เอกสารประกอบการสอน
วิชา ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ
Leadership on Buddhist Management
พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
วิทยาลยั สงฆ์ราชบุรี
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ก
คำนำ
เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ได้รวบรวมและเรียบเรียงเอกสาร
หนังสือ ประสบการณ์ต่าง ๆ มาจัดพิมพ์เพ่ือประโยชน์แก่ผู้ท่ีสนใจศึกษาใน
ประเด็นท่ีเก่ียวกับภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ เพื่อจะได้มีองค์ความรู้
และเพื่อเป็นพืน้ ฐานในการประยกุ ต์ใชป้ ระโยชนใ์ นการบริหารจัดการตอ่ ไป
โดยจุดมุ่งหมายของเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้เพ่ือให้นิสิตมี
ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผู้นำแนวตะวันตก
และภาวะผู้นำแนวตะวันออก ภาวะผู้นำตามแนวของพระพุทธเจ้า แนวคิดและ
แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำ คุณลักษณะและทักษะของผู้นำ การบริหาร
จัดการเพ่ือความเป็นผู้นำ พุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้นำ กระบวนการ
ฝึกอบรมและการพัฒนาบุคคลเพ่ือความเป็นผู้นำตามแนวทางพระพุทธศาสนา
ภาวะผู้นำในการวัดองค์การทางพระพุทธศาสนา ภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการ
จัดการตามแนวสมานฉันท์ และกรณีศกึ ษาผู้นำสงฆ์ท่ีเป็นต้นแบบของการจัดการ
เชงิ พุทธ
ท้ายท่ีสุดนี้ ผู้เขียนหวังว่าเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้จะยัง
ประโยชน์ต่างๆ ให้เกิดข้ึนกับผู้เก่ียวข้องทุกท่านตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน
หากมีข้อบกพร่อง ผิดพลาดประการใดเกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของเอกสาร ต้อง
ขออภัยมา ณ โอกาสนี้
พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
พฤษภาคม 2563
ข
สารบัญ หน้า
เรื่อง ก
ข
คำนำ ฉ
สารบัญ ๑
มคอ.3 3
บทท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกยี่ วกับภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ 13
๑.๑ ภาวะผู้นำตามแนวทศพิธราชธรรม ๒0
๑.๒ ลกั ษณะของการเปน็ ผ้นู ำทด่ี ี 21
คำถามประจำบท
อา้ งองิ ประจำบท
บทท่ี ๒ แนวคิดและทฤษฎีภาวะผูน้ ำตะวันตก 22
2.๑ ทฤษฎภี าวะผู้นำตามแนวสถานการณ์ 23
๒.2 ภาวะผนู้ ำตามความสามารถพเิ ศษ 38
2.๓ ภาวะผ้นู ำกับวัฒนธรรมองคก์ าร 51
2.๔ กระบวนการและเทคนิคในการเปล่ยี นแปลงองคก์ าร 57
2.5 ภาวะผ้นู ำแบบแปลงรูป 65
2.6 ทฤษฎี X และทฤษฎี Y 68
คำถามประจำบท 74
อ้างอิงประจำบท 75
บทที่ ๓ แนวคิดและทฤษฎีภาวะผนู้ ำแนวตะวันออก 78
๓.๑ ความหมายภาวะผู้นำ 79
๓.๒ ภาวะผู้นำตะวันออก 93
๓.๓ ภาวะผนู้ ำในวรรณกรรมสามก๊ก 95
๓.๔ ภาวะผู้นำในตำราพชิ ัยสงครามซนุ วู 97
๓.๕ ภาวะผ้นู ำในคมั ภรี ภ์ ควคั คีตา 98
เรือ่ ง ค
๓.๖ ภาวะผู้นำตามหลกั ศาสนาปรัชญาแนวตะวันออก หน้า
คำถามประจำบท
อ้างองิ ประจำบท 98
101
บทที่ ๔ ภาวะผนู้ ำตามมแนวของพระพทุ ธเจ้า 102
๔.๑ ความหมายของภาวะผู้นำ
๔.๒ ภาวะผนู้ ำ 106
๔.๓ ความสำคัญของภาวะผนู้ ำ 107
๔.๔ ทฤษฎีภาวะผู้นำ 110
๔.๕ การพัฒนาภาวะผนู้ ำ 113
๔.๖ ภาวะผู้นำตามแนวของพระพุทธเจ้า 114
๔.๗ หลักพุทธธรรมสำหรับภาวะผนู้ ำ 119
คำถามประจำบท ๑23
อา้ งองิ ประจำบท ๑29
136
บทที่ ๕ พุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผนู้ ำ ๑37
๕.๑ ลกั ษณะของผูน้ ำในพระพุทธศาสนา
๕.๒ พุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผนู้ ำ ๑39
๕.๓ อริยมรรคกบั การพฒั นาภาวะผนู้ ำ ๑40
๕.๔ องคป์ ระกอบหลักของการพฒั นาองค์กร ๑45
คำถามประจำบท ๑59
อ้างอิงประจำบท ๑48
168
๑69
ง
เร่ือง หนา้
บทที่ ๖ กระบวนการฝกึ อบรมเพ่อื ความเปน็ ผนู้ ำเชงิ พุทธ ๑71
๖.๑ ความหมายของการฝกึ อบรม ๑71
๖.๒ การฝกึ อบรมกับการศึกษาและการพัฒนาบุคคล ๑73
๖.๓ ประเภทของการฝึกอบรม ๑75
๖.๔ บทบาทและประโยชน์ของการฝึกอบรม ๑78
๖.๕ ปจั จัยทีม่ ีอทิ ธิพลต่อความสำเร็จของการฝึกอบรม ๑80
๖.๖ การจดั การฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ ๑81
๖.๗ กระบวนการของการจดั การฝกึ อบรมอย่างเปน็ ระบบ ๑82
๖.๘ การฝึกอบรมและพฒั นาแนวพุทธ 187
6.9 ประโยชนข์ องการพัฒนาจิตแนวพุทธ 188
คำถามประจำบท 195
อา้ งอิงประจำบท 196
บทที่ ๗ ภาวะผูน้ ำในการจดั องค์กรทางพระพทุ ธศาสนา 198
๗.๑ ความหมายของภาวะผนู้ ำ 199
๗.๒ รูปแบบภาวะผูน้ ำขององคก์ ร 205
๗.๓ ทฤษฎีภาวะผูน้ ำ 207
๗.๔ ผ้นู ำในทางพระพทุ ธศาสนา 209
๗.๕ คณุ สมบัติผนู้ ำในทางพระพุทธศาสนา 212
คำถามประจำบท 231
อา้ งองิ ประจำบท ๒32
บทที่ ๘ ภาวะผนู้ ำสำหรับการบรหิ ารกจิ การพระพทุ ธศาสนา ๒35
๘.๑ ความหมายของบทบาทผ้นู ำ ๒36
๘.๒ ความหมายของภาวะผู้นำ ๒37
๘.๓ ภาวะผู้นำสำหรับการบรหิ ารกจิ การพระพทุ ธศาสนา ๒52
คำถามประจำบท 270
เรอ่ื ง จ
อ้างองิ ประจำบท หน้า
บทท่ี ๙ ภาวะผนู้ ำเชิงพุทธเพือ่ การจัดการตามแนวสมานฉันท์ ๒71
๙.๑ ความสำคญั ของผูน้ ำ
๙.๒ พระพุทธองคก์ ับการตั้งองคก์ ารสมานฉันท์ ๒73
๙.๓ แนวคิดเกีย่ วกบั ความสมานฉันท์ ๒74
๙.๔ ผู้นำเชงิ พทุ ธกับการสรา้ งความสมานฉันท์ ๒76
คำถามประจำบท ๒87
อ้างอิงประจำบท ๒99
317
บทที่ ๑๐ กรณศี ึกษาผูน้ ำสงฆท์ ่ีเป็นตน้ แบบของ 318
การจดั การเชิงพทุ ธ
10.1 ผ้นู ำตน้ แบบทางการจัดการ 320
10.2 วตั ถปุ ระสงค์ของกรณีศึกษา
10.3 วธิ ีการศึกษาในรปู แบบกรณศี ึกษา 321
10.4 กรณศี กึ ษา 322
คำถามประจำบท 323
อา้ งอิงประจำบท 324
343
บรรณานุกรม 344
345
ชอ่ื สถาบนั อุดมศกึ ษา รายละเอียดของรายวชิ า (มคอ.๓)
วิทยาเขต/คณะ/ภาควชิ า
ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอดุ มศึกษา
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วิทยาลัยสงฆร์ าชบุรี
หมวดท่ี ๑ ขอ้ มูลโดยทวั่ ไป
๑. รหสั และชอื่ รายวชิ า
๖๑๔ ๓๐๕ ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ
๒. หลกั สตู รและประเภทของรายวิชา (ระดบั ปริญญาโท)
พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ รายวิชาบังคบั
๓. อาจารย์ผู้รบั ผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผูส้ อน
๓.๑ อาจารย์ผู้รบั ผิดชอบรายวชิ า พระครูสงั ฆรักษ์ทรงพรรณ ชยทตฺโต,ผศ.ดร.
๓.๒ อาจารย์ผ้สู อนรายวชิ า
พระสมทุ รวชริ โสภณ,ดร. พธ.บ.(การจัดการเชิงพุทธ), พธ.ม.(การจัดการเชงิ พุทธ), พธ.ด.(การจัดการเชิงพุทธ)
๔. ภาคการศึกษา / ช้ันปีทีเ่ รียน
ภาคเรียนท่ี ๑ ชน้ั ปที ่ี ๑-๒๕๖4
๕. รายวชิ าที่ต้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี) - ไมม่ ี
๖. รายวชิ าที่ต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites) (ถา้ มี) - ไมม่ ี
๗. สถานทเี่ รยี น
อาคารเรียนวิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
๘. วนั ที่จดั ทำหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวชิ าครง้ั ล่าสดุ
๑8 พฤษภาคม ๒๕๖4
ช
หมวดท่ี ๒ จุดม่งุ หมายและวัตถุประสงค์
๑. จุดมุ่งหมายของรายวิชา
๑) เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำแนวตะวันตกและภาวะผู้นำแนว
ตะวันออก ภาวะผู้นำตามแนวของพระพุทธเจ้า แนวคิดและแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำ คุณลักษณะและทักษะของผู้นำ
การบริหารจัดการเพ่ือความเป็นผู้นำ พุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้นำ กระบวนการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคคลเพื่อ
ความเป็นผู้นำตามแนวทางพระพุทธศาสนา ภาวะผู้นำในการวัดองค์การทางพระพุทธศาสนา ภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการ
จดั การตามแนวสมานฉันท์ และกรณีศกึ ษาผนู้ ำสงฆ์ทเี่ ปน็ ตน้ แบบของการจัดการเชงิ พทุ ธ
๒) เพื่อให้ผศู้ ึกษารู้วธิ ีการนำความรทู้ ่ีไดร้ ับไปใชก้ ับสภาพความเปน็ จริง และนำหลกั เกณฑ์การวเิ คราะห์
ตวั แปรทางองค์การทสี่ ำคญั ๆ
๓) เพื่อใหผ้ ู้ศึกษาสามารถนำหลักการท่ศี ึกษาสามารถประยุกตใ์ นการบริหารได้
๒. วัตถุประสงคใ์ นการพฒั นา/การบรู ณาการสอนในรายวิชาฯ)
เพื่อให้นิสิตได้รับความรู้เก่ียวกับแนวคิดสำคัญทางภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธเข้ากบั หลักของการบรหิ ารได้
เป็นอยา่ งดแี ละมีประสทิ ธิผล
หมวดที่ ๓ ลักษณะและการดำเนินการ
๑. คำอธิบายรายวชิ า
๖๑๔ ๓๐๕ ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๓(๓-๐-๖)
ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผู้นำแนวตะวันตกและภาวะผู้นำแนวตะวันออก ภาวะผู้นำตาม
แนวของพระพุทธเจ้า แนวคิดและแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำ คุณลักษณะและทักษะของผู้นำ การบริหารจัดการเพื่อ
ความเป็นผู้นำ พุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้นำ กระบวนการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคคลเพื่อความเป็นผู้นำตาม
แนวทางพระพุทธศาสนา ภาวะผู้นำในการวัดองค์การทางพระพุทธศาสนา ภาวะผู้นำเชิงพุทธเพ่ือการจัดการตามแนว
สมานฉันท์ และกรณีศึกษาผ้นู ำสงฆท์ ่เี ปน็ ต้นแบบของการจัดการเชิงพทุ ธ
๒. จำนวนช่วั โมงท่ใี ช้ตอ่ ภาคการศึกษา
บรรยาย สอนเสรมิ การฝกึ ปฏิบัติ/งาน การศึกษาดว้ ยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึกงาน
บรรยาย ๔๕ ชว่ั โมงตอ่ ภาค เชญิ วิทยากรเพือ่ สอนเสริม การศึกษาด้วยตนเอง ๖
ไม่มีการฝกึ คน้ ควา้ ข้อมูลใน ช่ัวโมงตอ่ สปั ดาห์
การศกึ ษา ตามความต้องการ ภาคสนาม
๓. จำนวนชั่วโมงต่อสปั ดาห์ที่อาจารยใ์ หค้ ำปรึกษาและแนะนำทางวชิ าการแก่นิสติ เป็นรายบคุ คล
- อาจารย์ประจำรายวิชา ประกาศเวลาให้คำปรึกษารายบุคคล/กลมุ่ หรือผ่านเว็ปไซตข์ องวิทยาลัยสงฆ์ราชบรุ ี
ซ
หมวดท่ี ๔ การพฒั นาการเรียนรู้ของนสิ ติ
๑. คณุ ธรรม จรยิ ธรรม
๑.๑ คณุ ธรรม จริยธรรมทตี่ ้องพัฒนา(โดยเป็นความรับผิดชอบหลักคือ ข้อ ๓)
การพัฒนาผู้เรียนให้มีความรบั ผิดชอบ มวี ินัย มีจรรยาบรรณวิชาชีพ เคารพในสทิ ธิ์ของข้อมลู ส่วนบุคคล การ
ไม่เปิดเผยข้อมูล การรักษาความลับของผู้ให้ข้อมูล การไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ทางเอกสาร/ตำราและไม่ละเมิดสิทธ์ทาง
ปัญญา มีความซื่อสตั ยส์ จุ รติ วชิ าชพี โดยมีคุณธรรมจริยธรรมและมคี ณุ สมบัติตามหลกั สูตร/สาขาวชิ าฯ
๑) มีความสามารถในการใช้ดุลยพินิจเพ่ือการแก้ปัญหาทางคุณธรรมและจริยธรรมท่ีซับซ้อนอย่างผู้รู้ใน
บรบิ ทของศาสตรท์ างด้านรฐั ประศาสนศาสตร์
๒) มีความสามารถในการสนับสนุนอย่างจริงจังให้ผู้อื่นใช้ดุลยพินิจบนฐานความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ใน
การจัดการกับบรบิ ททม่ี ผี ลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อน่ื
๓) มีภาวะผู้นำในการส่งเสรมิ ให้มีการประพฤติปฏิบัติตามหลักคุณธรรม จริยธรรมในท่ีทำงาน และชุมชน
ที่ตนเกย่ี วข้อง (เน้น)
๔) มคี วามสามารถในการเปน็ แบบอย่างท่ีดีงามของผู้อ่นื
๑.๒ วิธีการสอน
๑. ฝกึ ฝนภาวะความเป็นผู้นำ ผู้ตาม รวมถึงการเคารพสิทธิ และการรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นในการปฏิบัติงาน
เป็นทีมและการทำงานวจิ ัย
๒. การสอดแทรกความรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรม ในการเรียนการสอน ท้ังในด้านการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม
และในการวิจัย
๑.๓ วิธกี ารประเมนิ ผล
๑. ประเมินจากการมีวินยั ในการเรียน การตรงเวลาในการเข้าช้ันเรยี น การทำงานเสรจ็ และสง่ งานตามกำหนด
๒. ประเมินจากความรับผดิ ชอบในการปฏิบัตงิ านเป็นทีม การทำงานวิจัย และการเข้าร่วมกิจกรรมในการใช้องค์
ความรู้ทางการศึกษาทำประโยชนต์ อ่ สังคม
๓. ประเมนิ จากความซ่อื สตั ย์ และจรรยาบรรณในการสอบ
๔. ผูเ้ รียนประเมนิ ตนเอง และประเมนิ โดยเพือ่ นและอาจารย์ โดยใช้แบบประเมินและแบบวดั ผล
๕. ภายหลงั สำเรจ็ การศกึ ษา ใหม้ หาบัณฑิตประเมนิ ตนเอง ประเมินจากผใู้ ช้มหาบัณฑิต และประเมนิ จาก
ผ้ปู กครองของมหาบัณฑติ โดยใช้แบบสอบถาม
๒. ความรู้
๒.๑ ความรู้ท่ีต้องไดร้ ับ (เปน็ ความรบั ผิดชอบหลกั ขอ้ ๑)
๑) มคี วามสามารถในการพัฒนานวัตกรรมหรือสรา้ งองคค์ วามร้ใู หม่ทเ่ี ปน็ แกน่ ของสาขาวิชาฯ
๒) มีความสามารถในการใช้เทคนิคการวิจัยและพัฒนาเพ่ือหาข้อสรุปของปรากฏการณ์ในสาขาวิชารัการ
จดั การเชิงพุทธ
๓) มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและกว้างขวางเก่ียวกับองค์ความรู้เชิงปฏิบัติการท่ีเปลี่ยนแปลงไปทั้งใน
ระดบั ชาติและนานาชาติ
๔) มคี วามสามารถในการปรบั เปล่ียนปัจเจกปัญญามาเปน็ สาธารณปญั ญาที่ก่อให้เกดิ คณุ ค่าตอ่ สังคม
๒.๒ วธิ ีการสอน
๑. จัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเน้นให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจศาสตร์ในเชิงลึก ผสมผสานให้
ฌ
นำไปสู่วิธีการดำเนินการท่ีเป็นการพัฒนาอย่างย่ังยืน โดยใช้วิธีการเรียนการสอนที่เน้นหลักการทางทฤษฎี และการ
ประยุกต์ทางปฏิบัติในสภาพแวดล้อมจริง เป็นรูปแบบการเรียนรู้ท่ีกระตุ้นให้เกิดการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วย
ตนเอง เช่นให้มีการนำเสนองาน การร่วมแสดงความคิดเห็น การตอบคำถาม เพ่ือสนับสนุนให้นักศึกษาคิดเป็นและมี
นิสัยใฝ่รู้
๒. การจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีอิสระในการแสวงหาความรู้โดยไม่ยึดติดกับการรับข้อมูลจากผู้สอนเพียงวิธี
เดยี ว
๓. การเรียนรแู้ บบมีสว่ นร่วม
๔. เรยี นรู้จากสถานการณ์จรงิ มกี ารเรียนรูท้ งั้ ในชั้นเรยี นและศึกษาดงู าน
๕. การทำวจิ ัยท้ังในรายวชิ าที่เกย่ี วขอ้ งและวทิ ยานพิ นธ์
๖. การเรียนรทู้ ี่เน้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำประโยชนต์ อ่ ชุมชน ทอ้ งถ่นิ และในระดบั ทีส่ ูงขึ้น
๒.๓ วิธีการประเมนิ ผล
ประเมินจากผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและการปฏิบตั ิของนิสิต ใหค้ รอบคลุมในทุกดา้ น ดว้ ยวธิ ีการดงั ตอ่ ไปนี้
๑. การทดสอบยอ่ ย
๒. การสอบกลางภาคและปลายภาค
๓. วดั ผลสำเรจ็ ของการปฏบิ ตั งิ านเปน็ ทีม
๔. การนำเสนอผลงาน
๓. ทักษะทางปญั ญา
๓.๑ ทกั ษะทางปัญญาทีต่ ้องพฒั นา (เป็นความรบั ผดิ ชอบหลกั ข้อ ๑)
๑) สามารถใช้ความเข้าใจอันถ่องแทใ้ นทฤษฎีและเทคนิคการแสวงหาความรูใ้ นการวิเคราะห์ประเดน็ และ
ปญั หาสำคัญได้อย่างสรา้ งสรรค์
๒) สามารถใช้ทฤษฎีและเทคนิคการแสวงหาความรู้ในพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใหม่ๆที่
เกิดข้นึ จากการจัดการเชงิ พุทธ
๓) สามารถสังเคราะหผ์ ลงานวิจัยและทฤษฎเี พื่อพัฒนาความรูค้ วามเขา้ ใจใหมๆ่ ท่ีสร้างสรรค์ รวมไปถึงการบูร
ณาการแนวคดิ ตา่ งๆ ทงั้ ภายในและนอกสาขาวชิ าการจดั การเชงิ พทุ ธท่ศี ึกษาในขน้ั สงู
๔) สามารถออกแบบและดำเนินการโครงการวิจัยที่สำคัญในเร่ืองที่ซับซ้อนที่เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้
ทางดา้ นรัฐประศาสนศาสตร์ใหม่ๆ จนกลายเปน็ ข้อเสนอเพื่อการนำไปสกู่ ารปฏบิ ัตติ ่อไป
๓.๒ วธิ กี ารสอน
เพ่ือให้เกิดผลการเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญา หลักสูตรจึงใช้กลยุทธใ์ นการสอนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
ดงั น้ี
๑. ฝกึ ทักษะการคิดและการแก้ไขปญั หา
๒. เนน้ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และการปฏิบัตงิ านจรงิ
๓. เนน้ การเรยี นรทู้ ่ีสามารถประยุกตใ์ ชก้ บั สถานการณจ์ ริง โดยใช้ปญั หาเป็นตวั กระตุน้ ให้เกดิ การเรยี นรู้
๓.๓ วธิ ีการประเมนิ ผล
ประเมินทักษะทางปัญญาดว้ ยวิธีการดังตอ่ ไปน้ี
๑. วัดการแสดงออกทางการกระบวนการคิดและการแก้ไขปัญหา
๒. วดั ผลการปฏิบัติงานท่ีได้รับมอบหมาย
๓. การนำเสนอผลงาน
ญ
๔. การอธบิ าย การตอบคำถาม
๕. การโต้ตอบสือ่ สารกับผอู้ ่ืน
๔. ทกั ษะความสมั พันธร์ ะหวา่ งบุคคลและความรบั ผิดชอบ
๔.๑ ทกั ษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบทตี่ ้องพัฒนา (ความรบั ผิดชอบหลกั คอื ขอ้ ๔ )
๑) มีความสามารถสูงในใช้ความรู้ทางด้านการจัดการเชิงพุทธเพื่อการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการได้
อยา่ งลกึ ซ้ึงและแหลมคม
๒) มีความสามารถในการใช้ความรู้ทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์เพ่ือการวางแผน วิเคราะห์และแก้ปัญหาที่
ซบั ซอ้ นสงู มากด้วยตนเอง รวมทั้งวางแผนในการปรบั ปรงุ ตนเองและองค์กรได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
๓) มคี วามสามารถสร้างปฏสิ ัมพันธ์ในกจิ กรรมกลุ่มอยา่ งสรา้ งสรรค์
๔) มคี วามสามารรถในการแสดงออกถึงความโดดเด่นในการเป็นผู้นำในทางวชิ าการและสังคมท่ีซบั ซ้อน
๔.๒ วธิ ีการสอน
เพื่อให้เกิดผลการเรียนรูด้ ้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความรับผิดชอบหลักสตู รจึงใช้กลยุทธ์ในการ
สอนเพื่อพัฒนาการเรยี นร้ขู องผเู้ รียนดงั น้ี
๑. การจดั กจิ กรรมในรายวิชาทเ่ี นน้ การเรยี นการสอนท่มี กี ารปฏิสัมพันธ์ทดี่ รี ะหว่างผู้เรียนและผูส้ อน
๒. ฝึกฝนภาวะความเป็นผู้นำ ผู้ตาม การแสดงออกถึงภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตามท่ีดี การมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี
กบั ผู้ร่วมงาน และการรับฟงั ความคดิ เห็นผู้อ่ืนในการปฏบิ ตั งิ านเป็นทีมและการทำงานวจิ ยั
๓. ฝกึ ฝนการทำกิจกรรมเพือ่ สงั คม
๔. ฝึกฝนการวางตัวทเี่ หมาะสมตอ่ กาลเทศะ
๕. ฝึกฝนการประสานงานกบั ผ้อู ืน่ ท้ังภายในและภายนอกสถาบนั การศึกษา
๔.๓ วธิ ีการประเมินผล
ประเมนิ ทักษะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและความรับผดิ ชอบด้วยวิธกี ารดังต่อไปนี้
๑. สังเกตุพฤติกรรมและการแสดงออกของนิสิตในหลายๆ ด้าน ระหว่างกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น
พฤติกรรมความสนใจ ต้ังใจเรยี นรู้ และพฒั นาตนเอง
๒. สังเกตพุ ฤติกรรมการแสดงบทบาทภาวะผูน้ ำและผตู้ ามท่ดี ี ความสามารถในการทำงานรว่ มกบั ผอู้ ื่น
๓. สังเกตุพฤติกรรมความรับผิดชอบในการเรยี นและงานท่ีได้รับมอบหมาย การนำเสนอผลงาน การทำงานวิจัย
และการรว่ มทำกจิ กรรมเพ่ือสงั คม
ฎ
๕. ทกั ษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่อื สาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๕.๑ ทกั ษะการวเิ คราะหเ์ ชิงตัวเลข การส่อื สาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทตี่ อ้ งพัฒนา
(โดยความรับผดิ ชอบหลักคือข้อ ๓ )
๑) สามารถคัดกรองข้อมูลและใช้หลักตรรกะทางคณิตศาสตร์และสถิติ ในการศึกษาค้นคว้าปัญหา เช่ือมโยง
ประเด็นปัญหาท่ีสำคัญและซับซ้อน และเสนอแนะแนวทางการแกไ้ ขปัญหาในดา้ นตา่ งๆ โดยเฉพาะทางดา้ นการจัดการ
เชิงพทุ ธในเชงิ ลกึ ได้
๒) สามารถส่ือสารโดยใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูด การอ่าน การฟัง การ
เขียน และการนำเสนอ และส่ือสารกับกลุ่มบุคคลต่างๆ ทั้งในวงการวิชาการและวิชาชีพ รวมถึงชุมชนท่ัวไปได้อย่าง
เหมาะสม
๓) สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอรายงานการวิจัย หรือโครงการค้นคว้าที่สำคัญ ท้ังใน
รูปแบบทีเ่ ปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ รวมถึงการตพี ิมพ์ผา่ นสื่อทางวชิ าการและวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม
๕.๒ วิธกี ารสอน
เพื่อให้เกิดผลการเรียนรู้ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
หลกั สตู รจึงใช้กลยุทธใ์ นการสอนเพอ่ื พัฒนาการเรียนรู้ของผ้เู รียนดงั นี้
๑. จัดการเรียนรายวิชาสัมมนาให้นิสิต โดยนิสิตทุกคนต้องลงทะเบียนเรียนโดยไม่นับหน่วยกิต ท้ังนี้เพื่อให้นิสิต
ได้ฝึกทักษะท้ังด้านการวิเคราะห์ การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการค้นคว้าและนำเสนองานท้ังเป็น
ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
๒. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะการสื่อสาร และการนำเสนอโดยใช้เทคโนโลยี
ทั้งด้วยตนเองและร่วมกับผอู้ ่ืน การอภิปราย
๓.จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ีเน้นการวิเคราะหป์ ัญหาจรงิ ในการเรียนรู้และการทำงานวิจัย
๕.๓ วิธีการประเมนิ ผล
ประเมินทักษะการวิเคราะห์เชงิ ตัวเลข การสื่อสาร และการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยวิธีการดงั ตอ่ ไปนี้
๑. การทดสอบความรู้และเทคนิคการวิเคราะหแ์ ละแก้ปัญหาในสถานการณจ์ ำลองเสมือนจรงิ
๒. การทำงานวจิ ยั ตัง้ แตเ่ ร่ิมตน้ จนถงึ ขน้ั ตอนการเขียนรายงาน และการนำเสนอผลงาน
หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล
๑. แผนการสอน
สปั ดาห์ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวน กจิ กรรมการเรียน การสอน สอ่ื ที่ ผู้สอน
ที่ ชว่ั โมง ใช้ (ถา้ ม)ี
พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
๑ แนะนำวิธีการศึกษาและวัด ๓ แน ะน ำกิจกรรม นิ สิ ต แล ะการวัด
พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
ประเมนิ ผลการศกึ ษาฯ ประเมินผล บรรยาย อภิปราย และการ
สรุปสาระที่สำคัญๆ
- แนวการสอน/เนอ้ื หารสาระ
- กจิ กรรมการเรยี นการสอน
- การวดั และประเมินผลฯ
๒ ความรเู้ บื้องต้นเกย่ี วกบั ภาวะ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ า งป ร ะ ก อ บ
ผูน้ ำ
อภปิ ราย ซกั ถาม โต้ตอบ วเิ คราะห์ โดย
ฏ
สัปดาห์ หวั ข้อ/รายละเอยี ด จำนวน กิจกรรมการเรียน การสอน ส่อื ท่ี ผ้สู อน
ท่ี ชัว่ โมง ใช้ (ถา้ ม)ี
อาจารย์ผบู้ รรยายรว่ มกับนสิ ิต
๓ แนวคิด ทฤษฎภี าวะผู้นำ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ า งป ร ะ ก อ บ
อภปิ ราย ซกั ถาม โต้ตอบ วเิ คราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
ตะวันตก อาจารย์ผู้บรรยายรว่ มกับนสิ ติ
๔ แ น ว คิ ด ท ฤ ษ ฎี ภ า ว ะ ผู้ น ำ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภิปราย ซกั ถาม โตต้ อบ วเิ คราะห์ โดย พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
ตะวันออก อาจารยผ์ ู้บรรยายร่วมกบั นสิ ิต
๕ ภาวะผูน้ ำตามแนวทาง ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ า งป ร ะ ก อ บ
อภิปราย ซกั ถาม โต้ตอบ วเิ คราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
พระพุทธเจ้า อาจารยผ์ ู้บรรยายรว่ มกับนสิ ติ
๖ แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภปิ ราย ซกั ถาม โต้ตอบ วิเคราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
อาจารยผ์ ู้บรรยายรว่ มกับนสิ ิต
๗ คุณลักษณะและทกั ษะของภาวะ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
ผูน้ ำ อภิปราย ซักถาม โตต้ อบ วเิ คราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
อาจารย์ผูบ้ รรยายรว่ มกับนิสติ
๘ สอบวดั ผลกลางภาค ๓ กจิ กรรมสอบวดั ผลกลางภาค พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
๙ การบริหารจัดการเพ่ือความเป็น ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
ผู้นำ อภิปราย ซักถาม โต้ตอบ วิเคราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
อาจารยผ์ ู้บรรยายรว่ มกับนิสิต
๑๐ พุทธธรรมสำหรบั การสรา้ ง ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ า งป ร ะ ก อ บ
อภปิ ราย ซักถาม โต้ตอบ วเิ คราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
ภาวะผนู้ ำ อาจารย์ผบู้ รรยายร่วมกับนิสติ
๑๑ กระบวนการฝึกอบรมและการ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภิปราย ซกั ถาม โตต้ อบ วิเคราะห์ โดย พระสมทุ รวชริ โสภณ,ดร.
พั ฒ น า บุ ค ล ค ล เพ่ื อ ค ว า ม เป็ น อาจารยผ์ บู้ รรยายร่วมกับนิสิต
ภ า ว ะ ผู้ น ำ ต า ม แ น ว
พระพทุ ธศาสนา
๑๒ ภาวะผู้นำในการจัดองค์กรทาง ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภปิ ราย ซักถาม โตต้ อบ วิเคราะห์ โดย พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
พระพุทธศาสนา อาจารยผ์ ู้บรรยายรว่ มกับนิสติ
๑๓ ภ าวะผู้ น ำเชิ งพุ ท ธเพ่ื อการ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภปิ ราย ซักถาม โตต้ อบ วิเคราะห์ โดย พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
จัดการตามแนวสมานฉนั ท์ อาจารยผ์ บู้ รรยายรว่ มกับนสิ ติ
๑๔ ภ าวะผู้ น ำเชิ งพุ ท ธเพ่ื อ ก าร ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั ว อ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภิปราย ซกั ถาม โตต้ อบ วเิ คราะห์ โดย พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร.
จดั การตามแนวสมานฉันท์ (ตอ่ ) อาจารย์ผบู้ รรยายร่วมกับนสิ ติ
ฐ
สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวน กจิ กรรมการเรียน การสอน สื่อที่ ผสู้ อน
ที่ ชวั่ โมง ใช้ (ถ้าม)ี
๑๕ กรณีศึกษาผู้นำสงฆ์ท่ีเป็นต้นแบบ ๓ บ ร ร ย า ย ย ก ตั วอ ย่ างป ร ะ ก อ บ
อภิปราย ซกั ถาม โต้ตอบ วิเคราะห์ โดย พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
ของการจดั การเชงิ พทุ ธ อาจารย์ผบู้ รรยายรว่ มกับนิสติ
๑๖ สอบปลายภาค ๓ กจิ กรรมสอบวัดผลปลายภาค พระสมทุ รวชิรโสภณ,ดร.
๒ แผนการประเมินผลการเรยี นรู้
ที่ แผนการประเมินและ สัปดาหท์ ปี่ ระเมิน สดั ส่วนเกณฑท์ ี่ประเมนิ ผล
วธิ ีการประเมนิ ตลอดภาคการศกึ ษา ๗๐ %
มาตรฐานการเรยี นรู้ ๕ ดา้ น
๑. ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ประเมินจากการมีวนิ ยั ในการ
เรยี น การตรงเวลาในการเข้าชน้ั
เรยี น การทำงานเสรจ็ และสง่
งานตามกำหนด และความ
รบั ผิดชอบในการปฏิบตั งิ านเป็น
ทมี การทำงานวจิ ัย และการเข้า
ร่วมกิจกรรมในการใช้องค์
ความรทู้ างการศึกษาทำ
ประโยชนต์ ่อสังคม
๒. ความรู้ ประเมนิ จาก การ
ทดสอบย่อย การสอบปลายภาค
๑ และการนำเสนอผลงาน
๓. ทักษะทางปัญญา ประเมนิ
จากการแสดงออกทางการ
กระบวนการคดิ และการแก้ไข
ปัญหา จากการปฏิบัตงิ านที่
ได้รับมอบหมาย การนำเสนอ
ผลงาน และการอธิบาย การ
ตอบคำถาม
๔. ทักษะความสัมพนั ธ์
ระหว่างบคุ คลและความ
รบั ผดิ ชอบประเมินจากสังเกตุ
พฤติกรรมและการแสดงออก
ของนิสิตในหลายๆ ดา้ น
ระหวา่ งกิจกรรมการเรียนการ
สอน เชน่ พฤตกิ รรมความสนใจ
ต้งั ใจเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง ฑ
๒๐%
และสังเกตุพฤติกรรมการแสดง
บทบาทภาวะผนู้ ำและผ้ตู ามท่ีดี
ความสามารถในการทำงาน
รว่ มกับผอู้ น่ื
๕. ทักษะการวิเคราะห์เชงิ
ตวั เลข การส่อื สาร และการใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศประเมิน
การทดสอบความรแู้ ละเทคนิค
การวเิ คราะห์และแกป้ ัญหาใน
สถานการณจ์ ำลองเสมือนจริง
และการทำงานวิจัย ต้ังแต่
เร่มิ ต้นจนถึงข้นั ตอนการเขียน
รายงาน และการนำเสนอ
ผลงาน
การวเิ คราะหผ์ ลงานที่มอบหมาย
- การจัดทำรายงานกลุ่ม
- การตรวจและสรปุ บทความ
- การสง่ งานตามทมี่ อบหมาย
มชี ิ้นงานตามจุดดำ(ความ
รบั ผิดชอบหลกั ) ทั้ง ๕ ด้าน
๑) มีภาวะผู้นำในการส่งเสริมให้
มีการประพฤติปฏบิ ตั ติ ามหลัก
คณุ ธรรม จริยธรรมในทที่ ำงาน
และชุมชนทตี่ นเก่ียวข้อง
๒) มคี วามสามารถในการพฒั นา
๒ นวตั กรรมหรือสร้างองค์ความรู้ ตลอดภาคการศึกษา
ใหมท่ ี่เปน็ แก่นของสาขาวิชาฯ
๓) สามารถใช้ความเข้าใจอัน
ถ่องแทใ้ นทฤษฎีและเทคนิคการ
แสวงหาความรใู้ นการวิเคราะห์
ประเดน็ และปัญหาสำคัญได้
อย่างสร้างสรรค์
๔) มคี วามสามารรถในการ
แสดงออกถึงความโดดเดน่ ใน
การเปน็ ผูน้ ำในทางวิชาการและ
สังคมทีซ่ ับซ้อน
๓) สามารถใช้เทคโนโลยี
ฒ
สารสนเทศในการนำเสนอ ตลอดภาคการศกึ ษา ๑๐%
รายงานการวจิ ัย หรอื โครงการ -มีเอกสารรายงานฯ
คน้ ควา้ ทส่ี ำคัญ ทัง้ ในรปู แบบที่
เป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ
รวมถึงการตีพิมพผ์ ่านสอื่ ทาง
วชิ าการและวชิ าชพี ได้อยา่ ง
การเขา้ เรยี น/ร่วมทำกจิ กรรม
๓ - การมีส่วนร่วม อธปิ ราย
- การเสนอความคิดเหน็ ในกลมุ่
หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรยี นการสอน
๑. เอกสารและตำราหลัก
พระสมุทรวชิรโสภณ,ดร. เอกสารประกอบคำสอน. “ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ”. วิทยาลัยสงฆ์
ราชบรุ ี, มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖3.
๒. เอกสารและข้อมูลสำคญั
---
๓. เอกสารและขอ้ มลู แนะนำ ม.มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย : WWW.mcu.ac.th , WWW.polmcu.com
- ทฤษฎอี งค์การและการจัดการ, https://docs.google.com/document/edit?id
- การค้นควา้ วทิ ยานิพนธ์ (Thesis) : WWW.ThaiLIS สภาพัฒนาเศรษฐกจิ (สศช) : WWW.nesdb.go.th
หมวดท่ี ๗ การประเมนิ และปรับปรงุ การดำเนนิ การของรายวชิ าฯ
๑. กลยุทธก์ ารประเมินประสิทธผิ ลของรายวิชาโดยนสิ ติ
๑.๑ นิสิตประเมินประสิทธผิ ลของรายวิชาฯ
๑) ด้านวธิ กี ารสอนของอาจารย์
๒) ด้านการจัดกิจกรรมในหอ้ งเรยี น
๓) ด้านการจดั กจิ กรรมนอกหอ้ งเรยี น
๔) สิ่งสนับสนนุ การเรยี นการสอนทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ การเรยี นรู้และผลการเรียนรู้ 5 ดา้ นทไี่ ดร้ บั
๕) ข้อเสนอแนะเพื่อปรบั ปรุงรายวชิ าดว้ ยระบบเครอื ข่ายของมหาวทิ ยาลัยฯ
๑.๒ อาจารย์ผ้สู อนประเมนิ พฤติกรรมการเรยี นของนสิ ติ
๑) การสังเกตจากสนทนากลุ่มระหวา่ งอาจารย์ผู้สอนกบั ผูเ้ รยี น
๒) การสงั เกตการณจ์ ากพฤติกรรมของผเู้ รยี น
๑.๓ แบบประเมนิ ผู้สอนและแบบประเมนิ รายวิชา
๑) แบบประเมนิ อาจารยผ์ ูส้ อนและเอกสารรายงานท่สี รุปผลการประเมนิ
๒) แบบประเมินรายวชิ าฯ และเอกสารรายงานทสี่ รุปผลการประเมิน
๑.๔ ข้อเสนอแนะผา่ นเว็บ ท่ีอาจารยผ์ ู้สอนได้จัดทำเปน็ ชอ่ งทางการส่ือสารกับนสิ ิต
ณ
หลักฐานท่จี ะใชป้ ระเมนิ ผลตาม มคอ.5 เช่น เมล์ เวบ็ บอร์ด ฯลฯ
๒. กลยทุ ธ์การประเมนิ การสอน
๒.๑ การสอนเปน็ ไปในลักษณะที่เน้นผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญ
- มกี ารบรรยายถึงเนอ้ื หาหลกั และแนะนำใหผ้ เู้ รยี นค้นควา้ หรอื ทำความเขา้ ใจปลีกย่อยดว้ ยตนเอง
๒.๒ การสอนหลักการหรอื ทฤษฎแี ละกฎเกณฑ์ตา่ งๆ เพอื่ ทดลองปฏิบตั ิจรงิ และใช้เคร่ืองมือด้วยตนเอง
- โดยสอนสอดแทรกเน้อื หา/กิจกรรมทสี่ ง่ เสริมด้านคุณธรรม จริยธรรม เพ่ือทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดทักษะ
ในการเรียนรู้ การนำเสนอ และการอภิปราย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการส่อื สารกบั ผู้อ่นื
๒.๓ การวัดและประเมินการสอน:
- การกำหนดวธิ วี ัดผลการศกึ ษา โดยองิ มาตรฐานกลมุ่ หรือองิ เกณฑ์
- การสงั เกตโดยอาจารย์ผ้สู อนจากการที่นสิ ติ มาขอคำปรกึ ษา
๓. การปรบั ปรุงการสอน
หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ ๒ จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยจัดกิจกรรมในการระดม
สมอง และหาข้อมูลเพม่ิ เติมเพือ่ ปรับปรุงการสอน ดังน้ี
๓.๑ หลักสูตรฯ กำหนดให้ผู้สอนทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์และวิธีการสอนจากผลการประเมิน
ประสิทธิผลรายวิชาแล้วจัดทำรายงานผลดำเนินการรายวิชา(มคอ.5) ตามที่ สกอ.กำหนดให้จัดทำทุกภาค
การศึกษา (ภายใน ๓๐ วัน/เทอม)
๓.๒ หลักสูตรฯ ส่งเสริมให้อาจารย์ผู้สอนเข้ารับการอบรมถึงกลยุทธ์การสอน วิเคราะห์ผู้เรียนและการ
วิจัยในชั้นเรียนในรายวิชาท่ีมีปัญหาหรือมีประสิทธิผลจากการประเมินต่ำฯ อย่างน้อยภาคการศึกษาละ 1
รายวิชา
๓.๓ หลักสูตรฯ จัดให้มีการประชุม/สัมมนากบั อาจารย์ผูส้ อนเพื่อปรกึ ษาหารือปัญหาการเรียนรขู้ องนิสิต
และวิธีการปรบั ปรุง/แก้ไขหรือพฒั นาใหด้ ีย่ิงข้นึ
๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธข์ิ องนิสิตในรายวิชา
ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ในรายหัวข้อ ตามท่ีคาดหวังจากการ
เรยี นรู้ในรายวชิ า ๕ ดา้ น โดยสอบถามนิสิตหรอื สุ่มตรวจผลงานนสิ ิต รวมถึงผลการทดสอบย่อย ดังน้ี
๔.๑ การแต่งตั้งคณะกรรมการทวนสอบฯ เพื่อตรวจสอบผลการประเมิน”ผลการเรียนรู้ 5 ด้าน”
ของนิสิต โดยการตรวจสอบกระบวนการเรียน-การสอนรายวชิ านั้นๆ เช่น ตรวจ มคอ.3 เนอื้ หาในรายวชิ าและ
ส่ือการสอน รวมทั้งเอกสารประกอบการสอน/ตำราท่ีใช้ประกอบการสอนฯ (ตามหมวดที่ ๒ การจัดการเรียน
การสอนของรายวชิ าฯ ใน มคอ.๕)
๔.๒ การตรวจสอบขอ้ สอบ ตรวจรายงาน และวธิ กี ารให้คะแนนสอบ การใหค้ ะแนนพฤติกรรม และ
การให้คะแนนตามข้อกำหนดการวัดและประเมินผลรายวิชาตามท่ีกำหนดไว้ รวมท้ังพิจารณาจากผลการ
ทดสอบยอ่ ยและใหค้ ำปรกึ ษาฯ
๔.๓ การทวนสอบผลการเรยี นรายวชิ าฯ มกี ารทวนสอบผลสัมฤทธิ์ โดยรวมในรายวิชา ดังนี้
๑) การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนิสิต โดยอาจารย์อื่นที่ประจำ
สาขาวิชาฯ
๒) การสอบถาม/สัมภาษณ์นิสิตฯเพื่อพิจารณาผลการเรียนรู้ในรายวชิ าฯ โดยคณะกรรมการท่ี
รับผดิ ชอบและผู้เชีย่ วชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิฯแตล่ ะสาขาวิชาฯ เพ่ือตรวจสอบผลประเมนิ ”ผลการเรียนรู้ 5 ดา้ น”
ด
และพฤตกิ รรมนสิ ิต/นิสิตฯ
๕. การดำเนนิ การทบทวนและการวางแผนปรบั ปรุงประสทิ ธิผลของรายวิชา
จากผลการประเมินและทวนสอบผลสัมฤทธ์ิประสิทธิผลรายวิชา โดยสาขาวิชาและคณะวิชาฯ ได้มีการ
วางแผน การปรับปรุงการสอนและรายละเอียดของวชิ า(มคอ.๓) เพ่ือใหเ้ กิดคุณภาพมากข้นึ ดงั น้ี
๕.๑ การปรบั ปรุงรายละเอียดของรายวชิ าทุกภาคการศึกษาปี หรือตามข้อเสนอแนะและผลการทวน
สอบรายวชิ าในมาตรฐานผลสัมฤทธิต์ ามข้อ ๔
๕.๒ การเปล่ียนหรือสลับอาจารย์ผู้สอนในรายวิชาน้ี เพ่ือให้นสิ ิตได้มีมุมมองในเร่ืองการประยุกต์ความรู้น้ี
กบั ปญั หาทีเ่ กิดจากปจั จัยภายนอก/ปัญหาในสงั คมหรือหนว่ ยงานต่างๆ
๕.๓ การเชิญวิทยากร/อาจารย์ผู้สอนท่านอ่ืนฯ เพ่ือเข้าร่วมสอน ท่ีทำให้นิสิตได้รับความรู้เพ่ิมหรือมี
มุมมองในเร่ืองประสบการณ์หรือการประยุกต์ความรู้น้ีกับปัญหาท่ีมาจากผลงานวิจัย/ประสบการณ์ของ
วทิ ยากร/ผทู้ รงคุณวฒุ ิฯ
ลงชอ่ื ..................................................................................
อาจารยผ์ สู้ อนรายวชิ า พระสมุทรวชริ โสภณ,ดร.
วันที่ ๑8 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖3
ลงชือ่ ..................................................................................
อาจารยผ์ รู้ ับผิดชอบรายวิชา พระครูสังฆรกั ษ์ทรงพรรณ ชยทตโฺ ต,ผศ.ดร.
วนั ที่ ๑8 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖4
บทที่ ๑
ความรู้ทว่ั ไปเกีย่ วกับภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ
ขอบขา่ ยประจำบท
๑. แนวคดิ พน้ื ฐานเกย่ี วกับภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ
๒. ลกั ษณะภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ
จดุ ประสงค์การเรียน
๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพ้ืนฐานเกี่ยวกับ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ
๒. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับลักษณะภาวะผู้นำ
ทางการจดั การเชงิ พทุ ธ
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๑. การจัดการเรียนการสอนทางออ้ ม
๒. ใช้เทคนคิ การศึกษาเป็นรายบคุ คล
๓. ใชเ้ ทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือ
๔. ใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบบรู ณาการ
โดยพฤตินัย พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของไทยมาแต่
โบราณกาล วัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ันดงี าม ตลอดจนภาษาท่ีใช้
เขียนล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาแทบท้ังส้ิน องค์
พระมหากษัตรยิ ์ไทยทุกยุคทุกสมยั ล้วนแล้วแตท่ รงเปน็ พุทธมามกะ ดำรงมั่น
อยใู่ นทศพิธราชธรรมและทรงนำคำสอนในพระพุทธศาสนามาเป็นแนวปฏิบตั ิ
ในการปกครองบ้านเมือง ทำให้พสกนิกรมีความสงบสุขและบ้านเมืองเป็น
ปกึ แผ่นมั่นคง ดำรงความเป็นชาตเิ อกราชอยา่ งภาคภูมิมาตราบทกุ วนั นี้
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒
การนำเอาหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาไปศึกษา
วิเคราะห์แลว้ ประยุกตใ์ ช้ให้เข้ากบั หลักการปกครองสำหรับภาวะผู้นำ ก็จะทำ
ให้หลักพุทธธรรมมีส่วนในการเสริมสร้างคุณธรรมและก่อให้เกิดการพัฒนา
ผนู้ ำหรือผู้ปกครองทกุ ระดบั ชัน้ อย่างมคี ุณภาพ กลา่ วคือมีการพัฒนาคุณภาพ
ชีวติ ชุมชนสังคม และประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านคุณธรรม
และจริยธรรม เม่ือคนในสังคมมีการพัฒนาชีวิตของเขาให้ดีขึ้น เข้าก็มา
พัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน และพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ดังน้ัน
หลักพุทธธรรมจึงเป็นพนื้ ฐานในการพัฒนาความเป็นผู้นำหรือผู้ปกครองอย่าง
แท้จริงเหมือนดังที่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงภาวะผู้นำ
ไว้ว่า “ผู้นำท่ีย่ิงใหญ่จริง ๆ คือ ผู้นำท่ีสามารถเอาหลักความจริงหลักความ
ถูกต้อง เอาประโยชน์มาเป็นท่ีอ้างอิงท่ีจะให้ประชาชนร่วมแรงร่วมใจกันใน
การสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมโดยไม่ต้องอาศัยความโลภหรือความโกรธมา
เป็นเครื่องกระตุ้นเร้า”๑ ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักการปกครองของ ขงจ้ือ ท่ีว่า
“ผู้ปกครองจำเป็นอย่างยง่ิ ที่จะต้องทำเรื่องผลประโยชน์และคุณธรรมความดี
ให้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะคุณธรรมเป็นเสาของการปกครอง”๒ ดังนั้น
หลักการปกครองจึงต้องประกอบด้วยคุณธรรม อุปมาด่ังดาวเหนืออันมีดาว
ดวงอนื่ แวดลอ้ มเปน็ บรวิ าร เพ่ือประดับท้องฟ้าให้ดูสวยงาม ฉันน้นั
๑กฤต ศรียะอาจ, หลักการปกครองของขงจื้อ, ในหนังสือ บทความทาง
วิชาการ พุทธศาสตร์ปริทัศน์, (กรุงเทพมหานคร : จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์, ๒๕๔๘),
หนา้ ๓๘.
๒พระเทพโสภณ, วิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก, พิมพ์ครั้งที่ ๒,
(กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๒๓.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๓
๑.๑ ภาวะผ้นู ำตามแนวทศพธิ ราชธรรม
คำว่า “ทศพิธราชธรรม” ความหมายโดยตรง คือธรรมะสำหรับ
พระราชา หรือธรรมท่ีพระเจ้าแผ่นดินพึงปฏิบัติ ๑๐ ประการ หมายความว่า
พระเจ้าแผ่นดิน ซ่ึงมีอำนาจหน้าที่ในการปกครองไพร่ฟ้าประชาชนนั้น พึง
ดำเนินกุสโลบายในการปกครองด้วยธรรม ๑๐ ประการ ที่ถือปฏิบัติมาแต่
โบราณกาล ซึ่งพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า หากพระราชา
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงม่ันอยู่ในธรรม ๑๐ ประการนี้แล้ว จักปกครองไพร่
ฟ้าประชาชนให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ไพร่ฟ้าจะหน้าใสมีความเป็นอยู่ปกติ
สุขท้ังกายและใจ หากพระราชาขาดคุณธรรมเหล่านี้แล้วไซร้ ไพร่ฟ้า
ประชาชนก็หาได้อยู่เย็นเป็นสุขไม่ กลับจะกลายเป็นอยู่ร้อนนอนทุกข์ หา
ความสขุ ไมไ่ ด้
คำว่า “ราชธรรม” ความหมายโดยอ้อมคือธรรมสำหรับผู้เป็นใหญ่
หรือผู้เป็นหัวหน้าในการปกครอง เพราะ “ราช” ศัพท์ ย่อมมีความหมายรวม
ไปถึงชนผู้เจริญรุ่งเรืองเฉพาะตนและยังบริวารให้เจริญรุ่งเรืองตามด้วย และ
หมายถึงผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจ คือผู้เป็นท่ียินยอมพร้อมใจของชนอื่น ฉะนั้น
“ราช” ศัพท์นี้ โดยกำหนดอย่างสูงสุด หมายถึง องค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรง
เป็นฉัตรชัยของประเทศ โดยต่ำสุด หมายถึง บุคคลผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว
หรือหัวหน้ากลุ่มชนช้ันเล็กๆ” ผู้นำกลุ่มชนนั้นมีหลายระดับ เช่น ผู้นำคณะ
รัฐบาล ผู้นำกระทรวง ทบวง กรม ผ้นู ำจงั หวัด ผนู้ ำอำเภอ ตำบลและหมบู่ ้าน
ตลอดจนถึงผู้นำหน่วยงานอ่ืน ๆ แม้จนถึงผู้นำวัดวาอาราม ผู้นำแต่ละระดับ
น้ัน จะต้องมีทศพิธราชธรรมเป็นหลักปฏิบัติ จะเว้นเสียมิได้ เพราะผู้ใดเป็น
ใหญ่มีคุณธรรมคือทศพิธราชธรรมตั้งม่ันอยู่ในตนแล้ว ย่อมจะมีแต่ปีตอิ ันเกิด
เพราะการปฏบิ ัติหน้าที่ทศพิธราชธรรมน้ี ถือวา่ เป็นคุณธรรมท่ีโบราณบัณฑิต
ได้บัญญัติไว้ก่อนสมัยพุทธกาล ซ่ึงพระราชามหากษัตริย์ในอดีต ได้ทรงถือ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๔
ปฏิบัติมาเป็นพระราชจริยาวัตร แม้บุคคลผู้มิใช่พระเจ้าแผ่นดินก็ควรเจริญ
รอยตาม โดยนำเอาหลักธรรม ๑๐ ประการนี้ มาเป็นหลักปฏิบัติในการ
ปกครองเพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมตามอุดมการณ์แห่งการปกครอง
ย่ิง ๆ ขึน้ ไป
หลักทศพิธราชธรรมสำหรับบุคคลผเู้ ป็นหัวหน้าหรือนักปกครอง ๑๐
ประการคือ
๑. ทาน การให้ การแบ่งปนั การสงเคราะห์อนุเคราะห์
ผู้ปกครองต้องรู้จักบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้โดยมุ่งปกครองหรือทำงาน
เพ่ือให้เขาได้ มิใช่เพื่อจะเอาจาเขา รู้จักเอาใจใส่ ดูแล จัดสรร สงเคราะห์
อนุเคราะห์ ให้ประชาชนหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับประโยชน์สุขได้รับความ
สะดวกปลอดภัย ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เดือนร้อน และให้ความ
สนับสนุนแก่ผู้บำเพ็ญคุณงามความดี เช่น ให้รางวัล ให้เลื่อนยศ เลื่อนฐานะ
เพ่ือเป็นขวัญเป็นกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าท่ี โดยไม่ทอดท้ิงดูดายยามทุกข์
ยาก เข้าลักษณะท่ีว่า “ยากปกติก็เรียกใช้ ยามเจ็บก็รักษา” ยามต้องการ
คำแนะนำปรึกษาก็ช่วยให้แสงสว่างเป็นผู้แนะนำให้ แนะ คือ บอกอุบายให้รู้
นำ นั้นคือทำให้ดูเป็นแบบอย่าง ดังคำกล่าวท่ีว่า “แนะให้ทำ นำให้ดู อยู่ให้
เห็น เขน็ ใหร้ อด”
ทาน แบง่ ออกเป็น ๓ ประเภท คือ๓
๑. วัตถุทานหรืออามิสทาน หมายถึง การแบ่งปันวัตถุส่ิงของ
เคร่ืองใช้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้น้อยหรือผู้ประสบเคราะห์กรรมในโอกาสต่าง ๆ เป็น
๓พระธรรมกิตติวงศ์, อัปปมัตตกถา, ในหนังสือ ปูชากถา ๑๐๐ เทศนา บูชา
พระพุทธวรญาณ วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร, (กรุงเทพมหานคร : หจก.สามลดา,
๒๕๔๙), หน้า ๖๕.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๕
การสงเคราะห์แก่ผู้กำลังต้องการความช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้งคนขัดสนยากไร้
โดยเฉพาะผู้ทอ่ี ยู่ในการดแู ลของตน
๒. ธรรมทาน หมายถึง การให้ท่ีไม่ต้องลงทุนด้วยวัตถุสิ่งของแต่เป็น
การให้แสงสว่าง ให้ทางดำเนินชีวิตท่ีถูกต้องเช่น การให้โอวาทแนะนำ ให้คำ
ตักเตือน ช้ีผิดช้ีถูกให้แก่ผู้กำลังจะหลงผิดถูกดึงผู้จะตกนรกให้วกกลับข้ึน
สวรรค์
๓. อภัยทาน หมายถึง การใหค้ วามไม่หวาดกลัวตอ่ กนั คนเราลงวา่ มี
ความอาฆาตพยาบาลจองเวรต่อกนั แล้ว เหมือนเอาไฟสุมอยู่ภายในจิต จะนั่ง
จะนอนก็ไม่เป็นสุข คอยคิดประหัตประหารกันและกัน จะหาความสุขแต่ที่
ไหนได้ ฉะน้ันการให้อภัยจึงก่อให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจ
เดียวกนั การกระทำงานใดยอ่ มสำเรจ็ ตามประสงค์
รวมความว่า ทาน คือการให้ทั้ง ๓ ระดับ ซึ่งเป็นราชธรรมข้อต้นนี้
เป็นข้อวัตรท่ีผู้ใหญ่หรือผู้นำองค์กรทุกระดับควรบำเพ็ญ และควรปลูกผัง
อัธยาศยั ให้ผู้น้อยพอใจในการให้ด้วย ถอื ว่าเป็นการดำเนินตามาเบ้ืองพระยุค
บาทและพระจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั องค์พระประมุขของ
ชาติ พระองค์มีน้ำพระทัยเป่ียมไปด้วยพระกรุณาทรงสงสารพสกนิกรท่ีเดือน
ร้อน ทรงเสียงสละทะทุกส่ิงอย่างเพ่ือบำบัดทุกข์บำรุงสุขเสด็จเยี่ยมและ
ช่วยเหลือแก่หมู่อาณาประชาราษฎร์ มิได้ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหน่ือยทุกข์
ยากลำบากพระวรกาย
๒. ศีล การรกั ษากาย วาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติ
ผู้ปกครองต้องมีความประพฤติดึงความรู้จักรักษาความสุจริต รักษา
เกยี รติคุณประพฤติใหเ้ ป็นอย่าง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนและบริวาร
มิใช่มีข้อข้อท่ีผู้ใดจะดูหมิ่นดูแคลนได้ก่อนให้เกิดความไว้วางใจ เลื่อมใสใน
ผู้นำ รวมความว่า การรักษาศีลโดยเฉพาะศีลห้าน้ัน ความมุ่งหมายก็คือให้
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๖
รักษาตนเองไว้มิให้เสียหายเป็นการปิดช่องทางท่ีจะนำความเสียหายมาสู่ตน
ไดถ้ งึ ๕ ทางด้วยกนั คอื
ศลี ข้อท่ี ๑ ปอ้ งกันทางท่ตี นจะเสยี หายเพราะความโหดรา้ ย
ศีลข้อที่ ๒ ป้องกันทางท่ีตนจะเสีย หายเพราะความมือไว
หรือเห็นแก่ตวั
ศีลข้อที่ ๓ ปอ้ งกนั ทางทีต่ นจะเสียหายเพราะความใจเร็ว
ศีลข้อที่ ๔ ป้ องกัน ท างที่ ตนจะเสียห ายเพ ราะความข้ีป ด
หรือขาดสัจจะ
ศลี ข้อท่ี ๕ ป้องกนั ทางท่ีตนจะเสียหายเพราะความหมดสติ
หมายความว่า ชีวิตของคฤหัสถ์ท้ังหลายไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย
มักจะพังทลายไปเพราะ ๕ เร่ืองเหล่าน้ี คือ ความโหดร้ายในสันดาน หน่ึง
ความอยากได้ทรัพย์สินของคนอื่นทางท่ีผิด ๆ หน่ึง ความฟุ้งซ่านในทางกาม
เกยี่ วกบั เพศตรงข้าม หนึ่ง ความไม่มีสัจจะประจำใจ หน่ึง ความประมาทขาด
สติสัมปชัญญะ หน่ึง รวมเรียกว่า “โหดราย มือไว ใจเลว ข้ีปด หมดสติ” ถ้า
ปล่อยให้สังคมตกอยู่ในสภาพเช่นน้ี นานเข้าก็จะกลายเป็นสังคมท่ีไร้ศีลขา
ธรรมหรือเขา้ สูก่ ลยี คุ ๔
๓. บรจิ าค การเสยี สละประโยชน์สขุ ส่วนตัว เพื่อประโยชน์สว่ นรวม
ผู้นำหรือนักปกครองจะต้องบำเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ คือ
สามารถเสียสละความความสุขความสำราญ เป็นต้น ตลอดจนชีวิของตนได้
เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นัก
ปกครองนั้น หากเห็นแต่ประโยชน์ตน ก็เป็นคนสกปรก ไม่สามารถทำงาน
เพื่อบ้านเมืองได้อย่างกว้างขวาง เพราะคนเห็นแก่ตนนั้น เป็นผู้ท่ีมีโลกแคบ
๔นิวัตร โลหะวิจิตรานนท์, ผู้นำ, พิมพ์คร้ังที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท
A.I.A.,ม.ป.ป.), หนา้ ๔๒.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๗
ย่อมจักไม่ได้รับความร่วมมือจากทุก ๆ ฝ่าย และอาจจำความเสียหายมาสู่
สังคมและประเทศชาติได้มาก แต่หากผู้นำเป็นนักเสียสละ มีจาคะธรรมก็
ยอ่ มสามารถท่ีจะเป็นผู้นำทบ่ี ันดาลประโยชน์สุขใหเ้ กดิ ไดอ้ ยา่ งไพศาล
คำว่า “บริจาค” หมายถึงการเสียบสละส่ิงท่ีอยู่ภายในจิตใจ คือ
บริจาคสิ่งท่ีไม่ควรอยู่ภายในตนออกไป โดยไม่ต้องมีผู้รับ เพราะส่ิงที่สละ
ออกไปเป็นของไม่ดี เช่น สละความเห็นผิดและยอมรับความเห็นที่ถูกต้อง
(สัมมาทิฏฐิ) บริจาคนี้แตกต่างจากทาน คือทานต้องมีผู้รับและเป็นการให้ที่
หวังผลให้ผู้รับมีความสุข ดังน้ันวิญญาณของผู้นำจะต้องเป็นนักเสียบสละทั้ง
แบบทานและบริจาค ดังพุทธพจน์ในราชธรรมข้อน้ีว่า “พึงสละทรัพย์เพร่ือ
รักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพ่ือรักษาชีวิต พึงสละชีวิตเพ่ือรักษาธรรม” ผู้
บำเพ็ญได้ถึงชั้นน้ีชื่อว่าเป็นผู้ชนะ คือชนะในตนเอง สมดังท่ีพระบรมศาสดา
ตรสั ไวว้ า่ “ผู้ชนะคนอื่นหม่ืนแสนในสนามรบ ยังไมไ่ ด้มชี ัยชนะท่ียิ่งใหญ่ แต่ผู้
ชนะตนเองได้น่ันแหละเป็นผู้มีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แท้” เพราะการชนะเช่นนี้ถือ
ว่าเป็นยอดแห่งชัยชนะท่ีพร้อมจะอุทิศหรือเสียบสละความสุขส่ วนตนเพ่ือ
ประโยชน์สขุ อันย่ิงใหญข่ องมวลมนุษยชาติ นเ้ี ป็นคณุ สมบัตขิ องผู้นำข้อที่สาม
๔. อาชชวะ ความเปน็ ผ้ซู ่อื ตรง
การปฏิบัติภาระโดยซ่ือตรงไม่คด ไม่โกง ไมก่ อบไม่โกย ไม่โกง ไม่กิน
ไม่เสแสร้งแกล้งมายาหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ แต่ปฏิบัติกิจโดยสุจริต มี
ความจริงใจ ไม่หลอกตนเอง ไม่หลอกลวงประชาชนและประเทศชาติ อันว่า
ความซื่อตรงทผี่ ้นู ำทกุ ชนช้นั จะพึงระวังและปฏิบัตใิ หไ้ ดโ้ ดยเคร่งครัดคือ
๔.๑ ซ่ือตรงต่อบุคคล ได้แก่ ไม่คิดคดทรยศต่อมิตร ญาติธรรม
ผ้รู ว่ มงานในหนว่ ยงานหรือองคก์ รและผู้มพี ระคณุ
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๘
๔.๒ ซื่อตรงต่อเวลา ได้แก่ ทำงานตรงกับเวลานาทีที่กำหนดหมาย
ไม่เอาเวลาราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยอย่าพลัดวันประกันพรุ่งมี
สิ้นสดุ
๔.๓ ซ่ือตรงต่อตน ได้แก่ รับปากรับคำไว้กับใครอย่างไร ก็พยายาม
ทำให้ได้ตามน้ัน ไม่บิดพล้ิว บายเบี่ยง เพราะความเสียหายก็จะเกิดขึ้นท้ังแก่
ตนเองและผู้อื่น
๔.๔ ซื่อตรงต่อหน้าท่ี ได้แก่ ต้ังใจทำงานตามที่ได้รับมาอบหมายให้
เกดิ ผล ไม่ละท้งิ เสียกลางคน โดยอยา่ งเปน็ คนจับจดหรือจับพลดั จบั ถู
๔.๕ ซ่ือตรงต่อความดี ได้แก่ รกั ษาความดีท่ีเรียกว่า “ธรรม” ไวม้ ิให้
เสียหาย เช่น ความเท่ียงธรรม ความยุติธรรม ความชอบธรรมและความเป็น
ธรรม คุณธรรมเหล่าน้ี พึงสะสมใหม้ ีในตนเองตลอดเวลา
ในการบริหารงานในองค์กรหรือหน่วยงานทั่วไป ต้องการความ
ซ่ือตรงหรือคนตรงท้ังผู้นำและผู้ตาม ถ้าใช้พระเดช ก็ต้องใช้ด้วยความเมตตา
ไม่ใช่ทำไปเพราะความลำเอียงหรือโกรธแค้นแต่ถ้าใช้พระคุณ ก็ต้องใช้ด้วย
ปัญญากำกับไว้ด้วย มิเช่นนั้นการช่วยเหลือก็จะกลายเป็นให้ผลร้านต่อผู้ให้
หรือผู้รับ องค์กรจะอยู่ได้เพราะซ่ือตรง ถ้าทั้งผู้นำและผู้ตามต่างก็ไม่ตรอง
หรือซ่ือต่อกัน องค์กรก็จะเกิดปัญหาและบางคร้ังปัญหาในองค์กรก็ข้ึนอยู่กับ
ความพยศของคนตรงคือเป็นความคดทซ่ี ่อนอยใู่ นความตรง เช่น เถรตรง คือ
ไม่หลบหลีกอะไร อย่างน้ีก็เป็นอันตรายต่อองค์กร เหมือนเดพนถึงหน้าผาก็
เดินต่อไปจนตกหน้าผาตาย อย่างนี้เป็นความโว่ที่ซ่อนอยู่ในความตรงหรือ
ขาดปัญญา วิธีแก้คือต้องชะระบ้างความโว่ออกไปจากความตรงที่ว่าน้ัน
ความตรงท่ีแทจ้ รงิ จะตอ้ งไม่เกิดความขัดแยง้ เพราะใช้ปัญญาเป็นตวั คิดหรือ
ตัดสินในการบรหิ ารงาน นเ้ี ปน็ คณุ สมบัตขิ องผนู้ ำขอ้ ที่สี่
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๙
๕. มัททวะ ความเปน็ ผู้ออ่ นโยน ออ่ นนอ้ ม
มีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน กล่าวคือผู้นำต้องเป็นผู้มีอัธยาศัยไมตรี
อ่อนโยน ไม่ดื้อดึง ถือตนด้วยอำนาจ มีความอ่อนโอนไปด้วยเหตุผลเป็นไป
ตามเหตุท่ีควรและมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ ผู้เจริญด้วยธรรม ต่อบุคคลเสมอ
กนั และต่ำกว่า วางตนสม่ำเสมอ ไม่กระด้างปราศจากมานะ ทิฐิ มีอัธยาศัยไม่
เย่อหย่งจองหองหยาบคาย ดูหม่ืนผู้อ่ืนด้วยอำนาจมานะ เพราะชาติตระกูล
ทรัพยส์ มบัติหรอื ตำแหนง่ งาน ไมเ่ ป็นบคุ คลประเภท “ทา้ วพรยาลืมกนั ตน้ ไม้
ลืมดนิ ” มีความสงา่ งามอันเกิดแต่ทว่ งทีกริ ิยาท่ีสุภาพนุ่มนวลละมนุ ละไม ควร
ไดร้ บั คามจงรกั ภกั ดี แต่มขิ าดความเคารพยำเกรง เป็นต้น
ในสังคมปัจจุบัน เรากลับพบว่า มีบุคคลบางคน มีมนุษย์บางกลุ่ม
หรือรวมกลุ่ม เม่ือได้รับตำแหน่ง มีอำนาจหน้าท่ีในด้านการปกครองแล้ว
กลับคนห่อเหิมหลงใหลในอำนาจหน้าท่ี มีทิฐิมานะ ถือตนว่ามีอำนาจแล้วไม่
เกรงใจใคร ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ดูถูกผู้อ่ืน ปฏิบัติตนเสมือนหน่ึงว่า
เป็นผู้นำท่ีนั่งอยู่บนหัวช้าง ผู้นำท่ีมีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นการประพฤติ
ผิดต่อหลักคุณธรรมของนักปกครอง ผู้นำท่ีได้ช่ือว่าครองงานและครองใจคน
อ่ืนได้นั้น จะต้องบำเพ็ญหลักมัทวะธรรม จนทำให้เกิดเป็นคุณธรรมประจำใจ
อย่างเช่นเล่าปี้ในเรอื่ งสมก๊ก ก็เป็นผู้นำอีกท่านหนึ่งในประวัติศาสตรจ์ นี ปป่ี ระ
สลความสำเร็จในดา้ นการปกครองบรหิ ารดว้ ยการใชห้ ลักธรรมข้อนี้ คอื ความ
อ่อนน้อมถ่อมตน ดังจะเห็นได้จากเขาสามารถเชิญขงเบ้งผู้ทรนงมาช่วยจน
ตลอดชีวิตการเปน็ ผนู้ ำของเขาเปน็ อยา่ งน่าทงึ่
ขงเบ้งเป็นนักปราชญท์ ่ีถอื ตวั มากอยู่ท่ีภูเขาโวลงั ก๋ัง ในสมัยที่จนี แตก
เป็นสามก๊กผู้มีวาสนาแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ แต่ละก๊กก็พยายามท่ีจะ
รวบรวมคนดีมีฝีมือมีสติปัญญาไว้เป็นพรรคพวก ขงเบ้งได้รับการติดตอ่ จากผู้
มีอำนาจหลายคนแต่ไมมีใครสมหวังแต่แล้วอยู่ต่อมาปรากฏว่า ขงเบ้งต้อง
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๐
ออกจากบ้านเดินตามหลงั เล่าปี่รว่ มวางแผนทำสงครามให้เล่าป่ีจนตลอดชีวิต
แม้เล่าป่ีจะหนีตายออกไปก่อน ขงเบ้งก็ไม่ยอมทอดทิ้งบุตรของเล่าปี่ ท่ีเป็น
ดงั น้ีนา่ สงสยั ว่า เล่าป่ีมีดีอะไรหรือจึงสามารถชนะจติ ใจของขงเบ้งได้ ส่ิงที่เล่า
ป่ีสามารถเอาชนะใจของขงเบ้งได้น้ัน ไม่ใช่เล่ห์กระเท่ห์อันลึกซ้ึง หรือเวท
มนต์คาถา หรือกับภายในท้ังส้ิน แต่สิ่งนั้นก็คือ “มือสิบนิ้ว” ที่เล่าป่ีประคอง
ประนมด้วยความรู้สึกอันซ่ือสัตย์สุจริตน้ีเอง เล่าป่ีได้ช่ือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีมี
มารยาทงามท่ีสุด อ่อนน้อมถ่อมตน จนได้ช่ือว่าผู้พนมมือสิบทิศ จะเรียกว่า
เล่าปี่สร้างชีวิต สร้างอำนาจวาสนาบารมีสำเร็จด้วยการพนมมอื สิบน้ิวก็ไม่ผิด
การอ่อนน้อมถ่อมตนจึงถือว่าเป็นมนต์ขลังอันศักด์ิสิทธ์ิของผู้นำทั้งหลาย ขง
เบ้งผู้หย่ังรู้ฟ้ามหาสมุทรท่ีต้องสยบต่อเล่าปี่ก็เพราะมนตร์อันน้ีแหละโบราณ
จงึ ถือกันวา่ “ให้อ่อนน้อมเหมือนเล่าป้ี ซื่อสัตย์เหมือนกวนอู รอบรู้เหมือนขง
เบ้ง เก่งเหมอื นไกรทอง คล่องแคลว่ เหมือนอเิ หนา” น้ีเป็นคุณสมบัติของผู้นำ
ข้อทห่ี ้า
๖ . ตบ ะ ความ เป็ น ผู้มี ความเพี ยรเพื่ อเผาผลาญ ความ ช่ัว
ออกจากจิตใจ
การใช้ความเพียรเพื่อเผาผลาญกิเลสตัณหาไม่ให้เข้ามาครองงำจิต
เห็นผิดเป็นชอบ รู้จักระงับยับย้ังช่ังใจได้ ไม่หลงใหลหมกมุ่นในความสุข
สำราญและการปรนเปรอ มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอมุ่งม่ันในอันที่จะบำเพ็ญ
เพียรทำภารกิจในหนา้ ท่ใี ห้สมบูรณ์
คำว่า “ตบะ” เป็นคำที่นิยมใช้กันในศาสนาพราหมณ์ โดยเชื่อว่ากัน
ว่า ผู้ใดได้ศึกษาและปฏิบัติตามคัมภีร์พระเวทอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้น้ันช่ือว่ามีตบะ
คือมีฤทธ์ิเดช สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ พระพุทธเจ้าทรงนำตบะมาใช้
ในพระพุทธศาสนาในลักษณะท่ีเป็นความเพียรอันกำจัดเสียซึ่งโกสัชชะคือ
ความเกียจคร้าน ผู้ใดมีความเพียรสามารถกำจัดความเกียจคร้านได้ ผู้น้ันได้
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๑
ช่ือวา่ มตี บะและในช้ันสูงขึ้นไป ตบะเป็นความเพียรเผาผลาญกำจัดบาปอกศุ ล
ทุจริต๕ กล่าวคือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง โดยสร้างความเพียรด้วย
หลกั ธรรมท่ชี ่อื ว่า “สมั มัปปธาน” มี ๔ ประการ คือ๖
๖.๑ สังวรปธาน คือความเพียรเพ่ือละอกุศลทุจริตที่ยังไม่เกิด ไม่ให้
เกิดขึ้น กล่าวคือ กำจัดโทษท่ียังไม่เกิดไม่ให้เกิดมีในตนเป็นการปิดประตู
ความชั่วท่จี ะหล่ังไหลเขา้ มาในดวงจิตของตนเอง
๖.๒ ปหานปธาน คือ ความเพียรละบาป อกุศลทีมีอยู่แล้วให้คอ่ ย ๆ
หมดไป หรือส้ินไป กล่าวคือประตูแรกปิดใหม่ให้เข้ามาประตูท่ีสองวิดน้ำ
ออกไปเสยี ใหเ้ หอื ดแหง้ คือบาปอกุศลทุจริตให้สิน้ ไป
๖.๓ ภาวนาปธาน คือ ความเพียร พยายามให้กุศลสุจริตนาน
ประการท่ียังไม่เกิดให้เกิดคล้าย ๆ กับจะบอกว่าเว้นชั่วแล้วต้องประพฤติดี
ด้วย จึงจะดีได้ ถา้ เวน้ ช่ัวเฉย ๆ ไม่ปกระพฤติดกี ย็ งั ดีไมไ่ ด้ ดงั นั้นจะต้องสร้าง
นะสมควรเพยี รอย่างต่อเน่อื งและอย่างสร้างสรรค์
๖.๔ อนุรักขณาปธาน คือ ความเพียรพยายามรกั ษาความดีท่ีเกิดขึ้น
แลว้ ไม่ใหเ้ สือสลายไปให้ความดีน่ันคงอยู่ ตัง้ อยู่ตลอดไป กล่าวคือเพยี รรกั ษา
ไว้เนือง เพียรรักษากุศลจิต นานาประการให้เกิดขึ้นแล้วให้ดำเนินไปเรื่อย ๆ
และใหค้ งอยตู่ ลอดไป
ผู้นำหรือผู้ปกครองท่านใดเจริญด้วยหลักสัมมัปธาน คือความเพียร
๔ ประการซึ่งเป็นองค์คุณธรรามของตบะ ผู้น้ันก็จะเกิดความเพียรอย่างแรง
กล้า สามารพแผดเผาหรือเผาผลาญกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้เบาบาง
๕พระพุทธญาณ, เก็บเล็กผสมน้อย, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หน้า ๙๒.
๖เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๑๐๖.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๒
ลงหรือหมดส้ินไปตามกำลงั แห่งความเพยี รนั้น ๆ นี้เป็นคุณสมบัติของผู้นำข้อ
ท่หี ก
๗. อกั โกธะ ความเปน็ ผมู้ เี มตตา กรณุ าไม่โกรธกริว้ ฉุนเฉยี ว
รักจักใช้เหตุผล ไม่เกรี้ยวกราดปราศจากเหตุผล และไม่กรทะการ
ด้วยอำนาจความมุทะลุและความโกรธ มีเมตตาประจำใจรู้จักระงับความขุ่น
เคืองแห่งจิต และวินิจฉัยความตลอดท้ังการกระทำด้วยจิตอันสุขุม รอบคอบ
เยือกเยน็ และมมี โนธรรมเป็นทตี่ ั้ง
คำว่า “อักโกธะ” แปลว่า ความไม่โกรธ การฆ่าความโกรธได้จึงเป็น
ความดี ความโกรธเกดิ ข้นึ ขณะใด มีสติยบั ยงั้ แล้วทำใจให้เกดิ กลับตรงกันข้าม
จึงเป็นเร่ืองที่น่ายินดี การที่เขาด่าน้ันก็เป็นเร่ืองของเขา ๆ ด่าเราก็ปากของ
เขา เข้านินทาเราก็ปากของเขา เขาไม่ขอบเราก็ใจของเขา มันสุดแต่เขา เรา
จะไปบังคับไม่ให้เขาด่าเรานินทาเราก็ไม่ได้ เขาด่าเราทางปากเขาอาจผิด
กฎหมาย แต่เขาก็ด่าเราทางใจได้ ความโกรธจึงมีได้ทุก ๆ ส่วนทุก ๆ อย่าง
“รวมความว่า “ความโกรธลงได้จับใครแล้ว จะมีอาการไม่ปกติเลือดสูบฉีด
แรง ทำใหห้ นา้ แดง ตาแดงเขม็งเกลียว ทำให้หน้าตาไม่นา่ ดู ขาดเสน่ห์มีกริ ยิ า
อาการคลา้ ยยักษ์มาร” โดยไมม่ คี วามสงา่ งามในความเป็นผ้นู ำ
ดังน้ัน คนแต่ก่อนจึงเปรียบคนคนโกรธว่ามีอาการคล้ายยักษ์มารท่ี
จ้องจะกินเลือดกินเน้ือใครก็ได้ ท่านจึงอุปมาไว้ว่า “ยามโกรธโปรดมองส่อง
กระจก ดูวิดกอกเต้นเมื่อเห็นหน้า ช่างป้ันยากปากจมูกและลูกตา ดังยักษ์
ราศีไม่มีเลย” ถ้าฆ่าความโกรธได้จะนอนเป็นสุข ดังพุทธพจน์ท่ีว่า “โกธํ ฆตฺ
วา น โสจต”ิ ความวา่ “คนใดฆา่ ความโกรธได้เขาจะไมเ่ ศร้าใจ” คนโกรธยอ่ ม
เศร้าใจ ใจหม่อนหมองใจไม่หยุดนิ่งหลุกหลิก ๆอ เพราะมันติดปักอยู่ตรงตัว
เจ็บใน บ้างคร้ังชั่วแวบเดียวของจิตท่ีเกิดความโกรธสามารถปลิดชีวิตของคน
มาแล้วก็มิใชน่ ้อย การยับยง้ั ความโกรธไม่อยู่กเ็ พราะขาดสติตัวนีเ้ อง โดยนัยนี้
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๓
ผู้นำหรอื ผู้ปกครองจะต้องรูจ้ ักขม่ หรอื ฆ่าความโกรธด้วยการมสี ตแิ ละมเี มตตา
อยเู่ สมอนี้เปน็ คณุ สมบตั ิของผนู้ ำขอ้ ท่เี จด็
๘. อวหิ ิงสา ความเปน็ ผูไ้ มก่ ดขี่ หม่ เหง เบยี ดเบียนผอู้ ่ืน
ความเป็นผู้ไม่หลงระเริงในอำนาจ ไม่บีบคั้นกดขี่ มีความกรุณา ไม่
หาเหตุเบียนเบียนลงโทษด้วยอาชญาแก่ประชาราษฎร์ผู้ใด ด้วยอาศัยความ
อาฆาตเกลียดชังหรืออคติท่ีมีอยู่ในใจของผู้นำ จึงคอยหาทางเบียดเบียน
ผนู้ ้อยเม่อื เห็นว่าทำไมถ่ ูกใจตน
๙. ขนั ติ ความเป็นผูน้ ำอดทน อดกล้นั ต่ออุปสรรค
ความเป็นผู้นำอดทนต่องานท่ีตรากตรำ อดทนและอดกลั้นต่อความ
เหนื่อยยากถงึ จะลำบากกายน่าเหนอื่ ยหน่ายเพียงไรกไ็ ม่ทอ้ ถ่อย หมดกำลังใจ
เสียกอ่ น ไม่ละท้ิงกิจการงานท่ีทำโดยชอบธรรม ผนู้ ำจะต้องบำเพ็ญคุณธรรม
ขอ้ นี้ให้มาก สมดังพุทธภาษิตท่ีตรัสไว้วา่ “ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา” ความว่า
“ความอดทน อดกลัน้ เป็นตบะอย่างย่งิ ”
๑๐. อวิโรธนะ ความเปน็ ผู้ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ม่ผิดหรอก
ความเป็นผู้ประพฤตมีให้ผิดพลาดจากศีลธรรม กฎหมาย ระเบียบ
วจิ ัย ประเพณี อันดีงามของบ้านเมือง ถือประโยชน์สุขความดีงามของรัฐและ
ประชาราษฎร์เป็นท่ีตั้งสถิตมั่นในธรรมท้ังส่วนยุติธรรม คือความเท่ียงธรรมก็
ดี นิติธรรมคือระเบียบแบบแผนหลักการปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนียม
ประเพณีอันดงี ามดงั กล่าวแล้วกด็ ี ไมป่ ระพฤตให้เคลอ่ื นคลาดวิบตั ไิ ป
๑.๒ ลักษณะของการเปน็ ผู้นำท่ีดี
ลักษณะของการเป็นผู้ท่ีดี ที่ควรแก่การสักการบูชา นับถือยกย่อง
และเป็นที่ยอมรับของผู้น้อยหรือผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนคนทั่วไปน้ัน ผู้นำ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๔
จะต้องเป็นผู้ท่ีมีภูมิธรรมและคุณธรรมประจำตน ซ่ึงคนในสมัยก่อน เรียกว่า
“เป็นรว่ มโพธริ์ ม่ ไทร”
คำวา่ “ร่มโพธิ์” หมายความว่า ใครอยู่ใกล้ ใครได้อาศัยบุคคลนน้ั จะ
เป็นคนไม่โง่ เพราะว่าคำว่า “โพธ์ิ” แปลว่า ความรู้ความสามารถ ความ
เฉลียวฉลาด ผู้นำที่เป็นเหมือนร่มโพธ์ิ ใครอยู่ในรวมเงาการปกครองการดูแล
บคุ คลเหล่าน้นั เป็นคนคนทไ่ี มโ่ ง่เขลาเยาปัญญา
คำว่า “ร่มไทร” หมายความว่า ให้ความร่วมเย็นแก่ ผู้ที่อยู่ใน
ปกครองด้วยคุณธรรมปกครองด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้
ความอบอุ่น ให้ความเยาใจ ความสุขสบายได้ จังได้ช่ือว่าเป็นเหมือนร่มไทรท่ี
ใครเข้าไปพักอาศัยก็จะมีแต่ความอุ่นใจ มีความสบายใจคลายจากความทุกข์
ความรอ้ นต่าง ๆ ได้ จงึ มีลักษณะดังกลบา่ วอยู่ ๔ ประการคือ๗
1. เปน็ ผู้นำที่เป็นหลัก
คำว่า “เป็นหลัก” หมายถึง การทำตัวให้สามารถเป็นที่พึ่งพิงเป็นที่
พำนักอาศัยของผู้น้อยได กล่าวคือมีความยุติธรรมไม่เอนเอียงไปด้วยอคติทั้ง
๔ คือ ไม่เอนเอียงเพราะความรัก ไม่เอนเอียงเพราะชัง ไม่เอนเอียงเพราะ
กลัว และไม่เอนเอียงเพราะหลง มีความเที่ยงตรงต่อผู้ใต้บังคับบัญชาต่อ
ผ้นู ้อย หรอื ตอ่ ผู้ท่ีอยใู่ นการดแู ลหรือกปกครองของตน อย่างน้ีเรยี กกันวา่ เป็น
หลักได้ โดยเฉพาะในเวลาท่ีมีเหตุการณ์อะไรเกิดข้ึนที่ร้ายแรง ก็ไม่หนีเอาตัว
รอดแต่เพียงฝ่ายเดียวสามารถเป็นท่ีพึ่งเป็นท่ีพัก เป็นที่พ่ึงอิงอาศัยได้
สามารถจะยนื หยัดต่อสรู้ ่วมกับผู้นอ้ ยได้
ผู้ใหญ่ที่เป็นหลักไม่เอนเอียง ไม่มีอคติ มีความยุตธรรม ผู้ใหญ่ท่ี
ปกครองผู้น้อย ด้วยคุณธรรมด้วยความสุจริตใจ อย่างน้ีเรียกว่าเป็นหลักเป็น
๗พระศรีปริยัติโมลี, สงฆ์ผู้นำสังคม, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหา
จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๗), หนา้ ๒๑.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๕
ภาวะของผู้นำประการท่ีหน่ึง ผู้ที่มีภาวะผู้นำคือเป็นหลักได้จัดว่าเป็นผู้นำที่
ยอดเย่ียม ผู้ท่ีมีภาวะผู้นำที่เป็นหลัก เรียกกันว่า เป็นผู้มีวาจาศักด์ิสิทธิ์ มีคน
เชือ่ มคี นฟงั มีคนทำตามกเ็ พราะว่ามเี ป็นหลักได้ มีคนจดจำ จำเอาไปประพฤติ
นำเอาไปปฏิบัติไม่ด้ือรั้นด้วยประการทั้งปวง เพราะถือว่าเป็นหลักได้ ผู้นำท่ี
เป็นหลักไดด้ ังน้ี ชอื่ วา่ เปน็ ผนู้ ำทม่ี คี ณุ สมบตั ิควรแก่การบูชา
๒. เป็นผนู้ ำท่เี ปน็ แรง
คำว่า “เป็นแรง” หมายถึง การเป็นกำลัง กล่าวคือเป็นผู้ท่ีมีกำลัง
สามารถให้กำลังแก่ผู้น้อยไดเ้ ป็นผู้ให้กำลังแก่ลูกศิษย์ลูกหาให้กำลังแก่ผู้อยู่ใต้
บังคับบัญชา ให้กำลังแก่ลูกแก่หลานให้กำลังแก่ผู้ที่มาพึ่งพิงอาศัยได้ กำลัง
ท่ีว่า ก็คือให้ทั้งส่ิงที่เป็นกำลังกายและกำลังใจ ให้กำลังกายก็คือให้ความ
เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ให้ข้าวให้น้ำ เขาเดือนร้อนมาก็ให้เขาพ้นจากความเดือดร้อน
ให้เขาอยู่ดีมีสุขดูแลเร่ืองกันเรือยอยู่ ดูแลเร่ืองสุขทุกข์ของเขาอย่างน้ีเรียกว่า
ได้แรงกาย หรือเป็นแรงกายให้เขาได้ไม่เป็นคนที่ตระหนี่แรง ไม่เป็นคนที่
ตระหน่ีทรัพยส์ มบัติ ช่วยอะไรท่ีสารทมารถช่วยได้ก็ช่วยกันไปอย่างนี้เรยี กว่า
ไม่ตระหนแี่ รง จงึ ชอ่ื วา่ “ผนู้ ำท่ีเปน็ แรง”
ส่วนกำลังใจก็คือให้กำลังใจแก่ผู้น้อยให้กำลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
แม้บางคร้ังอาจจะช่วยด้วยกำลังกายไม่ได้ อาจชวยด้วยกำลังทรัพย์ไม่ได้แต่
ช่วยกำลังใจได้ ทำให้เขามีกำลังในในการที่จะต่อสู้ ไม่ท้อแท้ทำให้เขามีกำลัง
ท่ีจะทำงาน ทำให้เขามีกำลังใจในการที่จะช่วยเหลือกิจการงานอันเป็นส่วน
ร่วมหรืองานในหมู่ในคณะ ไม่บั่นทอนกำลังใจด้วยการกระทำท่ีไม่เหมาะไม่
ควรให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ อย่างน้ีเขาเรียกว่าเป็นแรงผู้นำก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี
ผู้ปกครองก็ดีที่เป็นแรงให้แก่ผู้น้อยได้ ย่อมจะเป็นท่ีรัก ย่อมจะเป็นที่เคารพ
นับถือ เป็นท่ีบูชาของผู้น้อยเป็นผู้อยู่ในภาวะผู้ใหญ่หรือภาวะผู้นำอย่าง
แทจ้ รงิ
ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๖
๓. เปน็ ผูน้ ำทีเ่ ป็นแบบ
คำว่า “เป็นแบบ” หมายถึง ผู้นำท่ีสามารถสร้างแบบ สร้างแผนให้
เกิดข้นึ ได้ สามารถท่จี ะเป็นแบบด้วยตัวเองได้และสามารถในการที่จะให้ผู้อยู่
ใต้บังคับบัญชาหรือผู้อยู่ใต้ปกครองประพฤตปฏิบัติตามแบบน้ันได้ อันว่า
แบบเป็นส่ิงที่ดีที่งาม เป็นเหตุให้เกิดความสวยงาม เกิดความเป็นระเบียบ
เกิดความเรยี บร้อยมที ั้งแบบอย่างบา้ ง บ้างฉบงั บ้าง แบบแผนบา้ ง
คำว่า “แบบอยา่ ง” หมายถงึ แบบทีท่ ำให้ดเู ปน็ ตัวอยา่ งได้
คำว่า “แบบฉบับ” หมายถงึ แบบทีต่ ราไว้เป็นลายลักษณ์อกั ษร เป็น
กฎเป็นเกณฑข์ องหมคู่ ณะเพ่ือใชป้ ฏบิ ัตสิ ำหรับสว่ นงานหรอื องคก์ รน้นั ๆ
คำว่า “แบบแผน” หมายถึง แบบท่ีเป็นแผนการข้างหน้า ที่จะได้
เดินกันได้อย่างถูกต้องแบบได้ ผู้นำที่เป็นแบบได้ ถือว่าเป็นผู้นำท่ีน่ายกย่อง
นบั ถือ บ่าบูชา กล่าวคือสามารถสร้างแบบให้ประพฤติปฏิบัติกันได้ว่าในหมู่นี้
คณะนี้ ควรจะมีแบบอย่างไร ควรจะปฏิบัติกันอย่างไร และตัวเองก็ทำตาม
อย่าง ปฏิบัติตามาแบบนั้นได้ด้วย ชักชวนเพ่อให้ผู้อื่นทำตามแบบน้ันด้วย
อย่างน้เี รยี กกนั ว่าเปน็ แบบหรือเปน็ ตน้ แบบ
ผู้ใหญ่หรือผู้นำที่เป็นแบบได้ เป็นผู้ใหญ่ที่งดงาม เม่ือเป็นผู้ใหญ่ท่ี
งดงามเป็นผู้นำท่ีงดงามผู้ตามก็จะงดงามไปด้วย ดังที่ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ป
ยุตฺโต) ได้กล่าวอ้างพุทธพจน์บทหน่ึงท่ีแสดงถึงหัวใจของความเป็นผู้นำไว้ว่า
“เมืองฝูงโคว่ายข้ามน้ำ ถ้าโคจ่าฝูงไปคดโคหมดทั้งฝูงน้ันก็ไปคดตามกัน
เพราะมีผู้นำท่ีไปคดฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น บุคคลผู้ใดได้รับสมบัติให้เป็น
ใหญ่ หากบุคคลผู้น้ันพระพฤตไม่เป็นธรรมหมู่ประชาชนนอกน้ันก็จะ
ประพฤติซ้ำเสียหายแว่นแคว้นหมดท้ังฝูงน้ันก็ไปตรงตามกัน เพราะมีผู้นำท่ี
ไปตรง ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันน้ัน บุคคลผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นใหญ่ หาก
บุคคลผู้นั้นประพฤติชอบธรรม หมู่ประชาชนนอกนั้นก็จะพลอยดำเนินตาม
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๗
ท้ังแว่นแคว้นก็จะอยู่เป็นสุข หากผู้ปกครองต้ังอยู่ในธรรม” ฉะน้ัน การเดิน
ตรงตามแบบ เรียกว่ามีแบบ การมีแบบแผน วางแผนไว้บ่วงหน้า การมีแบบ
ฉลับเป็นลายลักษณ์อักษร และมีแบบอย่างท่ีทำให้ดูให้เห็นเป็นตัวอย่างเรยี ก
กันว่าเปน็ แบบหรือเป็นต้นแบบ อันน้กี ็ถือวา่ เป็นภาวะผนู้ ำท่ีสำคัญประการท่ี
๓ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเคารพ นับถือ บูชาและยกยอ่ ง
๔. เปน็ ผู้นำท่เี ปน็ บ้าน
คำว่า “เป็นบ้าน” หมายถึง การท่ีผู้ใหญ่ ผู้นำหรือนักปกครองท่ีทำ
ตัวเป็นเหมือนบ้านอันเป็นเหตุให้ผู้น้อยหรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้รับความ
อบอุ่นเม่ือได้ร่วมทำงาน ในความหมายนี้ท่านเปรียบผู้ใหญ่เป็นเหมือนบ้าน
อันธรรมดาบ้านใครบ้านมัน ทุกคนอยากมีบ้าน ใครท่ีมีบ้าน ย่าอมจะเป็น
ประโยชน์เห็นคุณของบ้าน บ้านคนอ่ืนก็ให้ความสุขกายสบายจิตเท่ากันบ้าน
ของตัวเองไม่ได้บ้านของตัวอย่างแม้จะเป็นกระต๊อบ เป็นกระท่อมเป็นบ้าน
หลักเล็ก ๆ ไม่ใช่ตึกหลังใหญ่ ๆอ บ้านหลังใหญ่ ๆ ราคาเป็นสิบล้านเป็นรอ้ ย
ลา้ นแตถ่ ้าเป็นบ้านของตัวเองให้ความสขุ ให้ความเปน็ อิสระ ใหค้ วามสบายใจ
เวลาไปไหนมาไหนเข้าบ้านตัวเองรสู้ ึกว่ามีความปลอดภัย มีความอบอุ่น บา้ น
ตัวเองน้ันเป็นส่ิงท่ีพ่ึงพิงได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะค่ำมืดดึกด่ืน จะเข้าจะออกก็ได้
แม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ตอ้ งระแวดระวงั ใคร นคี่ ือบา้ นเรา
ผู้ใหญ่ หรือผู้นำ ท่ีมีลักษณะเหมือนบ้านย่อมจะดึงดูดจิตใจและ
ศรัทธา เป็นเหตุให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาน้ันได้รับความอบอุ่น กล่าวคือเป็น
ผู้ใหญ่ท่ีเข้าหาง่าย ไม่ถือเน้ือถือตัว ไม่ถือยศศักดิ์ เหมือนกับคนท่ีเข้าไปใน
บ้าน ทำอะไรก็ได้ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เป็นผู้ใหญ่ท่ีให้ความอบอุ่นแก่
ผู้น้อย เหมือนกับบ้านให้ความอบอุ่นแก่เจ้าของบ้าน เข้าไปแล้วสบายใจ เข้า
ไปแล้วเย็นใจ ไม่อยากจะออก ผู้ใหญ่หรือผู้นำท่ีผู้น้อยเข้าหาได้เข้าหาแล้วไม่
อึดอัดเข้าหาแล้วมีอิสระ เข้าหาแล้วเกิดความสบายอกสบายใจ ไม่มีความ
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๘
หวาดระแวงไม่มีความเกรงกลัวเกิดความอบอุ่นผู้ใหญ่ ผู้นำอย่างนั้น เขา
เรยี กวา่ เป็นบา้ น
ผใู้ หญ่ทเ่ี ปน็ บ้านได้ ย่าอมจะเป็นผ้มู ีเสน่ห์ในการท่ีจะดึงดูดจิตใจของ
ผูอ้ ื่นได้ในกาลตลอดไป เหมือนบ้าน บ้านหลังใด ถ้าหากกวา่ คนที่ผ่านไปผ่าน
มาเข้าไปแล้วเกิดความอบอุ่น เกดิ ความสบายใจ บ้านหลงั นน้ั เห็นจะมีคนแวะ
เวียนไปเรอ่ื ย บ้านพ่อบ้านแม่ถ้าหากว่าลูกหลานเขา้ ไปแลว้ อบอุน่ ลูกหลานก็
อยากจะมาแวะเยียนบ่อย ๆ แต่ถ้าบ้านใดลูกหลานเข้าไปแล้วไม่อบอุ่น
เพราะว่าพ่อแม่ไม่ให้ความอบอุ่น ลูกหลายก็ไม่อยากจะเข้าบ้านนั้น หรือเข้า
มาก็เพราะความจำเป็น ไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะเข้าเพราะมาแล้วก็ถูกด่าบ้าง
ถูกต่อว่าเหน็บแนมบ้าง บางคร้ังเข้ามาบ้านแล้วเห็นพ่อเห็นแม่ทะเลากันบ้าง
เพราะฉะนัน้ การเปน็ บา้ นจงึ เป็นลักษณะของผู้หรือของผู้ปกครองทว่ั ไป
ดังนั้น ผู้นำผู้ใหญ่ผู้ปกครองหรือผู้บังคับบัญชา จำเป็นอย่างย่ิงที่
จะต้องเป็นหลักเป็นแรงเป็นแบบและเป็นบ้านให้แก่คนอ่ืน ๆ ได้ โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงผู้น้อยหรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ถ้าหากว่าทำได้ปฏิบัติด้วยก็จะเป็น
เหตุให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นท่ีนับถือ และท้ายสุดก็จะเป็นปูชนียบุคคล
ตลอดไป แมล้ ้มหายตายจากไปแลว้ คนก็คดิ ถงึ
เพราะวา่ ได้เคยพ่งึ พงิ อาศัยไปแลว้ คนกค็ ิดถงึ
เพราะว่า ได้เคยให้เคยสนับสนุน อุปถัมภ์ค้ำชูแก่เขาได้เป็นแรงให้
เขาได้
เพราะว่า ได้เคยเป็นแบบอย่างเป็นเจตติให้เขาประพฤติปฏิบัติตาม
อยา่ งมาแลว้
เพราะว่า ได้เคยให้ความรัก ความอบอุ่น ให้ความสบายอกสบายใจ
เย็นใจ คือเป็นบ้านมาแล้วก็ย่อมจะประทับใจเขาอยู่ตลอดไป อย่างน้ีแม้ตาย
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๙
ไปแล้วก็ชื่อว่ายังไม่ตายเพราะเหตุว่ายังสามารถประทับอยู่ในใจของผู้ยังอยู่
ข้างหลงั น่นั เอง
สรปุ
วญิ ญาณแห่งความเป็นผู้นำที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงพรสวรรค์ที่ติดตัว
มาตั้งแต่เกิดหรือบุคลิกลักษณะส่วนตัวหรือวิธีการและรูปแบบการนำของ
ผู้นำคนน้ัน แต่หมายถึงตัวตนท่ีแท้จริงท่ีอยู่ “ภายใน” ของเขาต่างหากส่ิงนี้
แหละที่ทำให้มีคนยอมติดตามและพร้อมที่จะอุทิศการทำงานให้อย่างไม่เห็น
แก่ความเหน็ดเหน่ือย อย่างเช่น อับราฮัมลินคอล์น มหาตะมะ คาธี และอีก
หลาย ๆ คนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำท่ีย่ิงใหญ่ของโลก เขามีอะไร
แตกต่างไปจากผู้นำคนอื่น ๆ หรือหากจะเทียบเคียงก็จะพบว่าเขาเหล่านั้น
ล้วนมีลักษณะพ้ืนฐานคล้ายคลึงกัน คือพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า “ภายใน” ท่ี
ผู้นำคนอ่ืนไม่คอยมี คือไม่กดข่ีข่มเหงผู้น้อยหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ที่อยู่
ข้างหน้าไม่ใช่หลบฉากและคอยออกคำส่ังอยู่ข้างหลัง เป็นผู้ท่ีมีความรับผิอด
ชอบ มีวิสัยทัศนท์ ่ีสามารถสรา้ งแบบอยา่ งและแรงบันดาลใจให้กับผตู้ ามได้
นอกจากนี้ ยังเป็นกัลยาณมิตร คือมิตรที่ดีคอยแนะนำประโยชน์
ใครได้เข้าใกล้ได้สัมผัสก็เหมือนได้คบหาสัตบุรษุ สัตบุรุษนั้นจะแนะนำในส่วน
ที่เป็นคุณประโยชน์ คือใครได้คบหาได้ฟังคำแนะนำหรือคำปราศรัย ก็จะ
ได้รับประโยชน์สามารถเอาไปเป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้น่ีคือลักษะ
กัลยาณมิตรที่คอยแนะนำในสิ่งท่ีเป็นคุณประโยชน์ ท่ีท่านเรียกว่า “ช้ีทาง
บรรเทาทุกข์ ช้สี ุขเกษมศานต์ ชที้ างนฤพาน ใหพ้ ้นโศกวโิ ยคภัย” ดงั นนั้ การท่ี
ผู้นำท่ีประสบความสำเร็จจึงต้องเร่ิมต้นออกมาจาก “ข้างใน” ก่อน ถ้าเป็น
ผ้นู ำจากข้างใน วิญญาณแห่งการเป็นผู้นำก็จะเปย่ี มไปด้วยประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธผิ ลอยา่ งที่ผู้นำทกุ คนปรารถนาจะให้เปน็
ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๐
คำถามประจำบท
๑. ให้นิสิตอธิบายถึงความเป็นมาของแนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับภาวะ
ผนู้ ำ
๒. แนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธเป็น
อย่างไร ให้นิสิตอธิบายโดยละเอยี ด
3. ให้นิสิตวิเคราะห์ถึงภาวะผู้นำทางการจัดการของผู้นำองค์กร
อยา่ งน้อย 1 องคก์ ร
4. ให้นิสิตอธิบายพร้อมยกตัวอย่างภาวะผู้นำคณะสงฆ์ท่ีมีความ
เดน่ ชัดเกยี่ วกับการบรหิ ารจดั การมา 1 ตัวอยา่ ง
5. ให้นิสิตสรุปถึงภาวะผู้นำองค์กรพร้อมยกทฤษฎีภาวะผู้นำ
ประกอบ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๑
อ้างอิงประจำบท
กฤต ศรียะอาจ. หลักการปกครองของขงจ้ือ. ในหนังสือ บทความทางวิชาการ พุทธ
ศาสตร์ปรทิ ัศน์. กรงุ เทพมหานคร : จรลั สนิทวงศก์ ารพิมพ,์ ๒๕๔๘.
พระเทพโสภณ. วิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก. พมิ พค์ ร้ังที่ ๒. กรุงเทพมหานคร :
มหาวทยิ าลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗.
พระธรรมกิตติวงศ์. อัปปมัตตกถา. ในหนังสือ ปูชากถา ๑๐๐ เทศนา บูชาพระพุทธวร
ญาณ วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร. กรุงเทพมหานคร : หจก.สามลดา.
๒๕๔๙.
นิวัตร โลหะวิจติ รานนท์. ผู้นำ. พิมพ์ครงั้ ที่ ๔. กรุงเทพมหานคร : บริษทั A.I.A.,ม.ป.ป.
พระพุทธญาณ. เก็บเล็กผสมน้อย. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘.
พระศรีปริยัติโมลี. สงฆ์ผู้นำสังคม. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗.
บทที่ ๒
แนวคดิ และทฤษฎีภาวะผนู้ ำแนวตะวนั ตก
ขอบข่ายประจำบท
๑. ความเป็นมาของแนวคิดและทฤษฎภี าวะผู้นำแนวตะวันตก
๒. นยิ ามของภาวะผนู้ ำแนวตะวันตก
๓. แนวคิดพ้ืนฐานเกี่ยวกับกระบวนการและเทคนิคในการ
เปล่ยี นแปลงองค์การ
จุดประสงคก์ ารเรียน
๑. เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีภาวะ
ผูน้ ำแนวตะวนั ตก
๒. เพ่ือให้นิสิตมคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับนิยามของภาวะผนู้ ำแนว
ตะวนั ตก
๓. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับ
กระบวนการและเทคนคิ ในการเปลย่ี นแปลงองค์การ
กิจกรรมการเรียนการสอน
๑. การจัดการเรียนการสอนทางออ้ ม
๒. ใชเ้ ทคนคิ การศึกษาเปน็ รายบคุ คล
๓. ใชเ้ ทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื
๔. ใช้เทคนิคการสอนแบบบูรณาการ
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๒๓
2.๑ ทฤษฎภี าวะผ้นู ำตามสถานการณ์
๑.๑ ทฤษฎีผูน้ ำตามสถานการณ์ของฟีดเลอร์
ฟรีดเลอร์ (Fred E. Fiedler) เป็นผู้ศึกษาความเก่ียวข้องของ
สถานการณ์กับภาวะผู้นำ และได้นำเสนอรูปแบบผู้นำตามสถานการณ์
(Contingency Model of Leadership) แนวคิดของฟีดเลอร์น้ันแตกต่าง
จากแนวคิดเก่ียวกับภาวะผู้นำอื่นๆโดยจะพิจารณาว่าผู้นำต้องมุ่งให้ความ
ต้องการส่วนบุคคลได้รับการตอบสนองและมุ่งให้องค์การได้บรรลุเป้า หมาย
ด้วย๑ ซึ่งฟรดี เลอร์ไดก้ ำหนดหลกั การพ้ืนฐานของทฤษฎไี วด้ ังนี้๒
๑. แบบภ าวะผู้นำถูกกำหนดจากระบบแรงจูงใจของผู้นำ
(Motivational System)
๒.ประสทิ ธิผลของผู้นำข้ึนอยกู่ ับแบบของภาวะผู้นำและสถานการณ์
ที่เอื้อต่อผู้นำ นั่นคือ การปฏิบัติงานของกลุ่มจะข้ึนอยู่กับแรงจูงใจของผู้นำ
รวมทง้ั การควบคุมและอิทธพิ ลของผนู้ ำในสถานการณ์ต่าง ๆ
ดงั นัน้ ตวั แปรหลักในทฤษฎขี องฟีดเลอร์จึงประกอบด้วย แบบภาวะ
ผู้ น ำ (Leadership Style) ส ถ า น ก า ร ณ์ ที่ เอื้ อ ต่ อ ผู้ น ำ (Situational
Favorableness) และประสิทธิผลของผู้นำ (Effectiveness of a Leader)
ซ่ึงนำเสนอไดด้ ังรูปภาพตอ่ ไปนี้
๑ Fiedler & Chemer, Fi Leadership and effective management,
(Glenview IL : Scott, Foresman & Co.,1974), p. 73.
๒ Ibid, pp. 284-285.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๒๔
ระบบแรงจูงใจของผนู้ ำ สถานการณท์ เ่ี อ้ือเฟ้ือต่อผู้นำ ผลลพั ธ์
แบบภาวะผู้นำ * ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ประสทิ ธผิ ล
ผนู้ ำกบั สมาชิก
* โครงสร้างภารกิจ
* อำนาจในตำแหน่งของผู้นำ
ที่มา (Lunenberg & Ornstein,๑๙๙๖, p. ๑๓๒)
ตัวแปรหลักในทฤษฎีภาวะผนู้ ำตามสถานการณ์ของฟีดเลอร์
(Major Variables in Fiedler’s Contingency Theory)
ตัว แ ป รห ลั กต าม ท ฤษ ฎี ภ าว ะผู้น ำต าม ส ถาน ก ารณ์ ขอ งฟี ด เล อ ร์
มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี
๑. แบบภาวะผนู้ ำ (Leadership Style)
ฟีดเลอร์ได้จำแนกให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพฤติกรรมภาวะ
ผู้นำ (leadership behavior) และแบบภาวะผู้นำ (leadership style) ว่า
พฤติกรรมภาวะผู้นำเป็นการกระทำของผู้นำในการชี้นำและประสานงานใน
การทำงานของสมาชิกในองค์กร ส่วนแบบภาวะผู้นำจะเป็นโครงสร้างความ
ต้องการของผู้นำท่ีจะจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ ซ่ึงจะไม่ได้
เป็นเรื่องของพฤติกรรมโดยตรง แบบภาวะผู้นำจึงเป็นคุณลักษณะของผู้นำ
(personality characteristics) ดว้ ย
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๒๕
๒. สถานการณ์ทีเ่ ออื้ ตอ่ ผู้นำ (Situational Favorableness)
ฟี ด เล อ ร์ ได้ ส รุ ป ว่ า ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง แ บ บ ภ า ว ะ ผู้ น ำ กั บ
ประสิทธิผลน้ันขึ้นกับองค์ประกอบหลากหลายในสถานการณ์ และได้ระบุ
องค์ประกอบสำคัญ ๓ ส่วนคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับสมาชิก
โครงสร้างภารกิจ และอำนาจในตำแหน่งของผู้นำ โดยมีรายละเอียด
ดังตอ่ ไปนี้๓
๒.๑ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับสมาชิก (Leader - Member
Relations) กล่าวถึงบรรยากาศของกลุ่มและทัศนคติของสมาชิก และการ
ยอมรับที่มีต่อผู้นำ เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาไว้วางใจ เคารพเชื่อถือ และมีความ
เชื่อมั่นในผู้นำ ความสัมพันธ์จะเป็นไปในทางท่ีดี แต่ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่
ไว้วางใจ ไม่เชื่อถือ และมีความเชื่อมั่นในผู้ใต้บังคับบัญชาน้อย ความสัมพันธ์
จะเป็นไปในทางท่ีไม่ดี
๒.๒ โครงสร้างภารกิจ (Task Structure) กล่าวถึงธรรมชาติของงานว่า
เป็นงานประจำท่ีโครงสร้างชัดเจน หรืองานที่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่มีโครงสร้าง
ชัดเจน ในประเด็นโครงสร้างภารกิจ สามารถจะพจิ ารณาในเร่ืองเหล่าน้คี ือ
๑) ความชัดเจนของเปา้ หมาย
๒) ความหลากหลายของวธิ ีการทจ่ี ะบรรลุเป้าหมาย
๓) ความสามารถตรวจสอบการตัดสนิ ใจ
๔) ความเฉพาะเจาะจงของการแก้ปัญหา
ดังนั้นถ้าภารกิจขององค์การมีโครงสร้างที่ชัดเจนผู้นำจะสามารถมี
อิทธพิ ลตอ่ ผ้ใู ต้บังคบั บญั ชาไดม้ าก
๓ Lunenburg, Fred C., and Ornstein, Allan C. Educational
Administration, 2nded, ( California: Wadsworth publishing company.
1996), PP. 134-135.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๖
๒.๓ อำนาจในตำแหน่งของผู้นำ (Position Power) เป็นระดับ
ของการใช้อำนาจของผู้นำที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมปฏิบัติตาม เป็นอำนาจโดย
ตำแหน่งที่องค์การมอบหมายให้ผู้นำในการท่ีจะให้รางวัลและลงโทษ
ผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าผู้นำมีอำนาจโดยตำแหน่งมาก สถานการณ์ก็จะเอื้อ
ประโยชน์ต่อผนู้ ำมากกวา่
ประสิทธผิ ลของผูน้ ำ (Leader Effectiveness)
ฟีดเลอร์ (Fiedler, ๑๙๖๗,p. ๗๙) นิยามประสิทธิผลของผู้นำ ว่า
เปน็ ความสำเร็จในการปฏิบัติงานของกลุ่มและผลผลิตของกลุ่มจะไมไ่ ดข้ ้ึนอยู่
กับทักษะของผู้นำ แม้อัตราการเปล่ียนงาน ความพอใจในการปฏิบัติงาน
ขวัญกำลังใจ และการปรับตัวในการทำงาน จะส่งผลต่อการปฏิบัติงานของ
กลุม่ แต่ส่ิงเหลา่ นไ้ี ม่ใชเ่ กณฑ์ในการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน
๑.๒ ทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์:ทฤษฎีวิถีทาง-เป้าหมาย
(Path - Goal Theory)
ทฤษฎีวิถที าง - เป้าหมาย มพี ้ืนฐานมาจากทฤษฎีความคาดหวัง ซึ่ง
เน้นในเร่ืองผลกระทบของผู้นำที่มีต่อเป้าหมายของผู้ใต้บังคับบัญชาและ
วิถีทางเพื่อจะให้บรรลุเป้าหมาย ทฤษฎีวถิ ีทาง – เป้าหมาย นี้ เฮาส์และคณะ
ได้พัฒนาปรับปรุงข้ึน (House อ้างใน Lunenburg & Ornstein, ๑๙๙๖, p.
๑๓๖) เพ่ืออธิบายถึงผลกระทบของพฤติกรรมผู้นำท่ีมีต่อแรงจูงใจ ความพึง
พอใจ ความพยายาม และการปฏบิ ัติงานของผ้ใู ต้บังคบั บญั ชา ซึ่งจะเชื่อมโยง
กับปัจจัยของสถานการณ์และสภาพแวดล้อม ดังนั้นทฤษฎีวิถีทาง -
เป้าหมาย จะมีส่วนประกอบที่สำคัญ ๒ ส่วน คือพฤติกรรมผู้นำ และ
สถานการณ์ที่เออื้ ตอ่ ผนู้ ำ
๑) พฤติกรรมผนู้ ำ (Leader Behavior)
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๗
ทฤษฎีวิถีทาง-เป้าหมาย ได้นำเสนอลักษณะพฤติกรรมผู้นำออกเป็น
๔ แบบ คือ๔
๒) สถานการณ์ (Situational Factors)
ตัวแปรในด้านสถานการณ์ ของทฤษฎีวิถีทาง - เป้าหมายน้ี
ประกอบด้วยตวั แปร ๒ ประเภท คอื
๑) คุณลักษณะสว่ นบุคคลของผ้ใู ต้บังคับบัญชา
๒) ความต้องการและแรงกดดนั ของสภาพแวดล้อม
ซงึ่ มรี ายละเอียดท่ีจะนำเสนอดังต่อไปน้ี๕
๑ . คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ส่ ว น ตั ว ข อ งผู้ ใต้ บั งคั บ บั ญ ช า (Personal
Characteristics of Subordinates) ประกอบดว้ ย
๑.๑ ความต้องการส่วนบุคคล ได้แก่ ความต้องการ
ความสำเรจ็ ความเขา้ ใจความเป็นอสิ ระ และการเปล่ยี นแปลง
๑.๒ ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา ได้แก่ ความรู้
ทกั ษะและความถนดั
๑.๓ คุณลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา ได้แก่ ระดับของความ
เชื่อถอื อำนาจแห่งตน (Focus of control)
๒ . ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร แ ล ะ แ ร ง ก ด ดั น ข อ ง ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม
(Environmental Pressures and Demands) ตัวแปรด้านส่ิงแวดล้อมเป็น
๔ House, R.J. and Mitchell, R.R. “Path-goal theory of leadership”,
Journal of contemporary 3, (Business, 1971), PP. 81-97.
๕ Hoy, Wayne K, and Miskel, C.G. 2001. Educational administration
: Theory, research, and practice.6thed, (Singapore: McGraw-Hill,2001) p.
295.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๘
องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้สถานการณ์น่าพึงพอใจโดยประกอบด้วย
องค์ประกอบ ๓ ส่วน คอื
๒.๑ โครงสรา้ งภารกจิ (Task Structure)
๒ .๒ ร ะ ดั บ ข อ ง ค ว า ม เป็ น ท า ง ก า ร (Degree of
Formalization) ได้แก่ กฎระเบยี บทปี่ กครองผใู้ ต้บงั คับบัญชา
๒.๓ ปทัสถานท่ีสนับสนุนของกลุ่ม (Supportive Norms
of the Primary Work Group)ซ่ึงทฤษฎีวิถที าง - เป้าหมาย สามารถอธบิ าย
ประสิทธผิ ลของผูน้ ำไดด้ งั รูปภาพต่อไปนี้
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๒๙
ทีม่ า (Luthans, ๑๙๙๒, p. ๒๘๒)
กล่าวได้ว่า ผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง-เป้าหมาย พยายามวางเส้นทางที่
จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปสู่เป้าหมายได้อย่างราบร่ืนที่สุด ซ่ึงผู้นำต้องเลือกใช้
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๓๐
แบบหรือพฤติกรรมผู้นำให้เหมาะสมกับตัวแปรด้านสถานการณ์ จากการ
ศึกษาวิจัยได้ขอ้ คน้ พบดงั ต่อไปนี้๖
๑.พฤตกิ รรมภาวะผู้นำแบบช้ีนำมี ความสมั พนั ธ์ในทางบวกกับความ
พึงพอใจและความคาดหวังของผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ที่ภารกิจมี
ความคลุมเครือ และมีความสัมพันธ์ในทางลบกับความพึงพอใจและความ
คาดหวังของผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ทีภ่ ารกิจชัดเจน
๒.พฤติกรรมภาวะผู้นำแบบสนับสนุน จะส่งผลให้เกิดความพึงพอใจ
มากท่ีสุดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาท่ีปฏิบัติงานอย่างมีความอึดอัดกดดัน หรือ
ภารกจิ น้ันไม่น่าพงึ พอใจ
๓.ในภารกิจที่ไม่ซ้ำซากและเปิดโอกาสให้แสดงความสามารถ
ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาจะพึงพอใจในผู้นำท่มี พี ฤตกิ รรมแบบมีส่วนร่วมมากกวา่
๔ .ใน ส ถ าน ก าร ณ์ ที่ ภ า ร กิ จ เป็ น ลั ก ษ ณ ะ ไม่ ซ้ ำ ซ า ก แ ล ะ มี ค ว า ม
คลุมเครือ พ ฤติกรรมภ าวะผู้นำแบบ มุ่งควา มสำเร็จที่ งาน ทำให้
ผู้ ใต้ บั งคั บ บั ญ ช ามี ค ว า ม มั่ น ใจ ว่ าค ว า ม พ ย า ย า ม ข อ ง พ ว ก เข า จ ะ ได้ รั บ
ผลตอบแทน
๑.๓ ทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของเฮอร์เซย์และแบลน
ชารด์
ทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของเฮอร์เซย์และแบลนชาร์ด
(Hersey & Blanchard) ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างแบบภาวะผู้นำท่ีมี
ประสิทธิผลและระดับวุฒิภาวะของผู้ตามโดยมีสมมติฐานเบ้ืองต้นของทฤษฎี
๖Luthans Fred, Organizational Behavior, 9thed, ( New York:
Mcgraw-Hill. Luthans, 2002), p. 281.
ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๓๑
ว่า “ประสิทธผิ ลของผู้นำขนึ้ อยูก่ ับความสอดคล้องที่เหมาะสมของพฤติกรรม
ผนู้ ำและวฒุ ภิ าวะของกลุม่ หรอื บุคคล”๗
พฤตกิ รรมผนู้ ำ (Leader Behavior)
ทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้นำ
ไม่ใช่บุคลิกภาพของผู้นำ ดังนั้นการให้ความหมายเก่ียวกับผู้นำจึงแตกต่างไป
จากทฤษฎีของฟีดเลอร์ ทฤษฎีนี้ได้ผสมผสานแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้นำ
จากหลาย ๆ ทฤษฎี และกำหนดพฤติกรรมของผู้นำเป็น ๒ ประการคือ
พฤติกรรมที่เน้นงาน (Task Behavior) และพฤติกรรมท่ีเน้นความสัมพันธ์
(Relationship Behavior) ซงึ่ มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี๘
- พฤติกรรมที่เน้นงาน (Task Behavior) ผู้นำจะใช้การสื่อสารทาง
เดยี ว เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ฏิบัตงิ านทราบว่าจะต้องทำอะไร ทไ่ี หน เม่ือไร และอยา่ งไร
- พฤติกรรมท่ีเน้นความสัมพันธ์ (Relationship Behavior) ผู้นำจะ
ใช้การสื่อสาร ๒ ทาง โดยมีการสนับสนุนท้ังด้านอารมณ์และสังคม เป็นการ
สร้างแรงจูงใจในการทำงาน
๗ House, R.J. and Mitchell, R.R. 1971. “Path-goal theory of
leadership”, P. 302.
๘ Lunenburg, Fred C., and Ornstein, Allan C. Educational
Administration, 2nded. ( California: Wadsworth publishing company,
1996), p. 145.