ี
รายละเอียดการประเมินผลการเรยนรู ้
ิ
ิ
ี่
ี่
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 1 บอกลักษณะตัวเหนยวน าและการเกดสนามแม่เหล็กได้
ี
ิ
10. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื่
ื
11. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี่
ิ
12. เกณฑ์การให้คะแนน : บอกลักษณะตัวเหนยวน าและการเกดสนามแม่เหล็กได้ จะได้
5 คะแนน
ิ
ิ
ี่
ิ
ี่
ี
ี
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 2 เปรยบเทียบลักษณะตัวเหนยวน าชนดขดเดยวแต่ละชนดได้
ี
ิ
10. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื่
ื
11. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี
ิ
ี
ี่
ิ
12. เกณฑ์การให้คะแนน : เปรยบเทียบลักษณะตัวเหนยวน าชนดขดเดยวแต่ละชนดได้ จะได้
5 คะแนน
ี่
ี่
ิ
ิ
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 3 วิเคราะห์ตัวเหนยวน าชนดหลายขดได้
ี
ิ
10. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
11. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี่
ิ
12. เกณฑ์การให้คะแนน : วิเคราะห์ตัวเหนยวน าชนดหลายขดได้จะได้ 5 คะแนน
้
ิ
ี่
ิ
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 4 จ าแนกชนดของหม้อปลงไฟฟาแกนเหล็กได้
ิ
ี
10. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
11. เครองมอ : แบบทดสอบ
ิ
้
12. เกณฑ์การให้คะแนน : จ าแนกชนดของหม้อปลงไฟฟาแกนเหล็กได้ 5 คะแนน
ี่
ี่
ิ
ิ
ี่
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 5 แปลงค่าความเหนยวน าของตัวเหนยวน าได้
ิ
ี
4. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื่
ื
5. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี่
ี่
6. เกณฑ์การให้คะแนน : แปลงค่าความเหนยวน าของตัวเหนยวน าได้จะได้ 10 คะแนน
์
ี่
ิ
ิ
ี
ุ
้
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 6 เตรยมความพรอมด้าน วัสด อุปกรณสอดคล้องกับงานได้อย่างถูกต้อง
ี
ิ
10. วิธการประเมน : ตรวจผลงาน
ิ
ื่
ื
11. เครองมอ : แบบประเมนกระบวนการท างานกลุ่ม
ุ
้
ี
์
12. เกณฑ์การให้คะแนน : เตรยมความพรอมด้าน วัสด อุปกรณสอดคล้องกับงานได้อย่าง
ถูกต้อง จะได้ 5 คะแนน
ี่
ิ
ิ
ิ
ี่
็
ิ
ี
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 7 ปฏบัตงานได้อย่างถูกต้อง และส าเรจภายใน เวลาทก าหนดอย่างมเหตุ
ั
ิ
และผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง
ี
ิ
10. วิธการประเมน : ตรวจผลงาน
ื
ื่
11. เครองมอ : แบบประเมินกระบวนการท างานกลุ่ม
็
ิ
ิ
ี่
ี
12. เกณฑ์การให้คะแนน : ปฏบัตงานได้อย่างถูกต้อง และส าเรจภายใน เวลาทก าหนดอย่างมเหตุ
ิ
ั
และผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง จะได้ 5 คะแนน
ึ
แบบฝกหัดบทที่ 10
้
้
ื่
เรอง ตัวเหนี่ยวน าและหมอแปลงไฟฟา
ึ
้
ิ
วัตถุประสงค์ เพื่อประเมนความรเดมของนักศกษาเกยวกับเรอง แหล่งก าเนดไฟฟาและประเภทของไฟฟา
ู
ี่
้
ิ
ื่
ิ
้
ื่
ี่
ี่
ุ
เขียนเครองหมายกากบาท (X) ลงในข้อทถูกต้องทสด
ิ
ี่
1. คุณสมบัตของตัวเหนยวน าข้อใดกล่าวไว้ถูกต้อง
ี
ก. มการยุบตัวพองตัวของสนามแม่เหล็กตามจังหวะการจ่ายแรงดันไฟสลับ
ี
ื
้
่
่
ื
่
่
ี
ิ
ข. เกดแรงเคลอนไฟฟาเหนยวน าขึ้นมาเมอมสนามแมเหล็กตัดผ่าน
่
่
้
ื
ิ
ค. เกดสนามแมเหล็กไฟฟาขึ้นมาเมอจ่ายแรงดันให้
ง. ถูกทุกข้อ
่
ิ
์
2. สนามแมเหล็กทเกดขึ้นในขดลวดมความสมพันธกันอย่างไร
ี
่
ี
ั
ิ
ิ
ก. แกนเล็กเกดสนามแม่เหล็กมาก แกนใหญ่เกดสนามแม่เหล็กน้อย
ิ
ิ
ข. พันรอบน้อยเกดสนามแม่เหล็กมาก พันรอบมากเกดสนามแม่เหล็กน้อย
ิ
ิ
ค. กระแสไหลน้อยสนามแม่เหล็กเกดน้อย กระแสไหลมากสนามแม่เหล็กเกดมาก
ิ
ิ
์
ิ
ง. แกนอากาศเกดความเข้มสนามแม่เหล็กมาก แกนเฟอรโรแมกเนตกเกดความเข้มสนาม แม่เหล็กน้อย
ี่
ิ
ุ
ี่
ี่
ิ
3. ตัวเหนยวน าชนดใดมีคุณสมบัตให้ค่าความเหนยวน าน้อยทสด
ก. แกนอากาศ ข. แกนเฟอรไรต์
์
ค. แกนผงเหล็กอัด ง. แกนเหล็กแผ่นบาง
ู
ี่
ิ
์
4. สัญลักษณตามรปแทนตัวเหนยวน าชนดใด
ก. แกนเหล็กแผ่นบาง ข. แกนเฟอรไรต์
์
ค. แกนอากาศ ง. ถูกทุกข้อ
ู
ี่
้
ี่
ี่
ิ
่
5. ตัวเหนยวน าชนดใดไมนิยมใชงานทความถสง
์
ก. แกนอากาศ ข. แกนเฟอรไรต์
ค. แกนผงเหล็กอัด ง. แกนเหล็กแผ่นบาง
ิ
ี่
็
ู
6. ตามรปเปนตัวเหนยวน าชนดใด
ั
ี่
ก. แกนปรบเปลยนค่าได้ ข. แกนผงเหล็กอัด
ค. แกนทอรอยด์ ง. แกนอากาศ
ี
ุ
ี่
ิ
ี
่
7. หม้อแปลงชนดใดทมขดลวดเพียงชดเดยว แต่แยกจุดใช้งานออกเอาต์พุตหลายต าแหนง
ก. ชนดก าลัง ข. ชนดออโต
ิ
ิ
ิ
ค. ชนดทอรอยด์ ง. ชนดลดแรงดัน
ิ
์
ิ
ู
็
8. 450V สัญลักษณตามรปเปนหม้อแปลงชนดใด
220V 250V ก. ชนดออโต
ิ
0V
ิ
ข. ชนดทอรอยด์
0V 250V ค. ชนดเพ่มแรงดัน
ิ
ิ
450V
ิ
ิ
ง. ชนดเพ่ม – ลดแรงดัน
ิ
ิ
9. วารแอกคือหม้อแปลงชนดใด
ิ
ิ
ก. ชนดออโต ข. ชนดทอรอยด์
ิ
ิ
ค. ชนดเพ่มแรงดัน ง. ชนดปรบเปลยนแรงดันได้
ี่
ิ
ั
ุ
ี่
ี่
10. ค่าความเหนยวน าข้อใดมีค่ามากทสด
ก. 62,000 H ข. 0.0068 H
ค. 52.4 mH ง. 0.033 H
ใบปฏิบัติงาน
้
10.1 การวัดทดสอบหมอแปลง
้
ี
์
จุดประสงคการเรยนรู
์
ื
ี
ี
1. วัดทดสอบสภาพดหรอเสยของหม้อแปลงด้วยโอห์มมิเตอรได้
ิ
ิ
์
2. ใช้มัลตมเตอรวัดแรงดันของหม้อแปลงได้
่
่
ื
ี
3. มน ้าใจต่อเพอนรวมงาน
ื
ื
่
เครองมอและอุปกรณ ์
ี
ิ
ี่
1. หม้อแปลงก าลังชนดลดแรงดันทมค่าแรงดันก ากับไว้ 0, 6, 9, 12 V 1 ตัว
2. เทปพันสายไฟ 1 ม้วน
ี
้
3. สายไฟพรอมเต้าเสยบ 1 เส้น
ื่
4. มัลตมเตอรชนดเข็มช้ ี 1 เครอง
์
ิ
ิ
ิ
้
ล าดับขันการทดลอง
์
ี่
ิ
ิ
ั
์
1. ปรบมัลตมเตอรไปทย่านวัดโอห์มย่าน x1 ปรบแต่งโอห์มมเตอรให้พรอมใช้งานก่อนการวัดค่า
้
ิ
ั
ั
ี่
ิ
2. ใช้โอห์มมเตอรทปรบแต่งเรยบรอยวัดค่าความต้านทานตามขาต่างๆ ของหม้อแปลงทเตรยมไว้ วัดขาต่างๆ ทางด้าน
ี
ี
้
์
ี่
่
ี่
ึ
ี่
ิ
ู
ู
ิ
ขดทุตยภมตามรปท 10.1 (ก) ต าแหนงการวัดขาใช้ตามตารางท 10.1 วัดทุกค่าตามล าดับ บันทกค่าความต้านทานทวัดได้ลงใน
ี่
ี่
ี่
ตารางท 10.1 ตามขาทก าหนด ให้ทั้งหมด ควรวัดทดสอบด้วยความระมัดระวัง
ขอควรระวัง ขณะวัดความต้านทาน ไมควรจับขั้วต่อหม้อแปลงทางด้าน 220 V ด้วยมอเปล่า เพราะ
้
่
ื
ู
ิ
้
ู
ขณะวัดจะท าให้เกดแรงดันค่าสงจ่ายออกมา อาจท าให้ถูกไฟฟาดดได้
4 5 6 7 8 9
3 2 1
ิ
(ก) การวัดค่าความต้านทานทางขดทุตยภูม ิ (ข) การวัดค่าความต้านทานทางขดปฐมภูม ิ
ี
่
ิ
รูปท 10.1 การวัดค่าความต้านทานของหม้อแปลงด้วยโอห์มมเตอร ์
ตารางที่ 10.1 การวัดค่าความต้านทานจากขั้วต่อใช้งานของหม้อแปลง
หมายเลขวัด 1 - 6 2 - 6 1 - 2 2 - 4 1 - 5 1 - 3 1 - 4 4 - 7 8 - 9
่
คาแรงดันไฟสลับ 3 V 6 V 9 V 12 V 15 V 18 V 21 V 24 V 220 V
ความตานทาน
้
ที่วัดได ()
้
ิ
ิ
์
้
์
ี่
ั
3. ปรบย่านวัดโอห์มมเตอรไปทย่าน x10 ปรบแต่งโอห์มมเตอรให้พรอมใช้งานก่อนใช้
ั
้
ั
ู
ิ
ี่
์
ี
ิ
4. น าโอห์มมเตอรทปรบแต่งเรยบรอย ไปวัดค่าความต้านทานของหม้อแปลงทางด้านขดปฐมภมขั้วแรงดัน 220 V
ึ
ี่
่
ี่
่
ู
ต าแหนงวัด 8 – 9 ตามรปที่ 10.1 (ข) บันทกค่าความต้านทานทวัดได้ลงในตารางท 10.1 ชองหมายเลขวัด 8 – 9 (220 V)
ู
ิ
ี่
ู
่
5. ประกอบวงจรตามรปที่ 10.2 จ่ายแรงดันไฟสลับ 220 V เข้าหม้อแปลงทางขดปฐมภมทต าแหนงวัด 8 – 9 น ามัลต ิ
ู
มเตอรปรบไปทย่านวัดโวลต์ ACV ตั้งทย่าน 10 V และ 50 V ตามล าดับ วัดแรงดันไฟสลับทางขดทุตยภมตามขาต่างๆ ของ
ี่
ั
ิ
ิ
่
ี
์
ิ
AC
AC
ี่
ี่
ี่
ี่
ึ
ู
ี่
่
หม้อแปลงตามรปท 10.2 ต าแหนงการวัดตามตารางท 10.2 บันทกค่าแรงดันไฟสลับทวัดได้ลงในตารางท 10.2 ตามค่าทก าหนดให้
220 V 8 9
4 5 6 7
3 2 1
ิ
รูปท 10.2 การวัดค่าแรงดันไฟสลับของหม้อแปลงด้วยโวลต์มเตอร ACV
์
่
ี
ตารางที่ 10.2 การวัดค่าแรงดันไฟสลับจากขั้วต่อใช้งานของหม้อแปลง
หมายเลขวัด 1 - 6 2 - 6 1 - 2 2 - 4 1 - 5 1 - 3 1 - 4 4 - 7 8 - 9
่
คาแรงดันไฟสลับ 3 V 6 V 9 V 12 V 15 V 18 V 21 V 24 V 220 V
แรงดันไฟสลับ
้
ที่วัดได (V)
สรุปผลการทดลอง
_______________________________________________ ______________________________________________
________________________________________________________________________ ______________________
_________________________________________________________________________________ _____________
_____________________________________________________________________ _________________________
___________________________________________________________________________ ___________________
ค าถามและการวิเคราะห ์
่
ี่
ี่
ิ
ี่
1. แรงดันทวัดได้ในตารางท 10.2 ได้ค่าแรงดันทแตกต่างกันไปในแต่ละต าแหนง เกดจากสาเหตุใด ค่าทวัดได้แตกต่าง
ี่
ี่
ื
จากค่าทบอกไว้หรอไม่อย่างไร
_________________________________________________________________________________ _____________
__________________________________________________________________________________ ____________
______________________________________________________________________ ________________________
________________________________________________________________________ ______________________
__________________________________________________________________________ ____________________
______________________________________________________________________________ ________________
_________________________________________________________________________________ _____________
__________________________________________________________________________ ____________________
______________________________________________________________________________________ ________
______________________________________________________________________________ ________________
___________________________________________________________________________ ___________________
______________________________________________________________________________ ________________
___________________________________________ ___________________________________________________
แบบประเมนผลการน าเสนอผลงาน
ิ
ื่
ชอกลุ่ม……………………………………………ชั้น………………………ห้อง............................
ื่
ิ
รายชอสมาชก
1……………………………………เลขท……. 2……………………………………เลขท…….
ี่
ี่
3……………………………………เลขท……. 4……………………………………เลขท…….
ี่
ี่
คะแนน
ิ
ท ี่ รายการประเมน ข้อคิดเห็น
3 2 1
ื
ื
ุ
ู
1 เน้อหาสาระครอบคลมชัดเจน (ความรเกยวกับเน้อหา ความถกต้อง
่
้
ู
ี
ั
ิ
ปฏภาณในการตอบ และการแก้ไขปญหาเฉพาะหน้า)
2 รปแบบการน าเสนอ
ู
่
ี
่
ิ
3 การมสวนรวมของสมาชกในกลม
ุ่
ี
ั
ิ
ี
ิ
4 บุคลกลักษณะ กรยา ท่าทางในการพด น ้าเสยง ซงท าให้ผู้ฟงมความ
ึ
ิ
ู
่
สนใจ
รวม
ิ
ผู้ประเมน…………………………………………………
้
์
เกณฑการใหคะแนน
ื
1. เน้อหาสาระครอบคลุมชัดเจนถูกต้อง
3 คะแนน = มสาระส าคัญครบถ้วนถูกต้อง ตรงตามจุดประสงค์
ี
2 คะแนน = สาระส าคัญไม่ครบถ้วน แต่ตรงตามจุดประสงค์
ุ
1 คะแนน = สาระส าคัญไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามจดประสงค์
2. รปแบบการน าเสนอ
ู
ี่
ื่
ี
3 คะแนน = มรปแบบการน าเสนอทเหมาะสม มการใช้เทคนคทแปลกใหม่ ใช้สอและเทคโนโลยี
ิ
ู
ี
ี่
ิ
ประกอบการ น าเสนอทนาสนใจ น าวัสดในท้องถ่นมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่าและประหยัด
ี
่
่
ุ
ื่
ี่
่
ิ
ี
5 คะแนน = มเทคนคการน าเสนอที่แปลกใหม่ ใช้สอและเทคโนโลยีประกอบการน าเสนอทนาสน ใจ แต่
ิ
ุ
ขาด การประยุกต์ใช้ วัสดในท้องถ่น
ิ
่
1 คะแนน = เทคนคการน าเสนอไม่เหมาะสม และไม่นาสนใจ
ิ
่
3. การมสวนรวมของสมาชกในกลุ่ม
่
ี
ี
่
ิ
3 คะแนน = สมาชกทุกคนมบทบาทและมสวนรวมกจกรรมกลุ่ม
ิ
่
ี
่
ี
่
ี
ิ
2 คะแนน = สมาชกสวนใหญ่มบทบาทและมสวนรวมกจกรรมกลุ่ม
ิ
่
ิ
1 คะแนน = สมาชกสวนน้อยมีบทบาทและมสวนรวมกจกรรมกลุ่ม
ี
่
่
ิ
่
4. ความสนใจของผู้ฟง
ั
ื
้
3 คะแนน = ผู้ฟงมากกว่ารอยละ 90 สนใจ และให้ความรวมมอ
่
ั
ั
2 คะแนน = ผู้ฟงรอยละ 70-90 สนใจ และให้ความรวมมอ
้
่
ื
ั
้
่
ื
1 คะแนน = ผู้ฟงน้อยกว่ารอยละ 70 สนใจ และให้ความรวมมอ
แบบประเมนกระบวนการท างานกล่ม
ุ
ิ
ชอกลุ่ม……………………………………………ชั้น………………………ห้อง............................
ื่
ิ
ื่
รายชอสมาชก
ี่
ี่
1……………………………………เลขท……. 2……………………………………เลขท…….
ี่
ี่
3……………………………………เลขท……. 4……………………………………เลขท…….
คะแนน
ิ
ท ี่ รายการประเมน ข้อคิดเห็น
3 2 1
้
1 การก าหนดเปาหมายรวมกัน
่
ี่
ั
ี
2 การแบ่งหน้าทรบผิดชอบและการเตรยมความพรอม
้
ี่
3 การปฏบัติหน้าที่ทได้รับมอบหมาย
ิ
ิ
ุ
4 การประเมนผลและปรับปรงงาน
รวม
ิ
ผู้ประเมน…………………………………………………
ี่
ื
วันท…………เดอน……………………..พ.ศ…………...
้
เกณฑการใหคะแนน
์
1. การก าหนดเปาหมายรวมกัน
่
้
้
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีสวนรวมในการก าหนดเปาหมายการท างานอย่างชัดเจน
่
่
่
่
้
2 คะแนน = สมาชิกสวนใหญ่มีสวนรวมในการก าหนดเปาหมายในการท างาน
่
้
่
1 คะแนน = สมาชิกสวนน้อยมีสวนรวมในการก าหนดเปาหมายในการท างาน
่
่
ี
2. การหน้าทรบผิดชอบและการเตรยมความพรอม
ั
้
ี่
ิ
ุ
ี
3 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถึง และตรงตามความสามารถของสมาชกทกคน มการจัดเตรยมสถานท สอ /
ี
่
่
ื
ี
ี
อุปกรณ์ไว้อย่างพรอมเพรยง
้
่
2 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถึง แตไมตรงตามความสามารถ และมสอ / อุปกรณ์ไว้อย่างพรอมเพรยง แต่ขาด
้
ื
ี
่
ี
่
การจัดเตรยมสถานท ี่
ี
ื
ี
่
่
1 คะแนน = กระจายงานไมทั่วถึงและมสอ / อุปกรณ์ไม่เพียงพอ
3. การปฏบัตหน้าททได้รบมอบหมาย
ิ
ั
ี่
ิ
ี่
ี่
็
้
3 คะแนน = ท างานได้ส าเรจตามเปาหมาย และตามเวลาทก าหนด
็
ี่
2 คะแนน = ท างานได้ส าเรจตามเปาหมาย แต่ช้ากว่าเวลาทก าหนด
้
็
้
1 คะแนน = ท างานไม่ส าเรจตามเปาหมาย
ุ
ั
4. การประเมินผลและปรบปรงงาน
ื
่
ิ
ึ
ุ
็
ั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนรวมปรกษาหารอ ตดตาม ตรวจสอบ และปรบปรงงานเปนระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางสวนมีสวนรวมปรกษาหารอ แต่ไม่ปรบปรงงาน
่
ั
่
ึ
ุ
ื
่
ั
1 คะแนน = สมาชิกบางสวนมีสวนรวมไม่มีสวนรวมปรกษาหารอ และปรบปรงงาน
่
ุ
ึ
่
่
่
ื
่
้
เฉยบทที่ 10 ตัวเหนี่ยวน าและหมอแปลงไฟฟา
้
ตอนที่ 1
1. ง 2. ค 3. ก 4. ข 5. ง
6. ก 7. ข 8. ค 9. ง 10. ก
ตอนที่ 2
ี
้
่
ี
่
่
่
่
่
ิ
ี
1. ตัวเหนยวน าคืออะไร ความเข้มของสนามแมเหล็กไฟฟาทเกดขึ้นเปลยนแปลงไป ขึ้นอยูกับสวนประกอบอะไรบ้าง
ี่
ิ
้
์
ี่
่
็
์
ตัวเหนยวน า (Inductor) เปนอุปกรณทถูกน าไปใช้งานทางด้านไฟฟาและอิเล็กทรอนกสอย่างแพรหลายในหลาย
ี
ี่
ี่
้
ิ
งานและหลายหน้าท คุณสมบัติของตัวเหนยวน าม 2 สภาวะ คือ จะให้ก าเนดสนามแม่เหล็กไฟฟา (Electromagnetic
้
ี่
ื่
ี่
ิ
Field) ขึ้นมา เมอมกระแสไหลผ่านในตัวเหนยวน า และจะให้ก าเนดแรงเคลอนไฟฟาเหนยวน า (Induce Electro Motive
ื
่
ี
ิ
ี่
ื่
ี
ี่
ี่
ู
ี
Force ; EMF) ขึ้นมา เมอมสนามแม่เหล็กเคลอนทตัดผ่านตัวเหนยวน า ตัวเหนยวน าทถกผลตขึ้นมาใช้งานมหลายขนาดและ
่
ี
ื
่
ู
ี่
ู
ี่
หลายรปแบบแตกต่างกัน ตัวเหนยวน าแบบต่างๆ แสดงดังรปท 1
ี
่
ี่
รูปท 1 ตัวเหนยวน าแบบต่างๆ
็
ตัวเหนยวน าสามารถเรยกได้หลายชอ เชน ขดลวด (Coil) หรอ โช้ก (Choke) เปนต้น สรางขึ้นจากการน า
ื
่
ื่
ี
้
ี่
เสนลวดทองแดงอาบน ้ายาฉนวน พันเปนขดวงกลมหลายๆ วงเรยงซ้อนกัน จ านวนรอบของการพันขดลวดตัวเหนยวน ามผลท า
้
ี่
ี
็
ี
่
ิ
ี
ี่
ี่
ิ
ี
ี
ให้ค่าความเหนยวน า (Inductance) ทเกดขึ้นในตัวเหนยวน าแตกต่างกันไปมค่าดังน้ พันขดลวดจ านวนรอบน้อยเกดความ
ี่
เหนยวน าค่าน้อย พันขดลวดจ านวนรอบมากเกดความเหนยวน าค่ามาก จ านวนรอบที่พันยังมผลต่อปรมาณสนาม แม่เหล็กท ี่
ี
ี่
ิ
ิ
ิ
ิ
เกดขึ้นด้วย พันขดลวดจ านวนรอบน้อยสนามแมเหล็กเกดขึ้นน้อย พันขดลวดจ านวนรอบมากสนามแม่เหล็กเกดขึ้นมาก ค่า
่
ิ
์
ั
ี
่
ึ
ทั้งสองมความสมพันธซงกันและกัน
่
ี
้
ความเข้มของสนามแมเหล็กไฟฟาทเกดขึ้นในขดลวดขึ้นอยูกับสวนประกอบต่างๆ ดังน้ ี
่
่
่
ิ
1. จ านวนรอบของการพันเส้นลวดตัวน า พันรอบน้อยเกดสนามแม่เหล็กน้อย พันรอบมากเกดสนามแม่เหล็กมาก
ิ
ิ
้
ิ
ิ
2. ปรมาณการไหลของกระแสผ่านเสนลวดตัวน า กระแสไหลน้อยสนามแม่เหล็กเกดน้อย กระแสไหลมาก
ิ
สนามแม่เหล็กเกดมาก
ี่
ี่
ุ
ิ
3. ชนดของวัสดทใช้ท าแกนแม่เหล็กไฟฟา แกนอากาศให้ความเข้มสนามแม่เหล็กน้อย แกนทท ามาจากโลหะให้
้
ความเข้มของสนามแม่เหล็กมาก
่
ิ
่
่
ี
4. ขนาดของแกนทน ามาใช้งาน แกนขนาดเล็กเกดสนามแมเหล็กขึ้นน้อย แกนขนาดใหญเกดสนามแมเหล็กขึ้น
่
ิ
มาก
ี่
ื
ิ
์
ื
2. ตัวเหนยวน าชนดแกนเฟอรไรต์ และแกนผงเหล็กอัดเหมอนกันหรอแตกต่างกันอย่างไร
ี่
็
ี่
ตัวเหนยวน าแกนเฟอรไรต์ (Ferrite Core Inductor) เปนตัวเหนยวน าทใช้แกนรองขดลวดท ามาจากวัสดประเภท
์
ุ
ี่
์
่
ึ
เฟอรไรต์อัดขึ้นรปในลักษณะต่างๆ ซงสารเฟอรไรต์มสวนผสมทแตกต่างกันไป โดยมสวนผสมหลักเปนสนมเหล็ก และผสม
่
ี
ี
่
็
ี่
์
ิ
ู
รวมกับสารอื่นๆ อีกหลายชนด เชน อะลูมเนยม แมกนเซยม นกเกล โคบอลต์ และสังกะส เปนต้น การใช้สวนผสมแตกต่างกัน
ิ
่
ี
่
็
ี
่
ิ
ี
ิ
ี
ิ
ี
ี
ี่
ี่
มผลต่อค่าความเหนยวน าทได้ออกมามค่ามากน้อยแตกต่างกัน
ู
้
ี
ข้อดของตัวเหนยวน าแกนเฟอรไรต์ คือสามารถสรางให้แกนมรปรางหลากหลายลักษณะแตกต่างกันไปตามความ
ี
่
์
ี่
ู
ู
ต้องการ น าไปใช้งานได้ดทั้งย่านความถต าและย่านความถสง ถกผลตขึ้นมาใช้งานมากมายหลากหลายรปแบบ และถูกน าไปใช้
่
ิ
ี
ี
่
ู
่
ี
ู
์
ี่
่
งานอย่างแพรหลาย ลักษณะตัวเหนยวน าแกนเฟอรไรต์ แสดงดังรปที่ 2
่
ู
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
์
ี่
ี
่
รูปท 2 ตัวเหนยวน าแกนเฟอรไรต์
ี่
ี่
ี่
็
ตัวเหนยวน าแกนผงเหล็กอัด (Iron Powder Core Inductor) เปนตัวเหนยวน าทใช้แกนรองขดลวดท ามาจาก
่
ุ
ู
ู
่
่
ิ
วัสดประเภทผงเหล็กชนดอัดแนน โดยน าผงเหล็กผสมกับกาวอัดแนนเปนรปรางต่างๆ ตามต้องการ สามารถก าหนดรปแบบ
็
ได้อย่างหลากหลาย
ั
ข้อดของตัวเหนยวน าแกนผงเหล็กอัด คือสามารถชวยลดการสญเสยการไหลของกระแสสญญาณภายในขดลวดจาก
่
ี
ู
ี่
ี
ู
กระแสไหลวน (Eddy Current) ลงได้ ท าให้กระแสสญญาณสงผ่านตัวเหนยวน าแกนผงเหล็กอัดได้สงขึ้น เกดการสญเสย
ี
ู
ั
ิ
่
ี
่
ี
้
ู
ี่
ี
ั
่
สญญาณภายในตัวเหนยวน าลดลง ใช้งานได้ดในย่านความถสง สามารถสรางให้มค่าความเหนยวน าสงขึ้นได้ แต่มขนาดตัว
ี่
ี
ี
ู
ี่
ู
ี่
เหนยวน าเล็กลง ลักษณะตัวเหนยวน าแกนผงเหล็กอัด แสดงดังรปที่ 3
ู
่
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
่
ี่
รูปท 3 ตัวเหนยวน าแกนผงเหล็กอัด
ี
3. หม้อแปลงคืออะไรมีหลักการท างานอย่างไร
หม้อแปลง หรอทรานสฟอรเมอร (Transformer) เปนตัวเหนยวน าแบบหลายขด เปนตัวเหนยวน าทมขดลวดพันไว้
็
์
์
ื
ี่
ี่
ี่
ี
็
ี่
่
ี
ี่
ใช้งานรวม กันมากกวาหนงขดขึ้นไป การเหนยวน าทเกดขึ้นเปนการเหนยวน าแบบข้ามขด มขั้วต่อขดลวดออกมาใช้งานหลาย
็
ี
ิ
่
ึ
่
่
่
ี
ขั้ว เชน 4 ขั้ว 6 ขั้ว และ 8 ขั้ว เปนต้น ขดลวดทั้งหมดทต่อออกมาใช้งานถกแบ่งออกเปน 2 ด้าน คือ ด้านทางเข้าหรออินพุต
ู
็
ื
็
ั
่
ู
้
ี
้
ื
(Input) ใช้ส าหรบปอนแรงดันเข้า หรอสญญาณไฟฟาเข้าขดลวด ถูกเรยกวา ขดปฐมภม (Primary) และด้านทางออกหรอ
ื
ิ
ั
้
ี
ิ
้
่
ิ
ื
ู
เอาต์พุต (Output) ใช้ส าหรบปอนแรงดันออก หรอสญญาณไฟฟาออกจากขดลวด ถูกเรยกวา ขดทุตยภม (Secondary) ตัว
ั
ั
ี
ี
ู
ี่
ื่
ื
ี
เหนยวน าแบบหลายขดน้มชอเรยกว่า การท างานเบ้องต้นของหม้อแปลง แสดงดังรปที่ 4
ื
ี
่
รูปท 4 การท างานเบ้องต้นของหม้อแปลง
การท างานของหม้อแปลง เมอมแรงดันไฟสลับปอนเข้าทขดปฐมภม ท าให้เกดการยุบตัวและพองตัวของ
้
ื่
ิ
ู
ี
ิ
ี่
์
ิ
ู
ู
ิ
ี่
ิ
สนามแม่เหล็กทางขดปฐมภม เกดฟลักซแมเหล็กว่งเคลอนทรอบแกนรองขดลวด เหนยวน าสนามแม่เหล็กไปให้ขดทุตยภม ิ
ี
่
ิ
ื
่
่
ี
สนามแม่เหล็กตัดผ่านขดทุตยภมสงผลให้เกดแรงเคลอน ไฟฟาชักน า (EMF) ขึ้นมา ค่าทเกดขึ้นน้คือแรงดันไฟสลับทจ่าย
ื่
้
ี่
ิ
ู
ิ
ิ
ิ
่
่
ี
็
ิ
ิ
ออกมาทางขดทุตยภูม จ่ายเปนแรงดันออกไปใช้งาน
ื
ื
์
ิ
ิ
4. หม้อแปลงชนดแกนเฟอรไรต์ และแหม้อแปลงชนดแกนเหล็กแผ่นบางเหมอนกันหรอแตกต่างกันอย่างไร
ุ
์
็
ี่
ิ
์
หม้อแปลงชนดแกนเฟอรไรต์ เปนหม้อแปลงทใช้แกนรองขดลวดท ามาจากวัสดประเภทเฟอรไรต์อัดขึ้นรปลักษณะ
ู
ต่างๆ ทมสวนผสมของเฟอรไรต์แตกต่างกันไป แต่มสวนผสมหลักเปนสนมเหล็ก และผสมรวมกับสารอื่นๆ เชน
์
่
ี
ี
่
ี่
็
ิ
่
่
ี
ิ
ิ
ั
ี
ี
็
ี่
่
ี
ี่
ี
อะลูมเนยม โคบอลต์ แมกนเซยม นกเกล และสงกะส เปนต้น สวนผสมทใช้แตกต่างกันมผลท าให้ค่าความเหนยวน าทได้
ี่
ิ
ี่
ิ
่
ั
ู
ี่
ี่
ิ
แตกต่างกัน นยมน า ไปใช้งานในย่านความถสง เชน ภาครบความถวิทยุ (Tuner) ภาคก าเนดความถ (Oscillator ; Osc.)
์
และภาคก าหนดความถปานกลาง (Intermediate Frequency ; IF) เปนต้น โดยท างานรวมกับอุปกรณอื่นๆ ลักษณะ
ี่
็
่
์
ู
หม้อแปลงแกนเฟอรไรต์ แสดงดังรปที่ 5
่
ู
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
รูปท 5 หม้อแปลงแกนเฟอรไรต์
่
ี
์
็
ี
ิ
ุ
ี่
หม้อแปลงชนดแกนเหล็กแผ่นบาง เปนหม้อแปลงทใช้แกนรองขดลวดท ามาจากวัสดประเภทเหล็กรดให้เปนแผ่น
็
็
ู
บาง ตัดขึ้นรปเหล็กแต่ละแผ่นเปนรปตัว E และตัว I น ามาวางซ้อนกันเปนแกนรองขดลวด โดยทเหล็กแผ่นบางแต่ละแผ่นถูก
็
ี่
ู
เคลอบฉนวนไว้ ท าให้เหล็กแต่ละแผ่นถูกแยกตัวออกจากกัน เพื่อชวยลดการสญเสยเนองจากกระแสไหลวน ชวยลดความ
่
่
ื่
ื
ี
ู
่
ิ
่
ี
้
ี
รอนจากการเหนยวน า และชวยท าให้ค่าความเหนยวน าเพ่มมากขึ้น การใช้งานนยมน าไปใช้งานในย่านความถต า และย่าน
่
ี่
ิ
่
ี่
ู
ี
ความถเสยง (AF) ใช้งานได้ทั้งแรงดันไฟตรงและแรงดันไฟสลับ ลักษณะหม้อแปลงแกนเหล็กแผ่น แสดงดังรปที่ 6
่
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
ู
่
ี
รูปท 6 หม้อแปลงแกนเหล็กแผ่นบาง
็
5. หม้อแปลงก าลังคืออะไรมีลักษณะการพันขดลวดเปนอย่างไร
ื
็
ิ
หม้อแปลงก าลัง (Power Transformer) เปนหม้อแปลงชนดทสามารถจ่ายแรงดัน จ่ายกระแส หรอจ่ายทั้ง
ี่
ี่
่
แรงดันและกระแสออกมาใช้งานได้มากขึ้น ถูกน าไปใช้งานอย่างแพรหลาย ในหลายหน้าทและหลายลักษณะการท างาน ทั้ง
่
ิ
้
ี่
ี
งานในด้านอิเล็กทรอนกส ด้านไฟฟาก าลัง และด้านอุตสาหกรรม หม้อแปลงก าลังทผลตมาใช้งาน มตั้งแต่ทนกระแสได้ต า
์
ิ
ู
ี
ึ
ู
่
ึ
ไปจนถงทนกระแสได้สงๆ และจ่ายแรงดันออกมาได้หลายค่าจากต าไปถงค่าสง หม้อแปลงก าลังมหลายลักษณะ หลายคุณสมบัต ิ
่
และหลายหน้าทการท างาน แต่ส่งทเหมอนกันของหม้อแปลงก าลัง คือจะต้องสามารถจ่ายก าลังไฟฟาออกมาในรปแรงดันและ
ี
ี
่
ื
ิ
้
ู
ื
ิ
ี่
ี
ู
กระแสมค่ามากหรอน้อยได้ตามความต้องการของภาระทต้องการใช้งาน ลักษณะหม้อแปลงก าลังชนดต่างๆ แสดงดังรปที่ 7
้
ิ
์
้
(ก) ใช้งานระบบจ่ายก าลังไฟฟา (ข) ใช้งานไฟฟาและอเล็กทรอนกสทั่วไป
ิ
ิ
่
ี
รูปท 7 หม้อแปลงก าลังชนดต่างๆ
ิ
ิ
ื
แกนรองขดลวดหม้อแปลงก าลังนยมใช้ชนดเหล็กแผ่นบางเคลอบฉนวนซ้อนทับกัน ด้วยเหตุทหม้อแปลงก าลังขณะ
ี่
ี
็
้
่
ึ
ท างานใช้ก าลังไฟฟาสง ท าให้เกดความรอนสงมาก จ าเปนต้องมการระบายความรอนทด ซงแผ่นเหล็กบางสามารถระบาย
้
ี่
ี
ู
ิ
้
ู
้
่
่
ความรอนได้ด และด้วยขนาดทใหญของหม้อแปลงก าลัง รวมทั้งรปรางของหม้อแปลงก าลังทมความแตกต่างกัน การใช้
ี
่
ี
ู
ี
ี
่
ึ
เหล็กแผ่นบางเคลอบฉนวนขึ้นรปแกนรองขดลวดท าได้ง่าย รวมถงสามารถสรางให้มระบบการระบายความรอนทแตกต่างกัน
้
ี
ู
ื
้
ี่
้
ได้ ชวยให้เกดการสญเสยก าลังไฟฟาขณะท างานต า เกดประสทธภาพในการท างานเพ่มมากขึ้น หม้อแปลงก าลังทผลตมาใช้
่
ิ
ู
ิ
ิ
่
ี
ิ
ี่
ิ
ิ
ี
ู
ี
ิ
ิ
งานมด้วยกันหลายรปแบบ หลายลักษณะ และหลายชนด แบ่งออกตามคุณลักษณะของการพันขดลวดได้ดังน้ ชนดลดแรงดัน
ิ
ิ
ิ
ิ
(Step Down Voltage) ชนดเพ่มแรงดัน (Step Up Voltage) ชนดเพ่ม – ลดแรงดัน (Step Up – Step Down
ิ
ั
ิ
ี่
Voltage) ชนดออโต (Auto) และชนดปรบเปลยนแรงดันได้ (Variable Voltage)
บันทึกหลังการสอน
ี่
้
ี่
บทท 10 ตัวเหนยวน าและหม้อแปลงไฟฟา
ี
ผลการใช้แผนการเรยนร ู ้
ื
ิ
ิ
10. เน้อหาสอดคล้องกับจุดประสงค์เชงพฤตกรรม
ี
ิ
ิ
11. สามารถน าไปใช้ปฏบัตการสอนได้ครบตามกระบวนการเรยนการสอน
ื่
12. สอการสอนเหมาะสมด ี
ี
ี
ผลการเรยนของนักเรยน
ึ
ู
่
่
้
่
่
ี
10. นักศกษาสวนใหญ่มีความสนใจใฝร เข้าใจในบทเรยนรวมกัน อภปรายตอบค าถามในกลุ่ม และรวมกันปฏิบัต ิ
ิ
ิ
ั
ี่
ใบปฏบัติงานทได้รบมอบหมาย
ั
ื
ื
ี่
็
ึ
11. นักศกษากระตอรอร้นและรบผิดชอบในการท างานกลุ่มเพื่อให้งานส าเรจทันเวลาทก าหนด
ู
้
ึ
12. นักศกษาปฐมพยาบาลผู้ถูกไฟฟาดด
ผลการสอนของคร ู
ื
ู
10. สอนเน้อหาได้ครบตามหลักสตร
ี
ื
11. แผนการสอนและวิธการสอนครอบคลุมเน้อหาการสอนท าให้ผู้สอนสอนได้อย่างมั่นใจ
ี่
12. สอนได้ทันตามเวลาทก าหนด
ปญหาและอุปสรรค์
ั
ี
่
่
ี
ี
้
1. นักศกษาแต่ละคนมความรพ้นฐานในเน้อหาทเรยนไมเท่ากัน
ึ
ื
ื
ู
่
2. นักศกษาแต่ละคนมีทักษะในการปฏิบัตงานไมเท่ากัน
ึ
ิ
แผนการสอน/แผนการเรยนรูภาคทฤษฏ ี
ี
้
แผนการสอน/การเรยนรภาคทฤษฎ ี บทท 11
ี
ู
้
ี่
ชอวิชา งานไฟฟาและอเล็กทรอนกสเบ้องต้น สอนสัปดาห์ท 16
ื่
้
ื
ี่
์
ิ
ิ
(Basic Electricity and Electronic)
ชอหน่วย อปกรณเกียวข้องในงานไฟฟาและ คาบรวม 4
ื
่
ุ
้
่
์
อเล็กทรอนกส ์
ิ
ิ
ุ
ื่
ิ
้
่
์
ื่
ชอเรอง. อปกรณเกียวข้องในงานไฟฟาและอเล็กทรอนกส ์ จ านวนคาบ 4
ิ
หัวขอเรอง
้
ื่
้
้
ดานความรู
• ไมโครโฟน
• ล าโพง
• รเลย์
ี
• แมกเนตกคอนแทกเตอร
์
ิ
• อุปกรณสารกงตัวน า
์
ึ
่
• บทสรป
ุ
้
ดานทักษะ
10. มทักษะในการต่อรเลย์
ี
ี
ิ
้
ดานคุณธรรม จรยธรรม
้
14. เพื่อให้มเจตคตทดต่อการเตรยมความพรอมด้านการเตรยม วัสด อุปกรณ และการปฏบัตงานอย่างถูกต้อง ส าเรจ
็
ุ
ิ
ิ
ี
์
ี
ี
ิ
ี
ี่
ภายในเวลาทก าหนด มเหตุและผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง
ี่
ี
ั
ิ
15. เตรยมความพรอมด้าน วัสด อุปกรณสอดคล้องกับงานได้อย่างถูกต้อง
้
ุ
ี
์
ี่
ิ
็
16. มความรบผิดชอบ ปฏบัตงานได้อย่างถูกต้องในเรองตัวเหนยวน าและหม้อแปลง ส าเรจภายในเวลาทก าหนดอย่างม ี
ิ
ี
ื่
ั
ี่
เหตุและผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง
ั
ิ
สาระสาคัญ
ื
ี
่
้
่
ู
์
ี
้
่
ิ
่
้
ิ
์
ื
หน้าทของสวตชคือตัดไฟฟาไมให้ผ่าน หรอต่อไฟฟาให้ผ่าน เพอจ่ายแรงดันไปให้วงจร ลักษณะสวตชทถกสรางขึ้นมา
็
ื่
ี
่
ใช้งานมด้วยกันหลายแบบ เชนแบบก้านยาว แบบก้านโค้ง แบบกด แบบเลอน แบบหมุน และแบบไมโครโฟนสวิตช์ เปนต้น
รเลย์ คือสวตชทมหลักการท างานแตกต่างไปจากสวตชธรรมดา ตรงทการควบคุมการท างานของรเลย์ ต้องใช้
ี
์
ี่
ิ
ิ
ี่
ี
ี
์
ี
ี่
ี
่
่
่
่
สนามแม่เหล็กไปควบคุมการตัดต่อของหน้าสัมผัส สวนประกอบทส าคัญของรเลย์ม 2สวนคือ สวนขดลวด และสวนหน้าสัมผัส
ี
ิ
ี
ิ
ิ
ิ
หน้าสัมผัสรเลย์ม 2 สภาวะ คือสภาวะปกตเปด (NO ) และสภาวะปกตปด ( NC )
ื
่
ื
่
ื
ขั้วต่อสายเปนขั้วต่อส าหรบต่อปลายสายไฟเสนเล็ก ในเมอต้องการน าสายไฟเสนนั้นไปต่อกับวงจรอน หรอต่อเข้า
็
้
้
ั
ี
ี
่
กับทพักสาย ท าให้รอยต่อมความมั่นคงแข็งแรง
็
็
ี
์
ี่
ไมโครโฟนเปนอุปกรณเปลยนพลังงานเสยงเปนพลังงานไฟฟา ไมโครโฟนทดต้องสามารถตอบสนองความถได้ด ี
ี
้
ี่
ี่
ิ
ี่
ิ
็
ี่
ี
ิ
ิ
ตลอดย่านความถเสยง ไมโครโฟนทนยมใช้งานเปนชนดไดนามก ไมโครโฟนใช้ขดลวดและสนามแม่เหล็กท าให้เกด
ิ
ั
ี่
ึ
่
์
สญญาณเสยงในรปสญญาณไฟฟา ไมโครโฟน อีกชนดหนงคือคอนเดนเซอรไมโครโฟน ใช้คุณสมบัตตัวเก็บประจุเปลยนค่า
ั
ู
ี
้
ิ
่
็
ี
ความจุได้แรงดันไฟสลับเปนสัญญาณ เสยงสงออกมา
่
ู
็
ี
ื
ิ
้
ั
่
่
ี
ี
่
ี
ล าโพงท าหน้าทเปลยนเสยงทอยูในรปสญญาณไฟฟา ให้เปนเสยงอยูในรปการส่นสะเทอน ล าโพงแยกชนดออกได้
ั
ี
่
ู
ี
ี
ี่
ตามการตอบสนองความถของตัวล าโพง เชน ล าโพงเสยงทุ้ม ล าโพงเสยงกลาง และล าโพงเสยงแหลม
ี
่
สมรรถนะอาชพประจ าหนวย (ส่งทต้องการให้เกดการประยุกต์ใช้ความร ทักษะ คุณธรรม เข้าด้วยกัน)
ี
่
่
ิ
ี
ู
ิ
้
8. ต่อวงจรรเลย์ใช้งาน
ี
์
ค าศพทสาคัญ
ั
ไมโครโฟน Microphone
ิ
เฮรตซ์ (Hz) Hertz
ิ
ิ
กโลเฮรตซ์ (kHz) Kilohertz
Wireless
ื่
ไม่ใช้สายเชอมต่อ Dynamic Microphone
ิ
ไมโครโฟนไดนามก Condenser Microphone
ไมโครโฟนคอนเดนเซอร ์ Diaphragm
ไดอะแฟรม Loudspeaker
ล าโพง Cone
Woofer
กรวย Midrange
ี
ล าโพงเสยงทุ้ม Tweeter
ี
ล าโพงเสยงกลาง Base Loudspeaker
ี
ล าโพงเสยงแหลม Car Loudspeaker
ล าโพงเบส Headphone
ิ
ล าโพงตดรถยนต์ Horn Loudspeaker
ู
ั
ล าโพงแบบหฟง Megaphone
Relay
์
ใช้ล าโพงฮอรน
Normal Open
เมกะโฟน Normal Closed
ี
รเลย์ Magnetic Contactor
ิ
ิ
สภาวะปกตเปด (NO) Power Relay
Main Contact
ิ
ิ
สภาวะปกตปด (NC) Auxiliary Contact
ิ
แมกเนตกคอนแทกเตอร ์ Diode
ี
รเลย์ก าลัง Anode
ุ
ชดหน้าสัมผัสหลัก Cathode
่
ุ
ชดหน้าสัมผัสชวย Bias
Forward Bias
ไดโอด
Reverse Bias
แอโนด (A)
Zener Diode
แคโทด (K) Zener Breakdown
ไบแอส Leakage Current
ไบแอสตรง Zener Breakdown Voltage
ไบแอสกลับ Power Dissipation
์
ี
ซเนอรไดโอด Light Emitting Diode
Infrared Light
ี
์
ซเนอรเบรกดาวน์ Seven Segment LED
ั
กระแสร่วไหล Matrix LED
ี
์
แรงดันซเนอรเบรกดาวน์ (VZ) Transistor
ู
้
ุ
ทนก าลังไฟฟาสงสด (PD) Base
ไดโอดเปล่งแสง (LED) Collector
Emitter
แสงอินฟราเรด FET
่
ไดโอดเปล่งแสงแบบ 7 สวน Field Effect Transistor
ิ
ไดโอดเปล่งแสงแบบเมตรกซ ์ Unipolar
ิ
์
ทรานซสเตอร Junction FET
เบส (B) Metal Oxide Semiconductor FET
์
คอลเลกเตอร (C) Drain
ิ
์
อิมตเตอร (E) Source
Gate
เฟต Silicon Dioxide
ิ
้
์
ทรานซสเตอรสนามไฟฟา Substrate
ี
ขั้วเดยว Depletion MOSFET
เฟตรอยต่อ (JFET) Enhancement MOSFET
่
ึ
เฟตสารกงตัวน าออกไซด์โลหะ (MOSFET)
เดรน (D)
ซอส (S)
เกต (G)
ิ
ิ
ซลคอนไดออกไซด์ (SiO2)
ฐานรอง
ี
ี
ดพลชันมอสเฟต (D – MOSFET)
เอ็นฮานซ์เมนต์มอสเฟต (E – MOSFET)
้
ี
์
จุดประสงคการสอน/การเรยนรู
• จดประสงค์ทั่วไป / บรณาการเศรษฐกิจพอเพียง
ู
ุ
ี
ู
ิ
้
ี
ุ
ี่
่
้
์
ู
ี
์
1. เพื่อให้มความรเกยวกับหน้าทของอปกรณไฟฟา สวตซ รเลย์ ขั้วต่อสายไฟ ไมโครโฟน ล าโพง (ดานความร)
้
้
ั
้
ี
2. เพื่อให้มีทักษะในการต่อวงจรรเลย์ใช้งานได้ (ดานทกษะ)
ิ
ิ
ี
ี่
3. เพื่อให้มเจตคติทดีต่อการเตรยมความพรอมด้านการเตรยม วัสด อุปกรณ และการปฏบัตงานอย่างถูกต้อง ส าเรจ
็
้
ุ
ี
ี
์
ี
้
ี่
ิ
ั
ิ
ภายในเวลาทก าหนด มเหตุและผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง (ดานคุณธรรม จรยธรรม)
• จดประสงค์เชงพฤตกรรม / บรณาการเศรษฐกิจพอเพียง
ู
ุ
ิ
ิ
ู
์
้
้
้
ี่
1. บอกหน้าทของอุปกรณไฟฟาได้ (ดานความร)
ิ
้
้
ิ
ู
2. แยกแยะการใช้งานสวตซ์แต่ละชนดได้ (ดานความร)
้
ี
้
ู
ิ
3. อธบายการท างานของรเลย์ได้ (ดานความร)
4. วเคราะห์ลักษณะของขั้วต่อสายไฟได้ (ดานความร)
ู
ิ
้
้
ู
้
ิ
ิ
้
5. อธบายคุณสมบัตของไมโครโฟนได้ (ดานความร)
ู
้
้
ิ
6. จ าแนกชนดของล าโพงได้ (ดานความร)
้
ี
ั
7. ต่อวงจรรเลย์ใช้งานได้ถูกต้อง (ดานทกษะ)
8. เตรยมความพรอมด้าน วัสด อุปกรณสอดคล้องกับงานได้อย่างถูกต้อง (ดานคุณธรรม จรยธรรม/บูรณาการ
ุ
ิ
ี
์
้
้
ิ
เศรษฐกจพอเพียง)
ั
ิ
9. ปฏบัตงานได้อย่างถูกต้อง และส าเรจภายใน เวลาที่ก าหนดอย่างมเหตุและผลตามหลักปรชญาของเศรษฐกิจ
ิ
ี
็
้
ิ
ิ
พอเพียง (ดานคุณธรรม จรยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจพอเพียง)
้
ื
ี
เนอหาสาระการสอน/การเรยนรู
้
้
ู
ี
• ด้านความร(ทฤษฎ)
11.1 ไมโครโฟน
์
์
ิ
อุปกรณ เครองมอ เครองใช้ ทางด้านไฟฟาและอิเล็กทรอนกส จะต้องเกยวข้องกับอุปกรณประกอบรวมใช้งานหลายชนด
ี่
์
ื่
ื
ิ
ื่
่
้
ิ
ชวยในการสนับสนน ท าให้เกดการท างานทถูกต้องสมบูรณ หรอท าให้ระบบการท างานของเครองมอ เครองใช้เกดความ
์
ื
ุ
ื
ื่
ื่
ิ
่
ี่
์
ุ
่
ครบถ้วนสมบูรณ อปกรณสวนประกอบเหลานั้นมคุณสมบัต และหน้าทการท างานแตกต่างกันไป การน าอปกรณเหลาน้ไปใช้
ิ
์
่
ี
ุ
ี
่
ี
์
่
็
ึ
ี่
งานจ าเปน ต้องศกษาท าความเข้าใจ เพื่อการท างานและการใช้งานทถูกต้อง
ี่
ิ
่
ี
ี
ิ
็
ื่
ี่
ี่
ไมโครโฟน (Microphone) เปนอุปกรณท าหน้าทเปลยนคลนเสยง (พลังงานเสยง) ทถูกก าเนดขึ้นจากแหลงก าเนดเสยง
์
ี
่
ี
็
ื่
ิ
้
้
้
ี
็
ี
ี่
ชนดต่างๆ เชน เสยงสนทนา เสยงรอง และเสยงดนตร เปนต้น ให้เปลยนไปเปนเสยงในลักษณะคลนไฟฟา (พลังงานไฟฟา) ใน
ี
ี
์
้
ี
์
ี
ึ
ิ
ู
ึ
รปสัญญาณไฟสลับ น าไปใช้งานกับอุปกรณไฟฟาและอิเล็กทรอนกสต่างๆ ได้ เชน บันทกเก็บไว้ในแผ่นซด แผ่นดวีด บันทกลงใน
ี
่
ี
ื
ี
่
ี
ี่
ี
็
ี
เครองบันทกเสยง หรอสงต่อไปขยายเสยงในเครองขยายเสยง เปนต้น ไมโครโฟนทมคุณภาพดจะต้องตอบสนองต่อ
ื่
ึ
ื่
ี
ึ
์
ิ
ิ
ั
่
ี
ี่
ี
ิ
ี่
์
ู
่
สญญาณเสยงครอบคลุมย่านความถเสยงในชวงความถ 20 เฮรตซ (Hertz ; Hz) ถง 20 กโลเฮรตซ (Kilohertz ; kHz) รปรางและ
ู
์
สัญลักษณไมโครโฟน แสดงดังรปที่ 11.1
(ก) ชนดใช้สาย (ข) ชนดไม่ใช้สาย (ค) สัญลักษณ ์
ิ
ิ
่
ู
รูปท 11.1 รปรางและสัญลักษณไมโครโฟน
์
ี
่
จากรปท 11.1 แสดงรปรางและสญลักษณไมโครโฟนแบบต่างๆ ไมโครโฟนทผลตใช้งานในปจจุบันม 2 แบบ คือ แบบ
ี
ู
ั
่
ิ
ู
ี่
์
ี่
ั
ู
ี
ื่
ี่
ื่
ั
์
ื่
ใช้สายเชอมต่อ ดังรปท 11.1 ก มสายต่อเชอมจากตัวไมโครโฟนไปยังอุปกรณรบสัญญาณเสยง และแบบไม่ใช้สายเชอมต่อ
ี
ื่
่
ี่
ั
ิ
ู
ี่
ี่
(Wireless) ดังรปท 11.1 ข โดยสญญาณ เสยงทผ่านไมโครโฟนมาถูกผสมด้วยคลนความถวทยุสงออกอากาศไป ปลายทางม ี
ี
่
ี
ั
ี
์
ั
ื่
ื่
็
เครองรบคลน วิทยุแปลงกลับมาเปนสัญญาณเสยง สงต่อไปยังอุปกรณรบสัญญาณเสยง
ิ
ี่
ั
็
ั
่
ี
้
้
ี
ไมโครโฟนทผลตมาใช้งาน มโครงสรางภายในตัวของสวนแปลงสญญาณเสยงเปนสญญาณ ไฟฟาจ่ายออกมาใช้งาน
ิ
ี
แตกต่างกัน ทมใช้งานแพรหลายม 2 ชนด คือ ชนดไมโครโฟนไดนามก (Dynamic Microphone) และชนดไมโครโฟน
ี
ิ
ี่
ิ
ิ
่
์
คอนเดนเซอร (Condenser Microphone)
้
1. ไมโครโฟนไดนามิก เปนไมโครโฟนทมโครงสรางภายในของสวนให้ก าเนดสัญญาณ ไฟฟาออกมา ประกอบด้วย
้
่
ิ
ี
ี่
็
ู
ื่
ื่
ิ
ี
ขดลวดเคลอนทในรปทรงกระบอกวางไว้ล้อมรอบแท่งแม่เหล็ก มแผ่นไดอะแฟรม (Diaphragm) ยึดตดกับขดลวดเคลอนท วางอยู่
ี่
ี่
่
ื
่
ื
ั
ี
ด้านหน้าไมโครโฟน เมอมเสยงสงมากระทบท าให้แผ่นไดอะแฟรมส่น ขดลวดเคลอนทตัดผ่านสนามแมเหล็ก เกด
่
่
ี
่
ิ
ี
ู
ื่
็
แรงเคลอนไฟฟาชักน าในรปสัญญาณเสยงเปนแรงดันไฟสลับจ่ายออกไปใช้งาน ลักษณะไมโครโฟนชนดไดนามก แสดงดังรปที่
ิ
ิ
้
ี
ู
11.2 ก
2. ไมโครโฟนคอนเดนเซอร เปนไมโครโฟนทมโครงสรางภายในของสวนให้ก าเนดสญญาณไฟฟาออกมา
็
ิ
ั
้
์
่
ี่
ี
้
่
ิ
ประกอบด้วยแผ่นโลหะบางสองแผ่นวางขนานใกล้กัน มคุณสมบัตเชนเดยว กับตัวเก็บประจุ วางอยู่ด้านหน้าไมโครโฟน แผ่นโลหะ
ี
ี
ี
ู
ี่
่
่
ื
่
็
แผ่นหน้าท าหน้าทเปนแผ่นไดอะแฟรมด้วย คอยรบคลนเสยงมากระทบ แผ่นโลหะทั้งสองมขั้วต่อออก ถกต่อรวมกับแหลงจ่าย
ั
ี
ั
็
แรงดันไฟตรงตั้งแต่ 1.5 V – 48 V แล้วแต่การออกแบบ มตัวต้านทานทท าหน้าทเปนภาระวงจรรบแรงดันจ่ายมาตกครอม เมอม ี
่
ี่
ื่
ี่
ี
ั
ี่
์
ี่
ิ
ี
เสยงมากระทบท าให้แผ่นไดอะแฟรมส่น คอนเดนเซอรเกดการเปลยนแปลงค่าการเก็บประจุ ท าให้เกดกระแสไหลเปลยนแปลง
ิ
ิ
ิ
ี่
์
่
ู
เกดแรงดันตกครอมตัวต้านทานจ่ายออกมาใช้งานเปลยนแปลง ลักษณะไมโครโฟนชนดคอนเดนเซอร แสดงดังรปที่ 11.2 ข
ิ
(ก) ไมโครโฟนไดนามก (ข) ไมโครโฟนคอนเดนเซอร ์
่
ิ
รูปท 11.2 ชนดของไมโครโฟน
ี
11.2 ล าโพง
ี่
ี
ล าโพง (Loudspeaker) เปนอุปกรณทท าหน้าทเปลยนสัญญาณเสยงทอยู่ในรปสัญญาณ ไฟฟาให้กลับมาเปนสัญญาณเสยง
็
็
ี่
ู
้
์
ี
ี่
ี่
ื
ั
ี
ิ
ู
็
ั
ั
ื
ิ
ในรปการส่นสะเทอน โดยการส่นของกรวย (Cone) ล าโพงไปท าให้อากาศบรเวณโดยรอบกรวยล าโพงเกดการส่นเปนคลนเสยง
่
่
ื
ิ
ออกมา การส่นสะเทอนของกรวยล าโพงท าให้เกดคลนเสยงทมาจากอากาศส่นสะเทอนมความถแตกต่างกัน ตามความเรวของ
ี
ี
่
ี
ื
ั
็
่
ั
ื
ี
่
่
ู
ี
่
ี
ู
ื
ั
่
่
ี
ี
ี
็
่
ื
ื
ั
ั
กรวยส่นสะเทอน กรวยล าโพงส่นเรวได้คลนเสยงความถสงออกมา กรวยล าโพงส่นช้าได้คลนเสยงความถต าออกมา ล าโพงทถก
้
ู
ู
่
์
ี
สรางมาใช้งานมรปรางลักษณะแตกต่างกันไป ลักษณะล าโพงแบบต่างๆ และสัญลักษณ แสดงดังรปที่ 11.3
่
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
ู
่
รูปท 11.3 ล าโพงแบบต่างๆ และสัญลักษณ ์
ี
ี
ึ
่
ี
่
ี
ี
่
ี
ี่
่
ี
่
ู
ิ
ี
่
ุ
ู
ความถเสยงทหมนษย์ได้ยนมย่านความถทกว้างตั้งแต่ 20 Hz – 20 kHz คือมย่านความถตั้งแต่ความถต าไปถงความถสง ท า
่
ี
ี
ิ
็
ให้ล าโพงทผลตขึ้นมาใช้งานไมสามารถตอบสนองต่อความถเสยงได้ครอบคลมทั้งหมด จงจ าเปนต้องผลตล าโพงขึ้นมาให้
่
ิ
ี
ี
ุ
่
ึ
่
ี
ิ
ี่
ตอบสนองต่อความถเสยงเปนชวงความถ ให้เหมาะสมกับการตอบสนองต่อความถเสยงของล าโพงแต่ละชนด แบ่งความถออก
ี่
ี
ี
่
็
ี่
ี่
็
ิ
็
่
ิ
ได้เปน 3 ชวงความถ โดยแบ่งล าโพงออกเปน 3 ชนด คือ ชนดความถต าเรยกวาล าโพงเสยงทุ้ม หรอ วเฟอร (Woofer) ชนดความถ ี่
ี่
ื
ี่
์
ู
ี
่
ี
่
ิ
ี
ิ
่
ื
ี
กลางเรยกวาล าโพงเสยงกลาง หรอมดเรนจ์ (Midrange) และชนดความถสงเรยกวาล าโพงเสยงแหลม หรอทวเตอร (Tweeter)
ี่
ิ
ี
่
ี
ู
ื
์
ี
ู
ิ
ิ
ี
ล าโพงแต่ละชนดมลักษณะ รปราง โครงสราง และให้ก าเนดสญญาณเสยงออกมาแตกต่างกันไป ล าโพงแต่ละชนดมรายละเอียด
ั
ี
ิ
ี
้
่
ดังน้ ี
1. ล าโพงเสยงทุม หรอนยมเรยกวาล าโพง
ิ
่
ี
้
ี
ื
ิ
็
ี่
เบส (Base Loudspeaker) เปนล าโพงทผลตขึ้นมาใช้งานให้
ี
มการตอบสนองความถเสยงในย่านความถต าประมาณ 20
ี
ี่
่
ี่
Hz ถง 1 kHz โดยกรวยล าโพงท าด้วยกระดาษ พลาสตก
ึ
ิ
ื
ี
หรอสารอื่นๆ ทมคุณสมบัตคล้ายกัน ล าโพงเสยงทุ้มจะ
ี่
ี
ิ
มขนาดใหญ่ โดยเสนผ่านศูนย์กลางของกรวยล าโพงม ี
ี
้
ขนาดตั้งแต่ 8 น้วขึ้นไป ถง 15 น้ว หรอมากกวาน้ ลักษณะ
่
ี
ื
ึ
ิ
ิ
ี
ู
ล าโพงเสยงทุ้ม แสดงดังรปที่ 11.4
่
ี
รูปท 11.4 ล าโพงเสยงทุ้ม
ี
ี่
2. ล าโพงเสยงกลาง เปนล าโพงทผลตขึ้นมาใช้
ิ
็
ี
ี่
ี่
ี
ี
งานให้มการตอบสนองความถเสยงในย่านความถปาน
กลางประมาณ 300 Hz ถง 5 kHz กรวยล าโพงท าด้วยกระดาษ
ึ
ี่
พลาสตก หรอสารอื่นๆ ทมคุณสมบัตคล้ายกัน ลักษณะ
ิ
ิ
ื
ี
เชนเดยว กับล าโพงเสยงทุ้ม เพียงแต่ล าโพงเสยงกลางจะ
่
ี
ี
ี
ี
ผลตให้มขนาดเล็กลงมา เสนผ่านศูนย์กลางของกรวย
้
ิ
ล าโพงมขนาดตั้งแต่ 4 น้ว ถง 6.5 น้ว โดย ประมาณ
ี
ิ
ึ
ิ
ี่
ู
ี
ลักษณะล าโพงเสยงกลาง แสดงดังรปท 11.5
รูปท 11.5 ล าโพงเสยงกลาง
ี
ี
่
3. ล าโพงเสยงแหลม เปนล าโพงทผลตขึ้นมาใช้
็
ี
ี่
ิ
งานให้มการตอบสนองความถเสยงในย่านความถสง
ี่
ี
ี
ู
ี่
่
้
ประมาณ 2 kHz ถง 20 kHz สวนโครงสรางของล าโพง
ึ
สวนใหญ่เปนโลหะล้วนไม่มกรวยล าโพง มแต่
ี
็
ี
่
ึ
ี
ิ
ไดอะแฟรมเปนตัวส่นท าให้เกดเสยง จงให้การ
ั
็
ตอบสนองต่อเสยงความถสงได้ด ล าโพงเสยงแหลมม ี
ู
ี
ี
ี่
ี
้
ขนาดเล็ก ขนาดเสนผ่านศูนย์กลางของไดอะแฟรม
ี
ิ
ึ
ิ
ี
รูปท 11.6 ล าโพงเสยงแหลม ตั้งแต่ 1 น้ว ถง 3 น้ว โดยประมาณ ลักษณะล าโพงเสยง
่
ี
ี่
ู
แหลม แสดงดังรปท 11.6
ี
ล าโพงชนดทแยกตามย่านความถเสยง เปนล าโพงทนยมน าไปใช้ในงานตอบสนองต่อเสยงเพลงและเสยงดนตร ี
ี
็
ี
ี่
ิ
ิ
ี่
ี่
ี
ิ
ุ
สามารถให้สญญาณเสยงออกมาครอบคลมความถเสยงทั้งหมด เพอให้ได้เสยงทสมจรงออกมา แต่งานระบบเสยงบางชนดล าโพง
่
ื
่
ี่
ี
ี
ี
ิ
ั
ี
่
ี
ิ
่
ึ
ประเภทน้ไมเหมาะสมกับการใช้งาน จงได้ผลตล าโพงแบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละด้าน เชน ใช้งานในรถยนต์
ิ
ู
ั
ั
ี
ควรใช้ล าโพงตดรถยนต์ (Car Loudspeaker) ใช้ฟงเสยงโดยให้ล าโพงแนบกับหควรใช้ล าโพงแบบหฟง (Headphone) ใช้กับงาน
ู
ี
ิ
ี
ึ
ึ
ี่
กลางแจ้ง เพื่อให้สามารถก าหนดทศทางของเสยงได้ และไม่ค านงถงการตอบสนองต่อเสยงครอบคลุมทุกย่านความถ ควรใช้
ล าโพงฮอรน (Horn Loudspeaker) หรอสามารถพูดสงต่อไปขยายเสยงออกล าโพงได้ทันท และพกพาไปทต่างๆ ได้สะดวก ควรใช้เม
่
์
ี
ี
ื
ี่
ู
็
ี่
กะโฟน (Megaphone) เปนต้น ลักษณะล าโพงแบบอื่นๆ แสดงดังรปท 11.7
ั
ู
(ก) ล าโพงรถยนต์ (ข) ล าโพงหฟง
์
(ค) ล าโพงฮอรน (ง) เมกะโฟน
รูปท 11.7 ล าโพงแบบอื่นๆ
่
ี
11.3 รเลย
์
ี
ิ
้
์
็
้
์
็
ี
รเลย์ (Relay) เปนอุปกรณไฟฟาประเภทสวตช์ ควบคุมการท างานด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟา เปนอุปกรณทถูกน าไปใช้
ี่
่
ี
์
่
ึ
งานอย่างแพรหลาย โดยใช้งานเปนสวนหนงของอุปกรณไฟฟาและอิเล็กทรอนกสต่างๆ ตัวรเลย์ท าหน้าทเปนสวตช์ตัดต่อชวย
ิ
็
์
่
้
ี่
่
ิ
็
ี
ควบคุมการจ่ายก าลังไฟฟาจากแหล่งจ่ายไฟไปให้ภาระสามารถท างานหรอหยุดท างานได้ การควบคุมให้รเลย์ท างาน โดยการใช้
้
ื
ี
สนามแม่เหล็กไฟฟาภายในตัวรเลย์ ควบคุมหน้าสมผัสสวตช์รเลย์ท าการตัดหรอต่อวงจร โดยใช้แรงดันและกระแสค่าต าในการ
้
่
ั
ิ
ื
ี
ี
ควบคุมให้หน้าสมผัสรเลย์ท างาน ไปควบคุมแรงดันและกระแสค่าสงมากขึ้น จ่ายให้กับอปกรณ เครองมอ เครองใช้ไฟฟา
ื่
ื
ุ
์
ื
้
ั
ู
่
สามารถท างานได้
่
่
ี
ิ
ี่
้
่
โครงสรางรเลย์ประกอบด้วยสวนประกอบหลัก 2 สวน ได้แก่ สวนขดลวด ท าหน้าทให้ก าเนดสนามแม่เหล็กไฟฟา ้
่
ั
ิ
ขึ้นมาเมอมแรงดันปอนให้ อกสวนได้แก่สวตชหน้าสมผัส ท าหน้าทตัดหรอต่อวงจรตามการควบคุมของขดลวดสนามแม่เหล็ก
์
ื
ื
้
ี
ี่
่
ี
ี
ิ
ี่
็
ิ
ี
ี
้
ไฟฟา สวิตช์หน้าสัมผัสรเลย์ม 2 สภาวะ คือ สภาวะปกตเปด (Normal Open ; NO) เปนสภาวะทขณะรเลย์ไม่ท างานหน้าสัมผัสจะถูก
ื่
็
ี
ั
ิ
ิ
เปดวงจร เมอรเลย์ท างานหน้าสมผัสจะต่อวงจร และอีกสภาวะคือ สภาวะปกตปด (Normal Closed ; NC) เปนสภาวะทขณะรเลย์ไม่
ี่
ี
ิ
ี
ี
ท างานหน้าสัมผัสจะถูกต่อวงจร เมอรเลย์ท างานหน้าสัมผัสจะเปดวงจร สวิตช์หน้าสัมผัสรเลย์เปนชนดทนกระแสได้ต า น าไปใช้
ิ
ื่
ิ
็
่
่
่
์
ี
ู
ั
่
้
ี
ุ
ี
่
ิ
่
ู
ท างานในวงจรทนก าลังได้ไมมาก ขึ้นอยูกับรน และชนดของรเลย์ รปรางโครงสรางและสญลักษณรเลย์ แสดงดังรปท 11.8
NC 6
2
NO 5
NC 4
1
NO 3
A1 A2
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
่
ู
รูปท 11.8 รปรางและสัญลักษณรเลย์
่
ู
่
์
ี
ี
ู
ี
้
จากรปที่ 11.8 แสดงรปรางและสัญลักษณรเลย์ รปที่ 11.8 ก เปนรปรางรเลย์มหลายรปโครงสราง หลายชนดไฟฟาใช้
ู
่
ู
่
ู
็
ิ
์
้
ู
ี
ี
ี่
งาน เชน แรงดันไฟตรง (DC) แรงดันไฟสลับ (AC) ค่าแรงดันทใช้ 6 V, 12 V, 24V, 50 V, 110 V และ 220 V เปนต้น และหลาย
็
่
ุ
ลักษณะชดหน้าสัมผัส เชน 1 ชด, 2 ชด และ 3 ชด เปนต้น และรปที่ 11.8 ข เปนสัญลักษณรเลย์ชนดหน้าสัมผัส 2 ชด มขา A , A
็
ี
ุ
ุ
ิ
ู
่
์
ี
ุ
ุ
็
2
1
็
ุ
ี่
็
ุ
็
เปนขาต่อไปขดลวดสนามแม่เหล็ก ขา 1, 3, 4 เปนขาต่อหน้าสัมผัสชดท 1 และขา 2, 5, 6 เปนขาต่อหน้าสัมผัสชดท 2 ในแต่ละ
ี่
ุ
ิ
ิ
ั
ี
ิ
ั
ิ
ชดหน้าสมผัสมทั้งหน้าสมผัสแบบปกตเปด (NO) และหน้าสัมผัสแบบปกตปด (NC)
ี
ี่
ี
้
่
ี
ี
ิ
การท างานของรเลย์ ขณะทยังไม่มแรงดันปอนให้ขดลวดรเลย์ ยังไม่เกดสนามแม่เหล็ก ไมมการท างานของกลไกใดๆ
ื่
ี
ี
ิ
้
ิ
ึ
ู
ุ
ภายในตัวรเลย์ เมอปอนแรงดันให้ขดลวดรเลย์ เกดสนามแม่เหล็กขึ้นในแกนเหล็ก เกดอ านาจแม่เหล็กไปดงดดให้ชดหน้าสัมผัส
ี่
ื่
ิ
ี
เคลอนทเข้ามาชดกับแกนเหล็กของขดลวด ควบคุมให้ชดหน้าสมผัสทั้งหมดเปลยนแปลงสภาวะการท างาน หน้าสมผัสแบบปกต ิ
ั
ุ
ั
่
้
ื่
ิ
ิ
เปด (NO) เกดการต่อวงจร และหน้าสมผัสแบบปกตปด (NC) เกดการตัดวงจร เมองดการปอนแรงดันให้ขดลวดรเลย์ ไม่เกด
ิ
ิ
ิ
ั
ิ
ี
ั
ั
ิ
ั
ิ
่
ู
สนามแม่เหล็ก ชดหน้าสมผัสต่างๆ กลับเข้าสสภาวะปกตตามเดม คือ หน้าสมผัสแบบปกตเปด (NO) เปดวงจร และหน้าสมผัส
ิ
ิ
ุ
ิ
ิ
ิ
แบบปกตปด (NC) ต่อวงจร
11.4 แมกเนติกคอนแทกเตอร
์
์
ิ
้
์
แมกเนตกคอนแทกเตอร (Magnetic Contactor) เปนอุปกรณไฟฟาประเภทสวิตช์ควบคุมการท างานด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟา
็
้
็
ี
ิ
่
เชนเดยวกับรเลย์ แต่สามารถน าไปใช้งานได้กับก าลังไฟฟาสงๆ จงนยมเรยกวา รเลย์ก าลัง (Power Relay) เปนอุปกรณทถูก
ี
ู
้
ี่
ึ
์
ี
่
ี
ื
้
์
น าไปใช้งานด้านการควบคุมก าลังไฟฟาในงานอุตสาหกรรม การควบคุมให้แมกเนตกคอนแทกเตอรท างานหรอหยุดท างาน
ิ
ิ
ิ
์
ิ
ี
ั
่
โดยใช้สนามแมเหล็กทเกดขึ้นภายในตัวของแมกเนตกคอนแทกเตอร ควบคุมให้หน้าสมผัสของสวตชแมกเนตกคอนแทกเตอร ์
่
ิ
์
ั
่
่
ิ
ตัดต่อวงจร ด้วยการใช้แรงดันและกระแสค่าต าจ่ายไปให้แมกเนตกคอนแทกเตอร สงอ านาจแม่เหล็กไปควบคุมให้หน้าสมผัส
์
ท างาน น าไปควบคุมแรงดันและกระแสค่าสง จ่ายมาจากแหล่งจ่ายแรงดันสงไปให้ภาระทใช้ก าลังไฟฟาสงค่าต่างๆ รปรางและ
่
ู
ู
้
่
ู
ี่
ู
์
ี่
์
ิ
สัญลักษณแมกเนตกคอนแทกเตอร แสดงดังรปท 11.9
NC 1 2
NO 3 4
NC 5 6
NO 7 8
A1 A2
ู
่
(ก) รปราง (ข) สัญลักษณ ์
ี
่
รูปท 11.9 รปรางและสัญลักษณแมกเนตกคอนแทกเตอร ์
์
่
ิ
ู
ิ
ู
่
็
์
ี่
่
จากรปท 11.9 แสดงรปรางและสญลักษณแมกเนตกคอนแทกเตอร รปท 11.9 ก เปนรปรางของแมกเนตกคอนแทก
ิ
ู
ั
ี่
์
ู
ู
เตอร โครงสรางภายในแมกเนตกคอนแทกเตอร ประกอบด้วยสวนประกอบทส าคัญ 2 สวน ได้แก่ สวนขดลวดให้ก าเนด
์
้
่
ิ
์
่
่
ิ
ี
่
ุ
็
ี
ื่
ั
้
ี
สนามแม่เหล็กออกมาเมอมแรงดันปอนให้ขดลวด อกสวนได้แก่สวนหน้าสมผัส แบ่งการใช้งานออกเปน 2 ชด คือ ชด
ุ
่
่
ุ
ั
็
ี่
หน้าสมผัสหลัก (Main Contact) เปนหน้าสมผัสททนกระแสได้สง ใช้ต่อในวงจรทต้องการก าลังไฟฟาสงๆ ในการใช้งาน และชด
ี่
ู
ั
้
ู
หน้าสมผัสชวย (Auxiliary Contact) เปนหน้าสมผัสททนกระแสได้ต า น าไปใช้งานได้เฉพาะในวงจรควบคุมการท างานทต้องการ
ี่
่
่
็
ั
ั
ี่
้
็
่
ุ
ุ
์
์
็
ิ
ี่
่
ู
ุ
ั
ก าลังไฟฟาต า สวนรปท 11.9 ข เปนสญลักษณของแมกเนตกคอนแทกเตอร ชด A , A เปนชดขดลวดสนามแม่เหล็ก ชด 1, 2
2
1
ิ
ิ
ุ
็
ิ
็
ิ
และ 5, 6 เปนหน้าสัมผัสแบบปกตปด (NC) และชด 3, 4 และ 7, 8 เปนหน้าสัมผัสแบบปกตเปด (NO)
ิ
การท างานของแมกเนตกคอนแทกเตอร ขณะทยังไม่มแรงดันปอนให้ขดลวด ยังไม่เกดสนามแม่เหล็ก ไม่มการท างาน
ี่
ี
้
์
ี
ิ
ของกลไกใดๆ ภายในตัวแมกเนตกคอนแทกเตอร เมอปอนแรงดันให้ขดลวด ท าให้ขดลวดเกดสนามแมเหล็กขึ้นในแกนเหล็ก
ื่
้
่
ิ
์
ิ
ื่
ี่
ิ
ิ
เกดอ านาจแม่เหล็กไปดงดดให้ชดหน้าสมผัสเคลอนทเข้ามาชดกับแกนเหล็กของขดลวด ท าให้ชดหน้าสมผัสทั้งหมด
ึ
ั
ู
ุ
ุ
ั
ิ
ิ
ิ
ิ
ั
ี่
ิ
ิ
ิ
เปลยนแปลงสภาวะการท างาน หน้าสมผัสแบบปกตเปด (NO) เกดการต่อวงจร และหน้าสมผัสแบบปกตปด (NC) เกดการเปด
ั
ิ
ิ
วงจร กรณทขดลวดหมดอ านาจแม่เหล็ก สปรงจะบังคับให้ชดหน้าสัมผัสกลับเข้าสสภาวะปกต คือ หน้าสัมผัสแบบปกตเปด (NO)
ิ
ุ
ิ
ี่
่
ู
ี
ิ
ิ
ิ
เปดวงจร และหน้าสัมผัสแบบปกตปด (NC) ต่อวงจร
์
11.5 อุปกรณสารกึงตัวน า
่
ี่
็
ึ
ิ
สารกงตัวน า หรอธาตุกงตัวน า คือ ธาตุทมอิเล็กตรอนวงนอกสด 4 ตัวพอด เปนธาตุทสามารถน าไปใช้ในการผลต
ี่
่
ุ
ึ
่
ี
ี
ื
ิ
่
ี
่
ึ
่
ึ
ิ
อุปกรณสารกงตัวน าชนดต่างๆ ธาตุกงตัวน าทนยมน ามาใช้ในการผลตอปกรณสารกงตัวน า ได้แก่ ธาตุซลคอน (Si) และธาตุ
์
ิ
ิ
ุ
ึ
่
ิ
์
ิ
็
์
ึ
่
ิ
ิ
ึ
ี
ิ
ุ
เจอรเมเนยม (Ge) โดยการน าธาตุกงตัวน าบรสทธไปเตมธาตุเจือปนอื่นๆ เพื่อให้ได้เปนสารกงตัวน าชนด P (Positive = บวก) คือ
์
่
ิ
สารกงตัวน าชนดทมประจุไฟฟาบวก (+) หรอมโฮล (Hole) มากกวาปกต และสารกงตัวน าชนด N (Negative = ลบ) คือสารกง
่
้
่
ิ
ิ
ึ
่
ี
ี่
ึ
ึ
่
ื
ี
ตัวน าชนดทมประจุไฟฟาลบ (–) หรอมอิเล็กตรอนมากกวาปกต อุปกรณสารกงตัวน าแต่ละชนดทผลตออกมาใช้งาน ประกอบ
ิ
ี่
ี
่
ึ
์
้
ิ
ื
่
ี่
ิ
ิ
ี
ิ
ิ
่
่
ึ
ึ
ี่
์
ึ
่
่
ิ
ขึ้นมาจากการน าสารกงตัวน าชนด P และสารกงตัวน าชนด N ต่อรวมกันทั้งส้น อุปกรณสารกงตัวน าทผลตมาใช้งาน เชน
ิ
่
ี
์
่
ึ
์
็
้
ิ
ี
ไดโอด ซเนอรไดโอด ไดโอดเปล่งแสง ทรานซสเตอร และเฟต เปนต้น อุปกรณสารกงตัวน าแต่ละชนดมโครงสราง หลักการ
์
ิ
ี่
ท างาน และถูกน าไปใช้งานทแตกต่างกัน
11.5.1 ไดโอด
ิ
ิ
ู
ิ
ี
่
่
็
์
ึ
ไดโอด (Diode) เปนอปกรณสารกงตัวน า ทถกผลตขึ้นมาจากการน าสารกงตัวน าชนด P และสารกงตัวน าชนด
่
่
ึ
ึ
ุ
N มาต่อชนกัน เปนอุปกรณสารกงตัวน าชนด 2 ตอน มขาต่อออกมาใช้งาน 2 ขา คือ ขาแอโนด (Anode ; A) ต่อออกมาจากสารกง
ึ
่
่
็
ึ
ี
์
ิ
้
ิ
ิ
่
ิ
ึ
ื
ตัวน าชนด P และขาแคโทด (Cathode ; K) ต่อออกมาจากสารกงตัวน าชนด N โครงสรางภายในตัวไดโอดทุกชนดเหมอนกัน
่
์
ึ
ึ
่
ี
ี
่
ู
แตกต่างเพียงรปราง ตัวถัง รวมถงขนาดทนแรงดัน และทนกระแส ไดโอดทผลตมาใช้งานมตั้งแต่ทนกระแสได้ต าๆ ไมถงแอมแปร
ิ
่
่
์
ู
ู
้
์
็
ู
ึ
จนถงทนกระแสได้สงเปนพันแอมแปรขึ้นไป รปรางโครงสรางและสัญลักษณไดโอด แสดงดังรปที่ 11.10
A A
P
N
K K
ู
้
่
(ก) โครงสราง (ข) สัญลักษณ ์ (ค) รปราง
่
รูปท 11.10 โครงสรางสัญลักษณ์และรปรางของไดโอด
้
ู
่
ี
ตัวไดโอดจะท างานได้จ าเปนต้องจ่ายแรงดันไฟตรง (DC) ให้ขาไดโอดครบทุกขา แรงดันไฟตรงทจ่ายให้ขา
็
ี่
ต่างๆ ของไดโอดนยมเรยกว่าการจ่ายไบแอส (Bias) ให้ตัวไดโอด สามารถจ่ายไบแอสให้ขาต่างๆ ของไดโอดได้ 2 แบบ คือ การ
ิ
ี
จ่ายไบแอสตรง (Forward Bias) และการจ่ายไบแอสกลับ (Reverse Bias)
่
ู
1. การจายไบแอสตรง เปนการจ่ายแรงดันไฟตรงให้ขาไดโอดทั้งสองในแบบถกต้องตามทไดโอดต้องการ
็
ี
่
คือ จ่ายแรงดันไฟตรงขั้วบวกให้ขาแอโนด (A) สารชนด P (P = บวก) และจ่ายแรงดันไฟตรงขั้วลบให้ขาแคโทด (K) สารชนด N
ิ
ิ
ื
(N = ลบ) การจ่ายไบแอสตรงท าให้ไดโอดท างาน ความต้านทานในตัวไดโอดลดต าลงอย่างมาก ไดโอดท าหน้าทเปรยบเสมอน
ี่
ี
่
ี
ู
ู
สวิตช์ต่อวงจร (ON) มกระแสไหลผ่านตัวไดโอดสงมาก การต่อวงจรจ่ายไบแอสตรงให้ไดโอด แสดงดังรปที่ 11.11
D D
A K A K
I I
+ E R + E R
- -
ี
(ก) วงจรไบแอสตรง (ข) วงจรเทยบเท่า
ี
รูปท 11.11 วงจรจ่ายไบแอสตรงให้ไดโอด
่
ู
่
2. การจายไบแอสกลับ เปนการจ่ายแรงดันไฟตรงให้ขาไดโอดทั้งสองในแบบไมถกต้องตามทไดโอด
่
ี
็
่
ต้องการ (จ่ายผิดขั้ว) คือ จ่ายแรงดันไฟตรงขั้วลบให้ขาแอโนด (A) สารชนด P (P = บวก) และจ่ายแรงดันไฟตรงขั้วบวกให้ขา
ิ
แคโทด (K) สารชนด N (N = ลบ) การจ่ายไบแอสกลับท าให้ไดโอดไม่ท างาน ความต้านทานในตัวไดโอดสงมาก ไดโอดท าหน้าท ี่
ู
ิ
ี
ื
ู
ี
เปรยบ เสมอนสวิตช์ตัดวงจร (OFF) ไม่มกระแสไหลผ่านตัวไดโอด การต่อวงจรจ่ายไบแอสกลับให้ไดโอด แสดงดังรปที่ 11.12
D D
A K A K
- E R - E R
+ +
ี
(ก) วงจรไบแอสกลับ (ข) วงจรเทยบเท่า
ี
่
รูปท 11.12 วงจรจ่ายไบแอสกลับให้ไดโอดไม่มกระแสไฟฟาไหล
ี
้
11.5.2 ซเนอรไดโอด
์
ี
์
็
ิ
ึ
ิ
ซเนอรไดโอด (Zener Diode) เปนไดโอดทผลตขึ้นมาจากการน าสารกงตัวน าชนด P และชนด N ต่อชนกัน ม ี
ี
่
ี
่
ิ
ี
่
้
ื
่
ลักษณะโครงสรางเชนเดยวกับไดโอดธรรมดา มขาต่อใช้งาน 2 ขา คือ ขาแอโนด (A) และขาแคโทด (K) เหมอนกัน สวนท ี่
ี
ี
ี่
์
์
ี
แตกต่างออกไปของซเนอรไดโอด อยู่ทการน าซเนอรไดโอดไปใช้งานและการต่อวงจรท างาน ของไดโอดธรรมดาใช้การท างาน
็
ิ
ี
ื
ิ
์
ในสภาวะการจ่ายแรงดันไบแอสตรง ท างานเปรยบเสมอนเปนสวิตช์ปดเปดวงจร สวนของซเนอรไดโอดใช้การท างานในสภาวะ
่
ี
ื
็
การจ่ายแรงดันไบแอสกลับทค่าแรงดันพัง หรอทค่าซเนอรเบรกดาวน์ (Zener Breakdown) โดยไม่ได้ท างานเปนสวิตช์ปดเปดวงจร แต่
์
ี
ี่
ิ
ี่
ิ
่
ี
ี
ใช้ท างานเปนตัวควบคุมแรงดัน ไฟตรง จ่ายมาตกครอมตัวซเนอรไดโอดให้มค่าคงทตลอดเวลา สงออกเปนแรงดันไฟตรงคงท ี่
็
ี่
่
็
์
ี่
์
ี
้
่
ู
์
ู
น าไปใช้งาน โครงสรางสัญลักษณและรปรางของซเนอรไดโอด แสดงดังรปท 11.13
A A A
P
N
K K K
ู
่
(ก) โครงสราง (ข) สัญลักษณ ์ (ค) รปราง
้
ี
่
ู
รูปท 11.13 โครงสรางสัญลักษณ์และรปรางของซเนอรไดโอด
่
ี
์
้
ี
์
ี
่
การจ่ายไบแอสให้ตัวซเนอรไดโอด สามารถจ่ายแรงดันไบแอสให้ได้ 2 แบบ เชนเดยวกับไดโอดธรรมดา คือ จ่ายไบแอส
ี
ี
ี
ี
์
์
ตรง ซเนอรไดโอดท างานเชนเดยวกับไดโอดธรรมดา ซเนอรไดโอดท างานมกระแสไหลผ่าน ค่าความต้านทานในตัวซเนอร ์
ี
่
ิ
ี
่
่
ไดโอดต า แบบน้ไมนยมน าไปใช้งาน
์
็
์
ี
ื
์
ี
การจ่ายไบแอสให้ซเนอรไดโอดท างาน มักจะเปนการจ่ายไบแอสกลับให้ตัวซเนอรไดโอด ในเบ้องต้นซเนอรไดโอดไม ่
ี
ี
ี
ี
ั
์
ท างาน ไม่มกระแสไหลผ่าน มเพยงกระแสร่วไหล (Leakage Current) ไหลผ่านตัวซเนอรไดโอดเพียงเล็กน้อย จนกวาแรงดัน
ี
่
ึ
่
ี
์
ไบแอสกลับทจ่ายให้เพ่มขึ้นถงค่าแรงดันซเนอรเบรกดาวน์ (Zener Breakdown Voltage ; V ) เปนค่าทตัวซเนอรไดโอดท างาน ม ี
็
ิ
์
ี
ี่
ี
Z
ี
์
ี่
่
ี
ิ
์
ี
กระแสไหลผ่านตัวซเนอรไดโอด เกดค่าแรงดันไฟตรง (V ) ตกครอมตัวซเนอรไดโอดคงท ตามค่า แรงดันซเนอรเบรกดาวน์
์
DC
ู
์
ี
ี
ี
่
(V ) ของซเนอรไดโอดตัวนั้น แรงดันไฟตรงค่าน้จะมค่าคงทตลอดเวลาในการท างาน วงจรท างานซเนอรไดโอด แสดงดังรปท ี่
ี
์
ี
Z
11.14
R
+
K
+ E
- D Z V Z
A
-
่
รูปท 11.14 วงจรท างานซเนอรไดโอด
ี
ี
์
์
์
ี่
ิ
ึ
ี
ื
ี
ี
ค่าแรงดันซเนอรเบรกดาวน์ (V ) ของตัวซเนอรไดโอด ทผลตออกมาใช้งานมหลายค่าให้เลอกใช้งานตั้งแต่ 1.2 V ถง 200
Z
V โดยประมาณ และค่าทนก าลังไฟฟาสงสด (Power Dissipation ; P ) มให้เลอกใช้งานได้หลายค่า ตั้งแต่ 0.15 W ถง 50 W
้
ู
ุ
ี
ื
ึ
D
โดยประมาณ
่
11.5.3 ไดโอดเปลงแสง
ิ
ไดโอดเปล่งแสง (Light Emitting Diode ; LED) เปนไดโอดชนดหนง ผลตขึ้นมาจากสารกงตัวน าชนด P และชนด
ิ
็
ิ
ึ
ึ
่
ิ
่
่
ื
ี
่
N ต่อชนกัน เชนเดยวกับไดโอดธรรมดา มขาต่อออกมาใช้งาน 2 ขา คือ ขาแอโนด (A) และขาแคโทด (K) เหมอนกัน สวนท ี่
ี
ึ
่
ิ
ไดโอดเปล่งแสงแตกต่างจากไดโอดธรรมดา ตรงผลทสารกงตัวน าทใช้ผลตมความแตกต่างไป เมอท างานจะเกดการเปล่งแสง
ี
ี่
ื่
ิ
ี่
ึ
ี
ิ
ี
ื
็
่
่
ออกมาจากตัวไดโอดเปล่งแสงเปนสต่างๆ ตามเน้อสารกงตัวน าทใช้ผลต
ิ
็
ี่
ี่
ี
แสงทเปล่งออกมาจากตัวไดโอดเปล่งแสงแบ่งออกได้เปน 2 ชนด คือ ชนดแสงทตาคนมองเหน มสหลักท ี่
ิ
ี
็
ิ
ก าเนดขึ้นมา 4 ส ได้แก่ สแดง สเขียว สเหลอง และสน ้าเงน แต่ในปจจุบันสามารถสรางไดโอดเปลงแสงให้ก าเนดสขึ้นมาได้ทุกส ี
ี
ี
ื
้
ี
ั
ี
ิ
ี
่
ิ
ี
ิ
็
ี
ี
ี
ิ
ิ
โดยใช้วธผสมสของแสงเข้าด้วยกันท าให้ได้แสงสต่างๆ ออกมามากมาย และไดโอดเปล่งแสงอีกชนดหนงเปนชนดแสงทตาคน
ี่
่
ึ
่
่
ี
่
ึ
่
ี
ิ
่
มองไม่เหน โดยให้ก าเนดแสงอินฟราเรด (Infrared Light) ออกมา แสงแต่ละสทให้ก าเนดออกมาขึ้น อยูทการใช้สวนผสมสารกง
็
ี
ิ
ิ
ิ
ตัวน าแตกต่างกันในการผลต ท าให้ก าเนดแสงออกมาแตกต่างกันไป โครงสรางสัญลักษณและรปรางของไดโอดเปล่งแสง แสดง
์
ู
่
้
ี่
ู
ดังรปท 11.15
A A
P
N
K K
้
่
ู
(ก) โครงสราง (ข) สัญลักษณ ์ (ค) รปราง
ู
์
รูปท 11.15 รปรางโครงสรางและสัญลักษณไดโอดเปล่งแสง
้
่
่
ี
ิ
็
ู
ุ่
่
ไดโอดเปล่งแสงนอกจากจะผลตออกมาเปนแต่ละตัวแล้ว ยังผลตออกมาในรปกลมไดโอดเปล่งแสง เชน
ิ
็
ไดโอดเปล่งแสงแบบ 7 สวน (Seven Segment LED) เปนการน าไดโอด เปล่งแสงแต่ละตัวรวม 7 ตัว มาประกอบรวมกันให้อยู่ในรปเลข
่
ู
่
ี
์
ิ
แปด ไดโอดเปล่งแสงแบบเมตรกซ (Matrix LED) เปนการน าไดโอดเปล่งแสงแต่ละตัวจ านวนหนง มาเรยงล าดับหลายแถวรวม
็
ึ
่
็
ั
ี่
ี่
ู
ื
ี่
ี
็
ี่
เปนกลุ่มอยู่ในรปสเหลยมจัตุรส หรอสเหลยมผืนผ้า และจัดเรยงเปนแถวยาวในลักษณะต่างๆ เปนต้น ไดโอดเปล่งแสงในรปกลุ่ม
ู
็
ี่
ู
ิ
แต่ละชนด แสดงดังรปท 11.16
่
ิ
ี
(ก) แบบ 7 สวน (ข) แบบเมตรกซ ์ (ค) แบบจัดเรยงแถวยาว
่
ี
ู
ิ
รูปท 11.16 ไดโอดเปล่งแสงในรปกลุ่มแต่ละชนด
การใช้งานไดโอดเปล่งแสง จะต้องจ่ายแรงดันไบแอส
R ตรงค่าต า ไดโอดเปล่งแสงหนงตัวต้องการแรงดัน ไฟตรงประมาณ
่
่
ึ
1.5 V ต้องการกระแสไฟตรงไหลผ่านประมาณ 50 mA ในการ
A
ี
่
่
E + LED เปล่งแสง ถ้าใช้แรงดันมากกวาน้จ่ายให้ไดโอดเปลงแสง
9 V - จ าเปนต้องเพ่มตัวต้านทานต่ออนกรมกับตัวไดโอดเปล่งแสง ชวย
่
ุ
็
ิ
K
ิ
ปองกันกระแสไหลผ่านมากเกนไป อาจท าให้ไดโอดเปล่งแสง
้
ู
ุ
ี
ช ารดเสยหายได้ การต่อไดโอดเปล่งแสงใช้งาน แสดงดังรปท ี่
ี
่
รูปท 11.17 การต่อไดโอดเปล่งแสงใช้งาน 11.17
์
11.5.4 ทรานซสเตอร
ิ
่
ึ
ี่
ิ
่
ึ
ิ
ิ
ทรานซสเตอร (Transistor) เปนอุปกรณสารกงตัวน าชนดหนงทถูกน าไปใช้งานอย่างแพรหลาย ผลตจากการน า
์
์
็
ึ
ิ
ิ
ึ
่
่
ึ
่
ิ
ิ
ิ
สารกงตัวน าชนด P และชนด N ต่อชนกัน 3 ตอน แบ่งออกได้ 2 ชนด คือ ชนด PNP ใช้สารกงตัวน าชนด P จ านวน 2 ตอน ใช้สารกง
ิ
ิ
่
ิ
ิ
ึ
่
ึ
ตัวน าชนด N จ านวน 1 ตอน และชนด NPN ใช้สารกงตัวน าชนด N จ านวน 2 ตอน ใช้สารกงตัวน าชนด P จ านวน 1 ตอน โดยม ี
สารกงตัวน าตอนกลางแคบทสด มขาต่อออกมาใช้งาน 3 ขา ได้แก่ ขาเบส (Base ; B) ขาคอลเลกเตอร (Collector ; C) และขา
ุ
์
ี
่
ึ
ี
่
์
ิ
์
่
ี
ิ
อิมตเตอร (Emitter ; E) ทรานซสเตอรทผลตขึ้นมาใช้งานมมากมายหลายชนด หลายขนาด และหลายเบอร ทั้งชนดทน
ิ
์
ิ
ี
ิ
่
ก าลังไฟฟาต า และชนดทนก าลัง ไฟฟาสง มลักษณะและรปรางแตกต่างกันไป โครงสรางสญลักษณและรปรางของ
่
ู
่
้
ู
ู
ั
้
ี
์
ิ
้
์
ู
ิ
ทรานซสเตอรแสดงดังรปที่ 11.18
C C
P
B N B
P
E E
ิ
ชนด PNP ชนด PNP
ิ
C C
N
B P B
N
E E
ิ
ิ
ชนด NPN ชนด NPN
ู
้
่
(ก) โครงสราง (ข) สัญลักษณ ์ (ค) รปราง
ิ
ู
รูปท 11.18 โครงสรางสัญลักษณ์และรปรางทรานซสเตอร ์
้
่
ี
่
ทรานซสเตอรท างานได้ ต้องจ่ายแรงดันไบแอสให้ตัวทรานซสเตอรถูกต้องตาม ทแต่ละขาของ
ิ
์
ิ
ี่
์
ี
ี
ิ
ี
์
ิ
ิ
ิ
่
ู
ทรานซสเตอรต้องการ วธการจ่ายแรงดันไบแอสทถกต้องให้ทรานซสเตอร มวธเดยวดังน้ จ่ายแรงดันไบแอสตรงให้ขา
ี
ี
ี
์
์
ี
ั
ิ
ิ
่
์
์
อิมตเตอร (E) และขาเบส (B) โดยขาเบสต้องได้รบแรงดันไบแอสตรงเทยบกับขาอิมตเตอรเสมอ สวนขาคอลเลกเตอร (C) ต้องจ่าย
่
ู
ื
ิ
์
่
แรงดันไบแอสกลับ การจ่ายแรงดันไบแอสดังกลาวถอวาถกต้อง การจ่ายแรงดันไบแอสให้ตัวทรานซสเตอรผิดไปจากน้ ี
ื
ิ
ิ
์
ู
์
ทรานซสเตอรจะไม่สามารถท างานได้ การจ่ายแรงดันไบแอสถูกต้องให้ทรานซสเตอรแบบเบ้องต้น แสดงดังรปที่ 11.19
C C
-
P N
B N - B P -
- P N
E - E -
์
(ก) ทรานซสเตอรชนด PNP (ข) ทรานซสเตอรชนด NPN
ิ
ิ
ิ
์
ิ
์
ู
ื
ิ
รูปท 11.19 การจ่ายไบแอสถกต้องให้ทรานซสเตอรแบบเบ้องต้น
ี
่
ื
ี
ู
่
รปท 11.19 แสดงการจ่ายไบแอสถกต้องให้ทรานซสเตอรแบบเบ้องต้น ของทรานซสเตอรทั้งชนด PNP
ิ
์
ู
ิ
ิ
์
์
ิ
และ NPN การท างานของตัวทรานซสเตอรอธบายได้ดังน้ ถ้าจ่ายแรงดันไบแอสให้เฉพาะขาคอลเลกเตอร (C) และขาอมตเตอร ์
ี
ิ
ิ
ิ
์
(E) โดยขาเบส (B) ไม่มแรงดันไบแอสจ่ายให้ ทรานซสเตอรไม่ท างาน ไม่มกระแสไหลในตัวทรานซสเตอร เมอจ่ายแรงดันไบแอส
ื่
์
ิ
ี
์
ี
ิ
่
ี่
็
ิ
์
ี
ให้ขาเบส (B) เปนไบแอสตรง แรงดันไบแอสตรงทขาเบส (B) ท าให้รอยต่อเบส (B) และอิมตเตอร (E) มค่าความต้านทานต า ยอมให้
์
ิ
์
กระแสไหลผ่านไปขาคอลเลกเตอร (C) ทรานซสเตอรท างานน ากระแส
11.5.5 เฟต
ิ
์
ี
ื่
้
ึ
ิ
่
็
์
เฟต (FET) เรยกได้อีกชอว่าทรานซสเตอรสนามไฟฟา (Field Effect Transistor ; FET) เปนอุปกรณสารกงตัวน าชนด
ิ
ึ
ี
ี
่
็
์
์
ิ
้
3 ขาเชนเดยวกับทรานซสเตอร แต่เปนอุปกรณสารกงตัวน าชนดขั้วเดยว (Unipolar) มโครงสรางและหลักการท างานแตกต่างไป
่
ี
จากทรานซสเตอรธรรมดา เพราะทรานซสเตอรธรรมดาการท างานต้องอาศัยกระแสชวยควบคุมการท างาน สวนเฟตการท างาน
์
ิ
่
ิ
่
์
่
ต้องอาศัยแรงดันชวยควบคุมการท างาน
เฟตสรางมาใช้งานแบ่งออกได้เปน 2 ประเภท คือ เฟตประเภทรอยต่อ (Junction FET) หรอเจเฟต (JFET) และเฟตป
ื
็
้
ึ
่
ื
ระเภทสารกงตัวน าออกไซด์โลหะ (Metal Oxide Semiconductor FET) หรอมอสเฟต (MOSFET) เฟตม 3 ขา คือ ขาเดรน (Drain ; D) ขาซอส
ี
่
็
็
(Source ; S) และขาเกต (Gate ; G) ขาเดรน (D) และขาซอส (S) เปนขาท างาน สวนขาเกต (G) เปนขาควบคุมการท างาน เฟตแต่ละ
ู
ิ
ี
ู
่
้
ชนดมโครงสรางและหลักการควบคุมให้เฟตท างานแตกต่างกัน รปรางเฟต แบบต่างๆ แสดงดังรปที่ 11.20
ี
่
รูปท 11.20 เฟตแบบต่างๆ
้
ึ
่
1. เจเฟต (JFET) โครงสรางประกอบด้วยสารกงตัวน าตอนใหญ่ 1 ตอน ต่อขาออกมาใช้งาน 2 ขา คือขาเดรน
ึ
ิ
(D) และขาซอส (S) และประกอบด้วยสารกงตัวน าตอนเล็ก 2 ตอน ต่อขาออกมาใช้งาน 1 ขา คือขาเกต (G) แบ่งออกได้เปน 2 ชนด
่
็
้
ู
ิ
ิ
์
คือ ชนด N แชนแนล และชนด P แชนแนล โครงสรางและสัญลักษณเจเฟต แสดงดังรปที่ 11.21
D D
D D
G P N P G G N P N G
S S
S S
้
โครงสราง สัญลักษณ ์ โครงสราง สัญลักษณ ์
้
ิ
ิ
(ก) ชนด N แชนแนล (ข) ชนด P แชนแนล
์
้
รูปท 11.21 โครงสรางและสัญลักษณ JFET
่
ี
่
ู
ี
ี
2. มอสเฟต (MOSFET) โครงสรางมความแตกต่างไปจาก JFET ในสวนทสรางเปนขาเกต โดยสวนน้ถกแยก
่
่
ี
็
้
้
้
ี
ิ
ิ
ึ
่
็
่
ี
่
ออกเปนอิสระ มฉนวนซลคอนไดออกไซด์ (Silicon Dioxide ; SiO) คั่นกลาง สวนทเปนเดรน และซอส สรางขึ้นบนฐานรองสารกง
็
2
็
่
ิ
่
ึ
ี่
ี
ี
ตัวน า (Substrate) ทใช้สารกงตัวน าชนดตรงข้ามกับสวนเดรน และซอส มอสเฟตแบ่งออกได้เปน 2 แบบ คือ แบบดพลชันมอสเฟต
์
ื
ื
(Depletion MOSFET) หรอ D – MOSFET และเอ็นฮานซเมนต์มอสเฟต (Enhancement MOSFET) หรอ E – MOSFET และแบ่งย่อยออกได้ 2
ชนด คือ ชนด N แชนแนล และชนด P แชนแนล โครงสรางและสญลักษณมอสเฟตแต่ละแบบ แสดงดังรปท 11.22 และรปท ี่
ิ
ี่
้
ู
ิ
ิ
์
ู
ั
11.23
S G D D S G D D
SiO 2 SiO 2
N ----- N G P + + + + + P G
P N
Sub S Sub S
้
้
โครงสราง สัญลักษณ ์ โครงสราง สัญลักษณ ์
ิ
(ก) ชนด N แชนแนล (ข) ชนด P แชนแนล
ิ
์
้
รูปท 11.22 โครงสรางและสัญลักษณ D – MOSFET
ี
่
S G D D S G D D
SiO 2 SiO 2
N N G P P G
P N
Sub S Sub S
้
โครงสราง สัญลักษณ ์ โครงสราง สัญลักษณ ์
้
(ก) ชนด N แชนแนล (ข) ชนด P แชนแนล
ิ
ิ
้
รูปท 11.23 โครงสรางและสัญลักษณ E – MOSFET
์
ี
่
่
่
ึ
็
ี
่
่
่
ี
ี
่
ู
ู
จากรปท 11.22 และรปท 11.23 สวนทแตกต่างกันของมอสเฟตทั้ง 2 แบบ อยูทสวนฐานรอง (Sub) เปนสารกง
่
ี
่
่
ิ
่
ี
ี
ึ
ตัวน าขวางระหวางสารกงตัวน าขา D และขา S แบบ D – MOSFET รปท 11.22 มสารกงตัวน าชนดเดยวกับขา D และขา S เชอมต่ออยู่
่
ื่
ึ
ี่
ู
ท าให้ขา D และขา S ต่อถงกัน ดได้จากสญลักษณขา D และขา S ต่อเปนเสนเดยวกัน สวนแบบ E – MOSFET รปท 11.23 มสารกง
ู
ี
ี่
ึ
ั
็
่
ึ
์
ี
้
่
ู
ตัวน าชนดตรงข้ามกับขา D และขา S เชอมต่อ ท าให้ขา D และขา S ไม่ต่อถงกัน ดได้จากสญลักษณขา D และขา S ถูกต่อด้วย
ึ
ิ
์
ู
ื่
ั
่
เส้นประ บอกให้ทราบวาขาทั้งสองแยกออกจากกัน
11.6 บทสรุป
ื่
้
้
์
็
ี่
ี่
ี
ื่
ไมโครโฟนท าหน้าทเปลยนคลนเสยงให้เปนคลนไฟฟา น าไปใช้งานกับอุปกรณไฟฟาและอิเล็กทรอนกสต่างๆ
ิ
์
่
ิ
ี่
ไมโครโฟนทดต้องตอบสนองต่อสัญญาณเสยงในชวงความถ 20 Hz ถง 20 kHz ไมโครโฟนทใช้งานแพรหลายม 2 ชนด คือ ชนด
ิ
่
ี
ี่
ี
ึ
ี
ี่
ิ
์
ิ
ไดนามก และชนดคอนเดนเซอร
์
ี่
็
ี่
ั
ู
้
ั
็
ู
ี่
ั
ี
ี
ล าโพงเปนอุปกรณทท าหน้าทเปลยนสญญาณเสยงในรปสญญาณไฟฟา ให้กลับมาเปนสญญาณเสยงในรปการ
ิ
็
ี
ิ
ี
ี
ั
ื
ิ
ิ
ส่นสะเทอน ล าโพงแบ่งออกเปน 3 ชนด คือ ชนดเสยงทุ้ม ชนดเสยงกลาง และชนดเสยงแหลม
้
ิ
์
้
็
้
ี
รเลย์เปนสวตชไฟฟา ควบคุมการท างานด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟา ตัดต่อการจ่ายก าลัง ไฟฟาจากแหล่งจ่ายไฟไปยัง
ภาระ โดยควบคุมหน้าสัมผัสสวิตช์รเลย์ตัดต่อวงจร
ี
์
ิ
็
์
ี
่
้
ิ
้
แมกเนตกคอนแทกเตอรเปนสวตชไฟฟาควบคุมการท างานด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟาเชน เดยวกับรเลย์ แต่ใช้งานได้กับ
ี
้
ู
้
ก าลังไฟฟาสงๆ ถูกน าไปใช้งานด้านการควบคุมก าลังไฟฟาในงานอุตสาหกรรม
ึ
่
ึ
์
่
ึ
ิ
ุ
อปกรณสารกงตัวน าประกอบขึ้นมาจากการน าสารกงตัวน าชนด P และสารกงตัวน าชนด N ต่อรวมกัน ผลตขึ้นมาใช้งาน
ิ
่
ิ
่
์
็
หลายชนด เช่น ไดโอด ซเนอรไดโอด ไดโอดเปล่งแสง ทรานซสเตอร และเฟต เปนต้น อุปกรณแต่ละชนดมโครงสราง หลักการท างาน
ี
ิ
้
ิ
ี
์
ิ
์
ี่
และการน าไปใช้งานทแตกต่างกัน
้
ี
่
ิ
์
้
• ดานทักษะ(ปฏิบัติ) (จุดประสงคเชงพฤติกรรมขอท 7)
6. ใบปฏิบัตงานท 11.1 การท างานของรเลย์
ิ
ี่
ี
7. แบบประเมินผลการเรยนร ู ้
ี
้
ิ
• ดานคุณธรรม/จรยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง
(จุดประสงคเชงพฤตกรรมขอที่ 8-9)
ิ
ิ
้
์
ี
ี
้
11. การเตรยมความพรอมด้านการเตรยม วัสด อปกรณนักศกษาจะต้องกระจายงานได้ทั่วถง และ ตรงตาม
ุ
ุ
์
ึ
ึ
ี
ุ
์
ิ
ี
้
ี
ื่
ี่
ความสามารถของสมาชกทุกคนมการจัดเตรยมสถานท สอ วัสด อุปกรณไว้อย่างพรอมเพรยง
ิ
ี
ิ
12. ความมเหตุมผลในการปฏบัตงาน ตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง นักศกษาจะต้องมการใช้ เทคนคทแปลก
ี่
ิ
ิ
ึ
ี
ั
ี
่
่
ี
ิ
ุ
่
ใหม ใช้สอและเทคโนโลย ประกอบการ น าเสนอทนาสนใจ น าวัสดในท้องถ่นมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่าและ
่
ี
ื
ประหยัด
ื
ี
ี
กิจกรรมการเรยนการสอนหรอการเรยนรู ้
ื
ี
้
้
ั
้
ั
ขนตอนการสอนหรอกิจกรรมของครู ขนตอนการเรยนรูหรอกิจกรรมของนกเรยน
ั
ื
ี
้
่
้
้
ี
่
ี
้
1. ขันน าเขาสูบทเรยน ( 15 นาที ) 1. ขันน าเขาสูบทเรยน ( 15 นาที )
ี
1. จัดเตรยมเอกสารประกอบการสอนและให้ผู้เรยน 1. ผู้เรยนอ่านหนังสอ เรอง อุปกรณเกยวข้องในงาน
ี่
ี
์
ื่
ื่
ี
้
ื
้
ี่
ี่
์
ิ
ื่
อ่านหนังสอบทท 11 เรอง อุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟา ไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์
ิ
และอิเล็กทรอนกส ์
ี
ี
ี่
ื่
ี
ี่
2. ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรยนของบทท 11 เรอง 2. ผู้เรยนท าความเข้าใจเกยวกับจุดประสงค์การเรยนของ
์
ี่
ิ
้
ื่
ี่
์
ิ
้
ี่
อุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์ บทท 11 เรอง อุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์
ิ
ื
่
และการให้ความรวมมอในการท ากจกรรม
้
้
3. ผู้เรยนยกตัวอย่างหน้าทของอุปกรณไฟฟา พรอมให้
ี่
ี
์
ี
ี่
์
3. ผู้สอนให้ผู้เรยนยกตัวอย่างหน้าทของอุปกรณ เหตุผลประกอบ
้
ึ
ื่
ี่
ี
ี
ไฟฟา 4. ผู้เรยนเตรยมตัวท าแบบฝกหัดบทท 11 เรองอุปกรณ ์
ึ
์
ิ
ี่
้
ี่
ื่
ี
4. ผู้สอนให้ผู้เรยนเตรยมตัวท าแบบฝกหัดบทท 11 เรอง เกยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ตามความเข้าใจของ
ี
้
ี่
ิ
์
อุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์ ตนเอง
ื่
ี
5. ผู้เรยนท าแบบฝกหัด เรองอุปกรณเกยวข้องในงาน
ึ
์
ี่
ื่
ี
้
5. เมอผู้เรยนพรอม ผู้สอนให้ผู้เรยนท าแบบฝกหัด ไฟฟาและอิเล็กทรอนกส แล้วสลับกันตรวจค าตอบด้วยความ
ึ
ี
้
ิ
์
บทท 11 เรอง อุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟาและ ซอสัตย์
์
้
ี่
ี่
ื่
ื่
ิ
ึ
อิเล็กทรอนกสแล้วให้นักศกษาสลับกันตรวจค าตอบ และให้
์
คะแนน
้
้
้
2. ขันใหความรู ( 60 นาที )
้
้
้
2. ขันใหความรู ( 60 นาที ) 1. ผู้เรยนดบทเรยนจากแผ่นใส บทท 11 เรองอุปกรณ ์
ี
ื่
ี่
ู
ี
1. ผู้สอนฉายแผ่นใส บททแจกเอกสารประกอบการ เกยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกสพรอมกับจดบันทกเน้อท ่ ี
ี่
้
้
ี่
ิ
ึ
์
ื
ื่
์
้
สอน บทท 11 เรองอุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟาและ ส าคัญ และถามข้อสงสยทเกดขึ้น
ี่
ี่
ั
ี
ิ
่
์
ิ
ี
ึ
อิเล็กทรอนกส และให้ผู้เรยนศกษารายละเอียดด้วยตนเอง
ี่
ิ
2. ผู้สอนอธบายอธบายเพ่มเตม เรองอุปกรณเกยวข้อง 2. ผู้เรยนฟงผู้สอนอธบายเพ่มเตม เรองอุปกรณเกยวข้องใน
์
ิ
ิ
ื่
ิ
ิ
ิ
ั
ี
ิ
์
ี่
ื่
้
ิ
ิ
้
ในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์ งานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์
้
้
์
3. ขันประยุกตใช ( 105 นาที ) 3. ขันประยุกตใช( 105 นาที )
้
์
้
ิ
1. ผู้สอนแบ่งกลุ่ม ๆ 4-5 คน ท ากจกรรมเสนอแนะ 1. ผู้เรยนเข้ากลุ่ม ท ากจกรรมเสนอแนะบทท 11
ี่
ิ
ี
ี่
บทท 11
ื
ี
ี
กิจกรรมการเรยนการสอนหรอการเรยนรู ้
ั
ขนตอนการสอนหรอกิจกรรมของครู ขนตอนการเรยนรูหรอกิจกรรมของนกเรยน
ื
ี
ื
้
้
้
ี
ั
ั
ิ
ี
ิ
ี่
2. ผู้สอนให้ผู้เรยนท าใบปฏิบัตงานท 11.1 ผู้สอนเปนผู้ 2. ผู้เรยนท าใบปฏบัตงานท 11.1
็
ิ
ี่
ี
ี่
็
ั
คอยแนะน า เปนทปรกษา แก้ไขปญหา และตรวจสอบความ
ึ
ผิดพลาด
ี
ุ
ี
่
3. ผู้สอนให้ผู้เรยนน าเสนอผลการทดลองและชวยกัน 3. ผู้เรยนน าเสนอผลการทดลองและสรปผลการ
ี่
ุ
ึ
ุ
สรปผลการทดลอง ทดลองจดบันทกสรปผลการทดลองทถูกต้อง
้
้
4. ขันสรุปและประเมินผล ( 60 นาที ) 4. ขันสรุปและประเมินผล ( 60 นาที )
ี
ื
ุ
่
ี
ี
่
ุ
่
ี
ื
ี
1. ผู้สอนและผู้เรยนรวมกันสรปเน้อหาทได้เรยนให้ม ี 1. ผู้สอนและผู้เรยนรวมกันสรปเน้อหาทได้เรยนให้ม ี
ี
่
ี
ิ
ิ
ี
ความเข้าใจในทศทางเดยวกัน ความเข้าใจในทศทางเดยวกัน
ึ
ี่
้
ี
ู
ี
ี่
ี
ี
ู
้
ึ
2. ผู้สอนให้ผู้เรยนท าแบบฝกหัดการเรยนร บทท 11 2. ผู้เรยนท าแบบฝกหัดการเรยนรบทท 11
ั
ี
อกคร้ง
ึ
ี่
ี
ื่
3. แจกแบบฝกหัดท 11 3. ผู้เรยนท าแบบฝกหัดท 11 ด้วยความซอสัตย์
ึ
ี่
ี
ึ
ึ
้
ี
4. ผู้สอนตรวจแบบฝกหัดหลังเรยนพรอมกับบันทก 4. ผู้เรยนน าคะแนนจากแบบฝกหัดทั้งสองคร้ ังมา
ึ
ี
็
ี
ี
่
คะแนน เปรยบเทยบกันวาเปนอย่างไรมผลต่างกันอย่างไร เพื่อด ู
ความก้าวหน้าของตนเอง
ิ
ิ
้
์
ี่
(บรรลุจุดประสงคเชงพฤตกรรมขอท 1-9) (บรรลุจุดประสงคเชงพฤตกรรมขอท 1-9)
์
ิ
ี่
้
ิ
ี
(รวม 240 นาท หรอ 4 คาบเรยน)
ื
ี
ื
งานที่มอบหมายหรอกิจกรรมการวัดผลและประเมินผล
่
กอนเรยน
ี
14. จัดเตรยมเอกสาร สอการเรยนการสอนตามทอาจารย์ผู้สอนและบทเรยนก าหนด
ี
ี
ี
ี่
ื่
่
ื
ี่
ี
15. ท าความเข้าใจเกยวกับจุดประสงค์การเรยนของบทที่ 11 และการให้ความรวมมอในการท ากิจกรรมในบทที่
11
ี
ขณะเรยน
16. ศกษาเน้อหา ในบทท 11 เรองอุปกรณเกยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส ์
ึ
ื
ี่
ิ
ื่
ี
่
้
์
17. รายงานผลหน้าชั้นเรยน
ี
ิ
ิ
ิ
ี
ื่
ี่
ิ
18. ปฏบัตใบปฏบัตงานท 11.1 เรองการท างานของรเลย์
ี
19. ต่อวงจรรเลย์ ตอบข้อสงสัย
ี
หลังเรยน
ี
ึ
1. ท าแบบฝกหัดหลังเรยน
ี
ิ
2. ท าแบบประเมนการเรยนร ู ้
็
ผลงาน/ชนงาน/ความสาเรจของผูเรยน
ี
้
ิ
้
1. ต่อวงจรรเลย์ใช้งานได้
ี
2. ใบปฏบัติงานท 11.1
ี่
ิ
3. แบบฝกหัดบทท 11
ี่
ึ
ี
ี
่
สอการเรยนการสอน/การเรยนรู ้
ื
ิ่
ื่
สอสงพิมพ ์
ี
1. หนังสอเรยนวชา งานไฟฟาและอเล็กทรอนกสเบ้องต้น (ใช้ประกอบการเรยนการสอนจุดประสงค์เชง ิ
ิ
ิ
้
์
ิ
ี
ื
ื
พฤตกรรมข้อท 1-9)
ี่
ิ
์
้
์
2. แผ่นใส บทท 11 เรอง อุปกรณเกี่ยวข้องในงานไฟฟาและอิเล็กทรอนกส (ใช้ประกอบการเรยนการสอนขั้นสอน
ื่
ี
ี่
ิ
เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เชงพฤติกรรมข้อท 1-9)
ิ
ี่
3. ใบปฏบัตงานท 11.1 เรอง การท างานของรเลย์ (ใช้ประกอบการเรยนการสอนจุดประสงค์เชงพฤตกรรมข้อท 7)
ี
ิ
ี่
ิ
ี
ี่
ื่
ิ
ิ
4. แบบฝกหัดบทท 11 ใช้ประกอบการสอนขั้นเตรยม ข้อ 2
ี
ี่
ึ
5. แบบประเมนผลงานตามใบปฏบัตงาน ใช้ประกอบการสอนขั้นการเรยนการสอน ข้อ 2
ี
ิ
ิ
ิ
6. แบบประเมนพฤตกรรมการท างานกลม ใช้ประกอบการสอนขั้นการเรยนการสอน ข้อ 2
ี
ิ
ิ
ุ
่
ื่
์
สอโสตทัศน (ถ้าม) ี
9. เครองฉาย ภาพ โปรเจคเตอร (PROJECTOR)
ื่
์
10. เครองฉายแผ่นใส (OVERHEAD)
ื่
ื่
ิ
สอของจรง
ิ
1. มัลตมเตอร ์ 1 เครอง
ื่
ิ
ั
ื่
2. แหล่งจ่ายแรงดันไฟตรงปรบค่าได้ 0 – 30V 1 เครอง
3. รเลย์ไฟตรง 12V 1 ตัว
ี
4. หลอดไฟ 12V 1 หลอด
5. สวิตช์ 2 ตัว
ุ
6. แผงประกอบวงจรและสายต่อวงจร 1 ชด
้
ี
่
แหลงการเรยนรู
ึ
ในสถานศกษา
9. ห้องสมุด
์
ึ
10. ห้องปฏบัตการคอมพิวเตอร ศกษาหาข้อมูลทาง INTERNET
ิ
ิ
ึ
นอกสถานศกษา
ิ
ผู้ประกอบการ สถานประกอบการ ในท้องถ่น
ั
่
ื
์
การบูรณาการ/ความสมพันธกับวิชาอน
ึ
ี
ิ
1. บูรณาการกับวิชาชวิตและวัฒนธรรมไทย ด้านการพูด การอ่าน การเขียน และการฝกปฏบัตตนทางสังคมด้านการ
ิ
ั
้
ี
่
เตรยมความพรอม ความรบผิดชอบ และความสนใจใฝร ู ้
ื
ื
ิ
ิ
ิ
2. บูรณาการกับวชาการบรหารการจัดซ้อ ด้านการซ้อ การแสวงหาผลตภัณฑ์
ิ
ุ
ิ
่
ี
ื
ิ
ี
3. บูรณาการกับวชากฬาเพอพัฒนาสขภาพและบุคลกภาพ ด้านบุคลกภาพในการน าเสนอหน้าชั้นเรยน
์
ื
4. บูรณาการกับวิชาหลักเศรษฐศาสตร ด้านการเลอกใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
ี
การประเมินผลการเรยนรู
้
ิ
หลักการประเมนผลการเรยนรู ้
ี
ี
ขณะเรยน
ิ
ิ
ี่
9. ตรวจผลงานตามใบปฏบัตงานท 11.1
10. สังเกตการท างานกลุ่ม
ี
หลังเรยน
ึ
ี
9. ตรวจแบบฝกหัดหลังเรยน
ิ
ี
10. ตรวจแบบแบบประเมนผลการเรยนร ู ้
ิ
ี
็
ผลงาน/ช้นงาน/ผลส าเรจของผู้เรยน
ต่อวงจรรเลย์ใช้งานได้
ี
ค าถาม
ี
์
์
ิ
อธบายให้ได้ใจความสมบูรณและแสดงวิธท าให้สมบูรณถูกต้อง
์
ิ
1. ไมโครโฟนคืออะไร ไมโครโฟนชนดไดนามก และชนดคอนเดนเซอรแตกต่างกันอย่างไร
ิ
ิ
็
2. ล าโพงคืออะไร ถูกแบ่งการใช้งานเปนอย่างไร
ิ
์
ี
3. แมกเนตกคอนแทกเตอรคืออะไร มหลักการท างานอย่างไร
์
ิ
ิ
์
4. ทรานซสเตอรคืออะไร การควบคุมการท างานของทรานซสเตอรท าได้อย่างไร
ี่ ิ ี ี่ ิ
5. เฟตคืออะไร เฟตทผลตมาใช้งานมกชนดอะไรบ้าง
ี
้
ู
ี
รายละเอยดการประเมินผลการเรยนร
ิ
์
ี่
ิ
้
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 1 บอกหน้าที่ของอุปกรณไฟฟาได้
ี
ิ
13. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
14. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี่
้
์
• เกณฑ์การให้คะแนน : บอกหน้าทของอุปกรณไฟฟาได้ จะได้ 3 คะแนน
ิ
ิ
ี่
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 2 แยกแยะการใช้งานสวิตช์แต่ละชนดได้
ิ
ี
13. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
14. เครองมอ : แบบทดสอบ
ิ
15. เกณฑ์การให้คะแนน : แยกแยะการใช้งานสวิตช์แต่ละชนดได้ จะได้ 4 คะแนน
ิ
ิ
ี่
ิ
ี
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 3 อธบายการท างานของรเลย์ได้
ิ
ี
13. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
14. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี
ิ
15. เกณฑ์การให้คะแนน : อธบายการท างานของรเลย์ได้ จะได้ 2 คะแนน
ิ
ี่
ิ
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 4 วเคราะห์ลักษณะของขั้วต่อสายไฟได้
ี
ิ
13. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื่
ื
14. เครองมอ : แบบทดสอบ
ิ
15. เกณฑ์การให้คะแนน : วเคราะห์ลักษณะของขั้วต่อสายไฟได้ จะได้ 4 คะแนน
ิ
ิ
ิ
ิ
ี่
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 5 อธบายคุณสมบัตของไมโครโฟนได้
ิ
ี
7. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
8. เครองมอ : แบบทดสอบ
ิ
ิ
9. เกณฑ์การให้คะแนน : อธบายคุณสมบัตของไมโครโฟนได้ จะได้ 2 คะแนน
ิ
ิ
ิ
ี่
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 6 จ าแนกชนดขอล าโพงได้
ี
ิ
10. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื่
ื
11. เครองมอ : แบบทดสอบ
ิ
12. เกณฑ์การให้คะแนน : จ าแนกชนดของล าโพงได้ จะได้ 5 คะแนน
ิ
ิ
ี
ี่
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 7 ต่อวงจรรเลย์ใช้งานได้
ี
ิ
13. วิธการประเมน : ทดสอบ
ื
ื่
14. เครองมอ : แบบทดสอบ
ี
15. เกณฑ์การให้คะแนน : ต่อวงจรรเลย์ใช้งานได้ 10 คะแนน
ิ
้
ุ
์
ี
ิ
ี่
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 8 เตรยมความพรอมด้าน วัสด อุปกรณสอดคล้องกับงานได้อย่างถูกต้อง
ี
ิ
13. วิธการประเมน : ตรวจผลงาน
ื
ื่
ิ
14. เครองมอ : แบบประเมนกระบวนการท างานกลุ่ม
ี
้
์
ุ
15. เกณฑ์การให้คะแนน : เตรยมความพรอมด้าน วัสด อุปกรณสอดคล้องกับงานได้อย่าง
ถูกต้อง จะได้ 5 คะแนน
ิ
ิ
็
ี่
ี
ิ
ี่
ิ
• จุดประสงค์เชงพฤตกรรม ข้อท 9 ปฏบัตงานได้อย่างถูกต้อง และส าเรจภายใน เวลาทก าหนดอย่างมเหตุ
ิ
ั
และผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง
ี
ิ
13. วิธการประเมน : ตรวจผลงาน
ื
ื่
14. เครองมอ : แบบประเมินกระบวนการท างานกลุ่ม
ี่
ิ
ิ
็
ี
15. เกณฑ์การให้คะแนน : ปฏบัตงานได้อย่างถูกต้อง และส าเรจภายใน เวลาทก าหนดอย่างมเหตุ
ิ
ั
และผลตามหลักปรชญาเศรษฐกจพอเพียง จะได้ 5 คะแนน
ึ
แบบฝกหัดบทที่ 10
้
้
ื่
เรอง ตัวเหนี่ยวน าและหมอแปลงไฟฟา
ึ
้
ิ
วัตถุประสงค์ เพื่อประเมนความรเดมของนักศกษาเกยวกับเรอง แหล่งก าเนดไฟฟาและประเภทของไฟฟา
ู
ี่
้
ิ
ื่
ิ
้
ื่
ี่
ี่
ุ
เขียนเครองหมายกากบาท (X) ลงในข้อทถูกต้องทสด
ิ
ี่
1. คุณสมบัตของตัวเหนยวน าข้อใดกล่าวไว้ถูกต้อง
ี
ก. มการยุบตัวพองตัวของสนามแม่เหล็กตามจังหวะการจ่ายแรงดันไฟสลับ
ี
ื
้
่
่
ื
่
่
ี
ิ
ข. เกดแรงเคลอนไฟฟาเหนยวน าขึ้นมาเมอมสนามแมเหล็กตัดผ่าน
่
่
้
ื
ิ
ค. เกดสนามแมเหล็กไฟฟาขึ้นมาเมอจ่ายแรงดันให้
ง. ถูกทุกข้อ
่
ิ
์
2. สนามแมเหล็กทเกดขึ้นในขดลวดมความสมพันธกันอย่างไร
ี
่
ี
ั
ิ
ิ
ก. แกนเล็กเกดสนามแม่เหล็กมาก แกนใหญ่เกดสนามแม่เหล็กน้อย
ิ
ิ
ข. พันรอบน้อยเกดสนามแม่เหล็กมาก พันรอบมากเกดสนามแม่เหล็กน้อย
ิ
ิ
ค. กระแสไหลน้อยสนามแม่เหล็กเกดน้อย กระแสไหลมากสนามแม่เหล็กเกดมาก
ิ
ิ
์
ิ
ง. แกนอากาศเกดความเข้มสนามแม่เหล็กมาก แกนเฟอรโรแมกเนตกเกดความเข้มสนาม แม่เหล็กน้อย
ี่
ิ
ุ
ี่
ี่
ิ
3. ตัวเหนยวน าชนดใดมีคุณสมบัตให้ค่าความเหนยวน าน้อยทสด
ก. แกนอากาศ ข. แกนเฟอรไรต์
์
ค. แกนผงเหล็กอัด ง. แกนเหล็กแผ่นบาง
ู
ี่
ิ
์
4. สัญลักษณตามรปแทนตัวเหนยวน าชนดใด
ก. แกนเหล็กแผ่นบาง ข. แกนเฟอรไรต์
์
ค. แกนอากาศ ง. ถูกทุกข้อ
ู
ี่
้
ี่
ี่
ิ
่
5. ตัวเหนยวน าชนดใดไมนิยมใชงานทความถสง
์
ก. แกนอากาศ ข. แกนเฟอรไรต์
ค. แกนผงเหล็กอัด ง. แกนเหล็กแผ่นบาง
ิ
ี่
็
ู
6. ตามรปเปนตัวเหนยวน าชนดใด
ั
ี่
ก. แกนปรบเปลยนค่าได้ ข. แกนผงเหล็กอัด
ค. แกนทอรอยด์ ง. แกนอากาศ
ี
ุ
ี่
ิ
ี
่
7. หม้อแปลงชนดใดทมขดลวดเพียงชดเดยว แต่แยกจุดใช้งานออกเอาต์พุตหลายต าแหนง
ก. ชนดก าลัง ข. ชนดออโต
ิ
ิ
ิ
ค. ชนดทอรอยด์ ง. ชนดลดแรงดัน
ิ
์
ิ
ู
็
8. 450V สัญลักษณตามรปเปนหม้อแปลงชนดใด
220V 250V ก. ชนดออโต
ิ
0V
ิ
ข. ชนดทอรอยด์
0V 250V ค. ชนดเพ่มแรงดัน
ิ
ิ
450V
ิ
ิ
ง. ชนดเพ่ม – ลดแรงดัน
ิ
ิ
9. วารแอกคือหม้อแปลงชนดใด
ิ
ิ
ก. ชนดออโต ข. ชนดทอรอยด์
ิ
ิ
ค. ชนดเพ่มแรงดัน ง. ชนดปรบเปลยนแรงดันได้
ั
ิ
ี่
ุ
ี่
ี่
10. ค่าความเหนยวน าข้อใดมีค่ามากทสด
ก. 62,000 H ข. 0.0068 H
ค. 52.4 mH ง. 0.033 H
ใบปฏิบัติงาน
การท างานของรีเลย์
11.1
้
ี
์
จุดประสงคการเรยนรู
ี
ิ
์
1. แสดงการใช้โอห์มมเตอรวัดรเลย์ได้
ี
2. ทดสอบสภาวะการท างานของรเลย์ได้
ี่
ี
ิ
ี
ิ
3. มกจนสัยทดในการท างาน
ื
ื
่
เครองมอและอุปกรณ ์
ิ
ุ
ี
ิ
1. รเลย์ 12 VDC ชนดหน้าสัมผัส 1 ชด แบบ 1 ขั้ว 2 ทศทาง (SPDT) 1 ตัว
์
ิ
ื่
ิ
2. มัลตมเตอรชนดเข็มช้ ี 1 เครอง
ิ
3. แหล่งจ่ายแรงดันไฟตรงปรบค่าได้ 0 – 30 V 1 เครอง
ื่
ั
ุ
4. แผงประกอบวงจรและสายต่อวงจร 1 ชด
ล าดับขันการทดลอง
้
ิ
ุ
ู
ี
1. รเลย์ชนดหน้าสมผัส 1 ชด แบบ 1 ขั้ว 2 ทศทาง (Single Pole Double Throw ; SPDT) มโครงสรางและขา แสดงดังรปที่ 11.1
ิ
้
ั
ี
2 3 NO
1 NC 4
1
5 4 NC NO 3
5 2
(ก) ด้านบน (ข) ด้านล่าง (ค) สัญลักษณ ์
ี
ิ
ุ
ิ
่
ั
ี
รูปท 11.1 รเลย์ชนดหน้าสมผัส 1 ชด แบบ 1 ขั้ว 2 ทศทาง (SPDT)
์
่
ิ
2. ตั้งมัลตมเตอรไปทย่านวัดโอห์ม x10 ปรบแต่งโอห์มมเตอรให้พรอมใช้งาน
ิ
์
้
ิ
ี
ั
ี
ี
่
ั
่
ิ
์
3. น าโอห์มมเตอรไปวัดขาขดลวดรเลย์ทั้ง 2 ขา วัด 2 คร้ง โดยสลับขั้วสายวัด อานค่าความต้านทานทวัดได้ทั้ง 2 คร้ง
ั
ึ
ี่
ี่
ู
บันทกค่าลงในตารางท 11.1 แถวขาทวัด 2 – 5 และ 5 – 2 การวัดแสดงดังรปที่ 11.2
2 3 NO 2 3 NO
1 1
5 4 NC 5 4 NC
ั
ี
ั
่
่
ี
(ก) การวัดคร้งท 1 (ข) การวัดคร้งท 2
ี
่
ี
ิ
รูปท 11.2 การวัดขารเลย์ด้วยโอห์มมเตอร ์
ี
ตารางที่ 11.1 การวัดความต้านทานขารเลย์
้
่
ผลการวัด คาความตานทาน
ขาที่วัด
่
ขึ้น ไมขึ้น ()
2 – 5
5 – 2 (สลับสายวัด)
1 – 3
1 – 4
3 – 4
์
ึ
ิ
ิ
์
่
ึ
4. ย้ายโอห์มมเตอรมาวัดขา 1 – 3, 1 – 4 และ 3 – 4 ตามล าดับ (โดยไมต้องค านงถงขั้วโอห์มมเตอร) อ่านค่าความ
ี
ั
่
ี
ึ
่
่
ี
ต้านทานทวัดได้แต่ละคร้ง บันทกค่าลงในตารางท 11.1 แถวขาทวัด 1 – 3, 1 – 4 และ 3 – 4 ตามล าดับ
ั
ี่
ู
5. ประกอบวงจรตามรปท 11.3 โดยยังไม่จ่ายแหล่งจ่ายแรงดันไฟตรงปรบค่าได้ เข้าวงจร
์
ี
ี
ิ
่
ั
ิ
6. ตั้งมัลตมเตอรไปทย่านวัดโอห์ม x1 ปรบแต่งโอห์มมเตอรให้พรอมใช้งาน น าไปวัดขารเลย์ ขา 1 – 3 (NO) และ 1 –
้
์
ิ
ี่
ึ
ี่
4 (NC) ตามล าดับ บันทกค่าความต้านทานทได้ไว้ในตารางท 11.2 แถวยังไม่จ่ายแรงดัน 12 V
DC
2 3 NO
1
5 4 NC
ี
่
ี
รูปท 11.3 การทดสอบการท างานของรเลย์
ี
ตารางที่ 11.2 การวัดทดสอบการท างานขารเลย์
่
้
ผลการวัด คาความตานทาน
สภาวะ ขาที่วัด
่
ขึ้น ไมขึ้น ()
ยังไม่จ่ายแรงดัน 12 1 – 3 (NO)
V 1 – 4 (NC)
DC
จ่ายแรงดัน 1 – 3 (NO)
12 V 1 – 4 (NC)
DC
ี
ี่
ั
ี
์
ิ
ั
7. จ่ายแหล่งจ่ายแรงดันไฟตรงปรบค่าได้ ปรบไว้ท 12 V เข้าขา 2, 5 รเลย์ ใช้โอห์มมเตอรวัดขารเลย์ ขา 1 – 3 (NO)
DC
ึ
และ 1 – 4 (NC) อกคร้งตามล าดับ บันทกค่าความต้านทานทได้ไว้ในตารางท 11.2 แถวจ่ายแรงดัน 12 V
ี่
ี
่
ั
ี
DC
สรุปผลการทดลอง
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
ค าถามและการวิเคราะห ์
ี่
ี
1. จากตารางท 11.2 สภาวะการท างานของรเลย์ ในขณะไม่จ่ายแหล่งจ่ายแรงดันไฟตรง และขณะจ่ายแหล่งจ่าย
็
ี
แรงดันไฟตรง ขา NO และขา NC มสภาวะการท างานเปนอย่างไร
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________________________
แบบประเมนผลการน าเสนอผลงาน
ิ
ชอกลุ่ม……………………………………………ชั้น………………………ห้อง............................
ื่
ื่
ิ
รายชอสมาชก
ี่
1……………………………………เลขท……. 2……………………………………เลขท…….
ี่
ี่
ี่
3……………………………………เลขท……. 4……………………………………เลขท…….
คะแนน
ิ
ท ี่ รายการประเมน ข้อคิดเห็น
3 2 1
ู
1 เน้อหาสาระครอบคลมชัดเจน (ความรเกยวกับเน้อหา ความถกต้อง
ื
่
ุ
ี
ู
ื
้
ิ
ั
ปฏภาณในการตอบ และการแก้ไขปญหาเฉพาะหน้า)
2 รปแบบการน าเสนอ
ู
ี
่
่
ุ่
3 การมสวนรวมของสมาชกในกลม
ิ
ั
่
ึ
ู
ิ
ิ
4 บุคลกลักษณะ กรยา ท่าทางในการพด น ้าเสยง ซงท าให้ผู้ฟงมความ
ี
ิ
ี
สนใจ
รวม
ิ
ผู้ประเมน…………………………………………………
์
เกณฑการใหคะแนน
้
ื
1. เน้อหาสาระครอบคลุมชัดเจนถูกต้อง
ี
3 คะแนน = มสาระส าคัญครบถ้วนถูกต้อง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระส าคัญไม่ครบถ้วน แต่ตรงตามจุดประสงค์
ุ
1 คะแนน = สาระส าคัญไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามจดประสงค์
ู
2. รปแบบการน าเสนอ
ี
ื่
ิ
ี่
ู
3 คะแนน = มรปแบบการน าเสนอทเหมาะสม มการใช้เทคนคทแปลกใหม่ ใช้สอและเทคโนโลยี
ี
ี่
ประกอบการ น าเสนอทนาสนใจ น าวัสดในท้องถ่นมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่าและประหยัด
่
ุ
ี
่
ิ
ื่
ี่
่
ี
6 คะแนน = มเทคนคการน าเสนอที่แปลกใหม่ ใช้สอและเทคโนโลยีประกอบการน าเสนอทนาสน ใจ แต่
ิ
ุ
ขาด การประยุกต์ใช้ วัสดในท้องถ่น
ิ
1 คะแนน = เทคนคการน าเสนอไม่เหมาะสม และไม่นาสนใจ
่
ิ
ี
่
่
3. การมสวนรวมของสมาชกในกลุ่ม
ิ
ิ
่
3 คะแนน = สมาชกทุกคนมบทบาทและมสวนรวมกจกรรมกลุ่ม
ี
ิ
่
ี
่
ิ
่
2 คะแนน = สมาชกสวนใหญ่มบทบาทและมสวนรวมกจกรรมกลุ่ม
ี
ิ
ี
่
ิ
่
ิ
1 คะแนน = สมาชกสวนน้อยมีบทบาทและมสวนรวมกจกรรมกลุ่ม
ี
่
่
ั
4. ความสนใจของผู้ฟง
3 คะแนน = ผู้ฟงมากกว่ารอยละ 90 สนใจ และให้ความรวมมอ
ื
ั
้
่
ั
2 คะแนน = ผู้ฟงรอยละ 70-90 สนใจ และให้ความรวมมอ
่
ื
้
1 คะแนน = ผู้ฟงน้อยกว่ารอยละ 70 สนใจ และให้ความรวมมอ
่
้
ื
ั
ุ
แบบประเมนกระบวนการท างานกล่ม
ิ
ื่
ชอกลุ่ม……………………………………………ชั้น………………………ห้อง............................
ื่
ิ
รายชอสมาชก
ี่
ี่
1……………………………………เลขท……. 2……………………………………เลขท…….
ี่
ี่
3……………………………………เลขท……. 4……………………………………เลขท…….
คะแนน
ิ
ท ี่ รายการประเมน ข้อคิดเห็น
3 2 1
้
1 การก าหนดเปาหมายรวมกัน
่
ี
้
ี่
ั
2 การแบ่งหน้าทรบผิดชอบและการเตรยมความพรอม
ี่
3 การปฏบัติหน้าที่ทได้รับมอบหมาย
ิ
4 การประเมนผลและปรับปรงงาน
ุ
ิ
รวม
ิ
ผู้ประเมน…………………………………………………
ี่
ื
วันท…………เดอน……………………..พ.ศ…………...
์
เกณฑการใหคะแนน
้
่
1. การก าหนดเปาหมายรวมกัน
้
่
่
้
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีสวนรวมในการก าหนดเปาหมายการท างานอย่างชัดเจน
่
่
้
2 คะแนน = สมาชิกสวนใหญ่มีสวนรวมในการก าหนดเปาหมายในการท างาน
่
้
่
่
่
1 คะแนน = สมาชิกสวนน้อยมีสวนรวมในการก าหนดเปาหมายในการท างาน
ี่
้
ั
ี
2. การหน้าทรบผิดชอบและการเตรยมความพรอม
่
ื
ี
ิ
ี
่
3 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถึง และตรงตามความสามารถของสมาชกทกคน มการจัดเตรยมสถานท สอ /
ุ
ี
ี
้
อุปกรณ์ไว้อย่างพรอมเพรยง
2 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถึง แตไมตรงตามความสามารถ และมสอ / อุปกรณ์ไว้อย่างพรอมเพรยง แต่ขาด
่
่
่
ื
ี
ี
้
ี
การจัดเตรยมสถานท ี่
่
ื
1 คะแนน = กระจายงานไมทั่วถึงและมสอ / อุปกรณ์ไม่เพียงพอ
่
ี
ิ
ั
3. การปฏบัตหน้าททได้รบมอบหมาย
ิ
ี่
ี่
้
ี่
3 คะแนน = ท างานได้ส าเรจตามเปาหมาย และตามเวลาทก าหนด
็
็
ี่
2 คะแนน = ท างานได้ส าเรจตามเปาหมาย แต่ช้ากว่าเวลาทก าหนด
้
1 คะแนน = ท างานไม่ส าเรจตามเปาหมาย
้
็
4. การประเมินผลและปรบปรงงาน
ั
ุ
็
ิ
ั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนรวมปรกษาหารอ ตดตาม ตรวจสอบ และปรบปรงงานเปนระยะ
ึ
่
ื
ุ
ึ
่
่
ื
2 คะแนน = สมาชิกบางสวนมีสวนรวมปรกษาหารอ แต่ไม่ปรบปรงงาน
ุ
ั
่
่
่
่
ึ
ื
ั
่
่
ุ
1 คะแนน = สมาชิกบางสวนมีสวนรวมไม่มีสวนรวมปรกษาหารอ และปรบปรงงาน