The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aomsin3692, 2021-11-08 11:07:07

บทที่ 1

บทที่ 1

การประยุกต์ใช้หลักธรรมในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ 251

หลักความเช่ือของมนษุ ย์ในด้านศาสนา
ความเช่ือถือของมนุษย์ในด้านศาสนามี 2 ประเภท คือ ความเชื่อถือในอานาจอันสูงสุด

ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และความเชื่อถือในหลักธรรมและกฎศีลธรรมต่าง ๆ และจริยธรรมทั่ว ๆ ไป
โดยมเี นอ้ื หาสาระดงั นี้

1. ความเช่ือถือในอานาจอันสงู สุดของพระเจา้ ผู้ยิง่ ใหญ่
ความเชื่อเช่นน้ีก่อให้เกิดเป็นลัทธิเทวนิยม (Theism).ซึ่งยอมรับในอานาจอันศักดิ์สิทธ์ิ

ของพระเจ้าว่าเป็นผู้สร้างสรรค์และทาลายโลก อานาจของพระองค์แผ่คลุมอยู่ท่ัวไป ทรงสถิตอยู่
ในทุก ๆ แห่ง ทรงรู้ทุกสงิ่ ไม่มีความรใู้ ดปดิ บงั อาพรางพระองคไ์ ด้ ความเชื่อเช่นนี้ได้แก่ ศาสนาคริสต์
ศาสนาอิสลาม และศาสนาซิกข์ เปน็ ตน้

2. ความเชอื่ ถอื ในหลกั ธรรมและกฎศีลธรรมตา่ ง ๆ และจริยธรรมท่ัว ๆ ไป
ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดและไม่เช่ือว่าโลกจะเกิดจากพระผู้สร้าง

เพราะเชอ่ื ว่าโลกเกิดจากเหตปุ ัจจัยต่าง ๆ มีแนวความคิดอยู่บนพ้ืนฐานของเหตุผลมากกว่าความเชื่อ
ความศรัทธา ศาสนาในกลุ่มน้ีจึงเรียกว่า อเทวนิยม (Atheism).ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน คาสอน
ของเหลาจ้อื และคาสอนของขงจื้อ เปน็ ตน้
องคป์ ระกอบของศาสนา

ภาพที่ 7.1 องค์ประกอบของศาสนา

252 มนษุ ยสมั พันธท์ างธุรกิจ

ศาสนาจะเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ได้จะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน จะขาดอย่างใดอย่างหน่ึง
ไปไม่ได้ หรอื ถา้ ขาดขอ้ หนึ่งไปกใ็ ห้จัดเปน็ ลทั ธหิ รือปรัชญา องค์ประกอบของศาสนามีดงั ต่อไปน้ี

1. ศาสดา คือ ผู้ประกาศคาสอนหรือผู้ก่อตั้งศาสนา ซึ่งมีตัวตนสามารถสืบค้นประวัติ
ความเปน็ มาไดอ้ ยา่ งมีหลกั ฐาน

2. คาสอน คือ แนวทางในการปฏิบัติทางศาสนา ซึ่งศาสดาเป็นผู้บอกหนทางแห่งการ
ปฏิบตั ินน้ั ๆ ต่อมาไดม้ กี ารรวบรวมกนั เป็นคัมภรี ์เพื่อเป็นหลกั ปฏิบตั แิ ทนองค์ศาสดา

3. ผู้ทาพิธีกรรม ได้แก่ นักบวชซ่ึงดาเนินตามแนวทางของศาสนาที่ได้สั่งสอนไว้ และเป็น
ผู้ท่ีสืบทอดคาสอนรวมทั้งประกาศคาสอนของศาสดา นอกจากน้ียังเป็นผู้ท่ีประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
ทางศาสนา

4. สถานที่ทาพิธีกรรม คือ สถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของ
ศาสนิกชนในศาสนาน้ัน ๆ เชน่ วดั โบสถ์ มัสยดิ เป็นต้น

5. ศาสนิกชน หรือผู้นับถือศาสนานั้น ๆ ซึ่งต่างจากผู้ทาพิธีกรรม เพราะไม่จาเป็นต้อง
ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ต้องปฏิบัติตามหลักคาสอนพ้ืนฐานที่ได้กาหนดไว้ในบทบัญญัติของศาสนา
รวมทั้งเป็นผู้ให้การสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ เพ่ือให้ศาสนาของตนสามารถดารงอยู่ได้ แต่ศาสนิกชนเหล่านี้
ก็สามารถที่จะเปล่ียนมาเปน็ ผู้ทาพิธกี รรมหรือนกั บวชได้ ถ้ามคี วามพร้อมตามขอ้ กาหนดในศาสนา

นอกจากองค์ประกอบทั้ง 5 น้ีแล้ว ผู้รู้บางท่านยังกาหนดให้เคร่ืองหมายทางศาสนา.เป็นส่วน
หน่ึงขององค์ประกอบเป็นสัญลักษณ์ท่ีกาหนดความเป็นพวกเดียวกัน เช่น ศาสนาพุทธมี
พระธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์ ศาสนาคริสต์มีไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ศาสนาอิสลามมีพระจันทร์
เส้ียวและดาวเป็นสัญลักษณ์ เป็นต้น ซึ่งเครื่องหมายทางศาสนายังไม่ใช่สิ่งสูงสุดหรือสิ่งสาคัญ
ที่ศาสนาทุกศาสนาจะต้องมีบางศาสนาอาจไม่มีเลยก็ได้ เช่น ศาสนาเชนและศาสนาด้ังเดิมของ
เผ่าตา่ ง.ๆ.อย่างไรกต็ ามในบทนจ้ี ะขอนาเสนอถงึ หลกั ธรรมของบางศาสนา อนั ได้แก่ศาสนาอิสลาม ศาสนา
ครสิ ต์และศาสนาพทุ ธทส่ี ามารถนาไปใช้ในการช่วยสง่ เสรมิ การสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ ได้

หลกั ธรรมของศาสนาอสิ ลามท่ีชว่ ยส่งเสริมการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

1. ความรพู้ ้นื ฐานเกี่ยวกบั ศาสนาอสิ ลาม
อิ ส ล า มเ ป็ น ศา ส น าเ ดี ย ว ใ น โ ล กท่ี ช่ื อ ขอ งศ าส น า มิไ ด้ ถูก ขน าน น า มต าม น า มข อ ง

ผู้ประกาศศาสนา ตรงกันข้ามช่ือของศาสนาอิสลามแสดงความหมายที่แท้จริงอยู่ในตัวเอง คาว่า.“อิสลาม”
แปลมาจากศพั ท์ภาษาอาหรับ “ซะละมะ” ซึ่งแปลว่า “สันติ” “อิซละมะ” แปลว่าผู้นอบน้อม ดังน้ัน
ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจึงเรียกว่า มุสลิม แปลว่า ผู้ใฝ่สันตินั่นเอง อิสลามหมายถึงระบบทั้งหมด
ของการดารงชีวิต มุสลิมคนหน่ึงได้รับการสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่อย่างสันติ และมีความกลมกลืนกับ
ทุกส่วนของธรรมชาติ ดังน้ัน มุสลิมไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ใดก็ตามในโลก พวกเขาจะมีความ
จงรกั ภักดี เชอื่ ฟงั ตอ่ พระผอู้ ภิบาลในการดารงตนอยอู่ ย่างสนั ติ

การประยุกต์ใชห้ ลกั ธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 253

อิสลามเป็นศาสนาที่ไม่เป็นของบุคคลใดบุคคลหน่ึง อิสลามเป็นศาสนาของโลก
ซ่ึงมีมาต้ังแต่ดึกดาบรรพ์หรือจะเรียกได้ว่าต้ังแต่มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาก็มีอิสลามเกิดข้ึนมาแล้ว
และศาสนาอิสลามนี้ได้สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ในช่วงแต่ละยุคแต่ละสมัยนี้ก็มีศาสดา
อุบัติขึ้นสืบช่วงกันมาเรื่อย ๆ จนกระท่ังถึงศาสดาท่านสุดท้ายของอิสลาม ก็ไม่มีศาสดาใดเกิดขึ้นมา
อกี เลย

อิสลามถือว่าศาสดาท้ังหลายท่ีมีข้ึนมาในโลกน้ีได้มีมาพร้อมกับการมีมนุษย์ ศาสดา
ท้ังหลายเหล่านี้มีหน้าที่สาคัญสองประการ คือ เรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักพระเจ้าและประกาศคาสอน
ของพระองค์ ศาสดาท้ังหลายได้ทาหน้าท่ีติดต่อกันมาเร่ือย ๆ จนมาถึงสมัยของท่านศาสดามูฮัมมัด
จึงเป็นการส้ินสุดการมีศาสดา กล่าวคือ ศาสดามูฮัมมัด เป็นศาสดาองค์สุดท้าย หลังจากศาสดามูฮัมมัด
แล้วจะไมม่ ีศาสดาขนึ้ มาอีกเพราะคาสอนของ อัลลอฮฺ ได้เป็นทีค่ รบถ้วนสมบรู ณ์แล้ว

ผู้นับถือศาสนาอิสลาม นับถือ อัลลอฮฺ ว่าเป็นพระเจ้าพระองค์เดียวและเป็นพระเจ้า
สูงสุด พระเจ้าในอิสลามมีคุณลักษณะไม่เหมือนกับพระเจ้าในศาสนาอ่ืน ๆ กล่าวคือพระเจ้าในศาสนา
อิสลามเป็นสภาวะอันนิจนิรันดร์ เราไม่สามารถจะจินตนาการหรือนึกถึงรูปร่างลักษณะของพระองค์
ให้เหมือนสรรพส่ิงใด ๆ ในสากลจักรวาลนี้ได้ เราจะรู้จักพระองค์ได้ก็ด้วยคุณลักษณะของพระองค์
99 ประการ เช่น ผูท้ รงปราณี ผ้ทู รงความสันติ เป็นต้น

2. คัมภรี ข์ องศาสนาอสิ ลาม
คัมภีร์แห่งอิสลามคือ “อัล-กุรอาน”.ซึ่งเป็นคัมภีร์ท่ีพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทาน

ให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยผ่านทางศาสดามูฮัมมัด โดยวิธีการดลใจ อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์ที่ชี้นาถึงระบอบ
แห่งการดาเนินชีวิต นอกจากน้ีแล้วยังบรรจุด้วยเรื่องราวต่าง ๆ เช่น ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย
ชีววิทยา การมีชีวิตอยู่ในสังคม วิทยาการ การอบรม การซื้อขาย การกสิกรรม การทหารและการ
ป้องกัน การรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดจนการสงครามและอ่ืน ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อมวล
มนุษยชาติ

ลักษณะพิเศษของ อัล-กุรอาน คือ มีการจดบันทึกในขณะศาสดายังมีชีวิตอยู่ แม้ว่า
จะเปน็ เวลานานประมาณ 1,400 ปมี าแล้วก็ตาม ภาษาของ อัล-กุรอาน ก็ยังคงเป็นภาษาท่ีมีลักษณะ
โครงสร้างไวยากรณ์ การพูด การเขียน การอ่าน เหมือนกับภาษาอาหรับในปัจจุบัน
นอกจากน้ี อัล-กุรอาน ยังเป็นคัมภีร์ที่ไม่เคยถูกแก้ไข แม้แต่เพียงอักษรเดียวหรือจุด ๆ เดียว ดังนั้น
อัล-กุรอานฉบับปัจจุบันจึงมีเน้ือหาสาระครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนกับอัล -กุรอานต้นฉบับ
เมอื่ ประมาณ 1,400 ปีมาแล้ว

อลั -กุรอาน เป็นคมั ภีร์ทมี่ ายืนยันและสรปุ รวบยอดคาสอนต่อจากคัมภีร์ก่อน ๆ ที่เคย
มีมาของอิสลามทั้งหมด กล่าวคือ ได้นาเร่ืองราวของคัมภีร์ในอดีตมาสรุปอยู่ในคัมภีร์ อัล-กุรอาน จึงอาจ
กลา่ วได้ว่าเป็นบทสรุปคาสอนของ อัลลอฮฺ ท่คี รบถ้วนสมบูรณท์ ่สี ุด

254 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

3. หลกั ธรรมของศาสนาอสิ ลามทชี่ ว่ ยสง่ เสริมในการสร้างมนุษยสัมพนั ธท์ างธุรกิจ
ในหลักคาสอนของศาสนาอิสลามมีอยู่มากมายในพระคัมภีร์กุรอาน ซ่ึงสอนให้

ชาวมุสลิมประพฤติและปฏิบัติในสิ่งท่ีดีงาม เพ่ือก่อให้เกิดการดารงชีวิต ท้ังต่อคนในศาสนาเดียวกัน
และต่างศาสนา โดยหลักศาสนาอสิ ลามได้เน้นในเรื่องของความมีสันติภาพและความสงบสุขในการดาเนิน
ชีวิต ซึ่งจะขอยกหลักธรรมของศาสนาอิสลามเพียงบางส่วนมาเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตและเป็น
แนวทางในประกอบธุรกิจเพ่ือสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในทางธุรกิจ
ใหม้ ีความสขุ ได้ ดงั น้ี

3.1 สันติภาพ.ในทัศนะของอิสลาม คาว่า สันติภาพ เป็นส่ิงท่ีถูกฝังแน่นเข้าไป
ในจิตวิญญาณ เปน็ คาสอนและอดุ มการณ์ท่ีไดก้ ลายเป็นความเช่อื ม่นั ศรทั ธาประการหนึ่งของมุสลิม

ห ลั ก ค า ส อ น ใ น เ รื่ อ ง ข อ ง สั น ติ ภ า พ ห รื อ รั ก ค ว า ม ส ง บ ถื อ เ ป็ น สิ่ ง ส า คั ญ
มนุษย์ในทุกวันนี้ หากมีความรักในสันติภาพแล้ว ก็จะทาให้ทุกคนสามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
ไม่มีข้อขัดแย้งกัน ย่อมก่อให้เกิดมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดีต่อกันตามมา ซึ่งในการประกอบธุรกิจ
ถ้าผู้ประกอบการจาเป็นต้องมีการแข่งขัน เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงพาณิชย์แล้วใช้วิธีการ
ที่ไม่เหมาะสมอาจทาให้เกิดข้อขัดแย้งกันตลอดไป และยังส่งผลเสียต่อการบริหารจัดการ
ดังน้ัน ผู้ประกอบการควรที่จะยึดหลักสันติภาพในการประกอบธุรกิจ ตามกฎกติกาในทางธุรกิจ
และควรช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นพันธมิตรต่อกัน เพราะบางครั้งเราอาจต้องขอความช่วยเหลือกัน
เช่น บริษัทมคี าสั่งซื้อมามากจนผลิตสินค้าไม่ทัน อาจต้องพ่ึงพาบริษัทคู่แข่งขันช่วยในการผลิตสินค้า
เพือ่ รักษาลกู คา้ เดมิ ของเราไว้ และยงั ส่งผลให้บริษัทคแู่ ขง่ ขนั เกดิ รายได้ ทาให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อเรา
ในการทจ่ี ะชว่ ยเหลอื เราในอนาคต

3.2 การทักทาย.คุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นของอิสลามก็คือการ
ให้ความสาคัญกับการทักทาย.เม่ือมุสลิมพบกันเขาจะกล่าวทักทายกันด้วยประโยคส้ัน.ๆ แต่มี
ความหมาย นั่นก็คือ “อิสลามุอาลัยกุม”.แปลว่า.“ขอความสันติจงมีแก่ท่าน”.น่ีแสดงว่าศาสนา
ท่ีประชาชาตอิ ิสลามยึดมน่ั และนบั ถือน้นั เปน็ ศาสนาทเี่ พียบพรอ้ มไปด้วยหนทางสูส่ นั ติภาพ ในหลักคาสอน
อิสลามจงึ ประกอบไปดว้ ยคณุ คา่ ต่าง ๆ ที่เก้อื หนุนให้เกิดสันติภาพ ความสงบสุข ชนชาวมุสลิมจึงเป็น
ชนทรี่ ักสนั ติและมีการปรองดองกัน

ในองค์กรธุรกิจจาเป็นต้องติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่าง ๆ มากมาย ซึ่งการกล่าว
ทักทายถือเป็นเร่ืองสาคัญ เม่ือบุคลากรในองค์กรธุรกิจได้มาพบกัน เป็นสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีของ
การอยรู่ ่วมกัน ย่อมส่งผลให้การทางานเป็นไปด้วยความราบร่ืน และคนในองค์กรสามารถอยู่ด้วยกัน
อย่างมีความสุข ตลอดจนทาให้องค์กรได้รับผลตามมาคือ บุคลากรร่วมแรงร่วมใจกันทางานอย่าง
เต็มที่เพราะได้อยู่กับคนที่มีมิตรไมตรีต่อกัน ทาให้การผลิตสินค้าและบริการขององค์กรเกิดคุณภาพ
มมี าตรฐานทด่ี ี

การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั ธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 255

3.3 ความเสมอภาค.นอกจากการเรียกร้องเชิญชวนและสั่งสอนในเร่ืองสันติภาพแล้ว
อิสลามยังได้บัญญัติให้อุดมการณ์น้ีเป็นมูลรากฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล
องค์กรและประเทศตา่ ง ๆ อกี ดว้ ย

หลักการแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมด้วยกัน ก็คือ ความเสมอภาค
และภราดรภาพ น่ันก็คือ ความสันติสงบสุข ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความเมตตาเอื้ออาทร
ต่อกนั ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างมสุ ลิมด้วยกัน

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับชนต่างศาสนา ก็คือ การทาความรู้จักกัน
การเคารพและให้เกียรติกัน การช่วยเหลือบริการและอานวยความสะดวก การให้สิทธิเสรีภาพ
และความเปน็ ธรรมในทกุ ๆ ดา้ น ซึ่งจะเปน็ ประตูนาไปสูก่ ารช่วยเหลอื เกอ้ื กลู และเอ้ืออาทรกัน

จุดมุ่งหมายของระบบความสัมพันธ์ ก็เพ่ือให้เกิดการสนอง แลกเปลี่ยน
ประโยชน์และส่ิงจาเป็นต่าง ๆ มีการช่วยเหลือเกื้อกูล มีการสร้างภราดรภาพและมนุษยสัมพันธ์
ให้เกดิ ขึ้นในการอย่รู ว่ มกันของมนษุ ยบ์ นโลก

ในการทาธุรกจิ จะต้องมคี วามเสมอภาคจากผู้บังคับบัญชา เพราะถ้าไม่เกิดความ
เสมอภาคกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแล้ว ผู้บังคับบัญชาจะถูกมองได้ว่าไม่มีความยุติธรรม ลาเอียง
เลอื กปฏบิ ตั ยิ ่อมทาให้ผูใ้ ตบ้ ังคบั บญั ชาเกดิ ความไมเ่ คารพนับถือ ส่งผลให้เกิดความยากลาบากในการ
บังคับบญั ชาในอนาคต

3.4 เคารพในสิทธิมนุษยชน.อิสลามได้ส่ังสอนให้มนุษย์ทุกคนเคารพในเกียรติ
และศกั ดิ์ศรขี องความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ สิทธิในชีวิตทรัพย์สิน การเลือกวิถีชีวิตและการนับถือศาสนา
ตอ้ งไดร้ บั การคมุ้ ครองและจะละเมิดไม่ได้ ภายใต้หลักการที่ว่า “เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยไม่คานึงถึง
ความแตกต่างทางศาสนา ภาษา สผี ิวและเชอ้ื ชาติ”

ถ้าทุกคนในสังคมให้ความเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกกันไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
ก็ตาม ซึ่งในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบการจะต้องให้ความเคารพ ให้เกียรติ มีความซื่อสัตย์
ต่อผ้บู ริโภค และไมเ่ อาเปรยี บผ้บู ริโภค เทา่ นกี้ ็จะทาใหผ้ ูม้ สี ่วนเกย่ี วข้อง สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบ
สุขและเกิดความสามัคคีกัน ย่อมส่งผลให้องค์กรเกิดการทางานท่ีดีและเกิดความสาเร็จ เพราะตาม
หลักคาสอนแล้วทุกคนก็คือพ่ีน้องกัน และควรศรัทธาในชาติภูมิในความเป็นเพ่ือนมนุษย์ด้วยกัน
คาสอนนก้ี จ็ ะส่งผลให้คนในสงั คมมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ทาให้บุคคล สังคม ประเทศชาติมีความสุข
ตามไปด้วย

3.5 รักษาความยุติธรรม.อิสลามได้บัญญัติให้มุสลิมรักษาความยุติธรรม ห้ามการกดข่ี
และเอารัดเอาเปรียบผู้อ่ืน คาสอนและคาเรียกร้องเชิญชวนอันสูงส่ง และบริสุทธ์ิของอิสลาม
มีจุดมุ่งหมายให้เกิดความรักใคร่ ปรองดอง การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การควบคุมตนเอง การเสียสละ
การไม่เห็นแก่ตัวและโลภ อันเป็นปัจจัยที่จะนาพามนุษย์ไปสู่ชีวิตท่ีสมบูรณ์พูนสุข สมานฉันท์
กลมเกลยี ว มีความเป็นพี่น้อง รักใครผ่ กู พนั กนั อยา่ งแนน่ แฟน้ และเอื้ออาทรกัน

256 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธุรกิจ

นอกจากนั้น อิสลามยังได้ส่ังสอนให้เคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับ
ในคุณค่าและส่ิงที่ดีกว่า พร้อมท้ังยึดม่ันว่าสติปัญญาน้ันเป็นหนทางเดียวท่ีสามารถสร้างความพึงพอใจ
แกท่ กุ ฝ่าย

ท้ังหมดน้ีล้วนปรากฏอยู่ในคาสอนของอิสลามท้ังส้ิน เพราะอิสลามเป็นศาสนา
ท่ีมจี ุดมุ่งหมายเพือ่ สร้างความเสมอภาค และภราดรภาพระหวา่ งมนุษย์

คาสอนของศาสนาอิสลาม ที่ได้หยิบยกมากล่าวข้างต้น จึงเป็นคาสอนท่ีสูงส่ง
มีค่าบริสุทธิ์และงดงาม อิสลามได้ต่อสู้เพื่อสิ่งน้ีมากกว่าสิบห้าศตวรรษ ทั้งน้ีและท้ังน้ันก็เพ่ือให้โลกน้ี
มีสนั ตภิ าพทย่ี ่งั ยืน

น่ันก็คือ เมื่ออิสลามได้รับการยอมรับจากหูของผู้ท่ีชอบฟังเหตุผล จากสมองและใจ
ของผู้ท่ีชอบคิดใคร่ครวญหาความจริง มือของผู้ชอบปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม โลกน้ีก็จะดีงาม มีการปฏิบัติ
ในส่งิ ที่ถูกตอ้ งดีงาม ความช่ัวร้ายกจ็ ะถกู ขจัดไป สันตภิ าพอนั ยง่ั ยนื ท่ที กุ คนรอคอยจึงเกดิ ขน้ึ

ความยุติธรรมจึงเป็นเร่ืองท่ีละเอียดอ่อน หากองค์กรใดไม่สามารถสร้างความ
ยุติธรรมให้เกิดขึ้นได้ จะทาให้คนทางานขาดแรงจูงใจในการทางาน ผู้บริหารต้องเปิดโอกาส
ให้แต่ละคนได้ใช้ศักยภาพของตัวเองให้เต็มท่ี และผู้บริหารจาเป็นที่จะต้องให้ความเป็นธรรม
อีกด้านหนึ่ง คือ การให้สวัสดิการสังคม คอยดูแลคนท่ีด้อยโอกาสให้เขาได้มีโอกาสได้รับสิ่งต่าง ๆ
อย่างเป็นธรรมด้วยเช่นกัน เป็นการรักษาความสมดุลของสังคมอีกด้านหน่ึง เพ่ือจะสร้างและรักษา
ความยุติธรรมในองค์กรให้เกิดขึ้นในทุกมิติ เพ่ือให้องค์กรในสังคม เกิดการพัฒนาและประสบ
ความสาเรจ็ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ

4. หลักคาสอนของท่านศาสดามฮุ ัมมัด ทนี่ ามาสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ
ในศาสนาอิสลามมีคาสอนมากมายท่ีมีประโยชน์ในการนามาประยุกต์ใช้ในการดาเนิน

ชีวิตและการประกอบอาชีพต่าง ๆ ซึ่งท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวไว้อยู่หลายประการ เพื่อให้บุคคล
ไดน้ อ้ มนาไปใช้ โดยหลกั คาสอนของท่านศาสดามุฮัมมัดทนี่ ามาสร้างมนุษยสัมพันธ์ มหี ลักการดังน้ี

4.1 ให้คิดว่าเพื่อนมีความสาคัญต่อตัวเอง ความเดือดร้อนของเพื่อน ต้องถือเป็น
ความเดือดร้อนของตัวเองด้วย และต้องพร้อมที่เอื้อเฟ้ือแก่เพ่ือนเสมอ ในการทางานร่วมกัน
เน่ืองจากเพ่ือนร่วมงาน ถือว่ามีความสาคัญมากปัจจัยหน่ึง เพราะในยามท่ีเราเกิดปัญหาอาจต้อง
อาศัยพ่ึงพิงกันในทางกลับกันถ้าหากเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับเพ่ือน เราก็พร้อมท่ีจะ
ช่วยเหลือเพื่อนของเราเสมอ ย่อมทาให้บรรยากาศในการทางานภายในองค์กรเป็นไปด้วยความสุข
เออื้ ไมตรตี อ่ กัน

4.2 การช่วยเหลือเพ่ือนจะต้องกระทาโดยรีบด่วน โดยไม่ต้องรอให้เพื่อนขอความ
ชว่ ยเหลอื กอ่ น การชว่ ยเหลือกนั ภายในองค์กรการทาธุรกจิ จะก่อใหเ้ กิดความรู้สึกท่ีดีต่อกันและบางที
ท่ีเราประสบปัญหา เพื่อนในองค์กรท่ีเราได้ช่วยเหลือไว้อาจจะกลายเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเราได้
ในอนาคต

การประยุกตใ์ ช้หลกั ธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 257

4.3 เมื่อเห็นเพื่อนทาความดี จงชมเชยเพื่อนด้วยความจริงใจ และโดยเปิดเผย
จากหลักการดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดี และความจริงใจท่ีมีต่อเพ่ือน เป็นการให้
เกียรติเพ่ือน ส่งเสริมเพ่ือนให้มีกาลังใจในการทาความดีต่อไป และสามารถเป็นแบบอย่างให้ตนเอง
และบคุ คลในสงั คมได้ยดึ ถอื เป็นแบบอยา่ งอีกดว้ ย

4.4 คนที่แข็งแรงนั้นมิใช่คนที่ทาให้ผู้อื่นล้มลงหรือเสื่อมเสีย แต่คนที่แข็งแรงน้ัน
หมายถึง คนที่สามารถควบคุมตนเองได้ในเวลาโกรธ ในบางครั้งเพ่ือนในธุรกิจเดียวกันล้มเหลว
เราต้องคอยช่วยเหลือ ให้กาลังใจในการต่อสู้กับปัญหาท่ีเกิด ไม่ซ้าเติมหรือเหยียบย้าให้เขาหมด
หนทางต่อสู้ แม้เขาจะเคยทาให้เราโกรธและเกิดความเสียหายมาก่อนนั้น เป็นการนาหลักการของ
ทา่ นศาสดามุฮัมมัด มาประยกุ ตใ์ ช้ไดอ้ ย่างสมบรู ณ์

4.5 ให้อภัยแก่เพ่ือนทันที เมื่อเพ่ือนทาความผิดต่อเราไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม
เพราะในการทาธุรกิจเราอาจเคยทาผิดพลาดกับบุคคลท่ีเก่ียวข้อง ในขณะเดียวกันบุคคลที่เก่ียวข้อง
กับเรากอ็ าจเคยทาผิดพลาดกับเราเช่นกัน การที่เราให้อภัยต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเราได้น้ันถือได้ว่า
เรามจี ติ ใจท่ดี นี า่ นับถอื ย่อมนามาซึ่งมติ รภาพทีด่ ตี อ่ กันในปัจจุบนั และอนาคต

4.6 เม่ือเราพบปะกับบุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบุคคลท่ีรักเราหรือเกลียดเราก็ตาม
ให้ทักทายด้วยใบหน้าอันย้ิมแย้ม ด้วยคาพูดอันสุภาพอ่อนโยน และด้วยทีท่าอันอ่อนน้อมถ่อมตน
โดยไม่มีอคติใด ๆ ทั้งสิ้น ในการทาธุรกิจหรือการติดต่องานระหว่างองค์กร จะต้องได้พบเจอกับ
บุคคลมากมาย ท้ังที่เราชอบและไม่ชอบก็ตาม เราควรที่จะย้ิมแย้มให้กันและกัน เพราะการแสดง
อาการย้ิมแย้มให้บุคคลรอบข้างน้ัน เป็นการบ่งบอกถึงการมีสุขภาพจิตที่ดี ทาให้เราเกิดความ
เบิกบานใจมีความสุข และบุคคลที่เราพบเจอก็มีความสุขตามไปด้วย ความขัดแย้งหรือบรรยากาศ
ท่ีได้พบเจอกันก็จะเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขด้วยกันทั้งหมด ตลอดจนทาให้เราประสบ
ความสาเรจ็ ในเรือ่ งที่ไปติดตอ่ เจรจาทาธุรกิจอกี ด้วย

4.7 อย่าดูถูกดูแคลนผู้ใด เพราะบางทีคนที่ได้รับการดูถูกอาจจะดีกว่าคนดูถูกก็ได้
ในการทางานร่วมกันไม่ควรดูถูกดูแคลนความสามารถของผู้ที่ด้อยกว่าเรา เพราะเขาอาจ
มีความสามารถในบางด้านท่ีเราอาจไม่มีความสามารถเทียบเท่าเขาได้เลย ดังนั้นการให้เกียรติซ่ึงกัน
และกัน จึงเปน็ สง่ิ ท่ีคนในสังคมเดียวกันพึงปฏิบัติต่อกัน เพื่อให้องค์กร สังคม ประเทศชาติ มีแต่มิตร
ไมตรที ดี่ ตี ่อกนั ในการอยูร่ ่วมกันอย่างมคี วามสุข

4.8 เม่ือเขาโกรธเราหรือขัดแย้งทะเลาะวิวาทกับเรา ควรหาทางหลีกเล่ียงอย่าได้
โต้ตอบกับเขาเป็นอันขาด.ในเชิงธุรกิจแล้วการแสดงอาการโกรธย่อมเกิดความเสียเปรียบในการทา
ธรุ กจิ กบั คแู่ ข่งขัน เพราะความโกรธย่อมนามาซ่ึงความขาดสติย้ังคิดอาจส่งผลให้การเจรจาเกิดความ
เสียหายใหญ่หลวง เนื่องจากอาจตัดสินใจด้วยอารมณ์ เพราะความโกรธ ดังนั้น เราควรฝึกตาม
ความรู้สกึ ของเราให้รวู้ ่าในทุกขณะเรามีความรู้สึกอย่างไร ถ้าเกิดความรู้สึกโกรธต้องรีบจัดการให้มัน
หมดไปจากตัวเรา เพราะความโกรธจะนามาซึ่งความหายนะ ในการติดต่อธุรกิจได้เราควรท่ีจะ
หลีกเลยี่ งพฤตกิ รรมความโกรธให้หมดจากตัวเราไป

258 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธุรกจิ

4.9 หากเราได้รับคาตาหนิจากผู้ใด อย่าแสดงความแปลกใจหรือโกรธเขา
เพราะที่จริงแล้วการตาหนิของผู้อ่ืนนั้น ย่อมให้ประโยชน์แก่ตัวเรามากกว่าคาเยินยอมากนัก
การอยูร่ ่วมกันในองคก์ รหรือสงั คมอาจมบี คุ คล ผู้ร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาต้องตาหนิตัวเรา เราควร
ที่จะเก็บเอาข้อตาหนิน้ันไปปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้ดีข้ึน เพ่ือทาให้ตัวเรามีข้อบกพร่องน้อยลง
ไป และมีความสมบรู ณ์มากข้นึ ทาให้เราเปน็ บุคคลทีม่ แี ต่คนรักและอยากคบค้าสมาคมดว้ ย

4.10 ในขณะท่ีเราอ่ิมจงอย่าปล่อยให้เพื่อนหิว ในการทาธุรกิจไม่คว ร
เอารัดเอาเปรยี บคูแ่ ข่งขนั ทางธุรกิจ จนทาให้องค์กรธุรกิจเขาเกิดความลาบากและเสียหาย จนส่งผล
ให้ธุรกิจเขาต้องล้มละลาย หรือการเอาเปรียบลูกค้าเพื่อให้ธุรกิจได้กาไรมากข้ึน แต่ทาให้ลูกค้า
เสียประโยชน์อาจส่งผลทาให้ลูกค้าเกิดความไม่ประทับใจและบอกต่อกับคนในสังคมก็จะส่งผล
ให้การดาเนินธุรกิจของเราเสียหายได้ ธุรกิจจึงควรคิดเสมอว่าลูกค้าคือคนท่ีทาให้เรามีกินมีใช้
ธุรกิจอมิ่ ลกู ค้ากต็ ้องอม่ิ ดว้ ย จึงจะทาให้ธรุ กจิ และลกู ค้าจะสามารถอยู่ช่วยเหลอื เกอ้ื กูลกนั ได้

4.11 อย่าคิดมักมากและละโมบในทรัพย์สินจากอานาจบารมี ตาแหน่งหรือการ
ช่วยเหลือจากผู้อื่น ในสังคมปัจจุบันมีคนมากมายไม่ว่าจะเป็นคนในองค์กรรัฐบาลหรือองค์กรธุรกิจ
ก็ตามที่คิดหาประโยชน์เข้าตนเอง จากการที่ตนเองมีตาแหน่งที่สูง แล้วอาศัยอานาจคดโกง เพื่อให้
ตนเองได้มาซ่ึงอานาจและทรัพย์สิน ย่อมนามาซึ่งความเสียหายต่อองค์กรนั้น ๆ เช่น ภาพลักษณ์
ชือ่ เสียง เป็นต้น

4.12 อย่าเลือกคบคนเฉพาะคนกลุ่มเดียวกัน เพราะจะทาให้เกิดชนชั้นในสังคม
และเป็นสาเหตุแห่งความแตกแยกทางสังคม ในการประกอบธุรกิจเราควรท่ีจะคบคนให้หลากหลาย
เพราะในความหลากหลายของคน ย่อมมีความรู้ที่แตกต่างกันที่เราจะเรียนรู้เอาประโยชน์เข้าตนเอง
เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ จากการเลือกคบคนที่มีความหลากหลาย นามาซ่ึง
การพฒั นาตนเองและสามารถปรับประยกุ ตใ์ ช้ในการประกอบธุรกจิ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

4.13 ใช้แรงงาน ความรู้ ทรัพย์สิน ท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและบริจาคทาน
โดยสม่าเสมอ โดยไม่หวังส่ิงใดตอบแทนทั้งส้ินแม้แต่คาขอบคุณ .การที่เราเป็นผู้มีความรู้
ความสามารถ เราควรทจ่ี ะนาความรู้มาช่วยเหลือบุคคลในสังคมและท่ีทางานให้เกิดประโยชน์เพราะ
จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกันในการอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ในขณะเดียวกัน
เม่ือองค์กรธุรกิจมีกาไรมาก ก็ควรนาเงินไปช่วยเหลือ หรือบริจาคตามสถานที่ยากไร้ต่าง ๆ เพ่ือให้
เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน ตลอดจนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ และชื่อเสียง ให้กับองค์กร
อีกทางหนึ่งดว้ ย

4.14 แสวงหาความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้มาก เพ่ือตัวเองและสังคม มนุษย์ทุกคนท่ีคิด
จะพัฒนาตนเองควรเปิดรับแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตนเอง เพื่อให้ตนเองมีความรู้ ความสามารถ
ในการประกอบอาชีพ ในการอยู่ร่วมกันกับคนในท่ีทางานและในสังคม โดยเฉพาะในการประกอบ
ธุรกิจมีความจาเป็นและมีความสาคัญที่นักธุรกิจจะต้องแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอและพร้อม

การประยุกต์ใชห้ ลักธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 259

เปิดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดข้ึน เพื่อนาความรู้และประสบการณ์มาพัฒนาธุรกิจ ช่วยเหลือ
เพ่ือนรว่ มงานและองคก์ รธุรกิจใหเ้ จริญเตบิ โตไดอ้ ย่างมน่ั คง

4.15 อย่าใช้คาพูดก้าวร้าวหรือแข็งกร้าวกับผู้อื่น แม้จะเป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
ของเราก็ตาม ในข้อน้ีถือว่าเป็นเร่ืองที่ผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องใส่ใจในการใช้คาพูด เพราะคาพูด
ที่ก้าวร้าวจะเป็นการทาลายสัมพันธภาพที่ดีของคนในองค์กรให้หมดใจท่ีจะทางานให้กับองค์กร
ผู้ประกอบการธุรกิจจึงควรใช้ภาษาท่ีสุภาพเพื่อให้บุคคลท่ีเกี่ยวข้องรู้สึกดีและก็ไม่ได้เป็นการลงทุน
อะไรเลย แต่กับเป็นการให้เกียรติกันในสังคม โดยการพูดด้วยภาษาและวาจาที่ไพเราะ ถือเป็น
มารยาทที่ดี ทจ่ี ะเปน็ สายใยในการเช่อื มโยงใหบ้ ุคคลในสงั คมและในองคก์ ร เกิดความรักใคร่ สามารถ
ทางานดว้ ยกนั อย่างมีความสขุ

จากคาสอนของศาสดามุฮัมมัด แสดงให้เห็นว่าคนทุกคนท่ีอยู่บนโลกนี้ควรมอบ
ความรักให้แก่กัน ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน คานึงถึงผู้อ่ืนในการอยู่ร่วมกัน เพ่ือให้เกิดความสงบสุขในสังคม
ดังน้ัน มนุษย์ท่ีอยู่ร่วมกันควรนาหลักคาสอนของศาสดามุฮัมมัด มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน
ให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และสามารถนามาประยุกต์หรือนามาเป็นแนวทาง
ในการทาธุรกจิ ได้ตามหลกั คาสอนของทา่ นศาสดามุฮัมมัด

5. การนาบคุ ลกิ ภาพของศาสดามุฮมั มัด มาสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กิจ
ในการอยู่ในสังคมร่วมกันให้มีความสุข จาเป็นต้องอาศัยหลักการและแนวคิดท่ีดี

ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในสังคม โดยท่านศาสดามุฮัมมัดท่านได้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง
ที่ดี จึงเป็นเหตุที่จะได้นาบุคลิกภาพของศาสดามุฮัมมัด มาเป็นแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ทางธรุ กจิ และในการประกอบชีพตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้

5.1 เป็นผู้ฟังและผู้พูดท่ีดี เมื่ออยู่ในวงสนทนา ท่านศาสดามุฮัมมัดมักจะนิ่งฟัง
มากกว่าจะเปน็ ผู้พดู ทา่ นจะพูดแต่เฉพาะเร่ืองที่สาคัญเท่านั้น การเจรจาในทางธุรกิจนั้น จาเป็นต้อง
อาศัยการฟัง เพ่ือเก็บมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจในทางธุรกิจ ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจ
จงึ จาเป็นต้องนาบุคลิกภาพของศาสดามุฮัมมัด มายึดไว้ในการดาเนินการทางธุรกิจ เพื่อความสาเร็จ
ในการประกอบธรุ กิจ

5.2 พูดความจริง ท่านเคร่งครัดมากในการพูดความจริง ท่านจะไม่พูดในสิ่งไม่เป็น
ความจริงไม่พูดในส่ิงไร้สาระ ในการประกอบธุรกิจและการทางานร่วมกันควรพูดความจริงแก่เพ่ือน
ร่วมงาน ผูบ้ งั คบั บัญชา ลกู ค้าและผู้ประกอบธุรกิจด้วยกัน เพราะเป็นการแสดงถึงความจริงใจต่อกัน
แสดงถึงการจะทาในสิ่งท่ีได้พูดไว้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่ตนเองได้พูดออกไป เพราะการพูด
ความเทจ็ ยอ่ มนาผลเสียและสร้างความเดือนรอ้ นใหท้ ง้ั กับตนเองและต่อองค์กรทเ่ี ราอยู่ได้

5.3 เป็นคนรักความสะอาดเรียบร้อย ท่านมีนิสัยรักความสะอาดเรียบร้อย รังเกียจ
ส่ิงที่มีกลิ่นเหม็นและฉุน สถานท่ีทางานเป็นอีกสถานที่หน่ึงที่บุคลากรในองค์กรต้องอาศัยทางาน
ถ้าสถานที่ทางานมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด ย่อมนามาซ่ึงบรรยากาศน่าทางาน ส่งผลให้งานออก
มีคุณภาพ ดังน้ันผู้บริหารองค์กรธุรกิจและคนในองค์กรทุกคนควรมีใจช่วยกัน ในการรักษาความ

260 มนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กจิ

สะอาด ในสถานท่ีทางานอยู่ในสภาพท่ีน่าอยู่ ตลอดจนการรักษาความสะอาดตนเอง โดยจัดการ
กล่นิ เหมน็ ภายในร่างกาย ใหม้ ีแตก่ ล่ินหอม ย่อมทาใหบ้ คุ คลรอบข้างและผู้มาติดต่อธุรกิจอยากคบค้า
สมาคมและรว่ มธุรกิจกับเราด้วย

5.4 เป็นคนเรียบง่าย ท่านศาสดามุฮัมมัดไม่ชอบชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ท่านเป็นคน
มีชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย และแนะนาผู้อ่ืนให้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ในการดาเนินชีวิตของแต่ละบุคคล
ย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ส่ิงท่ีควรคานึงก็คือการรู้จักประมาณตนเองในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการ
ใช้เงินทอง ถ้าเราไม่สามารถประมาณการตัวเองได้ ก็ย่อมจะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นามาซึ่งหน้ีสิน
และความทุกข์ใจ เราจึงควรที่จะใช้จ่ายพอประมาณตามรายได้ที่เราพึงได้รับและควรอดออมไว้ใช้
ในยามคับขันและเจ็บป่วยในอนาคตเบ้ืองหน้าด้วย ในการทาธุรกิจก็เช่นกัน นักธุรกิจควรลงทุน
ในการประกอบธุรกิจแต่พอตัว เท่าท่ีเรามีงบประมาณ ทรัพยากรและความสามารถของเราที่มีอยู่
เพราะถา้ หากลงทุนมากอาจทาให้บรษิ ัทขาดทนุ หมนุ เงนิ ไม่ทนั จนกระท่ังประสบความลม้ เหลวได้

5.5 เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ ท่านเป็นคนใจดีที่สุด ท่านไม่เคยปฏิเสธต่อคนยากจนที่มาขอ
ปัจจัยยังชีพจากท่าน ความใจดีเป็นนิสัยที่แท้จริงของท่าน การที่เราเป็นคนเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ต่อเพื่อน
รว่ มงานหรือตอ่ เพื่อนท่ีทาธุรกิจร่วมกันจะส่งผลท่ีดีต่อตัวเราในภายภาคหน้าในยามท่ีเราต้องตกทุกข์
ไดย้ าก องค์กรหรือบุคคลที่เราเคยให้ความชว่ ยเหลอื กจ็ ะหันมาช่วยเหลือเราได้ในอนาคต

5.6 ทางานด้วยตัวเอง ท่านทางานบ้านด้วยตัวเอง เช่น ปะเสื้อผ้า ปะรองเท้า
รีดนม นวดแปง้ ตักน้า เปน็ ต้น บุคลกิ ภาพขอ้ นี้ท่านสอนใหเ้ ราไดร้ ู้จักช่วยเหลือตนเองก่อนท่ีจะคิดพ่ึง
ผู้อ่ืน เพราะการทาอะไรด้วยตนเอง ย่อมทาให้เกิดความมุมานะ อุตสาหะ พยายาม ประสบการณ์
ในการแก้ไขปญั หาทเ่ี กิดข้นึ ระหว่างการทาสงิ่ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง ดังน้ันนักธุรกิจควรที่จะฝึกฝนตนเอง
ในเรื่องของการประกอบธุรกิจให้สามารถทาทุกส่ิงทุกอย่างได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน
ธุรกิจ การจัดการงบประมาณ การเงิน การลงทุน ตลอดจนการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ท่ีถือ
ว่าเป็นผู้ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสาเร็จได้ ก็ย่อมจะทาให้นักธุรกิจเกิดทักษะ
การเรียนรเู้ พ่มิ มากขึ้นทกุ วนั

5.7 ช่วยเหลือผู้อ่ืน ท่านเคยช่วยทางานให้ผู้อื่น เช่น ช่วยหญิงหม้ายคนยากจน
ทางานโดยท่านไม่ถือตัวและเสียดายแรงงาน การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานในองค์กรเดียวกัน จะทาให้
ผู้ที่เราได้ช่วยเหลือเกิดความรักใคร่ปรองดองกันกับเรา ส่งผลให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีต่อเพ่ือน
รว่ มงาน

5.8 ถ่อมตนเสมอ ท่านมักจะก้มหน้าถ่อมตนเสมอ ท่านไม่ชอบพิถีพิถันในการ
แต่งกาย เพ่ือโอ้อวด การแต่งกายแต่งแบบเรียบง่าย ถึงแม้ว่าเคร่ืองแต่งกายจะมีรอยปะ.แต่ก็เป็น
เคร่ืองแต่งกายท่ีสะอาด ท่านไม่ชอบเคร่ืองประดับ คนทุกคนมีคุณค่าในตนเอง เราไม่จาเป็นต้องไป
โฆษณาบอกคนอื่นเขาว่าเราเก่ง ควรให้คนอื่นเขายกย่องเราว่าเราเป็นคนเก่งจะดีกว่าและไม่ควร
โอ้อวดว่าเรามีความรู้ เพราะการท่ีเราโอ้อวดความรู้ อาจนาภัยมาสู่ตนเอง ถ้ามีบุคคลที่เก่งกว่าเรา

การประยุกต์ใชห้ ลักธรรมในการสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 261

อาจกลายเป็นเราเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ควรวางตัวแบบเรียบง่ายรับฟังความรู้จากบุคคล
รอบขา้ งเพือ่ นามาพฒั นาตนเองใหม้ ีความรู้ความสามารถที่เพ่มิ มากขึน้

5.9 ให้เกียรติแก่แขก ท่านเอาใจใส่ต้อนรับแขกทุกคนท่ีมาเยี่ยมท่านเป็นอย่างดี
ในการดาเนินธุรกิจ ผู้มาติดต่อหรือลูกค้า คือบุคคลที่องค์กรธุรกิจต้องให้ความสาคัญอันดับหน่ึง
เพราะลูกค้าหรือผู้บริโภคคือบุคคลที่จะนาเงินมาให้เรา เราควรให้การต้อนรับด้วยความยิ้มแย้ม
แจ่มใส และกระตือรือร้นเม่ือลูกค้ามาเยือนเรา ย่อมนามาซ่ึงความประทับใจให้กับลูกค้าที่จะกลับมา
ใช้บริการของเรา และอาจบอกต่อกับลูกค้ารายอ่ืน ถึงการต้อนรับท่ีมีมิตรไมตรีของเราให้กับลูกค้า
รายอื่น ๆ มาใช้บรกิ ารของเราตอ่ ไป

5.10 ไม่ชอบความฟุ่มเฟือย ท่านเอาใจใส่การกินอาหาร ท่านจะกินอาหารที่มีคุณค่า
และจะกินอย่างไม่สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย ไม่ว่าการกิน และการดารงชีวิตอย่างอื่นท่านจะไม่ฟุ่มเฟือย
สุรุ่ยสุร่าย ในการดาเนินธุรกิจผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรท่ีจะมีการวางแผนจัดการที่ดีในการบริหาร
งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อทาให้องค์กรเกิดรายได้และผลกาไรให้กับองค์กรธุรกิจ
มากท่สี ุด

5.11 รักความเสมอภาค ท่านให้ความสาคัญแก่คนรวย คนจน เด็ก สตรี คนชรา
และทาสเท่าเทียมกันหมด ในเรื่องความเสมอภาคนั้นเป็นส่ิงสาคัญสาหรับผู้บริหารองค์กรธุรกิจ
ที่จะน้อมนามาใช้ เพราะถ้าผู้บริหารให้ความเสมอภาคกับทุกส่วนในองค์กร ย่อมทาให้ทุกองค์กร
ไมเ่ กิดความรู้สึกน้อยเน้ือต่าใจ แต่จะทาให้เกิดความศรัทธาในตัวผู้บริหาร ส่งผลให้ผู้บริหารสามารถ
โนม้ นา้ ว จงู ใจ ผูใ้ ตบ้ งั คับบัญชาใหส้ ามารถทางานในสง่ิ ท่ีองค์กรตอ้ งการไดเ้ ปน็ อย่างดี

5.12 รักคนจน แต่ไม่ชอบให้ใครขอทานท่านไม่ชอบการขอทาน ท่านชอบ
การทางาน มหี ลายคนมาขอทาน ทา่ นกแ็ นะนาใหไ้ ปทางาน เช่น ใหไ้ ปตดั ฟืน มาขาย จากบุคลิกภาพ
ข้อน้ี ท่านสอนให้นักธุรกิจคิดที่จะสร้างธุรกิจและขวนขวายด้วยตนเอง โดยท่านสอนไม่ให้ทุกคน
ร้องขอจากผอู้ ่ืน โดยให้นักธุรกิจฝึกทาด้วยตนเอง สอนให้สู้และสร้างด้วยตนเอง ก็จะทาให้เกิดความ
มานะ พยายามและภาคภูมิใจในตวั เองท่สี ามารถดาเนนิ ธุรกจิ และทาทุกสงิ่ ทกุ อย่างได้ด้วยตนเอง

5.13 ระลึกถึงอัลลอฮฺเสมอ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในลักษณะใด ท่านจะระลึกถึงอัลลอฮฺเสมอ
ในบุคลิกภาพข้อน้ีสอนให้รู้ว่าในการประกอบธุรกิจ นักธุรกิจควรระลึกถึงบุคคลท่ีมีบุญคุณกับเรา
อยู่เสมอ เช่น ลูกค้า ผู้ส่งปัจจัยในการผลิต พนักงาน หุ้นส่วน เป็นต้น แม้พวกเขาจะอยู่ท่ีใดก็ตาม
และเมื่อมีโอกาสควรตอบแทนบุญคุณในทุกโอกาสที่มี เพราะความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งท่ีดี
ทคี่ วรประพฤตปิ ฏบิ ัติและทาเป็นแบบอย่างใหก้ ับบุคคลร่นุ หลงั ได้ปฏิบัตติ าม

ในศาสนาอิสลาม มนุษย์ถูกส่งมามีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นการช่ัวคราวและมีชีวิต
ท่ีแตกต่างกันท้ังในด้านความรู้ ความสามารถ ฐานะและโอกาส ท้ังน้ีเพื่อที่มนุษย์จะได้มีความสัมพันธ์กัน
โดยอยู่บนรากฐานของการทดสอบ มนุษย์จะได้รับการทดสอบในรูปแบบท่ีต่างกัน ท้ังบททดสอบ
ที่ทดสอบด้วยความร่ารวย ยากจน อานาจ วาสนา บารมี มนุษย์ต้องสามารถใช้หลักจริยธรรมเหล่าน้ี
ในการทาให้บททดสอบเหลา่ นน้ั ออกมามีผลทีด่ ีท่สี ดุ ดว้ ยตนเอง

262 มนุษยสัมพันธท์ างธรุ กจิ

จากบุคลิกภาพของศาสดามุฮัมมัดน้ัน ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถนาบุคลิกภาพ
ของทา่ นมาประยกุ ต์ใช้ในการประกอบธุรกิจ ซ่ึงจะทาใหผ้ ูป้ ระกอบธรุ กิจสามารถบริหารจัดการบุคคล
ในองค์กรและบคุ คลนอกองค์กรดว้ ยหลักเมตตาธรรม ยอ่ มเปน็ ผลให้เกิดความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน
และส่งผลให้ประสบความสาเรจ็ ในการทาธุรกจิ ได้เปน็ อย่างดี

หลักธรรมของศาสนาคริสตท์ ่ีชว่ ยส่งเสริมการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ

1. ความรูพ้ ืน้ ฐานเก่ียวกบั ศาสนาครสิ ต์
ศาสนาคริสต์เกิดก่อนประกาศต้ังศาสนาคริสต์ ประมาณ 4 ปี ที่บริเวณต้นแม่น้าจอร์แดน

บนแผ่นดินปาเลสไตน์โบราณ ศาสดาผู้ก่อต้ังศาสนาคริสต์คือ พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) ซ่ึงมี
เช้ือสายยิว บังเกิดขึ้นมาในตาบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อ เบธเลเฮม (Bethlehem) ในแคว้นยูดาห์
ตรงกับปีพุทธศักราช 543.วันท่ีบังเกิดขึ้นไม่มีการบันทึกแน่นอน แต่ศาสนจักรได้กาหนดเอาวันท่ี 25
ธันวาคม เป็นวนั เริ่มครสิ ตศ์ ักราชท่ี 1.มารดามนี ามว่า มารีอา (Maria).ชาวคริสต์เช่ือกันว่านางมารีอา
น้นั ตงั้ ครรภ์ไมเ่ หมือนสตรอี นื่ เพราะเป็นการตง้ั ครรภโ์ ดยอานภุ าพของพระผู้เป็นเจ้า ฉะน้ัน พระเยซู
จงึ เป็นบุตรของพระเจา้ สว่ นโยเซฟ (Joseph) นั้นเปน็ บดิ าเลยี้ งท่มี สี ายเลอื ดสบื มาแตก่ ษตั รยิ ์ดาวดิ

พระเยซูในวัยเด็กน้ันมีจิตใจท่ีใฝ่ในธรรม มีความชอบใจท่ีจะพูดถึงเร่ืองธรรมกับ
นักศาสนา ครนั้ มีอายไุ ด้ 30 ปี จึงรับบัพติศมา (Baptism) หรือการรับศีลล้างบาปจากยอห์น (John)
ซ่ึงเป็นนักบุญในสมัยนั้น การรับศีลล้างบาปนี้กระทาที่แม่น้าจอร์แดน ต่อมาพิธีนี้ได้กลายเป็นพิธี
ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ ของชาวครสิ ตท์ กุ คนท่จี ะต้องกระทาเพอื่ ประกาศตนเปน็ คริสต์ศาสนกิ ชน

หลังจากนั้นพระเยซูได้ออกเทศนาท่ัวประเทศเพื่อประกาศ "ข่าวดี" อันเป็นหนทาง
แห่งความรอดพ้นจากบาปไปสู่ชีวิตนิรันดร์ โดยเน้นความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุษย์
ในขณะนน้ั ได้มีผสู้ นใจคาสอนของพระเยซู แตส่ ่วนมากเปน็ ชนชั้นชาวบ้านท่ยี ากจนและชาวประมง พระเยซู
ได้คัดเลือกสาวกจากบคุ คลเหล่าน้ไี ด้ทัง้ หมด 12 คน

สาวกทั้ง 12.คนน้ี ได้ติดตามรับใช้พระเยซูอย่างใกล้ชิดเพื่อเผยแผ่ศาสนา แต่กระนั้น
ก็ยังมีสาวกท่ีมีจิตใจด้ือดึง คือ ยูดาส อิสคาริออท (Judas Iscariot).ยอมทรยศเพื่อเห็นแก่เงินสินบน
ทั้งนี้สืบเน่ืองมาจากคาสอนของพระเยซูมีส่วนทาให้ผู้นาศาสนายูดาย ขุนนางและคนร่ารวยบังเกิด
ความไม่พอใจ เพราะถูกตาหนิ จึงโกรธแค้นคิดหาทางทาร้าย ด้วยการจับตัวไปข้ึนศาลของเจ้าเมือง
ชาวโรมัน โดยยูดายรับอาสาชี้ตัวพระเยซู เม่ือวันท่ีผู้นาศาสนายูดายมาจับตัวพระเยซูไป สาวกท้ัง
11.คน ได้รีบหลบหนีท้ิงให้พระเยซูถูกจับไปลงโทษ โดยการตรึงกับไม้กางเขนพระเยซูถูกทรมาน
อย่างโหดร้ายทารุณจนถึงแก่ชีวิตในขณะท่ีมีอายุได้ 33.ปี เท่านั้น จึงใช้เวลาประกาศศาสนาเพียง
3 ปี

ความเจริญของศาสนาคริสต์ได้มีมายาวนาน จนกระท่ังถึงยุคล่าอาณานิคมของพวก
จักรวรรดินิยมชาวยุโรปและอเมริกัน ซ่ึงอยู่ในช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษท่ี.15-16.ศาสนาคริสต์
ได้ถูกนาไปเผยแพร่ในประเทศต่าง ๆ ท่ีนักล่าอาณานิคมเหล่านี้ไปถึง ทาให้คริสต์ศาสนิกชนมีปริมาณ

การประยกุ ต์ใช้หลักธรรมในการสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 263

เพ่ิมมากขึ้นทั้งในทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกา เอเชียและออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
ได้มีนักสอนศาสนาชาวโปรตุเกสและสเปนเข้ามาเผยแพร่ โดยเดินทางมาพร้อมกับพวกทหาร
และพ่อคา้ ของประเทศเหลา่ นัน้ ทาใหม้ คี นไทยนับถอื ศาสนาครสิ ต์กระจดั กระจายไปท่วั ประเทศ

2. คัมภีร์ของศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์และศาสนายูดาย ต่างให้ความเคารพในคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยถือว่าเป็นส่ิง

ศักด์สิ ิทธเิ์ ปน็ พระวาจาของพระผู้เป็นเจา้ ตลอดจนหนทางแหง่ ความรอดจากทุกข์ทั้งปวง
"ไบเบิล" (Bible) หมายถึง "หนังสือหลายเลม่ " เพราะเป็นความหมายท่ีได้มาจากศัพท์

ภาษาละตินและภาษากรีก คือ."บีบลีอา".(Biblia).ซ่ึงเป็นพหูพจน์ของ "บีบลีออน"(Biblion)
แต่ภาษาอังกฤษใช้ไบเบิล (Bible).และการที่เรียกว่าไบเบิลนี้ อาจเป็นเพราะคัมภีร์ไบเบิลประกอบด้วย
หนงั สือหลายเล่มแลว้ นามารวมเป็นเลม่ เดยี วกนั ในเล่มเดียวกันนต้ี อ่ มาแบ่งเป็นสองภาค คือ

1. ภาคพันธสัญญาเดิม (The.Old.Testament).น้ีประกอบไปด้วยข้อเขียน
ตา่ ง ๆ ทง้ั หมด 46 เลม่ (แต่ในคริสตศ์ าสนาโปรเตสแตนต์หลายนิกายยอมรบั เพยี ง 39 เล่ม)

2. ภาคพันธสัญญาใหม่ (The.new.Testament).เป็นส่วนที่ยอมรับกันในหมู่
ชาวคริสต์เท่าน้ัน ประกอบไปด้วยหนังสือหรือข้อเขียน 27.เล่ม ซึ่งเป็นบันทึกประวัติและคาสอน
ของพระเยซูที่เรียกว่า "พระวรสาร".(The.Gospels).มีจานวน 4.เล่ม หนังสือกิจการอัครธรรมทูต
1 เล่ม จดหมายของบรรดาสาวกถงึ ครสิ ตช์ นในท่ีต่าง ๆ 21 เลม่ และหนงั สอื ววิ รณ์ 1 เล่ม

คมั ภีร์ไบเบลิ ในส่วนที่เป็นพระวรสาร 4 คัมภีร์ เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุดและมี
ผวู้ จิ ารณก์ ันมากทสี่ ดุ ซ่ึงมดี ังนคี้ อื

1. พระวรสารของนักบุญมทั ธิว (มธ.) มจี านวน 28 บท
2. พระวรสารของนักบุญมาระโก (มก.) หรอื มารค์ (Mark) มจี านวน 16 บท
3. พระวรสารของนักบุญลกู า (ลก.) หรอื ลูค (Luke) มจี านวน 24 บท
4. พระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน.) มจี านวน 21 บท
พระวรสารของนักบุญมัทธิว ในพระวรสารเล่มน้ีได้กล่าวถึงกาเนิดของพระเยซู
การเทศนาสั่งสอนโดยเฉพาะ " การเทศนาบนภูเขา" (Sermon on the Mount) ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า
เป็นแถลงการณ์ฉบับแรกของพระเยซูที่ประกาศโครงการปฏิรูปแนวทางดาเนินชีวิตของ มนุษย์
และเชื่อกนั ว่าเทศนาบทนี้เปน็ ตอนที่ไพเราะท่สี ุดในงานนิพนธ์ของนักบุญมัทธิว
สาหรับพระวรสารของนักบุญมาระโกหรือมาร์ค (Mark).นั้น มีเนื้อหาที่เน้นเฉพาะ
การเป็นพระเมสสิยาห์ของพระเยซมู ากกวา่ เนน้ เสนอคาสอน
ส่วนพระวรสารฉบับของนักบุญลูกาหรือลุค (Luke).เป็นพระวรสารท่ีเน้นเฉพาะ
ในเร่อื งคาสอนของพระเยซู แต่มีการจดั ลาดบั เหตุการณ์ต่าง ๆ ตามแบบพระวรสารของนักบุญมทั ธิว
พระวรสารของนกั บุญยอห์นน้ีมีเน้ือหาเน้นหนักการประกาศว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์
หรือพระคริสต์ เพื่อมาไถ่บาปมนุษย์ด้วยการรับทรมานต่าง ๆ จนต่อมาได้กลับคืนชีพ และได้ส่งสาวก

264 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

ออกไปประกาศคาสอนพร้อมด้วยพระจิตของพระเจ้าและอานาจในการยกบาป นักบุญยอห์นจึงเป็น
พยานสาคญั ท่ยี ืนยันความเปน็ พระเมสสยิ าห์ของพระเยซูเจา้

นอกจากนี้ พระวารสารเล่มนี้ยังกล่าวถึงพิธีกรรมและศีลศักด์ิสิทธิ์.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ในภารกิจของพระเยซู เช่น ศีลล้างบาป ศีลมหาสนิท และศีลอภัยบาป ศีลศักด์ิสิทธิ์เหล่าน้ีต่อมา
ไดก้ ลายมาเปน็ พธิ กี รรมอนั ศักด์สิ ิทธ์ขิ องศาสนาคริสต์

3. หลักธรรมของศาสนาครสิ ต์ ทีช่ ว่ ยสง่ เสริมการสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ
บัญญัติเอก ของศาสนาคริสต์ คือ.บัญญัติแห่งความรัก คือ “จงรักพระเป็นเจ้า

ด้วยส้ินสุดจิตใจ สุดสติปัญญา และจงรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักต นเอง”.(ลก.10:27)
นอกเหนือจากบัญญัติ สองข้อที่เป็นบัญญัติเอกแล้ว ศาสนาคริสต์ ยังมี บัญญัติ 10.ประการ ที่สอนกับ
ชาวคริสต์ คือ

1. จงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า การแสดงความเคารพพระผู้เป็นเจ้าหรือความรัก
พระองค์ โดยเราต้องไม่ยึดถือส่ิงใดนอกจากพระองค์แต่ผู้เดียวและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคาสั่งสอน
ของพระองค์

บทบัญญัติข้อนี้เราสามารถนามาใช้ในมนุษย์สัมพันธ์ในสังคมหรือในการประกอบธุรกิจ
ได้ กล่าวคือ ถ้าสังคมเราหมายถึงครอบครัว ถ้าเราเป็นลูกเราต้องรักและเคารพบิดามารดา พร้อมที่จะ
ปฏิบัติตามคาสั่งสอนของบิดา หรือมารดา ถ้าสังคมเรา หมายถึง นักเรียน เราก็ต้องปฏิบัติตามคาส่ัง
สอนของครู ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา เม่ือบุคคลเช่ือฟังคาสั่งสอนของพ่อแม่
ครูอาจารย์แล้วย่อมทาให้เกิดความเข้าใจซ่ึงกันและกัน สามารถสร้างสังคมให้มีความสุขได้ ในการ
ประกอบธุรกิจ ในองค์กรผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตามคาสั่งของผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตาม
กฎระเบยี บท่ีองค์กรกาหนดไว้อยา่ งเคร่งครัด เพื่อให้การทางานเป็นไปตามวัตถปุ ระสงคข์ ององค์กร

2. อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ พระบัญญัติประการนี้ห้ามไม่ให้เราใช้พระนาม
ของพระเป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ถือว่าเป็นการขาดความเคารพต่อพระองค์ คริสต์ชนยังอ้างถึงพระนาม
ของพระเปน็ เจา้ ในบางกรณี เช่น ในการสาบาน เราสาบานเพื่อให้คนอ่ืนไม่สงสัยต่อความสัตย์จริงในสิ่ง
ท่ีเรายืนยัน ดังน้ัน เราสาบานโดยเอาพระนามของพระเป็นเจ้าเป็นข้ออ้าง เป็นความผิดหนักถ้าเป็นการ
สาบานเท็จ กเ็ ท่ากบั เอาพระเปน็ เจา้ เป็นพยานในการโกหกของเรา

สาหรบั การนามาใช้กบั มนุษยสัมพันธ์ คือ บทบัญญัติที่สอนให้เราพูดแต่ความจริง ไม่ต้อง
สาบาน การพูดความจริงสามารถที่จะเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพ่ือนร่วมงานในองค์กรธุรกิจได้
เพราะถ้าบุคคลในองค์กรธุรกิจถือสัจจะและความจริงใจอย่างม่ันคง โดยไม่จาเป็นต้องอ้างพระเจ้า
หรือสิ่งศักด์ิสิทธ์ิอ่ืนใด บุคคลน้ันก็ย่อมสร้างความเชื่อม่ันและเชื่อใจในตัวเขาได้.ทาให้การทางาน
รว่ มกนั ในองค์กรเป็นไปอย่างราบร่นื และจะเป็นท่ีรกั ของเพอื่ นรว่ มงานดว้ ย

3. วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ความมุ่งหมายสาคัญของการถือ
"วันพระเจ้า" (ปัจจุบันเป็นวันอาทิตย์) และวันฉลองสาคัญ คือ การส่งเสริมให้ครอบครัวหรือตัวเรา
ถวายคารวะแด่พระผู้เป็นเจ้า โดยร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเพ่ือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีภายใน

การประยุกต์ใช้หลกั ธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 265

ครอบครัวและความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้า เพราะคริสต์ชนท่ีว่างจากการงานจะได้อยู่ร่วมกัน
ในความรกั ของพระเจ้า ซงึ่ เป็นโอกาสพัฒนาจติ ใจของตนและมีเวลาศึกษาในดา้ นศาสนาและดา้ นอน่ื ๆ

สาหรับบทบัญญัติน้ี เป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ภายในกลุ่มเพื่อให้กลุ่มสามารถ
ทาความรู้จักกัน ทากิจกรรมภายในองค์กรร่วมกัน เช่นการจัดงานเล้ียงสังสรรค์ให้กับพนักงาน
ในบริษัทเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยองค์กรทางาน การเชื่อมความสัมพันธ์โดยการแข่งขันกีฬา
กจิ กรรมต่าง ๆ เหลา่ น้กี ็จะทาใหอ้ งคก์ รธุรกิจมีความแนน่ แฟ้นย่ิงข้ึน

4. จงนับถือบิดา มารดา การเคารพนับถือบิดามารดา คือ การให้ความสาคัญแก่
บิดามารดาและผู้ที่มีพระคุณการแสดงความกตัญญูรู้คุณที่ท่านได้ให้ชีวิตและเลี้ยงดูเรา ในท่ีนี้ คาว่า
"เคารพนับถือ" กินความหมายมากกว่าคาว่า "รัก".บุตรนั้นต้องเคารพนับถือบิดามารดา รวมถึงผู้ที่มี
พระคณุ กับเรา

บทบัญญัติข้อน้ีเห็นได้อย่างชัดเจน ในการท่ีเราทุกคนเคารพบิดามารดา โดยการเช่ือ
ฟังคาสั่งสอน ประพฤติปฏิบัติตัวไปในทางที่ดีงาม ย่อมทาให้บิดามารดาเกิดความรักและห่วงใย
ทาให้ครอบครัวเกิดความสุขตลอดไป ในการทาธุรกิจผู้ใต้บังคับบัญชาควรเคารพในคาส่ังของ
ผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามคาสั่งอย่างเคร่งครัด ย่อมทาให้เป็นที่รักใคร่ของผู้บังบัญชาและส่งผล
ให้เกดิ ความเจริญก้าวหน้าในหน้าท่ีการงาน

5. อย่าฆ่าคน.คาว่า "ฆ่าคน".ในที่นี้หมายถึงการตัดสินชีวิตของผู้อ่ืน โดยไม่มีการ
พิพากษาของศาล ยุติธรรมอันถูกต้องตามกฎหมาย บทบัญญัตินี้ไม่มุ่งจะกล่าวถึงการยิงกันในสนาม
รบเวลาสงครามหรือการประหารชีวิตของนักโทษตามคาตัดสินของศาล ส่ิงที่บัญญัติข้อน้ี .คือ.
ห้ามฆ่าคนด้วยโทสะ (โมโห).หรือด้วยความเกลียดชังหรือเพื่อแก้แค้น.เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นองค์
แห่งความรกั และพระองคส์ อนใหเ้ รารักกันและให้อภยั กัน

ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ข้อน้ีแสดงให้เห็นว่า ในการอยู่ร่วมกันในสังคมของการ
ประกอบธรุ กิจ ถ้าผปู้ ระกอบการธรุ กจิ สามารถให้อภยั ให้โอกาสกันได้น้ัน ก็จะทาให้ไม่เกิดข้อขัดแย้ง
ท่ีนามาซึ่งความรุนแรงและเสียหายในทรัพย์สิน การให้อภัยจึงมีความสาคัญมากในสังคมปัจจุบัน
ทจี่ ะทาให้เกิดความรักและสันติสุขในสังคม

6. อย่าทาอุลามก (อย่าล่วงประเวณี).พระบัญญัติประการนี้มุ่งจะป้องกันชีวิตครอบครัว
ให้ราบร่ืนตามแผนการของพระเป็นเจ้า.พระเป็นเจ้าทรงปรารถนาท่ีจะให้ชายและหญิงต่างอุทิศตัว
แก่กนั และกันด้วยความรักและซอื่ สตั ย์ตลอดชีวิต

การสร้างมนุษยสัมพันธ์ในข้อน้ี เป็นการสอนให้ผู้ประกอบการธุรกิจควรระลึกนึกถึง
ครอบครัว คือ ต้องมีความประพฤติท่ีดี ไม่ควรล่วงประเวณีกับผู้อื่นท่ีมิใช่ภรรยาหรือสามีของตน
ในการทางานรว่ มกันไม่ควรให้เกิดเร่ืองชู้สาวในที่ทางานหรือไม่กระทาการอันก่อให้เส่ือมเสียช่ือเสียง
ขององค์กร

7. อย่าลักขโมย คริสต์ศาสนากล่าวถึงการขโมยด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การโกงคุณภาพ
น้าหนัก ปริมาณของส่ิงของ การกดค่าจ้างแรงงานโดยถือโอกาสที่คนว่างงานมาก การไม่จ่ายค่าจ้าง

266 มนษุ ยสัมพันธท์ างธุรกจิ

ตามกาหนดเวลา การไม่ชาระหนี้ การไม่ซื่อสัตย์ในงานที่ได้รับมอบหมายให้ทา ท้ังหมดนี้เป็นการ
ขโมยอย่างหน่ึงและบางครั้งเป็นการฆ่าคนผ่อนส่ง การให้ยืมเงินแก่คนจนโดยคิดดอกเบ้ียสูง
ซึ่งเท่ากับเป็นการปล้นคนจน การเก็บของหายไว้โดยไม่หาเจ้าของ การทาลายหรือไม่รักษาสาธารณ
สมบัติเปน็ ความผดิ ท้งั ส้ิน

การไม่ลักขโมย เป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในด้านความซ่ือสัตย์ เพราะการลักขโมย
เป็นการทาลายมนุษยสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์.เพราะถ้าไม่ซ่ือสัตย์ต่อตนเองแล้วเราจะซื่อสัตย์
ต่อบุคคลรอบข้างได้อย่างไร ในองค์กรธุรกิจพนักงานก็ควรมีความซ่ือสัตย์กับองค์กร ในการไม่ลัก
ขโมยทรัพย์สินของบริษัท เพราะถ้าถูกจับได้ก็จะทาให้เกิดผลเสียกับอนาคตการทางานของตนเอง
จึงถอื ไดว้ ่าความซอื่ สัตยแ์ ละความจงรักภักดีเป็นสิ่งสาคัญในการทางาน ถ้าผู้บริหารองค์กรเห็นความ
ซ่ือสัตย์และความตั้งใจของพนักงาน พนักงานก็จะได้รับคาชมและได้รับการไว้วางใจจากผู้บริหาร
องคก์ ร

8. อย่าใส่ความนินทา พระบัญญัติประการน้ีต้องการป้องกันเพื่อนบ้าน "อย่าเป็นพยาน
เท็จตอ่ เพ่อื นบ้านโดยใส่ร้ายเขา".ข้ันแรกพระบัญญัติน้ีช่วยให้รักษาชื่อเสียงและเกียรติของเพ่ือนบ้าน
ซ่ึงเป็นสมบัติท่ีประเสริฐกว่าเงินทอง คาพูดไม่ก่ีคาทาลายชื่อเสียงของคนอื่นได้ แต่เม่ือทาลายแล้ว
จะต้องใช้เวลานานเท่าไรหรือใช้คาพูดเท่าไร เพื่อสร้างชื่อเสียงของเขาให้เหมือนเ ดิม เม่ือคิด
จะพพิ ากษาเพ่อื นบา้ นเราควรจะพิพากษาตวั เราเองเสยี ก่อน

บทบัญญัติข้อน้ี สอนให้ผปู้ ระกอบการธุรกิจด้วยกันไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีกัน ทั้งต่อหน้า
และลับหลงั เพราะการพูดนนิ ทาเปน็ การพูดในส่ิงที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า เพราะผลของการนินทา
ว่าร้ายจะนามาซ่ึงความเสียหายต่อองค์กรธุรกิจของอีกฝ่ายหน่ึง ซึ่งจะทาให้เป็นอุปสรรคในการ
ดาเนนิ ธรุ กิจตอ่ ไปในอนาคตและทาให้สัมพนั ธภาพในการทาธรุ กจิ จบลง

9. อย่าปลงใจในความอุลามก (อย่าคิดโลภในประเวณี) จากบทบัญญัติข้อ “6 อย่าทา
อุลามก (อยา่ ล่วงประเวณี)”.ในศาสนาครสิ ต์ ได้เพ่ิมขอ้ ควรปฏิบตั ิ คือ มิใช่แต่เพียงการกระทาอันไม่ดี
แตใ่ ห้เราเลิกคิดถงึ สิ่งท่ไี มด่ ี ทีจ่ ะนาพาเราปฏิบัติในส่ิงที่ไม่ดี เราต้องพยายามข่มใจไม่คิดและไม่ทาในสิ่ง
ทไ่ี มเ่ กดิ ประโยชนก์ ับตวั เราและบุคคลรอบข้างของเรา

บทบัญญัติข้อนี้ สามารถประยุกต์ในเรื่องมนุษยสัมพันธ์คือ สอนให้ผู้ประกอบการ
ธุรกิจคิดแต่ในส่ิงที่ดีต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่คิดที่จะเบียดเบียนและมีจิตคิดแต่ส่ิงดี ๆ กับบุคคล
ทเ่ี กีย่ วข้อง เม่อื คิดดี ทาดแี ลว้ สนั ตหิ รือความสุขจะเกดิ ขนึ้ กบั องคก์ รธุรกจิ นัน้ ๆ

10. อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา.จากบทบัญญัติข้อ “7.อย่าลักขโมย”.พระบัญญัติข้อน้ี
ยังเพ่ิมข้อเตือนใจเราว่า มิใช่เพียงแต่การกระทาอันไม่ดี แต่ยังหมายรวมถึงความคิดที่จะกระทาไม่ดี
ที่เกิดขึ้นในสมอง เราต้องพยายามข่มใจ ไม่คิดและไม่ทาในส่ิงท่ีไม่ดี เช่น อยากได้ของซึ่งไม่ใช่
ของตนเองและไมพ่ อใจในส่ิงทต่ี นมี

การประยุกต์ด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ สอนให้บุคลากรในองค์กรธุรกิจได้ยับย้ังช่างใจในการคิด
พิจารณา ที่จะไม่เอาทรัพย์สินขององค์กรไปใช้ส่วนตัว เพราะต้องคิดว่าองค์กรมีบุญคุณกับเราท่ีให้เรามี

การประยุกต์ใชห้ ลักธรรมในการสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 267

อาชีพ มีทรัพย์สินเงินทองในการเล้ียงชีพได้ และพร้อมท่ีจะทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการทางานให้กับ
องค์กรอย่างเต็มที่

สรุปหลักธรรมคาสอนของศาสนาคริสต์ ที่ช่วยเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ คือ.บทบัญญัติ
คาสอนของศาสนาคริสต์ สอนให้ทุกคนรักกัน พร้อมที่จะให้อภัยกัน ความรักเป็นบทบัญญัติแรก
และบทบัญญัติเดียวที่สาคัญที่สุด พระผู้เป็นเจ้าสอนให้ทุกคนรักกันและให้อภัยกัน แม้กระทั้งศัตรู
ของตนเอง การให้อภัย พระองคส์ อนให้อภัยกับทุกคน ไม่ใช่แค่ว่า คร้ังหรือสองครั้ง แต่พระองค์สอน
ให้อภัยกบั ทกุ คน ถึง 7 ครั้ง 70 หน ความหมาย 7 ครั้ง 70 หน มิใช่ 7 คูณ 70 ตามหลักคณิตศาสตร์
แต่ความหมายของพระองค์คืออภัยไม่มีที่ส้ินสุด ความรักและการให้อภัย ถ้าเราสามารถทาได้เราจะ
เป็นท่ีรักของทุกคน ไม่ว่าคนน้ันจะรักเราหรือไม่ก็ตาม.โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานของเรามักจะมีเร่ือง
ไม่เข้าใจกนั บอ่ ย ๆ ทาให้ทะเลาะกนั

ในการนาหลักของศาสนาคริสต์มาประยุกต์ใช้ในการประกอบธุรกิจจะส่งผลให้ธุรกิจสามารถ
อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข เพราะหลักศาสนาคริสต์สอนให้ทุกคนมีจิตใจที่อ่อนโยน ซื่อสัตย์และหม่ัน
ทาความดี โดยไมต่ อ้ งหวงั ผลตอบแทน หรือทาดีโดยไม่จาเป็นต้องให้ผู้อ่ืนเห็น และพร้อมที่จะให้อภัย
กับทุก ๆ คน แม้ว่าจะทาได้ยากก็ตาม ถ้าทุกคนสามารถทาตามหลักธรรมคาส่ังสอนได้แล้วย่อมเป็น
ท่รี กั ของเพื่อน ๆ รว่ มงานและประสบความสาเร็จในการประกอบธุรกิจ

หลกั ธรรมของศาสนาพุทธที่ชว่ ยสง่ เสริมการสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

1. ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกบั ศาสนาพทุ ธ
พุทธศาสนาถือกาเนิดในอินเดีย ก่อนพุทธศักราช 45.ปี (พุทธศักราชเริ่ม ต้ังแต่ปีท่ี

พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพาน).นับว่าเป็นศาสนาที่สาคัญที่สุดในโลกศาสนาหน่ึง มีผู้นับถือจานวนมาก
โดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ ทางเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ ศาสดา คือ พระพุทธเจ้า
ในสมัยที่พระพุทธเจา้ ยงั ไมไ่ ดอ้ อกบวช มีพระนามวา่ เจ้าชายสิทธัตถะ

ชีวิตในฆราวาสวิสัยของพระองค์มีแต่ความสมหวังไปทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อมาเมื่อมี
พระชนมายุได้ 29.พรรษา ก็เริ่มทรงเบื่อหน่ายโลก เพราะทรงเห็นความไม่เท่ียงแท้แน่นอนของโลก
และทรงหวังจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ จึงได้ทรงสละความสุขนานาประการออกผนวช เพ่ือหาทาง
ที่จะนาไปสู่ความพ้นทุกข์ ทรงผนวชอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ 35.พรรษา จึงได้ตรัสรู้คือรู้แจ้ง
ในความจริงแห่งโลก เปน็ พระพทุ ธเจา้

เม่ือตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็เสด็จแนะนาส่ังสอนเพ่ือหาทางท่ีจะนาประชาชนไปสู่
ความพ้นทุกข์อยู่เป็นเวลาถึง 45.ปี ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือ
พระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจานวนมาก พระพุทธเจ้าทรงส่ังสอน
อยู่จนกระทั่งมี พระชนมายุได้ 80 พรรษา จึงปรินพิ พาน

268 มนุษยสัมพนั ธท์ างธุรกิจ

หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ 100.ปี พระพุทธศาสนาก็เริ่มมีการ
แตกแยกในด้านความคิดเห็น เก่ียวกับการปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ 2.นิกาย
คือ มหายาน กบั หนี ยาน

มหายาน แปลว่า "ยานใหญ่" เป็นลัทธิของภิกษุฝ่ายเหนือของอินเดีย ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย
ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มหาชนเลื่อมใสเสียก่อนแล้วจึงสอนให้ระงับดับกิเลส ทั้งยังได้แก้ไข
คาสอนในพระพุทธศาสนาให้ผันแปรไปตามลาดับ ลัทธิน้ีได้เข้าไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ในประเทศทิเบต
จนี เกาหลี ญป่ี ุ่นและเวียดนาม เป็นต้น

หนี ยาน แปลวา่ "ยานเล็ก" เปน็ ลัทธิของภิกษุฝ่ายใต้ ที่สอนให้พระสงฆ์ปฏิบัติเพื่อดับ
กิเลสของตนเองก่อน และห้ามเปล่ียนแปลงแก้ไขพระวินัยอย่างเด็ดขาด นิกายน้ีมีผู้นับถือมาก
ในประเทศศรลี งั กา ไทย พมา่ ลาว และกัมพชู า

2. คัมภีรข์ องศาสนาพทุ ธ
คัมภีร์ของศาสนาพุทธเรียกว่า “พระไตรปิฎก”.พระไตรปิฎก คือ ตาราหรือหนังสือ

ซ่ึงบันทึกคาส่ังสอนทางพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักฐาน แบ่งออกเป็น 2.ส่วน คือ คาสั่งท่ีเรียกว่า
พระวินัย กับคาสอนที่เรียกว่าพระธรรม แต่ในภาษาพูดใช้คาว่า พระธรรมวินัย โดยนาพระธรรมมา
เรียงไว้หน้าพระวินัย โดยพระวินัยเป็นเรื่องของคาสั่งสอนหรือศีลธรรมหรือระเบียบข้อบังคับท่ีห้าม
ทาความช่ัวหรือสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรต่าง ๆ ส่วนพระธรรมน้ันเป็นเรื่องของคาสอนหรือธรรมที่ให้
ความดีและใหช้ าระจติ ใจให้สะอาด

หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ 234 หรือ 235.ปี ในการสังคายนา
คร้งั ท่ี 3 ได้มีการคิดกันในหมูพ่ ระสงฆว์ ่าคาสง่ั สอนทางพระพทุ ธศาสนานา่ จะแยกเป็น 3 ส่วน คือ

2.1 พระวินยั ไดแ้ ก่ ระเบียบข้อบงั คับหรือศีล
2.2 พระสูตร ได้แก่ คาสอนทัว่ ๆ ไปท้ังของพระพุทธเจ้าและพระพทุ ธสาวก
2.3 พระอภิธรรม ไดแ้ ก่ คาสอนทเี่ น้นสว่ นทเ่ี ป็นแก่นแห่งความจริงหรือสาระสาคญั
เม่ือมีการแบ่งคาส่ังสอนทางพระพุทธศาสนาออกเป็น 3.ส่วน จึงได้มีการใช้คาว่า
“พระไตรปิฎก” คือ ตาราหรือคัมภีร์พระพุทธศาสนา 3 ส่วน คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก
และพระอภิธรรมปิฎก โดยกาหนดให้ระเบียบข้อบังคับหรือศีลเป็นพระวินัยปิฎก คาสอนทั่ว ๆ ไป
เป็นพระสุตตนั ตปิฎกและคาสอนท่ีวา่ ด้วยสาระสาคัญหรอื แก่นความจรงิ เปน็ พระอภิธรรมปิฎก
3. หลกั ธรรมของศาสนาพทุ ธ ทช่ี ว่ ยส่งเสริมการสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ
หลักธรรมในพุทธศาสนา มีจุดประสงค์ท่ีสอนให้คนเป็นคนดี มีความประพฤติดี
ซง่ึ คาสอนท่ีดเี หล่านยี้ อ่ มนามาซ่ึงความสัมพันธ์ท่ีดีในการอยู่ร่วมกันของคนท่ัวไปและในการประกอบ
ธุรกิจ ดังน้ัน คาสอนของพระพุทธองค์จึงเป็นรากฐานและมีแนวปรัชญาเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์
เพราะมีหลักในการส่งเสริมจิตใจของคนจากขั้นต่าสุดไปจนสูงสุด ถ้าผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติ
ธรรมตามหลักพุทธศาสนา ก็ย่อมสามารถนาหลักพุทธศาสนาไปประยุกต์ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี เพราะในพุทธศาสนานั้นมีหลักธรรมมากมาย ท่ีจะสามารถนาไปประยุกต์ใช้

การประยุกตใ์ ช้หลกั ธรรมในการสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 269

ในการประกอบธุรกิจให้ประสบผลสาเร็จและสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอ่ืนและมีธรรมะท่ีเป็นหลัก
ในการปกครองคนในองคก์ รให้อย่ดู ้วยกันอย่างมีความสขุ

ธรรมะคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายท่ีพระองค์ได้ทรงแสดงไว้ ถ้านับเป็น
ธรรมขันธ์แล้วมีจานวนถึง 84,000.พระธรรมขันธ์ โดยหลักการใหญ่ ๆ หลักของพระพุทธศาสนา
โดยท่ัวไปซ่ึงผู้บริหารองค์กรธุรกิจสามารถนาหลักธรรมคาสอนไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร
ของตนเอง ประกอบดว้ ย 3 ประการ คือ

3.1 ละเว้นความชั่ว.(สพฺพปาปสฺส อกรณ).หมายถึง อะไรก็ตามที่ทาไปทางกาย
ทางวาจา หรือคิดทางใจแล้วจะยังผลให้ ทาให้ตนเองเดือดร้อน ทาให้คนอื่นเดือดร้อน ทาให้ท้ัง
ตนเองและผอู้ น่ื เดือดร้อน ตลอดจนไมเ่ ปน็ ประโยชนแ์ กต่ นเองและผอู้ ่ืน

การประพฤติส่ิงดังกล่าวจัดว่าเป็นความช่ัว จะต้องงด ลด ละ สละ เว้น หลีกเลี่ยง
ให้ห่างไกล ในทางธุรกิจนั้นก็ไม่ควรทาให้ผู้อ่ืนเดือนร้อนซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการทาธุรกิจ เช่น
โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าท่ีมีสารพิษปะปนอยู่ ผู้บริหารจะต้องมีมาตรการในการควบคุม
ปริมาณสารพิษที่จะปล่อยออกสู่ธรรมชาติให้ดี เพ่ือไม่ไห้เกิดความเดือดร้อนแก่คนในพ้ืนท่ีใกล้เคียง
หรือธรรมชาติเพ่ือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนที่ธุรกิจได้ไปใช้ประโยชน์ในการประกอบ
ธุรกิจ อีกทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ท่ีดี
ให้กบั องคก์ รธุรกจิ ไดอ้ กี วธิ ีหนงึ่ ดว้ ย

3.2 บาเพ็ญความดีให้เกิดขึ้น (กุสลสฺสูปสมฺปท).หมายถึง อะไรก็ตามท่ีทาไปทางกาย
พูดทางวาจา หรือคดิ ทางใจแลว้ จะยงั ผลให้ ไม่ทาใหต้ นเองเดือดร้อน ไมท่ าให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ทาให้
ตนเองและผอู้ นื่ เดือดร้อน ตลอดจนเปน็ ประโยชนท์ ั้งแก่ตนเองและผู้อืน่

การประพฤติสิ่งดังกล่าวจัดว่าเป็นความดี ใครประพฤติปฏิบัติได้เขาเรียกว่า
ประพฤติดี ทุกคนควรประพฤติ แต่ความดี ในทางธุรกิจน้ันหากมีการติดต่อประสานงานกันระหว่าง
ผู้ร่วมคา้ หรอื การใหบ้ ริการแกล่ ูกค้า ควรแสดงออกในทางท่ีดี ซึ่งสามารถแสดงออกได้หลายทาง เช่น
การพูดดี พูดไพเพราะและการปฏิบัติตนดี เม่ือประพฤติตนที่ดีแล้วก็จะส่งผลให้เกิดประโยชน์
ทั้งสองฝา่ ย เช่น เม่อื มีลกู คา้ เขา้ มาสนใจในตวั สินค้าพนักงานขายก็จะต้องอธิบายตัวสินค้าให้แก่ลูกค้า
ด้วยคาพูดท่ีสุภาพ อ่อนหวานและให้คาแนะนาท่ีดีกับลูกค้า ก็จะทาให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ
และตัดสินใจซ้ือสินค้าพนักงานก็ได้ขายสินค้าซ่ึงเป็นผลประโยชน์ท่ีเกิดข้ึนท้ังสองฝ่ายรวมถึงองค์กร
ธุรกิจดว้ ย

3.3 การชาระจิตใจให้สะอาด (สจิตฺตปริโยทปน).คือ อะไรก็ตามท่ีทาให้ส่ิงที่ทา
คาท่พี ดู อารมณท์ ค่ี ิด แลว้ ทาให้จิตใจสะอาด ประณตี สูงขึ้นด้วยคุณธรรม เช่น ทาน สันโดษ เมตตา กรุณา
ปัญญา ซึ่งเป็นเคร่ืองขจัดความโลภ ความโกรธและความหลง อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจให้บรรเทา
เบาบางไปจากจิตใจ ในการประกอบธุรกิจน้ัน ผู้เป็นเจ้าของกิจการควรให้ความสาคัญในเร่ือง
การคิดดีทาดีกับผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่แข่งขัน ผู้จัดส่งวัตถุดิบ
เปน็ ตน้ เพราะการท่ีผู้ประกอบการคิดดีมีใจท่ีบริสุทธ์ิกับบุคคลที่เก่ียวข้องแล้ว ย่อมสามารถทาธุรกิจ

270 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ

ดว้ ยความสบายใจ สว่ นบุคคลท่ีเก่ยี วขอ้ งกม็ คี วามไวเ้ นอ้ื เช่ือใจท่ีจะทาธุรกิจต่อไปด้วยความเอ้ืออาทร
ต่อกัน ดังน้ัน การที่จะกระทาการใดๆ นั้นจะต้องมีสติก่อนการตัดสินใจใดๆ ควรขจัดความโลภ
ความโกรธ ความหลงออกไปจากใจก่อน จงึ จะทาให้การทาธรุ กจิ ประสบความสาเรจ็

4. หลักธรรมสาหรับการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
หลักธรรมคาสอนของศาสนาพุทธท่ีนามาสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจได้นั้น

มีหลักธรรมคาสอนมากมายที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจควรตระหนัก
และศึกษาหาความรู้เพ่ือนามาเป็นแนวทางในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องในการ
ประกอบธุรกิจไปด้วยความราบร่ืน ประสบผลสาเร็จในการดาเนินธุรกิจ ซึ่งมีหลักธรรมทางศาสนา
พทุ ธในการเสริมสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธใ์ หก้ ับธรุ กจิ ไดด้ งั นี้

4.1 เบญจศีล คือ ข้อหา้ ม 5 ประการเพื่อเปน็ เกราะป้องกันตนเองไม่ให้ทาความชว่ั
4.1.1 พึงละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต.ตลอดจนการประทุษร้ายผู้อ่ืนให้ได้รับ

ความเจ็บปวดและทรมาน เช่น การปล่อยให้สุนัขท่ีตนเลี้ยงอดอาหารตาย การลอบวางยาพิษ การใส่
สารพิษลงในอาหารและน้า การใช้อาวุธทาลายผู้อื่น การทรมาน และสร้างความตื่นตระหนกแก่คน
และสัตว์ การดาเนินธุรกิจควรเว้นในการทาลายคู่แข่งขัน เพ่ือนร่วมงาน เพราะเป็นการทาลาย
สมั พันธภาพทดี่ ีท่ีมีตอ่ กันมาอย่างยาวนาน สง่ ผลใหไ้ ม่มใี ครเขา้ มารว่ มทาธุรกจิ กับเรา

4.1.2 พึงละเว้นจากการขโมย ฉ้อโกง.ตลอดจนใช้อุบายโกงเพ่ือหวัง
ในทรัพย์สินของผู้อ่ืน เช่น การนาหรือพาเอาสิ่งของท่ีเจ้าของไม่ได้อนุญาตมาเป็นของตนเอง
ความซ่ือสัตย์ ถือเป็นคุณสมบัติท่ีสาคัญสาหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ ไม่ว่าจะซ่ือสัตย์
ต่อตนเอง เพ่ือนร่วมงาน ลูกค้า หากบุคคลใดมีพฤติกรรมดังกล่าวจะสร้างความลาบากในด้าน
การทางาน เพื่อนร่วมงานเกิดความรู้สึกระแวงและหากเกิดกรณีฉ้อโกงองค์กร ซึ่งเป็นคดีความ
ก่อใหเ้ กดิ ประวตั ิไม่ดีให้กับตนเองได้

4.1.3 พึงละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม.เช่น การประพฤตินอกใจสามี
หรือภรรยาของตน การประพฤติล่วงเกินในบุตรภรรยาหรือสามีของผู้อ่ืน ตลอดจนการทาร้ายในของรัก
ของผู้อื่น เพราะคาว่า กามในท่ีนี้มิได้หมายเฉพาะในเร่ืองกามอารมณ์ เท่าน้ัน แต่หมายความไปถึง
ของรัก เช่น การทเี่ ราตีสุนัขของเพ่ือนจนตาย นอกจากจะผดิ ศีลข้อท่ี 1.แลว้ ยงั ผิดศีลข้อท่ี 3.น้ีอีกด้วย
เพราะสุนัขนั้นเป็นของรักของเพ่ือน ในข้อนี้จะเห็นได้ว่ามีความสาคัญสาหรับผู้ประกอบธุรกิจอย่าง
มาก ในการท่จี ะไปผดิ ลกู เมยี ของพนักงานในบริษัท เพราะคดิ วา่ ตนเองมอี านาจเหนือกว่าเขา โดยเอา
ตาแหน่งหน้าของตนมาเป็นเครื่องมือในการกระทาความผิดดังกล่าว ย่อมส่งผลเสียต่อการบริหาร
จัดการ ผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาเกิดการไมเ่ คารพนบั ถือ

4.1.4 พึงละเว้นจากการพูดเท็จ.พูดส่อเสียด นินทา เพ้อเจ้อ เหลวไหลพูดให้ร้าย
ผู้อ่ืน พูดเพ่ือทาลายสามัคคีในหมู่คณะ พูดหยาบคาย ตลอดจนการพูดโน้มนาให้ผู้อ่ืนเกิดการปรุงแต่ง
ทางกายอกี ดว้ ย ในการดาเนนิ ธรุ กจิ ให้ประสบความสาเร็จจาเป็นอย่างมากที่ผู้ประกอบการจะต้องให้
ความสาคัญเก่ียวกับการพูด เพราะการพูดถือเป็นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสารกับบุคคลกลุ่มต่าง ๆ

การประยุกตใ์ ชห้ ลกั ธรรมในการสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ 271

ที่เก่ียวข้อง การพูดท่ีดีกับบุคคลท่ีเก่ียวข้องย่อมนามาซึ่งความสุขสาหรับผู้ที่ได้พูดคุยด้วยเกิด
ความรู้สกึ ที่ดตี อ่ กนั ในการท่ีจะทากจิ การรว่ มกันต่อไป

4.1.5 พึงละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา ตลอดจนการทาในส่ิงที่จะทา
ให้เกิดความมึนเมาต่อประสาท อันเป็นผลให้ร่างกายสูญเสียความปกติ เช่น กัญชา ฝ่ิน มอร์ฟีน
เฮโรอีน ยาบ้า หรือยาขยัน และส่ิงเสพติดอ่ืน ๆ การดื่มสุราจะส่งผลให้ขาดสติ ดังน้ันหากมีการด่ืม
สุราระหว่างการติดต่อธุรกิจแล้วน้ัน จะส่งผลให้การเจรจาการค้าไม่ประสบผลสาเร็จได้ หรือแม้แต่
บุคคลที่อยู่ภายในองค์กรก็เช่นเดียวกันหากหัวหน้างาน ติดสุราอย่างงอมแงมแล้ว ย่อมจะส่งผลให้
ลูกน้องไม่มคี วามเช่ือถอื ในตัวของหัวหนา้ งานได้

4.2 เบญจธรรม คอื ข้อปฏบิ ตั ิ 5 ประการใหค้ นทาความดี
4.2.1 เมตตา กรุณา.ความเมตตา คือ ความปรารถนาดีที่อยากให้ผู้อ่ืนมีความสุข

เช่น การประพฤติปฏิบัติส่ิงท่ีดีให้กันและกัน กรุณา คือ ความปรารถนาที่จะให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์
เช่น เห็นคนขอทานหิวข้าวก็หาซ้ือข้าวมาให้กิน.มีน้าใจต่อเพ่ือนร่วมงาน ช่วยเหลืองานเพ่ือน
ถ้าเขาทาไม่ทนั เป็นต้น

4.2.2 สัมมาอาชวี ะ คอื การประกอบอาชีพในทางสุจริต ตั้งใจทางานด้วยความ
รอบคอบ หลีกเล่ียงการทางานที่จะทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่น การค้ายาบ้าจะส่งผลให้คนในสังคม
ติดยาเสพติดและทาร้ายผู้อ่ืนได้ ในการประกอบธุรกิจจะต้องมีซ่ือสัตย์ต่อธุรกิจ ความตั้งใจและใส่ใจ
ลูกค้า เม่ือประกอบอาชีพใดแล้วก็ตามแล้วจะต้องให้เกียรติกับอาชีพท่ีเราทาถึงแม้มันจะไม่สร้าง
รายไดใ้ หก้ ับตวั บุคคลได้มากมายกต็ าม

4.2.3 ความสารวมในกาม.คือ การไม่มักมากในกาม ยินดีในคู่ครองของตน
เท่าน้ัน เช่น ในการครองคู่ชีวิตครอบครัว หากไม่ไปแย่งคู่ของคนอ่ืนก็จะทาให้ครอบครัวไม่เกิดปัญหา
และอยู่กันอย่างมีความสุข.บุคคลที่มั่วเมาในกามแล้วนั้น จะส่งผลทาให้หน้ามืดตามัว บางคร้ังอาจ
ก่อให้เกิดปัญหาได้ บุคคลที่เก่ียวข้องกับธุรกิจน่ันจะต้องมีควบคุมอารมณ์ไม่ให้หลงผิดในกาม
เพื่อป้องกันผลเสียต่อธุรกิจ โดยเฉพาะเพศชายที่จะเสียรู้ให้กับเพศหญิงได้ง่าย เม่ือธุรกิจใดใช้
เพศหญงิ เปน็ เครื่องมือในการทาธรุ กจิ หรือกจิ กรรมใดกต็ ามยอ่ มได้ผลเสมอ

4.2.4 ความสัตย์.คือ การพูดตามความจริง ไม่พูดเท็จ ก่อให้เกิดประโยชน์และ
ความโปร่งใส เช่น การพูดช่วยเหลือเข้าข้างคนผิด ย่อมทาให้ฝ่ายที่ถูกต้องเสียหายตกเป็นคนผิดแทน
ธุรกิจท่ีมีการดาเนินงานอย่างโปร่งใส ไม่มีเคยมีประวัติคดโกง จะก่อให้มีผู้ร่วมธุรกิจอย่างมาก
เครอื ขา่ ยธุรกจิ ก่อมากเช่นกัน ความซื่อสัตย์ไม่มีเฉพาะผู้ทาธุรกิจด้วยกัน แต่ต้องรวมถึงบุคคลภายใน
องค์กรด้วย ทีท่ างธรุ กิจจะต้องให้ความสาคญั ด้วย

4.2.5 สติสัมปชัญญะ คือ การมีสติรอบคอบ รู้จักคิดไตร่ตรองก่อนทา ต้องรู้สึกตัว
อยู่ตลอดเวลาว่ากาลังทาอะไรอยู่ ดีหรือไม่ดี ถ้าดีก็ควรทาต่อไป แต่ถ้าไม่ดีต้องหยุดพฤติกรรมน้ัน
ทนั ที การวางแผนในการดาเนนิ ธรุ กจิ หรือแม้แตจ่ ะทาการลงทนุ ใด ๆ กต็ ามของธุรกิจจะต้องอาศัยสติ

272 มนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ

ในการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพื่อไม่เกิดผลเสียต่อธุรกิจ และยังสามารถรับรู้ถึงแนวทางในการ
ดาเนินธรุ กิจวา่ สถานะทางธรุ กิจในปัจจุบนั เปน็ ลักษณะไหน จะได้มกี ารพฒั นาปรับปรงุ หรอื ไมอ่ ย่างไร

จะเห็นได้ว่าท้ังเบญจศีลและเบญจธรรมเป็นหลักธรรมพ้ืนฐานสาหรับฝึกฝน
บุคคลแต่ละคนให้เป็นคนดี มีความประพฤติที่ดีท้ังกาย วาจา ใจ จึงเป็นผลทาให้บุคคลนั้นเป็นที่รักใคร่
นับถือ และน่าศรทั ธาต่อคนทพ่ี บเหน็ หรือคนที่คบหาสมาคมด้วย นอกจากตัวบุคคลท่ีได้รับประโยชน์
องค์กรท่ีประกอบด้วยบุคคลที่มีหลักธรรมเบญจศีลและเบญจธรรมทางานอยู่ภายในองค์กรนั้น
จะทาให้องคก์ รพฒั นาอย่างต่อเน่ือง มีการทางานท่ีได้ประสิทธิภาพและยังสามารถช่วยสร้างช่ือเสียง
ให้ภาพลักษณ์ขององคก์ รได้อีกดว้ ย

4.3 ไตรสิกขา เป็นหลักธรรมหน่ึงที่ช่วยให้บุคคลมีสติปัญญาในการประกอบกิจ
ต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบ ซง่ึ ไตรสกิ ขาประกอบด้วย

4.3.1 ศีล.คือ ข้อปฏิบัติสาหรับควบคุมกายและวาจาให้ต้ังอยู่ในความดีงาม
มคี วามสจุ รติ ทางกาย วาจา และอาชีพ ต้องศึกษาถึงศีลของคนท่ัวไปก็คือ ศีล 5 (เบญจศีล) ซึ่งได้กล่าวไว้
ข้างต้นแล้วน้ัน หากเราสามารถปฏิบัติศีล 5.ได้ก็จะทาให้เราคิดแต่ส่ิงที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทาให้
เกดิ ความสขุ ใจทงั้ ตนเองและคนรอบขา้ ง

4.3.2 สมาธิ คอื ความมีใจต้ังม่ัน การทาให้ใจสงบ แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน การมีจิต
กาหนดแน่วแน่อยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ การฝึกให้มีสมาธิทาได้ง่าย ๆ สามารถทาได้โดย
ไม่ต้องน่ังสมาธิ โดยการนาลูกปัดมาร้อยในเวลาที่เราไม่มีสมาธิ หรือการปักผ้าครอสติสจะทาให้จิต
ที่ฟุ้งซ่านน่ิงลง สงบลง สติก็จะนิ่งปัญญาก็จะเกิด คิดทาสิ่งใดสามารถทาให้ประสบผลสาเร็จได้
และยังสามารถเตอื นบคุ คลทข่ี าดสตไิ ด้ นบั เปน็ อีกหนทางทชี่ ่วยสรา้ งสัมพนั ธภาพท่ีดีได้

4.3.3 ปัญญา.คือ ความรู้ทั่ว ความเข้าใจชัดเจน แยกแยะได้ในเหตุผลดีชั่ว
คุณโทษ ความรอบรู้ในความจริง จะคิดทาส่ิงใดก็จะนาไปในส่ิงที่ดีงาม และยังสามารถเอ้ือในเรื่อง
ปัญญาใหก้ บั ผู้อ่ืนด้วย ทาใหเ้ ป็นทน่ี ่าเลือ่ มใสและรกั ใคร่ของบุคคลท่ัวไป

สรุปได้ว่า หลักของไตรสิกขาเป็นข้อปฏิบัติท่ีจะทาให้บุคคลทาอะไรด้วยความ
ไม่ประมาท เพราะจะคิดทาสิ่งใดก็ต้องมีสติให้นิ่งในการไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยสมาธิ
ท่ีคิดทบทวนจนเกิดปัญญาว่าสิ่งท่ีจะกระทานั้นดีหรือไม่ดี จากการได้นาหลักไตรสิกขามาใช้ ย่อมทา
ให้บุคคลผู้นั้น ไม่ทาส่ิงท่ีไม่ดี แต่จะทาแต่ส่ิงท่ีดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ย่อมนามาซึ่งความสุขในการ
อยู่ร่วมกันได้ หากในทางธุรกิจมีการส่งเสริมในบุคคลภายในองค์กรให้ยึดหลักไตรสิกขามาร่วมกับ
การทางาน การอยรู่ ว่ มกนั ภายในองค์กรกจ็ ะทาให้องค์กรประสบความสาเรจ็ ตงั้ ที่ตง้ั ไว้

4.4 หิริ-โอตตัปปะ ถือเป็นหลักธรรมอย่างหน่ึง โดยย่อมาจากคาว่า หิริ
(ความละอาย) และโอตปั ปะ (ความเกรงกลัว) รวมกันแล้วหมายถึงความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
น่ันเอง หลักธรรมในข้อนี้จะคอยเป็นหลักกระตุ้นเตือนเม่ือเราจะประพฤติปฏิบัติในส่ิงที่ไม่ดี ส่ิงท่ี
ไมเ่ ป็นกศุ ล ถ้าเรามหี ลักหริ ิโอตตปั ปะอยใู่ นใจ เราจะมสี านึกและละการกระทาท่ไี ม่ดีนน้ั เสีย

การประยุกตใ์ ชห้ ลักธรรมในการสร้างมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 273

4.4.1 หิริ หมายถึง การละอายต่อความช่ัว ซ่ึงการท่ีบุคคลละอายแก่ใจตนเอง
มีความสานึกตัวว่าส่ิงนี้เป็นความชั่วไม่ควรทาแม้จะมีโอกาสทาได้ก็ตาม บุคคลนั้นก็จะไม่กระทา
เพราะมีมโนธรรมประจาใจคอยยับยั้งไว้ เช่น การไม่กล้าท้ิงเศษขยะ เพราะอายท่ีจะทา รู้สึกว่าเป็น
พฤติกรรมที่ไมด่ ี เปน็ ต้น

4.4.2 โอตตัปปะ หมายถึง การเกรงกลัวต่อความช่ัว ไม่ยอมทาผิดท้ังต่อหน้า
และลบั หลังคนอ่นื เชน่ ไม่กล้าหยบิ ของท่มี ีคา่ ของเพ่ือนท่ีวางไว้ เพราะคิดว่าสิ่งท่ีกระทาเป็นส่ิงที่ไม่ดี
ถา้ เปรยี บการกระทาทไี่ มด่ ีเปน็ ภตู ผีปีศาจก็นา่ กลัวมากทจี่ ะนามาใส่ไวใ้ นตัวของเรา

สรุปได้ว่า ผู้ปฏิบัติในข้อน้ีย่อมทาให้บุคคลนั้นเป็นผู้ที่รู้จักเคารพตนเอง เช่ือมั่น
ตนเอง สามารถควบคุมกายใจของตนเองได้ สามารถชนะท้ังกายและใจได้ ถ้าบุคคลสามารถชนะใจ
ตนเองได้ จะคิดทาส่งิ ใดในอนาคตก็สามารถทาได้ทกุ อย่าง

4.5 นิวาตธรรม.เป็นธรรมท่ีแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ทะนงตัว
ไม่ยกตนข่มท่าน จึงจัดเป็นคุณธรรมที่มีประโยชน์ เนื่องจากในสังคมไทยการอ่อนน้อมถ่อมตน
ถือเป็นส่ิงที่ถือปฏิบัติกันอย่างยาวนาน ดังนั้นในทางธุรกิจก็เช่นกัน หากมีการให้ความเคารพซึ่งกัน
และกัน ให้เกยี รตกิ นั การดาเนินธรุ กิจกจ็ ะราบรนื่ เกื้อกลู ซงึ่ กนั และกนั ซึง่ มีลกั ษณะ 3 ประการคือ

4.5.1 ทางกาย.คือ การมีกิริยามารยาทเรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน ต้ังแต่สีหน้า
แววตา ท่าทางท่ีนอบน้อม มีสัมมาคารวะ.ไม่ว่าจะเป็นกับผู้ร่วมธุรกิจด้วยกัน ผู้ร่วมงานในองค์กร
เดยี วกนั หรือแมแ้ ตผ่ ูบ้ ริโภค ซง่ึ ถือเป็นผทู้ ีเ่ กยี่ วขอ้ งเป็นคนสดุ ท้ายกต็ าม

4.5.2 ทางวาจา.คือ การพูดจาไพเราะ น่าฟัง พูดแต่สิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ เช่น
การพูดให้กาลังใจบุคคลภายในองค์กร การพูดชมเชยพนักงานที่มีความสามารถสร้างช่ือเสียงให้กับ
องคก์ ร การพูดความจริงในการเจรจาธรุ กจิ การทาสญั ญาธรุ กิจ เป็นต้น

4.5.3 ทางใจ คือ การมีจิตใจที่ดีงาม คิดในสิ่งที่ดี มองโลกในทางที่ดี มีจิตคิดอยาก
ช่วยเหลือ เช่น การที่ได้เจอบุคคลทาพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็คิดว่าเขายังคิดไม่ได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าว
ไม่เหมาะสม เขาจึงทาสิ่งน้ัน ถ้าเขาคิดได้เขาคงไม่กระทาพฤติกรรมแบบนั้น จึงต้องให้อภัยและ
รอเวลาที่เขาจะคิดได้ หากคนในองค์กรทางานผิดพลาดเพียงแค่เขาไม่มีความสามารถในเร่ืองนั้น
กย็ อมอภยั ใหใ้ นความผดิ พลาดคร้งั แรกใหก้ บั เขา เปน็ ต้น

สรุปได้ว่า ถ้าหากผู้บริหารมีหลักธรรมข้อน้ีแล้ว จะทาให้ผู้ปฏิบัติมีความสุขกาย
สขุ ใจ ภมู ใิ จในตนเอง เกิดเสนห่ เ์ ปน็ ที่รกั ใคร่ของ พนกั งาน ลกู ค้า หากทาส่งิ ใดกจ็ ะสาเรจ็ ไดด้ ว้ ยดี

4.6 สัปปุริสธรรม 7.หมายถึง ธรรมที่ทาให้คนเป็นคนดี 7.ประการ เป็นหลักธรรม
ที่บุคคลท่ัวไปในสังคมและผู้ประกอบการธุรกิจควรน้อมนาไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้ตนเองและธุรกิจ
ประสบความสาเร็จ ซง่ึ สัปปุริสธรรม 7 ประกอบด้วย

4.6.1 การรู้จักเหตุ.คือ การรู้จักวิเคราะห์สาเหตุของสถานการณ์และความ
เป็นไปของชีวิต หรือรู้หลักความจริง จะคิดจะทาอะไรก็มีหลักรู้ว่าเม่ือกระทาส่ิงนี้จะได้ผลตอบแทน
เป็นความสุข แต่กระทาอีกอย่างจะได้ผลตอบแทนเป็นความทุกข์น้ันเกิดจากสาเหตุอะไร ถ้าสาเหตุ

274 มนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กิจ

ท่ที าน้นั ทาใหไ้ ด้ผลดกี ็ควรจะทาตามสาเหตุนั้น แต่ถ้าสาเหตุท่ีทาน้ันได้ผลเสียก็ควรหาทางหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมนั้น เช่น ผลสอบท่ีเราได้คะแนนดี สาเหตุเกิดจากการที่เราตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ทบทวน
หรือการท่เี ราสอบตก สาเหตุเกิดจากการทเี่ ราไมต่ ั้งใจเรียน ไมอ่ า่ นหนงั สือ เปน็ ตน้

4.6.2 การรู้จักผล.คือ การมองที่เหตุแล้วสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรข้ึน
ท้ังทางที่ดีและไม่ดี ถ้าคาดการณ์ว่าถ้าทาตามสาเหตุนี้แล้วผลจะดีก็จงทาต่อไป แต่ถ้าคาดการณ์ว่า
ถ้าทาตามสาเหตุนี้แล้ว ผลจะไม่ดีก็จงอย่าทาตามเหตุนั้น ๆ เปรียบเช่น เราปลูกต้นมะม่วง คือเหตุ
ผลของมนั กค็ อื ผลของมะมว่ ง ฉนั ใดถา้ เราพดู จาไม่ดีใส่เขาคือเหตุ ผลที่ได้รับก็คือการพูดจาไม่ดีใส่เรา
เชน่ กนั ถ้าเรารูจ้ กั เหตแุ ละผลแลว้ เราก็จะรูว้ ่าควรทาอยา่ งไรกบั บคุ คลที่อยูร่ อบข้างเรา

4.6.3 การรู้จักตน.คือ รู้ว่าตนเป็นใคร มีฐานะ มีสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ
ยากจน ร่ารวย มีคุณธรรมมากน้อยเพียงใด ไม่สาคัญตนผิดจากส่ิงท่ีเป็นจริง เพื่อจะได้ปฏิบัติตน
ให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงน้ัน เช่น เรามีฐานะยากจนก็ไม่ควรใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่คุยโอ้อวด
วา่ ตนร่ารวย เพราะเมอื่ ผอู้ ่นื ทราบวา่ เราโกหก ก็จะเปน็ ผลเสยี ทาให้ไมม่ ีคนเชอ่ื ถือเราได้

4.6.4 การรู้จักประมาณ.คาว่า ประมาณ หมายถึง ความพอดี ความเหมาะสม
ความพอสมควร ดงั นั้น คาว่าการรู้จักประมาณ จึงหมายถงึ การรู้จักทาทุกสิ่งทุกอย่างหรือการดาเนิน
ชีวิตให้อยู่ในสภาพท่ีเหมาะสม เช่น เราเป็นนักศึกษายังไม่มีรายได้เองก็ต้องรู้จักประมาณในการ
ใช้จ่าย ควรใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อช่วยเหลือทางบ้าน บางครอบครัวยากจน แต่ไม่เคย
ประมาณตน ใช้เงินทองฟุ่มเฟือยตามเพ่ือน โดยท่ีพ่อแม่ต้องทางานอย่างหนัก เพื่อส่งให้ลูกเรียน
ทาให้เกดิ ความเดือดร้อนเกิดความทุกข์ได้

4.6.5 การรู้จักกาล.คือ รู้จักเวลาที่เหมาะสมในการทาส่ิงต่าง ๆ และรู้จักปฏิบัติตน
ให้เหมาะกับกาลเทศะ น่ันคือ รู้ว่าเวลาไหนควรทาอะไร เช่น พูดจาปลอบใจเมื่อเพื่อนเกิดปัญหา
ในเวลาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก็ต้องเอาหนังสือวิชาคณิตศาสตร์มาเรียน ไม่ใช่เอาการบ้าน
วิชาภาษาอังกฤษขึน้ มาทาหรอื เวลาประชุมในองค์กร ก็ควรตง้ั ใจฟงั ไม่นั่งเล่นแต่โทรศัพท์ เป็นต้น

4.6.6 การรู้จักชุมชน.คือ รู้จักหมู่คณะหรือกลุ่มชนว่าดีหรือไม่ดี ควรคบหา
สมาคมด้วยหรือไม่ เม่ืออยู่ในชุมชนหรือกลุ่มคนน้ัน ๆ ควรวางตัวอย่างไร ควรทาอะไร พูดอย่างไร
เช่น ในหมู่บ้านขอความร่วมมือทาความสะอาดวัด ก็ควรเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวหรือในส่วน
นักศึกษาก็ต้องรู้ว่าการที่เราคบเพื่อนที่พาไปเที่ยวกลางคืน ดื่มสุราแล้วย่อมทาให้เราเสียเงิน เสียสุขภาพ
จนทาให้ไม่สามารถมาเล่าเรียนได้ ถ้าไม่รู้จักเลือกชุมชนหรือกลุ่มคนท่ีจะเข้าไปร่วมกิจกรรมด้วย
อาจสง่ ผลทาใหส้ อบตกได้

4.6.7 การรู้จักบุคคล.คือ การรู้จักประเภทของบุคคลแต่ละคนว่าฉลาดหรือโง่
อันธพาลหรือบัณฑิต มีความสามารถหรือไม่ มีคุณธรรมหรือไม่ แล้วเลือกหาให้เป็นคุณประโยชน์
เลือกใช้ให้เหมาะสมกับกิจการหรือเพื่อที่จะได้ปฏิบัติต่อเขาได้อย่างเหมาะสม เช่น เลือกคบเพื่อน
ท่ีชว่ ยเหลือจรงิ ใจ ถา้ อยากรเู้ รื่องธรรมะกต็ ้องเข้าไปสนทนาธรรมกับพระ เป็นตน้

การประยกุ ตใ์ ช้หลักธรรมในการสรา้ งมนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ 275

หลักธรรมในข้อนี้มุ่งสอนให้คนรู้จักสังเกต วิเคราะห์บุคคลอื่นในด้านต่าง ๆ
เพอื่ จะได้ปฏิบตั ิตนไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมกับบคุ คลน้นั ๆ

4.7 อิทธิบาท 4.คือ หลักธรรมแห่งความสาเร็จ ผู้ประกอบการธุรกิจท่ีต้องการ
ความสาเรจ็ ตอ้ งปฏิบัติตามหลักอทิ ธิบาท 4 ซง่ึ ประกอบด้วย

4.7.1 ฉันทะ.คือ ความพอใจรักใคร่ในส่ิงนั้น คือความพอใจในฐานะ ทาให้เรา
รู้จักความเพียงพอในส่ิงที่ตนเองมีอยู่ เช่น พอใจท่ีจะขี่รถจักรยานยนต์เพราะยังไม่มีเงินพอท่ีจะซื้อ
รถยนต์ แต่ถ้าไม่พอใจในสิ่งท่ีตนมีก็จะต้องเดือดร้อนเป็นหน้ีสินหรือพอใจในตาแหน่งหน้าท่ีของตน
ไม่อิจฉาคนอื่น เป็นตน้

4.7.2 วิริยะ คือ ความพากเพียรส่ิงนั้น การกระทาท่ีติดต่อไม่ขาดตอนเป็นระยะยาว
จนประสบความสาเร็จ เชน่ ต้ังใจศกึ ษาเลา่ เรียนต้งั แต่ป.1 จนสาเร็จการศกึ ษาในระดบั ปริญญาตรไี ด้

4.7.3 จิตตะ คือ ความเอาใจใส่ในสิ่งนั้น ไม่ทอดทิ้งสิ่งน้ันไปจากความรู้สึก
ของตน ใส่ใจในรายละเอียดในส่ิงที่ทามากย่ิงขึ้น เช่น นอกเหนือจากที่เราพอใจ (ฉันทะ).ในงานแล้ว
ก็ทาให้มีความขยัน (วิริยะ).ย่อมส่งผลทาให้มีความเอาใจใส่ในงาน เพ่ือพัฒนาปรับปรุงให้ดีย่ิงขึ้นอีก
นัน่ ก็คือ จติ ตะ นน่ั เอง

4.7.4 วิมังสา คือ การใช้ปัญญาพิจารณา ไตร่ตรองด้วยเหตุและผลว่าส่ิงท่ีทาน้ัน
มีความเหมาะสมมากน้อยเพยี งใดท่ีจะกระทาแล้วจะเกิดข้อดหี รือข้อเสียมากกวา่ กนั

สรุปได้ว่าหลักอิทธิบาท 4.น้ี ถ้าผู้ประกอบการธุริจได้ปฏิบัติตามย่อมจะทาให้สิ่งท่ี
ตอ้ งการทาน้ันสาเร็จตามวตั ถุประสงคท์ ต่ี อ้ งการ

4.8 อริยสจั 4 คอื ความจรงิ อันประเสริฐ 4 อยา่ ง ทจ่ี ะชว่ ยแกไ้ ขปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้
อย่างถูกต้อง เป็นหลักธรรมที่บุคคลหรือผู้ประกอบการธุรกิจจะได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น สาเหตุ
ของปญั หา วธิ ีแกไ้ ขไมใ่ ห้เกิดปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งอรยิ สัจ 4 ประกอบดว้ ย

4.8.1 ทุกข์ คือ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนที่ทาให้บุคคลไม่สบายใจ คับข้องใจ ไม่พอใจ
คับแค้นใจ โศกเศร้าเสียใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นท่ีรักและความ
ไม่สมปรารถนา เชน่ บริษัทประสบปัญหาขาดทนุ พนกั งานรวมตัวประทว้ งขอขึ้นค่าแรง เปน็ ต้น

4.8.2 สมุทัย คอื เหตทุ ี่ทาให้เกิดทุกข์ ต้องรู้จักหาสาเหตุท่ีแท้จริงของทุกข์ เช่น
บริษัทประสบปัญหาขาดทุน สาเหตุเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่า พนักงานประท้วงขอข้ึนค่าแรง
สาเหตเุ กดิ จากคา่ ครองชพี ปัจจุบันสูงขนึ้ ทาให้ค่าจา้ งท่ีได้ไม่พอเลีย้ งครอบครัว เปน็ ต้น

4.8.3 นิโรธ คือ ความดบั ทุกข์ การเขา้ ใจความจริงของชีวิตนาไปสู่การดับความ
เศร้าโศกท้ังมวลอันยังให้เกิดความสงบและความเบิกบาน เช่นบริษัทประสบปัญหาขาดทุน สาเหตุ
เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่า บริษัทก็ต้องทาความเข้าใจในสาเหตุและเตรียมวางแผนแก้ไขก็ต้อง
ยอมรับและทาความเข้าใจความเป็นจริงท่ีเกดิ ขน้ึ และพร้อมทีจ่ ะปรับปรงุ แก้ไข

4.8.4 มรรค คือ หนทางนาไปสู่ความดับทุกข์ เช่น บริษัทประสบปัญหาขาดทุน
หลังจากทเ่ี รารู้จกั ทกุ ขแ์ ล้ว หาสาเหตุว่าเกดิ จากสภาวะเศรษฐกิจตกต่าและยอมรับได้แล้วว่าต้องทาความ

276 มนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

เข้าใจและก็ต้องหาหนทางแก้ไขโดยการหาวิธีการหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อจะสามารถแก้ไขปัญหา
ท่เี กิดขึน้ กบั ธรุ กิจให้ได้

สรุปได้ว่าการนาหลักอริยสัจ 4.ไปใช้จะทาให้บุคคลและผู้ประกอบการธุรกิจ
สามารถแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขนึ้ ในชีวิตสว่ นตัวและในชีวติ การทางานได้

4.9 หลักการกลับตัว บุคคลในโลกมีโอกาสท่ีจะประพฤติช่ัวหรือทาความผิดพลาด
เสียหายได้โดยง่าย เพราะสิ่งแวดล้อมชักจูงให้เกิดกิเลสเป็นเหตุให้ทาชั่วมีอยู่มาก พุทธศาสนาจึงสอน
ให้มีสติ และให้พิจารณาโดยรอบคอบก่อนทาอะไรลงไป ไม่ว่าจะเป็นด้านการงานหรือความประพฤติ
หากผู้ใดเคยทาผิดพลาดมาแล้วไม่ควรปล่อยอยู่อย่างน้ัน หรือจงใจทาผิดพลาดย่ิงขึ้น ควรจะคิดแก้ไข
กลับตัวทาแต่ในทางที่ดีท่ีถูก คิดเสียว่าส่ิงที่ล่วงแล้วมาเป็นเพียงความฝัน ซึ่งทาได้อย่างมากเพียงนึก
ทบทวนเท่านน้ั และหันมาเอาใจใส่กบั ความเป็นไปในปัจจุบัน คิดปรับปรุงแก้ไขทางดาเนินชีวิตของตน
ต่อไปใหม่ให้อยู่ในทานองคลองธรรม ประกอบเหตุแห่งความเจริญตามควรแก่ทางโลกหรือทางธรรม
ดงั คตพิ จน์ทีก่ ล่าวว่า

“คนผูไ้ มเ่ คยทาผิด คอื คนผูไ้ มเ่ คยทาอะไรเลย”
“ความผิดพลาดเป็นของมนษุ ย์ แต่มนษุ ยท์ ี่ดีตอ้ งรู้จักกลับตวั ”

4.10 หลักมักน้อยสนั โดษ คนที่พจิ ารณาหรือมองเผิน ๆ มักเข้าใจผิดว่าพระพุทธศาสนา
สอนให้คนเกียจคร้าน ไม่ขยันทางาน ไม่คิดก้าวหน้า แต่แท้จริงแล้วคาว่า “มักน้อย”.ซ่ึงตรงข้ามกับ
“มักมาก” นั้น หมายถึง ความรู้จักประมาณตน รู้จักความพอดี และรู้จักหาความสุขได้ตามสภาพ
ไม่ปลอ่ ยใหค้ วามมักใหญใ่ ฝ่สูงมาเผาใจใหเ้ ดือดร้อน

ในทางตรงกันข้าม อาจกล่าวได้อีกประการหนึ่งว่า ความมักมากนั้นเป็นอย่างไร
น่ารังเกียจและอานวยผลชั่วอย่างไร เช่น คนท่ีมักมาก แม้ไม่เป็นคนลักขโมย แต่เข้าที่ไหนก็หวัง
แต่จะได้ เป็นคนเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ จะทาอะไรก็ไม่รู้จักประมาณ มีแต่เกินพอดีเสมอ ให้ทาการ
สาคัญไม่ได้ ความมักมากจะทาให้คอยโกงหรือหาประโยชน์ใส่ตน ชอบให้เข้าใจว่าตนเป็นคนเด่น
คนสาคัญและทางานช้ินนั้นชิ้นน้ีสาเร็จทั้ง ๆ ท่ีบางทีตนไม่ได้ทาเลย ชอบปล้นคุณความดี
และช่ือเสียงของคนอ่ืน แต่คนมักน้อยไม่เป็นเช่นนั้น แม้มีช่ือเสียงเกียรติคุณก็ไม่ลาพองจิต ติดอยู่ในสิ่ง
นัน้ หรอื กล่าวอวดผูอ้ น่ื มีความพากเพยี ร สรา้ งคณุ งามความดแี ก่ตนในทางสุจริต

สันโดษ แปลว่า ยินดีด้วยของของตน คนท่ีทาอทินนาทาน คือ ลักขโมยของผู้อ่ืน
ก็เพราะขาดความยินดีเฉพาะของตน คนท่ีติดคุกหรือถูกลงโทษเพราะขาดสันโดษจึงมีอยู่ไม่น้อย เห็นได้
ว่าถ้าโลกเราขาดสันโดษจะเต็มไปด้วยการลักขโมย และผู้ท่ีไม่สันโดษด้วยคู่ของตนก็จะล่วงละเมิด
คู่ของคนอื่น เป็นเหตุบาดหมางฆ่าฟันแก่งแย่งกัน แผ่ความเดือดร้อนให้ขยายไปกว้างขวาง สันโดษ
ซ่ึงเป็นธรรมจาเป็นสาหรับโลก เช่นนี้จึงไม่ควรเข้าใจผิดว่าทาคนให้เกียจคร้าน แต่ต้องการให้หา
ความสุขจากของ ของตนโดยไม่ล่วงเกินในของผู้อื่น โดยถือความยินดีของแต่ละคนเป็นเครื่องกาหนด
สมด้วยคากล่าวท่ีว่า ภิกษุผู้ยินดีด้วยกุฎีมุงด้วยหญ้า ย่อมรู้สึกว่าเท่ากับปราสาทราชวัง ฉะน้ัน

การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั ธรรมในการสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ 277

ควรพากเพียรเพ่ือบรรลุส่ิงท่ีมุ่งหมายในทางที่ชอบไม่เสียสันโดษ ซ่ึงเม่ือเข้าใจประโยชน์ของความมักน้อย
สันโดษเชน่ นแี้ ลว้ ก็จะไม่หลงติดด้วยความเขา้ ใจผิด

4.11 หลักพึ่งตนเอง พระพุทธศาสนาสอนให้ทาตนเป็นท่ีพ่ึงของตน ไม่ให้เป็นนักฝัน
หรืออ้อนวอนบวงสรวงให้ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ดลบันดาลอานวยสิ่งที่ตนปรารถนา ให้รู้จักประกอบเหตุ
ให้สมที่จะได้รับผลที่ปรารถนา เช่น ประสงค์ท่ีจะรู้หนังสือต้องเรียนหนังสือ ไม่ใช่รอให้ถึงวันดีคืนดีแล้ว
อ่านออกเอง กิจการบางอย่างแม้ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันก็สอนให้รู้จักช่วยตนเอง รู้จักทาตนให้มี
คุณธรรมพอที่ผู้อื่นจะมีเมตตากรุณาสงเคราะห์ได้ เพราะผู้อื่นก็ต้องมีภาระที่ตนต้องรับผิดชอบ
ถ้าพ่ึงตนเองได้ก็จะทาให้คนท่ีคบด้วยไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือ สามี ภรรยา ก็อยากท่ีอยู่ด้วย แต่ถ้าเป็น
ขอทานท่ีมอี วัยวะครบ ก็คงไมม่ ใี ครอยากทจี่ ะให้ความช่วยเหลือ เพราะไมค่ ดิ ที่จะพึ่งตนเองกอ่ น

4.12 หลักกรรม หลักเร่ืองกรรม หรือทาดีได้ดีทาช่ัวได้ชั่ว เป็นหลักสาคัญอย่างหน่ึง
ทางพระพุทธศาสนาซ่ึงสอนให้คนเว้นจากความช่ัว ประพฤติความดี ให้รู้จักควบคุมความประพฤติของตน
คือ เมื่อทราบว่าความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมทรามแห่งชีวิตอยู่ท่ีกรรม คือ การกระทาของตนแล้ว
จะได้เว้นกรรมช่ัว ทาแต่กรรมท่ีดี คนท่ีเกิดมาไม่เหมือนกันบางคนเกิดในตระกูลมั่งมี บางคนเกิด
ในตระกูลยากจน บางคนโง่ บางคนฉลาด บางคนมีโรคมาก บางคนมีโรคน้อย เพราะผลแห่งกรรมท่ีทาไว้
ไม่เหมือนกัน ผลแห่งกรรมท่ีแล้วมาเราแก้ไม่ได้ แต่เราควบคุมผลแห่งกรรมใหม่ให้เกิดข้ึนตามต้องการ
ได้ด้วยการเลือกทาแต่กรรมดี การทากรรมดีเพ่ิมเติมไว้เสมอนั้น อาจช่วยตัดรอนผลกรรมเก่าให้เบาลง
เช่น เกิดมาในตระกูลยากจน แต่พากเพียรเล่าเรียนศึกษาทาความดี ก็อาจช่วยส่งฐานะให้สูงขึ้น เพราะ
ความดีท่ีทาใหม่ได้ การให้ผลของกรรมก็มีต่าง ๆ กัน บางอย่างเร็วทันตาเห็น บางอย่างช้า บางอย่าง
ช้ามาก เหมือนพืชหรือผลไม้ปลูกพร้อม ๆ กัน บางอย่างให้ผลก่อน บางอย่าง 3.ปีถึง 5.ปี จึงให้ผล
เพราะเหตุท่ีกรรมให้ผลเร็วบ้างช้าบ้างน้ี บางคนจึงเข้าใจผิดว่าทาดีไม่ได้ดี ทาชั่วไม่ได้ชั่ว ซ่ึงมีการ
กล่าวว่าคนย่อมสาคัญผิดตราบเวลาที่กรรมนั้น ๆ ยังไม่ให้ผล ดังเหล็กเผาไฟจนแดงแล้วเอาน้ารด
แต่เอามือจับก็ยังร้อนเพราะผลความร้อนยังเหลืออยู่ จะโทษว่าน้าไม่ให้ผล คือ ความเย็นแก่เหล็กไม่ได้
มะม่วงผลเดียวท่ีนาไปปลูกอาจให้ผลเป็นมะม่วงต้ังพัน ต้ังหม่ืนฉันใด กรรมดีกรรมชั่วที่ทาไว้เต็มที่
ทั้งโดยเจตนา ทง้ั โดยความพยายามก็ให้ผลฉันน้นั อน่งึ พระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า บุคคลยอ่ มเปน็ ผู้

1. มอี ายุนอ้ ย เพราะฆ่าสตั ว์ มีอายุยนื เพราะไม่ฆา่ สตั ว์
2. มีโรคน้อย เพราะไมเ่ บียดเบยี นสตั ว์ มีโรคมาก เพราะเบียดเบียนสัตว์
3. มีผวิ พรรณทราม เพราะมักโกรธแคน้ พยาบาท มีผิวพรรณดี เพราะไม่โกรธแค้น
พยาบาท
4. มีศักด์ิตา่ เพราะมกั รษิ ยา มศี ักดส์ิ ูง เพราะไมร่ ิษยา
5. มีโภคทรัพย์น้อย เพราะไม่เอ้ือเฟื้อเจือจาน มีโภคทรัพย์มาก เพราะรู้จัก
เออ้ื เฟ้ือเจือจาน
6. เกิดในตระกูลต่า เพราะกระด้างถือตัวไม่รู้จักอ่อนน้อม เกิดในตระกูลสูง เพราะ
ไมก่ ระด้างไมถ่ ือตัวรู้จักอ่อนนอ้ ม

278 มนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

7. มีปัญญาทราม เพราะไม่ไต่ถามหรือแสวงความรู้ มีปัญญามากเพราะรู้จัก
ไต่ถามและแสวงความรู้

ตามหลักนี้ ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ดีงามไว้สาหรับผู้ท่ีมุ่งผลดี จึงพึงประพฤติ
ปฏิบัติ แต่อาจมีบางคนผู้ใจร้อนประพฤตินิดหน่อยจะให้ได้ผลทันใจหรืออ้างเหตุแย้งต่าง ๆ เป็นต้น
ก็พึงคิดหาเหตุผลในเร่ืองผลของกรรมเก่าท่ีค้างมาบ้าง ในชาติน้ีผู้เบียดเบียนสัตว์อาจไม่ข้ีโรค เพราะ
ผลแห่งความดีในชาติก่อนยังสนองอยู่ แต่ก็จะประสบความเป็นคนข้ีโรคในชาติต่อไปหรือว่าในชาตินี้
ผู้เว้นจากเบียดเบียนสัตว์แต่ยังขี้โรค ก็เพราะผลแห่งความช่ัวในชาติก่อนยังสนองอยู่ แต่ก็จะประสบ
ความเปน็ ผู้มีโรคนอ้ ยในชาติตอ่ ไป

5. หลักธรรมสาหรับการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อ่ืน หลักธรรมสาหรับสร้างมนุษยสัมพันธ์
ให้เกิดข้ึนระหวา่ งบุคคลประกอบดว้ ยหลกั ธรรมสาคญั ตอ่ ไปนี้

5.1 ฆราวาสธรรม 4.เป็นหลักธรรมสาหรับบุคคลทั่ว ๆ ไปนาไปประพฤติปฏิบัติ
เพื่อสร้างความสาเร็จเจริญก้าวหน้าในการดาเนินชีวิต รวมถึงการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข
ซึง่ ประกอบด้วย

5.1.1 สัจจะ คอื ความจริง ความซ่ือตรง ซ่ือสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทาจริง คาพูด
เป็นส่ิงสาคัญมาก การท่ีจะพูดอะไรออกไปน้ัน ต้องรักษาคาพูด เช่น การที่พูดกับเพ่ือนด้วยความ
จริงใจก็จะทาให้ตนเองและเพ่ือนมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน การทางานร่วมกับผู้บริหารและเพ่ือนร่วมงาน
เราจะตอ้ งมคี วามรับผดิ ชอบในสง่ิ ทพ่ี ูด เชน่ การทางานที่ได้รับมอบหมาย เม่อื เรารับคาสั่งแล้วจะต้อง
ปฏิบัติตามส่ิงที่เราพูดและรับปากไว้ จนผลงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จลุล่วง ร่วมถึงผู้บริหารมีสัจจะ
นอกจากจะบริหารงานประสบความสาเรจ็ แล้ว ยงั สามารถกลบั ใจศัตรูให้เป็นมิตรได้อกี ด้วย

5.1.2 ทมะ.คือ การฝึกฝนการข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัด
ดัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา เช่น เจอเพื่อนที่ชอบพูดไม่ดี
ก็หมั่นฝึกตนเองโดยการเข้าใจว่าเขาเป็นของเขาอย่างน้ัน เขายังคิดไม่ได้ว่าสิ่งท่ีทานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี
เรามีสติมากกว่าเขาและมองเห็นสาเหตุแล้วก็ไม่ควรไปโกรธเขา เป็นการฝึกให้เรามีจิตใจท่ีดี
และสบายใจดว้ ย

5.1.3 ขันติ.คือ ความอดทน ต้ังใจทาหน้าท่ีการงานด้วยความขยันขันแข็ง
เข้มแข็ง ทนทานไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอย ความอดทนขยันหม่ันเพียรเป็นพ้ืนฐานของความสาเร็จ
เช่น ไม่โวยวายกับเพ่ือนที่ทาอะไรไม่ถูกใจ.เช่น ผู้บริหารจะต้องมีความอดทนอดกลั้น เมื่อมีปัญหา
เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางครอบครัว ปัญหาคู่แข่งขัน ปัญหาของพนักงาน ถ้าผู้บริหารมีความ
อดทนจะทาให้การบริหารงานมปี ระสทิ ธิภาพ เป็นตน้

5.1.4 จาคะ.คือ ความเสียสละ สละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์
ส่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผู้อื่นพร้อมท่ีจะ
ร่วมมือช่วยเหลือ เอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่คับแคบเห็นแก่ตัวหรือเอาแต่ใจตนเอง เช่น การให้คาปรึกษา

การประยกุ ต์ใชห้ ลักธรรมในการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกจิ 279

ในการทางานกับเพื่อนร่วมงาน การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานในองค์กร การเสียสละผลประโยชน์
ของตนเองใหก้ ับสว่ นรวม เปน็ ต้น

หลกั ธรรมในขอ้ นี้ฝึกให้ผบู้ ริหารและทีมงานพิจารณาตนเองแล้วนาหลักธรรมมา
ปรับปรุงให้ตนมีความสมบูรณ์และยังให้คานึงถึงการปฏิบัติตนเพื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้
อยา่ งมีความสุข

5.2 อคติ 4 หมายถึง ความลาเอียง หรือความไม่ยุติธรรม เป็นข้อห้ามสาหรับหัวหน้า
หรือผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ปกครองผู้อื่น หรือผู้ปฏิบัติหน้าท่ีท่ีจะให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่น
อคตมิ ี 4 ประการ คอื ฉนั ทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ

5.2.1 ฉันทาคติ คือ ความลาเอียงเพราะชอบ หรือลาเอียงเพราะรัก ใกล้ชิด
หรือเปน็ พวกของตน เช่น บตุ ร หลาน ญาติ เพ่ือน คนคุน้ เคยกัน ตัวอย่างของคนที่มีฉันทาคติ ได้แก่ คนที่
นาของมาให้หรือติดสินบน เช่น ผู้ทาหน้าท่ีสอบคัดเลือกบุคคลเข้าทางาน เม่ือตรวจกระดาษคาตอบ
ของญาติตนหรือคนที่ติดสินบนไว้ ก็จะให้คะแนนมากกว่าคนอื่นหรือเท่ากับคนที่ทาได้ดีที่สุดและ
จดั ลาดบั อย่ใู นกลุ่มทจี่ ะได้รับการเรยี กตัวเข้าทางานกอ่ น

5.2.2 โทสาคติ คือ ความลาเอียงเพราะโกรธหรือไม่ชอบ กรณีให้ประโยชน์หรือ
ใหร้ างวัลกบั คนทไ่ี ม่ชอบกนั ก็มักจะให้น้อยกว่าคนอื่นหรือให้ทีหลังคนอื่น ให้ของเลวคนอ่ืนหรือไม่ให้
อะไรเลย เช่น ผู้บังคับบัญชาพิจารณาขึ้นเงินเดือนผู้ใต้บังคับบัญชา แม้ทุกคนทางานในระดับเดียวกัน
แต่ผบู้ ังคับบญั ชาไมช่ อบหน้าพนกั งานคนหนง่ึ จึงไมเ่ สนอขน้ึ เงินเดือนใหห้ รือขนึ้ ให้แต่น้อย

5.2.3 โมหาคติ คือ ความลาเอยี งเพราะหลง คอื โง่ ร้เู ท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้หรือสะเพร่า
เช่น ครูตรวจกระดาษคาตอบของนักเรียน อ่านคาตอบแบบบรรยายไม่ละเอียดถ่ีถ้วน จึงให้คะแนน
โดยไม่มีหลักเกณฑ์ หรือรวมคะแนนผิด ทาให้นักเรียนได้คะแนนไม่ตรงกับความเป็นจริง นักเรียน
ทเ่ี รียนดีอาจไดค้ ะแนนน้อย นกั เรียนทีเ่ รยี นอ่อนอาจได้คะแนนมาก

5.2.4 ภยาคติ คือ ความกลัวในการให้คุณให้โทษ เช่น อาจารย์เป็นกรรมการ
พิจารณาให้ทุนเรียนดีเด่นนักศึกษาในสถานศึกษา นักศึกษาผู้สมัครขอรับทุนเป็นบุตรของผู้บังคับบัญชา
ด้วยคนหนึ่งและผู้บังคับบัญชาได้ฝากฝังให้ช่วยดูแล พิจารณาให้บุตรผู้บังคับบัญชานั้นได้รับทุน
ทั้ง ๆ ท่ีนักศึกษาผู้น้ันมีการเรียนดีเท่า ๆ กับคนอ่ืนหรือสู้คนอ่ืนไม่ได้ ท้ังน้ีเพราะกลัวผู้บังคับบัญชา
จะกลัน่ แกลง้ หรอื หาเร่ืองไมข่ ึน้ เงินเดือนให้ เป็นตน้

หากผู้บริหารจะประพฤติปฏิบัติส่ิงใดต่อบุคคลในองค์กรแล้ว ควรนึกถึงอคติ 4
ที่ควรละเว้นก็จะทาให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างยุติธรรม สร้างความน่าเชื่อถือศรัทธาจากผู้อื่นได้ รวมท้ัง
สัมพนั ธภาพระหว่างบคุ คลทด่ี กี ็จะเกดิ ขึน้ ในที่สดุ

5.3 พรหมวิหาร 4.พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้ใหญ่.ผู้บริหาร
องค์กรต่าง ๆ.พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสาหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจาใจท่ีจะช่วยให้เรา
ดารงชีวติ อย่ไู ดอ้ ยา่ งประเสริฐและบรสิ ุทธ์ิ ไมว่ ่าจะเปน็ การประกอบธรุ กจิ ตา่ งๆ การอยู่ร่วมกันภายใน
องคก์ ร ดงั น้ี

280 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

5.3.1 เมตตา.คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับความสุข ความสุขเป็นส่ิงที่ทุกคน
ปรารถนา เกิดข้ึนได้ทัง้ กายและใจ เช่น อยากให้เพ่ือนมีความสุขจงึ กลา่ วชมเพ่อื นดว้ ยความจรงิ ใจ

5.3.2 กรุณา.คือความปรารถนาให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์ เช่น เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเกิด
วามผิดหวังในความรักก็เข้าไปปลอบเพ่ือให้คลายทุกข์ และให้คาปรึกษาในการแก้ไขปัญหาให้มี
ทางออกในการดาเนนิ ชีวติ ต่อไปได้

5.3.3 มุทิตา.คือ ความยินดีเมื่อเห็นผู้อ่ืนได้ดี เช่น เมื่อเห็นเพ่ือนได้เล่ือน
ตาแหน่งท่ีสงู ข้ึนกร็ ูส้ ึกดใี จกบั เพ่ือนด้วย

5.3.4 อุเบกขา.คือ การรู้จักปล่อยวาง วางเฉย ไม่ดีใจหรือเสียใจเกินไปแล้ว
ทาความเข้าใจกับส่ิงท่ีเกิดข้ึน เช่น เม่ือญาติเสียชีวิต ก็ทาความเข้าใจว่าคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย
เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะร้องไห้ฟูมฟายจนเกินงามก็ไม่ทาให้คนตายฟื้นข้ึนมาได้ การที่ญาติตายก็ต้อง
เสียใจเป็นธรรมดา แต่เพียงเสียใจอย่างมีสตแิ ละเข้าใจกจ็ ะทาให้ไมเ่ กดิ ทกุ ข์จากการไมป่ ล่อยวาง

สรุปได้ว่าหากปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4.จะช่วยให้เราเกิดมิตรในทางธุรกิจและ
ผู้อื่นที่ร่วมธุรกิจด้วยกับเรา สามารถพิจารณาส่ิงต่าง ๆ ด้วยเหตุและผล สามารถทาให้ตนเองมีความสุข
ด้วยการยินดีเม่ือผู้อ่ืนได้ดีและมีสติในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชีวิตได้เป็นอย่างดีส่งผลให้การ
ดาเนินธรุ กจิ สามารถดาเนนิ งานไดอ้ ยา่ งยาวนาน

5.4 สังคหวัตถุ 4.เป็นหลักธรรมท่ียึดเหน่ียวจิตใจคน ผูกไมตรี เกื้อกูลกันโดยหลัก
สังคหวัตถุ 4.มีจุดมุ่งหมายที่จะสงเคราะห์กันตามฐานะ เพ่ืออยู่ร่วมกันได้อย่างสงบและมีความสุขกาย
สุขใจ จะช่วยในการตดิ ตอ่ ซ่ึงกันและกันระหว่างธุรกิจ มีการเจรจาติดต่อกันทางธุรกิจได้อย่างสงบสุข
และเปน็ มิตร ประกอบด้วย

5.4.1 ทาน.คือ การแบ่งปันเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่กัน ไม่ว่าจะเป็นส่ิงของ แรงกาย
แรงใจ เช่น แบ่งปันอาหารให้เพ่ือน เม่ือมีงานศพไปช่วยจัดการงานศพ หรือแม้กระทั่งไม่มีเงินทอง
หรอื ส่ิงของ ทจี่ ะใหแ้ ต่ใจคิดอยากจะทาบุญกถ็ ือวา่ เปน็ การให้ทานไดเ้ ชน่ กัน

5.4.2 ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคาท่ีไพเราะ น่าฟัง พูดด้วยความจริงใจ
พูดส่ิงที่เป็นประโยชน์ พูดในส่ิงท่ีดีงาม เช่น ให้ความคิดเห็นท่ีดีในการแก้ปัญหาให้กับเพ่ือน
ผบู้ ังคบั บญั ชาทักทายถามถงึ สารทุกขส์ กุ ดบิ ของพนักงาน เป็นตน้

5.4.3 อัตถจรยิ า คือ การประพฤติในส่ิงที่ดีงาม ฝึกฝนตนให้เป็นคนมีประโยชน์
รวมถึงการมีกิริยามารยาทที่ดีงามด้วย เช่น เมื่อเจอผู้บังคับบัญชาก็ต้องยกมือไหว้ เพื่อแสดงความ
เคารพ การช่วยเหลือเพ่ือนทมี่ ีความทุกขถ์ ือเป็นพฤติกรรมทนี่ า่ ยกยอ่ ง เปน็ ต้น

5.4.4 สมานัตตตา.คือ การประพฤติตนในทางที่เหมาะสมดีงามอย่างสม่าเสมอ
รู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับเวลา บุคคลและสถานที่ เช่น ผู้บริหารมีการวางตัวท่ีเหมาะสมและให้ความเป็น
ธรรมกบั ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาทุกคน เปน็ ตน้

สรุปได้ว่า สังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมสาหรับการครองใจคน เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
ให้คนรักใคร่นับถือและช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน.ดังน้ันบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจควรที่จะนาไปเป็น

การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั ธรรมในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกจิ 281

แนวในการผูกมัดใจคนในองค์กรและนอกองค์กรให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่เกิดปัญหาในการ
ดาเนินธุรกิจร่วมกนั และยังสง่ เสรมิ ให้มกี ารชว่ ยเหลือซ่งึ กันและกนั ในวงธรุ กิจ

6. หลกั ธรรมสาหรับการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ในครอบครวั
ครอบครัวเป็นสถาบันที่มีต้นกาเนิดจากความรักความผูกพันของบุคคลในครอบครัว

ก่อให้เกิดสายใยความรัก ความเมตตา กาเนิดเป็นบุตรธิดาออกมาเป็นสมาชิกของสังคมใหญ่สืบไป
ถือได้ว่าเป็นรากฐานของสังคมไทยที่สาคัญ ความอ่อนแอและความแตกร้าวของสถาบันครอบครัวจึงถือ
เป็นปัญหาสาคัญกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพของคนในสังคมไทย ซึ่งปัจจุบันกล่าวกันว่าสภาพ
ครอบครัวของคนไทยกาลงั อ่อนแอด้วยปญั หาทางสงั คมและเศรษฐกิจ และพ่อแม่ขาดคณุ ธรรม

การจะอยู่ร่วมกันจึงมิใช่แต่เพียงอาศัยหลักความรักความผูกพันเท่านั้น ความเห็นอก
เห็นใจกัน การเสียสละ ความสุขความสบายจึงกลายเป็นปัจจัยช่วยเกื้อหนุนให้ครอบครัวเกิดความมั่นคง
ข้ึนมาได้ เหนือไปกว่าน้ันพึงคิดอยู่เสมอว่าการมีชีวิตครอบครัวไม่ใช่การใช้ชีวิตเพียงลาพังคนเดียว
จะคิดจะพูดจะทาสิ่งใดล้วนแล้วแต่เกิดผลกระทบถึงคนในครอบครัวเสมอ และทาให้สังคมภายนอก
ได้รบั ความกระทบกระเทอื นไปดว้ ย จึงกล่าวได้ว่าครอบครวั คอื ความมนั่ คงของสังคมไทย

การครองเรือนหรือการดารงชีวิตโดยมีครอบครัวเป็นพื้นฐาน มีหลักธรรมสาคัญ
ท่คี วรยึด 4 ประการ ดังนี้

6.1 ความเสียสละ คือ การสละประโยชน์สุขส่วนตัว เพ่ือความสุขส่วนรวม ซ่ึงถือว่า
เป็นความสุขที่แท้จริง เพราะถ้าส่วนรวมดี ส่วนตัวก็ดีด้วย หรือส่วนตัวดี ส่วนรวมก็ดีเช่นกัน แต่หาก
เห็นแก่ตัวเองก่อนจะทาให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงกัน หรือคิดสบายแต่ตนเองทาให้เกิดความอิจฉาริษยา
ผอู้ ่นื สงั คมยอ่ มเดอื ดรอ้ น การเสียสละนบั เป็นคุณธรรมสาคัญของผ้คู รองเรอื น

6.2 การฝึกข่มใจตนมิให้หลงไหลในอบายมุข หมายถึง การรู้จักยับย้ังชั่งใจตนเอง
มิให้กิเลสครอบงาน่ันเอง อบายมุข คือส่ิงมอมเมาท้ังปวง ได้แก่ การเท่ียวเตร่หลงใหลในสตรี หลงในบุรุษ
การประพฤติตนติดสุรายาเมา การเล่นการพนัน และการคบคนช่ัวเป็นมิตร ถ้าหลีกเลี่ยงส่ิงดังกล่าวน้ีได้
ครอบครวั กเ็ ปน็ สุข

6.3 ความจริงใจ ความจริงใจถือเป็นพ้ืนฐานสาคัญของการครองเรือน ก่อให้เกิดความ
เชอื่ มั่นซ่งึ กันและกัน ความจริงใจน้จี าแนกได้อกี 4 ประการ คอื

6.3.1 จริงใจต่อหน้าที่ คือ การปฏิบัติหน้าท่ีการงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
มีความรับผิดชอบ ใช้ความสาเร็จของงานเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้า อย่าใช้ตาแหน่งเป็นเคร่ืองวัด
อย่างน้ีจะสามารถพัฒนาตนเองและครอบครัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง ครอบครัวก็จะมั่นคงด้วยเหตุที่มี
หน้าทก่ี ารงานมั่นคง

6.3.2 มีวาจาจริง เพราะคาพูดเป็นการสื่อสารความหมายทั้งความคิด
และการปฏิบัติท่ีสามารถให้ผู้อื่นเข้าใจได้ดีที่สุด การรักษาคาพูดการปฏิบัติตามสัญญา จึงนับเป็นพื้นฐาน
สาคัญของการพฒั นาครอบครัว ท้ังยังเปน็ แบบอย่างแกล่ ูกหลานในครวั เรอื นให้เหน็ แบบอย่างทดี่ ีอีกด้วย

282 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

6.3.4 จรงิ ใจต่อคนอื่น คอื ซ่ือสตั ยต์ ่อสามหี รือภรรยา ซอ่ื สัตย์ต่อบิดามารดา จริงใจ
ต่อบุตรธิดา ประพฤติปฏิบัติแบบตรงไปตรงมา ร่วมกันแก้ไขปัญหาและวางแผนพัฒนาร่วมกันอย่างน้ี
ย่อมเกิดประโยชน์ใหญ่หลวงเพราะต่างก็ช่วยกัน รู้ปัญหาของกันและกัน พลังในการร่วมกันพัฒนา
กเ็ พ่มิ ขน้ึ

6.4.5 จริงใจต่อตนเอง คือ มุ่งม่ันท่ีจะประพฤติแต่คุณงามความดี ไม่หลอกตนเอง
หรืออยู่ในโลกของความฝัน เม่ือเร่ิมต้นโดยการซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้ว ย่อมนาพาไปสู่ความจริงประการ
อน่ื ๆ ได้สะดวกข้นึ

หลักความจริงใจ 4.ประการข้างต้น จึงถือเป็นหลักธรรมสาคัญที่ผู้ครองเรือน
ควรใชเ้ ป็นแนวทางในการประพฤติตอ่ กันเพ่ือความมนั่ คงของครอบครัวสืบไป

6.4 ความอดทนตอ่ ความยากลาบาก หมายถึง อดทนต่ออุปสรรคนานาประการ ท้ังทาง
รา่ งกายและจิตใจ มนุษยเ์ กิดมาย่อมมีทุกขแ์ ละอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ มิใช่เครื่องทาให้เกิดความย่อท้อ
แต่หากเป็นท่ีมาแห่งพลังในการต่อสู้ ความอดทนที่สาคัญก็คือ อดทนต่ออานาจกิเลสเพราะกิเลส
เป็นอานาจฝ่ายต่าที่จะดึงให้คนหลงมัวเมาได้ง่าย ได้แก่ การหลงในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส
มนุษย์ถ้ามัวยินดีในรูปต่อความสวยงามเป็นท่ีตั้ง ก็จะมองข้ามความงามภายในไปได้ ถ้าติดในรส
ก็จะลืมคุณภาพไปได้ ถ้าหลงในกลิ่นจมูกก็จะไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์ที่แท้จริงคืออะไร ถ้าหลงในเสียง
ก็จะถูกหลอกลวงได้ง่าย ถ้าติดกับการสัมผัสก็จะเปลี่ยนแปลงภาวะจิตท่ีเป็นความชอบไปได้เรื่อย ๆ
อย่างน้ีครอบครัวจะอยู่อย่างม่ันคงได้อย่างไร ต่างก็พากันหลงใหลไปตามกิเลสติดอยู่แต่กับ
ความสบาย

7. หลกั ธรรมในการสร้างมนษุ ยสมั พนั ธส์ าหรับผ้บู ังคับบญั ชา
คุณธรรมของนักปกครองหรือหัวหน้าเป็นส่ิงสาคัญมาก โดยท่ัวไปหัวหน้ามักจะมีสิทธิ

และอานาจท่ีจะส่ังการและดาเนินกิจการของหมู่คณะ หากหัวหน้าหรือนักปกครองปราศจาก
คุณธรรมแล้ว สมาชิกของหมู่คณะก็จะอยู่ด้วยกันอย่างปราศจากความสงบสุข หมู่คณะเอง
กไ็ มเ่ จริญก้าวหน้า ในหมู่คณะใดหมคู่ ณะหน่งึ หากมสี มาชิกคนหน่ึงไร้คุณธรรม ผลร้ายท่ีเกิดขึ้นอาจตกอยู่กับ
คนใกลเ้ คยี งไม่กี่คน แต่หากนักปกครองขาดคุณธรรม ผลร้ายจะกระทบกับคนทั้งหมด นักปกครองท่ีดีนั้น
ควรมีคุณธรรม 10 ประการ เรยี กวา่ ทศพิธราชธรรม 10 มดี งั ต่อไปนี้

7.1 การให้ (ทาน) หมายถึง การสละทรพั ย์สิ่งของเพ่ือช่วยเหลือสมาชิกของหมู่คณะ
ท่ีด้อยและอ่อนแอกว่าผู้อ่ืน ในระดับประเทศก็คือการบารุงเลี้ยงดูและช่วยเหลือประชาชนที่ยากจน
ในสังคมแทบทุกแห่งจะมีคนจานวนหน่ึงซ่ึงช่วยตนเองได้น้อยหรือไม่ได้เลย เช่น คนชรา คนพิการ
เด็กท่ีไม่มีพ่อแม่หรือญาติดูแล หรือคนท่ีประสบภัยพิบัติ เป็นต้น คนเหล่าน้ีหากไม่ได้รับการดูแล
จากหัวหน้าหรือนักปกครองแล้ว จะดารงชีวิตอยู่ได้ด้วยความยากลาบาก แต่ถ้านักปกครอง
เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนแล้ว การให้ความช่วยเหลือก็จะเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นที่อุ่นใจแก่ผู้ท่ีอยู่
ในสภาพอัตคัดไดม้ ากยง่ิ ขึ้น

การประยกุ ต์ใชห้ ลักธรรมในการสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ 283

7.2 การตั้งอยู่ในศีล.(ศีล) หมายถึง มีความประพฤติดีงาม เป็นตัวอย่างแก่คน
ท่วั ไปได้ ในหมู่คณะใด สงั คมใดก็ตาม ถา้ คนส่วนใหญ่ไม่ตั้งอยู่ในศีล มีแต่ทุจริตเบียดเบียนกัน สังคมน้ัน
จะไม่มีความสงบสุข ย่ิงถ้าหัวหน้าหรือนักปกครองไม่ตั้งอยู่ในศีลด้วยแล้วสังคมนั้นจะอยู่ไม่ได้
จะต้องถึงความหายนะในท่ีสุด ถ้านักปกครองทาดี คนก็จะถือเป็นแบบอย่าง ถ้าทาชั่วคนก็จะใช้เป็น
ขอ้ แก้ตวั ว่าแมแ้ ตห่ วั หน้ายงั ทาได้ ผูถ้ กู ปกครองกน็ า่ จะทาไดด้ ้วย ศีลจึงเป็นคุณธรรมที่สาคัญมากท่ีสุด
ขอ้ หนึ่งสาหรบั นักปกครอง

7.3 การบริจาค (ปริจาคะ) คือ การเสียสละความสุขสาราญของตน เพ่ือประโยชน์
สุขของหมูค่ ณะ ผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือผู้ปกครองย่อมมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมาก ต้องดูแลทุกข์
สุขของคนท่ัวไป ต้องพยายามประสานงานภายในหมู่คณะ ต้องพยายามทุกวิถีทางทาให้หมู่คณะ
หรือประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง จึงจาเป็นที่ผู้เป็นนักปกครองจะต้องอุทิศกาลังกายกาลังใจและกาลัง
ความคิดให้แก่ส่วนรวม นักปกครองท่ีดีจะต้องใช้เวลากับงานในหน้าท่ีของตน ต้องเสียสละความสุข
สบายของตน

7.4 ความซ่ือตรง.(อาชชวะ) คือ เป็นผู้ทรงสัตย์ ปฏิบัติการงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ไม่หลอกลวงประชาชน หรือสมาชิกของหมู่คณะ มีความจริงใจ ปากกับใจตรงกัน ไม่ทาตนเป็นคน
เจ้าเล่ห์กับประชาชนไม่กลับกลอก ไม่พูดลับหลังอย่างหน่ึงต่อหน้าอย่างหนึ่ง คุณธรรมข้อน้ีสาคัญ
สาหรับนักปกครอง ถ้าคนในสังคมหรือในหมู่คณะจานวนหนึ่งเป็นคนไม่ซื่อตรง สังคมและ
หมู่คณะนั้น จะไม่สงบสุข ถ้านักปกครองหรือหัวหน้าไม่ซ่ือตรงแล้ว สังคมและหมู่คณะนั้นจะ
ระส่าระสายและปั่นป่วนอย่างที่สุด เพราะสังคมและหมู่คณะขาดที่พึ่งขาดหลักที่จะยึดถือ หากคน
ท่ัวไปไมม่ ศี รัทธาในตวั นักปกครองหรือหวั หนา้ แลว้ ความสงบสขุ จะมีไมไ่ ด้

7.5 ความอ่อนโยน (มัททวะ) คือ มีกิริยาสุภาพ มีวาจาอ่อนหวาน ไม่เย่อยิ่ง ไม่หยาบ
คาย มีความนุ่มนวล ผู้คนได้พบได้เห็นก็มีแต่ความสบายใจ แต่การอ่อนโยนมิได้หมายความว่าอ่อนแอ
ความอ่อนโยนน้ันแฝงไว้ด้วยความสง่างาม นักปกครองที่ดีจะต้องมีท้ังความอ่อนโยนและเข้มแข็ง
ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เพราะความเข้มแข็งมิใช่ความแข็งกระด้างความอ่อนโยน
เป็นลักษณะท่ีสาคญั ของนักปกครอง เพราะช่วยทาให้ผู้คนเกิดความรักความชื่นชมยินดีท่ีจะให้ความ
ร่วมมอื ในกิจการต่าง ๆ นักปกครองท่ีหยาบกระด้างพูดจาดูถูกคน แม้จะมีความสามารถและเป็นคน
ตั้งใจทางานแตก่ ็ไมอ่ าจโน้มนา้ วใจใครให้ร่วมมือไดม้ ากเท่าทค่ี วร

7.6 ความเพียร (ตบะ) คือ ความเป็นผู้มีความขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้านกระทาหน้าท่ี
ของตน รู้จักข่มจิตข่มใจ อดกล้ันต่อความทุกข์ทรมานอันเกิดจากกิเลส และความอยากที่เข้ามาครอบงา
จิตใจที่กอ่ ใหเ้ กิดความหลงใหลมวั เมา รู้จักทาจติ ให้ม่นั คง ไมห่ วัน่ ไหวในความทกุ ขใ์ นทุกสถานการณ์

7.7 ความไม่โกรธ.(อักโกธะ).คือ มีจิตใจมั่นคง ไม่ฉุนเฉียว สามารถอดกล้ันความ
ไม่พอใจไว้ได้ มีความสุขุมเยือกเย็น นักปกครองท่ีดีจะต้องรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างใจเย็น
เม่ือคนพูดเสียดสีก็ข่มใจไว้ไม่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยอารมณ์ แต่ใช้เหตุผลพูดจากัน นักปกครอง
ท่ีใจเย็นไม่โกรธง่ายจะก่อให้เกิดความรู้สึกน่าเกรงขาม คนจะเคารพเลื่อมใส แต่ถ้าใช้อารมณ์

284 มนุษยสัมพันธ์ทางธรุ กิจ

เกรี้ยวกราดแล้ว ผู้อยู่ใต้ปกครองอาจจะกลัวเพราะให้คุณให้โทษเขาได้ แต่ในใจอาจไม่เคารพและ
จงรกั ภักดเี พราะไมเ่ ลือ่ มใส

7.8 ความไม่เบียดเบียน.(อวิหิงสา) คือ ไม่กดข่ีข่มเหงคนอื่น ไม่หลงระเริงในอานาจ
ทาอันตรายต่อร่างกายและทรัพย์สินผู้อื่นโดยอาเภอใจ การเบียดเบียน รวมไปถึงการลงโทษ แก่คน
ทาผิดเกินควรแก่เหตุ การใช้แรงงานโดยไม่ให้ค่าตอบแทนตามควร การออกกฎหมายหรือระเบียบ
ข้อบังคับไม่ให้คนมีอิสระเท่าที่ควร สังคมใดก็ตามที่มีนักปกครองหรือหัวหน้าชอบเบียดเบียนผู้อ่ืนจะมี
แต่ความยงุ่ เหยิง

7.9 ความอดทน.(ขันติ) คือ ความสามารถที่ทนต่องานหนักได้ สามารถเผชิญ
กับความยากลาบากได้อย่างเข้มแข็ง เม่ือพบอุปสรรคในการทางาน ก็ยิ่งเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้
ความอดทนยังหมายรวมถึงทนต่อคาเสียดสีถากถางได้ ไม่กล่าวถ้อยคารุนแรงตอบโต้ ไม่บ่นจุกจิก
ใหเ้ ป็นทีร่ าคาญของคนใกล้เคียง อดกลั้นท่จี ะไม่พูดเปิดเผยความลบั ของผู้อ่ืน

7.10 ความไม่คลาดธรรม.(อวิโรธนะ) คือ ความต้ังมั่นในธรรม ไม่หวั่นไหวในเรื่องดี
เรื่องร้าย ไม่หลงใหลในลาภสักการะ ไม่ส่ันคลอนด้วยคาสรรเสริญหรือนินทา มีความยุติธรรม ยึดธรรม
เป็นหลักในการบริหาร ยึดถือขนบธรรมเนียมที่ดีงามทั้งในการดารงชีวิตส่วนตัวและในการปกครอง
หมู่คณะ มคี วามเยือกเย็นสุขุม ไม่ต่ืนเต้นจนเกินไปเมื่อดีใจ ไม่โศกเศร้าจนเกินควรเม่ือเสียใจนักปกครอง
ทีม่ ีลักษณะเหล่านี้จะได้รบั ความเชอื่ ถอื ไวว้ างใจจากประชาชน

หลกั ธรรมทก่ี ล่าวมาเบื้องต้นเป็นหลักธรรมท่ีผู้นาทุกองค์กรท่ีจะต้องน้อมนาเข้ามาไว้
กับตนเองเพื่อให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างมีความสุขและสามารถ
ทาใหผ้ ู้ใต้บงั คบั บัญชาร่วมแรงร่วมใจพฒั นาองค์กรให้ประสบผลสาเร็จได้

8. หลกั ธรรมในการสรา้ งความเจรญิ ม่นั คงและสงบสุขของบา้ นเมอื ง
ผู้นับถือศาสนาใดก็ตาม จะอยู่ภาคไหนของประเทศก็ตาม เม่ือเป็นคนไทยแล้วก็มีหน้าท่ี

จะต้องปฏิบัติต่อประเทศชาติเหมือนกันทุกคน น่ันคือการรักษาความมั่นคงของประเทศ ทุกศาสนา
สอนให้คนมีความรักในชาติของตน สอนในเร่ืองความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะอย่างย่ิง
ประเทศชาติ เพราะประเทศชาตินั้นเป็นส่ิงหนึ่งท่ีเราจะได้ประโยชน์ เป็นสถานที่ก่อให้เกิดความสุขแก่เรา
เราเกดิ มาในแผน่ ดินทีม่ ีความสขุ แลว้ เรากต็ อ้ งปฏิบตั แิ ตส่ ิ่งดีงามเปน็ การตอบแทน โดยการปฏิบตั ิตนดงั น้ี

8.1 เป็นพลเมืองดี โดยการประพฤตติ ามกฎหมายของบ้านเมืองและวฒั นธรรมไทย
8.2 มีวินัยดี ได้แก่ ปฏบิ ัตติ ามระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อพึงยึดถืออันดีงามเพื่อความเป็น
ระเบียบเรยี บร้อย ความสขุ ความเจริญรุ่งเรืองของสงั คมนัน้ ๆ การมรี ะเบียบวินัยดีปฏบิ ตั ิโดย

8.2.1 วินัยต่อชาติ เม่ือพลเมืองทุกคนมีวินัยในตนเอง และมีวินัยต่อสังคมเป็น
พนื้ ฐานแล้วจะชว่ ยใหเ้ กดิ วินัยตอ่ ชาตขิ ้นึ วนิ ยั ต่อชาติได้แก่

1) ความเสียสละ ความเสียสละเพ่ือชาติเป็นวินัยที่พลเมืองไทยจะต้อง
คานงึ ถงึ ใหม้ ากที่สุดเพ่ือความอยู่รอดและความมั่นคงของประเทศ ความเสียสละเพื่อชาติทาได้หลาย

การประยกุ ตใ์ ช้หลกั ธรรมในการสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ 285

รูปแบบ คือ การปฏิบัติตนตามกฎหมาย การเสียภาษีให้ครบถ้วน การช่วยสงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
เป็นตน้

2) การรักษาศิลปวัฒนธ รรมของช าติ ศิลปวัตถุ โ บราณวัตถุ
และโบราณสถานของชาติ เป็นสมบัติอันล้าค่าท่ีแสดงถึงความรุ่งเรืองของชาติในอดีต ทั้งยังเป็นสถาน
สาหรับการศึกษาในด้านโบราณคดี และประวัติศาสตร์ เป็นท่ีดึงดูดของนักท่องเที่ยวให้นาเงิน
ต่างประเทศเข้ามาเป็นรายได้ของประเทศ เป็นผลให้เศรษฐกิจในชาติหมุนเวียนดีข้ึน คนไทยเรา
จึงควรภูมิใจที่เรามีมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้าค่า ซึ่งได้หล่อหลอมจิตใจคนไทยให้มีความสานึก
ในเอกลักษณ์ของความเป็นไทยและเป็นหน้าท่ีร่วมกันที่จะต้องศึกษาให้ซาบซึ้งถึงศิลปวัฒนธรรม
และสงวนรักษาเอาไว้ให้คงอยู่เป็นสมบัติของลูกหลานสืบไป ไม่ทาลายศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ
และโบราณสถานของชาติ

3) การเทิดทูนชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การท่ีคนไทยยืนเคารพ
ธงชาติและเพลงชาติ เป็นการเน้นการแสดงระเบียบวินัยอันดีงาม ผืนแผ่นดินท่ีเราอาศัยอยู่น้ีบรรพบุรุษ
ได้เอาเลือดเอาเนื้อเข้าแลกปกป้องจนได้รับเอกราช มีความเป็น ไทยอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน เราจึงต้องช่วยกัน
ดารงไว้ซ่ึงเอกราชและเกียรติคุณของชาติ ยึดมั่นในศาสนาและปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างเคร่งครัด
เทิดทูนและมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้บาเพ็ญพระราชกรณียกิจ อันเป็นประโยชน์
อย่างใหญ่หลวงต่อชาติไทย เราควรน้อมราลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และช่วยกันผดุงราชวงศ์จักรี
ใหอ้ ยูค่ ชู่ าตไิ ทยสบื ไป

8.2.2 วินัยในสังคม หมายถึง วินัยที่พึงปฏิบัติต่อผู้อื่นในสังคม เพื่อการอยู่ร่วมกัน
อย่างสงบเรยี บรอ้ ยราบรน่ื และผาสกุ วนิ ัยในสังคม ได้แก่

1) การเคารพกฎหมาย บ้านเมืองจะสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองได้ พลเมือง
จะต้องเคารพเชื่อฟงั และปฏิบตั ิตามกฎหมายของบา้ นเมือง

2) การรักษาสาธารณสมบัติ บ้านเมืองจะเจริญได้จะต้องมีความเป็น
ระเบียบ ความสะอาด การรักษาสาธารณสมบัติของชาติ สภาพของบ้านเมืองย่อมแสดงถึงอุปนิสัย
ของพลเมอื ง

3) ความสามัคคี ประชาชนจะต้องมีความสามัคคีกัน ร่วมแรงร่วมใจ
พฒั นาบา้ นเมือง ท้องถ่ินชมุ ชน รวมทัง้ ร่วมมือกันป้องกันชาติใหพ้ น้ ภยั

8.2.3 วินัยในตนเอง หมายถึง ข้อพึงปฏิบัติสาหรับบุคคลซ่ึงจะเป็นพื้นฐาน
อันจะนาไปสู่ความมวี ินัยในสงั คมและประเทศชาติ วนิ ยั ในตนเองทค่ี นไทยพึงมี ได้แก่

1) การรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น รู้จักรักษาสิทธิของตนเอง
และเคารพสทิ ธิของผู้อืน่ รักษาประโยชน์ส่วนรวมและของชาติให้มากทสี่ ุด

2) ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ติดตามความก้าวหน้าในวิทยาการใหม่ ๆ
ความเปลีย่ นแปลงของชาติและของโลก ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ใหเ้ ปน็ คนทนั เหตุการณ์ทันคนอยู่เสมอ

286 มนุษยสัมพนั ธ์ทางธรุ กิจ

3) ยึดม่ันในวัฒนธรรมไทย ชาวไทยมีวัฒนธรรมไทยของตนเองจึงดารง
ความเป็นไทยอยู่ได้ ถ้าไมม่ วี ฒั นธรรมไทยและยึดมน่ั ในวัฒนธรรมไทย อาจจะสญู ชาติไปในท่สี ุด

4) ความซ่ือสตั ย์สจุ รติ คอื ความซ่อื สัตยต์ ่อตนเองและผอู้ น่ื
5) ความขยันหมั่นเพียร คือ มีความขยัน อดทน ทางานในทางท่ีดีที่ชอบ
สรา้ งฐานะของตนเองให้เปน็ ที่พ่ึงแกต่ นเองและครอบครัว
6) การประหยัด ในปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนแปลง ทุกคน
จะต้องประหยดั ลดการใชจ้ า่ ยลง
7) การรักษาเวลา เป็นคนตรงต่อเวลา รจู้ ักใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์
ประชาชนควรยึดม่ันในหลักธรรม ความเป็นพลเมืองดีและวินัยตามที่กล่าวมาข้างต้น
อยา่ งเครง่ ครัดและสม่าเสมอเปน็ แนวปฏิบตั ิในชีวิตประจาวัน สังคมก็จะมีความเรียบร้อยและมีความ
เจริญเกดิ ข้ึนในชาติบ้านเมอื ง

สรปุ ท้ายบท

ในการดาเนินธุรกิจในปัจจุบันท่ีมีการแข่งขันกันสูง มีการนากลยุทธ์วิธีการต่าง ๆ
มากมายเพ่อื ให้ธรุ กจิ ของตนเองสามารถอยู่ในธุรกิจได้ ซ่ึงกลยุทธ์หนึ่งที่องค์กรธุรกิจนามาใช้ก็คือการ
คานึงถึงคุณธรรมจริยธรรมท่ีมีต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการนาหลักธรรมคาสอนมา
ประยุกต์ใชใ้ นการดาเนนิ ธรุ กิจใหป้ ระสบความสาเรจ็

ในการศึกษาการประยุกต์ใช้หลักธรรมในการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ เป็นการศึกษา
หลักความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับศาสนา หลักการกาเนิดศาสนา หลักความเช่ือของมนุษย์ในด้านศาสนา
องคป์ ระกอบของศาสนาและการนาหลกั ธรรมของศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ตแ์ ละศาสนาพุทธท่ีช่วย
ส่งเสรมิ การสร้างมนษุ ยสมั พนั ธท์ างธรุ กิจ

ในการนาหลักธรรมของศาสนาอิสลามมาช่วยส่งเสริมการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ผู้เขยี นได้นาหลักของศาสนาอิสลามเก่ียวกับสันติภาพ การทักทาย ความเสมอภาค การเคารพในสิทธิ
มนุษยชน การรักษาความยุติธรรม และได้นาหลักคาสอนและบุคลิกภาพของท่านศาสดามุฮัมมัดมา
เปน็ แนวทางในการสร้างมนษุ ยสมั พันธท์ างธรุ กิจ

ในการนาหลักธรรมของศาสนาคริสต์มาช่วยส่งเสริมการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ผู้เขียนได้นาหลักของศาสนาคริสต์เกี่ยวกับบัญญัติแห่งความรัก 10.ประการ ได้แก่ จงนมัสการพระ
เจ้าผู้เดียวของเจ้า อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธ์ิ
จงนับถือบิดามารดา อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าใส่ความนินทา อย่าคิดโลภ
ในประเวณีและอย่ามกั ได้ทรพั ยข์ องเขา

ในการนาหลักธรรมของศาสนาพุทธมาช่วยส่งเสริมการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ผเู้ ขียนไดน้ าหลกั ธรรมของศาสนาพทุ ธมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ หลักเบญจศีลหรือศีล 5 หลักเบญจธรรม

การประยุกต์ใช้หลักธรรมในการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ทางธุรกจิ 287

หลักไตรสิกขา หลักหิริ-โอตตัปปะ หลักสัปุริสธรรม 7.หลักอิทธิบาท 4 หลักอริยสัจ 4.หลักการ
กลับตวั หลกั มักนอ้ ยสนั โดษ หลกั พง่ึ ตนเองและหลักความเช่อื เรอื่ งกรรม

นอกจากหลักธรรมท่ีได้กล่าวมาข้างต้นของศาสนาพุทธแล้ว ยังมีหลักธรรมสาหรับ
การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น ประกอบด้วย หลักฆราวาสธรรม 4.(สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ)
หลักอคติ 4.(ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ).หลักพรหมวิหาร 4.(เมตตา กรุณา มุทิตา
อุเบกขา) หลกั สังควัตถุ 4 (ทาน ปยิ าวาจา อตั ถจรยิ า สมานตั ตา)

หลักธรรมสาหรับการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในครอบครัว ได้นาหลักการครองเรือนหรือ
การดารงชีวิตโดยมีครอบครัวเป็นพ้ืนฐาน ประกอบด้วย ความเสียสละ การฝึกข่มใจตนมิให้หล ง
ในอบายมุข ความจรงิ ใจ และความอดดทนต่อความยากลาบาก

หลักธรรมในการสร้างมนุษยสัมพันธ์สาหรับผู้บังคับบัญชา ได้นาหลักทศพิธราชธรรม
มาประยุกต์ใช้ ประกอบด้วย ทาน (การให้) ศีล (การตั้งอยู่ในศีล) อาชชวะ (ความซื่อตรง) มัททวะ
(ความอ่อนโยน) ตบะ (ความเพียร) อักโกธะ (ความไม่โกรธ) อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) ขันติ
(ความอดทน) และอวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม)

หลักธรรมในการสร้างความเจริญมั่นคงและสงบสุขของบ้านเมือง โดยประชนจะต้องทา
ตวั เป็นพลเมอื งท่ีดี มวี นิ ยั ที่ดีท้งั ต่อชาติ มีวินยั ต่อสังคมและมีวนิ ยั ต่อตนเอง

โดยสรปุ แล้ว แก่นแทข้ องทุกศาสนาก็คือหลักคาสอนขององค์ศาสดา หลักธรรมหรือหลัก
ศีลธรรมของศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายท่ีต้องการให้ศาสนิกชนเป็นคนดี ละเว้นความชั่ว
ประพฤติดี มีความเมตตา รักใคร่กัน ไม่เบียดเบียนกัน เป็นผู้เสียสละ ทาตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
และสังคม สาหรับศาสนาพุทธนั้นยังมีจุดมุ่งหมายสูงสุดท่ีนิพพาน ต้องการให้มนุษย์หมดส้ินกิเลส
พ้นจากวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด ส่วนศาสนาคริสต์มุ่งให้ทุกคนรักกันและพระเจ้าจะกลับมา
รบั ทุกคนขนึ้ ไปอยูก่ บั พระเจ้า สว่ นศาสนาอิสลามมงุ่ ให้เกิดสนั ตภิ าพกับชาวโลกและก็จะไปอยู่ร่วมกับ
พระเจา้ บนสวรรค์เช่นเดียวกบั ศาสนาคริสต์

คนเราทุกคนย่อมมีหลักยึดในการดาเนินชีวิตของตนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม
การนับถือศาสนานั้นอย่าเพียงแต่ศึกษาหลักธรรมคาสอน เพราะคุณค่าท่ีแท้จริงของหลักธรรมอยู่ท่ี
การนาไปปฏบิ ัตเิ พือ่ ให้เกดิ สมั พันธภาพที่ดีในการอยูร่ ว่ มกนั ในสังคมได้อยา่ งมีความสุข

288 มนุษยสมั พนั ธท์ างธุรกิจ

กรณีศกึ ษา บทที่ 7
เร่อื ง การทาธรุ กจิ

กฤษดา เป็นเจ้าของธรุ กิจเสื้อผา้ มคี วามใฝ่ฝันอยากจะประสบความสาเร็จในชีวิตเหมือน
คนอ่ืน ๆ เขาจึงมีความขยันขันแข็งในการทางานเป็นพิเศษ ในชีวิตของเขาแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มี
อะไรที่จะมีคุณค่าเท่ากับเงินทองและความสาเร็จ การท่ีกฤษดามุ่งมั่นสู่ความสาเร็จอย่างนี้ ทาให้เขา
ลืมหลาย ๆ เรอ่ื งในชีวิตไป เชน่ ความถูกตอ้ งดงี ามต่าง ๆ เป็นต้น เขาไม่เคยแคร์อะไรท้ังส้ิน ขอเพียง
อย่างเดียวคือ ให้ตัวเองประสบความสาเร็จ อย่างท่ีต้ังใจไว้ แม้คนภายนอกจะมองว่าเขาประส บ
ความสาเร็จแล้ว เพราะมีโรงงานขนาดใหญ่ มีพนักงานมากมาย แต่สาหรับตัวเขาเองคิดว่า
ยังไม่ประสบความสาเร็จเท่าที่ควร แต่ละปีเขาจึงตั้งเป้าหมายไว้สูงลิ่ว เพ่ือให้ได้เงินมากขึ้นเร่ือย ๆ
การทาธุรกิจของกฤษดา จึงเต็มไปด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ มากมาย เพื่อทาให้ได้เงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
การกดค่าแรงของพนักงาน การใช้วัตถุดิบท่ีราคาถูกและคุณภาพต่า การให้สินบนเจ้าหน้าท่ีบ้านเมือง
สิง่ ต่าง ๆ เหล่าน้ีเขาบอกว่าหลกี เล่ียงไมไ่ ด้ทีจ่ ะตอ้ งทา หากอยากจะประสบความสาเรจ็

ความคิดของกฤษดา จึงเต็มไปด้วยการคดโกงทุกรูปแบบ เพียงเพื่อให้ตนเองได้ขึ้นมายืน
โดดเด่นอยู่ในสังคม และท่ีสาคัญเขาไม่รู้จักกับคาว่า “พอ” ย่ิงเขาได้มากเท่าไหร่ก็ย่ิงตะเกียกตะกาย
ใหไ้ ดม้ ากขึน้ เทา่ นั้น

เม่ือมีเงินทองมากมาย กฤษดาก็วางแผนที่จะขยายโรงงานให้ใหญ่ข้ึนอีก เพ่ือความเป็น
มหาเศรษฐีที่ย่ังยืน ในช่วงนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่า จะมีอะไรที่ทาให้จนลงได้ เพราะเงินทองแต่ละวัน
ที่เข้ามามันมากมาย มีบางคร้ังเหมือนกันที่เขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าเงินที่ตนเองได้มาจานวน
มากนั้น มันไมไ่ ด้มาด้วยความบรสิ ุทธ์ิ ถึงแม้วา่ ธรุ กิจท่ีเขาทาจะเปน็ อาชพี ทบ่ี รสิ ุทธก์ิ ต็ าม

แต่ในท่ีสุดเขาก็ปลอบใจตนเองว่า ก็เพราะว่าคนพวกน้ันมันโง่เอง จึงทาให้เขาหลอกได้
ใครไมอ่ ยากตกอยูภ่ ายใตก้ ารกดขีข่ มเหงของเขากล็ าออกไป เขาไมไ่ ด้บงั คับ

คาถาม
1. การที่กฤษดามีความโลภมากไม่รู้จักพอ ท่านคิดว่ากฤษดาทาผิดในหลักธรรม
ในดา้ นใด
2. ถ้าหากกฤษดา ยังไม่รู้จักระงับสติอารมณ์และเปลี่ยนความคิดใหม่ จะส่งผลต่อชีวิต
และธรุ กิจของกฤษดาอย่างไรบ้าง
3. ถ้าคุณเป็นคนท่ีกฤษดารักเคารพและเช่ือฟังท่าน ท่านจะนาหลักธรรมใดมาแนะนา
กฤษดาในการบริหารธุรกิจของกฤษดา

การประยุกต์ใช้หลกั ธรรมในการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธุรกจิ 289

กิจกรรม บทที่ 7
เรืออารมณ์

จดุ ประสงค์ 1. เพื่อให้รู้จกั คุณคา่ ของลกั ษณะนิสัยแตกตา่ งกนั

2. เพ่อื ฝกึ ให้คิดหาเหตุผล

3. เพื่อฝึกการเสยี สละเพ่ือผู้อื่น

4. เพ่อื ฝึกการแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้

5. เพอ่ื ฝึกการแก้ไขความขัดแยง้ ที่เกดิ ขนึ้

อปุ กรณ์ ไม่มี

เวลา 1ชว่ั โมง

อายุ ไม่จากัด

จานวนผู้เล่น ไม่จากัด

การเตรียมการ ไม่มี

วธิ เี ลน่ 1. แบง่ กลุ่มผ้เู ลน่ เป็นกลมุ่ ละ 5 คน โดยให้สมมุตวิ ่าสมาชิกในกลมุ่ กาลังอยู่ในเรือ

2. สมมตุ ิว่าเรอื กาลังจะจมและต้องเอาผู้โดยสารออก 1 คน

3. ให้เรอื แตล่ ะลาตกลงกันเองวา่ ตอ้ งโยนใครออกจากเรือเพื่อให้เรือไม่จม ในเวลา

จากดั

4. ให้สมาชิกแต่ละคนแสดงจุดยืนของตนเอง แสดงเหตุผลว่าทาไมตนจึงสมควร

ได้อยบู่ นเรือต่อไป

5. ผู้นากิจกรรมถามผรู้ ่วมกิจกรรมได้อะไรจากการเล่นกจิ กรรม

6. ผู้นากิจกรรมสรปุ วัตถปุ ระสงค์ของกิจกรรม

ขอ้ แนะนา

ทาความเข้าใจความรู้สึกแต่ละอย่างคร่าว ๆ ก่อนเล่น ระหว่างเล่น ผู้ดาเนินกิจกรรม

อาจต้องคอยช่วยดูว่าผู้เล่นเข้าใจกันแค่ไหน ผู้ดาเนินกิจกรรมอาจชวนผู้เล่นมาวิเคราะห์ถึงวิธีการ

ตกลงในแต่ละกลุ่ม วา่ มปี ญั หาในการตกลงกันไหม ใช้อะไรตัดสิน โหวตเสียง ตกลงกันไปเลย เอาเหตุผล

มาคา้ นกัน มกี ารทะเลาะกนั ไหม มีใครเป็นผ้นู าในกลมุ่ หรอื เปล่า ความสามารถในการพูดเก่ียวข้องกับ

การแพช้ นะหรือไม่

290 มนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ

กจิ กรรม บทท่ี 7
เกม Super Hero

วัตถุประสงค์ 1. เพื่อใหเ้ กดิ ความสนุกสนาน
2. เพื่อฝึกทักษะการเป็นผู้นา
3. เพือ่ ฝึกการคิดและการตัดสนิ ใจ

จานวนผเู้ ลน่ 4. เพือ่ ฝึกการยอมรบั ตนเองและผูอ้ ่ืน
อปุ กรณ์ 20-30 คน
-

สถานท่ี หอ้ งเรยี น

เวลา 20 - 30 นาที

วิธเี ลน่ 1. ผู้นากจิ กรรมบอกให้ทุกคนยนื บรเิ วณห้อง

2. ผู้นากิจกรรมชี้แจงว่า ให้ทุกคนจับคู่กันเพ่ือเป่าย่ิงชุบ ผู้ใดแพ้ให้ไปต่อท้าย

ผู้ชนะและจบั เอวไปเป่ายง่ิ ชุบต่อ

3. ผู้นากิจกรรมช้ีแจงต่อว่าให้ทุกกลุ่มที่ชนะจับคู่กันเป่ายิ่งชุบต่อ ถ้ากลุ่มไหนแพ้

กไ็ ปต่อทา้ ยกลุม่ ทีช่ นะ ทาอยา่ งน้จี นไดผ้ ชู้ นะเพยี งกลุ่มเดยี ว

4. ผูน้ ากจิ กรรมถามผรู้ ว่ มกจิ กรรมได้อะไรจากการเล่นกิจกรรม

5. ผู้นากิจกรรมสรปุ วัตถุประสงคข์ องกจิ กรรม

การประยกุ ต์ใช้หลักธรรมในการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ 291

แบบฝกึ หดั บทที่ 7

คาชีแ้ จง จงอ่านข้อความแต่ละข้อแล้วพิจารณาว่าข้อความน้ันถูกหรือผิด ถ้าถูกให้ทา
เคร่ืองหมาย √ ถา้ ผิดใหท้ าเคร่ืองหมาย X ลงหน้าขอ้ ความในแต่ละขอ้
1. หลกั การกาเนดิ ของศาสนา คือ ลทั ธิความเชอ่ื ถอื ของมนุษย์อันมีหลัก คือแสดงกาเนิด

และจดุ ส้ินสดุ ของโลก
2. หลักการเกิดความเช่ือในลัทธิเอกเทวนิยมเป็นทฤษฏีที่เสนอโดย เซอร์ เจมส์ จอร์ช

เฟรเซอร์
3. หลักการเกดิ ความเช่ือในเร่ืองไสยศาสตร์ โดยเซอร์ เจมส์ จอร์ช เฟรเซอร์ ได้เสนอว่า

มนษุ ย์ไดพ้ ฒั นาเกี่ยวกับความคดิ ในเรือ่ งศาสนาไว้ท้งั หมด 3 ระยะ
4. ความเชื่อของมนุษย์ในด้านศาสนามี 2 ประเภท คือความเช่ือในอานาจอันสูงสุดของ

พระเจ้าผ้ยู ิ่งใหญแ่ ละความเชื่อถอื ในหลกั ธรรมและกฏศลี ธรรมต่าง ๆ
5. ศาสนาจะเปน็ ศาสนาที่สมบรูณ์ได้ไมจ่ าเป็นตอ้ งมอี งค์ประกอบท่ีครบถ้วนขาดอย่างใด

อยา่ งหนง่ึ ไปก็ได้
6. องค์ประกอบศาสนาประกอบด้วย ศาสนา คาสอน ผู้ทาพิธีกรรม สถานท่ีทาพิธีกรรม

และศาสนิกชน
7. คาสอน คือ แนวทางในการปฏิบัติทางศาสนาซึ่งศาสนาเป็นผู้บอกหนทางแห่งการ

ปฏิบตั ขิ ึ้น
8. ศาสดา คือ ผู้นับถือศาสนาน้ันๆ ซ่ึงต่างจากผู้ทาพิธีกรรม เพราะไม่จาเป็นต้องปฏิบัติ

อยา่ งเคร่งครัด
9. อิสลามเป็นศาสนาเดียวในโลกท่ีชื่อของศาสนาได้ถูกขนานนามตามนามของ

ผูป้ ระกาศศาสนา
10. อิสลามไม่ได้เป็นศาสนาของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อิสลามเป็นศาสนาของโลกซึ่งมี

ตั้งแตด่ ึกดาบรรพ์
11. บัญญตั เิ อกของศาสนาครสิ ต์ คือ บญั ญัตแิ ห่งความรกั
12. บัญญัตแิ หง่ ความรกั คอื จงรกั พระเจ้าดว้ ยส้ินสดุ จิตใจ สดุ สตปิ ญั ญาและจงรักเพ่ือน

มนุษย์เหมอื นรักตวั เอง
13. การเคารพนบั ถอื บิดามารดา คอื การให้ความสาคัญแกบ่ ิดามารดและผมู้ พี ระคณุ
14. พุทธศาสนาถือกาเนดิ ในอินเดยี กอ่ นพุทธศกั ราช 50 ปี
15. คมั ภรี ์ของศาสนาพทุ ธเรยี กว่า “พระไตรปฏิ ก”
16. หลักธรรมในพุทธศาสนามจี ุดประสงค์ท่ีสอนใหค้ นเปน็ คนดี มคี วามประพฤตดิ ี
17. เบญจศลี คือ ขอ้ ห้าม 8 ประการเพ่อื เป็นเกราะปอ้ งกันตวั เองไมใ่ หท้ าความชว่ั
18. เบญจธรรม คอื ขอ้ ปฏิบัติ 5 ประการให้คนทาความดี
19. หิริ คอื การละอายตอ่ ความช่ัว

292 มนษุ ยสมั พันธ์ทางธุรกจิ

20. หิวาตธรรม เป็นธรรมทแ่ี สดงความนอบนอ้ มถอ่ มตน ไมเ่ ยอ่ หยิง่ ไมท่ ะนงตัว

คาชแ้ี จง จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. ฮอฟท์ ไดท้ าการสรุปถงึ หลกั การกาเนิดศาสนาไว้ มีทง้ั หมดกี่ทฤษฏี
2. หลักความเช่ือของมนษุ ย์ในดา้ นศาสนา มกี ี่ประเภท ได้แกอ่ ะไรบ้าง จงอธิบาย
3. ศาสนา มอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง จงอธิบายมาพอเขา้ ใจ
4. หลกั ธรรมของศาสนาอิสลามท่ีเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์

กบั บุคคลอ่ืนทว่ั ไปให้มีความสุข ได้แก่หลักธรรมอะไรบา้ ง
5. คมั ภีร์ ของศาสนาพุทธหรือท่เี รียกวา่ “พระไตรปฏิ ก” หมายถึง
6. เบญจศีล หมายถึง
7. เบญจธรรม หมายถึง
8. ท่านคิดว่าการครองเรือนหรือกรดาเนินดารงชีวิตโดยมีครอบครัวเป็นพ้ืนฐาน ควรมี

หลักการในรปู แบบใด จงอธบิ าย
9. ท่านคิดว่าหลักทศพิธราชธรรม.10.สามารถนามาใช้ในด้านใดได้บ้าง จงยกตัวอย่าง

พร้อมอธิบายพอเข้าใจ
10. ทา่ นคดิ วา่ การมีวนิ ยั ในตนเอง สามารถนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างไร

จงอธิบายมาพอเขา้ ใจ

บทท่ี 8

เทคนิคการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ทางธรุ กจิ

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว
พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรอื น เนือ่ งในวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2555

วันที่ 31 มีนาคม 2555
ณ อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ โรงพยาบาลศริ ริ าช

"...งานราชการทุกอย่าง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ง่ายหรือยาก ย่อมมีความสาคัญอยู่ในงาน
ของแผ่นดินด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งงานทุกด้าน ทุกสาขา ย่อมสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองกัน เป็นปัจจัยเก้ือกูล
ส่งเสริมกันและกันอยู่ ข้าราชการทุกคน ทุกฝ่าย ทุกระดับ จึงต้องไม่ถือตัว แบ่งแยกกัน หากต้อง
พิจารณาให้เห็นถึงความสาคัญของกันและกัน แล้วร่วมงานประสานสัมพันธ์กันด้วยความเป็นมิตร
ด้วยความเข้าใจเห็นใจกัน และด้วยความเมตตาปรองดองกัน งานของแผ่นดินทุกส่วนจักได้ดาเนิน
ก้าวหน้าไปพร้อมเสมอกัน และยังประโยชน์ที่พึงประสงค์คือความเจริญม่ันคง ให้เกิดแก่บุคคล
แกง่ านและแกส่ ่วนรวม ได้แท้จรงิ ..."

294 มนุษยสมั พนั ธท์ างธรุ กจิ

ในบรรดาบุคคลท่ีประสบความสาเร็จในการประกอบธุรกิจท้ังหลายน้ัน ต่างให้
ความสาคัญกับการเป็นผทู้ ่ีมีมนุษยสัมพันธ์กันมาก เรื่องราวของการมีมนุษยสัมพันธ์นั้น คือเร่ืองราวของ
การมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทาให้คนรอบข้างมีความสุขและชื่นชมนับถือ ในท่าทีอันหมดจด
งดงามท่แี สดงออกมา รวมถึงทาให้การดาเนนิ ธรุ กิจประสบผลสาเร็จอย่างงดงาม

ดังนั้น การเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีนั้นจึงเป็นเร่ืองท่ีต้องถามตัวเองว่ามีในตัวมากน้อย
แค่ไหน มีหลายคนที่เข้าใจผิดว่าการมีมนุษยสัมพันธ์คือการทาตนแบบคนล่ืนไหล ใช้ปากพูดจา
ฉอเลาะให้คนพึงพอใจใช้กิริยาท่าทางเอาอกเอาใจผู้คนรอบข้างให้พึงพอใจที่สุด แต่ความจริง
การสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือการปฏิบัติตนของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีในการให้เกียรติตัวเองและผู้อ่ืน
ทาให้ตนเองและผู้อ่ืนพึงพอใจในระดับที่มากท่ีสุด โดยที่ตัวเองไม่สูญเสียความภาคภูมิและความเป็น
ตัวเอง

ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ ก็เพื่อให้เป็นท่ีชอบพอรักใคร่ของบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง
ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งนักธรุ กิจสามารถทาได้หลายวิธี ข้ึนอยู่กับเทคนิคของแต่ละบุคคล ทาให้บุคคล
พยายามหาเทคนิคในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เพื่อจะได้นามาประยุกต์ใช้ในการคบหาสมาคมเพื่อให้
การประกอบธุรกิจเปน็ ไปอย่างราบรนื่ และประสบผลสาเรจ็ ได้อย่างงดงาม

เทคนิคการสร้างความร้สู กึ ที่ดเี พอ่ื การสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทางธุรกิจ

การสร้างความรู้สึกที่ดีเพ่ือการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจ.เราต้องเริ่มจากตัวเองก่อน
โดยการมองโลกในทางที่ดีหรือการคิดเชิงบวก เมื่อทุกส่ิงทุกอย่างเรามองดีแล้ว ย่อมส่งผลให้ใจ
ของเรามีแต่ความสุข จะคิดจะทาอะไรร่วมกับคนอ่ืนก็จะหยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้กับคนรอบข้าง ในการ
สร้างความรู้สึกที่ดี เพื่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจน้ัน โดยเร่ิมจากเวลาทางานต้องมีใจ
ท่ีเบิกบานทางานอย่างจริงจัง ทาเต็มที่ และส่งงานตรงเวลา ตลอดจนทาด้วยความสุข ความเต็มใจ
เมอ่ื เราทางานคร้งั แรกสาเรจ็ แล้ว งานชน้ิ ต่อไปกย็ ่อมทีจ่ ะสาเรจ็ ตามไปดว้ ย ในขณะเดียวกันเราต้องมี
ความมุ่งม่ัน รู้จักควบคุมตนเองให้ได้ กาหนดชีวิตเราเอง ว่าต้องทาให้สาเร็จ และต้องมีสติปัญญา
อยู่เสมอ เพราะสองส่ิงน้ีจะนาพาไปสู่จุดหมายท่ีสาเร็จได้ เม่ือเราทางานอย่างมีความสุขแล้ว
เพ่ือนร่วมงานก็จะมีความสุขตามไปด้วย ทาให้งานท่ีทาออกมาน้ันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นเราต้องกล้าที่จะพัฒนาตนเอง ด้วยความมุ่งหวังว่าเราต้องทาได้ แล้วเราจะทาได้
ตามทเี่ ราคาดหวังไว้ หากต้องการประสบความสาเร็จในการทางาน ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการ
เริม่ จากการสรา้ งความรูส้ ึกท่ดี ีกบั บุคคลท่เี กีย่ วขอ้ งในการดาเนนิ ธุรกจิ

เทคนคิ การสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุ กจิ 295

เทคนิคการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธ์ทางธรุกิจโดยการปรบั ปรุงตนเอง

ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางธุรกิจโดยการปรับท่ีตนเอง เพื่อให้ธุรกิจประสบ
ความสาเรจ็ และบุคคลในองค์กรทางานร่วมกันอย่างมีความสุขน้ัน มีแนวทางในการพัฒนาตนเองได้
หลายวธิ ี ผเู้ ขยี นขอเสนอแนวทางดงั ต่อไปน้ี

1. เสรมิ สรา้ งบุคลกิ ภาพใหด้ ดู ี
หากบคุ ลากรในองค์กรมีบุคลิกภาพท่ีดูดีนั้น เป็นเสมือนแม่เหล็กที่จะดึงดูดใจเพ่ือนร่วมงาน

และลูกค้า ให้เข้ามาหาได้ อีกท้ังบุคลิกภาพ ยังเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นตัวตนท่ีแท้จริง แน่นอนว่าทุกคน
ไม่มีใครท่ีจะมีบุคลิกภาพที่ดีสมบูรณ์ มาตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องอาศัยวิธีการปรับปรุงจุดด้อยของตนเอง
ท้ังน้ัน หากมีความพยายามท่ีจะแก้ไข ก็สามารถท่ีจะมีบุคลิกภาพที่ดูดี และสง่างามได้.ส่งผลให้
สามารถสรา้ งความสัมพนั ธ์ที่ดรี ว่ มกบั ผู้ปฏบิ ตั งิ าน หรือเพ่ือนร่วมงานทาให้งานออกมาดีและสามารถ
สร้างความสมั พันธ์อนั ดกี บั ลกู คา้ ใหเ้ กิดความประทับใจได้

2. จิตใจทีเ่ ขม้ แข็ง
บุคคลใดเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็งของจิตใจ ถือว่าเป็นบุคคลท่ีได้พัฒนาจิตใจของตนเอง

ให้ม่ันคง ไม่หวั่นไหวต่อส่ิงต่าง ๆ ได้ง่าย ทาให้สามารถต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับ
ภาระหน้าท่คี วามรบั ผิดชอบงาน ปญั หาเกยี่ วกบั เพื่อนรว่ มงานในทมี และในองคก์ ร เป็นต้น หากเราเป็นผู้ที่
มจี ิตใจเขม้ แข็งนัน้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหานน้ั ได้ แต่ในขณะเดียวกนั ตอ้ งมคี วามอดทนด้วย นอกจากนี้ผทู้ ่ี
มีความเข้มแข็งของจิตใจ ยังมีลักษณะของผู้ท่ีมีความเช่ือม่ันในตนเองสูงอีกด้วย แต่ความเช่ือมั่น
ในตนเองน้ันก็แตกต่างจากคว ามหลงตนเองอยู่มากทีเดียว .ฉะนั้นเมื่อเป็นผู้มีจิตใจเข็มแข็งแล้ว
ควรนาไปใช้ในทางท่ีถกู ท่คี วร เพ่อื ให้งานออกมามีประสทิ ธภิ าพและมปี ระโยชน์ตอ่ ธุรกิจมากที่สุด

3. ยิม้ แย้มแจม่ ใส
หากต้องการที่จะชนะใจผู้อ่ืน ที่อยู่ภายในองค์กรเดียวกันหรือลูกค้าในการทาธุรกิจ

ให้ได้น้ัน ควรมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเป็นส่ิงหน่ึงที่ไม่ควรมองข้ามไป เนื่องจากการย้ิมแย้ม
เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่สาคัญที่จะดึงดูดใจฝ่ายตรงข้ามให้รับรู้ได้ถึงความเป็นมิตรและความบริสุทธ์ิใจ
อกี ท้งั ยงั ทาใหฝ้ า่ ยตรงข้ามรสู้ ึกประทับใจในตวั ของเราอีกดว้ ย

โดยทัว่ ไปแลว้ คนทมี่ ีหน้าตาย้ิมแย้มแจ่มใส มักจะเปน็ คนทม่ี ีสุขภาพจิตท่ีดี ไม่หงุดหงิด
ฉุนเฉียวง่าย ซ่ึงจะส่งผลให้คนที่อยู่รอบข้าง มีความรู้สึกสบายใจ อยากที่จะอยู่ใกล้ ๆ อีกด้วยและในการ
ทาธุรกิจกส็ ามารถทาให้การเจรจาตอ่ รองธุรกจิ เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดได้

4. มคี ุณธรรมประจาใจ
บคุ คลทม่ี คี ณุ ธรรมในการทาธุรกิจ มนี า้ ใจ ไมเ่ ห็นแก่ตัว จะทาให้เป็นที่รักใคร่ชอบพอของ

คนที่ร่วมประกอบธุรกิจด้วย เพราะผู้ที่มีคุณธรรมจะเป็นผู้ท่ีมีจิตใจสะอาด มีความจริงใจ มีความยินดี

296 มนุษยสมั พันธท์ างธรุ กิจ

ในความสาเร็จและความเจริญก้าวหน้าของผู้อ่ืน นอกจากน้ีผู้ท่ีมีคุณธรรมยังมีความสงบม่ันคง มีสมาธิ
และพลังจิตท่ีดีอีกดว้ ย

ดังนั้น ผู้ท่ีมีคุณธรรมจึงเป็นผู้ท่ีมีเสน่ห์ดึงดูดใจและสร้างความประทับใจให้กับ
ผู้ใกล้ชิดได้ด้วย เพราะผู้ที่ได้คบหากับผู้ท่ีมีคุณธรรมจะได้พบแต่ความสุข ไม่เกิดปัญหาระหว่างมิตรภาพ
เลย การเป็นผู้มีคุณธรรมสามารถนามาใช้ในทางธุรกิจ โดยจะทาให้บรรยากาศในการทาธุรกิจเป็นไปด้วย
ความราบรื่น ส่งผลใหธ้ รุ กจิ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้

ผู้มีคุณธรรมประจาใจนั้น จะมีลักษณะเป็นผู้ที่รู้จักใช้สติปัญญาไตร่ตรองทุกส่ิงท่ีได้
ผ่านเข้ามาในชีวิต และรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นคุณและสิ่งใดเป็นโทษ ควรจะหลีกเล่ียงหรือไม่
และก่อให้เกิดปัญหาได้อย่างไร นอกจากน้ีผู้ที่มีคุณธรรมยังมีลักษณะท่ีสาคัญอีกประการคือ เป็นผู้
ใกล้ชิดแหล่งธรรมะ คือเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมและเคร่งครัดในธรรมอีกด้วย.หากนักธุรกิจ
ได้นาหลักธรรมประจาใจในข้อน้ีมาปรับใช้กับตัวเอง ก็จะทาให้องค์กรน้ันเจริญเติบโตได้อย่างมี
ศักยภาพ โดยไมเ่ อาเปรยี บและเบยี ดเบียนผู้อ่นื

5. ความรับผดิ ชอบ
ความรับผิดชอบ คือ การปฏิบัติหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายได้อย่างครบถ้วน หรือการกระทา

สงิ่ ใดทเ่ี กิดขอ้ บกพรอ่ งแลว้ รจู้ กั การยอมรับ และพร้อมท่จี ะแก้ไขสิ่งบกพร่องโดยเรว็ ทีส่ ุด
สาหรับบุคคลท่ีมีความรับผิดชอบย่อมเป็นคนท่ีมีคุณค่า มีความน่าประทับใจ เพราะ

ผลงานทที่ าออกมานน้ั ยอ่ มมีคุณภาพและประสิทธภิ าพ ซึ่งคนลกั ษณะนม้ี ักจะได้รับการยกย่องชมเชย
สรรเสริญจากบุคคลรอบข้าง ในขณะที่ผทู้ ่ไี มม่ ีความรบั ผดิ ชอบมกั จะไม่เคยเห็นความบกพร่องของตน
มักจะพยายามปัดความผิดให้พ้นตัวและมักจะรับเอาแต่ความดีความชอบใส่ตนเอง คนประเภทนี้
จึงมักจะไม่มีเพ่ือนแท้.เช่นกันในการทาธุรกิจคนที่มีความรับผิดชอบก็จะประสบความสาเร็จในการ
ทางานส่งผลให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้า ส่วนผู้ท่ีไม่มีความรับผิดชอบนั้นผลงานท่ีผลิตออกมา
อาจไม่มีคุณภาพ หากองค์กรใดได้ร่วมงานด้วย จะส่งผลให้องค์กรน้ัน ประสบกับความล้มเหลว
ไม่เจริญกา้ วหน้าได้เชน่ กัน

ดังนั้น หากต้องการเป็นคนท่ีมีคุณค่า มีความน่าประทับใจ ก็จงสร้างสานึกให้เป็นคน
มีความรับผดิ ชอบ ดว้ ยการพัฒนาตนให้รู้จักยอมรับข้อบกพร่องของตนเองและปรับปรุงแก้ไขให้ดีข้ึน
จงึ จะทาใหอ้ งค์กรเจริญกา้ วหน้า

6. ความโกรธและความโมโห
ความโกรธและความโมโห เป็นอารมณ์ที่คนทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตนเองและ

คนรอบข้าง อีกท้ังความโกรธยังเป็นจุดด้อยที่ทาให้ต้องเสียบุคลิกภาพท่ีดีไปอย่างน่าเสียดาย
ซึ่งในทางธุรกิจความโกรธและความโมโหอาจส่งผลด้านลบให้กับองค์กร หากผู้บังคับบัญชา
ไมส่ ามารถระงบั ความโกรธและความโมโหได้ อาจจะสง่ ผลใหผ้ ู้ใตบ้ งั คับบญั ชาไม่มีขวัญกาลังใจในการ
ทางาน ทาให้งานที่ออกมานั้นไม่มีประสิทธิภาพ อีกท้ังการเจรจาต่อรองธุรกิจ หากนักธุรกิจมีความ
โกรธความโมโหในการเจรจาตอ่ รองธุรกิจกอ็ าจทาให้การเจรจาไม่ประสบผลสาเร็จดงั ท่ีตัง้ ไว้

เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์ทางธรุ กจิ 297

ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาถึงสาเหตุและรีบหาทางแก้ไขให้ได้โดยเร็ว สาเหตุของความ
โกรธและความโมโหอาจเกดิ ขนึ้ จาก

6.1 การทางานมาอย่างเหน็ดเหน่ือย หรือการต้องทาในส่ิงท่ีตนเองไม่ชอบใจก็อาจ
ทาใหม้ ีความโกรธหรอื ความโมโหได้ การหยดุ พักเสยี บา้ งก็จะช่วยใหอ้ ารมณ์เย็นลง

6.2 การหิวอาหาร หรือท่ีเราเรียกกันว่า “โมโหหิว”.จะรู้สึกโกรธและโมโห ในขณะท่ี
ท้องว่างจะมีอาการอยากอาหาร วิธีแก้ไข คือ รีบไปรับประทานอาหารเสียหรือข่มอารมณ์ไว้ก่อน
เมื่อเสร็จภารกจิ แล้วจึงรบี ไปรับประทานอาหาร

6.3 สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ย่อมทาให้อารมณ์ของคนเราร้อนตามไปด้วย เม่ือรู้สึก
ว่าเร่ิมมีอารมณ์หงุดหงิดแล้วก็ควรหาวิธีแก้ไขโดยรีบเดินเข้ามาอยู่ในร่มเสีย หาร่มหรือหมวกไว้กัน
แดดและความร้อนกจ็ ะพอช่วยได้บ้าง

พึงจาไว้เสมอว่าเม่ือเราเข้าไปทางานอยู่ในองค์กร ต้องลดความโกรธ ความโมโห
ลงบ้าง ความโกรธ ความโมโห ก็เหมือนเป็นดั่ง ภูเขาไฟที่ระเบิดลาวาจะทะลักออกมา ความร้อนของ
ลาวามันจะไปทาลายบุคคลรอบข้างในองค์กร และสภาพแวดล้อมใกล้ตัวเราจนหมด และเมื่อมัน
เย็นลงก็จะทิ้งไว้ซ่ึงร่องรอยความเสียหายท่ีเกิดข้ึน ไม่มีใครในองค์กรอยากคบหาสมาคมกับคน
เจ้าอารมณ์มีความโกรธและความโมโหอยู่ตลอดเวลา ฉะน้ันแล้วเราต้องรู้จักที่จะระงับอารมณ์ของ
ตวั เองให้ได้

7. ไมเ่ ปน็ คนหลงตวั เอง
บคุ คลท่ชี อบหลงตัวเอง มักจะเป็นผู้ท่ีประเมินค่าในตัวเองสูงกว่าบุคคลอ่ืนเสมอและมักจะ

มองผู้อื่นด้อยกว่าตนเอง คนที่มีลักษณะเช่นน้ีย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีเสน่ห์ในตัวเองเลย ทาให้เพ่ือนร่วมงาน
มีน้อยและไม่จริงใจ อีกทั้งยังทาให้ผู้คบหาสมาคมด้วยรู้สึกสมเพชเวทนามากกว่าจะรู้สึกประทับใจ
จึงทาให้ทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ยาก และเกิดความหลงระเริง จนอาจลืมตัวกับความสาเร็จ ก่อให้เกิด
ความประมาท ทอ่ี าจนาไปสคู่ วามลม้ เหลวในอนาคตได้

ผู้ท่ีชอบประเมินตัวเองสูง ในลักษณะแบบนี้มักไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอ่ืน
ได้ดี ไม่มีการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ทาให้เกิดความทุกข์ในชีวิต อาจจะเกิดความรู้สึกเหงา
โดดเด่ียว หาเพื่อนที่ดีได้ยาก ฉะนั้นการรู้จักปล่อยวางไม่ประเมินตนเองว่าสูงหรือวิเศษกว่าคนอื่น
จะเป็นวิธีช่วยแกไ้ ขนสิ ัยเชน่ นไ้ี ด้ ซ่ึงจะทาใหก้ ารทางานหรอื ทาธรุ กจิ ร่วมกับผู้อื่นเปน็ ไปอยา่ งราบร่ืน

8. เคารพนบั ถือผ้อู ื่น
หากเรามีการปฏิบัติตนโดยการให้ความเคารพนับถือผู้อื่น ย่อมทาให้คนผู้นั้นรู้สึก

ประทับใจในตัวเราได้ ซึ่งการที่คนเราจะให้ความเคารพในตัวของผู้ใดน้ัน เราจะต้องรู้สึกว่าคนผู้นั้น
มีคุณค่าอย่างแท้จริง เราจึงได้ให้ความเคารพนับถืออย่างบริสุทธิ์ใจ.เพราะบุคคลที่สมควรเคารพ
นบั ถือนน้ั ก็ต้องมกี ารปฏบิ ตั ิตนเป็นแบบอยา่ งทด่ี ีก่อน

นอกจากน้ีการให้ความเคารพนับถือ ยังมคี วามหมายรวมถึงทุกส่ิงทุกอย่าง ไม่ใช่เลือก
นับถือตามอารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่เท่านั้น แต่เราต้องให้ความเคารพกับทุก ๆ ชีวิตด้วย ไม่ว่าจะ

298 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกิจ

เปน็ คนเฒ่าคนแก่ หรอื แมแ้ ตค่ นที่เสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ส่วนในการทาธุรกิจน้ัน ส่ิงที่สาคัญเราต้องให้
ความเคารพนับถือก็คือผู้ร่วมทาธุรกิจด้วยกัน รู้ว่าสิ่งไหนควรทา สิ่งไหนไม่ควรทา เช่น ในการทา
ธุรกิจควรให้ความเคารพนับถือกับผู้ท่ีอาวุโสหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า เพราะท่านจะให้
คาปรึกษาท่ีดีมีประโยชน์ในการทาธุรกิจกับเรา การให้ความเคารพนับถือกับบุคคลในการประกอบ
ธุรกิจ ก็จะส่งผลให้เป็นท่ีรักใคร่ของเพ่ือนร่วมทาธุรกิจ นามาซ่ึงความช่วยเหลือ การให้ความร่วมมือ
ในการทางานที่ดี กอ่ ใหเ้ กิดความสาเร็จในการทางานในท่ีสุด

9. ไมผ่ กู พยาบาท
ในการทาธรุ กิจผทู้ ่ีมนี สิ ยั ผกู ใจเจ็บ อาฆาตแค้น ควรจะลดละนิสัยเหล่าน้ีท้ิงไปเสีย เพราะ

การอาฆาต จะเปน็ การสะสมอารมณร์ ้าย ไม่รู้จักการให้อภัยแม้แต่เรื่องเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม คนที่มี
ลักษณะเช่นนี้จะไม่สามารถสร้างความเป็นมิตรกับผู้อ่ืนได้ หรือถ้าสร้างมิตรได้ก็จะไม่ยาวนาน
เพ่ือนฝูงหลบหน้าและเข็ดขยาดกับความอาฆาตแค้นและผูกใจเจ็บ.นอกจากน้ียังทาให้คนรอบข้าง
ไมอ่ ยากทางานด้วย ส่งผลให้งานไมเ่ ดิน ไม่เสร็จตามเปา้ หมายขององค์กรที่วางไว้ องค์กรก็จะไม่มีการ
พัฒนาไปขา้ งหนา้ ได้

ถ้าบุคคลใดมีความอาฆาตแค้นที่รุนแรงจนต้องฆ่ากันตาย ก็คงต้องโทษถึงขั้นจองจา
หรืออาจถูกประหารชีวิต ความสูญเสียก็จะมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นสูญเสียอิสรภาพสูญเสียอนาคต สูญเสีย
ทรพั ยส์ ินเงินทอง สูญเสยี ตาแหนง่ หนา้ ท่กี ารงาน และอาจสูญเสยี ชวี ิตด้วยกไ็ ด้

10. กลิ่นท่ีไม่พึงประสงค์
บุคคลท่ีมีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ท้ังที่เป็นกล่ินประจาหรือกล่ินแปลกปลอม เช่น

กลิ่นคาวของอาหาร กลิ่นบุหร่ี กลิ่นเหล้า เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ีล้วนเป็นต้นเหตุให้บรรยากาศ
และมติ รภาพเสยี ได้ ในการสร้างมนุษย์สัมพันธท์ างสงั คม ท้งั ภายในและภายนอกองคก์ ร

ดังนั้น ในการทางานจึงจาเป็นที่ต้องขจัดกล่ินท่ีไม่พึงประสงค์ออกไปจากร่างกาย
ของเรา เพราะบางครั้งอาจทาให้คนท่ีอยากอยใู่ กลเ้ รากลบั ออกหา่ งจากเรามากกว่า เราต้องตรวจสอบ
ดูวา่ เรามีกลน่ิ ไมพ่ งึ ประสงคอ์ ะไรบา้ ง แล้วรบี ดาเนนิ การแก้ไขให้ดีข้ึน เม่ือมีกล่ินปากก็ควรหาอะไรมา
ช่วยดูแลระงับกล่ิน ถ้ามีกลิ่นตัวก็หาน้าหอมมาช่วย เพราะปัญหาเหล่าน้ีหากนักธุรกิจละเลย
อาจส่งผลกระทบต่อการทาธุรกิจ เช่น ในการเจรจาต่อรองธุรกิจ หากบุคคลมีกล่ินท่ีไม่พึงประสงค์
อาจทาให้คูเ่ จรจาเกิดความไม่ประทบั ใจ ส่งผลให้เจรจาธุรกจิ ไมเ่ กดิ ผล

11. การแต่งกาย
การแต่งกายเป็นปัจจัยสาคัญอย่างหนึ่งในการดึงดูดใจฝ่ายตรงข้าม โดยใช้เวลา

ไมน่ านและไม่จาเปน็ ตอ้ งพูดจาปราศรยั ใหม้ ากความ ก็สามารถทีจ่ ะทราบได้วา่ เป็นคนประเภทใด
นักธรุ กจิ ควรแต่งกายดว้ ยเสือ้ ผา้ ที่เรียบรอ้ ยสะอาดสะอ้าน เหมาะสมกับเพศและวัย

จะทาให้ดูโดดเด่นได้ มีคนช่ืนชม อยากคบหาด้วยถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งกายด้วยของที่มีย่ีห้อหรือราคา
แพงก็ตาม นอกจากน้กี ารแตง่ กายที่เหมาะสมยังส่งผลต่อธุรกิจและหน้าที่การงานได้อีกด้วย ยกตัวอย่าง
เช่น ผู้ท่ีมีอาชีพขายอาหาร แต่การแต่งกายแลดูสกปรกมอมแมมไม่มีความสะอาดสะอ้าน ก็คงไม่มี

เทคนคิ การสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ทางธรุ กจิ 299

ใครอยากเป็นลูกค้าท่ีจะมาอุดหนุนอาหาร หรือผู้มีอาชีพขับรถแท็กซ่ีถ้าแต่งกายสุภาพเรียบร้อย
หนวดเคราไม่ไว้จนรกรุงรัง จะทาให้หาผู้โดยสารได้ง่ายกว่าคนขับรถแท็กซี่ที่แต่งกายไม่เรียบร้อย
เปน็ ตน้

12. เปน็ สภุ าพบุรษุ
ความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ และสามารถสร้างความประทับใจ ทั้งต่อ

เพศตรงข้ามและเพศเดียวกันได้ไม่ยาก ผู้ชายที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ มักได้รับการช่ืนชมยกย่องจากคน
รอบขา้ งและมคี นเป็นจานวนมากต้องการจะคบหาสมาคมดว้ ย

ลักษณะเด่นของผู้ท่ีมีความเป็นสุภาพบุรุษก็คือ ความสุภาพอ่อนโยน การมีสัมมาคารวะ
การรู้จักให้เกียรติผู้อ่ืน มีความมั่นคงหนักแน่น เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นักธุรกิจสามารถฝึกให้เป็น
นิสัยได้ไม่ยาก เพียงเท่าน้ีก็จะกลายเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ และถ้าหากเข้าไปอยู่ในองค์กร ก็จะมีแต่คนช่ืนชม
เกรงใจ และเคารพนับถือ และสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ร่วมธุรกิจได้ ตลอดจนได้รับเกียรติ
ตอบกลบั มาเชน่ กัน

13. ใฝก่ ารศึกษา
บุคคลท่ีมีการศึกษาสูงมักจะได้รับโอกาสทางอาชีพมาก และมีฐานะทางสังคมดี

ซ่ึงถ้าหากนักธุรกิจมีโอกาสก็ควรจะพัฒนาตนเองให้เป็นคนท่ีมีการศึกษาท่ีดี.ควรศึกษาในส่วน
ทกี่ ่อใหเ้ กิดประโยชนท์ ั้งกบั ตวั เองและธุรกิจ คนรอบข้างและสังคมด้วย หากไม่มีโอกาสท่ีจะศึกษาต่อ
เพราะมีปัญหาเก่ียวกับเศรษฐกิจก็ต้องรู้จักขวนขวายหาโอกาสให้กับตัวเอง ในการทางานนักธุรกิจ
ก็ควรใฝ่ศึกษาหาความรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ มาปรับปรุงแก้ไขธุรกิจหรือพัฒนา
องค์กรของตนเอง เน่ืองจากในปัจจุบันองค์กรธุรกิจ ส่วนมากต้องการบุคลากรท่ีมีความรู้
ความสามารถ เพ่อื มาพัฒนาองค์กรใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าอย่เู หนือคู่แขง่ ขนั

14. มีอารมณ์ขนั
การเป็นผมู้ อี ารมณ์ขนั นอกจากจะทาให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขแล้ว ตัวของเราก็จะได้รับ

ประโยชน์จากอารมณ์ขันน้ีด้วย ในสังคมของการทางาน ถ้าเราเป็นคนอารมณ์ขัน ก็จะทาให้
บรรยากาศในการทางานมีความสุขตามไปด้วย และถ้าหากเป็นผู้นาในองค์กร ก็สามารถทาให้
บุคลากรในองค์กรไม่เครียดจากการทางน โดยใช้อารมณ์ขันกับพนักงาน ก็จะทาให้กลายเป็นคนที่มี
สุขภาพจิตที่ดี ไม่มีความวิตกกังวลจนเกินไป ซ่ึงการเป็นผู้ที่มีอารมณ์ขันไม่จาเป็นต้องเป็นผู้ที่อยู่ใน
วยั เดก็ เทา่ นั้น วัยร่นุ หรอื วยั ผู้ใหญก่ ็สามารถเปน็ ผ้มู ีอารมณข์ นั ได้

โดยเริ่มจากการฝึกยิ้มให้กับคนใกล้ชิดเป็นประจา ลดความเกร็ง ความตึงเครียด
ทาจติ ใจให้สบาย มองโลกในแง่ดี เพียงเท่าน้ีก็จะมีความเป็นเด็กมากขึ้นและพร้อมท่ีจะเปล่ียนแปลงนิสัย
ให้เปน็ คนขเี้ ลน่ และมีอารมณข์ ันมากยิง่ ขึ้นแล้ว

15. ความสามารถพเิ ศษสรา้ งเสนห่ ์
ความสามารถพิเศษเป็นสิ่งมีค่าอย่างหนึ่งในตัวของมนุษย์ เพราะความสามารถพิเศษ

เป็นสิ่งท่ีไม่ได้มีกันทุกคน ดังน้ัน นักธุรกิจท่ีมีความสามารถพิเศษจึงเป็นผู้ท่ีมีเสน่ห์ สร้างความประทับใจ

300 มนุษยสมั พนั ธ์ทางธุรกจิ

ให้แก่ผู้ท่ีพบเห็นได้มากทีเดียว รวมท้ังยังเป็นผู้ที่เหนือกว่าและได้เปรียบกว่าคนอ่ืนๆ เช่น ในการ
เจรจาต่อรองธุรกิจที่มีคู่แข่งขันหากบุคคลมีความสามารถพิเศษในการพูดคุยเจรจาต่อรองก็จะทาให้
ไดเ้ ปรียบคแู่ ขง่ ขนั เปน็ ต้น

ความสามารถของนักธุรกิจจึงถือเป็นเสน่ห์และสร้างความประทับใจท่ีได้รับการ
ยกย่องชมเชย และยอมรับของคนทั่วไป มักเป็นความสามารถพิเศษท่ีสร้างประโยชน์ให้กับบุคคล
รอบข้างได้ ความสามารถพิเศษเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นได้ จะต้องมีความรู้จริงและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
ก็จะทาให้เป็นคนที่มีเสน่ห์ได้.ฉะนั้นนักธุรกิจจึงควรฝึกหรือค้นพบตนเองให้ได้ ว่าเรามีความสามารถ
ทางดา้ นไหนมาก เพอื่ หาโอกาสหรือความกา้ วหนา้ ในการทาธรุ กจิ ของเราได้

16. ยอมรับความเปน็ จรงิ
นักธุรกิจที่รู้จักยอมรับความเป็นจริง ย่อมสามารถพัฒนาชีวิตของตนให้ก้าวหน้า

ต่อไปได้อย่างมั่นคง เพราะชีวิตจริงนั้นแตกต่างกับความฝันอย่างมาก ผู้ท่ียังฝังใจอยู่กับความฝัน
มักไม่อาจยอมรับความเป็นจริงในชีวิตได้ ผู้ท่ียอมรับความเป็นจริงได้ เมื่อได้พบเจอกับปัญหาหรือ
อุปสรรคย่อมฟันฝ่าต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้นได้ และสามารถท่ีจะเตรียมใจรับมือกับ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดข้ึนได้อย่างไม่หว่ันเกรง ด้วยเหตุนี้เองผู้ท่ีรู้จักยอมรับความเป็นจริงจึงเป็น
คนที่นา่ ประทับใจและจะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตการทางาน เนื่องจากบุคคลน้ันรู้จักการยอมรับ
ความจริงแล้วนามาพัฒนาตนเอง จึงส่งผลให้องค์กรธุรกิจที่เขาไปร่วมงานด้วยมีการพัฒนา
และเจริญเติบโตตามไปด้วย

17. การควบคมุ และระงบั อารมณ์
อารมณ์เป็นภาวะอย่างหน่ึงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของมนุษย์ซ่ึงจะส่งผลให้เกิดการ

แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมา เช่น โกรธ ดีใจ เสียใจ ก้าวร้าว เป็นต้น ซึ่งเราสามารถแยกอารมณ์
ของมนุษย์ได้เป็น 2.ชนิด คือ อารมณ์ดี และอารมณ์ไม่ดี ถ้ามนุษย์อารมณ์ดี พฤติกรรมท่ีแสดง
ออกมาจะเป็นไปในทางท่ีดี เช่น ความรัก ความสดช่ืนแจ่มใส ความยินดี เป็นต้น แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี
พฤติกรรมท่แี สดงออกมาจะเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดี เช่น ความโกรธ ความโศกเศร้าเสียใจ ซ่ึงอารมณ์
ชนิดน้ยี งั สง่ ผลเสียตอ่ สุขภาพกายและสุขภาพจติ อกี ด้วย

เม่ือใดก็ตามท่ีนักธุรกิจต้องการจะดึงดูดใจและเอาชนะใจคู่แข่งขันทางธุรกิจ ลูกค้า
เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาให้ได้ นักธุรกิจต้องรู้จักที่จะควบคุมและระงับอารมณ์ให้ได้
วิธที ีจ่ ะช่วยควบคมุ และระงบั อารมณ์มีหลายวิธดี ว้ ยกนั เช่น

17.1 การอาศัยหลักธรรม.โดยใชห้ ลักเมตตา กรุณา ขันติ การนาเอาหลักธรรมมาใช้
จะช่วยให้จิตใจของเราสงบ รู้จักที่จะปล่อยวางไม่วิตกกังวล หรือโศกเศร้าเสียใจจนเกินไป การใช้
หลักธรรมเข้าช่วย นอกจากน้ีต้องมองโลกในแง่ดีและคิดอยู่เสมอว่า เม่ือมีคนรัก ก็ย่อมท่ีจะมีคน
เกลียด ไม่มีใครท่ีจะสามารถทาอะไรให้คนอ่ืนนั้นชอบได้ในทุกเรื่อง เปรียบเสมือนกับเหรียญที่มี
2.ด้าน เม่ือมีดีก็ย่อมที่จะมีไม่ดี โดยให้คิดว่ามันเป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ จะช่วยให้เราเข้าใจถึง


Click to View FlipBook Version