วนั สดุ ทา ย
กอนทรงลาสกิ ขา
...วันสุดท้ายก่อนท่ีเจ้าฟ้ามงกุฎจะทรงลาสิกขาจากสมณเพศ ทรงเสด็จออกรับคณะผู้แทน
มิชชันนารีโปรเตสแตนท์ซึ่งทรงคุ้นเคยสนิทสนมมาหลายปี ขณะมีพระราชปฏิสันถารซ่ึงชัดเจนและเป็น
ส่วนพระองค์ย่ิงได้ทรงตรัสหลายอย่างซ่ึงกระตุ้นความหวังอันแจ่มใสของเราเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง
ของสยามในกาลขา้ งหนา้ พระราชกระแสทเี่ ราสนใจเปน็ พเิ ศษคอื พระราชประสงคจ์ ะใหจ้ ดั ชน้ั เรยี นขนาด
ใหญใ่ หแ้ ก่เดก็ หนุ่ม ๆ ชาวสยาม เพอ่ื ใหม้ คี วามร้ภู าษาองั กฤษเป็นอยา่ งดี และให้จดั ต้ังโรงเรยี นมัธยม
ข้นึ ในบางกอก มใิ ชเ่ พือ่ วัตถปุ ระสงค์นเี้ พียงอย่างเดยี ว แต่เพ่ือใหส้ อนศาสตรต์ า่ ง ๆ ของตะวนั ตกใหแ้ ก่
นกั เรยี นสยามอกี ดว้ ย สิง่ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ แนวโน้มบ่งบอกความมีพระราชหฤทยั เป็นประชาธิปไตย กค็ ือ
ทรงตงั้ พระราชหฤทยั วา่ รฐั บาลพระองคจ์ ะด�ำ เนนิ รอยตามแบบอยา่ งการปกครองแบบกษตั รยิ ท์ อ่ี ยภู่ ายใต้
รฐั ธรรมนญู ขององั กฤษในระดบั หนง่ึ เพราะพระองคท์ รงเหน็ วา่ ไมเ่ ปน็ การดสี �ำ หรบั ประชาชนชาวสยามที่
จะต้องถูกปกครองตามอำ�เภอใจของคนเพยี งคนเดยี ว ดงั ทีเ่ คยเป็นมา นี่เปน็ เจตน์จำ�นงอนั ประเสรฐิ จาก
พระนิสัยกรุณาปรานีและรักเพื่อนมนุษย์โดยแท้ ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่าตอนน้ันทรงต้ังพระทัยเต็มท่ีท่ีจะ
ทดลองท�ำ ใหล้ ลุ ว่ งไปตามเจตนจ์ �ำ นงดงั กลา่ วใหม้ ากกวา่ ทที่ รงท�ำ ไดจ้ รงิ ในกาลตอ่ มาและแมว้ า่ จะไมบ่ รรลุ
ผลสมตามพระราชประสงคใ์ นรชั กาลของพระองค์ แตน่ �้ำ พระทยั เชน่ นนั้ กไ็ ดท้ �ำ ใหท้ รงประกอบพระราชกจิ
อนั ควรแก่การยกยอ่ งสรรเสรญิ ตลอดเวลาท่ที รงเป็นกษตั ริยอ์ ยู่...
เอกสารอา้ งอิง
วิลเลียม แอล บรัดเลย์. สยามแต่ปางกอ่ น ๓๕ ปีในบางกอกของหมอบรัดเลย.์ แปลโดย ศรีเทพ กสุ มุ า ณ อยุธยา และศรีลักษณ์ สงา่ เมือง.
กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๗.
33
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราชฉลองพระองค์
ดว้ ยพระภูษาขาว ทรงสมาทานอโุ บสถศลี พระราชทานพระธรรมเทศนาแกข่ า้ ราชบริพารฝ่ายใน
เนอ่ื งในวนั ธรรมสวนะ ถ่ายราว พ.ศ.๒๔๑๐
34
ทรงลาสกิ ขา
เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สวรรคต พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการผใู้ หญ่
ผูน้ อ้ ยไดเ้ ชญิ เสด็จขน้ึ เสวยราชยส์ มบตั ิ ครั้งนัน้ ทรงลาสกิ ขา ณ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ดงั ที่ปรากฏ
ความในบันทึก “เหตุการณต์ อนตน้ รชั ชกาลที่ ๔” ความว่า
...ครนั้ รุง่ ข้ึน วันพฤหสั บดี ขนึ้ ๒ คำ่� เดือน ๕ (ตรงกบั วนั ท่ี ๓ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔) เพลาเช้า
เจา้ พระยาพระคลงั วา่ ทสี่ มหุ พระกลาโหม พระยาราชสภุ าวดี วา่ ทส่ี มหุ นายก กบั ขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย
พรอ้ มกนั เปน็ อนั มาก จงึ เชญิ เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระบรมอนชุ าธิราชเจา้ ฟ้ามงกุฎสมมตเิ ทวาพงศอิศร
กษัตริย์ ซ่ึงสถิต ณ วัดบวรนิเวศปวเรศวิหารพระอารามหลวง แต่บรรดาราษฎรท้ังปวงก็นิยมชมชื่น
ร่ืนเริงร้องอวยชัยถวายพระพร ต้ังเคร่ืองสักการบูชาเอาดอกไม้ไปเร่ียรายไว้ตามสถลมารคเป็นอันมาก
ขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยหมอู่ งครกั ษแ์ หห่ อ้ งลอ้ มดว้ ยสรรพศสั ตราวธุ แหม่ า หมพู่ ราหมณท์ ง้ั หลายมไิ ดบ้ าด
หมาย พากันโปรยข้าวตอกดอกไม้ ตีไม้บัณเฑาะว์ เป่าสังข์นำ�เสด็จมาถึงเรือพระที่นั่งกราบประจำ�ทวีป
ยาว ๑๘ วา ๒ ศอก โดยชลมารค มเี รอื พระทนี่ งั่ รองเรอื ขา้ ราชการน�ำ ตาม จกุ ชอ่ งคลองใหญค่ ลองนอ้ ย
ทั่วทุกพนักงาน เรือพระที่นั่งประทับพระตำ�หนักน้ำ� พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่ง
อยเู่ ปน็ พนกั งานรกั ษาพระนเิ วศน์ กพ็ รอ้ มกนั ไปคอยรบั เสด็จอยทู่ พี่ ระต�ำ หนกั น้ำ�หนา้ พระราชวงั พระบาท
สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชเสดจ็ ทรงพระราชยาน ขา้ ราชการแหห่ อ้ มพรอ้ มตามเปน็ กระบวนถว้ นทกุ พนกั งาน
เสดจ็ เขา้ สพู่ ระราชวังสถาน ประทบั ศาลาหนา้ พระท่นี งั่ อมรนิ ทรวินจิ ฉัย พรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานุวงศ์
ผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยเสด็จพระราชดำ�เนินเข้าไปสรงนำ้�พระบรมศพ แล้วเจ้าพนักงานทรงพระเครื่องต้น
ตามขัตติยราชประเพณี เชิญพระบรมศพเข้าสู่พระโกศทองคำ�จำ�หลักลายกุด่ันประดับพลอยเนาวรัตน์
ต้งั กระบวนแห่ออกประตสู นามราชกิจ ไปประดษิ ฐานไว้ ณ พระทน่ี ง่ั ดุสิตมหาปราสาท ตามบรุ าณราช
ประเพณี แลว้ พระบรมวงศานุวงศแ์ ละขา้ ราชการผใู้ หญ่ผ้นู อ้ ย เชญิ เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช
35
เจ้าฟ้ามงกฎุ สมมติเทวาวงศพงศอศิ รกษัตรยิ ์ ประทบั ณ พระอุโบสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม ต้งั กอง
ล้อมวงรอบวัด ช้ันในองครักษ์แปดหมู่อยู่พิทักษ์รักษา แล้วเชิญเสด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุน
อศิ เรศรงั สรรค์ (ภายหลงั บวรราชาภเิ ษกขน้ึ ที่ พระบาทสมเดจ็ พระปนิ่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) เสดจ็ ณ พลบั พลา
หนา้ คลงั ทไี่ วป้ นื ใหญใ่ นพระราชนเิ วศนม์ หาสถาน ตง้ั กองปอ้ งกนั ลอ้ มวงองครกั ษพ์ ริ กั ษร์ กั ษาอยเู่ หมอื นกนั
ครน้ั ณ เวลาย�ำ่ ค�ำ่ พรอ้ มดว้ ยพระสงฆร์ าชาคณะทเ่ี ปน็ ประธานในพระพทุ ธศาสนา และพระบรม
วงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ผู้น้อย ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนบรรดาผู้ใหญ่ที่เป็นประธานพร้อมใจกันปรึกษา
เรียงคำ�กราบทูลอัญเชิญตามใจข้าราชการทั้งปวงเสร็จแล้ว จึงนำ�คำ�ปรึกษาเข้ามาในที่ประชุมพร้อมกัน
เฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทสมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชเจา้ ทง้ั สองพระองคใ์ นพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
พระยาพิพัฒนโกษาเป็นผู้อ่านคำ�ปรึกษากราบบังคมทูล ว่าว่ากรมหม่ืนนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์
พระเจ้าน้องยาเธอ พระองคเ์ จา้ ฤกษ์ ๑ พระพิมลธรรม (อ่)ู ๑ พระพฒุ าจารย์ (เสน) ๑ พระธรรมอดุ ม
(เซง่ ) ๑ พระพรหมมุนี ๑ พระธรรมไตรโลก (จ่ี) ๑ พระโพธิวงศ์ ๑ พระเทพโมลี ๑ พระเทพมนุ ี ๑
พระเทพกวี ๑ พระญาณรักขิต ๑ พระศรวี สิ ุทธิวงศ์ (ฟกั ) ๑ พระอริยมุนี (ทับ) ๑ และพระราชาคณะ
คามวาสี อรัญวาสี กบั พระครแู ลพระสงฆ์ฐานานกุ รมเปรียญท้งั ปวง ฝา่ ยขา้ งพทุ ธจักรฝา่ ย ๑ และฝา่ ย
ข้างอาณาจักรนนั้ กรมขนุ รามอศิ เรศร์ ๑ กรมหมน่ื สวัสด์ิวไิ ชย ๑ กรมขุนเดชอดศิ ร ๑ กรมขนุ พิพิธ
ภูเบนทร์ ๑ กรมหมน่ื พิทักษ์เทเวศร์ ๑ กรมหมนื่ อินทรอมเรศร์ ๑ กรมหมื่นวงศาสนิท ๑ กรมหมืน่
อมเรนทรบ์ ดนิ ทร์ ๑ กรมหมน่ื นรานชุ ติ ๑ กรมหมน่ื ธเิ บศรบ์ วร ๑ กรมหมน่ื อมรมนตรี ๑ พระราชวงศานวุ งศ์
ผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยตา่ งกรมและมไิ ดท้ รงกรมฝา่ ยหนา้ ฝา่ ยใน กบั ขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท ทา่ นเจา้ พระยาพระคลงั
วา่ ทสี่ มหุ พระกลาโหม ๑ ทา่ นพระยาศรพี พิ ฒั นรตั นราชโกษาธบิ ดี ทา่ นพระยาราชสภุ าวดี วา่ ทสี่ มหุ นายก ๑
ทา่ นพระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ จางวางมหาดเลก็ ๑ และขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยฝา่ ยทหารพลเรอื นฝา่ ยพทุ ธจกั ร
และอาณาจกั ร ปรึกษาพร้อมกนั ว่า สมเด็จพระอนุชาธบิ ดี เจ้าฟา้ มงกฎุ สมมตเิ ทวาวงศพงศดศิ รกษตั ริย์
และสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค์ ทรงพระปรชี ารอบรพู้ ระราชประเพณปี ระเสรฐิ
ล�้ำ เลศิ ในพระบรมราชวงศ์ จงึ พรอ้ มกนั ขออญั เชญิ เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชมไหยสวรยิ สบื มหนั ตมหศิ รราชวงศ์
ดำ�รงสิริราชสมบัติขัตติยราชประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าลำ�ดับต่อไป แล้วจึงพระบรมวงศานุวงศ์
เสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาท ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บรรดามาประชุมในขณะน้ัน มีใจช่ืนชมยินดีพร้อมกัน
ไดก้ ระท�ำ สตั ยานสุ ตั ยส์ าบาน ถวายค�ำ ตอ่ หนา้ พระทนี่ งั่ ทง้ั สองพระองคโ์ ดยความสจุ รติ ทกุ คน เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ
สัตย์ต่อพระเดชพระคุณเที่ยงแท้ แล้วทรงพระราชดำ�ริเห็นว่าพระบรมวงศานุวงศ์ มุขอำ�มาตย์
พร้อมใจกันเชิญเสด็จโดยความซื่อสัตย์สุจริตนั้นจะไม่รับคำ�ปรึกษาอัญเชิญข้ึนครอบครองสิริราชสมบัติ
ก็จะเกิดการอุปัทวภัยอันตรายกับพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเดือดร้อนต่าง ๆ โดย
36
กำ�ลังทรงพระมหากรุณาเมตตาแก่คนท้ังปวงยิ่งนัก จึงทรงรับคำ�ปรึกษาท่ีอัญเชิญขึ้นเถลิงถวัลยราช
สมบัติ ทำ�นุบำ�รุงพระบวรพุทธศาสนา เสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาทและอาราประชาราษฎรต่อไป
จึงตั้งการพิธีลาพระผนวช เจ้าพนักงานจัดพระแท่นไปต้ังข้างทักษิณทิศข้างพระอุโบสถเป็นท่ีสรงนำ้�
มีเพดานราชวัติฉัตรผ้าขาวล้อมรอบ เสนาบดีก็เร่งรัดกันกระทำ�พลับพลาท่ีรับเสด็จประทับอยู่ก่อนใน
ระหวา่ งโรงแสงตน้ ส�ำ หรบั จะไดท้ รงใชว้ า่ ราชการแผน่ ดนิ กวา่ จะถงึ วนั ก�ำ หนดพระฤกษพ์ ระบรมราชาภเิ ษก
ครนั้ ณ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๕ ขึ้น ๓ คำ่� (ตรงกับวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔) ไดพ้ ระฤกษ์
ชัยมงคลในเวลา ๗ ทุ่ม (ราวตีหนึ่ง) ทรงลาพระผนวช เสด็จไปสรงน้ำ�พระพุทธปริตรเสร็จแล้ว
เสดจ็ มาประทับวา่ ราชการอยู่ทีพ่ ลับพลาพัก...
เอกสารอา้ งองิ
เหตุการณ์ตอนต้นรัชชกาลท่ี ๔. เจ้าภาพพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร ณ พระเมรุ
วดั เทพศิรินทราวาส ปีวอก พ.ศ.๒๔๗๕. พระนคร : โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๗๕. หน้า ๑๒ – ๑๕.
37
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงเครื่องบรมขตั ตยิ ราชภษู ติ าภรณ์ และทรงพระมหาพิชยั มงกฎุ
38
บรมราชาภิเษก
ในวันวิสาขบูชา
หลังจากที่ทรงตอบรับคำ�กราบบังคมทูลเชิญเสด็จข้ึนครองราชย์และทรงลาสิกขา เมื่อวันที่ ๖
เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔ แลว้ นนั้ ทรงรบั การบรมราชาภเิ ษก ในวนั ที่ ๑๕ พฤษภาคม ซงึ่ ตรงกบั วนั วสิ าขบชู า
ดงั ที่ปรากฏความในบนั ทึก “เหตุการณต์ อนตน้ รชั ชกาลท่ี ๔” ความว่า
...ณ วนั พฤหัสบดี เดือน ๖ ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เวลาเชา้ เป็นมหามงคลฤกษ์ พระสงฆ์ราชาคณะ
เข้าไปพร้อมประจำ�ทอี่ ย่ทู กุ แห่ง แลว้ กรมหม่ืนปรมานชุ ติ ชโิ นรส กด็ บั เทยี นไชยเสียก่อนยังไมท่ นั เสดจ็
ครั้นเสด็จพระราชดำ�เนินเข้าไปเห็นเทียนไชยดับจึงดำ�รัสถาม ข้าราชการท้ังปวงจึงกราบทูลว่า
กรมหมนื่ ปรมานชุ ติ ชโิ นรสทรงดบั ด�ำ รสั วา่ ไมถ่ กู ยงั ไมแ่ ลว้ การ แลว้ พระราชด�ำ เนนิ เขา้ ไปในพระทนี่ ง่ั ไพศาล
ทักษณิ ทรงจดุ เทียนนมัสการในเวลานาฬิกาหนึ่งกบั เก้าบาท ได้วิสาขนักขัตฤกษ์ พระมหาไชยมงคลบรม
ราชาภิเษกต้องอยา่ งบุราณราชประเพณแี ตก่ ่อน...
เอกสารอ้างอิง
เหตุการณ์ตอนต้นรัชชกาลท่ี ๔. เจ้าภาพพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร ณ พระเมรุ
วดั เทพศิรินทราวาส ปวี อก พ.ศ.๒๔๗๕. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๕. หนา้ ๑๒-๑๕.
39
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ประสตู ิ วนั ๕ ๖ฯ ๑๐ คำ�่ ปีมะเส็งเอกศก ๑๑๗๑
(วันท่ี ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒)
ทรงอปุ สมบท วัน ๖ ๑ฯ๐ ๘ ค�่ำ ปฉี ลเู อกศก ๑๑๙๑
(วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๗๒)
ทรงท�ำ ทัฬหิกรรม วัน ๕ ๑ฯ๓ ๙ ค่ำ� ปีฉลเู อกศก ๑๑๙๑
(วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๗๒)
พระสมณฉายา ปญฺ าอคคฺ
ครองวดั วัน ๕ ๙ฯ ๙ ค่ำ� ปีกุนตรีศก ๑๒๑๓
(วันที่ ๒๑ สงิ หาคม พ.ศ.๒๓๙๔)
มหาสมณตุ มาภิเษก วนั ๖ ๑ฯ๒ ๑๒ ค่ำ� ปีเถาะตรีศก ๑๒๕๓
(วันที่ ๒๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๔๓๔)
ส้ินพระชนม ์ วนั ๔ ๗ฯ ๑๑ ค�่ำ ปมี ะโรงจตั วาศก ๑๒๕๔
(วันที่ ๒๘ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๓๕)
ปญั ญาอคั คสมยั
41
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสรุ ิยพันธุ์ ทรงฉายพระรปู
ณ พระพทุ ธรตั นสถาน พ.ศ.๒๔๐๙
(ท่มี า หอจดหมายเหตุแห่งชาต)ิ
42
สละทรัพยส์ นิ
ก่อนบวชพระ
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เม่อื ครั้งยงั ทรงบรรพชาเปน็ สามเณร
ประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุมาแล้ว ๓ พรรษา ครนั้ เมอ่ื มีพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษา ทรงประชวรด้วย
พระโรคไขท้ รพษิ จนตอ้ งทรงลาสกิ ขาออกมาประทบั รกั ษาพระองค์ อยู่ ๓ เดอื น ระหวา่ งนนั้ พระญาตวิ งศ์
ไดพ้ ยายามหาอบุ ายมไิ ดท้ รงคดิ กบั ไปผนวชใหม่ ดว้ ยทรงมพี ระหฤทยั มนั่ ในรม่ กาสาวพสั ตร์ แตก่ ม็ เิ ปน็ ผล
จนเม่ือพระอาการประชวรหายแล้ว จึงทรงกลบั ไปบรรพชา เมอ่ื วนั ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๖๘ แล
ประทบั อยู่ ณ วดั มหาธาตดุ งั เดมิ ตอ่ มาเมอ่ื เจรญิ วยั ใกลก้ าลอปุ สมบทแลว้ จงึ ทรงลาสกิ ขาออกมาสมโภช
เปน็ ฆราวาสอยู่ ๓ วนั และทรงสละทรพั ยส์ มบตั ทิ งั้ หมดทเ่ี ปน็ ของสว่ นพระองคแ์ กเ่ จา้ จอมมารดานอ้ ยเลก็
ผู้เปน็ พระมารดา
ดงั ปรากฏความในพระนพิ นธ์ “กาลปวตั ตกิ ถา เถราปทานเลม่ ตน้ ” ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้
กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ทีน่ ิพนธ์ขนึ้ ในพิธที �ำ บญุ ฉลองมัชฌมิ กาล เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๐๑ คร้ังยงั
ดำ�รงพระอสิ รยิ ยศที่ พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื บวรรังษสี รุ ยิ พันธ์ุ เล่าว่า
“...นบั อายกุ าลตง้ั แตช่ าตมิ าได้ ๑๗ ปี ในมาฆมาสกาฬปกั ษด์ ถิ ใี นปนี นั้ เกดิ เปน็ ไขพ้ ษิ ออกฝดี าษหนกั
ญาตทิ ง้ั หลายจงึ มารบั ไปปรนนบิ ตั อิ ภบิ าลรกั ษา ไดส้ กึ ออกเปน็ ฆราวาสอยสู่ ามเดอื นกบั วนั หนงึ่ ในระหวา่ ง
กาลเท่านั้น ญาติทั้งหลายคิดจะผูกพันให้ติดแน่นในฆราวาส ด้วยเคร่ืองผูกคือมาตุคาม ประกอบกิจ
คดิ อา่ นเปน็ กลอบุ ายยกั ยา้ ยวจิ ติ รไปตา่ ง ๆ จนถงึ ในราตรภี าคแหง่ วนั รงุ่ สวา่ งจนกลบั มาบรรพชาเปน็ ทส่ี ดุ
ก็มิได้สำ�เร็จดังความประสงค์ของคนเหล่าน้ัน อันนี้ด้วยอำ�นาจอุปนิสัยกุศลหากมาป้องกันอุปถัมภ์ก่อให้
เกิดศรัทธา เพราะได้สดับกายคตาสติกถาเป็นต้นเหตุ จึงได้มีชัยชนะแก่เครื่องล่ออันพิเศษ ซ่ึงเป็นเหย่ือ
อนั มนุษย์มารมาดกั ไว้ โดยทส่ี ุดแมน้ แต่กายสงั สัคคะซง่ึ เป็นกรรมอันใกล้กไ็ ม่พงึ มี
คร้ัน ณ วันจันทร์ เดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ� ปีระกาสัปตศก ศาสนายุกาล ๒๓๖๘ พรรษา
(๙ พฤษภาคม ๒๓๖๘) กลับมาบวชบรรพชาเป็นสามเณรอยดู่ งั เกา่ เลา่ เรียนพระปริยัติธรรมสืบต่อไป
จนอายุเจริญวัยใกล้อุปสมบท ครั้นถึงกาลกำ�หนดก็สึกออกไปเป็นฆราวาสอยู่สามวัน คร้ังนั้นมีตรุณิตถี
(หญิงสาวรุ่น) ซึ่งเป็นบริษัทแห่งมนุษย์ประดุจหน่ึงว่ามารดา มาส�ำ แดงอาการประโลมล่อด้วยกลกิริยา
กุลบุตรน้ันก็มิได้ปรารถนา คิดจะใคร่อุปสมบทกลัวจะเป็นมลทิน ต่อนั้นไปก็สละทรัพย์สินซึ่งเป็นของ
ฆราวาส มอบใหส้ ทิ ธขิ์ าดแกม่ ารดา (เจา้ จอมมารดานอ้ ยเลก็ ) เสรจ็ แลว้ กอ็ �ำ ลาญาตทิ งั้ ปวงเพอ่ื จะอปุ สมบท
ขณะน้นั กลุ บตุ รนนั้ ไดป้ ริวิตกว่า ทใ่ี ดทีเ่ ราได้นง่ั ในกาลบัดน้ี ทนี่ ้เี ราจะมิได้กลบั มาน่ังต่อไป...”
43
๔ ๖๗
๑ ๒๓ ๕
พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหม่นื บวรรงั ษสี ุริยพันธุ์ ทรงฉายพระรปู ร่วมกับ เรยี งล�ำ ดับจากซ้ายไปขวา ได้แก่
พระมหาเถระในคณะธรรมยุติกนิกาย ในพิธที ัฬหิกรรม ๑. พ ระสาสนโสภณ (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ
ณ พทั ธสมี าแหง่ พระพทุ ธรตั นสถาน พ.ศ.๒๔๐๙
สถติ มหาสมี าราม ภายหลงั ไดร้ บั การสถาปนาขนึ้ เปน็
44 สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช
สกลมหาสงั ฆปริณายก
๒. พระพรหมมนุ ี (ศรี อโนมสริ )ิ วดั ปทมุ คงคา ภายหลงั
ดำ�รงสมณศักด์ิท่ี สมเด็จพระพุฒาจารย์
๓. หมอ่ มเจา้ พระอรณุ นภิ าคณุ ากร (หมอ่ มเจา้ กระจา่ ง
อรุโณ) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภายหลัง
ด�ำ รงสมณศกั ด์ทิ ่ี พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าพระ
อรุณนภิ าคุณากร
๔. พ ระอรยิ มนุ ี (เหมอื น สมุ ติ โฺ ต) วดั บรมนวิ าส ภายหลงั
ด�ำ รงสมณศักดท์ิ ี่ พระพรหมมุนี
๕. พ ระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนบวรรังษีสุริยพันธ์ุ
(พระองคเ์ จา้ ฤกษ์ ปญฺ าอคโฺ ค) วดั บวรนเิ วศวหิ าร
ภายหลงั ไดร้ บั การสถาปนาขน้ึ เปน็ สมเดจ็ พระมหา
สมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
๖. พระพมิ ลธรรม (ทบั พทุ ธฺ สริ )ิ วดั โสมนสั วหิ าร ภายหลงั
ดำ�รงสมณศักด์ทิ ี่ สมเดจ็ พระวนั รัต
๗. พ ระสคุ ุณคณาภรณ์ (น่ิม สจุ ิณโฺ ณ) วัดเครอื วลั ย์
ภายหลังดำ�รงสมณศักดิ์ที่ พระเทพกวี
ทรงถือพัดแฉก
ที่ทูลกระหมอมทรงมาเดิม
หลังจากท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัวทรงลาสกิ ขา เสดจ็ ข้ึนเสวยราชสมบตั แิ ลว้ นนั้
ต่อมาในวันที่ ๒๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ จงึ ได้เสดจ็ พระราชด�ำ เนินมายงั พระอโุ บสถวดั บวรนิเวศวิหาร
ทรงสถาปนาสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ซง่ึ ในสมยั นนั้ คอื “พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ
พระองค์เจ้าฤกษ์” ท่ีดำ�รงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมท่ี
“พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธ”ุ์ ครองวดั บวรนเิ วศวหิ าร และเปน็ เจา้ คณะธรรมยตุ กิ นกิ าย
ในครั้งน้ัน โปรดพระราชทานพัดยศที่รัชกาลที่ ๔ ทรงเคยใช้เมื่อครั้งทรงผนวช พร้อม
พระราชทานพดั แฉกงาประดบั พลอย ดังความในพระนพิ นธ์ “พระประวัติตรัสเล่า” ของ สมเด็จพระมหา
สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทีว่ ่า
...เสดจ็ พระอปุ ชั ฌายะ (สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ)์ ครงั้ รชั กาลที่ ๓
ทรงเป็นพระราชาคณะ ทรงถอื พัดแฉกถมปดั ไม่ไดท้ รงครองวัด
ครง้ั รัชกาลที่ ๔ จึงได้ทรงกรม เป็นกรมหมื่นบวรรังษีสุรยิ พนั ธ์ุ ทรงถอื พัดแฉกพน้ื ตาด ทที่ ูล
กระหม่อม (รัชกาลท่ี ๔) ทรงมาเดิม แลทรงถอื พัดแฉกงาเป็นพเิ ศษ ทรงครองวดั บวรนิเวศวหิ าร เปน็
เจ้าคณะธรรมยุตกิ นกิ าย
เมอื่ ครงั้ เรา (สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส) รบั กรมแลสมณศกั ด์ิ ยงั ไมไ่ ด้
ทรงรบั มหาสมณุตมาภิเษก เป็นแตเ่ ลื่อนกรมเป็นกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ๚
เอกสารอา้ งอิง
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. พระประวตั ติ รัสเลา่ . พระนคร : โรงพิมพม์ หามกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๐๘.
45
พระศรีศาสดา
46
พระศรีศาสดา
พระศรีศาสดา เป็นพระพุทธรูปสำ�คัญที่เคยประดิษฐานอยู่ท่ีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัด
พิษณุโลก ร่วมกบั พระพทุ ธชนิ ราชและพระพุทธชนิ สีห์ ภายหลงั เมอื่ มกี ารอัญเชญิ พระพุทธชินสีห์ลงมาไว้
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี จึงได้อัญเชิญพระศรีศาสดาลงมา
ประดษิ ฐานไว้ที่วดั บางออ้ ยชา้ งระยะหนง่ึ จนความทราบไปถงึ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต
บนุ นาค) จงึ ขออัญเชญิ ไปไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ต่อมาเม่อื รชั กาลท่ี ๓ ทรงทราบ จึงทรงมพี ระราชด�ำ ริ
ให้เชิญมาไว้ที่พระวิหารวัดสระเกศ ด้านหลังพระอัฏฐารส แต่ด้วยมุขพระวิหารด้านหลังน้ันมีขนาดส้ัน
ไมง่ ามสมกับองค์พระ จึงโปรดให้อัญเชญิ มาประดษิ ฐานไวเ้ บือ้ งหน้าพระตรโี ลกเชษฐ์ ภายในพระอโุ บสถ
วัดสทุ ัศนเทพวราราม
จนถึงในสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้สร้างพระวิหารขึ้นสำ�หรับประดิษฐานพระศรีศาสดาท่ี
วัดบวรนิเวศวิหาร ด้วยทรงพระราชดำ�ริว่า “เมื่ออยู่ในเมืองพิษณุโลกอยู่วัดพระมหาธาตุด้วยกันกับ
พระพทุ ธชินสีห.์ ..” ดงั มรี ายละเอยี ดถึงเหตุการณ์ในครง้ั น้นั ในพระนิพนธ์ “อภินหิ ารการประจักษ”์ ของ
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ ากรณ์ ทีว่ า่
เมอ่ื ศกั ราช ๑๒๒๑ ปมี ะแม เอกศก (พ.ศ.๒๔๐๒) ทรงพระกรณุ าโปรดใหส้ รา้ งวหิ ารพระศาสดา
ศักราช ๑๒๒๕ ปีกุน เบญจศก (พ.ศ.๒๔๐๖) ณ วันเดือนส่ี ข้างข้ึน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้
เจา้ พระยานชุ ติ ชาญไชยชกั พระศาสดา มาแตว่ ดั สทุ ศั นข์ นึ้ ตงั้ ในวหิ าร พระศอนนั้ รา้ วมานาน กระเทอื นหกั
แตค่ ร้งั ชกั มาพกั ไวว้ ดั สุทศั น์ในคร้งั ก่อน (ตรงกบั วนั ที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๓๙๖) ทรงพระกรุณาโปรดให้
กรมหมนื่ วรศกั ดาพศิ าล เอาชา่ งมาผกู ดามใหม้ น่ั คง สะเกด็ ทองพระศาสดาทต่ี กลงเอาไปหลอ่ เปน็ พระศาสดา
องคน์ ้อยประดษิ ฐานไวใ้ นวดั พระศรีรัตนศาสดาราม
เอกสารอา้ งอิง
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ ากรณ.์ “อภนิ ิหารการประจักษ์.” ใน ขอมและไทยโบราณ อกั ษรจารึกในเสาศิลา ณ เมือง
สโุ ขทัย และอภินิหารการประจกั ษ.์ กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการมรดกของชาติ ส�ำ นกั นายกรัฐมนตรี, ๒๕๓๔.
47
ศาลาจาน
ในสมยั ทย่ี งั ปลกู อยรู่ มิ คลองดา้ นหลงั ต�ำ หนกั โรงพมิ พ์ (หรอื บรเิ วณต�ำ หนกั เพช็ รในปจั จบุ นั )
กอ่ นทจ่ี ะยา้ ยไปปลกู อยบู่ รเิ วณรมิ คลอง ดา้ นทศิ เหนอื ของพลบั พลาสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทราบรมราชนิ ี
ในคราวบรู ณะวดั สมยั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงครองวดั
(ที่มา หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
48
ศาลาจาน
บรเิ วณรมิ คลองดา้ นหนา้ ต�ำ หนกั ปน้ั หยา่ มศี าลาทรงเกง๋ จนี ภายในประดบั ดว้ ยถว้ ยชามอยา่ งจนี
ดงั ปรากฏความในพระนพิ นธเ์ รอื่ ง “ต�ำ นานเรอื่ งเคร่ืองโตะ๊ และถ้วยป้นั ” ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาด�ำ รงราชานุภาพ ความตอนหนึง่ ว่า
…อน่ึง เมื่อในรัชกาลท่ี ๔ นั้น ปรากฏว่ามีผู้คิดเขียนเคร่ืองถ้วยข้ึนในเมืองไทยเป็นคร้ังแรก
ใครจะท�ำ บ้าง ขา้ พเจ้าไมท่ ราบตลอด ท่ที ราบนน้ั นัน้ คอื หมอ่ มเจา้ เนตรในกรมหมน่ื สุนทรธบิ ดอี งคห์ นงึ่
สิ่งของเคร่ืองถ้วยที่หม่อมเจ้าเนตรเขียนลายคราม ยังมีติดอยู่ที่ศาลาถ้วยจานวัดบวรนิเวศทุกวันนี้
วธิ เี ขยี นนน้ั เอาถว้ ยขาวของจนี ทเ่ี คลอื บแลว้ มาเขยี นสคี รามทบั นอกเคลอื บ แลว้ เอาเขา้ ไฟออ่ น ๆ ใหส้ สี กุ
อยา่ งจนี ทำ�เครื่องสีเขียนนอกเคลอื บ แตก่ ารทที่ ำ�นนั้ ไม่ถึงเปน็ สนิ คา้ ซอ้ื ขาย...
เอกสารอ้างองิ
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ตำ�นานเรอ่ื งเคร่อื งโต๊ะและถว้ ยป้ัน. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๙.
49
กุฏิแพ คณะเขยี วรังษี ถา่ ยเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗
กฏุ ิหลงั นใ้ี นสมยั สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณท์ รงผาตกิ รรมจากวดั บวรนเิ วศวิหาร
มาปลูกถวาย ณ วดั รังษสี ุทธาวาส (ปจั จบุ นั เปน็ ส่วนหนง่ึ ของคณะรังษี วัดบวรนเิ วศวหิ าร)
50
ผาติกรรมกุฎี
ถวายวัดรังษีสุทธาวาส
ในยุคที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ครองวัดน้ัน ได้
มีปรับปรุงพื้นที่เขตสังฆาวาสของวัดบวรนิเวศวิหาร ด้วยการสร้างเป็นหมู่กุฏิก่ออิฐถือปูน
คร้ังน้ันได้โปรดให้มีการผาติกรรมกุฏิไม้เดิมไปปลูกถวายไว้ท่ีวัดรังษีสุทธาวาส ดังความใน
พระนิพนธ์เร่ือง “ตำ�นานวัดบวรนิเวศวิหาร” ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
วชิรญาณวโรรส ท่วี า่
...กุฎ์ิหมู่นี้จึงจัดไว้เป็นที่สำ�หรับเจ้านายทรงผนวชเสด็จอยู่ ที่บริเวณเสนาสนะหลัง
พระตำ�หนักเดิม ทรงสร้างกุฎีตึกข้ึนหมู่หนึ่ง แถวยาวสกัดหลัง ๓ หลัง ๆ ละ ๕ ห้อง
ก้นั เปน็ ๓ ห้องบา้ ง ๒ ห้องบ้าง อยูไ่ ด้ราว ๖ รปู แถวซอย ๔ แถว ๆ ละ ๑ หลงั ๆ ละ
๕ หอ้ ง ก้นั เปน็ ๓ ห้องบา้ ง ๒ ห้องบา้ ง หมอ่ มเจ้าพระราชาคณะอยใู่ นหมู่นี้ กั้นเป็นตอน
เฉพาะส่วน ๚
ทรงสร้างกฎุ ีตึกอีกหมู่หนง่ึ ทีเ่ รียกว่า คณะแดง ในบดั นมี้ กี ฎุ ใี หญ่ ๓ ห้อง มเี ฉลยี ง
หน้า ๑ หลัง เปน็ ที่อยแู่ ห่งผ้ปู กครอง หอฉนั ๒ หอ้ ง มพี าไลรอบ ๑ หลัง กุฎีแถวกนั้ เปน็
๓ ห้องบา้ ง ๒ หอ้ งบ้าง ๔ หลงั กปั ปิยกฎุ ิ์ ๑ หลงั
กุฎีตึกเหล่านี้ทรงสร้างข้ึนแทนกุฎีไม้ของเดิมตำ�หนักล่างที่สมเด็จพระมหาสมณะ
กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณเ์ สดจ็ อยู่น้นั ทา่ นตรัสเลา่ วา่ เมอื่ โปรดให้ท่านเสด็จขน้ึ มาอยู่
พระตำ�หนักเดมิ แลว้ รอ้ื เอาไปปลูกทว่ี ัดรังษสี ทุ ธาวาส...
เอกสารอา้ งองิ
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ าร.
พมิ พ์โดยพระบรมราชโองการในงานพระราชทานเพลิงศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้าฯ ที่พระเมรุท้องสนามหลวง เม่ือ พ.ศ.๒๔๖๕. พระนคร :
โรงพมิ พโ์ สภณพิพรรฒธนากร, ๒๕๖๕.
51
สมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ กรมขุนพนิ ติ ประชานารถ
เมื่อคร้ังทรงผนวชเป็นสามเณร
52
เม่อื พระราชปโิ ยรส
ทรงผนวช
ในคราวท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นสามเณรนั้น พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ต้ังการพระราชพิธีอย่างเต็มสำ�รับ โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เม่ือครั้งดำ�รงพระอิสริยยศที่ กรมหม่ืนบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระราช
อุปธั ยาจารย์ แล้วจงึ เสดจ็ มาประทบั ที่วดั บวรนิเวศวหิ าร ดงั รายละเอยี ดในบทพระนิพนธ์ “เทศนพ์ ระราช
ประวตั ิรชั กาลที่ ๔ ” ของ พระเจา้ น้องยาเธอ กรมหมนื่ วชริ ญาณวโรรส ทีว่ า่
...ครน้ั เมอ่ื ปขี านอฐั ศก จลุ ศกั ราช ๑๒๒๘ (พ.ศ.๒๔๐๙) ถงึ ก�ำ หนดกาลทส่ี มเดจ็ พระบรมบพติ ร
พระราชสมภารเจา้ (พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) ทรงผนวชเปนสามเณร (พระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ) ก็ทรงพระกรณุ าโปรดใหจ้ ัดการสมโภช ณ พระทน่ี ัง่ อนันตสมาคม ที่ซง่ึ จะทรง
ประทับตรงน่าบายศรีน้ัน โปรดให้มีเพดานระบายเป็น ๔ เสา แขวนดอกไม้สดเปนที่ประทับ ประดับ
ด้วยเคร่ืองอิศริยยศ มีพานพระศรีเป็นต้นสองข้างพระองค์ แล้วโปรดให้เชิญเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
มีพระมหามงกุฎเป็นต้น มาประดิสถานไว้บนพระท่ีน่ังเศวตฉัตร์เพื่อเปนสวัสดิมงคล ชนท้ังปวงได้เห็นก็
ประหลาด เพราะมไิ ด้เคยมีธรรมเนียมมาแต่ก่อน
คร้นั เวลาเช้าต้งั กระบวนแห่แตน่ า่ พระท่นี งั่ สุทไธสวรรย์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
ทรงฉลองพระองค์ครุย พระชฎามหากฐินเสด็จมาส่งพระกรสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า
อันทรงเคร่ืองต้นอย่างขัตติยราชกุมาร ทรงพระชฎาห้ายอดอย่างโสกันต์ เดิรพระราชยานแต่เกยศิลา
พระท่นี ่ังอนันตสมาคม ออกประตเู ทวาพทิ ักษ์ เลี้ยวลงทางทกั ษณิ ไปถนนเจรญิ กรงุ ถนนเฟื่องนคร ถนน
บำ�รุงเมือง กลับมาเข้าพระบรมมหาราชวัง ทางประตูสวัสดิโสภา ประทับพลับพลาเปล้ืองเคร่ืองน่าวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็แต่งพระองค์คอยรับพระกรอยู่ที่เกย
53
ครน้ั เปลอื้ งเครอื่ งทรงโปรยทานเสรจ็ แลว้ พระราชทานพระเสลยี่ งกง ซงึ่ เปนพระราชยานผกู ๔ ใหส้ มเดจ็
พระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงเสด็จเข้าไปจนถงึ กำ�แพงแกว้ พระอุโบสถ และเสดจ็ พระราชด�ำ เนริ
ลงมารบั พระกรพาข้นึ สูพ่ ระอุโบสถ แลเพดานผ้าขาวซึง่ ตัง้ ทสี่ มโภชเวลาเยน็ นน้ั ทรงพระกรณุ าโปรดให้
ยกไปต้ังในท่ามกลางสงฆ์ ซึ่งเปนท่ีจะทรงบรรพชา คร้ันเสด็จเข้าไปทรงบรรพชาเสร็จแล้วออกมาทรง
รับผา้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั มไิ ด้โปรดให้ราชบัณฑิตทรงถวายเหมอื นอย่างเจ้านายทรง
ผนวชมาแต่ก่อน ๆ พระองค์เสด็จมาทรงพระราชทานเองด้วยพระหัตถ์ ตั้งแต่ผลัดพระภูษาเป็นต้นไป
พระองคม์ พิ ระราชหฤทยั ปรดี าปราโมทยเ์ ปน็ อยา่ งยง่ิ ปรากฏแกพ่ ระบรมวงศานวุ งศแ์ ลขา้ ราชการทง้ั ปวง
แลครง้ั นน้ั ใหม้ กี ารของนสิ สยั สามเณรขนึ้ เปนครงั้ แรก ครนั้ เสรจ็ การทรงผนวชแลว้ โปรดใหส้ มเดจ็ พระเจา้
ลูกยาเธอ แลพระเจา้ ลกู ยาเธอแตง่ พระองคอ์ ยา่ งราชกมุ ารทรงกระบีก่ ระบองง้าว ดาบสองมือเปน็ คู่ ๆ
ท่ีน่าพระอุโบสถ เปนการสมโภช ครั้นเวลาค่ำ�นิมนต์พระสงฆ์ซึ่งมานั่งหัตถบาสทั้ง ๓๐ รูปน้ันสวด
พระพทุ ธมนต์
เช้ารับพระราชทานฉันเป็นการฉลอง ครั้นเวลาบ่ายเสด็จพระราชดำ�เนิรไปส่งถึงวัดบวรนิเวศ
วิหาร โปรดใหเ้ สดจ็ อยู่ ณ พระตำ�หนกั เดมิ ของพระองค์ ซ่ึงเรียกวา่ พระป้นั หยา่
คร้ันออกพรรษาแล้วในเดอื น ๑๒ สมเด็จพระบรมบพติ รพระราชสมภารเจ้า ทรงถวายเทศนา
กณั ฑส์ กั กบพั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชอตุ สาหะแตง่ ดว้ ยพระองคเ์ องเพอื่ จะให้
ทรงถวาย ในคร้ังนั้นโปรดให้กรมหม่ืนมเหศวรศิววิลาศ ซ่ึงเปนพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ท�ำ กระจาด
ใหญผ่ กู เปนส�ำ เภา ประดบั ดว้ ยเครอ่ื งขนมแลผลไมข้ องสดคาวตา่ ง ๆ ทง้ั เครอ่ื งบรกิ ขารภณั ฑเ์ ปนอ�ำ นาจ
เปนการเอิกเกริกใหญ่ ครั้นเวลาบ่ายสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า เสด็จพระราชดำ�เนิรมา
ด้วยรถพระทน่ี ง่ั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั เสดจ็ พระราชด�ำ เนริ ออกไปทรงรับ อุ้มพระองค์
ลงจากรถพระที่นัง่ ในกลางถนน แล้วจูงพระกรมาจนกระทง่ั ถึงพระท่ีน่ังทรงธรรม ซง่ึ ทรงเทศนาคร้งั นั้น
กท็ รงพระปรดี าปราโมทยย์ ง่ิ ใหญ่ ทรงแสดงพระเมตตาให้ปรากฏแล้วชนทั้งปวงเป็นอันมาก...
เอกสารอา้ งองิ
“พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนวชิรญาณวโรรส ทรงถวายเทศน์พระราชประวัติรัชกาลท่ี ๔ เม่ือวันเสาร์ เดือน ๘ บุรพสาธ ข้ึน ๒ คำ่�
ปีมะเมีย จตั วาศก ศักราช ๑๒๔๔” ใน หนังสือเทศนาพระราชประวัติพระบาทสมเดจพระเจ้าแผน่ ดนิ ๔ รชั กาล. ลงพิมพ์ครง้ั ทสี่ องทท่ี า่ ใหญ่
กรมไปรสนยี แลโทรเลข, ปรี กา สัปตศก ๑๒๔๗.
54
ตรา "บวรรงั ษี"
ตราส�ำ หรบั ประทบั เรอื นเลขในหนงั สอื ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
สันนิษฐานว่าท�ำ ข้นึ ต้งั แต่ยงั ดำ�รงพระอิสรยิ ยศที่ กรมหมื่นบวรรังษสี ุริยพันธุ์
ลกั ษณะเป็นตราทรงกลม ขนาดประมาณ ๑.๕ เซนตเิ มตร ตรงกลางเป็นอกั ษรขอม ระบพุ ระนาม "บวรรงสฺ "ี
55
สมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ กรมขุนพนิ ติ ประชานารถ
เมื่อคร้ังทรงผนวชเป็นสามเณร
56
การบุญวันประสตู ิ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภว่าทรงเคยจัดงานวันพระราช
สมภพครง้ั แรก แตค่ รง้ั ยงั ทรงผนวชเปน็ สามเณร ตามกระแสพระราชด�ำ รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจา้ อยู่หวั ดงั ความทม่ี าในพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระราชพธิ สี ิบสองเดอื น” ท่ีวา่
...แต่ส่วนตัวข้าพเจ้า (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เองน้ัน เมื่อคร้ังไปบวชเณร
กรมพระปวเรศวรยิ าลงกรณร์ บั สง่ั แนะน�ำ ชกั ชวนตามกระแสพระราชด�ำ รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั ทไ่ี ดท้ รงพระราชด�ำ รทิ �ำ การพระราชกศุ ลในวนั ประสตู ติ งั้ แตย่ งั ทรงผนวช เชน่ ไดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้
แลว้ นัน้ ขา้ พเจ้าเกดิ ความเลอื่ มใสเห็นจรงิ ด้วย จงึ ได้เร่มิ ท�ำ บญุ วันเกดิ นนั้ มาต้ังแต่ปขี าลอฐั ศก ๑๒๒๘
(พ.ศ.๒๔๐๙) ท�ำ อยา่ งอาราม คือมีสวดมนตเ์ ลย้ี งพระและแจกฉลากสงิ่ ของตา่ ง ๆ ตามทมี่ ีเหลอื ใชส้ อย
แกพ่ ระสงฆใ์ นวดั บวรนิเวศบ้าง วัดอ่นื บ้าง คร้ันเมื่อสึกมาอย่ทู ่สี วนกุหลาบในปเี ถาะนพศก ๑๒๒๙ น้ัน
ก็ได้ทำ�อีกคร้ังหน่งึ อย่างอาราม ๆ เช่นท�ำ ทว่ี ดั ไม่ไดบ้ อกเล่าใหใ้ ครรู้ คร้ันในปีมะโรงสมั ฤทธิศก ๑๒๓๐
เมอื่ ถงึ วนั เกดิ นน้ั ขา้ พเจา้ เจบ็ หนกั จนไมร่ สู้ กึ สมประดตี วั และพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กท็ รง
พระประชวรดว้ ย จงึ ไดเ้ วน้ ไปปหี นงึ่ ไมไ่ ดท้ �ำ ครนั้ มาถงึ ปมี ะเสง็ เอกศก ๑๒๓๑ เปน็ เวลาพระบรมศพยงั อยู่
และจะคดิ ทำ�อะไรกย็ ังไมค่ ล่องแคล่วไปได้ เลยคา้ งไปอกี ปหี น่ึง
เอกสารอ้างองิ
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั . พระราชพิธสี ิบสองเดือน. กรุงเทพมหานคร : บรรณาคาร, ๒๕๔๒.
57
พระพุทธนินนาท
58
พระพุทธนนิ นาท
พระพทุ ธนนิ นาท หรอื ทใ่ี นต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ ารเรยี กวา่ “พระสมทุ รนนิ นาท) เปน็ พระพทุ ธรปู
ท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำ�รงพระอิสริยยศท่ีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ ทรงพระราชศรัทธาโปรดให้สร้างข้ึนเมื่อทรงผนวชเป็น
สามเณร เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๐๙
มพี ทุ ธลกั ษณะส�ำ คญั คอื พระพทุ ธรปู ครองจวี รหม่ คลมุ แบบหม่ แหวก ประทบั ยนื ปางหา้ มสมทุ ร
ขนาดความสูงจากฐานถงึ พระรัศมี ๑๙.๗ น้ิว
พระเจา้ บวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธุ์ (ภายหลงั ด�ำ รงพระอสิ รยิ ยศที่ สมเดจ็ พระมหา
สมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ)์ พระราชอปุ ัธยาจารยใ์ นพระองค์ ถวายพระนามว่า “พระพุทธ
นินนาท” ภายหลงั เมอ่ื เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ ตรัสใหเ้ ชญิ ไปกะไหล่ทองและจารกึ ความทฐี่ านวา่
“ศุภมัสดุ พระพทุ ธสาสนกาลเปนอดีตภาค ๒๔๐๙ พรรษา สมเดจพระเจ้าลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้า
จฬุ าลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกฎุ บรุ ุศรัตนราชรวิวงษ วรุตมพงษบริพัตรศิรวิ ฒั นราชวโรรส กรมขุน
พินิตประชานารถ ทรงพระราชศรัทธาสถาปนาพระพุทธปฏิมากรพระองค์นี้ข้ึนไว้ในพระพุทธสาสนา
ครน้ั เมอ่ื ตกแตง่ ขดั เงาเสรจ็ แลว้ ไดท้ รงท�ำ มหกรรมการฉลอง แลว้ บอกบญุ แกร่ าษฎรแหม่ า ณ วดั บวรนเิ วศ
วหิ าร พระเจา้ บวรวงษเธอ กรมหมน่ื บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธุ์ ถวายพระนามวา่ พระพทุ ธนนิ นาท เชญิ ขนึ้ ประดษิ ฐาน
ไว้ ณ โต๊ะหมู่บนพระป้ันหย่าช้ันบน ซึ่งเปนที่พระตำ�หนักของพระบาทสมเดจพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซง่ึ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ สดจมาประทบั ในเวลาทรงผนวชเปนสามเณรสน้ิ ๖ เดอื นเสศนนั้ ครนั้ เมอื่ ณ วนั เสาร์
ขนึ้ ๑๓ คำ่� เดือน ๕ ปีจอ อัฐศก ศกั ราช ๑๒๔๘ จ่งึ โปรดเกล้าฯ ให้เชญิ มาก้าไหลท่ องค�ำ แลทำ�
ถานเพ่มิ ข้นึ คร้ันการเสรจแลว้ จึง่ โปรดเกล้าฯ ให้จาฤกอกั ษรทั้งหลายน้ไี ว้ แล้วเชญิ ไปประดษิ ฐานไว้บน
พระป้ันหย่าดังเกา่ เพอ่ื จะใหเ้ ปนท่สี กั การบูชา แลเปนท่ีรฦกสบื ไป úะ”
59
เรยี งล�ำ ดบั จากซ้ายไปขวา ได้แก่
๑. พระบาทสมเดจ็ พระจฬุ าลงกรณเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒. หมอ่ มเจา้ พระอรณุ นภิ าคณุ ากร (หมอ่ มเจา้ กระจา่ ง
อรุโณ) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภายหลัง
ดำ�รงสมณศักดิ์ท่ี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
พระอรณุ นภิ าคุณากร
๓. พ ระสุคณุ คณาภรณ์ (นม่ิ สุจณิ ฺโณ) วัดเครือวลั ย์
ภายหลงั ดำ�รงสมณศกั ดิ์ที่ พระเทพกวี
๔. พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนบวรรังษีสุริยพันธ์ุ
(พระองคเ์ จา้ ฤกษ์ ปญฺ าอคโฺ ค) วดั บวรนเิ วศวหิ าร
พระบาทสมเด็จพระจุฬาลงกรณเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงฉายพระรปู รว่ มกับ ภายหลงั ไดร้ บั การสถาปนาขนึ้ เปน็ สมเดจ็ พระมหา
พระมหาเถระในคณะธรรมยุตกิ นกิ าย ในพิธที ัฬหิกรรม สมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
ณ พัทธสมี าแห่งพระพุทธรตั นสถาน พ.ศ.๒๔๑๖
๕. พระจนั ทรโคจรคณุ (ยม้ิ จนทฺ รสํ )ี วดั มกฏุ กษตั รยิ าราม
๖. พระพมิ ลธรรม (ทบั พทุ ธฺ สริ )ิ วดั โสมนสั วหิ าร ภายหลงั
ดำ�รงสมณศักดิ์ที่ สมเดจ็ พระวันรตั
๗ ๗. พระอรยิ มนุ ี (เหมอื น สมุ ติ โฺ ต) วดั บรมนวิ าส ภายหลงั
๘
๑ ๓ ๕ ๖ ดำ�รงสมณศกั ดท์ิ ี่ พระพรหมมนุ ี
๒ ๔ ๘. พระพรหมมนุ ี (ศรี อโนมสริ )ิ วดั ปทมุ คงคา ภายหลงั
๙ ดำ�รงสมณศกั ดท์ิ ี่ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์
๙. พระสาสนโสภณ (สา ปสุ สฺ เทโว) วดั ราชประดษิ ฐสถติ
มหาสีมาราม ภายหลังได้รับการสถาปนาข้ึนเป็น
สมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช
สกลมหาสังฆปรณิ ายก
60
พระบาทสมเด็จ
พระจฬุ าลงกรณเกลาเจาอยหู ัว
ทรงผนวชเปน็ พระภิกษุ
...คร้ัน ศิรศิ ยภุ มศั ดุ พระพุทธศาสนกาลเปน็ อดีตภาค ชไมยสหสั สงั วจั ฉระ จตสุ ตาธฤก โสฬส
สงั วจั ฉระ ปัตยุบนั กาล กกุ กฎุ สังวจั ฉระ อาสยชุ มาส ชษุ ณปักษ์ จตตุ ถดฤถี ครุ วุ าร ปรเิ ฉทกาลอุกฤษฐ์
(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๑๖) เวลายำ่�คำ่�แล้ว ๓๐ นาที พระบาทสมเด็จพระบรมนาถบพิตร
พระจุฬาลงกรณเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จจากพระท่ีนั่งใหม่ในพระบรมมหาราชวัง ทรงพระราชดำ�เนินโดย
พระบาทไปสวู่ ัดพระศรีรตั นศาสดาราม ถวายนมสั การพระพุทธรตั นปฏิมากรแลว้ เข้าไปทรงขอบรรพชา
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ บวรรงั ษสี รุ ยิ พนั ธเ์ุ ปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ พระสาสนโสภณ (สา) เปน็ กรรมวาจา
พระสงฆค์ ณะธรรมยตุ กิ นกิ ายนงั่ หตั ถบาส ๘ รปู รวม ๑๐ รปู เมอ่ื ทรงขอบรรพชาแลว้ กรมหมน่ื บวรรงั ษี
สุริยพันธุ์ สมมติพระองค์มาจรดพระกรรบิดถวายก่อน แล้วเจ้าพนักงานกรมภูษามาลาได้ถวายต่อไป
แลว้ เสดจ็ เขา้ ทสี่ รง เสรจ็ แลว้ มาทรงขอผา้ กาสาวพสั ตร์ พระสงฆจ์ ะไดท้ รงถวาย แลว้ ทรงอปุ สมบทกรรมตอ่ ไป
ครัน้ ทรงอุปสมบทแล้ว เสดจ็ จากวัดพระศรีรัตนศาสดารามโดยทางข้างในด้วยพระภกิ ษุ ๕ รปู
สู่ ณ วัดพระพทุ ธรัตนสถานในพระบรมมหาราชวัง แล้วพระภกิ ษุ ๕ รปู เป็นหตั ถบาส มาสวดญตั ติ
จตตุ ถกรรมอปุ สมบทในพระอโุ บสถวดั พระพทุ ธรตั นสถานอกี ครงั้ หนงึ่ แลว้ เสดจ็ ไปประทบั ทก่ี ฏุ ใิ นพระบรม
มหาราชวัง (ภายหลงั รอ้ื ไปสรา้ งทีว่ ดั เบญจมบพิตร คอื พระท่ีน่ังทรงผนวช) ดว้ ยพระสงฆ์ ๕ รูป เปน็
คณะหนึง่ ครบ ๗ ราตรี ๚
ครน้ั ณ วนั พฤหสั บดี ขนึ้ ๑๑ ค่ำ� เดือน ๑๑ ปรี ะกา เบญจศก (๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๖)
พระบรมวงศานุวงศ์ และท่านเสนาบดีพรอ้ มกนั เข้าไปเฝ้า ณ วดั พระพทุ ธรัตนสถาน กราบทูลอญั เชญิ ให้
ทรงปรวิ รรตลาพระผนวช ดำ�รงราชสมบตั สิ บื ต่อไป … ทรงรับค�ำ ซ่งึ ทลู เชญิ เสด็จนั้นแลว้ ทรงพระผนวช
อยอู่ ีก ๗ ราตรี รวมเป็น ๑๕ ราตรี ๚
คร้นั ณ วนั ศุกร์ แรม ๔ คำ่� เดือน ๑๑ (วนั ท่ี ๑๐ ตลุ าคม พ.ศ.๑๔๑๖) เวลา ๒ ทมุ่ กับ
๕๘ นาที เปน็ มหามงคลฤกษ์ เสด็จสู่วัดพระศรรี ตั นศาสดาราม พระราชาคณะผู้ใหญ่ประชมุ พรอ้ มกนั
เสด็จไปทรงประกาศสงฆ์ทรงปริวัตรลาพระผนวช แล้วเสด็จสู่ที่สรง ประโคมดุริยางคดนตรี คร้ันสรง
เสร็จแล้วเสดจ็ มาประทบั ในพระอโุ บสถ จ่งึ พระบรมวงศานุวงศแ์ ละท่านเสนาบดี ข้าราชการผ้ใู หญ่ผนู้ อ้ ย
ฝ้าทูลละอองธลุ พี ระบาทพร้อมกัน ๚
พระยาศรสี นุ ทรโวหาร อา่ นค�ำ กราบทลู เชญิ เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั สิ บื พระบรมราชวงศ์ ด�ำ รง
พภิ พกรงุ เทพมหานครอมรรัตนโกสนิ ทรมหินทรายุธยาสบื ไป
เอกสารอา้ งอิง
สมดุ ไทยด�ำ เส้นดินสอขาว เลขท่ี ร. ๕. ๓๑/๖, จดหมายเหตุบรมราชาภิเษกครั้งหลัง รชั กาลท่ี ๕.
61
พระบาทสมเดจ็ พระจฬุ าลงกรณเกลา้ เจ้าอย่หู ัว เมื่อครั้งทรงผนวชเป็นพระภกิ ษุ พ.ศ.๒๔๑๖
(ท่ีมา หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต)ิ
62
พระราชด�ำ รัส
พระบาทสมเดจ็ พระจฬุ าลงกรณเกลาอยหู ัว
แจง การทเ่ี สดจ็ ออกผนวช
สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณเกล้าเจ้าสยาม ขอประกาศแด่พระราชวงศานุวงศ์ และ
ท่านเสนาบดี และข้าราชการผูใ้ หญ่ผ้นู ้อยใหท้ ราบท่วั กันว่า สมเด็จพระบรมชนกนาถ คือพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว เมื่อยังดำ�รงพระชนมอ์ ยู่นนั้ ทรงพระปรารภอยเู่ นือง ๆ วา่ จะใคร่ใหพ้ ระบรม
ราโชรสได้รับผนวชในพระพุทธศาสนา ให้ทันเวลาในเมือ่ ยงั ดำ�รงพระชนมอ์ ยู่ ก็ไมส่ มดังพระราชประสงค์
เสด็จสวรรคตล่วงลับไป ท่านท้ังปวงพร้อมกันยกเราข้ึนเป็นเจ้าแผ่นดิน บัดน้ีเราได้ดำ�รงราชสมบัติมา
จนเวลานี้ กม็ ชี นมายถุ ้วน ครบ ๒๐ ปีบรบิ ูรณ์ ควรจะรับอุปสมบทได้ ขอลาพระบรมวงศานุวงศ์ และ
ท่านเสนาบดีออกผนวชอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา เพื่อปฏิการฉลองพระเดชพระคุณให้สมดังพระ
ราชประสงคใ์ นสมเดจ็ พระบรมชนกนาถ และเปน็ สว่ นกุศลอันวัชบญุ กริ ิยา ไม่ให้เส่ือมทรามตามบรมราช
ตระกูลขัตติยราชประเพณีมาแต่ก่อน ขอท่านทั้งปวงจงมีจิตสโมสรเป็นเอกฉันท์พร้อมยอมอนุญาตให้เรา
ได้ออกผนวชรับอปุ สมบทโดยสะดวกสบายตามพระราชประสงค์ เทอญ
อนึ่ง ราชกิจใด ๆ ซง่ึ เปน็ ธรรมเนยี มในพระบรมมหาราชวงั พระเจ้าแผน่ ดินไดเ้ คยประพฤติเปน็
ราชประเพณมี าทกุ อยา่ งกบั ทง้ั พระราชนเิ วศนท์ ว่ั ทง้ั บรมมหาราชวงั ขอมอบใหพ้ ระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้
มหามาลา กรมขุนบำ�ราบปรปักษ์ เป็นประธานในพระบรมวงศ์ และราชการในธรรมเนียมท้ังปวงและ
ราชการแผน่ ดนิ โดยพระราช กฤษฎกี า พระอยั การ สรรพอาชญาสทิ ธท์ิ ง้ั ปวง ขอมอบใหท้ า่ นเจา้ พระยา
ศรสี รุ ยิ วงศ์ สมนั ตพงศพ์ สิ ทุ ธ์ิ มหาบรุ ษุ ยรตั โนดม เปน็ ประธานในราชการแผน่ ดนิ ทงั้ สนิ้ และราชการอน่ื ๆ
ตามต�ำ แหน่งท่านเสนาบดี และพนักงานตา่ ง ๆ เคยไดร้ ับท�ำ มานั้น ขอใหเ้ ป็นไปตามตำ�แหน่งพนักงาน
น้ัน ๆ ขอท่านทงั้ ปวงจงมคี วามสามคั คีพรอ้ มเพรียงกนั รกั ษาแผน่ ดินใหเ้ รยี บรอ้ ย อยา่ มเี หตกุ ารณ์อนั ใด
อันหนง่ึ ได้ ให้สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎรทงั้ ปวงไดม้ คี วามเย็นใจท่ัวกนั ตามการ ทีเ่ ป็นที่
มมี าแตก่ ่อนน้ันเทอญ
เอกสารอา้ งอิง
สมดุ ไทยด�ำ เส้นดินสอขาว เลขที่ ร. ๕. ๓๑/๖, จดหมายเหตุบรมราชาภิเษกครง้ั หลงั รชั กาลท่ี ๕.
63
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว เมอื่ ครง้ั ทรงผนวชเปน็ พระภิกษุ พ.ศ.๒๔๑๖
64
ขอใหท้ รงพระนิพนธ
เรอื่ งการผนวช
ปรากฏความในพระราชหตั ถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถวายพระเจา้ บรม
วงศเ์ ธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ลงวนั พุธ แรม ๑๓ คำ่� เดือน ๖ ปขี าน สัมฤทธศิ ก ตรงกบั วนั ท่ี
๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๑ ความวา่
“กราบทูล เสดจกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์
ดว้ ยกราบทูลมาให้ทรงเรยี งเรอ่ื งบรรพชาน้นั มิใชป่ ระสงค์จะใหท้ รงแปลถอ้ ยคำ� ในวธิ ีบรรพชา
แลอปุ สมบทออกเปนภาษาไทยชดั เจนนนั้ หามไิ ด้ คดิ วา่ จะใหค้ วามระระไป เหมอื นดงั ในโคลงถอื น�้ำ ทตี่ รงวา่
พราหมณ์อ่านโคลงแช่งน้ำ� แล้วเชิญพระแสงศรทั้งสามชุบนำ้�ฉนั้น ฤๅเหมือนหนึ่งว่าเม่ือพิธีคเชนทรัศว
สนานว่า อาลักษณอ่านค�ำ ประกาศเรือ่ งจตุรงคเสนาแตโ่ บราณ แลแสดงชื่อช้างตน้ มา้ ต้นฉน้นั เปนแต่ว่า
ความให้รวู้ ่าท�ำ สง่ิ น้นั ๆ คอื เหมือนหนง่ึ วา่ แต่งตวั อย่างไรเข้าไปขอบรรพชา ในทป่ี ระชมุ สงฆท์ รงสง่ั สอน
บ้าง แล้วออกมาทำ�ภณั ฑกุ รรมโกนศีศะสรง มคี วามเพียงเทา่ นี้ จะว่าสักสองบทฤๅสามบทก็พอ ๆ ใหค้ น
ท้ังปวงทราบวา่ ไดท้ �ำ ภัณฑกุ รรม ผิดกับคนสามัญทเี่ ขาเคยบวช เหมือนดังถา้ จะจดหมายเหตุในการทรง
ผนวช กค็ งต้องว่าวา่ ไม่ได้ทรงเคร่ืองออกไปแตใ่ นวัง เมอ่ื เสดจออกไปขอบรรพชาแล้ว พระอุปชั ฌาจ่ึงจด
มีดท�ำ ภัณฑกุ รรมแลว้ จงึ ได้ทรงเครื่อง พูดตามตาคนเหนถงึ จะปดิ ก็ไม่มิด แต่วิธีท�ำ อย่างไรที่ผอู้ ื่นไม่ทราบ
น้ันก็ไมต่ อ้ งว่า ตัวอยา่ งการท่ีถวายมานี้เปนท่อนต้น ตอนหลงั กว็ ่าเขา้ ไปขอผ้าหม่ ผา้ อกี บทหน่ึง รับศลี ขอ
นสิ สยั อกี บทหนงึ่ อปุ สมบทสวดญตั เิ ปนแตว่ า่ ๆ บรรพชาเสรจแลว้ พระกรรมวาจากส็ วดจตถุ กรรมอกี บท
หนง่ึ เปนเสรจการบวชเทา่ นน้ั แตท่ ข่ี อ้ ทลู ขอใหว้ า่ ดว้ ยค�ำ สงั่ สอนโดยเลอยี ดนน้ั เหนวา่ เหมอื นอยา่ งกบั เทศ
ใหค้ นฟงั ดว้ ยความสงั่ สอนนนั้ กเ็ ปนความเปดิ เผย ใหค้ นทง้ั ปวงทราบอยโู่ ดยมาก ผฟู้ งั กเ็ หมอื นหนงึ่ ฟงั เทศ
จง่ึ ได้กราบทูลขอให้ทรงโดยเลอียด
65
พระเจ้านอ้ งยาเธอ พระองคเ์ จ้ามนษุ ยนาคมานพ
66
เรอื่ งบอกอนสุ าสนนน้ั เหนวา่ เปนการของพระสงฆ์ จงึ่ ไดก้ ราบทลู ใหท้ รงโดยยอ่ คอื เหมอื นหนง่ึ เรอื่ งบรรพชา
อุปสมบททกี่ ราบทูลมาครั้งน้ี การทีถ่ วายเรอ่ื งไปนัน้ มิใช่จะบงั คบั ให้ท�ำ อยา่ งนนั้ ทีเดยี ว เปนแตม่ นุศนาค
(ภายหลงั คอื สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส) ไปบอกว่า ยงั ไมท่ รงทราบแน่ว่าจะ
ว่าความตดิ ต่อกันอย่างไร จึง่ เรยี งเปนเรอื่ งถวายมา ข้อใดขัดขวางดว้ ยพระวนิ ยั จะทรงลัดตดั ไปเสียกไ็ ด้
มใิ ช่ราชการแผน่ ดิน ซึ่งขอให้ทรงเรอ่ื งบวชน้ี อยากจะใหเ้ ปนจดหมายเหตุ คนทง้ั ปวงจะไดท้ ราบว่าการ
ทบ่ี วชน้ัน ผิดกวา่ การตามธรรมเนยี ม เปนแต่ว่าแนะหัวขอ้ ไว้พอคนไดร้ ูเ้ หมือนจดหมายเหตุ ฤๅจะตัดการ
บรรพชาอุปสมบทเสยี ว่าแต่ไดอ้ ุปสมบทแล้วอยู่ท่ีวัดนัน้ ก็ได้
ควรมิควรแลว้ แต่ละโปรด
กราบทลู มา ณ วนั พธุ แรม ๑๓ คำ่� เดือน ๖ ปีขาน สัมฤทธศิ ก
(พระราชหัตถเลขา) Chulalonkorn R.S.”
ในคร้งั น้นั พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ทรงมีลายพระหัตถ์ตอบความว่า
“รับพระราชทานวิตกเหนว่า จะเอาเร่ืองทรงบรรพชาอุปสมบทตามแบบอย่างพุทธพจนอริยก
ภาษา ออกแปลภณั ฑกุ รรม แลกรรมวาจา จนอนสุ าวนปู สมบท เปนกาพยโคลงภาคฉนั ท์ โดยสยามภาคย์
ภาษาไทย ให้มนุษท่ีนับถือพุทธสาสนาก็ดี ท่ีไม่ได้นับถือสาสนาก็ดี ทราบโดยภาษาไทยไม่ควร เปน
ของประเสรฐิ ทน่ี บั ถอื ในสาสนา เมอื่ จะท�ำ สงั ฆกรรมใหอ้ ปุ สมบทบรรชา กค็ งใหท้ �ำ อยดู่ ว้ ยภาษามคธเทา่ นนั้
ไมไ่ ดย้ กั ยา้ ย ถงึ ในภาษามคธ ถา้ ผดิ จนอักษรหนง่ึ ไม่ได้ ไมเ่ ปนบรรพชาอปุ สมบท ใหส้ ำ�เรจวินัยกรรมได้
เพราะเปนทแ่ี สลงพระไทยพระพุทธเจ้า ผเู้ ปนอรรคบคุ คนต้นลัทธิผูบ้ ญั ญัตมิ า
อนงึ่ บญั ญตั หิ า้ มมใิ หเ้ อาค�ำ พทุ ธภาสติ ในพทุ ธสาสนา ไปแตง่ บดิ เปนค�ำ สงั สกฤษฏแลภาษาอนื่ ๆ
เปนอาบตั ติ ามพระวินยั อนึ่งผีครปู ัทธยายธรรมวินยั ในวดั บวรนเิ วศนี้ กด็ ุรา้ ยเปนอัศจรรย์นัก
อนงึ่ การทท่ี �ำ ภณั ฑกุ รรม บรรพชาอปุ สมบทถวายนน้ั กเ็ ปนการใหญท่ ส่ี ดุ ไมค่ วรจะน�ำ มาตแี บใหช้ น
ทไ่ี มค่ วรจะรจู้ ะทราบใหไ้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั เชน่ การอภเิ ศกพระราชธดิ าในเมอื งวลิ าศเชน่ นน้ั ถงึ จะใหเ้ งนิ สกั กรี่ อ้ ย
กีพ่ นั กไ็ มไ่ ด้ดู น่เี ปนความเปรยี บอปุ มา อน่งึ ถา้ ทำ�เรียงอ่านเลน่ ดงั นี้ ลทั ธิธรรมยตุ ิกากจ็ ะตกลงเสมอกับ
สาสนาพระยวนท�ำ กงเตก็ ไป แลว้ กระหมอ่ มฉนั กเ็ หนจะไมไ่ ดอ้ ยฉู่ ลองพระเดชพระคณุ ตอ่ ไปได้ ดว้ ยอ�ำ นาจ
ผีครปู ัทธยายแลสาสนารกั ขเทพยดาจดั บนั ดาน
ควรมคิ วรแลว้ แตจ่ ะโปรด”
เอกสารอ้างอิง
หจช., ร.๕ รล.-พศ. เล่มท่ี ๒ เลขที่ ๑๔๓, “พระราชหตั ถเลขาถวายกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เร่ืองขอใหท้ รงพระนพิ นธเ์ ร่ืองการผนวช,
จ.ศ.๑๒๔๐ (พ.ศ.๒๔๒๑).
67
พระรปู พระเจา้ น้องยาเธอ พระองค์เจ้าดศิ วรกุมาร เมื่อคร้งั ทรงผนวชเปน็ สามเณร เม่ือปี พ.ศ.๒๔๑๘
ดา้ นหลังพระรูปมีลายพระหัตถ์ความว่า “ถวายไวแ้ ด่พระเจ้านอ้ งยาเธอ พระองคเ์ จ้ามนษุ นาคมานพ
ไว้เปนที่รฦกแท้ หม่อมฉัน ดิศวรกุมาร ถวายไวแ้ ต่ ณ วันพธุ ขึน้ ๑๒ คำ�่ เดอื น ๑๒ ปกี ุน ๑๒๓๗”
68
อปุ ชั ฌายวัตร
เสดจ็ พระอุปัชฌาย
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ ไดท้ รงพระนพิ นธเ์ รอ่ื ง “ความทรงจ�ำ ”
อรรถาธบิ ายข้อวตั รปฏบิ ัตเิ ม่อื ครง้ั ทรงผนวชเป็นสามเณร ความสำ�คัญตอนหน่งึ ว่า
… ถึงเดอื น ๘ ปีกนุ พ.ศ.๒๔๑๘ อายุครบกําหนดบวชเป็นสามเณร แลว้ จะตอ้ งออกไปอยนู่ อก
พระราชวังตามประเพณี ก็ออกจากราชการประจําพระองค์ ในปีนั้นมีเจ้านายทรงผนวชด้วยกันหลาย
พระองค์ เป็นพระภกิ ษุบ้าง (ได้แก่ พระเจา้ น้องยาเธอ พระองคเ์ จ้าคคั ณางคยคุ ล และพระเจ้าน้องยาเธอ
พระองคเ์ จา้ ศขุ สวสั ด)ี เปน็ สามเณรบา้ ง (พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระองคเ์ จา้ ทวถี วลั ยลาภ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ
พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร และพระเจ้าน้องยาเธอ
พระองคเ์ จ้าศรเี สาวภางค)์
สว่ นตวั ฉัน (พระเจา้ น้องยาเธอ พระองค์เจา้ ดิศวรกมุ าร) เมอ่ื บวชทว่ี ดั พระศรรี ัตนศาสดาราม
แล้ว ไปอยู่วัดบวรนิเวศฯ กับเจ้านายพี่น้องก็ไม่เดือดร้อนอันใดในการท่ีบวช ถ้าจะว่าประสาใจเด็กอายุ
เพียงเทา่ นั้นกลับจะออกสนุกดดี ้วย เพราะในสมยั นั้นประเพณีทกี่ วดขันในการศกึ ษาของพระเณรบวชใหม่
ยงั ไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ หนงั สอื ฉบบั พมิ พส์ �ำ หรบั ศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั กย็ งั ไมม่ ี ไดอ้ าศยั ศกึ ษาแตด่ ว้ ยฟงั เทศนาและ
ค�ำ สง่ั สอนของพระอปุ ัชฌายอ์ าจารย์
ขอ้ บังคับสำ�หรบั เจ้านายที่ทรงผนวชอยูว่ ัดบวรนเิ วศ ๚
ตอนแรกทรงผนวช ตอนรงุ่ เชา้ ตอ้ งจดั น�้ำ บว้ นพระโอษฐก์ บั ไมส้ พี ระทนตไ์ ปถวายพระมหาสมณเจา้
กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ (สมยั นน้ั ยังดาํ รงพระยศเปน็ กรมพระ) เรียกกันวา่ “เสดจ็ พระอุปัชฌาย”์
หรอื เรยี กกนั ในวดั ตามสะดวกแตโ่ ดยยอ่ วา่ “เสดจ็ ” ทกุ วนั ตามเสขยิ วตั ร และจนถงึ ตอนค�่ำ เวลา ๑๙ นาฬกิ า
ต้องขึ้นไปเฝ้าฟังทรงสั่งสอนพระธรรมวินัยอีกคร้ังหน่ึง ถ้าจะออกบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้นก็ต้องทูลลา
ในเวลาคำ่�นั้น แตก่ ารท้งั ๓ อยา่ งนเ้ี ม่ือทาํ ได้สัก ๗ วนั ก็โปรดประทานอนุญาตมใิ หต้ ้องทาํ ต่อไป เว้นแต่
จะไปธรุ ะอ่ืนจงึ ต้องข้ึนไปทูลลาทกุ ครั้ง
เอกสารอา้ งอิง
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานุภาพ. ความทรงจำ�. พระนคร : ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๑๖.
69
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
(ทีม่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)
70
ขอ วตั รกรมพระยาปวเรศฯ
เสด็จพระอุปัชฌาย์ท่านทรงประพฤตวิ ตั รปฏิบัตติ รงตามเวลาแนน่ อนผิดกับผู้อื่นโดยมาก
บรรทมตนื่ แตก่ อ่ น ๘ นาฬกิ า พอเสวยเชา้ แลว้ ใครจะทลู ลาไปไหนกข็ น้ึ เฝา้ ตอนนถี้ งึ ๙ นาฬกิ า
เสด็จลงทรงเป็นประธานพระสงฆท์ ําวัตรในพระอโุ บสถ เสด็จกลับขึ้นตาํ หนกั ราว ๑๐ นาฬิกา
ประทับรับแขกที่ไปเฝา้ จนเพล
เสวยเพลพอเทย่ี งวนั เสดจ็ ขึน้ ตําหนักชั้นบน ทรงสำ�ราญพระอริ ยิ าบถและบรรทม
จนบา่ ย ๑๕ นาฬกิ า เสดจ็ ลงทห่ี อ้ งรบั แขก ใครจะเฝ้าในตอนน้ีอีกกไ็ ด้
พอแดดออ่ นมกั เสดจ็ ลงทรงพระดาํ เนนิ ประพาสในลานวดั จนเวลาพลบค�่ำ ถงึ ตอนนร้ี าว ๑๙ นาฬกิ า
เจ้านายทีท่ รงผนวชใหม่ขน้ึ เฝ้าฟงั คาํ สอนทีป่ ระทานตามอปุ ชั ฌายวตั รไป
จนถึง ๒๐ นาฬิกา เสดจ็ ลงเป็นประธานพระสงฆ์ทําวตั รค�ำ่ อกี เวลาหนึง่
เมอื่ ทาํ วัตรแล้วถา้ ในพรรษา โปรดให้ฐานานุกรมผู้ใหญข่ ึ้นนงั่ ธรรมาสน์ อ่านบุรพสิกขาสอนขอ้
ปฏบิ ัตแิ ก่พระบวชใหมว่ นั ละตอน แล้วซอ้ มสวดมนต์ตอ่ ไปจนจวน ๒๓ นาฬกิ า จงึ เสรจ็ การประชุมสงฆ์
เสด็จขนึ้ เขา้ ท่บี รรทม
เอกสารอา้ งองิ
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ความทรงจำ�. พระนคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๑๖.
71
สามเณรพระองคเ์ จา้ ในรชั กาลท่ี ๔
72
วถิ สี ามเณร
ในสมัยกรมพระยาปวเรศฯ
...เมอื่ เพลแลว้ เปน็ ประเพณพี ระเณรยอ่ มนอนกลางวนั ถงึ ตอนบา่ ยมกั ไปเทยี่ วกบั พวก (มหาดเลก็ )
เดก็ หนมุ่ ทไี่ ปอยดู่ ว้ ย ไปเลน่ ทล่ี านรอบวหิ ารพระศาสดาเปน็ พน้ื บางวนั กช็ ว่ ยกนั ทาํ ดอกไมไ้ ฟจดุ เลน่ บางวนั
กเ็ ลา่ นทิ านสกู่ นั ฟงั ไมม่ อี ะไรเปน็ สาระนอกจากไมท่ าํ ความชวั่ เทา่ นนั้ ครน้ั เวลาเยน็ พระเณรทชี่ อบอธั ยาศยั
อยใู่ นคณะเดยี วกนั มกั ไปประชมุ กนั ทกี่ ฏุ อิ งคใ์ ดองคห์ นง่ึ ตรงนค้ี วรชมประเพณกี ารบวชในพระพทุ ธศาสนา
ทถ่ี อื ว่าเสมอกนั หมด ไม่ตอ้ งย�ำ เกรงดว้ ยยศศกั ดิ์ นัง่ สนทนาปราศรัยกันตามชอบ
ในเวลาประชมุ กนั ตอนเย็นนี้ โดยเฉพาะผู้บวชใหมเ่ ริ่มจะเกดิ หิว จงึ มกั ช่วยกนั เคย่ี วน�้ำ ตาลนำ้�ผึง้
สาํ หรบั บรโิ ภคกับน�ำ้ ชาในเวลาค�่ำ
การเคี่ยวนำ้�ตาลกับนำ้�ผึ้งที่ว่านี้ ค่าท่ีพระตามวัดเคยทําสืบต่อกันมาช้านาน อาจจะผสมส่วน
ทําได้แปลก ๆ น่ากินหลายอย่าง สนทนากันและกินนำ้�ชากับน้ำ�ตาลนำ้�ผึ้งเป็นท่ีบันเทิงใจ จนเวลาคำ่�
กลับขึ้นกุฏิ
การทอ่ งสวดมนต์มักทอ่ งเวลาน้กี บั เวลาแรกรุ่งเช้ากอ่ นออกบิณฑบาตอีกเวลาหน่ึง คร้ันถึงเวลา
๒๐ นาฬิกา ได้ยินเสียงระฆงั สญั ญาณก็พากนั ลงโบสถเ์ วลาค�ำ่ เสร็จแลว้ ก็เปน็ สิ้นกจิ ประจําวนั
ตามความที่เลา่ มาจะเห็นได้ว่า การทีบ่ วชเปน็ สามเณรนัน้ โดยเฉพาะเจา้ นาย ถา้ บวชแต่พรรษา
เดียวดูไม่สู้จะเป็นประโยชน์เท่าใดนัก เพราะยังเป็นเด็กเห็นแต่แก่จะสนุกสนาน ฟังส่ังสอนศีลธรรมก็ยัง
มใิ ครเ่ ขา้ ใจ ไดป้ ระโยชนเ์ ปน็ ขอ้ สาํ คญั แตค่ วามคนุ้ เคยอยใู่ นบงั คบั บญั ชา และสมาคมกบั เพอื่ นพรหมจรรย์
โดยฐานเปน็ คนเสมอกนั เปน็ นิสัยปจั จยั ตอ่ ไปขา้ งหนา้
แต่จะว่าการท่ีบวชเณรไม่เป็นประเพณีดีก็ว่าไม่ได้ ถ้าคิดถึงชั้นบุคคลพลเมืองสามัญในสมัยเมื่อ
รัฐบาลยังมิได้ตั้งโรงเรียน ที่เรียนหนังสือและเรียนศีลธรรมมีแต่ในวัด พ่อแม่ส่งลูกไปอยู่วัดก็คือว่าให้ไป
เขา้ โรงเรยี นนัน่ เอง
73
สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าจาตุรนต์รศั มี เมอื่ ครง้ั ทรงผนวชเปน็ สามเณร
(ท่ีมา หอจดหมายเหตแุ ห่งชาต)ิ
74
ช้ันแรกเป็นแต่ลูกศิษย์วัดตรงกับเรียนวิชาช้ันปฐมศึกษา เม่ือได้ความรู้เบื้องต้นและคุ้นกับวัดจน
เกดิ เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา จงึ ใหบ้ วชเปน็ สามเณรเสมอื นเลอื่ นขนึ้ เปน็ ชน้ั มธั ยม มเี วลาเลา่ เรยี นมากขนึ้
และได้รับความเคารพอุดหนุนของชาวบ้านยิ่งกว่าเป็นลูกศิษย์วัด แต่ต้องบวชเป็นสามเณรอยู่นานจนถึง
อปุ สมบทเปน็ พระภิกษุ หรือมิฉะนนั้ กต็ อ้ งบวชหลายพรรษา จงึ จะได้ความรูท้ ีเ่ ป็นประโยชนต์ ดิ ตวั ในเวลา
เม่อื สึกไปเป็นฆราวาส
เม่ือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เป็นประธานสงฆ์ ทรงพระดาํ ริความ
ตามทกี่ ลา่ วมานี้ จงึ จดั ตงั้ วธิ สี อนและสอบความรพู้ ระเณรทเี่ ปน็ “นวก” บวชพรรษาเดยี ว ซงึ่ ใชเ้ ปน็ แบบอยู่
ท่วั ไป ณ บัดนี้ โดยพระประสงค์จะปลูกน้ำ�ใจผู้บวชใหม่ ใหน้ ิยมพยายามศกึ ษาประกวดกนั และกัน ต้งั แต่
แรกบวชไปจนสมหมายเมอื่ สน้ิ พรรษา และความรศู้ ีลธรรมติดตวั ไปเปน็ ประโยชน์เมอ่ื เวลาเปน็ ฆราวาส
การทบี่ วชพรรษาเดยี วเดยี๋ วนจ้ี งึ นบั วา่ ดกี วา่ สมยั เมอื่ ฉนั บวชเณรมาก แตถ่ า้ บวชอยตู่ งั้ ๒ พรรษา
ขน้ึ ไป ถงึ ในสมยั กอ่ นกเ็ ปน็ ประโยชน์ เพราะสมคั รเปน็ บรรพชติ ดว้ ยเหน็ ทางทจี่ ะแสวงหาคณุ วเิ ศษอยา่ งไร
ต่อไปแล้วจึงบวชอยู่ พอล่วงพรรษาแรกก็ต้ังหน้าพยายามตามจํานง เป็นต้นว่า เรียนภาษามคธ หรือ
ฝกึ หดั ศลิ ปศาสตรใ์ นสาํ นกั อาจารย์ในวดั นั้นต่อไปจนสำ�เรจ็
พระเถระที่รอบรู้พระธรรมวินัยและช่างที่มีชื่อเสียงมาแต่ก่อน ล้วนเร่ิมเรียนวิชาแต่เวลายังบวช
เป็นสามเณรแทบทั้งนัน้ ว่าถึงตัวฉนั เอง (สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานุภาพ) เมอ่ื
ออกพรรษาปกี นุ พ.ศ.๒๔๑๘ ได้พระราชทานกฐนิ หลวงใหไ้ ปทอดทวี่ ัดคงคาราม ไดไ้ ปเมอื งเพชรบุรเี ป็น
ครง้ั แรก ทอดกฐนิ แลว้ กลับมาก็สกึ ในเดือน ๑๒ นัน้ ก่อนจะสกึ ต้องถวายดอกไม้ธปู เทยี นทูลลาเสดจ็ พระ
อปุ ชั ฌาย์ แลว้ ตอ้ งเขา้ เฝา้ ทลู ลาสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ดว้ ย แตไ่ มม่ คี วามลาํ บากอนั ใด ดว้ ยพระบาทสมเดจ็
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบมาแต่แรกแล้วว่า ฉันจะบวชแต่พรรษาเดียว แล้วจะสึกออกมารับ
ราชการ ก็พระราชทานบรมราชานุญาตโดยงา่ ย...
เอกสารอ้างอิง
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. ความทรงจำ�. พระนคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๑๖.
75
พระจนั ทรโคจรคณุ (ย้มิ จันทรํส)ี
(ท่มี า หอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ
76
พระจนั ทรโคจรคุณ
...พระมหาเถรจนั ทรงั สอี งคน์ ้ี ไดอ้ บุ ตั ใิ นคฤบดตี ระกลู ณ ต�ำ บลสามเสน เมอ่ื วนั องั คาร ขนึ้ ๘ ค�่ำ
เดือน ๑๒ ปีมะเสง็ เอกศก พุทธศกั ราช ๒๓๕๒ จลุ ศกั ราช ๑๑๗๑ สรุ ิยโคจร ราศี ๗ องศาสญู
เวลาพลบค่ำ� เม่ือเจริญวัยข้ึนได้ไปบวชเป็นสามเณร ศึกษาอักขรสมัยอยู่ในคณมหานิกาย ปรากฏนาม
ตามสยามพากยว์ ่า สามเณรยมิ้
ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงผนวชยกพระธรรมวินัยข้ึนให้รุ่งเรือง
ทรงสง่ั สอนสาวกบรษิ ทั ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามพทุ โธวาทถกู ตอ้ งตามวนิ ยั นยิ ม ทา่ นมศี รทั ธาเลอื่ มใส เขา้ มาบวชเปน็
สามเณรอยใู่ นคณของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื่ ครงั้ ยงั ประทบั อยวู่ ดั มหาธาตุ อาศยั อยู่
กบั สมเดจ็ พระวันรตั พทุ ธสิริ ๒ พรรษา เมือ่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวเสดจ็ ข้นึ ไปประทบั
อยูว่ ดั ราชาธิวาส ก็ได้ตามเสดจ็ ขนึ้ ไปด้วย
ครนั้ อายคุ รบอปุ สมบทแลว้ ไดอ้ ปุ สมบทเปน็ ภกิ ษทุ น่ี ทสี มี า เมอ่ื เดอื นเจด็ ปขี าล โทศก พทุ ธศกั ราช
๒๓๗๓ จุลศักราช ๑๑๙๒ พระมหาเถรซ่ึงเป็นต้นวงศ์ของพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็นพระอุปัชฌาย์
พระมหาเถรวชริ ญาณ คอื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ มนี ามปรากฏ
ตามศาสนโวหารวา่ พระจันทรังสี ครั้นภายหลังไดท้ ำ�ทฬั หิกรรมอุปสมบทท่นี ทสี ีมาอกี สองคร้งั ทา่ นได้
จ�ำ พรรษาอยวู่ ดั ราชาธวิ าสนน้ั สมยั หนง่ึ ไปอยวู่ ดั บรมนวิ าสประมาณกาลไมน่ านกก็ ลบั มาอยวู่ ดั ราชาธวิ าส
อย่างเดมิ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ ท่านก็ได้
ตามเสดจ็ ดว้ ยในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระวนั รตั พทุ ธสริ ไิ ดเ้ ปน็ พระอรยิ มนุ ี
ทพี่ ระราชาคณะ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหพ้ ระมหาเถรจนั ทรงั สอี งคน์ เี้ ปน็ พระปลดั
ของพระอริยมุนี
77
ครนั้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ ถลงิ ถวลั ยราชสมบตั แิ ลว้ กท็ รงอปุ ถมั ภท์ �ำ นบุ �ำ รงุ
พระมหาเถรจนั ทรงั สอี งคน์ ด้ี ว้ ยจตปุ จั จยั ตามสมณฐานานศุ กั ด์ิ ทรงพระกรณุ าโปรดใหเ้ ปน็ พระครตู �ำ แหนง่
วเิ ศษ มนี ามในสญั ญาบตั รว่า พระครูจันทรโคจรคุณ เมื่อวันจันทร์ แรม ๙ ค่ำ� เดือน ๘-๘ ปีเถาะ
สัปตศก พุทธศักราช ๒๓๙๘ จุลศักราช ๑๒๑๗ ได้รับพระราชทานตาลปัตรพุดตานพ้ืนกำ�มะหยี่
หักทองขวางเปน็ เครื่องยศ
คร้ันถึงปีมะโรง อัฐศก พุทธศักราช ๒๓๙๙ จุลศักราช ๑๒๑๘ ได้มาจำ�พรรษาอยู่ ณ
วัดโสมนัสวิหาร ด้วยสมเด็จพระวันรัตพุทธสิริ ได้ ๔ พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชา
คณะไปอยู่ช่วยทำ�นุบำ�รุงพุทธศาสนาในวัดบวรนิเวศวิหาร มีนามในสัญญาบัตรว่า พระจันทรโคจรคุณ
เมอ่ื วนั อาทติ ย์ แรม ๘ ค�ำ่ เดอื นยี่ ปมี ะแม เอกศก พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๒ จลุ ศกั ราช ๑๒๒๑ ไดร้ บั พระราชทาน
ตาลปัตรแฉกพ้ืนกำ�มะหย่ีหักทองขวาง แลเครื่องยศสำ�หรับพระราชาคณะพร้อมทุกอย่างเป็นเครื่องยศ
ไดไ้ ปจำ�พรรษาอยวู่ ดั บวรนเิ วศวิหาร
เม่ือปีวอก โทศก พุทธศักราช ๒๔๐๓ จุลศักราช ๑๒๒๒ ในเวลาเม่ือพระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั แต่คร้ังยังดำ�รงพระราชอิสริยยศเปน็ สมเด็จพระเจ้าลกู ยาเธอ เจ้าฟ้าอยู่ ทรง
ผนวชเปน็ สามเณร เสดจ็ ประทบั อยวู่ ัดบวรนิเวศวหิ าร ได้เสด็จมาทรงรบั สรณคมน์ แลสมาทานทศศลี ใน
ส�ำ นักทา่ นหลายครงั้
ท่านจำ�พรรษาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารได้ ๘ พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดเรือขบวนแห่
พระมหาเถระจนั ทรงั สี พระจนั ทรโคจรคณุ องคน์ ี้ พรอ้ มดว้ ยฐานานกุ รม ๓ รปู อนจุ ร ๑๖ รปู รวม ๒๐ รปู
แต่วัดบวรนิเวศวิหาร มาอยู่ครองวัดมกุฏกษัตริย์ ซ่ึงโปรดให้เรียกว่า วัดพระนามบัญญัติ ท่ีทรงสร้าง
ข้ึนใหม่...
เอกสารอ้างอิง
คัดจากสมดุ ไทย “ประวัติพระมหาเถรจนั ทรังสี ซง่ึ ไดด้ ำ�รงในสมณศกั ด์ิท่พี ระราชาคณะ โดยนามว่า พระจันทรโคจรคุณ”
78
เหรียญทร่ี ะลกึ มหาสมณุตมาภเิ ษก พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมสมเดจ็ พระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ พ.ศ.๒๔๓๔
ลกั ษณะเป็นเหรียญรูปไข่ ดา้ นหน้าท�ำ เป็นรปู อฐั บริขาร พดั ยศ และเบญจปฎลเศวตฉัตร ล้อมรอบด้วยภาษาบาลี อกั ษรไทย
ความวา่ "อยโํ ข สขุ ิโตโหติ นิท์ทุก์โขนริ ปุ ททโว อนนั ตราโยตฏิ ์เฐย์ย สพั ์พโสตถ์ ีภวันตุเต"
แปลวา่ "ผู้น้แี ลมีความสุข ไร้ความทุกข์ ไรอ้ ปุ ทั ทวะ ไม่มีอนั ตราย พึงด�ำ รงอยู่ ขอความสวสั ดีจงมีแด่ท่าน"
79
พระเจ้านอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส
80
ทรงเลือก
พระกรรมวาจาจารยเ อง
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงเลา่ ไวใ้ นพระนพิ นธ์เรอ่ื ง “พระประวัติ
ตรัสเลา่ ” ความตอนหน่ึงวา่ ธรรมเนยี มในการอุปสมบทของเจ้านายสมัยกอ่ นนน้ั พระอุปัชฌายน์ ้ันทาง
ราชการจักเป็นผกู้ �ำ หนดไวใ้ ห้ สว่ นพระกรรมวาจาจารย์นั้นอุปสัมปทาเปกขะสามารถเลอื กได้เอง
ครั้งน้ัน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงศรัทธาในวัตรปฏิบัติของ
พระจนั ทรโคจรคณุ (ยมิ้ จนทฺ รสํ )ี เจา้ อาวาสวดั มกฏุ กษตั รยิ าราม ทแ่ี มอ้ งคท์ า่ นจะเปน็ พระราชาคณะชน้ั
สามญั ยก แตด่ ว้ ยสลี าจารวตั รอนั งดงามเปน็ เหตใุ หส้ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงเลอื กเปน็ พระกรรมวาจา
จารย์ของพระองค์
ดงั ความตอนหน่ึงในพระนพิ นธว์ ่า
“เหตุไฉน เจา้ คณุ จนั ทรโคจรคณุ ผเู้ ป็นเพยี งพระราชาคณะยก จึงเป็นพระกรรมวาจาของเราฯ
มเี ปน็ ธรรมเนยี มในราชการ พระอปุ ชั ฌายะ หลวงเลอื ก พระกรรมวาจาจารย์ เจา้ ตวั ผบู้ วชเลอื ก
เราเล่ือมใสอยู่มากในเจ้าคุณจนั ทรโคจรคุณ เหน็ อาการของท่านเครง่ ครดั แลเปน็ สมถะดี มฉี ายาอนั เย็น
เชน่ พระราหลุ ครงั้ ยงั เปน็ พระทารก กลา่ วชมสมเดจ็ พระบรมศาสดาฉะนน้ั ท�ำ ทางรจู้ กั กบั ทา่ นไวก้ อ่ นแลว้
ครนั้ ถงึ เวลาบวช จงึ เลอื กทา่ นเปน็ พระกรรมวาจาจารย์ ไมต่ อ้ งการทา่ นผมู้ ยี ศสงู กวา่ เราพอใจวา่ ไดท้ า่ น
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ตัง้ แต่บัดนน้ั มาจนทุกวนั น้ี ๚”
เอกสารอ้างองิ
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. พระประวัตติ รัสเลา่ . พระนคร : โรงพิมพ์มหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๐๘.
81
พระเจ้านอ้ งยาเธอ กรมหม่ืนวชริ ญาณวโรรส ทรงฉายพระรปู รว่ มกบั พระเถรานุเถระในการศพ
พระจันทรโคจรคุณ ณ เมรุผา้ ขาววัดมกฏุ กษัตรยิ าราม เดอื นพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๖
82