The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nuryupo, 2021-09-26 03:57:06

คณิตป.1เล่ม1

คณิตป.1เล่ม1

37

15 - 9 =



13 + 3 =

๑๖

17 + 2 =

๑๙

12 - 5 =



43

12
6
6 + = 12 หรือ 12 - 6 =



7
11
- 7 = 11 หรือ 7 + 11 =

๑๘

38 แบบฝึกหัดรายวชิ าพื�นฐาน | คณติ ศาสตร� ป.1
2 แกโ� จทยป� ัญหา บทท�ี 5 | การบวก การลบจาํ นวนนบั ไม�เกิน 20

2.1 ต�นกลา� พับเรือกระดาษได� 9 ลาํ ต�องพบั อีกกี�ลํา
จงึ จะครบ 14 ลาํ

โจทยถ� าม ตอ� งพบั อกี กลี� าํ จงึ จะครบ 14 ลาํ

โจทย�บอก ตน� กลา� พบั เรือกระดาษได� 9 ลํา

ประโยคสัญลักษณ� 9 + = 14 หรอื 14 - 9 =

ตอบ ต�นกลา� ต�องพบั อกี ๕ ลาํ จงึ จะครบ ๑๔ ลํา

2.2 หน�อยพับถุงกระดาษได�กถ�ี ุง แม�ให�อกี 3 ถุง
ทําให�หน�อยมถี งุ กระดาษ 11 ถุง

โจทยถ� าม หนอ� ยพบั ถงุ กระดาษได�กถ�ี งุ

โจทย�บอก แม�ให�อกี 3 ถุง
ทาํ ให�หนอ� ยมถี ุงกระดาษ 11 ถุง

ประโยคสัญลกั ษณ� + 3 = 11 หรอื 11 - 3 =

๘ตอบ หนอ� ยพับถุงกระดาษได� ถงุ

| 153สถาบันส�งเสริมการสอนวิทยาศาสตร�และเทคโนโลยี

43

+ 7 = 15 หรือ 15 - 7 =



- 8 = 8 หรือ 8 + 8 =

๑๖

18 - = 7 หรือ 18 - 7 =

๑๑

39

และปลาในถงุ รวมกนั กต่ี วั ขนุ มปี ลาทงั้ หมดกตี่ ัว
ขนุ มปี ลาในตู
มากกวา ปลาในถงุ ก่ีตวั
ขุนเหลอื ปลากต่ี วั
* คําตอบอาจแตกตางจากนี้ ขุนมปี ลาในตู

44

ตน กลา มีหนงั สือ 15 เลม เอามาเพมิ่ อีก 2 เลม
ตน กลา มหี นงั สอื ทัง้ หมดกเ่ี ลม

15 + 2 =

ตนกลา มหี นงั สือทั้งหมด 17 เลม เอาไปใหเ พ่อื นยมื อา น 2 เลม
ตน กลาเหลอื หนังสอื กเี่ ลม

17 - 2 = * คาํ ตอบอาจแตกตางจากน้ี

40

ฉันมสี มุดปกออน 10 เลม สมุดปกแข็ง 7 เลม
ฉนั มสี มดุ ปกออนและสมุดปกแข็งท้งั หมดกเี่ ลม

ขนุ มเี งิน 20 บาท จายคา รถไป 6 บาท
ขนุ เหลือเงนิ ก่บี าท

* คําตอบอาจแตกตางจากน้ี

44

6+4=

๑๐

6-2=



6 + 10 + 4 =

๒๐

41

สม
มะมว ง

44

42

จาํ นวนขนมจีบทนี่ กั เรียนกินในงานเล้ยี งปใ หม
5
20

ขุน
ออมสนิ
3
2
3

44

6

งูกนิ ห4าง
มา กา นกลว ย

43

8 3
5
สตั ว
ดอกไม

4

44

วุนกะทิ 2
ถั่วกวน 4

ถัว่ กวน
เหลอื นอ ยทสี่ ดุ

วนุ กะทิ
เหลือมากทส่ี ดุ

44

ครเู ตรียมมอบของขวญั ปใ หมใหน ักเรยี นคนละ 1 ช้นิ
แตล ะคนไดร ับของขวัญ ดงั นี้

3

ตาม

ช้นิ 20

44

5
6

6
1

01 20

45

5

5 5

5 ปง
9
1
1

1

44

ชมพู
สมโอ
ฝรัง่

มะมวง

* อาจสลบั ตาํ แหนง ของชมพู และมะมว งได

46

44

47

เบากวา หนักเทากับ

เบากวา เบากวา

หนกั เทากบั หนักกวา

44

74

6 12

4 8
8 7
4 7

48

44

3 ลกู แกว นอยกวา 6 ลูกแกว
7 ลกู แกว นอยทีส่ ุด
6 ลูกแกว มากท่ีสุด

49

สม โอ1 4 แอปเปล 3

กะหลํ่าป9ลี 2ขา วโพด 3

45

50

15 3
สม เงาะ

45

51

45

1 42

เบากวา 4-1=3
หนักกวา 4-1=3
เบากวา
หนักกวา 4-2=2
เบากวา 4-2=2
หนักกวา
2-1=1
2-1=1

52

15 3

45

53

2 6

มะเขือเทศ แอปเปล

53

834

45

54

45

5 11 7

หนกั กวา 7-5=2
เบากวา 7-5=2
หนักกวา
เบากวา 11 - 5 = 6
เบากวา 11 - 5 = 6
หนักกวา
11 - 7 = 4
11 - 7 = 4

55

10 2 15

45

12 12

7 14

นอ ยหนา ลองกอง

56

ไขข าว นา้ํ ตาลทราย ถวั่

1 ขีด 1 ขีด 1 ขีด 1 ขดี 1 ขีด 1 ขีด 1 ขดี 1 ขีด 1 ขีด 1 ขดี 1 ขดี

ดงั น้นั แมใชส วนผสมทง้ั หมด 2 + 4 + 5 = 11 ขดี

๑๑ ๑ ๑

มากกวา 5

๖ 1 ขดี 1 ขดี 1 ขดี 1 ขดี 1 ขดี 1 ขดี 1 ขดี 1 ขีด 1 ขีด
1 ขดี 1 ขีด 1 ขีด 1 ขดี 1 ขีด 1 ขดี เบากวา 3 ขดี
* วิธีคิดอาจแตกตางจากนี้
ดงั นน้ั หนัก 6 ขีด

นอ ยกวา 9

45

33
1
1+1=2
6
33

ทเุ รียนกับฟกทอง 3 + 3 = 6 กก.

ทเุ รียน แตงโม สบั ปะรด

1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก.

ทุเรียน แตงโมกบั สบั ปะรด 3 + 2 + 1 = 6 กก.
ฟก ทอง แตงโมกบั สบั ปะรด 3 + 2 + 1 = 6 กก.

* วธิ คี ิดอาจแตกตา งจากน้ี

57

น้งิ

4
4
น้งิ หนัก 4 + 7 = 11

4 + 4 + 11 = 19

ดังนั้น นํ้าหนักรวมของทัง้ สามคนเปน 19 กก.

๑๙

* วิธีคดิ อาจแตกตางจากน้ี

45

15 16 17 18 19 20

20 นับถอยหลัง 3 ได 17
ดงั นัน้ แกวตามีนา้ํ หนักเพิม่ ขึ้น 17 กก.

ปจ จบุ ันแกว ตาหนกั 20 กก. 20 − = 3 หรือ 3 + = 20
แรกเกิดแกวตาหนัก 3 กก. ใชค วามสัมพันธข องการบวกและการลบ
จะได
แกวตามีนาํ้ หนักเพมิ่ ขน้ึ 20 − 3 = 17 กก. 20 − 3 =
ดงั น้ัน แกว ตามีนํ้าหนกั เพ่มิ ขน้ึ 17 กก. 20 − 3 = 17
ดงั นั้น แกว ตามนี ํา้ หนกั เพิ่มข้นึ 17 กก.

* วธิ คี ิดอาจแตกตางจากน้ี

๑๗

58

+ 11 = 18 จาก 11 เพิ่มขน้ึ อีกเทา ไหรจะได 18
ใชความสัมพันธของการบวกและการลบ
15 16 17 18 19 20
18 − 11 =
18 − 11 = 7 11 นับตออีก 7 เปน 18
ดงั นัน้ เดิมแมของขุนมเี หด็ หอม 7 ขีด ดังน้นั เดมิ แมข องขุนมเี หด็ หอม 7 ขดี

* วธิ ีคิดอาจแตกตา งจากน้ี ๗

45

12 นับถอยหลงั 2 ไดเ ทา ไหร

15 16 17 18 19 20

12 นับถอยหลงั 2 ได 10
ดังน้ัน ใบบัวคาดคะเนน้าํ หนกั ของกงุ แหงไว 10 ขีด

กงุ แหงหนกั 12 ขีด
ใบบวั คาดคะเนน้าํ หนักของกุง แหงนอยไป 2 ขดี

ดงั น้นั ใบบวั คาดคะเนนํ้าหนักของกุง แหง ไว

12 − 2 = 10 ขดี

* วธิ ีคิดอาจแตกตา งจากนี้ ๑๐

59

ขุน ตนกลา ตนกลา ใบบวั

หนักกวา

ขุน
แกวตา

46

ใชถ่วั กวนนํ้าหนักเทา เดิมมาปน ใหม

* เหตุผลอาจแตกตางจากน้ี ถั่วกวนนา้ํ หนักเทาเดมิ
ทีเ่ ปลีย่ นเฉพาะรูปรา งเทานน้ั

60

ใชความสมั พันธข องจํานวนแบบสว นยอ ย-สวนรวม

10

64

ดังนนั้ วันจนั ทรขายขา วสารได 6 กก.
วนั องั คารขายขาวสารได 4 กก.

หรอื

วนั จนั ทร 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก.

วันองั คาร 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก.

ดังนั้น วนั จันทรข ายขา วสารได 6 กก.
วนั อังคารขายขา วสารได 4 กก.

หรอื
วันจันทรขายได กก. วนั อังคารขายได กก. ท7986ี่ข−−−−าย3421ได====ม 4286ากไเไไปมมมกนใใใวชชชาคคคค าํ2ําําําตตตตกออออกบบบบ.-
วนั จันทรขายได 9 กก. วนั อังคารขายได 1 กก.
วันจันทรข ายได 8 กก. วนั อังคารขายได 2 กก.
วันจนั ทรขายได 7 กก. วนั อังคารขายได 3 กก.
6 4

ดงั น้ัน วนั จนั ทรข ายขา วสารได 6 กก.
วันองั คารขายขาวสารได 4 กก.

* วิธคี ิดอาจแตกตา งจากน้ี ๖


46

ใชถ่วั กวนนํ้าหนักเทา เดิมมาปน ใหม

* เหตุผลอาจแตกตางจากน้ี ถั่วกวนนา้ํ หนักเทาเดมิ
ทีเ่ ปลีย่ นเฉพาะรูปรา งเทานน้ั

61

ใชความสมั พันธข องจํานวนแบบสว นยอ ย-สวนรวม

10

64

ดังนนั้ วันจนั ทรขายขา วสารได 6 กก.
วนั องั คารขายขาวสารได 4 กก.

หรอื

วนั จนั ทร 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก.

วันองั คาร 1 กก. 1 กก. 1 กก. 1 กก.

ดังนั้น วนั จันทรข ายขา วสารได 6 กก.
วนั อังคารขายขา วสารได 4 กก.

หรอื
วันจันทรขายได กก. วนั อังคารขายได กก. ท7986ี่ข−−−−าย3421ได====ม 4286ากไเไไปมมมกนใใใวชชชาคคคค าํ2ําําําตตตตกออออกบบบบ.-
วนั จันทรขายได 9 กก. วนั อังคารขายได 1 กก.
วันจันทรข ายได 8 กก. วนั อังคารขายได 2 กก.
วันจนั ทรขายได 7 กก. วนั อังคารขายได 3 กก.
6 4

ดงั น้ัน วนั จนั ทรข ายขา วสารได 6 กก.
วันองั คารขายขาวสารได 4 กก.

* วิธคี ิดอาจแตกตา งจากน้ี ๖


คู่มือครู รายวิชาพ้นื ฐาน คณติ ศาสตร์
ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 1

ความรเู้ พมิ่ เติมส�ำ หรับครู

หลกั สูตร การสอน และการวัดผลประเมินผล เปน็ องคป์ ระกอบหลักท่สี ำ�คญั ในการออกแบบแนวทางการจดั การเรยี นรู้
หากมกี ารเปล่ียนแปลงองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนง่ึ จะสง่ ผลต่อองค์ประกอบอนื่ ตามไปด้วย ดงั นัน้ เพอื่ ความสอดคลอ้ ง
และเกิดประสิทธผิ ลในการน�ำ ไปใช้ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
กล่มุ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ จึงก�ำ หนดเปา้ หมายและจดุ เนน้ หลายประการที่ครูควรตระหนกั และทำ�ความเข้าใจ เพ่ือให้
การจดั การเรยี นรูส้ มั ฤทธ์ผิ ลตามที่ก�ำ หนดไว้ในหลักสูตร ครูควรศึกษาเพ่มิ เตมิ ในเรือ่ งตอ่ ไปนี้

1. ทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์

ทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์เป็นความสามารถท่จี ะนำ�ความรไู้ ปประยุกต์ใชใ้ นการเรียนรูส้ ิง่ ตา่ ง ๆ เพ่ือให้
ไดม้ าซ่งึ ความรู้ และประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตรใ์ นท่ีนี้ เน้นท่ี
ทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรท์ ีจ่ ำ�เปน็ และตอ้ งการพฒั นาใหเ้ กดิ ขึน้ กับนักเรยี น ได้แกค่ วามสามารถต่อไปนี้

1) การแกป้ ญั หา เปน็ ความสามารถในการทำ�ความเขา้ ใจปญั หา คิดวเิ คราะห์ วางแผนแกป้ ญั หา และเลอื กใช้
วิธีการทเ่ี หมาะสม โดยค�ำ นงึ ถึงความสมเหตุสมผลของค�ำ ตอบพรอ้ มทงั้ ตรวจสอบความถกู ต้อง

2) การสอื่ สารและการส่อื ความหมายทางคณติ ศาสตร์ เป็นความสามารถในการใช้รปู ภาษาและสญั ลกั ษณ์
ทางคณติ ศาสตรใ์ นการส่อื สาร สอ่ื ความหมาย สรุปผล และนำ�เสนอได้อยา่ งถูกตอ้ ง ชัดเจน

3) การเชอ่ื มโยง เป็นความสามารถในการใช้ความรทู้ างคณิตศาสตร์เป็นเครอื่ งมอื ในการเรยี นรู้คณิตศาสตร์เนอ้ื หา
ต่าง ๆ หรอื ศาสตร์อื่น ๆ และน�ำ ไปใช้ในชีวิตจริง

4) การให้เหตุผล เป็นความสามารถในการให้เหตุผล รบั ฟังและใหเ้ หตผุ ลสนับสนุนหรือโตแ้ ยง้ เพื่อน�ำ ไปสูก่ ารสรปุ
โดยมีข้อเทจ็ จรงิ ทางคณติ ศาสตรร์ องรบั

5) การคดิ สร้างสรรค์ เปน็ ความสามารถในการขยายแนวคดิ ทมี่ ีอยู่เดมิ หรือสร้างแนวคิดใหม่เพอื่ ปรับปรุง พัฒนา
องค์ความรู้

2. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคใ์ นการเรยี นคณติ ศาสตร์

การจัดการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรค์ วรมุ่งเนน้ ใหน้ กั เรยี นเกิดคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตอ่ ไปนี้
1) ท�ำ ความเข้าใจหรอื สรา้ งกรณที ว่ั ไปโดยใชค้ วามรทู้ ่ีไดจ้ ากการศกึ ษากรณีตวั อยา่ งหลาย ๆ กรณี
2) มองเหน็ วา่ สามารถใชค้ ณิตศาสตร์แกป้ ัญหาในชวี ิตจริงได้
3) มคี วามมุมานะในการทำ�ความเขา้ ใจปัญหาและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
4) สร้างเหตุผลเพอ่ื สนบั สนนุ แนวคดิ ของตนเองหรอื โตแ้ ยง้ แนวคิดของผ้อู ่นื อย่างสมเหตุสมผล
5) คน้ หาลักษณะที่เกดิ ข้ึนซำ้� ๆ และประยกุ ตใ์ ชล้ กั ษณะดังกล่าวเพอ่ื ท�ำ ความเข้าใจหรือแกป้ ัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ
3. การวดั ผลประเมินผลการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์

การวดั ผลประเมนิ ผลการเรยี นรู้ทางคณติ ศาสตร์ในปจั จุบันน้มี งุ่ เนน้ การวดั และการประเมินการปฏิบตั ิงานในสภาพ
ที่เกิดขนึ้ จริงหรือที่ใกล้เคียงกบั สภาพจริง รวมท้งั การประเมินเกย่ี วกับสมรรถภาพของนักเรยี นเพมิ่ เตมิ จากความรทู้ ่ีไดจ้ าก
การทอ่ งจ�ำ โดยใช้วธิ ีการประเมนิ ที่หลากหลายจากการทน่ี กั เรียนได้ลงมอื ปฏิบัติจรงิ ได้เผชิญกับปญั หาจากสถานการณจ์ ริง
หรอื สถานการณจ์ �ำ ลอง ไดแ้ ก้ปัญหา สืบคน้ ข้อมลู และน�ำ ความรูไ้ ปใช้ รวมทัง้ แสดงออกทางการคดิ การวดั ผลประเมนิ ผล
ดังกล่าวมีจุดประสงค์ส�ำ คัญดงั ตอ่ ไปนี้

462  |  สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


Click to View FlipBook Version