The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน วิชา ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by brother_dol, 2022-08-28 23:34:30

เอกสารประกอบการสอน วิชา ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ

เอกสารประกอบการสอน วิชา ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๘๒

ประการที่สอง แนวคิดแบบระบบเน้นการนำข้อมูลย้อนกลับ
( Feedback) มาใชเ้ พอื่
การปรับปรุงกระบวนการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ดังน้ัน โครงการฝึกอบรม
จึงไม่เคยเป็นเพียงจุดหมายปลายทาง แต่จะเป็นส่ิงที่จะต้องได้รับการ
ปรับเปลี่ยนตามข้อมูลทไี่ ด้รบั กลับมาอยู่เสมอ ๆ เพ่ือให้บรรลุถึงวตั ถุประสงค์
ทีก่ ำหนดไว้
ประการสุดท้าย แนวคิดแบบระบบจะทำหน้าท่ีเป็นเสมือน
เกราะความคิด
( Frame of reference) สำหรับการวางแผนและดำเนินการการฝึกอบรม
(Gold-stein, ๑๙๙๓)
เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ส่ิงท่ีป้อนเข้าในระบบการฝึกอบรม
บุคลากรได้แก่ ความรู้ ทักษะ ความสามารถ บุคลิกภาพ แรงจูงใจ และ
ทัศนคติของบุคลากรในองค์การ ซ่ึงแต่ละองค์การก็ย่อมมีบุคลากรท่ีมี
คุณลักษณะแตกต่างกัน และแม้แต่ในองค์การเดียวกัน บุคลการแต่ละคนก็
ยังมีความแตกต่างกันอีกด้วย สำหรับกระบวนการแปรรูปคือ โครงการ
ฝกึ อบรมบุคลากรซ่งึ องค์การได้จัดทำข้ึน โครงการต่าง ๆ เหล่านี้จะทำหน้าที่
ปรับปรุง เพิ่มพูน ส่งเสริม และสนับสนุนให้บุคลการมีการเปลี่ยนแปลงใน
ด้านตา่ ง ๆ จนมผี ลลัพธห์ รอื พัฒนาการเป็นทนี่ ่าพอใจขององค์การ อย่างไร
ก็ดี องค์การจะต้องมีการประเมินและติดตามผลอยู่ทุกระยะ เพื่อให้ทราบ
ปัญหา อุปสรรค และสิ่งท่ีควรปรับปรุง และนำข้อมูลเหล่าน้ีไปใช้ในการ
ปรบั เปล่ียนโครงการฝึกอบรมบุคลากรตอ่ ไป

6.7 กระบวนการของการจดั การฝกึ อบรมอยา่ งเปน็ ระบบ
ขั้นตอนท่ี ๑: วเิ คราะหค์ วามต้องการในการฝกึ อบรม

ก า ร วิ เค ร าะ ห์ ค ว า ม ต้ อ งก าร ใน ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ( Needs
assessment) เปน็ ข้นั ตอนแรกของการจัดการฝกึ อบรมอย่างเป็นระบบ การ
วิเคราะห์ดังกล่าววจะช่วยให้ทราบข้อมูลท่ีจำเป็นสำหรับการออกแบบและ
พัฒนาโครงการฝึกอบรม เพ่ือให้การฝึกอบรมสอดคล้องกับความต้องการ

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๘๓

ขององคก์ าร และเกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรกต็ าม ในความเป็นจริง นัก
จัด ก ารฝึ ก อ บ รม บ างส่ ว น มุ่ งส น ใจ แ ต่ จ ะจั ด ก ารฝึ ก อ บ รม โด ย ล ะเล ย ก าร
วิเคราะห์ความต้องการขององค์การ ดงั น้ันการฝกึ อบรมหลาย ๆ โครงการจึง
มิได้สร้างสรรค์ประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่องค์การแต่ประการใด การละเลย
ดังกล่าวมีสาเหตุหลาย ๆ ประการด้วยกัน ประการแรกคือ การเห่อตาม
แฟช่ันหรือความนิยมซ่ึงเกิดข้ึนในขณะน้ัน เป็นต้นว่า ขณะน้ันในวงการการ
บริหารธุรกิจและจัดการทรัพยากรมนุษย์ อาจจะมีความสนใจเก่ียวกับกลุ่ม
ควบคุมคุณภาพ ( Quality Control Circle ) เป็นอย่างมาก ทำให้มีการ
จัดการฝึกอบรมเช่นน้ันข้ึนมาบ้าง โดยมิได้คำนึงว่าองค์การมีความต้องการ
เช่นนั้น และจะนำวิธีการทำงานแบบน้ันมาใช้จริงหรือไม่ ประการท่ีสอง
นักจัดการการฝึกอบรมคิดว่าการวิเคราะห์ความต้องการในการฝึกอบรม
เป็นสิ่งท่ีไม่จำเป็น และเสียเวลาทำไปโดยใช่เหตุ ทั้งน้ีเพราะคิดว่าตนเองมี
ข้อมูลทุกอย่างอยู่หัวของตนอยู่แล้ว ประการท่ีสาม การจัดการฝึกอบรม
ขององค์การบางแห่ง มีลักษณะของการกระทำไปตามประเพณี หรือดำเนิน
ไปตามระเบียบแบบแผนท่ีเคยเป็นมาการวิเคราะห์ความต้องการในการ
ฝกึ อบรมประกอบด้วยการวิเคราะห์ ๓ ประการคือ๑๒ การวิเคราะห์องค์การ
การวเิ คราะห์ภารกิจและคณุ สมบัติ และการวิเคราะห์บคุ คล

การวิเคราะห์องค์การ ( organizational analysis ) เป็นการ
วิเคราะห์ท่ีเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบเป้าหมายท้ังในระยะส้ันและระยะยาว
ขององค์การรวมทั้งแนวโน้มต่าง ๆ ท่ีอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายเหล่านี้
ข้อมูลเก่ียวกับเป้าหมายขององค์การจะเป็นส่ิงกำหนดทิศทางและการวาง
แผนการอบรม การวิเคราะห์องค์การยังเป็นการตรวจสอบบรรยากาศการ
ทำงานภายในองค์การ (organizational climate ) การฝึกอบรมไม่อาจจะ
กอ่ ให้เกิดประโยชนใ์ ด ๆ ได้ หากผู้บังคบั บัญชาไมส่ นบั สนนุ ให้ผ้รู ับการอบรม
นำสิ่งทเ่ี รียนรู้มาใชใ้ นการทำงานจรงิ นอกจากนี้การวิเคราะห์องคก์ ารยังเป็น

๑๒ ชูชัย สมิทธิไกร“การฝึกอบรมบุคลากรในองค์การ”, พิมพ์ครั้งท่ี 4,
(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2548), หน้า ๘๖.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๘๔

การสำรวจทรัพยากรท่ีมีอยู่ภายในองค์การซึ่งจำเป็นต่อการจัดโครงการ
ฝึกอบรมให้บรรลผุ ลสำเร็จ

การวิเคราะห์ภารกิจและคุณสมบัติ ( Task and knowledge,
skill, and ability analysis) ข้ันตอนที่สองของการวิเคราะห์ความ
ต้องการในการฝึกอบรมคือการวิเคราะห์ภารกิจซึ่งผู้รับการฝึกอบรมจะต้อง
ปฏิบัติภายหลังการฝึกอบรม การวิเคราะห์น้ีจะบ่งบอกว่าผู้ปฏิบัติงาน
จะต้องทำอะไร อย่างไร และเพราะเหตุใด นอกจากนั้นยังบ่งบอกอีกด้วยว่า
ผู้ปฏิบตั ิงานนัน้ ๆ จะต้องมคี วามรู้ ทักษะ และความสามารถอะไรบ้างสำหรับ
การปฏิบัติงานน้ัน ๆ ข้อมูลจากการวิเคราะห์นี้จะช่วยให้นักจัดการฝึกอบรม
ทราบว่า หลักสูตรและเนื้อหาของการฝึกอบรมควรจะประกอบด้วยสิ่ง
ใดบ้าง๑๓

การวิเคราะห์บุคคล ( Person analysis) การวิเคราะห์ใน
ข้ันตอนนี้ จะช่วยให้ทราบว่าผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนมีความรู้ ทักษะ และ
ความสามารถที่จำเป็นสำหรับการทำงานอยู่ในระดับใด การวิเคราะห์บุคคล
จึงมีความสำคัญเก่ียวข้องกับการวิเคราะห์ท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่การ
วิเคราะห์บุคคลจะมุ่งเน้นไปที่ระดับความดีเลวของการปฏิบัติงานของ
พนักงานแต่ละคน เพื่อพิจารณาว่าพนักงานคนน้ัน ๆ จำเป็นที่จะต้องได้รับ
การฝึกอบรมเพิ่มเติมหรอื ไม่

ขน้ั ตอนท่ี ๒: กำหนดวตั ถุประสงค์ของการฝกึ อบรม
ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้จากการวิเคราะห์ความต้องการในขั้นตอนแรก จะ
เป็นสิ่งท่ีจะนำมาใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม ซึ่งเป็น
เสมือนเข็มทิศสำหรับการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมต่อไป
และยังเป็นสิ่งที่กำหนดแนวทางการประเมินผลโครงการฝึกอบรมอีกด้วย
วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมที่ดีน้ัน ควรจะเป็นแบบท่ีเรียกว่า

๑๓ เสนาะ ติเยาว์, ศ., หลักการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖), หน้า ๒๑.

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๘๕

วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ( Behavioral objectives) ซึ่ง

จะได้กลา่ วถงึ อย่างละเอยี ดในบทตอ่ ๆ ไป

ข้นั ตอนท่ี ๓: คัดเลือกและออกแบบการฝึกอบรม
เม่ือทราบแล้วว่าวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมคืออะไร ข้ันตอนที่
สามน้ีก็จะเป็นการคัดเลือกและออกแบบโครงการฝึกอบรม ซึ่งจะนำไปสู่
เป้าหมายท่ีกำหนดไว้ กระบวนการในขั้นตอนนี้นับได้ว่ามีความละเอียดอ่อน
และตอ้ งอาศัยการพิจารณาไตร่ตรองอยา่ งรอบคอบเปน็ อยา่ งมาก นักจัดการ
ฝกึ อบรมจะต้องมีความรู้ท้ังในด้านหลักการเรียนรู้ และการเลือกสรรส่ือการ
สอนที่เหมาะสมกับผรู้ ับการอบรม เพือ่ ให้พวกเขามีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะ
เป็นในด้านความรู้ ทักษะ หรือความสามารถตามท่ีได้มุ่งหวังไว้ ดังนั้น จึงมี
ความสำคัญอย่างย่ิงท่ีนักจัดการการฝึกอบรมจะต้องรู้ว่า ภารกิจและความรู้
ทกั ษะ และความสามารถสำหรับภารกิจนั้นคืออะไร และการฝึกอบรมแบบ
ใดท่ีจะช่วยให้ผู้รับการฝึกอบรมมีความรู้ และพัฒนาตามวัตถุประสงค์ที่
กำหนดไว้ การออกแบบและพัฒนาโครงการฝึกอบรมจึงจำเป็นต้องคำนึงถึง
ปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อวิชา เนื้อหา รูปแบบและวิธีการ
อบรม ส่อื การสอน วิทยากร และเวลาสำหรับการฝกึ อบรม เป็นตน้

ขั้นตอนที่ ๔: สรา้ งเกณฑ์สำหรบั การประเมินผล
การสร้างเกณฑ์ ( Criteria) สำหรับการประเมินผล ควรท่ีจะได้
กระทำควบคู่ไปกับการคัดเลือกและออกแบบโครงการฝึกอบรมโดยเกณฑ์ที่
สร้างข้ึนจะต้องอิงหรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมท่ีได้
กำหนดไว้ เน่ืองจากเกณฑ์สำหรับการประเมินผลคือมาตรฐานที่ใช้วัด
พฤติกรรม ดังนั้นเกณฑ์จึงควรจะระบุว่า พฤติกรรมอะไรที่ผู้รับการอบรม
จะต้องมีการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ หรือทักษะ หรือความสามารถ
ระดับต่ำสุดของพฤตกิ รรมท่จี ัดว่าผ่านเกณฑ์อยู่ทตี่ รงไหน และพฤตกิ รรมน้ัน
แสดงออกมาภายใต้สภาวการณ์อย่างไร สำหรับประเภทของเกณฑ์ที่ใช้
สำหรับการประเมินผลจะได้กลา่ วถงึ ในบทต่อ ๆ ไป

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๘๖

ข้ันตอนที่ ๕: จดั การฝึกอบรม
หลังจากการวางแผนและเตรียมการฝึกอบรมเรยี บร้อยแลว้ ข้ันตอน
ต่อมาก็คือ การดำเนินการฝึกอบรมตามแผนท่ีได้กำหนดไว้ นักจัดการการ
ฝึกอบรมจะต้องดำเนินการเก่ียวกับสถานที่ของการฝึกอบรมฝึกอบรมให้
เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโต๊ะ เก้าอ้ี อุปกรณ์และสื่อการสอนต่าง
ๆ แสงสว่าง อุณหภูมิ อาหารหรือที่พักสำหรับผู้รับการอบรม นอกจากนั้น
ยังต้องคอยดูแลและประสานงานกับวิทยากรของการฝึกอบรมด้วย ใน
ระหว่างการฝึก นักจัดการการฝึกอบรมอาจจะต้องประสบกับปัญหาและ
อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนเฉพาะหน้า ดังน้ันจึงควรที่จะได้มีการตระเตรียม
การแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ ไวด้ ว้ ยเช่นกนั

ขน้ั ตอนท่ี ๖: ประเมินผลการฝกึ อบรม
กระบวนการของการประเมินผลการฝึกอบรม ประกอบด้วย
กระบวนการสองชนิดด้วยกันคือ การสร้างเกณฑ์สำหรับการประเมินผล (
ข้ันตอนที่ ๔) และการวัดผลโดยใช้วิธีการทดลอง (experimental) หรือ
วิธีการที่ไม่ใช่การทดลอง (non-experimental) เพ่ือตรวจสอบว่ามีความ
เปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดข้ึนหรอื ไม่ ภายหลังการฝึกอบรม
การประเมินจะบ่งช้ีว่าผลท่ีได้รับจากการฝึกอบรมน้ันมีความตรง (
Validity) มากน้อยเพียงไร กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ ผลท่ีได้รับน้ันตรงกับ
ความต้องการและวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมหรือไม่ การฝึกอบรมท่ีจัด
ว่าประสบความสำเร็จน้ัน จะต้องให้ประโยชน์และคุณค่าตรงตาม
วตั ถุประสงค์ทก่ี ำหนดไว้ หากผลท่ีได้รบั ไม่ตรงและตำ่ กวา่ ความคาดหวังของ
องค์การ นักจัดการฝึกอบรมจะต้องนำข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้รับจากการ
ประเมินผล ไปใช้ประกอบการวิเคราะห์และการวางแผนการฝึกอบรมใน
อนาคตต่อไป ผลของการประเมินจึงเป็นเสมือนข้อมูลย้อนกลับ (
Feedback) ซ่ึงจะไปปรับเปลี่ยนการลงทุนเพ่ือการฝึกอบรม (inputs) ให้มี
ความเหมาะสมมากย่งิ ข้นึ

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๘๗

สรุป
การจัดการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบอิงอยู่บนแนวคิดแบบระบบ ซ่ึง

เน้นถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ และการเปล่ียนแปลงที่
เกิดขนึ้ อย่างต่อเนื่องภายในระบบ ข้ันตอนของการจัดการฝึกอบรมอย่างเป็น
ระบบมีท้ังส้ิน ๖ ข้ันตอน ประกอบด้วยการวิเคราะห์ความต้องการในการ
ฝึกอบรม การกำหนดวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม การคัดเลือกและ
ออกแบบโครงการฝึกอบรม การสร้างเกณฑ์สำหรับการประเมินผล การ
จัดการฝึกอบรม และการประเมินผลโครงการฝึกอบรม ผลที่ได้รับจากการ
ประเมินผล จะเป็นข้อมูลย้อนกลับสำหรับการปรับปรุงแก้ไขโครงการ
ฝกึ อบรมต่อไปในอนาคต

6.8 การฝกึ อบรมและพฒั นาแนวพทุ ธ
เม่ือกล่าวถึงการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านใดก็ตามทุกคน

ต้องศึกษาหาความรู้จนวาระสุดท้ายของชีวิต เพื่อเพ่ิมพูนข้อมูลความรู้และ
ความสามารถไว้ในความจำของตนเอง สำหรบั ใช้เป็นข้อมูลในการปฏิบัติงาน
และดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ การศึกษาวิชาการทางโลก มักจะมุ่งเน้นใน
เรื่องการเพ่ิมพูนข้อมูลดา้ นสติปัญญาทางวชิ าการ (ทางโลก) ในความจำ และ
ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิต เพ่ือให้ได้มาซ่ึง
ปัจจัย ๔ และอื่น ๆ สำหรับดับความทุกข์ทางร่างกายเป็นหลัก การศึกษา
วชิ าการทางธรรม มุ่งเน้นในเรื่องการเพ่ิมพูนข้อมูลด้านสตปิ ัญญาทางธรรมใน
ความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการพัฒนาจิตของตนเอง โดยการรู้เห็น
ความคิดและควบคุมความคิดรวมท้ังการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้พ้นความทุกข์
ทางจิตใจ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น และพัฒนาจิตใจให้เป็น
บุคคลที่ประเสริฐ การศึกษาวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อม ๆ กัน
รวมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันไปด้วย จะทำให้ท่านมีประสบการณ์
มีความชำนาญ จนสามารถศึกษา ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตได้อย่างมี

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๘๘

คุณภาพ ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป ซ่ึงเป็นชีวิตท่ีประเสริฐของ
ท่าน๑๔

เน่ืองจากการการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน ส่วน
ใหญ่มกั จะมุ่งตรงไปทีก่ ารใชข้ ้อมูลสตปิ ัญญาทางโลกในความจำเปน็ หลกั และ
มีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมน้อยลง จึงอาจเป็นเหตุให้การ
ปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตมีกิเลสเจือปนเข้ามาในความคิดและการ
กระทำ เป็นผลใหก้ ารทำงานขาดประสิทธิภาพ ผลงานไม่บริสุทธ์ิ ไม่ยุติธรรม
และไม่มีคุณค่า ขณะเดียวกัน การดำเนินชีวิตก็มักจะไม่บริสุทธิ์ และอาจมี
ความทุกข์ทางจิตใจอยู่เสมอ เนื้อหาส่วนมากในท่ีน้ีเกี่ยวกับการพัฒนาตาม
แนวพุทธจะเป็นการแนะนำวิธีปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตโดยใช้ข้อมูล
ด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน
เพื่อไม่ให้มีกิเลสเจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำต่าง ๆ จึงทำให้การ
ทำงานมีประสิทธิภาพ มีความบริสุทธิ์ มีความยุติธรรม มีคุณค่า ไม่มีความ
ทุกข์ทางจิตใจ ซึ่งเป็นความสำเร็จของชีวิตท้ังทางโลกรวมทั้งทางธรรมไป
พรอ้ ม ๆ กนั ดว้ ย

6.9 ประโยชน์ของการพฒั นาจิตแนวพุทธ
การพัฒนาจิต (จิตใจ) ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็น

วิชาการทางด้านจิต (จิตใจ) ที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ทุกคนสามารถพิสูจน์
ได้โดยงา่ ย ไม่เก่ียวข้องกับความหลงเชื่อ เม่ือได้ศึกษาและทดลองฝึกปฏิบัติดู
จะได้รับผล ภายในวินาทที ี่ลงมือฝกึ ปฏิบัติ คอื จะมีความเบาสบาย สงบ ไม่มี
ความทกุ ข์ภายในจติ ใจ และจติ ใจบริสทุ ธิ์ผ่องใส โดยไม่ต้องเสียคา่ ใช้จ่ายใด ๆ
เพราะเป็นเร่ืองของการใช้สติปัญญาของตนเอง ความทุกข์ทางจิตใจของท่าน
ที่น่าจะพบได้บ่อยเมื่อเกิด "ความเกินความพอเหมาะพอควร (นอกทางสาย
กลาง)" ในเร่ืองต่าง ๆ เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด ความเหน่ือยอ่อน
การพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วย การเดินทาง ค่าใช้จ่าย

๑๔ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), ภาวะผู้นำ, (กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, มปป),
หนา้ ๖๕.

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๘๙

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ความรัก ความหลงเชื่อ ความไม่อยากได้
ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ความโกรธ ความไม่เท่าเทียม ความเบ่ือหน่าย ความ
ท้อแท้ ความพ่ายแพ้ ความไม่สมหวัง ความเสียใจ ความไม่สบายใจที่เกิน
ความพอเหมาะพอควร เป็นต้น ความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากความเกินพอดี
ในเร่ืองต่าง ๆ ดังกล่าว สามารถป้องกันและดับได้โดยง่าย ด้วยการปฏิบัติ
ธรรมหรือบริหารจิตอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวนั ในชีวิตประจำวัน การมีสติ
ในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ ทำการรู้เห็นและควบคุม
ความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรม จึงมีประโยชน์อย่างมากมายต่อท่าน ท้ัง
ด้านการปฏิบัติงานและการดำเนินชวี ติ อย่างเป็นรปู ธรรม

ประโยชน์ด้านการปฏิบตั งิ าน
การจะพัฒนาจิตใจของตนเองได้ดีนั้น ต้องศึกษาเรื่องสติและฝึก

เจรญิ สติเป็นประจำ จึงจะทำให้ท่านมีสติต้ังมั่น (มีความต้ังใจแน่วแน่) ในการ
ปฏิบตั ิงาน ไม่เผลอสติ ไม่คิดฟุง้ ซ่าน ไม่คดิ และทำกจิ อืน่ ท่ีไม่เก่ียวข้องกับการ
งาน จงึ ทำให้มกี ารคดิ พิจารณา ทำความเข้าใจ จดจำ แกป้ ญั หา วางแผนตา่ ง
ๆ ได้เป็นอย่างดี เป็นเหตุให้ผลของการปฏิบัติงานดีขึ้น ตามกำลัง
ความสามารถของข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและข้อมูลด้านสติปัญญาทาง
ธรรมท่ีมีอยู่ในความจำขณะนั้น ถ้าไม่มีสติในการทำงาน หรือมีสติน้อย
ความคิดฟุ้งซ่านก็มักจะมากข้ึน รวมท้ังมีการใช้เวลาไปคิดและทำเร่ืองอ่ืน
บ่อยขึ้น ทำให้ความสามารถของสมองในการคดิ พิจารณา การจดจำ และการ
ปฏบิ ัติงานลดลง ขาดประสิทธภิ าพในการทำงาน และผลของการปฏบิ ตั ิงานก็
จะต่ำลงด้วย การฝึกพัฒนาจิตโดยการพยายามมีสติอยู่ตลอดเวลาในการ
ปฏิบัติงาน จะทำให้สมองของท่านมีข้อมูลด้านสติมากขึ้น พอนานเข้า สติใน
การปฏิบตั ิงานกจ็ ะมมี ากขึ้น ความฟุ้งซ่านก็จะลดลง เปน็ ผลใหเ้ กิดการพฒั นา
ความสามารถของการมีสติในการปฏิบัติงานดีข้ึนตามลำดับ และผลของการ
ปฏิบตั ิงานกจ็ ะดขี ้นึ ดว้ ย

เมื่อทุกคนมีสติมากขึ้น มีข้อมูลสติปัญญาทางวิชาการมากขึ้น การ
ปฏิบัติงานในเวลาต่อมาจะง่ายข้ึน เพราะสามารถใช้ข้อมูลในความจำมา

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๙๐

ประกอบการพิจารณาและการปฏิบัติงานได้มากข้ึน เป็นผลให้ความทุกข์ต่าง
ๆ ในเรื่องของการปฏิบัติงานและเร่ืองที่เกี่ยวข้องลดลง การจะพัฒนาจิตได้ดี
ขึ้นน้ัน ต้องเพ่ิมพูนข้อมลู ด้านสตปิ ัญญาทางธรรมอย่างง่าย ๆ และมีคุณค่าไว้
ในความจำ พร้อมทั้งมีสติในการใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดำเนินชีวิต จะทำให้
ท่านมีสตใิ นการรู้ดีรชู้ ว่ั รถู้ กู รู้ผิด รู้ว่าอะไรควรคดิ และควรทำ รวู้ า่ อะไรไมค่ วร
คดิ และไม่ควรทำ ถ้าท่านมีสตใิ นการไมค่ ิดช่ัว (ไม่คดิ อกุศล) และไม่ทำชั่ว คง
มุง่ แต่การคิดดี (คิดแต่กุศล) และทำแต่ความดี จะเป็นผลให้ท่านมุ่งหน้าไปใน
ด้านของการปฏิบัติงานตามหน้าท่ีความรับผิดชอบ แทนท่ีจะเสียเวลาไปกับ
การคิดฟุ้งซ่าน การคิดและทำกิจที่เปน็ อกุศล ซงึ่ เปน็ ผลรา้ ยตอ่ การปฏิบตั ิงาน
โดยตรง

ประโยชนด์ ้านการดำเนนิ ชวี ติ
การพัฒนาจิตของตนเอง จะเป็นผลดีต่อจิตใจและเป็นประโยชน์

อย่างมากต่อการดำเนินชีวติ กลา่ วคอื
๑. ส่งเสริมสุขภาพจิตให้มีความเข้มแข็ง และอดทนต่อปัญหาและ

ความยากลำบากต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนได้ทุกเมื่อในขณะดำเนินชีวิต รวมทั้งในยาม
เจ็บป่วย โดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ เช่นเดียวกันกับการมีสุขภาพกายท่ีดี
ทำใหส้ ามารถต่อสู้กับภาระกิจทางกาย และโรคภัยตา่ ง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี

๒. ป้องกันความทุกข์ทางจิตใจ เพราะเม่ือสมองมีข้อมูลด้าน
สติปัญญาทางธรรมในความจำ สมองก็จะทำหน้าท่ีในการใช้ข้อมูลดังกล่าว
เพ่ือการป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจคล้ายอัตโนมัติ ถ้ามีการศึกษา
และฝึกฝนจนชำนาญ เช่นเดียวกันกับการที่สมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทาง
โลกในเรอื่ งการป้องกันการบาดเจ็บของร่างกาย ซึ่งสมองก็จะทำหน้าท่ีได้เอง
คล้ายอัตโนมัติ ถ้าไดศ้ ึกษาและฝึกซอ้ มมาก่อน

๓. รักษาความทุกข์ทางจิตใจ เพราะเมื่อสมองมีขอ้ มูลด้านสติปัญญา
ทางธรรมในความจำ สมองก็จะสามารถทำหน้าทีใ่ นการใช้ข้อมลู ดงั กลา่ ว เพื่อ
การรักษาความทุกข์ทางจิตใจที่กำลังมีอยู่ได้ทุกขณะที่ต้องการ เช่นเดียวกัน
กับการที่สมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและใช้ข้อมูลดังกล่าวในการ

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๙๑

รักษาความทุกข์ทางกายท่ีเกิดขึ้นเม่ือต้องการรักษา ซ่ึงเป็นการพ่ึงพาข้อมูล
สตปิ ญั ญาของตนเอง

๔. ฟ้ืนฟูจิตใจภายหลังการเจ็บป่วยและหลังจากมีความทุกข์ เพราะ
เมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ สมองก็จะทำหน้าที่ใน
การใช้ข้อมูลดังกล่าว เพ่ือทำการฟ้ืนฟูจิตใจได้อย่างรวดเร็วตามเจตนาของ
เจ้าของสมองทำงานตามที่ท่านมีเจตนาในการทำกิจต่าง ๆ จะสังเกตว่า
สมองจะทำหน้าท่ีในการคิดและในการทำกิจต่าง ๆ ตามที่มีเจตนา เช่น เม่ือ
เกิดมีเจตนาว่า จะเดินไปท่ีใดที่หนึ่ง สมองก็จะทำหน้าที่ในการควบคุมให้มี
การเดินไปยังท่ีนั้น ซ่ึงเป็นการแสดงว่า สมองจะตอบสนองต่อความคิดท่ีเป็น
เจตนาเสมอ ความเจตนาจึงมีอิทธิพลมาก เช่น บางคนคิดฆ่าตัวตาย ต่อมามี
เจตนาฆ่าตัวตาย ร่างกายกย็ ังตอ้ งตอบสนองความเจตนานั้นได้

หลักการสำคัญในการพัฒนาจิต คือ จะต้องศึกษาธรรมสั้น ๆ ง่าย ๆ
แต่ตรงประเด็น และต้องฝึกปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความชำนาญใน
การรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด ให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่
ตลอดเวลา ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบโดยยอ่ ดังนี้

๑. มีสติปัญญาเห็นชอบว่า การพัฒนาจิตมีประโยชน์โดยตรงต่อการ
ปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ. การเห็นชอบเช่นน้ี จะทำให้เกิด
ศรัทธาท่ีจะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม เพ่ือการพัฒนาจิตใจของตนเอง
อย่างจริงจัง

๒. มีสติจดจำหลักธรรมง่าย ๆ และทบทวนบ่อย ๆ ว่า "เราจะไม่คิด
อกุศลและไม่ทำอกุศล แต่จะคิดกุศลและทำกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ
ด้วยความโลภ และรกั ษาจิตใจให้บรสิ ุทธิ์ผอ่ งใสอยู่เสมอ". หลักธรรมดังกล่าว
ไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์ ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพก็นำไปใช้
ไดห้ มด

๓. มีความเพียรที่จะมีสต(ิ ตัง้ ใจ)ในการรู้เห็นความคิดและการกระทำ
ต่าง ๆ. ทันทีที่รู้เห็นความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ ไม่เป็นตามหลักธรรม(ใน
ข้อ ๒) ก็ให้หยุความคิดและการกระทำนั้น ๆ ทันที. เม่ือฝึกทำเช่นน้ีเป็น
ประจำ อีกไม่นานนัก สมองก็จะทำหน้าท่ีได้เองคล้ายอัตโนมัติ หลักการตาม

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๙๒

ข้อท่ี ๑ คือการสร้างศรัทธาและเจตนาท่ีถูกต้อง หลักการตามข้อที่ ๒ คือ
จดจำข้อมูลหลักธรรม หลักการตามข้อท่ี ๓ คือ มีสติและมีความเพียรในการ
ดำเนินชีวิตตามหลกั ธรรม

วิธีการในการพัฒนาจติ
การพัฒนาจิตอย่างถูกวิธีเป็นเรื่องท่ีไม่ยากนัก ไม่ต้องมีพิธีการ ไม่

ต้องมีขั้นตอน เพราะเป็นเร่ืองตรงไปตรงมา เพียงให้ผู้ท่ีต้องการพัฒนานั้น
เหน็ คณุ ค่า (มีศรัทธา) อย่างจรงิ ใจ แลว้ มคี วามเจตนา ความต้งั ใจ และมีความ
เพียรอย่างจริงจังที่จะทำให้เกิดผลตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ ในทันทีท่ีลงมือ
ปฏิบัติ วิธีฝึกพัฒนาจิตในด้านการปฏิบัติงานทำได้โดยง่าย กล่าวคือ ในขณะ
ปฏิบัติงานอยู่นั้น ให้ฝึกตั้งเจตนาและทบทวนเจตนาว่า จะฝึกมีความตั้งใจ
และฝึกมีความเพียรท่ีจะมีสติอย่างต่อเนื่องในการรู้เห็นความคิดและควบคุม
ความคิด ให้มีการคิดและพิจารณาเนื้อหาของงานด้วยความต้ังใจ ไม่เผลอสติ
ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดและทำเรือ่ งอืน่ ใด ที่ไม่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติงาน เมื่อฝกึ ไป
นานเข้า ก็จะมีความชำนาญมากขึ้น จนสมองสามารถทำหน้าท่ีตามเจตนาได้
เองคล้ายอัตโนมัติ วิธีฝึกพัฒนาจิตในด้านการดำเนินชีวิต คือ ในขณะดำเนิน
ชีวิตประจำวัน ให้ฝึกตั้งเจตนาว่า จะมีความต้ังใจ และมีความเพียรท่ีจะมีสติ
อย่างต่อเนื่องในการควบคุมความคิดและการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม
หลักธรรมง่าย ๆ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว

ในทันทีที่รู้เห็นว่า ความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ ที่ไม่ตรงตาม
หลักธรรม ก็ให้หยุดความคิดและการกระทำน้ัน ๆ ทันที ขณะเดียวกัน อย่า
ปล่อยให้มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นบ่อยหรือนาน เพราะอาจเกิดความคิด
ฟุ้งซ่านท่ีเป็นอกุศลและทำอกุศลได้โดยไม่รู้ตัว เน่ืองจากขณะเผลอสติไปคิด
อยู่น้ัน มักจะไม่สามารถควบคุมความคิดให้เป็นไปตามเจตนาที่ตั้งไว้ได้
ความคิดเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ตามธรรมชาติ ความคิดจะเป็น
หวั หน้าของการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ เช่น เม่อื ใดคิดดี การกระทำ
ทางกาย วาจา ใจ ย่อมดีไปด้วย และความสุขสงบก็จะติดตามมา. เม่ือใดคิด
ชั่วการกระทำทางกาย วาจา ใจ ยอ่ มชว่ั ไปด้วย และความทุกข์กจ็ ะติดตามมา

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๙๓

ซ่งึ ตรงกับคำท่ีวา่ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว การกระทำต่าง ๆ จะดีหรือช่ัวน้ัน
เกดิ จากใจ(ความคดิ คือ องค์ประกอบของใจท่ีเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง
ๆ ) การมีเจตนาใช้เวลาในการปฏิบัติไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องจะ
เกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการคิดเสียก่อน. ความคิดจึงมีอำนาจสูงสุดต่อการ
กระทำต่าง ๆ โดยตรง แม้กระท่ังการคิดฆ่าและมีเจตนาส่ังฆ่าผู้ท่ีมีความ
คิดเหน็ ตา่ งลทั ธิกับตนเป็นจำนวนแสนหรอื เป็นลา้ นคนก็ยงั สามารถทำได้

หลักการของการฝกึ เจรญิ สติ
การเจริญสติ (เจริญสติปัญญาทางธรรม) เป็นเนื้อหาสำคัญของ

สัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘ และเป็นวิธีการสำคัญมาก ๆ ท่ีใช้ในการดับกิเลส
และกองทุกข์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะท่ีไม่ได้เจริญ
สมาธิ คนส่วนมากไม่ได้ศึกษาธรรมและไม่ได้ปฏิบัติธรรมในเรื่องสัมมาสติ
อย่างจริงจัง จึงทำให้ความรู้ความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์มีน้อย
กว่าท่ีควรจะทำได้หลักการของการฝึกเจริญสติในท่ีนี้ คือ การฝึกใช้ข้อมูล
ด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมท้ังหลักธรรม) ที่มีอยู่ในความจำ ทำการรู้เห็น
และควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลดังกล่าว
อย่างตอ่ เน่ืองในชวี ิตประจำวัน โดยไม่ต้องรอวนั เวลา และสถานท่ีเหตุท่ีต้อง
ฝึกเจริญสติ เพราะในชีวิตประจำวัน ท่านจะไม่สามารถเจริญสมาธิได้
ตลอดเวลา จึงจำเป็นจะต้องเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ไปด้วย เพ่ือ
การศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งการมีความปลอดภัย
ของชีวิต ทรัพย์สิน และการไม่มีความทุกข์ท้ังทางร่างกายและทางจิตใจท่ี
รนุ แรง

สรปุ
แก่นธรรมของพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ ประกอบด้วยเร่ือง

ทกุ ข์ สมุทัย นโิ รธ มรรคความทุกข์(ทุกข์) คอื ความไม่สบายใจทุกรูปแบบ ซึ่ง
ทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ตรงมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น สาเหตุของความทุกข์
(สมุทัย) คือ ความคิดทเี่ ปน็ อกุศล(คิดด้วยความโลภและความโกรธ) เพราะไม่

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๙๔

มีความรู้ในอริยสัจ ๔ และไม่สามารถในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘
ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเน่ือง (มีความหลงหรือโมหะหรืออวิชชา)
หรือมีกิเลส ๓ ตัว ความดับทุกข์ (นิโรธหรือนิพพาน) คือ ภาวะท่ีไม่คิดอกุศล
จึงไม่มีความทุกข์ ถ้าดับความทุกข์ได้ชั่วคราว เรียกว่านิพพานชั่วคราว ทาง
ปฏิบตั ิเพ่ือความดับทุกข(์ มรรคมีองค์ ๘) คือ วิธปี ฏบิ ัตธิ รรมเพ่ือดับความทุกข์
การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน โดยการเจริญสติสลับกับการสมาธิ ก็เพ่ือ
ไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศล เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่าง
ต่อเน่ืองตามโอวาทปาฏิโมกข์ ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกพัฒนาจิตด้วย
การฝึกเจริญสมาธิสลับกับการฝึกเจริญสติ. การฝึกเจริญสมาธิก็เพ่ือหยุด
ความคิด พักสมอง และพักร่างกาย. การฝึกเจริญสติก็เพื่อการรู้เห็นความคิด
และควบคุมความคิดให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์ พร้อมท้ังให้เวลาใน
การศึกษา ทบทวน แก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยธรรม รวมทั้งใช้สติปัญญาทางโลก
และสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปอย่างต่อเน่ือง เพื่อพัฒนาจิตของตนเอง
ใหเ้ ปน็ บุคคลท่ีประเสรฐิ

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๙๕

คำถามประจำบท

๑. ใหน้ ิสิตอธิบายถงึ ความเป็นมาของการฝึกอบรมโดยละเอียด
๒. แนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับกระบวนการฝึกอบรมเพื่อความเป็นผู้นำ
เชิงพุทธ มีแนวความคดิ มาจากอะไร ใหน้ ิสิตอธบิ ายโดยละเอียด
3. ใหน้ ิสติ วิเคราะหพ์ รอ้ มยกตัวอย่างการฝึกอบรมเชิงพุทธมาดู
4. การฝึกอบรมตามหลักของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แตกต่าง
กับการฝกึ อบรมเชงิ พุทธอยา่ งไร
5. ให้นสิ ติ สังเคราะห์หลักการฝกึ อบรมเชิงพทุ ธมาพอสังเขป

ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๙๖

อ้างอิงประจำบท

ชูชัย สมิทธิไกร“การฝึกอบรมบุคลากรในองค์การ”. พิมพ์ครั้งท่ี 4.
กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
2548.

เดน่ พงษ์ พลละคร. “การพฒั นาผใู้ ต้บังคับบญั ชา ". วารสารเพ่ิมพลผลติ . ปที ่ี
28. (ธันวาคม 2531-มกราคม 2532) : 20-25

ธนู กุลชล. เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง “มนุษย์พฤติกรรมและการ
เรียนรู้ในการฝึกอบรม ".การฝึกอบรมหลักสูตร การบริหารงาน
ฝึกอบรม. สถาบนั บณั ฑติ พัฒนบริหารศาสตร์, 2523.

พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต). ภาวะผู้นำ. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา. มปป.
สมคิด บางโม.“เทคนิคการฝึกอบรม และการประชุม” กรุงเทพฯ. วิทยา

พัฒน์, 2545.
สุ ป ราณี ศ รีฉั ต ราภิ มุ ข . ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม แ ล ะ ก า ร พั ฒ น า บุ ค ค ล .

กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2524.
เสนาะ ติ เยาว์ . ศ.. หลั กการบริหาร. กรุงเทพมหานคร : โรงพิ มพ์

มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖.
อุดม ทุมโฆสิต. ศ.ดร. . การจัดการ. กรุงเทพมหานคร : คณะรัฐประศาสนศาสตร์

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๔๔.
เอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง "กระบวนการฝึกอบรม”. การฝึกอบรม

หลักสูตรความรู้พ้ืนฐานด้านการฝึกอบรม . สถาบันพัฒนา
ข้าราชการพลเรอื น. สำนกั งานก.พ., 2533.
เอกสารประกอบการบรรยายเร่ือง "นโยบายฝึกอบรม" . การฝึกอบรม
หลักสูตรเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม .ฝ่ายฝึกอบรม. กองวิชาการ.
สำนกั งาน ก.พ., 2520.

เอกสารประกอบการบรรยายเร่ือง “แนวความคิดและหลักการเก่ียวกับการ
ฝึกอบรม”. การฝึกอบรมหลักสูตรความรู้พื้นฐานด้านการ

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๙๗

ฝึกอบรม. สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน. สำนักงาน ก.พ.,
2533.
เอกสารประกอบการฝึกอบรมเร่ือง “การบริหารงานฝึกอบรม” .การ
ฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงาน ฝึกอบรม. สถาบันบัณฑิตพัฒ
นบรหิ ารศาสตร์, 2523.

บทท่ี ๗
ภาวะผนู้ ำในการจดั องค์กรทางพระพุทธศาสนา

ขอบขา่ ยประจำบท
๑. ความหมายของภาวะผนู้ ำ
๒. นิยามของภาวะผู้นำในการจัดองค์กรทางพระพุทธศาสนา
๓. แนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับภาวะผู้นำในการจัดองค์กรทาง

พระพุทธศาสนา
จุดประสงคก์ ารเรียน

๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความหมายของภาวะ
ผนู้ ำ

๒. เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับนิยามของภาวะผู้นำใน
การจดั องคก์ รทางพระพุทธศาสนา

๓. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ
ภาวะผนู้ ำในการจัดองค์กรทางพระพทุ ธศาสนา
กิจกรรมการเรยี นการสอน

๑. การจัดการเรยี นการสอนทางออ้ ม
๒. ใช้เทคนิคการศึกษาเปน็ รายบุคคล
๓. ใชเ้ ทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื
๔. ใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบบูรณาการ

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๙๙

7.1 ความหมายของภาวะผู้นำ

การนำเป็นเรื่องของการจัดการกับบุคคลขององค์การซ่ึง
เก่ียวข้องกับการดำเนินการให้ปัจเจกบุคคล (Individuals) และกลุ่มบุคล
(Groups) ซ่ึงเป็นบุคลากรขององค์การนำแผนงานและการตัดสินใจแก้ปัญหา
ให้ปฏบิ ตั ใิ ห้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย

การนำ หมายถึง กระบวนการจงู ใจ หรอื โน้มน้าวความคดิ เห็น
และพฤติกรรมของบุคคลอ่ืนให้คล้อยตามและกระตือรือร้นท่ีจะหาทาง
บ รรลุ ผ ล ส ำเร็จ ต าม เป้ าห ม าย ป ฏิ บั ติ ก ารข อ งอ งค์ ก าร ใน ส ถ าน ก าร ณ์ ใด
สถานการณ์หนึ่งความสามารถในการนำ เรียกว่า ภาวะผู้นำ ซ่ึงมีนักวิชาการ
ด้านพระพุทธศาสนาไดใ้ ห้ความหมายของภาวะผ้นู ำไวด้ ังนี้

ภาวะผู้นำ หมายถึง คุณลักษณะส่วนบุคลท่ีแสดงออกมาเม่ือมี
ปฏิ สั ม พั น ธ์กับ กลุ่ มใน ร ะห ว่างการ ท ำงาน ห รื อผู้ ร่ วมด้ วย กับ ส ถ าน ก ารณ์
เดียวกัน ในอันที่จะทำให้เกิดกิจกรรมของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายและ
ความสำเรจ็ ๑

ผู้นำคือศิลปะหรือความสามารถของบุคคลหนึ่งท่ีจูงใจหรือใช้
อิทธิพลต่อบุคคลอ่ืน ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานหรือใต้บังคับบัญชา ใน
สถานการณ์ต่างๆ เพ่ือปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใช้ขบวนการส่ือ
ความหมาย หรือการติดต่อกันและกันให้ร่วมใจกับตนเพ่ือดำเนินการจน
บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และตามเป้ าหมายท่ีกำหนดไว้ การ
ดำเนินการจะไปในทางทดี่ หี รือชวั่ กไ็ ด้๒

๑พระครูสิริจันทนิวิฐ, ภาวะผนู้ ำเชิงพุทธ, (กรงุ เทพมหานคร : นิติธรรม
การพิมพ,์ ๒๕๔๙), หน้า ๑๙.

๒กิติ ตยัคคานนท์, เทคนิคการสร้างภาวะผู้นำ, (กรุงเทพมหานคร :
เปลวอักษร, ๒๕๔๓), หน้า ๒๒.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๐๐

พฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลหนึ่งที่ชักนำกิจกรรมของกลุ่มให้
บรรลุเป้าหมายร่วมกัน หรือเป็นความสัมพันธ์แบบผู้นำและผู้ตาม ซึ่งเพ่ือให้
บรรลุการเปลี่ยนแปลงเพ่ือให้บรรลุจุดหมายร่วม หรือเป็นความสามารถที่
สรา้ งความเชื่อมั่น และให้การสนับสนนุ บุคคลเพือ่ บรรลุเปา้ หมาย๓

ความสัมพันธ์ของบุคคลหรือผู้มีอิทธิพล ให้ผู้อื่นทำงานร่วมกัน
อย่างจริงใจเพ่ือบรรลุเป้าหมายอันเป็นท่ีต้องการของผู้นำ ผู้นำมิใช่เป็นผู้
ผลักดันแต่เป็นผู้ดึงโดยแจ้งให้ผู้ตามทราบแนวทางปรารถนา ให้ปฏิบัติตาม
ดว้ ยการปฏบิ ตั ติ ามตวั อย่าง๔

ก า ร ใ ช้ อิ ท ธิ พ ล ห รื อ อ ำ น า จ ห น้ า ท่ี ใ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ซึ่ ง มี
ผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อปฏิบัติการและอำนวยการในการ
กระบวนการติดตอ่ ซง่ึ กนั และกันเพื่อให้บรรลุผลตามเปา้ หมายทก่ี ำหนดไว้๕

ภาวะผู้นำเป็นขบวนการหน่ึงท่ีบุคคลหนึ่ง (ผู้นำ) ใช้อิทธิพลกับ
อำนาจของตนกระตุ้นชี้นำให้บุคคลอื่น (ผู้ตาม) มีความกระตือรือร้น เต็มใจ
ในสง่ิ ท่ีเขาตอ้ งการ โดยมเี ปา้ หมายขององค์การเป็นจดุ หมายปลายทาง คำว่า

๓รังสรรค์ ประเสรฐิ ศรี, ภาวะผู้นำ, (กรุงเทพมหานคร : ธนธัชการพิมพ์,
๒๕๔๔), หนา้ ๓๑.

๔เถาวัลย์ นันทาภิวัฒน์, หลักการจัดการ, (กรุงเทพมหานคร :
จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๒๐๓.

๕สมพงษ์ เกษมสิน, การบรหิ าร, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช,
๒๕๔๖), หนา้ ๒๒๐.

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๐๑

“ภาวะผู้นำ หรือการเป็นผู้นำ” (Leadership) น้ัน๖ อธิบายอยู่ในคำศัพท์
ภาษาอังกฤษเป็นคร้ังแรกเม่ือประมาณ ปี ค.ศ.๑๘๐๐ จากน้ันอีก ๑๐๐
ต่อมานักสังคมศาสตร์จึงได้ทำการศึกษาเรื่อง “ภาวะผู้นำ” อย่างจริงจัง
นักวิจัยจำนวนมากให้ความสนใจศึกษาเร่ืองน้ีเป็นอย่างมากเป็นพิเศษ โดยมี
การศึกษาว่า

- ปัจเจกบคุ คลเปน็ ผู้อื่นไดอ้ ย่างไร
- ผู้นำรักษาสถานภาพของตนไดอ้ ย่างไร
- ผู้นำทำอยา่ งไรจงึ มผี ู้ตาม
- ผู้นำมีอทิ ธิพลต่อการปฏบิ ัตงิ านของกลมุ่ ได้ยา่ งไร
- ปัจจัยอะไรทีม่ ีผลตอ่ การเป็นผู้นำทีม่ ปี ระสิทธิผล
ภาวะผู้นำ คือความสัมพันธ์ (Relationship) ท่ีเกิดข้ึนระหว่าง
ผู้นำและผตู้ าม โดยให้ความสนใจในกระบวนการมปี ระพฤติของผู้นำในการใช้
มรรคพิธีต่างๆ ในการทำหน้าท่ีตามบทบาทของตนให้เป้าหมายบรรลุที่
ต้องการในบริบทหน่ึงๆ (โดยใช้ปัจจัยต่างๆ เช่น คุณลักษณะ ความสามารถ
สติปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ ในการมีพฤติกรรมในสภาพต่างๆ) เมื่อ
พิจารณาเทยี บกบั เร่ืองทางจูงใจ (motivation) แล้ว เปรียบไดเ้ หรยี ญหนึ่งที่มี
สองด้าน ด้านหนึ่งคอื ภาวะผู้นำ อีกด้านหน่ึงคือการจูงใจ เมื่อพูดถึงความจูง
ใจจะเน้นความต้องการของผู้ตาม เมื่อพูดถึงภาวะผู้นำจะเน้นพฤติกรรมของ

๖พะยอม วงศ์สารศรี, องค์การและการจัดการ, (กรุงเทพมหานคร : ครุ
สภา, ๒๕๔๔), หน้า ๑๙๒.

๖นิตย์ สัมมาพันธ์, ภาวะผู้นำ : พลังขับเคลื่อนสู่ความเป็นเลิศ,
(กรงุ เทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตรร์ ว่ มกบั สำนกั พิมพ์โอเดียนสโตว์,
๒๕๔๖), หน้า ๓๑.

ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๐๒

ผู้นำ ในอดีตน้ันสนใจเลือกผู้นำตามลักษณะของผู้นำซ่ึงเป็นส่ิงที่ผู้ตามมี
ประสบการณส์ ่วนบุคคล ตอ่ มาสนใจท่ีสไตลก์ ารเป็นผนู้ ำ โดยสนใจพฤตกิ รรม
ของผู้นำ ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีผู้ตามมีประสบการณ์ได้โดยตรง และเชื่อว่าสามารถ
ฝึกฝนบุคคลให้เป็นผู้นำท่ีดีได้๗ พลังชนิดหน่ึงสามารถส่งแรงกระทำอัน
ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนของกลุ่มคนและระบบองค์กรที่ไปสู่เป้าหมาย
ประสงค์๘ คุณภาพพฤติกรรมของบุคคลเพื่อช้ีนำบุคคลอ่ืน หรือชี้นำกิจกรรม
ต่างๆ ในภาระองค์กร๙กล่าวว่าภาวะผู้นำ กระบวนการท่ีจะต้องนำเข้าไป
เก่ียวข้องกับความคาดหวัง ค่านิยม และความสามารถในการติดต่อพบปะ
เจรจาของบุคคลที่จะต้องนำไปเกี่ยวข้องด้วย ดังน้ัน เพ่ือจะก่อให้เกิด
ประสิทธิภาพในการทำงาน ผู้นำจะต้องแสดงออกจากพฤติกรรมที่จะทำให้
ผู้บังคับบัญชา เห็นว่าในการสนับสนุนในความสามารถของเขา๑๐ ภาวะผู้นำ
เป็นขบวนการใชอ้ ิทธพิ ลต่อกลุ่มในองค์การเพื่อบรรลุเปา้ หมายที่ต้ังไว้๑๑ เป็น
การประกอบกันของลักษณะบุคคลอืน่ กระทำที่บรรลุเป้าหมายที่องค์การของ
ตน ๑๒ ความสามารถส่วนบุคคลในการชักชวนหรือชี้นำคนอื่นหรือชักจูงผู้อ่ืน

๙Chater I. Barnard, Oganization and Management,
(Cambridge Massachusetts : Harvard University press., 1962), p. 83.

๑๐Rensis Likert, The Human Organization, ( New York :
mcGrawHill, 1967), p. 172.

๑๑Ralph stogdill, Leadership membership and
Organization, (psychological Buillentin, 1950), p. 4.

๑๒Ordway tead, The art of Leadership, (New York : McGraw–
hillbookcompany.Inc., 1956), p. 19.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๐๓

ให้ร่วมมือร่วมใจกับตน ดำเนนิ การไปสู่จุดมุ่งหมายของตนได้๑๓ กระบวนการ
ท่ีบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือมากกว่า พยายามใช้อิทธิพลของตนหรือกลุ่มของ
ตน กระตุ้น ช้ีนำ ผลักดัน ให้บุคคลอื่นหรือกลุ่มบุคคลอื่นมีความเต็มใจ และ
กระตือรือร้นทำส่ิงต่างๆ ตามต้องการ โดยมีกลุ่มหรือองค์กรเป็นเป้าหมาย๑๔
ไดร้ วบรวมเสนอความหมายภาวะผนู้ ำไวใ้ นนยิ ามดงั น้ี

๑) ภาวะผู้นำ คือ การท่ีบุคคลในความสัมพันธ์ซ่ึงมีต่อ
ผู้ใต้บังคับบัญชา ในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อปฏิบัติการ และอำนวยการ
กระบวนการติดต่อการส่ือสาร ติดตามซ่ึงกันและกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายท่ี
กำหนดไว้

๒) ภาวะผู้นำในทางปฏิบัติ คือ การท่ีบรหิ ารของกล่มุ ทำหน้าที่
เก่ียวกับอำนวยการ จูงใจ ริเร่ิม ประนีประนอม และประสานงาน โดยอาศัย
อำนาจหน้าที่และอำนาจบารมี เป็นเครื่องมือในการบริหารเพื่อบรรลุ
วตั ถปุ ระสงค์ท่ีวางไว้

๓) ภาวะผู้นำ คือ ความสามารถของบุคคลท่ีในการทำแผนงาน
และคำวนิ ิจฉยั ของเขาใหเ้ ป็นทยี่ อมรับด้วยความเตม็ ใจในหม่ผู ตู้ ามทง้ั หลาย

๔) ภาวะผู้นำ คือ วิธีการจูงใจให้แต่ละคนทำงาน เพื่อบรรลุ
วตั ถปุ ระสงค์

๑๓หวน พินธุพันธ์, การบริหารโรงเรียน, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนส
โตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๔๐.

๑๔เศาวนิต เศาณานนท์, ภาวะผู้นำ, (นครราชศรีมา : โปรแกรม
วชิ าการบรหิ ารศกึ ษาครุศาสตร์สถาบนั ราชภฏั นครราชศรมี า, ๒๕๔๒), หนา้ ๒.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๐๔

๕) ภาวะผู้นำ คือ กิจกรรมที่มีอิทธิพลจูงใจประชาชน ให้
รว่ มมือปฏิบัติเพ่ือบรรลุวตั ถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคนเหล่านั้นเป็นสิ่ง
ทีเ่ ปน็ อันพึ่งปรารถนา๑๕

กล่าวโดยสรุปว่า ภาวะผู้นำ คือ กระบวนการที่บุคคลใด
บุคคลหน่ึงหรือมากกว่าพยายามใช้อิทธิพลของตนหรือกลุ่มตน กระตุ้น ช้ีนำ
ผลักดัน ให้บุคคลอ่ืนหรือกลุ่มบุคคลอื่นมีความเต็มใจและกระตือรือร้นในการ
ทำสิ่งตา่ งๆ โดยมีความสำเรจ็ ของกลุ่มหรือองค์กรเปน็ เป้าหมายการท่ีผูน้ ำใช้
อิทธิพลหรืออำนาจหน้าท่ีในความสำคัญท่ีมีอยู่ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาใน
สถานการณต์ ่างๆ เพ่ือปฏิบตั ิการและอำนวยการโดยใช้ขบวนการตดิ ต่อซึ่งกัน
และกันเพื่อมุ่งให้ไปตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ ภาวะผู้นำ หมายถึง
คุณลักษณะส่วนบุคลท่ีแสดงออกมาเม่ือมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มในระหว่างการ
ทำงานหรือผู้ร่วมด้วยกับสถานการณ์เดียวกัน ในอันท่ีจะทำให้เกิดกิจกรรม
ของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จ การที่ผู้นำใช้อิทธิพลใน
ความสัมพนั ธซ์ ่ึงมีอยู่ตอ่ ใตผ้ ู้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆ เพอ่ื ปฏิบตั ิและ
อำนวยการ โดยใช้กระบวนการติดต่อซึ่งกันและกัน เพื่อบรรลุตามเป้าหมาย
ผ้นู ำคือศิลปะหรือความสามารถของบุคคลหน่ึงที่จูงใจหรือใช้อิทธพิ ลต่อบุคล
อ่ืน ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานหรือใต้บังคับบัญชา ในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อ
ปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใชข้ บวนการสื่อความหมาย หรือการตดิ ต่อกัน
และกันให้ร่วมใจกับตนเพ่ือดำเนินการจนบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์
และตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ การดำเนินการจะไปในทางที่ดีหรือช่ัวก็ได้
พฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลหน่ึงท่ีชักนำกิจกรรมของกลุ่มให้บรรลุเป้าหมาย
ร่วมกัน หรือเป็นความสัมพันธ์แบบผู้นำและผู้ตาม ซึ่งเพื่อให้บรรลุการ

๑๕อุทัย หิรัญโต, หลักบริหารบุคคล, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอ
เดียนสโตร์, ๒๕๔๓), หนา้ ๘-๙.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๐๕

เปลี่ยนแปลงเพ่ือให้บรรลุจุดหมายร่วม หรือเป็นความสามารถท่ีสร้างความ
เช่ือมั่น และให้การสนับสนุนบุคคลเพ่ือบรรลุเป้าหมาย ความสัมพันธ์ของ
บุคคลหรือผู้มีอิทธิพล ให้ผู้อื่นทำงานร่วมกันอย่างจริงใจเพื่อบรรลุเป้าหมาย
อนั เป็นท่ีต้องการของผู้นำ ผู้นำมิใช่เป็นผู้ผลักดันแต่เป็นผู้ดึงโดยแจ้งให้ผู้ตาม
ทราบแนวทางปรารถนา ให้ปฏิบัติตามด้วยการปฏิบัติตามตัวอย่างความรู้
ความสามารถของบุคคล ชักนำให้คนทั้งหลายมาประสานกันและพากันไปสู่
จุดหมายการใช้อิทธิพลหรืออำนาจหน้าท่ีในความสัมพันธ์อำนวยการในการ
กระบวนการติดต่อซึ่งกันและกันบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดภาวะผู้นำ
จะเน้นพฤติกรรมของผู้นำ ผู้นำซ่ึงเป็นสิ่งท่ีผู้ตามมีประสบการณ์ส่วนบุคคล
พฤติกรรมของผู้นำซึ่งเป็นส่ิงที่ผู้ตามมีประสบการณ์ เช่ือว่าสามารถฝึกฝน
บคุ คลใหเ้ ป็นผนู้ ำที่ดีได้

คุณภาพพฤติกรรมของบุคคลเพื่อชี้นำบุคคลอื่น หรือช้ีนำ
กิจกรรมต่างๆ ในภาระองค์กรภาวะผู้นำเป็นขบวนการใช้อิทธิพลต่อกลุ่มใน
องค์การเพ่ือบรรลเุ ปา้ หมายทีต่ ้ังไว้

7.2 รปู แบบภาวะผู้นำขององคก์ ร

โรนาลด์ ลิพพิท (Ronald lippitt) ได้อธิบายรูปแบบผู้นำไว้ ๓
ลกั ษณะ

๑) ภาวะผู้นำแบบปล่อยเสรี หรือเสรีนิยม (laissez –faire
Leadership) ภาวะการณ์เป็นผู้นำชนิดน้ี ผู้นำจะปล่อยให้ผู้บังคับบัญชา
ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ โดยมีผู้นำเป็นผู้ดูแลเพียงห่างๆ ไม่ค่อยมีบทบาทอะไร
มากนัก จึงมีคำเรียกผู้นำแบบน้ีว่า “ผู้นำแบบบุรุษไปรษณีย์” เพราะผู้นำมี
หน้าท่ีเพียงเพราะส่งข่าวสารเท่านั้น จุดเน้นอยู่ท่ีใต้ผู้บังคับบัญชาเท่าน้ัน ที่
เป็นสำคัญ จะเห็นว่าผู้นำแบบน้ีไม่ได้เป็นผู้นำเลย ดังน้ัน อาจเรียกว่า ผู้นำ

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๐๖

จอมปลอม แต่ส่วนใหญ่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีความพึงพอใจภาวะผู้นำแบบน้ี
สำหรบั ผลการทำงานนั้น ขึ้นอย่กู ับศกั ยภาพของผู้ปฏบิ ตั ิงานเอง

๒) ภาวะผู้นำแบบอัตนิยม หรือแบบเผด็จการ (Autocratic
Leadership) ภาวะเป็นผู้นำแบบนี้ ผู้นำจะยึดตัวเองเป็นสำคัญ ตั้งแต่การ
เป็ น ผู้ตัด สิน ใจ กำห น ด เป้ าห ม าย วิธีการท ำงาน การส่ังการแก่
ผู้ใต้บังคับบัญชา และควบคุมใต้ผู้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ด้วยตนเอง ไม่
ปล่อยให้มีอิสระในการทำงาน และทั้งนี้เพราะเขาไม่มีความไว้วางใจใน
ผู้ใต้บังคับบัญชา ภายใต้ภาวะการณ์เป็นผู้นำแบบน้ี ผู้ใต้บังคับบัญชาจะมี
ความไมพ่ อใจในผ้นู ำแบบน้ีและจะแสดงความก้าวร้าวตอบโต้ใต้ผู้นำ หรอื ไม่
ก็เฉยเมยเสียเลย หรอื แสดงความกา้ วรา้ วเมอื่ ผ้นู ำไมอ่ ยู่

๓) ภาวะผูน้ ำประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำ
แบบน้ีจะมีทัศนคติต่อใต้ผู้บังคับบัญชา แตกต่างกับอัตนิยม เขาจะมีความไว้
เนื้อเช่ือใจใต้ผู้บังคับบัญชามีความรู้ความสามารถ ดังน้ันเขาจะเปิดโอกาสให้
ใต้ผู้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ กำหนดนโยบาย ร่วมถึงวิธีการ
ปฏิบัติงานทั้งหลายหรือรวมเรียกว่ากลุ่มน้ันเอง ภายใต้ภาวะการณ์เป็นผู้นำ
แบบนี้สมาชิกในกลุ่มมีความพึงพอใจสูง จึงกล่าวได้ว่า ผู้นำที่ดีต้องใช้ภาวะ
ผู้นำท่ีเหมาะสม กับผู้ตามและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้บรรลุ
วตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ ร

จากการศึกษากรอบแนวคิดเรื่องผู้นำและภาวะผู้ตามหลัก
วิชาการทั่วไปจะพบว่า คำว่าผู้นำนั้นตามความหมายจริงๆ แล้วหมายถึงผู้ท่ี
ได้รับการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งจากผู้คนในสังคมหรือหมู่คณะในองค์กร ชุมชน
สังคมใดท่ีใดท่ีหน่ึง ให้บรรลุเป้าหมายตามท่ีกำหนดไว้ ซ่ึงความเป็นผู้นำที่
ได้รับการแตง่ ต้ังและเลือกตั้งในมติของสงั คมดังกล่าวน้ีจะมีอำนาจและหน้าที่
ในการนำหรือเปน็ ผใู้ ช้อำนาจเพื่อการกระทำบางอย่างให้สำเร็จ

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๐๗

ส่วนคำว่า ภาวะผู้นำนั้น หมายถึง ศักยภาพ ทั้งส่วนที่เป็น
ศาสตร์ และศิลป์ในการเป็นผู้นำหรือเป็นลักษณะพิเศษของผู้นำทั้งท่ีอยู่
ภายนอกและภายในท่ีผู้ท่ีสามารถนำเอาศาสตร์และศิลป์ หรือเทคนิคและ
วธิ ีการนำมาใช้ ซึ่งภาวะผู้นำนี้ยังหมายถึงคุณธรรมที่อยู่ภายในจิตใจของผู้นำ
คนน้ันด้วยและเม่ือนำคำว่า มาวิเคราะหก์ ับคำวา่ ภาวะผนู้ ำก็จะพบว่าผ้นู ำนั้น
ใครๆก็เป็นได้ ซึ่งอาจจะมาจากการเลือกหรือแต่งตั้งได้ ส่วนคำว่าผู้นำเป็น
ค ณ ะ ลั ก ษ ณ ะ ภ า ย ใน ข อ ง ผู้ ที่ เป็ น ผู้ น ำ เท ค นิ ค วิ ธี ก า ร แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม แ ล ะ
จริยธรรมสติปัญญาสติปัญญา เป็นต้น ซึ่งจะพบว่าผู้นำนั้น ใครๆก็เป็นได้ แต่
จะได้รับการยอมรับจากคนในสังคมหรือไม่น้ันก็อยู่ที่ศาสตร์ของความเป็น
ผู้นำท่ีเราเรียกกันว่า ภาวะผู้นำเท่านั้นหากผู้นำไม่มีภาวะผู้นำก็จะถูกสังคม
ตอ่ ตา้ นได้ แตถ่ ้าผู้นำท่ีมีภาวะผู้นำก็จะเป็นท่ียอมรับของชุมชน และ สามารถ
นำพาองคก์ รหรือชุมชนไปสู่เป้าหมายหรอื ความสำเรจ็ ได้

7.3 ทฤษฎีภาวะผ้นู ำ

แนวทางในการศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นำในด้านการปกครอง
คณะสงฆ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ซึ่งมีนักวิชาการ
หลายท่านทใ่ี หแ้ นวคดิ ทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ งไว้ดงั น้ี

ทฤษฎภี าวะผู้นำ (Leadership Theories) ขององคก์ ร
สมัยโบราณมนุษย์มีความเช่ือว่า การเป็นผู้นำเป็นเร่ืองของ
ความสามารถที่เกิดขึ้นเฉพาะตระกูล หรือเฉพาะบุคคลและสืบเชื้อสายกันได้
บุคลิกและลักษณะของการเป็นผู้นำ เป็นส่ิงที่มีมาแต่กำเนิดและเป็น
คุณสมบัติเฉพาะตัว สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผู้ท่ีเกิดในตระกูล
ของผู้นำย่อมจะตอ้ งมลี ักษณะผนู้ ำดว้ ย

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๐๘

แนวคิดเกี่ยวกับผู้นำเร่ิมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มี
การศึกษาและรวบรวมทฤษฎีเก่ียวกับภาวะผู้นำ โดยแบ่งตามระยะการ
พฒั นา ดงั น้ี

๑. ทฤษฎคี ุณลักษณะภาวะผู้นำ (Trait Theories)
๒. ทฤษฎีพฤติกรรมผูน้ ำ (Behavioral Theories)
๓ . ท ฤษ ฎี ภ าวะผู้น ำตาม สถ าน การณ์ (Situational or
Contingency Leadership Theories)
๔. ทฤษฎีความเป็นภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป (Transformational
Leadership Theories)๑๖
๑. ทฤษฎคี ุณลักษณะภาวะผนู้ ำ (Trait Theories)
ระยะแรกของการศึกษาภาวะผู้นำเร่ิมในปี ค.ศ. ๑๙๓๐ -
๑ ๙ ๔ ๐ แ น วคิ ด ม าจ าก ท ฤษ ฎี ม ห าบุ รุษ (Greatman Theory of
Lleadership) ของกรีกและโรมันโบราณ มีความเช่ือว่า ภาวะผู้นำเกิดข้ึน
เองตามธรรมชาตหิ รอื โดยกำเนิด (Born leader) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
แต่สามารถพัฒนาข้ึนได้ ลักษณะผู้นำที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงจะ
ประกอบด้วย ความเฉลียวฉลาด มีบุคลิกภาพซ่ึงแสดงถึงการเป็นผู้นำและ
ต้องเป็นผู้ท่ีมีความสามารถด้วย ผู้นำในยุคน้ีได้แก่ พระเจ้านโปเลียน ฮิต
เลอร์ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตาก
สินมหาราช เป็นต้น ตัวอย่างการศึกษาเกี่ยวกับ Trait Theories ของ
Gardner ไดแ้ ก่
๑ . The tasks of Leadership : ก ล่ า ว ถึ ง ง า น ที่ ผู้ น ำ
จำเป็นต้องมี ๙ อย่าง ได้แก่ มีการกำหนดเป้าหมายของกลุ่ม มีบรรทัด
ฐานและค่านิยมของกลุ่ม รู้จักสร้างและใช้แรงจูงใจ มีการบริหารจัดการ มี

๑๖เนตร์พณั ณา ยาวริ าช, ภาวะผ้นู ำและผนู้ ำเชงิ กลยุทธ์, หน้า ๖๔.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๐๙

ความสามารถในการปฏิบัติการ สามารถอธิบายได้ เป็นตัวแทนของกลุ่ม
แสดงถงึ สญั ลักษณข์ องกลุ่ม และมคี วามคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรร

๒. Leader – constituent interaction เชื่อว่าผู้นำต้องมี
พลังวิเศษเหนือบุคคลอื่นหรือมีอิทธิพลเหนือบุคคลอ่ืนๆเพื่อท่ีสนองตอบ
ความต้องการข้นั พน้ื ฐาน ความคาดหวังของบุคคล และผู้นำต้องมคี วามเป็น
ตัวของตัวเอง สามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาให้ผู้ตามมีความแข็งแกร่ง
และสามารถยืนอยู่ด้วนตนเองอย่างอิสระทฤษฎีนี้พบว่า ไม่มีคุณลักษณะท่ี
แน่นอนหรือช้ีชดั ของผู้นำ เพราะผูน้ ำอาจไม่แสดงลักษณะเหล่าน้ีออกมา

7.4 ผู้นำในทางพระพทุ ธศาสนา

พระพุทธศาสนามีแนวความคิดเร่ืองเกี่ยวกับผู้นำ๑๗ น้ัน ซ่ึง
แนวคิดของการนำและภาวะผู้นำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ันอาจจะ
พิจารณาได้ว่า ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้นำองค์การ
พุทธท่ีมีธรรมบารมี และทรงเป็นผู้นำที่ยึดธรรมเป็นหลักในการนำพาสมาชิก
ในองค์การ คือ เหล่าพระสาวกไปอยู่แนวทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ท้ัง
ปวง อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างยอดเย่ียม โดย
ท่ีพระพุทธองค์ในฐานะผู้นำ ได้ทรงเลือกใช้หลักในการนำ ของพระพุทธองค์
ในเรื่องราวต่างๆตามโอกาสบุคคลสถานท่ี และ สถานการณ์ท่ีหลากหลาย
ลักษณะ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดโอกาสให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมในการ
ทำงาน การมีส่วนรว่ มในการตัดสนิ ใจ การให้ความสำคัญระหว่างคนและงาน
ออย่างเท่าเทียมกัน การสร้างแรงจูงใจ การกระตุ้นสมาชิกให้ดำเนินกิจกรรม

๑๗พระครูสิริจันทนิวิฐ, ภาวะผู้นำเชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร : นิติ
ธรรมการพิมพ์, ๒๕๔๙), หนา้ ๒๒.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๑๐

ในการปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความรู้ ความสามารถ รวมถึงวิธีในการ
ติดตอ่ สื่อสาร ระหวา่ งสมาชกิ ภายในองคก์ ารกับสมาชกิ ภายนอกองค์การ๑๘

แนวคิดเก่ียวกับผู้นำในทางพระพุทธศาสนาน้ัน มีรากฐานมา
ทางแนวทางการสร้างสรรค์บุคลากรในองค์การให้มีบุคลิกลักษณะของความ
เป็นผู้นำ ด้วยการใช้เทคนิควิธีการซึ่งคาดหวังถึงผลที่สามารถนำมาใช้ในการ
จูงใจ ให้บุคคลอ่ืนประพฤติปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของตนที่ต้องการ โดย
พิจารณาถึงระดับข้ันความต้องการภายในมนุษย์ พุทธวิธีในการนำและภาวะ
ผู้นำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ีได้ทรงใช้พุทธวิธีในการนำมวล
หมู่สมาชิกขององค์การนำไปสู่ทางแห่งความสงบสุข ร่มเย็นและมีรากฐานที่
มั่นคง ทรงเป็นผู้นำท่ีเน้นการเปิดโอกาสให้แก่สมาชิกได้เข้ามามีส่วนร่วมใน
การจัดของกิจการของหมู่สงฆ์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของการจัดสินใจ
สมาชกิ สามารถแสดงความคิดเห็นหรอื คัดค้านไดโ้ ดยอิสระเม่ือตนมีความเห็น
อ่ืนๆ หรือแม้แต่ความคิดเห็นท่ีไม่ตรงกันก็ตาม จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำท่ีดี มีบุคลิกลักษณะที่ดี มีศีลาจารวัตรท่ีงดงาม มีความรู้
ความสามารถเป็นเลิศ มีคุณธรรมของความเป็นผู้นำและแบบอย่างทางจิตใจ
ให้แก่เหล่าสาวก อีกท้ังยังเป็นผู้นำในทางปฏิบัติท่ีถูกท่ีชอบ ซ่ึงพระองค์เอง
ได้ประพฤติปฏิบัติให้เห็นได้จริงมาแล้ว เพ่ือให้พระสงฆ์สาวกได้ยึดเป็น
แนวทาง ในการดำเนินรอยตามได้อย่าง ไม่มีข้อสงสัยและเคลือบแคลงใจ
พระพุทธองค์ได้ทางใช้การสื่อสารในลักษณะของการตรัสสอน ธรรมแก่เหล่า
พระสาวก ทรงมีฐานคติในการมองของมนุษย์ว่ามีพ้ืนฐานที่แตกต่างกันท้ัง
ด้านกว้างและด้านลึก ความแตกต่างในด้านกว้าง หมายถึง ความแตกต่างใน

๑๘พูนลาภ แก้วแจ่งศรี, “การจัดการเชิงพุทธ : การสำรวจปรัชญาและ
แนวคิดสำหรับการจัดการสมัยใหม่”, วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต,
(บณั ฑติ วิทยาลัย : สถาบนั บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร,์ ๒๕๔๖).

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๑๑

เรื่องของทักษะความเชี่ยวชาญและความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน ส่วน
ความแตกต่างทางด้านลึก หมายถึง ความแตกต่างด้านของภูมิธรรม ภูมิ
ปัญญาและกุศลกรรมท่ีแตกต่างของแต่ละบุคคล ดังนั้น พระองค์จึงได้ตัดสิน
พระทัยท่ีจะตรัสสอนธรรม และเน้นย้ำ ให้เหล่าสาวกมุ่งมั่น ในการฝึกฝน
พฒั นาตนเอง อยา่ งเตม็ กำลังความสามารถ๑๙

จากการศึกษาจะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนา มีคุณลักษณะบ่ง
บอกถึงความเป็นผู้นำโดยกำเนิด เพราะเป็นการสืบทอดโดยตำแหน่ง หรือ
โดยบุญบารมีท่ีได้สั่งสมกันเป็นเวลานานจนทำให้เกิดในตระกูลสูง(กษัตริย์)
เป็นท่ียอมรับและเคารพนับถือของบุคคลทั่วๆไป ซึ่งพระพุทธศาสนาน้ัน มี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระนามว่าเป็น นายโก หรือ นายก
ซงึ่ แปลวา่ ผูน้ ำ๒๐

หลังจากพระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้แสดงปฐมเทศนา
แก่ปัญจวัคคีย์ซึ่งเป็นผู้อุปัฏฐาก ในการบำเพ็ญทุกรกิริยาต้ังแต่แรกของ
พระองค์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (เมืองสารนาถ) ใกล้เมืองพาราณสี
นับต้ังแต่นั้นเป็นต้นมาเป็นเวลา๔๕พรรษา พระองค์ได้ทรงส่งส่ังสอนมนุษย์
ชาย-หญงิ ทกุ ชนชนั้ วรรณะมีทงั้ กษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ตลอดจนพวก
นอกวรรณะให้เล่ือมใส ศรัทธา เข้ามาอุปสมบท เป็นพทุ ธสาวก หรือบางพวก
ก็ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ โดยขอถึงพระรัตนตรัยว่า เป็นท่ีพ่ึงที่เคารพ
เป็นจำนวนมากจวบจนพระพุทธศาสนาต้ังม่ันในชมพูทวีป คำส่ังสอนของ
พระองค์มีหลากหลายเหมาะสมกับฐานะและอุปนิสัยของแต่ละบุคคลไม่เลือก
แบ่งแยกกลุ่มชนในสังคมเลย เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา พระสัมมาสัม

๑๙เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๑๖๘-๑๖๙.
๒๐พ ระพ รห มคุณ าภรณ์ (ป .อ. ปยุตโต), ภ าวะผู้น ำเชิงพุ ท ธ ,
(กรงุ เทพมหานคร : นติ ิธรรมการพมิ พ์, ๒๕๔๙), หนา้ ๖.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๑๒

พุทธเจ้าก็ได้เสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา (รัฐอุตตรประเทศอินเดีย
ปัจจบุ ัน)๒๑

7.๕ คณุ สมบตั ขิ องผู้นำในทางพระพุทธศาสนา

สำหรับคุณสมบัติของผู้นำในทางพระพุทธศาสนาน้ันถือว่า
ประเดน็ ทมี่ ีผู้ศึกษากันเป็นอย่างมากเน่ืองจากว่ามีหลักฐานอ้างอิงที่ได้ถูกระบุ
ไว้ในพระไตรปิฎกและเอกสารอื่นๆอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเม่ือ
ศึกษาหลักฐานดังกล่าวมาท้ังหมด เราก็จะพบว่า ผู้นำที่ดีในทาง
พระพุทธศาสนา และ จะมีลักษณะและคุณสมบัติที่ดีในทางพระพุทธศาสนา
นั้นจะมีลักษณะและคุณสมบัติที่สำคัญอยู่ ๒ ประการ คือ ๑) ลักษณะและ
คุณสมบัติภายใน ๒) คุณสมบัติภายนอก โดยลักษณะและคุณสมบัติดังกล่าว
น้ันถือว่าเป็นส่ิงท่ีมีความสำคัญเพราะเป็นกรอบในการกำหนดอัตลักษณ์ของ
ผ้นู ำว่าผูน้ ำที่ดีน้ันควรจะมีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร โดยทั้ง ๒ ประการ
นนั้ มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

๑ ) คุ ณ ส ม บั ติ ภ า ย ใน ข อ ง ผู้ น ำ อ ง ค์ ก ร ต า ม แ น ว
พระพทุ ธศาสนา

สำหรับคุณสมบัติของผู้นำที่อยู่ในภายในน้ัน หมายถึง สภาพ
จิตใจ คุณธรรมหรือหลักการในด้านมโนธรรมผู้ท่ีนำโดยมากจะพึงมีเจตคติ
และความคิดรวมถึงอารมณ์ที่เป็นไปในฝ่ายดี และสามารถนำมาปรับใช้เพื่อ
การบริหารงานได้ โดยหลักคุณธรรมท่ีเป็นตัวกำหนดลักษณะและคุณสมบัติ
ดังกล่าวทีจ่ ัดเป็นมโนธรรมนัน้ มีดงั ตอ่ ไปนี้

๒๑พรนพ พุกกะพันธ,์ ภาวะความเป็นผนู้ ำ, (กรุงเทพมหานคร : จามจุรี
โรดักท์, ๒๕๔๒), หน้า ๒๕-๒๖.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๑๓

ก. พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้นำท่ีปรากฏอยู่ในทุติยปา
ปรกิ สตู ร ซง่ึ ในพระสตู รน้ีไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะของผ้นู ำไว้ดังนี้

๑) จักขุมา คือ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล มองสภาพการณ์
รปู การสถานการณ์ออก และจะวางแผนเตรยี มรับหรอื รกุ ได้อยา่ งไร

๒) วิธุโร คือ เป็นผู้เช่ียวชาญชำนาญในงาน รจู้ ักหลกั การและ
วธิ กี ารไม่บกพรอ่ งในหน้าท่ที ่ีตนได้รับผิดชอบ

๓) นิสสยสัมปันโน คือ เป็นผู้ท่ีมีมนุษยสัมพันธ์ดี และได้รับ
ความเชือ่ ถอื จากผู้อืน่ ๒๒

ในพระสูตรน้ีแสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้นำนั้น จะต้องเป็นผู้
ประกอบด้วยสติปัญญา คือ มีหูตาไวและกว้างไกลสามารถจำแนกบุคคล
และเหตุการณ์ สถานการณ์ ออกว่าเป็นอย่างไร ซ่ึงจะทำให้ผู้นำมี
ป ระส บ ก ารณ์ มี ค วาม ช ำน าญ ใน การป ก ค รอ ง เข้าใจบุ ค ค ล ห รือ
ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี ซ่ึงจะทำให้มีผู้สนับสนุนมากข้ึน แต่คุณสมบัติ
ท้ัง ๓ ประการนี้ มีระดับความสำคัญมากน้อยต่างกันไปตามระดับตำแหน่ง
หน้าท่ีขององค์กรหรือหน่วยงานว่าเล็กหรอื ใหญ่ขนาดไหน หรือมีความสำคัญ
เพียงใด โดยเฉพาะอย่างย่ิง ผู้ปกครองรัฐหรือผู้นำประเทศแล้วนับว่า
ผู้ใตบ้ งั คับบัญชาไวไ้ ด้

ซ่ึงจากการอธิบายมานั้นในกรอบของคุณสมบัติของผู้นำท่ี
ปรากฏในทุติยปาริกสูตรน้ัน สรุปไว้ให้พิจารณาได้จากแผนภาพท่ี ๗.๑
ดังต่อไปนี้

๒๒อง.ฺ จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๕๗/๒๐๓.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๑๔

ลกั ษณะผู้นำใน บริหารตน
ทุติยปารสิ ูตร บรหิ ารคน
บริหารงาน

แผนภาพท่ี ๗.๑ แสดงถงึ คุณสมบัติผนู้ ำทป่ี รากฏในทตุ ิยปารกิ สตู ร
ข. พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้นำท่ีปรากฏในสังฆโสภณ

สูตร ในพระสูตรนี้พระพุทธองค์ใดกำหนดแสดงถึงลักษณะและคณุ สมบัติของ
ผู้นำวา่ มีลกั ษณะสำคญั ดังต่อไปนี้

๑) วยคั โต เป็นผูม้ ปี ญั ญา
๒) วนิ ีโต เป็นผู้มรี ะเบยี บวินัย
๓) วสิ ารโท เปน็ ผู้แกลว้ กลา้
๔) พหุสสโุ ต เปน็ ผู้มคี วามรู้ ศกึ ษาทรงจำมาก
๕) ธัมมานุธมั มปฏิโน เป็นผ้ปู ฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม รักษา
ความถกู ต้องเป็นที่ถกู ท่คี วร๒๓
ผนู้ ำที่ประกอบด้วยคุณธรรม ๕ ประกาศดงั กลา่ วน้ีย่อมประสบ
ความสำเร็จและไดร้ ับการยกยอ่ งนบั ถือ
ค. พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้นำที่ปรากฏในอังคุตตร
นิกาย ปัจจกนิบาตรท่ีพระพุทธเจา้ ไดแ้ สดงลักษณะและคุณสมบัติไว้ของผู้นำ
ไว้ ๖ ประการคอื

๒๓อง.ฺ จตกุ ก.ฺ (ไทย) ๒๑/๗/๑๐.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๑๕

๑) ขมา คือ มีความอดทนต่อการปฏิบัติงานท่ีมีใจหนักแน่น
และม่ันคงไม่ยอมตกอยู่ในความช่ัวไม่เกรงกลัวหรือมีอคติ ๔ เม่ือจะต้อง
ตัดสนิ ใจและไมห่ วัน่ ไหวในเพราะโลกธรรม ๘

๒) ชาคริยะ คือ มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีความระวังไม่
ประมาทในการประคับประครองชีวิตหน้าทก่ี ารงาน

๓) อุฏฐานะ คือ ความขยนั ม่ันเพียรตอ่ หน้าทก่ี ารงาน
ง. พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้นำที่ปรากฏในเตสกุณชาดก
ท่ีพระพุทธองค์ได้แสดงถึงคุณสมบัติผู้นำและผู้ปกครองทั้งหลายซึ่งสามารถ
สรปุ ย่อลงได้
๑) ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ในการตัดสินปัญหา มีใจ
ดี ไม่ทอดทิ้งงาน ไม่ทำงานให้อากูล (ค่ังค้าง) มีความเพียรอุตสาหะในหน้าท่ี
การงาน
๒) ฉลาดวางบุคคลให้เหมาะสมกับงาน รู้ประโยชน์และโทษ
รกั ษาความลับไมด่ ำเนินชีวติ ในทางท่ผี ิด รักษาเกียรติประวัติ รักษาประโยชน์
สว่ นรวม และต้องรอบครอบในกิจการการคลงั บริหารการคลงั ด้วยตนเอง ไม่
ไว้ใจให้คนอื่นจัดการ รู้รายรับรายจ่ายของแผนดินหรือกิจการงานน้ันๆ
รบั ผิดชอบ
๓) บำรุงขวัญกำลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ยกย่องบุคคลที่
สมควรจะยกย่อง ข่มผู้ควรข่ม รู้ส่ิงไหนควรทำก่อนทำหลัง ออกรับฟังปัญหา
หรือพบปะราษฎรอยู่สม่ำเสมอเพอื่ รบั ฟังปญั หาหรือหาทางแก้ไขหรือชี้แนะ
๔) ออกติดตามผลงาน ตรวจตราดคู วามประพฤตขิ องเจา้ หน้าที่
ไม่พงึ่ มอบภารกจิ สำคญั ๆ แก่ผอู้ ่นื และใชว้ ิจารณญาณในการบริหาร
๕) ไม่พ่ึงละการบำเพ็ญประกอบตนในศีลธรรมที่ดีงาม
เพ่อื เป็นแบบอย่างและยดึ มน่ั เป็นข้อปฏบิ ตั ิ ไมส่ ำคญั ตนว่าผิดในอำนาจ

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๑๖

๖) ไม่ลุ่มหลงในกามคุณและโลกธรรม และมีปัญญา มีกำลัง
แห่งสตเิ พราะจะเป็นเคร่ืองช่วยให้ผู้นำหรือผู้ปกครองสามารถฟันฝ่าอุปสรรค
แกไ้ ขปัญหาไปได้แมถ้ งึ คราวอบั จน๒๔

จ. พิจารณาคุณสมบัติของผู้นำท่ีไม่ปรากฏในกปิชาดก สัตต
นิบาตขุททนิกาย ที่พระพุทธองค์ได้แสดงคุณสมบัติของผู้นำหรือผู้ปกครองที่
ดกี ว่า

อันคนพาลถึงจะมีการปกครองหมู่คณะไม่ดีเลย เพราะไม่เป็น
ประโยชน์แก่ญาติทั้งหลาย เหมือนนกกระทำตัวผู้ไม่เป็นประโยชน์ต่อ
ผู้ปกครองหมู่คณะทั้งหลายเหล่าน้ัน ส่วนนักปราชญ์มีกำลังปกครองหมู่คณะ
ดีมาก เพราะว่าเป็นประโยชน์ต่อญาติท้ังหลาย เหมือนท้าววาสวะผู้เป็น
ประโยชน์กับเทวดาช้ันดาวดึงทั้งหลายฉันนน้ั ผู้พิจารณาเหน็ ศลี ปัญญา และ
สุตะในตน ผู้นั้นย่อมประพฤติประโยชน์ ได้ท้ังสองฝ่าย คือ ท้ังตน และผู้อื่น

๒๕

หากพิจารณาข้อความที่ยกมากล่าวนี้แล้ว ช้ีให้เห็นว่าผู้นำหรือ
ผ้ปู กครองที่ดีนั้น จะต้องเป็นผู้มีศีลและศีลเป็นของผู้มีปัญญา แต่ถ้าผู้นำและ
ผู้ปกครองเป็นผู้ไม่มีศีลและปัญญา ก็เป็นผู้นำหรือผู้ปกครองที่ดีไม่ได้ มีแต่
ความเลวลง ตลอดจนญาติพี่น้องและเพ่ือนฝูงก็พากันรังเกียจในตรงกันข้าม
ผู้นำหรือผู้ปกครอง มีท้ังศีล ปัญญา และสุตะ อยู่ในตนแล้ว ก็เป็นประโยชน์
ให้แกผู้นำหรือผู้ปกครองที่ดี พ่ีน้องตลอดจนเพ่ือนฝูงให้ความเคารพด้วย
ความอ่อนนอ้ มอย่างแท้จรงิ

ฉ. พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้นำท่ีปรากฏในกูฏทันตสูตร
สลีขันธวรรค ทีฆนิกาย ท่ีพระพุทธองค์ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของพระเจ้า

๒๔ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒๔๓๘-๒๔๔๕/๔๓๐-๔๓๒.
๒๕ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒๖๗-๓๖๘/๒๖๗-๒๖๘.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๑๗

มหาวิชิตะในฐานะท่ีเป็นผู้นำท่ีดีว่าจะต้องมีลักษณะและคุณสมบัติ ๘
ประการนี้ คอื

๑) ทรงเป็นอุภโตสุชาต ท้ังฝ่ายพระมารดาและพระบิดา มีพระ
ครรภ์เป็นท่ีปฏิสนธิหมดจดดีตลอดเจ็ดช่ัวบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติ
เตยี นด้วยอ้างถงึ ชาตกิ ำเนดิ ได้

๒) ทรงมีพระรูปงาม น่าดู และเล่ือมใส ประกอบด้วยพระ
ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนกั มีพระฉวีวรรณคล้ายพรหม มพี ระรปู คล้ายพรหม น่าดู
น่าชมมากท่สี ุด

๓) ทรงมั่งค่ัง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก
มีเครื่องใช้สอยอันน่าปล้ืมใจมาก มีทรัพย์และธัญญาหารมาก มีพระคลังและ
ฉางเต็มบรบิ ูรณ์

๔) ทรงมีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์ ๔ ซึ่งอยู่ในวินัย
คอยปฏิบตั ติ ามพระราชบญั ชา มีพระบรมเดชานุภาพดังจะเผาผลาญราชศัตรู
ไดด้ ว้ ยพระราชอสิ ริยยศ

๕) พระราชศรัทธา เป็นทายก เป็นทานบดี มิได้ปิดประตูเป็น
ดจุ โรงทานของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก ทรง
บำเพญ็ พระราชกุศล

๖) ได้ทรงศึกษา ทรงสดับเร่อื งนนั้ ๆ มาก
๗) ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ทรงพระปรีชาสามารถ ทรง
พระราชดำริอรรถอันเป็นอดีต อนาคต และปจั จบุ ัน
ช. พิจารณาคุณสมบัติของผู้นำท่ีปรากฏในในหลักธรรมข้อ
ต่างๆ เป็นการพิจารณาในแง่ของคุณธรรมที่เป็นหลักการที่พระพุทธองค์ ได้
ทรงวางไว้ในกรอบการดำเนินชีวิตหรือการทำหน้าที่ในการบริหารต่างๆ ท่ี
เป็นผู้นำ โดยหลักการสำคญั ทีบ่ ่งบอกการเปน็ ผนู้ ำสำคัญนดี้ งั ต่อไปน้ี

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๑๘

ก. พรหมวิหาร ๔ คือ ธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐหรือผู้มี
จิตใจยิ่งใหญ่กวา้ งขวางดจุ พรหม

๑) เมตตา (ความรัก) คือ ความปรารถนาดี มีไมตรี ต้องการ
ชว่ ยเหลือให้ทกุ คนประสบประโยชน์และความสุข

๒) กรุณา (ความสงสาร) คืออยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจาก
ความทุกข์ใฝ่ใจท่ีจะปลดเปล้ืองบำบัดความทุกข์ยาก เดือดร้อน ของคน และ
สัตวท์ ้ังปวง

๓) มุทิตา (ความเบิกบานพลอยยินดี) เม่ือเห็นผู้อ่ืนอยู่ดีมี
ความสุขก็มีใจแช่มชื่นเบิกบานเมื่อเห็นเขาประสบความสำเร็จงอกงาม
ยิ่งขน้ึ ไป กพ็ ลอยยนิ ดบี นั เทิงใจด้วย

๔) อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) คือ มองตามความเป็นจริง
โดยวางจิตเรียบสม่ำเสมอ มั่งคงเท่ียงตรงดุจตราช่ัง มองเห็นกลางท่ีบุคคลจะ
ได้รับผลดีหรือชั่วสมควรแก่เหตุที่ตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัย วางตน
และปฏบิ ัติไปตามความเทยี่ งธรรม

ข. หลักอคติ ๔ เมื่อมีคุณธรรมสมบูรณ์ การทำงานจะถูกต้อง
เป็นประโยชน์ย่ิงขึ้น ก็ด้วยละอคติ ๔ ความลำเอียงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้
เกดิ ความวุ่นวายในสังคมเพราะสร้างความแตกแยกจนเกดิ ไร้ความสามัคคีกัน
ได้โดยง่าย ผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมจักต้องไม่เป็นผู้มีความลำเอียงโดย
เด็ดขาดในปุราเภทสุตตนิทเทศ อัฎฐกวรรค ขุททกนิกาย ว่าด้วยผู้ไม่มีคำ
ลำเอียงว่า คำว่า “ละ” ไม่ถึงความลำเอียงในธรรมท้ังหลาย คือไม่ถึง
ฉนั ทาคติ ไม่ถึงโทสาคติ ไม่ถึงโมหาคติ ไม่ถงึ ภยาคติ ไม่ลำเอียงด้วยอำนาจใน
ธรรมท้ังหลาย คือไม่ถึงฉันทาคติ ไม่ลำเอียงด้วยอำนาจท้ังหลายแห่งราคะ
โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ อุทธัจจะ วิจิกิฉา อนุสัย ไม่ไปออกไป พาไป นำไป

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๑๙

ด้วยธรรมท้ังหลายอันทำให้เป็นพรรคพวก เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าไม่ถึงความ
ลำเอียงในธรรมทงั้ หลาย อคตมิ ี ๔ ประการ

๑) ฉนั ทาคติ ลำเอยี งเพราะชอบ
๒) โทสาคติ ลำเอยี งเพราะชัง
๓) โมหาคติ ลำเอยี งหลงหรอื เขลา
๔) ภยาคติ ลำเอยี งเพราะขลาดกลัว๒๖
ค. หลักสัปปุริสธรรม ๗ ส่วนการดำเนินการต่างๆ มีความ
เหมาะสมเพียงใด มีหลักพุทธธรรมอีกส่วน คือ หลักสัปปุริสธรรม ในสัปปุริส
สูตร อุปริปัญณาสก์ มัชฌิมนิกาย ปรากฏพุทธโอวาท เร่ืองธรรมของความดี
(สัตบุรุษ) คนที่สมบูรณ์แบบ หรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซ่ึงถือว่าเป็นสมาชิกท่ีดี
มีคุณค่า ท่ีแท้ของมนุษยชาติ มีธรรมะ หรือคุณสมบัติท่ีเรียกว่า สัปปุริธรรม
๗ ประการ คือ
๑) ธัมมัญญุตา (รู้หลักและรู้จักเหตุ) คือ รู้หลักการและ
กฎเกณฑ์ท้ังหลายที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิต การปฏิบัติกิจหรือ
หน้าท่ีและการดำเนินกิจการตา่ งๆ รู้และเข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องประพฤติ
ปฏิบัติตน รู้ว่าตำแหน่งฐานะ อาชีพการงานของตน มีหน้าที่และความ
รบั ผิดชอบอย่างไร มีอะไรเป็นหลักการและต้องธรรมอะไรอย่างไร ถึงจะเป็น
เหตุให้บรรลตุ ามผลสำเรจ็ ที่เปน็ ไปตามหน้าที่ ความรบั ผดิ ชอบนั้นๆ ตลอดจน
ขั้นสูงสุด คือรู้เท่าทันกฎธรรมดาหรือหลักความจริงของธรรมชาติเพ่ือปฏิบัติ
ต่อชีวติ อย่างถูกต้อง มีจิตใจเป็นอิสระไมต่ กเปน็ ทาสของโลกกับชีวิตนนั้
๒) อัตถัญญุตา คือ ความหมายและการมุ่งมั่นและปฏิบัติตน
เข้าใจวัตถุประสงค์ของกิจการที่ต้นกระทำรู้ว่าหลักการนั้น ดำเนินชีวิต
อย่างไรเพ่ือประสงค์ประโยชน์อะไรถึงจะรับรู้ได้ถึงผลอะไร ท่ีมีหน้าที่

๒๖ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๖/๑๙๖.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๒๐

ตำแหน่งฐานะ การงานอย่างนั้น เขากำหนดวางไว้เพื่อมุ่งหมายอะไร กิจการ
ท่ีตนทำอยู่ขนาดนี้ กิจกรรมที่ตนทำอยู่ขณะนี้เม่ือทำไปแล้ว จะบังเกิดผล
อะไรบ้าง ผลดีหรือผลเสียอย่างไร เป็นต้น ตลอดจนข้ึนข้ันสูงสุด คือ รู้
ความหมายของคติธรรมและประโยชน์ท่เี ป็นสาระของชีวิต

๓) อัตตัญญุตา (รู้จักตน) คือ รู้จักตัวตนของเราเอง ว่าโดย
ฐานะ ภาวะ เพศ กำลังความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม
สามารถประเมินตนเองไดใ้ นหลักธรรม ดังนี้ ศรทั ธา ( ชอบ รักในงานอะไร )
ศีล ( วนิ ัย) สุตะ ( ความรู้ ) จาคะ ( ความเสียสละ) ปัญญา ( กระบวนการใน
การพัฒนาความร้ทู ี่มีอยู่) เป็นต้น แล้วประพฤติให้เหมาะสม และรู้ท่ีจะแก้ไข
ปรบั ปรุงตอ่ ไป

๔) มัตตัญญตา (รู้จักประมาณ) คือ รู้จักพอดี เช่น รู้จัก
ประมาณในการบรโิ ภครจู้ ักประมาณในการใช้จา่ ยทรพั ย์ ร้จู ักความพอเหมาะ
พอดีในการพูด การปฏิบัติกิจและทำการต่างๆตลอดจนการพักผ่อนหลับ
นอน และการสนกุ สนานรื่นเริงตา่ งๆ

๕) กาลัญญุตา (รู้จักกาล) คือ รู้การเวลาอันเหมาะสมและ
ระยะเวลาที่พึ่งใช้ในการประกอบกิจ กระทำหน้าที่การงานปฏิบัติการต่างๆ
และเกี่ยวข้องกับผู้อ่ืน เช่น รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร และทำให้ตรงเวลา ให้
เป็นเวลา ใหเ้ หมาะเวลา ให้ถกู เวลา เป็นตน้

๖) ปริสัญญุตา ( รจู้ ักชมุ ชน ) คือ รู้จกั ถิ่น รู้จักทปี่ ระชมุ ชนและ
ชุมชน รู้กาลอันควรประพฤติปฏิบตั ิในถ่ินชุมชน และต่อชมุ ชนน้นั ว่า ชุมชนนี้
เมื่อเข้าไปหาควรต้องทำกิริยาอย่างไรควรต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้มีระเบียบ
วินัยอย่างไร มีวัฒนธรรมประเพณีอย่างน้ี มีความต้องการอย่างไรควร
เก่ียวข้อง ควรต้องสงเคราะห์ ควรรับใช้ ควรบำเพ็ญประโยชน์ให้อย่างนั้นๆ
เป็นตน้

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๒๑

๗) ปุคคลัญญุตา ( รู้จักบุคคล) คือ รู้จัก และเข้าใจ ความ
แตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัยความสามารถและคุณธรรม เป็นต้น
ใครๆ ย่ิงหรือหย่อนอยา่ งไร และรจู้ ักทีจ่ ะปฏิบัติตอ่ บคุ คลอื่นๆ ด้วยดวี ่าควร
จะคบหรือไม่ ได้คติอะไร จะสัมพันธ์การเกี่ยวข้อง จะใช้ จะยกย่องจะตำหนิ
หรือจะแนะนำคำสอนอย่างไรดีจึงได้ผลดี เป็นต้น มีข้อธรรมจากสัปปุริสสูตร
จตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย กล่าวถึงการแสดงออก หรือพฤติกรรมของ
สัตบุรุษ (ผู้มีคุณธรรม) ไว้ดังนี้คือ แม้ถูกถาม ก็ไม่เปิดเผยความเสียหายของ
ผอู้ ่ืน จะกล่าวอะไรก็ไม่ถกู ถามเลา่ แต่เมื่อถูกถามเข้าไปก็ไม่แก้ปญั หาโดยตรง
อ้ออมค้อมหนว่ งเหนย่ี ว กล่าวความเสียหายของผู้อนื่ โดยย่อไม่เตม็ ท่ี แม้ไม่ถูก
ถามก็ไม่เปิดเผยความดีของผู้อ่ืนจะกล่าวอะไรก็ถูกถามเล่า เม่ือถูกถามก็
แก้ปัญหาโดยตรงไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยวกล่าว ความดีของผู้อื่นอย่าง
เต็มท่ีกว่าขวาง แม้ไม่ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความเสียหายของตน จะกล่าวอะไร
ถึงถกู ถามเล่า แต่เม่ือถูกถามเขา้ ก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่ออ้ มค้อมหน่วงเหนี่ยว
กลา่ วความเสยี หายของตนเตม็ ท่ีอย่างกวา้ งขวาง แมถ้ ูกถามก็ไมเ่ ปดิ เผยความ
ดีของตนจะกล่าวอะไร ถึงไม่ถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าไปก็ไม่แก้ปัญหา
โดยตรง ออ้ มค้อม หนว่ งเหนย่ี ว และกล่าวความดีของตนโดยย่อ๒๗

ในข้อน้ีหมายความว่าพฤติกรรมของสัตบุรุษน้ัน มีลักษณะ
อปุ นสิ ยั ไมช่ อบกล่าว ให้ผู้อ่ืนเสียหาย แมบ้ ุรษุ คนนั้นจะเปน็ ทไ่ี มด่ กี ็ตาม แมถ้ ึง
ที่สุดคือ เมื่อมใี ครมาถามก็ไมเ่ ปดิ เผยในเร่ืองทีไ่ ม่ดีของเขา กล่าวแต่เรอ่ื งดี ยิ่ง
ไม่ต้องพูดว่า จะกล่าวออกมาเอง หากว่า จำเป็นท่ีจะต้องช้ีแจ้ง ก็กล่าวแต่
เพียงอ้อมๆ แต่หากเป็นเร่ืองที่ดีแล้วน่าจะขยายความให้ผู้อื่นทราบ ในทาง
ตรงกันข้าม ถ้าหากเป็นเรื่องของตน ถา้ เรื่องเสยี หาย ก็จะกล่าวอย่างเต็มที่ไม่

๒๗ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๒๖๔.

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๒๒

ปกปิด ไม่อ้อมค้อม พอเป็นเรื่องความดีของตนไม่ควรสรรเสริญเยินยอตนเอง
น้ีคือ คณุ สมบตั ิของคนดี

ง. หลักทศพิธราชธรรม ๑๐ ในสุวัณณหังชาดก อสัมปทาน
วรรค ขุททกนิกาย ได้กล่าวถึงคุณธรรมหรือผู้ปกครองหรือธรรมของ
พระราชา ๑๐ ประการในการปกครองของผู้นำต่อการจัดการขององค์กรการ
ปกครอง คอื

๑) ทาน (ให้ปันประชา) คือ บำเพ็ญตนให้เป็นผู้ให้มุ่งปกครอง
หรือการทำงานเพื่อเขาได้ มิใช่เพ่ือเอาจากเขา เอาใจใส่อำนวยบริการจัดสรร
ความสงเคราะห์ อนุเคราะห์ให้ประชาราษฎร์ได้รับประโยชน์สุข มีความ
สะดวกปลอดภัย ตลอดจนความช่วยเหลือต่อผู้เดือดร้อนประสบทุกข์และให้
ความสนบั สนนุ แกผ่ ทู้ ำความดี

๒) ศีล (รักษาความสุจริต) คือ ประพฤติดีงามสำรวมกายและ
วจีทวารประกอบการสุจริต รักษากิตติคุณ ประพฤติให้ควรเป็นตัวอย่าง เป็น
ทเี่ คารพนับถอื ของประชาราษฎร์ มใิ ห้ทม่ี ขี ้อผู้ใดจะดูแคลน

๓) ปริจาคะ (บำเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ) คือ สามารถ
เสยี สละความสุขสำราญส่วนตน ตลอดจนชีวติ ของตนได้ เพื่อประโยชน์สูงสุด
ของประชาชนและความสงบเงยี บเรียบร้อยของบา้ นเมือง

๔) อาชชวะ (ปฏิบัติภารกิจโดยซ่ือตรง) คือ ซื่อตรงทรงสัตย์ไร้
มารยา ปฏิบัตภิ ารกจิ โดยสุจรติ มคี วามจรงิ ใจ ไม่หลอกลวงประชาชน

๕) มัททวะ (ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงคน) คือ มีอัธยาศัยไม่
เย่อหย่งิ หยาบคายกระดา้ งถอื ตน มคี วามสง่าเกิดแต่ท่วงทีกริ ยิ าสุภาพนุ่มนวล
ละมุนละไม ควรไดค้ วามจงรักภักดีแต่มขิ าดยำเกรง

๖) ตปะ (พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส) คือ แผดเผากิเลส ตัณหา
มิได้เข้ามาครอบงำจิต ระงับยั้งข่มใจไม่หลงใหลหมกมุ่นในความสุขสำราญ

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๒๓

และความปรนเปรอมีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หรือเป็นอยู่อย่างง่ายๆ สามัญ
มงุ่ มัน่ แต่จะบำเพ็ญเพยี รทำกิจในหน้าทใ่ี ห้สมบรู ณ์

๗) อักโกธะ (มีเหตุผลไม่โกรธา) คือ ไม่กราดเกรี้ยวไม่วินิจฉัย
ความ และกระทำการด้วยอำนาจความโกรธ มีเมตตาประจำใจไว้ระงับความ
เคอื งขุน่ วินิจฉัยความกระทำการดว้ ยจติ อันสขุ มุ ราบเรียบตามธรรม

๘) อวหิ ิงสา (อวิงหิงสานำร่มเย็น) คือ ไม่หลงระเริงอำนาจ ไม่
บีบค้ันกดข่ี มีความกรุณ า ไม่หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญ าแก่
ประชาราษฎร์ผู้ใด ดว้ ยอาศยั ความอาฆาตเกลียดชัง

๙) ขันติ (ชนะเข็ญด้วยขันติ) คือ อดทนต่องานที่ตรากตรำ
อดทนต่อความเหน่ือยยากถึงจะลำบากกายน่าเหนื่อยหน่ายใจเท่าไรก็ไม่
ท้อถอย

๑๐) อวิโรธนะ (มีปฏิบัติคลาดจากธรรม) คือ ประพฤติให้ผิด
จากประศาสนธรรม อันเป็นประโยชน์สุขความดคี วามงาม ของรฐั และราษฎร์
เป็นที่ตั้ง อันเป็นประชาราษฎร์ปรารถนาโดยชอบธรรมก็ไม่ขัดขืน การใดจะ
เป็นไปโดยชอบธรรมเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนกไ็ ม่ขดั ขวาง วางตนเป็น
หลัก หนักแน่นในธรรม คงท่ี ไม่มีความเอนเอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ้ ยคำดีร้าย
ลาภสักการะหรืออิฏฐารมณ์ ต้ังม่ันในธรรม ท้ังส่วนยุติธรรม คือความเที่ยง
ธรรมก็ดี นิติธรรมคือระเบียบแบบแผนหลักการปกครอง ตลอดจน
ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามก็ดีไม่ประพฤตใิ ห้เคลอ่ื นคลาดวิบตั ิไป๒๘

จ. หลักจักรวรรดิวัตร ๑๒ เป็นบริหารจัดการเพื่อการบำเพ็ญ
กรณียกิจของจักรพรรดิ คือการปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ปกครองที่ย่ิงใหญ่ เรียกว่า
“จกั รวรรดวิ ัตร”๒๙ เป็นหลักธรรมทช่ี ว่ ยให้ผู้ปกครองดำเนนิ กศุ โลบายในทาง

๒๘ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๒๔๐/๖๒.
๒๙ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕/๔๕-๔๖.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๒๔

การเมือง ให้การจัดการขององค์กรเป็นไปวัตถุประสงค์ของหลักจักรวัตรน้ัน
เป็นไปเพ่ือประโยชน์สุขอย่างแท้จริงของสังคมโดยส่วนรวม โดยมุ่งสอนให้
ผนู้ ำใช้อำนาจเพ่ือสร้างสรรค์ความสงบสุขและระบบเศรษฐกจิ ท่ีดีของราษฎร
และจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การอธิบายถึงวิธีการท่ีจะใช้อำนาจทางการเมือง
เพ่ื อ ร าษ ฎ ร โด ย เข้ า ไป ป รึ ก ษ า ส ม ณ ะ พ ร า ห ม ณ์ ผู้ ป ร ะ พ ฤ ติ ดี ป ฏิ บั ติ ช อ บ
นักปราชญ์นักวิชาการผู้ทรงคุณธรรม เพื่อให้รู้ชัดในรัฐศาสโนบายอันดีชั่ว
นโยบายท่ีควรประกอบหรือไม่ควรประกอบ เพ่ือท่ีจะปกครองหรือบริหาร
บ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าขององค์กรทางพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๑๒
ประการ คือ

๑) ให้ยึดถือธรรมเป็นหลัก เป็นธงชัยในการปกครองประเทศ
เคารพยำเกรงธรรม

๒) ให้ความคุ้มครองรักษาอันเป็นธรรมแก่อันโตชน หรือ ชน
ภายใน เช่น พระมเหสี พระโอสถ พระธิดา ตลอดถึงผู้ปฏิบัติราชการใน
พระองค์ท้ังหมด โดยการอบรมส่ังสอนให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยดีงามเป็น
ต้น

๓) ให้ความคุ้มครองรักษาแก่กำลังพล เช่น ทหาร ข้าราชการ
ตำรวจ โดยเป็นธรรม

๔) ให้ความคุ้มครองแก่กษัตริย์ที่เป็นเมืองขึ้น ตลอดถึงชนชั้น
ผปู้ กครองและนักบริหารช้นั ผ้ใู หญท่ ัง้ หลาย

๕) ให้ความคุ้มครองแก่อนุยนต์ หรือข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จ
ในสมยั ปจั จบุ นั ก็คอื ข้าราชการพลเรือน

๖) ให้ความคุ้มครองแก่ชนเจ้าพิธี ผู้ประกอบอาชีพวิชาการ
พ่อค้า เกษตรกร ด้วยวิธีการจัดหาทุนทรัพย์และอุปกรณ์ในอุปกรณ์ในการ
ประกอบอาชีพให้เปน็ ตน้

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๒๕

๗) ให้ความคุ้มครองแก่ราษฎรท้ังปวง ทั้งในเมือง ชนบท และ
ชายแดนโดยเปน็ ธรรมเสมอเหมอื นกัน

๘) ให้ความคุ้มครองแก่พระสงฆ์ บรรพชิต นักบวช สมณชี
พราหมณ์

๙) ใหค้ วามคมุ้ ครองแก่ นก และ เนอ้ื สตั ว์ท่คี วรสงวนทงั้ หลาย
๑๐) ห้ามหรือป้องกันมิให้เกิดความมิชอบธรรมทุกชนิดเกิดข้ึน
ในพระราชอาณาจักร ปราบปรามผูม้ ีอิทธพิ ลต่างๆมิให้มีการกระทำทุจริต ผิด
กฎหมายบ้านเมืองอันจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนอยู่ในรัฐโดย
เดด็ ขาด
๑๑) ธนานุประทาน แบ่งปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ประชาชนผู้
ยากไร้ มิให้มีผู้ขัดสนขาดแคลนอยู่ในแว่นแคว้นโดยไม่ได้รับการเหลียวแล
ช่วยเหลือตามสมควรกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนสม่ำเสมอกันมากที่สุด
เท่าท่ีจะทำได้ ไม่ปล่อยให้ความเจริญกระจุกอยู่ท่ีส่วนใดส่วนหน่ึงของ
ประเทศเทา่ น้นั
๑๒) สมณพราหมณปริปุจฉา มีความสนใจในศาสนาและ
ศีลธรรมหมั่นไต่ถามสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ นักวิชาการผู้มี
ความรดู้ ีความสามารถดี ตอ้ งแสวงหาปัญญา ความรู้และคุณธรรมอยเู่ สมอ มี
ที่ปรึกษาที่ดี บริสุทธิ์ มีคุณธรรม เพื่อให้รู้ชัดในสิ่งที่ควรกระทำและในสิ่งท่ี
ควรเว้น
ภาวะผู้นำในการจัดการเก่ียวกับกิจกรรมที่ผู้นำต้องดำเนินการ
นั้น มีความเก่ียวพันกับความเป็นอยู่ของประชาชน คือ การกินดี และอยู่เย็น
เป็นสุข ถ้าผู้นำดีน่ันหมายถึงต้องสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ เพื่อบำบัด
ทุกข์บำรุงสุขของอาณาประชาราษฎร์ได้ นับเป็นการนำหลักพุทธธรรมมาใช้
ในการบริหารประเทศและสะท้อนให้เห็นถึงภาวะความเป็นผู้นำตาม

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๒๖

หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าเป็น
ผู้ปกครองโดยธรรมอย่างสม่ำเสมอย่อมสั่งสมบารมีอันยากแก่คนพาลทั่วไป
จักทำลายล้างได้ ทรงให้เห็นว่าหลักธรรมเป็นเกาะคุ้มครองผู้ประพฤติปฏิบัติ
และนำประโยชน์สขุ ผทู้ ี่อยู่ใตก้ ารปกครองโดยธรรม

จากที่ยกตัวอย่างมาน้ีจะให้เห็นว่าลักษณะของผู้ท่ีจะเป็น
ผู้ปกครองน้ันย่อมมีความสำคัญยิ่งเช่นเดียวกันกับพฤติกรรมที่แสดงออกมา
ภายนอก เพราะฉะน้ัน ผู้ปกครองจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีคุณธรรมทั้ง
ภายใน คือ จิตใจ และคุณธรรม ส่วนคุณสมบัติภายนอก คือความรู้
ความสามารถ และผทู้ ี่ให้การสนับสนนุ เปน็ ต้น

๒ ) คุ ณ ส ม บั ติ ภ า ย น อ ก ข อ ง ผู้ น ำ ใน อ ง ค์ ก ร ท า ง
พระพุทธศาสนา

การเป็นผู้ปกครองน้ันถ้าลักษณะภายนอกไม่ดี เช่น การยืน
การเดิน การน่ัง และการวางตัวไม่สม่ำเสมอแล้ว หรือตรงข้ามกับคนข้ีริ้วขี้
เหล่ และเป็นผู้พิการก็ไมอ่ าจเป็นผู้ปกครองท่ีดีได้ ในอุลุกชาดก ปทุมวรรค ขุ
ททกนกิ าย กล่าวว่าหน้าตาไม่ดไี มค่ วรให้เปน็ ใหญ่ โดยนำไปเปรยี บกบั นกเค้า
ว่า “…..จงมองดูหน้าตาของนกเค้า ผู้ไม่โกรธเถิด นกเค้าโกรธแล้ว จักทำ
หน้าตาเป็นอย่างไร”๓๐ หากพิจารณาข้อความนี้ ชี้ให้เห็นว่าการเป็น
ผู้ปกครองน้ันจะต้องมีลักษณะทางกายงดงาม สง่าองอาจกล้าหาญมาก ใน
ลักขณสูตร ปฏิวรรค ทฆี นิกายได้กล่าวถึง มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซ่ึง
ถอื ว่าบุคคลใดที่มีอวัยวะท้ัง ๓๒ ประการยอ่ มเป็นผูท้ ่ีมีบุญญาธิการมาก และ
มีความรู้ความสามารถในการปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม และนำมาซึ่ง
ความเจริญและความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ซึ่งลักษณะมหาปริสลักษณะ
ดงั กล่าว มีดังต่อไปนี้คอื

๓๐ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๓๖-๓๓๗/๑๓๖-๑๓๗.

ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๒๗

และคอ ๑ ๑) พื้นฝ่าเท้าเรียบเสมอกัน
๒) ฝ่าเทา้ มีลายจกั ร มีซีก่ ำข้างละพัน พร้อมทั้งกงและกระดมุ
๓) สน้ เทา้ ยาวสมสว่ น
๔) น้วิ มือและนวิ้ เทา้ เรยี วยาวสมสว่ น
๕) ฝ่ามอื และฝ่าเท้าออ่ นนมุ่
๖) ลายฝา่ มือฝ่าเทา้ ดุจตาข่าย
๗) รูปเทา้ ดุจสงั ขค์ ว่ำ
๘) แขง้ ดุจแข้งเน้ือทราย
๙) แมย้ นื ไมย่ อ่ ตัวลง ก็สามารถแตะเขา่ ได้ดว้ ยมอื ทั้งสอง
๑๐) องคชาตติ ้งั อย่ใู นฝกั
๑๑) สผี ิวกายดุจทอง
๑๒) ผิวหนงั ละเอยี ด ธลุ ลี ะอองจงึ ไม่เกาะตดิ กาย
๑๓) ขนขุมละเสน้
๑๔) ปลายขนซอ้ นขึ้น มสี ดี ุจดอกอัญชนั ข้ึนเวียนขวา
๑๕) กายตรงเหมือนกายพรหม
๑๖) เนอ้ื เตม็ ในที่ ๗ แหง่ ได้แก่ ทห่ี ลังมอื ๒, หลงั เท้า ๒, บ่า ๒,

๑๗) กงึ่ กายท่อนบนเหมือนกง่ึ กายท่อนหน้า
๑๘) หลงั เต็มบริบรู ณไ์ มเ่ ปน็ ร่อง
๑๙) ทรวดทรงดุจต้นไทร (นโิ ครธ) คอื กายกบั วาเท่ากัน
๒๐) คอกลมเกล้ยี ง
๒๑) ประสาทรับรสอันเลศิ
๒๒) คางดุจคางราชสหี ์
๒๓) ฟนั ๔๐ ซ่ีบริบูรณ์

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๒๘

๒๔) ฟนั เรยี บเสมอกนั
๒๕) ฟันไม่ห่าง
๒๖) เขี้ยวสขี าวงาม
๒๗) ลน้ิ ใหญ่ (สามารถแผอ่ อกได้)
๒๘) เสียงดุจเสียงพรหม สำเนยี งดังนกการเวก
๒๙) นัยน์ตาดำสนทิ (ดำคม)
๓๐) ขนตางอนดุจขนตาโค
๓๑) อุณาโลมระหว่างคิ้วขาวออ่ นเปรียบดงั ปุยนนุ่
๓๒) ศีรษะดุจประดับด้วยกรอบหน้า ( สดใสมปี ระกาย )๓๑
สมบัติคู่บุญบารมี เร่ืองสมบัติคู่บารมีน้ี ในพระไตรปิฎกว่าย่อม
เกิดข้ึนได้แก่ผู้มบี ุญดังในสิริชาดก อัพภันตรวรรค ขุททกนิกาย กล่าว “โภคะ
เป็นอันมากย่อมล่วงเลยสัตว์เหล่าอ่ืนไปเสีย (และย่อม) เกิดขึ้นในท่ีท้ังปวง
เทียว สำหรับผู้มีบุญอันกระทำไว้ ใช่แต่เท่านั้น รตั นะท้ังหลายก็บังเกิดข้ึนแม้
มิใช่บ่เกิด…..ไก่แก้ว (แก้ว) แก้วมณี ไม้เท้า (แก้ว) และหญิงที่ช่ือว่าบุญญ
ลักขณาเทวี ย่อมเกิดขึ้นแก่นาถบิณฑิกเศรษฐีผู้ไม่มีบาป มีบุญอันกระทำไว้
แล้ว”๓๒ และในมหาสทุ ัสสนสูตร มหาวรรค ทฆี นิกาย กลา่ วถงึ สิ่งอันเป็นเลิศ
ของคู่บารมแี กธ่ รรมราชา ๗ อยา่ ง คือ รัตนะ ๗ ประการ ได้แก่
๑) จักรรตั นะ คอื จักรแก้ว อาวุธค่กู ายของพระราชา
๒) หัตถรี ัตนะ คอื ชา้ งแกว้ ช้างเผอื กคบู่ ารมี
๓) อสั สรัตนะ คือ มา้ แก้ว มา้ ทรงคู่บารมี
๔) มณีรัตนะ คือ แกว้ มณี อาภรณ์คบู่ ารมี
๕) อิตถีรัตนะ คือ นางแกว้ นางงามคบู่ ารมี

๓๑ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๓๖/๑๕๗-๑๕๙.
๓๒ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๑๔๐/๑๔๗.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๒๙

๖) คหบดรี ตั นะ คือ ขนุ คลังแกว้ ขุนคลงั ค่บู ารมี
๗) ปรินายกรัตนะ คือ เสนาบดีแกว้ เสนาบดีคูบ่ ารมี๓๓
หากจะมองในรูปของการเปรียบเทียบ คำว่า “รัตนะ” หรือ
“แก้ว” นี้ก็น่าจะหมายถึงสิ่งท่ีดีผู้ที่คอยสนับสนุนในทางที่ดีแก่ผู้ปกครอง ซ่ึง
เป็นกำลังสนบั สนุนส่งเสริมใหก้ ารปกครองมีประสิทธภิ าพ คือ คู่ครองท่ีดี ขุน
คลังที่ดี และเสนาบดีที่ดีอันเป็นบุคคลช้ันเลิศที่จะเป็นผู้คอยประคับประคอง
ให้ขอ้ ปรึกษาให้ข้อเสนอแนะในทางที่ถูกท่ีควรรวมเป็นพลังกาย และเปน็ พลัง
ใจในการบรหิ ารบ้านเมือง
จากข้อธรรมเร่ืองคุณสมบัติของผู้ปกครองน้ี แสดงให้เห็นว่า
พระพุทธศาสนาน้ันมีความสำคัญต่อระบบการปกครองที่ดี และได้กล่าวไว้
อยา่ งละเอียด โดยนอกจากจะมองที่พฤตกิ รรมการแสดงออกในลักษณะต่างๆ
แล้วยังมองท่ีลักษณะรูปร่างของบุคคลมาประกอบด้วยเพราะถือว่าสิ่งที่
ปรากฏในปัจจบุ ัน ก็คือผลจากการกระทำจากอคตนิ ่ันเอง ฉะนน้ั พื้นฐานของ
บคุ คลจากอคติยอ่ มบง่ บอกถงึ อนาคตไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ด้วยเหตนุ ้ี ผูท้ อ่ี ยู่ในฐานะ
ผู้นำหรือผปู้ กครองท่ีดีตามแนวพระพทุ ธศาสนาจะต้องมคี ุณสมบัตทิ ี่ครบถ้วน
คือ จะต้องเป็นคนดีทั้งภายในและภายนอก ซ่ึงความเป็นคนดีภายในและ
ภายนอกของผู้นำตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาทำให้เกิดการสร้าง
ภาวะนำขององค์กรทางพระพุทธศาสนา เป็นไปในทิศทางท่ียืดหยุ่น
ประนีประนอม มากกว่าท่ีจะยึดตัวบทกฎหมายเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
ทุกๆ เรื่องซ่ึงต้องอาศัยเหตุและผลประกอบในการพิจารณาตัดสินใจใน
องคก์ รทางพระพทุ ธศาสนาที่ได้ยึดถือเหตุปัจจยั เป็นท่ีตง้ั ในการบรหิ ารจัดการ
ขององค์กร

๓๓ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๖/๑๘๔-๑๘๙.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๓๐

กล่าวโดยสรุปว่า ภาวะผู้นำในการจัดการองค์กรทาง
พระพุทธศาสนา ต้องมีคุณลักษณะภายในของผูน้ ำคือเป็นผู้รู้หลกั ของหลักสัป
ปุริสธรรม มีการรู้หลักเหตุผล มีสติปัญญา ไม่ประมาท ต่ืนตัว ทันต่อ
เหตกุ ารณ์ และ มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล เป็นคนเข้มแข็ง คุณลักษณะภายนอก ใน
การที่จะประสานคนและงานให้เข้าด้วยกัน ต้องมีความรู้ ความสามารถ มี
พรหมวิหารธรรม อาศัยหลักทศพิธราชธรรมประจำตัวหวังประโยชน์สุขแก่
องค์กรส่วนรวม และหลักจักรวรรดิวัตร ๑๒ ในการบำเพ็ญกรณียกิจของ
จักรพรรดิ คือการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่า “จักรวรรดิ
วตั ร”๓๔ เป็นหลกั ธรรมที่ช่วยให้ผูป้ กครองดำเนนิ กุศโลบายในทางการเมือง
ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาให้เกิดประโยชน์ที่หย่ังยืนในปัจจุบันและ
อนาคต ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหลักจักรวัตรนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข
อย่างแท้จริงของสังคมโดยส่วนรวม และเป็นผู้น่ารัก น่าเคารพ เป็น
ธรรมาธิปไตย ไม่ลำเอียง การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมมนุษย์ใช่ว่าจะมีคุณสมบัติ
บางประการท่ีคนอ่ืนไม่มี

๓๔ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕/๔๕-๔๖.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๓๑

คำถามประจำบท

๑. ให้นิสิตอธิบายถึงความหมายของภาวะผู้นำ โดยอธิบายให้เห็น
ถงึ ความเปลีย่ นแปลงอยา่ งชดั เจน

๒ . ให้นิสิตหาบทสรุป ของภ าวะผู้นำในการจัดองค์กรทาง
พระพุทธศาสนาให้กระชับที่สุดและให้เหตุผลด้วยว่าเหตุใดจึงได้ให้คำนิยาม
เช่นนนั้

๓. แนวคิดพ้ืนฐานเกี่ยวกับภาวะผู้นำในการจัดองค์กรทาง
พระพทุ ธศาสนามแี นวความคดิ มาจากอะไร ให้นสิ ิตอธบิ ายโดยละเอียด

4. การจัดองค์กรทางพระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำ
อยา่ งไร

5. ให้นิสติ วิเคราะห์ภาวะผู้นำมคี วามสำคัญกบั การจัดองค์กรอยา่ งไร


Click to View FlipBook Version