ปลงศพพระจนั ทรโคจรคณุ
ตามสยามจารีต
...พระมหาเถระจันทรังสีอาพาธบูราณโรคมาได้ ๑๐ เดือน ถึงมรณภาพในหอพระคณะกลาง
วดั พระนามบัญญตั ิน้ี เม่ือวนั จันทร์ แรม ๑๒ คำ่� เดอื น ๑๐ ปมี ะเมียจัตวาศก (ตรงกับวันท่ี ๙ ตุลาคม)
พทุ ธศักราช ๒๔๒๕ จุลศักราช ๑๒๔๔ สรุ ิยโคจรราศี ๕ องศา ๒๓ เวลา ๒ ทุ่ม ๕๐ นาที อายุ
๗๔ โดยปี ๗๓ รอบหย่อน ๓๗ วันโดยสุริยคติกาล นับเป็นวนั ได้ ๒๖๖๒๗ วัน พรรษาท่ี ๕๓ ครอง
วัดพระนามบญั ญัตนิ ไ้ี ด้ ๑๔ ปี
รงุ่ ขน้ึ วันอังคาร แรม ๑๓ ค�่ำ เดือน ๑๐ ปมี ะเมยี จตั วาศก (วันท่ี ๑๐ ตลุ าคม) อันเตวาสิก
สทั ธวิ หิ ารกิ ของพระเถระจนั ทรงั สี มกี รมหมน่ื วชริ ญาณวโรรสเปน็ ประธาน ไดป้ ระชมุ พระเถรานเุ ถระฝา่ ย
ธรรมยุติกนกิ ายพร้อมกนั อาบน�ำ้ ศพตามสยามจารตี เชญิ ศพลงหบี ทองทบึ ประดิษฐานไว้ ณ กุฎีใหญ่นัน้
ท�ำ บุญถวายทานภิกษุสงฆส์ ามเณรแลมีเทศนาตามสมควร
ครน้ั การทำ�เมรผุ า้ ขาวท่หี น้าวดั พระนามบญั ญัติน้ีเสร็จแล้ว วนั องั คาร แรม ๑๒ ค่ำ� เดือน ๕
ปีมะแมเบญจศก จลุ ศักราช ๑๒๔๕ (ผู้เขยี น - ควรตรงกบั วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๖) เวลา
ทมุ่ เศษ เชิญศพพระมหาเถระจนั ทรงั สีไปประดษิ ฐาน ณ เมรุผ้าขาว มกี ารทำ�บุญแลมหรสพบูชา ๓ วัน
ครนั้ ถงึ วนั ศกุ ร์ ขนึ้ ๑ ค�่ำ เดอื น ๖ (ผเู้ ขยี น - ควรตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๖)
ได้ประชุมพระเถรานุเถระพร้อมกันทำ�ฌาปนกิจ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
พระราชด�ำ เนนิ โดยทางชลมารคดว้ ยเรอื พระทนี่ งั่ กราบ พรอ้ มดว้ ยเรอื ขา้ ราชการตามเสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ
ประทับพลับพลา ณ วัดพระนามบัญญัติ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานบังสุกุลแล้ว ทรงจุดฝักแค
พระราชทานเพลงิ ศพพระมหาเถระจนั ทรงั สี พระจนั ทรโคจรคณุ กอ่ น พระเถรานเุ ถระแลคฤหสั ถบ์ รรพชติ
จึงไดท้ ำ�การฌาปนกิจต่อภายหลัง
ร่งุ ขนึ้ วนั เสาร์ ข้นึ ๒ ค�ำ่ เดอื น ๖ ได้เกบ็ อฐั ิธาตบุ รรจุไวใ้ นรปู หล่อ มกี ารฉลองธาตอุ กี คนื หนงึ่
แล้ว เชิญมาประดิษฐานไว้ ณ หอพระที่อยู่เดิม เพื่อเป็นที่สักการะเคารพนับถือบูชาของอันเตวาสิก
สัทธิวหิ ารกิ ของทา่ นตอ่ ไป แลเปน็ ท่ตี ้งั แหง่ ความเส่อื มใสสังเวชของภิกษุสามเณรผู้ได้มา ณ ที่นี้
เอกสารอ้างองิ
คัดจากสมดุ ไทย “ประวัตพิ ระมหาเถรจันทรังสี ซ่ึงได้ดำ�รงในสมณศกั ดทิ์ ีพ่ ระราชาคณะ โดยนามวา่ พระจนั ทรโคจรคณุ ”
83
สามเณรพระเจา้ ลูกยาเธอ พระองคเ์ จ้ากติ ิยากรวรลกั ษณ์
สามเณรพระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จ้ารพีพัฒนศกั ด์ิ
สามเณรพระเจา้ ลูกยาเธอ พระองคเ์ จา้ ประวิตรวฒั โนดม
84
พระเจา ลกู ยาเธอ
ในรชั กาลที่ ๕ ทรงผนวชเปน็ สามเณร
กอนเสด็จไปศึกษาตอ ณ ทวีปยุโรป
ความจากพระราชหตั ถเลขาของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถงึ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ
กรมหมนื่ วชิรญาณวโรรส ฉบับที่ ๑๗๖/๔๖ ลงวันเสาร์ ขนึ้ ๑๐ ค�่ำ เดือนยี่ ปีวอก ฉศก จลุ ศกั ราช
๑๒๔๖ (พ.ศ.๒๔๒๗) ทีว่ า่
"กราบนมสั การมายงั กรมหมนื่ วชริ ญาณวโรรส
ดว้ ยลกู ชายสค่ี น (พระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้ กติ ยิ ากรวรลกั ษณ์ พระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้
รพพี ฒั นศกั ด์ิ พระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้ ประวติ รวฒั โนดม และพระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้ จริ ประวตั ิ
วรเดช) ท่ีโกนจุกแล้วแลยังจะโกนต่อไปอีกน้ัน เดิมหม่อมฉันเห็นว่ายังเล็กอยู่จะเป็นเล่นตุ๊กตามากไป
จงึ ไมค่ ดิ วา่ จะบวช จะไวบ้ วชพระทเี ดยี ว แตข่ า้ งฝา่ ยมารดาญาตพิ น่ี อ้ งเขาอยากจะใหบ้ วชตามธรรมเนยี ม
ด้วยถอื กนั ว่าบวชเณรเปน็ สว่ นของมารดา จะไปให้เขาขาดทนุ เสียกด็ ูไมด่ ี จง่ึ จะผอ่ นใหเ้ ขาชนื่ ชมยนิ ดีบา้ ง
ตัวเด็กนั้นกข็ ยันขนั แขง็ วา่ จะบวชได้ แต่หม่อมฉนั ไม่ใครจ่ ะไว้ใจเลย เพราะเดก็ นักบวชน้นั ต้องถวายเสด็จ
อปุ ชั ฌาย์ (พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระปวเรศวรยิ าลงกรณ)์ ทรงบวชให้ แตจ่ ะไปอยทู่ วี่ ดั บวรนเิ วศกลวั
จะไปซุกซนกวนพระทัยท่าน ทา่ นกจ็ ะทรงเกรงใจเสีย ไม่ใครจ่ ะว่ากล่าวอันใด จะไปออกลิงเหมอื นอย่าง
ลกู พระป่ินเกล้า ไมเ่ ป็นทีช่ อบใจเลย ในเวลาลกู บวช ขอเชญิ เสดจ็ มาอยูว่ ัดบวรนิเวศ (เวลาน้ัน พระเจา้
นอ้ งยาเธอ กรมหมนื่ วชริ ญาณวโรรส ประทบั อยวู่ ดั มกฏุ กษตั รยิ าราม) พอจะไดก้ �ำ กบั ดแู ลวา่ กลา่ วสง่ั สอน
ให้เป็นประโยชน์บ้าง คงจะมีความกลัวไม่อาจวุ่นวายอันใดไป คดิ ว่าจะไม่ใหอ้ ย่เู ขา้ พรรษา ด้วยกำ�หนด
จะใหอ้ อกไปเมืองนอกเสียในเดอื น ๘ ปรี ะกา สัปตศก จะอย่ไู ด้ ๗ วนั ๑๐ วนั ๑๕ วนั อย่างไรกต็ ามที
ขอกราบทลู มาให้ทรงทราบเสียก่อนจะได้ตระเตรยี มพระองค์ ใม่ให้การงานท้ังปวงเสยี ไป
(ลงพระนาม) สยามนิ ทร”
85
พระปัญญาอคั คะ
พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
86
หลอ พระพทุ ธรปู
ฉลองพระองค
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงหลอ่ พระพทุ ธวชริ ญาณ พระพทุ ธรปู ฉลองพระองค์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระพุทธปัญญาอัคคะ พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จ
พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ เพอ่ื อญั เชญิ ไปประดษิ ฐาน ณ วหิ ารเกง๋ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
เมื่อวันท่ี ๓๐ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๒๘
ในโอกาสเดยี วกนั นี้ ไดท้ รงหลอ่ พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ จะเชญิ ไป
ประดษิ ฐาน ณ ปราสาทพระบรมรูป วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม
ดังปรากฏความใน จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ความวา่
“วันอังคาร แรม ๘ ค่ำ� เดอื นอ้าย ปีระกาสปั ตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ (วนั ที่ ๒๙ ธันวาคม
พ.ศ.๒๔๒๘)
...มกี ารสวดมนตท์ โ่ี รงหลอ่ ดว้ ยพรงุ่ นจ้ี ะหลอ่ พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ซ่ึงจะเชิญเข้าประดิษฐานในปราสาทศิลา ในวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กับพระพุทธรูปฉลอง
พระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และฉลองพระองค์กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ซ่ึงจะ
ได้เชญิ ไปประดิษฐาน ณ วหิ ารเกง๋ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
วันพธุ แรม ๙ ค�่ำ เดอื นอา้ ย ปีระกาสัปตศก จลุ ศักราช ๑๒๔๗ (วันท่ี ๓๐ ธนั วาคม พ.ศ.
๒๔๒๘)
เวลาเช้า ๔ โมงเศษ เสด็จออกทางพระท่ีนั่งจักรี ทรงรถพระที่นั่งพร้อมด้วยขบวนนำ�และ
ตามเสดจ็ ไปประทับโรงหล่อริมวังพระองคเ์ จา้ ประดษิ ฐ เสด็จประทับบนพลบั พลา ทรงจดุ เทียนนมสั การ
87
พระอริยมนุ ี (เดช €านจาโร) ถวาย เจา้ พนักงานนำ�เบา้ ทองเข้ามาถวายทรงวางทองคำ�ไปลงไนเบ้า แล้ว
เจ้านายก็นำ�ทองไปลงเบ้าด้วย เจ้าพนักงานนำ�เบ้าไปข้ึนร่างร้านแล้วถวายสายเชือกสำ�หรับทรงจับเก่ียว
กบั คีม ทรงจับเชือกแลว้ พระราชทานหางเชอื กใหเ้ จา้ นายถอื ท่วั กัน เจ้าพนกั งานเททองหลอ่ พระพทุ ธรูป
ฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวองค์ ๑ พระพุทธรูปฉลองพระองค์กรมพระ
ปวเรศวริยาลงกรณ์องค์ ๑ ซึ่งจะเชิญไปประดิษฐานวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร กับพระรูปพระบาท
สมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ซ่ึงจะเชญิ ไปประดิษฐานวดั ราชประดษิ ฐองค์ ๑ ครน้ั หลอ่ เสร็จแลว้ ทรง
ประเคนอาหารบณิ ฑบาตพระสงฆ์ ๕ รปู รบั พระราชทานฉนั เสดจ็ ไปทอดพระเนตรพระประธานแลว้ เสดจ็
กลับพระบรมมหาราชวงั ก่อนพระสงฆ์ฉันแล้ว
วนั อาทิตย์ ขนึ้ ๑๐ ค�ำ่ เดอื น ๔ ปีระกาสัปตศก จุลศกั ราช ๑๒๔๗ (วนั ท่ี ๒๑ มีนาคม พ.ศ.
๒๔๒๘)
เวลาวนั นเี้ รมิ่ การฉลองพระพทุ ธรปู ฉลองพระองคไ์ นพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และ
พระฉลองพระองค์ กรมพระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ซึ่งจะเชญิ ไปสถิต ณ พระวหิ ารเกง๋ วัดบวรนเิ วศ และ
พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ซง่ึ จะไดเ้ ชญิ ไปสถติ ณ ปราสาทวัดราชประดษิ ฐด้าน
ข้างทศิ ตะวนั ตก พระพุทธรูป และพระบรมรูปนีเ้ ปน็ แต่ปิดทองคำ�เปลวท้ังน้ัน
วนั ศุกร์ ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดือน ๔ ปรี ะกาสปั ตศก จลุ ศักราช ๑๒๔๗ (วันที่ ๒๖ มนี าคม พ.ศ.
๒๔๒๘)
เวลาเชา้ ๕ โมงเศษ เสดจ็ ออกทางในประทบั พลบั พลาทรงพระราชยานไปประทบั วดั ราชประดษิ ฐ
เสดจ็ ประทบั ในพระอโุ บสถ ทรงจดุ เทยี นนมสั การพระพรหมมนุ ี (ศรี อโนมสริ )ิ ถวายศลี แลว้ พระพรหมมนุ ี
ฐานาเปรียญอนั ดับ ๒๐ รูปถวายพรพระ เสด็จประทับทรงบาตรด้วย ทรงถวายบาตรใหม่ทงั้ นน้ั พระสงฆ์
ถวายพรพระจบ เสด็จทรงประเคนพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน คร้นั พระสงฆฉ์ ันแล้ว เสด็จทรงประเคน
บรขิ ารแกพ่ ระสงฆท์ ีร่ ับพระราชทานฉนั เป็นไทยทานอย่างเอก ๗ อย่างโท ๕ อยา่ งตรี ๘ รวมของหลวง
๒๐ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรกตามธรรมเนียม พระสงฆ์ที่รับพระราชทานฉันวันน้ี แบ่งเป็นของ
หลวงฉันในพระอุโบสถ ๒๐ การเปรยี ญ ๒๐ ศาลาในสวนสราญรมย์ ๖๐ โรงพมิ พห์ น้าวัดราชประดษิ ฐ
๔๘ ซึง่ ฉนั ในทีต่ ่าง ๆ นเ้ี ป็นของ ๆ ใครเลีย้ งก็พรรณนามาแต่วนั ก่อนแล้ว รวมพระสงฆ์ ๑๔๘ รูปได้
รบั พระราชทานฉันอย่างเอก ๑๔ อยา่ งโท ๒๒ อยา่ งตรี ๑๑๒ โปรดใหน้ ิมนต์พระเทศนเ์ ขา้ มา ทรง
จุดเทียนนมัสการธรรมเทศนา หมอ่ มเจา้ พระอรุณนภิ าคุณากรถวายเทศนาธรรมคณุ กณั ฑ์ ๑ จบ เสดจ็
ทรงประเคนบรขิ ารไทยทานอยา่ งเอกและวัตถุจตปุ ัจจัย ๑๐ ตำ�ลึงและโปรดให้มีเทศน์ธรรมทาน ๔ กัณฑ์
อยา่ งวันก่อน เสด็จไปทอดพระเนตรโขนพลบั พลาไดต้ ลอดจนบา่ ย
88
เวลาบา่ ย โปรดใหเ้ จา้ พนกั งานเชญิ พระพทุ ธรปู ทรงเครอื่ งอยา่ งจกั รพรรดริ าช ซงึ่ เปน็ พระฉลอง
พระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว กับพระพทุ ธรปู ห่มแหวกเป็นพระฉลองพระองค์กรมพระ
ปวเรศซงึ่ ฉลองทพี่ ระที่น่งั อนันตสมาคมนัน้ ขึน้ รถครั้งพระศพ (พระเจ้าลกู ยาเธอ) พระองค์(เจ้า)อศิ รวงศ์
(วรราชกมุ าร) มีขบวนแห่ไป ณ วัดบวรนิเวศ เชิญพระพทุ ธรูปทั้งสองประดิษฐานในวหิ ารเกง๋ ริมวหิ าร
พระศาสดา
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ พระเจ้าอยหู่ ัวเสด็จออกทรงโปรยพระราชทานราษฎรอย่างวนั กอ่ น และ
โปรดให้เจ้านายท้ิงทานด้วยเหมือนกัน ทรงโปรยแล้วเสด็จขึ้นทรงเครื่อง จวนคำ่�เสด็จออกทรงโปรย
พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และโปรดให้ทิ้งทานทุกต้นกัลปพฤกษ์อย่าง
วนั กอ่ น มีงานเย็นด้วยตามเคย
เวลาค�่ำ แลว้ เสดจ็ ทรงรถพระทน่ี งั่ พรอ้ มดว้ ยขบวนน�ำ และตามเสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ไปประทบั วดั
บวรนเิ วศ เสดจ็ เขา้ ในพระอโุ บสถทรงสกั การะแลว้ เสดจ็ ไปวหิ ารพระศาสดา ทรงสกั การบชู าแลว้ เสดจ็ ประทบั
ในวหิ ารเก๋งทรงจุดเทียนนมัสการกรมพระปวเรศถวายศลี แล้ว กรมพระปวเรศ(วรยิ าลงกรณ)์ กรมหมื่น
วชริ ญาณ(วโรรส) ฐานาเปรยี ญวดั บวรนเิ วศ ๒๐ สวดมนตใ์ นการฉลองพระพทุ ธรปู ทง้ั สองและพระวหิ าร
เก๋งด้วย ทรงจุดเทียนแล้วโปรดให้มีดอกไม้เพลิง เสด็จทรงรถพระที่น่ังกลับมาประทับวัดราชประดิษฐ
เสด็จเข้าในพระอุโบสถทรงจุดเทยี นนมสั การ พระเทพโมลีถวายศลี แลว้ พระเทพโมลี ราชาคณะ ฐานา
เปรียญอนั ดับ ๒๐ สวดธมั มนิยามสตู ร อปณั ณกสูตร อคั คัปปสาทสูตร อรยิ วงั สสตู ร เสด็จทรงจดุ เทยี น
ในทตี่ า่ ง ๆ เหมือนทุกวนั มา พระสงฆ์สวดมนต์ไนวนั น้ี ในพระอุโบสถ ๒๐ การเปรียญ ๒๐ ปราสาท
พระรปู ๑๐ ปราสาทหนงั สอื ๑๐ ปะรำ�ด้านหนงึ่ ๔๔ ปะร�ำ ด้านหนง่ึ ๔๓ รวม ๑๔๗ รปู สวดเหมอื น
ในพระอุโบสถทั้งนน้ั
พระสงฆ์สวดมนต์จบเสด็จกลับประทับพลับพลาเหนือ ทรงจุดดอกไม้เพลิง แล้วเสด็จประทับ
พลับพลาใต้ทอดพระเนตรโขนเล่นชุดแต่อินทรชิตออกรบแผลงศรนาคบาศและศึกมังกรกัณฐ์แสงอาทิตย์
ออกรบ จนอินทรชิตออกรบแปลงเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณและแผลงศรพรหมาศ หนุมานหักคอ
ช้างเอราวณั ตลอดถงึ ตดั หวั สุขาจาร เวลา ๘ ทมุ่ เศษเสด็จออกทรงโปรยสลากแลว้ เสดจ็ ขึน้ ทางใน”
89
การตงั้ แตง่ ภายในพระอโุ บสถวัดบวรนิเวศวิหาร ในคราวสมโภชพระพทุ ธชนิ สหี ์
หลังจากท่ีสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ุณหศิ สยามมกฎุ ราชกุมาร
ทรงผนวชเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔
90
ปดิ ทองแลสมโภช
พระพุทธชินสหี
ธรรมเนียมในการบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปสำ�คัญน้ัน หากเป็นพระพุทธรูปสำ�คัญ “ทองคำ�
ปดิ พระพุทธรูปทง้ั หมดเป็นของหลวง” หากเปน็ พระพทุ ธรปู ทม่ี ลี ำ�ดับความสำ�คัญรอง ๆ ลงมา จกั มกี าร
พระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้ผู้อนื่ ปดิ ทอง แต่ “ทองค�ำ ปดิ พระพกั ตรเ์ ป็นของหลวง” ส่วนพระพุทธ
รปู ทีไ่ มส่ ำ�คญั จงึ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้ปดิ ทองค�ำ ไดต้ ลอดองค์
ดงั ในคราวทส่ี มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ สยามมกฎุ ราชกมุ ารจกั ทรงผนวช
เปน็ สามเณร พ.ศ.๒๔๓๔ นน้ั โปรดใหม้ กี ารปดิ ทองพระพทุ ธชนิ สหี ข์ นึ้ ใหม่ พรอ้ มกบั การบรู ณปฏสิ งั ขรณ์
พระอาราม ดังทป่ี รากฏความในต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวิหาร ความวา่
“...เนอื่ งดว้ ยการทรงผนวชสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ ทรงปดิ ทองพระพทุ ธ
ชนิ สหี ์ แลมกี ารสมโภชพรอ้ มดว้ ยการฉลองพระอารามทที่ รงปฏสิ งั ขรณใ์ หม่ แลทรงสรา้ งเพมิ่ เตมิ (ต�ำ หนกั
ทรงพรต ต�ำ หนักล่าง และหอสหจร)...”
91
สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟา้ มหาวชิรณุ หศิ สยามมกฎราชกมุ าร เมอ่ื ครง้ั ทรงผนวชเป็นสามเณร
ประทับพระแท่นศลิ าหนา้ พระอุโบสถวัดบวรนเิ วศวหิ าร พ.ศ.๒๔๓๔
92
พระราชด�ำ รสั รชั กาลท่ี ๕
ในคราวสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช
เจา ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ ทรงผนวชเปน็ สามเณร
...ในมงคลสมยั น้ี สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช (เจา้ ฟ้ามหาวชริ ณุ หิศ) สยามมกฎราชกุมาร ทรง
เจรญิ พระชนมพรรษากำ�ลงั ทรงเล่าเรยี นวิทยาตา่ ง ๆ คือ วิชาหนังสือสยาม ก็ทรงทราบ โดยจะกลา่ ว
ไดว้ ่าปรุโปร่งอยแู่ ล้ว แลภาษาองั กฤษก็ไดท้ รงพอเขา้ พระทัยบา้ ง ถงึ แมว้ า่ ทรงศกึ ษายังนอ้ ยวันนกั ก็ดี ตอ่
ไปคงไดท้ รงเลา่ เรียนจนชาญชดั ตามลำ�ดบั ใชแ่ ตเ่ ทา่ นัน้ ขตั ตยิ รายวชิ าอันเป็นส�ำ คัญย่ิงใหญ่ ทจ่ี ะเปน็ ไป
ตามกระษตั รยิ านวุ ตั รนน้ั ย่อมไดท้ รงรบั พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว แลทรงสังเกต
ในราชการ อยู่ทกุ เมอ่ื
แตศ่ ภุ สมยั น้ี สมควรแกก่ าลทจ่ี ะไดท้ รงพระผนวชเปน็ สามเณร เพอื่ จะไดท้ รงศกึ ษาในพทุ ธสาสนแ์ ล
มคธภาษา ซงึ่ จะเปน็ ประโยชน์ เหน็ ถนดั ในประจบุ นั คอื บ�ำ รงุ พระปรชี ายงิ่ ขนึ้ เพราะศพั ทภ์ าษาเราทไ่ี พเราะ
แลลึกซึ่งย่อมมีมูลมาแต่มคธพากย์เป็นเบ้ืองต้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการทรงพระผนวช
สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารตามขตั ตยิ ราชประเพณสี บื มา…
เอกสารอ้างองิ
“การทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ ารเปนสามเณร” ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๘. วันที่ ๒๐ กันยายน รตั นโกสนิ ทร์
ศก ๑๑๐, หนา้ ๒๒๒.
93
พระยานาคท�ำ ด้วยกระดาษแลเขียนลาย ในกระบวนแห่นาค
พระราชพธิ ีทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟา้ มหาวชิรุณหศิ สยามมกฎราชกมุ าร
วันท่ี ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๔
(ทีม่ า หอจดหมายเหตุแห่งชาติฝร่งั เศส (Bibliothèque Nationale de France))
94
กระบวนชา้ งในกระบวนแหน่ าค พระราชพธิ ที รงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟา้ มหาวชริ ณุ หิศ สยามมกฎราชกมุ าร
วนั ท่ี ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๔
(ที่มา หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ)
95
กระบวนช้างเชิญไตรไทยธรรม ธปู เทียน และไตรบาตรบริขาร ในกระบวนแหน่ าค
พระราชพิธที รงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟา้ มหาวชริ ุณหิศ สยามมกฎราชกุมาร
วันท่ี ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๔
(ท่ีมา หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติฝรง่ั เศส (Bibliothqè ue Nationale de France))
96
กระบวนแห
ในพิธที รงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจา ฟ้ามหาวชริ ุณหิศ
ในการพระราชพธิ ที รงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ุณหิศ สยามมกฎุ ราช
กุมารนั้น นับเป็นงานสุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์ท่ีโปรดให้มีการจัดกระบวนแห่สำ�หรับพระเกียรติยศ
เป็นการใหญ่ ดังปรากฏรายละเอยี ดริ้วกระบวนในราชกิจจานเุ บกษา ความว่า
วันพฤหสั บดีที่ ๑๐ กันยายน เปน็ วันทรงพระผนวช โปรดให้นมิ นต์พระสงฆ์พระบรมวงศานุวงศ์
แลสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย ๓๐ องค์ มาพร้อมกันในพระอุโบสถวัด
พระศรรี ตั นศาสดาราม แลพระบรมวงศานวุ งศ์ ขา้ ราชการ แตง่ เตม็ ยศอยา่ งวานน้ี เปลยี่ นแตฝ่ า่ ยพลเรอื น
เจา้ นายทรงภษู าเขยี นทอง ฤาเยยี ระบบั คาดครยุ ขา้ ราชการ นงุ่ ผา้ สองปกั ลาย คาดส�ำ รด แลเจา้ พนกั งาน
ไดจ้ ดั กระบวนแห่เป็นกระบวนสำ�หรบั พระเกียรติยศ แลส�ำ หรับความครกึ ครนื้ ตา่ ง ๆ เพราะการแห่นาค
ย่อมไมก่ ำ�หนดกระบวนเอิกเกริกอย่างไร สดุ แตค่ วามยินดีท่ีจะจดั กระบวนมาแสดงความรื่นเริงเทา่ ไรก็ได้
เป็นธรรมดา กระบวนหน้าแลหลังต้ังต้นแตถ่ นนท้องสนามหลวง มมุ ปอ้ มเผด็จดัสกร หลามตลอดไปถึง
บางล�ำ พู แต่กระบวนพระท่ีน่งั รออยทู่ ี่ประตูเทวาพิทักษ์ กระบวนหนา้ มนี ายโปลิศลาดตระเวนแถวหน่ึง
แลธงชายนาํ รวิ้ ๑ คู่ แลว้ ถงึ กระบวนทหารมา้ แลพลทหารบกเดนิ แถว มแี ตรวงน�ำ ตอ่ ไปมา้ เกราะทองสองแถว
สายกลางกลองแขก ป่ีชวา พิณพาทย์ เถิดเทิงสวมศีรษะนาคของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า
ภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดชทรงจัดมาวงหน่ึง แลเถิดเทิงแต่งเป็นพม่ากระบวน
หลวงหนึ่ง แล้วถงึ พระยานาคท�ำ ดว้ ยกระดาษแลเขียนลาย ตวั ยาวประมาณเสน้ เศษ มีคนถอื คอ่ งไปหน้า
แล้วถึงกระบวนธงชายสองแถว แลสายกลาง ช้างเขน ๒ ช้าง ช้างโขนอีก ๒ ชุด คือ ช้างพลาย
บรรทกุ กลองแขก พณิ พาทย์ ๑ ชา้ งพลายหมอแต่งเปน็ ยกั ษม์ มี งกฎุ ๓ ช้างชดุ หนงึ่ ช้างกลองแขก ๑
พิณพาทย์ ๑ ช้างพลายหมอแตง่ เป็นยักษ์คอหมอ้ ๓ ชา้ งชดุ หน่งึ เรยี งล�ำ ดบั กัน แลว้ ถงึ พลเดนิ เทา้ อกี คือ
กลองแขก สายกลาง ธงตะขาบ ธงภาพตา่ ง ๆ สองแถว แลว้ ถงึ รถโขนคนแตง่ เปน็ พระราม พระลกั มษณ์
97
๑ รถ แลกระบวนช้างพลายบรรทุกไตรไทยธรรม ๑ บรรทุกเทียนธูปที่จะถวายพระอุปัชฌาย์ ๑
ชา้ งเผือกบรรทกุ บาตร ๑ ไตร ๑ มชี า้ งพงั นําทกุ ช้าง แลมีคนถือพานอาหารชา้ งแลสัปทนตาม ต่อไป
กระบวนพลรบอยา่ งเก่าสองแถว คอื พลเสโลหโตมร ดาบสองมือ ดาบดั้ง ดาบเขน เกาทณั ฑ์ ดาบเชลย
ทวน งา้ ว มีธงชายน�ำ ทุกชุด แหง่ พลรบน้ี แล้วถงึ กระบวนเกวยี น บรรทุกบาตร แลไทยธรรมต่าง ๆ
๖ เล่ม พณิ พาทย์ ๒ วง กลองแขก ๑ ตอ่ ไป กระบวนละครขม่ี า้ แลเป็นแถวแตง่ ตา่ ง ๆ ๕ สํารบั
มีพิณพาทย์นำ�ทุกส�ำ รับ หมดกระบวนเหล่านแ้ี ล้วถงึ ต�ำ รวจถอื มดั หวายตำ�รวจหอก ตำ�รวจดาบ จา่ ปลัด
กรมพระตำ�รวจ แลเจ้ากรมพระตำ�รวจฝ่ายพระราชวังบวรเป็นริ้ว เจา้ กรมพระต�ำ รวจ สนมทหารขวา ๑
เจ้ากรมช่างทหารในไทยซ้าย (แทนสนมซ้าย) ๑ เป็นต้นเชือก แลถึงธงหงส์จีนสายนอก คู่แห่เทวดา
สายใน มหาดเล็กนายรองหุ้มแพรเดินร้ิว หัวหม่ืนท้ัง ๔ เวร เป็นต้นเชือกแล้วถึงกลองชนะ พระที่นั่ง
พดุ ตานทจี่ ะเสดจ็ ประทบั เทยี บเกยหนา้ อฒั จนั ทรพ์ ระทนี่ งั่ สทุ ไธสวรรยป์ ราสาท ขา้ งประตเู ทวาพทิ กั ษด์ งั ท่ี
กลา่ วมา แวดล้อมด้วยพระยาผู้ใหญผ่ ูน้ อ้ ยเปน็ ค่เู คียง ๖ คู่ มบี ังสรู ยพ์ ดั โบก อนิ ทร์พรหม แลต่อกลอง
ชนะหนา้ พระทน่ี งั่ มแี ตรฝรง่ั แตรงอน สงั ข์ เครอ่ื งสงู หน้า พระแสงหวา่ งเคร่อื ง ฉตั รดอกไม้สดทป่ี กั
มุมเพดาน ๔ คนั นั้นเชญิ นํา ๓ คน หลังพระทน่ี งั่ มหาดเลก็ เชิญเคร่ืองอสิ ริยยศ แลเคร่ืองสูง ชุมสาย
มหาดเล็กตาม ส่วนกระบวนหลังต่อไป ซึ่งต้ัง ณ ที่ซึ่งกล่าวแล้ว มีคู่แห่เทวดา แลพลกระบองส้ัน
ธงตะขาบ ธงนาค ธงชายนำ� พลพลอง ละคร ธงชายนำ� พลพร้าปะก๊ัก ละครพลตรีศูล พิณพาทย์
ธงชายนาํ พลขวานจนี ละคร หอกซัก แล้วถึงกระบวนจนี คือ เคร่ืองเล่าโก๊ แลจนี ถือธง งว้ิ ขี่ม้าแลเดนิ
พลทหารเรอื อยสู่ ดุ กระบวน
เวลาเช้าโมงเศษ วันที่กล่าวน้ี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จออกพระที่น่ังสุทไธสวรรย
ปราสาท ทรงเคร่ืองอยา่ งขตั ตยิ ราชกมุ าร แลสวมพระชฎามหากฐิน พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวทรง
พระภษู าเขยี นทองฉลองพระองคเ์ ยยี ระบบั ประดบั เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์ มหาจกั รบี รมราชวงศ์ เสดจ็ ออก
ณ ท่ีนี้
เวลาเชา้ ๒ โมง โปรดใหเ้ ดนิ กระบวนแห่ โดยถนนท้องสนามไชยผ่านหนา้ พระท่นี ั่งสุทไธสวรรย์
ไปเลยี้ วลงถนนเจรญิ กรงุ ถนนเพ่อื งนคร มาถนนบ�ำ รุงเมือง พอกระบวนกลองชนะ ผา่ นหน้าประตูเทวา
พทิ ักษม์ า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ครุย แลพระชฎามหากฐิน เสด็จส่งพระกร
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารข้ึนทรงพระท่ีนั่งพุดตาน ขณะน้ันทหารรับเสด็จแลพล
กระบวนแหถ่ วายค�ำ นบั แลประโคมแตรทหาร แตรงอน แตรฝรงั่ พรอ้ มกนั กระบวนพระทน่ี ง่ั ออกจากประตู
เทวาพทิ กั ษ์ บรรจบกระบวนหนา้ หลงั แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงเปลอื้ งฉลองพระองคค์ รยุ แล
พระชฎา ประทบั ทอดพระเนตรกระบวนตลอดแลว้ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ โดยพระราชยานไปประทบั พระทนี่ ง่ั
ไชยชมุ พล ทอดพระเนตรกระบวนแห่ ซง่ึ วกมาถนนบ�ำ รงุ เมอื ง กระบวนหนา้ เลยี้ วไปทางปอ้ มเผดจ็ ดสั กร
98
แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประทบั ทพ่ี ลบั พลา รมิ ประตวู ดั พระศรรี ตั นศาสดารามดา้ นตะวนั ออก
กระบวนพระท่ีน่ังต้นแต่คู่แต่กลองชนะ แตรงอน แตรฝรั่ง เคร่ืองสูง เลี้ยวเข้าประตูสวัสดิโสภา เทียบ
พระท่ีนง่ั พดุ ตานที่เกยหน้าพลบั พลา พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั รับพระกรสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช
จากพระทนี่ ง่ั พดุ ตาน กระบวนถวายค�ำ นบั แลว้ เสดจ็ ประทบั ในพลบั พลา สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชทรง
เปล้อื งเครื่อง แลเจ้าพนักงานเจริญพระขนง พระมัสสุ เปลยี่ นทรงเครอ่ื งพระภษู าจีบ ฉลองพระองคค์ รุย
เฉยี งพระอังสา เสดจ็ ออกที่เกยทรงโปรยทานเงินสลงึ เงินเฟอ้ื งชงั่ หนง่ึ
แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ไปในพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
ทรงจดุ เทยี นนมสั การ แลโปรดใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชประทบั พระราชยานงา พรอ้ มดว้ ยจา่ ปลดั กรม
เจา้ กรมพระต�ำ รวจ ทเ่ี ขา้ กระบวนแห่ น�ำ เสดจ็ ไปประทบั ในพระอโุ บสถ ทรงจดุ เทยี นนมสั การพระพทุ ธรตั น
ปฏมิ ากร แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระราชทานผา้ ไตรใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เสดจ็ ไปใน
ทป่ี ระชมุ คณะสงฆ์หัตถบาสเหนอื อาสนสงฆ์ ภายในเพดานดอก ไมส้ ด ทรงถวายธปู เทยี นแลขอบรรพชา
ต่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ผู้เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ ได้รับบรรพชาแลว้ เสด็จมา
เปลอื้ งเครอ่ื งแลทรงครองไตร พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงครองพระราชทานแลว้ เสดจ็ ไปขอศลี แล
ขอนสิ ยั ในทป่ี ระชมุ สงฆน์ นั้ พระอปุ ชั ฌายป์ ระทานศลี แลนสิ ยั สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชเปน็ สามเณรแลว้
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงถวายไตรผ้าสลับแพร บาตร พระสงฆ์ทั้ง ๓๐ องค์น้ัน แลโปรดให้
เจ้าพนกั งานจดั บริขาร ซง่ึ ตัง้ เม่ือวันสมโภชแลเข้ากระบวนแห่มานั้นถวายพระสงฆ์ทัง้ ปวงนที้ ั่วกัน...
เอกสารอา้ งอิง
“การทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกฎุ ราชกมุ ารเปนสามเณร” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘. วนั ท่ี ๒๐ กันยายน รตั นโกสินทร์
ศก ๑๑๐, หนา้ ๒๒๓ – ๒๒๕.
99
สามเณรสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชิรุณหศิ ฯ สยามมกุฎราชกมุ าร
ทรงฉายพระรูปหมูก่ บั พระเถรานุเถระธรรมยุตกิ นกิ าย
100
ทรงรับบณิ ฑบาต
ครง้ั แรก
ภายหลงั จากทสี่ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงผนวช
เปน็ สามเณรแลว้ ในราตรแี รกทรงประทบั ณ พระพทุ ธรัตนสถาน ภายในพระบรมมหาราชวัง และใน
เชา้ วันถดั มา จึงเสดจ็ พระราชด�ำ เนินทรงรบั บณิ ฑบาต ณ วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม และมีพธิ บี รรพชา
สามเณรสหจร ดังปรากฏความในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั พทุ ธศักราช ๒๔๓๔ ว่า
“เวลาเชา้ มกี ารทรงบาตรในพระบรมมหาราชวงั สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชทรงรบั บณิ ฑบาตร
กรมหมนื่ วชริ ญาณวโรรสน�ำ พระสงฆท์ รี่ บั ทรงบาตรนอกนนั้ คอื พระองคเ์ จา้ อรณุ ๑ สมเดจ็ พระราชาคณะ ๒
ทรงบาตรแลว้ พระสงฆแ์ ลสมเดจ็ พระบรมโอรสรบั พระราชทานฉนั ท์ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ
แลพระเจา้ ลกู เธอ ทรงร�ำ กระบง่ี ้าวกระบอง ดาบสองมืออีกเวลาหน่ึง ทพี่ ระทน่ี ง่ั ทรงธรรม์ แล้วสมเดจ็
พระบรมโอรสาธิราชทรงพระราชยานงา มาประทับในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงถวาย
อาหารบณิ ฑบาตรพระสงฆ์ ๓๐ รปู รบั พระราชทานฉนั ท์ เวลาเทย่ี งเศษเสดจ็ ทรงพระราชยานแตเ่ กยพระทน่ี งั่
จักรกรีมหาปราสาทไปประดับพลับพลาริมประตูวัดพระศรีรัตนสาศดารามด้านตวันตก แล้วหม่อมเจ้า
ดนยั วรนชุ ขน้ึ เสลยี่ งแตท่ มิ คตมาขน้ึ เกยนา่ พลบั พลาพระราชทานเงนิ เฟอื้ งหา้ ต�ำ ลงึ ใหห้ มอ่ มเจา้ ดนยั วรนชุ
โปรยทานเสรจ็ แลว้ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ เขา้ ในพระอโุ บสถ ทรงจดุ เทยี นเครอ่ื งนมศั การพระพทุ ธปฏมิ ากร
แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตรให้หม่อมเจ้าดนัยวรนุชไปในท่ีประชุมคณะสงฆ์ ขอบรรพชาต่อ
พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ซงึ่ เป็นพระอปุ ชั ฌาย์ แลว้ ขอศิลตอ่ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ
กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส ครนั้ บรรพชาเปน็ สามเณรแลว้ หมอ่ มเจา้ ดนยั วรนชุ ถวายผา้ พบั พระสงฆ์ ๓๐ องค์
แลว้ ทรงพระราชทานบรขิ ารตา่ งๆ แลว้ พระสงฆ์ กถ็ วายอนโุ มทนาถวายพระพรลา เวลาบา่ ยโมงเศษเสดจ็
ทรงพระราชยานกลับขึ้นทางพระท่ีนั่งจักรกรีมหาปราสาท แต่สมเด็จพระบรมโอรสทรงพระราชยานงา
หม่อมเจ้าดนัยวรนุชทรงเสลี่ยงกลับไปประทับท่ีพระพุทธรัตนสถาน เวลายำ่�คำ่�เศษเสด็จออกทางประตู
พรหมโสภาพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแลหม่อมเจ้าดนัยวรนุช แล้วเสด็จขึ้นทรงรถพระท่ีนั่ง
ทรงกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช หม่อมเจ้าดนัยวรนุชข้ึนทรงรถพระที่นั่งรองกับพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมน่ื สมมตอมรพันธ์ุ ไปประทับพระตำ�หนกั วดั บวรนิเวศวิหารเปน็ การส่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เวลายามเศษเสดจ็ กลบั มาประทบั ทรงตดั สนิ รางวลั เครอ่ื งโตะ๊ อยใู่ นวดั พระศรรี ตั นสาศดารามจนเวลา ๗ ทมุ่
เศษเสดจ็ ขึน้ ”
101
๒๓ ๒๔ ๒๗ ๓๑
๒๕ ๒๙ ๓๐
๒๖ ๑๙ ๒๘
๑๗ ๑๘ ๒๐ ๒๑ ๒๒
๑๓
๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๔ ๑๕ ๑๖
๙ ๔
๓ ๖๗ ๘
๒ ๕
๑
102
พระนามและนามในรูปหมู่ นบั แต่ซ้ายไปขวา
๑. สามเณรหม่อมเจา้ ดนัยวรนชุ (ภายหลังทรงไดร้ ับสถาปนาขึ้นทพี่ ระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าดนัยวรนชุ )
๒. สามเณรสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรณุ หิศฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร
๓. พระเจา้ น้องยาเธอ กรมหมืน่ วชริ ญาณวโรรส วัดบวรนเิ วศวิหาร (ภายหลังทรงได้รับสถาปนาข้ึนทส่ี มเด็จพระมหาสมณเจา้
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
๔. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สา ปสุ ฺสเทโว) วดั ราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม (ภายหลงั ทรงไดร้ ับสถาปนาขน้ึ ที่สมเดจ็ พระ
อริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช)
๕. พระวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนภิ าคณุ ากร (กระจา่ ง อรโุ ณ) วัดราชบพธิ สถิตมหาสีมาราม
๖. หมอ่ มเจา้ พระธรรมุณหิศธาดา (สีขเรศ วุฑฺฒสิ สฺ โร) วดั บวรนเิ วศวหิ าร
๗. หมอ่ มเจา้ พระสถาพรพริ ยิ พรต (ภชุ งค์ สริ วิ ฑฒฺ โน) วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม (ภายหลงั ทรงไดร้ บั สถาปนาขน้ึ ท่ี พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ
กรมหลวงชินวรสิรวิ ฒั น์ สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ )
๘. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ) วดั ปทุมคงคา
๙. พระพรหมมนุ ี (เหมือน สมุ ติ ฺโต) วดั บรมนวิ าส
๑๐. พระศรีวิสทุ ธิวงศ์ (เขียว จนฺทสิริ) วัดราชาธวิ าสวหิ าร (ภายหลังด�ำ รงสมณศกั ด์ทิ ่ี สมเด็จพระพุฒาจารย)์
๑๑. พระอริยมนุ ี (เดช €านจาโร) วัดเทพศริ นิ ทราวาส (ภายหลงั ด�ำ รงสมณศักด์ิท่ี พระธรรมไตรโลกาจารย)์
๑๒. พระธรรมราชานุวัตร (ตา่ ย วารโณ) วัดเสนาสนาราม จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา
๑๓. พระญาณรักขติ (เปีย) วดั ราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
๑๔. พระพรหมเทพาจารย์ (เอีย่ ม) วดั สตี ลาราม จงั หวดั ตาก
๑๕. หมอ่ มราชวงศพ์ ระราชพงศป์ ดพิ ัทธ์ (ลน้ าณวโร) วดั โสมนสั วิหาร
๑๖. หมอ่ มเจา้ พระศรีสุคตคตั ยานุวตั ร (พรอ้ ม ธมมฺ รโต) วดั เทพศริ ินทราวาส
๑๗. พระกิตตสิ ารมนุ ี (แฟง กิตตฺ ิสาโร) วัดมกุฏกษัตรยิ าราม (ภายหลงั ด�ำ รงสมณศกั ดิ์ท่ี พระพรหมมุนี)
๑๘. พระอมรโมฬี (ยัง เขมาภิรโต) วดั โสมนัสวหิ าร (ภายหลังด�ำ รงสมณศกั ด์ทิ ี่ สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ)์
๑๙. พระเมธาธรรมรส (ออ่ น อหสึ โก) วดั พชิ ยญาตกิ าราม (ภายหลงั ด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระสาสนโสภณ วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม)
๒๐. พระอมราภริ กั ขติ (แสง พทุ ธทตโฺ ต) วดั นเิ วศธรรมประวตั ิ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา (ภายหลงั ด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระธรรมราชานวุ ตั ร)
๒๑. พระครูกลั ยาณคุณ (นาม กาฬนาโม) วดั เทพศริ ินทราวาส ภายหลงั ด�ำ รงสมณศักด์ทิ ่ี พระวินยั รกั ขติ
๒๒. พระสมทุ มนุ ี (หน่าย เขมโก) วดั สัตตนารถปริวัตร จงั หวดั ราชบรุ ี
๒๓. พระจันโทปมคุณ (ชน่ื หตฺถิปาโล) วดั มกุฏกษตั ริยาราม
๒๔. พระวินจิ วนิ ัย (แจง้ ปยิ สีโล) วัดสัมพันธวงศ์
๒๕. พระมหาเพม่ิ ป.ธ.๙ วัดมกฏุ กษตั ริยาราม
๒๖. พระวเิ ชยี รมุนี (ภู่) วดั บปุ ผาราม
๒๗. พระครูวินยั ธร (แสง) วัดมกฏุ กษัตริยาราม
๒๘. พระมหาสิทธ์ิ ธมมฺ โฆสิโต วัดเทพศิรินทราวาส
๒๙. พระมหาทดั €ติ วฒุ ิ วัดบรมนวิ าส
๓๐. พระครูปลัดดี มนาปจารี วดั มกุฏกษตั ริยาราม (ภายหลงั ดำ�รงสมณศกั ด์ทิ ่ี พระมหานนุ ายก)
๓๑. พระครูปลัดแจง้ วดั ราชประดิษฐสถติ มหาสีมาราม
103
กระจาดส�ำ เภาใหญ่
เนื่องในโอกาสท่สี มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชริ ณุ หิศ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงพระผนวชเปน็ สามเณร
และโปรดให้ถวายเทศนามหาชาติ ในการพระราชกศุ ลเทศนามหาชาติในพระบรมมหาราชวัง เดอื นธนั วาคม พ.ศ.๒๔๓๔
(ทมี่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)
104
การพระราชกุศล
เทศนามหาชาติ
(กระจาดส�ำ เภาใหญ)
นับเป็นประเพณีเม่อื เจ้านายทรงผนวช จัดโปรดให้มีการหัดเทศน์มหาชาติ เพ่อื จะได้เทศน์ถวาย
พระราชกศุ ล ในการน้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จดั โปรดใหม้ กี ารแตง่ เรอื ส�ำ เภาขนาดใหญเ่ ปน็ ดง่ั กระจาดใส่
เครอ่ื งกณั ฑเ์ ทศน์ เพอ่ื ถวายเปน็ พระราชกศุ ลและสบื ตอ่ ฝมี อื ชา่ ง โดยเฉพาะในสมยั ทส่ี มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช
เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงพระผนวชเปน็ สามเณร นบั เปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย ดงั รายละเอยี ด
ในราชกจิ จานเุ บกษา ความวา่
โดยกระแสพระราชดาํ รวิ า่ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๔ ขณะพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระผนวช
เป็นสามเณรอยู่ คร้นั ถึงสมัยออกพรรษา ซ่งึ เป็นเวลาท่เี คยมีการบำ�เพ็ญพระราชกุศลเทศนามหาชาติใน
พระบรมมหาราชวัง ตามธรรมเนียมแต่ก่อนน้นั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวได้โปรดให้ทรง
ถวายเทศนามหาชาติ กณั ฑส์ กั กบพั พ์ แลทรงพระราชปรดี าภริ มย์ โปรดเกลา้ ฯ ใหท้ �ำ เครอ่ื งกณั ฑถ์ วาย
เป็นรูปกระจาดสําเภาใหญ่ ประดับแลตกแต่งด้วยเคร่อื งซ่งึ เป็นอาหาร แลส่งิ อันควรแก่บรรพชิตจะได้
รับแลบริโภคต่าง ๆ เพ่อื การพระราชกุศล แลเพ่อื จะทรงอุดหนุนการช่าง ซ่งึ เป็นความคิดแลฝีมือของ
ชาวสยามได้ประดิษฐ์คิดทำ�ส่งิ ของต่าง ๆ ออกสำ�แดงให้ปรากฎแก่ประชุมชน คร้งั น้นั ได้พระราชทาน
พระราชทรพั ยอ์ อกท�ำ การเปน็ อนั มาก กบั ทง้ั พระราชทานพระบรมราชานญุ าต เปดิ ชอ่ งใหพ้ ระบรมวงศานวุ งศ์
ข้าราชการผู้มีความศรัทธา แลหวังจะเก้ือกูลการช่าง ได้ประดิษฐ์คิดทำ�ส่ิงของของตนต่าง ๆ นำ�มา
ฉลองพระเดชพระคุณ ช่วยประดับตกแต่งกระจาดสำ�เภาใหญ่นั้นด้วย การคราวน้ันก็เป็นไปโดยวิจิตร
งดงาม เป็นส่ิงทีค่ วรแกผ่ ไู้ ปมาไดเ้ ห็นแล้วอนุโมทนาสว่ นพระราชกศุ ล แลชนื่ ชมยินดีในความคดิ แลฝมี ือ
การช่างแตก่ ่อนน้นั เปน็ อย่างยิง่
105
กระจาดส�ำ เภาใหญ่
เนื่องในโอกาสท่สี มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชริ ณุ หิศ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงพระผนวชเปน็ สามเณร
และโปรดให้ถวายเทศนามหาชาติ ในการพระราชกศุ ลเทศนามหาชาติในพระบรมมหาราชวัง เดอื นธนั วาคม พ.ศ.๒๔๓๔
(ทมี่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)
106
ในสมยั นี้ กเ็ ปน็ เวลาทส่ี มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช มกฎุ ราชกมุ าร ทรงพระผนวชเปน็ สามเณรอยู่
จงึ โปรดใหถ้ วายเทศนามหาชาติ กณั ฑส์ กั กบพั พเ์ หมอื นเมอื่ ครง้ั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระผนวช
แลถวายเทศนาในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดงั กลา่ วแลว้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จงึ มี
พระราชหฤทัยโสมนสั แลทรงพระราชศรัทธา เพื่อวา่ จะให้การเทศนาน้เี ป็นไปเหมอื นครั้งก่อน
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำ�รัสสั่งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษี
สว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นแม่กองจัดการทำ�กระจาดเครื่องกัณฑ์เป็นรูปสำ�เภาใหญ่
ให้เป็นการคล้ายคลึงเหมือนกับคราวก่อน โปรดเกล้าฯ ให้จ่ายพระราชทรัพย์ออกทำ�การเป็นการหลวง
กับทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาต เปิดช่องให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ที่มีใจศรัทธา
แลหวังเพ่ือจะอุดหนุนแก่การช่างได้จัดสิ่งของประดิษฐ์คิดทำ�มาฉลองพระเดชพระคุณ ช่วยในการ
พระราชกุศลคร้ังนี้ให้เป็นท่ีส�ำ แดงคุณความคิดแลฝีมือช่าง ด้วยทุกวันน้ี บ้านเมืองมีความรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
กว่าแต่ก่อนมาก วิทยาความคิดแลฝีมือช่างย่อมเจริญยิ่งข้ึน จึงควรเปิดช่องให้ผู้ท่ีมีความชอบรักใน
วิทยาการช่าง ได้กระทำ�การสำ�แดงแก่คนท้ังหลายคนละสิ่งคนละอย่าง แลมารวบรวมตกแต่งในการ
กระจาดสำ�เภาใหญ่ ซ่งึ โปรดใหต้ ั้ง ณ ท้องสนามไชย หน้าพระทนี่ ง่ั สุทไธสวรรยปราสาท เพอ่ื ให้เปน็ ที่
ประชมุ ชนทัง้ หลาย ผไู้ ปมาไดช้ มแลอนุโมทนาในการพระราชกศุ ลน้ี
เอกสารอา้ งอิง
“การพระราชกุศลเทศนามหาชาติ (กระจาดสำ�เภาใหญ่)” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘. วันที่ ๒๗ ธันวาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐,
หน้า ๓๕๒ – ๒๕๓.
107
กระบวนพระอสิ ริยยศอญั เชญิ พระโกศพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์
วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ทมี่ า หอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ
108
อุโบสถไมเคยขาด
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณน์ ับแตท่ รงผนวชมา ๖๔ พรรษา นัน้
ทรงด�ำ รงมนั่ ในพระธรรมวนิ ยั โดยเฉพาะในการลงอโุ บสถทรงสดบั พระปาฏโิ มกขน์ นั้ ไมเ่ คยขาดมาตลอด
พระชนมชพี เปน็ เหตใุ หใ้ นคราวทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ มทรงเยยี่ ม
พระอาการประชวร ตรงกบั วนั อโุ บสถ พระองคท์ า่ นจงึ มพี ระประสงคท์ จี่ ะลงอโุ บสถดงั่ ทท่ี รงเคยปฏบิ ตั มิ า
เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชอุทิศพื้นที่บริเวณในพระตำ�หนักเดิมน้ัน
เปน็ วสิ งุ คามสมี า เพอื่ ไมต่ อ้ งเชญิ เสดจ็ ไปทพ่ี ระอโุ บสถ ดงั ความในราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๙ ตอนหนง่ึ วา่
...วันที่ ๑๓ กันยายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศ
วรยิ าลงกรณท์ รงพระประชวรพระโรคชรา ไมไ่ ปพระบังคนหนกั แลใหท้ รงหนาวเนือง ๆ หมืน่ คุณแพทย
พิทยากรรมถวายพระโอสถแก้หนาว สงบไดเ้ ป็นคราว ๆ ถวายยาปัตหาไปพระบงั คนไม่
วนั ที่ ๑๗ ทรงพระอาเจียนเสวยพระอาหารไมใ่ ครไ่ ด้ ประทมไม่ใครหลบั
วันท่ี ๑๘ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั (รัชกาลท่ี ๕) เสด็จพระราชดำ�เนนิ เยยี่ มประชวร ทรง
พระกรณุ าโปรดพระราชทานพระยาอมรศาสตราประสทิ ธศิ ลิ ป์ หมน่ื คณุ แพทยพทิ ยากรรม หมอยา หลวง
โรคนทิ าน หลวงราโชวาต หมน่ื สรรพชาติวาโย หมน่ื พิทกั ษ์ภูบาล หมอนวด
วันท่ี ๒๑ มีพระอาการร้อนแลเสียด หมอถวายพระโอสถแลถวายอยู่งานระงับเป็นคราว ๆ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัวเสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ เยี่ยมประชวรอีกคราวหนง่ึ ในวนั น้ีเปน็ วันอโุ บสถ ท่าน
มพี ระประสงค์จะเสดจ็ ไปท�ำ อโุ บสถท่ีพระอโุ บสถ เพราะต้งั แต่ทรงผนวชมาไดเ้ คยทรงทำ�อโุ บสถมาทกุ วนั
อโุ บสถไมเ่ คยขาดเลย แมป้ ระชวรจะทรงพระด�ำ เนนิ ไปไมไ่ ด้ กโ็ ปรดใหเ้ ชญิ เสดจ็ ไป แมใ้ นคราวนก้ี จ็ ะโปรด
ใหเ้ ชญิ เสดจ็ ไปเหมอื นเชน่ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงเกรงว่า ถ้าเสด็จไป พระโรคจะกำ�เรบิ
มากข้ึน จงึ ทรงพระราชอุทิศทบ่ี ริเวณในพระต�ำ หนักนน้ั เปน็ วสิ ุงคามสมี า เพ่อื สงฆ์จะได้ประชมุ ทำ�อุโบสถ
ในท่ีน้ัน ใหเ้ ป็นการสมพระประสงคข์ องท่าน แลไมต่ อ้ งเชญิ เสด็จทา่ นไปถงึ พระอโุ บสถ
วันท่ี ๒๓ ไปพระบงั คนหนักอกี ครง้ั หน่งึ
วนั ท่ี ๒๕ ไปพระบงั คนหนกั อกี ครงั้ เสวยพระอาหารนอ้ ยลง มพี ระอาการออ่ นเปลย้ี ถอยพระก�ำ ลงั
วันท่ี ๒๗ เสวยพระกระยาไม่ได้ เสวยไดแ้ ตผ่ ลไม้แลยาคู ประทมไมห่ ลบั
วนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน มพี ระอาการอ่อนแลระหาย เวลาสามยามเศษ ไปพระบงั คนหนกั ครัง้ หน่ึง
แลว้ ทรงหอบมาจนถึงเวลา ๑๑ ทุ่ม กบั ๓ นาที ส้ินพระชนม์ พระชนมายไุ ด้ ๘๓ ปี กบั ๑๓ วนั
ทรงผนวชเป็นภกิ ษไุ ด้ ๖๔ พรรษา ดำ�รงพระเกยี รติยศในท่เี จา้ คณะใหญ่ฝ่ายธรรมยตุ กิ นกิ ายได้ ๔๒ ปี
สถติ ในมหาสมณุตมาภิเษกได้ ๑๐ เดือน
109
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหม่นื วชิรญาณวโรรสประทบั ราชรถน้อย ทรงอา่ นพระอภิธรรมน�ำ พระโกศพระศพ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมสมเดจ็ พระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ เข้าสู่พระเมรพุ มิ าน (พระอโุ บสถวัดบวรสถานสทุ ธาวาส)
วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ที่มา หอจดหมายเหตุแห่งชาต)ิ
110
ถวายนำ�สรงพระศพ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ซ่ึงได้รับมหาสมณุตมาภิเษกเป็นเอก
อรรคประธานาธบิ ดี สงฆนกิ รทวั่ พระราชอาณาเขต แลเปน็ พระบรมวงศผ์ ใู้ หญใ่ นราชตระกลู มหาจกั รบี รม
ราชวงศ์น้ี แลเปน็ พระบรมราชอปุ ธั ยาจารย์ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั (รัชกาลท่ี ๕) แลสมเด็จ
พระบรมโอรสาธริ าช (เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ ) สยามมกฎุ ราชกมุ าร เปน็ พระอปุ ชั ฌายข์ องพระบรมวงศานวุ งศ์
เสนามาตยท์ ้ังหลาย แลเป็นทเ่ี คารพบชู าของหมู่สงฆแ์ ลมหาชนนิกรเป็นอยา่ งยิ่งน้นั เสดจ็ ดับขันธละโลก
นีไ้ ปเสยี แล้ว ในวนั ที่ ๒๘ กันยายน เวลา ๑๑ ทุ่ม ๓ นาที ดว้ ยความชราเข้าครอบงำ�ในพระองค์ทา่ น
เป็นอย่างย่ิง พยาธิจึงเข้าแทรกซำ้�ให้ถึงแก่มรณภัยในระหว่างทรงพระประชวรอยู่น้ัน พระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั ไดม้ พี ระราชหฤทยั ขวนขวายใหก้ ารอภบิ าลเปน็ ไปโดยสมควรอยา่ งยงิ่ แลพระบรมวงศานวุ งศ์
ทงั้ สงฆส์ ทั ธวิ หิ ารกิ ของทา่ นทง้ั หลาย กไ็ ปประจ�ำ ฟงั พระอาการแลปรยิ ตั เิ ยยี วยาโดยเตม็ ใจพรอ้ มเพรยี งกนั
เพื่อให้ท่านดำ�รงพระชนม์ต่อไป แลเป็นการฉลองพระเดชพระคุณพระองค์ท่าน โดยอาการอันเคารพ
บูชาอยา่ งสงู น้นั ก็หาอาจจะรง้ั มรณภยั ซง่ึ จะมาถงึ พระองค์ทา่ นไว้ไดไ้ ม่ เมื่อเป็นเหตสุ ้นิ พระชนมไ์ ปดงั นี้
เป็นท่ีทรงพระอาลัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แลมีความสลด
อาลัยแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ขา้ ราชการ สงฆนกิ ร คฤหัสถชน ผนู้ ้อมนับถอื ในพระองคท์ า่ นเปน็ อย่างยง่ิ
คร้ันวนั ที่ ๒๙ กันยายน เวลายำ่�คำ่� พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั พรอ้ มดว้ ยสมเด็จพระบรม
โอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงพระภษู าแลฉลองพระองคข์ าว เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ โดยรถพระทน่ี ง่ั
แต่พระที่น่ังจักรีมหาปราสาท ไปประทับวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงพระดำ�เนินสู่พระตำ�หนักกรมสมเด็จ
พระปวเรศวริยาลงกรณ์ ถวายนำ้�สรงพระศพแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระบรมวงศานุวงศ์
แลเสนาบดสี รงพระศพตามล�ำ ดบั ขณะนน้ั เจา้ พนกั งานประโคม กลองชนะแตรสงั ขพ์ รอ้ มกนั สรงเสรจ็ แลว้
โปรดใหเ้ จา้ พนกั งานทรงเครอ่ื งพระศพตามสมณเพศ แลว้ เชญิ ลงพระลองใน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
ทรงสวมพระชฎาถวาย แลว้ เจ้าพนักงานยกพระลองในขึน้ ต้งั เหนือชัน้ แว่นฟ้า ประกอบพระโกศกุดนั่ ใหญ่
แลว้ ทรงทอดผ้าไตร ๕๐ ไตร ผา้ ขาว ๑๐๐ พบั พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ พระอรุณนิภาคุณากร
แลพระสงฆ์อื่น ๆ รวม ๑๕๐ รูป สดับปกรณ์แล้ว เวลา ๒ ทมุ่ เศษ เสดจ็ พระราชด�ำ เนินกลบั สพู่ ระบรม
มหาราชวัง เจา้ พนักงานไดต้ ั้งเครอ่ื งสูง ๕ ชัน้ ๙ คัน แวดลอ้ มพระโกศ แลมีกลองชนะแดง ๑๐ คู่
จ่าปี่ ๑กลอง ๑ สงั ข์ ๑ แตรงอน ๒ แตรฝรง่ั ๒ ประโคมประจำ�ศพ แลพระสงฆส์ วดอภธิ รรม ๔
สำ�รับ ๑๖ รปู ทัง้ กลางวันกลางคืนตอ่ ไป …
เอกสารอ้างองิ
“ข่าวสิ้นพระชนม”์ . ราชกจิ จานเุ บกษา, เล่ม ๙, หน้า ๒๑๗.
111
เจา้ พนกั งานภูษามาลาก�ำ ลังอญั เชิญพระโกศพระศพพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวรยิ าลงกรณ์
ลงจากเวชยันตราชรถ เข้าสพู่ ระเมรุ ประตูดา้ นทศิ เหนอื พระเมรพุ มิ าน (พระอุโบสถวัดบวรสถานสทุ ธาวาส)
วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ทม่ี า หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ)
112
รว้ิ กระบวนพระอสิ รยิ ยศ
ในพระราชพิธพี ระราชทานเพลงิ พระศพ
วนั ที่ ๑๔ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ ... เวลา ๑๑ ทมุ่ เดินกระบวนแห่ (พระโกศทอง
ใหญท่ รงพระศพพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมสมเดจ็ พระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ มาบนพระยานมาศสามล�ำ คาน
จากวดั บวรนเิ วศวหิ าร) มาตามถนนบา้ นตะนาว ถนนเฟอื่ งนคร ถนนบา้ นหมอ้ เลยี้ วถนนพระพทิ กั ษ์ ถนน
พระพพิ ธิ มาหยดุ ทหี่ นา้ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม เจา้ พนกั งานไดเ้ ชญิ พระศพเลอ่ื นจากพระยานมาศ
ตง้ั บนเกริน เพื่อได้เชิญขน้ึ ประดิษฐานบนเวชยันตราชรถแล้ว จัดตั้งกระบวนแหไ่ ปพระเมรุตอ่ ไป กระบวน
หนา้ มกี องทหารหนา้ แตรวง กองทหารฝพี ายแตรวง ทหารปนื ใหญ่ ทหารมา้ ธงชาย กลองมลายู มณฑป
เพลิงตัง้ บนหลังแรด ต่อมามกี ลองชนะ จา่ ปี่จ่ากลอง แตรสงั ข์ เทวดาคู่แห่ เครือ่ งสงู อินทร์พรหมค่เู คยี ง
ราชรถพระเจ้านอ้ งยาเธอ กรมหม่นื วชิรญาณวโรรสดพู ระอภธิ รรมแลโยงพระศพ แลเวชยันตราชรถรับ
พระศพ ราชรถเล็กสำ�หรบั ประดษิ ฐานพระโกศจันทน์ แลพระเสลีย่ งกงรับไม้หอม กระบวนหลงั มนี าลวิ นั
มหาดเล็กเชิญเคร่ือง แลพระญาติวงศ์กับมหาดเล็กตามพระศพ ต่อไปกระบวนพระสงฆ์ฐานานุกรมใน
พระศพเดนิ ตาม แล้วถงึ พระสงฆด์ ำ�รงสมณศกั ดิ์ พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ พระอรุณนิภาคณุ ากรทรง
พระเสลยี่ งกนั้ พระกลด สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (แสง ปฺ าทโี ป) นง่ั วอกนั้ กลด หมอ่ มเจา้ พระสถาพร
พิรยิ พรตน่ังเสลีย่ งปา่ กน้ั กลด พระพมิ ลธรรม (ฑิต อุทโย) พระธรรมวโรดม (ฤทธิ์ ธมมฺ สริ )ิ นั่งแคร่คู่แรก
กนั้ สปั ทนโหมด พระราชาคณะนงั่ แครก่ นั้ สปั ทนแดง ตอ่ มาอกี ๒๙ คแู่ ลว้ ถงึ พระครฐู านาเปรยี ญถอื ตาลปตั ร
ตามพระศพดว้ ย
วันที่ ๑๕ มกราคม เวลาเช้าโมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคร่ืองเต็มยศทหาร
ประดับเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ เสด็จออกทางพระที่น่ังอนันตสมาคม ทรงพระราชยานกง พร้อมด้วย
กระบวนตํารวจราชองครักษ์ มหาดเล็ก ทหารแห่นำ�ตามเสด็จเป็นกระบวนราบ มีมโหระทึกนำ�เสด็จ
ออกประตูเทวาพิทกั ษ์ ไปตามถนนสนามไชย เสด็จประทบั พลับพลายก ซึง่ เจา้ พนักงานไดจ้ ดั ต้งั ไว้เปน็ ที่
113
ร้วิ กระบวนเชญิ พระยานมาศสามล�ำ คานทรงพระโกศเวียนรอบพระเมรุโดยอตุ ราวัฏ
วันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ทีม่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต)ิ
114
ประทบั แลว้ เสดจ็ จากพลบั พลาไปทรงทอดผ้าขาวพบั สดับปกรณพ์ ระศพ ๒๐ พบั พระสงฆส์ ดบั ปกรณ์
มีพระญาณโพธิ (ใจ จนทฺ โชโต) เปน็ ประธาน สดับปกรณแ์ ล้วเจ้าพนกั งานไดเ้ ชิญพระศพขึ้นประดษิ ฐาน
บนเวชยนั ตราชรถโดยทางเกรินแล้ว เสด็จไปทอดพระเนตรกระบวนแหจ่ นสุดกระบวนแล้ว เสด็จประทับ
พลับพลาทรงพระราชยาน เสด็จไปตามถนนสนามไชยเลี้ยวถนนราชินี เสด็จประทับท่ีพลับพลายกข้าง
ประตพู ระเมรดุ า้ นเหนือ เจา้ พนกั งานได้เดนิ กระบวนแห่ไปตามทางท่ีเสดจ็ กระบวนหนา้ ผ่านหนา้ ทีน่ ั่งไป
เวชยันตราชรถพระศพหยุดที่ประตูพระเมรุ เจ้าพนักงานได้เชิญพระศพลงจากเวชยันตราชรถโดยทาง
เกริน ต้ังบนพระยานมาศสามคาน แลมีพระเสลี่ยงกง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสดู
พระอภิธรรมนำ�พระศพ พร้อมดว้ ยคแู่ ห่กลองชนะ จา่ ป่จี ่ากลอง แตรสังข์ เคร่ืองสูงอินทร์พรหมค่เู คยี ง
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวเสดจ็ ประทับทีค่ ดข้างราชวัตรทมิ มุมพระเมรดุ า้ นตะวันออกเฉยี งเหนอื แล้ว
เจ้าพนกั งานเดนิ กระบวนพระศพ เข้าประตูพระเมรุ เวียนพระเมรุ ๓ รอบแล้วเชิญพระศพข้ึนพระเมรุโดย
ทางเกรนิ ประดิษฐานบนชนั้ แว่นฟ้าในพระเมรุพิมาน ภายใตเ้ บญจปฎลเศวตฉัตร ประดับด้วยเครื่องสงู
ตามพระเกียรติยศ แล้วเชิญพระโกศจันทน์ประดิษฐานในพระเมรุมณฑป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสดจ็ ประทับในพระเมรพุ ิมาน ทรงทอดผา้ ไตรสังเคด็ ๑ ไตร แลไตรเปลา่ อกี ๑๙ ไตร พระสงฆ์ ๒๐ รปู
สดับปกรณ์ มีพระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหม่ืนวชริ ญาณวโรรสเป็นประธาน ในเวลาสดบั ปกรณน์ น้ั พระบรม
วงศานวุ งศแ์ ลขา้ ราชการผใู้ หญ่ กบั ราชทตู ตา่ งประเทศเฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทดว้ ย เสรจ็ การสดบั ปกรณ์
แลว้ เสดจ็ กลบั พระบรมมหาราชวงั ...
เอกสารอ้างองิ
ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๑๗, วันที่ ๒๓ มกราคม ร.ศ.๑๑๙, หน้า ๖๒๕-๖๒๘.
115
ร้วิ กระบวนเชญิ พระยานมาศสามล�ำ คานทรงพระโกศเวียนรอบพระเมรุโดยอตุ ราวัฏ
วันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ทีม่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต)ิ
116
แลดูเหลืองไปหมด
ในบริเวณพระเมรุ
...กอ่ นงานพระเมรไุ ดม้ งี านพระราชทานเพลงิ พระบพุ โพของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
ไดป้ ลูกเมรเุ ล็กขึ้นท่ีวดั บวรนเิ วศ พระเจา้ อยูห่ ัว (รชั กาลท่ี ๕) เสดจ็ พระราชด�ำ เนินไปพระราชทานเพลิง
ส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จฯ กรมพระยาสดุ ารัตนราชประยรู สมเด็จพระเจา้
น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์ ได้เชิญลงเรือศรีมาบรรจบกันที่วัดมหาธาตุ พระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำ�เนินไปพระราชทานในงานนี้ ข้าพเจ้า (หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล) มิได้ไปเพราะ
ยังเปน็ เด็กนักเรยี น
เมอื่ จะจัดงานพระเมรนุ นั้ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ให้ปลูกพระเมรุมณฑปในเขตของพระราชวงั บวรทาง
ด้านเหนอื วดั พระแกว้ วังหน้า (วัดบวรสถาน) ซง่ึ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณใ์ หมแ่ ละโปรดเกล้าฯ ให้
เรียกว่า “พระเมรพุ ิมาน”
กอ่ นงานพระเมรุ โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ งี านสมโภชพระพุทธสหิ ิงคเ์ ปน็ พทุ ธบชู า ด้วยงานมงคลอัน
เปน็ ประเพณมี าตงั้ แตร่ ชั กาลท่ี ๑ แตใ่ นงานนไ้ี ดท้ รงบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ลสดบั ปกรณพ์ ระอฐั ิ ทรงพระราช
อุทิศถวายกรมพระราชวังบวรในรัชกาลท่ี ๑ ท่ี ๒ ที่ ๓ และสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อย่หู ัว ซง่ึ ไดท้ รง
สถติ ในพระบวรราชวังมาแตก่ ่อนแล้ว จึงมงี านพระเมรตุ ามภายหลงั
งานพระเมรเุ รม่ิ ตง้ั ตน้ ดว้ ยการพระศพสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
กอ่ น เพราะทรงเป็นพระอปุ ัชฌายพ์ ระเจา้ อยหู่ วั ในงานนีข้ า้ พเจ้าไมไ่ ดไ้ ป ทราบแต่ว่าได้มีพระสงฆต์ าม
พระศพมากที่สุด ว่าทรงวอก็มี ขึ้นแคร่ก็มี แม้จนคานหามก็มีตามด้วย เล่ากันว่าแลดูเหลืองไปหมดใน
บรเิ วณพระเมรุ
เอกสารอา้ งอิง
หม่อมเจา้ จงจติ รถนอม ดศิ กุล. บันทกึ ความทรงจำ�ของหม่อมเจา้ จงจิตรถนอม ดิศกุล. กรงุ เทพฯ : วัชรินทรก์ ารพิมพ์, ๒๕๒๒.
117
พระโกศทรงพระศพพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมสมเดจ็ พระ
ปวเรศวรยิ าลงกรณ์ประดษิ ฐานบนชนั้ แว่นฟา้
ภายใต้เบญจปฎลเศวตฉัตร ในพระเมรุพมิ าน
(พระอุโบสถวดั บวรสถานสทุ ธาวาส)
วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ท่มี า หอจดหมายเหตแุ ห่งชาต)ิ
เจ้าพนักงานกำ�ลังประคองพระโกศพระศพ
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมสมเดจ็ พระปวเรศวริยาลงกรณ์
ขึ้นสูพ่ ระเมรมุ ณฑปด้วยเกรนิ บนั ไดนาค
วันท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ทม่ี า หอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ
118
พระราชทาน
เพลงิ พระศพ
วนั ที่ ๑๖ มกราคม (รัตนโกสนิ ทรศก ๑๑๙) เป็นวันพระราชทานเพลงิ เจ้าพนกั งานไดจ้ ัดต้ัง
พระจติ กาธานในพระเมรุมณฑป ประดับด้วยพรรณดอกไมส้ ดต่าง ๆ มีการสดบั ปกรณ์ในตอนเชา้ สว่ น
ของหลวงไตร ๑๑ ผ้าขาวพบั ๖๐ ไทยธรรม ๑๐๐ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้ศิษยานุศิษย์
สดับปกรณ์ สงั เค็ด ๑๐ ไตร ๓๐ ผา้ ขาวพับ ๖๐ ฉลาก ๒๐๐ มีเทศนาในพระเมรุ ๒ กัณฑ์ ท่โี รง
ธรรมทาน ๒ กณั ฑ์ ครนั้ เวลาบา่ ย ๓ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคร่อื งเช่นวานน้ี เสดจ็
ทรงรถพระที่น่ัง แต่พระบรมมหาราชวัง ไปประทับพระเมรุพิมาน ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ด ๑ ไตรแล
ไตรเปล่าอกี ๑๙ ไตร พระสงฆ์ ๒๐ รปู สดบั ปกรณ์ มี พระสุเมธาจารย์ (ศร)ี เป็นประธาน พระบรม
วงศานวุ งศ์ ข้าราชการผใู้ หญ่ แลราชทตู ตา่ งประเทศเฝ้าทลู ละอองธุลพี ระบาท เสรจ็ การสดับปกรณ์แลว้
เจา้ พนกั งานเชญิ พระศพลงจากชน้ั แวน่ ฟา้ โดยทางเกรนิ มาสพู่ ระเมรมุ ณฑป พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
เสดจ็ ไปประทบั ทพี่ ระเมรุมณฑป เจ้าพนักงานเปลือ้ งพระโกศแล้วยกพระลองในพระศพขน้ึ ประดษิ ฐานบน
พระจติ กาธาน ประกอบพระโกศจนั ทน์ มฉี ากเทวดาบงั เพลงิ เมอื่ ประดษิ ฐานพระศพแลว้ พระบาทสมเดจ็
พระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเพลิง พระราชทานเพลิงพระศพเป็นปฐม เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์กลองชนะ
แล้วพระบรมวงศานวุ งศ์ แลขา้ ราชการ แลพระสงฆ์ แลราษฎร ถวายพระเพลงิ พระศพตอ่ ไปแลว้ เสด็จ
กลับทางพระเมรุพมิ าน ทรงพระราชยานเสดจ็ มาประทับพลบั พลา ทรงโปรยผลกลั ปพฤกษ์พระราชทาน
แกพ่ ระบรมวงศานวุ งศ์ ขา้ ราชการฝา่ ยหนา้ ฝา่ ยใน แลโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมน่ื ราชบรุ ี
ดิเรกฤทธิ์ แลพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐโปรยผลกัลปพฤกษ์พระราชทานแก่ข้าราชการท่ี
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ท้ายพลับพลา แลทอดพระเนตรมวยจัดมาแต่เมืองนครลำ�ปาง นครลำ�พูน
เวลาท่มุ เศษ ทรงจุดดอกไมเ้ พลิง มรี �ำ โคม สงิ โต มังกร แล้วเสด็จไปประทับท่โี รงสังเคด็ ทอดพระเนตร
กรรมการตรวจตดั สนิ ชนิ้ โตะ๊ ตอ่ ไป เวลา ๕ ทมุ่ เศษ เสดจ็ ขน้ึ ประทบั ทพี่ ระเมรมุ ณฑป ทรงทอดผา้ ขาวพบั
สดับปกรณ์ ๒๐ พบั พระสงฆส์ ดบั ปกรณม์ ีพระมงคลทิพมุนเี ปน็ ประธาน แลว้ พระราชทานเงนิ แจกกรม
ภูษามาลา แลกรมสนมพลเรือนแลว้ เสดจ็ กลบั พระบรมมหาราชวัง เจา้ พนกั งานได้สมุ พระอฐั ไิ วค้ ืนหน่งึ
เอกสารอา้ งอิง
ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๗, วันท่ี ๒๓ มกราคม ร.ศ.๑๑๙, หน้า ๖๒๘-๖๓๐.
119
เจา้ พนกั งานก�ำ ลงั ประคองพระโกศพระศพ
ขน้ึ สูพ่ ระเมรุมณฑปดว้ ยเกรนิ บันไดนาค
วนั ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ที่มา หอจดหมายเหตุแห่งชาต)ิ
120
ชวี ิตนน้ี อ ยนัก
"พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอพระองคน์ นั้ (กรมสมเดจ็ พระปวเรศวรยิ าลงกรณ)์ ไดเ้ ปน็ ทเ่ี คารพนบั ถอื ของ
มหาชนเหน็ ปานน้ี ก็เพราะมคี ณุ ธรรมอยู่ในพระองค์ ถึงวา่ จะสน้ิ พระชนม์ลงในเวลาเจริญพระชนมายุถงึ
เพยี งน้ี กย็ งั ไมเ่ ปน็ ทพ่ี อความปรารถนา กแ็ ตถ่ า้ ลกึ พระพทุ ธภาษติ ทพ่ี ระบรมศาสดาตรสั แลว้ กต็ อ้ งเหน็ วา่
ถึงจะยังดำ�รงพระชนมายุไปได้อีกสักเท่าไร ในท่ีสุดก็คงต้องสิ้นพระชนม์ ไม่พลาดจากความแห่งพุทธ
นพิ นธค์ าถา ซึ่งพรรณนาว่า
“ชีวิตนี้น้อยนัก สัตว์ที่เกิดมาแล้วย่อมตายเสียแม้แต่ในภายในร้อยปี ถึงหากว่าผู้ใดจะมีอายุยืน
เกนิ รอ้ ยปไี ปได้ ผนู้ น้ั ชราเข้ากค็ งจะตายเปน็ แท้
คนท่ีไม่มีสติคิดอย่างน้ี เม่ือผู้ซึ่งเป็นที่รัก ท่ีตนสำ�คัญอยู่ว่าเป็นน่ันเป็นนี่ของเรามาล่วงลับไป
กย็ อ่ มเศรา้ โศกร�ำ่ ไหเ้ ปน็ ธรรมดา เพราะสตั วส์ งั ขารทบ่ี คุ คลก�ำ หนดวา่ ของตวั นนั้ ทจ่ี ะเปน็ ของเทยี่ งถาวรแต่
สกั อยา่ งไม่มเี ลย ความมแี ลว้ ต้องวิโยคพลัดพรากจากกันเปน็ ธรรมดาของสงั ขาร คงทอี่ ย่ทู ัง้ สองประการ
ไม่แปรผนั
บณั ฑติ เห็นอย่างน้ีแลว้ กินไมอ่ ยคู่ รองเคหสถานผูกกงั วลใหพ้ วั พนั ธ์ เพราะวา่ ถงึ จะส�ำ คัญสิง่ ใด
อย่วู ่าน่ขี องเราดงั น้ี ครั้นมรณะมาถงึ แลว้ จำ�ต้องละสงิ่ นั้นส้นิ
บณั ฑิตผนู้ บั ถอื พระพุทธศาสนาทราบเหตุนแี้ ล้ว ไมค่ วรนอ้ มใจถอื วา่ ของเรา เพราะเขาจะไมไ่ ด้
เหน็ คนทตี่ นรกั ซง่ึ ละโลกท�ำ กาลกริ ยิ าไปแลว้ อกี เหมอื นบรุ ษุ ทนี่ อนหลบั ฝนั เหน็ อารมณซ์ งึ่ เปน็ ทชี่ อบใจแลว้
คร้ันตนื่ ข้นึ อารมณน์ ้ันหายไปหมด ไม่ปรากฏใหบ้ ุรษุ นัน้ เหน็ อีกฉะนั้น คนที่มีชอื่ ท่ีเขาเรยี กกันอยู่ ถงึ จะมี
ผใู้ ดเคยเห็นเคยไดย้ นิ รู้จักอยูแ่ นน่ อนแกใ่ จ เมื่อละโลกไปแลว้ ยังคงเหลอื แต่ช่ือทีเ่ รียกกนั อย่างเดยี วเท่านั้น”
เอกสารอา้ งอิง
ศราทธพรตเทศนา พระนิพนธ์ในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนวชิรญาณวโรรส ท่ีทรงแสดงในงานสักการะพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมสมเด็จพระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ พระบรมราโชปธั ยาย ณ พระอุโบสถวดั บวรนิเวศวิหาร ๑ พฤษภาคม รัตนโกสนิ ทรศ์ ก ๑๑๔.
121
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ประสตู ิ วนั ๕ ๗ฯ ๕ ค�ำ่ ปวี อกยงั เปน็ เอกศก ๑๑๙๑
(วนั ท่ี ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๐๓)
ทรงอปุ สมบท วนั ๖ ๙ฯ ๘ ค�่ำ ปเี ถาะเอกศก ๑๒๔๑
(วนั ท่ี ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๒)
ทรงท�ำ ทัฬหิกรรม
วนั ๗ ๗ฯ ๒ ค�ำ่ ปเี ถาะเอกศก ๑๒๔๑
พระสมณฉายา (วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๒)
ครองวัด
มนุสสฺ นาค
มหาสมณตุ มาภิเษก
ปมี ะโรงจตั วาศก ๑๒๕๔
สิ้นพระชนม ์ (พ.ศ.๒๔๓๕)
วัน ๒ ๔ฯ ๑ ค่ำ� ปจี อโทศก ๑๒๗๒
(วนั ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๓)
วนั ๓ ๑ฯ๔ ๘ คำ�่ ปรี ะกาตรศี ก ๑๒๘๓
(วันที่ ๒ สงิ หาคม พ.ศ.๒๔๖๔)
มนสุ สนาคสมยั
123
พระเจา้ น้องยาเธอ กรมหม่นื วชริ ญาณวโรรส
เมือ่ ปี พ.ศ.๒๔๒๙
124
ไลห นังสอื
พระองคเ จา พระมนษุ ยนาคมานพ
เมอื่ ครงั้ ทส่ี มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงผนวชได้ ๓ พรรษา พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนามาทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระท่ีน่ัง ครั้งนั้น
ทรงมุ่งหวังท่ีจะแปลให้ได้เป็นเปรียญธรรม ๕ ประโยคเสมอพระบรมชนกนาถ ครั้งน้ันทรงสถาปนา
พระอสิ รยิ ยศท่ี “พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส” ดงั ปรากฏความในจดหมายเหตพุ ระราชกจิ
รายวนั พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ความตอนหนึ่งวา่
“วันอาทติ ย์ ขน้ึ ๕ คำ่� เดือนยี่ ปมี ะเส็ง ตรศี ก จุลศักราช ๑๒๔๓ (วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๒๔)
เวลาบ่าย ... เจ้าพระยามหินทร์เข้ามาคอยฟังพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าพระมนุษยนาค
มาณพจะทรงแปลหนงั สือ จึงพระราชทานคอเรสปอนเดนตเ์ รอ่ื งเมืองไทรบรุ ใี ห้ดู เวลาบ่าย ๓ โมงเศษ
ออกทรงฟงั แปลหนังสอื ท่ีห้องเขียวบรมราชสถติ ยม์ โหฬาร พระสงฆ์ผู้ไลน่ น้ั ๑๐ รปู คือกรมพระปวเรศ
วริยาลงกรณ์ ๑ หมอ่ มเจา้ พระอรุณนภิ าคุณากร ๑ สมเดจ็ พระวันรตั ๑ สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ๑
พระพมิ ลธรรม ๑ พระธรรมวโรดม ๑ พระเทพโมลี ๑ พระเทพกระวี ๑ พระเทพมุนี ๑ พระโพธวิ งศ์ ๑
ลงมือทรงแปลธรรมบทบั้นต้นผูก ๒๐ เป็นประโยค ๑ คร้ันแปลตกประโยคแล้วพระราชทานจีวรแพร
และธูปเทียนแด่พระสงฆ์ผู้ไล่ทั้ง ๑๐ รูป แล้วพระสงฆ์ถวายอติเรกถวายพระพรลา โปรดเกล้าฯ ให้
เจา้ พระยามหนิ ทรท์ �ำ กฏุ ทิ ว่ี ดั บวรนเิ วศน์ ส�ำ หรบั เปน็ ต�ำ หนกั พระองคเ์ จา้ พระองคม์ นษุ ยนาคมาณพหลงั ๑
(บรู ณะพระปั้นหยา่ )...
125
พระเจา้ น้องยาเธอ พระองค์เจ้าพระมนุษยนาคมานพ
ทรงฉายภายหลงั ทรงท�ำ ทฬั หกี รรม (อุปสมบทซ้ำ�)
เมอ่ื วันท่ี ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๒๒
126
วันจันทร์ ขึน้ ๖ ค�ำ่ เดอื นย่ี ปมี ะเส็ง ทวศี ก จลุ ศักราช ๑๒๔๓ (วันท่ี ๒๖ ธนั วาคม พ.ศ.
๒๔๒๔)
...เวลาบ่าย ๓ โมงเศษเสด็จออก เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำ�รงเข้ามาฟังแปลหนังสืออีก
พระราชทานหนงั สือสมเดจ็ เจ้าพระยาตอบเรื่องเมอื งไทรท่ีรับเม่ือคนื นนี้ ้ันใหด้ ู จึงทลู เกล้าถวายความเหน็
เรอ่ื งเมอื งไทรเปน็ ไปรเวตฉบบั ๑ ราชการฉบบั ๑ แลว้ พระสงฆท์ เี่ ขา้ มาไลห่ นงั สอื เมอ่ื วานนเ้ี ขา้ มา เสดจ็ ไป
ประทบั หอ้ งเขียว พระองคเ์ จ้าพระมนุษยนาคมาณพ ทรงแปลเป็นวันที่ ๒ รวม ๒ วัน นับเป็น ๓ ประโยค
คร้ันจบแลว้ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณถ์ วายอตเิ รก หมอ่ มเจ้าพระอรณุ นิภาคณุ ากรถวายพระพรลา
วันศุกร์ ขนึ้ ๑๐ คำ่� เดอื นย่ี ปมี ะเสง็ ตรีศก จุลศกั ราช ๑๒๔๓ (วันท่ี ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๒๔)
บ่าย ๓ โมงเศษ กรมปวเรศวรยิ าลงกรณ์ พระองคเ์ จา้ มนุษยนาคมาณพ พระราชาคณะผู้ใหญ่
เขา้ มาพรอ้ มกนั ในพระทน่ี งั่ บรมราชสถติ ยม์ โหฬารไลห่ นงั สอื พระองคเ์ จา้ มนษุ ยเ์ หมอื นวนั กอ่ น ๆ แปลทปี นี
บทพาหุสจั วนับเป็นประโยค ๔ ...
วนั เสาร์ ขน้ึ ๑๑ คำ่� เดอื นยี่ ปีมะเสง็ ตรศี ก จลุ ศักราช ๑๒๔๓ (วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๒๔)
...แลว้ กรมพระปวเรศวรยิ าลงกรณ์ พระองคเ์ จา้ พระมนษุ ย์ พระราชาคณะผใู้ หญ่ เขา้ มาพรอ้ มกนั
ในพระทน่ี ั่งบรมราชสถิตย์มโหฬารดงั เชน่ วันก่อน พระองค์เจ้ามนษุ ยแ์ ปลสารสงั คหเป็นประโยค ๕ แล้ว
พระราชทานผ้าไตร ๑ กปั ปิยมูลค่าราคา ๑๐ ชั่งแก่พระองคเ์ จ้ามนุษยนาคมาณพ”
127
ซุ้มรบั เสด็จ ดา้ นหนา้ ประตูเสยี้ วกาง ด้านนอก
ประดับคาถาภาษาบาลี อักษรไทยว่า "อนโุ มทนั ตุ สาธุกํ ตโต ลัทธปะสาทาจะ"
ในโอกาสท่พี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเสดจ็ พระราชดำ�เนนิ ถวายราชสักการะพระพทุ ธชินสหี ์
เนอ่ื งในการเสดจ็ พระราชดำ�เนินกลบั จากยโุ รป ครัง้ ที่ ๑
เม่ือวันท่ี ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๐
128
คิดถงึ พระพทุ ธชนิ สีห
ในคราวท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งท่ี ๑ เมื่อปี พ.ศ.
๒๔๔๐ น้นั ทรงมพี ระราชหตั ถเลขาโต้ตอบกับพระเจา้ น้องยาเธอ กรมหม่ืนวชิรญาณวโรรส ครง้ั นั้นได้
ทรงเลา่ ถึงการเสดจ็ เยือนนครรัฐวาตกิ นั ความตอนหนึง่ ว่า
“...จะตอ้ งทลู สารภาพอยา่ งหนง่ึ ถงึ เรอื่ งไปจบู มอื โปป๊ (พระสนั ตะปาปาเลโอท่ี ๑๓) ขอใหท้ รงเขา้
พระทัยวา่ ตง้ั ใจว่า จูบมอื คนแก่เทา่ นน้ั เพราะเจ้าฝรั่งเขาจบู ตีนกนั เจ้าฝรั่งทถ่ี อื ศาสนาลทั ธอิ ่นื ซึง่ นบั
ว่าเปน็ ปฏปิ ักษ์คู่ววิ าทกัน เชน่ เอมเปอเรอออฟเยอรมนี เปน็ ต้น เขาอยากไปดูโปป๊ เขากต็ ้องยอมจูบมือ
เราไมไ่ ด้วิวาทบาดทะเลาะอันใดกัน จะไปจองหอง ค�้ำ อยคู่ นเดยี วมันกน็ า่ เกลยี ด ... หม่อมฉันก็ต้องเดนิ
ไปตามรอยน้ัน แต่วา่ ตามจรงิ โป๊ปเป็นคนแก่ควรบูชา แลความประพฤตกิ ต็ ั้งอยใู่ นสุจรติ ประกอบไปด้วย
มทั ยัธถ์ แลสนั โดษ ดีกวา่ พระลังกาบางพวกเปนอนั มาก ในการทีไ่ ปดูวดั ดูวังก็ยอมใหด้ ูทุกสิง่ ทุกอยา่ ง ท่ี
สดุ จนมงกฏุ ซงึ่ เจา้ แผน่ ดนิ บางองคไ์ มไ่ ดเ้ หน็ เลย หมอ่ มฉนั ขอดกู ย็ อมใหจ้ บั ลบู คลบั คล�ำ ได้ พระธาตตุ า่ ง ๆ
ของเขาทีศ่ กั ด์สิ ทิ ธิ์ ก็ยอมใหจ้ ับต้องพิจารณาดถู ้วนถี่ ไมห่ า้ มหวงเหมือนพระทนั ตธาตุ
...ไดจ้ ัดหาฃองเครอ่ื งทจี่ ะไปบชู าพระชินศรีได้แลว้ เมอ่ื กลบั ไปถงึ จะไปนมสั การ แลถวายเครือ่ ง
บชู าน้ันเวลาหนึ่ง เวลานี้มันให้มีแตน่ ึกถึงใครต่อใครในบางกอกเรอ่ื ยไป...
ควรมคิ วรแล้วแตจ่ ะโปรด
จฬุ าลงกรณ์ ป.ร.”
เอกสารอา้ งองิ
พระราชหตั ถเลขาในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ ฯ ถงึ กรมหม่นื วชริ ญาณวโรรส ลงวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ร.ศ.๑๑๖.
129
ซมุ้ ประตเู สย้ี วกาง ดา้ นใน
ประดับตรา จปร. พร้อมคาถาภาษาบาลี อักษรขอมว่า "จิรํ ชีวตุ โน ราชา"
ในโอกาสท่พี ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนินถวายราชสักการะพระพทุ ธชนิ สีห์
เนือ่ งในการเสด็จพระราชดำ�เนินกลบั จากยุโรป
ครั้งท่ี ๑ เมือ่ วนั ที่ ๒๓ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๔๐
(ทมี่ า หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)
130
การสมโภชพระพุทธชินสีห
แลพระสงฆค ณะธรรมยตุ กิ นกิ ายถวายไชยมงคล
วนั ท่ี ๒๓ ธันวาคม รัตนโกสนิ ทรศก ๑๑๖
เปน็ ก�ำ หนดทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๕) จะเสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
เพอื่ ทรงกระท�ำ พทุ ธบชู าแลถวายกระถางศลิ าใหญม่ เี สาศลิ ารองสเี ขยี ววจิ ติ รดว้ ยฝมี อื ชา่ งสลกั เปน็ ลวดลาย
ซง่ึ ทรงจดั หามาแตย่ โุ รป เปน็ เครอื่ งสกั การทร่ี ฦกในการเสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ยโุ รปคราวนแี้ ดพ่ ระพทุ ธชนิ สหี ์
เปน็ การสมโภชพระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส พรอ้ มดว้ ยพระสงฆธ์ รรมยตุ กิ นกิ าย จดั การ
รบั เสด็จเปน็ การใหญ่ ในบริเวณพระอุโบสถแลพระเจดยี พ์ ระพิหาร ตกแตง่ ดว้ ยเครอื่ งอลังการแขวนม่าน
ปกั ฉัตรธงตงั้ โคมไฟ สถานที่ท�ำ เปน็ อยา่ งไทย ก็ตกแต่งเป็นอยา่ งไทย สถานทท่ี ำ�เป็นอย่างจนี ก็ตกแต่งเป็น
อยา่ งจนี ทใ่ี นบรเิ วณวดั จดั เปน็ ปา่ เขาแขวนโคมญป่ี นุ่ ตง้ั โคมรปู สตั วต์ า่ ง ๆ ทศ่ี าลาแลปะร�ำ ผกู มา่ นประดบั
ด้วยธงเทียวพวงใบไม้ แขวนโคมสว่างไสวท่ีกำ�แพงวัดประดับธงใบไม้กับโคมไฟมีซุ้มตั้งทุกประตู ตรงที่
สดุ ถนนเฟือ่ งนครริมสะพานวัด ต้งั ซุ้มไฟใหญเ่ ปน็ ทน่ี า่ ดมู าก...
เอกสารอา้ งองิ
“การสมโภชพระพุทธชินสีห์ แลพระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกายถวายไชยมงคล.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๔, ๒ มกราคม จ.ศ.๑๘๙๗,
หน้า ๖๕๗ – ๖๖๘.
131
การตกแตง่ พระอุโบสถวดั บวรนิเวศวิหาร ในโอกาสท่พี ระบาทสมเดจ็
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำ�เนินถวายราชสักการะ
พระพทุ ธชินสีห์ เนื่องในการเสดจ็ พระราชดำ�เนนิ กลับจากยุโรป
ครง้ั ที่ ๑ เม่ือวนั ที่ ๒๓ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๔๐
การตกแตง่ ดา้ นนอกพระอารามฝ่ังทศิ ตะวันตก
ในโอกาสท่พี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั
เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ถวายราชสักการะพระพุทธชนิ สหี ์
เนื่องในการเสด็จพระราชด�ำ เนินกลบั จากยโุ รป ครัง้ ท่ี ๑
เม่ือวันท่ี ๒๓ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๔๐
(ที่มา หอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ
132