ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๓๒
อ้างอิงประจำบท
กิติ ตยัคคานนท์. เทคนิคการสร้างภาวะผู้นำ. กรุงเทพมหานคร : เปลว
อกั ษร, ๒๕๔๓.
ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๑๔๐/๑๔๗.
ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๒๔๓๘-๒๔๔๕/๔๓๐-๔๓๒.
ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๒๖๗-๓๖๘/๒๖๗-๒๖๘.
ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๓๖-๓๓๗/๑๓๖-๑๓๗.
ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๒๔๐/๖๒.
ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๓๖/๑๕๗-๑๕๙.
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๖/๑๙๖.
ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๒๖๔.
ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕/๔๕-๔๖.
ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕/๔๕-๔๖.
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๖/๑๘๔-๑๘๙.
อง.ฺ จตกุ ก.ฺ (ไทย) ๒๑/๗/๑๐.
อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๑๕๗/๒๐๓.
เถาวลั ย์ นนั ทาภิวัฒน์. หลกั การจัดการ. กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ราช
วิทยาลยั , ๒๕๔๑.
นิตย์ สัมมาพั นธ์. ภ าวะผู้น ำ : พ ลังขับ เค ลื่อน สู่ความเป็ น เลิศ .
กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ร่วมกับ
สำนักพมิ พ์โอเดียนสโตว์, ๒๕๔๖.
พรนพ พุกกะพันธ์. ภาวะความเปน็ ผู้นำ. กรงุ เทพมหานคร : จามจุรีโรดักท์
,๒๕๔๒.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๓๓
พระครูสิริจันทนิวิฐ. ภาวะผู้นำเชิงพุทธ. กรุงเทพมหานคร : นิติธรรมการ
พมิ พ,์ ๒๕๔๙.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต). ภาวะผู้นำเชิงพุทธ. กรงุ เทพมหานคร :
นิตธิ รรมการพมิ พ์, ๒๕๔๙.
พะยอม วงศ์สารศรี. องค์การและการจัดการ. กรุงเทพมหานคร : ครุสภา,
๒๕๔๔.
พูนลาภ แก้วแจ่งศรี. “การจัดการเชิงพุทธ : การสำรวจปรัชญาและแนวคิด
สำหรับการจัดการสมัยใหม่”. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตร
มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร
ศาสตร์, ๒๕๔๖.
รังสรรค์ ประเสริฐศรี. ภาวะผู้นำ. กรุงเทพมหานคร : ธนธัชการพิมพ์,
๒๕๔๔.
เศาวนิต เศาณานนท์. ภาวะผู้นำ. นครราชศรีมา : โปรแกรมวชิ าการบริหาร
ศึกษาครุศาสตร์สถาบันราชภฏั นครราชศรีมา, ๒๕๔๒.
สมพงษ์ เกษมสิน. การบริหาร. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิชย์.
๒๕๔๖.
หวน พินธุพันธ์. การบริหารโรงเรียน. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์,
๒๕๔๘.
อุทัย หิรัญโต. หลักบริหารบุคคล. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนส
โตร์, ๒๕๔๓.
Chater I. Barnard. Oganization and Management. Cambridge
Massachusetts : Harvard University press. , 1962.
Ordway tead. The art of Leadership. New York : McGraw–
hillbookcompany.Inc, 1956.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๓๔
Ralph stogdill. Leadership membership and Organization.
psychological Buillentin,1950.
Rensis Likert. The Human Organization. New York :
mcGrawHill,1967.
บทที่ ๘
ภาวะผู้นำสำหรับการบริหารกจิ การพระพทุ ธศาสนา
ขอบข่ายประจำบท
๑ . ค วาม ห ม าย ของภ าวะผู้ น ำสำห รับ ก ารบ ริห ารกิ จการ
พระพุทธศาสนา
๒. แนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับภาวะผู้นำสำหรับการบริหารกิจการ
พระพุทธศาสนา
จุดประสงค์การเรียน
๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของภาวะ
ผู้นำสำหรบั การบรหิ ารกจิ การพระพุทธศาสนา
๒. เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับ
ภาวะผูน้ ำสำหรบั การ
บรหิ ารกจิ การพระพทุ ธศาสนา
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๑. การจดั การเรยี นการสอนทางอ้อม
๒. ใช้เทคนิคการศึกษาเป็นรายบคุ คล
๓. ใชเ้ ทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมอื
๔. ใชเ้ ทคนิคการสอนแบบบรู ณาการ
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 236
8.1 ความหมายของบทบาทผูน้ ำ
บทบาทที่ผู้นำต้องแสดงในองค์การแห่งการเรียนรู้ก็ คือ การ
สร้างวิสัยทัศน์รว่ มกันของบุคลากร การออกแบบโครงสร้างองค์การ และการ
แสดงบทบาทผู้นำบริการ การเป็นผู้นำบริการนั้นจะต้องเรียนรู้ท่ีจะคิดใน
รูปแบบของการควบคุมร่วม ซึ่งก็ คือ การหาข้อตกลงระหว่างผู้นำและผู้ตาม
มากกว่าจะเป็นการควบคุมเหนือ ผู้นำบริการจะสร้างความสัมพันธ์กับผู้ตาม
บนพ้ืนฐานของความคิด วัฒนธรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อนำไปสู่
เป้าหมายขององค์กร ในองค์การแห่งการเรียนรู้ ผู้นำจะช่วยให้บุคลากรเห็น
ภาพรวมขององค์การทั้งหมด ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ริเริ่มการ
เปลี่ยนแปลง และเพิ่มความสามารถของบุคลากรเพ่ือการเปลี่ยนแปลง
องคก์ ารในอนาคต
หลังจากแนวคิดภาวะผู้นำบริการปรากฏขึ้นจนถึงปัจจุบัน จึงมี
การประยุกต์แนวคิดไปใช้ในทางปฏิบัติอย่างแพร่หลาย ซึ่งโดยหลักแล้ว
สามารถแบ่งแนวทางการประยุกต์แนวคิดดังกล่าวได้ ๖ แนวทาง ได้แก่
๑) การใช้เป็นปรัชญาเพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติในองค์การ ๒) การใช้สร้าง
หลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับผู้จัดการในองค์การ ๓) การใช้เป็นหลักการ
สำหรับภาวะผู้นำในสังคม ๔) การสร้างหลกั สูตรแบบมุ่งเนน้ ประสบการณ์ใน
สถานศึกษา ๕) การสร้างโปรแกรมการพัฒนาตนเอง และ ๖) การสร้าง
หลกั สตู รฝกึ อบรมท้ังในสถานศกึ ษาและในองค์การธุรกจิ
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 237
8.2 ความหมายของภาวะผู้นำ
ผู้นำและภาวะผู้นำ เป็นคำ ๒ คำ ที่มีความหมายเกี่ยวเน่ือง
สัมพันธ์กัน ในขณะเดียวกันภาวะผู้นำใฝ่บริการ ก็เป็นการนำเอาความหมาย
ของผ้นู ำและภาวะผู้นำไปใชใ้ นขอบขา่ ยทีเ่ จาะจง
ภาวะผู้นำคือการท่ีผู้นำใช้อิทธิพลในความสัมพันธ์ซึ่งมีอยู่ต่อ
ผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่าง ๆ เพ่ือปฏิบัติการและอำนวยการเป็น
กระบวนการของอิทธิพลที่บุคคลหน่ึงพยายามใช้อิทธิพลต่อบุคคลอ่ืน ให้มี
พฤตกิ รรมไปในทศิ ทางทต่ี อ้ งการทั้งน้ีเพ่ือให้บรรลเุ ป้าหมาย
ภาวะผู้นำ หมายถึง การท่ีบุคคลคนหน่ึงสามารถใช้ศักยภาพ
ของตนเองในการมีอิทธิพล หรือการเปลี่ยนแปลงขององค์การ เพ่ือให้บรรลุ
เป้าหมายที่บุคคลหรือองค์การนั้นต้องการ๑ ภาวะผู้นำเร่ิมต้นจาก
ความสามารถของบุคคลในการจูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัตติ ามเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ขององค์การ เป็นศิลปะและทักษะในการบริหารที่สำคัญอย่างยิ่งของผู้นำ
องคก์ รทกุ ระดบั ในการนำองค์กรไปสคู่ วามสำเร็จ๒
กระบวนการบริหารประกอบด้วย การวางแผน การควบคมุ การ
เตรียมการ คิดตัดสินใจ การส่ังการและอำนวยการ เป็นกระบวนการที่มี
ระเบียบกำหนดรักษาสภาพเดิมที่ม่ันคงอยู่แล้ว เน้นเรื่อง ประสิทธิภาพและ
การปฏิบัติงานท่ีถูกต้อง ความเป็นผู้นำ เป็นสมรรถนะที่สำคัญของผู้นำ
องค์การคือ ความสามารถในการสร้างและนำวิสัยทัศน์ขององค์การ โน้มน้าว
ผู้อ่ืนให้ยอมรับและมุ่งสู่วิสัยทัศน์ขององค์การ ให้การสนับสนุนผู้อ่ืน ทั้งใน
ดา้ นการให้คำแนะนำ และการให้อำนาจแก่บุคลากรให้สามารถเจริญก้าวหน้า
๑สมพงษ์ สิงหะพล, บทบาทร่วมสมัยของผู้บริหารโรงเรียน,
(นครราชสมี า : คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎนครราชสีมา, ๒๕๕๒), หน้า ๑๑.
๒สุ น ท ร โค ต รบ รรเท า, ภ าว ะผู้ น ำใน อ งค์ ก ารก ารศึ ก ษ า,
(กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์ปัญญาชน, ๒๕๕๑), หนา้ ๓.
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พุทธ 238
อย่างมืออาชีพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาในระดับบุคคล ทีมงาน และระดับ
องค์การท้ังในด้านทัศนคติ การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ แหล่งที่มาของ
การมีอิทธิพลอาจเป็นอย่างทางการ ได้กำหนดชัดเจนมากับตำแหน่งทาง
บริหารขององค์การน้ันว่ามีอำนาจอะไรบ้าง ดังนั้นการได้รับบทบาทการเป็น
ผู้นำในตำแหน่งบริหาร ก็ทำให้บุคคลน้ัน ได้รับอำนาจและเกิดอิทธิพลต่อ
ผู้อ่ืน ผู้นำสามารถเกิดข้ึนจากกลุ่มคนให้การยอมรับนับถือได้เช่นเดียวกับที่
มาจาก การแต่งตั้งอย่างทางการ ในองค์การท่ีดีจำเป็นต้อง มีทั้ง ภาวะผู้นำ
และการบริหารจัดการที่เข้มแข็งจึงจะทำให้เกิดประสิทธิผลได้สูงสุด
โดยเฉพาะภายใต้ ภาวะของโลกที่มีพลวัตสูง ย่อมต้องการได้ผู้นำที่กล้าท้า
ทายต่อการดำรงสถานภาพเดิม มีความสามารถในการสร้างวิสัยทัศน์ และ
สามารถในการดลใจสมาชิกท้ังองค์การให้มุ่งต่อความสำเร็จตามวิสัยทัศน์นั้น
แต่ก็ยงั ตอ้ งมีการบรหิ าร ทีส่ ามารถกำหนดรายละเอียดของแผนงาน สามารถ
ออกแบบโครงสร้างท่ีมีประสิทธิภาพขององค์การ รวมท้ังติดตามตรวจสอบ
ดูแล การปฏบิ ตั ิงานประจำวนั อกี ดว้ ย
สรุปได้ว่า ภาวะผู้นำ คือ สิ่งที่มีอยู่ในตัวคนสามารถเรียนรู้และ
พัฒนาได้ ถ้าบุคคลน้ันพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสสร้างสรรค์ให้งานประสบ
ความสำเร็จ สามารถเป็นผู้นำในงานในอาชพี ของตนเองไดอ้ ย่างตอ่ เน่ือง การ
จัดการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาสำหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ ต้อง
ใช้ภาวะผู้นำเป็นตัวนำกระบวนการบริหารให้มีการปฏิบัติตามเส้นทางสู่
เป้าหมายตามความคาดหวัง ความสัมพันธ์ของกระบวนการบริหารและ
กระบวนการผู้นำจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดเป็นความสามารถในการ
เผชิญกับภาวะผู้นำการเปล่ียนแปลงได้ โดยมีผู้นำเป็นผู้สร้างวิสัยทัศน์ให้เป็น
ตัวกำกับ ทิศทาง ขององค์การในอนาคต จากน้ันจึงจัดวางคนพร้อมทั้งสื่อ
ความหมายให้เข้าใจวิสัยทัศน์และ สร้างแรงดลใจแก่คนเหล่านั้น ให้สามารถ
เอาชนะอุปสรรคเพื่อไปส่วู สิ ยั ทัศน์ดังกล่าว
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 239
เปา้ หมายความเป็นผนู้ ำ ความเปน็ ผูน้ ำ คือ ความสัมพันธ์เชิง
อิทธิพลระหวา่ งผู้นำและผู้ตาม ผู้ซ่ึงมีความปรารถนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างแท้จริงที่สะท้อนถึงเป้าหมายร่วมกัน พบว่า ภาวะผู้นำมีองค์ประกอบที่
สำคัญ ๔ ประการ คือ ๑) ความเป็นเร่ืองของอิทธิพล ๒) อิทธิพลนั้นเกิดข้ึน
ระหว่างผู้นำและผู้ตาม ๓) ผู้นำและผู้ตามมีความประสงค์ให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงอย่างแท้จริงในบางส่ิงบางอย่าง และ ๔) การเปล่ียนแปลงที่
เกิดขนึ้ ตง้ั อยบู่ นเป้าหมายรว่ มกันของผนู้ ำและผตู้ าม
อิทธิพล ต้องเป็นอิทธิพลท่ีเกิดข้ึนในสองทิศทางร่วมกันและ
เป็นอิทธิพลท่ีเกิดอย่างกระตือรือร้นไม่เป็นอิทธิพลที่เกิดจากการบังคับหรือ
เชิงบังคับ ผู้บริหารมีอิทธิพลต่อครู ในทำนองเดียวกันครูก็มีอิทธิพลต่อ
ผู้บริหารเช่นกัน อิทธิพลนี้เป็นอิทธิพลทเี่ กิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บรหิ าร
กับครูโดยการใช้แหล่งอำนาจต่างๆ มาเป็นเครื่องมือ เช่น รางวัล โทษ
แรงจูงใจ ตำแหน่ง หน้าท่ี อำนาจ บารมี ศกั ยภาพ เป็นต้น ผู้บริหารพึง
ใช้อิทธิพลใน ๒ ลักษณะ คือ อิทธิพลทางตรงที่ผู้บริหารมีต่อผู้อื่นตาม
บทบาทหน้าที่ของตน และอิทธิพลเชิงสนับสนุนที่ผู้บริหารส่งเสริมและ
เปิดโอกาสให้ศิษย์ได้แสดงความเป็นผู้นำออกมาตามศักยภาพท่ีมีอยู่เพราะ
จุดเด่นประการหนึ่งคือ ความเป็นผู้นำเกิดขึ้นในหมู่ผู้ตามด้วย ในบางขณะ
บางสถานการณ์ครูอาจต้องแสดงบทบาทความเป็นผู้นำออกมามากกว่า
ผู้บริหาร เช่น การบริการวิชาการแก่ชุมชน ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้
บุคคลท่ีมีความชำนาญการพิเศษ หรือเชี่ยวชาญด้านน้ัน ๆ ในการเป็น
วทิ ยากรหรือใหก้ ารปรกึ ษา
ท้ังผู้นำและผู้ตามท่ีอยู่ในห่วงโซ่ความสัมพนั ธ์ของความเป็นผู้นำ
นั้น ต้องเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีแท้จริงและยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงที่
ต้องการ คือ การปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา และการ
เปล่ียนแปลงท่ีเน้น การพัฒนาท่ียั่งยืน จุดที่ผู้บริหารควรตระหนักคือ
การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดนี้ ไม่ใช่การบีบบังคับหรือช้ีนำฝ่ายเดียว
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ 240
แต่เป็นการตกลงใจเพ่ือให้เกิดการเปล่ียนแปลงร่วมกัน “เม่ือเป็นเช่นน้ีความ
เป็นผู้นำก็คืออิทธิพลของคนที่ประสงค์ให้เกิดการเปล่ียนแปลงเพื่อสิ่งท่ี
ตอ้ งการในอนาคตท่เี หน็ พ้องต้องกัน๓
ภ าวะผู้น ำข องเจ้าคณ ะป กค รอ งค ณ ะส งฆ์ ห ม ายถึ ง
“ความสมั พันธ์เชิงอทิ ธพิ ลระหว่างเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจา้ คณะอำเภอ
เจ้าคณ ะจังหวัด เจ้าคณ ะภาค และผู้รับบริการ ท่ีต้องการเห็นการ
เปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดในการชี้นำฆราวาสและบรรพชิตที่เป็นความ
ปรารถนาร่วมกนั ระหว่างผู้นำและผตู้ าม”
เป้าหมายความเป็นผู้นำของเจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ คือ
การพัฒนากิจการของวัด และการปฏิบัติธรรมของบรรพชิตและฆราวาส ซึ่ง
เป็นเป้าหมายพ้ืนฐานตามบทบาทของผู้ปกครอง คือ กรอบความคิดของ
การเปลี่ยนแปลง ผู้นำองค์กรพระพุทธศาสนาต้องแสดงการเป็นผู้นำการ
เปลยี่ นแปลงอย่างมนี ัยสำคัญภายใตก้ รอบความคดิ ๓ ประการ
๑. การเปล่ยี นแปลงนั้นต้องเปน็ การเปล่ียนแปลงที่แท้จริง เป็น
การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นต่อเน่ือง การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพ่ือเป้าหมายของ
ผู้นำเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นเป้าหมายของ ทั้งผู้นำและของผู้ตามด้วย ต้องมี
เป้าหมาย การเปลยี่ นแปลงที่เห็นพ้องต้องกันและไปในทิศทางเดยี วกนั น่ันคือ
การพฒั นาปรบั ปรุงคณุ ธรรมจรยิ ธรรมภาคประชาชน
๒. การเปล่ียนแปลงที่แท้จริงคือ การเปลี่ยนแปลงท่ีเป็นแก่น
สาร เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่านิยม ความเชื่อและการปฏิบัติท่ีต่างไปจาก
เดิม กระบวนทัศน์เก่าถูกท้าทายจากบทบาทขององค์กรพระพุทธศาสนาท่ีมี
ม า แ ต่ เดิ ม ถู ก ท บ ท ว น แ ล ะ แ ส ว ง ห า แ น ว ท า ง ให ม่ ท่ี เห ม า ะ ส ม ก ว่ า ก า ร
เปล่ียนแปลงแบบน้ี ผู้ตามมีบทบาทแสดงความเป็นผู้นำออกมาได้โดย
๓สมพงษ์ สงิ หะพล, บทบาทรว่ มสมัยของผูบ้ ริหารโรงเรียน, หน้า ๖.
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 241
กระบวนการตัดสินใจแบบมีสว่ นรว่ มผูต้ ามไมเ่ พียงแต่เป็นผู้รับคำสงั่ ฝ่ายเดียว
แตเ่ ปน็ ผูส้ ามารถสรา้ งการเรยี นร้ดู ว้ ยตัวเองเช่นกนั
๓. การเปล่ียนแปลงต้องเน้นที่มีเป้าหมายร่วมของผู้นำและผู้
ตามเปา้ หมายร่วมเกิดจากความสมั พันธท์ ่ไี มใ่ ช่การบังคบั กฎเกณฑ์ แตเ่ ป็นผล
การทำงานร่วมกนั ในขณะที่อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณร ร่วมกันทำงาน
ใช้พลังขับเคลื่อนเป้าหมายไปข้างหน้าอย่างม่ันคงเพ่ือการเปล่ียนแปลงท่ีจะ
เกิดผลในทางบวกต่อการพัฒนาท้ังด้านกายภาพและจิตใจ เป้าหมายร่วมจึง
เป็นจุดเน้นหนักของการพัฒนาประเทศชาติ คือการให้ทุกคนเป็นคนดี มี
ความเจริญท้ังทางโลก และทางธรรม อย่างบูรณาการ บทบาทและความเป็น
ผู้นำของผู้นำองค์กรพระพุทธศาสนาจึงมีเป้าหมายคือ การสร้างสรรค์
วัฒนธรรมท่ีบรรพชิตและฆราวาส ซึ่งได้เติบโตไปด้วยกันในชุมชนแห่งการ
เรยี นรู้โดยมเี ปา้ หมายร่วมกันคอื เพื่อประโยชน์ตนและประโยชนข์ องส่วนรวม
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลง ๑)
การทำความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรอย่างรอบด้านเพื่อท่ีผู้บริหารจะสามารถ
สร้างวฒั นธรรมทีเ่ หมาะสมขึ้นมาธำรงรักษาวัฒนธรรมนั้นใหเ้ อ้ือประโยชนต์ ่อ
การเรียนรู้ และเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมให้สอดรับกับสังคมโลก ๒) การ
พัฒนาวิสัยทัศน์ส่วนตัวของผู้นำให้เป็นวิสัยทัศน์ร่วมขององค์กร โดยผ่าน
กระบวนการทางชุมชนแห่งการเรียนรู้ ๓) การสื่อสารและร่วมมือกันนำ
วิสัยทัศน์ร่วมไปสู่การปฏิบัติโดยเน้นการปรับปรุงการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
และปัจเจกบคุ คลใหม้ ีความเจรญิ
เป้าหมายพ้ืนฐานความเป็นผู้นำของเจ้าคณะปกครองของคณะ
สงฆ์ คือ การเปล่ียนแปลง เพ่ือการพัฒนาภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา
ทุกคนโดยการสร้างสรรค์วัฒนธรรมองค์กรผ่านกระบวนการองค์กรแห่งการ
เรียนรู้ท่ีมีเป้าหมายร่วมกันคือ การปรับปรุงการเรียนรู้ของบรรพชิตและ
อบุ าสกและอบุ าสกิ าการบริการและการสงเคราะหแ์ ก่ชมุ ชน
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ 242
แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำ แนวคิดเก่ียวกับการศึกษาภาวะผู้นำ
ในปัจจุบัน จากการพัฒนาผู้นำกลุ่มและองค์การ ประยุกต์ต่อการศึกษา
ประกอบด้วย ๑) ทฤษฎีคุณลักษณะ ๒) ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ ๓) ทฤษฎี
ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ ๔) ทฤษฎภี าวะผู้นำแบบการเปล่ียนแปลง๔
(๑) ทฤษฎีคณุ ลกั ษณะ (Trait Theory) เป็นทฤษฎีที่เกา่ แก่ท่ี
เชื่อว่า คนสามารถเป็นผู้นำได้เพราะพวกเขามีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีกำลัง
ความสามารถ ความกล้าหาญ สายตาอันยาวไกลและอำนาจในการโน้มน้าว
จิตใจ และเชื่อว่าความเป็นผู้นำน้ันต้องมมี าตั้งแตเ่ กิด ไม่ใช่ส่ิงที่จะสร้างข้ึนได้
แม้ว่าแนวคิดเก่ียวกับผู้นำแบบคุณลักษณะจะไม่ค่อยได้รับความสนใจมา
หลายสบิ ปีแล้ว แตก่ ย็ ังมีผศู้ ึกษาและกล่าวถงึ ดังน้ี
จากการศึกษาทบทวนเก่ียวกับผู้นำโดยสรุปลักษณะของผู้นำที่
ประสบความสำเร็จไว้ และได้แบ่งคุณลักษณะของผู้นำที่มีประสิทธิภาพไว้ ๓
ดา้ น คือ ด้านสติปัญญา (Intelligence) ด้านบุคลิกภาพ (Personality) ด้าน
ความสามารถ (Abilities)
สุรพล สุยะพรหม กล่าวว่าการศึกษาภาวะผู้นำตามแนว
คณุ ลักษณะมีความเช่ือว่า ผู้นำจะต้องมีคุณสมบัติและลักษณะเด่นอยู่ในตัวท่ี
แตกต่างไปจากคนอื่น โดยมีแนวทางง่ายๆว่า อะไรทำให้คนเป็นผู้นำท่ีมี
ประสิทธิภาพก็เพียงแต่วัดคุณสมบัติและลักษณะเหล่าน้ีในตัวคน คุณสมบัติ
และลักษณะที่ใช้วัดก็ได้แก่ ลักษณะทางร่างกาย ลักษณะทางบุคลิกภาพ
๔Fullan,M., Leading in a Culture of Change, (San Francisco :
Jossey – Bass, 2004), p.98.
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ 243
ทักษะทางความสามารถ และปัจจัยทางสังคม เพ่ือหาว่าคุณสมบัติและ
ลกั ษณะต่างๆ เหล่านีแ้ ตกต่างไปจากคนอืน่ อยา่ งไร๕
จากแนวความคิดเก่ียวกับคุณลักษณะของผู้นำสรุปได้ว่า เป็น
การนำลักษณะเฉพาะของบุคคลท่ีแตกต่างไปจากคนอื่น เช่น ลักษณะทาง
ร่างกาย ลักษณะทางบุคลิกภาพ ทักษะทางความสามารถ และปัจจัยทาง
สงั คม เพ่ือใชม้ าเปน็ เกณฑ์วัดภาวะผนู้ ำของแต่ละบุคคล
(๒) ทฤษฎีภาวะผู้นำตามพฤติกรรม ( Behavior Theory )
การศึกษาภาวะผู้นำตามพฤติกรรมเป็นการศึกษาตามแนวคิดท่ีสำคัญคือ
ความเป็นผูน้ ำเป็นส่ิงที่สอนกันได้ และมนั เป็นเร่อื งของการนำเอาพฤติกรรมท่ี
เหมาะสม จะมาใช้ในการนำผู้อื่นจากผู้นำท่ีประสบผลสำเร็จจะมีพฤติกรรม
แตกต่างไปตากผู้นำท่ีไม่ประสบผลสำเร็จอย่างไรโดยสรุปถึงพฤติกรรมของ
ผู้นำ ๓ แบบ คือ ผู้นำแบบเผด็จการ ผู้นำแบบประชาธิปไตย และผู้นำแบบ
เสรี ว่าผ้นู ำแบบใดก่อให้เกดิ ความสำเร็จมากทสี่ ดุ ซึ่งผลการวิจัยพบวา่ กลุ่มที่
มีผู้นำแบบเสรีนิยมได้ผลการปฏิบัติงานต่ำกว่ากลุ่มผู้นำแบบเผด็จการ และ
แบบประชาธปิ ไตย ซง่ึ ปริมาณงานเทา่ กันทง้ั สองกลุ่ม คณุ ภาพงานและความ
พอใจในการทำงานดีท่ีสุดตกกับกลุ่มท่ีมีผู้นำแบบประชาธิปไตย เม่ือศึกษา
ต่อมาก็พบว่าบางคร้ังผลการปฏิบัติงานในกลุ่มท่ีมีผู้นำแบบประชาธิปไตยสูง
กว่ากลุ่มที่มีผู้นำแบบเผด็จการ แต่ความพอใจในการทำงานของกลุ่มท่ีมีผู้นำ
แบบประชาธิปไตยต่ำกว่ากลุ่มที่มีผู้นำแบบเผด็จการ แต่ความพอใจในการ
ทำงานของกลมุ่ ที่มผี นู้ ำแบบประชาธิปไตยสงู กว่ากลุ่มทม่ี ีผูน้ ำแบบเผด็จการ๖
๕สุรพล สุยะพรหมและคณะ, ทฤษฏีองค์การและการจัดการเชิงพุทธ,
(พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕), หนา้ ๒๒๐.
๖ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๒๒๐ .
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 244
จากการศึกษาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของนักวิชาการต่างๆ ไว้
ดงั นี้ คอื
“ผู้นำ” ออกเป็นประเภทใหญ่ ๒ ประเภท คือ (๑) ผู้นำแบบ
นิเสธ (Negative Leadership) หมายถึงผู้นำที่มีลักษณะเผด็จการใช้วิธีการ
บริหารแบบศูนย์รวมอำนาจ อำนาจอยู่ท่ีผู้นำ ผู้ตามจำต้องปฏิบัติตาม
แนวทางท่ีผู้นำต้องการ โดยอาศัยอำนาจ และหน้าท่ี (Authority) เป็น
เครื่องมือ๗ กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมภาวะผู้นำยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่สามารถ
ท่ีจะบอกเราได้ด้วยความแม่นยำว่า รูปแบบ ผู้นำแบบใดจะทำให้เกิด
ประสิทธิผลสูงสุดต่อองค์กรได้ บางคร้ังรูปแบบผู้นำแบบหน่ึงประสบ
ความสำเร็จในสถานการณ์หนึ่ง แต่กลับพบความล้มเหลวในอีกสถานการณ์
หนง่ึ
สรุปว่า ทฤษฎีภาวะผู้นำตามพฤติกรรมมีลักษณะท่ีหลากหลาย
ท่ีไม่สามารถกำหนดแน่ชัดว่าพฤติกรรมใดที่สามารถนำพาองค์ก รสู่
ความสำเร็จ แต่สามารถสรุปได้เป็นแนวทางกว้างๆคือ ผู้นำแบบเผด็จการ
และผู้นำแบบประชาธิปไตยและผู้นำท่ดี ีทีส่ ุด คือผู้นำที่มุ่งทำงานเป็นทีม ผู้นำ
ทมี่ พี ฤตกิ รรมมงุ่ เน้นคนมากทสี่ ุดกบั ม่งุ เน้นงานมากท่สี ุด
(๓) ทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์ (Contingency
Theory) การศึกษาภาวะผู้นำตามสถานการณ์มีพื้นฐานของแนวคิดที่ว่า
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่จำเป็นต้องมีคุณลักษณะเฉพาะที่ตายตัว
และไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกเชิงพฤติกรรมในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง
เท่านั้น หากผู้นำจะประสบความสำเร็จในการทำงานได้ก็ต่อเม่ือผู้นำสามารถ
เลือกใชว้ ิธีการหรือแสดงออกซึ่งพฤติกรรมการเป็นผู้นำท่ีเหมาะสมสอดคล้อง
กับแต่ละสถานการณ์ ดังนั้น ผู้นำท่ีประสงค์จะประยุกต์ใช้ทฤษฎีภาวะผู้นำ
๗ วเิ ชียร วิทยอุดม, ภาวะผนู้ ำ Leadership ฉบับกา้ วล้ำยุค, พมิ พค์ ร้ัง
ที่ ๔, (กรงุ เทพมหานคร : บริษทั ธีระฟิล์ม และไซเทก็ ซ์ จำกดั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๓ .
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 245
ตามสถานการณ์ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง จึงต้องศึกษาว่าสถานการณ์หรือ
ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อวิธีการและพฤติกรรมของผู้นำเหล่านี้มีอะไรบ้าง และ
แต่ละสถานการณ์ผู้นำควรจะใช้วิธีการใดในการบริหารงานให้ประสบ
ความสำเร็จสูงสุด Robert Tanenbaum และ Waren Schmidt ได้ศึกษา
ภาวะนำตามสถานการณ์ โดยกล่าวว่าไม่มีพฤติกรรมแบบใดดีท่ีสุดขึ้นอยู่กับ
พลังของอำนาจผู้นำและผู้ตาม โดยแสดงความคิดเห็นวา่ รูปแบบการนำของ
ผู้นำจะอยู่ระหว่างรูปแบบเผด็จการ จนถึงรูปแบบประชาธิปไตย
(Autocratic-democratic continuum) โดยการใช้อำน าจของผู้น ำมี
ความสัมพันธ์กับความเสรีภาพของผู้ตามด้วย กล่าวคือ หากผู้นำมีรูปแบบ
เผด็จการก็จะใช้อำนาจการตัดสินใจมาก ผู้ตามก็จะมีอิสระในการดำเนินการ
น้อย ในทางตรงกันข้าม หากผู้นำเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนในการ
ตัดสินใจ อย่างเท่าเทียมกัน อำนาจในการตัดสินใจของผู้นำก็จะน้อยลงบาง
ท่านเช่ือว่าผู้นำที่มีประสิทธิผลหรือผู้นำที่สามารถสร้างความสำเร็จในการ
ปฏิบั ติงาน ของกลุ่ มขึ้น อยู่ กับความสั มพั น ธ์ระห ว่างรูปแบบ ของ ผู้ น ำแล ะ
สถานการณ์ต่างๆ อันนำไปสู่ความมีประสิทธิผลของผู้นำโดยการพัฒนา
เคร่ืองมอื LPC : Least –Preferred Co Worker Scale
ผู้ น ำ มี รู ป แ บ บ ก า ร บ ริ ห า ร ง า น แ ต่ ล ะ แ บ บ ท่ี เห ม า ะ ส ม กั บ
สถานการณ์ที่แตกต่างกัน บางสถานการณ์อาจเหมาะสมกับผู้นำแบบทีม
สัมพันธ์ ท่ีให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันดีกับผู้ร่วมงาน และคำนึงถึง
ผู้อื่นเป็นหลัก ในขณะท่ีบางสถานการณ์อาจเหมาะสมกับผู้นำกับผู้นำที่ให้
ความสำคัญกับงานและคำนึงถึงตนเองเป็นหลัก ดังน้ัน ผู้นำจะต้องรู้จัก
ตนเองว่ามุ่งคนหรือมุ่งงานเป็นหลัก๘ โดยให้ความสำคัญกับผู้ตามและการ
บรรลุวุฒิภาวะ(maturity) ของผู้ตามโดยผู้นำต้องมีความเข้าใจและรู้ถึงวุฒิ
๘Fred E. Fiedler, A Theory of Leadership Effectiveness, (
New York : McGraw Hill, 1967), p.23.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 246
ภาวะของผตู้ ามและเลือกใชร้ ูปแบบการนำใหเ้ หมาะสมกับผตู้ าม๙ ซ่ึงรูปแบบ
การตัดสินใจแบบใดจะมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด ซึ่งรูปแบบการตัดสินใจใน
แตล่ ะรูปแบบมกี ารพัฒนาไปตามหลักการรวมอำนาจและการกระจายอำนาจ
ซ่ึงไม่มีลักษณะใดดีที่สุด แต่ก็มีแนวโน้มว่าการบริหารในปัจจุบันจะมี
ประชาธิปไตยมากย่ิงข้ึนและมีลักษณะเผด็จการน้อยลง ซึ่งมีลักษณะ ๕
รูปแบบคือ ๑. ผนู้ ำตัดสนิ ใจเองตามลำพัง ๒. ผู้นำปรึกษาหารือกับผู้ตามเป็น
รายบุคคล ๓. ผู้นำปรึกษาหารือกับผู้ตาม ในการประชุมกลุ่ม ๔. ผู้นำเปิด
โอกาสให้กลุ่มเป็นผู้ตัดสินใจภายใต้ปัญหาและขอบเขตท่ีกำหนดให้ แล้วผู้นำ
คอยอำนวยความสะดวกให้ ๕. ผู้นำเปิดโอกาสให้กลุ่มเป็นผู้ตัดสินใจและ
รายงานให้ผตู้ ามทราบในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ผู้นำต้องพิจารณ าว่าความเป็นผู้นำเป็น
กระบวนการของอทิ ธพิ ล (Influence process) กล่าวคือ เปน็ กระบวนการท่ี
ผู้นำสามารถระดมการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายของกลุ่ม ท่ีจะ
ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อบุคคลในกลุ่ม จะเห็นได้ว่า กระบวนดังกล่าวนี้
จะต้องใช้การส่ือสารซึ่งถือว่ากระบวนการสื่อสารมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อ
ประสิทธิภาพของความเป็นผู้นำ๑๐ ผู้นำการบริหารยุคใหม่จะต้องมี
ความสามารถคัดสรร รวบรวมสร้างเสริมบุคลากรท่ีแก่งจริงๆ มีความรู้
ความสามารถ ทักษะเป็นที่ยอมรับ มีผลงานเป็นที่ประจกั ษ์ ให้มาร่วมมือเป็น
๙Paul Hensey, Kenneth H. Blanchard, Management of
Organisational Behaviour, (NewDelhi : Prentici Hall ,1994.), p.358.
๑๐ ณัฏฐ์สุดา วิจิตรจามรี, การสื่อสารในองค์การ, (กรุงเทพมหานคร :
สริ ิมา, ๒๕๕๓), หนา้ ๒๕๑.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ 247
ทีมงานในการบริหารการพัฒนาองค์กรให้มากท่ีสุด เพื่อไปสู่ความสำเร็จได้
อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพอย่างแทจ้ ริง ๑๑
สรุปได้ว่า ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ
ได้นั้นไม่จำเป็นต้องมีคุณลักษณะเฉพาะที่ตายตัว และไม่จำเป็นต้องมีการ
แสดงออกเชิงพฤตกิ รรมในรปู แบบใดรูปแบบหนึ่งเท่าน้ัน หากผู้นำจะประสบ
ความสำเร็จในการทำงานได้ก็ต่อเม่ือผู้นำสามารถเลือกใช้วิธีการหรือ
แ ส ด ง อ อ ก ซ่ึ ง พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร เป็ น ผู้ น ำ ที่ เห ม า ะ ส ม ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ แ ต่ ล ะ
สถานการณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของผ้นู ำและสถานการณ์ตา่ งๆ
อนั นำไปสู่ความมีประสิทธผิ ลของผนู้ ำ
(๔) ทฤษฎีภาวะผู้นำแห่งการปฏิรูป (Transformation
Leadership Theory)
ทฤษฎีภาวะผู้นำแห่งการปฏิรูป มีแนวความคิดว่า ผู้นำเป็น
เหมือนตัวแทนของการเปล่ียนแปลง โดยมุ่งสนใจไปยังส่ิงท่ีพนักงานและ
องคก์ ารต้องการจากตัวผู้นำมากข้ึน และเปน็ ความต้องการที่สลับซบั ซ้อนมาก
ขน้ึ กว่าเดมิ
มี นั ก วิช าก ารได้ ก ล่ าวอ ธิบ าย ภ าวะผู้ น ำเชิ งป ฏิ รูป ว่า
เปรียบเสมือนกระบวนการที่ทงั้ ผู้นำและผู้ตามต่างก็ยกย่องซึ่งกนั และกัน เพื่อ
ยกระดับทางศีลธรรมและการจูงใจให้สูงขึ้น มีการแสวงหาการยอกระดับ
จิตสำนึกของผู้ใต้บังคับบัญชาโดยการจูงใจให้เกิดความคิดเห็น ตลอดจน
ค่านิยมทางศีลธรรมให้สูงขึ้น๑๒ โดยทำภารกิจต่อไปน้ี (๑) เป็นผ้นู ำท่ีกระตุ้น
บุคคลให้ทำงานโดยทำภารกิจท่ีมีให้มากข้ึนมุ่งหมายท่ีสูงข้ึน มีความเชื่อม่ัน
๑๑ พิเชษฐ วงศ์เกียรติข์ จร, ผู้นำการบรหิ ารยุคใหม่, (กรงุ เทพมหานคร :
สำนักพิมพ์ปัญญาชน, ๒๕๕๓), หนา้ ๕๐.
๑๒รังสรรค์ ประเสริฐศรี, ภาวะผู้นำ (Leadership), พิมพ์ครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท ธีระฟลิ ม์ และไซเท็กส์ จำกัด, ๒๕๕๑), หนา้ ๗๕ .
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 248
ในความสามารถที่จะบรรลุภารกิจพิเศษท่ีกำหนดไว้อย่างชัดเจน (๒) ผู้นำซึ่ง
จุดประกายให้ผู้ตามคล้อยตามให้บรรลุถึงความสนใจเพื่อประโยชน์ต่อ
องคก์ าร (๓) เปน็ บคุ คลซ่ึงมคี วามสามารถ ทม่ี อี ทิ ธิพลเหนอื ผู้ตาม๑๓
ฉะนั้น ภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป หมายถึงผู้นำท่ีใช้บารมีเพื่อ
ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงท่ียิ่งใหญ่แก่องค์การสามารถพลิกฟ้ืนองค์กรท่ีมี
ปัญหาใหป้ ระสบความสำเรจ็ ย่ิงในสภาพของสงั คมที่มีสภาพแวดล้อมท่ีมีการ
เปล่ียนแปลงและมีความซับซ้อนมาก และมีการแข่งขันท่ีมีความรุนแรงมาก
ขึ้นผู้นำต้องกระตุ้นและผลักดันให้เกิดการเปล่ียนแปลง ตลอดจนบริหารการ
เปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้เกิดขึ้นแก่องค์การ ต้องมีองค์ประกอบพื้นฐาน ๓
ประการ คือ (๑) ตอ้ งมบี ารมี (๒) ตอ้ งมีการใกลช้ ิดส่วนตัว (๓) ตอ้ งกระตุ้นให้
ผู้ตามตระหนักถึงปญั หาและวธิ กี ารแก้ปญั หา๑๔
กล่าวได้ว่าภาวะผู้นำแห่งการปฏิรูปคือการยกย่องให้เกียรติซ่ึง
กันและกันระหว่างผ้นู ำและผู้ตาม โดยผนู้ ำได้รับความไว้วางใจ ยกย่องชมเชย
ในความสามารถและคุณธรรมจนนำมาซึ่งความจงรักภักดี และทำตามอย่าง
เต็มใจ เป็นการยกระดับศีลธรรมในการจูงใจให้สูงข้ึน เพ่ือนำมาซ่ึงการ
เปล่ียนแปลงในองค์กร เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟื้นองค์กรท่ีมีปัญหาสู่
ความสำเรจ็ ตามทตี่ ้องการในทส่ี ุด
กระบวนการของการมีอิทธิพลต่อผตู้ ามทฤษฎีภาวะผู้นำจัดกลุ่ม
ได้เป็นทฤษฎีลักษณะผู้นำ ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำและทฤษฎีผู้นำหลายแบบ
ท ฤ ษ ฎี ภ าว ะผู้ น ำต าม ส ถ าน ก ารณ์ อ าศั ย ส ม ม ติ ฐาน ที่ แ ต ก ต่ างกั น ส อ งวิธี
๑๓ DuBrin, J . Andrew , “ Leadership Research Findings
,Practice, and Skills”.5th ed, (.Boston : Houghton Mifflin Company, 2007),
p.505.
๑๔วิเชียร วิทยอุดม, การจัดการสมัยใหม่ Modern Management,
หน้า ๑๒-๒๒.
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 249
เกี่ยวกับความสามารถในการปรับตัวของผู้นำ ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ของตนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ผู้นำต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เพ่ือให้
เข้ากับพฤติกรรมของผู้นำ ซ่ึงคิดว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งเป็นทฤษฎีผู้นำ
หลายแบบ๑๕ แบบภาวะผู้นำ (Leadership Styles) เกิดขึ้นพร้อมกันกับ
ทฤษฎีภาวะผู้นำหลายแบบ ภาวะผู้นำหลายแบบภาวะผู้นำร่วมสมัย ได้แก่
ภาวะผูน้ ำร่วมสมัย ได้แก่ ภาวะผู้นำการเปล่ียนแปลง ลักษณะและทกั ษะของ
ผู้นำ พฤติกรรมผูน้ ำตลอดจนปัจจัยดา้ นสถานการณ์ต่างๆ มปี ฏิสัมพนั ธ์ตอ่ กัน
เปน็ ตัวกำหนดประสิทธิผลของผนู้ ำได้ในที่สุด
บุคคลที่มีภาวะผู้นำ ต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ (vision) หรือ
ญาณทสั นะ ในทางพุทธศาสนาซง่ึ เปน็ การหยงั่ ร้ทู ี่เกิดจากอำนาจสมาธิ ทำให้
สามารถมองย้อนไปในอดีต หรือมองทะลุไปยังอนาคตได้อย่างไม่มีท่ีส้ินสุด
คือ เป็นอนันตกาล (Infinity) แต่วิสัยทัศน์เป็นการมองอนาคต แท้จริงแล้ว
วิสัยทัศน์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนท่ีนับถือพระพุทธศาสนา เพราะ
พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ในรูปแบบญาณทัสนะ ซึ่งอยู่ในข้ันท่ีสูง
กว่าวสิ ัยทศั น์ของคนปกตทิ ว่ั ไป เรียกวา่ อภิญญาญาณ (ความรู้ที่ประเสริฐ) ๓
ประการ คือ ๑) ทิพยจักขุญาณ มีตาทิพย์สามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ
ล่วงหน้าได้ ๒) จุตูปปาตญาณ รู้จุติและอุบัติของเวไนยสัตว์ หรือสัตว์โลก
๓) อาสวักขยญาณ รู้วิธีการกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีพุทธ
ทำนาย ซ่ึงเปรียบเสมือนวิสัยทัศน์ของพุทธศาสนาว่า พุทธศาสนาของพระ
สมณโคคม จะดำรงอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ ปี แล้วจะเส่ือมส้ินไป และทรงมี
วิสัยทัศน์ว่า บุคคลที่ทำลายพระพุทธศาสนา เพราะศัตรูภายนอก ไม่เป็นภัย
๑๕สุ น ท ร โค ต รบ รรเท า, ภ าว ะผู้ น ำใน อ งค์ ก ารก ารศึ ก ษ า,
(กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพป์ ญั ญาชน, ๒๕๕๑), หนา้ ๑๑๔.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ 250
เท่ากับศัตรูภายใน๑๖ความอยู่รอดของสถาบันสงฆ์และพุทธศาสนา ขึ้นอยู่กับ
ท่าทีและการตัดสินใจของคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก ผู้มีอำนาจในสถาบันสงฆ์
ไม่ควรจะลืมว่า พระสงฆ์จะอยู่โดยปราศจากการสนับสนุนของประชาชน
ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์อยู่ได้ด้วยการอาศัยประชาชนเป็นอยู่ ดังน้ัน
ทางเลือกสำหรับพระสงฆ์ จึงมีอยู่ไม่มากนัก ท่ีสำคัญที่สุดควรจะสอดคล้อง
กับเจตนารมณ์ของมหาชน และกระทำตนเป็นเสมือนเบาะกนั กระเทือน เพ่ือ
ลดความรุนแรงท่ีอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงท่ีไม่พึงประสงค์ได้ ท้ังน้ี
เพ่ือให้สังคมและสถาบันทางศาสนา ได้รับความบอบช้ำน้อยที่สุด ผู้มี
อำนาจในสถาบันสงฆ์ควรจะตระหนักอีกด้วยว่า การป้องกันชาติ ศาสนา
ดว้ ยการอยู่เคยี งข้างประชาชน เป็นผู้นำให้ประชาชนปฏิบัตอิ ยู่ในจริยธรรม
ท้ังนี้เพราะการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองหากขาดจริยธรรมเป็น
แกนกลางหรือเป็นหลักยดึ แลว้ ย่อมเกดิ โทษมากกว่าเกิดคณุ ประโยชน์
สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เปล่ียนแปลง
จนกระท่ังถึงจุดที่เรียกว่า โลกไร้พรมแดน กล่าวคือ มนุษย์ท่ัวโลกสามารถ
ติดต่อเชื่อมโยงกันถึงกันได้หมดเพียงไม่ก่ีวินาที เหตุการณ์ใดๆ ก็ตามท่ี
เกิดข้ึนในส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกนั้น มนุษย์ทั่วโลกก็สามารถรับรู้ถึง
เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนนั้นได้ในทันทีทันใด จนเสมือนกับว่ามนุษย์ในโลกนี้ มิได้
อยู่ห่างไกลกันแต่อย่างใดการมีโลกความใกล้ชิดกันนี้เกิดขึ้นได้เพราะอาศัย
เทคโนโลยี และการสือ่ สารเปน็ ตัวนำค่านิยมและศีลธรรมแบบใหม่มาสู่สงั คม
มนุษย์ในโลกอย่างรวดเร็วและท่วั ถึง
พระพุทธศาสนา ได้รับผลกระทบไม่น้อยจากการเปล่ียนแปลง
ทางสังคมท่ีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเปลี่ยนแปลง
ค่านิยม และระบบความคิดใหม่ๆ ของมนุษย์ในสังคม ได้ส่งผลกระทบต่อ
๑๖บูรชัย ศิริมหาสาคร, มุขบริหาร, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แสง
ดาว, ๒๕๔๑), หนา้ ๒๓-๒๔.
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ 251
องค์กรพระพุทธศาสนา กล่าวคือต่อพระสงฆ์ ต่อระบบการบริการบริหาร
การปกครอง และการศึกษาของคณะสงฆ์ อย่างเด่นชัดท่ีสุด องค์กร
พระพุทธศาสนา อาจจะต้องมีการปรับปรุงโครงสร้าง ระเบียบ และ
กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึน้ ใหม่ เพ่ือให้สอดคล้องกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของ
สังคมที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน มิฉะน้ันแล้ว องค์กรพระพุทธศาสนา อาจจะไม่
สามารถอยู่รอดในสังคมได้ แต่สำหรับหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น
อาจจะไม่มีปัญหา เพราะมีลักษณะอยู่เหนือกาลเวลา อยู่เหนือการ
เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น หรือเปลีย่ นก็จะไม่มผี ลกระทบใดๆ มากนกั เพราะ
หลักธรรมหรือพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น มีลักษณะทันสมัย
และใหม่เสมอ
ในอนาคตน้ี องค์กรทางพระพุทธศาสนานั้นจะต้องมีการ
เปลี่ยนแปลงหลายด้านด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านกิจกรรมที่มีต่อ
สังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม และคงจะเกิดขบวนการทางพระพุทธศาสนา
ใหม่ขึ้นอีกๆ มากมาย ในรูปของสำนักใหม่ หรือลัทธิความเชื่อ ฯลฯ ตาม
ความต้องการของพุทธศาสนิกชน ซ่ึงมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา
ตามหลักแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปีพุทธศักราช
๒๕๕๐ อย่างเท่าเทียมกัน ข้อนี้คงจะเป็นไปตามหลักพุทธธรรมในเรื่องของ
ไตรลักษณ์อย่างแน่แท้ ซ่ึงเป็นกฎอธิบายถึงหลักแห่งความเป็นจริงเก่ียวกับ
สภาวการณ์ต่างๆ ในโลกที่ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนแต่จะมีการเปลี่ยนแปลง
และดับสลายไปในท่ีสดุ จึงถอื วา่ เปน็ เร่ืองปกตธิ รรมดาน่ันเอง๑๗
สรุปได้ว่า ผู้นำเชิงคุณ ลักษณ ะ เป็นการมุ่งเน้นศึกษา
คุณลักษณะผู้นำที่ประสบความสำเร็จท่ีแตกต่างจากผู้ตาม ผู้ภาวะนำเชิง
๑๗ พระครูปริยัติกิตติธำรง, การเปล่ียนแปลงทางสังคมและปัญหา
สงั คม, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า ๒๑๖
– ๒๑๗.
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ 252
พฤติกรรมท่ีมุ่งเน้นการศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมของผู้นำท่ีสามารถแบ่ง
ออกเป็น ๓ ประเภท คือ ผู้นำแบบเผด็จการ ท่ีเข้มงวดในกฎระเบียบที่วางไว้
และยดื ตนเองเป็นใหญ่ ผู้นำแบบประชาธิปไตยทมี่ ุ่งเน้นความเท่าเทยี ม การมี
ส่วนร่วม และผู้นำแบบเสรีที่มุ่งเน้นความมีอิสระในการทำงาน แต่มุ่งหวังที่
ผลงานเป็นหลัก ส่วนภาวะผู้นำตามสถานการณ์เป็นการศึกษาถึงผู้นำท่ี
ปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวไปตามสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้น โดย
ผู้นำท่ีมีประสิทธิภาพจะมีความสัมพันธ์อันดีกับทีมงาน และสามารถแก้ไข
ปัญหาตามสถานการณ์เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แลภาวะผู้นำเชิงการปฏิรูปที่
กล่าวถึงผู้นำที่นำมา ซ่ึงความเปล่ียนแปลงในเชิงบวกขององค์กร ที่ใช้การ
โน้มน้าว จูงใจให้ผู้นำเห็นถึงเป้าหมายที่ต้องการ และยังเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้
ตามทำงานจนประสบความสำเรจ็ ในเป้าหมายทีว่ างไว้
8.3 ภาวะผู้นำสำหรับการบรหิ ารกิจการพระพทุ ธศาสนา
ผนู้ ำมีความสำคัญอย่างมากในการบริการงาน พระพุทธศาสนา
ซ่ึงได้รบั อิทธิพลเรอ่ื งของภาวะความเปน็ ผู้นำเข้ามาตลอดจนได้มีการประยุกต์
และพัฒนาคุณภาพของภาวะผู้นำตามแนวพทุ ธวิธใี นพระพุทธศาสนา โดยให้
ผู้ปกครองนำธรรมของพระพุทธศาสนาไปใช้ เพ่ือมุ่งสร้างสรรค์สังคมมนุษย์
ให้เป็นสังคมท่ีมีระเบียบให้อยู่ได้ความสงบสุขเหตุใด พระพุทธศาสนาจึง
ต้องการให้ผู้นำมีคุณธรรมเป็นพิเศษ เหตุท่ีเป็นเช่นนี้เพราะพระพุทธศาสนา
ให้ความสำคัญต่อภาวะเป็นผู้นำมาก เพราะภาวะผู้นำมิใช่เป็นเพียงผู้นำ
ในทางการเมืองเท่าน้ัน แต่เป็นทั้งศูนย์กลางท่ีทำให้เกิดความเคล่ือนไหว
เปลีย่ นแปลงท่ีสำคญั ท้ังเปน็ ผู้ทต่ี ้องนำสังคมมนุษย์ส่สู ังคมโลกอกี ด้วย
องค์ประกอบของการบริหารกิจการพระพุทธศาสนาพระพุทธ
องค์ตรัสวา่ ปัญญาเปน็ รัตนะของคน ผู้มชี ีวิตอย่ดู ้วยปัญญาเปน็ วิธีที่ประเสริฐ
บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญาย่อมหาความสุขได้แม้ในเหตุการณ์ท่ีน่าจะทุกข์
หาความสำเร็จได้แม้ในเหตุการณ์น่าจะล้มเหลว และก้าวเป็นสู่ความเป็น
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ 253
ประเสริฐได้ด้วยจะเสียปัญญาความสามารถทำตนให้บริสุทธ์ิพ้นทุกข์โศกได้ก็
ด้วยปัญญา ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญานั้นแลประเสริฐท่ีสุดดุจดวง
จันทร์มีแสงสว่างกว่าดวงดาว ท้ังท้องฟ้าธรรมสัตบุรุษย่อมเกิดตามเป็นไป
ตามทา่ นผูม้ ปี ัญญา๑๘
สังคหวัตถุ ๔๑๙ ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันหลักการ
สังคมสงเคราะห์ประสานบุคคลไว้ในสามัคคีท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง
ดงั ตอ่ ไปนี้๒๐
๑. ทานการแบ่งปัน เผ่ือแผ่ เสียสละวัตถุสิ่งของ การแนะนำ
พร่ำสอนชักจูงไปในทำท่ีดี การให้อภัยในความผิดพลาดเป็นโอกาสให้กลับ
ตัว
๒. ปิยวาจา หรือเปยยะวัชระ กล่าววาจาน่ารัก อ่อนหวาน
ดูดดื่มใจ ให้ความสุขในการฟังและทำใจให้ชื่นบาน กล่าววาจามีประโยชน์
ประสานสามคั คี มีเหตุผลทำตามแลว้ ให้เกิดประโยชนไ์ ด้จรงิ
๓. อัตถจริยา ประพฤตปิ ระโยชน์ ทำสง่ิ ที่อำนวยประโยชนแ์ ก่
ตนแก่คนท้ังหลายช่วยส่งเสริมจริยธรรมให้ม่ันคง อันจะส่งผลประโยชน์แก่
คนในสังคมท่ัวหน้าภาวะผู้นำวิถีพุทธ คือคนดีที่โลกยกย่องมากที่สุด คือคนท่ี
มีประโยชนท์ ส่ี ุดทำประโยชนใ์ หก้ บั ผอู้ นื่ ได้มากที่สดุ
๔. สมานัตตา การวางตนดี ไม่ขาดไม่เกินพอดีพองาม เสมอ
ตน้ เสมอปลาย ไม่ถือตัว ไมป่ ล่อยตวั ร่วมสขุ รว่ มทุกข์ วางตนเหมาะสมแก่
๑๘ วศิน อินทสระ, ปัญญารัตนะ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
บรรณาคาร, ๒๕๒๓), หน้า ๘๗.
๑๙ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๖๗/๑๙๑.
๒๐ อง.ฺ จตุกฺก. (ไทย) ๒๗/๓๒/๔๒.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ 254
ฐานะ ภาวะบุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมถูกต้องสมควรในทุกกรณี๒๑
ภาวะผู้นำวิถีพุทธ คือ ธรรมที่อยู่ในตัวตนแสดงออกมาเพื่อเกิดเป็นบารมี
สร้างแรงบนั ดาลใจให้กับบคุ คลอ่นื หรือเรียกวา่ ผู้ตาม เมอื่ พูดถึง ภาวะผู้นำ มี
องค์ประกอบท่ีสำคัญ ๔ ประการ คือ ๑. ตัวผู้นำ ๒. ผู้ตาม ๓. การ
เปล่ียนแปลง ๔. อิทธิหรือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังน้ัน
ผู้นำมีความสำคัญมากที่จะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ตาม เต็มใจท่ีจะ
ปรับเปลย่ี นตนเองเพ่อื ทำประโยชน์สร้างสรรคส์ ิ่งทด่ี ีงาม ดังน้ัน ภาวะผนู้ ำวิถี
พุทธ คือ จริยธรรมท่ีอยู่ในตัวบุคคลท่ีเปล่งออกมา แสดงออกให้บุคคลเป็น
อย่างกระจ่างแจ้งคล้อยตามเช่ือฟัง ศรัทธา จริยธรรมต่างๆ พอสรุปได้ ๓๐
ประการได้แก่ ๑) การไม่ประทุษร้ายต่อชีวิตร่างกายของบุคคลและสตรี ๒)
ความเมตตากรุณา ๓) การไม่โลภและไม่ขโมย ๔) ความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่และ
การเสียสละ ๕) การไม่ละเมิดของรักของผู้อ่ืน ๖) การรู้จักความพอดี ๗)
การไม่พูดปด ๘) การมีสจั จะและความจริงใจ ๙) การไมล่ องและเสพสงิ่ เสพ
ติดให้โทษ ๑๐) ความเป็นผู้มีสติรู้จักยับย้ังชั่งใจ ๑๑) ความเป็นผู้มีเหตุผล
๑๒) ความละอายและความเกรงกลัว ๑๓) ความขยันหม่นั เพยี ร ๑๔) ความ
อดทนอดกลั้น ๑๕) ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตนเอง ๑๖) ความ
กตัญญูกตเวที ๑๗) ความซื่อสตั ย์สุจริต ๑๘) การทำให้ให้สงบมีสมาธแิ ละมี
อารมณ์แจ่มใส ๑๙) ความไม่เห็นแก่ตัว ๒๐) ความประณีตความละเอียดถ่ี
ถ้วน ๒๑) ความรับผิดชอบ ๒๒) ความมีน้ำใจเป็นธรรมไม่ลำเอียง ๒๓)
ความมีระเบียบวินัยและการตรงต่อเวลา ๒๔) การยอมรับความเปลี่ยนแปลง
๒๕) มารยาทและนิสัยส่วนบุคคล ๒๖) มารยาทในการแสดงความเคารพ
ขออภัย การแสดงความขอบคุณการขอความช่วยเหลือ การปฏิเสธการ
แสดงความไมเ่ ห็นดว้ ย การแสดงความยินดี การแสดงความเสียใจ การเล่น
๒๑วศนิ อนิ ทสระ, รม่ ธรรม, (กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพ์บรรณาคาร,
๒๕๔๒), หน้า ๕๖ – ๕๙.
ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 255
การพักผ่อนหย่อนใจ ๒๗) หลักธรรมสำหรับผู้อยู่ด้วยกัน การเสียสละ
ความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ยอมรับความคิดเห็น การให้อภัย การเห็นอกเห็นใจ
๒๘) ความเป็นผู้มีวัฒนธรรม และปฏิบัติตามประเพณีนิยม ๒๙) ความ
จงรกั ภักดีตอ่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ๓๐) การแก้ไขข้อบกพรอ่ ง
การปฏิบัติทางจริยธรรม ได้แก่ ผิดศีลธรรม ระเบียบ กฎหมาย และจารีต
ประเพณี
คุณสมบัติของผู้นำ สัมพันธ์กับองค์ประกอบต่างๆ ในการนำ
คุณสมบัติในความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ท่ีร่วมไปด้วย เป็นองค์ประกอบ
สำคัญท่ีแสดงถึงการนำอยา่ งแท้จริง เรอ่ื งของการประสาน เพราะว่าผู้นำนั้น
มีหน้าที่ท่ีจะประสานให้พากันไป โดยมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายให้ได้การประสาน
คนกับคน คือ ประสานคนท่ีอยู่ด้วยกันทั้งหมดน้ันให้เข้ากันและร่วมกันไปได้
และการประสานคนกับสิ่งท่ีจะทำ แต่เรม่ิ ต้น การประสานตัวผู้นำเองกับคนที่
ร่วมไปด้วย เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๑) ผู้นำจะต้องมีคุณความดี ความรู้
ความสามารถอย่างเพียงพอ จนเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างซึ่งทำให้เขาเกิด
ศรัทธา ความม่ันใจ คือ ความมั่นใจในตัวผู้นำ ที่เช่ือว่าท่านผู้นี้จะสามารถ
แก้ปัญหา นำพาพวกเราไปได้ให้ถึงจุดหมาย ซึ่งทำให้พอใจ เต็มใจ และ
อยากจะร่วมไปด้วยถ้ามีความม่ันใจนี้ คือเกิดศรัทธาข้ึนมาแล้ว ศรัทธานั้นก็
จะเป็นเคร่อื งนำเอาผู้ทีจ่ ะร่วมไปด้วยเข้ามาประสานกับตวั ผนู้ ำ คือเขาพรอ้ ม
ท่ีจะยอมรับฟัง ศรัทธาเกิดข้ึนก็ทำให้เขายกบุคคลนั้นเป็นผู้นำ คือผู้นำไม่
ตอ้ งไปแสดงตัวกับเขาว่าเป็นผู้นำ แต่จะเป็นผู้นำโดยเขาอยากให้มานำเขาไป
ถา้ เป็นผู้นำโดยเขาอยากใหน้ ำจะดีที่สุด เขามีศรทั ธาอย่างแท้จริงท่ีจะรว่ มไป
ด้วย เท่ากับเขาร่วมกันยกข้ึนเป็นผู้นำ ๒) ผู้นำก็จะทำให้เขาเกิดความมั่นใจ
ในตัวเขาเอง ว่าเขามีศักยภาพ มีทุนแห่งความสามารถที่จะเอามาปรับมาจัด
เอามาพัฒนาให้สามารถทำกิจการงานนี้ให้สำเร็จ คือสามารถร่วมไปด้วยกัน
ได้ ถือว่าเป็นการประสานอย่างหนึ่ง โดยมุ่งที่ตัวเขาเอง ให้เขามีความมั่นใจ
ในตนเองที่จะมาร่วมไปดว้ ยกนั ๓) ชว่ ยให้เขาประสานกนั เอง คอื ชักนำให้เกิด
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ 256
ความสามัคคี พร้อมเพียงกัน ทั้งประสานมือและประสานใจ หรือร่วมมือ
ร่วมใจกัน คือการท่ีว่า ทำอย่างไรจะให้คนท่ีอยู่ร่วมกันในองค์กรหน่ึงๆ มี
ความสามัคคีกลมเกลียว มีความพร้อมเพรียง มีใจหน่ึงใจเดียวกัน รวมจิต
รวมความคิดรวมใจมุ่งสู่จุดหมายอันเดียว นี้เป็นหลักใหญ่ท่ีจะต้องใช้ธรรม
มากมายประสานคนกับส่ิงที่จะทำ หรือประสานคนกับงาน คือนอกจากให้
เขามคี วามม่ันใจในตนเองแล้ว ก็ให้เขามีความม่ันใจในงานหรอื ในสงิ่ ท่ีทำด้วย
ว่า ส่ิงน้ีดีแน่ งานน้ีจะทำให้เกิดประโยชน์ สูขอย่างมีจุดมุ่งหมายอย่าง
แท้จริง ให้เขาเกิดความมั่นใจในคุณค่าและประโยชน์ของสิ่งที่จะทำหรืองาน
นั้น จนเขาอยากจะทำและเกดิ ความรักงาน เม่ือเขาเกดิ ความรกั งานแล้วกจ็ ะ
ตั้งใจทำงาน ประสานความตั้งใจทำงานนั้นเข้ากับความมีกำลังใจในการ
ทำงานด้วย คือให้เกิดกำลังใจ ซ่ึงจะทำให้มีความกระตือรือร้น มีความ
ตืน่ ตัว ความไม่ประมาท ไมใ่ ห้เป็นคนเฉ่ือยชา เมื่อรกั งานแล้ว ก็ทำให้พรอ้ ม
ที่จะมีกำลังใจ จะต้องให้มีพร้อม ท้ังรักงาน ต้ังใจทำงาน และมีกำลังใจ
เข้มแข็งที่จะสู้งาน บุกฝ่าไปข้างหน้า ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ ๕) ใน
การทำงาน ตลอดจนในการเป็นอยู่ท่ัวๆ ไป ผู้นำมุ่งหวังประโยชน์สุขแก่คนท่ี
ตนเข้าไปเก่ียวข้อง หรือคนที่ร่วมไปด้วยกันกับตน เพราะฉะน้ัน ผู้นำจึงต้อง
พยายามให้คนที่มาร่วมงานหรือร่วมอยู่ ได้พัฒนาตัวเองเขาอยู่เสมอ ต้องหา
วิธีการส่งเสริมสนับสนุนเอื้อโอกาสให้เขาพัฒนาตัวเองให้มีความเจริญงอก
งามขึ้น เก่งขึ้น ดีข้ึน ทำงานได้ผลดียิ่งข้ึนมีความสุขมากข้ึน มีชีวิตที่ดีงาม
บรรลปุ ระโยชนส์ ขุ ท่ีแทจ้ ริงมากย่ิงขึ้น๒๒
การพัฒนาตนเองของคนก็จะมีผลต่องานด้วย โดยมาช่วยให้
เขาทำงานได้ผลดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่ที่แท้ไม่ใช้แค่นั้น จะต้องไปให้ถึง
ประโยชน์สุขแห่งชีวิตของเขา ท้ังได้ความดีงาม ได้ความเจริญ ได้ความสุข
และได้พัฒนาย่ิงๆ ขึ้นไป การเป็นผู้นำจึงหมายถึงการมีสายตาท่ีมองท้ังท่ีงาน
๒๒เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๕๖–๕๙.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 257
และมองท้ังที่คนควบคู่กัน ซึ่งจะเข้าหลักที่สำคัญต่อไป ผู้นำประสานคน
ภายในดุลยภาพแห่งธรรม หลักธรรมสำคัญซึ่งผู้นำจะต้องมี หลักธรรมนั้น
คอื พรหมวิหาร ๔ ประการ พรหมวิหารเป็นธรรมธรรมสำหรับทุกคนท่ีจะอยู่
รว่ มกบั ผ้อู ่ืนในสังคม ในฐานะเป็นผู้มศี ักยภาพในการท่จี ะสร้างสรรคแ์ ละธำรง
รกั ษาสังคมไว้ สำหรับผู้นำนั้น จะต้องเป็นแบบอยา่ งที่จะต้องมีพรหมวิหาร ๔
ประการ เพราะพรหมวิหารน้ันเป็นธรรมประจำใจของคนที่มีจิตใจย่ิงใหญ่
เป็นผปู้ ระเสรฐิ อันแสดงถงึ ความเปน็ บคุ คลท่ีมกี ารศึกษา ได้พฒั นาตนแลว้
พรหมวิหาร ๔ ประการ เป็นคุณธรรมพ้ืนฐานที่จะต้องให้มีอยู่
ประจำในจิตใจ และเป็นท่าที่ของจิตใจที่จะทำให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างถูกต้อง
โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ ๑) ในสถานการณ์ที่เขาอยู่เป็นปกติ เมตตา
คอื ความเป็นมติ ร ไมตรี ความมีน้ำใจปรารถนาดี ต้องการให้เขามีความสุข
ซ่งึ หมายถึง ความปรารถนาดีตอ่ ผ้อู ่ืน ต้ังแต่ละคนๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง ขยายออกไป
จนถึงความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสังคมทั้งหมดทั่วทั้งโลก
เมตตานี้เป็นคุณธรรมพืน้ ใจประการแรกท่ีต้องมีซึ่งใช้ในยามปกติ คือ เมื่อคน
อื่นเขาอยู่กันเป็นปกติ เราก็มีเมตตาปรารถนาดี คิดหาทางสร้างสรรค์
ความสุขความเจริญให้แก่เขาเรื่อยไป ๒) ในสถานการณ์ที่เขาตกต่ำ
เดือดร้อน กรุณา คือ ความพลอยรู้สึกไหวตามความทุกข์ ความเดือดร้อน
หรือปัญหาของเขา และต้องการช่วยเหลือปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากความ
ทุกข์ความเดือนร้อนนั้น ๓) ในสถานการณ์ท่ีเขาขยับสูงข้ึนไปในความดีงาม
ความสุขความสำเร็จ มุทิตา หมายความว่า เม่ือเขาเปล่ียนไปในทางข้ึนสูง ได้
ดีมีสุข ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ประสบความสำเร็จ เราก็พลอยยินดีด้วย ช่วย
ส่งเสริมสนับสนุน ๓.๑) เมื่อคนมีปัญหา มีทุกข์เดือดร้อน เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย
หรือยากไร้ขาดแคลน ก็ต้องมีกรุณาที่จะเอาใจใส่แก้ปัญหา ๓.๒) เม่ือมีคน
ประสบผลสำเร็จในการทำสง่ิ ดีงาม กต็ อ้ งมีมทุ ิตาช่วยสง่ เสริมสนบั สนนุ ๓.๓)
แตใ่ นยามปกติก็ต้องไม่ปล่อยปละละเลย ต้องเอาใจใสต่ ่อการที่จะให้เขาอยู่ดี
มีสุข เช่น มีสุขภาพดี อยู่ในวิถีทางของความสุขความเจริญ และการที่จะ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ 258
พัฒนาสืบต่อไป คือ ต้องมีเมตตาปรารถนาดี ถ้าปฏิบัติได้อย่างน้ี ก็จะทำให้
กิจการงานและประโยชน์สุขท่ีมุ่งหมายพร้อมที่จะสำเร็จผลอย่างแท้จริง เมื่อ
ปฏิบัติตามหลักการอย่างน้ีคุณสมบัติอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นในตัวผู้นำ คือ “ปิ
โย” แปลว่า “ผู้เป็นที่รัก” กล่าวคือ ผู้ร่วมงานหรือผู้ร่วมไปด้วยกัน ก็จะมี
ความรกั มีความรูส้ กึ สนิทสนม สบายใจต่อผู้นำนัน้ เสริมความรู้สึกอยากรว่ ม
ไปด้วยหนักแน่นมากข้ึน ทั้งร่วมใจและร่วมมือ ๔) ในสถานการณ์ท่ีเขาทำ
ผิดหลักหรือละเมิดธรรม อุเบกขา เมื่อใดเขาทำอะไรไม่ถูกต้อง โดยละเมิด
ธรรม คือ ละเมิดต่อหลักการ หรือละเมิดต่อความถูกต้อง ทำให้เสียหลัก
เสียกฏเกณฑ์ เสียความเป็นธรรม เสียความชอบธรรม ทำลายกติกา เป็นต้น
ผู้นำจะต้องตั้งอยู่ในหลักท่ีเรียกว่า อุเบกขา ก็คือรักษาความเป็นกลาง ไม่
ลำเอียง ไม่เข้าข้าง จะต้องยึดถือธรรมเป็นใหญ่ แล้วก็รักษาหลักการ
กฎเกณฑ์กติกา หรือรักษาตัวธรรมไว้ผู้นำท่ีดี ได้ท้ังคนได้ท้ังงานโดยไม่เสีย
หลักการ ผู้นำนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์อย่างถูกต้อง ทั้งกับคนและกับงาน
ท้ังกับคนและกับธรรม หรือท้ังกับคนและกับหลักการ คือต้องเอาท้ังคน และ
ท้ังงาน หรือเอาท้ังคนและหลักการ ถ้าเอาคนอย่างเดียวก็จะเอียงสุดไปข้าง
หน่ึง และจะเกิดปัญหาหรือเกดิ ความเสียหาย เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา จน
ไม่มีขอบเขต แม้จะปิโย คือเป็นที่รัก แต่ก็เสียหลักการ และทำให้เสียความ
เป็นธรรม๒๓
การเอาตัวงาน เอาหลักการ หรือเอาธรรม ก็จะได้ลักษณะที่
เรียกว่าเป็น “ครุ” ซึ่งแปลว่า “น่าเคารพ” คือ เป็นคนมีหลัก หนักแน่น จึง
เป็นผทู้ ี่น่าเคารพ แตถ่ ้าเอาหลกั อย่างเดียว แม้จะน่าเคารพ กแ็ ห้งแล้ง บางที
ไม่มีใครกลา้ เข้าหน้าเลย อย่างนี้ก็ลำบาก เสียผลเหมือนกนั ครุ ก็จะเอียงข้าง
ไป เพราะฉะนั้นจึงต้องพอดี คนที่น่าเคารพ เป็น ครุ น้ันจะยึดถือหลักการ
เป็นใหญ่เอางานเป็นสำคัญ เอาธรรมนำหน้า เม่ือเอาใจใสดูแลคนให้ดี ก็
๒๓พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ภาวะผู้นำ, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพบ์ ริษัท ตถาตา พบั ลิเคชนั่ จำกดั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๑ – ๓๒.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 259
เป็นปิโยด้วย ก็ได้ดุลยภาพ การเอาคนกับหลักการก็จะมาบรรจบกัน
ถ้าเอาคนที่เป็นบุคคล เป็นรายคน หรือเป็นคนๆ ไปก็อาจจะขัดกับธรรม
เพราะธรรมน้ันก็คือเอาคนท้ังหมดหรือท้ังสังคม ถ้าเอาบุคคลโดยยอมเสีย
ธรรม ก็จะเสียแกส่ งั คมทัง้ หมดเมือ่ รกั ษาธรรมก็จะรักษาสังคมไวไ้ ด้ เพราะใน
ท่ีสุดสังคมดำรงอยู่ได้ด้วยธรรม เน่ืองจากธรรมเป็นฐานท่ีรองรับสังคมไว้
เพราะฉะน้ัน การเอาธรรม ก็คือเอาคนท้ังหมด มิใช่เห็นแก่บุคคลผู้เดยี วแล้ว
ยอมทำลายธรรมที่รักษาสงั คมของมนษุ ยท์ ั้งหมด
ทุกส่ิงทุกอย่างจะบรรลุผลสำเร็จ ก็จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามหลักการ คือ ตามเหตุปัจจัย ตามธรรมนั่นเอง เพราะฉะน้ัน ธรรมหรือ
หลักความจริงและหลกั การจึงเป็นตัวตัดสินข้นึ สุดท้าย ด้วยเหตุน้ี ผนู้ ำจึงต้อง
เป็นผู้มั่นในธรรม เป็นผู้ถือหลักการเป็นใหญ่ และเข้าใจชัดเจน ในหลักการ
พระพุทธศาสนาได้แสดงคุณสมบัติสำคัญของผู้นำ เรียกว่า “ธรรมาธิปไตย”
แปลว่า ถือธรรมเป็นใหญ่ ยึดเอาธรรมเป็นสำคัญ เชิดชูหลักการ ปฏิบัติการ
ตามและเพ่ือเห็นแก่ความเป็นจริงความถูกต้องความดีงาม ผู้นำต้องไม่เป็น
อัตตาธิปไตย คือ ไม่ถือตัวเป็นใหญ่ แล้วก็ไม่เป็นโลกาธิปไตย คือ ไม่มุ่งหา
คะแนนนิยมเป็นใหญ่ ไม่ทำเพียงเพ่ือหาเสียงหรือให้คนชอบ แตเ่ อาธรรม เอา
ตัวความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เอาหลักการเป็นใหญ่ ตัดสินกันด้วย
หลักการต้ังแต่หลักการโดยการจัดตั้งของมนุษย์ ลงไปจนถึงหลักการที่เป็น
นามธรรมซึ่งรองรับหลักการจัดต้ังนั้น แม้เม่ือมีอะไรจะต้องวินิจฉัย ก็ทำตัว
เป็นกระบอกเสียงหรือเป็นส่ือของธรรม หรือเป็นช่องทางแสดงตัวของธรรม
คอื หลักการหรือกฎกติกา เมื่อมกี ารตดั สินลงโทษคน กจ็ ะเป็นการกระทำโดย
ไม่มีตัวตน แต่เป็นการกระทำของปัญญาบริสุทธ์ิ ที่เอาหลักการเข้าวินิจฉัย
ตัดสินไปตามกฎกติกา ตามความเปน็ จริงความถกู ตอ้ งดีงาม
ผู้นำต้องมีความมั่นใจ และไม่ความรู้สึกทุกข์ยากลำบากใจ ไม่
หวั่นไหวไปตามความรู้สึกที่เรียกว่าเป็นอารมณ์ เพราะว่าตัวเองไม่เกิดมี
ตัวตนท่ีเป็นผู้ทำขึ้นมา มีแต่เพียงการปฏิบัติไปตามหลักการ โดยท่ีตนเองมา
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ 260
เป็นช่องทางปรากฏตัวของธรรม เรียกว่าการถือธรรมเป็นใหญ่ ธรรมจะ
ปรากฏตัวออกมาและเป็นผู้ตัดสินหรือปฏิบัติการ ก็ต่อเม่ือบุคคลท่ีเป็นผู้นำ
ทำการด้วยเจตนาทบ่ี ริสุทธ์ิ มงุ่ ความจริง ความถูกต้องดีงามแท้จริง และด้วย
ปัญญาท่ีใสสะอาด ซ่ึงแสวงหาความจริงและไตร่ตรองท่ัวตลอดท่ีสุด คือทำ
ด้วยเจตนา และปัญญาท่ีดำเนินไปด้วยความไม่ประมาท เมื่อทำได้อย่างน้ี
ผู้นำก็จะได้คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นผู้เที่ยงตรง ไม่มีอคติ ไม่มีความ
ลำเอียง ซึ่งเป็นแกนกลางของการรักษาดุลยภาพ และความสามัคคี พร้อม
ท้งั ความมน่ั คงของหมู่ชนที่ไปดว้ ยกนั เพราะถ้าเสยี ความเปน็ ธรรมแลว้ แม้แต่
จะมีความรักใคร่กันอยู่หรือแม้แต่จะเอาอกเอาใจกัน ก็จะเกิดความกินแหนง
แคลงใจกัน สูญเสียเอกภาพ แต่เม่ือรักษาธรรมไว้ได้ ก็ไม่มีอคติและไม่เสีย
สามัคคี
เจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ในฐานะผู้นำต้องไม่มีอคติคือ ความ
ลำเอียง หรือการเขวออกไปนอกทางที่ควรจะประพฤติปฏิบัติ มี ๔ ประการ
ด้วยกัน คือ ลำเอียงเพราะชอบ ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะเขลา
ลำเอียงเพราะกลัว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าคณะปกครองกับการปฏิบัติต่อ
ผู้ท่ีร่วมไปด้วย ก็จะได้ผลดีมากได้ทั้งคนได้ทั้งงานก็จะพากันไปด้วยดีสู่
จุดหมาย คุณสมบัติท่ีเรียกว่า “ปิโย” และ “ครุ” ซึ่งอยู่ในหลักท่ีเรียกว่า
“กัลยาณมิตรธรรม” หรือธรรมของกัลยาณิมิตร ๗ ประการ หลักคุณสมบัติ
ของกัลยาณมิตร คือ ปิโย น่ารัก และ ครุ น่าเคารพ ต้องให้ ๒ อย่างนี้มาดุล
กนั ในแงค่ นกับงาน และคนกับหลักการโดยเฉพาะจะต้องพยายามเอาทั้งคน
ทั้งงาน
คุณสมบัติของกัลยาณมิตร ภาวนีโย แปลว่า น่าเจริญใจ คือ
เป็นแบบอย่างได้ ทำให้ผู้ที่ร่วมอยู่ร่วมไป มีความภาคภูมิใจ พอนึกถึงก็มี
ความมั่นใจและภาคภูมิใจในตัวผนู้ ำ ว่าเป็นผู้ที่มีการศึกษาจริง ได้พัฒนาตน
แล้ว เป็นผู้มีสติปัญญา มีความสามารถ มีคุณธรรมความดีงามอย่างแท้จริง
นา่ เอาอยา่ ง ช่วยให้มีศรทั ธาและเกิดความร่วมมอื ดว้ ยดี
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ 261
วัตตา เป็นผู้รู้จักพูด หมายความว่า รู้จักพูดให้ได้ผล รู้ว่าใน
สถานการณ์ไหน และกับใคร ควรพูดอะไรอย่างไร เป็นนักสื่อสารท่ีดี และ
เอาใจใส่สอ่ื สารกบั ผรู้ ว่ มไปดว้ ยอยู่เสมอ เพ่อื ให้รู้เขา้ ใจกัน และรเู้ ข้าใจในส่ิงท่ี
ทำ คนที่รู้จักพูดน้ันจะพูดให้เขาเข้าใจก็ได้ พูดให้เขาเห็นใจก็ได้ พูดให้เขา
เชื่อก็ได้ พูดให้เขาเห็นด้วยหรือคล้อยตามก็ได้ พูดให้เขาร่วมมือด้วยก็ได้
พูดให้เขารวมกำลังกันก็ได้ ให้เขาได้ประโยชน์ และพูดให้เขาช่วยกัน
สร้างสรรค์ประโยชน์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของนักส่ือสารหรือนัก
ส่ังสอนท่ีดีไว้ ๔ อย่าง คือ ๑) พูดแจ่มแจ้ง คือ ช้ีแจงอธิบายให้เข้าใจชัดเจน
มองเห็นเหตผุ ลแจม่ แจ้ง หมดสงสัย เหมอื นจงู มือไปเห็นกับตา ๒)พูดจงู ใจ คือ
พูดให้เห็นคุณคา่ และความสำคัญ จนเกิดความซาบซ้ึงยอมรบั อยากลงมือทำ
หรือนำไปปฏิบัติ ๓) พูดเร้าใจ คือ ปลุกใจให้คึกคัก เกิดความแข็งขันม่ันใจ
และมีกำลังใจหาญกล้า กระตือรือร้นที่จะทำให้สำเร็จ โดยไม่หว่ันกลัวต่อ
อุปสรรคและความยากลำบาก ๔) พูดให้ร่าเริง คือ ทำให้เกิดบรรยากาศแห่ง
เมตตา ไมตรีความหวังดี และความรู้สึกที่สดช่ืนร่าเริง เบิกบานผ่องใส แช่ม
ชื่นใจดว้ ยความหวงั ในผลดีและทางท่ีจะสำเร็จ
วจนักขโม คือ รู้จักฟังด้วย หรือแปลว่า ทนหรือควรต่อถ้อยคำ
ของคนอ่ืน ไม่ใช่ว่าเอาแต่พูดแกเขาอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับฟังใคร ต้อง
ยอมรับฟัง เพราะการรู้จักรับฟัง เป็นส่วนหน่ึงของการที่จะส่ือสารให้ได้ผล
แมว้ ่าเขาพูดมาจะไม่ถูกใจอะไรก็ทนได้ ทงั้ นก้ี ็เพอื่ ให้งานการและประโยชน์ท่ี
จะทำนั้นสำเรจ็
คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา แปลว่า รู้จักแถลงเรื่องราวต่างๆ ที่
ลึกซึ้ง ปัญหาอะไรท่ีหนักและยาก ก็เอามาชี้แจงอธิบาย ช่วยทำให้คนที่
ร่วมงานมีความกระจ่างแจ้ง เร่ืองที่ลึกที่ยากก็ทำให้ต้ืนให้ ง่ายได้ และพา
เขาเข้าถงึ เรอื่ งทย่ี ากและลึกลงไปๆ อย่างไดผ้ ล
โน จัฏฐาเน นโยชะเย แปลว่า ไม่ชักนำในเรื่องที่ไม่ใช่เร่ือง ที่ไม่
เปน็ ประโยชน์ ไม่ใช่สาระ ทไี่ ม่เกี่ยวกบั จดุ มงุ่ หมาย
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ 262
ธรรมของกัลยาณมิตร ๗ ประการน้ีเป็นคุณสมบัติท่ีมาประกอบ
เสริมกัน และมาประสานเข้ากับพรหมวิหาร ๔ ประการ เจ้าคณะปกครอง
คณะสงฆ์ ได้แก่ เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด
เป็นผู้นำท่ีต้องพัฒนาความต้องการของคน ปัจจัยสำคัญย่ิงอย่างหน่ึงแห่ง
ความสำเร็จของการทำหน้าที่ผู้นำ คือการปรับเปลี่ยนความต้องการของคน
ความต้องการเป็นตัวกำหนดเป้าหมายและทิศทางการตัดสินใจของคน ถ้า
เปล่ียนความต้องการของคนได้ ก็เปลี่ยนตัวคนนั้นได้ ช่วยให้คนพัฒนาความ
ต้องการของตน ทัง้ ในการปรับเปล่ยี นให้บุคคลมีความตอ้ งการที่ถกู ต้องดีงาม
และให้หมู่ชนมีความต้องการที่ประสานเป็นอันเดียวกัน การพัฒนาความ
ต้องการ เป็นการพัฒนาความสุขของคนเพราะความสุขเกิดจากการสนอง
ความต้องการ ถ้าเปลี่ยนความต้องการของคนได้ ก็เปลี่ยนวิธีการหา
ความสุขของเขาได้ด้วย ทำให้เขาสมใจและมีความสุข คนก็จะร่วมมือทำ
อย่างเป็นไปเองโดยประสานกลมกลืนและเต็มใจจะหาทางทำให้สำเร็จ จึง
พรอ้ มที่จะทำและทำได้งา่ ย ถ้าผนู้ ำทำการทฝ่ี ืนความตอ้ งการของคน ทงั้ สอง
ฝ่ายก็จะไมม่ คี วามสขุ และสิง่ ทที่ ำก็ยากจะสำเร็จหรอื คงอยูย่ ่ังยืน๒๔
ความต้องการของคนพัฒนาได้ เปล่ียนแปลงได้ และผู้นำที่ดีก็
ควรถือเป็นหน้าท่ีสำคัญ ที่จะช่วยให้คนพัฒนาความต้องการไปในทางที่ดี
งามประณีตและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น ความต้องการสำคัญท่ีควรได้รับการ
ปรับเปล่ยี นพฒั นาอย่างนอ้ ยขัดเกลาให้ละเมียดละไมไม่ก้าวร้าวรุกราน ก็คือ
ความต้องการแบบเห็นแก่ตัวในการท่ีจะบำรุงบำเรอความสุขส่วนตนหรือ
ความต้องการได้ผลประโยชน์จากการเอาเปรียบผู้อ่ืนหรือโดยไม่คำนึงถึง
ความเดือดร้อนของใคร คนควรจะพัฒนาความต้องการ โดยเปลี่ยนจาก
ความต้องการแบบเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปเป็นความต้องการต่อภาวะดี
งามสร้างสรรค์ เช่น อยากให้ชีวิตของตนเองดีงามบริสุทธิ์ อยากให้ชีวิตมี
๒๔ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๔๓.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ 263
คุณค่าเป็นประโยชน์ อยากให้ชุมชนหรือองค์กรของตนเจริญก้าวหน้ามี
ชอ่ื เสียงที่ดีงาม อยากให้ถนนหนทางสะอาดเรียบร้อยอยากใหเ้ พ่ือนมนุษย์อยู่
ดีมีสุข อยากให้สังคมร่มเย็น อยากให้ธรรมชาติแวดล้อมงดงามน่ารื่นรมย์
อยากให้ปัญญาความรู้ความเข้าใจความจริงแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
อยากให้ผูค้ นได้พบเหน็ ชื่นชมกับสิ่งดีงาม คอื ความใฝด่ ี หรือใฝศ่ ึกษาและใฝ่
สร้างสรรค์
ถา้ ผู้นำสามารถช่วยคนให้พัฒนาความต้องการอย่างหลังน้ขี ้ึนได้
ก็เป็นความสำเร็จอยู่ในตัวข้ึนหนึ่งแล้ว และความต้องการน้ีเมื่อเกิดข้ึนแล้ว
ก็จะทำให้เกิดพลังท่ีช่วยให้การกระทำเพื่อจุดหมายที่ดีงามบรรลุความสำเร็จ
สมหมายด้วย ควรมีความใฝ่อย่างแรงกล้าในจุดหมายอันสูงส่ง มีความ
ชดั เจนในจุดหมายนั้น และทำให้ทกุ คนมองเห็นและใฝ่ในจุดหมายย่ิงใหญ่นั้น
ร่วมกัน ให้เป็นจุดหมายรวมของสังคม ท่ีจะทำให้พลังแห่งความต้องการ
ของทกุ คนประสานเปน็ อันเดียว ซง่ึ จะทำให้แต่ละคนหลุดพ้นจากแรงรบกวน
ของความต้องการที่ไม่พึงประสงค์ และมุ่งหน้าไปด้วยกันสู่จุดหมายร่วมของ
สงั คมนั้น อนั เปน็ ความสำเร็จของการทำหนา้ ทีข่ องผนู้ ำอย่างแท้จริง
เจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ในยุคปัจจุบัน และอนาคตคงเป็น
ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีธรรม ๗ ประการ คือ ๑) รู้หลักการ เมื่อ
ดำรงตำแหน่ง มีฐานะ หรือจะทำอะไรก็ตาม ต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้หน้าท่ี
รู้กฎเกณฑ์กติกาท่ีเก่ียวข้อง เช่น อย่างผู้ปกครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลัก
รฐั ศาสตร์ และรกู้ ฎกตกิ าของรัฐ คือกฎหมาย ตัง้ แต่รัฐธรรมนูญลงมา แลว้ ก็
ยืนอยู่ในหลักการ ตั้งตนอยู่ในหลักการ มีกฎ มีกติกา ที่ผู้นำจะต้องรู้ต้องชัด
แลว้ ก็ต้ังมั่นอยู่ในหลกั การนนั้ ๒) รู้จดุ หมายผูน้ ำถ้าไมร่ จู้ ุดหมายก็ไม่รวู้ ่าจะนำ
คนและกิจการไปไหน นอกจากรู้จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้ว
จะต้องมีความแน่วแน่มุ่งมั่นท่ีจะไปให้ถึงจุดหมายด้วย ข้อนี้เป็นคุณสมบัติท่ี
สำคัญมาก เม่ือใจมุ่งจุดหมาย แม้มีอะไรมากระทบกระทั่ง ก็จะไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่ตรงเรื่อง ก็ไม่มัวถือสา ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ไม่ยุ่งกับเรื่องจุกจิกไม่เป็น
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 264
เรอื่ ง เอาแต่เร่อื งที่เข้าแนวทางสู่จุดหมาย ใจม่งุ สู่เป้าหมายอย่างชัดเจนและ
มุ่งม่ันแน่วแน่ ๓) รู้จักตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีภาวะเป็นอะไร อยู่ใน
สถานะใดมีคุณสมบัติ มีความพร้อม มีความถนัด สติปัญญา ความสามารถ
อย่างไร มีกำลังแค่ไหน มีข้อยิ่งข้อหย่อน จุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ซ่ึง
จะต้องสำรวจตนเอง และเตือนตนเองอยู่เสมอ ทั้งนี้เพ่ือประโยชน์ในการ
พัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้มีคุณสมบัติมีความสามารถยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ว่า
เป็นผู้นำแล้วจะเป็นคนสมบูรณ์ไม่ต้องพัฒนาตนเอง ยิ่งเป็นผู้นำก็ยิ่งต้อง
พัฒนาตนเองตลอดเวลา ให้นำได้ดีย่ิงข้ึนไป ๔) รู้ประมาณ คือ รู้จัก
ความพอดี หมายความว่าต้องรู้จักขอบเขตขีดขั้นความพอเหมาะท่ีจะจัดทำ
ในเรื่องต่างๆ ตัวอย่าง เช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการลงทัณฑ
อาชญาและการเก็บภาษี เป็นต้น ไม่ใช่เอาแต่จะให้ได้อย่างใจ และตอ้ งรู้จัก
วา่ ในการกระทำน้ันๆ หรอื ในเร่อื งราวนั้นๆ มีองคป์ ระกอบหรือมปี ัจจัยอะไรที่
เก่ียวข้องบ้าง ทำแค่ไหนองค์ประกอบของมันจะพอดี ได้สัดส่วน พอเหมาะ
การทำการตา่ งๆ ทุกอย่างต้องพอดี ถ้าไมพ่ อดกี ็พลาด ความพอดีจึงจะทำให้
เกิดความสำเร็จท่ีแท้จริง ฉะน้ัน จะต้องรู้องค์ประกอบและปัจจัยที่เก่ียวข้อง
และจัดให้ลงตัวพอเหมาะพอดี ๕) รู้กาล คือ รู้จักเวลา เช่น รู้ลำดับ ระยะ
จังหวะ ปริมาณความเหมาะของเวลาว่า เร่ืองนี้จะลงมือตอนไหน เวลาไหน
จะอะไรอย่างไรจงึ จะเหมาะ ดังจะเหน็ ว่าแม้แต่การพูดจาก็ตอ้ งรู้จกั กาลเวลา
ตลอดจนรู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา ซ่ึงเป็นเร่ืองใหญ่ เช่น วางแผนว่า
สังคมมแี นวโน้มจะเป็นอ่างนี้ในเวลาขา้ งหน้าเท่าน้ัน และเหตุการณ์ทำนองน้ี
จะเกดิ ขึ้น เราจะวางแผนรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร ๖) รู้ชุมชน คอื รู้
สังคม ตั้งแต่ในขอบเขตท่ีกว้างขวาง คือ รู้สังคมโลก รู้สังคมของ
ประเทศชาติ ว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไรมีความต้องการ
อย่างไร โดยเฉพาะถ้าจะช่วยเหลือเขาก็ต้องรู้ปัญหารู้ความต้องการของเขา
แม้แต่ชุมชนย่อยๆ ถ้าเราจะช่วยเหลือเขา เราก็ต้องรู้ความต้องการของเขา
เพ่ือสนองความต้องการได้ถูกต้อง หรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ๗) รู้บุคคล คือ
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ 265
รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนท่ีมาร่วมงานร่วมการร่วมไปด้วยกัน
และคนที่เราไปให้บริการตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพ่ือปฏิบัติต่อเขาได้
ถูกต้องเหมาะสมและได้ผล ตลอดจนสามารถบริการให้ความช่วยเหลอื ไดต้ รง
ตามความต้องการ รู้ว่าจะใช้วิธีสัมพันธ์พูดจาแนะนำติชมหรือจะให้เขา
ยอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ซึ่งต้องรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร มี
ความถนัดอัธยาศยั ความสามารถอย่างไร เพ่อื ใชค้ นให้เหมาะกับงาน
รู้ประโยชน์ที่เขาพึงได้ เพราะว่าในการทำงานจะต้องให้คนท่ี
ทำงานทุกคนได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตัวเอง ผู้นำควรรู้ว่าเขาควรจะได้
ป ร ะ โย ช น์ อ ะ ไร เพื่ อ ค ว า ม เจ ริ ญ ง อ ก ง า ม แ ห่ ง ชี วิ ต ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เข า ด้ ว ย
หลักธรรมนี้เรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ ผู้นำจะต้องมีจุดหมายดีงามท่ีชัดเจน
ให้แก่หมู่ชนและต้องมีจิตมุ่งจุดหมายนั้น พร้อมทั้งนำพาหมู่ชนให้ร่วมกัน
อย่างมุ่งมั่น เจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ในฐานผู้นำต้องมองกว้างคิดไกลและ
ใฝส่ งู การประสานระหวา่ งตวั ผูน้ ำกบั ผ้ตู ามหรอื ผ้ทู ี่จะรว่ มไปดว้ ย
นอกจากสัปปรุ ิสธรรมซ่ึงเป็นสมบตั ิภายในสำหรบั ตัวเองที่ว่า ซ่ึง
เป็นคุณสมบัติที่เน้นด้านปัญญา ภาวะผู้นำ คือ การมีวิสัยทัศน์กว้างไกล
ประกอบด้วย ๑) ตัวเองต้องดี ต้องเป็นแบบอย่างได้ คือ ต้องทำดีเป็น
ตัวอย่างแก่เขา และมีความรู้ ความสามารถที่จะมานำเขาได้ ๒) ต้องมี
กลั ยาณมิตรด้วย คือต้องเลือก ต้องหาที่ปรึกษา และเพื่อนร่วมงานท่ีดี
ลักษณะนี้แสดงถึงความเป็นคนที่ใฝ่แสวงปัญญา ในการทำงาน หรือจะนำ
เขาไปนัน้ ไม่ใชว่ ่าตวั ผนู้ ำเองจะทำได้คนเดียว แต่จะต้องฟงั เสียงผู้อ่นื และใฝ่
แสวงปัญญาอยู่เสมอด้วย ต้องมีที่ปรกึ ษาท่ีไต่ถาม จะได้แสวงปัญญาค้นคว้า
หาความรู้ให้ทันต่อความเป็นไป และได้ความคิดที่จะมาใช้ในการดำเนิน
กิจการ เรียกส้ันๆ ว่า กัลยาณมิตร ตัวเองเป็นกัลยาณมิตรให้แก่คนที่ร่วมไป
ด้วย แต่พร้อมกันนั้นตัวเองก็ต้องมีกัลยาณมิตรโดยรู้จักแสวงหากัลยามิตร
ด้วย ๓) ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ มีสติ คอยตรวจคุมสถานการณ์
ความเปลี่ยนแปลงเปน็ ไป และปัญหาต่างๆ ท่ขี ้ึน อย่างไรก็ตามทีเ่ กดิ ขนึ้ จะมี
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชงิ พุทธ 266
ผลกระทบต่อชีวิตต่อองค์กรต่อชุมชน ต่อสังคม ไม่พลาดสายตา จับเอามา
ตรวจตราพิจารณาทั้งหมด แล้วดำเนินการหาเหตุ หาปัจจัย และหาทาง
แก้ไขปรบั ปรงุ อะไรจะสง่ ผลในทางลบ ก็ต้องรีบแก้ไข อะไรจะเป็นโอกาสท่ี
จะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ก็ต้องใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ ไม่
ปล่อยให้ผ่านไปเปล่า ความต่ืนตวั ทันต่อสถานการณ์ มีความกระตือรือรน้ ไม่
เฉื่อยชา ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปเปล่า ไม่ถลำพลาด และไม่ยอมเสียโอกาส
อย่างนี้เรียกว่าความไม่ประมาท ๔) ต้องเป็นคนเข้มแข็ง นอกจากไม่ประมาท
กระตือรือร้น เอาจริงเอาจังแล้ว ก็ต้องเข้มแข็งด้วย แม้จะมีอุปสรรค มีภัย
อันตรายมปี ัญหาก็ไม่ย่อท้อ วางตัวเป็นหลกั ได้ และอยู่ในหลัก ไม่หว่ันไหวไป
ตามเสียงขู่เสียงแคะได้ เป็นต้น ๕) ต้องทำได้ และช่วยให้คนอื่นทำได้ ในสิ่งที่
ต้องการจะทำ ๖) สายตากว้างไกล ข้อนี้ขอสรุปด้วยคำว่า มองกว้าง คิดไกล
ใฝ่สูง ซ่ึงเป็นลักษณะทางปัญญา คนท่ีเป็นผู้นำนั้นแน่นอนว่าปัญญาสำคัญ
ทีส่ ุด คณุ สมบตั ิขอ้ นอ้ี าจจะใกล้คำว่า มวี สิ ยั ทศั น์ แต่คงไมใ่ ช่เท่านั้น
มองกว้าง คือ ไม่ใช่มองอยู่แค่องค์กรหรอื ชุมชนของตน แต่มอง
ไปท่ัว ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวข้องมีผลส่งมา หรือมีอิทธิพลกระทบจากภายนอก
จากสังคมอื่น จากคนพวกอืน่ กลมุ่ อื่น จากปัญหาของโลก จากกระแสโลกาภิ
วตั น์ อะไรต่างๆ ก็รู้ท่ัวรู้ทัน มองไปท่ัวโลกท้ังหมด โลกเวลานี้เป็นอย่างไร มี
กระแสไปทางไหน มีปัญหาอะไร มีความต้องการอะไร เราปรับตัวปรับ
องคก์ รของเราใหเ้ ขากับมันได้ หรือรบั มือกบั มนั ได้ มีส่วนรว่ มเก้ือหนนุ มันได้
หรือชว่ ยแก้ไขมนั ได้ มองเห็นโอกาสและช่องทางทีจ่ ะดำเนนิ การตามจุดหมาย
อย่างนอ้ ยถา้ ไม่นำมนั ได้ กไ็ ม่ให้ถูกครอบงำ หรอื ไมใ่ ห้ล้าหลัง
คิดไกล หมายความว่า คิดในเชิงเหตุปัจจัย ทั้งสาวไปข้างหลัง
และสืบไปข้างหน้า คือ เอาภาวะหรือสถานการณ์ปจั จุบันต้งั แล้วใชป้ ัญญาสืบ
สาวหาเหตุปัจจัยในอดีต ย้อนยาวไปให้เห็นว่าท่ีเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะอะไร
และเป็นมาอย่างไร แล้วก็มองหมายอนาคตว่ามันจะเป็นอย่างไร โยงเหตุ
ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ 267
ปัจจัยท่ีเป็นมาจากอดีตประสานเข้ากับปัจจุบันแล้วก็ หย่ังเห็นอนาคต
สามารถวางแผนเตรยี มการเพอื่ อนาคตใหบ้ รรลจุ ดุ หมาย
ใฝ่สูง หมายถึง ใฝ่ปรารถนาจุดหมายที่ดีงามสูงส่ง จุดหมายที่ดี
งาม ก็คือความดีงามของชีวิต ความดีงามของสังคม ความเจริญก้าวหน้ามี
สันติสุขของมวลมนุษย์ ผู้นำจะต้องมีความปรารถนาในส่ิงเหล่าน้ีอย่างจริงจัง
ไม่ใช่มวั ปรารถนาหรอื ใฝ่ในลาภยศ ผลประโยชน์ซึ่งในทางธรรม ไม่ถอื ว่าสูง
แต่คนไทยคงเอามาใช้ผิด ความใฝ่สูง กลายเป็นความอยากได้ผลประโยชน์
อยากได้ลาภได้ยศ แล้วเอาไปรวมกับมักใหญ่ กลายเป็นมักใหญ่ใฝ่สูง
หมายถึงอยากมั่งมีมหาศาล เป็นใหญ่เป็นโต ปรารถนาส่ิงที่ดี ได้แก่ ความดี
งามของชีวิต ป ระโยชน์สุขของสังคม ความเรียบ ร้อยดีงามของ
สภาพแวดล้อม การได้อยู่ในโลกที่ดีงามทุกอย่างน้ีเรียกว่าสูง ความมุ่งม่ันท่ี
จะสร้างสรรค์งานที่ดีเย่ียม ซึ่งเป็นประโยชน์มากที่สุด หรือผลงานท่ีมีคุณค่า
อยา่ งเลศิ ตลอดจนผลผลิตที่มคี ุณภาพสูงสุด
เจ้าคณะปกครองสงฆ์จำเป็นต้อง ใฝ่สิ่งที่ดีงามประเสริฐอย่างสูง
ยิ่ง และด้วยใจที่ใฝ่สูงใฝ่สิ่งท่ีดีงามประเสริฐสูงอย่างยิ่งน้ี ก็จะทำให้เกิด
กำลังใจที่ทำการสร้างสรรค์ทุกอย่าง และนำหมู่ชน ท่ี จะไปด้วยมารวมใจ
รวมกำลังประสานมือประสานใจทำด้วยกันไปด้วยกัน โดยมีจุดหมายใหญ่
ท่ีใฝ่ปรารถนาอันชัดเจนร่วมกัน และนำเขาได้ทั้งทางพฤติกรรม ทางจิตใจ
และทางปัญญา ก็จะประสบความสำเร็จบรรลุจุดหมายที่แท้จริง เพ่ือ
ประโยชน์แก่คนทงั้ ปวง๒๕
หลักธรรมในการปกครองพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในหลักธรรมที่ชื่อ
ว่า อปริหานิยธรรม หมายถึง ธรรมท่ีทำให้เจริญโดยส่วนเดียว มีอยู่ ๗
ประการ ๑. หมั่นประชุมกันเน่ืองนิตย์ ๒. พร้อมเพียงกันประชุมและเลิก
๒๕พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ภาวะผู้นำ, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์บรษิ ัท ตถาตา พับลเิ คชัน่ จำกดั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๑ – ๓๒
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชิงพุทธ 268
ประชุม ๓. ไม่ละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับ ๔. เคารพให้เกียรติประธานในที่
ประชุม ๕. ให้เกียรติแก่สตรีและเด็ก ๖. เคารพปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ
๗. คุ้มครองรักษาผู้ ทรงศลี ๒๖
ภาวะผู้นำแบบใฝ่บรกิ ารเป็นลกั ษณะจิตอาสาสร้างแรงดลใจให้ผู้
ตามเกิดจิตอาสา มองข้ามผ่านประโยชน์ส่วนตนเพ่ือให้ได้ในสิ่งท่ีผู้อื้น
ต้องการ คอยช่วยให้ผู้อ่ืนได้พัฒนาและเกิดความเจริญงอกงาม ให้โอกาส
ผูอ้ นื่ ได้ก้าวหนา้ ประสบความสำเร็จ
ในด้านหลักธรรมและหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธ การ
แสดงออกภาวะผูน้ ำแบบใฝบ่ ริการยังสอดคล้องกับหลักธรรมซ่ึงในการปฏบิ ัติ
ตามหลักการภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการไม่ได้เหมาะสำหรับวัฒนธรรมตะวันตก
ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เท่าน้ันแตใ่ นประเทศไทยซ่ึงมีศาสนา
พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ การปฏบิ ัติตามหลักการภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการ
น้ีจึงมิได้แตกต่างไปจากหลักธรรมสังควัตถุ ๔๖ ซ่ึงถือเป็นหลักธรรมสำหรับ
ผู้บริหารหรอื ผ้ปู กครอง อันเปน็ ธรรมเคร่ืองยึดเหน่ียวความเห็นอกเห็นใจของ
บุคคล และประสานหมู่ชนให้สามัคคี เป็นหลักการของการสงเคราะห์มี
พ้ืนฐานบนความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การปฏิบัติด้วยความศรัทธา การยึด
หลักการของการรับใช้และให้บริการ การกระทำความดีเพื่อการอยู่ร่วมกัน
และการมีภาวะผู้นำอันประกอบด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัต
ตา โดยภาวะผนู้ ำแบบใฝ่บริการเด่นชัดในหลักการปฏบิ ัติของทานหรอื การไม่
เห็นแก่ตัว เอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ การเสียสละ การแบ่งปัน การช่วยเหลือ
และอัตถจริยาเป็นการประพฤติตนเองให้เป็นประโยชน์ขวนขวายช่วยเหลือ
กิจการ เช่นเดียวกับหลักธรรมทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมท่ีสำคัญของ
๒๖Spears & Lawence, M, Focus on Leadership : Servant
Leadership for the twenty – first century, (New York. NY :
John Wiley & Sons, 2002), p. 9.
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 269
ผู้ปกครองหรือผู้บริหารทุกระดับ อันประกอบด้วยหลัก ๑๐ ประการ ได้แก่
ทาน ศีล ปริจาคะ อาชชวะ มัทวะ ตปะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ และอวิโรธ
นะ๒๗
กล่าวโดยสรุปว่า ภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการสอดคล้องกับ
หลักการปฏิบัติในทศพิธราชธรรมเร่ืองของทานที่เป็นเรื่องของการให้แบ่งปัน
แก่ผู้อื่น กล่าวคือการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้หรือผู้บริการ โดยมุ่งปกครองหรือ
ทำงานเพือ่ ผอู้ ่ืนเพือ่ ใหผ้ อู้ ่ืนได้มใิ ช่เพอื่ จะเอาจากผ้อู ่ืน เอาใจใสอ่ ำนวยบริการ
จัดสรรความสงเคราะห์ อนุเคราะห์ให้ผู้อ่ืนได้รับประโยชน์สุข ความสะดวก
ปลอดภัย ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เดือดร้อนประสบทุกข์และให้การ
สนับสนุนแกผ่ ู้กระทำความดี และ ปริจาคะ คือการบำเพญ็ ด้วยการเสียสละ
ไม่เห็นแก่ตัว และสามารถเสียสละความสุขสำราญ
๒๗ข.ุ ชา.(ไทย)๒๘/๒๔๐/๘๖.
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ 270
คำถามประจำบท
๑. ให้นิสิตอธิบายถึงความเป็นมาของภาวะผู้นำสำหรับการบริหาร
กจิ การพระพทุ ธศาสนาโดยอธิบายใหเ้ หน็ ถงึ ความเปลีย่ นแปลงอย่างชัดเจน
๒. แนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับภาวะผู้นำสำหรับการบริหารกิจการ
พระพทุ ธศาสนา มีแนวความคิดมาจากอะไร ใหน้ ิสิตอธบิ ายโดยละเอยี ด
3. หลักการบรหิ ารกบั ภาวะผ้นู ำมีความสมั พนั ธก์ นั อย่างไร
4. การบรหิ ารกิจการพระพุทธศาสนาต้องอาศัยหลักความเป็นภาวะ
ผู้นำดา้ นใดบา้ งจึงจะทำใหก้ ารบริหารประสบความสำเร็จ
5 . ให้ นิ สิ ต สั งเค ราะ ห์ ภ าว ะ ผู้ น ำกั บ ก ารบ ริ ห ารกิ จ ก า ร
พระพทุ ธศาสนามาพอเขา้ ใจ
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ 271
อา้ งอิงประจำบท
ข.ุ ชา.(ไทย)๒๘/๒๔๐/๘๖.
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๗/๓๒/๔๒.
ณัฏฐ์สุดา วิจิตรจามรี. การสื่อสารในองค์การ. กรุงเทพมหานคร : สิริมา,
๒๕๕๓.
ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๖๗/๑๙๑.
บูรชัย ศิริมหาสาคร. มุขบริหาร. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แสงดาว,
๒๕๔๑.
พระครูปริยัติกิตติธำรง. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและปัญหาสังคม.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๕.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). ภาวะผู้นำ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
บริษทั ตถาตา พบั ลิเคชนั่ จำกดั , ๒๕๕๐.
พิเชษฐ วงศ์เกียรติ์ขจร. ผู้นำการบริหารยุคใหม่. กรุงเทพมหานคร :
สำนกั พิมพป์ ญั ญาชน, ๒๕๕๓.
รังสรรค์ ป ระเสริฐศรี . ภ าวะผู้ น ำ (Leadership). พิ มพ์ คร้ังที่ ๒ .
กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธีระฟิล์ม และไซเท็กส์ จำกัด,
๒๕๕๑.
วศิน อินทสระ. ปัญญารัตนะ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บรรณาคาร,
๒๕๒๓.
วศิน อินทสระ. ร่มธรรม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บรรณาคาร,
๒๕๔๒.
วิเชียร วิทยอุดม. ภาวะผู้นำ Leadership ฉบับก้าวล้ำยุค. พิมพ์คร้ังท่ี ๔.
กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธีระฟิล์ม และไซเท็กซ์ จำกัด,
๒๕๕๐.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ 272
สมพงษ์ สิงหะพล. บทบาทร่วมสมัยของผู้บริหารโรงเรียน. นครราชสีมา :
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั นครราชสีมา, ๒๕๕๒.
สุนทร โคตรบรรเทา. ภาวะผู้นำในองค์การการศึกษา. กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพป์ ญั ญาชน, ๒๕๕๑.
สุรพล สุยะพรหมและคณะ. ทฤษฏีองค์การและการจัดการเชิงพุทธ.
พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕.
DuBrin. J . Andrew . “ Leadership Research Findings .Practice.
and Skills” .5th ed. Boston : Houghton Mifflin
Company, 2007.
Fred E. Fiedler. A Theory of Leadership Effectiveness. New
York : McGraw Hill, 1967.
Fullan. M.. Leading in a Culture of Change. San Francisco :
Jossey – Bass, 2004.
Paul Hensey. Kenneth H. Blanchard. Management of
Organisational Behaviour. NewDelhi : Prentici Hall ,
1994.
Spears & Lawence. M. Focus on Leadership : Servant
Leadership for thetwenty – first century. New
York. NY : John Wiley & Sons, 2002.
บทที่ ๙
ภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการจดั การตามแนวสมานฉนั ท์
ขอบขา่ ยประจำบท
๑. ความสำคญั ของภาวะผ้นู ำ
๒. ความเป็นมาของการจดั ต้ังองคก์ ารสมานฉันท์
๓. แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการจัดการตาม
แนวสมานฉันท์
จุดประสงคก์ ารเรียน
๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความสำคัญของภาวะ
ผูน้ ำ
๒. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความเป็นมาของการ
จดั ตงั้ องค์การสมานฉันท์
๓. เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับภาวะผู้นำเชิงพุทธเพ่ือ
การจัดการตามแนวสมานฉนั ท์
กจิ กรรมการเรียนการสอน
๑. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม
๒. ใชเ้ ทคนิคการศกึ ษาเปน็ รายบคุ คล
๓. ใช้เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื
๔. ใช้เทคนคิ การสอนแบบบรู ณาการ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๗๔
๙.๑ ความสำคญั ของผนู้ ำ
พระพุทธองค์ตรัสว่า “เมื่อฝูงโคว่ายน้ำ เมื่อโคจ่าฝูงไปคด
โคหมดทั้งฝูงนั้นก็ไปคดตามกัน เพราะมีผู้นำไปคดฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉัน
น้ัน บุคคลใดได้รับสมมติให้เป็นใหญ่ หากบุคคลน้ันประพฤติไม่เป็นธรรม หมู่
ประชาชนนอกน้ันก็จะประพฤติเสียหาย แว่นแคว้นทั้งหมดก็จะยากเข็ญหาก
ผ้ปู กครองเป็นผู้ไร้ธรรม เม่ือฝูงโคว่ายข้ามน้ำ ถ้าโคจ่าฝูงไปตรง โคหมดท้ังฝูง
นัน้ กไ็ ปตรงตามกนั เพราะมีผู้นำท่ีไปตรงฉันใด ในหมูม่ นุษยก์ ็ฉันนัน้ บุคคลใด
ได้รับสมมติให้เป็นใหญ่ หากบุคคลผู้น้ันประพฤติชอบธรรม หมู่ประชาชน
นอกนั้นก็พลอยดำเนินตาม ท้ังแว่นแควน้ ก็จะอยู่เป็นสุข หากผปู้ กครองตง้ั อยู่
ในธรรม”๑ จากพุทธพจน์แสดงให้เห็นความสำคัญของผู้นำต่อความอยู่รอด
สวัสดภิ าพและสันตสิ ุขของสังคมและประเทศชาติทั้งหมด
ความสำคญั ของผู้นำ อาจกลา่ วได้ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์
ท่ีเลวร้ายให้กลายเป็นสันติสุขได้ในเวลาอันรวดเร็ว จะเห็นได้จากความมี
ภาวะผู้นำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลท่ี ๙ ในคราวที่เกิดเหตุการ
พฤษภาทมิฬ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ประชาชนผู้ชุมนุมประท้วง
เรียกร้องรัฐบาลและต่อต้านพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี
เหตุการณ์รุนแรงข้ึนมีการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับ
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลถึงข้ันเสียเลือดเน้ือ เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าท่ี
ฝา่ ยรัฐบาลกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายหลาย
คน ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ องคมนตรี นำพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำการประท้วงรัฐบาลเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
๑ องฺ. จตกุ ก./๒๑/๗๐/๙๘(ไทย)
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๗๕
รับกระแสพระราชดำรัสและขอให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะเรื่องการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญจนในท่ีสุดเหตุการณ์ต่างๆ ก็สงบลง ด้วยพระบารมีท่ีทรง
เตือนสติผู้เก่ยี วขอ้ ง ดังกระแสพระราชดำรสั ตอนหน่งึ ดังนี้
“ปัญหาวันน้ีไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่
ปัญหาทุกวนั นคี้ ือความปลอดภยั และขวญั ของประชาชน ซึง่ เด๋ียวนี้ประชาชน
ท่ัวไปทุกแห่งหนมีความหวาดระแวงว่าประเทศจะล่มจม โดยที่จะแก้ไข
ลำบาก ตามข่าวที่ได้รับทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ลูก
ชายท้ังลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศท้ังสองก็ทราบดีแล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งกับ
คนท่อี ยู่ในประเทศเหลา่ นั้น วา่ ประเทศไทยนี้จะยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แตว่ ่า
ร้สู ึกว่าจะเป็นความคิดที่เปน็ ความคิดแบบหวังสูงไปหน่อยถ้าหากว่าเราไม่ทำ
สถานการณ์อย่าง ๓ วันที่ผ่านมาน้ีส้ินสุดลงไปได้ฉะน้ัน ก็ขอให้ท่าน
โดยเฉพาะสองท่าน พลเอกสุจินดา และพลตรี จำลองช่วยกันคิด คือหันหน้า
เข้าหากัน ไม่ใช่ประเทศของหน่ึงคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้า
หากนั ไม่เผชิญหนา้ กันแก้ปัญหาเพราะวา่ อันตรายมอี ยู่ เวลาคนเราเกดิ ความ
บ้าเลือดปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัวลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร
แลว้ ก็จะแกป้ ัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะตอ้ งเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง
ชนะ อันตรายท้ังน้ัน มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู่ท่ีเผชิญหน้าก็แพ้ แลว้ ท่ีแพ้
ที่สดุ คือประเทศชาติ ประชาชน จะเป็นประชาชนทงั้ ประเทศ ไม่ใชป่ ระชาชน
เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายท้ังหมด แล้วจะมี
ประโยชน์อะไรที่จะทนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองส่ิงปรักหักพัง ฉะน้ันจึง
ขอใหส้ องท่านเขา้ มา คอื ไม่เผชญิ หน้า แต่ตอ้ งหันหน้าเขา้ หากนั และสองทา่ น
น้ีเท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่าง ๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย คือฝ่ายต่าง ๆ ที่
เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงท่ีเกิดข้ึน แล้วก็
เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกันปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๗๖
ประเทศไทยได้มีการสร้างพฒั นาข้นึ มา ได้กลบั มาคนื ได้โดยดี อันนี้เปน็ เหตุผล
ที่เรียกท่านท้ังสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่าเป็นผู้ท่ีได้สร้าง
ประเทศจากสิ่งปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมาก ว่าได้ทำดี แก้ไข
อย่างไรก็แลว้ แต่จะปรึกษากัน ก็มขี ้อสงั เกตดังนี้”๒
จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งที่เกิดข้ึนอย่างรุนแรง เป็นสถานการณ์ท่ีมี
ผู้คนล้มตาย และมีแนวโน้มอย่างชัดเจนท่ีจะเกิดความโกลาหล ส่อเค้าว่าจะ
กลายเป็นสงครามกลางเมือง แต่ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยหู่ ัวทำใหเ้ หตกุ ารณ์รุนแรงดงั กล่าวกับคนื สสู่ ภาวะปกติอยา่ งรวดเร็ว
๙.๒ พระพุทธองค์กับการจัดตง้ั องค์การสมานฉันท์
สังคมสงฆ์เป็นสังคมที่ประกอบด้วยกลุ่มของบุคคลท่ีมาอยู่รวมกัน
โดยมีระเบียบแบบแผน ความเป็นอยู่ และความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง โดยการ
ถือเพศเป็นนักบวช และนอกจากนั้น แต่ละบุคคลต่างมีพื้นเพมาจากชั้น
วรรณะท่ีแตกต่างกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการเข้ามาฝึกฝนเพ่ือพัฒนาตนเอง
ดงั นั้น จดุ ประสงค์หลกั ท่ีสำคัญของการตั้งสังคมสงฆ์คือ การสรา้ งสงั คมแห่ง
การเรียนรู้ และมีความสัมพันธ์ และเข้าใจอย่างแท้จริงต่อสภาพแวดล้อม
การวางระบบการอยู่ร่วมกัน และการให้โอกาสต่อชนทุกหมู่เหล่าในการ
ฝึกฝน และพฒั นาตนเอง เปน็ อาทิ
พระพุทธองค์ได้ทรงวางบทบัญญัติในสังคมสงฆ์ท่ีเรียกว่า “ธรรม
วินัย” ข้ึนมา เพื่อเป็นเคร่ืองควบคุม และเป็นอุปกรณ์เพ่ือสร้างความดี
ความงาม รวมตลอดถึงเป็นการสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นในสังคมของสงฆ์
เอง ดังน้ัน ธรรมวินัยจึงเป็นหลักการท่ีคอยค้ำจุนอายุของพระพุทธศาสนา
๒ สำนักขา่ วเจ้าพระยา, http://www.chaoprayanews.com/๒๐๐๙/๐๓/
๓๑ ( สบื ค้นเม่อื ๑๒ เม.ย. ๕๕)
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๒๗๗
เพราะเม่ือไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังคงมีธรรมวินัยที่ยังคงเป็นแบบแผน
และแนวทางในการประพฤติปฏิบัติของสงฆต์ ่อไป
อนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงสมาชิกในสังคมสงฆ์จะพบเห็นได้ถึงผู้คนทั้ง
ชาย และหญิง ทั้งเด็กและผู้สูงวัยจากหลากหลายชั้นวรรณะ มาอยู่ปฏิบัติ
อย่างมีแบบแผน เรียบร้อย สงบ และดีงาม ซ่ึงสมาชิกของสังคมสงฆ์นั้น
ประกอบไปดว้ ยบคุ คล ๕ ประเภท ดังตอ่ ไปนี้
๑. พระภิกษุ ได้แก่ สมาชิกของสงฆ์ท่ีเป็นชาย มีอายุ ๒๑ ปี
บรบิ ูรณ์ข้ึนไป และที่มอี ายตุ ่ำกว่า ๒๑ ปี กม็ ีบา้ ง เชน่ สามเณรโสปากะท่ี
มีอายุเพียง ๗ ปี แต่เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจพระธรรมวินัยอย่างแจ่มแจ้ง
ก็ทรงอนุญาตให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ สมาชิกของสังคมสงฆ์ที่เป็น
พระภิกษุน้ีจะต้องประพฤติปฏบิ ัติตามวินัยสงฆจ์ ำนวน ๒๒๗ สิกขาบท๓
๒. พระภิกษุณี ได้แก่ สมาชิกของสังคมสงฆ์ที่เป็นหญิง มีอายุ
๒๑ ปีบรบิ รู ณข์ ้นึ ไป หรอื ถ้าเคยผา่ นการมีครอบครวั มสี ามีแลว้ ต้องมีอายุไม่
ต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์ ต้องผ่านการศึกษาในธรรม ๖ ข้อเป็นเวลา ๒ ปี
และสงฆใ์ ห้การรับรองแลว้ กส็ ามารถท่จี ะอุปสมบทเปน็ ภิกษณุ ีได้๔
๓. สิกขามานา ได้แก่ สมาชิกของสังคมสงฆ์ท่ีเป็นหญิง ท่ีต้อง
ประพฤติปฏิบัติสิกขาในธรรม ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปี โดยไม่ให้ขาดไม่ให้
บกพร่องแล้วจึงจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีได้ หรือได้แก่สามเณรีท่ีมีอายุยังไม่
ครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ กำลังเตรียมตัวบวชเป็นภิกษุณี สิกขามานาจะต้อง
ประพฤตปิ ฏิบตั ิตามสิกขาบทจำนวน ๖ ขอ้ ๕
๔. สามเณร ได้แก่ สมาชิกของสังคมสงฆ์ท่ีเป็นชาย มีอายุยังไม่
ครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ เป็นสมาชิกของสังคมสงฆ์ด้วยวิธีการรับไตรสรณคมน์
๓ ว.ิ มหา.(ไทย),๑/๒๔-๔๕๘/๑๗-๔๘๔.
๔ วิ. ภิกขุนี.(ไทย),๓/๑๑๙๑-๑๑๑๔/๓๑๕-๓๑๕.
๕ ว.ิ ภกิ ขนุ ี.(ไทย),๓/๑๑๗๙/๒๙๗-๒๙๘.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๗๘
แม้ผู้ที่อายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอุปสมบทจาก
สงฆ์ ก็ยังช่ือว่าเป็นสามเณรอยู่เช่นเดิม สามเณรจะต้องประพฤติปฏิบัตติ าม
สิกขาบทจำนวน ๑๑ ขอ้ ๖
๕. สามเณรี ได้แก่ บุคคลผู้เป็นสมาชิกของสังคมสงฆ์ที่เป็นหญิง
มีอายุยังไม่ครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ เป็นสามเณรผู้หญิงท่ียังไม่ได้รับการ
อุปสมบทจากสงฆ์ สามเณรีจะต้องประพฤติปฏบิ ัตติ ามสกิ ขาบทจำนวน ๑๑
ขอ้ เหมอื นสามเณร
หลักการแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เรียกว่า สังฆะ พระพุทธองค์
ทรงวางแนวทางเพื่อปดิ กัน้ ปญั หาความขัดแยง้ ทจี่ ะเกิดขึน้ ในอนาคตดังน้ี
๑) ทรงวางหลักให้สงฆส์ าวกเคารพกนั ตามความอาวุโส
พระพุทธองค์ได้ทรงวางแนวทางให้ภิกษุเคารพกันตามหลักความ
อาวุโส (Seniority) ซึ่งต้องทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนว่าในทางพุทธ
ศาสนานั้น คำว่าอาวุโส หมายความถงึ คำท่ีใช้เรยี กกนั ทว่ั ไป อาจหมายถึงผู้
สูงวัยกว่า หรืออ่อนวัยกว่าก็ได้ ซ่ึงแตกต่างจากความหมายท่ีคนทั่วไปใน
ปัจจุบันเข้าใจ เพราะบุคคลท่ัวไปมีความเข้าใจว่า อาวุโส หรือผู้อาวุโส
หมายถึง ผู้ทรงภูมิความรู้ท่ีน่านับถือ ผู้สูงวัยกว่า หรือเป็นผู้ใหญ่ เช่น
ราษฎร์อาวุโส เป็นต้น ดังนั้น การพิจารณาถึงความเป็นผู้มีอาวุโส และคำ
ว่าอาวุโสในที่น้ีนั้น ผู้เขียนหมายความถึงการให้ความเคารพต่อผู้ทรงภูมิ
ความรู้ทั้งในด้านวัยวุฒิ คุณวุฒิและคุณธรรม โดยในทางพระพุทธศาสนา
ตามพระธรรมวินัยได้มีการวางแนวทางในการพิจารณาอยู่ว่า ให้สมาชิก
เคารพผู้ท่ีเข้ามาบวชก่อนโดยยกผู้นั้นให้เป็นผู้ท่ีมีอาวุโสมากกว่าแล้วไล่เลียง
ต่อมาเป็นผู้ที่บวชต่อมาภายหลังเป็นผู้อาวุโสรองลงมา เป็นอาทิ และ
นอกจากน้ัน ยังได้ให้สงฆ์เรียกกันเองโดยใช้การเคารพกันตามลำดับ โดย
๖ ว.ิ มหา.(ไทย),๔/๑๑๖/๑๖๘-๑๖๙
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๗๙
การเรียกผู้ท่ีอาวุโสกว่าว่า ภันเต และผู้ที่อ่อนพรรษากว่าแทนตนเองว่า
อาตมา ซ่ึงปัจฉิมวาจาของพระพุทธองค์กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวใน
พระไตรปิฎกดังน้ี อานนท์ เม่ือเราล่วงลับไป ภิกษุไม่ควรเรียกกัน และกัน
ด้วยวาทะวา่ “อาวโุ ส” ก็ได้ ภิกษุผแู้ ก่กวา่ พึงเรยี กภิกษุผู้อ่อนแอกว่า “ภัน
เต” หรือ “อายัสมา” ก็ได้๗ อนึ่ง ลำดับข้ันของความอาวุโสของสงฆ์น้ัน
สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น ๓ ระดบั กล่าวคอื
๑. ภิกษผุ ูบ้ วชนาน ๑-๕ พรรษา เรยี กวา่ เป็น นวกะ
๒. ภิกษุผบู้ วชนาน ๖-๑๑ เรียกวา่ เป็น มัชฌมิ า
๓. ภกิ ษุผ้บู วชนาน ๑๑ พรรษาขึ้นไป เรยี กวา่ เถระ
ภิกษทุ ี่เป็นผู้ใหญ่หรือพระเถระนัน้ จะตอ้ งประกอบด้วยธรรมสำคัญ
ที่เรียกว่า เถรธรรม (Qualities which make for happy living of
an elder monk) ซ่ึงเป็นคุณธรรมที่ทำให้พระเถระอยู่สำราญในทุกท่ีทุก
สถาน
๒) การประชุมกันของสงฆ์ (Grouping) เป็นการประชุมใน
โบสถ์เพื่อกล่าวธรรมและทบทวนศีล ๒๒๗ ข้อ โดยเป็นการประชุมเร่ือง
เฉพาะ ในท่ีมดิ ชิด และเฉพาะสงฆท์ ่เี กี่ยวขอ้ งเทา่ น้นั
แรกทีเดียวน้ัน เม่ือภิกษุสาวกมาประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕
ค่ำ และ ๘ ค่ำน้ัน ท่านท้ังหลายต่างน่ังนิ่งไม่พูดจากัน ดังน้ัน ประชาชน
ที่เข้าไปหาภิกษุเพื่อต้องการฟังธรรมจึงได้กล่าวตำหนิว่า ไฉนเลยท่าน
ท้งั หลายจึงนั่งน่ิงกันอยู่ นา่ ที่จะไดม้ ีการกล่าวธรรมให้ประชาชนฟังมิใช่หรือ๘
ต่อมา เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์ พระองค์ได้ทรงประกาศอนุญาตให้
๗ สุ.ท.ี มหา.(ไทย),๑๑/๒๑๖/๑๖๔-๑๖๕.
๘ วิ.มหา.(ไทย),๔/๑๓๒/๒๑๘
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๒๘๐
สงฆป์ ระชุมกันโดยการกล่าวธรรม และอนุญาตให้สงฆ์ยกปาติโมกขข์ ้ึนแสดง
ได๙้
อน่ึง การแสดงโอวาทปาติโมกข์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทุกก่ึง
เดือนเฉพาะแก่ภิกษุสงฆ์ท่ีพักอยู่ในสีมาเดียวกับพระพุทธองค์ ภกิ ษุสงฆ์ท่ีอยู่
ในสีมาอ่ืน อยู่ในถ่ินอื่นในวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ก็จะทำ
อุโบสถยกปาติโมกข์ คือ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติขึ้นแสดง
กันเองในสีมาน้ัน ๆ จนถึงพรรษาท่ี ๒๑ แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ แล้วจึง
งดการยกโอวาทปาติโมกขข์ ้ึนแสดง รับสงั่ ให้ภิกษุสงฆ์ยกอาณาปาตโิ มกข์ข้ึน
แสดงกันเองทุกกึ่งเดือน๑๐ การที่ภิกษุสงฆ์ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงกันเองนี้
พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริและทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ยกสิกขาบทขึ้นแสดง
ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ำ หรือ แรม ๑๔ หรือ ๑๕ คำ่ ๑๑
ส่วนในเร่ืองของการประชุมเฉพาะเรื่อง และเฉพาะพระสงฆ์ที่
เกี่ยวข้องนั้น ความตอนน้ีกล่าวถึงการขอให้ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง
ดงั ต่อไปนี้๑๒
สมัยน้ัน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทในปุพ
พารามของนางวิสาขามิคารมาตา ครง้ั นั้น ในวนั อุโบสถ ๑๕ ค่ำนั้น พระผู้
มีพระภาคประทับนั่งมภี ิกษุสงฆ์หอ้ มลอ้ ม
ครั้งนั้น เม่ือราตรีผ่านไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ท่าน
พระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มอุตตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประมือไปทาง
พระผู้มีพระภาคได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “พระพุทธเจ้าข้า ราตรี
๙ ว.ิ มหา.(ไทย), ๔/๑๓๓/๒๑๙
๑๐ ว.ิ จูฬ.(ไทย), ๗/บทนำ (๓๒-๓๓).
๑๑ วิ.มหา.(ไทย),๔/๑๓๓/๒๑๙, ๑๓๖/๒๑๓
๑๒ ว.ิ จูฬ.(ไทย), ๗/๓๘๓/๒๗๘-๒๗๙
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๘๑
ผ่านไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งนานแล้ว พระผู้มีพระภาค
โปรดยกปาติโมกข์ขนึ้ แสดงแก่ภิกษุทง้ั หลายเถดิ ”
เม่ือท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างน้ีพระผู้มีพระภาคทรง
นง่ิ
แม้คร้ังที่ ๒ เม่ือราตรีผ่านไปแล้ว เม่ือมัชฌิมยามผ่านไป
แล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มอุตตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
ประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาค ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“พระพุทธเจ้าข้า ราตรีผ่านไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์น่ัง
นานแลว้ พระผ้มู ีพระภาคโปรดยกปาตโิ มกขข์ ึ้นแสดงแกภ่ ิกษุท้งั หลายเถิด”
แมค้ รัง้ ท่ี ๒ พระผู้มพี ระภาคก็ทรงน่งิ ฯลฯ
แม้คร้ังท่ี ๓ เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว เม่ือมัชฌิมยามผ่านไป
แล้ว ยามรุ่งอรุณ ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มอุตตราสงค์เฉวียงบ่า
ข้างหน่ึง ประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาค ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังน้ีว่า “พระพุทธเจ้าข้า ราตรีผ่านไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุ
สงฆ์นั่งนานแล้ว พระผู้มีพระภาคโปรดยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่ภิกษุ
ท้ังหลายเถิด”
พระผู้มีพระภาคตรสั ว่า “อานนท์ บรษิ ัทไมบ่ ริสทุ ธ์ิ”
ลำดับน้ัน ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความคิดดังน้ีว่า
“พระผมู้ ีพระภาคตรัสว่า บรษิ ัทไม่บรสิ ุทธิ์ ทรงหมายถึงใครกัน” ลำดับน้ัน
ท่านมหาโมคคัลลานะมนสิการกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ที่มีท้ังหมดด้วยจิต (ของ
ตน) ได้เห็นบุคคลน้ันผู้ทุศีล มีบาปธรรม ประพฤติไม่เรียบร้อย น่ารังเกียจ
ปกปิดพฤติกรรม ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมาจารี
แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมาจารี เน่าในเปียกชุ่ม เป็นดุจหยากเยื่อ น่ังอยู่
ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ คร้ันแล้วจึงเข้าไปหาบุคคลนั้น แล้วได้กล่าวกับบุคคล
นั้นดังน้ีว่า “ท่านจงลุกขึ้น พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มี