่งงานกันทาตามความรู้ ความสามารถ
เม่ือปฏิบัติภารกิจในส่วนท่ีรับผิดชอบเสร็จสิ้น อาจไปช่วยเหลือเพ่ือนท่ียังไม่เสร็จเป็นการแสดงถึง
น้าใจท่ีมีต่อเพอื่ นร่วมงาน เท่านกี้ ส็ ามารถทาให้มนุษย์อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขและในการทางาน
ทางธุรกิจหากเราไม่เห็นแก่ตัวก็จะทาให้ผู้อื่นอยากท่ีจะเข้ามาร่วมทางานกับเรา เกิดความรักใคร่
สามคั คี และมคี วามช่วยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั ได้อกี ดว้ ย

2.3 ความจริงใจ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ท่ีเป็นมิตร โดยการพูดแต่สิ่งท่ีเป็นจริง
ในดา้ นดี สว่ นดา้ นไมด่ กี ็ใหข้ ้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาน้ัน ๆ ใหค้ วามชว่ ยเหลือในยามท่ีมีความทุกข์
ด้วยการปลอบใจ ให้คาปรึกษา วิธีสังเกตว่าใครจริงใจน้ันให้ดูตอนท่ีเราตกต่าว่ามีใครบ้างท่ีให้
การช่วยเหลือ นั่นคือมิตรแท้ท่ีมีความจริงใจ ยามม่ังมีจะมีทั้งมิตรแท้และมิตรเทียมมากมายจนแยก
ไม่ออกว่าใครจริงใจไม่จริงใจ ในบางคร้ังเราอาจต้องเสียมิตรแท้ท่ีมีความจริงใจไปด้วยเล่ห์เหล่ียม
ของคนที่ไม่จริงใจ ดังน้ัน จึงควรฝึกตนให้มีสติในการคิดพิจารณา บุคคลท่ีอยู่รอบข้างตัวเรา
โดยเฉพาะบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจต้องมีความจริงใจต่อกันไม่แสแสร้งแกล้งทาดีต่อกัน จะทาให้
การทางานรว่ มกับผอู้ ืน่ นน้ั เป็นไปอย่างราบรน่ื และมีความสุข

2.4 ความขยัน เป็นหนทางสู่ความสาเร็จ ถ้าขยันเรียนก็จะมีวิชาความรู้ ความสามารถ
ความเชี่ยวชาญทาให้ได้งานที่ดี ขยันทางานก็จะมีความเชี่ยวชาญมีทรัพย์สินเงินทอง ขยันฝึกซ้อม
กีฬาก็จะรู้เทคนิควิธีการท่ีจะเอาชนะคู่แข่งได้ทาให้ได้ชัยชนะ ขยันประพฤติปฏิบัติในส่ิงท่ีดีงามก็จะ
เป็นผู้ที่ประสบความสาเร็จในทุก ๆ ด้าน สร้างความขยันโดยเริ่มจากการทาวันนี้ทีละเล็กทีละน้อย
ทกุ .ๆ.วัน จนเกิดเป็นกิจนิสยั ความขยันกจ็ ะเข้ามาอยู่ในตัวของเรา หากมีความขยันหม่ันเพียรในการ
ทางานอยู่เสมอ ก็จะส่งผลทาให้เป้าหมายท่ีวางไว้ขององค์กรสาเร็จได้ด้วยดีและงานท่ีออกมาน้ัน
จะมีประสิทธภิ าพมากยิ่งขึ้น

84 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ

2.5 ความเมตตากรุณา คาสองคามีความหมายที่ดีเมตตาคือความรักใคร่ ปรารถนา
ให้ผู้อื่นมีความสุข เช่น การย้ิมแย้มแจ่มใส การพูดจาไพเราะน่าฟัง การมอบความรู้สึกท่ีดี การแสดง
พฤติกรรมท่ีดีให้แก่กัน ส่วนคาว่า กรุณา คือ ความสงสาร ความต้องการช่วยเหลือให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์
มีจิตใจที่ดีงามเม่ือเห็นคนอ่ืนเป็นทุกข์ และคิดให้การช่วยเหลือเช่นเห็นคนเกิดอุบัติเหตุ ให้การ
ช่วยเหลือนาสง่ โรงพยาบาลเพ่ือให้เขาไดร้ บั การรักษาพยาบาลพน้ จากความเจ็บปวด เป็นต้น บุคคลที่
มคี วามเมตตากรณุ าก็ย่อมได้รับผลแห่งการกระทาตอบแทน เชน่ หากเห็นผู้ร่วมงานมีความเดือนร้อน
ก็ควรท่ีจะย่ืนมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ การกระทาดังกล่าวก็จะส่งผลให้ตัวเรามีความสุข
และผอู้ ืน่ ก็มีความสุขดว้ ย

ในการพัฒนาและปรับปรุงตนเองน้ันไม่ใช่เร่ืองยาก เป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง
เพื่อให้ตนเองและผู้อ่ืนมีความสุข บุคคลรอบข้างก็อยากท่ีจะคบหาสมาคมด้วย โดยธรรมชาติมนุษย์มีความ
เหมอื นและความตา่ งกันอยู่ เช่น เราอยากให้คนพูดดีกบั เรา ชอบให้คนอ่นื พูดจาไพเราะน้าเสียงน่าฟัง
ให้เรา แต่เรากลับพูดไม่ดี โดยด่าว่า ตาหนิ กล่าวโทษ ส่อเสียด นินทา แล้วมนุษย์คนไหนจะชอบ
พฤติกรรมนี้ เป็นเพราะเราไม่ยอมเข้าใจ ผู้อ่ืน คือ แกล้งโง่ ทั้ง ๆ ท่ีรู้อยู่ โดยในการติดต่อธุรกิจยังต้อง
อาศัยการมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีของตัวบุคคลเข้ามาช่วยในการติดต่อสัมพันธ์ให้ธุรกิจสามารถประสบ
ผลสาเรจ็ ดังนนั้ เราจงึ ควรปรับตนเองโดยใช้หลักการที่กลา่ วข้างต้นและควรปรบั ปรงุ ตนเองอยู่เสมอ

3. การปรับปรุงตนเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การทางานทุกอย่าง
จะต้องมีการติดต่อส่ือสารพูดคุยซ่ึงกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นภายในและภายนอกองค์กร ดังนั้น
การเตรียมความพร้อมโดยการวิเคราะห์หาข้อเสียของตนเองนามาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้ดีข้ึน
เพื่อประโยชน์ในการดาเนินธุรกิจนั้น ย่อมเกิดผลดีต่อตนเองและองค์กร ผู้เขียนขอเสนอหลักการ
ปรบั ปรงุ ตนเองในการอยู่ร่วมกบั ผู้อ่ืนไดอ้ ยา่ งมีความสขุ โดยมหี ลกั การดังน้ี

3.1 ฝึกการมองโลกในแง่ดี ลองคิดง่าย ๆ ถ้าทุกคนคิดแต่ส่ิงท่ีดี และมอบส่ิงดี ๆ
ให้แก่กันจะเกิดอะไรขึ้น คนทุกคนมีความสุข ครอบครัวทุกครอบครัวมีความสุขและเกิดความอบอุ่น
สังคมทกุ สงั คมน่าอยู่ ประเทศทุกประเทศสงบสุข โลกทั้งโลกเกิดสันติภาพ เพราะเวลาที่เราคิดดีแล้ว
ลองตรวจสอบใจตนเองดูจะรู้ว่าใจจะเบิกบาน มีความสุขสังเกตได้จากใบหน้าจะยิ้มแย้มแจ่มใส
เกดิ ความสุข เช่น เจอคนขอทานพิการร้องเพลงแลกเงิน เห็นแล้วคิดสงสารอยากให้เงินใจของเราจะ
เบิกบานท่ีจะได้ช่วยคน และเม่ือได้วางเหรียญลงไปแล้วเราจะรู้สึกได้ถึงความปลาบปล้ืม อิ่มเอมใจ
เป็นความสุขท่ีเราสามารถสรา้ งได้ด้วยตัวเอง ในทางกลับกันถ้าเราคิดไม่ดี คิดร้ายใจจะร้อนรนกระวนกระวาย
แสดงออกมาทางสีหน้าโดยชัดเจนเกิดความทุกข์ เช่น คิดจะขโมยของผู้อ่ืน จะเข้าไปขโมยก็ต้องกลัวที่จะมี
คนเห็น เกิดความไม่สบาย กดดัน แค่เบ้ืองต้นก็ทุกข์อย่างสาหัส ถ้าทาต่อไปจะทุกข์ขนาดไหนอาจถึง
ติดคุก แค่น้ีก็มองเห็นแล้วว่าการมองโลกในแง่ดีคิดแต่ส่ิงดี ๆ นั้นมีประโยชน์กับตนเองและคน
รอบข้างขนาดไหน ซ่ึงในทางธุรกิจแล้ว หากทุกคนมองโลกในแง่ดี คิดดีทาดีแล้ว ก็จะสามารถทาให้
ตัวเรามีแต่ความสุขและสามารถแบ่งปันความสุขให้กับคนรอบข้าง ทาให้คนรอบข้างมีความเต็มใจ
ที่จะทางานร่วมกับเราและเราสามารถช่วยเหลือบุคคลในองค์กรได้ แล้วเม่ือไหร่ที่เราได้ช่วยเหลือ

การพัฒนาตนเองเพ่อื สรา้ งมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ 85

ผู้อ่ืนให้ดีข้ึนด้วยความเต็มใจและจริงใจแล้ว เราจะรู้สึกถึงความคิดในเชิงบวก และรู้สึกถึงความสุข
ที่เกิดขนึ้ ในจิตใจของตวั เราเองได้

3.2 ไม่ยึดมั่นในตนเอง คนทุกคนมีความแตกต่างกัน ตัวของเราเองก็มีความ
แตกต่างจากผู้อื่นจะให้คนทุกคนเหมือนกับใครหรือเหมือนกับตนมันย่อมเป็นไปไม่ได้ คนทุกคน
มีบรรทัดฐานของตนอยู่ แต่บรรทัดฐานของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน จะเอาบรรทัดฐานของอีกคน
เปรียบเทยี บกับอกี คนกย็ ่อมไม่เท่ากันและก็ไม่เหมือนกัน และในทางธุรกิจก็เหมือนกัน เม่ือไหร่ท่ีเราอยู่
ร่วมกับผู้อื่นแล้ว เราจะต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ยึดตัวเองเป็นหลัก และต้องยอมรับฟังความ
คดิ เหน็ ของผ้อู ่นื อยู่เสมอและตอ้ งไม่เหน็ แก่ตวั เพ่ือท่ีเราจะได้ทางานได้อย่างมีความสุข และถ้าทุกคนคิด
จะให้คนท่ีอยูร่ อบขา้ งมีความคิดเหมือนตนเองก็จะได้รับคาตอบท่ีผิดหวัง ทาให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ
โกรธ วิธีคิดที่จะทาให้เรา มีความสุข ก็คือ อย่าไปคาดหวังในพฤติกรรมของผู้อ่ืน แล้วยอมรับ
ในพฤติกรรมท่ีบุคคลอื่นทาไม่ได้ โดยการเข้าใจว่าคนทุกคนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน ถ้าเขาพร้อมแล้ว
เขาก็จะทาพฤติกรรมนั้นเอง ในขณะที่บุคคลถูกบังคับให้ทาในส่ิงที่เขาทาไม่ได้บุคคลก็ย่อมเกิดทุกข์
ส่วนบุคคลที่บังคับให้ทาไม่ได้ส่ิงท่ีต้องการเพราะบุคคลที่ถูกบังคับไม่สามารถทาส่ิงที่ต้องการ
ได้เช่นกัน ดงั นัน้ จึงต้องรอเวลาที่พร้อม เม่ือมีความพร้อมบุคคลก็จะกระทาได้เอง เช่น พ่อ แม่ ต้องการ
ให้ลูกทาบางสิ่งที่พ่อแม่ต้องการแต่ลูกยังไม่พร้อมลูกย่อมปฏิบัติไม่ได้ทาให้ลูกเกิดความกดดัน ทุกข์ใจ
ส่วนพ่อแม่ก็ไม่พอใจโกรธลูกท่ีทาไม่ได้ ทาให้เกิดความทุกข์ใจเช่นเดียวกัน ความต้องการของพ่อแม่ท่ีมี
กับลูกเกิดความทุกข์ทั้ง 2.ฝ่าย ส่วนถ้าคิดอีกวิธีโดยพ่อแม่เข้าใจลูกโดยการรอเวลาที่ลูกพร้อมไม่กดดัน
เวลาจะทาให้ลูกทาได้ เมื่อลูกทาได้ลูกก็จะสบายใจ ดีใจ ที่ทาให้พ่อแม่ได้ พ่อแม่ก็ดีใจ สบายใจ ที่ลูกทา
ไดอ้ ยา่ งที่ต้องการ วิธีนี้ท้ัง 2.ฝ่ายมีแต่ความสุขเพียงแต่เข้าใจและรอเวลาท่ีพร้อม ดังน้ันวิธีคิดท่ีจะสุข
หรือทุกข์ เราเป็นผู้กาหนด เราจึงไม่ควรเอาไม้บรรทัดท่ีเรามีอยู่ไปวัดกับผู้อ่ืน เพราะไม้บรรทัดของ
เราและของผ้อู ่นื ย่อมไม่เทา่ กัน

“อย่าพยายามทาคนอ่นื ให้เหมอื นใจเรา เพราะเรากท็ าใหเ้ หมอื นใจคนอื่นไม่ได้”
3.3 รู้จักควบคุมอารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธเป็นอารมณ์ท่ีทุกคนไม่ชอบ ทั้งผู้โกรธ
และผ้ถู กู โกรธ เราสามารถระงับและควบคุมอารมณ์โกรธได้โดยหาสาเหตุของการโกรธ อารมณ์โกรธ
เกิดจากบุคคลได้รับพฤติกรรมหรือคาพูดที่ไม่เป็นท่ีต้องการของตนเอง แต่ถ้าได้รับกับพฤติกรรม
และคาพูดที่ดีก็จะพอใจ มีความสุข ไม่โกรธ ทาให้มีความสุข เป็นสิ่งที่น่าคิดที่ว่าเราฝึกคิดท่ีจะรับ
พฤติกรรม คาพดู ทด่ี แี ละไม่ดีเท่า ๆ กัน พฤติกรรมคาพูดท่ีดีเม่ือได้รับแล้วรู้สึกสบายใจ สุขใจ เป็นเรื่อง
ง่าย.ๆ ธรรมดา เหมือนการฝึกหัดเล่นดนตรี ฝึกประจา.ๆ ก็จะทาได้ ให้หลับตาเล่นก็ยังเล่นดนตรีได้
แต่พฤติกรรมคาพูดที่ไม่ดี เรามักจะบอกว่ารับไม่ได้ไม่พอใจ ทาให้เกิดความทุกข์ใจ ไม่พอใจเป็นเพราะเรา
ไม่เคยฝึกที่จะรับมัน เปรียบดังเช่นการท่ีเราไม่เคยฝึกเล่นดนตรี เม่ือถึงเวลาต้องเล่นดนตรี เราก็เล่น
ไม่ได้ ทุกท่านจึงควรให้ความสนใจกับเร่ืองนี้เพื่อให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีโดยเอาความโกรธมาเป็น
ประโยชน์ ดังนิทานเร่ืองต่อไปนี้ มีเศรษฐีใจบุญมีข้าทาสบริวารมากมาย มีใจศรัทธาท่ีจะสร้างศาลา
ในวัดให้กบั ชาวบ้านให้เข้ามาปฏิบัติธรรม เม่ือมีเวลาว่างเศรษฐีก็จะไปดูความคืบหน้าในการก่อสร้าง

86 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

ขณะท่ีเดินอยู่ ชา่ งทาสีได้ทาแปรงทาสีตกใส่หัวท่านเศรษฐี ช่างทาสีไม่รู้ว่าเป็นเศรษฐีจึงตะโกนลงมา
ต่อว่าท่านเศรษฐี ว่ามาเดินเกะกะทาไมในที่ก่อสร้าง เห็นไหมแปรงทาสีเลยตกใส่หัว ช่างทาสีก็ไล่
ให้ท่านเศรษฐีออกไป หัวหน้าคุมงานก่อสร้างเห็นจึงวิ่งเข้ามาขอโทษท่านเศรษฐี แล้วจึงถาม
ท่านเศรษฐีว่าท่านไม่โกรธช่างทาสีหรือ ท่านเศรษฐีตอบว่าเราไม่โกรธหรอก เราต้องขอบคุณเขาท่ีสอน
ให้เราได้ระงับความโกรธได้ เพราะคนส่วนใหญ่ และข้าทาสบริวารก็ไม่กล้าที่จะทาให้เราโกรธ ถ้าวันใด
เราต้องถูกคนท่ีสูงกว่าเราทาให้เราโกรธเราจะทาอย่างไร วันนี้เราต้องขอบคุณช่างทาสีท่ีสร้างโจทย์
การโกรธให้เราแล้วเราก็ทาโจทย์ข้อนี้ได้แล้ว เพราะเราไม่รู้สึกโกรธเขาเลย นี่คือวิธีคิดและควบคุม
อารมณโ์ กรธโดยเอาความโกรธมาฝกึ ใจตนเองและในวนั หนง่ึ ถ้าเราไมส่ ามารถล่วงรู้ได้ว่าเราจะได้เจอ
กับอารมณ์ท่ีเข้ามาให้เรารับรู้อย่างไรบ้าง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อสิ่งน้ันๆ เข้ามาให้เรารับรู้แล้ว เราจะมี
อารมณ์และความนึกคิดท่ีจะแสดงพฤติกรรมโต้ตอบออกไปอย่างไร ฉะน้ันเม่ือเราไม่สามารถล่วงรู้
สถานการณ์ได้ เราก็ควรหม่ันฝึกให้มีสติ คือระลึกรู้อยู่เสมออย่าประมาณในการดาเนินชีวิต เมื่อมี
อะไรเข้ามากระทบทาให้เราเกิดความคิดและอารมณ์ที่ไม่ดี .ก็ควรจะใช้สติในการขบคิด
พิจารณา เพื่อให้เราเท่าทันและไม่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์นั้น.โดยการกาหนดอารมณ์และ
ความรู้สึกของเราไม่ให้ส่งผลไปถึงการแสดงออกในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร .เพราะอารมณ์โกรธไม่เคย
ทาให้อะไรดีขึ้น เราต้องอยู่กับเพ่ือนร่วมงาน และคนอบข้างทุกวัน หากเราไม่รู้จักควบคุมอารมณ์
โกรธ ก็จะทาให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ในทางธุรกิจ การควบคุมอารมณ์โกรธนับว่าเป็นสิ่ง
สาคญั เมอ่ื เราควบคุมอารมณ์โกรธได้ กท็ าให้เรามสี ติ และคดิ อะไรไดด้ ียง่ิ ข้ึนอกี ด้วย

3.4 รู้จักการให้อภัย.คือการมีใจกว้าง ให้โอกาสบุคคลได้แก้ไขปรับปรุงตนเอง
ในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม บุคคลที่สามารถให้อภัยผู้อื่นได้ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีจิตใจสูงบุคคลที่มี
จิตใจสูงที่ให้อภัยคนได้ตลอดเวลา ก็คือพ่อแม่จะให้อภัยลูกทุกคร้ังท่ีลูกทาผิด.พ่อแม่ไม่เคยถือโทษ
โกรธ กลับมีแต่ความรัก ความห่วงใยและปรารถนาใหล้ ูกได้กลบั ตัว กลับใจ หันมาแก้ไขตนเองให้เป็น
คนดีได้ เป็นวันท่ีพ่อแม่รอคอย นามาซ่ึงความสุขท้ังพ่อแม่และลูก อีกบุคคลก็คือครูท่านจะมีคาว่า
อภัยอยู่ในใจเสมอท่ีจะให้โอกาสลูกศิษย์มีโอกาสแก้ไขและชี้แนวทางที่ถูกให้ลูกศิษย์ สามารถเดินต่อได้
วันทีเ่ หน็ ลกู ศษิ ยล์ กุ เดินได้เป็นวนั แหง่ ความภาคภมู ใิ จของคนท่เี ป็นครู

การรู้จักการให้อภัย เป็นเร่ืองไม่ยากที่เราจะปฏิบัติได้ทุกคนมีโอกาสท่ีจะทาผิดพลาด
ได้รวมถึงตัวเราเองด้วย บางคนอาจทาผิดพลาดด้วยความต้ังใจ และในทางธุรกิจแล้วส่ิงผิดพลาดต่าง ๆ
เกิดข้ึนได้ง่าย.หากเรารู้จักการให้อภัยกับเพ่ือนร่วมงาน และคนรอบข้าง ไม่เพียงแต่เราท่ีจะมีความสุข
ยังรวมถึงเพ่ือนร่วมงานและคนรอบข้างอีกด้วย แต่ถ้าเราให้อภัยต่อคนท่ีทาผิดบ่อยเกินไปก็จะทาให้คนท่ี
ทาผิดน้ัน ไม่สานึกในส่ิงท่ีทา หรืออาจทาให้เขาคิดว่าบางทีการทาผิดอาจเป็นเร่ืองธรรมดาไปเลยก็ได้
และการทาผิดก็มีหลายกรณี เช่น บางคนทาผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บางคนทาผิดด้วยความจาเป็น
ย่อมมีเหตุผลแตกต่างกันไป ส่วนผลที่เกิดกับตัวเราทาให้ ส่งผลเสียและความเดือดร้อน เหมือนในข่าว
หนังสือพิมพ์ที่คนร้ายติดยาเสพติด.เอาน้ามันราดลูกสาวเจ้าของร้านขายของชา แล้วจุดไฟเผา
จนบาดเจบ็ สาหัส ทาให้คณุ แม่เกดิ ความทุกขข์ ้อท่ี 1 แต่ถ้าคุณแมค่ ดิ โกรธและไม่ให้อภัย ก็เกิดความแค้น

การพัฒนาตนเองเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสมั พันธท์ างธุรกิจ 87

อยู่ในใจกับคนร้ายทาให้เกิดทุกข์ข้อที่ 2 แต่คุณแม่ให้สัมภาษณ์ว่าคุณแม่ไม่โกรธเขาให้อภัยเขา
เพราะโกรธไปลูกก็ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิม เอาเวลามารักษาดูแลลูกดีกว่าไปคิดโกรธแค้น ทาให้
คุณแม่ให้อภยั ไดค้ อื ไมโ่ กรธ คณุ แม่ผ้เู สียหายจงึ มคี วามสขุ จากการให้อภยั

ในทางตรงข้าม ถ้าท่านเกิดทาผิดพลาดท่านก็คงอยากได้การให้อภัยเพ่ือจะเป็นโอกาส
ในการท่ีท่านจะแก้ไขตนเองให้ดีได้.ทุกส่ิงทุกอย่างในโลกไม่แน่นอน เราจึงควรดาเนินชีวิตด้วยความ
ไมป่ ระมาทดังที่พระพุทธองคไ์ ดท้ รงสอนไว้

3.5 เอาใจเขามาใส่ใจเรา.ในข้อนี้ให้ท่านคิดกลับไปกลับมาว่าเราเป็นเขา เขาเป็นเรา
เราก็จะเข้าใจคนทุกคนได้ ทุกคนก็จะไม่ทาสิ่งท่ีไม่ดีไม่งาม ทุกคนจะหันมาทาส่ิงที่ดีให้กัน แต่ในสังคม
ปัจจุบันมนุษย์มักไม่ให้ความสนใจในเร่ืองน้ี ด้วยเหตุท่ีทุกคนเห็นแก่ตัวนึกถึงความสะดวกสบายของ
ตนเองก่อน เช่น การท้งิ ขยะ ถ้าทุกคนท้ิงกันคนละ 1 ชิ้น ท่ัวประเทศจะมีขยะประมาณ 65 ล้านช้ิน คนกวาด
ขยะต้องกวาดกันทั้งวัน ถ้าให้ลองคิดว่าถ้าเราเป็นคนกวาดขยะบ้าง ก็คงอยากให้คนในประเทศท้ิงขยะ
ลงในถงั ขยะ

ดังนั้น.ก่อนคิดทาอะไรลงไป ควรไตร่ตรองคิดดูให้ดีว่าเกิดผลเสียหายกับบุคคลอ่ืน
หรือไม่ ถ้าเกิดผลเสียหายถามตัวเองต่อว่าแล้วถ้าเป็นตัวเองบ้างท่ีได้รับผลเสียนั้น ตนเองจะเป็น
อย่างไร เช่น ในครั้งพุทธกาลมีหญิงสาวเอาผ้าใส่บริเวณหน้าท้องทาดูให้เหมือนท้อง.กล่าวหา
พระพุทธเจ้าว่าทาให้นางท้องต่อหน้าเหล่าพระสงฆ์ อุบาสกและอุบาสิกา ทาให้บุคคลที่อยู่
ในเหตุการณ์เกิดความไม่เล่ือมใสในพระพุทธองค์ สุดท้ายนางก็ต้องอับอายด้วยเดินสะดุดก่ิงไม้
แล้วผ้าท่ีอยู่ในท้องหล่นออกมา ทุกคนจึงรู้ความจริง น่ีเป็นอีกหน่ึงเหตุการณ์ที่ทาให้ผู้อ่ืนเสียหาย
ดังนั้น ทาอะไรจงคิดก่อนทาเพราะบางทีการทากรรมใดอาจส่งผลต่อตัวเองในเวลาอันใกล้ ในการ
ประกอบธุรกิจจะต้องอยู่กับเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างมากหน้าหลายตา เราจึงควรท่ีจะใส่ใจเพื่อน
ร่วมงานหรือคนรอบข้างบ้าง ว่าจะทาอะไร อย่างไร และควรที่จะรับฟังความคิดเห็นของเสียง
ข้างมาก เพราะการที่เราเอาใจเขามาใส่ใจเรามีความเห็นอกเห็นใจกัน ก็จะทาให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ได้อย่างมีความสขุ

3.6 มีความยืดหยุ่น.พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่าให้เดินสายกลาง คือ ไม่หย่อน
เกินไป หรือตึงเกินไป เหมือนต้นไม้ใหญ่และต้นหญ้า เม่ือยามมีฝนฟ้าคะนอง ถ้าต้นไม้ใหญ่คิดว่า
ตนเองแข็งแรงก็จะไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามก็จะต้องเจอแรงปะทะของลมฝน เม่ือยามเช้าส่ิงที่เห็นคือ
ต้นไม้ใหญ่หักลง ส่วนต้นหญ้ามีลาต้นอ่อนไหวตามลม.เมื่อยามเช้ามาก็สามารถมายืนตั้งตรงเหมือนเดิม
ในการอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขต้องอาศัยความยืดหยุ่นให้เหมือนต้นหญ้า เม่ือมีเหตุการณ์ร้ายแรง
ควรยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา เช่น เด็กขโมยของในร้านขายของชา.แต่เม่ือสอบถามแล้วขโมย
เป็นคร้ังแรก การที่จะส่งตารวจตามกฎหมายย่อมส่งผลเสียถึงอนาคตเด็ก ผู้ใหญ่ควรแนะนาส่ังสอน
เรยี กพอ่ แมม่ ารับฟงั และชว่ ยกันสอดส่องดูแลถ้าเหตุการณ์น้ีเราทาเป็นต้นไม้ใหญ่ คือการไม่ยอมสิ่งท่ี
เกิดข้ึนมีแต่ผลเสีย คือ เด็กเสียอนาคตต้องถูกจับทาให้ประเทศชาติต้องเสียเยาวชนที่จะเป็นผู้ใหญ่
ไปพัฒนาประเทศชาติ พ่อแม่เสียใจท่ีลูกต้องไปอยู่สถานควบคุมความประพฤติ แต่ถ้าเหตุการณ์น้ี

88 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

ทาให้เป็นต้นหญ้า ก็คือให้โอกาสชี้แจงให้เด็กรู้ถึงผลที่ตนจะได้รับถ้ากระทาอีก ต้องช่วยกันหามาตรการ
แก้ไข โดยพ่อแม่ก็ต้องอบรมส่ังสอนช่วยกันดูแลความยืดหยุ่น คือ ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์จนเกินไป
เพราะกฎเกณฑ์.คือสิ่งท่ีคนสร้างข้ึนมา สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ถ้ามันไม่เหมาะสมกับยุคสมัย
และในทางธุรกจิ แล้วหากเราเครง่ กับกฎเกณฑม์ ากเกนิ ไป กจ็ ะทาให้บรรยากาศของการทางานเป็นไป
อย่างตึงเครียดและจะทาให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ร่วมงานหรือคนรอบข้างหรือ
สง่ ผลเสียต่องานที่ทาก็เป็นได้

3.7 มีอารมณ์ขัน.เป็นวิธีการสร้างสุขภาพจิตให้มีความสุข ด้วยการมองโลกในแง่ดี
มองวิกฤติให้เป็นโอกาส ปล่อยวาง มีความยืดหยุ่น เข้าใจผู้อ่ืน ให้อภัย เม่ือเราทาส่ิงพวกน้ีได้ทุกอย่าง
ก็ไม่เครียด เกิดความสบายใจ สุขใจ อารมณ์ดีการทาให้เป็นผู้มีอารมณ์ดีโดยการหาโอกาสเข้ากลุ่ม
เพื่อนที่สนิทกัน เพื่อพูดคุยสนุกสนาน หาหนังสือการ์ตูนคลายเครียดมาอ่านหรืออาจดูตลก ซ่ึงมีอยู่
หลายคณะที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะ.ทาให้เกิดอารมณ์ขันและยังสามารถนาเนื้อหาท่ีตลกไปใช้กับ
บุคคลรอบข้างให้เกิดอารมณ์ขันไปกับเราได้ ส่งผลให้ตนเอง บุคคลอื่น มีความสุข และหากทุกคน
มีอารมณ์ขันแล้วก็จะทาให้ ทาอะไรก็มีแต่ความสุข สนุกสนานและจะส่งผลต่อสุขภาพของผู้ทางาน
ในองค์กรน่ันหมายถึงเมื่อสุขภาพจิตดีแล้วจะทาให้ มีความต้ังใจทางาน.ส่งผลดีต่องานเพราะ
ทุกคนทางานอย่างไมต่ ึงเครียดและผ่อนคลายอยู่เสมอ

ในการปรับปรุงตนเองให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุขที่ได้กล่าวมา
ข้างต้น ทุกคนสามารถท่ีจะนาหลักการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับคน สถานที่และเวลา
ท่ีจะทาใหเ้ ราสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคนในสังคมได้อย่างมีความสขุ

การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายนอกเพอื่ สร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ

บุคลิกภาพภายนอก.หรือ.บุคลภายทางกาย ซ่ึงสามารถเห็นได้จากลักษณะภายนอก
ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ความสมบูรณ์ของสุขภาพกาย.การแต่งกาย
กิริยาทา่ ทาง การพูด ซึง่ เป็นสงิ่ สาคญั สาหรบั ผพู้ บเห็น ในการประกอบธุรกิจก็เช่นเดียวกันบุคลิกภาพ
เป็นส่ิงสาคัญของผู้ประกอบธุรกิจ เพราะจะต้องติดต่อธุรกิจกับบุคคลส่วนมาก หากมีบุคลิกภาพ
ที่ ไ ม่ ดี ก็ จ ะ ส่ ง ผ ล ต่ อ ภ า พ ลั ก ษ ณ์ ข อ ง ต น เ อ ง แ ล ะ ยั ง ร ว ม ไ ป ถึ ง ภ า พ ลั ก ษ ณ์ ข อ ง อ ง ค์ ก ร อี ก ด้ ว ย
ผู้ประกอบ การคว ร ให้คว ามสาคัญกับ การ พัฒนาบุคลิกภายนอกให้เป็นท่ีประทับใจแก่ผู้พบเห็ น
และอยากจะติดต่อสื่อสาร อีกในอนาคต การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกจึงเป็นเสมือนเคร่ืองมือท่ีจะ
นามาใช้ในการทาธรุ กิจได้ ซึ่งผ้เู ขียนขอเสนอแนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกจะต้องพัฒนา
ในดา้ นตา่ ง ๆ 5 ดา้ น ได้แก่ การพัฒนารูปรา่ งหนา้ ตา.การดแู ลรกั ษาสุขภาพ.การพฒั นากิริยามารยาท
การพฒั นาการแตง่ กาย และการพัฒนาการพดู โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

การพฒั นาตนเองเพือ่ สร้างมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ 89

1. กาพฒั นารูปร่างหน้าตา.เป็นการดูแลรักษารูปร่างหน้าตาให้สะอาดหมดจดดูดีต้ังแต่
ศีรษะจรดเท้าและการรักษารูปร่างให้ได้สัดส่วนท่ีเหมาะสม.เพื่อให้ผู้พบเห็นและผู้ร่วมงานมีความ
สะดุดตาและยังเป็นท่ีน่าเคารพนับถือ.ยิ่งการติดต่องานระหว่างธุรกิจ หน้าตาถือเป็นหน้าต่าง
บานแรกทสี่ ่ือถึงตวั บคุ คลได้ สิ่งที่ใหค้ วามสาคญั และตอ้ งดูแลมีดงั นี้

1.1 ผม คือ ขนที่งอกข้ึนมาปกคลุมหนังศีรษะ ช่วยป้องกันแสงแดด ความร้อนให้ความ
อบอนุ่ เมื่ออากาศหนาวเย็น ผมยงั ทาใหด้ ูสวยหล่อได้ โดยหาทรงผมให้เข้ากับใบหน้าหรือบุคลิกภาพย่อมส่งผล
ให้ดูดีเป็นที่ดึงดูดของผู้พบเห็น.แต่การรักษาเส้นผมให้คงอยู่ได้นานควรต้องเอาใจใส่ดูแลเส้นผมและ
หลีกเล่ียงพฤติกรรมทาลายผมและการดูแลเส้นผมตลอดเวลาก็จะทาให้เส้นผมมีความเงางาม
เม่ือนักธุรกิจออกไปติดต่อ พบปะผู้คน.นักธุรกิจก็จะต้องจัดทรงผมของตนเองให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา
เพอื่ ให้เกิดความสวยงามและความมัน่ ใจในตนเองนักธรุ กจิ ควรใสใ่ จเรื่องเส้นผมเพื่อทาให้ตนเองมีเส้น
ผมท่ดี ี ดังนี้

ข้อควรจาสาหรบั เสน้ ผม มดี ังน้ี
1) การสระผมบอ่ ยเกินไปดว้ ยแชมพทู ม่ี ีตวั ยา สารเคมีแรง.ๆ.จะดึงน้ามันและความ
ชุ่มช้ืนออกจากเส้นผม เป็นสาเหตุทาให้ผมแห้ง และไม่ควรเปลี่ยนแชมพูบ่อย.ๆ.หรือใช้แชมพูที่ไม่มี
คุณภาพ
2) ไม่ควรท้ิงผมไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ทาความสะอาด เพราะมลภาวะฝุ่นที่อยู่
ในอากาศจะทาให้เส้นผมสกปรก ฝุ่นจะแทรกตัวทาลายแกนของเส้นผม ทาลายเซลล์รากผมทาให้
เกดิ ผมเสยี ผมหลุดล่วง
3) หลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดด น้าร้อนที่ใช้สระผม และเคร่ืองเป่าผมทาให้
รูขุมขนเปิดกว้างทาให้สิ่งสกปรกลงไปได้ง่าย ควรเป่าผมด้วยความร้อน ปานกลาง ถ้าต้องการอยู่
กลางแดดควรหาอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด
4) ในการว่ายน้าในสระว่ายน้า ซ่ึงมีสารคลอลีน และการไปเที่ยวทะเล เม่ือขึ้นจาก
นา้ จะทาให้ผมหยาบแหง้ ก่อนลงวา่ ยน้าในสระ ควรใช้ครีมปรับสภาพผมใส่ศีรษะก่อนแล้วสวมหมวก
ว่ายนา้ หลังจากวา่ ยนา้ แล้วใหส้ ระผม
5) ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับเส้นผม เช่น การย้อมผม ดัดผม การทาสี การกัดสีผม
การยืดผม หรือแม้แต่การใช้มูส เจล สเปรย์ น้ามันใส่ผม แชมพูท่ีไม่เหมาะกับเส้นผมหรือหนังศีรษะ
ทาใหผ้ มรว่ ง เกดิ รังแค และผมเสยี ได้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ท่ีเส้นผมและหนังศีรษะไม่แพ้ แต่ถ้าต้อง
ใชส้ ารเคมีกบั เสน้ ผมหลงั จากการใชส้ ารเคมีกบั เส้นผมควรบารงุ เสน้ ผมตามทนั ที
6) การขาดสารอาหารเป็นอีกสาเหตุทาให้เส้นผมไม่แข็งแรงได้.ควรรับประทาน
อาหารให้ครบ 5 หมู่ ถูกหลักโภชนาการควรรับประทานอาหารเสริมเส้นผม เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก
สังกะสี จะชว่ ยให้เส้นผมและหนงั ศีรษะแขง็ แรง

90 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

1.2 ใบหน้า เป็นจุดแรกท่ีบุคคลมองเม่ือได้พบเจอกันก็คือใบหน้า ซึ่งถือว่ามี
ความสาคัญมากเพราะคนทุกคนย่อมอยากได้พบเจอและพูดจากับคนหน้าตาสวย หล่อ แต่ความสวย
ความหล่อความน่ารักเป็นส่ิงท่ีเราไม่สามารถเลือกได้ แต่เราสามารถดูแลใบหน้าให้ดูดีได้ โดยการศึกษา
หาความรู้เก่ียวกับสภาพผิวหน้า การดูแลรักษา การแต่งหน้าให้ดูดีเหมาะกับเวลาและสถานท่ี
ตลอดจนการแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งบนใบหนา้ ให้ดูดี และสามารถเข้าสังคมได้ด้วยความม่ันใจ.การดูแลเอา
ใจใส่ใบหน้านั้น เป็นส่ิงสาคัญสาหรับนักธุรกิจท้ังหญิงและชายทุกคน หากใบหน้าของนักธุรกิจได้รับ
การดใู ห้ดีอยเู่ สมอก็จะทาให้มีความม่ันใจท่ีจะออกไปทางาน หรือติดต่อทางธุรกิจ เพ่ือให้เป็นที่ดึงดูด
ตาแก่ผพู้ บเห็น ซึง่ นักธรุ กจิ ควรศกึ ษาและทาความเขา้ ใจเก่ยี วกับใบหนา้ ดังน้ี

1.2.1 ประเภทผิวหน้าและการดูแล ผิวของแต่ละคนมีลักษณะท่ีต่างกัน
ย่อมตอ้ งการการดแู ลที่ไม่เหมอื นกนั ซึง่ ผิวหนา้ สามารถแบ่งได้เปน็ 3 ลกั ษณะ ดงั นี้

1) ผิวแห้ง เป็นผิวที่ไม่สามารถรักษาความชุ่มช้ืนไว้ได้ ทาให้ใบหน้า ดูไม่มี
ชีวิตชีวา และมีโอกาสเกิดร้ิวรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอ่ืน ๆ มีวิธีดูแล คือ หลีกเล่ียงการใช้
โลชน่ั เชด็ ผิว เพราะจะทาใหผ้ ิวแห้งมากขึน้ ควรใชน้ ้าเปล่าลา้ งหน้าในช่วงเชา้ ส่วนช่วงเย็นซึ่งต้องล้าง
เคร่ืองสาอางออก ควรเลือกใช้ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ส่วนก่อนนอนควร
บารงุ ผวิ หน้าดว้ ยครีมบารุงเพื่อเพิม่ ความชุม่ ช้ืนให้กับผิวหน้าสาหรับคนท่ี หน้าแห้งมาก ให้เพิ่มมอยเจอร์
ไรเซอร์ในช่วงเช้าและกลางวัน แต่คนผิวแห้งก็มีข้อดี คือ รูขุมขนมักกระชับมองดูหน้าเนียนและ
ไมค่ อ่ ยมปี ญั หาใบหน้ามัน

2) ผิวมัน.มีความมันกระจายอยู่ท่ัวใบหน้าและจะมีความมันมากเป็น
พิเศษบริเวณทีโซน แถวหน้าผาก คาง และจมูก คนผิวมันจะเกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง แต่ทา
ความสะอาดได้ยากกว่า เนื่องจากต่อมไขมันทางานมากกว่าปกติ ทาให้รูขุมขนใหญ่ ผิวหน้าดูหยาบ
กว่าคนผิวแห้ง ปัญหาอีกอย่างหน่ึงของคนผิวมัน คือ เม่ือไขมันออกมาเคลือบใบหน้ามาก.ๆ.จะทาให้
ใบหน้าดูมัน หน้าตาไม่สดใส ข้ันตอนการดูแล เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ หรือเจลใสล้างหน้า ไม่จาเป็นต้อง
ลา้ งหนา้ บ่อย ใหใ้ ช้กระดาษซบั หน้าคอยดดู ซับน้ามนั แทน

3) ผิวปกติ คนส่วนใหญ่ มักมีผิวลักษณะน้ี คือ จะมีน้ามันเคลือบผิว
บาง ๆ บริเวณทโี ซน คือสว่ นของหนา้ ผาก และจมูก จะมีความมันมากกว่าส่วนของแก้ม ในขณะท่ีผิว
รอบดวงตาและแกม้ จนถึงคอ จะแห้งกว่าบรเิ วณทีโซน ขัน้ ตอนการดูแล ควรลา้ งหนา้ ด้วยสบู่อ่อน.ๆ.ไม่ควรใช้
โลชั่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะทาให้ผิวแห้งได้ ส่วนการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ให้ทาเฉพาะ
แก้มและผวิ รอบดวงตา เพอ่ื ปอ้ งกนั การเกดิ รว้ิ รอย

1.2.2 เทคนิคการแต่งหน้า สาหรับนักธุรกิจหญิงถือว่ามีความสาคัญอย่างมาก
สาหรบั การออกสังคมในการตดิ ตอ่ ธุรกิจ ซง่ึ มขี ้นั ตอนดงั ต่อไปนี้

1) ล้างหน้าดว้ ยคลนี เซอรใ์ หส้ ะอาดหมดจด
2) เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ท่ีเหมาะกับสภาพผิวและควรใช้ครีมบารุงที่มี
สารปอ้ งกันรงั สียูวี

การพัฒนาตนเองเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กจิ 91

3) รอให้ครีมบารุงผิวท่ีทาไว้ซึมซาบเข้าสู่ผิว หากผิวไม่เรียบเนียนให้ใช้
รองพื้นช่วยปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียนและพรางรอยสิว หรือจุดด่างดาบนใบหน้า การใช้รองพื้น
ควรทาอย่างบาง ๆ เพ่ือให้ดูเป็นธรรมชาติ สาหรับคนที่ผิวดีอยู่แล้ว อาจไม่ต้องรองพ้ืนท่ัวใบหน้า
เลือกทาเฉพาะจดุ ทีต่ อ้ งการ

4) เลือกรองพ้ืนสีใกล้เคียงกับสีผิว แต้มบริเวณจมูก หน้าผาก คางและ
พวงแกม้ ทั้งสองดา้ นแล้วเกลย่ี ใหก้ ลมกลืมกนั

5) หลังจากลงรองพ้ืนแล้ว ทาทับด้วยแป้งฝุ่นสีที่ใกล้เคียงกับสีผิว ปัดให้ท่ัว
ทง้ั ใบหนา้ และลาคอ โดยค่อย ๆ กดซับไปจนท่วั หน้าอยา่ งเบามือ

6) การแต่งค้ิว ก่อนเริ่มการแต่งหน้าควรถอนขนค้ิว.ควรทาหลังจาก
อาบน้าอุ่น หรือใช้ผ้าชุบน้าอุ่นแตะคิ้วเบา ๆ เพ่ือให้ค้ิวชุ่มและอ่อนตัว ก่อนลงมือกันคิ้ว ใช้ดินสอ
เขียนค้ิว วาดเส้นโครงเป็นแนวคิ้วเพื่อให้ได้คิ้วท่ีสวยงาม แล้วลงมือกันขนค้ิวส่วนท่ีเกินจากโครงเส้น
พิถีพิถันในการกันคิ้วโดยใช้มีดโกนค่อย ๆ กันออกทีละเส้นจากหางคิ้วเข้ามาหาหัวคิ้วและควร
กันเฉพาะบริเวณด้านล่างของคิ้ว หรือใต้ท้องคิ้วเท่านั้น อย่ากันด้านบนของค้ิวออกเพราะจาทาให้
รปู หน้าเปลีย่ นไป

7) การแต่งค้ิวท่ีบางให้ดูคมเข้มเป็นธรรมชาติให้เลือกใช้ดินสอเขียนค้ิว
โทนสีท่ีใกล้เคียงกับสีผมและสีขนค้ิว เขียนท่ีส่วนขอบฐานล่างของค้ิว วาดเป็นโครงรูปคิ้ว แล้วใช้
พู่กันอันเล็กปลายแบนสาหรับค้ิวแตะอายแชโดว์สีเดียวกันกับดินสอเขียนค้ิวไล้ไปตามรูปค้ิวเบา ๆ
ปัดซา้ ดว้ ยมาสคาร่าเจลใส

8) การเขียนเส้นขอบตา ให้ยึดขอบขนตาล่างและบนเป็นแนวให้ขอบตา
ล่างและบนชนกันท่ีหางตา การวาดขอบตาให้ท่ัวจะทาให้ตากลมโตข้ึนหลังจากวาดเส้นขอบตาแล้ว
ให้ใช้พู่กันอันเล็กสาหรับทาตาแตะอายแชโดว์สีเดียวกับดินสอวาดขอบตา ทาทับเส้นดินสอท่ีเขียนไว้
จะทาใหข้ อบเส้นดนู ุม่ นวล

9) การแต่งตาให้ดูเป็นประกายมีมิติ ควรเลือกใช้อายแชโดว์โทนสี
กลาง ๆ หรือสีน้าตาลอ่อนทาบนบริเวณหางตาเข้ามาถึงบริเวณรอยพับตา ส่วนบริเวณเปลือกตา
ให้ใช้เฉดสีอ่อนลง เช่น สีขาวหรือสีเบจเพ่ือให้เป็นไฮไลต์ โดยเกล่ียให้ทั่วเปลือกตา รวมท้ังบริเวณใต้โหนกค้ิว
และหัวตาจะทาให้ใบหน้าดูสวา่ งขน้ึ

10) ก่อนปัดมาสคาร่า ควรทาการดัดขนตาก่อน โดยเริ่มจากเอาที่ดัดขนตา
จรดที่โคนขนตา แล้วค่อย ๆ หนีบเบา ๆ ค้างไว้ 1-2.วินาที แล้วเลื่อนไปที่บริเวณตรงกลางขนตา
กดเบา ๆ ค้างไว้สักครู่ ส่วนคร้ังสุดท้ายดัดส่วนปลายขนตา กดเบา ๆ ไม่ต้องค้างไว้ จะช่วยให้ขนตา
งอนสวย แลว้ ใชแ้ ปรงหวีขนตากอ่ นปัดมาสคารา่

11) การปัดขนตาด้วยมาสคาร่า ให้ตั้งมาสคาร่าแนวนอนขนาน
กับขนตา ปัดให้ชิดกับโคนขนตาบน แล้วช้อนขึ้น จากนั้นปัดท่ีด้านข้างของขนตา ส่วนขนตาล่างให้จับ

92 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ

มาสคาร่าแนวต้ัง แล้วใช้ปลายมาสคาร่าเกลี่ยท่ีขนตาเบา ๆ ในขณะท่ีปัดมาสคาร่า ควรอ้าปากไปด้วย
จะชว่ ยใหป้ ดั ได้แม่นยาข้นึ

12) วธิ กี ารปดั แก้มแบง่ ออกตามลกั ษณะของรูปหนา้ ดังน้ี
 การปัดแก้มใบหน้ารูปไข่ โดยการทาเฉดด้ิงเพิ่มเติมด้วยบรัชออน

สีเข้ม และปัดแก้มเป็นรูปสามเหลี่ยมเร่ิมจากกึ่งกลางตาดาแล้วไล่ปลายแหลมไปยังขมับ
ให้สามเหลยี่ มตัง้ ฉากกับบรเิ วณใตต้ าหรือแนวจมูก

ภาพที่ 3.2 การปัดแกม้ ใบหนา้ รปู ไข่
 การปัดแก้มใบหน้ารูปวงกลม.โดยการทาเฉดด้ิงเพ่ิมเติมด้วย
บรัชออนสีเข้ม และปัดช่วงแก้มเป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานด้านหนึ่งของสามเหล่ียมขนานกับแนวหู
และมมุ แหลมดา้ นตรงข้ามกบั ฐานชีไ้ ปยังจมูก

ภาพที่ 3.3 การปัดแกม้ ใบหน้ารูปวงกลม

การพัฒนาตนเองเพ่อื สร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 93

 การปัดแก้มใบหน้ารูปเหลี่ยม.โดยการทาเฉดด้ิงเพ่ิมเติมด้วย
บรัชออนสีเข้ม และปัดช่วงแก้มเป็นรูปสามเหล่ียมแต่ฐานของสามเหล่ียมจะต้องอยู่ในแนวระนาบ
ทบี่ ริเวณดา้ นลา่ งของแก้ม และมุมแหลมดา้ นตรงขา้ มกบั ฐานจะชอี้ อกไปทางดา้ นขมับ

ภาพท่ี 3.4 การปดั แก้มใบหน้ารปู เหลี่ยม
 การปัดแก้มใบหน้ารูปยาว โดยการทาเฉดด้ิงเพิ่มเติมด้วย
บรัชออนสีเข้ม และปัดแก้มเป็นรูปสี่เหล่ียมด้านขนาน เอียงขึ้นไปตามแนวกระดูกโหนกแก้มจนจรด
ถึงไรผมบริเวณหู ด้านหนึ่งของรูปส่ีเหลี่ยมซึ่งเป็นด้านที่อยู่ช่วงในของใบหน้า จะเป็นเส้นดิ่งในแนว
ไมเ่ กนิ กลางตาดาเขา้ มา

ภาพท่ี 3.5 การปัดแก้มใบหน้ารูปยาว

94 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ

 การปัดแก้มใบหน้ารูปหัวใจ โดยการทาเฉดดิ้งเพ่ิมเติมด้วย
บรัชออนสีเข้มและปัดแก้มเป็นวงรี ตามแนวเหนือกระดูกโหนกแก้ม โดยส่วนโค้งของวงรีด้านหน่ึงจะเริ่ม
จากกลางตาดาแลว้ ปัดเฉียงไปจนถงึ ไรเส้นผม

ภาพท่ี 3.6 การปดั แกม้ ใบหนา้ รปู หวั ใจ
13) วิธีทาปากใช้พู่กันแต้มสีลิปสติกแล้วทาบริเวณขอบปากก่อน
เพื่อกาหนดพ้ืนท่ีของปาก ป้องกันการทาเลยขอบปาก.โดยวาดขอบปากเพียงคร้ังเดียวเพ่ือความ
คมชัด จากน้ันให้แต้มสีทาบริเวณในขอบปาก ถ้าต้องการเพิ่มความคมชัดของปากในช่วงท่ีลงแป้งให้ทาแป้ง
ที่บรเิ วณปากดว้ ย เพราะในขณะทว่ี าดขอบปากสแี ป้งจะเน้นขอบปากใหส้ ีลิปสติกดเู ด่นขน้ึ
1.3 การดูแลรักษาดวงตา มีวธิ กี ารดงั นี้
การดูแลรักษาดวงตานั้นเป็นสิ่งสาคัญกับนักธุรกิจทั้งชายและหญิงทุกคน
เพ่ือช่วยเสริมในบุคลิกภาพให้กับตัวบุคคลได้.การใส่แว่นสายตาสาหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา
น้ัน จะต้องมกี ารเลอื กสีแวน่ สายตาท่ีเหมาะสมอีกด้วย.ดังนัน้ การดูแลรักษาดวงตาสามารถทาได้ดงั น้ี
1.3.1 การสัมผัสและการแสดงอารมณต์ ่าง ๆ ผวิ รอบดวงตามักถูกรบกวนจาก
การสัมผัสอยู่บ่อย.ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถูหรือการขย้ีตา.รวมถึงการแสดงอารมณ์ท่ีมีผลกระทบต่อ
ดวงตา เช่น.การหัวเราะหรือร้องไห้.ล้วนทาให้เกิดริ้วรอยได้ท้ังน้ัน.การสัมผัสผิวรอบดวงตาอย่าง
ทะนถุ นอม และเตือนตวั เองเมอ่ื มกี ารแสดงอารมณ์ที่ต้องใชต้ าเกนิ ความจาเปน็
1.3.2 หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดจะเป็นตัวทาลายเซลล์ผิว.ทาลาย
คอลลาเจน ทาให้ผิวไม่เนียนนุ่มและกระชับ เม่ือทราบภัยจากแสงแดดแล้วก็ควรใส่แว่นกันแดด
ทุกคร้ังที่ต้องสัมผัสกบั แสงแดด เพ่ือปกป้องตาจากแสงแดด

การพฒั นาตนเองเพือ่ สร้างมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ 95

1.3.3 หลีกเล่ียงการเท่ียวกลางคืน บุคคลท่ีชอบเท่ียวกลางคืนมีผลทาให้
ผิวเสียได้เน่ืองจากสถานที่บันเทิงแต่ละแห่งน้ัน มักอบอวลไปด้วยควันบุหร่ี นอกจากสารพิษในบุหรี่
จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ยังเป็นการทาลายผิวพรรณและการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ.ก็ยังทาให้
ขอบตาหมองคล้าอกี ดว้ ย

1.3.4 การทาความสะอาด.คนที่แต่งหน้าเป็นประจาต้องระวังเครื่องสาอาง
ที่ใช้บริเวณรอบดวงตา.เพราะอาจมีสารตกค้าง.ซึ่งเป็นสาเหตุท่ีทาให้บริเวณรอบดวงตาเกิดร้ิวรอย
ดังนั้น.ควรทาความสะอาดผิวบริเวณรอบดวงตาทุกคร้ังที่ใช้เครื่องสาอางและควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
ทีอ่ อ่ นโยนและไมม่ สี ่วนผสมของแอลกอฮอล์

1.4 การดูแลรักษาผิว.ก็มีส่วนสาคัญท่ีนักธุรกิจจะต้องให้ความสาคัญในการบารุงผิวด้วย
ครีมบารุง เป็นอีกวิธีที่ใช้กันโดยท่ัวไป เพ่ือทาให้ผิวพรรณดูเรียบเนียนมีความชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลาแต่ถ้า
ไมร่ จู้ กั การดูแลผิวเบื้องต้นอย่างถูกวิธี ก็อาจทาให้ผิวเสียได้เช่นกันและอาจทาให้เสียความมั่นในการ
ทางานหรอื การดาเนนิ งานลดลงไปอีกด้วยวธิ ีดูแลรกั ษาผวิ มดี ังน้ี

1.4.1 ทาตัวให้ไกลแสงแดด พยายามหลีกเล่ียงการทากิจกรรมกลางแดดจัด
เพราะแสงแดดท่ีจัดทาให้ผิวหมองคล้า แต่ถ้าจาเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดท่ีจัดควรทาครีมกันแดด
ก่อนออกจากบ้าน ให้เลือกใช้ครีมกันแดดท่ีมีค่า.SPF.(สารปกป้องแดด).15.เป็นอย่างน้อยและควร
ผสมมอยซเ์ จอไรเซอรจ์ ะทาให้ช่วยบารุงผิวได้ด้วย

1.4.2 เพ่ิมวิตามินให้ผิวพรรณ เลือกกินผลไม้ ผัก และธัญญาพืชให้มาก ๆ
เพราะอาหาร จาพวกนี้มีส่วนช่วยลดอันตรายท่ีเกิดจากแสงแดดได้ อีกท้ังยังมีส่วนผสมของวิตามิน
หลากหลายชนิดที่ทาให้ผิวพรรณดูมีน้ามีนวล สดใสและเปล่งปล่ังอยู่เสมอและยังป้องกันโรคแก่
ก่อนวัยได้

1.4.3 ด่ืมน้าเพ่ิมความสดช่ืน.การดื่มน้ามาก.ๆ.จะทาให้เกิดความสมดุล
ในร่างกายและช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีอยู่เสมอ พยายามสร้างนิสัยการด่ืมน้ามาก.ๆ.อย่างน้อย
วนั ละ 8 แก้ว หลกี เลีย่ งเครือ่ งด่ืมที่มีสารคาเฟอนี ซ่งึ เปน็ ตวั การสลายความชุ่มชน้ื ของผิวพรรณ

1.4.4 หาวิธีจัดการความเครียด.อย่าปล่อยให้ร่างกายและจิตใจต้องเผชิญกับ
ความเครียด พยายามหาเวลาช่วง วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ พักผ่อนให้สบาย โดยอาจใช้วิธีออกกาลังกาย
เล่นโยคะ หรืออาจนอนพกั ผ่อน

1.4.5 หันหลังให้บุหร่ี.เคยสังเกตไหมว่า คนที่สูบบุหรี่จัด ๆ มักดูแก่เร็วกว่า
คนปกติ เพราะคนที่สูบบุหรี่จัด ๆ จะนาเอาสารประกอบที่อยู่ในตัวบุหร่ีเข้าสู่ร่างกาย มีผลทาให้
เนื้อเย่ือส่วนที่ทาให้ผิวหนังดูเต่งตึงถูกทาลายลงอย่างรวดเร็ว คนท่ีสูบบุหร่ีวันละสองซอง จะดูโทรม
และเกิดรอยเห่ียวย่นกอ่ นวยั อันควร จงึ ควรหาวิธที ่ีเหมาะสมทจ่ี ะเลิกบุหรีเ่ พ่ือสขุ ภาพของตวั ท่านเอง

1.5 การอาบน้า เป็นการทาความสะอาดร่างกาย เพื่อชาระล้างส่ิงสกปรกท่ีเกิดขึ้น
และยังทาให้ร่างการมีความสดชื่นและกระตือรือร้นในการทางาน ในแต่ละวัน การอาบน้าดูเหมือนเป็น
เร่ืองง่าย ๆ ที่ไม่น่าจะมีรายละเอียดอะไรมากมาย แต่การอาบน้าอย่างไร ให้ผิวพรรณสะอาดหมดจด

96 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ

แล้วยังนุ่มเนียน สดใส เพราะการอาบน้าเป็นการดูแลรักษาความสะอาดตัวเองเบื้องต้นและการ
อาบน้าก่อนไปทางานยังทาให้เกิดความมั่นใจในการทางานร่วมกับเพ่ือนร่วมงานและยังทาให้
บุคลิกภาพดูสะอาดข้ึน.ดังน้ันนักธุรกิจทุกคนต้องรู้จักให้ความใส่ใจในการอาบน้าด้วยเช่นกัน
ประการแรก ต้องใหค้ วามสนใจกับอุณหภูมิของน้าท่ีจะอาบก่อน เพราะอุณหภูมิของน้าจะมีความสัมพันธ์
กับระบบการไหลเวียนโลหติ ตลอดจนระบบการหายใจของเรา สว่ นจะเลือกอณุ หภมู ิของน้าท่ีจะอาบ ข้ึนอยู่กับ
ความชอบของอุณภมู ิของน้าแตล่ ะประเภท ซึ่งจะมขี อ้ ดีแตกตา่ งกันไป

1.5.1 น้าร้อน หากท่านเป็นคนขี้หนาว หรือเข้าถึงฤดูหนาว เหมาะที่จะอาบ
น้าร้อน อุณหภูมิท่ีกาลังดี ก็คือ 38-40.องศาเซลเซียส แต่ไม่ควรจะอาบน้าในอุณหภูมินี้นานติดต่อกัน
เกินกว่า 10-15.นาที เมื่ออาบน้าเสร็จ เช็ดตัวให้แห้งแล้ว ควรทาครีมบารุงผิว เพื่อป้องกันผิวแห้ง
จากการสญู เสยี ไขมนั ไปกบั การอาบน้า แลว้ ควรดืม่ นา้ ชาหรือนา้ ร้อนเพ่ือเพิ่มความอบอุน่ ให้กับร่างกาย

1.5.2 น้าอุ่น.หากหนาวน้อยหน่อยก็ใช้น้าอุ่นที่อุณหภูมิระหว่าง.27-34.องศา
เซลเซียส ซ่ึงจะทาให้ร่างกายผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีและสามารถใช้เวลาในการอาบได้นานถึง
20 นาที - 1 ช่วั โมง

1.5.3 น้าเย็น ในช่วงอากาศร้อนทุกคนต้องการอาบน้าเย็นเพื่อคลายร้อน
ซง่ึ อณุ หภูมิท่ีเหมาะสมก็คือ 21-27.องศาเซลเซียส แต่ไม่ควรจะอาบนาน น้าเย็นจะช่วยให้กล้ามเน้ือ
และผิวพรรณตงึ ตวั ไดด้ ี ระบบการหายใจดี ลดความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าได้ สาหรับผู้ที่ใช้อ่างอาบน้า
เพ่ือเพ่ิมความสดช่ืนแก่ผิว ให้ใส่น้ามันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบหรืออาจจะเพิ่มเกลืออาบน้าลงไป
จะยิ่งหอมสดชื่น หากมีเวลามากพออาจใช้สูตรน้าผ้ึงอาบน้า เพ่ือเพิ่มความนุ่มนวลให้แก่ผิวพรรณ
โดยใช้น้าผ้ึงแท้ 1 ช้อนโต๊ะผสมในนา้ อุ่นแล้วแชต่ ัวลงไปในอ่างอาบน้า

การเลือกวิธีการอาบน้าแบบใด พึงระลึกไว้เสมอว่า สบู่ ครีมอาบน้าท่ีเลือกใช้
ควรจะเป็นชนดิ ทอ่ี ่อนโยนตอ่ ผิว รวมท้ังใช้อุปกรณ์ขัดผิว เช่น ใยบวบ หินขัด เป็นต้น ขัดเซลล์ที่ตาย
ใหห้ ลดุ ลอกออกไป สง่ิ ทีไ่ ม่ควรลมื หลงั จากอาบนา้ และเช็ดตัวแล้วทุกคร้ัง ก็คือ การลูบไล้ผิว ท่ัวเรือน
ร่างด้วยน้ามันบารุงผิว หรือ ครีมบารุงผิวทุกคร้ัง และหากต้องออกไปเผชิญกับแสงแดดภายนอก
ก็ควรใช้ครมี บารงุ ผวิ ชนดิ ท่ปี ้องกนั รังสีอัลตร้าไวโอเลตดว้ ย

1.6 การดูรักษามือและเล็บ.การล้างทาความสะอาดเล็บ ควรล้างมือและเล็บด้วย
น้าสบู่อุ่น ๆ ใช้แปรงนุ่ม ๆ ขัดตามซอกเล็บเบา ๆ และล้างออกด้วยน้าสะอาด ชโลมด้วยครีมบารุง
เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับมือและเล็บ นักธุรกิจต้องใส่ใจความสะอาดเป็นอันดับแรก การดูแลมือ
และเล็บบ่งบอกถึงความสะอาดและเราควรตัดเล็บให้ส้ันอยู่เสมอเพราะนักธุรกิจจะต้องพบเจอผู้คน
มากมายและในระหว่างการทางานอาจมีสิ่งสกปรกเข้ามาอยู่ตามซอกเล็บและควรล้างมื อ
หลังจบั สง่ิ ของตา่ งๆ การตดั เลบ็ มอื ทีถ่ กู ตอ้ งควรตัดให้มคี วามโค้งมนไปตามนว้ิ มือ สว่ นเล็บเท้าควรตัด
ให้เป็นเส้นตรง เพ่ือลดการสะสมของความสกปรกตามซอกเล็บและโอกาสเกิดเล็บขบ ไม่ควรตัดสั้น
จนชิดเน้ือมากเกินไปและไม่ควรใช้วัสดุใด.ๆ แงะงัดขอบเล็บ จมูกเล็บ เพราะอาจเกิดบาดแผล
และการอักเสบได้ เวลาทเ่ี หมาะสมทสี่ ุดในการตัดเล็บ คือหลังจากอาบน้าหรือล้างจาน เพราะเล็บจะ

การพัฒนาตนเองเพอื่ สร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกจิ 97

มีความอ่อนนุ่ม ทาให้ง่ายต่อการตัดแต่ง แต่ถ้าหากไม่รอหลังอาบน้าให้แช่เล็บในน้าอุ่น ประมาณ
5.นาทีก่อนตัดเล็บ การตะไบเล็บหากใช้ตะไบเล็บท่ีทาจากเหล็ก ควรตะไบเล็บไปในทิศทางเดียว
ไม่ควรถูกลับไปกลับมา เพราะจะทาให้เล็บเป็นเส้ียนคมหรือฉีก แต่ถ้าใช้ตะไบเล็บท่ีทาจากเซรามิค
สามารถตะไบสวนทางกนั ได้ นอกจากนี้การตะไบเล็บควรตะไบจากขอบเลบ็ เขา้ หาปลายเล็บเสมอ

1.7 การดูแลรักษาเท้า การทะนุถนอมเท้าก็เหมือนกับการบารุงรักษา ผิวส่วนอื่น ๆ
ในการดูแลรักษาเท้า อันดับแรกต้องทาให้หนังเท้านุ่มด้วยการแช่เท้าในน้าอุ่นผสมสบู่ประมาณ
15 นาที จากน้นั เช็ดเท้าใหแ้ หง้ หมาด ๆ ใชห้ ินขัดเท้าหลังจากแช่น้าอีก 2 นาที ขัดเบา ๆ ตรงบริเวณ
เท้า สน้ แล้วลา้ งดว้ ยนา้ เยน็ จากนั้นให้ชโลมเทา้ ดว้ ยโลชัน่ ใช้ผ้าชุบไอน้าอุ่น.ๆ พันเท้าไว้ วางขาพาด
ตามสบายประมาณ 5.นาที เมื่อเกิดอาการเม่ือยเท้าควรใช้มือนวดกับโลช่ัน นวดจากข้อเท้าไปยังส้นเท้า
จนถึงปลายน้ิวทลี ะน้วิ เพอื่ ลดอาการเม่ือยเท้า ก่อนใส่รองเท้าให้เอาแป้งฝุ่นโรยซึ่งช่วยซับเหง่ือไคลได้
และใช้ครีมทาขาทาตรงเท้าหลังอาบน้าทุกครั้ง เพราะนักธุรกิจอย่างเราต้องใช้เท้าเดินในการทางาน
ท้ังวันอาจจะมีกลิ่นหรือเหง่ือออกมาตามเท้า ดังนั้นเราต้องรู้จักรักษาความสะอาดเท้าเป็นประจา
เพอ่ื สรา้ งบคุ ลิกภาพทดี่ แี ละมคี วามมน่ั ใจในการทางาน

2. การดูแลรักษาสุขภาพ.การรักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรงอยู่เสมอจะต้องดูแล
เรื่องอาหารท่ีรับประทานต้องถูกสุขลักษณะ การป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
และรักษาสภาพอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ เพราะผู้ท่ีมีสุขภาพอนามัยดีย่อมทาให้มีบุคลิกภาพดีไป
ด้วย นักธุรกิจอย่างเราควรดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ การมีสุขภาพท่ีแข็งแรง ยังส่งผลถึงการทุ่มเท
ในการทางานได้อย่างเต็มท่ีและทาให้งานน้ันออกมาตรงตามเป้าหมายท่ีต้ังไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อกี ด้วย นักธุรกจิ จงึ ควรดแู ลและเอาใจใส่สุขภาพ ดงั นี้

2.1 ประโยชน์และหน้าท่ีของน้า.น้าเป็นส่วนประกอบสาคัญของสิ่งมีชีวิตท่ัว.ๆ.ไป
มีหน้าท่ีสาคัญหลายประการคือ ช่วยในการย่อย การดูดซึมและการไหลเวียนของสารต่าง ๆ ในร่างกาย
เปน็ ตัวทางานสาหรบั สารละลายเคมตี ่าง ๆ ท้ังท่ีเปน็ อาหารและสารอื่น ๆ ทาให้สามารถเกิดปฏิกิริยา
เคมใี นร่างกายได้ ชว่ ยปกปอ้ งเซลล์และเนอื้ เยอ่ื ต่าง ๆ รวมทั้งทารกในครรภ์มารดา เป็นส่ือกลางกระบวนการ
ทางชวี เคมีต่าง.ๆ ในรา่ งกายและรักษาสมดุลกรดด่างในร่างกาย ช่วยในการขนส่งสารต่าง ๆ ระหว่าง
เน้ือเย่ือกับกระแสโลหิต ช่วยในการกาจัดของเสียจากร่างกายเป็นปัสสาวะ ทาหน้าที่หล่อลื่นข้อ
ตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย ควบคมุ อณุ หภมู ิในรา่ งกาย โดยเฉพาะการระบายน้าจากผิวหนัง ในคนท่ีออกกาลัง
กายจะมีการเผาผลาญในร่างกาย เกิดความร้อนและขับออกทางเหงื่อ ในแต่ละวันควรได้รับน้า
ในปริมาณท่ีเพียงพอ การสูญเสียน้ามากหรือการได้รับน้าน้อยจะทาให้เกิดภาวะแห้งน้า ทาให้รู้สึก
กระหาย กล้ามเน้ือไม่มีแรง อ่อนเพลีย หมดสติ หรืออาจเสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าร่างกาย
ได้รับน้ามากเกินไปและไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในสภาพท่ีสมดุลได้ จะเกิดการคั่ง บวม ปวดศีรษะ
ตามัว เปน็ ตะควิ และอาจชักได้

98 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ

ดังน้ัน น้า ถือเป็นส่ิงท่ีร่างกายของคนเราขาดไม่ได้ เพราะในการทางานเราก็ต้องด่ืมน้า
เพ่ือดับกระหาย และใช้น้าในการต้อนรับแขกท่ีมาติดต่อธุรกิจกับบริษัทถือว่าเป็นมารยาทในการ
ต้อนรับแขก เราได้เห็นความสาคัญของน้าไปแล้วจึงควรดื่มน้าอย่างน้อยวันละ.8.แก้ว เพื่อสุขภาพท่ีดี
ของร่างกายและหลักความเชื่อในการดูดวงบอกไว้ว่าถ้าบุคคลใดด่ืมน้าในปริมาณท่ีเพียงพอต่อความ
ตอ้ งการของรา่ งกายจะคิดทาสงิ่ ใดกส็ ามารถสาเร็จได้

2.2 วติ ามนิ เพ่ือสุขภาพ ชีวิตทีเ่ ร่งรีบต้องทางานแข่งกับเวลา อาจทาให้เราลืมคิดถึง
คุณค่าของสารอาหารจากอาหารจานด่วนท่ีรับประทานกันเป็นประจา ซ่ึงอาหารเหล่าน้ีอาจทาให้ขาด
สารอาหารบางชนิด โดยเฉพาะวิตามิน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จาเป็นสาหรับสุขภาพและยังช่วยให้มี
สขุ ภาพดอี ีกดว้ ย อีกท้ังยังทาให้นกั ธรุ กิจอยา่ งเรามีความมั่นใจในการพบเจอเพื่อนร่วมงานหรือบุคคล
ภายในและภายนอกองคก์ ร ซง่ึ วิตามนิ ทช่ี ว่ ยให้เราสดใส เปลง่ ปลั่ง มดี งั นี้

2.2.1 วิตามินเอ.จะช่วยสร้างผิวใหม่ท่ีแข็งแรงและชุ่มชื้น ผิวจึงเปล่งปล่ัง สดใส
เสมอ.ถ้าอยากตาสวย ผิวเนียนนุ่มสดใส ต้องหมั่นรับประทานผักสด แครอท ฟักทอง มะละกอสุก
ตบั ไขแ่ ดง ซึ่งเป็นแหลง่ อาหารทีม่ วี ิตามินเอสูง

2.2.2 วิตามนิ ซี ช่วยกระตุน้ ระบบการไหลเวียนโลหติ ของผิวพรรณ เม่ือเซลล์ผิว
ทางานดีข้ึน ผิวจะดูมีสุขภาพดีเรียบเนียนขึ้น วิตามินซียังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิว
ลดจุดด่างดาและยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทาให้ผิวร่วงโรย วิตามินซีมีมากในส้ม
มะนาว มะเขอื เทศ สับปะรด ฝรั่ง มะขาม และสตรอเบอร์ร่ี

2.2.3 วิตามินอี.เป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ ช่วยเพ่ิมความชุ่มช้ืนให้กับผิว
และช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ช่วยต่อต้านริ้วรอย วิตามินอีมีมากในธัญพืชต่าง ๆ เมล็ดทานตะวัน
ถวั่ เหลือง งาและข้าวซ้อมมือ

2.2.4 วิตามินบี 1.มีความสาคัญต่อเซลล์สมองในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
เพอื่ ใหไ้ ดพ้ ลังงาน วิตามินบี 1 มีมากในผกั กวางตงุ้ ถั่วเหลือง กระถิน มะเขอื เทศสุก ถั่วพู หน่อไม้ฝร่ัง
เหด็ หูหนู คะนา้ ผักบุ้ง ถว่ั งอก ตับ ไต หัวใจ และขา้ วซ้อมมอื

2.2.5 วิตามินบี 5.เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยในการทางานของสารส่ือประสาท
วติ ามนิ บี 5 มีมากในเนือ้ ไข่ ธญั ญาหาร และถวั่

2.2.6 วิตามินบี.6.มีความสาคัญต่อการทางานของระบบประสาท ช่วยในการ
สร้างสารเซโรโตนิน (Serotonin) ที่ช่วยทาให้อารมณ์ดี ความจาดี มีมากในเนื้อสัตว์ ตับ ธัญญาหาร
ผัก และถ่วั ตา่ ง ๆ

2.2.7 วิตามินบี 12.และโพลิคแอซิด.มีความสาคัญต่อการทางานของสารส่ือ
ประสาท ซ่ึงจากงานวิจัยในวารสารทางโภชนาการระบุว่าการได้รับวิตามินบี 12 และโพลิคแอซิดอย่าง
เพยี งพอ จะชว่ ยลดอาการความจาเสอื่ มได้ มีมากในตบั ไต นม ไข่ ปลา และเนือ้ สตั ว์ต่าง ๆ

2.2.8 แคลเซียมและแมกนีเซียม.มีความจาเป็นต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ซึ่งต้องทางานคู่กันจึงจะได้ผลดีท่ีสุด แคลเซียมมีมากใน นมและผลิตภัณฑ์จากนม ปลาที่สามารถ

การพฒั นาตนเองเพ่ือสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกิจ 99

เค้ียวกระดูกได้ กุ้งแห้ง.กะปิ.มะขามฝักสด.ยอดแค.ยอดสะเดา.คะน้า.เต้าหู้เหลือง.ส่วนแมกนีเซียม
จะมีมาก ในแป้งถั่วเหลืองสด เต้าหู้สด อัลม่อนด์แห้ง ถั่วเหลืองค่ัว ถ่ัวเหลืองต้ม เม็ดมะม่วงหิมพานต์
อบ แปง้ สาลไี มข่ ดั ขาว ถ่วั ลสิ งทุกชนดิ ค่ัว กลว้ ย ปลาแซลมอนกระป๋อง และข้าวกลอ้ งสุก

2.2.9 เซเลเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ.ช่วยทาให้อารมณ์ดีขึ้น.มีมาก
ในบรอ็ คโคลี่ มะเขือเทศ และหอมใหญ่

2.2.10 กรดไขมัน DHA จากการวจิ ยั ทางยุโรปพบว่า การรับประทานปลามาก ๆ
ซึง่ อดุ มไปด้วยกรดไขมนั DHA.จะชว่ ยปอ้ งกันอาการหลงลืมได้

2.3 การกินอาหารเพื่อสุขภาพ การรับประทานอาหารครบ 5.หมู่ ทาได้ไม่ยาก
ซง่ึ นกั ธรุ กจิ จาเปน็ ทต่ี อ้ งทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นอย่างมากเพราะต้องใชค้ วามคิดและพละกาลังในการ
ทางานให้สาเรจ็ ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายและเพอื่ ให้ได้สขุ ภาพทดี่ จี งึ ตอ้ งทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่หาก
รับประทานไปแล้วร่างกายเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผ่ืน คัน ผิวหนังลอกเป็นขุย.สัญญาณ
10.ประการในการสังเกตอาการของร่างกายท่ีเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม
ทน่ี กั ธรุ กจิ จะตอ้ งพึงระวงั ดังนี้

2.3.1 ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วง
หน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ.ขาดวิตามิน.A.ผักและผลไม้ ท่ีมีสีเหลือง สีส้ม
หรือสีเขียวเข้ม ไม่ควรทานวิตามิน.A.เสริมท่ีอยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นน้ีมากเกินไป
จะเปน็ อันตรายได้

2.3.2 ผมไม่เงางาม.ในกรณีที่รุนแรง จะไม่สามารถจัดทรงได้ เป็นผลมาจาก
การขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนท่ีรับประทานอาหารมังสวิรัติหรือคนท่ีจากัดอาหาร
อย่างมาก.ควรรับประทานอาหารท่ีมีกากใยควบคู่ไปกับการออกกาลังกาย ส่วนคนท่ีรับประทาน
อาหารมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าวและถ่ัว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อท่ีจะได้
โปรตนี ทดแทนโปรตีนจากเน้ือสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่าดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น
เกาลัด ถั่วแขกและถั่วเหลือง ซ่งึ อดุ มไปด้วยไบโอตนิ

2.3.3 ท้องผูก.เป็นอาการขาดสารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารท่ีมีกากใย
เช่น ผกั ผลไม้ตา่ ง ๆ ควรรบั ประทานอยา่ งน้อยวนั ละ 25 กรมั และดื่มน้าใหม้ ากข้นึ ดว้ ย

2.3.4 ผายลมบอ่ ย แมว้ ่าไฟเบอรจ์ ะมปี ระโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับ
สารอาหารประเภทน้ีเร็วเกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จาพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลางร่างกาย
จะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารท่ีย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหาร
พวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าเคยกินวันละ 10.กรัม อย่าเพิ่มเป็น 25.กรัมในวันรุ่งข้ึน ในสัปดาห์แรก
เพ่ิมแคเ่ พียง 5 กรมั แลว้ สปั ดาหต์ อ่ มาคอ่ ยเพ่ิมอีก 5 กรัม

2.3.5 ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ เป็นอาการของการกินปลา
น้อยเกินไป ทาให้ขาดกรดไขมันประเภทโอเมก้า.3.ท่ีพบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

100 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

จะทาให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้สะดวกข้ึน ซ่ึงจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวม
และปวดบรเิ วณข้อตอ่

2.3.6 สเปิร์มน้อยลงไปมาก.ถ้ากาลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับ
ของสเปริ ม์ ต่ากว่าปกติ อาจเป็นเพราะขาดวิตามิน C.ซึ่งเป็นตัวสาคัญในการกระตุ้นการทางานระบบ
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย จากการศึกษาพบว่าวิตามิน C.ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์
ของตั วสเปิ ร์ มด้ วย Earl.Dawson,.Ph.D.,.ที่ University.of.Texas.Medical.Branch.ท่ี . Galveston
แนะนาวา่ ใหผ้ ู้ชายด่ืมน้าส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1.ลิตรทุกวัน โดยกล่าวว่าวิตามิน C.มีส่วนช่วย
ปอ้ งกนั สเปริ ์มจากอนั ตรายและความเสียหายในทุก ๆ ดา้ น

2.3.7 หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเน้ือที่มีการบีบตัวมากกว่า
100,000 คร้งั ตอ่ วัน ไมส่ ามารถทางานอยา่ งสมบูรณแ์ บบได้ตลอดเวลา แตถ่ า้ รู้สกึ ว่าหัวใจเต้นเร็วกว่า
ปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวดหรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไป
พบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หัวใจยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้งอาจ
ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม ให้ดื่มน้าส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่ม
กล้วยเขา้ ไปในส่วนหนง่ึ ของเมนู สาหรับแมก็ นีเซียมให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์
เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทองและผกั โขม เปน็ อีกตัวหนึ่งทีม่ ีแรธ่ าตชุ ่วยในการทางานของหัวใจ

2.3.8 ปวดเหงือก.ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
และปัญหาของเหงือก แสดงว่าปากกาลังต้องการแบคทีเรียท่ีมีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับ
แบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้รับประทานโยเกิร์ตท่ีมีแบคทีเรียที่ร่างกายต้องการเป็นอาหารว่าง
ในช่วงเช้าของทกุ วนั

2.3.9 กระดูกแตก ถ้ากระดูกแตกมากกว่า 2-3 คร้ังตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไป
ได้ว่ากระดูกอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D.และแคลเซียม ซ่ึงเป็น
ตัวประกอบท่ีสาคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชาย
มักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ย่ิงร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ย่ิงต้องการ
แคลเซียมมากข้ึนเท่านั้น อาหารท่ีอุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต
นมและเนยแข็งไขมันตา่

2.3.10 ข้ีลืม.อาจเป็นเพราะขาดวิตามิน.B.ในการศึกษาที่ USDA.Human
Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B
folate.สูงในเลือด จะมีความทรงจาท่ีดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกน้ีช่วยให้สมอง
ทางานได้เต็มท่ีและยังช่วยควบคุม.Homocysteine.ซ่ึงเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย
ซึง่ เปน็ ตัวขัดขวางการท่ีเลือดจะไปหลอ่ เลี้ยงสมอง ถ่ัวเปน็ อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B6 และโฟเลต
มากทสี่ ดุ และไมต่ ้องกงั วลกบั การขาดวติ ามนิ B12 เพราะมีมากในเน้อื สัตว์และอาหารทะเล


Click to View FlipBook Version