The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aomsin3692, 2021-11-08 11:07:07

บทที่ 1

บทที่ 1

การตดิ ต่อสื่อสารเพือ่ สร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ 201

กิจกรรม บทท่ี 5
เกม สอื่ ภาษา

วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสนกุ สนาน

2. เพื่อฝึกทักษะการส่ือสาร

3. เพอ่ื ฝึกทกั ษะการจดจา

4. เพือ่ ใหเ้ กดิ สมาธใิ นการทากิจกรรม

จานวนผ้เู ล่น 20-30 คน โดยแบง่ เป็นกลุ่มละ 5 คน จานวน 6 กลมุ่

อปุ กรณ์ 1. ข้อความ

2. กระดาษเปล่า ปากกา เท่าจานวนกล่มุ

สถานที่ ห้องเรยี น

เวลา 20 - 30 นาที

วธิ เี ลน่ 1. ผ้นู ากิจกรรมบอกใหท้ ุกคนยืนข้ึนเป็นวงกลม แล้วนบั 1-5 ใครนับเลขอะไรก็ให้

รวมเป็นกลุม่ เดยี วกัน

2. ผู้นากิจกรรมช้ีแจงว่า ให้แต่ละกลุ่มยืนเรียงแถวตอนลึกจัดให้มีระยะห่างกัน

ประมาณ 2 เมตร หนั หนา้ ไปทางเดยี วกนั

3. โดยท่ใี ห้ผเู้ ลน่ ยืนเปน็ แถวและใหค้ ัดเลือกหวั หนา้ แถว 1 คน/ทมี

4. จากนั้นให้หัวหน้าแต่ละทีมออกมารับกระดาษที่ใช้อ่านสื่อสารกันระหว่าง

เพ่อื นในกลุ่ม

5. ผู้นากิจกรรมให้สัญญาณให้หัวหน้าทีมอ่านกระดาษเพียงคนเดียว

โดยกาหนดเวลาไม่เกนิ 1 นาที

6. จากนั้นผู้นากิจกรรมเก็บกระดาษทุกทีม แล้วให้หัวหน้ากระซิบบอกข้อความ

ทีม่ ใี นกระดาษให้เพื่อนฟัง โดยกระซิบต่อ ๆ กนั ไปเรื่อยๆ จนถึงคนสุดทา้ ย

7. ผู้นากิจกรรมเกบ็ กระดาษข้อความ และส่ังให้สมาชิกของกลุ่มคนแรกเดินไปหา

สมาชกิ คนที่ 2 และถ่ายทอดขอ้ ความในกระดาษใหก้ บั สมาชกิ คนท่ี 2 โดยให้ใช้เวลาประมาณ 1 นาที

8. สมาชิกคนแรกถ่ายทอดขอ้ ความเสรจ็ ให้กลบั ไปนั่งที่เดมิ

9. สมาชิกคนที่ 2.เดินไปหาสมาชิกคนท่ี 3 และถ่ายทอดต่อ เม่ือถ่ายทอดเสร็จ

กเ็ ดนิ กลบั ไปน่งั ทีเ่ ดิม

10. แล้วให้สมาชิกคนสุดท้ายนามาเขียน หรือเล่าฟังให้ฟังหน้าช้ันเรียน โดยหา

ทีมทพ่ี ดู ให้ถกู ตอ้ งท่ีสดุ เปน็ ผชู้ นะ

11. ผูน้ ากิจกรรมให้คะแนนตามจุด และสรปุ คะแนน

12. ผู้นากจิ กรรมถามผู้ร่วมกจิ กรรมได้อะไรจากการเล่นกจิ กรรม

13. ผนู้ ากจิ กรรมสรุปวัตถุประสงคข์ องกิจกรรม

202 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ

ตวั อย่างข้อความ

1. กงุ้ กลดั กลมุ้ เลยกดั แก้มของก้องและกระโดดกัดหูของไก่
2. เป๊าะพาเงาะเดินลัดเลาะผ่านเกาะไปหาเอ๊าะทปี่ า่ ละเมาะ
3. ต๊อกแต๊กตาหนติ ้อมทีแ่ ตง่ ตัวตุ้งตงิ้ ตามโตง้ ทเ่ี ปน็ ตดุ๊
4. อ้อยออดอ้อนปา้ อว้ นอยา่ ตเี อื้อมกบั เอื้อนท่ีแอบอมเงินอ้าย
5. หาญหาหอยใส่ไหไปใหย้ ายหอมเดนิ หาบขายทช่ี ายหาด
6. เกง่ เกลือกกลง้ิ อย่บู นกองกรวดเพราะกลัวกิง้ ก่าเข้ามากลา้ กราย
7. ปล๊กุ ลุกไปปลุกดุ๊กด๊ิกให้พาหนูนูกน้องของปุก๊ ไปปลดทกุ ข์
8. ทิมทอดถอนใจท่ีทยุ ถอดทองไปให้ทนิ ถอนที่ทุ่งนา
9. ต๋อยเหน็ ตอ่ รุมต่อยต้ยุ เลยว่ิงไปตามตุ๋ยมารุมต่อยต่อ
10. สองสบื สวนเรอ่ื งสรวงท่ซี ้ือสีไปสาดเส้อื สิงห์จนหมดสวย
11. เฟอ่ื งฝากฟักกับแฟงใหฟ้ างไปให้ฝายแฟนของฝ้ายทฟ่ี าร์ม
12. ต้อมไปบ้านอน้ เจอตน้ ต้มแกงสม้ เลยเตะกน้ จนหน้าย่น
13. ใยแลน่ เรอื ใบในป่าใหญเ่ หน็ ไสผา่ ไผ่ก่อไฟกับใจ
14. ตอ้ ยตักเตอื นติ๋มที่ตบตีตุ๋มกบั แตนจนหวั ท่ิมลงตุ่ม
15. โนต้ นดั แนะโหนง่ นานอ้ ยหนา่ ไปฝากหน่องกับน้องท่ีท้องนา

การตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพอื่ สรา้ งมนษุ ยสัมพันธท์ างธุรกจิ 203

แบบฝึกหดั บทท่ี 5

คาชี้แจง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพิจารณาว่าข้อความนั้นถูกหรือผิด ถ้าถูกให้ทา
เคร่ืองหมาย √ ถ้าผิดให้ทาเคร่อื งหมาย X ลงหนา้ ข้อความในแตล่ ะขอ้
1. การติดต่อส่ือสารเป็นการส่งข้อมูลข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งหรือ

หลายคน โดยสอื่ สารด้วยวาจา ลายลักษณอ์ ักษร หรือการใชก้ ิริยาท่าทางอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
2. กระบวนการติดต่อส่ือสาร ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ ผู้ส่งสาร สาร

และผูร้ ับสาร
3. สาร (Message).หมายถึง เร่ืองราวที่มีความหมาย หรือส่ิงต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูป

ของขอ้ มูล ความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ เป็นตน้
4. ส่ิงทเ่ี ป็นพาหนะของสาร ทาหน้าทนี่ าสารจากผสู้ ง่ สารไปยงั ผู้รบั สาร เรยี กว่า ส่อื
5. การติดต่อส่ือสารแบบเป็นทางการเป็นการติดต่อสื่อสารที่ไม่อยู่ในสายบังคับบัญชา

ตามลาดบั ขั้นตอน สามารถทาการสื่อสารในรูปแบบใดกไ็ ด้
6. การส่ือสารผ่านส่ือ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ การออกคาส่ังหรือมอบหมายงาน

โดยฝ่ายผู้รับไม่มโี อกาสแสดงความคดิ เห็น เรียกวา่ การสือ่ สารแบบสองทาง
7. การพบปะพูดคุยกัน การพูดโทรศัพท์ การออกคาส่ังหรือมอบหมายงานโดยฝ่ายรับ

มีโอกาสแสดงความคิดเห็น เรยี กว่า การสือ่ สารแบบสองทางทางเดียว
8. การถ่ายทอดนโยบายวัตถุประสงค์ ยุทธศาสตร์การทางาน แนวทางปฏิบัติงาน

กฎระเบียบ ข้อบงั คับ คาสงั่ วิธีการทางาน เรยี กวา่ การตดิ ตอ่ สื่อสารจากบนลงมาล่าง
9. การออกความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะการปรับปรุงการทางาน การร้องทุกข์เก่ียวกับ

ปญั หาตา่ ง ๆ เรยี กวา่ การติดตอ่ สอ่ื สารตามแนวนอน
10. พัฒนาการการติดต่อส่ือสารอาจแบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ ยุคโบราณ ยุคของ

เกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม และยคุ ปจั จุบัน
11. ผสู้ ่งสารขาดกลวธิ ีในการถ่ายทอดหรือการนาเสนอท่ีดีเป็นปัญหาและอุปสรรคที่เกิด

จากผู้ส่งสาร
12. สารที่ขดั กบั คา่ นิยมหรือความเชือ่ ของผู้รับสาร หรือของผู้ส่งสารเองจะทาให้การพูด

ไม่มชี วี ติ ชีวา
13. ปัญหาในการส่ือสารอาจมีสาเหตุมาจากสื่อมีขนาดเล็กเกินไป ความไม่ชัดเจน

ของสื่อ เช่น รูปภาพ สญั ลักษณ์ วัตถุสิ่งของ การทาสัญญาณการเคล่อื นไหว การทาทา่ ทาง เป็นตน้
14. ปัญหาในการสื่อสารอาจทาให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี ความรู้สึกในทางลบ

การปฏบิ ตั งิ านท่ีผดิ พลาด ความอดึ อัด คบั ขอ้ งใจ ความไมพ่ อใจ และขาดการมสี ว่ นรว่ มในการทางาน
15. การส่ังงานพนักงานของผู้บริหารควรสั่งครั้งละมาก ๆ สั่งคร้ังเดียวจบ ไม่ควรสั่ง

ซา้ หลาย ๆ รอบ

204 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ

16. ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนมีความสามารถในการรับคาส่ังที่แตกต่างกัน ดังนั้น
ในการสง่ั งานหรือสง่ั การของผู้บงั คบั บัญชาควรมกี ารทบทวนคาส่งั ให้กบั ผใู้ ตบ้ ังคับบัญชาดว้ ย

17. การมอบหมายงานท่ีดีไม่จาเป็นต้องมีการวางแผนการเตรียมการ สามารถ
มอบหมายงานได้เลยเม่ือนกึ ขึน้ ได้

18. ผู้ที่จะส่ือสารต้องคานึงถึงบริบทในการส่ือสาร บริบทในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งท่ี
อยู่แวดลอ้ มที่มีส่วนในการกาหนดรูค้ วามหมายหรอื ความเขา้ ใจในการส่ือสาร

19. หากผู้บริหารต้องการประชุมกันกับผู้บริหารที่อยู่ต่างประเทศ ผู้บริหารสามารถใช้
วดิ ีโอคอนเฟอรเ์ รนซเ์ พื่อประชมุ กนั โดยไมต่ ้องเดินทางไปตา่ งประเทศ

20. การดาเนินธุรกิจในปจั จุบันไม่จาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการส่ือสารเข้ามาช่วย
เพราะจะทาให้เปลืองงบคา่ ใช้จ่าย

คาชแ้ี จง จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
1. การตดิ ต่อสอ่ื สาร หมายถึง
2. ใหท้ ่านบอกความสาคัญของการติดตอ่ สอ่ื สารวา่ มีอะไรบา้ ง
3. ใหท้ า่ นบอกและอธิบายกระบวนการติดตอ่ สื่อสารมีอะไรบ้าง
4. ประเภทการติดต่อสื่อสาร มีกี่ประเภทอะไรบ้าง
5. ใหท้ า่ นบอกพัฒนาการการตดิ ตอ่ สื่อสารมาพอสงั เขป
6. ใหท้ ่านบอกวัตถปุ ระสงคข์ องการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
7. ให้ท่านบอกประโยชน์ของการตดิ ต่อสอ่ื สารทางธรุ กิจมีอะไรบา้ ง
8. ให้ทา่ นบอกปัญหาและอุปสรรคของการตดิ ต่อส่ือสารมีอะไรบ้าง
9. เทคนิคการติดต่อสอ่ื สารทางธุรกิจมีเทคนิคอะไรบ้าง
10. ใหท้ ่านบอกหลกั ในการติดต่อสอ่ื สารใหป้ ระสบความสาเรจ็ มหี ลักอะไรบ้าง
11. หลักการตดิ ต่อสื่อสารเพื่อสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กิจมีอะไรบ้าง
12. การตดิ ต่อส่อื สารมีความจาเป็นและมีความสาคัญต่อการดาเนนิ ธรุ กิจอย่างไร

เพราะอะไร

บทที่ 6

มนษุ ยสัมพนั ธ์ของผนู้ ำกับกำรทำงำนเป็นทีมเพอ่ื เพ่ิมผลผลิต

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั
ในพิธพี ระราชทานปรญิ ญาบัตรของจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั

วันที่ 13 กรกฎาคม 2533
“...ในการปฏิบัติงานนั้น ย่อมมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข
อย่าท้ิงไว้พอกพูนลกุ ลามจนแก้ยาก ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ ถ้าแก้คนเดียว
ไม่ได้ก็ชว่ ยกนั คิดช่วยกันแกห้ ลายๆ คนหลายๆ ทาง ด้วยความร่วมมอื ปรองดองกัน...”

206 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ

การบริหารในองค์กรใด.ๆ ก็ตาม มีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องอาศัยผู้นามาเป็นผู้บริหาร
และดาเนินงานองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย แต่การที่ผู้นาจะนาองค์การไปสู่เป้าหมายได้หรือไม่นั้น
นอกจากจะต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้นาเองแล้ว ยังต้องอาศัยสมาชิกในองค์กร
หรือทีมงานท่ีดี และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนผู้นาในองค์กรด้วย วิธีการท่ีผู้นาจะกระตุ้นให้ผู้ร่วมงาน
หรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนการดาเนินงานในองค์กรก็คือ การสร้าง
มนุษยสัมพันธ์อันดีกับทุกคน เพราะการสร้างมนุษยสัมพันธ์เป็นเคร่ืองมือสาคัญประการหนึ่ง
ของการบริหาร ซ่ึงหลักมนุษยสัมพันธ์ของผู้นาที่ดีควรมีหลักธรรมท่ีเรียกว่าพรมวิหาร 4 ได้แก่
เมตตา.กรุณา มุฑิตาและอุเบกขา.ก็จะทาให้ท้ังผู้นาและผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทางานด้วยกัน
อย่างมีความสุข เปน็ ห่วงเปน็ ใยกันเห็นอกเห็นใจซง่ึ กันและกัน

ฉะน้ันผนู้ าที่มีความสามารถจะต้องรู้จักใช้มนุษยสัมพันธ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิธีการใช้
มนุษยสัมพันธ์ประการแรกสาหรับผู้นาคือ การศึกษาและทาความเข้าใจหลักการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ในการบริหารโดยการศึกษาธรรมชาติและลักษณะของความเป็นผู้นา บทบาทหน้าท่ีของผู้นา
คุณสมบัติของผู้นาท่ีดี ตลอดจนศึกษาธรรมชาติของบุคลากรในองค์กร เพ่ือท่ีจะเป็นพื้นฐานให้ผู้นา
รู้ลักษณะเฉพาะของผู้ร่วมงานหรือทีมงาน ถ้าผู้นาส่วนใหญ่ตระหนักและคานึงถึงความสาคัญของ
องค์ประกอบต่าง ๆ จะชว่ ยใหผ้ ูน้ าสามารถบรหิ ารองค์กรใหบ้ รรลุเปา้ หมายได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

ในการบริหารงานของผู้นาย่อมต้องการได้ทีมงานท่ีมีความเข้มแข็งในการขับเคล่ือน
องค์การให้สามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ ร ไม่วา่ จะเปน็ การลดต้นทุนการผลิตการเพิ่มส่วนแบ่ง
ทางการตลาด การเป็นผู้นาทางการตลาด ซ่ึงปัจจัยท่ีกล่าวมาจะเป็นหนทางท่ีจะทาให้องค์การสามารถ
เพม่ิ ผลผลติ ในการผลิตสินค้าและบริการได้ นั้นย่อมหมายความว่าองค์การจะมีกาลังการผลิตเพิ่มขึ้น
จากเดิม ก็จะทาให้องค์กรเกิดรายได้เพ่ิมข้ึน ส่งผลให้ท้ังองค์กรและทีมงานในองค์กรจะมีรายได้
ที่เพ่ิมขึ้นตามไปด้วย ดังน้ันการท่ีจะได้ผลผลิตที่เพ่ิมข้ึนนั้น ย่อมต้องขึ้นอยู่กับผู้นาท่ี มีความรู้
ความสามารถและเข้าใจทีมงานบวกกับได้ทีมงานท่ีเข้มแข็งและมีความพร้อมในการสร้างสรรค์ให้กับ
องคก์ ร

ดังน้ัน ผู้นาท่ีจะประสบความสาเร็จได้ต้องสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อ
ผใู้ ต้บังคับบัญชาอาทิ เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้ร่วมงาน มีเมตตากรุณาพยายามเข้าใจความต้องการ
และปัญหาของแต่ละคน ประมาณตนไม่ถือว่าตนดีกว่าผู้อ่ืน ทาตนให้เป็นท่ีนับถือ มีความจริงใจ
มีไมตรีจิตและช่วยเหลือผู้อ่ืน เป็นคนยุติธรรม ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เป็นต้น หากผู้นาปฏิบัติตามท่ีบอก
ขา้ งตน้ กจ็ ะทาใหผ้ ้คู นนับถือ ยกยอ่ ง และทาให้องค์กรปฏบิ ัตงิ านบรรลวุ ัตถุประสงค์ท่ตี ั้งไว้

มนุษยสัมพันธ์ของผนู้ ากบั การทางานเปน็ ทีมเพ่ือเพิ่มผลผลิต 207

แนวคิดทฤษฎภี ำวะผ้นู ำ

ตามทฤษฎีการบริหาร ปัจจัยนาเข้าที่นามาใช้ในกระบวนการดาเนินงานให้เกิดผลผลิต
หรอื ปัจจยั นาออกมอี ยู่ 4.ประเภท ได้แก่ คน (Man).เงิน.(Money).วัสดุอุปกรณ์ (Material).และการ
บริหาร (Management).คน บุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ เป็นปัจจัยที่สาคัญมากประการหนึ่งของ
การดาเนินงาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงคนที่มีความรู้มีทักษะหรือมีความสามารถ เป็นทรัพยากรที่หายาก
สมควรทจ่ี ะทะนุบารุงเอาไว้ใหด้ ี

ฉะน้ัน การสร้างหรือพัฒนาคนของหน่วยงานหรือองค์กร จึงถือว่ามีความจาเป็นอย่างย่ิง
เพ่ือให้ได้บุคลากรท่ีมีความรู้ความสามารถมีคุณภาพในการทาหน้าที่เป็นหัวหน้างานเป็นผู้บริหาร
ซ่ึงจะนาองคก์ ารสูค่ วามสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย

การที่จะเป็นผู้นาท่ียิ่งใหญ่หรือเป็นผู้นาที่ประสบความสาเร็จได้ผู้น้ันจะต้องบริหาร 3 ปัจจัย
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันได้แก่ การบริหารตนเอง การบริหารคน การบริหารงาน
ซึ่งท้ัง 3.ปัจจัยจาเป็นต้องอาศัยหลักมนุษยสัมพันธ์เข้ามาเก่ียวข้องท้ังน้ัน โดยเฉพาะในเรื่องการ
บริห าร ตน เป็น ส่ิ ง ส า คัญ ท่ีผู้ น าต้ อง มีแล ะส ร้า งภ าว ะ ผู้ น า พั ฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาให้เป็นผู้ น า
ที่พึงประสงค์ ปรับใช้แนวคิดทฤษฎีการเป็นผู้นามาใช้ในสิ่งแวดล้อมขององค์กรเพื่อให้การดาเนินกิจกรรม
ขององค์กรดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเจริญให้กับองค์กรและประเทศชาติต่อไป
ดังนั้น ผู้นาควรศกึ ษาทาความเข้าใจเก่ยี วกบั แนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกับภาวะผ้นู าที่ตัวผู้นาเองจะได้นาไป
ประยกุ ต์ใชใ้ นการบริหารองคก์ รไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซ่งึ ความเปน็ ผนู้ าทีจ่ ะประกอบไปด้วยแนวคิด
ท่ีสาคัญดงั นี้

1. แนวคดิ เกย่ี วกบั ผนู้ ำ
แนวคิดเกี่ยวกับผู้นาที่จะกล่าวต่อไปนี้จะเป็นแนวคิดท่ีจะส่ือให้ผู้นาได้ทาความเข้าใจ

และศึกษาเพราะแต่ละแนวคิดผู้นาสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการทางานในองค์กรได้เป็นอย่างดี
ซง่ึ แตล่ ะแนวคดิ ล้วนตอ้ งอาศยั หลกั มนุษยสัมพันธ์เข้ามาบูรณาการเพ่ือให้การทางานของผู้นาประสบ
ความสาเร็จทั้งการบริหารงานและบรหิ ารคน ซึง่ แนวคิดเกี่ยวกับผนู้ า มีดงั ตอ่ ไปนี้

1.1 ผู้นาเป็นผู้ที่มีศิลปะที่สามารถมีอิทธิพลเหนือคนอื่นและนาบุคคลเหล่านั้น
โดยได้รับความไว้วางใจและเช่ือม่ันอย่างเต็มที่.พร้อมทั้งให้ความเคารพนับถือให้ความร่วมมือและให้
ความมั่นใจในตวั ผู้นาอยา่ งจริงจงั

1.2 ภาวะผู้นาเป็นศิลปะหรือความสามารถของบุคคลหนึ่งท่ีจะจูงใจหรือใช้อิทธิพล
ต่อบุคคลอ่ืนในสภาพการณ์ต่าง ๆ เพ่ือปฏิบัติการและอานวยการ โดยใช้กระบวนการส่ือความหมายให้
รว่ มแรงรว่ มใจกับตนดาเนนิ การจนกระท่ังบรรลุผลสาเร็จตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายท่ีกาหนดไว้

1.3 มนุษย์ทุกคนมีภาวะผู้นามาตั้งแต่เกิดและได้รับการปรุงแต่งโดยการอบรมส่ังสอน
ทางการศึกษาทาให้เกิดภาวะผู้นาพ้ืนฐานข้ึนในตัว ส่ิงแวดล้อมต่าง.ๆ.สามารถทาให้ภาวะผู้นาพ้ืนฐานน้ัน
แปรเปลย่ี นไปได้อีกไม่ว่าจะทางดีข้นึ หรือเลวลงและภาวะผู้นาสามารถพัฒนาขึน้ ได้

208 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

1.4 คณุ ลักษณะที่สาคัญของผู้นาท่ีดี.จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการ
ปฏบิ ตั งิ านขององคก์ ารหรือหน่วยงาน

จากแนวคดิ เกี่ยวกับผู้นาจะเหน็ ไดว้ า่ ผู้นาต้องสามารถจูงใจให้คนทางานได้ด้วยความ
เต็มใจเพ่ือให้ภาระกิจขององค์กรสาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ซ่ึงผู้นาต้องอาศัยความรู้และทฤษฎี
ท่ีเกี่ยวข้องกับมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างมากในการท่ีจะประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องและเหมาะสม
กบั บคุ คลกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองคก์ ร

2. ควำมหมำยของผู้นำ (Leader)
ความหมายของคาวา่ ผู้นา ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Leader”.น้ัน ได้มีผู้ให้ความหมาย

ไว้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
รัตติกรณ์ จงวิศาล (2556:11) ได้ให้ความหมาย ผู้นา หมายถึง บุคคลที่ได้รับการยก

ย่องหรืออาจเป็นบุคคลท่ีได้รับการคัดเลือกหรือแต่งตั้งให้เป็นผู้นาหรือเป็นบุคคลผู้ที่มีอิทธิพลและมี
บทบาทเหนอื คนอ่นื ๆ หรอื เป็นบุคคลได้รบั การยอมรับ ศรัทธาหรือได้รบั ความไวว้ างใจให้นา

ในขณะท่ี เนตร์พัณณา ยาวิราช (2552:1) ได้ให้ให้คานิยาม ผู้นา หมายถึง บุคคล
ที่ได้รับการยอมรับและยกย่องจากบุคคลอ่ืน หมายถึงบุคคลซึ่งได้รับการแต่งต้ังขึ้นมาหรือได้รับการ
ยกย่องให้เป็นหัวหน้าในการดาเนินงานต่าง ๆ ในองค์กรต่าง ๆ ต้องอาศัยบุคคลท่ีเป็นผู้นาและมี
ความเปน็ ผนู้ า จงึ จะทาใหอ้ งคก์ รดาเนินไปอยา่ งบรรลผุ ลสาเร็จตามวัตถปุ ระสงค์และนาพาหน่วยงาน
ไปสูค่ วามเจรญิ ก้าวหนา้

นอกจากนี้ ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551:120).ได้ให้คาจากัดความ ผู้นา หมายถึง
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ด้วยความเต็มใจ
หรือไม่เต็มใจจากสมาชิกในแต่ละสถานการณ์ เพ่ือทาหน้าทาพาหมูคณะให้บรรลุวัตถุประสงค์
ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพโดยใชอ้ านาจทีมีในการโน้มนา้ วและกระตนุ้ ใหส้ มาชกิ ปฏิบัตงิ านอย่างเตม็ ท่ี

กล่าวโดยสรุปแล้ว ผู้นำ หมายถึง.“ผู้ที่มีศิลปะท่ีสามารถมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น นาบุคคล
เหล่าน้ันไปโดยได้รับความไว้วางใจและเชื่อใจอย่างเต็มที่อีกทั้งยังได้รับความเคารพนับถือ ความร่วมมือ
และความมน่ั ใจจากผใู้ ต้บังคบั บญั ชาอย่างจรงิ จงั ”

จากนยิ ามความหมายทีก่ ล่าวมาทงั้ หมด ผู้นาจะต้องมคี วามรู้ความสามารถและทักษะ
ทางด้านการบรหิ ารจัดการการทางานและบริหารจัดการคนให้สามารถทางานให้กับองค์กรได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ ล้วนแลว้ ต้องอาศัยหลักมนุษยสัมพันธ์เขา้ มาชว่ ยในการทางานทง้ั ส้นิ

3. ควำมหมำยของภำวะผนู้ ำ (Leadership)
ภาวะผนู้ า Leadership ไดม้ ผี ู้ให้ความหมายของภาวะผนู้ าไว้หลายประการ ดงั นี้
พิบูล ทีปะปาล (2555:220) ได้ให้ความหมาย ภาวะผู้นา หมายถึง ความสามารถ

ท่ีจะใช้ศิลปะความเป็นผู้นาโน้มน้าวบุคคลซึ่งเป็นผู้ตาม (Followers) ให้เกิดการคล้อยตามยอมรับ
ท่จี ะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มท่ี ใหก้ ารปฏิบัตงิ านบรรลผุ ลสาเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

มนุษยสมั พนั ธข์ องผูน้ ากับการทางานเปน็ ทมี เพื่อเพิม่ ผลผลติ 209

ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี (2557:11) ไดใ้ ห้คานยิ าม ภาวะผูน้ า หมายถึง กระบวนการในการ
โน้มนา้ วและจูงใจขยองท้งั ผู้นาและผูต้ ามเพือ่ บรรลุวัตถปุ ระสงคข์ ององค์การผ่านการเปลีย่ นแปลง

สุธีลักษณ์ (นิติธรรม) แก่นทอง (2555:3).ได้ให้คาจากัดความ ภาวะผู้นา หมายถึง
การใช้อิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือกลุ่มในสถานการณ์ต่างๆ ด้วยการปฏิบัติการ
และการอานวยการโดยใชก้ ระบวนการสอ่ื สารซง่ึ กันและกันเพื่อความสาเร็จของเปา้ หมาย

ในขณะที่ McShane.and.Von.Glinow (2005:416) ได้ให้นิยามว่า ภาวะผู้นา
หมายถึง ความสามารถที่มีอิทธิพลที่จะกระตุ้นจูงใจและทาให้ผู้อ่ืนทุ่มความพยายามอย่างเต็มท่ี
เพื่อให้เกิดประสิทธิผลและความสาเรจ็ ขององคก์ ารซึ่งทุกคนเป็นสมาชกิ อยู่

นอกจากนี้ Louis.E..Boone.และ.David.L..Kurtz.(2011:233) ได้ให้ความหมาย
ภาวะผู้นา คือ ผู้ที่มีความสามารถในการสั่งการหรือสร้างแรงบันดาลใจให้บุคคลสามารถบรรลุ
เปา้ หมายได้

กล่าวโดยสรุปแล้ว.ภำวะผู้นำ.หมายถึง.“ศิลปะหรือความสามารถของบุคคลหนึ่งที่จะ
จูงใจหรือใช้อิทธิพลต่อผู้อ่ืนไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่าง .ๆ
เพื่อปฏิบัติการและอานวยการโดยใช้กระบวนการส่ือความหมายหรือการติดต่อกัน.ให้ร่วมแรงร่วมใจ
กบั ตนดาเนนิ การจนกระท่ังบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ท่กี าหนดไว้”

จากความหมายของภาวะผู้นา สะท้อนให้ทราบว่าการทางานให้ประสบความสาเร็จ
ของผู้นาต้องอาศัยวิธีการทางานประกอบกับความรู้ความสามารถของผู้นาแล้ว ยังจะต้องอาศัยหลัก
มนุษยสัมพนั ธเ์ ข้ามาช่วยอกี ทางท่ีจะทาให้ผนู้ ามีภาวะการเปน็ ผูน้ าที่ดีได้

4. บทบำทและหนำ้ ท่ขี องผูน้ ำ (Leadership Roles)
ผู้นามีบทบาทและหน้าท่ีหลายอย่าง ผู้นาท่ีชอบเผด็จการอาจมีหน้าท่ีอย่างหน่ึง

แต่ผู้นาในกลุ่มคนท่ีชอบประชาธิปไตยอาจมีบทบาทและหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามบทบาทและ
หนา้ ทท่ี ่ัว ๆ ไปของผูน้ าทุกคน อาจมีเหมอื นกนั และแตกตา่ งกันบ้าง จงึ ขอสรุปบทบาทและหน้าท่ีของ
ผนู้ าโดยท่วั ๆ ไปเพื่อเป็นแนวคดิ สาหรับผ้นู าไว้ 14 ประการดังน้ี

4.1 ผนู้ ำในฐำนะผู้บริหำร (The.Leader.as.Executive).บทบาทที่เห็นได้ชัดที่สุด
ของผู้นาก็คือบทบาทในฐานะผู้บริหารซึ่งประสานงานระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในองค์กรหรือในฐานะ
ผปู้ ระสานงานภายในกลมุ่ ทต่ี นเป็นผูบ้ รหิ าร ผ้นู าประเภทน้ีคอยช่วยใหง้ านของบุคลากรทุกคนดาเนิน
ไปได้ด้วยดี ผู้นาจะเป็นผู้ควบคุมนโยบายและกาหนดวัตถุประสงค์ของกลุ่ม และรับผิดชอบคอยดูแล
นโยบายและวตั ถุประสงค์ของกลุ่มใหม้ กี ารปฏบิ ัตโิ ดยครบถว้ นถกู ตอ้ ง

4.2 ผ้นู ำในฐำนะผู้วำงแผน.(The.Leader.as.Planner).โดยปกตผิ ู้นามักทาหน้าท่ี
วางแผนการปฏิบัติงานทุกชนิด เป็นการตัดสินใจว่าบุคลากรในองค์กรของตนควรใช้วิธีการอย่างไรและใช้
อะไรมาประกอบบ้างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ผู้นาจะทาหน้าท่ีดูแลแผนท่ีวางไว้ว่ามีการ
ดาเนินงานตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ผู้นามักจะเป็นผู้เดียวท่ีทราบแผนทั้งหมดโดยถ่องแท้
คนอื่นในกล่มุ มกั รูเ้ รื่องเฉพาะสว่ นทตี่ นไดร้ ับมอบหมายหรือรับผิดชอบแตร่ ู้ไมห่ มดท้งั แผน

210 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ

4.3 ผู้นำในฐำนะผู้กำหนดนโยบำย.(The.Leader.as.Policy.Maker).งานที่
สาคัญที่สุดอย่างหนึ่งของผู้นาคือ การกาหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กรและการวาง
นโยบายส่วนมากนโยบายมาจาก 3 แหง่ คอื

4.3.1 มาจาก “เบอ้ื งบน” หรอื เจ้านาย ท่มี ีตาแหน่งสูง
4.3.2 มาจาก “เบื้องล่าง” คือ ได้มาจากคาแนะนาหรือมติของบุคลากร
ใตบ้ ังคบั บญั ชา
4.3.3 มาจาก “ผนู้ า” ของหม่คู ณะนน้ั ๆ
ไมว่ ่านโยบายจะมาจากแหลง่ ใด ผู้นามีอานาจโดยเสรที ีจ่ ะกาหนดหรือเลือกด้วย
ตนเอง
4.4 ผู้นำในฐำนะผู้ชำนำญกำร (The.Leader.as.Expert).เป็นผู้นาที่มีความ
เชีย่ วชาญในวิชาชีพ สามารถให้คาแนะนาและสอนงานได้เป็นอย่างดี ผู้นาท่ีมีความรู้ความชานาญในสาย
วิชาชีพมักจะมีบุคลากรอื่นมาหา เพ่ือปรึกษาหารือขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ โดยเป็นการขอความ
ชว่ ยเหลือสว่ นตัว บคุ ลากรผูน้ น้ั จงึ กลายเปน็ ผู้นาอย่างไมเ่ ป็นทางการอยู่ในองค์กรน้นั ๆ
4.5 ผู้นำในฐำนะตัวแทนของกลุ่มเพ่ือติดต่อกับภำยนอก.(The.Leader.as
External.Group.Representative).เนื่องจากสมาชิกขององค์กรทุกคนจะติดต่อภารกิจกับบุคคลหรือ
องค์กร ภายนอกหมดทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ ดังน้ัน ผู้นาท่ีมีคุณสมบัติเป็นท่ีไว้วางใจของกลุ่มมักจะได้รับ
เลือกให้ไปทาหน้าท่ีแทน ผู้นาจึงกลายเป็นเจ้าหน้าท่ีประชาสัมพันธ์ของกลุ่ม ไม่เพียงแต่จะมีหน้าท่ี
ติดต่อกับบุคคลภายนอกแทนกลุ่มแล้ว เม่ือมีบุคคลภายนอกมาเจรจาตกลงกับองค์กร ผู้นาท่านน้ีก็
ตอ้ งมาทาหนา้ ท่เี จรจาต่อรองใหก้ บั องค์กรโดยปริยาย
4.6 ผู้นำในฐำนะผู้ควบคุมควำมสัมพันธ์ภำยใน (The.Leader as Controller
of Internal Relations).ผนู้ ามักจะทาหนา้ ท่ีควบคมุ ดแู ลรายละเอยี ดตา่ ง ๆ เรือ่ งสาคญั ภายในกลุ่ม
เรื่องหน่ึงที่เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรท่ีเป็นสมาชิกของกลุ่มน้ันเอง.เช่น การจัดงาน
สังสรรค์ให้แก่สมาชิกเพื่อสร้างความสามัคคีในกลุ่ม ในกรณีที่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างสมาชิก
ในกลมุ่ ผนู้ าจะทาหนา้ ที่เจรจาเพ่ือลดข้อขัดแย้งโดยใช้วิธีการของตนตามสถานการณ์ที่เกิดขนึ้
4.7 ผ้นู ำในฐำนะผู้ให้คุณและให้โทษ (The Leader as Purveyor of Rewards
and Punishments).คือ ผู้นาที่มีส่วนในการเสนอให้คุณและให้โทษแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา.คุณและโทษ
ที่ว่าน้ี อาจจะเป็นการข้ึนเงินเดือน ตัดเงินเดือนหรือการมอบหมายงานให้มากให้น้อยหรือให้งาน
ที่ยากหรือง่ายก็สามารถทาได้ท้ังนั้น ผู้นาที่ดีพึงระวังที่จะไม่มอบอานาจเช่นน้ีให้แก่บุคลากรคนใด
มากเกนิ ไปเพราะความเสียหายอาจจะเกดิ ข้ึนกับองค์กรไดใ้ นภายหลัง
4.8 ผู้นำในฐำนะผู้ไกล่เกลี่ย .(The.Leader.as.Purveyor.of.Concitiator)
เมื่อมีความขัดแย้งใด.ๆ.เกิดข้ึน บุคลากรคนใดคอยไกล่เกล่ียให้สงบและเข้าใจกันได้บุคลากรผู้น้ัน
มกั จะกลายเป็นผูน้ าในภายหลังบางทผี นู้ าประเภทนี้ทาหน้าท่ีเป็นผู้พิพากษาคดีภายในดว้ ยตนเอง

มนุษยสมั พนั ธข์ องผนู้ ากบั การทางานเป็นทมี เพอ่ื เพม่ิ ผลผลิต 211

4.9 ผู้นำในฐำนะท่ีเป็นบุคคลตัวอย่ำง.(The Leader as Exemplary).บุคลากร
ท่มี คี วามประพฤติดีหรือปฏิบัติงานดีจนได้รับการยกย่องอยู่เสมอว่าเป็นตัวอย่างท่ีดีขององค์กรมักจะ
กลายเป็นผู้นาของบุคลากรอ่ืนได้โดยง่ายเพราะเป็นคนท่ีได้รับการยอมรับนับถือจากบุคลากรภายใน
องค์กร

4.10 ผู้นำในฐำนะสัญลักษณ์ของกลุ่ม .(The.Leader.as.Symbol.of.the
Group).ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวของกลุ่มคนทุกคนมีความสาคัญต่อการดารงอยู่ของกลุ่ม
แต่คนหมู่มากเม่ือมาอยู่ร่วมกันจะให้สามัคคีกันตลอดเวลาย่อมเป็นไปได้ยาก .กลุ่มจึงมักมีคน .ๆ
หนึ่งหรือบางคนที่ได้รับการยกย่องจากบุคลากรท้ังหลายว่าเป็นตัวแทนและเป็นคนดีท่ีหาท่ีติไม่ได้
ซึ่งจะดีด้วยกับคนทุกคนไม่ว่าจะในโอกาสใด ซ่ึงผู้นาดังกล่าวนี้จะไม่มีทางกระทาการใดอันที่เป็นภัย
ต่อกลุ่มโดยเด็ดขาดคน.ๆ น้ีจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม เป็นผู้นาในทานองเดียวกับพระมหากษัตริย์
เปน็ ผู้นาของประเทศอานาจที่ผนู้ าเหลา่ นีม้ ีจงึ สงู สุดเหนอื จติ ใจคนภายในกลุ่มทุกคนและทุกฝา่ ย

4.11 ผู้นำใ น ฐำ น ะตั วแ ท น รับ ผิดช อบ (The. Leader.as.Substitute. for
Individual.Responsibility).ไม่แปลกเลยท่ีกลุ่มคนบางกลุ่ม องค์กร หรือหน่วยงานบางแห่ง มีผู้นา
คนหน่ึง หรือหลายคนอาสาเข้ารับผิดชอบต่อการตัดสินใจ หรือการกระทาของบุคคลในกลุ่ม
หรือรับผิดชอบต่อกิจการท้ังหมดที่คนในกลุ่มกระทาลงไป ส่งผลให้บุคลากรในกลุ่มมอบหมายให้ผู้นา
มีอานาจในการตดั สนิ ใจแทนตนได้ เพอ่ื ป้องกนั ความผิดพลาดขององค์กรและแก้ไขไดท้ ันเวลา

4.12 ผู้นำในฐำนะผู้มีอุดมคติ.(The Leader as Ideologist).บางทีผู้นาบางคน
เป็นศาสดาของกลุ่ม เปน็ ผกู้ าหนดอุดมคติ สร้างความเชื่อหรือศรัทธาต่าง ๆ ให้แก่บุคลากรอ่ืน แม้กระทั่ง
คณุ ธรรมประจาใจและขนบธรรมเนยี มประเพณีต่าง ๆ ของกลุ่ม อุดมคติดังกล่าวในตอนแรกอาจเป็นเพียง
คาพดู ของเขาทีใ่ คร ๆ พากนั นยิ มและปฏิบัติตาม ต่อมาก็กลายเป็นอุดมคติทางการของกลุ่มไป ผู้นาประเภท
นีม้ ักเปน็ นกั พูดและนกั คิด ท่สี มาชิกทุกคนในกลมุ่ ใหค้ วามนับถอื

4.13 ผู้นำในฐำนะบิดำผู้มีแต่ควำมกรุณำ (The.Leader.as.Father.Figure)
ผู้นาประเภทนี้วางตวั เป็นผู้ใหญ่ มีอาวุโสท่ีสุดในกลุ่ม และมีบุคลิกลักษณะน่านับถือในฐานะเป็นบิดา
ของกลุ่ม ซ่ึงจะดุด่าใครก็ไม่มีใครกล้าโกรธ เพราะทุกคนทราบดีว่าเบื้องหลังคาดุด่านั้น ๆ มีความรัก
ความหวงั ดอี ยดู่ ว้ ยเสมอ และเขาจะเป็นทพ่ี ่งึ ทางใจให้แกค่ นทุกคนเมื่อมีความทุกข์ไดเ้ สมอ

4.14 ผู้นำในฐำนะเป็นผู้รับควำมผิดแทน.(The.Leader.as.Scapegoat) ผู้นาท่ี
รับผิดชอบ และเป็นบิดาของกลุ่มทุกคนย่อมหวังว่า เมื่อใดมีความเสียหายเกิดข้ึน ตนเองจะถูกลงโทษ
แทน บุคลากรจานวนมากในกล่มุ คนทุกคนตา่ งกไ็ มต่ ้องการถกู ลงโทษเมื่อมีความผิดเกิดขึ้น แต่จะพา
กันซัดทอดจนทาให้มีบุคคลที่กล้ารับผิดแทนทุกคนจึงทาให้เขากลายเป็นผู้นาข้ึนมาในภายหลังได้
เหมือนกัน เพราะเม่ือเหตุการณ์ร้ายผ่านไป ผู้คนพากันเห็นอกเห็นใจที่เขาเคยได้รับเคราะห์กรรมแทน
พวกตนแตเ่ พียงผู้เดยี ว

จากบทบาทของผู้นาในลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในองค์กรในยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้นาแต่ละ
องค์กรก็มีลักษณะและบทบาทที่แตกต่างกันไปตามบุคลิกลักษณะ ความรู้ความสามารถ อุปนิสัยใจ

212 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ

คอ แต่ทุกลักษณะมีความเหมือนกันคือ ผู้นาทุกคนต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลท้ังภายในและ
ภายนอกองคก์ ร ซ่งึ ต้องอาศัยการติดต่อสอ่ื สารและการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับกลุ่มคนดังกล่าวเพ่ือให้
บุคคลเหล่านัน้ สามารถทางานให้กบั องค์กรให้ประสบความสาเรจ็ และมีความสขุ กบั การทางาน

5. ทฤษฎภี ำวะผนู้ ำ
การแบ่งประเภทของผู้นาตามแนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมผู้นาได้แบ่งประเภทผู้นา

ได้หลายวธิ ี แบง่ แยกตามลักษณะที่เปน็ เชิงพฤติกรรมต่าง.ๆ .ได้ ดังนี้
5.1 กำรแบง่ ประเภทของผนู้ ำตำมลกั ษณะของกำรปฏบิ ัตงิ ำน มีดังน้ี
5.1.1 ผู้นำตำมกฎหมำย ได้แก่ ผู้นาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายหรือระเบียบ

ท่ีกาหนด เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง เป็นต้น.โดยกฎหมายกาหนดคุณสมบัติ
ของแต่ละตาแหนง่ เอาไว้เปน็ ระเบยี บแบบแผน

5.1.2 ผู้นำท่มี ลี กั ษณะพิเศษเฉพำะตัว เป็นผู้ท่ีมีคุณสมบัติพิเศษมีบุคลิกลักษณะ
หรือความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ซ่ึงเป็นได้ท้ังในทางท่ีดีหรือเลว เช่น หัวหน้านักเลง หัวหน้าทีมกีฬา
เป็นต้น

5.1.3 ผู้นำในลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์ เช่น พระมหากษัตริย์เป็นผู้นาของ
พระราชวงศ์หรอื ของประเทศชาติทีม่ พี ระมหากษัตริยเ์ ป็นผนู้ า

5.2 กำรแบง่ ประเภทของผนู้ ำตำมลกั ษณะพฤติกรรม
จอห์น ฟลานาแกน (John C. Flanagan) ได้ศึกษาลักษณะพฤติกรรมของ

หัวหนา้ และได้แบง่ ผูน้ าตามลกั ษณะออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ
5.2.1 ผู้นำที่มุ่งแต่งำนเป็นสำคัญ มีลักษณะพฤติกรรมแสดงออกเป็น

เผด็จการ
5.2.2 ผู้นำที่ตระหนักถึงผลงำนและควำมพอใจของทุกฝ่ำย เป็นผู้ที่มีพฤติกรรม

แบบประชาธิปไตย
5.2.3 ผู้นำที่ถือว่ำประสิทธิภำพของกำรทำงำนสูงได้เน่ืองจำกนำใจ.ผู้นา

ประเภทน้ถี ือวา่ น้าใจหรือส่งิ ตอบแทน เปน็ ส่ิงสาคัญทกี่ ระตุ้นให้การทางานมี ประสิทธิภาพสูง
5.3 กำรแบ่งประเภทผนู้ ำตำมลกั ษณะกำรบริหำรงำน
โรนอล ลิปปิทท์และ.ราลพ์ .ไว ท์ใ(Ronald.Lippitt.and.Ralph.Whiite).

แบ่งประเภทของผู้นาตามลักษณะของการบริหารงานเป็น 3 ประเภทได้แก่ (เนตร์พัณณา ยาวิราช,
2552 : 94)

5.3.1 ผู้นำแบบเผด็จกำร (The Autocratic.Leader).เป็นผู้กาหนดและวาง
นโยบายตลอดจนวัตถุประสงค์ของการทางานโครงการต่าง ๆ แล้วมอบงานให้บุคลากรที่จะรับงาน
ไปปฏิบัติมาโดยสอบถามความสมัครใจหรือหารือขอความคิดเห็น ผู้นาแบบเผด็จการจะชมหรือ
วิจารณ์หรือตาหนิใครก็ตาม จะชมหรือวิจารณ์หรือตาหนิโดยตัวบุคคล มิใช่โดยตาแหน่งและจะแยก
ตนเองออกห่างจากบุคลากรอื่น ๆ ทุกคนในหน่วยงานจะวางตนเป็นเอกเทศยากท่ีบุคลากรผู้ใด

มนุษยสมั พนั ธ์ของผ้นู ากบั การทางานเปน็ ทมี เพอื่ เพิ่มผลผลติ 213

จะเข้าพบหาได้โดยสะดวก บรรดาการตัดสินใจส่ังการทุกชนิดจะทาไปโดยลาพัง.โดยบุคคลอื่นมิได้มี
ส่วนร่วมในการตัดสินใจในกิจกรรมหรือเหตุการณ์นั้นเลย ผู้นาแบบเผด็จการเป็นผู้บัญชางาน
ผู้ใต้บังคับบัญชามีหน้าที่อย่างเดียวคือปฏิบัติการตามคาส่ัง และไม่มีทางเลือกหรือทางออกใด ๆ
ท้ังสิ้น

5.3.2 ผนู้ ำแบบประชำธปิ ไตย (The Democratic Leader) เป็นผู้ออกคาสั่ง
ประกาศ นโยบายและวัตถุประสงค์ของโครงสร้างต่าง.ๆ ก็จริง แต่บรรดาคาสั่ง นโยบายและ
วัตถุประสงค์ท่ีผู้นาแบบประชาธิปไตยส่ังไปน้ันล้วนแล้วแต่กาหนดขึ้นจากบุคลากรทุกคนร่วมกัน
แสดงความคิดในการตัดสินใจ ตลอดจนการเห็นความสาคัญของประโยชน์ส่วนรวม ดังน้ันบุคลากร
ทุกคนมีส่วนวินิจฉัยในการแบ่งและมอบหมายงาน ผู้นาแบบนี้เวลาจะดารงตาแหน่งผู้นา มิใช่ทาไป
ตามอาเภอใจหรือตามความพอใจส่วนตัวของตนเองและเม่ือมีงานใดผู้นาประเภทน้ีจะเข้ามา มีส่วนร่วม
ดาเนนิ การและรว่ มรับผดิ ชอบดว้ ยเสมอ

5.3.3 ผู้นำแบบตำมสบำยหรือแบบเสรี (The Laissez-faire or.Anarchic
Leader) มอบอานาจเตม็ และเสรภี าพอยา่ งกวา้ งขวางในการวนิ ิจฉยั ส่งั การ กาหนดนโยบาย กาหนด
วัตถุประสงค์ ตลอดจนแบ่งงานและกาหนดคนทางานให้แก่บุคลากรอื่นทั้งหมด โดยตนเองไม่เข้าไป
ยุ่งเก่ียวด้วยเลย ผู้นาประเภทนี้เพียงแต่สนับสนุนโดยการจัดหาวัสดุต่าง.ๆ เพื่อให้ความสะดวก
แก่ผู้ปฏิบัติงานเท่าน้ัน ส่วนตนเองจะน่ังอยู่ห่าง ๆ จะเข้ามาร่วมก็ต่อเม่ือบุคลากรเรียกหาหรือเชิญ
ให้มาเท่าน้ัน น้อยครั้งที่ผู้นาแบบตามสบายจะแสดงความคิดเห็นใด.ๆ.ออกมา ไม่ชอบตาหนิ
ไมช่ อบชมการปฏบิ ัติงานใด ๆ ของผใู้ ดทง้ั ส้นิ และจะไมข่ ดั ขวางหากมีใครเสนออะไรมา มักยอมอนุมัติ
เร่อื ยไปโดยไมค่ อ่ ยพิจารณาเหตผุ ลใด ๆ

5.4 แบง่ ตำมลักษณะพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกและพฤตกิ รรมกำรทำงำน
เกตเซลล์และกูบา (Getzels and Guba) แบ่งผู้นาออกเป็น 3.ชนิด ตามลักษณะ

ของพฤติกรรมที่ผ้นู าแสดงออก (Role Behavior) ในการบริหารหน่วยงาน ผู้นาดังกล่าวทงั้ 3 ชนิด ไดแ้ ก่
5.4.1 ผู้นำทยี่ ึดสถำบันเป็นหลัก (The Nomothetic Leader) คือผู้นาที่ถือเอา

วัตถุประสงค์ ระเบียบกฎเกณฑ์และผลประโยชน์ ของสถาบันหรือหน่วยงานเป็นสาคัญ
แม้จะต้องทาลายน้าใจคนหรือทาให้ผู้ใดเดือดร้อนก็ไม่ถือเป็นสิ่งสาคัญ จะมุ่งประโยชน์ที่สถาบัน
หรอื หน่วยงานกอ่ นเสมอ

5.4.2 ผูน้ ำที่ยึดบุคคลเป็นหลัก (The Idiographic Leader) คือผู้นาท่ีอาศัย
ความคิดเห็นและการตัดสินใจของตนเองเป็นแนวทางส่ังการ โดยพิจารณาตัวบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง
เป็นราย.ๆ ไป ไม่ว่าจะทาการใดจะคานึงถึงความเหมาะสม ความต้องการ ความจาเป็น ความสุข
ความเดือดร้อนของบุคคลท่ีเกี่ยวข้องก่อนสิ่งใด หากมีอะไรขัดต่อระเบียบอยู่บ้างก็ไม่สนใจหาก
พิจารณาว่าเหมาะสมกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ก็จะสั่งการทันที คือถือว่าการคบหาส่วนตัวสาคัญกว่า
ตาแหน่ง

214 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ

5.4.3 ผู้นำที่ประสำนประโยชน์.(The.Transactional.Leader).คือ.ผู้นา
ทพี่ จิ ารณาทั้งประโยชน์ขององค์การหรือหน่วยงานและประโยชน์ของบุคคลทั้ง 2 อย่าง พร้อม ๆ กันแล้ว
ยังมีความยืดหยุ่นไม่ให้ฝ่ายใดต้องเสียหายมากเกินไป เป็นผู้นาที่รู้จักประนีประนอมในเรื่องทุกเรื่อง
ประโยชนข์ องหนว่ ยงานก็ได้ ประโยชนข์ องบุคคลกไ็ ดพ้ รอ้ ม ๆ กันไป

5.5 กำรแบ่งประเภทผู้นำตำมทฤษฎี 3 มิติ ของเร็ดดิน
วิลเลย่ี ม.เจ.เร็ดดิน (William J. Reddin) กล่าววา่ โดยธรรมชาติมนษุ ย์มลี ักษณะ

ผนู้ าพ้ืนฐานอยใู่ นตวั เอง 4 แบบคือ (สุเทพ พงศศ์ รีวัฒน์, 2550 : 226)
5.5.1 แบบเอำเกณฑ์.(Separated) เป็นแบบของนักอนุรักษ์นิยมชอบของเก่า

ยึดตัวเองเป็นท่ีต้ังจึงไม่เอาใคร อดทน เก็บตัว เจ้าระเบียบ จึงเป็นคนยึดถือและต้องทาอะไรตาม
กฎเกณฑ์ มีความระมัดระวังในการทางานมากเน่ืองจากกลัวผิด ไม่อยากทางานร่วมกับผู้อ่ืนเพราะ
กลัวว่าถ้าคนอ่ืนทาผิดตัวเองจะต้องผิดด้วย เพื่อไม่ให้มีความผิดก็เลยไม่ทางานหรือทางานให้น้อย
ที่สุดเท่าที่จาเป็นเท่านั้น และยังเป็นคนท่ีไม่เอาเพื่อนเอาฝูงหรือจัดว่าเป็นคนที่ไม่เอาไหน เพราะไม่เอา
ท้ังงานและคนนบั เป็น ลักษณะผ้นู าท่ีต่าทส่ี ุด

5.5.2 แบบเอำงำน (Dedicated).เป็นแบบของคนท่ีเอาการเอางาน ยึดถือ
งานเป็นหลักใหญ่ในใจม่งุ ม่ันในงานมาก.ขยัน ม่ันใจ กล้าทา มีความคิดริเร่ิม ชอบกาหนดงานให้ผู้อ่ืน
ไม่คิดถึงจิตใจของผู้อ่ืนจึงไม่เอาใคร ไม่มีเพื่อน สรุปว่าเป็นคนเอาการเอางานแต่ไม่มีมนุษยสัมพันธ์นั่นก็คือ
เนน้ ทงี่ านมากกว่าคน

5.5.3 แบบสัมพันธ์ (Related) เป็นลักษณะคนที่เน้นมนุษยสัมพันธ์เป็นหลัก
ในการทางาน เอาใจคนทุกระดับไม่ต้องการให้ใครเกลียด จึงมีนิสัยเป็นกันเองและเป็นมิตร
กับคนทุกคน ยอมรับผู้อื่นเห็นใจคนอื่นไม่อวดตัว ทาอะไรไม่อยากให้กระทบกระเทือนใจใคร
ให้ความสาคัญเร่ืองสัมพันธภาพกับบุคคลมากกว่าเร่ืองการงาน นั่นก็คือบุคคลประเภทที่เน้นคน
มากกวา่ งานถา้ จะต้องเลอื กระหว่างคนกบั งาน ผู้นาประเภทน้จี ะเลือกเอาคนไว้กอ่ นงานมาทีหลงั

5.5.4 แบบประสำน.(Integrated).เป็นลักษณะของคนที่ให้ความสาคัญ
แก่งานและคนไปพร้อม ๆ กัน โดยถือว่าคนเรามีมิตรสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกัน
ทางาน กจ็ ะไดผ้ ลงานท่ีดี.มีประสิทธิภาพสูง ผู้นาประเภทนี้จะมีศิลปะการจูงใจสูง พยายามให้ทุกคน
มีสว่ นร่วมในงาน ทาให้ผูใ้ ต้บงั คับบัญชารักและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดจี ัดเป็นผู้นาแบบอุดมคติ

ลักษณะผู้นาพื้นฐานท้ัง 4.แบบนี้จะอยู่ในตัวบุคคล ลักษณะผู้นาพื้นฐานของ
แต่ละคนอาจจะเปลย่ี นไปเองจากแบบหน่ึงไปเป็นอีกแบบหน่ึง หรือขยายไปใช้อีกแบบหนึ่งพร้อม ๆ กัน
หรืออาจจะหดกลับมาเป็นแบบเดิมของตนก็ได้ ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับการอบรมบ่มนิสัยสถานการณ์
และสงิ่ แวดล้อมตา่ ง ๆ และท่ีสาคัญท่ีสุดคือความตั้งใจของผู้นาท่ีต้องการจะเปล่ียนแปลงลักษณะผู้นา
ของตนเองมมี ากนอ้ ยแคไ่ หน

มนุษยสัมพนั ธข์ องผู้นากับการทางานเปน็ ทีมเพอ่ื เพ่มิ ผลผลิต 215

6. ลกั ษณะของผู้นำ
จากลักษณะผู้นาท่ีกล่าวมาแล้ว สามารถสรุปผู้นาได้เป็น.2.ประเภท.คือ.ผู้นาแบบ

มปี ระสทิ ธผิ ลสูงและผนู้ าแบบมปี ระสทิ ธิผลตา่ ซึ่งจะอธิบายลักษณะผู้นาดงั ตอ่ ไปนี้
6.1 ลักษณะผ้นู ำทม่ี ปี ระสิทธผิ ลสงู มี 4 แบบ คอื
6.1.1 ผู้ทำงำนตำมสั่ง.(Bureaucrat).เป็นลักษณะผู้นาท่ีเปลี่ยนแบบดีข้ึน

จากแบบเอาเกณฑ์ เป็นคนเข้มงวด ถือว่าเป็นความสาคัญท่ีจะต้องทางานตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ
และคาสั่งอยา่ งเคร่งครัด ถูกต้อง ไม่จาเป็นที่จะต้องมีความคิดเห็นใหม่ ๆ.จึงไม่กระตุ้นให้เกิดผลผลิต
ใหม่ ๆ พยายามดาเนินงานตามแบบเก่าที่เคยปฏิบัติมาแล้วท้ังสิ้น สนใจในการทางานแต่ไม่สนใจ
ความสาเร็จของงานและสัมพันธภาพกับผู้ร่วมงานจึงไม่มีการวางแผนงานระยะยาว คนลักษณะน้ี
ถา้ เป็นทหารหรอื ข้าราชการจะประสบความสาเรจ็ เขามักจะมคี ตปิ ระจาใจวา่

1) จงทาตามกฎข้อบังคับ แล้วจะไมท่ าอะไรผดิ เลย
2) จงมาดูกันเถอะวา่ ครง้ั กอ่ นเราทาอยา่ งไร
3) องค์กรทีด่ ี คอื องคก์ ารท่ีมีระเบยี บปฏิบตั ิทุกอย่างพร้อมมลู
6.1.2 นักพัฒนำ.(Developer).เป็นผู้นาที่เปล่ียนแปลงมาจากแบบสัมพันธ์
ซ่ึงมุ่งท่ีตัวคนเป็นหลัก เขาจึงมุ่งสร้างแรงจูงใจและพัฒนาบุคลากร ด้วยวิธีสอนคนธรรมดาให้เป็นหัวหน้า
บางคร้ังผู้ท่ีถูกเขาพัฒนาก็ไม่รู้ตัวเข้าทานอง “ปิดทองหลังพระ”.แต่พอเขาย้ายไปแล้วทุกคนจะรู้สึก
เสียดายเขา ผู้นาประเภทนี้บางคนถือว่าการทางานเป็นเร่ืองธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือพักผ่อน
มักใช้เวลาสว่ นใหญ่อยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชา และมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชารับผิดชอบงานใหม่ ๆ กระตุ้นให้
ผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชาเป็นตัวของตัวเอง ควบคุมตัวเอง รู้จักรับผิดชอบ ขยัน และมีความคิดสร้างสรรค์ ฉะนั้น
ผูใ้ ต้บังคับบัญชามักจะรักและไดผ้ ลงานดตี ลอดมา
6.1.3 เผด็จกำรท่ีมีศิลป์.(Benevolent.Autocrat) เปลี่ยนมาจากแบบ
เอางาน มีความมั่นใจในตัวเองมาก มีความชานาญในด้านการส่ังงานอย่างมีศิลป์ ผู้รับคาสั่งปฏิบัติ
ตาม โดยไม่มีข้อขุ่นใจ ทาให้ผลงานดีมีประสิทธิภาพ เป็นลักษณะของผู้เผด็จการแต่นุ่มนวลมีศิลปะ
มักเป็นผู้ทะเยอทะยาน มีความพยายามในการพัฒนาตนเองจนสามารถเป็นนักบริหารระดับสูง เพราะเป็นคน
ทพ่ี ยายามปรบั ปรุงตวั เองโดยอาศัยความรู้ พยายามฝึกฝนหาความชานาญให้แก่ตัวเองอยู่เสมอเป็นคนที่รู้
กฎระเบียบข้อบังคับและงานในหน้าท่ีเป็นอย่างดี จึงทางานสาเร็จเป็นส่วนมาก บุคคลประเภทน้ี
มกั พบมากในวงการอุตสาหกรรม
6.1.4 นักบริหำร.(Executive).เปล่ียนมาจากแบบประสานเป็นลักษณะ
ของหัวหน้างานที่มีประสิทธิภาพ.ทาตนเป็นแบบอย่างท่ีดีทางานโดยคานึงถึงความสาเร็จของงาน
เป็นที่ต้ัง รู้จักใช้ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด มีความสัมพันธ์กับ
ผู้ใต้บังคับบัญชาดีมาก ไม่ใช้อานาจกดข่ีบังคับ พยายามให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผนงาน ปรับปรุง
งานให้ดีข้ึน มีความคิดริเริ่มและความร่วมมืออยู่เสมอ ให้บาเหน็จรางวัล ยกย่องและให้เกียรติ
ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่แย่งเอาผลงานหรือความดีความชอบของผู้ใต้บังคับบัญชามาเป็นของตน

216 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ

แต่จะตอ้ งแสดงให้ผู้บงั คบั บัญชาและผู้อื่นทราบด้วยว่าผลงานท่ีดีชิ้นนั้นเป็นของใคร นอกจากการให้คุณ
แล้วการให้โทษ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็เป็นเรื่องสาคัญ เม่ือทาผิดก็ต้องลงโทษจะต้องลงโทษผู้กระทา
ความผิดอย่าง สมเหตุสมผล ไม่ใช้อารมณ์และจะต้องยุติธรรม ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วทุกคนจะมีขวัญ
กับกาลังใจในการทางานรักหน่วยงานและผ้ใู ตบ้ งั คบั บัญชามีความสามัคคแี ละมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
งานร่วมกนั

6.2 ลักษณะผู้นำที่มีประสิทธิผลต่ำ เปลี่ยนแบบมำจำกลักษณะผู้นำพืนฐำน
ในทศิ ทำงต่ำลงมี 4 ประเภทเช่นเดียวกนั ดังน้ี

6.2.1 ผู้หนีงำน.(Deserter).เป็นลักษณะผู้นาที่เปลี่ยนมาจากแบบเอาเกณฑ์
ในทางต่าลง บริหารงานแบบขาดความสนใจ ไม่เน้นท้ังด้านงานและคน บางทีขัดขวางการทางานของคนอ่ืน
ผู้นาประเภทนม้ี ีอยู่มาก มักคิดวา่ ไมไ่ ด้รับความยุติธรรมก็ละเลยงานในหน้าที่ให้มากท่ีสุดหรือไม่ทาอะไร
เลย ส่งผลให้งานผู้อ่ืนหยุดชะงัก จะทางานให้ได้ผลเพียงเท่าท่ีป้องกันไม่ให้คนอื่นมารบกวนเท่าน้ัน
และจะไม่เกี่ยวข้องกับงานอื่นท้ังสิ้น ไม่ช่วยใคร พยายามนาตัวไปพัวพันกับเร่ืองของคนอื่น ให้น้อยที่สุด
เขามกั จะมีความคิดว่า

1) เมอื่ ทาครั้งแรกไม่สาเร็จกจ็ งเลกิ ทามนั เสียเลย
2) ผมชอบตาแหน่งน้ีแตไ่ ม่ชอบการทางาน
3) มันเปน็ นโยบายขององค์กรผมไมม่ ีความเหน็
4) จงคิดดซู มิ นั จะต้องมีวธิ กี ารทางานท่ียากกวา่ นี้
5) ผมชอบทางานจรงิ ๆ แตช่ อบนง่ั ดูมากกวา่
6) ถ้าหนีงานไมไ่ ดก้ ็ทนทามนั ไป
โดยธรรมชาติไม่มีผู้นาคนใดจะเป็นคนเช่นน้ีมาก่อน แต่เม่ือผู้นาคนใด
เกิดลักษณะนี้ขึ้นก็มักจะแก้ได้ยาก เพราะฉะน้ันในฐานะที่เราเป็นผู้บังคับบัญชาช้ันสูงต้องหาทาง
ปอ้ งกนั ไม่ให้ผูน้ าประเภทน้เี กิดขึน้ ในหน่วยงานของเราได้
6.2.2 นักบุญ (Missionary).เปลี่ยนมาจากแบบสัมพันธ์ เป็นลักษณะผู้นา
ทใี่ จบุญนึกถึงคนมากกว่างาน ถือว่าความสัมพันธ์อันดีต่อกันในระหว่างผู้ร่วมงานสาคัญกว่า ผลผลิต
ของงานเขาปรารถนาเป็น “คนดี”.โดยไม่โต้แย้งหรือคัดค้านการกระทาผิดใด ๆ เรียกว่าเป็นคน
ประเภท “ขอรับกระผม”.คือถือว่าคนท่ีเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่สมควรจะโต้เถียงกับใคร และถือว่าการโต้เถียง
และข้อขัดแย้งไม่อาจแก้ปัญหาได้ การบริหารแบบนี้จะเป็นเหตุทาให้ผลผลิตตกต่าเพราะไม่เคย
แก้ปัญหาเร่ืองคน แต่ถ้าเกิดปัญหาเก่ียวกับคนเขาก็จะหาทางย้ายคน ๆ นั้นไปเสีย เขาถือว่า
การทางานท่ีดที ีส่ ดุ คือการดารงความสงบเรยี บรอ้ ยเอาไว้
6.2.3 ผู้เผด็จกำร.(Autocrat).เป็นลักษณะของผู้นาที่เปล่ียนแบบมาจาก
แบบเอางาน ผู้นาแบบน้ีมุ่งแต่งานอย่างเดียว ไม่คิดถึงสัมพันธภาพกับใคร ไว้ใจคนอ่ืนน้อยมาก
ผู้ร่วมงานไม่รักมีแต่กลัว และจะทางานให้ตามคาสั่งเท่านั้น ผู้นาประเภทน้ีมักคิดว่าคนอื่นไม่ชอบทางาน
คอยเลี่ยงงานเสมอ ไม่รับผิดชอบ มีความทะเยอทะยานน้อย จึงต้องคอยควบคุมบังคับบัญชาและลงโทษ

มนุษยสมั พันธข์ องผนู้ ากบั การทางานเปน็ ทีมเพอ่ื เพมิ่ ผลผลติ 217

อยเู่ สมอเขามักจะมองผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนเคร่ืองจักร ต้องทางานตามคาสั่งของเขาแต่อย่างเดียว
โดยไม่ต้องคิดผู้นาแบบน้ีจะคิดเสมอว่าตนเองเป็นสมองคนอื่นเป็นส่วนมือหรือเท้าไม่จาเป็นต้องแสดง
ความคิดเห็น เขาต้องวางแผนให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาคนไหนไม่เห็นด้วยกับเขาแสดงว่าผู้นั้นพยายามโต้แย้ง
หรือตอ้ งการจะท้าทายเขา เขาจะไม่ยกโทษให้ใครง่าย ๆ ผู้นาแบบน้ีจะทาให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่ผู้ร่วมงาน
อย่างรุนแรงเกิดกลุ่มต่อต้าน ทาให้เกิดผู้หนีงานมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กลัวหรือไม่มีโอกาสต่อต้าน
จะแสดงอาการนอบนอ้ มต่อหนา้ แตจ่ ะนินทาลบั หลังผ้นู าประเภทน้ีมักจะแสดงพฤติกรรมดงั นี้

1) จงทาตามท่ผี มสง่ั
2) อยา่ ทาอะไรทเี่ หมอื นผม
3) คณุ ตอ้ งหยดุ พดู และฟงั ถา้ ผมพดู
4) จงทาตนเป็นคนมีเหตุผล โดยทาตามทผี่ มบอก
5) ถ้าคุณจะให้ผมทาตามข้อเสนอของคุณก็ได้แต่คุณจะต้องออกจากงาน
คณุ จะเอาไหม
6) ผมชอบคนที่เห็นด้วยตลอดกาล บอกก่ีคร้ังแล้วว่าผมไม่ชอบ
คาวา่ “ไม”่
6.2.4 ผู้ประนีประนอม.(Compromiser).เป็นลักษณะผู้นาที่เปล่ียนมาจาก
แบบประสาน ผู้นาแบบน้ีทราบว่าการมุ่งทางานให้สาเร็จและการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ร่วมงานเป็นส่ิง
สาคัญ แต่เขาไม่มีความสามารถพอท่ีจะตัดสินใจลงไปได้ว่าจะทาอย่างไรหรือไม่ก็อาจจะผสาน
ความคิดทั้งสองอย่างน้ีเข้าด้วยกัน มีลักษณะเป็นคนโลเล และชอบการประนีประนอมความกดดัน
บางอย่างจะมีอิทธิพลทาให้เขาต้องตัดสินใจยินดีท่ีจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้น้อยลงมากกว่าท่ีจะมุ่ง
ผลผลิตในระยะยาว ไม่หวังผลเลิศจากการงาน เพียงต้องการให้งานดาเนินไปเร่ือย ๆ เช่นว่าผลงาน
ท่ีดีที่สุดเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเขาจะเป็นผู้เสนอแนะแต่ไม่เคยทาอะไรจริงจัง ซ่ึงเรามักจะเรียกว่า
ผู้ทางานด้วยปาก เขาคิดว่าการวางแผนงานจะต้องใช้วิธีประนีประนอม เขาสนใจเฉพาะสิ่งท่ีจะทาให้
งานเดิน เขาไม่ยุ่งกับใครและใครก็ไม่ยุ่งกับเขา เขามักจะถูกมองว่าเป็นคนท่ีมีการตัดสินใจไม่ดี
และเป็นคนท่ียอมให้แรงกดดันจากภายนอกมาบีบตนเองมากเกินไป เขามักจะถือคติว่า
“ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้พูด เขาจะได้คิดว่าเขาได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยเหมือนกัน” และ
“ถ้าหลอกเขาได้บางคร้งั ก็นบั ว่าดแี ล้ว”
7. ผู้นำตำมทฤษฎีคณุ ลักษณะของผู้นำ
ทฤษฎนี ้เี ชือ่ วา่ บคุ คลบางคนเกิดมาพร้อมด้วยลักษณะบางประการที่จะช่วยสนับสนุน
ใหเ้ ขาเปน็ ผนู้ าได้ ซ่งึ หมายถงึ คณุ ลักษณะดังนี้
7.1 บุคลิกภำพ.(Personality).เป็นเรื่องที่ติดมากับตัวบุคคลแต่ละคนในส่วน
ท่ีสามารถปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ีไดบ้ คุ ลกิ ภาพดงั กล่าว ได้แก่ ความสามารถในการปรับตัว ความต้องการ
ที่จะนา ความต้องการทางอารมณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง ความอุตสาหพยายาม ความคิด
สร้างสรรคค์ วามทะเยอทะยาน

218 มนษุ ยสัมพนั ธท์ างธุรกจิ

7.2 ควำมรู้ ควำมสำมำรถ.(Intelligence).สมองของคนเรานี้ธรรมชาติสร้างมา

เพ่ือใช้สติปัญญาให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมความรู้ความสามารถจะเห็นได้จากเชาว์ปัญญา

ความแมน่ ยาในการตดั สินใจ ระดับความรู้ ความคล่องแคลว่ ในการใช้ภาษา

7.3 คุณลักษณะด้ำนสังคม.(Social Skill).การเข้าสังคมเป็นของคนทุกคน เพราะ

คนเราไม่สามารถอยู่ได้คนเดียวในโลก การเข้าสังคมของคนแต่ละระดับต้องมีพิธีรีตองแตกต่างกัน

ออกไป ตามสภาพการณ์และเหตุการณ์นั้น ๆ คุณลักษณะด้านสังคม เช่น การรู้จักประนีประนอม

ความสามารถในการบริหาร ความรว่ มมือ ความเปน็ ทีน่ ิยมชมชอบ ความเปน็ นกั การทูต

7.4 คุณลักษณะด้ำนกำยภำพ.(Physical Characteristics).ถือเป็นเรื่องที่ติดตัว

มาอย่างเห็นได้ชัด ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีอาจสามารถแก้ไข ปรับปรุงด้วยการรับประทานอาหารท่ีถูก

สุขลักษณะ รวมทั้งการออกกาลังกายที่เหมาะสมด้วยคุณลักษณะด้านกายภาพ มีดังนี้ ส่วนสูง

น้าหนกั การฝกึ ฝนความสมบูรณข์ องร่างกาย

โดยสรุปแล้วคุณลักษณะสาคัญของการเป็นผู้นาตามทฤษฎีและแนวคิดดังกล่าว

ข้างต้นจะสามารถส่งผลให้ผู้นาทางานอย่างมีประสทิ ธิภาพ อันได้แก่ ความเฉลยี วฉลาด ความเจริญวัย

ด้านสังคม แรงจูงใจภายในและทัศนคติด้านมนุษยสัมพันธ์ ดังน้ัน หากผู้ใต้บังคับบัญชาพบผู้นาที่ไม่มี

ลักษณะดังที่กล่าวมาแล้ว ควรหลีกเล่ียงผู้นาที่มีลักษณะดังต่อไปนี้.กลัวความล้มเหลว.มีความรู้สึก

ไม่ม่ันคงในการทางาน.เป็นผู้ยึดติดกับของเก่า ไม่ยอมรับของใหม่.เป็นผู้ไม่หาประสบการณ์ในการ

ทางาน เป็นผู้ขาดข่าวสารข้อมูล.เป็นผู้ขาดทักษะในการตัดสินใจ.เป็นคนเจ้าอารมณ์และใช้อารมณ์

เป็นผู้หวงอานาจ หลงอานาจ.เป็นผู้มีปมด้อย หูเบา หลงเช่ือง่าย.ขาดคุณธรรมชอบใช้อานาจ

เผดจ็ การ ชอบวิจารณ์ผู้อ่ืนในทางไม่ดี.ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อ่ืน.เป็นคนไม่แน่นอนใจคอโลเล.เป็นผู้

ดูถูกความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา.ไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดวิชาความรู้.คอยจับผิด

สอดรู้สอดเห็นเรอื่ งส่วนตัวของผูอ้ ่ืน

การทางานของผู้นา คือการทางานกับคนจะทางานกับคนและนาคนอย่างไร

ผู้นาท่ีฉลาดจะต้องไม่ยอมให้อาชีพตนเองถอยหลัง คนท่ีดีท่ีสุดหรือบกพร่องน้อยที่สุดคือ

ผ้ทู มี่ คี วามสามารถที่สุดและมีแรงขบั ภายในหรือศักยภาพ (Potential) ออกมาได้มากที่สุดโดยไม่ยอม

อยู่กับท่ีแต่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจและม่ันคงเสมอ และยังต้องตระหนักในคาเตือน

ของปราชญจ์ ีน “ซนุ ว”ู ท่ีกล่าวถงึ จุดอ่อนของผู้นา 5 ประการ คอื

ผู้นำท่คี ดิ รกุ ตลอดเวลำ ถกู ทำลำยได้

ผู้นำท่ีหว่ งภยั เฉพำะตน ถกู จบั กุมได้

ผนู้ ำทฉี่ นุ เฉยี วง่ำยดำย เปน็ ทีด่ ูถกู ได้

ผนู้ ำท่ีพิถีพิถนั จจู้ ี เป็นท่ีขบขนั ได้

ผู้นำที่ออ่ นไหว ลำบำกใจได้

มนุษยสัมพันธ์ของผู้นากับการทางานเป็นทมี เพ่อื เพม่ิ ผลผลิต 219

จุดอ่อนท้ัง 5 ประการ คือข้อผิดพลาดในตัวผู้นาซ่ึงมีอันตรายใหญ่หลวงเมื่อใด
ท่ีองค์การพ่ายแพ้ และผู้นาถูกทาลายแน่นอน ย่อมมาจากจุดอ่อนทั้ง 5.ประการข้างต้น จึงเป็น
ส่ิงท่ีต้องศึกษาอย่างใคร่ครวญ สร้างและพัฒนาตนให้มีภาวะผู้นา นาทฤษฎี หลักการ แนวคิด การเป็น
ผู้นาแบบต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสมกับส่ิงแวดล้อมขององค์การ.เพ่ือสู่ความสาเร็จขององค์การหรือ
หน่วยงาน โดยท่ไี ม่มวี ันพ่ายแพ้ไดเ้ ลย

มนุษยสัมพนั ธ์ของผนู้ ำกับกำรสร้ำงทีมงำน

การทางานเป็นทีมมักจะพบเห็นกันอยู่ท่ัวไปเร่ิมตั้งแต่ในครอบครัวหรือหน่วยงานของ
ธรุ กิจ รัฐบาล รัฐวสิ าหกจิ ผ้นู าทมี่ ีทีมงานมีประสิทธิภาพจะช่วยให้การดาเนินงานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ดังน้ัน การสร้างทีมจึงเป็นสิ่งท่ีผู้นาและสมาชิกในทีมจะต้องเรียนรู้ว่าทาอย่างไรจะทางานร่วมกันได้
อย่างดีและผู้นาที่ดีควรมีมนุษยสัมพันธ์กับทีมงานและสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับทีมงานได้
เพื่อเพิ่มผลผลิตกับองค์กรได้ รวมทั้งผู้นาสามารถสร้างความพร้อมของการทางานเป็นทีมให้เกิดข้ึน
กบั หนว่ ยงานได้อยา่ งไร ซึ่งย่อมจะทาให้เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตในการทางานมากขึ้น

1. ควำมหมำยของทมี งำน
สมคิด บางโม (2552:246) ได้ให้ความหมาย ทีมงาน หมายถึงกลุ่มของคนทางาน

ที่มีอยู่ในองค์กรต่าง ๆ เป็นกลุ่มคนทางานที่ทาให้องค์กรบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
จะเรียกว่า ทีมงาน หรือคณะทางาน ยอ่ มมคี วามหมายเหมอื นกนั

วเิ ชียร วิทยอุดม (2552:203) ได้ให้คานิยาม ทีมงาน หมายถึง การเชื่อมโยงและการ
ร่วมกันอย่ามีประสิทธิภาพ ทาให้เกิดผลจากกการใช้ความพยายามของแต่ละบุคคลร่วมกันหรือ
หมายถึงกลุ่มบคุ คลท่ีรว่ มกนั ทางานใหส้ าเร็จ ซง่ึ สรา้ งขึ้นมาเพ่ือให้เกิดความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน
องคก์ ารและมคี วามสอดคลอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงในองคก์ ารที่กาลังเจริญเตบิ โต

ในขณะที่ ภาวินี เพชรสว่าง (2552:94) ได้ให้คาจากัดความ ทีมงาน หมายถึง
กลุม่ ท่เี ปน็ ทางการซ่ึงสมาชิกกลุ่มมีระดับปฏิสัมพันธ์กันสูงกว่ากลุ่มทั่วไป เพ่ือทางานร่วมกันให้บรรลุ
เป้าหมาย

นอกจากน้ี เนตรพัณณา ยาวิราช (2552:191) ได้ให้ความหมาย ทีมงาน หมายถึง
การท่ีบุคคลหลาย ๆ คนเข้ามารับผิดชอบร่วมกัน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันซึ่งบุคคลแต่ละคน
ลว้ นมีพืน้ ฐาน แนวคดิ ทศั นคติและประสบการณท์ ่ีแตกต่างกนั

จากความหมายข้างต้น ผู้เขียนขอให้นิยาม ทีมงาน หมายถึง กลุ่มคนท่ีช่วยเหลือซ่ึงกันและ
กันเพ่ือใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงคร์ ว่ มกนั

220 มนษุ ยสัมพนั ธท์ างธรุ กิจ

ผ้เู ขียนขอนยิ ามความหมายของคาวา่ TEAMWORK ตามพยัญชนะ ดงั น้ี

T Trust มีความไวว้ างใจในการทางานรว่ มกนั

E Energy มพี ลงั ในการขบั เคลอ่ื นทีม

A Attitude มที ศั นคติทด่ี ตี ่อเพอ่ื นรว่ มทมี และทมี

M Moral มีขวัญและกาลังใจการทางานร่วมกัน

W Willingness มคี วามเต็มใจในการทางานเป็นทมี รว่ มกับผอู้ ่ืน

O Orientation มกี ารแนะนาและสอนงานกันภายในทีม

R Responsibility มคี วามรบั ผิดชอบในการทางานเปน็ ทีมรว่ มกัน

K Knowledge & Keen มคี วามรแู้ ละความชานาญในการทางานของทีม

จากความหมายของทีมงานและการทางานเป็นทีมประกอบไปด้วยคนที่เป็นผู้นา

และคนท่ีเป็นผู้ตาม โดยมีวิธีการทางานเป็นเคร่ืองในการขับเคล่ือนให้ทีมสามารถดาเนินไปได้จนถึง

จุดหมาย แต่ถ้ามองแล้วจะเห็นว่านอกเหนือจากวิธีการทางานแล้วยังมีพฤติกรรมที่ต้องช่วยเหลือ

เก้ือกลู กนั น่นั กค็ อื มนุษยสัมพนั ธ์ ท่ที มี งานต้องอาศัยเข้ามาช่วยให้การทางานเป็นทีมสามารถประสบ

ความสาเร็จได้ เพราะถ้าการทางานเป็นทีมจะมีวิธีการทางานที่ได้เลิศเพียงใด แต่ถ้าคนในทีม

ขาดความรัก ความสามคั คกี ็ย่อมไมส่ ามารถทาให้ทมี ประสบผลสาเร็จได้

2. ควำมสำคญั ในกำรสร้ำงทมี งำน

การสร้างทีมงานที่ดีถือว่ามีความสาคัญ สาหรับผู้นาในการบริหารงานให้เกิด

ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผู้นาทีมจึงต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถในการประสานงานและ

การสร้างสัมพันธภาพท่ีดีภายในทีมและสามารถแก้ปัญหาเก่ียวกับงานและข้อบกพร่องต่าง ๆ ทั้งใน

และนอกทมี งาน สร้างแนวทางให้สมาชิกทีมทางานได้ดี เป็นผู้ประสานงานในทุก ๆ เรื่องท้ังเรื่องงาน

และผลประโยชน์ของทีมงานผู้นาจึงจาเป็นต้องศึกษาและให้ความสาคัญเกี่ยวกับการสร้างทีมงาน

ซง่ึ ความสาคัญในการสร้างทีมงาน มีดังนี้

2.1 ทาให้สมาชิกในทีมเกิดความไวว้ างใจในหมู่สมาชกิ ของทีม

2.2 ทาให้คนเราทางานร่วมกันได้ดีข้ึนเมื่อมีการเปิดเผยและจริงใจต่อกันโดยเฉพาะ

อยา่ งย่ิงเมื่อมีปญั หาหรืออุปสรรคท่ีจะต้องแก้ไขรว่ มกนั

2.3 ทาให้การทางานเป็นทีมมีประสิทธิภาพมากข้ึนเมื่อสมาชิกได้ช่วยกันเสริมสร้าง

ทกั ษะความเช่ยี วชาญใหเ้ พิม่ พนู มากขึ้น ซ่ึงเปน็ การใชท้ รัพยากรบคุ คลท่ีมีอยู่ในทมี อย่างเตม็ ที่

2.4 ทาให้เกิดการป้อนข้อมูลย้อนกลับ และวิพากษ์วิจารณ์ซ่ึงกันและกันอย่างสร้างสรรค์

ดงั นัน้ การแสดงความคิดเหน็ ในลกั ษณะขอ้ มูลป้อนกลับจึงเป็นสิ่งจาเป็นและเป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการ

พัฒนาทีมงาน

2.5 ทาให้เกิดการสนับสนุนการเรียนรู้ รับฟังความคิดเห็นและข้อมูลข่าวสารของ

ผูอ้ ืน่ อยา่ งต้ังใจและให้เกยี รติซง่ึ กนั และกนั

2.6 ทาใหเ้ กดิ การพัฒนาทกั ษะในการแก้ปญั หารว่ มกนั

มนุษยสมั พนั ธข์ องผ้นู ากบั การทางานเปน็ ทมี เพ่อื เพ่มิ ผลผลิต 221

2.7 ทาให้ลดความขัดแย้งระหว่างบุคคล เนื่องจากสมาชิกในทีมได้เรียนรู้ถึงทักษะ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลมากข้นึ มคี วามพรอ้ มที่จะปฏิบตั งิ านร่วมกันมากขนึ้

2.8 ทาให้เกิดการสง่ เสรมิ ความคิดรเิ ริม่ สรา้ งสรรคใ์ นหมู่สมาชิกในทมี
จากความสาคัญในการสร้างทีมงานทาให้เกิดประโยชน์มากมายในการทางานของ
ผู้นาที่พาทีมงานไปสู่จุดหมายปลายทางได้ แต่ทุก ๆ กิจกรรมท่ีเกิดขึ้นจากการสร้างทีมงานล้วนมี
ทฤษฎีเก่ียวกับหลักของมนุษยสัมพันธ์เข้ามาเป็นส่วนผสมให้เกิดความกลมกลืนสอดคล้องกับ
การทางานเปน็ ทมี ไดเ้ ปน็ อย่างดี
3. แนวควำมคิดและทกั ษะในกำรสร้ำงทีม.
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลในหน่วยงาน และผู้นา
ดังน้ันการเตรียมบุคคล จึงเป็นสิ่งท่ีจะช่วยให้เกิดความพร้อมในการสร้างทีม ซ่ึงประกอบด้วยความรู้
ทักษะและแสดงออกถงึ ความสามารถของทมี
บคุ คลสาคญั ทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ ความสาเร็จหรอื ความลม้ เหลวของทีมคือ ผู้นา ดังนั้น ผู้นา
ท่ีมีความสามารถจะสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันของทีม เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคให้ได้เป้าหมายตามท่ีต้องการ
นอกจากน้ีผู้นาจะต้องนาหลักมนุษยสัมพันธ์มาประยุกต์ใช้กับการทางานเป็นทีมเพื่อเป็นตัวช่วยให้
การทางานเป็นทีมสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของทีมได้ ซ่ึงผู้นาจะต้องตระหนักและให้
ความสาคญั เก่ยี วกับแนวคิดและทกั ษะในการสรา้ งทีมงาน ดงั นี้

3.1 ควำมรู้และทักษะในกำรสรำ้ งทีม

3.1.1 ความรู้เก่ียวกับทฤษฎีการสร้างทีม.จึงมีประโยชน์ในเรื่องเทคนิค
การสร้างทีม การเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีจะทาให้เกิดความเชื่อม่ันและเข้าใจถึงกระบวนการสร้างทีม
มากข้นึ

3.1.2 ความรเู้ กย่ี วกับการเจริญเติบโต จะเป็นขั้นการพัฒนาทีมงาน ให้สามารถ
เตรียมการและการวางแผนการสรา้ งทีมได้ดีขึน้

3.1.3 การอธิบายหรือสรปุ ส้นั ๆ เปน็ วถิ ีทางหนง่ึ ทจี่ ะชว่ ยในการสร้างทีมได้ด้วย
การพูดคุยหรืออธิบายจุดที่สาคัญในการสร้างทมี จะชว่ ยแก้ปัญหาที่อาจเกิดข้ึนได้

3.1.4 ประสบการณ์ทมี่ คี วามหมาย.การฝึกฝนทาโครงการกจิ กรรมอยบู่ อ่ ย ๆ ทาให้
เกิดการเรียนรู้ สมาชิกในทีมที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วจะมีบทบาทมากในการช่วยเหลือกลุ่ม
เม่อื มีปญั หาเกิดข้ึน

3.1.5 ทักษะการป้อนข้อมูลย้อนกลับ.เปรียบเสมือนกับกระจกท่ีคอยสะท้อนถึง
พฤติกรรมที่เกิดขึ้น.การสังเกตและเก็บข้อมูลอย่างระมัดระวังจะช่วยทาให้การเสนอข้อมูลต่อเม่ือมี
ปัญหาเกิดขน้ึ มา

3.1.6 การยอมรับสภาพของบุคคล.จะช่วยทาให้การสร้างทีมสาเร็จ เป็นการ
นบั ถอื ความสามารถและยอมรับซง่ึ กนั และกันจะก่อให้เกดิ การไวว้ างใจในกล่มุ ทางานข้นึ

222 มนุษยสมั พันธท์ างธรุ กิจ

3.1.7 การให้ความช่วยเหลือ ทักษะที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีการฝึกฝน ทางานร่วมกับ
ผู้อ่ืนอยู่เสมอ ทีมที่มีความสามารถจะนาเอาส่ิงที่แปลกใหม่เข้าไปแนะนาในทีม จะทาให้เกิดทักษะ
การทางาน เพอ่ื เป็นการพฒั นาบคุ คลใหม้ คี ุณภาพมากข้ึน

3.1.8 การเปิดเผย เป็นส่ิงสาคัญในการสร้างทีมในบางคร้ังสมาชิกในทีมจะต้อง
ยอมรับข้อมูลย้อนกลับที่ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ต้องมีการเผชิญหน้ากันระหว่างสมาชิก
ในทีมงานและต้องมีความจริงใจที่จะเปิดเผยความเป็นจริงให้กลุ่มได้ทราบโดยไม่ปิดบัง เพ่ือเป็นการ
พฒั นากลุม่ ใหม้ ีคณุ ภาพมากขน้ึ

3.2 กำรแสดงออกถึงควำมสำมำรถของทมี .ลกั ษณะของทีมจะดไู ดจ้ าก
3.2.1 การยอมรับของหน่วยงาน ซึ่งจะดูจากหน่วยงานให้การสนับสนุน

ทรพั ยากรตา่ ง ๆ ในการทางานของทีม
3.2.2 การยืดหยุ่นและการยอมรับอย่างเปิดเผย ยอมรับข่าวสารต่าง ๆ

ทีเ่ กยี่ วกับทมี
3.2.3 เป้าหมายชัดเจน
3.2.4 มีเหตุผลความเป็นจริง ยอมรบั ความชว่ ยเหลือจากภายนอก
3.2.5 ได้รับอนุญาตให้ทางาน ในการทางานของทีมงานมาจากความเข้าใจ

และเต็มใจ สมาชิกไม่ถูกบังคับให้เปล่ียนแปลงทัศนคติ ไม่ถูกบังคับให้ต้องซ่ือสัตย์แก่สมาชิกยินดี
ทาดว้ ยความเตม็ ใจ

3.2.6 มองเห็นความสาคัญของงานประจาวัน ตรวจสอบการแบ่งงานและการ
ตดั สินใจให้เหมาะสมกบั คนและงาน

3.2.7 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับกลุ่มอื่น เพ่ือสร้างให้กลุ่มเกิดความรัก ความ
สามัคคีกนั ในการสรา้ งสรรค์ใหก้ ลุม่ บรรลุวัตถุประสงคท์ ี่ตัง้ ไว้

3.2.8 ทบทวนความสามารถของกลุ่ม ด้วยวิธีการต่าง.ๆ เช่น ตรวจสอบการ
ไดร้ ับรางวลั ยกย่องจากหน่วยงานภายนอกว่ากลุ่มมีวธิ กี ารอย่างไรทไ่ี ดร้ บั มาและกลุ่มจะสามารถดารง
รกั ษาไวไ้ ดอ้ ยา่ งไร

จากแนวความคดิ และทักษะในการสร้างทีม ผู้นาจาเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจอย่าง
ท่องแท้และนามาฝึกปฏิบัติให้เกิดเป็นทักษะติดตัวของผู้นา เพ่ือท่ีจะสามารถนาทีมงานให้ประสบ
ผลสาเรจ็ ได้

4. ลักษณะของทมี งำนทมี่ ปี ระสิทธภิ ำพ
ลักษณะของการทางานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ ผู้นาจะต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ

ทีมงานที่มีประสิทธิภาพควบคู่กับการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับทีมงาน จะทาให้ผู้นาสามารถประสบ
ความสาเร็จในการบริหารงาน ซ่ึงลักษณะของทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยคุณลักษณะ
ดังต่อไปน้ี

มนุษยสัมพันธข์ องผู้นากบั การทางานเป็นทีมเพ่อื เพ่ิมผลผลติ 223

4.1 มีความกระจ่างชัดในวัตถุประสงค์และเห็นด้วยกับเป้าหมาย สมาชิกทุกคน
ของทีมจะต้องมีความเข้าใจในเป้าหมายอย่างเด่นชัด และเต็มใจที่จะผูกพัน เพ่ือให้เกิดความสาเร็จ
ในเปา้ หมายทต่ี ั้งไว้ ผู้นาจะต้องชดั เจนเก่ียวกับวัตถุประสงค์ เป้าหมายและวิธีการปฏิบัติงานสามารถ
กาหนดกลยุทธ์ท่จี ะนาไปใช้สู่การปฏบิ ตั ิให้เป็นผล

4.2 มีการเปิดเผยและการเผชิญหน้ากัน สมาชิกในทีมงานมีความสัมพันธ์กันอย่าง
เปดิ เผย ซอ่ื สัตย์ ตรงไปตรงมา กล้าเผชญิ หนา้ เพอื่ แกป้ ัญหาการทางานรว่ มกนั

4.3 มีการสนับสนุนและการจริงใจต่อกัน สมาชิกในทีมช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน เข้าใจ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างงานของตนกบั งานของผู้อื่น และพร้อมที่จะรับและให้ความช่วยเหลือด้วยความ
จริงใจ ผู้นาท่ดี ตี อ้ งให้โอกาสลกู นอ้ งหรือผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาโดยไม่หวาดกลัวว่าจะเลื่อนข้ันข้ึนมาทางาน
แทนตนในภายภาคหนา้

4.4 มีความร่วมมือและความขัดแย้ง สมาชิกในทีมงานอุทิศตนในการปฏิบัติงาน
ให้เสร็จไปด้วยดี จะมีการประสานประโยชน์ในเร่ืองของความรู้ ความสามารถ ตลอดจนความ
แตกต่างของแต่ละบุคคลให้ได้ผลร่วมกันอย่างสูงสุด และเป็นลักษณะท่ีเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มี
ส่วนร่วมอยา่ งเต็มท่ีในการทางาน ซึ่งอาจมีการขัดแย้งเกิดขึ้นภายในทีมก็จะเปน็ ไปในทางทสี่ รา้ งสรรค์

4.5 มีการปฏิบัติงานที่ชัดเจน สมาชิกในทีมจะอาศัยข้อเท็จจริงเป็นหลัก
และการตัดสินใจจากข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งมาจากการติดต่อส่ือสารที่ชัดเจน มีการพูด การเขียน
และการทางานในสง่ิ ที่ถกู ต้องในการแกป้ ัญหาจะทาให้ทีมงานมีประสิทธิภาพ

4.6 มีภาวะที่เหมาะสม หัวหน้าทีมจะต้องมีบทบาทเป็นผู้นาท่ีดี เป็นมาตรฐาน
ในการปฏิบัติทุกอย่าง ไม่ผูกขาดเป็นผู้นาคนเดียวของกลุ่ม แต่ภาวะผู้นาจะกระจายไปท่ัวกลุ่ม
ตามสถานการณ์ท่เี หมาะสม

4.7 มีการทบทวนการทางานอย่างสม่าเสมอ ทีมงานจะต้องใช้เวลาในการประเมิน
พฤติกรรม และเรียนรู้ถงึ ความผดิ พลาดในการทางานของกลุ่มซ่ึงจะทบทวนอย่างสม่าเสมอ เพื่อจะได้
แก้ไขข้อบกพร่องในการทางาน อาจทบทวนระหว่างการทางานหรือหลังจากทางานเสร็จแล้ว
ผู้นาจะต้องมีการทบทวนการทางานของทีมงานอย่างสม่าเสมอเพ่ือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน
ภายหลังการทางาน

4.8 มีการพัฒนาบุคคล สมาชิกในกลุ่มจะได้รับการพัฒนาอย่างท่ีแผนตามความ
ชานาญของแต่ละบุคคล ซึ่งจะให้การทางานเป็นทีมมีประสิทธิภาพมากข้ึน.ผู้นาต้องพยายามที่จะ
พัฒนาสมาชิกให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะในการทางานมากขึ้น ผู้นาต้องเปรียบเสมือนครู
ทส่ี อนทีมงานทั้งดา้ นความรู้การทางานและเปน็ ตัวอยา่ งท่ดี ีแกส่ มาชิก ในทีม

4.9 มีสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มที่ดี นอกเหนือจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มแล้ว
จะต้องให้กลุ่มอ่ืนเข้าใจและยอมรับ ตลอดจนยื่นมือเข้าช่วยเหลือเมื่อจาเป็น ด้วยความเข้าใจ
และปราศจากการแข่งขัน ผู้นาท่ีดีจะต้องรู้จักประสานความคิด ประสานประโยชน์สามารถทางาน

224 มนุษยสัมพนั ธท์ างธุรกิจ

ร่วมกับทีมงานได้ ผู้นาที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อทีมงานจะช่วยให้แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง
บุคคลได้

จากลักษณะของการทางานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ.พบว่ามีลักษณะหลากหลาย
ท่ีผนู้ าจะสามารถหยบิ ยกมาใชใ้ นการทางานเป็นทีมได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อน่าสังเกตว่าทุก ๆ ลักษณะ
มักตอ้ งอาศัยหลกั มนุษยสมั พันธเ์ ขา้ มาช่วยให้การทางานเป็นทีมเกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
การทางานเป็นทีมของผู้นาในยุคปัจจุบันจาเป็นต้องอาศัยทั้งหลักวิธีการทางานท่ีดีมีประสิทธิภาพ
และหลักการสรา้ งมนษุ ยสมั พันธค์ วบค่กู นั ไป

5. ขันตอนกำรสร้ำงทีมงำน (Stages of Team Development)
ก า ร ส ร้ า ง ที ม ง า น เ ป็ น ค ว า ม พ ย า ย า ม อ ย่ า ง มี แ ผ น ใ น ก า ร ร ว ม ก ลุ่ ม กั น เ ป็ น ที ม

เพื่อร่วมกันทางานอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการสร้างทีมงานจะต้องดาเนินการอย่างมีระบบ
โดยข้ันตอนการสร้างทีมงาน จากแนวคิดของ Bruce.Tuckman.ได้นาเสนอขั้นตอนการการสร้าง
ทมี งาน รวม 5 ขั้นตอน ในปี ค.ศ. 1965 ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี

กำร กำร กำรสรำ้ ง กำร กำรแยก
รวมตัว ปลกุ เรำ้ บรรทดั ทำงำน ย้ำยทมี
ฐำน ร่วมกนั

ภำพที่ 6.1 ขันตอนกำรสร้ำงทีมงำน
5.1 กำรรวมตัว คือการก่อร่างสร้างทีมหรือการรวมตัวกันของสมาชิกทีม โดยถ้า
เปรียบในองค์กรก็คือการเริ่มต้นสร้างองค์กรใหม่ หรือหน่วยงานใหม่ซึ่งต้องมีการรวบรวมสมาชิก
ตามโครงสร้างองค์กรที่กาหนดข้ึน ดังน้ันกลยุทธ์ท่ีสาคัญของข้ันตอนนี้คือการคัดเลือกสมาชิกที่มี
คุณสมบัติสอดคล้องกับลักษณะงานซึ่งในปัจจุบันอาจเป็นความสามารถ ( Competency).
เช่น มีจิตสานึกในการบริการ มีความสามารถในการสื่อสาร หรือมีคุณสมบัติเฉพาะตาแหน่ง
เชน่ การศึกษา ประสบการณท์ ่สี ามารถทางานในตาแหนง่ น้นั ๆ
5.2 กำรปลุกเร้ำ คือการระดมความคิดเพ่ือทาให้ทีมดาเนินไปในทิศทางเดียวกัน
เม่ือมกี ารรวมตัวกัน ของสมาชิกซ่งึ ย่อมมีการเร่ิมปฏิสัมพันธ์กันอาจถือเป็นจุดเร่ิมของการทางานเป็น
ทมี กล่าวคอื ต้องมีการพูดคุยกันเพื่อกาหนดทิศทาง เป้าหมายและบทบาทของสมาชิก ดังนั้นจุดนี้เอง
จงึ ต้องมีการแสดงความเห็น หรือจุดยืนของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันหรือมีการแสวงหาประโยชน์ของ
ตนและพวกพ้อง ซ่ึงอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งไม่เข้าใจกัน หรือมีการแบ่งฝ่ายกัน ดังน้ันกลยุทธ์
ท่ีนามาใช้คงต้องมีผู้นาทีมที่เป็นผู้ประสานประโยชน์ มีความเป็นธรรม แต่ท่ีสาคัญคือสมาชิกต้อง
เข้าใจจิตวิทยาความแตกต่างของมนุษยท์ กี่ ล่าวว่ามนุษย์ย่อมมีความแตกต่างกัน ดังน้ันการอยู่ร่วมกัน
บนพืน้ ฐานของความแตกต่างซ่งึ ไม่แตกแยกจะทาใหป้ ญั หาลดนอ้ ยลง

มนุษยสัมพันธ์ของผนู้ ากบั การทางานเปน็ ทมี เพื่อเพมิ่ ผลผลติ 225

5.3 กำรสร้ำงบรรทัดฐำนของทีม คือการกาหนดทิศทางเป้าหมาย บรรทัดฐาน
ของทีม กลา่ วคอื เม่อื มกี ารระดมความคดิ ทที่ ัง้ แตกต่างและไม่แตกต่างแล้วจะนาไปสู่ข้อตกลงร่วมกัน
เช่นกฎกติกา ระเบียบวิธีปฏิบัติ ท่ีทาให้การอยู่ร่วมกันราบรื่น ซึ่งในยุคใหม่นี้อาจมีการกาหนด
วิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) กลยุทธ์ (Strategy) และแผนปฏิบัติการ (Action Plan)
ร่วมกันเป็นต้น โดยกลยุทธ์ในขั้นตอนน้ีคือวิธีการกาหนดข้อตกลงหรือแผนงานใดๆคงต้องใช้การมี
ส่วนรวม (Participative).ของสมาชิกทั้งทางตรงและ/หรือทางอ้อม เพ่ือให้เกิดการยอมรับและเกิด
ความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของพันธะสัญญาต่างๆนั้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความร่วมมือ และปฏิบัติตาม
สง่ิ ท่ีกาหนดร่วมกัน

5.4 กำรทำงำนร่วมกัน คือการปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ
เมื่อมีการตกลงร่วมกันแล้ว คงต้องมีการเร่ิม ปฏิบัติงาน เช่นใครได้รับมอบหมายให้มีบทบาทหน้าท่ี
ใดก็ทาตามอย่างเต็มความสามารถเพ่ือบรรลุเป้าหมายของตนเอง ซึ่งจะส่งผลถึงเป้าหมายใหญ่
ในภาพรวมของทีมหรือองค์กร โดยกลยุทธ์ในขั้นตอนนี้คือการใช้การส่ือสาร.(Communication)
ระหว่างกันทั้งภายในทีมและนอกทีม การใช้เทคนิคการจูงใจ.(Motivation).เพื่อให้ลูกน้องทางาน
อย่างทุ่มเท หรือการสอนแนะ.(Coaching).เม่ือลูกน้องไม่สามารถทางานได้ดี ซ่ึงกลยุทธ์ต่างๆ
ในขนั้ ตอนน้ีถอื เปน็ การใช้หลักการทางการบริหาร (Management Principle) มาใช้อย่างกวา้ งขวาง

5.5 กำรแยกยำ้ ยทีม คอื การแยกยา้ ยกนั เมอื่ ถึงเวลาหรือทีมบรรลุเป้าหมาย ขั้นตอน
น้ีถือเป็นข้ันตอนสุดท้ายในการสร้างทีมงาน ซ่ึงอาจกล่าวว่า “งานเล้ียงยอมมีวันเลิกราฉันใด ทีมงาน
ยอมมีวันเลิกราฉันน้ัน”.เมื่อมีการดาเนินกิจการงานของทีมไประยะหนึ่งและบรรลุเป้าหมาย
หรือวัตถุประสงค์แล้วย่อมมีการทบทวนองค์กร หรือหน่วยงานนั้นใหม่ว่าจะมีการพัฒนาไปให้ใหญ่
กว่าเดิม เช่นมีการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ มีการจัดทีมใหม่เช่นการโยกย้ายสับเปลี่ยน หรือถ้ามอง
ในแง่ร้ายถ้ามีความล้มเหลวเกิดข้ึนในทีมย่อมต้องมีการผ่าตัดหรือการยุบเลิกไปในที่สุด โดยกลยุทธ์
ในขนั้ ตอนน้คี อื การประเมินผลงาน หรอื ประเมินผลการดาเนนิ การขององค์กรซ่ึงในยุคใหม่เน้นใช้การ
วัดผลงาน (Measurement).ถ้าผลการดาเนินงานดีก็คงให้มีทีมต่อไปแต่ในทางกลับกันเกิดความ
เสยี หายหรือล้มเหลวคงตอ้ งมมี าตรการตามลาดับจนสุดท้ายตอ้ งปรบั เปล่ียนหรือยกเลกิ ทีมในทสี่ ดุ

ในการสร้างทมี งานเป็นศาสตร์ท่ีน่าสนใจต้องติดตามและเรียนรู้ตราบใดท่ีมนุษย์ยังคง
เป็นสัตว์สังคมและยังมีการทางานตั้งแต่สองคนข้ึนไปและต้องมีองค์กรเพ่ือเป็นสังคมในการทางาน
โดยในองค์เองต้องมุ่งเน้นและให้ความสาคัญอย่างแท้จริงไม่เพียงเฉพาะการฝึกอบรมเท่าน้ันแต่คง
ต้องวางกลยุทธใ์ นระยะยาวเพื่อสรา้ งทมี งานให้แขง็ แกร่งตลอดไป

จากข้ันตอนการสร้างทีมงานข้างต้น สามารถสรุปขั้นตอนการพัฒนาทีมงาน
คือ กระบวนการท่ีจาเป็นของการทางานเป็นทีม โดยผู้นาจะต้องมีการเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคน
มีส่วนร่วม ในการ แก้ปัญหาร่วมกัน การป้อนข้อมูลย้อนกลับ ตลอดจนการสื่อสารที่ชัดเจน เพื่อให้ได้
ข้อมูลในการตัดสินใจร่วมกันเป็นผลดีในการสร้างความสามัคคีและการทางานเป็นกลุ่ม ทาให้
ผู้ปฏิบัติงานเกิดความผูกพันต่อองค์กร ซึ่งผลที่ได้รับจะเป็นผลสาเร็จและความภูมิใจของแต่ละคน

226 มนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ

ซึ่งจะนาไปถึงการบรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายท่ีต้ังไว้ ซ่ึงก็หมายถึง ความเจริญก้าวหน้าขององค์กร
นั่นเอง

6. กำรสร้ำงทีมงำนทมี่ ปี ระสิทธิภำพ
การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพสามารถกระทาได้โดยการสร้างกิจกรรมและการ

ทางานร่วมกัน ควบคู่กับการสร้างจิตสานึกด้านความรับผิดชอบร่วมกัน ให้ความร่วมมือกัน
มีความรู้สึกท่ีดีต่อกันและกระตุ้นให้รู้จักใช้การระดมสมองร่วมกัน การทางานร่วมกันให้มี
ประสิทธิภาพน้ัน จาเป็นท่ีสมาชิกของทีมงานต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีทักษะการอยู่ร่วมกัน
และทักษะการทางานร่วมกัน ทีมงานท่ีมีวุฒิภาวะและมีประสิทธิภาพสมาชิกทุกคนต้องเข้าใจ
ความสาคัญและหลักการทางานเป็นทมี งานทม่ี ีประสิทธภิ าพ ซึ่งมปี จั จยั สนับสนนุ ดงั ตอ่ ไปน้ี

6.1 ลกั ษณะและภาวะความเป็นผนู้ าทเี่ หมาะสม ผนู้ าตอ้ งมคี วามรับผิดชอบ มีหน้าที่
และบทบาทความเป็นผู้นาที่สมบูรณ์ คือสามารถมอบหมายงานและแบ่งสันงานให้ผู้อ่ืนดาเนินการ
โดยทางานเป็นทีม หัวหน้าทีมหรือผู้นาจาเป็นต้องมีทักษะด้านการงาน การขจัดปัญหาความขัดแย้ง
สรา้ งแรงจงู ใจ

6.2 เป้าหมาย ผู้นาต้องวางแผนงาน กาหนดเป้าหมายเพื่อการดาเนินนโยบาย
และประเมินผลงานการวางแผน มอี งค์ประกอบสาคญั 2 ประการ คือ

6.2.1 การกาหนดเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการให้งานสาเร็จโดยมีเงื่อนไข
ข้อกาหนดเกี่ยวกบั ระยะเวลา ปริมาณและคุณภาพ เปน็ ตน้

6.2.2 การตัดสินใจล่วงหน้าเก่ียวกับทางเลือกหรือกิจกรรมที่จะนาไปสู่
วัตถุประสงค์หรือผลผลลพั ธท์ ่ีตอ้ งการ

การประเมินผลงานโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมาย เป็นเคร่ืองช้ีชัดความสามารถ
ของผู้นาและทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ศักยภาพการผลิตและการแข่งขันสูง สามารถทารายได้
และความสาเรจ็ ใหก้ ับองค์การและถ้าใหย้ อดเย่ียมยิ่งข้ึนต้องทะลุเป้าหมายเพ่ิมขึ้นในปีต่อ ๆ ไปอย่าง
ต่อเนอ่ื ง

6.3 ความสามัคคี ช่วยให้สมาชิกทีมงานมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันไม่มีความ
คดิ เหน็ และความสานึกท่เี ห็นแก่ตัว

6.4 มนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ทีมงานท่ีมีประสิทธิภาพผู้นาต้องสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
ภายในทมี งาน

6.5 ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดแปลกใหม่และสามารถปฏิบัติได้ให้
ประโยชนก์ ารสร้างทีมงานที่มปี ระสิทธภิ าพ คือ

6.5.1 เปน็ การเปล่ียนแปลงไปสสู่ งิ่ ทีด่ กี ว่า
6.5.2 เพ่มิ คณุ และคณุ ภาพชีวติ
6.5.3 แกป้ ัญหาต่าง ๆ หมดสิ้นไป

มนุษยสัมพันธข์ องผนู้ ากับการทางานเป็นทีมเพอื่ เพมิ่ ผลผลิต 227

6.5.4 ส่งเสริมทัศนคติวิสัยทัศน์และการยอมรับวิทยาการใหม่ ๆ ควบคู่กับการ
เพิม่ ประสิทธิภาพ และศักยภาพบุคลากร

6.6 แรงจูงใจ การจูงใจเป็นส่ิงท่ีทาให้สมาชิกทีมงานอย่างมีประสิทธิภาพ น่ันคือ
ทีมงานได้รับประโยชน์ด้านเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้นาต้องทาหน้าที่ชักจูงให้สมาชิก
ทีมงานทุ่มเทจิตใจและพลังกายทางานด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้น ผลสาเร็จของการสร้าง
แรงจูงใจคือ

6.6.1 เกิดพฤติกรรมร่วม ช่วยให้สมาชิกทีมงานร่วมกันทางานด้วยความ
พึงพอใจ และมคี วามสขุ กบั การทางาน

6.6.2 พฤติกรรมทางบวกของสมาชิกทีมงานเพิ่มข้ึน ให้ความสนใจงาน มีความ
สามคั คีร่วมกนั ตดั สินใจเลอื กทางเลือกท่ีดีที่สุด

6.6.3 องคก์ รสามารถบรรลุเปา้ หมาย
6.7 การพฒั นาทกั ษะและเพม่ิ ความรู้ เนือ่ งจากในโลกปัจจุบันอิทธิพลของเทคโนโลยี
ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างมากมาย การประดิษฐ์คิดค้นส่ิงใหม่ ๆ ทาให้สภาวะแวดล้อม
ขององค์กรทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชนแปรเปล่ียนไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การบริหารองค์กรให้สามารถอยู่รอดและเติบโตในภาวะเช่นน้ี นับเป็นส่ิงที่ท้าทายความสามารถ
ของผู้บริหารและการทางานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาทักษะและเพิ่มความรู้แก่
บุคลากร มีความสาคัญและจาเป็นยิ่ง นั่นคือผู้นาต้องสามารถสอนงานหรือแนะนาวิธีการทางาน
การฝึกอบรมเพ่ือพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนความรู้บุคลากรองค์การช่วยให้ทีมงานต่าง ๆ เพิ่มผลผลิต
ทมี่ คี ณุ ภาพประสทิ ธิภาพสงู ลดตน้ ทนุ และมศี กั ยภาพด้านการแข่งขนั สูง เป็นตน้

มนุษยสัมพนั ธข์ องผ้นู ำกบั กำรเพมิ่ ผลผลิต

การเพ่ิมผลผลิตเป็นแนวคิดที่ได้ถูกนามาพัฒนาข้ึน เพื่อสร้างจิตสานึกของผู้นาและ
บุคลากรในหน่วยงานให้รู้จักการพัฒนาวิธีการทางานใหม่ ๆ ท่ีสามารถเพิ่มผลผลิตได้ ซ่ึงแนวทาง
ในการปรับปรงุ การเพ่มิ ผลผลติ มี 2 แนวทาง คือ

1. ลดความสญู เสยี ทกุ ประเภททซี่ อ่ นอยู่
2. แสวงหาวิธีการปรับปรุงส่งิ ต่าง ๆ ให้ดขี ้ึน เพอื่ ลดความสญู เสยี

ดังน้ัน จึงจะเห็นว่าการเพ่ิมผลผลิตจะเกี่ยวข้องกับทุกคนในองค์กร ต้ังแต่พนักงานไปจนถึงผู้นา
องค์กร ซ่ึงมีหน้าที่ต้องตระหนักถึงแนวคิดการเพ่ิมผลผลิต ก่อนการทางานหรือทากิจกรรมใด ๆ
ในชวี ิตประจาวนั เสมอ เม่ือทุกคนในองค์กรมีความพยายามร่วมกัน ในการปรับปรุงการเพ่ิมผลผลิตแล้ว
ผลประโยชน์ที่ได้จากการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตจะกลับคืนสู่ผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกคน อันเป็นหนทาง
นาไปสู่มาตรฐานการบริหารองค์กรที่สูงข้ึน และส่งผลให้บุคลากรในองค์กรมีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้นด้วย
แต่ในการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรน้ันนอกจากปัจจัยวิธีการปฏิบัติให้ได้ ซึ่งผลผลิตขององค์กร

228 มนษุ ยสัมพันธท์ างธุรกิจ

ท่เี พ่ิมข้นึ แล้วก็ยังต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของบุคลากรภายในองค์กรนั่นก็คือการต้องอาศัยหลัก
มนุษยสัมพันธ์เข้ามาเป็นปัจจัยช่วยให้ผลผลิตขององค์กรเพ่ิมข้ึน ซ่ึงผู้นาจาเป็นต้องศึกษาทาความ
เข้าใจเกยี่ วกับการเพิ่มผลผลิตในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทางาน
โดยควรศกึ ษาเรื่องตา่ ง ๆ ดงั น้ี

1. ควำมเปน็ มำของกำรเพิ่มผลผลติ
เร่ิมมีแนวคิดในการเพิ่มผลผลิตข้ึนครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ประมาณช่วงปี ค.ศ.

1911 เมือ่ นายเฟรเดอริค ดับบลวิ เทเลอร์ (Frederick.W..Taylor).ได้แนวคิดจากการท่ีได้ศึกษาเรื่อง
“ระยะเวลาและความเคล่ือนไหวในการทางานของคนงาน ”.และจากการสังเกตวิธีการทางานของ
คนงาน เขาได้ค้นพบวิธีการทางานท่ีได้ผลดีท่ีสุด แล้วนามากาหนดเป็นมาตรฐานในการทางาน
เพ่ือให้สามารถควบคุมและวัดผลงานได้ ซ่ึงเป็นแนวคิดวิธีการเพ่ิมผลผลิตอีกวิธีหนึ่ง ตามหลักวิทยาศาสตร์
และได้ถูกนาไปใช้ในการบริหารงานในยุคแรกของวงการอุตสาหกรรม และได้พัฒนาเรื่อยมาจนเป็น
ที่นยิ มมากข้ึนในยุคตอ่ ๆ มา

จากแนวคิดของเฟรเดอริค ดับบิว เทเลอร์ พบว่าการเพ่ิมผลผลิตให้กับงาน
ต้องเกิดจากการมีวิธีการทางานท่ีได้ผลดีท่ีสุด แล้วนาจัดทาเป็นมาตรฐานในการทางานเพ่ือให้
พนักงานนาไปปฏิบัติให้เกิดการเพ่ิมผลผลิตในองค์กร ซ่ึงนอกจากปัจจัยเกี่ยวกับการได้วิธีการ
ปฏิบัติงานที่ดีที่สุดแล้วก็ยังต้องอาศัยผู้นาที่ดีที่มีความรู้ความสามารถนาหลักในการ เพิ่มผลผลิตมา
ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้นาต้องอาศัยท้ังศาสตร์ทางด้านการบริหารจัดการเพื่อให้ได้ผลผลิต
ท่ีเพิ่มข้ึนและยังต้องอาศัยศิลป์ทางด้านการสร้างความพันธ์กับคนในองค์กรเพ่ือจูงใจให้เขามา
ร่วมทางานด้วยความเต็มใจและมีความสุข ตลอดจนเกิดงานและสามารถเพ่ิมผลผลิตของงานได้เป็น
อยา่ งดี

2. หลกั กำรพนื ฐำนของกำรเพ่ิมผลผลติ
ตามหลักการพื้นฐานของการเพ่ิมผลผลิตนั้น การที่จะผลักดันให้เกิดการเพ่ิมผลผลิตน้ัน

ต้องอาศัยความร่วมมือกันจากกลุ่มคนฝ่ายต่าง ๆ ทั้งฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง รวมท้ังประชาชนทั่วไป
เน่ืองจากการเพิ่มผลผลิตก่อประโยชน์ให้กับทุกคน และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะได้กระจายเฉล่ีย
ไปอย่างเสมอกันทุกฝ่าย ผู้นาควรจะใช้ทฤษฎีความร่วมมือ (Cooperation.Theory) ท่ีเน้นในการ
สนับสนุนสมาชิกของทีมให้ปฏิบัติต่อกันเสมือนเพ่ือนร่วมงานไม่ใช่คู่แข่งโดยพยายามเน้นคาว่า
“เ พ่ื อ น ร่ ว ม ที ม ”.แ ล ะ ล ด ก า ร ใ ช้ ค า ว่ า .“ลู ก น้ อ ง ”.ห รื อ .“พ นั ก ง า น ”.เ พื่ อ ล ด ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง
สร้างบรรยากาศท่ีดีผู้นาควรมีบทบาทในการสร้างความเช่ือถือ และสร้างแรงจูงใจให้แก่ทีมงาน
ย่อมนามาซ่ึงความเจริญงอกงามขององค์กร เปรียบเสมือนต้นไม้ท่ีออกดอกออกผลอย่างสม่าเสมอ
ทุกฤดูกาลท่ีเรยี กว่า ต้นไม้แหง่ กำรเพ่ิมผลผลติ (ดังรูปภาพ)

มนุษยสมั พนั ธข์ องผ้นู ากับการทางานเปน็ ทมี เพอื่ เพิม่ ผลผลติ 229

D SM E
C

Q กำรเพมิ่ ผลผลิต E

JIT SUGCESTION S A F E T Y

TPM TQM TQC QC + QCC P . M . GROUP

Balanced Scorcard (BSC) Logistics and Supply Chain

กำรรดนำรวนดนิ ใหป้ ุ๋ยตน้ ไม้ มอก. 18000

เท่ำกบั กำรใหก้ ำรศึกษำ

ฝกึ อบรมใหก้ บั พนักงำน ISO 14000

สะสำง ISO 9000 สร้ำงนิสัย
สะอำด QualityสAะดwวaกreness สุขลักษณะ

ภำพท่ี 6.2 ตน้ ไม้แหง่ กำรเพิ่มผลผลิต

Just in time (JIT) = การผลิตแบบทันเวลา

Suggestion = ระบบข้อเสนอแนะ

Safety = ความปลอดภัย

Quality Awaviness = ความตระหนักในคุณภาพ

Total Productive Maintenance (TPM)= ระบบการบารุงรักษาตลอดอายุอปุ กรณ์

Total Quality Management (TQM) = การบรหิ ารทั่วท้ังองค์กรแบบตะวันตก

Total Quality Control (TQC) = การบริหารทั่วทั้งองค์กรแบบญีป่ ุ่น

Quality Control Cycle (QCC) = การสร้างคุณภาพ

Preventive Maintenance Group (P.M.GROUP)= กลุ่มบารงุ รกั ษาป้องกนั

Balanced Scorcard (BSC) = ระบบการวดั ผลการดาเนนิ งาน

Logistics and Supply Chain = โลจิสติกส์และซพั พลายเชน

Quality (Q) = คณุ ภาพ

230 มนุษยสมั พันธ์ทางธุรกิจ

Cost (C) = ตน้ ทุน

Delivery (D) = การส่งมอบ

Safety (S) = ความปลอดภัย

Morale (M) = ขวัญและกาลงั ใจในการทางาน

Environment (E) = ส่งิ แวดล้อม

Ethics (E) = จรรยาบรรณในการดาเนนิ ธุรกจิ

ก่อนอื่นผู้นาต้องทาความเข้าใจต้นไม้แห่งการเพิ่มผลผลิตก่อน เพ่ือเป็นแนวทาง

และแนวคิดในการพัฒนางานเพ่ือการเพิ่มผลผลิต เพราะการเพ่ิมผลผลิตเป็นเครื่องชี้วัดความสาเร็จ

ของหน่วยงาน และเครอ่ื งชวี้ ดั ความสาเรจ็ ในการพฒั นาประเทศ

จากต้นไม้แห่งการเพิ่มผลผลิตจะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้

กับกิจกรรมและระบบบริหารงานท่ีนามาช่วยพัฒนาในการดาเนินงาน จะเริ่มจากการนาเอาระบบ 5 ส.

มาเป็นกิจกรรมพื้นฐานก่อน ตั้งแต่การดูแลตัวเอง อุปกรณ์ เครื่องมือ เคร่ืองจักรและสถานประกอบการ

ตลอดจนการทางานทั่ว ๆ ไป เพราะกิจกรรม 5.ส. จะช่วยให้การดาเนินงานของทุก ๆ กิจกรรม

ดาเนนิ งานลลุ ว่ งไปด้วยดี ซ่ึงเปรียบเสมือนรากของต้นไม้ท่ีดูดซึมน้าและอาหารไปเล้ียงต้นไม้ให้คงอยู่

และอดุ มสมบรู ณต์ ลอดเวลา ถ้าปราศจากรากแล้วต้นไม้ก็ไมส่ ามารถอยู่ได้

ในส่วนที่ต่อจากรากเป็นการสร้างจิตสานึกให้บุคลากรในหน่วยงานทุก ๆ คนได้

ตระหนักถงึ คุณภาพ “คณุ ภาพต้องมาก่อน” คอื ปรัชญาในการทางานทมี่ ุ่งเน้นให้ความสาคัญต่อลูกค้า

สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า โดยการพฒั นาสินคา้ และบริการเป็นสาคัญประกอบการสร้างมนุษยสัมพันธ์

กับลูกค้าและบุคคลที่เก่ียวข้องกับการประกอบธุรกิจ ซ่ึงเปรียบเสมือนโคนต้นไม้ที่ยึดติดแน่นท่ีทุกคน

จะต้องคานึงถึงคุณภาพเป็นสาคัญ เพื่อให้ได้คุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ ต้องคานึงถึง

สภาพแวดล้อมด้วย.ส่วนสวัสดิการความปลอดภัยของพนักงานดังกล่าว ต้องนามาตรฐานระบบ

บรหิ ารคณุ ภาพ ISO.9000.ระบบมาตรฐาน ISO.14000 และมาตราฐานอุตสาหกรรม (มอก.) 18000

มาปรับใช้เพื่อลาต้นของต้นไม้จะมีความแข็งแรงคงทน เม่ือคุณภาพบวกกับการเพิ่มผลผลิต

ท่ีมีประสิทธิผลตามระบบคุณภาพ ISO.9000.แล้วการรดน้าพรวนดินให้ปุ๋ยต้นไม้เท่ากับเป็นการให้

การศึกษาให้พนักงานมีความรู้ทักษะ และความสามารถที่จะนาวิธีการใหม่ ๆ มาพัฒนาและปรับปรุงให้มี

ประสทิ ธภิ าพและเกิดประสิทธผิ ลในการดาเนนิ งานมากยิง่ ขึ้น

การนาเทคนิคการเพ่ิมผลผลิต โดยให้พนักงานมีส่วนร่วม และระบบบริหารต่าง ๆ

ทผ่ี นู้ าควรนามาใช้ ซง่ึ เปน็ การบริหารที่ได้พัฒนามาจากแนวคิดการบริหาร จากการควบคุมคุณภาพ

เชิงสถิติของ ดร. เดมม่ิง โดยมีการพัฒนามาจากการควบคุมคุณภาพก่อนแล้ว และมีการพัฒนา

วิธีการดาเนินการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น QC, QCC, JIT, TPM, PM. Group, Safety, Suggestion, TQM,

TQC, Balanced Scorcard (BSC), หรือ Logistics and Supply Chain เป็นต้น ซ่ึงระบบและกิจกรรม

เหล่าน้ีจะกระจายอยู่เต็มต้นไม้ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมขององค์กรที่จะนาเอาระบบใดมาใช้.เพ่ือจะได้

องคป์ ระกอบการเพิ่มผลผลิตท้ัง 7 ประการ คือ Q C D S M E E ซ่ึงเป็นองค์ประกอบท่ีส่งผลให้เกิดการ

มนุษยสัมพนั ธ์ของผนู้ ากบั การทางานเป็นทมี เพือ่ เพิม่ ผลผลิต 231

เพ่ิมผลผลิตท่ียั่งยืน ตลอดจนมีการสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีและการสร้างคุณธรรมขององค์กรน้ัน.ๆ
องค์ประกอบทั้ง 7.มีคุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบเป็นองค์ประกอบท่ีองค์กรต้องปฏิบัติเพ่ือลูกค้า
องค์ประกอบด้านความปลอดภัยและสร้างขวัญกาลังใจในการทางานเป็นองค์ประกอบ ท่ีองค์กรต้องปฏิบัติ
ต่อพนักงาน และองค์ประกอบสภาพส่ิงแวดล้อมและจรรยาบรรณในการดาเนินธุรกิจ เป็นองค์ประกอบ
ที่องค์กรต้องปฏิบัติเพื่อสังคมส่วนรวม ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 7.จะมีผลทาให้ต้นทุนการผลิตต่าลง
ซ่ึงเป็นแนวทางการเพ่ิมผลผลิตท่ีได้ผลสูงสุด“คือการเพ่ิมผลผลิตโดยการลดต้นทุนในการผลิต”
ซ่งึ เปน็ แนวทางทีท่ ุกองคก์ รต้องการ เพื่อนาความเจรญิ ก้าวหน้ามาส่อู งคก์ รน้ัน ๆ

3. สำเหตทุ ี่ต้องทำกำรเพิม่ ผลผลิต
ในการบริหารงานขององค์กรทางธุรกิจย่อมต้องการให้ได้ผลผลิตท่ีดีข้ึนเพ่ิมขึ้นทุกวัน

ผู้นายุคใหม่ควรจะต้องทราบวิธีการเพ่ิมผลผลิตและรู้ถึงสาเหตุท่ีต้องทาการเพ่ิมผลผลิตในองค์กร
เพื่อการทางานท่ีมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ตลอดจนนาหลักมนุษยสัมพันธ์
มาประยุกต์ใช้ร่วมกับการเพ่ิมผลผลิตก็จะทาให้เกิดความสมบูรณ์ทั้งงานและคน โดยสาเหตุที่ต้อง
ทาการเพ่มิ ผลผลิต มีดงั ตอ่ ไปน้ี

3.1 เพ่ือใช้ทรัพยำกรอย่ำงประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจัยในการเพิ่ม
ผลผลิต คือ ทรัพยากรต่าง.ๆ.ท่ีมีอยู่อย่างจากัด มีโอกาสหมดลงและขาดแคลนได้ง่าย.ๆ.ถ้านา
แนวทางการเพ่ิมผลิตมาใช้ จะเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดการ
สญู เสียนอ้ ยที่สุด เป็นการประหยดั ทรพั ยากรใหค้ นรุน่ หลังไดม้ โี อกาสใช้

3.2 เพ่ือให้สำมำรถสู้กับคู่แข่งขันในตลำดทังภำยในและต่ำงประเทศได้ การเพิ่ม
ผลผลิตที่สูงข้ึน หมายถึง การทางานท่ีถูกต้องมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลสูง หากมีการปรับปรุง
เพิ่มผลผลิตแล้วจะทาให้งานมีคุณภาพ รวดเร็ว ต้นทุนต่า องค์การจะมีขีดความสามารถสูงท่ีจะแข่งขัน
กับคู่แขง่ ทง้ั ตลาดภายในประเทศและต่างประเทศได้

3.3 เพ่ือยกระดับคุณภำพชีวิตท่ีดีขึนการปรับปรุงการผลิตเป็นวิถีทางท่ีจะนาไปสู่
เป้าหมายสาคัญสูงสุดขององค์กร คือการยกระดับมาตรฐานคุณภาพขององค์กรให้ดีขึ้น การเพิ่มผลผลิต
จะเป็นวิถีทางท่ีทาให้ทุกคนในองค์กรได้ผลตอบแทน หรือค่าจ้างดีขึ้น ยามเศรษฐกิจตกต่าการเพ่ิม
ผลผลิตจะเป็นเครื่องมือช่วยให้องค์กรทั้งหลายอยู่รอดและสู้กับคู่แข่งได้ สามารถลดต้นทุนและรักษา
ระดับการจา้ งงานไว้ได้

ในสภาวะที่เศรษฐกิจเจริญเติบโต การเพิ่มผลผลิตสูงข้ึนจะหมายถึงเงินเดือน ค่าจ้าง
สิทธิประโยชน์เพิ่มข้ึนและในทางตรงกันข้ามในสภาวะท่ีเศรษฐกิจตกต่า การเพิ่มผลผลิตสูงข้ึน
จะหมายถึงหลักประกันของความมัน่ คงในงานสาหรับพนักงานทุกคน

ผู้นาควรสรา้ งแรงจูงใจใหเ้ กดิ ความทุ่มเทและผูกพนั ในองคก์ รมากข้นึ ไม่ว่าจะเป็นการ
เพมิ่ เงินเดือน การใหโ้ บนัส เปน็ ตน้ ดังน้นั ถา้ หากผู้นาอยากเห็นองค์กรมีการเพม่ิ ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง
ผนู้ าควรมีมนษุ ยสมั พนั ธท์ ด่ี กี ับทมี งานและสรา้ งแรงจูงใจใหก้ ับพนักงานอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา

232 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ

ดังนั้น การเพ่ิมผลผลิตจึงเป็นตัวช้ีวัดความอยู่รอดขององค์กร หน่วยงานและ
ประเทศชาติ

4. ประโยชน์ท่ไี ดจ้ ำกกำรเพ่มิ ผลผลิต
การปรับปรุงในการเพ่ิมผลผลิต เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้นาและทุก ๆ คน

ในองค์กรในการร่วมแรงร่วมใจกันในการช่วยให้ผลผลิตเพ่ิมขึ้น ซ่ึงนอกจากหลักการในการ
เพิ่มผลผลิตแล้วยังต้องอาศัยหลักมนุษยสัมพันธ์เข้ามาเสริมแรงอีกทางหน่ึง จึงจะทาให้สามารถ
เพิ่มผลผลิตได้ นามาซึ่งผลประโยชน์ท่ีได้รับจากการเพ่ิมผลผลิตจะกลับคืนสู่ทุกคน ในองค์กร
ในรปู แบบตา่ ง ๆ ดงั นี้

4.1 ประโยชน์ของกำรเพิ่มผลผลติ ท่พี นักงำนได้รับ
4.1.1 ได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์ตอบแทนจากการทางานอย่างยุติธรรมและ

สูงขน้ึ
4.1.2 มีสภาพการทางานในโรงงานดีข้ึน สะอาด มีระเบียบ เรียบร้อย ทาให้

สขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ดขี ้นึ ตามไปดว้ ย
4.1.3 มีความมน่ั คงในการทางาน ไม่ถกู ปลดออกจากงาน
4.1.4 มีคณุ ภาพชีวิตท่ีดีขึ้น
4.1.5 ไดม้ ีการปรับปรุงพฒั นาตวั เองอยเู่ สมอ ท้ังในด้านทกั ษะ ความสามารถ

4.2 ประโยชน์ของกำรเพ่ิมผลผลิตทผ่ี ูบ้ ริโภคได้รับ
4.2.1 ได้รับสินค้าและบรกิ ารที่มคี ณุ ภาพสงู ขนึ้ เพราะการแขง่ ขนั สูงในธรุ กิจ
4.2.2 สนิ ค้าและบรกิ ารมรี าคาถกู ลง ทาใหล้ ดค่าใช้จ่ายในการจดั ซือ้ และบรกิ าร

4.3 ประโยชนข์ องกำรเพิม่ ผลผลิตท่ผี ู้ประกอบกำรได้รับ
4.3.1 สามารถขยายการลงทนุ ได้มากขึ้น มีสินค้าและบรกิ ารเสนอในตลาดมากขน้ึ
4.3.2 สามารถสรา้ งโอกาสในการทางานมากขนึ้
4.3.3 ช่วยยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยี ซ่ึงมีผลต่อการปรับปรุง

คุณภาพของสินคา้
4.4 ประโยชนข์ องกำรเพม่ิ ผลผลติ ทร่ี ัฐบำลไดร้ ับ
4.4.1 จัดหาบริการใหส้ ังคมไดม้ ากขนึ้ และดขี ึ้นกว่าเดมิ
4.4.2 สามารถดาเนินการตามโครงการพัฒนาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิผล

มากข้ึน
4.5 ประโยชน์ของกำรเพม่ิ ผลผลติ ทป่ี ระเทศชำตไิ ด้รับ
4.5.1 ชว่ ยลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟอ้
4.5.2 ชว่ ยให้มาตรฐานการครองชพี ของประชาชนสงู ขนึ้
4.5.3 ทาใหม้ ีการขยายและกระจายโอกาสจ้างงานมากขึน้
4.5.4 ขจดั และลดความขัดแย้งกันทางสงั คม

มนุษยสัมพันธข์ องผู้นากบั การทางานเปน็ ทมี เพอื่ เพม่ิ ผลผลิต 233

จากประโยชนท์ ี่ไดจ้ ากการเพม่ิ ผลผลติ น้นั สง่ ผลให้บุคคลหลายกลุ่มได้รับผลประโยชน์
นามาซ่ึงความสาเร็จขององค์กรที่ได้ผลผลิตท่ีเพ่ิมข้ึน ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ
พนักงานได้รับความมั่นคงในการทางานอ ตลอดจนสังคมและประเทศชาติมีรายได้เพ่ิมขึ้นจากมี
สินคา้ และบริการทีด่ มี ีคณุ ภาพ นามาซงึ่ ความสุขให้กบั บคุ ลากรทุกกล่มุ ที่เกยี่ วขอ้ ง

5. ควำมสำคัญในกำรปรบั ปรุงกำรเพ่มิ ผลผลติ
ผู้นาควรให้ความสาคัญในการปรับปรุงการเพ่ิมผลผลิตโดยใช้หลักมนุษยสัมพันธ์

กบั การทางานเปน็ ทีมเข้ามาใช้ในการปรับปรุงการเพ่ิมผลผลิตและเพ่ือให้เหมาะสมหรือคุ้มค่ากับการ
ลงทนุ เพราะจะสง่ ผลถงึ ทมี งาน องค์กรและผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องกับผลผลิต ดังนั้นจึงต้องปรับปรุงคุณภาพ
อยูเ่ สมอ โดยมีวธิ ีการปรับปรุงดงั นี้

5.1 กำรปรับปรุงกำรเพิ่มผลผลิต เป็นแนวคิดที่สอนให้ผู้นาไม่ประมาทในการก้าวไป
ข้างหน้า และหลงระเริงกับความสาเร็จในอดีตท่ีผ่านมา เพราะความสาเร็จในอดีตไม่ได้รับประกัน
ความสาเร็จในอนาคต ต้องทาวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน และทาพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันน้ี ด้วยการปรับปรุง
ส่ิงต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ พร้อมกับพัฒนาตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกท่ีเกิดข้ึน
ตลอดเวลา เท่าน้ันกจ็ ะเป็นปัจจัยสู่ความสาเรจ็ ในอนาคตได้

5.2 กำรปรับปรุงกลยทุ ธท์ ำงธรุ กิจ ในปัจจุบันการดาเนินธุรกิจอยู่ในสภาวะการแข่งขัน
กันอย่างรุนแรง มีการเปิดเสรีทางการค้ามากย่ิงขึ้น ทั้งในภูมิภาคเอเซียด้วยกันและในตลาดโลก คู่แข่ง
ทางการค้าต่างก็พัฒนาปรับปรุงตนเองตลอดเวลา เพ่ือชัยชนะในการแข่งขันเพ่ือความอยู่รอดในพายุ
สงครามทางการคา้ และเพ่ือความเจรญิ ก้าวหน้าม่ันคงในธุรกิจอย่างแท้จริง ผู้นาจึงต้องเร่งรัด ปรับปรุงและ
หาวิธีการเพ่ิมผลผลิตหลาย ๆ วิธี เพราะเป็นวิถีทางท่ีจะนาไปสู่เป้าหมายสาคัญสูงสุดนั่นคือ
การยกระดบั มาตรฐานองค์กรและคณุ ภาพชวี ติ ทีด่ ีข้ึนของคนในองคก์ ร

ในการดาเนินธุรกิจในปัจจุบัน ผู้นาจาเป็นต้องให้ความสาคัญในการปรับปรุงการเพิ่ม
ผลผลิตให้มาก เพ่อื จะสามารถอยู่ในตลาดของการแข่งขันในปัจจุบัน ประกอบกับผู้นาต้องเอาใจของ
พนักงานท่ีเป็นตัวขับเคล่ือนในการผลิตสินค้าและบริการให้เขารักที่จะอยู่และทุ่มเทแรงกายแรงใจ
ให้กับองค์กรของผู้นา เพราะพนักงานถือว่าเป็นปัจจัยท่ีมีความสาคัญในการผลิตสินค้าและบริการ
พนักงานสามารถทางานได้ต่ากว่ามาตรฐานถ้าใจเขาไม่รักท่ีจะทา และในเวลาเดียวกันพนักงาน
ก็สามารถทางานได้สูงกว่ามาตรฐานถ้าใจเขารักท่ีจะทางาน ดังนั้นผู้นาจึงควรสร้างสัมพันธภาพ
กบั พนักงานไว้เพือ่ ใหง้ านออกมาดีมีคณุ ภาพและพนักงานก็มีความสุขกบั การทางานกบั ผนู้ า

6. ปัจจัยในกำรเพมิ่ ผลผลิต
ในการเพิม่ ผลผลติ ผู้นาองค์กรควรคานึงถึงปัจจัยต่างๆ ในการเพ่ิมผลผลิตขององค์กร

ซง่ึ มปี ัจจัยทีส่ าคัญอยู่ 2 ประการ คือ ทนุ และกาลงั คน
6.1 ทนุ เปน็ ปัจจยั ในการเพมิ่ ผลผลิตแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี
6.1.1 เครื่องจักร ซ่ึงครอบคลุมเครื่องจักร (Hardware).เช่น ระบบเคร่ืองกล

ระบบอัตโนมตั ิ ระบบคอมพิวเตอร์ หุน่ ยนต์ เป็นตน้

234 มนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กิจ

6.1.2 เทคโนโลยีซึ่งหมายถึง (Software).การวิจัยและพัฒนา.เทคโนโลยี
การผลติ เทคโนโลยี ด้านผลติ ภัณฑ์ ข้อมูลทางวิศวกรรม

6.2 กำลังคน เป็นปัจจัยในการผลิตด้านแรงงาน มีปัจจัย 6 ประการที่เป็นตัว
กาหนดการเพิ่มผลผลิต คือ.ทัศนคติในการทางาน.ระดับทักษะในการทางาน.สัมพันธภาพของ
พ นั ก ง า น แ ล ะ ฝ่ า ย บ ริ ห า ร .ก า ร บ ริ ห า ร ก า ร เ พิ่ ม ผ ล ผ ลิ ต .ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ลั ง ค น และค ว า ม เ ป็ น
ผู้ประกอบการ

จะเหน็ ได้ว่าปจั จยั ในการเพิ่มผลผลติ เน้นทีท่ ุนกับคน ซ่ึง 2.สิ่งน้ีเป็นส่ิงที่มีความสาคัญ
และจาเปน็ ต่อการเพ่ิมผลผลติ ในการประกอบธรุ กจิ เป็นอยา่ งมาก โดยปัจจัยเกีย่ วกบั ทนุ เป็นปัจจัยท่ีมี
ลักษณะชัดเจนตายตัว ผู้นาสามารถหยิบมาวางแผนและดาเนินการตามกระบวนการเพิ่มผลผลิต
ได้เลย ส่วนอีกปัจจัยคือคน ผู้นาต้องอาศัยศิลป์ในการโน้มน้าวจูงใจ การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคน
ให้คนทางานใหก้ บั ผู้นาออกมามีคุณภาพและคนต้องมคี วามเตม็ ใจ มีความสขุ กบั การทางานดว้ ย

7. ปัจจัยทก่ี ระทบต่อกำรเพม่ิ ผลผลิต
ผู้นาควรมีศึกษาปัจจัยที่กระทบต่อการเพ่ิมผลผลิต เพ่ือเตรียมพร้อมวางแผนในการ

เพ่ิมผลผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงมีปัจจัยท่ีส่งผลกระทบต่อการปรับปรุงอยู่ 2.ปัจจัยท่ีสาคัญคือ
ความสญู เสยี ตา่ ง ๆ และทศั นคติในการทางาน

ทั้งสองปัจจัยเปรียบเสมือนศัตรูตัวร้ายของการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต ซึ่งซ่อนอยู่
ในทุกหนทุกแห่งในระหว่างการทางาน หากผู้นาไม่คอยหม่ันสังเกต ก็อาจทาให้เคยชินต่อการทากิจกรรม
ตา่ ง ๆ โดยมีการสญู เสียเกิดข้ึนตลอดเวลาโดยไมร่ ตู้ ัว

7.1 ควำมสูญเสีย (Waste)
ความสญู เสียจะเกดิ ขึน้ ตลอดเวลาถา้ เราไมม่ กี ารปรับปรุงการเพ่ิมผลผลิตมีหลาย

สิ่งหลายอย่างที่สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ตามแนวทางการเพ่ิมผลผลิต แบ่งการสูญเสียออกเป็น
2 ดา้ น

7.1.1 ควำมสูญเสยี ในชวี ติ ประจำวัน ประกอบด้วย
1) การขาดจิตสานึกเรื่องความปลอดภัยในการดาเนินชีวิตประจาวัน

ขาดวนิ ยั ในการขา้ มถนน การใช้ทางมา้ ลาย เปน็ ต้น
2) การไม่มีวินัยในการวางแผนทาสิ่งต่าง ๆ ทาให้เสียเวลาเปล่า

ประโยชน์
3) การไม่ต้ังใจศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อให้เกิดทักษะชานาญ

ในการประกอบอาชพี ได้ ทาใหเ้ สียค่าเรยี นโดยเปลา่ ประโยชน์
4) การเปิดไฟฟา้ ท้งิ เปิดนา้ ทงิ้ ทาให้สญู เสียค่าใช้จา่ ยท่ไี ม่จาเปน็
5) การกนิ ทง้ิ กนิ ขว้างทาใหเ้ กดิ การสญู เปล่าทางทรัพยากร เป็นต้น

มนุษยสัมพันธ์ของผู้นากบั การทางานเป็นทีมเพอ่ื เพ่ิมผลผลิต 235

การขาดจิตสานึกเหล่าน้ีก่อให้เกิดการสูญเสียในชีวิตประจาวันซึ่งผู้นาและ
บุคลากรในองค์กรสามารถร่วมกันขจัดความสูญเสียด้วยการหาวิธีที่ดีท่ีสุดในการทากิจกรรม เพ่ือให้
ทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างจากัดและมีประโยชน์

7.1.2 ควำมสญู เสยี ในทีท่ ำงำน ประกอบด้วย
1) ทางด้านวัตถุดิบ.คือการท่ีพนักงานในองค์การไม่มีการวางแผน

ในการใช้วัตถุดิบในการผลิต ทาให้เกิดเศษเหลือของวัตถุดิบโดยไม่จาเป็น หรือการจัดซ้ือวัตถุดิบ
มาสารองไว้มากเกินไปอาจทาให้วัตถุดิบหมดอายุ เปลืองพ้ืนท่ีในการจัดเก็บตลอดจนทาให้เงินทุน
หมนุ เวยี นต้องมาอยใู่ นส่วนน้มี ากเกินไปแทนท่จี ะได้นาเงินทุนไปทาประโยชน์อยา่ งอื่นได้

2) ทางด้านคนงาน.คือการท่ีผู้นาไม่มีการวางแผนกาลังคนในการทางาน
ทาให้เกดิ การทางานซา้ ซอ้ นหรืออาจทาให้งานบางงานไม่มีใครรับผิดชอบ บางกรณีทาให้มีคนทางาน
เยอะเกนิ ไปหรือนอ้ ยเกินไปทาให้องค์กรเกิดสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์

3) ทางด้านเครื่องจักร.คือการท่ีองค์กรและผู้นาไม่มีการดูแลรักษา
ซ่อมบารุงเครื่องจักรเป็นประจา สม่าเสมอ ทาให้ต้องเสียเวลาในการซ่อมเครื่องจักรเป็นระยะ
เวลานาน อีกทั้งไม่มีการมองหาเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยให้การผลิตสินค้าให้ได้
มาตรฐานและผลิตได้ในปริมาณมากๆ ตามที่ลูกค้าต้องการได้ ถือว่าเป็นการสูญเสียโอกาสท่ีจะทาให้
องค์กรได้รับรายได้

4) ทางด้านวิธีการผลิต.คือ การท่ีไม่มีการวางแผนและกาหนดวิธีการ
ผลิตที่ชัดเจน ทาให้เกิดการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานคุณภาพไม่สม่าเสมอ ย่อมส่งผลเสียต่อองค์กร
และลูกค้าท่ีจะเกิดความรู้สึกไม่ประทับใจกับคุณภาพของสินค้าท่ีเกิดจากการผลิตท่ีไม่ได้คุณภาพ
ขององค์กร

การสูญเสียท่ีเกิดข้ึนจะซ่อนอยู่ในทุกกิจกรรมภายในองค์กร ดังนั้นผู้นา
จึงต้องร่วมกนั ลดความสญู เสียทกุ รูปแบบเพือ่ ปรับปรุงการเพม่ิ ผลผลิตขององค์กรใหส้ งู ขึ้น

7.2 ทศั นคตกิ ำรเพิ่มผลผลิตในกำรทำงำน
การเพ่ิมผลผลิตเป็นทัศนคติของผู้นาองค์กรทุกองค์กร ท่ีจะแสวงหาทางปรับปรุง

อยู่เสมอ ถ้าทาให้พนักงานทุกคนในองค์กรมีทัศนคติดังกล่าวนี้ได้ การปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทา
ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงที่ดีขึน้ อย่างมาก องค์กรน้ันก็จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล ที่สาคัญพนักงาน
ตอ้ งมที ศั นคติทีด่ ีต่อองค์กรมีความรักองค์กร จึงจะท่มุ เทให้แกอ่ งคก์ ร ทัศนคติท่ีดีย่อมนามาซ่ึงพฤติกรรมท่ี
ดีถูกต้องเหมาะสม และการอุทิศทุ่มเทให้กับองค์กร ทัศนคติที่ดีต่อองค์กรมักจะมาจากความเข้าใจ
ทีด่ ตี ่อองคก์ ร ต่อผบู้ ริหาร ต่อผู้รว่ มงานและการมสี ่วนร่วมในเร่ืองต่าง ๆ ในองค์กร

เรอื่ งทัศนคติในการทางานจงึ เป็นเรื่องสาคัญมากและเก่ยี วพนั กบั สง่ิ ตา่ ง ๆ เหล่านี้คือ
ความมีระเบียบวนิ ัย การตรงต่อเวลา การปฏบิ ัตติ ามกฎระเบียบ การปฏบิ ัติตามคู่มือ การรักษาความ
สะดวกเรียบร้อยของสถานท่ีทางาน ผู้นาองค์กรควรให้ความสาคัญและยึดถือเป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้
เกดิ ความเจริญกับองคก์ ร

236 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ

7.3 กำรแก้ไขปัญหำเกี่ยวกับปัจจัยท่ีกระทบต่อกำรเพ่ิมผลผลิต ผู้นาองค์กร
สามารถทาไดโ้ ดย

7.3.1 คน้ หาความสญู เสียที่ซ่อนอยู่และเร่งรัดขจัดความสูญเสียนั้นให้เหลือน้อย
ทีส่ ดุ เป็นแนวทางช่วยให้การเพ่มิ ผลผลติ สงู ขน้ึ

7.3.2 ความสูญเสียท่ีเป็นศัตรูของการเพ่ิมผลผลิต จะซ่อนตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ทกุ สถานที่ ทุกกจิ กรรม ทัง้ ในชีวิตประจาวันและในระหวา่ งทางาน ต้องคอยหมั่นสังเกตและแกไ้ ข

7.3.3 ขจัดความสูญเสียในชีวิตประจาวัน ต้องระลึกเสมอว่าต้องหาวิธีท่ีดี
ทากจิ กรรมนน้ั เพือ่ ให้ทรัพยากรถูกนาไปใช้อย่างเกดิ ประโยชน์

7.3.4 ขจัดความสูญเสียในโรงงาน สามารถพิจารณา ตรวจสอบจากปัจจัย
การผลิตที่ใช้ในแง่วัตถุดิบ แรงงาน เครื่องจักร และวิธีการผลิตพร้อมกับสร้างขวัญกาลังใจในการ
ทางาน การสร้างจิตสานึกแห่งความรับผิดชอบให้กับบุคลากรและหัวหน้างานควรจัดฝึกอบรม สอนงาน
เป็นการพฒั นาบุคลากร

การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเพ่ิมผลผลิตถือว่าเป็นสิ่งที่
ผ้นู าองค์กรควรให้ความสาคญั และตระหนักเป็นอยา่ งมาก เพราะการมองเห็นปัญหาแล้วหาทางแก้ไข
เพื่อให้องค์สามารถบริหารการผลิตและสามารถเพ่ิมผลิตของสินค้าและบริการให้มีคุณภาพที่ดีข้ึน
ย่อมนามาซ่ึงลูกค้าที่มีความสนใจในสินค้าและบริการ ทาให้องค์กรเกิดรายได้และยอดขายที่เพ่ิมขึ้น
และยงั สร้างความประทบั ใจในด้านคุณภาพที่เพิ่มขึน้ ให้กบั ลกู ค้าอีกด้วย

8. บทบำทของทมี งำนส่งผลต่อกำรเพม่ิ ผลผลติ
ผู้นาควรให้ความสาคัญกับการเพ่ิมผลผลิตในองค์กรซึ่งในการเพิ่มผลผลิตนั้นจะต้อง

อาศัยปัจจัยหลัก 4 ประการ คือ คน ทุน การบริหารจัดการ และวัตถุดิบ ซ่ึงท้ัง 4 ปัจจัย ถือว่าเป็น
ปัจจัยท่ีสาคัญมากที่ช่วยทาให้การขับเคลื่อนกลไกการเพ่ิมผลผลิตให้สูงขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยด้านคน
หรือทีมงานถือว่ามีความสาคัญมากเพราะเป็นผู้คิดค้นระบบการบริหารจัดการท่ีดีต่อองค์กร
ผู้นาจึงควรที่จะเอาใจใส่ดูแลคนให้ดีโดยการดูแลสวัสดิการต่าง ๆ และหม่ันสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
กับคนกล่มุ นีไ้ ว้ ซง่ึ บทบาทของทมี งานในการเพิม่ ผลผลติ มดี ังนี้

8.1 พนักงำนช่วยในกำรเพ่ิมผลผลิต
ผู้นาและทุกคนในองค์กรล้วนมีความสาคัญต่อความสาเร็จ ในการเพิ่มผลผลิต

ท่ีย่ังยืนด้วยกันท้ังส้ิน ด้วยบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบแตกต่างกันออกไป พนักงานในองค์กรสามารถ
เพิม่ ผลผลิตตามแนวทางตอ่ ไปนี้

8.1.1 เขา้ ใจเป้าหมายและนโยบายของหนว่ ยงาน
8.1.2 เรยี นรงู้ านและคิดปรบั ปรุงสงิ่ ตา่ ง ๆ อยู่เสมอ
8.1.3 เปิดใจรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ผู้อ่ืน
8.1.4 มที ศั นคติที่ดใี นการทางาน
8.1.5 เสียสละ แรงกาย แรงใจ เพื่อใหไ้ ดต้ ามกาหนดเป้าหมาย

มนุษยสมั พันธ์ของผู้นากบั การทางานเปน็ ทมี เพอื่ เพมิ่ ผลผลิต 237

8.1.6 เขา้ ใจและสามารถทางานเป็นทมี ได้
8.1.7 มมี นุษยสัมพนั ธท์ ่ดี ีกบั เพ่ือนรว่ มงาน
8.1.8 รจู้ ักวางแผนล่วงหน้าและใช้เวลาให้คมุ้ คา่
8.1.9 มที ักษะในการสือ่ สารที่ดีทว่ั ทงั้ องค์กร
8.1.10 ชว่ ยกันผลิตสนิ ค้าและบรกิ ารที่มีคณุ ภาพสูง
8.1.11 ช่วยกันประหยดั และลดความสูญเสียต่าง ๆ
8.1.12 ปฏิบตั ิตามกฎระเบียบของหนว่ ยงานนนั้ ๆ อยา่ งเครง่ ครดั
8.1.13 ใหค้ วามรว่ มมอื ต่อกิจกรรมตา่ ง ๆ ของหนว่ ยงาน
8.1.14 ช่วยกนั รกั ษาความสะอาดพน้ื ที่และสถานทที่ างาน
8.1.15 ไม่ก่อให้เกิดอบุ ัติเหตุในการทางาน
8.1.16 อยา่ ขาดงานถ้าไม่จาเป็นมาสายนอ้ ยลง
8.1.17 ทางานดว้ ยวิธที เี่ หมาะสมใหช้ านาญขนึ้
8.1.18 เอาใจใส่ดแู ล ซ่อมแซม เครอื่ งจกั ร อปุ กรณม์ ากขึ้น
8.1.19 ทางานหนักขน้ึ และมากขน้ึ เพื่อเพ่มิ ประสบการณ์และอนาคตที่ดขี ้นึ
8.1.20 ให้คาแนะนาท่ีเป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมงานด้วยความหวังดีและ
เต็มใจ
พนักงานเป็นบุคลากรท่ีมีความสาคัญสาหรับการบริหารและขับเคลื่อนองค์กร
ในทกุ ๆ ด้านไม่เพยี งเฉพาะที่ส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตเท่าน้ัน ซ่ึงการเพ่ิมผลผลิตให้กับองค์กรได้น้ัน
เป็นสิ่งสาคัญท่ีจะทาให้องค์กรเกิดมาตรฐานและคุณภาพที่ดีข้ึน พนักงานจึงเป็นเฟืองจักรท่ีสาคัญ
ขององคก์ รในยคุ ปจั จบุ ัน
8.2 หัวหน้ำงำนช่วยในกำรเพ่ิมผลผลติ
หัวหน้างานมีหน้าท่ีดูแลกระบวนการทางานในฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กรซึ่งจะมี
สว่ นชว่ ยในการเพิม่ ผลผลิตได้ดงั นี้
8.2.1 ใหค้ าปรึกษา แนะนาและอบรมความรู้ทักษะต่าง ๆ เพ่ือช่วยให้พนักงาน
มีความรู้ ความสามารถเหมาะสมกบั งาน
8.2.2 ช่วยเหลือให้พนักงานจัดกิจกรรมเพ่ิมผลผลิตต่าง ๆ เช่น กิจกรรม 5.ส
กจิ กรรมขอ้ เสนอแนะและกจิ กรรมกลุ่มคุณภาพ เป็นตน้
8.2.3 ให้การอบรมและจัดทาคู่มือการใช้เครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ถูกวิธีและ
เหมาะสม
8.2.4 มคี วามเข้าใจในการถ่ายทอด ส่อื สาร ขอ้ มลู ใหพ้ นักงาน ผู้บรหิ ารได้ดี
8.2.5 พฒั นาตนเอง และแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ในเร่อื งการทางานอยู่เสมอ
8.2.6 ตรวจตดิ ตามดแู ล การทางานของลกู น้องอยา่ งใกล้ชิด
8.2.7 ให้ขวัญกาลังใจในการทางานกบั ลูกนอ้ ง

238 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ

บุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพนักงานก็คือ หัวหน้างาน
ที่จะต้องคอยให้คาปรึกษาและช่วยเหลอื พนักงานให้สามารถชว่ ยกันเพ่ิมผลผลิตให้กับองค์กร หัวหน้า
งานจงึ ควรหมนั่ สารวจตรวจดตู นเองในเร่ืองความร้คู วามสามารถใหม่ ๆ ในการเพ่ิมผลผลิตมาใส่ตัวไว้
และสามารถถา่ ยทอดใหก้ บั พนักงานนาไปใชไ้ ด้เปน็ อย่างดี

8.3 ผู้นำชว่ ยในกำรเพ่ิมผลผลติ
ผู้นาเป็นปัจจัยท่ีสาคัญในการช่วยปรับปรุงการเพ่ิมผลผลิตและสร้างทีมงาน

ซงึ่ ผนู้ าสามารถช่วยในการเพม่ิ ผลผลติ ไดด้ งั น้ี
8.3.1 ส่งเสรมิ การพฒั นางาน เช่นใหก้ ารอบรม ใหค้ วามรู้ ศกึ ษาดูงาน เพ่ือสร้าง

ความเขา้ ใจ และเปน็ ประโยชนต์ ่อการเพิม่ ผลผลิต
8.3.2 ส่งเสริมให้พนกั งานมีสว่ นรว่ มในการบรหิ ารงานกิจกรรมต่าง ๆ และสร้าง

การประสานงานแตล่ ะฝ่าย
8.3.3 ตรวจเยีย่ มใหก้ าลังใจลกู น้องขณะปฏบิ ัติงานอย่างสมา่ เสมอ
8.3.4 จดั หาวสั ดอุ ปุ กรณท์ ีท่ ันสมัย และเหมาะสมมาชว่ ยในการทางาน
8.3.5 เอาใจใสแ่ ละรับฟงั ข้อมูลตอบรับจากลูกค้า
8.3.6 ขยายการดาเนินงานและตลาดใหก้ วา้ งขนึ้
8.3.7 กระต้นุ ใหม้ ีการเพิ่มผลผลิตสูงขึ้น
ใ น ส่ ว น ข อ ง ผู้ น า อ ง ค์ ก ร มี ค ว า ม จ า เ ป็ น อ ย่ า ง ม า ก ใ น ก า ร ก า ห น ด น โ ย บ า ย

การบริหารจัดการองค์กรให้ไปสู่แนวทางที่สามารถเพ่ิมผลผลิตได้ร่วมกับพนักงาน หัวหน้างาน
ได้อย่างลงตัว โดยผู้นาองค์กรจะต้องเอาใจใส่ดูแลบุคคลทั้ง 2 กลุ่มให้กินดีอยู่ดี มีความสุขเมื่ออยู่
ในองคก์ รแหง่ น้ี และสามารถถ่ายทอดนโยบายการเพ่ิมผลผลิตที่เป็นรูปธรรมให้สามารถสู่การปฏิบัติ
เพ่อื เพิ่มผลผลิตใหก้ ับองคก์ รได้

8.4 องคก์ รหรือหน่วยงำนช่วยกำรเพ่มิ ผลผลิต
ปจั จยั สาคญั ท่หี น่วยงานจะช่วยการปรับปรุงการเพม่ิ ผลผลติ ไดด้ ังน้ี
8.4.1 ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง และจริงใจจากผู้บริหารระดับสูง

ทุก ๆ ด้าน ทั้งเร่ืองงบประมาณ การสร้างขวัญกาลังใจ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเพิ่มผลผลิต
ตา่ ง ๆ

8.4.2 จัดหน่วยงานให้มีบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมท่ีดีเหมาะสม เพื่อเป็น
การกระต้นุ ให้พนกั งานมีความพยายามท่จี ะปรบั ปรงุ การเพม่ิ ผลผลติ

8.4.3 การปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต ต้องปรับปรุงในระยะยาว ต้องจัดทาเป็น
โครงการต่อเน่ือง เพ่ือการดาเนินงานเป็นไปอย่างต่อเน่ือง องค์กรต้องแต่งต้ังคณะทางานขึ้นมา
ทาหน้าที่รบั ผดิ ชอบ

8.4.4 องค์กรต้องสร้างสัมพันธภาพทด่ี ี ระหวา่ งบุคลากรทุกฝ่ายในองค์กร

มนุษยสัมพันธ์ของผนู้ ากับการทางานเป็นทมี เพ่อื เพิม่ ผลผลติ 239

8.4.5 ผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนจากการเพิ่มผลผลิต ต้องจัดสรรประโยชน์แบ่งปันให้กับ
ทุกฝา่ ยท่ีเกย่ี วข้องอย่างเหมาะสม

ในการเพิม่ ผลผลิต เปน็ สิ่งทอ่ี งคก์ รทุกองค์กรตอ้ งการท่ีจะให้เกิดการเพิ่มผลผลิต
ให้กับสินค้าและบริการของตนเอง ดังนั้นผู้บริหารองค์กรจะต้องมีการวางแผนและแนวนโยบาย
ท่ีชัดเจนเพื่อสนับสนุนให้องค์กรเกิดการเพิ่มผลิตได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืนตลอดไปเพื่อให้องค์กร
เป็นองค์กรแห่งการเพิ่มผลิต เพ่ือสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในปัจจุบันท่ีต้องแข่งขันกัน
ที่มาตรฐานคุณภาพสนิ ค้าบรกิ ารทีส่ ูงกวา่ ดกี ว่า

9. องค์ประกอบกำรเพมิ่ ผลผลติ
ในภาวการณ์แข่งขันกันทางด้านธุรกิจในปัจจุบัน ผู้นาองค์กรจะสร้างความเจริญรุ่งเรือง

และสมารถประสบความสาเร็จได้อย่างย่ังยืนได้นั้น คือ เมื่อสามารถสร้างความได้เปรียบในเชิง
การแขง่ ขันดา้ นสนิ คา้ และบรกิ ารทส่ี ร้างความพงึ พอใจให้กับลูกค้าด้วยคุณภาพท่ีดีสม่าเสมอ มีต้นทุนต่า
และการส่งมอบได้ทันเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเน่ืองก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจของผู้นา
และพนักงาน หนว่ ยงานจะตอ้ งสรา้ งสภาพแวดล้อมการทางานท่ีปลอดภัย ตลอดจนผู้นาจะต้องสร้าง
ขวญั กาลงั ใจในการทางานให้กบั พนกั งาน การดาเนินธุรกิจตอ้ งแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยคานึงถึง
สภาพแวดล้อมและจริยธรรม ก็หมายความว่าการเพ่ิมผลผลิตจะมีคุณธรรมและย่ังยืนนั้น ผู้นาจะต้อง
ให้ความสาคัญกับองค์ประกอบต่าง ๆ ดังน้ี คุณภาพ (Quality), ต้นทุน (Cost), การส่งมอบ
(Delivery), ความปลอดภัย (Safety), ขวัญและกาลังใจในการทางาน (Morale), สภาพแวดล้อม
(Environment), และจรรยาบรรณ (Ethics)

ภำพท่ี 6.3 องคป์ ระกอบของกำรเพ่มิ ผลผลติ

240 มนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

จากที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าองค์ประกอบของการเพิ่มผลผลิตที่ดีนั้นมีอยู่ 7
ประการ คือ QCDSMEE ซึ่งส่งผลให้เกิดการเพ่ิมผลผลิตท่ีย่ังยืนและมีคุณธรรม เพราะองค์ประกอบ
เหลา่ น้ีไดส้ นองตอบลูกคา้ สนองตอบตอ่ พนกั งานและสนองตอบต่อสงั คม ดังนี้คือ

1. สนองตอบต่อลูกค้าที่หน่วยงานต้องปฏิบัติ คือ ด้านคุณภาพ ด้านต้นทุนและการ
สง่ มอบเป็นองคป์ ระกอบ

2. สนองตอบต่อพนักงานท่ีหน่วยงานต้องปฏิบัติ คือด้านความปลอดภัยด้านขวัญ
และกาลงั ใจในการทางานเปน็ องค์ประกอบ

3. สนองตอบต่อสังคมที่หน่วยงานต้องปฏิบัติ คือ.ด้านสภาพแวดล้อมและจริยธรรมในการ
ดาเนินธุรกิจเป็นองค์ประกอบ

จากองค์ประกอบในการเพิ่มผลิตท้ัง 7 ประการท่ีกล่าวมา ถือว่าเป็นปัจจัยท่ีสาคัญท่ีผู้นา
องค์กรต้องตระหนัก ศึกษา ทาความเข้าใจและนามาสู่การปฏิบัติได้อย่างดีก็จะทาให้สามารถเพิ่ม
ผลผลิตได้และสามารถตอบสนองความต้องการทั้งของลูกค้า พนักงาน องค์กร สังคมและ
ประเทศชาตไิ ดต้ อ่ ไป

สรปุ ท้ำยบท

ผู้นา หมายถึง ผู้ท่ีมีศิลปะท่ีสามารถมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น.นาบุคคลเหล่านั้นไปโดยได้รับ
ความไว้วางใจและเช่ือใจอย่างเต็มท่ีอีกทั้งยังได้รับความเคารพนับถือ ความร่วมมือและความมั่นใจ
จากผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาอย่างจริงจัง จากความหมายแล้ว ผู้นาจึงมีความสาคัญต่อหน่วยงานและองค์กร
ตา่ ง ๆ ในการท่นี าพาองค์กรไปส่เู ปา้ หมายท่วี างไว้

บทบาทหน้าที่ของผู้นาในปัจจุบันจึงมีบทบาทที่หลากหลายเพ่ือให้การทางานในองค์กร
สามารถดาเนินไปอย่างราบร่ืน ซึ่งบาทบาทหน้าท่ีของผู้นาในองค์กรมีฐานะต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี ผู้นา
ในฐานะผู้บริหาร ผ้วู างแผน ผูก้ าหนดนโยบาย ผู้ชานาญการ ตัวแทนของกลุ่มเพื่อติดต่อกับภายนอก
ผู้ควบคุมวามสัมพันธ์ภายใน ผู้ให้คุณให้โทษ ผู้ไกล่เกลี่ย ฐานะบุคคลตัวอย่าง ฐานะเป็นสัญลักษณ์
ของกลุม่ เป็นตัวแทนความรับผดิ ชอบ ผูม้ ีอุดมคติ ผมู้ แี ต่ความกรุณาและผู้รับผดิ แทน

การแบง่ ประเภทของผนู้ าสามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 5 ประเภท ไดแ้ ก่ ผ้นู าตามลักษณะของการ
ปฏิบตั งิ าน ผู้นาตามลกั ษณะพฤติกรรม ผนู้ าตามลักษณะการบริหารงาน ผู้นาตามลักษณะพฤติกรรม
ท่แี สดงออกและพฤตกิ รรมการทางานและผู้นาตามทฤษฎี 3 มิติ ของเรด็ ดนิ

ลักษณะของผู้นาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ผู้นาที่มีประสิทธิภาพสูงและ
ผู้นาท่ีมีประสิทธิภาพต่า ซึ่งผู้นาท่ีมีประสิทธิภาพสูงมีลักษณะดังน้ี ผู้ทางานตามคาสั่ง นักพัฒนา
ผู้เผด็จการที่มีศิลป์ นักบริหาร ส่วนผู้นาที่มีประสิทธิภาพต่ามีลักษณะดังน้ี ผู้หนีงาน นักบุญ
ผเู้ ผดจ็ การและผปู้ ระนปี ระนอม

มนุษยสัมพนั ธข์ องผนู้ ากับการทางานเป็นทีมเพื่อเพ่มิ ผลผลติ 241

การศกึ ษาการสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ของผนู้ ากับการสรา้ งทมี งาน ประกอบด้วย ความหมาย
ของทีมงาน ความสาคัญในการสร้างทีมงาน แนวคิดและทักษะในการสร้างทีมงาน ลักษณะของ
ทมี งานทมี่ ีประสทิ ธิภาพ ขน้ั ตอนการสรา้ งทมี งาน

มนุษยสัมพันธ์ของผู้นากับการเพ่ิมผลผลิตในการทางานให้กับองค์กร ผู้นาจะต้องทราบ
หลักการพ้ืนฐานของการเพ่ิมผลผลิต สาเหตุท่ีต้องทาการเพิ่มผลผลิตว่ามีสาเหตุเกิดจากสิ่งใด
และต้องรู้ประโยชน์ที่เกิดจากการเพ่ิมผลผลิต ความสาคัญในการปรับปรุงการเพ่ิมผลลิต ปัจจัย
ในการเพิม่ ผลผลติ ปัจจัยท่ีกระทบต่อการเพ่ิมผลผลิต บทบาทของทีมงานท่ีส่งผลต่อการเพ่ิมผลผลิต
และองคป์ ระกอบในการเพ่มิ ผลผลิต

การเพ่ิมผลผลิตให้สูงขึ้นจะต้องประกอบไปด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น คน ทุน
การบริหารจัดการและวตั ถดุ บิ องคป์ ระกอบหลักทั้ง 4 องค์ประกอบไมส่ ามารถอยู่แยกส่วนกันได้หาก
ขาดการเชื่อมโยง ดังท่ีเราเรียกว่า ห่วงโซ่คุณค่า (Value.Chain) ซึ่งจะต้องคานึงถึงทีมงานเป็นหลัก
ในการขับเคลื่อนกลไกต่าง ๆ หากทีมงานขาดการประสานงานการวางแผนอย่างเป็นระบบจากผู้นา
ย่อมสง่ ผลตอ่ การเพ่มิ ผลผลติ ดังนั้นผู้นาทีมงานจึงเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นต่อการทางานและทีมงาน
ทุกคนจะต้องมีทักษะการคิด การปฏิบัติงาน และทักษะสังคม โดยเฉพาะทักษะสังคมในด้าน
มนุษยสัมพันธ์ของคนในองค์การ หากผู้นาสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีต่อทีมงานก็จะช่วยให้เกิด
ความรัก ความสามัคคีเพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังน้ัน องค์กรต้องสร้างมนุษยสัมพันธ์
เพ่ือการทางานเป็นทีมหรือทางานกันด้วยความราบร่ืนและบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ ก็จะสามารถ
เพมิ่ ผลผลิตได้

242 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ

กรณีศึกษำ บทที่ 6

ใครดใี ครอยู่

เศรษฐพงษ์ เป็นนักธุรกิจหนุ่ม ที่ร่ารวยมาก เจ้าของบริษัท ล้ิมวัฒนาถาวรกูล จากัด
(มหาชน) ต้องการขยายฐานการผลิตเคร่ืองใช้ไฟฟ้า ให้ครอบคลุมทั่วประเทศของไทย ได้มอบหมาย
งานให้ วนิษา และพิมประพา ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการด้านการตลาด โดยให้ทางานร่วมกับทีมงาน
ของตนเอง ให้ร่วมกันหาวิธีที่จะทาให้เคร่ืองใช้ไฟฟ้ามีฐานลูกค้ามากเพิ่มข้ึน โดยถ้าหากใคร
คนใดคนหน่ึงสามารถทายอดได้มากท่ีสุด ก็จะได้เล่ือนตาแหน่งเป็นผู้จัดการด้านการตลาด
เพื่อไปประจาในสาขาที่จะเปิดใหม่ โดยท่ี เศรษฐพงษ์ พอจะทราบว่านิสัยของสองคนนี้มาบ้าง
แตเ่ พ่อื ความโปร่งใส เขาจึงตอ้ งให้สองคนน้แี สดงศักยภาพของตนออกมา

ทางด้าน วนิษา เป็นสาวสวย เซ็กซ่ี ที่มีความทะเยอทะยาน ขยัน ชอบเอาชนะคนอ่ืน
และแอบชอบ เศรษฐพงษ์ นอกจากนี้ยังชอบส่ังงานลูกน้องให้ทางานออกมาตามความต้องการ
ของตน แต่เมื่องานเกิดมีปัญหา วนิษา มักจะดุด่าลูกน้องของตนอย่างแรง โดยไม่มีความเกรงใจ
เม่ือเธอได้รับมอบหมายงานให้ไปหาลูกค้ามากขึ้น เพ่ือท่ีจะได้เลื่อนตาแหน่งเป็นผู้จัดการ เธอจึงส่ัง
ลูกน้องในทมี งานให้ไปหาลกู คา้ ตามสถานทต่ี ่าง ๆ และใชว้ ิธกี ารพูดจาหลอกล่อ โดยไม่สนใจว่าวิธีน้ัน
จะถูกหรือผิดก็ตาม โดยสนใจแต่ให้ได้ลูกค้าตามท่ีเธอต้องการเท่าน้ัน ในขณะเดียวกันยังส่ังลูกน้อง
ในทมี งานอกี คนหนึง่ ไปสอดสอ่ งทางทมี ของ พิมประพา ว่าทีมน้ันมีวิธีการหาลูกค้าอย่างไรและให้ไป
ขัดขวาง เพื่อไมใ่ หข้ ายสนิ ค้าได้

ส่วนทางด้านของ พิมประพา เป็นคนเรียบง่าย ต้ังใจทางาน รักองค์กร มีความรับผิดชอบ
งานที่ออกมาทุกช้ินต้องมีคุณภาพมากท่ีสุด เมื่องานเกิดมีปัญหาเธอก็จะรับความผิดไว้เองท้ังหมด
จนทาลูกน้องในทีมไม่ค่อยเกรงกลัวเธอมากเท่าท่ีควร เพราะเธอเป็นคนที่ไม่ถือตัว และไม่ตาหนิ
ลกู ทมี เมือ่ เธอรบั งานท่ไี ดร้ บั มอบหมายแลว้ ก็ทาการประชุมกับลูกทีม เพ่ือหาวิธีที่จะได้ลูกค้ามาเพิ่ม
มากข้ึน โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน.หลังจากน้ันจึงแบ่งงานให้แต่ละคน
ในทีมไปดาเนนิ การตามทไี่ ด้รบั มอบหมายและเธอกเ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ ทจี่ ะทางานร่วมไปกับลูกนอ้ งในทมี

เมื่อทีมของ วนิษา ทราบถึงวิธีการหาลูกค้าของ พิมประพา แล้วเธอก็ส่งลูกน้องไปขัดขวาง
การทางานของพิมประพา จนลูกค้าที่จะซ้ือสินค้าของพิมประพาหันไปซ้ือสินค้าของทีมวนิษา
เกือบทัง้ หมด หลังจากนัน้ เม่อื ผ่านไป เศรษฐพงษ์ จึงเรียกประชุมและสรุปผลการทางาน ทาให้วนิษา
มียอดขายมากกวา่ พิมประพา

เศรษฐพงษ์ ผิดหวังในตัว พิมประพา ท่ีผลงานออกมาไม่ดี เพราะเขาคิดว่าเธอต้องทาได้ดี
มากกว่าน้ี เม่อื ดูจากผลงานทผ่ี ่านมา เขาจงึ ไมก่ ล้าตดั สนิ ใจเลอื กใคร

มนุษยสัมพนั ธข์ องผนู้ ากับการทางานเป็นทีมเพ่อื เพม่ิ ผลผลติ 243

คำถำม
1. ท่านคดิ วา่ การทางานเปน็ ทีมของวนษิ า และ พิมประพา มีความแตกต่างกนั อยา่ งไร
2. ถ้าหากนกั ศกึ ษาเป็นเศรษฐพงษ์ นกั ศึกษาจะตัดสินใจอย่างไร เพราะเหตใุ ด
3. ถ้าหากนักศึกษาเป็นเพ่ือนของเศรษฐพงษ์ และรู้ความจริงท่ีเกิดข้ึน ท่านจะแนะนา
เศรษฐพงษอ์ ย่างไรเพราะอะไร

กจิ กรรม บทท่ี 6
เกม เลง็ ดี ๆ

วัตถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให้เกดิ ความสนุกสนาน

2. เพ่อื ฝึกทกั ษะการเปน็ ผู้นา

3. เพือ่ ฝึกการฟงั คาสัง่

4. เพอ่ื ฝึกการส่อื สารกันภายในทีมเดยี วกนั

5. ฝึกการทางานเป็นทีม

จำนวนผู้เล่น 20-30 คน โดยแบ่งเป็นกล่มุ 5 คน 6 กลุ่ม

อปุ กรณ์ 1. เชอื กฟางตดั ยาวประมาณ 3 เมตร จานวนเทา่ กบั สมาชิกภายในกลุ่ม

2. ขวดน้า

3. ดนิ สอ โดยนาเชือกฟางทุกเส้นผูกกบั ดินสอ ส่วนอกี ดา้ นผกู เอวสมาชิก

ภายในกลุ่ม

สถำนที่ หอ้ งเรยี น

เวลำ 20 - 30 นาที

วิธเี ล่น 1. ผ้นู ากิจกรรมบอกให้ทกุ คนยืนข้นึ เป็นวงกลม แลว้ นับ 1-5 ใครนับเลขอะไรก็ให้

รวมเป็นกลุม่ เดยี วกัน

2. ผนู้ ากิจกรรมชแ้ี จงวา่ ให้เลือกหวั หน้ากลุ่มเพื่อเปน็ คนนากลุ่ม

3. ผูน้ ากิจกรรมช้ีแจงตอ่ ว่าใหแ้ ต่ละกลมุ่ เอาเชือกดา้ นหนึ่งของทุกคนผูกกับดินสอ

แลว้ อีกดา้ นของเชอื กผกู ไว้ท่ีเอวของสมาชิก

4. จากน้ันให้สมาชิกแต่ละคนหันหน้าออกจากกลุ่ม แล้วผู้นากิจกรรมนาขวดน้า

วางไว้กลางวง

5. ผู้นากิจกรรมช้ีแจงต่อว่าให้ผู้นาเป็นคนบอกให้สมาชิกนาดินสอใส่ในขวดน้า

ใหไ้ ด้ โดยสมาชกิ ต้องไม่หันมามอง ใหฟ้ ังผูน้ าบอกอย่างเดียว

6. ทาแบบน้ีทุกกลมุ่ กล่มุ ใดดินสอลงไปในขวดก่อนจะเปน็ ผชู้ นะ

7. ผู้นากจิ กรรมถามผรู้ ่วมกิจกรรมได้อะไรจากการเล่นกจิ กรรม

8. ผนู้ ากจิ กรรมสรุปวัตถุประสงค์ของกิจกรรม

244 มนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กจิ

กจิ กรรม บทที่ 6
เกมปดิ ตำตีหมอ้

วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ให้เกิดความสนุกสนาน

2. เพ่อื สรา้ งความสัมพันธ์ระหวา่ งผ้นู ากบั ผตู้ าม

3. เพื่อฝึกทักษะการเป็นผ้นู า

จำนวนผู้เลน่ 30 คน

อุปกรณ์ 1. หม้อดนิ

2. ไมส้ าหรับตีหม้อ

3. ผ้าปิดตา

4. นกหวีด

สถำนที่ ลานกิจกรรม/สนามกลางแจ้ง

เวลำ 1 ชัว่ โมง

วธิ เี ลน่ 1. ผู้นากิจกรรมแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน จานวน 5 กลุ่ม โดยเลือกผู้นากลุ่มละ 1 คน

เพอื่ เป็นผนู้ าทางแกผ่ ู้เลน่ เกม

2. ผเู้ ล่นทกุ คนเข้าแถวประจาจุดปล่อยตัวของแต่ละทีม ผู้นากิจกรรมปิดตาผู้เล่น

แล้วทดสอบผ้เู ลน่ วา่ ไมเ่ หน็ จริงและใหห้ มนุ ตัวรอบตัวเอง 3 รอบ

3. ผนู้ ากจิ กรรมเปา่ นกหวดี เพ่อื ให้สญั ญาณปล่อยตวั

4. ผู้นากลุ่มทาหน้าที่บอกทางแก่ผู้เล่น จนกว่าจะตีหม้อได้สาเร็จ และนาผู้เล่นเวียน

มายังจุดปล่อยตัว เพือ่ แตะมือใหผ้ ู้เล่นคนต่อไป เวียนกันจนครบทงั้ 5 คน

5. กลุ่มไหนสามารถตหี ม้อได้ครบท้ังหมด 5 คน เปน็ ผ้ชู นะ

6. ผนู้ ากิจกรรมถามผู้ร่วมกิจกรรมไดอ้ ะไรจากการเล่นกิจกรรม

7. ผนู้ ากจิ กรรมสรุปวตั ถุประสงค์ของกจิ กรรม

มนุษยสัมพันธข์ องผ้นู ากับการทางานเป็นทมี เพือ่ เพิม่ ผลผลติ 245

แบบฝึกหดั บทที่ 6

คำชีแจง จงอ่ำนข้อควำมแต่ละข้อแล้วพิจำรณำว่ำข้อควำมนันถูกหรือผิด ถ้ำถูกให้ทำ
เครอื่ งหมำย √ ถำ้ ผดิ ใหท้ ำเครอ่ื งหมำย X ลงหน้ำขอ้ ควำมในแตล่ ะขอ้
1. ผู้นา เปน็ บุคคลซึง่ ได้รบั การแตง่ ตั้งขึน้ หรือได้รบั การยกย่องขึน้ ใหเ้ ป็นหวั หนา้
2. คุณสมบัติท่ีสาคัญของผู้นาที่ดี จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ของการปฎบตั งิ านขององคก์ ร
3. บทบาทท่เี ห็นชัดทีส่ ุดในการเป็นผ้นู า ก็คือ บทบาทในฐานะผบู้ รหิ าร
4. การแบ่งประเภทผู้นา ตามลักษณะการบริหารงานของ ลิปปิทท์ คือ ผู้นาแบบ

เผด็จการ ผู้นาแบบประชาธิปไตยและผูน้ าท่ยี ดึ สถาบันเปน็ หลกั
5. ภาวะผู้นา หมายถึงศิลปะหรือความสามารถของบุคคลหนึ่งท่ีจะจูงใจหรือใช้อิทธิพล

ตอ่ ผู้อนื่ ไมว่ า่ จะเป็นผรู้ ว่ มงานหรือผูใ้ ตบ้ งั คับบญั ชา
6. ผูน้ าในฐานะผู้เชยี วชาญ เปน็ ผ้นู าทม่ี ีความเชีย่ วชาญในวชิ าชีพ
7. ทมี งาน หมายถงึ กลุม่ คนท่ชี ่วยเหลอื กันกนั และกันเพ่ือให้ได้บรรลุวตั ถุประสงค์
เดยี วกัน
8. ความสาคัญในการสร้างทีมงาน คือ คนเราจะทางานร่วมกันได้ดีข้ึนเม่ือมีการเปิดเผย

และจรงิ ใจตอ่ กัน
9. การแสดงออกถงึ ความสามารถของทมี ดูไดจ้ ากความกระจ่างชดั ในวัตถปุ ระสงค์
10. การเพิ่มผลผลิต เป็นแนวคิดที่ได้ถูกนามาพัฒนาข้ึน เพ่ือสร้างจิตสานึกของคน

ให้รจู้ ักคณุ คา่ ของทรพั ยากร
11. สาเหตทุ ่ตี อ้ งทาการเพม่ิ ผลผลิต คอื การสรา้ งจติ ใต้สานกึ
12. การปรับปรงุ การเพ่ิมผลผลติ เป็นความรบั ผิดชอบรว่ ม ๆ ของทุกคน
13. การปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต มีปัจจัยส่งผลกระทบต่อการปรับปรุงอยู่ 2 ปัจจัย

ท่ีสาคญั คอื ความสญู เสยี ตา่ ง ๆ และทัศนคติในการทางาน
14. การเพิ่มผลผลิตให้สูงข้ึนจะต้องประกอบไปด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น คน ทุน

การบรหิ ารจดั การ และวตั ถดุ ิบ
15. การปรบั ปรุงกลยุทธ์ทางธุรกจิ คือการสอนให้ไม่ประมาทในการก้าวไปข้างหน้า
16. ทุนเป็นปัจจัยในการเพ่ิมผลผลิตแบ่ งออกเป็น 2.ลักษณะคือ เครื่องจักร

และเทคโนโลยี
17. การเพ่ิมผลผลิตจะสูงข้ึนเมื่อค้นหาความสูญเสียที่ซ่อนอยู่ และเร่งรัดขจัดความ

สูญเสียใหเ้ หลอื น้อยที่สดุ
18. การสูญเสียจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ถ้าไม่มีการปรับปรุงการเพ่ิมผลผลิตแบ่งออกเป็น

2 ดา้ น คือ ความสญู เสยี ในชีวิตประจาวันและความสูญเสยี ในทที่ างาน

246 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ

19. องคป์ ระกอบการเพิ่มผลผลติ มี 7 ประการ
20. องค์ประกอบการเพิ่มผลผลิตจะตอบสนองต่อลูกค้า ตอ่ พนักงาน และต่อสงั คม

คำชแี จง จงตอบคำถำมต่อไปนี
1. ผนู้ าหมายถงึ
2. ผูน้ าตามทฤษฎี 3 มติ ิของเรค็ ดิน มกี ่ปี ระเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย
3. ลกั ษณะของผนู้ าท่ีมีประสทิ ธิผลสูงมีก่ีแบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย
4. ความสาคญั ในการสรา้ งทีมงานมีอะไรบา้ ง จงอธิบาย
5. การพัฒนาทีม หมายถึง และมีการดาเนินการอย่างไร
6. การเพิ่มผลผลติ หมายถงึ
7. สาเหตุท่ตี ้องเพ่ิมผลผลิต คืออะไร
8. ในความคดิ ของทา่ น ท่านคิดว่าผนู้ า มหี น้าท่ีอย่างไร
9. ทา่ นคดิ ว่าคุณสมบัตทิ ด่ี ีของผู้นา เป็นอยา่ งไร
10. ผู้นาทม่ี ีมนษุ ย์สัมพันธท์ ีด่ ีจะต้องปฏบิ ัตติ วั อยา่ งไร
11. ท่านคิดวา่ ผ้นู ามีความสาคัญต่อการเพม่ิ ผลผลติ ภายในองค์กรอย่างไร จงอธิบาย
12. ผนู้ ากบั การทางานเปน็ ทีม มผี ลดตี อ่ การเพิม่ ผลผลติ ขององค์การอยา่ งไร จงอธบิ าย

บทที่ 7

การประยกุ ตใ์ ช้หลกั ธรรมในการสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

พระราชดารัสพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั
พระราชทานแก่โตะ๊ ครูและนักเรยี นโรงเรยี นราษฎรส์ อนศาสนาอสิ ลามจากภาคใตเ้ ข้าเฝ้า

วันท่ี 24 สิงหาคม 2519
ณ ศาลายกาภิรมย์ ศาลาดุสิดาลยั หอประชมุ คุรสุ ภา มสั ยดิ กลาง จงั หวัดปตั ตานี
สนามโรงพิธชี า้ งเผือก จงั หวัดยะลา สนามกีฬาจังหวดั นราธวิ าส มัสยิดมาบังจังหวดั สตูล

"...ความเจริญของคนท้ังหลาย ย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและการหาเล้ียงชีพชอบ
เป็นหลักสาคัญ ผู้ท่ีจะสามารถประพฤติชอบและหาเล้ียงชีพชอบได้ด้วยน้ัน ย่อมจะต้องมีท้ังวิชา
ความรู้ท้ังหลักธรรมทางศาสนา เพราะส่ิงแรกเป็นปัจจัยสาหรับส่งเสริมความประพฤติ และการ
ปฏบิ ัตกิ ารงานใหช้ อบคอื ใหถ้ กู ต้องและเปน็ ธรรม วิชาการกับหลักธรรมน่ีมีประกอบกันพร้อมในผู้ใด
ผู้นน้ั จะได้ประสบความสุขและความสาเรจ็ ในชีวิตโดยสมบรู ณ์..."

248 มนษุ ยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

การดาเนินชีวิตของมนุษย์ทุกชนชาติ ทุกยุคทุกสมัยจะต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาเพราะ
ศาสนาเปรียบเสมือนเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจ ช่วยให้มนุษย์มีจิตใจดีและเกิดความสงบสุข ซึ่งสังเกต
ได้จาก เม่ือไม่สบายใจเป็นทุกข์มักจะไปหาที่พึ่งทางศาสนา บ้างก็ไปวัดทาบุญ ฟังธรรม ส่วนบุคคล
ที่นับถือศาสนาคริสต์ก็จะไปโบสถ์ให้ตนสบายใจ หรือแม้แต่ศาสนาอิสลามก็จะเข้ามัสยิด เพื่อละหมาด
ทัง้ นไ้ี ม่วา่ จะนบั ถือศาสนาใดตา่ งกต็ อ้ งการความสุขใจ ความสงบและความสบายใจ เพราะสาระสาคัญ
ของทุกศาสนาสอนให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติในสิ่งท่ีดีงาม ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ท่ีพุทธศาสนิกชนต่างนา
หลักคาสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เช่น ศีล 5 ซ่ึงเป็นข้อควรปฏิบัติพ้ืนฐาน ในส่วนของศาสนาอิสลาม
ก็จะนาหลักคาสอนของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงส่ังสอนไว้เป็นสาระสาคัญคือเรื่องของสันติภาพ
ความสงบสขุ ที่ใหช้ าวมุสลิมได้ยึดถอื ปฏบิ ัติ ในด้านของศาสนาคริสต์ พระเยซูเจ้าได้เน้นให้ทุกคนรักกันดี
ต่อกนั ปรองดองกนั

ในปัจจุบันคนจานวนไม่น้อยท่ีละเลยการนาหลักคาสอนของศาสนามาเป็นแนวทางในการ
ดาเนินชีวิตและในบางคร้ังก็ยังเป็นผู้ไปทาลายศาสนาให้เส่ือมโทรมเสียหาย การที่คนละท้ิง
คาสอนของศาสนา ทาให้คนในปัจจุบันมีการดาเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น เป็นคนท่ีมีจิตใจ
คับแคบ เห็นแก่ตัว คิดร้าย เป็นต้น ส่งผลให้สังคมทุกวันน้ีเกิดปัญหามากมาย เช่น การลักขโมย การข่มขืน
การฆ่ากัน การทะเลาะวิวาท การทุจริตและท่ีน่าเป็นห่วงก็คือการนาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการสร้าง
ความแตกแยกของคนในสงั คม

ในการดาเนินธุรกิจในปัจจุบันก็มีความจาเป็นท่ีผู้ประกอบการธุรกิจต้องตระหนักและให้
ความสาคัญในการนาหลักธรรมทางศาสนามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดความสุขทั้งผู้ประกอบการ
พนักงาน ลูกค้าและผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ซึ่งการนาหลักธรรมคาสอนทางศาสนามาใช้ในธุรกิจ จะทาให้
เกดิ ประโยชนอ์ ย่างย่งิ เช่น องคก์ รมีความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสาเร็จ จึงทาให้พนักงานมีความ
ต้ังใจทางาน มีน้าใจต่อเพ่ือนร่วมงาน รู้จักช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน รักใคร่สามัคคี ทาให้งานออกมา
มีคุณภาพ รวมทงั้ ลกู คา้ ยังให้การยอมรับในตัวสินค้าเป็นอย่างดี เป็นต้น องค์กรธุรกิจบรรลุเป้าหมาย
ดงั ทอี่ งค์กรไดต้ ั้งไว้ทุกประการ

จากการดาเนินชีวิตของคนในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าถึงเวลาแล้วท่ีคนในสังคมทุกสาขา
อาชีพ ควรจะหันมาสนใจศาสนา เพ่ือนาหลักธรรมท่ีดีงามของแต่ละศาสนามาเป็นแสงสว่างนาทาง
ชีวิตให้แต่ละชีวิตสามารถดาเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมท้ังนาหลักธรรมมาใช้ในการอยู่ร่วมกัน
ในสงั คมและการประกอบอาชีพให้เกดิ ความสงบสุขตลอดไป

การประยกุ ตใ์ ช้หลักธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ 249

ความรูเ้ บือ้ งตน้ เกีย่ วกับศาสนา

ศาสนามาจากภาษาสนั สกฤตวา่ “ศาสนม” และภาษาบาลี “สาสน” แปลว่า “คาส่ังสอนและ
ข้อบังคับ”.ซ่ึงตรงกับภาษาอังกฤษว่า Religion.ซึ่งคาน้ีมาจากภาษาละตินว่า Religio.แปลว่า
“ความกลัว” หรือ “ความยาเกรงในอานาจพระเจ้า” ความหมายแบบน้ีรวมถึงความศรัทธา ตลอดจน
การทากิจกรรมตอ่ พระเจ้า โดยผ่านคาสอนทเ่ี ปน็ ระบบทางศลี ธรรม

ดังน้ัน ความหมายของ “ศาสนม”.และ “สาสน”.จึงต่างจาก Religion.โดยคาว่า “ศาสนม”
และ “สาสน” มไิ ด้มุ่งหมายเฉพาะคาสอนของส่ิงที่อยู่เหนือธรรมชาติ แต่หมายถึง คาสอนของผู้ก่อต้ังศาสนา
ท่ีจะยงั เป็นประโยชน์ให้เกิดขนึ้ แก่ผ้ปู ฏิบตั ิได้พ้นจากความทุกข์ ส่วน Religion มีความหมายค่อนข้าง
โนม้ นาไปในเร่ืองอานาจของสงิ่ ทอ่ี ยเู่ หนอื ธรรมชาติ อนั ไดแ้ กพ่ ระเจา้

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546:1100) ได้ให้ความหมาย ศาสนา
หมายถึง ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลัก คือ แสดงกาเนิดและความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น
อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรม
ประการหนงึ่ พร้อมทัง้ ลทั ธิพธิ ีท่ีกระทาตามความเห็นหรอื ตามคาสง่ั สอนในความเชอ่ื ถอื น้นั ๆ

หลกั การกาเนิดศาสนา

ศาสนาทุกศาสนามีประวัติความเป็นมาที่แตกต่างกันในการก่อกาเนิดของศาสนา ซึ่งจาก
ทฤษฎีต่าง ๆ ทีฮ่ อพฟ์ไดท้ าการสรุปถึงหลกั การกาเนิดศาสนาไว้ 5 ทฤษฎี ดงั นี้

1. เกิดจากความเชอ่ื เร่ืองวิญญาณ เป็นความเชื่อในลัทธิวิญญาณนิยม ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์
ดั้งเดิมในยุคแรก ๆ นั้น มีความสับสนในการแยกความแตกต่างระหว่างความจริงกับความฝัน คิดว่า
สิง่ ท่ีเห็นในฝนั นัน้ มอี ยู่จรงิ เชอื่ วา่ วญิ ญาณมอี ยู่ในมนุษยแ์ ละแฝงอยูใ่ นธรรมชาติ มนุษย์จึงมีการทาพิธี
สวดออ้ นวอนหรอื หลกี เลี่ยงการกระทาอนั อาจทาให้วิญญาณเหล่าน้นั ไม่พอใจและลงโทษมนุษย์

2. เกิดจากการนับถือธรรมชาติ สืบเนื่องมาจากความช่างสังเกตของมนุษย์ท่ีเห็นความ
สมา่ เสมอของธรรมชาติอันก่อใหเ้ กิดฤดูกาลต่าง ๆ รวมทั้งการเกดิ กระแสน้าข้นึ น้าลง การเกิดพระอาทิตย์ข้ึน
พระอาทิตย์ลง พระจันทร์ข้ึน พระจันทร์ลง ปรากฏการณ์ท้ังหลายท่ีกล่าวมานี้เป็นผลมาจากอานาจ
ลึกลับที่มนุษย์ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้แต่มันก็มีอยู่ในธรรมชาติ มนุษย์ในสมัยน้ันจึงผูกเรื่องข้ึนมา
กลายเปน็ ตานานและเลา่ ต่อ ๆ กนั มา เช่น ตานานเทพเจ้ากรีก โรมนั เทพเจ้าอนิ เดีย เป็นต้น

3. เกิดจากความเชื่อในลัทธิเอกเทวนิยม.เป็นทฤษฎีท่ีเสนอโดย คุณพ่อวิลเฮล์มชมิตต์
(Father Wilhelm Schmidt) ซึ่งเป็นบาทหลวงนิกายซูอิตโดยท่านเช่ือว่า บ่อเกิดของศาสนามาจาก
ความเชื่อที่ว่า มีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่อยู่องค์หน่ึง เป็นผู้สร้างสรรพส่ิงขึ้นมา เป็นบิดาของเทพเจ้าทั้งหลาย
เมื่อพระองค์สร้างโลกแลว้ ก็ทรงปล่อยโลกให้เป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยพระองค์ติดต่อกับโลกนี้น้อยมาก

250 มนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

แต่เช่ือว่าสักวันหนึ่งพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก แนวคิดน้ีจึงทาให้เกิดแนวคิดแบบเอกเทวนิ ยม
(Monotheism)

4. เกิดจากความเช่ือในเรื่องไสยศาสตร์.เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย เซอร์ เจมส์ จอร์ช
เฟรเซอร์ (Sir.James.George.Frazer).ท่านเสนอไว้ว่ามนุษย์ได้พัฒนาเกี่ยวกับความคิดในเร่ือง
ศาสนามีทัง้ หมด 3 ระยะ ดังน้ี

ระยะที่ 1 มนุษย์พยายามจะเอาชนะควบคุมธรรมชาติโดยใช้ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์
พอ่ มด หมอผี เป็นตน้ โดยใชว้ ิธกี าร เซน่ สรวงบชู า การเต้นราขับรอ้ ง และการทานาย

ระยะท่ี 2 เป็นระยะที่มนุษย์มีศาสนาจึงเกิดพวกนักบวชขึ้นมา ใช้วิธีการสวดมนต์
ออ้ นวอนและทาพิธกี รรมตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหส้ ง่ิ ศักด์สิ ทิ ธท์ิ ่ตี นนับถอื เกิดความพอใจ

ระยะท่ี 3 เป็นระยะเวลาท่ีเกิดความเจริญในทางวิทยาศาสตร์ อธิบายสิ่งต่าง ๆ
ไดด้ ว้ ยเหตุและผลอย่างเปน็ รปู ธรรม เช่น ถา้ ชาวนาต้องการฝนควรไปขอนักวิทยาศาสตร์ทีร่ ับผิดชอบ
ให้ชว่ ยโดยการทาฝนเทียม

5. เกิดจากความปรารถนาอันรุนแรงท่ีจะสร้างพระเจ้าข้ึนมา ฟอยเออบัค.(Ludwig
Feuerbach) นักปรัชญาชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงในศตวรรษท่ี 19.เช่ือว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง และ
ความเช่ือในเรื่องพระเจ้าก็เป็นเพียงความปรารถนาอันรุนแรงของมนุษย์ที่สร้างข้ึนมา เพื่อจะ
แก้ปัญหาความยุ่งยากในชีวติ ตอ่ มาศิษยข์ องฟอยเออบัค 2.คน คือ มาร์กซ์.(Karl.Marx).และฟรอยด์.
(Sigmund Freud) เป็นผ้บู กุ เบกิ ความคิดในการปฏเิ สธความมอี ยู่ของพระเจ้า

มาร์กซ์ กล่าวว่า “ศาสนาคือยาเสพติด”.เพราะเห็นว่า ศาสนาเป็นเพียงการต่อสู้
ระหว่างชนชั้น โดยศาสนาเกิดจากคนกลุ่มหน่ึงอนั อาจได้แก่ นักปกครอง และนักบวชผู้ต้องการรักษา
ความมั่งค่ังและอานาจ ได้สร้างกลไกเพ่ือควบคุมมวลชนไม่ให้เกิดความคิดในการต่อต้านหรือปฏิวัติ จึงสร้าง
เร่ืองราวเก่ียวกับพระเจ้า สวรรค์และนรก สาหรับคนยากจนซ่ึงเป็นชนช้ันส่วนใหญ่ให้ยอมรับในชีวิตท่ีตน
กาลังเผชิญอยเู่ พอ่ื ความสุขนิรนั ดรในสวรรค์ คาสอนเหล่านี้ไม่ต่างอะไรไปจากฝิ่นท่ีมีฤทธิ์ทาให้ผู้เสพหลง
มัวเมาคลงั่ ไคล้

ฟรอยด์ เป็นนักจิตวิทยาที่มีช่ือเสียงมีความเห็นว่า ศาสนาเกิดมาจากความรู้สึกผิด
ในจิตของแต่ละคน ที่สืบเนื่องมาจากความเกลียดชังพ่อที่มีมาตั้งแต่เด็กและฝังรากลึกในจิตไร้สานึก
ของลูกชาย ทาให้พวกเขาพยายามชดเชยความรู้สึกโดยจินตนาการถึงพ่อท่ีมีความยิ่งใหญ่ พิเศษและ
เรียกว่า พระเจ้า ดังนั้น มนุษย์ที่สมบูรณ์ในแบบความคิดของฟรอยด์ ก็คือคนท่ีสามารถยืนหยัดต่อสู้
ปญั หาตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเองโดยไมอ่ าศยั ศาสนาและพระเจา้

แม้ว่าการเกิดข้ึนของศาสนาจะมีทัศนะต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป แต่ก็อาจสรุปได้ว่า
ศาสนาเป็นความเช่ือถือของมนุษย์ในกลุ่ม ๆ หน่ึง เมื่อเช่ือแล้วจะต้องมีการปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทาง
เดยี วกนั เพอ่ื ความพ้นทุกข์ทางกายและใจ


Click to View FlipBook Version