The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โรงเรียนบ้านตาบา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by btbbantaba2561, 2022-10-02 23:48:26

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โรงเรียนบ้านตาบา

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โรงเรียนบ้านตาบา

47

เวลาและระยะเวลาเป็นการบูรณาการให้นักเรียนใช้การสื่อสารเรื่องเวลาและระยะเวลาผ่านการท้ากิจกรรม
ต่าง ๆ ในครอบครัว เพื่อนและผู้เกี่ยวข้อง ชุมชนและสังคม แก้ปัญหาเก่ียวกับเวลาและระยะ เพ่ือน้าไปสู่การจัดการ
เกย่ี วกับเวลาของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพผา่ นการบันทกึ กจิ กรรมที่ระบุเวลา

ข้อมูลและการน้าเสนอข้อมูลเป็นการบูรณาการให้นักเรียนใช้การตั้งค้าถามในส่ิงที่สนใจ ใน

ชีวิตประจ้าวัน เก็บรวบรวมข้อมูลและน้าเสนอข้อมูลผ่านกิจกรรมแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ และสามารถ วิเคราะห์

แปลความหมายจากแผนภูมิรูปภาพ แผนภูมิแท่ง ตาราง และน้าไปใชแ้ กป้ ัญหาได้อย่าง สมเหตุสมผลเพ่ือน้าไปสู่

กระบวนการแก้ปัญหาทางสถติ

การนาไปใชใ้ นชีวติ จรงิ

เมื่อนักเรียนได้ฝึกฝนและเรียนรู้คณิตศาสตร์ในช่วงช้ันท่ี 1 จะท้าให้นักเรียนมองเห็นปัญหา และ

วิเคราะห์ปัญหาด้วยมุมมองของตนเองอย่างมีเหตุผลและมีแนวคิดที่หลากหลายและยืดหยุ่น ต่อยอดแนวคิด ใน

การแก้ปัญหาเพ่ือสร้างแนวคิดใหม่หรือแก้ปัญหาในสถานการณ์อ่ืนซึ่งนักเรียนน้าไปใช้ท้าความเข้าใจปัญหา ท่ี

เกิดข้ึนในชีวิตประจ้าวัน แก้ปัญหาด้วยความมุ่งม่ัน ค้นหาข้อมูล หรือเร่ืองราวต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจและ อยากหา

ค้าตอบหรือสร้างสรรคส์ ่งิ ใหม่ ๆ ส้าหรับตนเอง นอกจากนีน้ ักเรียนสามารถสื่อสาร สอื่ ความหมาย และน้าเสนอแนวคิดต่าง ๆ

ของตนเองเพื่อสนับสนุนแนวคิดของตนเอง หรือโต้แย้งแนวคิดของผู้อื่นอย่าง สมเหตุสมผลซ่ึงน้าไปใช้ในการอยู่

ร่วมกันในสังคมอยา่ งมีความสขุ

การบูรณาการกบั กลุ่มสาระการเรยี นร้ตู ่างๆ

ภาษาไทย/ ภาษาต่างประเทศ สามารถสื่อสารดว้ ยภาษาไทยหรอื ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ หรือ

เรื่องราวต่างๆ โดยใช้ค้าศัพท์ทางคณิตศาสตร์ เช่น อ่านและเขียนแสดงจ้านวนของส่ิงต่าง ๆ หรอื จ้านวนเงนิ บอก

เวลา บันทึกกิจกรรมที่ระบุเวลา รวมทง้ั ควรส่งเสริมการอ่าน การเขียนและการใช้ภาษา เพื่อนา้ เสนอเรอื่ งราวใน

การเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์

ศิลปะ สามารถใช้แบบรูปของรูปเรขาคณิตและรปู อ่ืน ๆ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ตามจินตนาการ และส่ือสาร สื่อ

ความหมายและน้าเสนอแนวคดิ ของตนเองหรือเรื่องราวผา่ นงานศลิ ปะ

สขุ ศึกษาและพลศึกษา สามารถน้าความรู้เก่ียวกับจา้ นวน แบบรูป การอ่านข้อมลู จากตาราง และเวลา

ไปใชใ้ นการกา้ หนดจ้านวนคร้ังและทา่ กายบรหิ าร ก้าหนดตารางการแข่งขนั เวลาและระยะเวลาในการแข่งขนั

สังคมศกึ ษา สามารถนา้ ความรู้เก่ียวกับเงิน เพื่อวางแผนการใชจ้ ่ายเงินและทรัพยากรให้คุ้มค่า และการ

อ่านปฏทิ ิน การค้านวณเวลาเพื่อเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณีในรอบปี และการท้า

ความเข้าใจประวัตคิ วามเปน็ มาของครอบครวั โรงเรยี นและชมุ ชน

วิทยาศาสตร์และระบบธรรมชาติ สามารถน้าความรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ไปใช้เป็นเคร่ืองมือในการสืบ

เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ใช้การวัดและเลือกเครื่องวัดท่ีเหมาะสม เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้

การนบั จา้ นวนขอ้ มูล ใช้แผนภูมิรูปภาพ แผนภมู ิแทง่ และตารางในการน้าเสนอ ขอ้ มูล

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

48

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสมรรถนะหลกั และสมรรถนะเฉพาะ

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลัก

1. การแก้ปัญหา

1.1 มีความอยากรู้อยากเหน็ สามารถมองเหน็ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 1. การจดั การตนเอง

ในชีวติ จริงดว้ ยมมุ มองของตนเอง (thinking mathematically) 2. การคดิ ขน้ั สูง

1.2 แกป้ ัญหาในชวี ติ จริงผ่านการลงมือแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ 3. การสื่อสาร
4. การรวมพลงั ท้างานเป็นทีม
และเรียนรคู้ ณิตศาสตรผ์ า่ นการสะท้อนความคิด (reflect) จาก 6. การอยู่รว่ มกบั ธรรมชาติ
ประสบการณ์ และวทิ ยาการอย่างย่ังยืน
1.3 มคี วามมุมานะในการทาความเขา้ ใจและแก้ปัญหาทาง

คณิตศาสตร์

1.4 ตระหนักและเหน็ คุณคา่ ของการใชค้ ณิตศาสตร์ในการแกป้ ัญหา

2. การส่อื สาร และนาเสนอ (Communication and presentation)

2.1 สอ่ื สารแนวคิดทางคณติ ศาสตรข์ องตนเองอยา่ งมั่นใจ โดยใช้ การ 1. การจดั การตนเอง

แสดงแทนทางคณิตศาสตรท์ ี่หลากหลาย ด้วยส่อื ของจริง รูปภาพ 3. การสื่อสาร

งานศลิ ปะ แผนภาพ ภาษา หรือสัญลกั ษณ์ 4. การรวมพลังทา้ งานเปน็ ทีม

2.2 รับฟงั เขา้ ใจความหมาย และเห็นคุณคา่ แนวคดิ ของผ้อู ่นื 5. การเป็นพลเมอื งทเ่ี ข้มแข็ง

2.3 น้าเสนอข้อมลู ทางคณิตศาสตรไ์ ดอ้ ย่างเหมาะสม 6. การอยูร่ ่วมกบั ธรรมชาติ

และวิทยาการอย่างยั่งยนื

3. การใหเ้ หตุผล

3.1 ให้เหตุผลสนับสนุนแนวคดิ ของตนเองไดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล โดยมี 2. การคดิ ขน้ั สูง

ข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์รองรับ 3. การสื่อสาร

3.2 รับฟงั พจิ ารณาแนวคดิ ของผู้อนื่ หรือข้อมูลในรูปแบบต่างๆ 4. การรวมพลังท้างานเปน็ ทีม
ประกอบการตัดสนิ ใจเพื่อสนับสนนุ หรอื โต้แย้งอยา่ งเหมาะสม 6. การอยรู่ ่วมกบั ธรรมชาติ

3.3 ระหนกั ถึงความจา้ เปน็ และความส้าคัญในการใหเ้ หตุผล และวิทยาการอยา่ งย่ังยนื

4. การสรา้ งข้อสรปุ ทั่วไป และขยายแนวคิด (Generalization & Extension)

4.1 สรา้ งขอ้ สรุปทว่ั ไป (generalization) โดยสงั เกต ค้นหา 2. การคดิ ขน้ั สูง

ลักษณะร่วม ท่เี กดิ ข้นึ ซ้า ๆ (pattern) จากมุมมองทาง 6. การอยู่รว่ มกบั ธรรมชาติ

คณิตศาสตร์ ท้ังด้านความรู้ และวธิ กี ารเรียนรู้ (how to learn และวทิ ยาการอย่างยั่งยืน

4.2 ขยายแนวคิด (extension) จากข้อสรุปทัว่ ไป โดยน้าไปใช้

แกป้ ญั หา ในสถานการณ์ตา่ งๆ

5. การคดิ สร้างสรรค์

5.1 คิดได้อย่างหลากหลาย แตกต่างจากเดมิ คิดรเิ ร่ิม 2. การคดิ ขัน้ สูง

5.2 ประยุกต์ และนา้ ไปใชไ้ ด้อยา่ งคล่องแคล่ว ยืดหย่นุ ในการ 6. การอย่รู ่วมกับธรรมชาติ

แกป้ ัญหา และวิทยาการอยา่ งยั่งยืน

5.3 ตอ่ ยอดแนวคดิ หรือแนวทางแก้ปัญหา เพ่ือสรา้ งแนวคิดใหม่ หรือ

แกป้ ัญหาในสถานการณ์อ่ืนในชวี ิตจริง

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

49

6. การใชเ้ คร่ืองมือในการเรยี นรู้ (Use aids and tools) 3. การส่อื สาร
4. การรวมพลงั ท้างานเป็นทีม
6.1 ใชส้ ่ือการเรยี นรูต้ า่ งๆ (manipulatives) เพือ่ สรา้ งความเข้าใจ 6. การอยรู่ ่วมกับธรรมชาติ
และแนวคดิ ของตนเอง และวิทยาการอยา่ งยั่งยนื

6.2 สืบคน้ ตรวจสอบแหลง่ ที่มา (origin) ของข้อมูลจากแหลง่ เรียนรู้
ตา่ งๆ และเลือกใชป้ ระกอบการเรียนรูแ้ ละแก้ปัญหาในชวี ติ จรงิ
ได้อยา่ งเหมาะสมกบั สถานการณ์

ผลลัพธ์การเรียนรู้เมอื่ จบช่วงชนั้ ท่ี 1

1. ส่ือสารทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจ้านวนนับได้อย่างถูกต้อง และน้าไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้อย่าง
เหมาะสม

2. อธิบายความสัมพันธ์ของจ้านวนนับโดยใช้การรวม (compose) หรือการแยก (decompose) ของ
จา้ นวน เปรียบเทยี บและเรียงลา้ ดับจา้ นวนพรอ้ มให้เหตผุ ล

3. อธิบายความสัมพันธ์ของแบบรูปซ้าของจ้านวน รูปเรขาคณิตและรูปอื่น ๆ และแบบรูปของจ้านวน
นับที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงทีละเท่าๆ กัน พร้อมให้เหตุผล สร้างข้อสรุป และขยายแนวคิดเพื่อสร้างแบบรูปและ
รว่ มกนั แก้ปญั หาในสถานการณต์ ่างๆ ไดอ้ ย่างหลากหลายหรือแตกตา่ งจากเดิม

4. อธิบายสถานการณ์ในชวี ิตจรงิ ทีจ่ ะน้าการบวก การลบ การคูณ และการหารมาใช้ได้อย่างเหมาะสม สร้าง
ตวั แบบเชิงคณิตศาสตร์ในการด้าเนนิ การ คา้ นวณและเลือกใชเ้ ครื่องมือในการบวก การลบ การคณู และการหาร
โดยเช่ือมโยงกับความสัมพันธ์และสมบัติต่างๆ ของการด้าเนินการได้อย่างยืดหยุ่นและคล่องแคล่ว และแปล
ความหมายภาษาและสัญลกั ษณท์ างคณติ ศาสตร์เป็นสถานการณ์ ในชีวิตจริง

5. แก้ปัญหาเกี่ยวกับจ้านวนนับในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยแนวคิดท่ีหลากหลายหรือแตกต่างจากเดิม อย่างมุ
มานะ พร้อมทั้งแลกเปล่ยี นแนวคิดร่วมกับผ้อู ่ืนโดยตระหนกั ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล

6. อธบิ ายสถานการณใ์ นชีวิตจรงิ ทเ่ี ก่ียวกับการวดั ความยาว น้าหนกั และปริมาตร เลอื กใชห้ น่วยการวัด
และเครอื่ งวดั เพือ่ วัดและบอกความยาว นา้ หนกั และปรมิ าตรได้อยา่ งเหมาะสม

7. สอ่ื สารเกยี่ วกับเวลา ระยะเวลา ได้ถกู ต้อง โดยเชือ่ มโยงกบั สถานการณ์ในชีวติ จรงิ
8. สื่อสารเกี่ยวกับเงิน เปรียบเทียบจ้านวนเงิน แลกเงินได้อย่างถูกต้องหลากหลาย และน้าไปใช้ใน
สถานการณ์ตา่ ง ๆ
9. แก้ปัญหาเก่ียวกับความยาว น้าหนัก ปริมาตร เวลา และเงิน ในสถานการณ์ต่างๆ ด้วยแนวคิดท่ีหลากหลายหรือ
แตกต่างจากเดิม อย่างมมุ านะ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนแนวคิดร่วมกบั ผอู้ นื่
10. รับรู้และอธิบายลักษณะของรูปร่างต่าง ๆ จากส่ิงของ สิ่งแวดล้อมรอบตัว สถานการณ์ในชีวิตจริง ผ่าน
การสงั เกตและการสรา้ งรปู ร่าง เช่อื มโยงสู่ลกั ษณะของรปู เรขาคณิตสองมติ ิ รปู เรขาคณิตสามมติ ิ
11. ให้เหตผุ ลในการจ้าแนกและบอกลักษณะของรูปเรขาคณิตสองมิติ รูปเรขาคณิตสามมิติและ รูปท่ีมี
แกนสมมาตร และนา้ ไปใชใ้ นสถานการณต์ า่ ง ๆ
12. จัดการข้อมูล และน้าเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมิรูปภาพ แผนภูมิแท่ง หรือตารางทางเดียว ส่ือสาร แปล
ความหมายของข้อมูล และใชข้ อ้ มลู เพอ่ื อธบิ ายเหตุการณ์ ตัดสินใจ หรือแกป้ ญั หาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ
13. ร่วมกนั แก้ปัญหาทางสถิตใิ นสถานการณใ์ กลต้ ัว หรือส่ิงแวดล้อมในบริเวณบ้าน โรงเรียน หรอื ชุมชน
ของตนเอง อยา่ งมมุ านะ และสร้างสรรค์

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

50

กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ

สาระสาคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้
ความสาคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ด้วยภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลท่ีมีการใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดภาษาหนึ่งและมีความส้าคัญ เป็น
อย่างยิ่งในการติดต่อส่ือสารระหว่างประเทศ นอกจากน้ียังเป็นทักษะส้าคัญของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เป็น
เคร่ืองมือส้าคัญในการติดต่อสอ่ื สารในชีวิตประจ้าวนั การแสดงออก การจัดการตนเอง การแสวงหาความรู้ เช่ือมโยงกับวิชา
อ่นื ๆ การศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพ อนั จะน้าไปสู่การเพม่ิ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ลกั ษณะเฉพาะ/ ธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ในด้านต่างๆ และเป็นเคร่ืองมือส้าหรับ
การสื่อสารสร้างความเข้าใจในความแตกต่างในด้านเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากน้ี ภาษาอังกฤษ ยัง
สามารถช่วยกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน รวมทั้งเป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดี กับ
ผูอ้ นื่ โดยเฉพาะเมอื่ ท้างานรว่ มกนั อนั นา้ ไปสสู่ ัมพันธภาพทด่ี รี ะหว่างกัน ผเู้ รียนภาษาองั กฤษ จะได้รบั การพฒั นา
ทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนค้าศัพท์ ประโยคง่ายๆ เพ่ือสร้างความเข้าใจเร่ืองราว พร้อมๆ กับแลกเปล่ียน
ความรู้ แสดงความคดิ เห็น และความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม โดยผูเ้ รียนควรได้รับ แรงเสรมิ และก้าลังใจจากครูให้
มีความกล้า รู้สึกสนุก มีความเพลิดเพลินในการเรียนรู้ภาษา เกิดความคุ้นเคย และความมั่นใจในการฝึกสนทนา
โต้ตอบ และเพ่ิมโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ภาษาองั กฤษท้ังในและนอกชัน้ เรียน
จุดเน้นการพัฒนา (ชว่ งชั้นท่ี 1)
ในช่วงชน้ั ที่ 1 ภาษาอังกฤษมงุ่ เนน้ การตดิ ตอ่ สอื่ สารในแงม่ ุม/ มติ ิต่างๆ ไดแ้ ก่
1) รู้คา้ ศัพท์ที่พบบอ่ ยๆ และสา้ นวนพนื้ ฐานเกีย่ วกบั ตนเอง ครอบครวั และสง่ิ ตา่ งๆ รอบตัว
2) เข้าใจและสามารถโต้ตอบกับผู้พูด/ คู่สนทนาได้ ในการแสดงความคิด อารมณ์ ความรู้สึกโดยใช้
ประโยคงา่ ย ๆ
3) ใหข้ อ้ มลู ส่วนตวั เบ้ืองต้นเก่ียวกับตนเอง โดยใชค้ ้าและวลี ท่ีส้ันและง่าย หรอื ใชป้ ระโยคพ้นื ฐานได้
4) เข้าใจค้าศัพท์ วลี ประโยคส้ันๆรวมไปถึงคา้ ส่ังที่ใช้บอ่ ยๆ ในสถานการณ์ที่คุ้นเคย ไม่วา่ จะเป็น ท้ังใน
การพูดและการเขียน
5) สามารถใช้ค้าศัพท์ วลีสั้นๆ และส้านวนที่ใช้ในการสื่อสารเรื่องราวในชีวิตประจ้าวัน เพื่อสื่อสารและ
บรรยายขอ้ มลู สว่ นบุคคล สี ตัวเลขพื้นฐาน สงิ่ ของพ้ืนฐาน กิจวตั รประจา้ วนั ฯลฯ
6) สามารถจดจ้าและใช้ค้าศัพท์ได้ถูกต้อง ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นค้าโดดๆ ระดับพื้นฐาน และใช้วลีสั้นๆ
เกย่ี วกับสถานการณ์ในชีวติ ประจา้ วนั ท่ีพบไดท้ ั่วไป

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

51

ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะหลกั และสมรรถนะเฉพาะ

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลกั

1. ฟัง พูดเพ่ือการส่ือสาร

1.1 ฟังและพูดค้าศัพท์ง่าย ๆ สะกดคา้ บอกความหมาย 1. การจัดการตนเอง

ของคา้ วลี ท่ีเกยี่ วข้องใกลต้ วั ในชีวิตประจา้ วันโดยเนน้ 2. การคิดขัน้ สงู

การออกเสยี งภาษาองั กฤษอย่างถกู ต้อง 3. การสือ่ สาร

1.2 ฟงั พูดเรื่องราวเกยี่ วกับตนเอง ครอบครัว บุคคล หรอื ๕. การเปน็ พลเมืองทเ่ี ข้มแข็ง

สงิ่ ต่าง ๆ รอบตัว ใชข้ ้อมลู ส่วนตวั เบอื้ งตน้ เกย่ี วกับ ๖. การอยรู่ ่วมกับระบบธรรมชาติ และ
ตนเอง โดยใชค้ า้ และวลี ทส่ี ัน้ และง่าย หรือใช้ประโยค วิทยาการอยา่ งย่ังยืน

พืน้ ฐานได้อยา่ งเหมาะสมและมั่นใจ

1.3 ใช้คา้ ศัพท์ วลสี น้ั ๆ และส้านวนท่ีใชใ้ นชีวติ ประจ้าวัน

เพอ่ื สื่อสารและบรรยายข้อมูลส่วนบคุ คล กิจวัตร

ประจา้ วันได้อยา่ งถูกต้อง และเหมาะสม

2. อา่ นเพื่อความเข้าใจ

2.1 อ่านประโยคอย่างง่ายเกย่ี วกับตนเอง บคุ คล 1. การจดั การตนเอง

เหตุการณ์ ในสถานการณ์ ใกล้ตวั จากสือ่ ที่หลากหลาย 2. การคดิ ขั้นสูง

แลว้ ปฏบิ ตั ติ าม ได้อย่างเหมาะสม 3. การส่ือสาร

2.2 อา่ นบทความสน้ั ๆ งา่ ยๆ เพอ่ื เรียนรู้ เขา้ ใจ และบอก ๖. การอยรู่ ่วมกับระบบธรรมชาติ และ

ความรู้สึกของตนเองเก่ียวกบั เนอ้ื หาทีส่ นใจจากสอ่ื และ วทิ ยาการอยา่ งยง่ั ยืน

แหล่งเรียนรู้ทหี่ ลากหลาย

3. เขียนเพ่อื แสดงความคิดและสะท้อนความรู้สึก

3.1 เขียนประโยคอย่างง่ายเพ่ือนาเสนอข้อมูล แสดง 1. การจัดการตนเอง

ความคิด ความรสู้ กึ เก่ยี วกับตนเอง ครอบครวั บุคคล 2. การคดิ ข้นั สูง

และสงิ่ ต่าง ๆ รอบตวั ได้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม 3. การสอื่ สาร

3.2 เขียนคาศัพท์ วลี และประโยคสนั้ ๆ ทต่ี นเองสนใจ จาก 5. การเป็นพลเมืองทเ่ี ขม้ แข็ง

สอ่ื และแหลง่ เรียนรทู้ ห่ี ลากหลาย 6. การอยู่ร่วมกบั ระบบธรรม ชาติ และ

วทิ ยาการอยา่ งยัง่ ยืน

4. ใช้ภาษาเพอื่ การเรียนรู้ และทางานร่วมกับผู้อนื่

4.1 สนทนา สอื่ สารความต้องการของตนเอง และ 1. การจัดการตนเอง

แลกเปลีย่ นความคิดโดยใช้วลี ประโยคง่ายๆ ร่วมกับ 2. การคิดข้ันสูง

ผอู้ ่นื ในสถานการณท์ ่ีหลากหลายในชีวิตประจา้ วันได้ 3. การสือ่ สาร

อยา่ งเหมาะสม 4. การรวมพลงั ทา้ งานเป็นทีม

4.2 สร้างช้นิ งานเกย่ี วกบั ภาษาอย่างสรา้ งสรรคใ์ ห้เหมาะกับ 5. การเป็นพลเมืองทเ่ี ข้มแข็ง

บุคคล เหตกุ ารณแ์ ละสิง่ ต่างๆ รอบตวั 6. การอยู่รว่ มกบั ระบบธรรม ชาติ และ

วิทยาการอย่างยัง่ ยืน

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

52

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ

สาระสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้

ความสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ
พัฒนาการการเรียนรูด้ า้ นสนุ ทรียศาสตร์ (ทัศนศลิ ป์ ดนตรี นาฏศลิ ป)์
เด็กระดับประถมต้น (ช่วงชั้นที่ ๑) เป็นวัยท่ีสมองก้าลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ขยายความจุอย่างมาก จึง
เป็นหน้าต่างแห่งโอกาสทองในการพัฒนาสมองที่ส้าคัญ ๔ ด้าน ได้แก่ ๑) พัฒนาสมองส่วนเชื่อมต่อ (Corpus
Callosum) เพ่ือสร้างสมดุลระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา ซ่ึงมีผลต่อพัฒนาการท้ัง Psychomotor ความ
เข้าใจเชิงโครงสร้าง เชิงระบบ รวมถึงการท้างานเซลล์กระจกเงา (Mirror Neurons) ใน Premotor Cortex ซ่ึง
เป็นเซลล์ท่ีตอบสนองต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ที่เรียนรู้จากการสังเกตและเลียนแบบผู้อ่ืน ๒) พัฒนาการ
ทา้ งานของสมองส่วนหน้าให้เกิดโครงข่ายของเซลล์ประสาทในชุดที่รบั รู้ความละเอียดประณีต ซับซ้อน การตัดสินใจ การคิด
วิจารณญาณ การสะท้อนคิดอย่างลึกซึ้ง (Executive Function) ๓) การพัฒนาของสมองส่วนหน้าท่ีไปช่วย
ก้ากับการท้างานของสมองส่วน Limbic System และ Amygdala ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจ้า และ
๔) การพัฒนาสมองส่วน Cerebellum ที่ท้างานเก่ียวข้องกับการเคล่ือนไหวของร่างกาย มีจังหวะ ท่วงที ลีลา
และการท้างานของร่างกายทุกส่วนกับขอบเขตและมิติของพ้ืนที่ ซ่ึงต้องอาศัยศิลปะทั้งทัศนศิลป์และดนตรีเป็น
ฐานปฏิบัติเรียนรู้ และสามารถกระตุน้ พฒั นาการของสมองทั้ง ๔ หน้าที่ดงั กลา่ วได้โดยตรง
การทางานของสมองทั้ง ๔ ส่วนนี้ สามารถจะกระตุ้นให้เกิดประสิทธิภาพด้วยการเรียนรู้ฝึกฝน ด้านศิลปะทั้ง
ทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ ผ่านทั้งกระบวนการการรับรู้สัมผัสสุนทรียภาพ และกระบวนการสร้างงานศิลปะ รวมท้ัง
การใช้ศิลปะเพื่อการพัฒนาจิตใจ (Contemplative Arts) มองเห็นความสัมพันธ์ ของความรู้สึกที่มีผลต่อการ
ทางานและการพัฒนาด้านจิตใจ ถ้าหากพลาดการใช้โอกาสแห่งการเช่ือมโยงของเซลล์สมองชุดเหล่านี้ เซลล์
สมองจะตัดวงจรนอ้ี อกโดยอตั โนมตั ิ และยากที่จะสรา้ งขนึ้ ใหม่ในวัยที่โตขนึ้
ลกั ษณะเฉพาะ/ ธรรมชาติของกลมุ่ สาระการเรียนรู้
ธรรมชาติการเรียนรู้ของนักเรียนในช่วงช้ันท่ี ๑ นี้ เป็นวัยท่ีกระตือรือร้นในการเล่น กล้าทดลองหาประสบการณ์
ตรงด้วยตนเองอย่างไม่กลัวถูกผิด พร้อมท่ีจะสร้างสรรค์ผลงานจากความฝัน ความทรงจ้า ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น
การประดิษฐ์ การถ่ายทอดจินตนาการ นักเรียนควรได้ทดลองเล่น เช่น เล่นกับผลกระทบของสี วัสดุ สิ่งท่ีใช้ใน
การสร้างสรรค์งาน เล่นกับเสียงที่มีความแตกต่าง และการละเล่นแบบต่าง ๆ ท่ีมีท้ังบทร้อง ด้วยลีลาและท่าทางท่ี
หลากหลาย นักเรียนจะค่อย ๆ เห็นและยอมรับความหลากหลายของ งานศิลปะ ทุกแขนง ท่ีเป็นการแสดงออกของ
อารมณ์ความรสู้ กึ ทั้งของตนเองและหมู่คณะ
นักเรยี นในช่วงชั้นน้ี ชอบที่จะอ่านโลกและใหค้ วามหมายกับสิ่งตา่ ง ๆ รอบตัว ชอบมเี พ่ือนเล่นและ เล่น
เป็นกลุ่ม รว่ มกันสร้างเรอื่ งราวโดยน้าความรู้สกึ และความเข้าใจ ผนวกกับจินตนาการ ออกมาเปน็ งานสร้างสรรค์
ผลงานศิลปะทกุ แขนง นักเรยี นจะเริ่มตระหนักถึงความสัมพันธข์ องการน้าความรู้สึกนึกคิดน้ัน มาบอกเลา่ ใหม่ ที่
แสดงถงึ ประสบการณข์ องนกั เรียน หรือประสบการณ์ท่นี ักเรียนได้มรี ว่ มกบั ผอู้ ืน่

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

53

จุดเน้นการพฒั นา
ด้านที่ ๑ ให้ความส้าคัญกับการพัฒนาด้านเจตคติ (Affective Domain) ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ความ
ซาบซ้ึง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ คณุ ธรรม และค่านิยม ควรได้รับการส่งเสริมให้สามารถซึมซับ รับรู้คุณค่า
ความงาม ความประณีต สุนทรียภาพ ในธรรมชาติและสิ่งรอบตัว พร้อมทั้งฝึกฝนกระบวนการ ทางศิลปะ ซ่ึง
เริ่มต้นด้วยการใช้ศิลปะเพ่ือการพัฒนาจิตใจ (Contemplative Arts) เพ่ือการสะท้อนย้อนมองถึงสภาวะจิตและ
กาย และสามารถจัดการตนเองใหเ้ ป็นปกตพิ ร้อมที่จะสร้างผลงานศิลปะทั้งในด้านทัศนศิลป์ดนตรี และนาฏศิลป์
นักเรียนไม่เพียงมีความรู้ทางด้านศิลปะหรือมีทักษะในการสร้างงานศิลปะเท่าน้ัน แต่ควรจะได้พัฒนาถึงระดับที่
เกิดความตระหนักรู้เชิงคุณค่า และมีทัศนคติเชิงบวก ควรฝึกให้นักเรียน กล้าสร้างสรรค์งานและน้าเสนอใน
รูปแบบท่ีหลากหลาย และฝึกการรับฟังความคิดเห็นท่ีมีผลต่อการพัฒนา งานศิลปะทั้งของตนเองและของผู้อ่ืน
เพอื่ สื่อสารและลดช่องว่างระหว่างสิ่งที่ตนเองเห็นกับผลงานที่สร้างขนึ้ รวมถึงส่ิงท่ผี อู้ ืน่ เห็นและรับรู้
ด้านท่ี ๒ การผสานศิลปะสากลกับศิลปะและวัฒนธรรมไทย เป็นกระบวนการพัฒนาความเป็นพลเมือง
ที่ม่ันคงด้วยการมีรากฐาน ภูมิปัญญา ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย อย่างทัดเทียมกับสากล ด้วยความภาคภูมิใจ
ส้าหรับเด็กวัยนี้จะไม่เพียงมีผลในการกล่อมเกลาทางด้านสุนทรียภาพ แต่ไปถึงสุนทรียภาพที่แฝงอยู่ในภูมิธรรม
ภูมิปัญญาไทย สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กในวัยน้ีท่ีก้าลังสร้างความสัมพันธ์ของตนเองและผู้อื่น รวมท้ัง
สิง่ แวดลอ้ มทางสงั คมอย่างแนบแนน่
การนาไปใชใ้ นชวี ิตจรงิ
ระดับตนเอง การน้าสุนทรียภาพไปใช้ในชีวิต คือ เป็นผู้มีสายตามองเหน็ คุณค่า ความงามของสรรพสิ่ง
รอบตัว เกิดความคิดเชิงบวกและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะและสุนทรียภาพในชีวิต และส่ิง
แวดลอ้ มรอบตัว ท้ากจิ กรรมทกุ อย่างในชีวติ และทา้ งานอยา่ งมีศิลปะ
ระดับชุมชนและสังคม รู้จักการใช้งานศิลปะเป็นส่วนประกอบสร้าง แรงบันดาลใจ แรงศรัทธา เสริม
เอกภาพของกลุ่มคน ชุมชน สังคม โดยมีศิลปะเป็นเครื่องจรรโลงจิตใจ และน้อมน้าไปสู่การสร้างงานศิลปะ
สาธารณะกุศล ศิลปะเพือ่ ชุมชน ศลิ ปะในวฒั นธรรมประเพณี ในวาระ หรอื เทศกาลทสี่ า้ คัญต่างๆ
การบูรณาการกับกล่มุ สาระการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ
บรู ณาการระหว่างทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ อยา่ งสอดคล้องและกลมกลืน และบูรณาการกับกลุ่ม
สาระการเรยี นรตู้ ่างๆ ดงั นี้
ภาษาไทย/ ภาษาอังกฤษ วรรณกรรม ภาษา และดนตรี นาฏศลิ ป์ เป็นส่ือประกอบทีเ่ กอื้ กูลกัน เปน็ การ
ฝึกทักษะทางภาษาของเด็กในวยั ช่วงชั้นที่ ๑ เป็นอย่างดี ไดอ้ อกเสียงท่ีชดั เจน มีจงั หวะ มีลลี า มที ว่ งทา้ นอง ท้าใหก้ ารเรียนรู้
ค้ากลอน บทร้องเล่น เป็นการเรียนท่ีมีความร่ืนรมย์ ลื่นไหล มีความสุข และสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ได้ตรง
กับความหมาย เกดิ ปฏภิ าณไหวพริบในการใช้ภาษา และเป็นที่มาของคลงั ค้าท่ีหลากหลาย เด็กในวยั นี้สามารถใช้
การวาดภาพเป็นส่อื ถ่ายทอดแทนภาษาเขียนเพ่ือให้ตนเอง เกิดความเข้าใจความหมาย หรือบนั ทึกเรื่องราวที่เป็น
ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน เพื่อทดแทนชุดภาษา ท่ีไม่เพียงพอ และสามารถส่ือกับผู้อ่ืนให้เข้าใจ
ความคดิ และความหมายเหลา่ น้นั

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

54
สังคมศึกษา เป็นส่ือในการถ่ายทอดเร่ืองราวความสัมพันธ์ ความผูกพันของครอบครัว โรงเรียน และ
ชมุ ชนโดยรอบ นา้ เสนอองค์ประกอบของพ้ืนทีโ่ ดยการใช้แผนผัง แผนที่ การก้าหนดสถานท่สี ้าคัญต่าง ๆ ทิศทาง
ขอบเขตในระดับต่าง ๆ ถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ผ่านการดูงานจิตรกรรม อ่านต้านาน และบันทึกเป็น
ภาพวาด ท้าความเข้าใจเหตุการณ์ที่ไกลตัว (Space and Time) เพื่อท้าความเข้าใจ ความเปล่ียนแปลง ของโลกและระบบ
ธรรมชาติก่อนทีจ่ ะมีมนุษยเ์ กิดขึ้น
คณิตศาสตร์ ในเรื่องเส้น รูปร่าง รูปทรงขนาด ความหนาบาง พ้ืนท่ี พื้นผิว และสีอ่อนแก่ การจ้าแนก แยกแยะ จัด
กลุ่ม จัดองค์ประกอบศิลปะด้วยเส้นและรูปร่าง รูปทรงเรขาคณิต ทั้งแบบสมบูรณ์และ แบบแตกลาย หรือขยาย
อย่างมี Pattern การจัดองค์ประกอบศิลป์ ด้วยจังหวะของรูปและที่ว่าง (Solid and Void) ทั้งบนหน้ากระดาษ
หรือการแสดงบนเวที ตลอดจนค่าความยาวของเสยี ง การเกิดระดบั เสียงในดนตรี
วิทยาศาสตร์และระบบธรรมชาติ การส้ารวจและสังเกตธรรมชาติเป็นกระบวนการร่วม ท้ังด้าน
วิทยาศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ ที่ช่วยให้เด็กรู้จักและเข้าใจสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วยการสัมผัส และมี
ประสบการณ์ตรง สามารถเห็นรายละเอียดและระบุ ตั้งค้าถามเพื่อการสืบค้นที่มาของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และ
กระบวนการแปรรปู วัสดธุ รรมชาติเพื่อน้ามาสร้างงานศลิ ปะ เช่น สีเพื่อการวาดภาพ ดนิ ส้าหรับงานปน้ั ทัง้ นี้ เด็ก
จะได้เรียนรู้ถึงวิธีการสกัดสีด้วยวิธีง่าย ๆ จากการบด ค้ัน ดอกไม้ เปลือกไม้ ใบไม้ ฝน ดิน หิน และ การทดลอง
เพ่ิมคุณสมบัติของสีด้วยน้ามะนาว น้าข้ีเถ้า หรือการเตรียมดินปั้น ด้วยกระบวนการคัดแยกย่อย กรอง ละลาย
กระบวนการเล่นน้ี นอกจากเดก็ จะได้รู้ถงึ ที่มาของวัสดุส้าคญั ท่ีใช้สร้างชน้ิ งานศลิ ปะแลว้ ยังได้ความเข้าใจพ้ืนฐาน
ทางด้านวทิ ยาศาสตรไ์ ปพร้อมกนั

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

55

ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะหลกั และสมรรถนะเฉพาะ

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลัก

๑. สมั ผสั ซมึ ซบั สุนทรยี ภาพและสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะ

1.1 รู้จักช่นื ชมสนุ ทรียภาพ (Art Appreciation) จากธรรมชาติ ๑. การจดั การตนเอง

สภาพแวดล้อมใกล้ตัว วัฒนธรรม วถิ ชี ีวิตประจา้ วนั รวมถึงผลงาน ๒. การคิดขัน้ สงู

ศลิ ปะอันเกีย่ วเน่ืองกับคณุ คา่ ในชีวิตและการสร้างสรรคผ์ ลงาน ๔. การรวมพลังทา้ งานเป็นทีม

ศลิ ปะ จากการรับรู้ทางการมองเหน็ การสัมผัส การรบั ชม การได้ ๖. การอยู่รว่ มกบั ธรรมชาติ และ

ฟังและ การบรู ณาการข้ามประสาทสัมผสั วทิ ยาการอย่างยั่งยืน

1.2 ใช้ศิลปะ เพื่อการพัฒนาจติ ใจผา่ นการทา้ งานอย่างมสี มาธิ สังเกต เหน็

เข้าใจและรับรู้สุนทรยี ภาพ ผ่านความสัมพนั ธ์ของพหุประสาท สัมผัส

(กาย – ใจ – มือ – ตา – หู ) กับธรรมชาติ

๒. การสรา้ งงานทศั นศิลป์

2.1 รบั รู้ สังเกต ใช้ภาษาทางทัศนศลิ ป์อยา่ งเข้าใจความหมายและเข้าใจ ๑. การจัดการตนเอง
ความสมั พนั ธ์ขององค์ประกอบทางทศั นศิลป์ เช่น เสน้ รูปรา่ ง และ ๒. การคดิ ขัน้ สูง
รูปทรง ความกลมกลนื ความสมดุล ความเปน็ เอกภาพ สามารถ สอ่ื ๓. การสือ่ สาร
ความหมายทางรปู แบบและเรือ่ งราวตามจนิ ตนาการและความคดิ ๕. การเปน็ พลเมอื งทเี่ ข้มแข็ง
สรา้ งสรรค์ได้
2.2 ทดลองและสงั เกตผลทเี่ กดิ จากการใช้วสั ดุ อปุ กรณ์ของตนเอง และ ๖. การอยู่รว่ มกับธรรมชาติ และ
วทิ ยาการอย่างยง่ั ยืน
นาไปประยุกต์ใชใ้ นการสรา้ งสรรค์ และการนาเสนองานศลิ ปะ

2.3 สรา้ งสรรคง์ านทศั นศิลปท์ ต่ี นเองชนื่ ชอบ หรอื ร่วมสร้างสรรคก์ ับ

ผูอ้ น่ื ถา่ ยทอดจินตนาการจากธรรมชาติ สภาพแวดล้อม เรือ่ งราว

ใกล้ตวั ท่เี ช่อื มโยงกับวิถชี วี ติ ประจาวนั ครอบครวั โรงเรียน ชุมชน

และ จากประสบการณ์ โดยการลองผดิ ลองถูกดว้ ยวิธกี ารท่ี

หลากหลาย จนค้นพบสงิ่ ใหม่

๓. รอ้ ง เล่น เต้น และเคล่อื นไหวตามเสยี งดนตรี ๒. การคดิ ขนั้ สงู
๓. การส่อื สาร
1.1 สนุกกับการร้องเพลง หรือบรรเลงดนตรที ี่เหมาะกบั ช่วงวัย เรียนรู้ ๔. การรวมพลงั ท้างานเป็นทีม
อารมณ์ของบทเพลงท่ีฟัง ๖. การอย่รู ว่ มกับธรรมชาติ และ
วทิ ยาการอย่างยง่ั ยนื
1.2 ฟงั อธบิ าย เปรยี บเทียบความเหมอื นและความแตกตา่ งของเสียง
ท่ีมาจากธรรมชาติและเคร่ืองดนตรตี ่าง ๆ รูปแบบการเกิดเสียง
และอธบิ ายบทเพลงด้วยองค์ประกอบดนตรี

1.3 ใช้รูปภาพ สัญลักษณ์แทนเสยี ง หรอื โน้ตเพลง

1.4 ขับรอ้ ง เคาะจังหวะ และบรรเลงดนตรีอยา่ งถูกต้อง ด้วยความ
มนั่ ใจ

1.5 มีส่วนร่วมในการแสดงดนตรีไทย สากล หรอื ของท้องถ่ิน ใน
รปู แบบเดีย่ ว หรือกลุ่ม ดว้ ยความมน่ั ใจ และเหมาะสมกับวัย
รวมทั้งการเปน็ ผดู้ ู ผู้ชมและผู้แสดงทเ่ี ขา้ ใจบทบาทหนา้ ท่ีของตน

หลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

56

๔. สร้างสรรค์การเคลอ่ื นไหวในรูปแบบต่าง ๆ อย่างอสิ ระ

4.1 สนุกกับการเคลอ่ื นไหวร่างกาย เลียนแบบธรรมชาติ คน สัตว์ ๑. การจัดการตนเอง

สง่ิ ของ ในลักษณะต่าง ๆ อยา่ งอิสระ สร้างสรรคแ์ ละมสี ุนทรียภาพ ๒. การคิดขนั้ สงู

4.2 ใชภ้ าษาท่า สอื่ ความหมายแทนคา้ พูด และแสดงการเคลื่อนไหว ๓. การสอ่ื สาร

รา่ งกายทีส่ ะท้อนอารมณ์ของตนเอง

4.3 แสดงทา่ ทางประกอบการละเล่นพ้ืนบ้าน นาฏศลิ ปไ์ ทย หรอื

นาฏศลิ ป์ประเทศเพ่ือนบา้ น ทเ่ี หมาะสมกับวยั

4.4 สนกุ กบั การละเลน่ พื้นบา้ น และเลา่ ถงึ การแสดงนาฏศิลปใ์ น

ทอ้ งถ่ิน ทีต่ นเองชนื่ ชอบ

๕. ศลิ ปะวิจกั ขณ์ วเิ คราะห์ วิพากษ์ และเชื่อมโยงผลงานศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป)์ กบั

วัฒนธรรมในชีวิตประจาวันและในท้องถิ่น

5.1 รับรู้ ชนื่ ชมความงามของผลงานศิลปะท่ีมคี ุณคา่ ทางสุนทรียะ ๑. การจดั การตนเอง

แสดงออกถึงอารมณ์ ความร้สู กึ ความประทับใจ และความคดิ เห็น ๒. การคดิ ขน้ั สงู

ท่ีสะท้อนประสบการณส์ ุนทรียะทีส่ มั พนั ธ์กับผลงานศลิ ปะ ๓. การส่อื สาร

5.2 แสดงความเหน็ ต่อผลงานศลิ ปะของตนเอง งานของผู้อืน่ หรืองาน ๔. การรวมพลงั ท้างานเปน็ ทีม
ท่ีท้าร่วมกบั เพ่ือน อย่างสรา้ งสรรค์ สภุ าพ มเี หตผุ ล เปดิ ใจรบั ฟัง ๕. การเป็นพลเมืองทเี่ ข้มแข็ง
ความเห็นของผอู้ น่ื และน้ามาปรับปรุงผลงานของตนให้สมบรู ณ์ ๖. การอยู่ร่วมกบั ธรรมชาติ และ

5.3 เห็นคุณคา่ ของประวตั ศิ าสตร์ศลิ ป์ สบื สาน ประยกุ ตง์ านศิลปะ วทิ ยาการอยา่ งยงั่ ยืน

และวฒั นธรรมในทอ้ งถิน่ เพอ่ื นา้ ไปใช้ในชีวิตประจา้ วนั วันส้าคญั

หรือเทศกาลตา่ งๆ

ผลลัพธก์ ารเรยี นรูเ้ มอื่ จบชว่ งช้นั ที่ ๑
1. สัมผัสถึงสุนทรียภาพ รับรู้ความงาม ความไพเราะ เกิดความประทับใจ อธิบายความคิด ความรู้สึก

ของตน ช่ืนชม มีแรงบันดาลใจในการถ่ายทอด และบูรณาการเช่ือมโยงธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ด้วยงานศิลปะ

(ทัศนศลิ ป์ ดนตรี และนาฏศลิ ป์)

2. สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ท่ีตนเองช่ืนชอบ ถ่ายทอด ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ สะท้อนถึง
ธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม เร่ืองราวใกล้ตัว ในชีวิตประจ้าวันที่เชื่อมโยงกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และท้องถ่ิน
เปน็ องค์ประกอบทางทัศนศลิ ป์ เชน่ เส้น รปู รา่ ง รปู ทรง วสั ดุ อปุ กรณ์ และสี ดว้ ยรปู แบบท่หี ลากหลาย

3. ร้องเพลง หรือบรรเลงดนตรีสอดคล้องกับอารมณ์ของบทเพลงที่ฟัง ใช้รูปภาพ สัญลักษณ์แทนเสียง
หรือโน้ตเพลง ในการเคาะจังหวะ ขับร้อง หรือบรรเลงเพลงอย่างถูกต้อง อธิบายองค์ประกอบทางดนตรี เปรียบเทียบ
ความเหมือนและความแตกตา่ งของเสยี งที่มาจากธรรมชาติและเคร่ืองดนตรีต่าง ๆ และรปู แบบการเกิดเสียงแบบ
ตา่ ง ๆ

4. มีส่วนร่วมในการแสดงดนตรีไทย สากล หรือของท้องถิ่น ในรูปแบบเดี่ยวหรือกลุ่ม ด้วยความม่ันใจ
เหมาะสมกับวยั รวมท้ังการเปน็ ผูด้ ู ผูช้ มทีเ่ ข้าใจบทบาทหน้าทขี่ องตน

5. สนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกาย เพ่ือแสดงท่าทางเลียนแบบในลักษณะต่าง ๆ อย่างอิสระ สร้างสรรค์

และมีสุนทรียภาพ ใช้ภาษาท่าในการส่ือความหมายแทนค้าพดู ทีส่ ะท้อนอารมณข์ องตนเองในรูปแบบการละเล่น

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

57
พื้นบ้าน นาฏศิลป์ไทย หรือนาฏศิลป์ประเทศเพื่อนบ้าน ท่ีเหมาะสมกับวัย และเล่าถึงนาฏศิลป์ ในท้องถิ่นท่ี
ตนเองช่นื ชอบ

6. รบั รู้ ช่ืนชมความงาม ความไพเราะ แสดงออกทางอารมณ์ ความคิด ความรสู้ ึก ความประทับใจ และ
น้าเสนอผลงานศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ด้วยความมั่นใจ แสดงความเห็นต่อผลงานศิลปะของตนเอง
งานของผู้อ่ืน หรืองานท่ีท้าร่วมกับเพื่อน อย่างสร้างสรรค์ สุภาพ มีเหตุผล เปิดใจรับฟังความเห็น ของผู้อ่ืนและ
นา้ มาปรับปรุงผลงานของตนให้สมบรู ณ์

7. เช่ือมโยง ผลงานศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) กับวฒั นธรรม ชีวิตประจ้าวนั เปน็ สอ่ื แสดงความ
งาม ได้อย่างอิสระ ร่วมสร้างสรรค์ ประยุกต์งานศิลปะ และวัฒนธรรมในท้องถิ่น เพื่อน้าไปใช้ในชีวิตประจ้าวัน
วันส้าคญั หรือเทศกาลต่างๆ

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

58

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา

สาระสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้

ความสาคญั ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนมีสุขภาวะท้ังกายและจิตที่ดีซึ่งมีความสาคัญ
เพราะเกี่ยวโยงกับทุกมิติของชีวิต ทุกคนควรได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพ เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีเจตคติ
คณุ ธรรม และคา่ นิยมท่เี หมาะสม รวมท้ังมที กั ษะปฏิบัตดิ า้ นสขุ ภาพจนเป็นนสิ ยั ทาให้ผูเ้ รยี นเกิดสมรรถนะในการ
ใชช้ วี ติ ส่งผลให้สงั คมโดยรวมมีคณุ ภาพ
ลกั ษณะเฉพาะ/ ธรรมชาติของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้นปี้ ระกอบดว้ ย สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ดังนี้
สขุ ศึกษา มุ่งเน้นการจัดโอกาสการเรยี นรู้ให้เกดิ การปฏิบตั ิทางสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตจนเป็นนิสยั มี
ความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่ืน อันจะน้าไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของบุคคล ครอบครัว และ
ชุมชน เพ่ือการมีสุขภาพกายและจิตท่ีดี
พลศึกษา มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ต้องควบคุมร่างกายและจิตใจในการท้ากิจกรรมทาง
กาย การออกก้าลังกาย การเล่นเกม และกีฬา ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตสมวัย มีสุขภาพดี มีระเบียบ วินัย
อดทน สรา้ งสรรค์ความสามคั คี มีความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองและผู้อืน่
จดุ เน้นการพฒั นา
การพัฒนาผู้เรียนในช่วงชั้นที่ 1 นี้ มีเป้าหมายส้าคัญ เพ่ือให้ผู้เรียน มีสุขภาพกายท่ีดี และการเจริญเติบโตท่ี
เหมาะสม มีกิจกรรมทางกายอย่างสนุกสนานและปลอดภัย มีสุขภาพจิตที่ดี มีทักษะ ในการด้าเนินชีวิต และใช้
ขอ้ มลู สารสนเทศเสรมิ สรา้ งสุขภาพที่ดี
เป้าหมายส้าคัญดังกล่าว ประกอบด้วยสมรรถนะเฉพาะ ๓ สมรรถนะ ซึ่งมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ
สมรรถนะหลกั ท้ัง 6 สมรรถนะ และบรู ณาการกันเป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ช่วงชั้นท่ี 1 จ้านวน 8 ข้อ ส้าหรับนา้ ไป
ก้าหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 - 3 ต้องค้านึงถึงการบูรณาการสมรรถนะหลักและสมรรถนะ
เฉพาะด้วย โดยจัดกิจกรรม ประสบการณ์ หรือสถานการณ์จากเรื่องราวใกล้ตัวไปสู่ไกลตัว จากง่ายไปยาก ตาม
พฒั นาการของผู้เรยี น ฝึกปฏบิ ตั อิ ยา่ งต่อเน่ือง
สา้ หรับชว่ งชั้นที่ ๑ จากผลลัพธ์การเรยี นรดู้ ังกลา่ ว อาจจดั ประสบการณ์การเรียนรเู้ ป็น 3 กลุ่ม ดงั นี้
การมีสขุ ภาพกายท่ีดีและการเจริญเตบิ โตที่เหมาะสม เป็นการจดั ประสบการณใ์ ห้ผู้เรียน สร้างนสิ ัยการ
ดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการปฏิบัติตนตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ ดูแลและป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจาก
อาการเจ็บป่วย หลีกเลี่ยงสถานการณ์ท่ีเป็นอันตราย และรู้จักขอความช่วยเหลือจากบุคคล ท่ีไว้วางใจ รวมทั้ง
การใชข้ อ้ มลู ด้านสขุ ภาพให้เกิดประโยชน์ต่อการพฒั นาสขุ ภาพ
การมีกิจกรรมทางกายอย่างสนุกสนานและปลอดภัย เป็นการจัดประสบการณใ์ หผ้ ู้เรยี นมีกิจกรรมทาง
กายด้วยการเคล่ือนไหวร่างกายท้ังแบบอยู่กับที่ เคลื่อนที่ และแบบมีอุปกรณ์ เล่นเกม การละเล่นพ้ืนเมือง ออก
ก้าลังกาย และเล่นกีฬาท้ังประเภทเด่ียว ประเภทคู่ และประเภททีม เป็นประจ้าสม่้าเสมอ ด้วยความสนุกสนาน
และปลอดภัย และรกั ษาส่งิ แวดล้อม โดยจัดพ้ืนทป่ี ลอดภัยในการท้ากิจกรรมทง้ั กอ่ นและหลังท้ากจิ กรรม

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

59

การมสี ขุ ภาพจิตท่ดี ีและมที ักษะในการดาเนนิ ชีวิต เป็นการจดั ประสบการณ์ให้ผูเ้ รยี น เหน็ คณุ คา่ ของ
ตนเอง รจู้ กั และจัดการอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมของตนเองอย่างเหมาะสม มคี วามเหน็ อก เหน็ ใจผู้อื่น สร้าง
สัมพนั ธภาพท่ีดีกบั ผู้อื่น และมีสว่ นร่วมในการช่วยเหลือสงั คม

การนาไปใช้ในชีวติ จริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมาย จนเกิดสมรรถนะ ควรออกแบบกิจกรรมท่ีเอ้ือต่อการ
น้าไปใช้ ในชีวิตจริง จัดการเรียนรู้ทีเ่ น้นให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วม และเรียนรู้จากการปฏบิ ัตทิ ี่หลากหลายรูปแบบ เช่น
ออกแบบการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรยี นตัดสินใจเลือกรับประทานอาหารเหมาะสมกับวัย ป้องกันตนเองจากอุบัติเหตุต่าง
ๆ ท้ังท่ีบ้าน โรงเรียนและระหว่างการเดินทางได้ จัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติการ เอาตัวรอด
จากเหตุการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ ป้องกันตนเองจากอุบัติเหตุ และสร้างสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง จัดพ้ืนท่ีให้
ผู้เรียนได้แสดงความสามารถตามศักยภาพ ฝึกให้รู้จักอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมของตนเอง และสามารถ
จดั การได้ ในการปฏิบัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ ระหวา่ งวนั จัดกิจกรรม เกม หรอื กฬี า ร่วมกบั เพ่อื นในหอ้ ง ตา่ งห้อง หรือ
ต่างโรงเรียน ฯลฯ โดยจัดสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ประสานความร่วมมือ ในการท้ากิจกรรม
ร่วมกับครอบครัว ชมุ ชน ติดตามความกา้ วหนา้ หรอื พัฒนาการของผู้เรียนอย่างตอ่ เนอื่ ง
การบูรณาการกับกลุม่ สาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา สามารถจดั การเรียนรบู้ รู ณาการกบั กล่มุ สาระการเรียนร้อู ่ืน ๆ ดงั
ตัวอย่าง ต่อไปนี้
ภาษาไทย/ ภาษาองั กฤษ จดั สถานการณ์โดยใช้ค้าศัพทแ์ ละเร่ืองราวการเลน่ เกม การละเล่นพื้นเมอื ง
การออกกา้ ลังกาย และเลน่ กีฬาเพ่ือพฒั นาความสามารถในการอา่ น การต้ังค้าถาม เพื่อสบื ค้นขอ้ มลู การบันทึก
และสรุปข้อมูล ตลอดจนการใช้ภาษาเพ่ือการน้าเสนอเร่อื งราวจากกิจกรรม

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

60

ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมรรถนะหลกั และสมรรถนะเฉพาะ

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลกั

1. การมสี ุขภาพกายทด่ี ีและการเจรญิ เตบิ โตท่ีเหมาะสม 1. การจัดการตนเอง
2. การคิดข้ันสูง
1.1 ความสามารถในปฏบิ ัตติ นตามหลกั สขุ บญั ญตั ิแห่งชาติ 3. การส่อื สาร
5. การเป็นพลเมอื งที่เข้มแข็ง
1.2 ความสามารถในการดูแลสุขภาพตนเองในไดส้ มวยั 6. การอยู่รว่ มกบั ธรรมชาติ
และวิทยาการอย่างยั่งยืน
1.3 ความสามารถในการดูแลตนเองใหป้ ลอดภัยและหลีกเล่ยี ง
สถานการณ์และสภาพแวดล้อมท่เี สีย่ งและเป็นอันตรายตอ่ 1. การจดั การตนเอง
สุขภาพ 2. การคิดขัน้ สูง
3. การสือ่ สาร
1.4 ความสามารถในการใชข้ ้อมูลขา่ วสารเพือ่ สรา้ งเสริมสขุ ภาพ 4. การรวมพลงั ทา้ งานเปน็ ทีม
5. การเปน็ พลเมอื งท่เี ข้มแข็ง
2. การมีกิจกรรมทางกายอยา่ งสนุกสนานและปลอดภยั 6. การอยรู่ ่วมกับธรรมชาติ
และวทิ ยาการอยา่ งยั่งยนื
2.1 ความสามารถในการเคลื่อนไหวอวัยวะทุกส่วนได้อย่าง
สัมพนั ธ์กัน 1. การจดั การตนเอง
2. การคิดข้ันสงู
2.2 ความสามารถในการเคลื่อนไหวหลากหลายรูปแบบ อยา่ ง 3. การสือ่ สาร
ปลอดภัย 4. การรวมพลงั ทา้ งานเป็นทีม
5. การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง
2.3 ความสามารถในการท้ากิจกรรมทางกาย เลน่ เกม เล่น
การละเลน่ พ้นื เมือง ออกก้าลงั กาย และเลน่ กีฬา อย่าง
ปลอดภัย และมนี ้าใจนักกีฬา

2.4 ความสามารถในสรา้ งเสริมสมรรถภาพทางกาย

3. การมีสขุ ภาพจิตท่ีดีและมีทักษะในการดาเนินชวี ติ
3.1 ความสามารถในการรบั รแู้ ละเข้าใจอารมณ์ ความรสู้ ึกของ

ตนเอง และผอู้ ืน่

3.2 ความสามารถในการสื่อสารอารมณ์ ความรสู้ ึกของตนเองได้
อย่างเหมาะสม

3.3 ความสามารถในการสรา้ งสัมพันธภาพที่ดี กบั ผอู้ น่ื

3.4 ความสามารถในการแกป้ ัญหาและปรับตัวได้อยา่ งเหมาะสม
ตามสถานการณ์

หลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

61

ผลลัพธก์ ารเรียนรเู้ มือ่ จบชว่ งชนั้ ท่ี 1
1. ปฏิบัตติ นตามหลักสขุ บญั ญัติแห่งชาติ ดูแลสุขอนามัยทางเพศ ท้ากจิ วัตรประจ้าวนั กนิ นอน พกั ผ่อน

เล่น และกิจกรรมนันทนาการท่ีสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย อารมณ์ และสังคมอย่างสมดุลและเหมาะสมตาม
วัย ด้วยความเข้าใจ ถึงผลดตี ่อสุขภาพกายและจิต ดู ฟัง อ่าน และแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขภาพ ที่เหมาะสมกับ
วัย เพ่ือน้ามาใชใ้ นชีวติ ประจ้าวันอยา่ งปลอดภยั และเสริมสร้างนสิ ยั เกย่ี วกบั การดูแลสขุ ภาพ

2. รับรู้และหลีกเล่ียงการน้าตนเองไปอยู่ในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมท่ีเส่ียงและเป็นอันตรายต่อ
สุขภาพ ปฏิบัติตนตามค้าแนะน้า และขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไว้วางใจอย่างเหมาะสม เม่ือมีอาการ
เจ็บปว่ ย บาดเจ็บจากอุบัตเิ หตุ เหตรุ ้าย หรอื อยใู่ นสถานการณท์ ี่เปน็ อนั ตรายต่อตนเอง

3. สังเกตสิ่งแวดล้อมและข้อมูลข่าวสารรอบตัว ระมัดระวัง ดูแลและป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจาก
อุบัติเหตุ อาการเจบ็ ปว่ ยหรือโรคภยั ตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสมตามวยั และสขุ ภาพรายบคุ คล

4. มีสมรรถภาพทางกาย มีกิจกรรมทางกาย เคลื่อนไหวอวัยวะทุกส่วนได้สัมพันธ์กัน มีทักษะการ
เคลือ่ นไหวพ้นื ฐานได้อย่างถกู ต้อง และหลากหลายรูปแบบทง้ั มีอุปกรณ์และไม่มีอุปกรณ์ ดว้ ยความแรง ระยะทาง
หรือมคี วามแมน่ ยา้ ในบริบทท่เี หมาะสมอย่างมีสติ โดยค้านงึ ถงึ ความปลอดภัยของตนเองและผู้อ่นื

5. เล่นเกม เล่นการละเล่นพื้นเมือง ออกก้าลังกาย และเล่นกีฬา อย่างสม้่าเสมอจนเป็นนิสัย ด้วยความ
สนุกสนาน มีน้าใจนักกีฬา รับรู้และปฏิบัติตามกฎกติกา มารยาท ข้อตกลงร่วมกันและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยจัด
พื้นทีป่ ลอดภัยในการทา้ กิจกรรมทงั้ กอ่ นและหลงั ท้ากิจกรรม

6. ส้ารวจตนเอง และบอกความคิดความต้องการ ความรู้สึก ความสามารถ จุดเด่น จุดด้อย และ
ขอ้ จ้ากัดของตนเองในการท้ากจิ กรรมในชีวิตประจ้าวันท้ังส่วนตัวและร่วมกับผอู้ ่ืน ตลอดจนแลกเปล่ียนความคิด
ข้อมลู เพือ่ ปรบั ปรงุ และพัฒนาตนเอง ใหเ้ กดิ ความม่ันใจและความภาคภูมิใจ

7. สังเกตอารมณ์ พฤติกรรม ความรู้สึกของตนเองและบุคคลรอบข้าง แสดงออกด้วยพฤติกรรมที่
เหมาะสมตามสถานการณ์อย่างมีเหตุผล รับรู้และหลีกเลี่ยงภาวะหรือสถานการณ์ท่ีก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือ
ความไม่สบายใจ หาทางออกในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ท่ีไม่เป็นการท้าร้ายหรือใช้ความรุนแรง ขอความ
ชว่ ยเหลือ คา้ ปรกึ ษา ค้าแนะนา้ จากพอ่ แม่ ผูป้ กครอง ครู หรอื ผ้ใู หญ่ทไ่ี ว้วางใจ

8. มีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัวและกลุ่มเพื่อนอย่างมีความสุข และมีการสื่อสารให้เกิด
สัมพันธภาพท่ีดีกบั คนอ่ืน

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

62

กล่มุ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา

สาระสาคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้

ความสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา
สังคมศึกษาเป็นศาสตร์บูรณาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ประกอบด้วยวิชาส้าคัญคือประวัติศาสตร์
ศีลธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ และภูมิศาสตร์ สังคมศึกษามีเป้าหมายส้าคัญที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็น
พลเมืองที่มีคุณภาพ พลเมืองท่ีมีลักษณะหลายระดับ ประกอบด้วยการเป็นพลเมืองของท้องถ่ิน พลเมืองไทย
พลเมืองอาเซียน พลเมืองโลก และพลเมืองดิจิทัล มุ่งพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีมุมมองหลากหลาย และมีมโน
ทัศน์ส้าคัญส้าหรับใช้ท้าความเข้าใจโลกและชีวิตที่กว้างขวาง เป็นผู้มีความสามารถที่จะเรียนรู้ เพิ่มพูน
ประสบการณ์ พัฒนาตนเอง และใช้ศักยภาพของตนอย่างรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถปรับเปลี่ยนเรียนรู้
ตลอดจนรว่ มมอื กนั เพ่ือสรา้ งการเปลี่ยนแปลงใหแ้ ก่ชุมชนและสังคม

กลุม่ สาระการเรยี นรู้น้ี มสี มรรถนะเฉพาะ ๖ ประการ ได้แก่
๑. ปฏิบัติตนสอดรับกับหลักศีลธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นท่ีตนนับถือ สามารถจัดการ

อารมณ์อย่างมสี ตสิ ัมปชัญญะ อดทนและแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในชีวติ ประจา้ วัน
๒. วางแผนการใช้ทรัพยากรและการใช้จ่ายในชีวิตประจ้าวันอย่างประหยัด คุ้มค่า และพอเพียงในระดับตนเอง

และครอบครัว
๓. ใช้วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์ด้วยการรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์

อย่างมีเหตุผล เพ่ือเข้าใจการเปล่ียนแปลง สาเหตุและผลสืบเนื่องของเหตุการณ์ในอดีตที่มีต่อตนเอง ครอบครัว
โรงเรียน เห็นคุณค่าของสถาบันหลักของชาติ และท้องถ่ินท่ีตนอาศยั อยู่ เพื่อสร้างส้านึกร่วมในการพัฒนาชุมชน
ทอ้ งถ่ิน และอยู่ร่วมกันอยา่ งสันตทิ า่ มกลางความแตกต่างหลากหลาย

๔. ติดตามการเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดล้อมอยู่รอบตัวและชุมชน ตัดสินใจด้าเนินกิจกรรมใน
ชีวิตประจ้าวันอย่างรับผิดชอบต่อส่ิงแวดล้อม มีส่วนร่วมในการป้องกัน รับมือ แก้ปัญหา สิ่งแวดล้อมในช้ันเรียน
โรงเรียนและชุมชน ด้วยความเข้าใจในปรากฏการณ์การเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดล้อม และความสัมพันธ์ที่สมดุล
ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั สิง่ แวดล้อม

๕. รบั ผดิ ชอบต่อบทบาทหนา้ ที่ ปกปอ้ งสิทธเิ สรีภาพของตนเอง เคารพสิทธิเสรภี าพของผอู้ ่ืน มีสว่ น
รว่ มในการตัดสนิ ใจและแก้ไขปัญหาร่วมกนั ในช้นั เรียน และโรงเรียน โดยสันติวธิ ี

๖. เลือกและจัดการเวลาในการใช้ส่ือ สารสนเทศ และดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน ไม่ให้เกิดผลเสีย ต่อ
ตนเองและผู้อ่นื ตัดสนิ ใจทจ่ี ะเชื่อหรอื ไมเ่ ช่ือ ปฏิบตั ิตามหรือไมป่ ฏิบัตติ าม โดยเขา้ ใจวัตถุประสงค์ ประโยชน์ และ
โทษของสอ่ื สารสนเทศ ดจิ ทิ ลั สรา้ งและส่งตอ่ ขอ้ มลู สารสนเทศ เพือ่ ให้เกดิ ประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว

สมรรถนะเฉพาะท้ัง ๖ สมรรถนะดังกล่าว มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสมรรถนะหลักท้ัง ๖ สมรรถนะ
และบูรณาการกนั เป็นผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ชว่ งชนั้ ๑๒ ข้อ ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายของชว่ งชั้นน้ี

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

63

ผลลัพธ์การเรียนรู้ช่วงชน้ั ท่ี ๑ ทงั้ ๑๒ ข้อ ดงั กล่าว น้าไปก้าหนดเป็นผลลัพธ์การเรียนรชู้ ้ันประถมศึกษาปที ่ี
๑ - ๓ โดยตอ้ งคา้ นงึ ถึงการบูรณาการสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะดว้ ย เพ่อื ให้เม่ือผ้เู รียนบรรลุผลลัพธก์ าร
เรยี นรชู้ ั้นปีแล้ว จะน้าไปส่กู ารบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ช่วงช้นั ตามท่หี ลักสตู รก้าหนดไว้

ลกั ษณะเฉพาะ/ ธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้น้ี ว่าด้วยการศึกษาอย่างเป็นระบบเพื่อท้าความเข้าใจตนเองและสังคม โดยการปฏิบัติตนตาม
หลักของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นท่ีตนนับถือด้วยส้านึกท่ีดี ท่ีได้รับการปลูกฝัง การพัฒนาระบบความคิด
พจิ ารณา ไตรต่ รองกอ่ นตัดสนิ ใจท้าสง่ิ ใด ๆ ทา้ ใหเ้ ป็นผมู้ ีจิตใจดีท่สี ง่ ผลต่อการคิดดี พูดดี และทา้ แต่สงิ่ ท่ีดี อันเป็น
ประโยชน์และสร้างสันติสุขทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และส่วนรวม หาค้าตอบเก่ียวกับเรื่องราวท่ีเกิดขึ้น ในอดีต ท้าให้เข้าใจ
สงั คมในอดีตได้ใกล้เคียงกับความเป็นจรงิ มากท่ีสุด เพื่อน้ามาเสริมสร้างความเข้าใจ ในสังคมปัจจุบนั ที่มีราก
ประวัติศาสตร์ซ่ึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประวัติศาสตร์ของกลุ่มคนที่มี
ความหลากหลาย ท่ีมีลักษณะผสมผสานและก่อรูปเป็นวัฒนธรรมและสังคม มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
เป็นพลวัต โดยเฉพาะความภาคภูมิใจในครอบครัว โรงเรียน ชุมชน สังคม และประเทศชาติ อันส่งผลต่อ
พฤตกิ รรมในการใชช้ ีวิตและอยู่ร่วมกับผู้อื่นไดอ้ ย่างเหมาะสม การปฏิบตั ิตนตามบทบาทหนา้ ที่ และสิทธิเสรีภาพใน
การอยู่ร่วมกัน รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อตนเองในการใช้จ่าย และการใช้ทรัพยากรโดยค้านึงถึงผลกระทบต่อ
ตนเองและสิ่งแวดล้อม อนั จะน้าไปสูก่ ารเปน็ สมาชกิ ท่ดี ีของประเทศชาติ
จดุ เน้นการพฒั นา
การออกแบบกรอบคิดหลักของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ด้านศีลธรรมจัดให้สอดรับกับกรอบคิด
ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
การด้าเนินการเรียนรใู้ หไ้ ปถึงสมรรถนะท้ัง ๖ ประการ ได้นั้น ต้องอาศัยการปฏิบัตทิ ้ังกายภาวนา ศีลภาวนา จิต
ภาวนา ปญั ญาภาวนา ซึ่งสามารถท่ีจะถา่ ยทอดศีลธรรมไปสชู่ ีวิตตามทฤษฎีและหลักการ ในการเรียนร้ตู า่ ง ๆ
การปฏิรูปการเรียนรู้สังคมศึกษา เป็นการศึกษาถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์และการอยู่ร่วมกัน ใน
สังคมในฐานะเป็นพลเมืองของชาติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และของ
โลกซึ่งร่วมสร้างประวัติศาสตร์ ให้เกิดความม่ันคงทางสังคมโดยมีศีลธรรมตามที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาและศาสนาอ่ืน
เปน็ ฐาน (ตามมาตรา ๖๗ ในรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐) กลุ่มสาระการเรียนรูน้ ี้ ชว่ ยให้ผู้เรียนใช้ชีวิตท้ัง
ในฐานะปจั เจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นพลเมืองดี ส้าหรับช่วงชัน้ ท่ี ๑ ได้จดั ผลลัพธก์ ารเรียนร้ชู ่วง
ชนั้ เป็น ๖ หวั ข้อ ดงั นี้
ศาสนธรรมนาทางชวี ติ เพื่อพัฒนาตน ครอบครัว และชุมชน เป็นการบรู ณาการให้นักเรยี นได้
ประยุกตใ์ ชห้ ลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาอื่นที่ตนนบั ถอื เพอ่ื ให้เอื้อต่อการพัฒนาพฤติกรรมลกั ษณะ
นสิ ัย จิตใจ และปญั ญา อันจะนา้ ไปส่กู ารสร้างประโยชนแ์ ละความสงบสุขในครอบครัว โรงเรยี น และชมุ ชน
การวางแผนการเงนิ และการใช้ทรพั ยากร เป็นการบูรณาการใหน้ กั เรยี นได้วางแผนร่วมกับคนใน
ครอบครัว เพ่ือน และครู เรยี นรู้และพฒั นาตนเป็นคนท่ีใชจ้ ่ายเงินและใช้ทรัพยากรอย่างมกี ารวางแผน และ
ประหยดั เพ่ือลดค่าใช้จา่ ยของตนเอง ครอบครัวและโรงเรียน เหน็ ความสา้ คญั ของการประหยดั และออม สามารถ
ประยุกตใ์ ช้แนวคิดของการพัฒนาท่ียัง่ ยืนและหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นการด้าเนินชีวติ

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

64

เหตุการณ์ในอดีตของครอบครัว โรงเรียน และชุมชน รวมท้ังความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับสถาบัน
พระมหากษัตริย์ เป็นการบูรณาการให้นักเรียนใช้ค้นหาเร่ืองราวความเป็นมาของครอบครัว และโรงเรียนอย่าง
เป็นระบบ ผ่านการท้ากิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนและผู้เก่ียวข้อง จนสามารถท้าความเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ
น้าเสนอโดยมีหลักฐานและแหล่งข้อมูลท่ีชัดเจนมาสนับสนุน น้าไปสู่การปฏิบัติตนท่ีแสดงถึงความภาคภูมิใจใน
ครอบครวั โรงเรียน ชมุ ชน และประเทศชาติ

ชีวิตในบ้าน โรงเรียน และชุมชน เป็นการบูรณาการให้นักเรียนฝึกการใช้ชีวิตจากสังคมใกล้ตัว ไปสู่
สงั คมท่ีไกลตวั และสงั คมในโลกเสมือน ที่ค้านึงถงึ บทบาท สทิ ธิ หนา้ ท่ีและเสรภี าพ เปน็ สมาชิกของสงั คม ควบคุม
อารมณ์และความรู้สึกและปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนท่ีมีความแตกต่าง และท้าประโยชน์ต่อส่วนรวม อยู่
ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่สร้างควาอมเดือดร้อนต่อตนเอง ผู้อื่น ส่วนรวม และส้ารวจข้อมูลโดยใช้แผนท่ี แผนผัง
รปู ถ่าย เพื่อจัดระเบยี บและดูแลรักษาสงิ่ แวดลอ้ ม

วัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย เป็นการบูรณาการให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทยท่ีมี
การผสมผสาน เลือกรับและปรับใช้ให้เหมาะสมกับยุคสมัย เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมของชุมชนและท้องถ่ิน โดย
ค้านงึ ถึงประโยชนส์ ่วนรวมมาก่อนประโยชนส์ ่วนตน เคารพสถาบนั หลักและสัญลกั ษณ์ของชาติไทย

รู้เท่าทันส่ือ เท่าทันตนเอง เป็นการบูรณาการให้ผู้เรียนตระหนักและเท่าทันความคิดของตนเองท่ีได้รับ
อทิ ธพิ ลจากสอื่ และค่านิยมของสงั คม เท่าทนั สอ่ื โฆษณา มวี ิจารณญาณในการเลือก สร้างและส่งตอ่ สื่อสารสนเทศ

การนาไปใชใ้ นชีวิตจริง
จากการฝึกฝนให้ผู้เรียนได้ใช้ศาสนธรรมเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้สามารถดูแลตนเอง
ในชวี ิตประจา้ วันอยา่ งเป็นปกตสิ ุข จากการพัฒนาคุณสมบัตกิ ารเป็น “นกั ประวัตศิ าสตรท์ ่ีดี กล่าวคือ รู้จักสังเกต
ไต่ถาม จดจ้าและน้าส่ิงท่ศี ึกษาจดจ้ามาได้ มาวิเคราะห์หาเหตุผลท่ีถูกต้องต่อไป” (หนังสือสายธารประวตั ิวิทยา,
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) ฝึกฝนใชก้ ระบวนการสืบค้นเร่ืองราวในอดีตของครอบครวั โรงเรียน
ชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ท้องถ่ิน เข้าใจพัฒนาการของสถาบันหลักของชาติ อันได้แก่ สถาบันชาติ
ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีสมรรถนะในการส่ือสารด้วยภาษา เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลที่
น่าเชื่อถือ อาศัยการคิดขั้นสูงเพ่ือวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบจากการเปล่ียนแปลง ซ่ึงผู้เรียนสามารถน้าไปใช้ใน
การท้าความเขา้ ใจและค้นหาข้อมูลเร่อื งราวต่าง ๆ ทต่ี นเองอยากหาค้าตอบ
จากการฝกึ ฝนใหผ้ ้เู รียนสามารถอย่รู ว่ มกับผู้อนื่ อย่างสันติสุข ยอมรบั ความแตกตา่ งหลากหลายทาง
ความคดิ ความเช่ือและการปฏบิ ัตขิ องบุคคล เข้าใจการอยู่ร่วมกนั ตามกฎ กตกิ า และข้อตกลง ตระหนักถึง
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างตนเองกับสิง่ แวดลอ้ มทีต่ ้องรว่ มกันดแู ลรักษา นา้ ไปสู่การทา้ ตนใหเ้ ป็นประโยชน์ รว่ มรับรู้และแก้ปญั หา
โดยไมส่ รา้ งความเดือดร้อนให้กบั ตนเองและผู้อ่ืน และไมส่ ่งผลเสียต่อสิง่ แวดล้อม
จากการฝกึ ฝนเร่ืองการออม การวางแผนและใชเ้ งนิ รวมท้งั ใช้ทรพั ยากรอยา่ งมีสติ ตระหนกั ถงึ ผลที่เกิดขึน้ จาก
การใชเ้ งนิ และใช้ทรพั ยากรของตนเอง ชว่ ยลดปญั หาทางการเงินและการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ร้คู ณุ คา่ ทจี่ ะเกิดขึ้นใน
อนาคตท้ังในระดบั ตนเอง และครอบครวั มีจติ ส้านึกและปฏิบัติตามตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และ
พัฒนาทีย่ ่งั ยืน

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

65

การบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
ภาษาไทย/ ภาษาต่างประเทศ สามารถจัดสถานการณ์จากการฟัง การอ่านวรรณกรรม

ส้าหรับเด็ก นิทาน ต้านาน เร่ืองราวเกี่ยวกับบุคคลส้าคัญในอดีตท่ีหลากหลาย ซ่ึงมีรากฐานมาจาก
พระพุทธศาสนาและศาสนาอ่ืน วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ รวมถึงประเพณีท่ีดีงาม โดยใช้ค้าศัพท์และเร่ืองราว
เกี่ยวกับประวัติ ความเป็นมาและวิถีชวี ิตในครอบครัวโรงเรียนและชุมชน พัฒนาความสามารถในการอ่าน การตั้งค้าถามเพื่อ
สืบค้นข้อมูล การบันทึกและสรุปข้อมูล ตลอดจนการใช้ภาษาเพื่อการน้าเสนอเร่ืองราวท่ีตนสนใจ ได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม

คณิตศาสตร์ สามารถใช้ทักษะการอา่ นและแปลข้อมลู จากสถิติอย่างงา่ ยเพื่อท้าความเข้าใจเรอ่ื งราว
รอบตัว สามารถบูรณาการร่วมกันในเรื่องการค้านวณเงินเพื่อวางแผนการใช้จ่ายและ ใช้ทรัพยากร
ให้คุ้มค่า และบูรณาการในเร่ืองการอ่านปฏิทินและการค้านวณเวลาเพ่ือเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง
วฒั นธรรมประเพณใี นรอบปีและการทา้ ความเข้าใจประวัตคิ วามเป็นมาของครอบครัว โรงเรยี นและชุมชน

ศิลปะ สามารถใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์งานศิลปะท่ีสื่อเรื่องราวท่ีมีความหมายและมีคุณค่า
ต่อความคิด ความสนใจ และความรู้สึกจากสถานการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัว เพื่อให้การส่ือสาร
มคี วามชดั เจน และน่าสนใจมากข้ึน

สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา สามารถจัดกจิ กรรมสง่ เสริมศีลธรรมเพอ่ื เสริมสร้างสมรรถภาพจิตในการอยู่
ร่วมกันกับผู้อ่ืน สามารถจัดการอารมณ์และความรู้สึกอย่างรู้เท่าทัน มีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี มีความรักความสามัคคี
รจู้ กั ให้อภัย รว่ มสรา้ งบรรยากาศแห่งความเข้าใจและการพึ่งพาซงึ่ กนั และกันในการร่วมกันแก้ปัญหาความขดั แย้ง
ในฐานะที่เปน็ สมาชกิ ของครอบครวั โรงเรยี นและชมุ ชน

วทิ ยาศาสตรแ์ ละระบบธรรมชาติ สามารถจัดกจิ กรรมบูรณาการในประเด็นเกี่ยวกับทรัพยากรและ
สิง่ แวดล้อม รบั รู้และเข้าใจระบบความสัมพันธข์ องมนุษยก์ ับธรรมชาตใิ นห่วงโซ่ท่ีเก้ือกูลกัน เพอื่ การปฏิบัติตนให้
เหมาะสม อนุรกั ษธ์ รรมชาติ และพรอ้ มรบั มอื กับภัยพิบัติ

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

66

ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งสมรรถนะหลกั และสมรรถนะเฉพำะ

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลัก

๑. ปฏิบัตติ นสอดรบั กับหลักศลี ธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาอนื่ ท่ตี นนับถือ สามารถจัดการอารมณ์อย่างมี

สตสิ มั ปชญั ญะ อดทนและแกไ้ ขปญั หาท่เี กิดข้นึ ในชีวติ ประจาวนั

1.1 ศรัทธา เคารพ และตระหนกั รู้ถึงพระคุณของพระรตั นตรยั หรอื ๑. การจัดการตนเอง

ศาสดาในศาสนาอ่ืนที่ตนนับถือ ๒. การคดิ ข้ันสงู

1.2 ฝกึ ตนตามกรอบของเบญจศลี เบญจธรรม หรือหลักค้าสอนของศาสนา ๓. การสอ่ื สาร

ทต่ี นนบั ถือ ๔. การรวมพลงั ท้างานเป็นทีม

1.3 ด้าเนินชวี ติ ในสังคมยุคปกติใหมอ่ ย่างมีสติ สมาธแิ ละปญั ญาที่ก่อให้เกิด ๕. การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง
๖. การอยู่รว่ มกับธรรมชาติ
การคิดขั้นสูง
1.4 ส่ือสารดว้ ยทา่ ทที ส่ี ภุ าพ มสี ติ เคารพพอ่ แม่ ครู หรอื ผใู้ หญ่ เคารพ และวิทยาการอย่างย่ังยนื

ความแตกต่างระหว่างกัน เพื่ออยรู่ ว่ มกนั อย่างสันตสิ ุขในครอบครัว

โรงเรยี น ชมุ ชน ในฐานะเปน็ พลเมืองไทย

1.5 อย่รู ว่ มและใชส้ อยทรพั ยากรธรรมชาตสิ ง่ิ แวดล้อมอย่างรู้คุณคา่

เพือ่ ให้เกดิ ความสมดุลอย่างย่ังยืน และใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างรู้เท่าทัน

และพอเพียง

๒. วางแผนการใช้ทรัพยากรและการใชจ้ า่ ยในชวี ติ ประจาวนั อยา่ งประหยัด ค้มุ คา่ และพอเพยี ง ในระดบั ตนเองและ

ครอบครวั

2.1 วางแผนการใช้จ่ายและออมเงินของตนเองอยา่ งเหมาะสมและมีวนิ ยั ๑. การจัดการตนเอง

และช่วยลดค่าใช้จ่ายในครอบครวั ๒. การคดิ ขน้ั สงู

2.2 ใชท้ รพั ยากรในชวี ิตประจา้ วนั อย่างประหยัด ค้มุ ค่า และพอเพียง ๔. การรวมพลงั ท้างานเป็นทีม

เพ่อื ลดคา่ ใชจ้ ่าย ใช้ของส่วนรวมอย่างระมดั ระวัง ด้วยความตระหนกั ๕. การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง

ถึงผลกระทบของการใชท้ รัพยากรที่มีต่อตนเอง ครอบครัว และ

โรงเรยี น

๓. ใชว้ ิธกี ารทางประวตั ศิ าสตรด์ ว้ ยการรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มลู และหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยา่ งมี

เหตุผล เพอื่ บอกผลกระทบของเหตุการณท์ ่ีมตี ่อตนเอง ครอบครวั โรงเรียน เห็นคุณคา่ ของท้องถิน่ ที่ตนอาศัยอยู่

และสถาบนั หลักของชาติ เพ่ือสร้างสานกึ ร่วมในการพัฒนาชมุ ชน ท้องถ่นิ และอยู่ร่วมกนั อย่างสันตทิ ่ามกลาง

ความแตกต่างหลากหลาย

3.1 สอบถาม ค้นหาค้าตอบของเร่ืองราวของตนเอง บคุ คลในครอบครัว ๒. การคิดข้นั สูง

โรงเรยี นและชุมชน ความสมั พนั ธข์ องสถาบนั หลกั ของชาติกับชมุ ชน ๓. การสอื่ สาร

และท้องถิ่น ประวัตคิ วามเป็นมาและวิถชี ีวติ ล้าดับ เวลาและ ๕. การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง

เหตุการณ์ส้าคัญ ท่สี ่งผลต่อการเปล่ยี นแปลงของครอบครัว โรงเรยี น

และชุมชน จากอดีตถึงปัจจุบัน โดยแสดงหลกั ฐานและแหล่งข้อมลู ท่ี

เก่ยี วข้อง อย่างเห็นคุณค่าและภาคภมู ใิ จ และทา้ กิจกรรมใน

ชีวติ ประจ้าวนั ที่แสดงถงึ ความตระหนักของผลการกระท้าในอดตี ท่ีมี

ตอ่ ปัจจุบันและผลของการกระทา้ ในปัจจุบันที่มผี ลตอ่ อนาคต

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

67

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลกั

3.2 ปฏบิ ัติและร่วมกจิ กรรมตามประเพณีและวฒั นธรรมของชมุ ชน

อย่างเหน็ คุณค่าและค้านงึ ถงึ ผลทอ่ี าจเกิดข้นึ ต่อตนเอง ผู้อ่ืน และ

ส่งิ แวดลอ้ มในชุมชน

๔. ติดตามการเปลย่ี นแปลงของส่ิงแวดล้อมอยรู่ อบตัวและชุมชนตัดสนิ ใจดาเนนิ กจิ กรรมในชีวติ ประจาวันอยา่ ง

รบั ผดิ ชอบต่อส่ิงแวดล้อม มีสว่ นรว่ มในการป้องกัน รับมือ แก้ปัญหา ส่ิงแวดลอ้ มในช้นั เรียน โรงเรยี นและชุมชน

ด้วยความเข้าใจในปรากฏการณ์การเปลีย่ นแปลงของส่ิงแวดลอ้ ม และความสัมพนั ธ์ท่ีสมดลุ ระหว่างมนุษย์กับ

สิ่งแวดล้อม

4.๑ ใชแ้ ผนผัง แผนทีแ่ ละรูปถา่ ยในการระบุวา่ ตนเองอยู่ ณ พื้นทใี่ ดใน ๒. การคดิ ขัน้ สงู

โรงเรยี น ชมุ ชน คน้ หาสถานทบี่ นแผนท่ี และอธิบายลักษณะ ๔. การรวมพลังท้างานเปน็ ทีม

สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในบ้าน ห้องเรียน โรงเรยี น และลักษณะทาง ๕. การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแขง็

กายภาพในชุมชน ๖. การอย่รู ่วมกบั ธรรมชาติ และ

4.2 มสี ว่ นรว่ มในการจัดระเบียบและดแู ลรักษาสงิ่ แวดลอ้ มที่บ้าน วทิ ยาการอยา่ งยง่ั ยนื

หอ้ งเรียน โรงเรียน ด้วยความเขา้ ใจในความสัมพันธร์ ะหว่าง

ส่งิ แวดลอ้ มกบั ชีวิตความเปน็ อยู่ของตนเองและส่วนรวม

๕. รบั ผิดชอบตอ่ บทบาทหนา้ ท่ี ปกป้องสิทธเิ สรภี าพของตนเอง เคารพสทิ ธิเสรีภาพของผู้อื่น มีส่วนรว่ มในการ

ตดั สินใจและแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั ในชั้นเรียน และโรงเรยี น โดยสนั ตวิ ธิ ี

5.1 ปฏบิ ตั ติ นตามบทบาทหนา้ ทีท่ ี่มตี ่อครอบครวั โรงเรียน และชุมชนใช้ ๑. การจัดการตนเอง
และยอมรับข้อตกลง กฎ กติกาที่สรา้ งขึน้ รว่ มกัน ๔. การรวมพลงั ท้างานเปน็ ทีม

แลกเปล่ียนความคิดเหน็ อย่างมเี หตผุ ล รว่ มตัดสินใจในการแก้ปัญหา ๕. การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง

หรือความขัดแยง้ ในสถานการณต์ า่ ง ๆ และทา้ กจิ กรรมร่วมกันอย่าง

5.2 มีมารยาท ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เตม็ ใจเสยี สละ
ประโยชนส์ ว่ นตนเพอื่ ส่วนรวมด้วยความรู้สึกวา่ เป็นสมาชิกของ

ครอบครวั ช้ันเรียน และโรงเรียน

รกั ษาสิทธิพ้นื ฐานของตน ไมล่ ะเมิดสิทธิของผู้อืน่ ปฏเิ สธเพอื่ ไม่ใหต้ น
ถกู รังแก หรือละเมดิ สิทธเิ สรีภาพ ทงั้ ร่างกายจิตใจ ทรัพย์สินและ
5.3 แจ้งผใู้ หญท่ ่เี ก่ียวขอ้ ง

แสดงพฤติกรรมท้ังทางกายและวาจาในการยอมรับความคิด ความ

5.4 เชอ่ื และการปฏบิ ัติของบุคคลอืน่ ที่แตกต่างกันโดยปราศจากอคติ
และการเหมารวม รวมท้ังไม่กลั่นแกล้งเพื่อน (Bullying)

ปฏบิ ัติตนได้อย่างถูกต้องที่แสดงถึงการเคารพสถาบันหลักและ
สัญลักษณ์ของชาติ และร่วมกิจกรรม ทีท่ ้าประโยชน์เพ่ือส่วนรวมตาม
5.5 ก้าลงั ของตน

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

68

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลกั

๖. เลอื กและจัดการเวลาในการใช้สือ่ สารสนเทศ และดิจทิ ลั อย่างรูเ้ ทา่ ทัน ไม่ให้เกดิ ผลเสยี ต่อตนเองและผู้อนื่

ตดั สนิ ใจท่จี ะเชอื่ หรือไม่เชอ่ื ปฏิบตั ติ ามหรือไม่ปฏบิ ัติตาม โดยเขา้ ใจวัตถุประสงค์ ประโยชน์ และโทษของสื่อ

สารสนเทศ ดิจิทัล สร้างและสง่ ตอ่ ข้อมูลสารสนเทศ เพือ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว

6.1 เลอื กใช้ และจัดการเวลาในการใชส้ อื่ สารสนเทศ และดิจิทัลอยา่ ง ๑. การจัดการตนเอง

รเู้ ท่าทนั ๒. การคิดขั้นสงู

6.2 ใช้วจิ ารณญาณและความร้ดู ้านสอื่ สารสนเทศและดิจิทลั ประกอบ ๓. การส่ือสาร

การคดิ และตดั สินใจในการกระท้าต่าง ๆ ในชวี ิตประจ้าวนั

6.3 สร้างและส่งต่อข้อมูลสารสนเทศอยา่ งใคร่ครวญ รับผดิ ชอบต่อผล

ทจี่ ะเกิดข้นึ รวมทั้งใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว

ผลลพั ธก์ ารเรียนรู้เมอ่ื จบช่วงชนั้ ท่ี ๑
1. มีศรัทธา เคารพ และตระหนกั รูใ้ นพระคณุ ของพระรตั นตรัยหรอื ศาสดาในศาสนาอืน่ ท่ตี นนบั ถือ หม่ัน

ฝึกตนตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม หรือหลักค้าสอนของศาสนาท่ีตนนับถือ สามารถจัดการตนเองและด้าเนิน
ชีวิตในสังคมยคุ ปกติใหม่อยา่ งมสี ติ สมาธิและปัญญาทก่ี ่อใหเ้ กดิ การคดิ ข้ันสงู

2. สามารถสื่อสารด้วยท่าทีท่ีสุภาพ มีสติ เคารพพ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ เคารพในความแตกต่างระหว่าง
กัน อยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ในฐานะเป็นพลเมืองไทย ใช้สอยธรรมชาติ
สง่ิ แวดล้อมอย่างรู้คุณค่าเพื่อใหเ้ กิดความสมดุลอย่างย่ังยืน และใช้เทคโนโลยีในชวี ิตประจ้าวันอย่างรูเ้ ท่าทันและ
พอเพยี ง

3. ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวในการระบุสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหา เพ่ือน้าไปสู่การแยกแยะความ
ต้องการและความจ้าเป็น วางแผนการใช้จ่าย และออมเงินอย่างเหมาะสมและมีวินัย เพ่ือแสดงถึงความรับผิดชอบ
ดว้ ยกันในการลดค่าใช้จา่ ย

4. ระมัดระวงั ในการใชข้ องส่วนรวมและทรัพยากรในการท้างาน การทา้ กจิ กรรม การท้ากิจวัตรประจา้ วัน
อย่างประหยัด คุ้มค่า และพอเพียง ด้วยความตระหนักถึงผลของการใช้ทรัพยากรที่มีต่อตนเอง ครอบครัวและ
โรงเรยี น

5. น้าเสนอเร่ืองราวของตนเอง บุคคล วัตถุ และสถานท่ีที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน
ความสัมพันธ์ของสถาบันหลักของชาติกับชุมชนและท้องถิ่น ประวัติความเป็นมา และวิถีชีวิต ล้าดับเวลาและ
เหตุการณ์ส้าคัญ ท่ีส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบัน และอธิบายผลของการเปล่ียนแปลงท่ีมีต่อวิถี
ชีวิตของตนและคนในชุมชน โดยแสดงหลกั ฐาน และแหล่งข้อมูลที่เกีย่ วขอ้ งด้วยภาพและภาษาของตนเองทเ่ี ข้าใจ
ง่าย ชัดเจน จากการสอบถาม ค้นหาค้าตอบอย่างเป็นขั้นตอน และท้ากิจกรรมในชีวิตประจ้าวันท่ีแสดงถึงความ
ตระหนักของผลการกระท้าในอดีตที่มีต่อปัจจุบันและผลของการกระท้าในปัจจุบัน ที่มีผลต่ออนาคต ด้วยความรู้สึกถึงการ
เปน็ ส่วนหนง่ึ ของครอบครัว โรงเรียน และชุมชน

6. ส้ารวจข้อมูลเกี่ยวกับต้าแหน่ง ระยะและทิศทางของส่ิงต่างๆและสถานที่ โดยประยุกต์ใช้แผนที่
แผนผัง รปู ถา่ ย เพอ่ื การวางแผนการท้างาน การใช้ชีวิต และการร่วมจัดระเบียบและดูแลรักษาสิง่ แวดล้อมท่ีบ้าน
หอ้ งเรียน โรงเรียน และชุมชน ดว้ ยความตระหนักในเหตุและผลของการกระท้าของตนเองและคนในชุมชนทีม่ ตี ่อ
สงิ่ แวดล้อม ซึง่ ส่งผลกระทบต่อชีวติ ความเปน็ อยู่

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

69

7. ท้ากิจกรรมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีมารยาท ปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าท่ี ยอมรับข้อตกลง กฎ
กติกาท่ีสร้างร่วมกัน แลกเปล่ียนความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ร่วมตัดสินใจในการแก้ปัญหาหรือความขัดแย้งใน
สถานการณ์ต่าง ๆ โดยเต็มใจเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพ่ือส่วนรวมด้วยความรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของครอบครัว
ชนั้ เรียน และโรงเรยี น

8. ปฏบิ ัตติ นบนพ้ืนฐานสิทธิของตน ไมล่ ะเมิดสิทธขิ องผู้อื่น ปฏิเสธเพอ่ื ไมใ่ หต้ นถูกรังแกหรือละเมดิ สทิ ธิ
เสรีภาพ ทั้งร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สินและแจ้งผู้ใหญ่ที่เก่ียวข้อง แสดงพฤติกรรมเชิงบวกท้ังทางกายและวาจาเมื่อ
ร่วมกิจกรรมหรือท้างานกับผู้อนื่ ที่แสดงถึงการยอมรับความคิด ความเชื่อและการปฏิบัติของบุคคลอื่นที่แตกต่าง
กันโดยปราศจากอคติ และการเหมารวม รวมท้งั ไม่กลั่นแกลง้ เพอื่ น (Bullying) ควบคมุ อารมณ์และความรู้สกึ ของ
ตน ไม่ท้าให้ผูอ้ ่นื เดือดร้อน

9. เข้าร่วมกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชนอย่างเห็นคุณค่าและไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อ
ตนเอง ผอู้ ่ืนและสิง่ แวดลอ้ มในชุมชน

10. ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องที่แสดงถึงการเคารพสถาบันหลักและสัญลักษณ์ของชาติไทย และร่วม
กิจกรรมท่ีท้าประโยชน์เพื่อสว่ นรวมตามก้าลงั ของตนภายใต้การดูแลและคา้ แนะน้า

11. เลือกและจัดการเวลาในการใช้สื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน โดยรับผิดชอบต่อผลท่ี
เกิดขึ้นต่อตนเองและผอู้ นื่

12. ตัดสินใจท่ีจะเช่ือหรือปฏบิ ัติ โดยเขา้ ใจวัตถุประสงค์ ประโยชน์ และโทษของส่ือ สารสนเทศ ดิจิทัล
สร้างและสง่ ต่อข้อมลู สารสนเทศ เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว

กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และระบบธรรมชาติ

สาระสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
ความสาคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และระบบธรรมชาติ
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และระบบธรรมชาติเป็นสาระที่เน้นการสืบเสาะ (inquiry) เพ่ือเข้าใจ
ระบบธรรมชาติ การจดั ประสบการณ์เรยี นรู้ในช่วงชั้นน้ีเร่ิมจากการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสง่ิ ท่ีใกล้ตัวที่สนใจและ
มีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น เน้นให้ผู้เรียนสืบเสาะและแก้ปัญหา โดยใช้ความรู้และกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์เป็นพ้ืนฐาน ใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงแหล่งข้อมูลอย่างปลอดภัย สร้างเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ปรบั ตวั และอยู่รว่ มกับธรรมชาติ รักษาส่ิงแวดลอ้ ม และตระหนกั ถงึ การใช้ทรัพยากร
เป้าหมายส้าคัญของการจัดประสบการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และระบบธรรมชาติ
ชว่ งชั้นท่ี 1
1. เข้าใจแนวคิดและความรู้พ้ืนฐานในวิทยาศาสตร์ที่จ้าเป็นต่อการด้ารงชีวิต สามารถใช้และเข้าถึง
เทคโนโลยีไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รูเ้ ทา่ ทัน และปลอดภยั
2. เป็นผู้ท่ีมีจินตนาการ จิตวิทยาศาสตร์ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์
3. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์กับระบบธรรมชาติ ผลของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ
วทิ ยาการตา่ ง ๆ ท่ีมตี ่อมวลมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระบบธรรมชาติ

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

70

ลักษณะเฉพาะ/ ธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์ (Science) เป็นความรู้ท่ีเกิดจากสติปัญญาและความพยายามของมนุษย์ในการศึกษา เพื่อ
ท้าความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนโดยธรรมชาติทั้งบนโลกและในเอกภพ วิทยาศาสตร์จึงให้ความส้าคัญกับ การ
สืบเสาะหาค้าตอบเพ่ือท้าความเข้าใจธรรมชาติ การสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้
จินตนาการ เคร่ืองมือต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูล จัดรูปแบบของข้อมูล ใช้
สมรรถนะด้านภาษา เพอ่ื ท้าความเข้าใจขอ้ มูล สอ่ื สารความคิด และน้าเสนอข้อมูล ดังนั้น ความรู้ กระบวนการ และ
จติ วิทยาศาสตร์ มีความสา้ คญั กบั การนา้ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ และการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาตอิ ยา่ งสมดลุ
กระบวนการสบื เสาะ (Inquiry Process) เป็นกระบวนการที่น้าไปสู่การเรียนรแู้ ละอธิบายปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ
เชิงวิทยาศาสตร์ ระหว่างการสืบเสาะผู้เรียนจะต้องใช้การให้เหตุผลเชิงตรรกะ (Logic) หลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical
Evidence) จินตนาการ และการคิดสร้างสรรค์ เป็นการท้างานอย่างเป็นระบบ รอบคอบ มีอิสระและ ไม่เป็นล้าดับข้ันท่ี
ตายตวั มีธรรมชาติในการเรียนรู้ ดงั น้ี
 ปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนโลกหรือในเอกภพที่เกิดข้ึนอย่างเป็นแบบรูป (Pattern) สามารถเข้าใจได้
ดว้ ยสติปญั ญา วธิ ีการศึกษาท่เี ป็นระบบ มนษุ ย์สามารถเรียนรูแ้ ละท้าความเขา้ ใจได้
 แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มีความไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากพบหลักฐาน (Evidence) ใหม่ที่
น้าไปสกู่ ารสรา้ งค้าอธบิ าย หรือองคค์ วามรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์
 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีความคงทน และเช่ือถือได้ เพราะการสร้างการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ต้อง
ผ่านวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง ซ้าแล้วซ้าเล่าเป็นระยะเวลาหน่ึงจนม่ันใจในค้าอธิบายนั้น วิทยาศาสตร์เช่ือถือ
หลักฐานเชงิ ประจักษท์ ่ไี ดจ้ ากการสงั เกต ทดลอง หรอื วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี (Technology) เป็นส่ิงที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาข้ึน ซ่ึงอาจเป็นได้ท้ังช้ินงานหรือวิธีการเพื่อใช้
แก้ปัญหา สนองความต้องการ หรือเพ่ิมความสามารถในการท้างานของมนุษย์ เทคโนโลยีจึงเกิดจากการผสาน
ทกั ษะ เทคนิค วิธีการ และความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เข้าดว้ ยกัน กระบวนการทางเทคโนโลยีให้ความส้าคัญกับการ
แก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบ รวมถึงการระบุเหตุผลของค้าตอบ นอกจากน้ี เรายังสามารถใช้
เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เช่น ใช้สร้างชิ้นงาน เทคโนโลยีอื่นหรือนวัตกรรม ใช้เข้าถึง
แหลง่ ข้อมูลบนอินเทอรเ์ น็ต ใช้ร่วมกบั วทิ ยาการแขนงตา่ ง ๆ
จุดเนน้ การพฒั นา
การจัดประสบการณ์เรยี นรเู้ พื่อพฒั นาสมรรถนะของผู้เรียน ในช่วงช้นั ท่ี 1 ผ้เู รียนควรไดร้ ับ
ประสบการณ์เรยี นรผู้ ่านการบรู ณาการผลลพั ธก์ ารเรียนร้โู ดยอาจบูรณาการข้ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้หรือภายใน
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้อาจบูรณาการผา่ นธีมต่างๆ ดังนี้

หลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

71

ทรพั ยากรธรรมชาติ

ปรากฏการณ์ ส่งิ แวดลอ้ ม
ธรรมชาติและ
ภัยอนั ตราย วทิ ยาศาสตร์ และ
ระบบธรรมชาติ

เทคโนโลยี ความก้าวหน้า
ในชวี ติ ประจา้ วนั ของวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

จุดเนน้ การพฒั นาผา่ นแต่ละหวั ข้อ มีดงั น้ี
 ทรพั ยากรธรรมชาติ

ผู้เรียนควรได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะ สมบัติและความส้าคัญของดิน และ
น้า รวมถึงประโยชน์ของดินและน้าต่อมนุษย์ จึงต้องดูแลเพื่อให้มีใช้ได้อย่างย่ังยืน สมดุล ไม่กระทบส่ิงแวดล้อม
ผู้เรียนควรประพฤติตนโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่า ลดการใช้เม่ือไม่จ้าเป็น และอาจบูรณาการร่วมกับ
วิทยาการค้านวณในด้านฝึกการแก้ปัญหาอย่างเป็นล้าดับขั้นตอนและเขียนโปรแกรมค้าส่งั ด้วยบัตรภาพหรือบัตร
ค้า

 สิ่งแวดล้อม
ผู้เรียนควรได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เก่ียวกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการด้ารงชีวิต

ของพืชและสัตว์ สิ่งที่จ้าเป็นต่อการด้ารงชวี ิตของพืชและสัตว์ วัฏจกั รชีวิตของพืชดอกและสตั ว์ ผลของการเปล่ียนแปลง
ส่ิงแวดล้อมที่มีต่อพืชและสัตว์ และการดูแลและปกป้องสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการด้ารงชีวิตของพืชและสัตว์
และอาจบูรณาการร่วมกับวิทยาการค้านวณในด้านฝึกการแก้ปัญหาอย่างเป็นล้าดับข้ันตอนและเขียนโปรแกรม
ค้าส่งั ด้วยบตั รภาพหรือบตั รคา้

 ปรากฏการณธ์ รรมชาตแิ ละภัยอนั ตราย
ผเู้ รยี นควรไดร้ ับการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์กลางวัน กลางคนื การขนึ้ และตก ของดวง

อาทิตย์ และการก้าหนดทิศ ซ่ึงปรากฏการณ์ดงั กลา่ วเกิดจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง ได้เรยี นรู้เกี่ยวกบั การเกิดลม ผลของลม
ตอ่ สง่ิ มีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม รวมถงึ การปฏบิ ัติตนให้ปลอดภัยจากวาตภัยและอุทกภยั และอาจบูรณาการรว่ มกับวทิ ยาการ
ค้านวณในด้านฝกึ การแก้ปัญหาอยา่ งเป็นลา้ ดบั ขัน้ ตอนและเขียนโปรแกรมคา้ ส่งั ด้วย บตั รภาพหรือบัตรค้า

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

72

 ความก้าวหนา้ ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ผู้เรียนควรได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เก่ียวกับการฝึกฝนการน้าความรู้มาแก้ปัญหาหรือ

พัฒนาชิ้นงานด้วย โดยประยุกต์ใช้ความรู้ในเร่ืองแรง ผลของแรงท่ีมีต่อวัตถุต่าง ๆ แรงแม่เหล็ก หรือสมบัติของ
วสั ดุ ในแก้ปัญหาหรอื การสรา้ งชน้ิ งานอย่างงา่ ย

 เทคโนโลยีในชีวติ ประจาวนั
ผู้เรียนควรได้รับการจัดประสบการณ์เก่ียวกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอน มีความมุ่งมั่นและเห็นว่า
การแก้ปัญหาเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทาย รวมทั้งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ สื่อสารได้อย่าง
เหมาะสมและปลอดภัย สร้างนวัตกรรมท่ีเหมาะสมกับวัย สร้างชิ้นงานหรือเคร่ืองมืออย่างง่ายในการเล่น การ
ทา้ งาน การแกป้ ญั หา หรือการใชช้ ีวติ ได้อยา่ งเหมาะสม
ขอบเขตเนอ้ื หาและกลวิธีสอนเพ่ือพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนตามช่วงวยั
ผเู้ รียนในช่วงช้ัน 1 (อายุ 7 - 9 ปี) สามารถพฒั นาการคิดเชิงเหตุผลกบั สถานการณ์ท่เี ป็นรปู ธรรมและ ใกล้
ตวั โดยมีผูส้ อนเป็นผูแ้ นะนา้ ชว่ ยเหลอื ในการวางแผนและจดั ระบบการสืบเสาะตามขน้ั ตอนหรือวธิ ีการ
การฝึกให้ผู้เรียนชั้น ป.1 และ ป.2 จดจ้าค้าศัพท์ ความหมายของค้าศัพท์ สร้างคลังค้าศัพท์เหมาะสม
ตามวัย จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ผู้สอนจึงมีบทบาทส้าคัญพัฒนาคลังค้าศัพท์ท่ีเหมาะสม
ตามวัย ด้วยการน้าอ่านบทความสั้น ๆ เก่ียวกับวิทยาศาสตร์และวิทยาการต่าง ๆ เพ่ือฝึกการฟังอย่างมี
ความหมาย ร้จู กั และสะสมคา้ ศพั ท์ทห่ี ลากหลายตลอดช่วงชน้ั (ป.1 - 3) ควรฝกึ ผูเ้ รียนให้สื่อสารดว้ ยการใช้ภาษา
ในการพดู และเขียนคา้ หรือข้อความสน้ั ๆ เพ่อื สร้างคา้ อธบิ าย แสดงความเหน็ ลงขอ้ สรุป
โดยธรรมชาติ ผู้เรียนในช่วงช้ันนี้มีความกระตือรือร้น ช่างสังเกต ชอบต้ังค้าถาม ชอบท้ากิจกรรมร่วมกับ
เพ่ือน ชอบเรียนรสู้ ิ่งใหม่ ๆ แตย่ ังคงต้องพัฒนากล้ามเน้อื ต่าง ๆ ตอ่ เนื่องจากช่วงช้ันอนบุ าล ดังน้ัน ผู้เรียนจึงควร
เรียนรู้อย่างกระตือรือร้นในการฝึกการสังเกตด้วยประสาทสัมผัสที่เหมาะสมกับกิจกรรม รวมถึงฝึกการ หยิบจับ
และใช้อุปกรณ์อย่างง่ายร่วมกับการสังเกตด้วยประสาทสัมผัส ช่วง ป.2 และ ป.3 สามารถเรียนรู้ท่ีจะสร้างค้าถามท่ี
น้าไปสู่การสืบเสาะ (Testable Question) และใช้เทคโนโลยีในการสืบค้น จัดกระท้าข้อมูล น้าเสนอข้อมูล หรือ
สร้างนวัตกรรมท่ีเหมาะสมกับวัย เช่น ของเล่น ของใช้ โดยประยุกต์ใช้ความรู้และวิธีการของตนเอง โดยอาศัย
การช่วยเหลอื หรือแนะน้า ดังน้ัน ผูส้ อนจึงควรเลือกใช้กลวธิ สี อนท่ีเนน้ การเรียนรู้แบบกระตือรือร้นและมสี ว่ นรว่ ม
เพ่ือพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติของผู้เรียนอย่างเปน็ องค์รวม และประเมินเพ่ือพัฒนาการเรียนรูข้ องผู้เรียน
อยา่ งต่อเนือ่ งและให้ผลสะท้อนกลบั เชิงสรา้ งสรรคก์ ับนักเรียนอยา่ งสม่้าเสมอ
การนาไปใช้ในชีวิตจริง
จากการฝึกฝนให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติโดยการรวบรวมข้อมูลท่ีสังเกต หรือทดลองได้จะท้าให้ผู้เรียน
พฒั นาสมรรถนะในด้านการสบื เสาะ การตีความหมายข้อมลู เพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัว ซ่ึงผู้เรียนตอ้ ง
ใช้สมรรถนะการคิดขน้ั สูงในการวเิ คราะห์หลักฐานต่าง ๆ เพื่อท้าความเข้าใจปรากฏการณธ์ รรมชาติและระบบธรรมชาติ
ฝึกการท้างานและการมีส่วนร่วมในทีม การรับรู้และจัดการอารมณ์ของตนเองให้สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วง
สามารถสื่อสารในการใช้ภาษาเชิงวทิ ยาศาสตรไ์ ด้อยา่ งเหมาะสมในการแสดงความเหน็ อธบิ าย และลงขอ้ สรปุ
จากการฝึกฝนให้ผู้เรยี นไดอ้ ่านและทา้ ความเขา้ ใจข้อมูลที่น้าเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ทา้ ให้ผเู้ รียนได้พัฒนา
สมรรถนะเฉพาะในด้านการใช้และเข้าใจภาษาเชิงวิทยาศาสตรซ์ ึ่งจะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนสามารถอา่ นและแปลความหมาย
ขอ้ มูลท่ีพบในชีวิตประจา้ วนั และไดฝ้ ึกฝนการน้าคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนรู้
จากการฝึกฝนใหผ้ ้เู รยี นสามารถท้างานรว่ มกับผอู้ ืน่ ในการสืบเสาะ สรา้ งช้ินงาน และแกป้ ัญหา ชว่ ยให้
ผูเ้ รยี นเรยี นรู้ทจ่ี ะรบั ฟงั และยอมรบั ความคิดเหน็ ทแี่ ตกต่างจากตนเอง เชอื่ มัน่ ในความคิดเหน็ ทม่ี หี ลักฐานท่นี ่าเช่อื ถอื
สนกุ กับการแก้ปญั หา ได้พัฒนาสมรรถนะการรวมพลงั ทา้ งานเปน็ ทีม ตระหนักถึงประโยชนข์ องการรวมพลงั รว่ ม

หลักสตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

73

แรงร่วมใจในการทา้ งานอย่างมงุ่ มน่ั ไมย่ ่อท้อ เป็นพลเมืองท่เี คารพกฎ กตกิ า สามารถอยู่รว่ มกับผูอ้ น่ื ทา่ มกลาง
ความแตกตา่ งหลากหลาย

การบรู ณาการกับกลุ่มสาระการเรยี นรตู้ ่าง ๆ
ภาษาไทย/ ภาษาอังกฤษ สามารถจัดสถานการณ์ใหน้ ักเรยี นรู้จักค้าศัพทต์ ่าง ๆ พัฒนาเป็นคลัง

คา้ ศัพทเ์ ฉพาะตนเพื่อช่วยให้สามารถใช้ภาษาของตนเองดว้ ยการพูดหรือเขยี นเพ่ือน้ามาใช้ในการบันทึกผลการ
สบื เสาะ สื่อสารความคดิ และนา้ เสนอเรื่องราว

สังคมศึกษา สามารถจดั สถานการณ์การเรยี นร้ใู นเรื่องทรัพยากร ธรรมชาติ ส่งิ แวดล้อม ทิศกับการใชแ้ ผนผัง
หรอื แผนท่ี สามารถเชอ่ื มโยงเร่ืองราวในประวตั ิศาสตร์ ทัง้ ดา้ นภูมปิ ญั ญา และกระบวนการแก้ปญั หาของบุคคลใน
อดตี มาเชื่อมโยงกับองคค์ วามร้แู ละการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์

คณติ ศาสตร์ นา้ ความร้ทู างคณิตศาสตรม์ าใชเ้ ปน็ เครื่องมือในการเรียนรู้ และจดั กระท้าข้อมูลในรูป
ตารางทางเดียว หรือแผนภมู ิรูปภาพ

ศิลปะ น้าศิลปะมาเป็นการด้าเนินเร่ืองราวในการสืบเสาะหาความรู้ หรือประยุกต์ใช้ความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ ในการท้าความเข้าใจหรือการท้างานทางศิลปะและภูมิปัญญาในชุมชน นอกจากนี้
ยงั ใช้สมรรถนะทางศลิ ปะมารว่ มสรา้ งสรรคช์ ้ินงานจากการแกป้ ัญหาใหม้ ีความสวยงามและน่าสนใจมากขนึ้

บูรณาการเทคโนโลยีในชีวิตประจาวันกับทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เน้นฝึกทักษะพื้นฐานการ
แก้ปัญหาในการจดั ลา้ ดบั ขั้นตอนการท้างานหรอื การท้ากจิ กรรม โดยอภิปรายและเปรียบเทียบความแตกต่างของผลลพั ธ์ในการ
ท้างานจากข้ันตอนการแกป้ ัญหา เพื่อใหไ้ ดข้ ั้นตอนทเ่ี หมาะสมหรือไดแ้ นวทางที่หลากหลาย นอกจากนี้ให้นกั เรียนฝกึ ทกั ษะการ
ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างช้ินงานหรือเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่สนใจเพื่อค้นหาความรู้ และส่งเสริมทักษะพื้นฐานในการ
เป็นผู้พัฒนานวัตกรรมโดยการสร้างของเล่น ของใช้ตามความสนใจ ซ่ึงโรงเรียนสามารถจัดการเรียนรู้โดยบูรณา
การกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ท้ังน้ีตัวอย่างของการบูรณาการวิทยาศาสตร์ร่วมกับวิทยาการค้านวณแสดงไว้
ในธีมทรพั ยากร สิง่ แวดลอ้ ม และปรากฏการณ์ธรรมชาติและภยั อันตราย

หลักสตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะ 74

สมรรถนะเฉพาะ สมรรถนะหลกั

1. อธบิ ายปรากฏการณอ์ ยา่ งเปน็ วทิ ยาศาสตร์

1.1 สรา้ งค้าอธิบายปรากฏการณท์ ่คี นุ้ เคย ไม่ซบั ซอ้ น โดยใชห้ ลักฐาน 3. การส่ือสาร
ที่สังเกต หรอื ทดลองได้ 6. การอย่รู ว่ มกบั ธรรมชาติ

1.2 เลือกคา้ อธบิ ายทางวิทยาศาสตร์ที่สอดคลอ้ งกับหลักฐานทมี่ ี และวิทยาการอย่างย่งั ยนื

2. ประเมินและออกแบบการสบื เสาะเชงิ วทิ ยาศาสตร์

2.1 สังเกต ตัง้ คา้ ถาม ตั้งสมมติฐานและพยากรณผ์ ล ทดสอบสมมตฐิ านและการ 2. การคิดข้นั สงู
พยากรณ์ ลงขอ้ สรปุ เกีย่ วกบั ปรากฏการณท์ ่ีคุ้นเคย ไม่ซับซ้อน
4. การรวมพลังทา้ งานเป็นทีม
2.2 รวบรวมหลกั ฐานโดยการสงั เกตหรอื การทดลองอย่างง่ายทปี่ ระกอบดว้ ยตัวแปร
ต้น 1 ตัวแปร และตวั แปรตาม 1 ตัวแปร 6. การอยู่รว่ มกับธรรมชาติ
และวิทยาการอย่างย่ังยืน
2.3 ม่งุ มน่ั ในการเกบ็ รวบรวมหลกั ฐานเพื่อใช้อธบิ ายปรากฏการณ์

3. ตีความหมายข้อมูลและหลกั ฐานทางวทิ ยาศาสตร์

3.1 แปลความหมายชดุ ขอ้ มูล หรือแบบรปู ซา้ ทไี่ ม่ซบั ซ้อน และมจี ้านวนชดุ ขอ้ มูลไม่ 2. การคิดขั้นสงู
มาก 4. การรวมพลังทา้ งานเป็นทีม
3.2 เปลย่ี นรูปแบบการจัดกระท้าชดุ ข้อมูลง่ายๆ จากรูปแบบหนง่ึ เปน็ รปู แบบหนึง่ เชน่ 6. การอยู่รว่ มกับธรรมชาติ และ
รปู ภาพ แผนภมู ริ ปู ภาพ แผนภมู แิ ทง่ ตารางทางเดียว ข้อความ
3.3 ใช้ชดุ ข้อมูลทจ่ี ดั กระทา้ แล้วมาประกอบข้อสรปุ วทิ ยาการอยา่ งย่ังยนื

4. แกป้ ัญหา สรา้ งนวตั กรรม และการอยรู่ ว่ มกัน

4.1 ใช้ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นการปฏิบัตติ น ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจา้ วนั 1. การจดั การตนเอง
และอยรู่ ว่ มกนั กับธรรมชาติไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
2. การคิดขน้ั สูง
4.2 แกป้ ัญหา แสดงวธิ ีการ หรือข้นั ตอนการแกป้ ญั หาอย่างเปน็ ระบบโดยระบเุ หตุผล
หรอื ข้อสรุปของค้าตอบ 3. การส่ือสาร
4. การรวมพลังท้างานเป็นทีม
4.3 มีความมงุ่ ม่นั ในการแกป้ ัญหา เห็นการแกป้ ญั หาเป็นเรื่องท่ีทา้ ทาย และสนุกกบั 6. การอยู่ร่วมกบั ธรรมชาติ และ
การแกป้ ัญหา วิทยาการอย่างยั่งยืน

5. ใช้และเขา้ ใจภาษาเชงิ วิทยาศาสตร์

5.1 ฟังเขา้ ใจ ใช้ภาษาทง้ั พูดและเขยี นเพือ่ ส่อื สาร หรือบอกวธิ กี ารหรือเหตผุ ล 3. การสื่อสาร

5.2 อ่านและท้าความเขา้ ใจเอกสารท่ีมภี าพ แผนภมู ิรูปภาพ หรือ 6. การอยู่ร่วมกบั ธรรมชาติ

ตารางทางเดียว และวิทยาการอย่างย่ังยืน

5.3 อธบิ าย ให้เหตุผลเชิงวทิ ยาศาสตร์ สรุปผลการท้ากิจกรรมด้วยภาษาพูด ภาษา

สัญลักษณ์ ภาษากาย ภาษาภาพ ได้อย่างเหมาะสม

6. ใชเ้ คร่ืองมือในการเรียนรู้

6.1 เลอื กและใช้เคร่ืองมือพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 1. การจดั การตนเอง

และเทคโนโลยีในการเรียนรู้หรอื แก้ปัญหา 2. การคิดขนั้ สงู

6.2 เข้าถงึ แหล่งขอ้ มลู ส่ือสารบนอนิ เทอรเ์ น็ต และใชเ้ ทคโนโลยี 3. การส่ือสาร

อย่างเหมาะสม ร้เู ทา่ ทัน และปลอดภยั 4. การรวมพลังท้างานเป็นทีม

5. การเป็นพลเมอื งที่เข้มแข็ง

6. การอย่รู ว่ มกับธรรมชาติ

และวทิ ยาการอยา่ งยงั่ ยนื

หลักสตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

75

ผลลัพธก์ ารเรยี นรเู้ ม่อื จบชว่ งชั้นท่ี 1

1. วิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับพฤติกรรมการใช้ดินและน้าของตนเองและครอบครัวท่ีส่งผลท้ังในแง่บวกและ
แง่ลบกับตนเองและผู้อ่ืน บอกแนวการปฏิบัติตนในการใช้ประโยชน์จากดินและน้าในการท้ากิจวัตรต่าง ๆ ได้
อย่างเหมาะสมและมเี หตุผล โดยประยุกตใ์ ช้ความรู้เกีย่ วกบั ลักษณะ สมบัติ และประโยชน์ของดินและน้าจากการ
สงั เกตและใช้เคร่ืองมอื อยา่ งง่าย เลือกใชส้ อ่ื ในการนา้ เสนอการดูแลรกั ษาดนิ และน้าใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยและเหมาะสม

2. ฟงั อ่าน บนั ทึกรายละเอียดอย่างตรงไปตรงมาเก่ยี วกับทรัพยากรธรรมชาติทน่ี ้ามาใช้ทา้ เทคโนโลยตี ่าง
ๆ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆของตนเองท่ีส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีเหตุผล
แสดงความตระหนักโดยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหาแนวทางและเขียนลา้ ดับขั้นตอนในการลดการใช้เทคโนโลยี
ต่าง ๆ ในชีวิตประจ้าวันเพื่อลดการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ และลงมอื ปฏบิ ตั ิตามแนวทางตามทเี่ สนอไว้

3. ตัดสินใจร่วมกันและปฏิบัติตามบทบาทหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายในการออกแบบการบันทึกข้อมูล
เลือกใช้เครื่องมืออย่างง่ายและลงข้อสรุปเก่ียวกับส่ิงท่ีจ้าเป็นต่อการเจริญเติบโตและการด้ารงชีวิตของพืชและ
สัตว์ และวัฏจักรชีวิตของพืชดอกและสัตว์ในท้องถิ่น และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลเก่ียวกับความ
เหมาะสมของสภาพแวดล้อมกับการด้ารงชีวิตของพืชและสัตว์จากหลักฐานท่ีรวบรวมได้ เลือกรูปแบบการ
น้าเสนอที่เหมาะสมกับข้อมูลหรือให้น่าสนใจและน้าเสนอด้วยภาษาที่เหมาะสมกับวัย รวมทั้งตระหนักถึงส่ิงที่
จ้าเป็นต่อการด้ารงชีวิตของพืชและสัตว์โดยบอกแนวทางการดูแลพืชและสัตว์ให้เจริญเตบิ โตและด้ารงชีวิตอยู่ใน
สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสม

4. ร่วมกันค้นหาสิ่งเจือปนที่พบในอากาศ น้า และดิน จากการสังเกตและใช้เคร่ืองมืออย่างง่าย และ
ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลเพ่ือระบุสาเหตุที่ท้าให้อากาศ น้า และดิน เกิดการปนเปื้อนและ
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตนเอง ส่ิงมีชีวิต และส่ิงแวดล้อมจากหลักฐานท่ีรวบรวมได้ รับผิดชอบตามหน้าท่ีที่
ได้รับมอบหมายในการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาวิธีการลดขยะและสิ่งเจือปน แสดงความตระหนักโดยน้าเสนอแนว
ทางการลดปัญหาขยะและสิ่งเจือปนที่พบในดิน น้า และอากาศท่ีส่งผลกระทบต่อตนเอง สิ่งมีชีวิต และ
สิ่งแวดล้อม

5. ต้ังค้าถามและสร้างค้าอธิบายการเกิดปรากฏการณ์กลางวัน กลางคืน การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์
และการก้าหนดทิศ โดยร่วมกันแลกเปล่ียนความคิดเห็น และเช่ือมโยงสิ่งที่ได้จากการสังเกตจากแบบจ้าลอง
วิเคราะห์ข้อมูลและลงข้อสรุป ประยุกต์ใช้ความรู้เร่ืองการก้าหนดทิศในการก้าหนดต้าแหน่งหรือทิศทางของ
สถานท่ตี ่างๆ

6. รับผิดชอบตามหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายในการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพ่ือน้าไปสู่การสร้างค้าอธิบาย
การเกิดลม น้าเสนอเกี่ยวกับผลของลมตอ่ สิง่ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อมจากข้อมูลท่ีรวบรวมได้ โดยมีการเลือกส่ือท่ีใช้
ในการสือ่ สารให้เหมาะสมกับบคุ คล

7. วางแผนการปฏิบัติตนทีเ่ ป็นไปได้จรงิ เพื่อให้มีความปลอดภัยจากวาตภัยและอุทกภยั โดยอาศัยความรู้
เก่ยี วกับลกั ษณะของภยั ธรรมชาติ

8. ส่ือสารความเข้าใจเกี่ยวกับแรง ผลของแรงท่ีมีต่อวัตถุต่าง ๆ และแรงแม่เหล็กที่สังเกตได้จากการท้า
กิจกรรมหรือพบในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจ้าวันผ่านส่ือและภาษาที่เหมาะสม เข้าใจง่าย เลือกใช้วัสดุให้
เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งานโดยพิจารณาจากสมบัติของวัสดุอย่างมีเหตุผล และมีส่วนร่วมในการท้างานกับ

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

76
ผู้อ่ืนและรับผิดชอบตามหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมายในการประยุกต์ใช้ความรู้เร่ืองแรงและสมบัติของวัสดุเพ่ือ
แกป้ ญั หาหรอื สร้างของเล่นของใชอ้ ย่างง่าย

9. แก้ปัญหาอยา่ งง่ายหรือท้ากจิ กรรมในชีวิตประจ้าวนั อยา่ งมีขนั้ ตอน แสดงวิธีการหาค้าตอบหรอื วิธี
แก้ปัญหา ระบุเหตผุ ลทน่ี า้ ไปสูค่ า้ ตอบ มีความมุ่งมนั่ ในการแก้ปัญหาให้สา้ เร็จ

10. ใช้เทคโนโลยดี ิจทิ ลั หรือแหลง่ เรียนรู้ในการสบื ค้นข้อมูล สรปุ ความเขา้ ใจจากข้อมูล และ
ติดตอ่ สื่อสารในชวี ติ ประจ้าวันไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและปลอดภัย

11. สร้างของเล่นหรือของใชเ้ พอ่ื แกป้ ัญหาตามความสนใจโดยร่วมกันทา้ งานเปน็ ทมี เลอื กและใช้สิง่ ของ
เคร่อื งใชใ้ นชวี ิตประจา้ วันตามหนา้ ที่ใช้สอยได้อย่างปลอดภัย

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

77

ระดบั ชว่ งชน้ั ที่ ๒ (ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ – ๖)
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย

สำระสำคญั ของกลมุ่ สำระกำรเรียนรู้
ควำมสำคญั ของกลุม่ สำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสาหรับการส่ือสารท่ีสาคัญของคนไทย ทาให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ทั้งระดับบุคคลและ

ระดับสังคม เป็นเครื่องมือสาหรับการคิด การรู้คิดด้วยภาษาไทยจะช่วยให้การเรียนรู้ และการแสวงหาความรู้ใน
ศาสตร์อื่น ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ ภาษาไทยเป็นสานกึ รว่ ม เป็นมรดก ทางวฒั นธรรม และเป็นเอกลักษณ์
ของชาติ ตลอดจนเป็นเคร่ืองมือสาหรับการสรา้ งสรรคแ์ ละการเข้าถึงสุนทรียภาพ ดังน้ัน การใช้ภาษาไทยจงึ เป็น
สมรรถนะท่ีต้องศกึ ษาและฝึกฝนจนเกดิ ความชานาญ

กลุ่มสาระการเรียนรู้น้ีมีสมรรถนะเฉพาะ ๔ สมรรถนะ ได้แก่ ๑) การฟัง การดู และการพูด เพ่ือ
พัฒนาการคิด ๒) การอ่านเพ่ือพัฒนาการคิด ๓) การเขียนเพ่ือพัฒนาการคิด และ ๔) การเข้าใจธรรมชาติของ
ภาษาและการใชภ้ าษาไทย

สมรรถนะเฉพาะทั้ง ๔ สมรรถนะดงั กล่าว มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับสมรรถนะหลักทง้ั ๖ สมรรถนะ และบรู ณาการ
กนั เป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ชว่ งช้นั ๑๒ ขอ้ ซง่ึ เปน็ เป้าหมายของชว่ งชั้นนี้

ผลลัพธ์การเรียนรู้ชว่ งชั้นที่ ๒ ทั้ง ๑๒ ขอ้ นาไปกาหนดเป็นผลลพั ธ์การเรียนรชู้ ั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ - ๖ โดยตอ้ ง
คานึงถึงการบูรณาการสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะด้วย เพื่อให้เม่ือผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์ การเรียนรู้ช้ันปีแล้วจะ
นาไปสูก่ ารบรรลผุ ลลพั ธ์การเรียนรชู้ ว่ งชัน้ ตามทหี่ ลกั สูตรกาหนดไว้

ลักษณะเฉพำะ/ ธรรมชำตขิ องกล่มุ สำระกำรเรียนรู้
การเรียนรู้ภาษาไทยในช่วงช้ันท่ี ๒ เป็นการเรียนรู้การใช้ภาษาท่ีนักเรียนต้องได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้น
จากการเรียนรู้ในชว่ งชน้ั ท่ี ๑
นกั เรยี นจะได้รับการพฒั นาสมรรถนะการฟังจากการฟงั และการดูสอื่ ตา่ ง ๆ เพ่ือทาความเข้าใจ วเิ คราะห์
และประเมินความน่าเช่ือถือจากการฟังหรือการดูอย่างมีเหตุผล ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาสมรรถนะการพูด ทั้ง
การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น ประสบการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคล โอกาส และ
กาลเทศะ รวมทงั้ มมี ารยาทในการฟงั การดู และการพูด
นอกจากน้ี นักเรียนยังต้องไดร้ บั การพฒั นาสมรรถนะการอา่ น เพ่อื ให้สามารถอ่านบทอา่ นประเภทต่าง ๆ
ได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถเข้าใจเน้ือหาสาระ แยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น จับใจความสาคัญของเรื่อง
รวมท้ังนาความรู้ความคิดจากเรื่องไปใช้ในชีวิตจริง และยังต้องได้รับการพัฒนาสมรรถนะการเขียน เพื่ อให้
สามารถเขียนสื่อสารได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้คาและประโยคได้อย่างถูกหลักการใช้ภาษา ในการส่ือ
ความหมาย เพ่ือส่อื สารและเรยี นรอู้ ย่างมีประสิทธภิ าพ และมีมารยาทในการอ่านและการเขียน

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

78

จุดเนน้ กำรพฒั นำ
การสอนภาษาไทยในช่วงชัน้ ที่ ๒ เปน็ การพัฒนาสมรรถนะการใช้ภาษาของนักเรียน ผา่ นการเรยี นรู้หลัก
ภาษาไทยและโครงสร้างภาษาไทยจากสื่อต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดสมรรถนะการใช้ภาษาเพ่ือสื่อสาร ในบริบท
ตา่ งๆ และเกดิ สมรรถนะการใช้ภาษาในฐานะเครือ่ งมือการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ในช่วงช้ันที่ ๒ ยังคงให้ความสาคัญกับเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมายเช่นเดียวกับ
การจัดการเรียนรู้ในช่วงช้ันท่ี ๑ โดยในช่วงชั้นนี้ นักเรียนจะมีการปรับตัวและพร้อมที่จะเรียนรู้ได้มากข้ึน ครูจึง
ควรจัดการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องและส่งเสริมความสามารถในการรับรู้และการเรียนรู้ตามศักยภาพของนักเรียนทั้ง
การเรียนรู้จากการปฏิบัติจรงิ และการส่งเสริมความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดจนความซาบซง้ึ ในคุณคา่ และความ
งามของภาษาไทย โดยออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายและสอดคล้อง กับพัฒนาการของนักเรียนแต่
ละคน
กำรนำไปใชใ้ นชีวิตจริง
การเข้าใจธรรมชาติของภาษาและการใช้ภาษาไทยในช่วงช้ันน้ี มีวัตถุประสงค์สาคัญเพื่อให้นักเรียน ได้
ฝึกการฟัง การดู การพูด การอ่าน และการเขียน ผ่านการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาและโครงสร้างภาษาไทย จาก
ส่ือต่าง ๆเพ่ือให้นักเรียนเกิดสมรรถนะการใช้ภาษาท่ีสูงขึ้นเพื่อสื่อสารในบริบทต่าง ๆ และเกิดสมรรถนะ การใช้
ภาษาในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ การสอนอ่านเขียนจึงนอกจากเพ่ือให้นักเรียนสามารถอ่านเขียน ได้อย่าง
ถูกต้อง ชัดเจนแล้ว ยังเพ่ิมความคล่องแคล่วในการอ่านและการเขียนมากยิ่งข้ึน จากน้ันจะเป็นการพัฒนา การเรียนรู้
เกี่ยวกับการเข้าใจความหมายของเรื่อง การจับใจความสาคัญ การคิดวิเคราะห์ และการนาไปใช้ ในชีวิตจริง
อย่างเหมาะสมกบั บรบิ ทและสถานการณ์
การใช้ภาษาไทยเพ่ือให้สามารถส่ือสารได้ทั้งการเรียนในช้ันเรียนและทุกเวลาที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์
สื่อสารกับผู้อ่ืน นักเรียนจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาหรือฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การส่ือสารเป็นไปอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
กำรบรู ณำกำรกับกลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้ต่ำงๆ
การเรียนรู้ภาษาไทยในช่วงชั้นที่ ๒ นี้ นักเรียนจะได้เรียนรู้ผ่านการรับสารต่าง ๆ ท้ังจากการฟัง ดู และ
การอ่าน เพ่ือให้สามารถส่งสาร คือ การเขียนและการพูดได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล ด้วยเหตุนี้
การออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนอกจากจาเป็นต้องเช่ือมโยงบนฐานของสถานการณ์และบริบท
ต่างๆ แลว้ ยังตอ้ งมกี ารบรู ณาการร่วมกบั วิชาอืน่ ๆ เชน่

คณิตศำสตร์ อ่านและเขียนแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ และกราฟ ฟัง ดู และอ่านโจทย์คณิตศาสตร์
ตีความ แก้ปัญหา พูดนาเสนอ แสดงวิธีคิด เขียนคาที่สื่อความหมายถึงการบวก การลบ การคูณ การหาร ใช้
ภาษา และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการส่ือสาร การสื่อความหมาย และการนาเสนอได้อย่างอย่างถูกต้อง
เหมาะสม

ภำษำองั กฤษ เรียนรู้ ฟัง ดู และพูดคาศพั ท์ เร่ืองราวต่างๆ ท้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ

หลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

79

ศิลปะ วาดภาพประกอบเรื่องราวท่ีได้ฟังหรือดู พูดหรือเขียนสื่อสารความคิด ความรู้สึก หรือ
เร่อื งราวจากผลงานทางทศั นศลิ ป์ ดนตรี และนาฏศลิ ป์

สุขศึกษำและพลศึกษำ อธิบายหรือนาเสนอความสาคัญหรือการปฏิบัติตนจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ จาก
ส่อื ตา่ ง ๆ เชน่ วิธีการดูแลสุขภาพ เพศศึกษา การออกกาลังกายและกฬี า

สงั คมศึกษำ ใช้แผนที่ ภาพถ่าย อธิบายลักษณะสาคญั ของชุมชน และประเทศ การจัดทาแผน การ
ใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม เรียนรู้และวิเคราะห์เร่ืองราว จากบทอ่านท่ีมีเน้ือหา
เก่ียวกับวันสาคัญประเพณีและวัฒนธรรม ชุมชน ท้องถิ่น สภาพแวดล้อม ศาสนา พิธีกรรม ประวัติของท้องถิ่น
นิทานในท้องถิ่น เพลงพื้นบ้าน อ่านข้อมูลจากแผ่นพับสาหรับโฆษณาหรือ ป้ายโฆษณาสินค้า หรือแพลตฟอร์ม
ดจิ ิทัล เชน่ สภาพอากาศ แผนทก่ี ารเดนิ ทาง

วิทยำศำสตร์และระบบธรรมชำติ ส่ือสารความรู้ความคิดที่เกิดข้ึนจากกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ การ
นาเสนอผลงานจากการสารวจหรือศึกษาส่งิ ต่าง ๆ ท้งั การพูดหรือการเขยี นอธิบายใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจโดยมีการอ้างอิงท่ี
ถกู ตอ้ ง

ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพำะ

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลกั

๑. กำรฟัง กำรดู และกำรพูดเพอ่ื พฒั นำกำรคดิ

๑.๑ ฟังและ/หรือดูสื่อต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกับสถานการณ์ในชีวิตประจาวัน ๑. การจดั การตนเอง

ชุมชน และสังคม แล้วพูดสรุป ตั้งคาถาม วิเคราะห์ รวมทั้งแสดง ๒. การคดิ ขน้ั สูง

ความรู้ ความรูส้ กึ และความคิดเหน็ อยา่ งมีเหตุผล ๓. การสอื่ สาร

๑.๒ ฟังและ/หรือดูสื่อต่าง ๆ อย่างตั้งใจแล้วพูดเล่าเร่ือง พูดนาเสนอ ๕. การเป็นพลเมืองท่เี ขม้ แข็ง

รายละเอียด สาระสาคัญ และข้อคิด รวมทั้งแสดงความคิดเห็นและ

ความรูส้ ึกอย่างสรา้ งสรรค์

๑.๓ ฟังและ/หรือดูสื่อต่าง ๆ วิเคราะห์ความน่าเช่ือถือ พูดแสดงความ

คิดเหน็ อยา่ งมีเหตผุ ล เพื่อใหส้ ามารถเลอื กฟังและดูส่ือด้วยตนเองได้

อย่างเหมาะสม

๑.๔ พูดโน้มน้าว พูดปฏิเสธ และพูดโต้ตอบอย่างถูกต้อง สุภาพ ถูก

กาลเทศะ และม่ันใจ ทั้งในโลกจริงหรือโลกเสมือนจริง ด้วยความ

เข้าใจ และเคารพในความแตกต่างเพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง

และผูอ้ ่ืน

๑.๕ พูดแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกเก่ียวกับการพูดของตนและ

ผูอ้ น่ื ไดอ้ ย่างเป็นกลาง ใหเ้ กยี รติ และเคารพในความแตกต่าง

หลักสตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

80

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลกั

๒. กำรอ่ำนเพือ่ พัฒนำกำรคดิ

๒.๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง เพ่ือถ่ายทอด ๑. การจัดการตนเอง

ความหมาย และ/หรืออารมณ์ความรู้สึกได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ๒. การคิดข้นั สงู

และไพเราะ ๓. การสอื่ สาร

๒.๒ อา่ นสญั ลักษณ์ แผนผงั แผนที่ แผนภมู ิ ตาราง กราฟ ๕. การเปน็ พลเมอื งท่เี ขม้ แขง็

และอนิ โฟกราฟิก จากสื่อต่าง ๆ วิเคราะหค์ วามหมายของข้อมูล ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และ

แลว้ นาไปปรบั ใชใ้ ห้เป็นประโยชนต์ อ่ ตนเองและผ้อู น่ื วทิ ยาการอยา่ งย่ังยืน

๒.๓ อ่านเร่ืองจากส่ือต่าง ๆ แล้วตั้งคาถาม ตอบคาถาม จับใจความ

สาคัญ สรุปความรู้และข้อคิด วิเคราะห์ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น

ตีความความหมายโดยตรงและโดยนัย ประเมินค่า รวมท้ังนาไป

ประยุกตใ์ ช้ ในชีวติ จรงิ

๒.๔ อา่ นวรรณคดแี ละวรรณกรรม แล้ววิเคราะห์ ตีความ ประเมนิ คา่

และแสดงความคิดเหน็ เพือ่ นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ

๒.๕ อ่านบทอ่านตามความสนใจจากสื่อต่าง ๆ อย่างสม่าเสมอ และ

นาเสนอเรอ่ื งทีอ่ ่านไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์

๓. กำรเขยี นเพอื่ พฒั นำกำรคิด

๓.๑ เขียนสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้คาได้ถูกต้อง ชัดเจน และ ๑. การจดั การตนเอง

เหมาะสม ด้วยลายมอื ทส่ี วยงามและเป็นระเบียบ ๒. การคิดขน้ั สงู

๓.๒ เขียนจดหมาย จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ย่อความ เขียนบันทึก และ ๓. การสื่อสาร

เขยี นสรปุ ความจากการศกึ ษาค้นคว้าไดถ้ ูกต้องตามรปู แบบ ๕. การเปน็ พลเมอื งทีเ่ ข้มแขง็

โดยไมล่ ะเมิดสทิ ธ์ิของผอู้ ่นื ๖. การอยรู่ ่วมกับธรรมชาติ และ

๓.๓ เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็นด้วยตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ วิทยาการอยา่ งยง่ั ยืน

ผ่านส่ือต่าง ๆ อย่างเหมาะสมกับบุคคล โอกาส และกาลเทศะโดย

ไมล่ ะเมดิ สทิ ธ์ขิ องผอู้ นื่

๓.๔ เขยี นโครงเรอื่ งและแผนภาพความคดิ แล้วนาไปใชใ้ นการเขียนเรอ่ื ง

ตามจินตนาการ และเขยี นเรยี งความอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม

๓.๕ เขียนแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกเก่ียวกับงานเขียนของตนเอง

และผ้อู น่ื อยา่ งสรา้ งสรรคแ์ ละเป็นกลาง

๔. กำรเข้ำใจธรรมชำติของภำษำและกำรใชภ้ ำษำไทย

๔.๑ ใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้ังโลกจริงและโลก ๒. การคิดข้ันสูง

เสมอื นจรงิ ได้อยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสมกบั บุคคล โอกาส และกาลเทศะ

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

81

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลัก

๔.๒ ใช้ภาษาไทยมาตรฐานได้ถกู ตอ้ ง เหมาะสมกับบุคคล โอกาส ๓. การสื่อสาร

และกาลเทศะ เรียนรู้ภาษาถิ่นเพื่อให้เกิดความเข้าใจในความ ๕. การเป็นพลเมอื งทเ่ี ข้มแขง็
หลากหลาย ตลอดจนเหน็ คุณคา่ ของภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถน่ิ

๔.๓ เข้าใจความหมายและการใช้คา สานวน คาราชาศัพท์ คายืมที่มาจาก

ภาษาต่างประเทศที่ถูกต้อง เพื่อนาไปใช้ในการรับรู้ข้อมูลอย่างเข้าใจ

และใช้ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมกบั บคุ คล โอกาส และกาลเทศะ

๔.๔ ใช้ประโยคถูกต้องตามหลักภาษา เพ่ือนาไปใช้ในการส่ือสารได้ถูกต้อง

เหมาะสม

๔.๕ แต่งบทรอ้ ยกรองไดถ้ ูกต้องและมีวรรณศิลป์ เพื่อนาไปประกอบการ

พูดการนาเสนอ หรือการเขยี นใหม้ ีความนา่ สนใจ

ผลลพั ธก์ ำรเรยี นรเู้ มื่อจบชว่ งชั้นท่ี ๒
๑) ฟังและ/หรือดูส่ือต่าง ๆ แล้วสามารถวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ พูดสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ พูดแสดง

การคิดวิเคราะห์ ความรู้ ความรสู้ ึก และความคิดเห็นอย่างมเี หตุผลและสร้างสรรค์ รวมท้งั สามารถเลือกฟังและดู
สอ่ื ท่เี หมาะสมแก่ตนเอง

๒) พูดโน้มน้าว พูดปฏิเสธ และพูดโต้ตอบด้วยความม่ันใจอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมท้ังพูดแสดง
ความคดิ เห็นและความรูส้ ึกเกย่ี วกับการพูดของตนและผู้อื่นอย่างเปน็ กลางและสรา้ งสรรค์

๓) อา่ นออกเสยี งบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง เหมาะสม และไพเราะ
๔) อ่านวเิ คราะหค์ วามหมายของขอ้ มูลจากส่ือตา่ ง ๆ ได้ถูกต้อง และนาไปปรับใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์
๕) อ่านเรื่องจากสื่อต่าง ๆ รวมท้ังวรรณคดีและวรรณกรรม แล้วสามารถต้ังคาถาม ตอบคาถาม จับ
ใจความสรุปความ วิเคราะห์ ตคี วาม ประเมินค่า แสดงความคิดเหน็ และนาไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจริง ตลอดจนมี
นิสัย รกั การอ่าน
๖) เขียนสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยลายมือท่ีเป็นไปตามมาตรฐานโครงสร้างตัวอักษรไทย โดยใช้
คาไดถ้ ูกต้องและเหมาะสม
๗) เขียนส่ือสารในรูปแบบต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามมาตรฐาน รวมทั้งเขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ด้วย
ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ได้เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และกาลเทศะ ตลอดจนเขียนประเมินงาน
เขียนของท้งั ตนเองและผู้อื่นอยา่ งเปน็ กลางและสรา้ งสรรค์
๘) เขียนโครงเรื่องและแผนภาพความคิด แล้วนาไปเขียนเรื่องตามจินตนาการและเรียงความได้ถูกต้อง
และเหมาะสม
๙) ใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนในสถานการณ์ต่าง ๆ รวมท้ังภาษาไทยมาตรฐานได้ถูกต้อง เหมาะสมกับ
บุคคล โอกาส และกาลเทศะ ตลอดจนเข้าใจความหลากหลายของผู้อ่นื โดยเรยี นรู้ผ่านภาษาถ่ิน

หลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

82

๑๐) ใช้คา คายืม คาราชาศัพท์ และสานวนได้ถูกต้อง เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และกาลเทศะ รวมทั้ง
ใช้ ประโยคส่ือสารได้ถกู ต้องตามหลักภาษา

๑๑) แต่งบทร้อยกรองไดถ้ ูกตอ้ งและมีวรรณศลิ ป์ ตลอดจนนาไปใช้ประกอบการพูด การนาเสนอ หรือการ
เขียน ให้นา่ สนใจย่ิงขึ้น

๑๒) มีเจตคตทิ ่ดี ีตอ่ การใชภ้ าษาไทยอย่างถูกตอ้ ง

กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

สำระสำคัญของกลุม่ สำระกำรเรียนรู้
ควำมสำคัญของกลมุ่ สำระกำรเรียนรคู้ ณิตศำสตร์
คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญต่อการพัฒนาความคิดของนักเรียนในช่วงช้ันที่ ๒ ช่วยให้นักเรียน คิดวิเคราะห์

สังเคราะห์ และตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม มีวิจารณญาณบนหลักเหตุผลอย่างรอบด้าน รู้เท่ากันการ
เปลย่ี นแปลงทางสังคม สิง่ แวดลอ้ ม และเทคโนโลยี การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ทางคณิตศาสตร์ให้กับนกั เรียน
จะส่งผลให้นักเรียนมีความสามารถในการคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน ส่ือสาร นาเสนอ
เลือกใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม นอกจากน้ีคณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อ่ืน ๆ เพือ่ ให้มีความเข้าใจเก่ียวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ รอบตวั สามารถ
แก้ปัญหาในชีวติ จรงิ อยู่รว่ มกบั ธรรมชาตแิ ละผู้อื่นในสังคม ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข

ลกั ษณะเฉพำะ/ ธรรมชำตขิ องกลุ่มสำระกำรเรียนรู้
คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการคานวณ การคิด การสร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ เพื่อ
แก้ปัญหาในชีวิตจริง สาหรับนักเรียนช่วงช้ันที่ ๒ จะได้เรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบเก่ียวกับจานวน การ
ดาเนนิ การของจานวน การวดั รูปเรขาคณิต แบบรูปและความสมั พนั ธ์ และสถิติ ใช้การใหเ้ หตุผล ท่ีสมเหตุสมผล
เพ่อื สร้างขอ้ คาดการณ์และข้อสรุปที่นาไปสู่ทฤษฎี กฎ สูตร และนาไปใช้
คณิตศาสตร์มีความถูกต้องเท่ียงตรง คงเส้นคงวา มีระเบียบแบบแผน เป็นเหตุเป็นผล เพื่อให้ได้ข้อสรุป
และนาไปใช้ประโยชน์ คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นภาษาสากลท่ีทุกคนเข้าใจตรงกันในการสื่อสาร สื่อความหมาย
และถ่ายทอดความร้รู ะหว่างศาสตรต์ า่ ง ๆ
จดุ เน้นกำรพฒั นำ
ในกลมุ่ สาระการเรียนรนู้ ้ี สาหรบั นกั เรยี นในช่วงชัน้ ที่ ๒ มจี ุดเนน้ ในการพัฒนาดงั น้ี
จานวนและการดาเนินการเน้นต่อยอดกระบวนการคิดจากช่วงช้ันท่ี ๑ มาสู่การเรียนรู้จานวนนับและการดาเนินการ
ของจานวนนับที่มากกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ผ่านกิจกรรมแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จากสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตจริงจนเกิดการ
คิดท่ียืดหยุ่นและรอบคอบ จากน้ันขยายแนวคิดทั้งด้านความรู้และทักษะต่าง ๆ ไปใช้ในการเรียนรู้เก่ียวกับ
เศษส่วนและทศนิยม การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษสว่ น ทศนยิ ม เช่ือมโยงกับสถานการณ์ท่ีเก่ยี วกับ

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

83

การวัดและเรขาคณิต แล้วนาไปประยกุ ตใ์ ช้ในเร่ืองอตั ราส่วนและรอ้ ยละ บูรณาการกับสถานการณ์ตา่ ง ๆ ในชวี ิต
จรงิ แก้ปัญหาดว้ ยแนวคิดท่ีหลากหลายหรือแตกตา่ งอยา่ งมมุ านะ

แบบรูปและความสัมพันธเ์ น้นเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของจานวนและส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยูใ่ นลกั ษณะของ แบบ
รูปโดยสังเกต ค้นหาความสัมพันธ์ สรา้ งขอ้ คาดการณ์และข้อสรุปเพ่ือนาไปสู่การสรา้ งแบบรูป สร้างสรรค์ผลงาน
หรือแก้ปญั หาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ดว้ ยแนวคดิ ทห่ี ลากหลายหรอื แตกตา่ ง

รูปเรขาคณิตสองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติเน้นการสร้างข้อคาดการณ์และข้อสรุปต่าง ๆ ด้วยตนเองโดยสารวจ
สังเกต วัด หรือสร้างแบบจาลอง เพื่ออธบิ ายลักษณะและบอกสว่ นต่าง ๆ สร้างข้อคาดการณ์ ให้เหตุผล เสนอข้อ
โต้แย้ง โดยมีข้อเท็จจรงิ ทางคณิตศาสตรร์ องรบั จนนาไปสู่ขอ้ สรุปเกย่ี วกับสมบัตติ ่าง ๆ และแนวคิดหรอื วธิ ีการหา
ความยาวรอบรูป พื้นที่ ปริมาตรและความจุ นาไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยแนวคิดที่หลากหลาย
หรอื แตกต่าง

เวลาและระยะเวลาในช่วงชั้นนี้เป็นการต่อยอดการเรียนรู้จากช่วงช้ันที่ ๑ เน้นการเช่ือมโยงกับ
สถานการณ์ในชวี ิตจริง ผา่ นกิจกรรมตา่ ง ๆ ในครอบครัว โรงเรียน หรือชุมชน ทีม่ ีการแสดงเวลาเปน็ ช่ัวโมง นาที
และวนิ าที

ขอ้ มูลและการนาเสนอข้อมูลเน้นการใชก้ ระบวนการทางสถิติเพ่ือหาคาตอบจากปัญหาท่ีสนใจ ในโรงเรียนหรือชุมชน
โดยเก็บรวบรวมข้อมูล นาเสนอข้อมูลโดยใช้เคร่ืองมือพื้นฐานหรือซอฟต์แวร์ วิเคราะห์ข้อมูล แปลความหมาย
ขอ้ มูล รวมทัง้ ใช้ข้อมลู จากส่อื ต่าง ๆ อย่างรู้เท่าทนั เพอ่ื อธิบายสถานการณ์ คาดการณ์ หรือตัดสนิ ใจ

กำรนำไปใช้ในชีวติ จรงิ
ในช่วงช้ันท่ี ๒ เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์ผ่านการสะท้อนความคิด (reflect) จากประสบการณ์ในการ
แก้ปัญหา จะทาให้นักเรียนมองเห็นปัญหาในชีวิตจริงด้วยมุมมองของตนเองและผู้อ่ืน คิดวิเคราะห์ คิดอย่างเป็นระบบ เพื่อ
ตัดสินใจเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผลและเหมาะสมกับสถานการณ์ มีแนวคิดที่หลากหลายและ
ยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา ต่อยอดแนวคิดและกระบวนการเรียนรู้เพ่ือสร้างแนวคิดใหม่หรือแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นใน
ชวี ิตจริง รวมถึงคน้ หาขอ้ มลู เพ่ือหาคาตอบของปัญหาท่ีสนใจหรือสรา้ งสรรค์ สิ่งใหม่ๆ นอกจากน้ีนกั เรียนสามารถ
ส่ือสาร ส่ือความหมาย และนาเสนอแนวคิดต่าง ๆ เพ่ือสนับสนุนแนวคิดของตนเอง หรือโต้แย้งแนวคิดของผู้อื่น
อยา่ งสมเหตสุ มผลซึ่งนาไปสกู่ ารอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอย่างมคี วามสุข
กำรบูรณำกำรกบั กลุม่ สำระกำรเรยี นรูต้ ำ่ ง ๆ

ภำษำไทย/ ภำษำต่ำงประเทศ สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่าน
การอ่าน ฟัง เขียน พูด โดยใช้คาศัพท์ทางคณิตศาสตร์ เช่น อ่านและเขียนแสดงจานวนของส่ิงต่าง ๆ จานวนเงิน เวลา ตาราง
หรอื แผนภูมิแสดงข้อมลู ในบทความ รายงาน ข่าว ป้ายประกาศ หรือป้ายโฆษณา ฟงั ประกาศหรือโฆษณาจากส่ือ
ต่าง ๆ นาเสนอผลงานอยา่ งเป็นลาดบั ข้นั ตอน

ศิลปะ สามารถสร้างสรรค์งานศลิ ปะตามจินตนาการ โดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เช่น ออกแบบ
และประดิษฐ์ลวดลายต่าง ๆ ของเล่นของใช้ หรือแบบจาลองของส่ิงต่าง ๆ โดยใช้ความรู้เร่ืองส่วนของเส้นตรง
เส้นต้งั ฉาก เส้นขนาน การวัด รูปเรขาคณิต มาตราส่วน ออกแบบจงั หวะหรือทานองเพลง ออกแบบท่าการแสดง

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

84

โดยใช้ความรู้เร่ืองแบบรูป รวมทั้งสามารถส่ือสาร สื่อความหมาย และนาเสนอแนวคิดหรือเร่ืองราวของตนเอง

ผา่ นงานศลิ ปะ

สขุ ศึกษำและพลศึกษำ สามารถนาความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ออกแบบท่ากายบริหาร

หรือท่าเตน้ ประกอบเพลงโดยใช้ความรู้เรื่องแบบรูป กาหนดตารางการแข่งขัน บอกวันและเวลา ในการแข่งขัน บอกระยะเวลา

วงิ่ หรือว่ายน้า อ่านกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กไทย อ่านอุณหภูมิร่างกายจากเคร่ืองวัดอุณหภูมิ การ

อา่ นฉลากโภชนาการ

สังคมศึกษำ สามารถนาความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น จัดทาแผนภาพลาดับ

เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามระยะเวลาหรือชว่ งเวลา บอกพนื้ ที่ของจังหวดั ตนเองหรือประเทศจากแผนที่ ที่มี

มาตราส่วน วางแผนการใช้จ่ายของตนเองและครอบครัว รวมถึงใช้กระบวนการทางสถิติในการแก้ปัญหา

ส่ิงแวดลอ้ มในชมุ ชน เชน่ การลดปรมิ าณขยะมูลฝอย การลดการใชพ้ ลาสติก

วทิ ยำศำสตร์และระบบธรรมชำติ สามารถนาความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปใช้เป็นเคร่ืองมือในการสืบ

เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ เช่น วดั และบันทึกความยาว น้าหนัก อุณหภูมิ ปริมาตรทีว่ ัดได้ เป็นทศนิยม วัด

และบันทึกระยะเวลาเป็นนาที วินาที ออกแบบตารางบันทึกข้อมูล ออกแบบและนาเสนอข้อมูลท่รี วบรวมไดด้ ้วย

ตาราง แผนภูมิแท่ง แผนภูมิรูปวงกลม และกราฟเส้น อ่านและแปลความหมายข้อมูล เพ่ือลงข้อสรุป อธิบาย

เหตุการณ์ ปรากฎการณ์ คาดการณ์ ตัดสินใจ

เทคโนโลยีดิจิทัล สามารถบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเรียนรู้และแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ เช่น

สืบค้นและประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากอินเทอรเ์ น็ต ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อช่วย ในการคานวณ การวัด หรือ

นาเสนอขอ้ มูล

กำรจัดกำรในครัวเรือนและกำรประกอบกำร สามารถนาความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปใช้ เป็นเคร่ืองมือในการ

วิเคราะหแ์ นวทาง วางแผน และเพ่ิมโอกาสในการสร้างรายได้ เช่น สารวจตลาดและวิเคราะหข์ ้อมูล คานวณต้นทุน

กาไร ขาดทุน ทาบัญชีรายรับรายจ่ายต่าง ๆ ในการประกอบการ การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าหรือลด

ตน้ ทนุ

ควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงสมรรถนะหลกั และสมรรถนะเฉพำะ

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลกั

๑. กำรแกป้ ัญหำ

๑.๑ มีความอยากรู้อยากเห็น มองเห็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ ในชีวิต ๑. การจดั การตนเอง

จริงด้วยมุมมองของตนเอง (thinking mathematically) ๒. การคิดขนั้ สูง

๑.๒ แก้ปัญหาในชีวิตจริงด้วยแนวคิดของตนเองในสถานการณ์ต่าง ๆ ๓. การสอื่ สาร

และเรียนรู้คณิตศาสตร์ผ่านการสะท้อนความคิด (reflect) จาก ๕. การเป็นพลเมืองทเี่ ข้มแขง็

ประสบการณ์ของตนเองหรือแลกเปลีย่ นกับผู้อ่นื ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

๑.๓ มีความกระตือรือร้นและมมุ านะในการแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ และวิทยาการอย่างยงั่ ยืน

๑.๔ ตระหนักและเหน็ คุณค่าของการใช้คณติ ศาสตร์ในการแกป้ ญั หา

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

85

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลัก

๒. กำรสอ่ื สำร และนำเสนอ (Communication and presentation)

๒.๑ สือ่ สารแนวคิดทางคณติ ศาสตร์ของตนเองอยา่ งมั่นใจ โดยใช้ การ ๑. การจัดการตนเอง

แสดงแทนทางคณิตศาสตร์ทีห่ ลากหลาย ดว้ ยสือ่ ของจริง รปู ภาพ ๒. การคิดขั้นสูง

งานศลิ ปะ แผนภาพ ภาษา หรือสัญลกั ษณ์ ๓. การส่ือสาร

๒.๒ รับฟัง เข้าใจความหมาย เคารพในความแตกต่างระหว่างตนเอง ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทมี

กับผอู้ นื่ เหน็ คุณค่าแนวคดิ ของผู้อ่ืน ๕. การเปน็ พลเมอื งท่เี ข้มแข็ง

๒.๓ แสดงวิธีคิด หลักฐาน หรือข้อมูลประกอบการแก้ปัญหา เพ่ือ ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

นาเสนอแนวคดิ หรอื วิธกี ารของตนเองอยา่ งเป็นระบบ และวิทยาการอยา่ งยง่ั ยนื

๓. กำรใหเ้ หตุผล

๓.๑ ให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์สนับสนุนแนวคิดหรือข้อคาดการณ์ ๒. การคิดขน้ั สูง

ของตนเองได้อย่างสมเหตุสมผล ให้เหตุผลเชิงตรรกะ (logical ๓. การสือ่ สาร

reasoning) โดยใช้ข้อเท็จจริง สมบัติต่าง ๆ หรือข้อสรุปทั่วไป ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทีม

ทางคณติ ศาสตร์ ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

๓.๒ รับฟัง พิจารณาแนวคิดของผู้อ่ืนหรือข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ และวทิ ยาการอย่างยั่งยืน

ประกอบการตดั สนิ ใจเพ่ือสนบั สนุนหรอื โตแ้ ย้งอย่างเหมาะสม

๓.๓ ตระหนักถึงความจาเปน็ และความสาคัญในการใหเ้ หตผุ ล

๔. กำรสรำ้ งข้อสรุปท่วั ไป และขยำยแนวคดิ (Generalization & Extension)

๔.๑ สร้างข้อคาดการณ์ ผ่านการสังเกต ค้นหาลักษณะร่วมที่เกิดขึ้น ๒. การคดิ ข้นั สูง

จากกรณีเฉพาะ โดยใช้มุมมองทางคณิตศาสตร์ ท้ังด้านความรู้ ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

และวิธีการเรียนรู้ (how to learn) เพื่อสร้างข้อสรุปทั่วไป และวทิ ยาการอย่างยั่งยนื

(generalization)

๔.๒ ขยายแนวคิด (extension) โดยใช้ความรู้และวิธีการเรียนรู้
(how to learn) ท่ีได้เรียนรู้มาก่อนเพื่อสร้างแนวคิดใหม่ หรือ
แก้ปญั หาในสถานการณต์ า่ ง ๆ ในชวี ติ จริง

๕. กำรคดิ สร้ำงสรรค์

๕.๑ คดิ ไดอ้ ย่างหลากหลาย ละเอียดละออ แตกต่างจากเดิม คิดริเริ่ม ๒. การคิดขน้ั สงู

๕.๒ ประยุกต์และนาไปใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ยืดหยุ่นในการ ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

แก้ปัญหาในสถานการณต์ า่ ง ๆ และวทิ ยาการอย่างยั่งยนื

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

86

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลัก

๖. กำรใชเ้ ครือ่ งมอื ในกำรเรยี นรู้ (Use aids and tools)

๖.๑ ใช้และแบ่งปันส่ือการเรียนรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพ่ือแสดง ๒. การคดิ ขน้ั สงู

แนวคดิ สรา้ งความเขา้ ใจ หรอื แกป้ ัญหา ๓. การส่อื สาร

๖.๒ สืบค้น ตรวจสอบแหล่งที่มา (origin) ของข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทมี

ต่าง ๆ และเลือกใช้ประกอบการเรียนรู้และแก้ปัญหาในชีวิตจริง ๕. การเป็นพลเมอื งทเี่ ข้มแข็ง

ได้อยา่ งเหมาะสมกบั สถานการณ์ และรเู้ ท่าทนั ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

และวทิ ยาการอยา่ งยง่ั ยนื

ผลลัพธก์ ำรเรยี นรู้เม่อื จบชว่ งชัน้ ท่ี ๒
๑) ส่ือสารทางคณิตศาสตร์เก่ียวกับจานวนนับ เศษส่วน ทศนิยม ร้อยละและอัตราส่วนได้ถูกต้อง และนาไปใช้

ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
๒) อธิบายความสัมพันธ์ของจานวนนับ เศษส่วน ทศนิยม และร้อยละ เปรียบเทียบและเรียงลาดับจานวนนับ

เศษส่วน และทศนยิ ม พร้อมให้เหตผุ ล
๓) อธิบายความสัมพันธ์ของแบบรูป แสดงแนวคิดประกอบการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ สร้างข้อคาดการณ์

และขอ้ สรปุ และแกป้ ญั หาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งหลากหลายหรอื แตกต่างจากเดมิ
๔) อธิบายสถานการณ์ในชีวิตจริงท่ีเก่ียวกับการดาเนินการของจานวนนับ เศษส่วน และทศนิยม สร้างตัวแบบ

เชงิ คณิตศาสตร์ในการดาเนินการ หาผลลพั ธข์ องการดาเนินการได้อย่างคล่องแคลว่ ยืดหยนุ่ รอบคอบ และ
แปลความหมายภาษาและสัญลักษณ์ทางคณติ ศาสตรเ์ ปน็ สถานการณ์ในชวี ิตจริง
๕) แก้ปัญหาเกี่ยวกับจานวนนับ เศษส่วน ทศนิยม ร้อยละและอัตราส่วนในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยแนวคิด ที่
หลากหลายหรือแตกต่างจากเดิม อย่างมุมานะ และกระตือรือร้น พร้อมท้ังแลกเปล่ียนแนวคิดร่วมกับผู้อ่ืน
โดยตระหนักถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
๖) ส่ือสารเกยี่ วกบั ระยะเวลาได้ถกู ตอ้ ง และแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ อยา่ งมุมานะ และกระตือรอื ร้น
๗) สื่อสารทางคณิตศาสตร์เก่ียวกับจุด มุม เส้นตรง ส่วนของเส้นตรง รังสี เส้นตั้งฉาก และเส้นขนาน โดยใช้
สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้ถูกต้อง พร้อมท้ังอธิบายสมบัติของเส้นขนาน และนาไปใช้ในสถานการณ์ต่าง

๘) ให้เหตุผล สร้างข้อคาดการณ์และข้อสรุปเกี่ยวกับสมบัติของรูปสามเหล่ียม รูปส่ีเหลี่ยม วงกลม และขยาย
แนวคิดเพ่ือหาความยาวรอบรูปและพ้ืนที่ของรูปสามเหล่ียม รูปส่ีเหลี่ยม และวงกลมในสถานการณ์ต่าง ๆ
ดว้ ยวิธีท่ีหลากหลาย
๙) ให้เหตุผลในการจาแนก อธิบายลักษณะและส่วนต่าง ๆ ของแบบจาลอง และสร้างแบบจาลองของปริซึม
พีระมิด ทรงกระบอก กรวย และทรงกลม สร้างข้อคาดการณ์และข้อสรุปเก่ียวกับการหาปริมาตรและ ความจุของทรง
ส่ีเหลี่ยมมมุ ฉาก และหาปริมาตรและความจุของทรงสีเ่ หล่ยี มมมุ ฉาก

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

87

๑๐) แก้ปัญหาเกี่ยวกับความยาวรอบรูปและพ้ืนที่ของรูปสามเหล่ียม รูปสี่เหล่ียม และวงกลม ปริมาตรและ
ความจขุ องทรงสี่เหล่ยี มมมุ ฉากในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยแนวคดิ ท่ีหลากหลายหรือแตกต่างจากเดิม อย่างมุ
มานะ และกระตอื รือร้น พร้อมทง้ั แลกเปลย่ี นแนวคิดรว่ มกบั ผูอ้ น่ื

๑๑) จัดการข้อมูล และนาเสนอข้อมูลด้วยแผนภูมิแท่ง ตาราง กราฟเส้น แผนภูมิรูปวงกลม ได้อย่างเหมาะสม
โดยใช้เทคโนโลยี วิเคราะห์และแปลความหมายของข้อมูลจากส่ือต่าง ๆ สื่อสารและใช้ข้อมูลเพ่ือแก้ปัญหา
ในสถานการณต์ า่ ง ๆ อธบิ ายเหตกุ ารณ์ คาดการณ์ หรือตัดสนิ ใจอยา่ งรเู้ ทา่ ทัน

๑๒)ร่วมกันวางแผน มีส่วนรว่ มในการแกป้ ัญหาทางสถิติในสถานการณ์ต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวข้องกับโรงเรียนและชุมชน
อยา่ งมมุ านะ กระตอื รอื ร้น และสร้างสรรค์

กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาอังกฤษ

สำระสำคัญของกลุ่มสำระกำรเรียนรู้
ควำมสำคัญของกลุ่มสำระกำรเรียนรูภ้ ำษำองั กฤษ
ด้วยภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลท่ีมีการใช้อย่างแพร่หลายมากท่ีสุดภาษาหน่ึงและมีความสาคัญ เป็น

อย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ นอกจากน้ียังเป็นทักษะสาคัญของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ เป็น
เครื่องมือสาคัญในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจาวัน การแสดงออก การจัดการตนเอง การแสวงหาความรู้ เช่ือมโยงกับ
วิชาอน่ื ๆ การศึกษาตอ่ และการประกอบอาชีพ อันจะนาไปสกู่ ารเพ่ิมขดี ความสามารถ ในการแขง่ ขนั ของประเทศ

ลักษณะเฉพำะ/ ธรรมชำติของกลุ่มสำระกำรเรยี นรู้
เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ในด้านต่าง ๆ และเป็นเคร่ืองมือสาหรับ
การส่อื สารสรา้ งความเข้าใจในความแตกตา่ งในด้านเช้ือชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษ ยัง
สามารถช่วยกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน รวมทั้งเป็นเคร่ืองมือสร้างความเข้าใจอันดีกับ
ผู้อ่ืน โดยเฉพาะเม่ือทางานร่วมกัน อันนาไปสู่สัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน ผู้เรียนภาษาอังกฤษจะได้รับ การ
พัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนคาศัพท์ ประโยคง่าย ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องราว พร้อม ๆ กับ
แลกเปลี่ยนความรู้ แสดงความคิดเห็น และความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม โดยผู้เรียนควรได้รับแรงเสริม และ
กาลังใจจากครูให้มีความกลา้ รู้สึกสนุก มีความเพลิดเพลินในการเรียนรูภ้ าษา เกิดความคนุ้ เคย และความม่ันใจ
ในการฝึกสนทนา โตต้ อบ และเพ่ิมโอกาสใหน้ ักเรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษทงั้ ในและนอกช้นั เรียน
จุดเน้นกำรพัฒนำ (ชว่ งช้นั ท่ี ๒)
ในช่วงชั้นท่ี ๒ ภาษาองั กฤษม่งุ เน้นการตดิ ตอ่ สื่อสารในแงม่ ุม/ มติ ติ ่าง ๆ ได้แก่
๑) สามารถสนทนา สอบถาม โต้ตอบกับบุคคลอ่ืน เก่ียวกับกิจวัตรประจาวัน หรือส่ิงที่สนใจ ด้วยวลี
ประโยคพนื้ ฐานและบทสนทนาส้นั ๆ ได้
๒) เข้าใจและสามารถโต้ตอบกับผู้พูด/ คู่สนทนา โดยใช้สานวนที่พบบ่อยในชีวิตประจาวันได้อย่าง
ถูกตอ้ งและเหมาะสมกบั ชว่ งวยั

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

88

๓) สามารถบรรยายข้อมูล และลักษณะเบ้ืองต้นเกี่ยวกับบุคคล ส่ิงของ และสถานท่ีต่าง ๆ รอบตัว โดย
ใชว้ ลี ประโยค คากรยิ าพนื้ ฐานและคาคณุ ศัพท์ท่เี หมาะสมกับชว่ งวยั

๔) สามารถเขยี นคา วลี หรือประโยค จากรูปภาพ สญั ลักษณ์ หรือจนิ ตนาการของตนเองได้
๕) สามารถบอกใจความสาคัญจากการอ่านและการฟังวลีประโยคบทสนทนา หรือบทความสั้น ๆที่
เกย่ี วข้องกบั ชวี ติ ประจาวนั

ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพำะ

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลกั

๑. ฟัง พดู เพ่อื กำรสือ่ สำร

๑.๑ ฟังและพูดคาศัพท์พ้ืนฐาน วลี ประโยค ข้อความที่เกี่ยวข้อง ๑. การจดั การตนเอง

กับชวี ิตประจาวันโดยเนน้ การออกเสยี งภาษาองั กฤษที่ถูกต้อง ๓. การสื่อสาร

๑.๒ ฟัง พูดเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว บุคคล โรงเรียน ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทมี

และสิ่งตา่ งๆ รอบตัว โดยใช้คา และวลีที่ส้ันและง่าย ได้อย่าง ๕. การเปน็ พลเมอื งทีเ่ ขม้ แขง็

ถกู ตอ้ งและมัน่ ใจ

๑.๓ สนทนา โต้ตอบและแลกเปล่ียนความคิดเห็น ข้อมูล สื่อ

ความหมาย ความรสู้ ึก อารมณ์ ไดอ้ ย่างเหมาะสมและมั่นใจ

๒. อำ่ นเพ่อื ควำมเข้ำใจ

๒.๑ อ่านและตอบคาถามเก่ียวกับข้อมูลต่างๆ จากบทสนทนา ๑. การจดั การตนเอง

นิทาน เรื่องราว และบทความส้นั ๆ ทีเ่ หมาะสมกบั ชว่ งวยั ได้ ๒. การคิดขน้ั สงู

๓. การสื่อสาร

๒.๒ อา่ นเพือ่ บอกใจความสาคัญ บอกรายละเอยี ด จากบทสนทนา ๖. การอยู่ร่วมกับระบบธรรมชาติ และ

นิทาน เรื่องราว และบทความสนั้ ๆ ทเ่ี หมาะสมกับชว่ งวยั ได้ วทิ ยาการอย่างย่งั ยืน

๓. เขยี นเพ่ือแสดงควำมคิดและสะทอ้ นควำมร้สู กึ

๓.๑ เขียนเพ่ือแสดงความต้องการ ขอความช่วยเหลือ แสดง ๑. การจดั การตนเอง

ความรู้สึก ความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวและ ๒. การคดิ ขนั้ สูง

กิจกรรมต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม ๓. การสื่อสาร

๕. การเป็นพลเมืองที่เขม้ แขง็

๓.๒ เขียนให้ข้อมูลเก่ียวกับตนเอง สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ข่าว

เหตุการณ์ปัจจุบัน และประเด็นต่าง ๆ ที่สนใจ ได้อย่าง

ถกู ตอ้ งเหมาะสม

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

89

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลกั

๔. ใชภ้ ำษำเพื่อกำรเรียนรู้ และทำงำนรว่ มกับผ้อู ่นื

๔.๑ สื่อสารความต้องการของตนเอง และแลกเปลีย่ นความคิดเห็น ๑. การจัดการตนเอง

อย่างมีเหตุผลในการปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันกับผู้อ่ืน ได้อย่าง ๒. การคิดข้นั สูง

เหมาะสม ๓. การสือ่ สาร

๔.๒ ใช้ภาษาเพื่อสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ๔. การรวมพลงั ทางานเป็นทมี

สถานการณ์ ข่าว เหตุการณ์หรือประเด็นที่อยู่ในความสนใจ ๕. การเปน็ พลเมอื งทเ่ี ขม้ แข็ง

ของสังคม จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ และแลกเปล่ียนความรู้ ๖. การอยู่ร่วมกับระบบธรรมชาติ และ

ร่วมกับผอู้ ่ืน วิทยาการอย่างยั่งยืน

๔.๓ สร้างช้ินงานเกีย่ วกับภาษาอย่างสร้างสรรค์จากการฟัง ดูหรือ

อ่านข้อมูล เหตุการณ์และสถานการณ์รอบตัว และสามารถ

นาเสนอ ในรูปแบบ และวิธีการท่ีหลากหลาย ได้อย่าง

เหมาะสม

๔.๔ ใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์ แลกเปล่ียน

ยอมรับ และเข้าใจวัฒนธรรม วถิ ชี ีวติ ที่หลากหลาย

ผลลัพธ์กำรเรียนร้เู มือ่ จบช่วงชัน้ ท่ี ๒
๑) ใช้คาศัพท์พ้ืนฐาน วลี ประโยค ข้อความท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวัน ตนเอง ครอบครัว บุคคล โรงเรียน

และส่งิ ต่าง ๆ รอบตัว ได้อยา่ งม่นั ใจและถกู ตอ้ ง
๒) ฟัง พูด สนทนาโต้ตอบ แลกเปล่ียนความคิดเห็น ข้อมูล รวมทั้งการสื่อความหมาย ความรู้สึก อารมณ์ ต่อ

สถานการณ์ในชวี ิตประจาวนั ไดอ้ ย่างเหมาะสมและถูกตอ้ ง
๓) อ่านและตอบคาถามเก่ยี วกบั ข้อมลู ตา่ ง ๆ ท่ีเหมาะสมกับช่วงวัยไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
๔) อ่านเพอื่ บอกใจความสาคัญ และรายละเอยี ดทเ่ี หมาะสมกบั ช่วงวยั ไดอ้ ย่างถูกต้อง
๕) เขยี นเพื่อแสดงความคิดเห็น และความรู้สกึ ของตนเอง เกยี่ วกับเรื่องใกลต้ วั และกจิ กรรมต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม
๖) เขียนให้ข้อมูลเกย่ี วกบั ตนเอง เหตกุ ารณป์ จั จุบนั และประเด็นตา่ งๆ ที่สนใจ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม
๗) สนทนาและโต้ตอบข้อมูลเก่ียวกับของตนเอง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ในการปฏิบัติ

กิจกรรมรว่ มกนั กบั ผ้อู ่นื ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
๘) ใชภ้ าษาเพื่อสบื ค้นขอ้ มูลจากแหลง่ ความรตู้ ่าง ๆ และแลกเปลีย่ นความรใู้ นการทางานร่วมกบั ผอู้ น่ื
๙) แสวงหาความรู้และสร้างผลงานทางภาษาอย่างสรา้ งสรรค์ผา่ นการนาเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย จากการ

ฟงั ดหู รืออา่ นขอ้ มูลเกีย่ วกับเหตกุ ารณแ์ ละสถานการณร์ อบตัวได้อย่างถูกต้อง
๑๐) ใช้ภาษาเพ่ือสร้างความสัมพันธ์ แลกเปล่ียนยอมรับ และเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่าง

เหมาะสม

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

90

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ

สำระสำคญั ของกลุ่มสำระกำรเรียนรู้
ควำมสำคัญของกลุ่มสำระกำรเรียนรูศ้ ลิ ปะ
พัฒนำกำรกำรเรียนรดู้ ำ้ นสนุ ทรยี ศำสตร์ (ทศั นศิลป์ ดนตรี นำฏศลิ ป)์
เด็กประถมศึกษาในช่วงชั้นที่ ๒ เป็นช่วงวัยท่ีสามารถคิดอย่างมีเหตุผลได้ แต่จะเป็นการคิด ในเชิง

รูปธรรม เด็กมีความสนใจเรียนรู้จากของจริง พัฒนาการด้านสุนทรียะอยู่ในขั้นความสนใจสื่อที่เป็นจริง การ
พฒั นาประสบการณส์ นุ ทรยี ะใหก้ ับเดก็ ในช่วงช้นั นี้มีความเก่ียวข้องกับการพฒั นาสมองทั้งสองซีก

สมองซีกซา้ ยรับรู้ภาษา ตรรกะ คานวณ คณิตศาสตร์ เป็นสมองท่ีทาหน้าท่ีด้านการคิดวิเคราะห์ การคิด
เชิงเหตุผล สมองซีกขวารับรู้ด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และการคิดแบบองค์รวม การจัด การเรียนรู้
อยา่ งมีดลุ ยภาพจากสมองท้ังสองซกี จะสง่ เสริมพัฒนาการด้านสุนทรียะของเด็กและส่งเสรมิ ความสามารถในการ
คิดขั้นสงู การเรียนรไู้ ปพรอ้ มกันได้อย่างเต็มศักยภาพ

การส่งเสริมพัฒนาการด้านสุนทรียศาสตร์ ควรส่งเสริมให้เด็กได้รับการพัฒนาการทางานของสมอง ผ่านกระบวนการ
รับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าและใจ เพื่อให้เกิดการซึมซับประสบการณ์สุนทรียะ โดยกระบวนการดังกล่าว ผ่านการ
สงั เกตธรรมชาติ สภาพแวดลอ้ มการเรยี นรู้ท้ังในช้ันเรียนและนอกชั้นเรียน ทส่ี ัมพันธ์กับวิถีชีวติ ของเด็ก ด้วยการ
ลงมือปฏิบัติการจริงด้วยตนเองผ่านกิจกรรมศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ที่มีความท้าทาย ก่อให้เกิดการ
เรียนรู้เชิงรุก และให้ความสาคัญกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะช่วยส่งเสริมสมรรถนะด้านการเข้าใจตนเอง การ
จดั การตนเอง มวี ินัยในการทางาน และการทางานรว่ มกับผู้อ่ืนและทักษะการสอ่ื สารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการเรียนรทู้ ีส่ ง่ เสริมพัฒนาการด้านสุนทรียศาสตร์จะเน้นการเรียนรู้ท้ังจากประสบการณต์ รง และ
ประสบการณ์ทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างย่งิ การสร้างโอกาสให้ผเู้ รียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ได้ชมงาน ได้
ฟงั ไดด้ ู งานศิลปะชิ้นเอกของศลิ ปนิ ต่าง ๆ รวมทงั้ ศลิ ปินท้องถ่นิ โดยการได้สัมผัสวัตถุ หรอื การชมการแสดงต่าง
ๆ ทางศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่หลากหลาย หรือจัดให้มีสภาพแวดล้อม
ทางการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมการเกิดประสบกาณ์สุนทรียะโดยการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้เด็กได้รับประสบการณ์
ใหม่ๆ กระตุ้นการเรียนรู้ให้เกดิ การคิดแก้ปญั หา หรือประดษิ ฐ์คิดค้น วัสดุ วิธกี าร ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
ที่เด็กกระทาด้วยตนเองได้ และมีความสามารถสื่อสารกับผู้อ่ืน ทาให้เกิด การเรียนรเู้ ชิงรุก จะก่อให้เกิดความซึม
ซบั ในการเรียนรู้ เกิดความซาบซ้ึงในศลิ ปะ ตะหนักถึงความสาคญั และเห็นคุณค่าของศิลปะ จิตสานึกสาธารณะ
และส่งเสริมสมรรถนะด้านการเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม การทางานเป็นทีม ความเป็นพลเมืองและการอยู่
รว่ มกบั ธรรมชาติและวทิ ยาการอยา่ งยง่ั ยนื

การส่งเสริมพัฒนาการด้านสุนทรียะน้ีเก่ียวข้องกับทฤษฎีพหุปัญญาที่ให้ความสาคัญกับการจัด การ
เรียนรู้แบบบูรณาการ อาจจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการบูรณาการระหว่างศาสตร์ทางศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี
นาฏศิลป์) การบูรณาการข้ามศาสตร์ หรือการบูรณาการศิลปะแต่ละแขนงกับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม
วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน และสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ของเด็กเป็นการส่งเสริมการพัฒนาปัญญา ด้าน

หลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

91

ตา่ ง ๆ ท่ีหลากหลายตามความถนัดและความสนใจของเด็ก การสง่ เสริมพัฒนาการด้านสุนทรียะควบคู่ไปกับการ
ส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ และสังคม

ลกั ษณะเฉพำะ/ ธรรมชำตขิ องกลุ่มสำระกำรเรียนรู้
นกั เรียนในชว่ งชั้นท่ี ๒ เปน็ วัยท่ีมีพัฒนาการทางด้านร่างการท่ีเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว มคี วามสามารถ
ในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กให้ประสานงานกันได้อย่างมีความสมดุลและใช้ในการทางานได้ดี เป็นช่วงวัยท่ีเด็กให้
ความสาคัญกับกลุ่มเพื่อน อาจมีการแยกกลุ่ม ชาย-หญิง เพราะเด็ก ชาย-หญิง มีความสนใจต่างกัน การจัด
กิจกรรมเพือ่ สร้างประสบการณ์ทางการเรียนรู้จงึ ควรเน้นการทางานรว่ มกัน และให้ความสาคญั กับความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล รวมถึงสไตล์ของการเรียนรู้ที่แตกตา่ งกัน เด็กวัยน้ีชอบเรยี นรูใ้ นส่ิงท่ีท้าทาย แปลกใหมแ่ ละเรียนรู้
ในเรื่องท่ีตน และกลุ่มเพ่ือนให้ความสนใจ มีความสามารถในการสังเกตรายละเอียดมากข้ึน มีความสนใจในการ
สร้างสรรค์ศิลปะที่สอดคล้องกับความเป็นจริงตามธรรมชาติ สภาพแวดล้อมและ วิถีชีวิตประจาวันรอบตัว หรือ
ประสบการณ์จริงในชวี ติ ผสมผสานกับจินตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
จดุ เนน้ กำรพัฒนำ
ด้ำนที่ ๑ ให้ความสาคัญกับการพัฒนาด้านเจตคติ และการสร้างประสบการณ์สนุ ทรียะ ได้แก่ ความรู้สึก
นึกคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ คุณธรรม ค่านิยม การช่ืนชมและความซาบซ้ึงในศิลปะ จากกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีเน้น
การสร้างประสบการณ์สุนทรียะทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการได้สัมผัสธรรมชาติ สภาพแวดล้อมและผลงาน
ศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) พร้อมทั้งฝึกฝนกระบวนการทางศิลปะ ซ่ึงเริ่มต้นด้วยการใช้ศิลปะเพื่อ
พัฒนาจิตใจเพื่อการสะทอ้ นยอ้ นมองถึงสภาวะจิต และกาย เพือ่ สร้างความพร้อมและพฒั นาความสามารถในการ
จดั การตนเองอย่างมีสุขภาวะ และการใช้กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลงาน
ศิลปะ นักเรียนไม่เพียงมีความรู้ และทักษะทางด้านศิลปะเท่านั้น แต่ควรได้รับการพัฒนาถึงระดับท่ีเกิดความ
ตระหนกั รู้เชิงคุณค่า และมีทศั นคติเชิงบวก ร่วมกันรักษางานวฒั นธรรมทางศิลปะของไทย ของชุมชนให้คงดารง
อยู่อยา่ งมีบทบาทตอ่ ไปในสงั คม ควรฝึกให้นักเรียน กล้าแสดงออกทางศิลปะอย่างสรา้ งสรรค์ ด้วยรปู แบบและกลวิธี
ทางศิลปะที่หลากหลาย ฝึกการรับฟัง ความคิดเห็นท่ีมีผลต่อการพัฒนางานศิลปะของตนเอง เพื่อสื่อสารและลดช่องว่าง
ระหวา่ งสิง่ ทต่ี นเองเห็นกบั ผลงานศลิ ปะทส่ี รา้ งข้ึน รวมถึงสงิ่ ท่ผี ูอ้ ืน่ เหน็ และรบั รู้
ด้ำนท่ี ๒ การบูรณาการความรู้และทักษะทางศิลปะ ท้ังการบูรณาการระหว่างศาสตร์ทางศิลปะ
(ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป)์ การบรู ณาการศิลปะกับศาสตร์อ่ืน ๆ การบูรณาการศิลปะแต่ละแขนงกับบริบททาง
สังคม วัฒนธรรม ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ภูมิปัญญาชุมชนท้องถ่ินและการบูรณาการระหว่าง ศิลปะไทย
กับศิลปะสากล เป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เกิดจากการผสมผสานทางความคิดใหม่ กระบวนการ
สร้างสรรค์ใหม่กอ่ ใหเ้ กิดผลงานศลิ ปะรูปแบบใหม่ หรือเป็นการสร้างสรรค์ท่ีตระหนกั ถึงความสาคญั ของดลุ ยภาพ
ในการอนุรักษ์และการพัฒนารูปแบบศิลปะของไทยในกระแสสากล โดยคานึงถึงรากฐานหรือสาระสาคัญของ
ศิลปะและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นสาคัญ รวมถึงการสร้างความตระหนักถึงความสาคัญของการมี
จิตสานกึ การมสี ่วนรว่ มและจิตสานกึ สาธารณะรับผดิ ชอบต่อสังคม

หลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบา้ นตาบา สพป.นธ. ๒

92

การจัดกจิ กรรมเนน้ การรบั รู้จากสิง่ ท่ีเป็นจรงิ หรือประสบการณใ์ หม่ ๆ ทม่ี ีความทา้ ทายการคิดแก้ปัญหา
และการสร้างสรรค์ด้วยวัสดุ วิธีการที่หลากหลายด้วยการลงมือทาจริงของนักเรียนเอง หรือ การทางานร่วมกับ
ผู้อ่ืน สอดคล้องกับการพัฒนาการของเด็กวัยน้ีที่ชอบความท้าทาย เป็นวัยท่ีมุ่งสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมกับ
กลุ่มที่มีความสนใจคล้าย ๆ กัน การจัดกิจกรรมบูรณาการจึงส่งเสริมสมรรถนะของผู้เรียนทั้งในด้านการจัดการ
ตนเอง การคิดข้ันสูง การสื่อสาร การรวมพลังทางานเป็นทีม การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง และการอยู่ร่วมกับ
ธรรมชาตแิ ละวิทยาการอยา่ งยั่งยนื

กำรนำไปใชใ้ นชวี ติ จริง
ระดับตนเอง การนาสุนทรียภาพไปใช้ในชีวิต คือ เป็นผู้มีสายตามองเห็นคุณค่า ความงามของสรรพส่ิง
รอบตัว เกิดความคิดเชิงบวกและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะและสุนทรียภาพในชีวิตและ
สิ่งแวดล้อมรอบตัว ทากิจกรรมทุกอย่างในชีวิตและทางานอย่างมีศิลปะ สามารถแสดงความคิดเห็น ในการ
วิเคราะห์ผลงานท่ีตนฝึกฝน ผลงานของเพื่อน สร้างสมั พันธ์กบั ศลิ ปนิ เปดิ กวา้ งสู่งานของผอู้ ่นื
ระดับชุมชนและสังคม รู้จักการใช้งานศิลปะเป็นส่วนประกอบสร้าง แรงบันดาลใจ แรงศรัทธา เสริม
เอกภาพของกลุ่มคน ชุมชน สังคม โดยมีศิลปะเป็นเคร่ืองจรรโลงจิตใจ และน้อมนาไปสู่การสร้างงานศิลปะ
สาธารณะกุศล ศิลปะเพื่อชุมชน ศิลปะในวัฒนธรรมประเพณี ในวาระหรอื เทศกาลที่สาคัญต่าง ๆ และใชเ้ ป็นส่ือ
นาเสนอการแก้ไขปญั หาของสงั คม
กำรบูรณำกำรกบั กลุ่มสำระกำรเรยี นรตู้ ำ่ ง ๆ
บูรณาการระหว่างทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ อย่างสอดคล้องและกลมกลืน และบูรณาการกับกลุ่ม
สาระการเรยี นรูต้ ่าง ๆ ดังน้ี
ภำษำไทย/ ภำษำอังกฤษ ภาษาและดนตรี นาฏศิลป์ เป็นส่ือประกอบท่ีเกื้อกูลกัน การฝึกทักษะ ทาง
ภาษาของเดก็ ในวัยชว่ งชน้ั ท่ี ๒ ผ่านการแสดงออกด้วยวาจาและลายลกั ษณอ์ ักษร อาจเป็นส่วนหน่ึงของงานแห่ง
จินตนาการ จากการกระทาที่แสดงโดยภาพวาด บทละคร ลาดับเรื่องในภาพยนตร์ บทเพลงบรรเลง ท่ีคัดย่อมา
ท่าเต้น-การฝึกให้เล่าเร่ือง (เป็นกลุ่มหรือใช้บันทึกดิจิทัล) สร้างการกระทาหรือสถานการณ์ใหม่ ในรูปแบบท่ี
ออกแบบท่าเต้นการพูด การอภิปราย การแสดงบทบาทสมมติ ฝึกฝนการออกเสียงท่ีชัดเจน มีจังหวะ มีลีลา มี
ท่วงทานอง เป็นการเรียนท่ีมคี วามรืน่ รมย์ ลื่นไหล มีความสุข และสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สกึ ไดต้ รงกับ
ความหมายและความเปน็ จรงิ มากข้ึน
สงั คมศึกษำ เป็นสอ่ื ในการถ่ายทอดเร่อื งราวความสัมพันธ์ ความผูกพันของคนในสงั คม มรดก ภูมปิ ญั ญา
ของชาติในระดับพื้นถิ่น ระดับชาติ และระดับ นานาชาติ ประวัติศาสตร์ศิลปะผสมผสาน การแสดงออกทาง
ศิลปะท้ังหมด ในอดีตและปัจจุบัน ทั้งระดับปัญญาชนผู้้รู้และประชาชนระดับกว้างและชุมชน เป็นเส้นทางบ่ม
เพาะวัฒนธรรมทางศิลปะให้แก่นักเรียน โดยเปน็ การผสมผสานระหวา่ งได้สัมผัสผลงานศิลปะ และการได้รับองค์
ความรู้โดยไม่หยุดอยู่ที่ขอบเขตตามจารีตของวิจิตรศิลป์ ดนตรี ขับร้อง การละคร การเต้นรา วรรณกรรมและ
ภาพยนตร์ เพ่ือการสืบสานมรดกภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ท่ีเรียนรู้ตามความนิยมหรือแบบประเพณีดั้งเดิม ให้

หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

93

อดุ มด้วยการฝึกฝนทางศิลปะทุกแขนง ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และถ่ายทอดจินตนาการออกมา
ด้วยงานศิลปะเพือ่ ทาความเขา้ ใจความเปล่ยี นแปลงของสังคม โลกและระบบธรรมชาติ

คณติ ศำสตร์ จากพ้ืนฐานทไ่ี ดจ้ ากช่วงชั้นที่ ๑ ในเรื่อง เส้น รปู ร่าง รูปทรง ปริมาณหรือขนาด ความหนา
บาง พื้นท่ี พื้นผิว แผนภูมิ และสีอ่อนแก่ การจาแนก แยกแยะ จัดกลุ่ม จัดองค์ประกอบศิลปะ ด้วยเส้นและ
รปู ร่างรูปทรงเรขาคณติ และการประกอบลายศิลปะไทย อย่างสมมาตร สมดลุ ในลายแม่บท ทั้งแบบสมบูรณ์และ
แบบแตกลายหรือขยายอย่างมี Pattern การจัดองค์ประกอบศิลป์ ด้วยจังหวะของรูปและท่ีว่าง (Solid and
Void) ทั้งบนหน้ากระดาษ หรือการแสดงบนเวที ช่วงช้ันที่ ๒ ขยายทักษะและแนวคิด (พื้นที่ มุมมอง สัดส่วน
การวัด ฯลฯ) ซ่งึ สามารถเชอื่ มโยงกับส่งิ ทพี่ ัฒนาข้นึ ในวิชาคณิตศาสตร์

วิทยำศำสตร์และระบบธรรมชำติ การสารวจและสังเกตธรรมชาติเป็นกระบวนการร่วม ทั้งด้าน
วิทยาศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ ที่ช่วยให้เด็กรู้จักและเข้าใจสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วยการสัมผัสและมี
ประสบการณ์ตรง สามารถเห็นรายละเอียดและระบุ ต้ังคาถามเพ่ือการสืบค้นท่ีมาของปรากฏการณ์ต่าง ๆ รู้ถึง
ทีม่ าของวสั ดสุ าคัญท่ใี ชส้ รา้ งช้ินงานศลิ ปะ การสร้างแบบจาลองทางวิทยาศาสตร์และผลการทดลอง กระบวนการ
แปรรูปวัสดุธรรมชาติท่ีนามาสร้างสรรค์งานศิลปะ การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกเกี่ยวกับสีและ
คณุ ภาพทางกายภาพของวัสดุของสี (เม็ดสี สาร สารยึดเกาะ สารที่ทาให้แห้งเร็ว (siccative) ฯลฯ) ผลกระทบที่
เกิดจากการใช้ (การทาแบบใส ๆ การเคลือบฝีแปรงแบบหนา การเคลือบทาให้แข็ง ระยะใช้วิธีฉีดพ่น…) รองรับ
ผสมกับสื่ออื่น ๆ ทาความเข้าใจเก่ยี วกับประสาทสมั ผัสมิตขิ องสี โดยเฉพาะอย่างย่ิงความสัมพันธ์ระหวา่ งปริมาณ
(รูปแบบ พ้ืนผิว ขอบเขตสภาพแวดล้อม) และคุณภาพ (เฉดสีความเข้มข้น เฉดสี แสง ฯลฯ) สีและเสียงเป็น
วิทยาศาสตร์ ท่ีผ่านการคานวณมาต้ังแต่อดีต จนกลายเป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เป็นหลักการให้ยึดถือ ซึ่ง
วิทยาศาสตร์และศิลปะได้ผสมกันอย่างกลมกลืน งานด้านดนตรีและนาฏศิลป์ถูกนาไปใช้ ในกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ จิตวทิ ยา กอ่ ใหเ้ กดิ สรรพวิชาใหม่ในปัจจบุ ัน

หลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

94

ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพำะ

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลกั

๑. สัมผัส ซมึ ซับสุนทรยี ภำพและสรำ้ งสรรค์ผลงำนศลิ ปะทุกแขนง

๑.๑ ร้จู กั ชื่นชมสนุ ทรียภาพ (Art Appreciation) จากธรรมชาติ ๑. การจัดการตนเอง

สภาพแวดล้อมใกลต้ ัว วัฒนธรรม วถิ ีชวี ติ ประจาวัน รวมถึง ผลงาน ๒. การคดิ ขนั้ สูง

ศิลปะอันเกี่ยวเน่ืองกับคุณค่าในชีวิตและการสร้างสรรค์ ผลงาน ๓. การสื่อสาร

ศิลปะจากการรับรทู้ างการมองเห็น การสัมผัส การรับชม การได้ฟัง ๕. การเปน็ พลเมอื งที่เขม้ แขง็

และการบูรณาการข้ามประสาทสมั ผัส ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และ

๑.๒ ใช้ศิลปะ เพื่อการพัฒนาจิตใจผ่านการทางานอย่างมีสมาธิ สังเกต วทิ ยาการอย่างยั่งยืน

เห็น เข้าใจและรับรสู้ ุนทรยี ภาพ ผ่านความสัมพันธ์ของพหปุ ระสาท

สัมผัส (กาย - ใจ - มือ - ตา - หู ) กับธรรมชาติและวัสดุอุปกรณ์

ให้เหมาะสมกับวยั

๒. สร้ำงและนำเสนองำนศิลปะ จำกจินตนำกำร ควำมคิด สร้ำงสรรค์ โดยเข้ำใจธรรมชำติ และ

เปรียบเทียบควำมเหมือน และควำมแตกต่ำงระหว่ำง ศิลปะ ประวัติศำสตร์ และ วัฒนธรรม ภูมิปัญญำ

ท้องถนิ่ ภมู ิปญั ญำไทย

๒.๑ รับรู้ และรู้จักการใชอ้ งค์ประกอบทางทัศนศลิ ป์ เช่น รูปร่าง รปู ทรง ๑. การจัดการตนเอง

พื้นผิว สี แสงเงา และมีทักษะพ้ืนฐานในการใช้วัสดุอุปกรณ์ ๒. การคิดขนั้ สงู

ถ่ายทอด ใช้ความคิดและจินตนาการแสดงออกทางศิลปะ โดย ๓. การสือ่ สาร

เข้าใจธรรมชาติเปรียบเทียบและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของ ศิลปะ ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทีม

ประวัตศิ าสตร์ ๕. การเปน็ พลเมอื งท่ีเข้มแขง็

๒.๒ เรียนรแู้ ละแก้ปัญหาจากการปฏิบัติจริง ทดลองและสังเกตผลทีเ่ กิด ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และ

จากการใช้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ ทักษะทางศิลปะให้เหมาะสม วิทยาการอยา่ งย่งั ยืน

ตามคุณลักษณะในการสร้างสรรค์ผลงาน และนาเสนองานศิลปะ

ใหบ้ รรลุเป้าหมายตามบรบิ ทของผเู้ รียนแต่ละคน

๒.๓ สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ท่ีเป็นอัตลักษณ์และความรู้สึกของตนเอง

ถ่ายทอดความคิด ความร้สู ึก จินตนาการ ธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ท่ี

เชื่อมโยงกับตนเองและผู้อื่น โดยการลองผิดลองถูกด้วยวิธีการ ที่

หลากหลายจนค้นพบและประยุกต์ใช้เทคนิควิธีการใหม่ ด้วย

กระบวนการกลุ่ม

๓. ดนตรีวิจักขณ์ (Music Appreciation) ร้อง เล่น เตน้ และเคลอื่ นไหวตำมจงั หวะและเสยี งดนตรี

๓.๑ อา่ นและเขียนเคร่ืองหมายสัญลักษณต์ ัวโน้ตเบื้องต้นของดนตรีไทย ๑. การจัดการตนเอง

และดนตรสี ากล ๒. การคดิ ขนั้ สูง

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

95

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลัก

๓.๒ จาแนกแนวเพลงต่างๆ จากการฟัง และเปรียบเทียบประเภทของ ๓. การส่อื สาร

เครือ่ งดนตรไี ทย ดนตรีพื้นบา้ น และดนตรีสากล จากภาพและเสยี ง ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทีม

๓.๓ ขับร้อง และบรรเลงเพลงไทยเดิม ไทยสากล เพลงลูกทงุ่ หรือ เพลง ๕. การเปน็ พลเมอื งท่ีเข้มแข็ง

สากลในแนวดนตรตี ่าง ๆ ถูกต้องตามจังหวะ ทานองของเพลง ตรง ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และ

ตามระดบั เสยี ง และสอ่ื อารมณข์ องบทเพลง วิทยาการอย่างยงั่ ยืน

๓.๔ ขับร้อง และบรรเลงรวมวงดนตรีไทย วงดนตรีพื้นบ้าน หรือวง

ดนตรีสากล และนาเคร่ืองดนตรีประเภทต่างๆ มาร่วมบรรเลง

ผสมผสานเป็นแนวเพลงร่วมสมัย และเผยแพร่ผ่านส่ือเทคโนโลยี

ตา่ งๆ

๓.๕ แสดงออกถึงความรู้สึกเกี่ยวกับดนตรีประเภทต่าง ๆ จากการฟัง

การขับร้อง และการบรรเลงดนตรีด้วยเครื่องดนตรีไทยพื้นบ้าน

เครื่องดนตรีไทย หรือเครื่องดนตรีสากล และนามาประยุกต์ใช้ ใน

กิจกรรม วนั สาคัญ เทศกาลต่างๆ

๔. สรำ้ งสรรค์กำรเคล่ือนไหวในรปู แบบตำ่ ง ๆ อย่ำงมีแบบแผน

๔.๑ สืบค้น อธิบาย และเปรียบเทียบ ประวัติความเป็นมาของ ๑. การจดั การตนเอง

การละเล่นของไทย นาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลป์ประเทศเพือ่ นบ้าน ๒. การคดิ ขน้ั สูง

๔.๒ เปรยี บเทียบ ใชภ้ าษาทา่ และนาฏยศัพท์ ในการส่ือความหมาย การ ๓. การสื่อสาร

แสดงนาฏศิลปไ์ ทย นาฏศลิ ปป์ ระเทศเพือ่ นบ้าน ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ๔. การรวมพลงั ทางานเป็นทีม

๔.๓ แสดงนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พื้นบ้าน หรือนาฏศิลป์ร่วมสมัย ใน ๕. การเปน็ พลเมอื งทเ่ี ขม้ แขง็

รูปแบบต่าง ๆ ทั้งเดี่ยวและกลุ่ม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และ

ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม วิทยาการอย่างย่ังยืน

๔.๔ ถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สกึ ผา่ นการแสดง ระบา รา ฟ้อน

ละครส้นั หรือกจิ กรรมต่าง ๆ ทสี่ อดคลอ้ งกับประเพณี วัฒนธรรม

ท้องถน่ิ อย่างสร้างสรรค์

๕. ศิลปะวิจักขณ์ วิเครำะห์ วิพำกษ์ และเชื่อมโยงผลงำนศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นำฏศิลป์) กับ

วัฒนธรรม ในชวี ิตประจำวัน และในท้องถิน่

๕.๑ เข้าใจและอธิบายความสาคัญของงานศลิ ปะ ที่มาของงานศิลปะ ใน ๑. การจัดการตนเอง

ท้องถิ่น การใช้วัสดุอุปกรณ์ วิธีการสร้างงานศิลปะในท้องถิ่น และ ๒. การคดิ ขน้ั สูง

เชือ่ มโยงมุมมองทัศนคติของตนเองกับวัฒนธรรมทางศลิ ปะ ๓. การส่อื สาร

หลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนบ้านตาบา สพป.นธ. ๒

96

สมรรถนะเฉพำะ สมรรถนะหลัก

๕.๒ รบั รู้ และแสดงออกถึงอารมณ์ ความรสู้ ึก ความประทับใจ เก่ียวกับ ๔. การรวมพลังทางานเปน็ ทีม

ศลิ ปะ ของตนเองและผ้อู ื่น ผ่อนคลายบาบัด และมีความสขุ ในการ ๕. การเปน็ พลเมอื งท่ีเข้มแขง็

ทางานศลิ ปะ ๖. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และ

๕.๓ แสดงความเห็นตอ่ ผลงานศิลปะของตนเอง งานของผู้อ่ืน หรอื งานที่ วิทยาการอย่างยงั่ ยืน

ทารว่ มกบั เพื่อน อยา่ งสร้างสรรค์ วิจารณ์อยา่ งสุภาพ มีเหตุผล เปิด

ใจรับฟังความเห็นของผู้อ่ืน เพื่อนามาปรับปรุงผลงานของตนให้

สมบูรณ์

๕.๔ เห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม นาเสนอผลงาน

ศลิ ปะ (ทัศนศลิ ป์ ดนตรี นาฏศลิ ป์) โดยใชเ้ ทคโนโลยรี ูปแบบตา่ ง ๆ

ผลลพั ธ์กำรเรียนรู้เม่ือจบชว่ งชนั้ ท่ี ๒
๑) แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับความงามจากการสมั ผัส รบั รธู้ รรมชาติ สภาพแวดลอ้ มและผลงานศลิ ปะ อธิบาย

ถงึ แรงบันดาลใจและความชื่นชมของตนเองเกี่ยวกับผลงานศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) มีสมาธิและ
มีความตัง้ ใจในการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะ
๒) สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ท่ีตนเองชืน่ ชอบ ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก จินตนาการ สะท้อนถึงธรรมชาติ
สง่ิ แวดลอ้ ม เรื่องราวใกลต้ ัว ในชวี ติ ประจาวนั ท่ีเช่ือมโยงกบั ตนเอง ครอบครัว โรงเรยี นและทอ้ งถ่ิน ด้วยการ
เช่ือมโยงส่วนประกอบทางทัศนศิลป์ จัดองค์ประกอบทางศิลปะเป็นผลงานทัศนศิลป์ ได้อย่างหลากหลาย
และประยุกต์ใช้เทคนิควิธีการใหมด่ ้วยกระบวนการกลุ่ม และเลือกใช้วัสดอุ ุปกรณ์ ใหส้ อดคล้องกบั เรื่องราว
ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ป์และภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่
๓) ขับร้องและบรรเลงได้ตามจังหวะ ทานองเพลงและสื่ออารมณ์ของบทเพลงได้อย่างถูกต้อง ใช้เคร่ืองหมาย
สัญลักษณ์ตัวโน้ตในการขับร้องและบรรเลงเพลง จาแนกและเปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่าง ของ
แนวเพลงและเคร่อื งดนตรไี ทย ดนตรพี น้ื บา้ น ดนตรสี ากลจากภาพและเสียง
๔) ขับร้อง และบรรเลงรวมวงดนตรีพ้ืนบ้าน วงดนตรีไทย วงดนตรีสากลประเภทต่าง ๆ ผสมผสาน เป็นแนว
เพลงร่วมสมัย ด้วยความมั่นใจ ถูกต้องตามทานอง จังหวะ และมีความไพเราะ เผยแพร่ผ่านส่ือเทคโนโลยี
ต่าง ๆ รับฟงั แสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกับเสียงดนตรีของตนเองและผูอ้ ่ืน ดว้ ยความสภุ าพและสร้างสรรค์ ชื่น
ชม และนามาประยกุ ตใ์ ช้ในกิจกรรม วนั สาคัญ เทศกาลตา่ ง ๆ
๕) สืบค้น และเปรียบเทียบ ประวัติความเป็นมา ความเหมือนและความแตกต่างของนาฏศิลป์ไทย และ
นาฏศิลป์ประเทศเพ่ือนบ้าน จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยี ใช้ภาษาท่า นาฏยศัพท์ ในการสื่อ
ความหมาย แสดงนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พื้นบ้าน หรือนาฏศิลป์ร่วมสมัยใน รูปแบบต่าง ๆ ทั้งเดี่ยวและ
กลุ่ม อย่างมน่ั ใจและงดงาม สะท้อนอารมณ์ของตนเอง และสร้างสรรคก์ ารเคล่ือนไหว ในรูปแบบการแสดง
ตา่ ง ๆ ทสี่ อดคลอ้ งกบั ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิน่ อยา่ งสรา้ งสรรค์ เหมาะสมกบั วัย

หลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรยี นบ้านตาบา สพป.นธ. ๒


Click to View FlipBook Version