The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศรัณย์ มะกรูดอินทร์. เรียบเรียง
วัดบวรนิเวศวิหารในภาพถ่ายเก่า --
กรุงเทพฯ : วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๖๔
๓๘๔ หน้า.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2021-07-14 23:25:17

วัดบวรนิเวศวิหารในภาพถ่ายเก่า

ศรัณย์ มะกรูดอินทร์. เรียบเรียง
วัดบวรนิเวศวิหารในภาพถ่ายเก่า --
กรุงเทพฯ : วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๖๔
๓๘๔ หน้า.

Keywords: วัดบวรนิเวศวิหาร,ภาพถ่าย,ภาพถ่ายเก่า,ประวัติศาสตร์

ทร่ี ะลึกเนือ่ งในงานพระราชทานเพลิงศพ

พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์

(บุญยนต์ ปญุ ฺ าคโม)

ผูช้ ่วยเจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวิหาร
ณ เมรุหลวงหนา้ พลับพลาอศิ ริยาภรณ์ วัดเทพศริ นิ ทราวาส

พทุ ธศักราช ๒๕๖๔

วัดบวรนิเวศวิหารในภาพถายเกา

พมิ พ์ครง้ั แรก เมษายน ๒๕๖๔ – กรุงเทพฯ จ�ำ นวน ๒,๐๐๐ เล่ม

จัดท�ำ โดย วัดบวรนิเวศวหิ าร

พมิ พ์ทร่ี ะลกึ เนอ่ื งในงานพระราชทานเพลงิ ศพพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บญุ ยนต์ ปุญฺาคโม)
ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอศิ ริยาภรณ์ วดั เทพศิรนิ ทราวาส พทุ ธศักราช ๒๕๖๔

ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของส�ำ นกั หอสมุดแห่งชาติ
ศรณั ย์ มะกรูดอินทร์. เรยี บเรียง
วดั บวรนิเวศวิหารในภาพถ่ายเกา่ --
กรงุ เทพฯ : วดั บวรนิเวศวิหาร, ๒๕๖๔
๓๘๔ หนา้ .
๑. วดั บวรนิเวศวิหาร--ภาพถา่ ย.  I. ชอื่ เร่ือง.

294.3135
ISBN : 978-616-582-112-4

ขอขอบพระคุณ ขอบคณุ ท่อี นุเคราะห์ด้านข้อมลู เอ้ือเฟือ้ ภาพ ตลอดจนอำ�นวยความสะดวกตา่ ง ๆ จนการจัดท�ำ
หนงั สอื เลม่ นี้ลุล่วงด้วยดี ประสานงานกองบรรณาธกิ าร : พระศิวากร อภปิ ุญโฺ  ศิลปกรรม : วชั รินทร์ อำ�ภาพันธ,์
ชุณหศ์ ิริ ไชยเอยี ภาพถา่ ยประกอบ : วดั บวรนิเวศวหิ าร พระมหาปกรณ์ กติ ตฺ ธิ โร วัดชนะสงคราม, พระมหาวโรตม์
ธมมฺ วโร, หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศิลปากร, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร, มลู นธิ มิ หามกฏุ ราชวิทยาลยั
ในพระบรมราชปู ถมั ภ์, หอสมดุ แหง่ ชาติ ฝรง่ั เศส (Bibliothèque nationale de France), นติ ยสารไลฟ์ (Life Magazine),
ชลทัต สุขสำ�ราญ

พมิ พท์ ี่
บรษิ ัท พิมพด์ ี จำ�กดั
๓๐/๒ หมู่ ๑ ถนนเจษฎาวถิ ี ตำ�บลโคกขาม อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รสาคร
โทรศพั ท์ ๐๒-๔๐๑-๙๔๐๑

ทร่ี ะลึกเนือ่ งในงานพระราชทานเพลิงศพ

พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์

(บุญยนต์ ปญุ ฺ าคโม)

ผูช้ ่วยเจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวิหาร
ณ เมรุหลวงหนา้ พลับพลาอศิ ริยาภรณ์ วัดเทพศริ นิ ทราวาส

พทุ ธศักราช ๒๕๖๔









ค�ำ ปรารภ

สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรด
พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์
(บญุ ยนต์ ปุญฺาคโม) ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอศิ ริยาภรณ์
วัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร พุทธศักราช ๒๕๖๔ นับเป็น
พระมหากรณุ าธคิ ณุ เป็นลน้ พน้ หาทส่ี ดุ มิได้
เพ่ือเป็นอนุสรณีย์แห่งการพระราชทานเพลิงศพ และเพ่ือเป็นธรรมบรรณาการแก่
ผมู้ ารว่ มในการพระราชทานเพลงิ ศพพระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ คณะสงฆว์ ดั บวรนเิ วศวหิ ารและคณะ
ศษิ ยานศุ ษิ ย์ ไดร้ ว่ มกนั จดั พมิ พห์ นงั สอื วดั บวรนเิ วศวหิ ารในภาพถา่ ยเกา่ ซง่ึ เปน็ การน�ำ ภาพถา่ ยเกา่
เกี่ยวเน่ืองกับวัดบวรนิเวศวิหาร ท่ีปรากฏกระจัดกระจายอยู่ในหลายแหล่ง มาเรียบเรียงตาม
ลำ�ดับยคุ สมยั ของแตล่ ะเจา้ อาวาส นับเป็นการรวบรวมแหล่งข้อมลู ปฐมภูมดิ ้านประวัติศาสตร์ของ
วัดบวรนิเวศวหิ าร นับว่าเป็นหนังสอื เชิงประวัตศิ าสตร์ของประเทศไทย พระบรมวงศานุวงศ์ และ
วดั บวรนิเวศวหิ าร

ขออนุโมทนาขอบใจ ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ ผู้เรียบเรียง และทุกท่านท่ีมีส่วนช่วย
ในการจัดทำ�หนังสือ วัดบวรนิเวศวิหารในภาพถ่ายเก่า น้ีจนเกิดความสำ�เร็จ ทั้งน้ีนับเป็นเครื่อง
บชู าพระคณุ แดพ่ ระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ผมู้ คี ณุ ปู การแกว่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร
คณะสงฆ์ และศิษยานศุ ษิ ย์
บญุ กศุ ลใด ๆ ทพ่ี ระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ไดบ้ �ำ เพญ็ มาแลว้ ดว้ ยการบรรพชาอปุ สมบทกด็ ี
ด้วยการเล่าเรียนและบอกสอนธรรมวินัยอันเป็นแก่นสารก็ดี ด้วยการฟังและแสดงธรรม อันเป็น
อปุ การะแกส่ มั มาปฏบิ ตั กิ ด็ ี ดว้ ยส�ำ รวมในพระปาฏโิ มกขอ์ นั เปน็ มลู แหง่ พรหมจรรยก์ ด็ ี ดว้ ยมนสกิ าร
ในกรรมฐานอนั เป็นอบุ ายสงบจิตเหน็ แจ้งสัจจธรรมกด็ ี ด้วยกุศลวิธานอ่นื ๆ อีกก็ดี ด้วยอานภุ าพ
แหง่ บุญกุศลน้นั ๆ กับท้งั บุญทกั ษณิ านปุ ทานของศิษยานุศษิ ย์ท้ังปวง ขอจงสมั ฤทธ์ิสรรพอฏิ ฐวบิ ลุ
มนญุ ผล แดพ่ ระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ตามควรแกค่ ตภิ พนน้ั ๆ ทกุ ประการ
เทอญ

สมเดจ็ พระวันรัต

ผ้ปู ฏิบตั หิ น้าที่แทนเจา้ คณะใหญ่คณะธรรมยุต
กรรมการมหาเถรสมาคม
เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร

พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ : พระผู้รัตตัญญู

พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญฺาคโม) เป็นพระเถระรัตตัญญูรูปหน่ึงของ
วัดบวรนิเวศวิหาร เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีท่ี ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ที่บ้านหนองไฮ
ต�ำ บลพระลบั อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ ไดเ้ ขา้ มาอยใู่ นส�ำ นกั วดั บวรนเิ วศวหิ ารตามค�ำ ชกั ชวนของ
พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺททีโป) คร้ังยังเป็นพระเปรียญ โดยเข้ามาเป็นศิษย์วัดเม่ือปี
พุทธศักราช ๒๔๘๒ และตอ่ มาไดบ้ รรพชาเปน็ สามเณร โดยมสี มเดจ็ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวง
วชริ ญาณวงศ์ (เมอื่ ครงั้ ด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ ่ี สมเดจ็ พระวชริ ญาณวงศ)์ เปน็ พระอปุ ชั ฌายะ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๔
เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ และอปุ สมบท ณ พทั ธสมี าวดั บวรนเิ วศวหิ าร เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ กรกฏาคม
พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๖ เวลา ๑๕.๓๕ น. โดยมสี มเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ (เมอ่ื ครง้ั
ด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ ี่ สมเดจ็ พระวชริ ญาณวงศ)์ เปน็ พระอปุ ชั ฌายะ พระเทพญาณวศิ ษิ ฏ์ (เตมิ โกสลโฺ ล :
เมอื่ ครง้ั ยงั เปน็ พระมหาเปรยี ญ) เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระญาณวโรดม (สนธิ์ กจิ จฺ กาโร : เมอ่ื ครง้ั
ดำ�รงสมณศักด์ิท่ี พระครูพทุ ธมนตป์ รชี า) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ตลอดเวลานบั แต่เป็นศิษยว์ ัด
และบวชเป็นพระภกิ ษนุ ้นั พระธรรมมงคลวฒุ าจารยพ์ ำ�นักอยูท่ ่กี ฏุ ลิ ออ คณะกุฏิมาโดยตลอด
พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ได้ปฏิบัติกรณียะต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่วัดบวรนิเวศวิหาร
มาตง้ั แตย่ งั เปน็ พระเถระชน้ั ผนู้ อ้ ยดว้ ยความวริ ยิ ะอตุ สาหะ กลา่ วคอื ในดา้ นการปกครอง ไดเ้ รม่ิ ตน้
แบง่ เบาภาระในวดั โดยเปน็ เจา้ หนา้ ทเี่ ขตพทุ ธาวาส นายทะเบยี นวดั ทงั้ ในสว่ นของพระภกิ ษสุ ามเณร
และศิษย์วัด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช
เลขานุการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต รูปที่ ๑ ประธานกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร และเป็น
พระอุปัชฌาย์ ในด้านการศึกษา ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูสอนศีลธรรม ประจำ�ศาสนศึกษา
วดั บวรนเิ วศวหิ าร ครสู อนพระปรยิ ตั ธิ รรม ประจ�ำ ศาสนศกึ ษาวดั สมศรี บา้ นพระคอื ต�ำ บลพระลบั
อำ�เภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กรรมการสนามหลวงแผนกธรรม และกรรมการซ้อมสวดมนต์
ในส�ำ นักวัดบวรนเิ วศวิหาร

นอกจากนี้ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ยังได้ถวายการอุปัฏฐากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
สองพระองค์จนกระท่ังสิ้นพระชนม์ คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และ
สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวงวชริ ญาณสังวร
พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บญุ ยนต์ ปุญฺ าคโม) ได้ถึงแกม่ รณภาพ เม่อื วนั พฤหัสบดีที่
๒๒ ตุลาคม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๔๐ น. ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
กรงุ เทพมหานคร สริ ิอายุ ๙๗ พรรษา ๗๗
วันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ได้เชิญศพพระธรรมมงคลวุฒาจารย์
มาบ�ำ เพ็ญกุศล ณ ห้องประชุมชนั้ ที่ ๑ อาคาร ๙๖ ปีฯ วัดบวรนเิ วศวิหาร
เมอ่ื ความทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท สมเดจ็ บรมบพติ ร พระราชสมภารเจา้ ผทู้ รงพระคณุ
อนั ประเสรฐิ วา่ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ไดถ้ งึ แกม่ รณภาพ ไดพ้ ระราชทาน
น�ำ้ หลวงสรงศพ พรอ้ มดว้ ยเครอื่ งเกยี รตยิ ศประกอบศพ อาทิ พระราชทานโกศโถ พรอ้ มฉตั รเบญจา
ต้ังประดับเกียรติยศ มีปี่กลองชนะประโคมเวลารับพระราชทานน้ำ�หลวงสรงศพ ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้เชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ มา
วางท่ีหน้าโกศศพ ตลอดจนทรงพระกรุณาโปรดบำ�เพ็ญพระราชกุศล ๗ วัน ๕๐ วัน และ
๑๐๐ วัน ณ หอ้ งประชุมชัน้ ที่ ๑ อาคาร ๙๖ ปีฯ วดั บวรนิเวศวหิ าร ทั้งทรงพระกรณุ าโปรด
พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์
(บุญยนต์ ปุญฺาคโม) ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร พุทธศักราช ๒๕๖๔ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ
เปน็ ลน้ พน้ อย่างหาทสี่ ดุ มิได้



อารมั ภบท

วดั บวรนเิ วศวหิ าร นบั แตแ่ รกสถาปนาโดยสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ กรมพระราชวงั
บวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๓ นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาให้พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือคร้ังยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ดำ�รงพระราชอิสริยยศท่ี สมเด็จ
พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์ เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหาร ก่อนเสด็จเถลิงถวัลย
ราชสมบัติเป็นพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๔ นอกจากนั้น พระอารามแห่งนเ้ี คยเป็นที่ประทบั
ของสมเดจ็ พระสงั ฆราชถงึ ๔ พระองค์ ทง้ั ยงั เปน็ วดั ประจ�ำ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
รัชกาลท่ี ๖ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
รัชกาลที่ ๙ จึงเป็นปัจจัยให้พระอารามแห่งนม้ี คี วามส�ำ คัญและเก่ียวเนอื่ งกบั ประวตั ิศาสตรข์ องชาตไิ ทย
เสมอมานับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน จึงเป็นปัจจัยให้พระอารามแห่งนี้ได้รับการบันทึกในหลักฐานทาง
ประวตั ศิ าสตรป์ ระเภทตา่ ง ๆ อาทิ พระราชพงศาวดาร หมายรบั สงั่ จดหมายเหตรุ ชั กาล ราชกจิ จานเุ บกษา
พระราชกจิ รายวัน พระบรมราชโองการ พระราชหัตถเลขา ลายพระหัตถ์ บนั ทึกความทรงจำ� บนั ทึก
ของชาวตา่ งประเทศ รวมไปจนถึงหลักฐานประเภทภาพถ่ายเกา่ ที่มอี ย่เู ป็นจำ�นวนมาก
หนงั สอื “วดั บวรนเิ วศวิหารในภาพถา่ ยเก่า” เล่มน้ี มีวัตถุประสงค์สำ�คญั ในการน�ำ ภาพถา่ ยเก่า
ทีม่ คี วามสัมพันธก์ ับวัดบวรนิเวศวหิ าร มาถอดความตามล�ำ ดับเวลาของเจา้ อาวาสแต่ละยคุ ตั้งแตส่ มัย
ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ทรงครองวดั จนถึงสมัยสมเดจ็ พระวนั รตั เจ้าอาวาสรูปปัจจบุ ัน
พรอ้ มน�ำ หลกั ฐานประเภทลายลกั ษณอ์ กั ษรทเี่ ลา่ เรอื่ งราวโดยบคุ คลในอดตี มาอธบิ ายขยายความภาพถา่ ย
เกา่ เหล่านั้น เพื่อลดการตีความจากอคตทิ ีอ่ าจเกดิ ขึ้นได้จากโลกทศั น์ของผู้คนในยคุ ปัจจุบัน
ดงั นนั้ เนอ้ื หาสว่ นใหญข่ องหนงั สอื เลม่ น้ี จงึ คดั มาจากเอกสารโบราณ โดยมกี ารปรวิ รรตการสะกด
อกั ษร ตลอดจนอกั ขรวธิ ตี ามขนบปัจจบุ นั ซ่งึ เน้อื ความท่ีคดั มาจากเอกสารโบราณนี้ จกั กำ�หนดใช้อกั ษร
เป็นสีดำ� พร้อมแสดงรายละเอียดของเอกสารอ้างอิงกำ�กับไว้เสมอ ส่วนข้อความอธิบายขยายความน้ัน
จักใชเ้ ปน็ อักษรน�้ำ ตาล เพอ่ื เสริมความเข้าใจในเรือ่ งราวใหส้ มบูรณ์ข้นึ
นอกจากนน้ั ในสว่ นของพระบรมราชอสิ รยิ ยศ พระราชอสิ รยิ ยศ พระอสิ รยิ ยศ พระยศ บรรดาศกั ด์ิ
ตลอดจนสมณศกั ดทิ์ ี่ปรากฏในหนงั สือเลม่ น้ี จักใชย้ ศถาบรรดาศกั ด์ติ ามชว่ งเวลาทเ่ี กิดขน้ึ ของเหตกุ ารณ์
นน้ั ๆ แล้วอาจมกี ารขยายความโดยใสน่ ขลิขิต หรือเครอ่ื งหมายวงเลบ็ ยศถาบรรดาศักด์สิ ดุ ทา้ ย เพือ่ ให้
หนงั สอื เลม่ นี้สะท้อนเรื่องราวในอดีตได้ถูกต้องตามข้อเทจ็ จรงิ ใหม้ ากทีส่ ุด
คณะผจู้ ดั ท�ำ หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื “วดั บวรนเิ วศวหิ ารในภาพถา่ ยเกา่ ” เลม่ น้ี จกั เปน็ หติ านหุ ติ
ประโยชนแ์ กผ่ ้ศู กึ ษาได้ตามสมควร

คณะผู้จดั ทำ�

M

สารบญั

๐๑วชิรญาณสมยั

๔๑ปญั ญาอัคคสมยั มนุสสนาคสมัย ๑๒๓

สุจติ ตสมัย ๒๒๓ สวุ จสมัย ๒๗๕
สวุ ัฑฒนสมัย ๒๙๗ พรหมคุตตสมยั ๓๔๓

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว

พระราชสมภพ วนั ๕ ๑ฯ๔  ๑๑ ปชี วดฉศก ๑๑๖๖
(วันท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๔๗)
ทรงอปุ สมบท วนั ๔ ๑ฯ๒  ๘ ปีวอกฉศก ๑๑๘๖
(วนั ท่ี ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗)

ทรงทำ�ทัฬหกิ รรม ปรี ะกาสปั ตศก ๑๑๘๗
(พ.ศ.๒๓๖๘)

พระสมณฉายา วชิรญาณ
ครองวดั วนั ๔  ๕ฯ  ๒ ปวี อกอฐั ศก ๑๑๙๘
(วันท่ี ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๓๗๙)
ลาสกิ ขา วนั ๑  ๕ฯ  ๕ ปีกนุ ตรศี ก ๑๒๑๓
(วนั ที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔)

วชริ ญาณสมยั

1

ศาลาการเปรียญวดั สมอราย (วดั ราชาธวิ าส) หลังเดมิ
(ท่มี า หอจดหมายเหตุแห่งชาต)ิ

2

ทลู กระหมอ มพระ

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ครง้ั แรกทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษนุ บั แตพ่ รรษกาลแรกนน้ั
ทรงพบเห็นความคลาดเคล่ือนไปทางปฏิปทาตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา จึงทรงพยายามค้นหา
แนวทางอนั เปน็ ตน้ ก�ำ เนดิ แหง่ คณะธรรมยตุ กิ นกิ ายสบื มา ดงั ปรากฏความในพระนพิ นธเ์ รอ่ื ง “ประดษิ ฐาน
พระสงฆค์ ณะธรรมยตุ กิ นกิ าย” ของ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ ความวา่

ขตั ิยภกิ ขุ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ อนั มหาชนออกพระนามวา่ ทูลกระหมอ่ ม พระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชการเรียกว่า ทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ น้ันทรงพระอุปสมบทในที่ประชุมพระมหาเถรานุเถร
ณ พระอโุ บสถมหามณรี ตั นปฏมิ ากรแกว้ มรกต โดยสมเดจ็ พระสงั ฆราช (ดอ่ น) เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ เสดจ็
ประทบั กระท�ำ อปุ ธั าวตั รอ์ ยู่ ณ วดั มหาธาตถุ ว้ นไตรวาร (๓ วนั ) จงึ เสดจ็ ไปทรงจ�ำ พรรษา ณ วดั สมอราย
(วดั ราชาธวิ าส) เพอ่ื ทรงศกึ ษาสมถะวปิ สั สนาเผอญิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั บรมชนกนาถเจา้
สวรรคต เมอื่ ทรงบ�ำ เพญ็ กรรมะฐานภาวนาไดเ้ พยี งทวาทศวาร (๑๒ วนั ) พระองคท์ รงเจรญิ สมณะธรรม
ตามโบราณจารีตปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สุดแต่พระนิสสยาจารยเจ้าถวายอนุศาสน์มาตลอดพรรษกาล
จนทรงตระหนักในพระญาณว่า สมถะวิปัสสนาลัทธิท่ีโอวาทถวายนั้น เป็นอุปเท่ห์เหลวไหล ใช่มรรคะ
ปฏปิ ทาแห่งพุทธศาสนาหาคณุ ประโยชน์ได้ยาก ท้ังทางวิชาและทางทุกขนโิ รธนัยละลว้ นงมอยู่ในวงโมหา
วิหารเย่ยี งอิสีปฏบิ ัติ หรืออปุ เทห่ ์เกจยิ าจารย์อาจณิ กปั ปกิ าประสาเขลา เจือด้วยศีลพัตรปรามาศเป็นพนื้
ย่ิงทรงซักถามพระอาจารย์ก็ยิ่งขยายประรำ�ปโรวาทอันไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเล่ือมใส เสมือนเพิ่มพระสังเวช
หมน่ หมองพระราชศรทั ธา ท้อพระหฤทัยทจ่ี ะทรงประพฤติตามหนักขึ้นทกุ ที
จึงหวลเสด็จกลับมาประทับ ณ วัดมหาธาตุกับสมเด็จพระสังฆราช หวังทรงศึกษาวินัยปฏิบัติ
แลเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมใหต้ ลอด กย็ งิ่ ทรงสลดพระราชหฤทยั ทวขี นึ้ ดว้ ยซ�ำ้ ทรงตระหนกั ชดั วา่ วตั ระปฏบิ ตั ิ

3

พระเจดยี ว์ ัดสมอราย (วดั ราชาธิวาส) องคเ์ ดิม
(ทีม่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)

4

ของพระสงฆ์หาเป็นไปตามพุทธวินัยบัญญัติไม่ ปฏิบัติกันเหลวแหลกตามใจ หรือตามอุปัชฌาย์จารย์
สอนอย่างเลอะเทอะเปน็ เอนกประการแทบทกุ อย่างไป คงแตท่ รงกาสาวพสั ตร์ ปลงผม เวน้ วิกาลโภชน์
แลเมถนุ กรรมเปน็ หลกั เปน็ ตน้ วา่ หา้ มมใิ หภ้ กิ ษรุ บั แลมเี งนิ ทอง กร็ บั แลสะสมเงนิ ทองสว่ นตวั ไวส้ ดุ แตจ่ ะหาได้
ไม่ผิดคฤหัสถชน การประพฤติผิดสิกขาบท แม้ครุกาบัติต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นโทษได้ แม้ล่วงลหุกาบัติ
ที่ปลงอาบัติได้ ก็โดยต้องบอกลุแก่โทษข้อผิดทุกวัตถุไปต่อสหธรรมิกปฏิญญาจะสำ�รวมระวังต่อไปจึง
จะพ้นโทษน้ัน ก็ใช้เสกมนต์ภาษาบาลีที่ไม่เข้าใจ เรียกว่า คำ�ปลงอาบัติ ยำ�กันทั้งครุกาบัติแลลหุกาบัติ
เอาเป็นแล้ว การวิกัปป์อธิฐานก็ไม่รู้แลไม่ใช้ การถือสหสัยร่วมอนุปปสมบันก็ไม่รู้แลไม่ปฏิบัติ แม้แต่
เสขิยาวัตร์ก็ไม่สำ�เหนียกเสียเลย ข้อสิกขาบทแม้ปรากฏในปาฏิโมกขสังวรศีลก็ไม่ช่ัวแต่ละเลยไม่ปฏิบัติ
ทุกข้อ ซ้ำ�ไม่รู้เสียด้วยซ้ำ�ไป อุโบสถก็ไม่ใครลงตามปักษ์ นอกจากยามเข้าพรรษาจึงลงบ้าง เม่ือวินัย
ปฏิบตั ซิ ำ้�มาลามกปรากฏตอ่ ญาณฉะนั้น แม้ในหมูพ่ ระราชาคณะผ้ใู หญ่ ๆ ก็ย่ิงสลดพระหฤทัยสงั เวช
พระบวรพุทธศาสนาอนั เสื่อมโทรมมาเสียแสนสาหัสแตค่ รง้ั กรงุ ศรอี ยุธยาแลว้ นั้นท่วมพระสำ�นึก จนทรง
รสู้ กึ ขยะแขยงรงั เกยี จสมณเพศเหมอื นหลอกลวงพระองคเ์ อง ลวงโลกอยา่ งนา่ ละอาย แลสยดสยองยงิ่ นกั
ณ ทิวัสกาลวันหนึ่ง ทลู กระหมอ่ มพระเสดจ็ ประทับในพระอโุ บสถวัดมหาธาตุ ทรงจดุ ธปู เทียน
วางดอกไม้ถวายนมัสการพระพุทธปฏิมากร แล้วทรงตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า ถ้าพระพุทธศาสนวงศ์ยัง
ด�ำ รงอยใู่ นโลกขอใหท้ รงประสพพระเถรเจา้ ผธู้ รรมกถกึ และวนิ ยั ธรทป่ี ฏบิ ตั ติ ามพทุ ธวนิ ยั จรงิ จงั ในสามวนั
ถา้ มฉิ ะนนั้ จะเขา้ พระหฤทยั วา่ โลกนสี้ นิ้ พระศราพกพทุ โธรสเสยี แลว้ สดุ จะทรงพรตโดยลามกะเพศอยตู่ อ่ ไป
ไดไ้ หว ในวนั ทเ่ี คารพสาม เผอิญมพี ระมหาเถรรามญั รปู หนึ่ง เป็นวนิ ัยธรแลรอบรู้ในธรรมานุธรรมปฏบิ ัติ
ประพฤติสมสัมมาปฏิปทามาใฝ่เฝ้าถวายวินยธิบายถูกต้องตามวินัยปกรณ์ ทั้งแถลงธรรมถูกต้องตาม
อรยิ มรรคปฏปิ ทา แมท้ รงไลเ่ ลยี งกท็ ลู ถวายวสิ ชั นาไดต้ ลอดปลอดโปรง่ ทรงเลอื่ มใสในพระผเู้ ปน็ เจา้ รปู นน้ั
จึงทรงรบั อปุ สัมปทาทัฬหกิ รรม ถือเป็นพระอุปัธยาจารย์ ทรงปฏบิ ัติตามอยา่ งเครง่ ครดั สืบมาในมิชา้ ก็มี
สหธรรมกิ ร่วมศรัทธา ขอญัติอุปสมบททฬั หิกรรมด้วย ทง้ั ปฏิบตั ิตามวินัยานโุ ลมเยี่ยมพระจรยิ านุวตั รทูล
กระหมอ่ มฟ้าพระกว่า ๑๐ รูป

เอกสารอา้ งองิ

พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธปิ ประพนั ธ์พงศ์. “ประดิษฐานพระสงฆ์คณะธรรมยตุ ิกนิกาย.” ใน ประดษิ ฐานพระสงฆค์ ณะธรรมยตุ ิกนกิ าย
และนิยายเรื่อง ตามอ่ งล่าย. พมิ พ์ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ หม่อมเจ้าสทิ ธยากร วรวรรณ ทช. ทม. ณ เมรุวัดธาตุทอง วันที่ ๔ ตลุ าคม
๒๕๐๘. ธนบรุ ี : สหประชาพาณิชย,์ ๒๕๐๘. หน้า ๒๑-๒๔.

5

พระพุทธชนิ สีห์ พระประธานภายในพระอโุ บสถวดั บวรนิเวศวหิ าร
ภาพนี้ถา่ ยในปี พ.ศ.๒๔๐๐

6

พธิ ีอัญเชิญพระพทุ ธชนิ สีห

จากความทรงจำ�ของเฮนรี เบอรนีย
ราชทูตอังกฤษ

นบั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงผนวช ประทบั อยวู่ ดั สมอราย (วดั ราชาธวิ าส)
อยู่น้ัน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๓ ได้
ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้นทางตอนเหนือของเกาะรัตนโกสินทร์ ครั้งนั้นได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปส�ำ คัญคือ
พระสุวรรณเขต จากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี มาประดิษฐานไว้เป็นพระพุทธรูปประธานภายใน
พระอุโบสถมุขฝั่งทิศเหนือ และพระพุทธชินสีห์ จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก มา
ประดษิ ฐานไวเ้ ปน็ พระพทุ ธรปู ภายในพระอโุ บสถมขุ ฝงั่ ทศิ ใต้ กอ่ นทจี่ ะอญั เชญิ มาไวด้ า้ นหนา้ พระสวุ รรณเขต
ในคราวทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เสดจ็ มาครองวัดแห่งน้ี
พระพุทธชินสีห์น้ีเป็นพระพุทธรูปท่ีมีความสำ�คัญเป็นอย่างมาก ดังปรากฏรายละเอียดใน
พระนพิ นธ์ “ต�ำ นานวัดบวรนิเวศวหิ าร” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ท่ีวา่

“...ไดอ้ ัญเชญิ พระพทุ ธชินสีห์จากพระวิหารวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุเมืองพิษณโุ ลกมาประดษิ ฐาน
ไวใ้ นมขุ หลัง ๚
ตามพระนพิ นธล์ ลิ ติ พงศาวดารเหนอื ของสมเดจ็ พระมหาสมณะพระองคน์ น้ั (สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) เชิญลงแพมาท้ังพระองค์เม่ือหน้าน้ำ� ปีฉลู เอกศก จ.ศ.๑๑๙๑ คือ
พ.ศ.๒๓๗๒ จอดสมโภชทหี่ นา้ พระต�ำ หนกั น�้ำ พระราชวงั บวรฯ ๓ วนั แลว้ เชญิ ขน้ึ บกชกั มาวดั น้ี กอ่ มขุ หลงั แลว้
เชิญเขา้ ประดิษฐานไวใ้ นนน้ั ๚
สว่ นจดหมายเหตปุ มู ในปมู ฉบบั นน้ั (จดหมายเหตโุ หร ฉบบั พระยาประมลู ธนรกั ษ)์ วา่ เชญิ มาถงึ
เมือ่ วันพุธ เดอื นย่ี แรม ๒ คำ่� ปเี ถาะ ตรีศก จ.ศ.๑๑๙๓ แตเ่ ดอื นยี่ แรม ๒ คำ่� ปนี ัน้ เป็นวันพฤหัสบดี
หาใช่วันพุธไม่ ท้ังเป็นเวลาที่สมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์น้ันทรงพระประชวรแล้วในระยะนั้น วันพุธ

7

เดือนยี่ แรม ๒ ค�่ำ เฉพาะมีในปีชวด สมั ฤทธิศก จ.ศ.๑๑๙๐ พลาดกันถึง ๓ ปี ดูไม่นา่ ฟังไดเ้ ลย...”

หากแต่ในบันทึกของเฮนรี เบอร์นีย์ ราชทูตอังกฤษ ท่ีเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับ
กรงุ สยามในครง้ั นน้ั ไดร้ บั เชญิ ใหเ้ ขา้ รว่ มพธิ สี �ำ คญั ในครง้ั นนั้ ทง้ั ยงั ระบใุ นเวลานน้ั สมเดจ็ พระบวรราชเจา้
มหาศักดิพลเสพยังทรงแขง็ แรง และเสด็จรว่ มพธิ ีสมโภชพระพทุ ธชนิ สีห์นี้กบั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้
เจ้าอยหู่ ัว ดงั ความตอนหนึง่ ใน เอกสารเฮนรี เบอรน์ ยี ์ เล่ม ๑ ทีว่ า่

“...ในวนั ท่ี ๒๖ พระคลงั (พระยาสรุ ยิ วงศโ์ กษา (ดศิ บนุ นาค)) รบั พระราชโองการใหเ้ ชญิ คณะเรา
(คณะของเฮนรี เบอรน์ ยี ์ ราชทตู องั กฤษ) ไปรว่ มในพธิ อี ญั เชญิ พระพทุ ธรปู ซง่ึ เกา่ แกท่ ส่ี ดุ ในราชอาณาจกั ร
ซึ่งทางราชสำ�นักจะต้องข้ึนไปสักการะเป็นประจำ�ทุกปีที่พิษณุโลก การอัญเชิญกระทำ�โดยล่องลงมาทาง
แม่น้ำ�เจ้าพระยา และนำ�มาประดิษฐานไว้ท่ีวัดแห่งหน่ึงท่ีกรุงเทพฯ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวจะได้ไม่ต้องเสด็จ
ขน้ึ ไปทำ�การสกั การะทกุ ๆ ปี
เชา้ วนั ที่ ๒๗ มเี รอื ใหญ่ ๒ ล�ำ มารบั เราและแลน่ ขนึ้ ไปอกี ๑๕-๑๖ ไมล์ จนถงึ สถานท่ี ๆ แพอญั เชญิ
พระพทุ ธรปู จอดรออยู่ เราไดไ้ ปถงึ สกั ครหู่ นง่ึ พระเจา้ อยหู่ วั พรอ้ มดว้ ยวงั หนา้ กบั ผตู้ ดิ ตามในเรอื อกี หลาย
รอ้ ยล�ำ เปน็ พวกขา้ ราชบรพิ ารทสี่ �ำ คญั ๆ กบั คณะทหาร มวี งมโหรบี รรเลงอยดู่ ว้ ย ขบวนเรอื ผา่ นคณะเราไป
เรือของเราจะจอดอยู่กับขบวนเรืออื่น ๆ ห่างจากขบวนเรือหลวงออกไปมากและอยู่คนละฝ่ังของแม่น้ำ�
ในวนั นีร้ ู้สกึ วา่ ประชาชนทั้งกรุงเทพฯ พากนั ออกมาร่วมในพธิ ี และเรือแพน้อยใหญ่แบบต่าง ๆ ทุกแบบ
ลอยกนั แนน่ แมน่ �ำ้ ไปหมด มตี งั้ แตเ่ รอื ขนาด ๑๒๐ ฟตุ บรรจคุ นได้ ๖๐ ถงึ ๗๐ คน จนถงึ ขนาดเลก็ บรรจุ
คนไดค้ นเดยี ว เมอื่ ขบวนเรอื เดนิ ทางกลบั กรงุ เทพฯ กม็ ขี า่ วเขา้ มาแจง้ ใหข้ า้ พเจา้ ทราบวา่ พระเจา้ อยหู่ วั มี
พระราชประสงค์ให้เรือของข้าพเจ้าเข้าไปช่วยเรือหลวงและเรือราชสำ�นักอัญเชิญพระพุทธรูปล่องลำ�น้ำ�
ลงมา ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่าข้าพเจ้ายินดีจะแสดงความเคารพคารวะต่อพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ แต่
ขา้ พเจา้ ไมอ่ าจแสดงความเคารพสกั การะตอ่ พระพทุ ธรปู ทขี่ า้ พเจา้ ไดห้ าไดม้ คี วามศรทั ธาไม่ แตก่ ม็ รี บั สง่ั อกี
วา่ ใหเ้ รอื เราแล่นเขา้ ไปใกล้ ๆ เรอื เราตอ้ งแลน่ ผา่ นไปถงึ ๒ คร้ัง จงึ หาพระองค์พบ ในทส่ี ุดขา้ พเจา้ ก็เห็น
พระองคอ์ ยกู่ บั วงั หนา้ ฉลองพระองคแ์ บบธรรมดา คอื มผี า้ พนั รอบพระวรกายเพยี งชน้ั เดยี ว และกม้ กราบ
อยู่ที่พระบาทของพระพุทธรูปน้ัน เรือหลวงของพระเจ้าอยู่หัวจอดอยู่ด้านหนึ่งของแพ เรือวังหน้าจอด
อีกด้านหน่ึง เรือทั้งสองลำ�ตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม เรือที่ชักลากมีอยู่ ๓๐ ถึง ๔๐ ลำ�
ตกแต่งด้วยม่านสีแดง มีทหารและวงมโหรีบรรเลงอยู่ด้านหลังของเรือ บนท้องน้ำ�น้ันเต็มไปด้วยเรือ
ข้าราชบรพิ ารและผู้สนใจคอยชมดูอย่อู ย่างหาระเบียบมไิ ด้...

เอกสารอ้างองิ

เอกสารเฮนรี เบอรน์ ีย์ เลม่ ๑. แปลโดย ชัยวนั พรประสทิ ธ์.ิ กรงุ เทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.

8

พระยาสรุ ิยวงศโ์ กษา (ดศิ บุนนาค)
ภายหลังมบี รรดาศกั ดิ์ท่ี

สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศ์

เฮนรี เบอร์นี
ราชทตู องั กฤษ

9

พระที่น่งั ทรงธรรม รมิ กำ�แพงวัดบวรนิเวศวหิ าร ฝั่งตะวนั ตก
ภาพถ่ายในปี พ.ศ.๒๔๔๐

(ที่มา หอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ

10

เมรวุ ดั บวรฯ

บรเิ วณวดั บวรนเิ วศวหิ ารนี้ ตามขอ้ สนั นษิ ฐานของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ
วโรรส ใน “ตำ�นานวัดบวรนิเวศวิหาร” นั้นกล่าวว่า คร้ังหน่ึงคงเคยเป็นที่ออกเมรุเจ้าจอมมารดาน้อย
พระชนนีของพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดาราวดี พระชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา
ศกั ดพิ ลเสพ กรมพระราชวงั บวรฯ พระผสู้ ถาปนาวดั บวรนเิ วศวิหารแหง่ นี้
หากแต่ก็ยังปรากฏหลักฐานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔
ที่มักโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระเมรุพระเจ้าลูกเธอที่วัดบวรนิเวศวิหารอยู่หลายคราว ด้วยทรงเห็นว่า
การพระเมรุท้องสนามหลวงนั้นเป็นการสิ้นเปลืองมาก ควรทำ�เฉพาะเจ้านายที่พระเกียรติยศช้ันสูง
ดังความในจดหมายเหตโุ หรของจมนื่ กง่ ศลิ ป์ ความวา่
“ปีระกา จ.ศ.๑๒๒๓ (พ.ศ.๒๔๐๔) ณ วันพุธ ขน้ึ ๓ คำ�่ เดือน ๘ (หลงั ) ชกั ศพกรมสรรพศลิ ป์
(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา) วัดบวรนิเวศ กรมหลวงมหิศ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์) นิพพานด้วย ณ วันศุกร์ ขึ้น ๕ คำ่� เดือน ๘ (หลัง) ถวายเพลิง
กรมสรรพศลิ ป์ ชักศพพระเจ้าลกู เธอ (พระองค์เจ้ามณฑานพรตั น)์ ดว้ ย...”
รวมถึงหนังสือเร่ือง “เซอร์แฮรี ออต เจ้าเมืองสิงคโปร์ ไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม
ในรชั กาลกอ่ น” กลา่ วถงึ เมรทุ ว่ี ดั บวรฯ วา่
“ณ วันองั คาร ขน้ึ ๔ คำ่� เดอื น ๑ เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จพระราชด�ำ เนินทรงม้าพระท่ีนงั่
ทอดพระเนตรเมรุทวี่ ัดบวรนเิ วศ เวลาพลบค่ำ�เสดจ็ กลบั มาถงึ พระบรมมหาราชวงั แลว้ เสดจ็ ขนึ้ ”

11

หบี แกว้ หรือหีบกดุ นั่ ลายยา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงโปรดให้สรา้ งขึ้น
ส�ำ หรบั ศพเจ้าจอมมารดาน้อย พระชนนีของพระองคเ์ จ้าดาราวดี พระชายาฯ

12

ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๕ การพระเมรทุ ว่ี ดั บวรนเิ วศ
วหิ ารน้ี คงท�ำ ตอ่ มาอกี ๒ ครง้ั คอื
การพระศพพระเจ้าลูกยาเธอ พระองคเ์ จา้ อศิ รวงศ์วรกมุ าร พระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๕ กบั
เจา้ จอมมารดาแสง ทสี่ นิ้ พระชนม์เมอ่ื วันที่ ๕ มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๔๑๕
การพระศพพระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าศรีพัฒนา พระราชธดิ าในรัชกาลที่ ๔ กับเจ้าจอม
มารดาเอ่ยี ม พระขนิษฐาในรัชกาลที่ ๕ ท่ีสิน้ พระชนมเ์ มื่อวันท่ี ๘ มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๔๑๖
ซง่ึ ในงานนจี้ งึ มกี ารออกเมรพุ ระเมรพุ ระบรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ปกุ พระราชธดิ าในรชั กาลที่ ๒
กับเจ้าจอมมารดาสั้น ที่สน้ิ พระชนม์ในปเี ดยี วกนั ต่อท้ายเมรดุ ว้ ย
โดยทรงมพี ระราชด�ำ รถิ ึงสถานทีอ่ ันไมเ่ หมาะสมในการออกพระเมรุ ที่ปลูกเมรคุ บั แคบ ไมม่ ีลาน
ทง้ั ตอ้ งปกู ระดานบนคลอง และเมอื่ มกี ารปกู ระดานบนคลองนนั้ แลว้ กใ็ ชส้ ญั จรไปมาไมไ่ ด้ สถานทป่ี ลกู โรง
ส�ำ หรบั เจ้าภาพก็ไม่มี การมหรสพก็ตอ้ งจดั อย่างกระจัดกระจาย สดุ แตจ่ ะมีท่ีจุลงไปได้
นบั แต่นั้นการพระศพพระเจ้าลูกเธอ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ และพระเจา้ น้องนางเธอ จงึ ทรงยา้ ยไป
ทำ�ทีว่ ดั มหาธาตฯุ โดยมีการปลูกพระเมรใุ นก�ำ แพงวัด มีงานมหรสพทีท่ อ้ งสนามหลวง ก่อนที่จะยา้ ยไปท่ี
วดั เทพศริ นิ ทราวาสในเวลาตอ่ มาเมรวุ ดั บวรนเิ วศวหิ าร จงึ คงเหลอื เพยี ง “พระทนี่ ง่ั ทรงธรรม” ทภี่ ายหลงั
ทรงโปรดเกล้าฯ ใหร้ อ้ื มาปลกู ไว้ด้านหนา้ พระอุโบสถ ซ่งึ เรียกกนั ตอ่ มาวา่ "ศาลาแดง" มาจนถงึ ทุกวนั นี้
นบั แตน่ น้ั พระเมรุวัดบวรนิเวศวหิ าร จึงโปรดฯ ให้มีขึน้ อีกครงั้ ในคราวปลูก “พระเมรนุ ้อย” เพอื่
พระราชทานเพลิงพระบุพโพ (นำ้�เหลอื ง) ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
พระราชอุปัธยาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกับพระบุพโพของสมเด็จพระ
อริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พระราช
กรรมวาจาจารยใ์ นพระองค์ เมือ่ วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓ นับเปน็ พระเมรนุ ้อยพระเมรุสดุ ท้ายท่ีมี
ขน้ึ ในวัดบวรนเิ วศวิหารแห่งน้ี
นอกจากนี้ ยงั มธี รรมเนยี มของวดั ทวี่ า่ พระภกิ ษสุ ามเณรวดั บวรนเิ วศวหิ ารหา้ มรบั นมิ นตไ์ ปสวด
ในงานศพ ผู้ใดละเมิดไปสวดศพน้ันโปรดให้จับสึก (เว้นแต่พระสงฆ์ท่ีได้รับโปรดฯ ให้เป็นพระพิธีธรรม)
ตามพระด�ำ รขิ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เนอื่ งด้วยไม่ต้องการใหพ้ ระสงฆ์
ไปหากินกับงานศพนั่นเอง

13

พระปนั้ หยา่
14

วนั แรกในวดั บวรฯ

จากความทรงจำ�ของหมอสมธิ

นับแต่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลท่ี ๓
ทรงสร้างวัดแหง่ ใหมข่ ึน้ ทางตอนเหนือของเกาะรัตนโกสนิ ทร์ ครง้ั นน้ั ได้ทรงอาราธนาพระเทพโมลี (สิน)
ใหม้ าครองวดั แหง่ น้ี
ภายหลงั เมอ่ื สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพเสดจ็ สวรรคตลง กอปรกบั พระเทพโมลี (สนิ )
ลาสิกขา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อครงั้ ยังดำ�รงสมณศักดิ์ท่ี สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศจ์ ากวดั สมอราย ให้มา
ครองวัดแห่งนี้ ทงั้ ยังพระราชทานนามวัดวา่ “วัดบวรนเิ วศวิหาร”
เหตุการณ์ในวันน้ัน ได้รับเล่าสืบต่อกันมา และมีการจดบันทึกความทรงจำ�ของหมอสมิธ
นายแพทยช์ าวองั กฤษทีเ่ ขา้ มาทำ�งานในราชส�ำ นกั สยาม ความตอนหนึ่งวา่

ปี พ.ศ.๒๓๘๐ ขณะท่ี (สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ) เจ้าฟ้ามงกุฎ (สมมติเทววงศ์) ทรงมี
พระชนมายุ ๓๐ พรรษา พระองคท์ รงได้รับแตง่ ตั้งจากพระเจ้าอยูห่ ัว (รชั กาลท่ี ๓) พระเชษฐาให้ดำ�รง
ต�ำ แหนง่ เจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวหิ าร ซึ่งเปน็ วัดทีส่ รา้ งข้ึนเมอ่ื ประมาณ ๑๐ ปีก่อนหนา้ น้ี และคงตอ้ ง
ใช้เวลาอีกนานกว่าจะสรา้ งเสร็จสมบรู ณ์
ภายในวดั แทบจะไม่มีผู้ใดอาศยั อยู่เลย นอกจากพระสงฆท์ ีจ่ �ำ พรรษาอยู่เพียง ๕ รปู
“วันท่ี ๑๑ มกราคม เจ้าฟ้ามงกุฎประทับมาในเรือพระท่ีน่ังภายใต้ปะรำ�ซึ่งคลุมด้วยผ้าสีแดง
ตดิ ตามมาดว้ ยเรอื ของเหลา่ ขา้ ราชบรพิ ารแลน่ มาเปน็ คู่ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ มายงั ต�ำ หนกั ทพ่ี ระเจา้ อยหู่ วั
โปรดฯ ใหส้ รา้ งขนึ้ ใหมโ่ ดยรอื้ มาจากของเดมิ ทสี่ รา้ งอยภู่ ายในอทุ ยานพระราชวงั เปน็ พระต�ำ หนกั ๒ ชนั้
ทรงยโุ รป มีชื่อเรียกวา่ พระตำ�หนกั ปั้นหยา”

เอกสารอ้างอิง

มลั คอล์ม สมิธ. ราชส�ำ นักสยามในทรรศนะของหมอสมธิ . แปลโดย ศุกลรัตน์ ธาราศักด์ิ. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๒.

15



๓๔ ๕ ๗

๑๒

กระถางศลิ า หนา้ มุขดา้ นทศิ ตะวันออกพระอุโบสถวดั บวรนิเวศวิหาร เรยี งล�ำ ดับจากซา้ ยไปขวา ได้แก่
ในพระรปู หม่พู ระบรมวงศานุวงศ์ ๑. พ ระเจา้ ลูกยาเธอ พระองค์เจา้ อุรพุ งศ์รัชสมโภช
๒. ไม่ทราบนาม
๓. สมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟา้ ประชาธิปกศกั ดิเดชน์
๔. หมอ่ มเจา้ ไศลทอง ทองใหญ่
๕. ไมท่ ราบนาม
๖. พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื สรรพสาตรศภุ กจิ
๗. ส มเด็จพระเจ้านอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงนรศิ รานุวัดติวงศ์

16

เทยี บกนั ไดก บั บวรสถาน

เม่อื พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวเสด็จมาครองวัดแห่งน้ี พระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้า
เจา้ อยหู่ วั โปรดใหเ้ สดจ็ เขา้ ไปทรงเลอื กของในพระราชวงั บวรฯ พรอ้ มพระนามวดั แหง่ นว้ี า่ “วดั บวรนเิ วศวหิ าร”
อันเป็นพระราโชบายที่แสดงให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีสถานะเสมอด่ัง
กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ดงั ความในพระราชนพิ นธ์ “ตำ�นานวดั บวรนเิ วศวิหาร” ของสมเดจ็ พระ
มหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ที่ว่า

ตามพระด�ำ รสั เลา่ แหง่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (ประทานแกพ่ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ
กรมหมนื่ วชริ ญาณวโรรส) กอ่ นแตจ่ ะเสดจ็ มาอยคู่ รองวดั น้ี พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้
เสด็จเขา้ ไปเลอื กของในพระราชวงั บวร ๚
มพี ระราชประสงคส์ งิ่ ใดพระราชทานใหน้ �ำ มาได้ ขอ้ นมี้ หี ลกั ฐานสมจรงิ พระไตรปฎิ กฉบบั วงั หนา้
ทวี่ ดั มกี รอบแลผา้ หอ่ สายรดั อนั วจิ ติ ร กรอบเปน็ ทองค�ำ ลงยากม็ ี เปน็ ถมตะทองกม็ ี เปน็ งาสลกั กม็ ี ประดบั มกุ
กม็ ี เปน็ ของปราณตี เกนิ กวา่ ท�ำ ส�ำ หรบั ถวายวดั เขา้ ใจวา่ เปน็ หนงั สอื ทท่ี รงสรา้ งไวส้ �ำ หรบั พระราชวงั บวร ๚
อา่ งศลิ าทว่ี ดั เปน็ ชนดิ เดยี วกนั กบั อา่ งทเี่ หน็ ในพระบรมมหาราชวงั ชนั้ ใน ของเหลา่ นบ้ี างทที รงเลอื ก
เอามาในครั้งน้ันก็ได้ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเสด็จมาอยู่ครองวัดบวรนิเวศวิหาร แลโปรดให้เสด็จเข้าไปทรงเลือกของในพระราชวังบวรฯ
ก่อนนั้นเข้าใจว่าเป็นวิธีทรงดำ�เนินพระราโชบายดังจะประกาศให้รู้ว่าทรงเทียบพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ในฐานะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เพ่ือป้องกันความสำ�คัญผิดในการ
สืบราชสมบตั ิ วดั นช้ี ือ่ วัดบวรนเิ วศ เทียบกันไดก้ ับบวรสถาน น่าจะไดพ้ ระราชทานในคร้งั นี้ เมือ่ ปเี ถาะ
จ.ศ.๑๑๙๓ (พ.ศ.๒๓๗๔) ในหมายรับสัง่ ยงั เรียกว่า วดั ใหม่ คร้นั เมอ่ื ปมี ะโรง จ.ศ.๑๒๐๖ (พ.ศ.๒๓๘๗)
เรยี กวา่ วัดบวรนิเวศแล้ว อีกอยา่ งหนึ่งโวหารสัน้ เรยี กวา่ วดั บน เทียบกนั ไดก้ ับวังบน ๚

เอกสารอ้างอิง

สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ าร.
พิมพ์โดยพระบรมราชโองการในงานพระราชทานเพลิงศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทพี่ ระเมรทุ อ้ งสนามหลวง เมอื่ พ.ศ.๒๔๖๕. พระนคร :
โรงพิมพโ์ สภณพพิ รรฒธนากร, ๒๕๖๕.

17

พระพทุ ธไสยา ภาพถ่ายราวสมยั รัชกาลท่ี ๕
(ทีม่ า หอจดหมายเหตุแห่งชาต)ิ

18

พระพุทธไสยา

ในระหวา่ งท่ที รงครองวัดนัน้ ทรงปรับผังเขตพทุ ธาวาสใหม่ ดว้ ยการแปลงพระอโุ บสถจากทรง
จตุรมุขเป็นทรงตรีมุข และทรงย้ายพระพุทธชินสีห์จากมุขด้านหลังมาไว้เบ้ืองหน้าพระสุวรรณเขต แล้ว
อญั เชญิ พระพทุ ธไสยา ทอ่ี ญั เชญิ มาจากวดั พระพายหลวง จงั หวดั สโุ ขทยั ขน้ึ ประดษิ ฐานไวม้ ขุ ดา้ นหลงั แทน
ก่อนที่จะยา้ ยไปประดิษฐานวิหารพระศาสดาในเวลาตอ่ มา
ดงั ความในพระราชนพิ นธ์ “ต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ าร” ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยา
วชริ ญาณวโรรส ทีว่ ่า

...เม่ือ พ.ศ.๒๓๘๐ (ปีระกา จ.ศ.๑๑๙๙) เดือนย่ี พอเข้าขวบปีต้ังแต่เสด็จมาอยู่ ทรงทูลขอ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเชิญพระพุทธชินสีห์ย้ายจากมุขหลัง ออกสถิตในพระอุโบสถ
หรือมุขหน้า หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นอันว่าประดิษฐานไว้ในมุขหน้า ปิดทองของหลวงบ้าง
ของราษฎรบา้ ง กาไหลพ่ ระรศั มี ฝงั พระเนตรใหม่ แลตดิ พระอณุ าโลม ในมขุ หลงั นนั้ เชญิ พระพทุ ธไสยาเขา้
ไวแ้ ทน บางทีจกั เป็นพระพทุ ธไสยาศิลา (ปจั จุบนั ตรวจสอบแล้วพบวา่ พระพทุ ธรูปสำ�รดิ ) ท่ีเชิญมาจาก
วดั พระพายหลวง เมอื งสโุ ขทยั เกา่ อนั ประดษิ ฐานอยใู่ นพระวหิ ารพระศาสดาหอ้ งหลงั ในบดั นี้ นอกจากนี้
ไมม่ พี ระไสยาอน่ื ตอ่ มาพระวหิ ารนน้ั ไดร้ อ้ื เสยี แลว้ ไดฟ้ งั สมเดจ็ พระมหาสมณะ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
ตรสั เลา่ วา่ เพอื่ กอ่ พระเจดยี ์ แตเ่ มอื่ พระเจดยี ไ์ ดเ้ รม่ิ กอ่ มาแลว้ ครง้ั สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ
ยังทรงพระชนม์อยู่ กค็ งเพ่ือขยายทักษณิ พระเจดีย์ออกมาอกี ชน้ั หนงึ่ แลรือ้ เม่ือไรหาทราบไม่ เข้าใจว่า
คงกอ่ น พ.ศ.๒๓๙๐ (ปีมะแม จ.ศ.๑๒๐๙) โดยเหตุอันจักมีแจ้งข้างหนา้ ส่วนพระไสยานั้น ดนู า่ คงยังอยู่
หลงั พระอโุ บสถ ณ ทต่ี ง้ั พระบาทจ�ำ ลองในบดั นี้ จนไดเ้ ชญิ มาไวใ้ นพระวหิ ารพระศาสดา เพราะไมม่ สี ถานอนื่
อนั จะพึงเชิญย้ายไปไว้ ๚

เอกสารอ้างอิง

สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ าร.
พิมพโ์ ดยพระบรมราชโองการในงานพระราชทานเพลิงศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทพ่ี ระเมรทุ อ้ งสนามหลวง เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕. พระนคร :
โรงพิมพ์โสภณพพิ รรฒธนากร, ๒๕๖๕.

19

พระอุโบสถวัดบวรนเิ วศวิหาร
(ที่มา หอจดหมายเหตแุ ห่งชาต)ิ

20

สมี าคาบเกย่ี ว

ในคราวท่ีแปลงพระอุโบสถจากทรงจตุรมุขเป็นทรงตรีมุขน้ัน พระอุโบสถเดิมมีการสมมติสีมา
เฉพาะมุขหลักฝ่ังทิศเหนือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรารภสีมาคาบเกี่ยวกัน ควร
สมมตสิ มี าใหมใ่ ห้ครอบคลมุ ท้ังสามมขุ ดงั ความในพระนิพนธ์ “อภินิหารการประจักษ”์ ของสมเดจ็ พระ
มหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวริยากรณ์ ท่วี า่

คร้ันถงึ ศักราช ๑๑๙๘ ปีวอกอฐั ศก ณ วันพธุ เดอื น ๒ ขนึ้ ๕ ค�ำ่ (ตรงกับวนั ท่ี ๑๑ มกราคม
พ.ศ.๒๓๗๙) เวลาสามโมง ๘ บาท (สมเดจ็ พระเจา้ น้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมตเิ ทววงศ)์ เสด็จลงมา
ประทับอยู่ท่ีวัดบวรนิเวศ วันน้ันพวกที่มาคอยรับเสด็จดูแห่ (กระบวนเรือของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจา้ ฟา้ มงกฎุ สมมตเิ ทววงศ์ จากวดั สมอรายมาครองวดั บวรนเิ วศวหิ าร) แลเหน็ พระอาทติ ยข์ นึ้ เปน็ สองดวง
จนเวลาสามโมงเยน็ เปน็ อศั จรรย์ แสดงเหตุวา่ ท่านนนั้ ก็จะได้เป็นพระเจ้าแผน่ ดนิ องค์หนงึ่ เคารพสองรอง
ลำ�ดบั แผ่นดินพระนัง่ เกล้าน้ีต่อไป
ครนั้ อยมู่ าทรงพระปรารภรงั เกยี จดว้ ยสมี าคาบเกย่ี ว วา่ ทส่ี ามมขุ ผกู แตม่ ขุ เดยี วไมช่ อบกล จงึ ทลู
ขอทเ่ี สียใหม่ทั้งสามมขุ ปักขยายออกไปเทา่ แนวสงสัยโดยรอบ แลว้ ช�ำ ระถอนสมมติผกู อยหู่ ลายวนั ได้น�ำ
ฉันท์ท�ำ กนั แตพ่ ระในวดั เปน็ การเงียบ ๆ
คร้นั ล่วงไปสกั ปีเศษ ในเดือนย่ี ปรี ะกา (พ.ศ.๒๓๘๐) ทลู ขอ (พระบรมราชานุญาตพระบาท
สมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยู่หัว) ใหเ้ ชิญพระชินสหี อ์ อกมาจากมขุ ด้านตะวันตก (มขุ ดา้ นใต้ – ผู้เขยี น) มา
ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถด้านตะวนั ออก (มุขด้านเหนือ – ผู้เขียน) ในมขุ นน้ั เชิญพระพุทธไสยาสน์
ไปไวแ้ ทน แตน่ นั้ ทรงพระท�ำ นบุ �ำ รงุ สงั่ สอนบรษิ ทั คฤหสั ถ์ บรรพชติ ใหเ้ จรญิ ยง่ิ ขนึ้ ไป ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ
ที่สมควรแก่ธรรมวินัย คร้ังน้ันกุลบุตรเกิดความเลื่อมใส พากันมาบวชเรียนมาก ภายในพรรษกาลมี
พระสงฆจ์ ำ�พรรษา ๑๕๐ เป็นอย่างมาก ๑๓๐ เปน็ อย่างน้อย ตลอดมาจนถึงปรี ะกา (พ.ศ.๒๓๙๒)

เอกสารอา้ งองิ

สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยากรณ.์ “อภินิหารการประจกั ษ์.” ใน ขอมและไทยโบราณ อักษรจารึกในเสาศลิ า ณ เมอื ง
สุโขทัย และอภินิหารการประจกั ษ.์ กรงุ เทพฯ : คณะอนกุ รรมการมรดกของชาติ ส�ำ นักนายกรฐั มนตรี, ๒๕๓๔.

21

การตั้งแตง่ ภายในพระอุโบสถวดั บวรนเิ วศวิหาร
ถา่ ยเมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๑๖

22

ถาวดั ของชีตน

เปน็ เปรยี ญทั้งวดั ก็จะดีทีเดียว

ตง้ั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ มาครองวดั บวรนเิ วศนฯ พอทรงวางระเบยี บ
นกิ ายธรรมยตุ กิ าส�ำ เรจ็ แลว้ กท็ รงพยายามฟน้ื การศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมตอ่ มา ทรงพระราชด�ำ รแิ กไ้ ขวธิ เี รยี น
ซ่ึงแบบเดิมให้เรียนภาษามคธกับพระธรรมวินัยไปด้วยกัน ตามคัมภีร์ท่ีใช้เป็นหลักสูตรสำ�หรับสอบเป็น
ลำ�ดับขน้ึ ไป ทรงเปลี่ยนเป็นใหเ้ รยี นเปน็ ๒ ข้นั
ชั้นต้น เรียนแตไ่ วยากรณข์ ึ้นไปจนจบคมั ภีรม์ งคลทีปนี กวดขนั ใหร้ ู้ภาษามคธแตกฉากเสยี กอ่ น
แลว้ จงึ ใหศ้ กึ ษาหาความรพู้ ระธรรมวนิ ยั ดว้ ยอา่ นคมั ภรี อ์ น่ื ๆ ตอ่ ไปเปน็ ชน้ั หลงั ดว้ ยใชว้ ธิ นี น้ี กั เรยี นส�ำ นกั
วดั บวรนเิ วศนฯ จงึ รภู้ าษามคธเชย่ี วชาญถงึ สามารถพดู ภาษานนั้ และใชห้ นงั สอื อรรถเทศนไ์ ดโ้ ดยสะดวก
เม่อื เข้าแปลพระปรยิ ัติธรรมก็ไดเ้ ป็นเปรียญประโยคสงู มากกวา่ สำ�นกั อ่ืน ๆ
เลา่ กนั มาวา่ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ไปพระราชทานพระกฐนิ ทอดพระเนตร
เหน็ พระสงฆว์ ัดบวรนิเวศนฯ เป็นเปรียญมาก ตรสั ปราศรยั แกพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัววา่
“ถ้าวดั ของชตี ้นเปน็ เปรยี ญท้งั วัดก็จะดีทีเดียว”

เอกสารอ้างอิง

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ความทรงจ�ำ . พระนคร : ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๑๖.

23

เขตพุทธาวาสบริเวณลานพระเจดยี ์ฝง่ั หอไตร
24

เมอ่ื มชิ ชนั นารี
เย่ยี มหอไตร

“คณะปฏิรปู ”

นับแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารอยู่น้ัน ทรงพยายาม
ปรบั ปรงุ ขอ้ วตั รใหส้ อดคลอ้ งตามพระธรรมวนิ ยั มากทส่ี ดุ หนง่ึ ในนนั้ คอื การช�ำ ระคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา
และสอบทานกับคัมภีร์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในลังกา ดังปรากฏความในบันทึกของมิชชันนารี
ชาวอเมริกนั ท่ีพบเห็นความอตุ สาหะในคร้งั นัน้ ทีว่ ่า

ถ้าเราเข้าไปเย่ียมชม “หอไตร” ดังกล่าว และพบว่าคนนำ�ชมเป็นพระสงฆ์ผู้มีปัญญาดีรูปหนึ่ง
ของ “คณะปฏริ ปู ” (the reform party หมายถงึ คณะธรรมยุต)
พระสงฆผ์ นู้ �ำ ชมจะบอกพวกเราเหมอื นกบั เปน็ หนง่ึ ในพระเถระรปู ส�ำ คญั ไดอ้ ธบิ ายแกน่ ายคาสเวสส์
(Mr. Caswell) ว่า
“ตรงนี้คอื หนงั สือ ๒ กอง กองแรกเป็นค�ำ สอนของพระพทุ ธเจ้า สว่ นกองท่ีสองนัน้ เป็นงานเขยี น
ของบรรดาพระคณาจารย์ท่ีมชี ่อื เสียงมาแตโ่ บราณ
คณะสงฆข์ องเราไดร้ บั หนงั สอื กองแรกมาเพอื่ เปน็ หลกั ฐานอา้ งองิ ในทางศาสนา สว่ นหนงั สอื กอง
ทสี่ องนน้ั เราจะน�ำ มาเปรยี บเทยี บกบั หนงั สอื กองแรก ตราบใดทเ่ี ราเหน็ วา่ เลม่ ใดไมส่ อดคลอ้ งกบั หนงั สอื ใน
กองแรก เรากจ็ ะคดั ทง้ิ หนงั สอื เลม่ น้นั ไปเสยี ”
ในการตอบค�ำ ถามท่ถี ามว่าพวกเขาไดค้ ัดหนังสือในกองท่ี ๒ ออกไปมากหรือไม่ พระสงฆ์รูปนัน้
จึงกลา่ ววา่ "ใช่ คัดออกไปมาก" และกลา่ ววา่ มหี นงั สือท้งั หมดในชุดกวา่ ๕๐๐ เล่มท่ถี ูกคัดออกไป
ภายใตอ้ ิทธิพลของบรรดาพระสงฆ์นกั ปฏริ ูปเหลา่ นี้ หากยอ้ นกลับไปในปี พ.ศ.๒๓๘๗ พระเจา้
แผ่นดินสยาม (รัชกาลที่ ๓) ได้จัดส่งคณะทตู ไปท่ลี งั กาเพ่ือศึกษาค้นคว้าทางศาสนาเพมิ่ เติมในดินแดน
ด้ังเดิมทพ่ี ทุ ธศาสนาได้ไปเติบโต ทัศนะทเ่ี สรีเปิดกวา้ งน้ยี งั คงแพรห่ ลายตอ่ ไป ตามด้วยงานพิมพแ์ ละงาน
วทิ ยาศาสตรท์ ค่ี ณะมชิ ชนั นารขี องเราไดน้ �ำ มาเผยแพร่ บรรดาขนุ นางและพระสงฆท์ ม่ี สี ตปิ ญั ญามากขน้ึ ก็

25

เจสสี แคสเวลล์ (Jessie Caswell) มชิ ชันนารีชาวอเมรกิ ัน
พระสหายของสมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ มงกฎุ สมมตเิ ทววงศ์

26

ค้นพบขอ้ ผดิ พลาดในทางภูมิศาสตร์ ธรณวี ทิ ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งดา้ นดาราศาสตร์ ท่ีทำ�ใหจ้ �ำ ตอ้ งเลิก
สงิ่ ที่ยึดถอื กนั มาแตเ่ ดิมวา่ ศกั ด์ิสทิ ธิ์ นี่เป็นการเพาะเชื้อของความสกึ กรอ่ นให้เกิดขน้ึ และก�ำ ลงั งว่ นอย่กู บั
การบอ่ นท�ำ ลายระบบอนั ยงิ่ ใหญท่ เ่ี ชอื่ วา่ ไมม่ พี ระเจา้ ความมนั่ ใจของหลายคนเกดิ ความสน่ั คลอนใน เรอ่ื ง
จรยิ ธรรมของคัมภีรศ์ ักด์สิ ิทธซ์ิ ง่ึ เต็มไปด้วยความหมดหวังในทางปัญญาและศลี ธรรม

แต่เมื่อพิจารณาตรวจสอบคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่ได้รวบรวมข้ึนนี้ก็เห็นว่า มีความผิดแผกไป
จากคัมภรี ์ของเราอยา่ งไร คมั ภรี ข์ องพุทธศาสนาคอื ถูกใบลาน ซ่งึ แตล่ ะใบมีขนาดตัง้ แต่ ๑ ฟตุ จนถึง
๑๘ นิ้ว และกว้าง ๒-๓ น้ิว ถูกนำ�มาร้อยด้วยเชือกตรงปลายแต่ละด้านของใบลานเพ่ือรวมเป็นผูก
จงสงั เกตดูขอบสที องทีง่ ดงาม ตัวอักษรท่แี ปลก ๆ เหลา่ น้ีไม่ไดท้ �ำ ใหเ้ ราหวนนึกคดิ ถึงเครื่องหมายทเ่ี ป็น
จดุ ขดี ยาว และสญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ของการสง่ โทรเลขของเราดอกหรอื พระคมั ภรี เ์ หลา่ นจี้ ารดว้ ยเหลก็ จาร
หนงั สือ และนำ�มาถดู ้วยผงสดี �ำ เพอ่ื ทำ�ให้ตวั อักษรทจ่ี ารนนั้ เด่นชดั ย่งิ ข้ึน เมอื่ คณุ ส�ำ รวจดูพระคัมภีรเ์ สรจ็
แลว้ พระสงฆก์ จ็ ะหอ่ เกบ็ พระคมั ภรี ด์ ว้ ยความระมดั ระวงั อยา่ งเคารพยงิ่ ไวใ้ นผา้ ไหมหรอื ผา้ มสั ลนิ จากนนั้
นำ�กลบั ไปเกบ็ ไวท้ ห่ี บี หรอื ตู้ทอ่ี ยู่ตรงกลางดงั ทไี่ ด้บรรยายไวแ้ ลว้
ในบางครั้งพบว่า มีพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียนนั่งเรียนอยู่บนพ้ืนในหอไตรของวัด พระสงฆ์แต่ละรูป
จะวางหนังสือไว้บนต่ังเต้ียสำ�หรับอ่านหนังสือหรือไม่ก็วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า แต่บางทีพวกเขาจะแสร้ง
ทำ�เปน็ ไมเ่ ห็นพวกเรา พระผใู้ หญ่บางรปู มีหนังสอื ดๆี เก็บสะสมไวเ้ ปน็ ของสว่ นตัว รวมไปถึงหนงั สือภาษา
องั กฤษและฝรั่งเศสซ่งึ เปน็ ผลงานท่ีมมี าตรฐานของไม่กี่ปีมาน้ี
โดยทวั่ ไปหนงั สือของชาวสยามนนั้ จะเขยี นลงบนกระดาษเน้ือแขง็ กระดา้ งทที่ าดว้ ยวสั ดุท่ีทำ�ให้
กระดาษเปน็ สดี ำ�เพ่ือให้ตวั อกั ษรจากการเขียนดว้ ยดนิ สอหนิ ๑ ฟุต และยาวหลายฟตุ โดยพบั สลบั ไปมา
ท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ หนา้ หนังสอื ที่มีความหนาประมาณ ๓ นิ้ว เมือ่ เขยี นจบไปหนา้ หนึง่ กจ็ ะพลกิ กระดาษเพื่อ
เขียนต่อในดา้ นหลงั หนังสือบางเล่มก็จะมภี าพประกอบเต็มไปหมด ซ่ึงเปน็ ภาพสี ตวั อักษรจะมลี กั ษณะ
เปน็ จงั หวะโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ยกเวน้ การเขยี นจดหมาย นอกจากงานเขียนทางศาสนาแลว้ งาน
วรรณกรรมของสยามมีนอ้ ย ส่วนใหญเ่ ป็นพงศาวดารของประเทศของพวกเขาเอง และประเทศใกล้เคยี ง
บทสนทนาตอบโต้ในหนังสืออ่านเล่น ละครพ้ืน ๆ และนวนิยายชั้นเลวที่มักเป็นเร่ืองผจญภัยที่เก่ียวกับ
สงครามหรอื ความรกั ซงึ่ ยมื มาจากพงศาวดารยคุ ตน้ ๆ ของพวกเขาทส่ี ่วนใหญ่เปน็ เรอ่ื งปรัมปราและ
เหลอื เช่อื เรือ่ งทช่ี ่นื ชอบทีส่ ุดในท้ังหมดคอื วรี กรรมทีก่ ลา้ หาญของเทพเจ้าฮนิ ดนู ามว่าพระราม

เอกสารอา้ งองิ

“วัดของสยาม” ใน สยามและลาวในสายตามิชชันนารีชาวอเมริกัน. แปลโดย รัตติกาล สร้อยทอง และสำ�เนียง ศรีเกตุ. กรุงเทพฯ :
กรมศลิ ปากร, ๒๕๕๗.

27

ตำ�หนักโรงพมิ พ์
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยูห่ ัวและสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ทรงฉายพระรปู รว่ มกบั สัทธวิ ิหาริกและอนั เตวาสกิ หนา้ ต�ำ หนกั โรงพิมพ์ ในโอกาสทีพ่ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั

เสด็จพระราชด�ำ เนนิ กลับจากยโุ รป ครงั้ ที่ ๒ พ.ศ.๒๔๕๐

28

โรงพิมพ

วัดบวรนเิ วศวหิ าร

...(สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์) ได้ทรงประดิษฐ์อักขระขึ้นสำ�หรับใช้
เขียนคำ�บาลี อนุวตั รตามอักขรวธิ ีแบบโรมนั เรยี กวา่ หนังสอื อรยิ กะ มที งั้ แบบพมิ พ์ ทง้ั แบบเขียน เพ่ือ
ผู้เรยี นปรยิ ตั ิเขา้ ใจอกั ขรวิธีละเอียดกว่าใชอ้ กั ษรขอม ใชก้ นั แพรห่ ลายในสำ�นักวดั บนนี้ ๚
ครั้งนั้น การตีพิมพ์หนังสือยังไม่แพร่หลาย มีโรงพิมพ์แต่ของพวกมิชชันนารีพิมพ์หนังสือสอน
ศาสนา ทรงต้ังโรงพิมพข์ ้นึ ท่ีวัด พมิ พ์พระปาตโิ มกขบ์ า้ ง สวดมนตบ์ า้ ง แบบแผนอยา่ งอ่ืนบา้ ง เป็นอกั ษร
อรยิ กะใช้กนั ในส�ำ นกั น้ี แทนหนังสือลาน ๚ ...

เอกสารอา้ งอิง

สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ าร.
พิมพโ์ ดยพระบรมราชโองการในงานพระราชทานเพลิงศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทพี่ ระเมรุทอ้ งสนามหลวง เม่ือ พ.ศ.๒๔๖๕. พระนคร :
โรงพมิ พ์โสภณพพิ รรฒธนากร, ๒๕๖๕.

29

เมรุปนู วดั สระเกศ
ภาพถ่ายเม่อื ปี พ.ศ.๒๔๓๔

30

ทรงบัญชาการ

ในภาวะโรคระบาด

ปี พ.ศ.๒๓๙๒ อหวิ าตกโรคไดแ้ พรร่ ะบาดอยา่ งรนุ แรงอกี ครง้ั หนง่ึ กลา่ วกนั วา่ ในชว่ งระยะเวลา
๑ เดือน มีผู้คนเสียชีวิตลงด้วยโรคน้ีรับเป็นจำ�นวนถึง ๑๕,๐๐๐ – ๒๐,๐๐๐ คน และในปีน้ันเอง
เจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งขณะน้ันทรงดำ�รงตำ�แหน่งเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ในสยาม (คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย)
ไดท้ รงมบี ญั ชาใหใ้ ชว้ ดั ส�ำ คญั ๓ วดั ในกรงุ เทพฯ ไดแ้ ก่ วดั สระเกศ วดั บางล�ำ พู (วดั สงั เวชวศิ ยาราม) และ
วดั บพติ รพมิ ขุ เปน็ สถานทส่ี �ำ หรบั เผาศพ สถติ ผิ เู้ สยี ชวี ติ ทถี่ กู น�ำ มาเผาทวี่ ดั ทง้ั ๓ แหง่ นบั ตงั้ แตว่ นั ท่ี ๑๗
มิถุนายน ถงึ วันท่ี ๒๕ กรกฎาคม รวม ๓๘ วนั มีจ�ำ นวนท้ังสนิ้ ๕,๔๕๗ ศพ จ�ำ นวนศพที่ถกู นำ�มา
เผาสูงสุดใน ๑ วัน คอื วนั ท่ี ๒๓ มิถุนายน มีจำ�นวนทั้งส้ิน ๖๙๖ ศพ เมอื งทง้ั เมืองประสบกบั ความ
โกลาหลวุ่นวาย ธุรกิจต่าง ๆ มีอันตอ้ งหยุดชะงักลง เน่ืองจากผูค้ นส่วนใหญ่มภี าระทจ่ี ะตอ้ งดแู ลผูป้ ่วย
และจัดการกบั ศพผเู้ สียชีวิต

เอกสารอ้างอิง

มัลคอลม์ สมธิ . ราชสำ�นกั สยามในทรรศนะของหมอสมธิ . แปลโดย ศกุ ลรัตน์ ธาราศักดิ์. กรงุ เทพมหานคร: กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๗.

31

พลับพลาสมเด็จพระศรสี ุรเิ ยนทราบรมราชินี
เมือ่ ครั้งยงั ปลูกอย่บู นกำ�แพงรมิ คูวัดดา้ นทิศเหนอื ติดถนนพระสเุ มรุ เม่อื ปี พ.ศ.๒๔๕๕

(ท่ีมา หอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ

32


Click to View FlipBook Version