ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๒๘๒
สังวาสกับภิกษุทั้งหลาย” เม่ือท่านพระมหาโมคคัลลานะแม้กล่าวอย่างน้ี
บคุ คลนัน้ กย็ ังน่ิง
แมค้ รง้ั ที่ ๒ ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ได้กล่าวกับบุคคล
น้ันดังน้ีว่า “ท่านจงลุกขึ้น พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่าน ท่านไม่มีสังวาส
กับภกิ ษทุ ง้ั หลาย”
แมค้ รงั้ ที่ ๓ บคุ คลน้ันกย็ ังนิง่
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจับแขนบุคคลน้ันฉุด
ให้ออกไปนอกซุ้มประตู ใส่กลอนแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
คร้ันแล้วไดก้ ราบทูลพระผู้มีพระภาคดังน้วี ่า “ข้าพระพุทธเจ้าให้ผู้นน้ั ออกไป
พ้นแล้ว บริษัทบริสุทธ์ิแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคโปรดยกปาติโมกข์ข้ึนแสดง
แกภ่ ิกษุทง้ั หลายเถิด พระพทุ ธเจ้าขา้ ”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์
จริง โมคคัลลานะ เป็นเร่ืองยังไม่เคยปรากฏ โมฆบุรุษรอจนกระท่ังถูกฉุด
แขนออกไป”. . .
๓) พระพุทธองค์ทรงตรัสส่ังสอนให้ใช้หลักความสามัคคี ความ
พร้อมเพรียง และยึดหลักของความร่วมมือ (Participation) ในการ
ประชุมกันของหมสู่ งฆ์
พระพุทธศาสนา เน้นเร่ืองหลักการของความสามัคคีเป็นอย่างย่ิง
เม่ือมีการทำกิจ ต่าง ๆ ร่วมกัน จำเป็นท่ีจะต้องอาศัยความสามัคคีในการ
ประกอบกิจการงานต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ย่อมต้องอาศัยหลัก
มนุษยสัมพันธ์ หรือหลักสังคหวัตถุ ๔ คือ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา
และ สมานัตตตา อันจะทำให้เกิดความคุ้นเคย ช่วยเหลือแนะนำซ่ึงกันและ
กัน ช่วยให้การทำงานเป็นไปด้วยจิตใจที่รักใคร่ และมีความร่วมมือกัน
เสมือนญาติสนิทดังพุทธพจน์ท่ีว่า “ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างย่ิง” ดังน้ัน
แนวทางแห่งความสามัคคี และหลกั การร่วมมอื ในทางพระพุทธศาสนา ยอ่ ม
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๒๘๓
นำความสำเร็จมาสู่การจัดการ เพราะเหตวุ ่าความสามคั คี และความร่วมมือ
ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ความพร้อมเพรียงของหมู่ทำให้เกิดสุข” จะเป็นพลังที่
ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความ
สบายกาย สบายใจในการทำงานร่วมกันน่นั เอง
อน่ึง หลักการทางพระพุทธศาสนานั้นสอนให้สาวกปฏิบัติกิจต่าง ๆ
ด้วยความพร้อมเพรียง ดังเช่น หลักอปริหานิยธรรม ที่พระพุทธองค์ได้ตรัส
ไว้ว่า ให้พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อม
เพรยี งกนั ทำกจิ ทสี่ งฆค์ วรทำ เปน็ อาทิ
๔) การประชุมเพื่อว่ากล่าวตักเตือนซ่ึงกันและกันของสงฆ์ เป็น
ลักษณะของ Control Meeting ตามหลกั ของการปวารณา
พระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตพิธปี วารณาเพื่อใหภ้ ิกษุวา่ กล่าวตักเตอื น
และควบคุมกันเองในหมสู่ งฆ์ ดังตอ่ ไปนี้ ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ
จำพรรษาแล้ว ปวารณาด้วยเหตุ ๓ สถาน คือ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน
ดว้ ยนกึ สงสยั การปวารณาน้ัน จกั เป็นวิธที ี่เหมาะสมเพื่อว่ากล่าวซึ่งกันและ
กัน เป็นวิธีออกจากอาบัติ เป็นวิธีเคารพพระวินัยของภิกษุเหล่านั้น๑๓
นอกจากนั้น ในพระวินัยปิฎกได้อธิบายถึงการทำปวารณาว่ามี ๔ อย่าง๑๔
กลา่ วคอื
๑. การทำปวารณาแบ่งพวกโดยไม่ชอบธรรม กล่าวคือ ถ้าในวัด
หน่ึงมีภิกษุอยู่ ๕ รูป ภิกษุ ๔ รูป นำปวารณาของรูปหน่ึงมา ตั้งคณ
ญัตติแล้วปวารณา หรือถ้ามีภิกษุอยู่ ๔ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๓ รูป นำ
ปวารณาของรูปหนึ่งมา ต้ังสังฆญัตติแล้วปวารณา หรือถ้ามีภิกษุอยู่ ๓ รูป
ในวัด ภิกษุ ๒ รูป นำปวารณาของรูปหนึ่งมา ตั้งสังฆญัตติแล้วปวารณา
นชี้ ่อื วา่ การทำปวารณาแบง่ พวกโดยไม่ชอบธรรม
๑๓ วิ. มหา.(ไทย),๔/๒๑๙/๓๓๔.
๑๔ วิ. มหา.(ไทย),๔/๒๑๒/๓๓๗-๓๓๘.
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๒๘๔
๒. การทำปวารณาพร้อมเพรียงโดยไม่ชอบธรรม มีลักษณะคือ ถ้า
ภิกษุทั้งหมด ๕ รปู ประชมุ รว่ มกนั ต้ังคณญัตติแล้วปวารณา ถ้าภกิ ษุ ๔
รูป ๓ รูป หรือ ๒ รูป อยู่ประชุมร่วมกัน ต้ังสังฆญัตติแล้วปวารณา น้ี
ชื่อว่าการทำปวารณาพรอ้ มเพรยี งโดยไม่ชอบธรรม
๓. การทำปวารณาแบ่งพวกโดยชอบธรรม กล่าวคือ ถ้ามีภิกษุ
ทั้งหมด ๕ รูป ประชุมร่วมกัน ต้ังสังฆญัตติแล้วปวารณา หรือถ้ามีภิกษุ
๔ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๓ รูป นำปวารณาของรูปหนึ่งมา ตั้งคณญัตติแล้ว
ปวารณา หรือถ้ามีภิกษุ ๓ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๒ รูปนำปวารณาของรูป
หนึ่งมา ต้ังคณญัตติแล้วปวารณา น้ีช่ือว่าการทำปวารณาแบ่งพวกโดยชอบ
ธรรม
๔. การทำปวารณาพร้อมเพรียงโดยชอบธรรม มีลักษณะคือ ถ้า
ภิกษุท้งั หมด ๕ รปู ประชมุ ร่วมกนั ตง้ั สังฆญัตติแล้วปวารณา ถ้าภิกษุ ๔
รูป หรือ ๓ รูป ประชุมรว่ มกันตั้งสังฆญัตติแล้วปวารณา หรือถ้าภิกษุ ๒
รูป ปวารณาต่อกัน ภิกษุ ๑ รูป ทำอธิษฐานปวารณา น้ีชื่อว่าการทำ
ปวารณาพร้อมเพรยี งโดยชอบธรรม
ในปวารณาทั้ง ๔ อย่างข้างต้นนั้น พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า การ
ทำปวารณาพร้อมเพรียงกันโดยชอบธรรมของภิกษุทั้งหลายเท่าน้ันที่พึงทำ
และได้ทรงตรสั อนุญาตไว้
๕) ทรงวางหลักในการระงับอธิกรณ์ : หลักการจัดการปัญหา
ความขดั แย้งของสงฆ์ (Conflict Resolution)
เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่คณะ หรือเกิดปัญหาขึ้นในองค์การ
หรือในหมู่สังคมสงฆ์ แนวทางแก้ไขที่พระพทุ ธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ คือ ให้
มีการพิจารณาหลักการในการจัดการต่อความขัดแย้งท่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรม
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๒๘๕
ต่าง ๆ ที่จะต้องทำให้ดีที่เรียกว่า อธิกรณ์ ซ่ึงประกอบไปด้วยหลักการ
พิจารณาเร่ืองทส่ี ำคญั ๔ เรอ่ื ง๑๕ กล่าวคอื
๑. วิวาทเถียงกันด้วยเรื่องธรรมวินัย ซึ่งจะต้องได้รับการช้ีขาดว่า
ฝ่ายใดถกู ฝา่ ยใดผิด (ววิ าทาธกิ รณ์)
๒. ความโจทหากันด้วยอาบัติต่าง ๆ ซ่ึงจะต้องได้รับวินิจฉัยว่าจริง
หรือไมจ่ ริง (อนุวาทาธกิ รณ)์
๓. อาบัติท้ัง ๗ กอง หรือกิริยาท่ีถูกต้องอาบัติ หรือถูกปรับ
อาบตั ิ ส่ิงนจี้ ะตอ้ งทำคืน คอื ทำใหพ้ ้นโทษ (อาปตั ตาธกรณ์)
๔. กิจธุระที่สงฆ์ต้องทำ เช่น การให้อุปสมบท ส่ิงนี้จะต้องทำให้
สำเรจ็ (กจิ จาธิกรณ)์
นอกจากนั้น ในเรื่องอธิกรณ์ต่าง ๆ จำเป็นท่ีสงฆ์จะต้องมีข้อ
สำหรบั ไว้พงึ ระงบั อธิกรณใ์ น ๗ ประการกล่าวคอื ๑๖
๑. ระเบยี บอันพึงทำในท่พี ร้อมหน้า ได้แก่ กริ ิยาระงับอธกิ รณ์ ใน
ที่พร้อมหน้าสงฆ์ ในที่พร้อมหน้าบุคคลและวัตถุ ในที่พร้อมหน้าธรรมวินัย
(สัมมขุ าวนิ ัย)
๒. ระเบียบยกเอาสติขึ้นเป็นหลัก ได้แก่ กิริยาท่ีสงฆ์สวดประกาศ
ใหส้ มมติแกพ่ ระอรหันต์ ว่าเป็นผูท้ ี่มีสติเต็มที่ เพอ่ื ระงับอนวุ าทาธิกรณ์ ที่มี
ผโู้ จทท่านด้วยสีลวิบัติ (สตวิ ินัย)
๓. ระเบียบที่ให้แก่ภิกษุท่ีหายเป็นบ้าแล้ว ได้แก่ กิริยาท่ีสงฆ์สวด
ประกาศให้สมมติแก่ภิกษุผู้หายเป็นบ้าแล้ว เพ่ือระงับอนุวาทาธิกรณ์ ท่ีมีผู้
โจทดว้ ยความละเมิดที่เธอทำในเวลาเปน็ บ้า (อมฬู หวนิ ัย)
๑๕ ว.ิ จูฬ.(ไทย),๖/๒๑๕/๓๓๑-๓๓๒.
๑๖ วิ.มหา.(ไทย),๒/๖๕๕/๗๓๖.
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๒๘๖
๔. ทำตามรับ ได้แก่ ปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็น
สัตย์ การแสดงอาบัติ ก็จัดว่าทำปฏิญญา ท่านนับเข้าในข้อน้ีด้วย
(ปฏิญญาตกรณะ)
๕. ตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ วิธีนี้สำหรับใช้ใน
เมื่อความเห็นของคนทั้งหลายเป็นอันมากแตกต่างกัน ให้ฟังเอาข้างมาก
(เยภยุ ยสกิ า)
๖. กิรยิ าทีล่ งโทษแก่ผผู้ ดิ (ตัสสปาปยิ สกิ า)
๗. กิริยาท่ีให้ประนีประนอมกันท้ัง ๒ ฝ่าย ไม่ต้องชำระสางหา
ความเดิม วิธีนี้สำหรับใช้ในเรื่องยุ่งยาก เป็นเรื่องสำคัญอันจะเป็นเคร่ือง
กระเทอื นท่ัวไป (ตณิ วตั ถารกะ)
๖) ทรงอนุญาตให้สงฆ์ระงับอธิกรณ์ด้วยการถือเอาเสียงข้างมาก
(Consensus) โดยวิธีการจับสลาก (ลงคะแนน) อันถือเป็นหลักการท่ี
สำคญั ของระบอบประชาธปิ ไตย
ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงการระงับอธิกรณ์ โดยการตัดสินตาม
เสียงข้างมาก หรือ เยภุยยสิกา ว่า เยภุยยสิกา คือ วิธีระงับอธิกรณ์โดย
ตัดสินตามเสียงข้างมาก สงฆ์จะใช้วิธีการน้ีในกรณีที่บุคคลหลายฝ่ายมี
ความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงประทานพุทธานุญาตเกี่ยงกับ
เยภุยยสิกาไว้เพราะเหตุว่า ในคร้ันพุทธกาล พวกภิกษุกำลังพิจารณา
อธิกรณ์ เกิดความบาดหมางทะเลาะวิวาทกันในท่ามกลางสงฆ์ กล่าวทิ่ม
แทงด้วยหอกคือปาก ไม่อาจระงับอธิกรณ์ได้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
เร่ือง จึงตรัสอนุญาตให้ระงับอธิกรณ์ที่เกิดความเห็นไม่ตรงกันอย่างนี้ด้วย
“เยภยุ ยสิกา” โดยการจบั สลากตัดสินกัน ในเบ้ืองต้น ให้แตง่ ต้ังภิกษุผู้เป็น
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๒๘๗
ประธานในการจับสลากท่ีเท่ียงธรรม ประกาศให้สงฆ์ด้วยญัตติทุติย
กรรมวาจา๑๗
๙.๓ แนวคิดเกย่ี วกบั ความสมานฉนั ท์
ใ น ป ร ะ เด็ น ท่ี เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ แ น ว คิ ด เก่ี ย ว กั บ ค ว า ม ส ม า น ฉั น ท์
มีความหมายไปในทิศทางเดียวกันกับการสร้างสันติภาพ หรือสันติวิธี ซ่ึง
ผ้เู ขยี นจะนำเสนอความสมานฉันทใ์ นนามของแนวคดิ การสร้างสนั ติภาพ หรือ
สันติวิธี เพ่ือให้สอดคล้องกับแนวคิดท่ีนักวิชาการทางด้านสันติวิธีได้นำเสนอ
ไว้ ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้
๑) ทฤษฎสี นั ตภิ าพของโยฮัน กัลปต์ ุง (Johan Galtung)
โยฮัน กัลป์ตุง เป็นนักวิชาการด้านสันติภาพอีกท่านหนึ่งท่ีมี
ความสำคัญมาก ในแง่ของการศึกษาพุทธศาสนาโดยใช้ทฤษฎีสันติภาพ และ
นำมาซ่ึงข้อเสนอแนะในการใช้พุทธศาสนาเพ่ือแก้ปัญหาความรุนแรงเชิง
โครงสร้าง และสร้างสันติภาพเชิงโครงสร้างขึ้นแก่สังคม ในหนังสือช่ือพุทธ
สันติวธิ ี : ทฤษฎีเชงิ โครงสร้าง รวมทั้งบทความท่ีมชี ื่อเสียงมากของกัลป์ตุงชื่อ
“ความรุนแรง สันติภาพ และการวิจัยสันติภาพ” กัลป์ตุงได้การนำเสนอ
แนวคิดเกี่ยวกับขอบข่ายทางสันติภาพของมนุษย์ว่า สันติภาพซ่ึงเป็นเพียง
ภาวะท่ีปลอดจากสงครามน้ันยังไม่เพียงพอ แต่ต้องเป็นภาวะท่ีไม่มีการ
กระทำรนุ แรงต่อเพื่อนมนษุ ยค์ วามรนุ แรง
ในทัศนะของกัลป์ตุงไม่ใช่เพียงความรุนแรงทางตรงอันเกิดจากการ
กระทำระหว่างบุคคลเท่าน้ัน แต่ยังรวมถึงความรุนแรงทางโครงสร้างอันเกิด
จากระบบสงั คมท่ีไม่เปน็ ธรรมอกี ด้วย
๑๗ ว.ิ จฬู .(ไทย),๖/ บทนำ ๔๔.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๒๘๘
กัลป์ตุงกล่าวว่า ถ้าปฏิบัติการสันติวิธีได้รับการยกย่องอย่างสูง
เพราะเป็นปฏิบัตกิ ารที่ต่อต้านการใช้ความรุนแรง ดงั นั้นทศั นะหรอื นิยามของ
ความรุนแรงจะต้องกว้างขวางพอที่จะครอบคลุมความหมายที่หลากหลาย
ของการใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ต้องชัดเจนเพียงพอท่ีจะเป็นฐาน
สำหรับการนำไปปฏิบัตอิ ย่างเป็นรูปธรรม
กัลป์ตุง ได้แบ่งความต้องการข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์ออกเป็น ๔
ประการและมองว่า ถา้
ความต้องการขั้นพ้ืนฐานทั้ง ๔ ประการนี้ไม่ได้รับการตอบสนองหรือได้รับไม่
เพียงพอ มนุษย์จะอยู่ในสภาวะที่ต้องเผชญิ กับความรุนแรง ความต้องการข้ัน
พืน้ ฐานดงั กล่าวคอื
๑. การดำรงชวี ิต (Survival)
๒. การมคี วามเปน็ อยทู่ ด่ี ี (Welfare)
๓. การมีเสรีภาพ (Freedom)
๔. การมเี อกลักษณ์และความรสู้ ึกมีความหมายในชวี ิต (Identity)
การท่ีมนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานท้ัง ๔
ประการนี้ กัลป์ตุงใช้เป็นตัววัดค่าความรุนแรงที่เกิดข้ึน โดยได้แยกลักษณะ
การเกิดความรุนแรงว่ามี ๒ ลักษณะ คือความรุนแรงทางตรง เช่นการถูกทำ
ร้ายร่างกาย การถูกว่ิงราวทรัพย์ และความรุนแรงทางโครงสร้าง เช่น การที่
เด็กจำนวนมากต้องเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร ในขณะที่มีคนจำนวนมากมี
อาหารรับประทานอย่างเหลือเฟือ นอกจากน้ัน กัลป์ตุงมองว่า ผลของความ
รุนแรงนอกจากจะเป็นผลทางร่างกายหรือทางวัตถุแล้ว ยังส่งผลทางจิตใจอีก
ด้วย
จากความคิดข้างต้นนำมาสู่ความคิดของกัลป์ตุงในการแก้ไขปัญหา
ความรุนแรงของสังคมมนุษย์ โดยกัลป์ตุงได้ศึกษาเปรียบเทียบหลักการของ
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๘๙
ศาสนาตา่ ง ๆ โดยใชค้ ่าความเป็นไปได้ทจี่ ะนำไปสู่สันตภิ าพเป็นตัววดั และใน
ที่สุดกัลป์ตุงพบว่า พุทธศาสนามีอัตราความเป็นไปได้ท่ีสามารถนำไปสู่การ
ป้องกันและแก้ปัญหาการเกิดความรุนแรงของมนุษย์ได้มากกวา่ ศาสนา อ่ืนๆ
และถ้ามนุษย์ใช้วิถีพุทธในการดำเนินชีวิตก็จะนำมาซึ่งสันติภาพของโลกได้
จากความคิดนี้
กัลป์ตุงได้เขียนหนังสือ พุทธสันติวิธี : ทฤษฎีเชิงโครงสร้าง ข้ึน โดย
ใชท้ ฤษฎีสันติภาพเปน็ ฐานในการทำความเข้าใจปรชั ญาพุทธศาสนา
กัลป์ตุงมองว่า แนวปรัชญาของพุทธศาสนาน้ันยังสามารถพัฒนาได้
อีกมาก ในแง่ของการให้ความหมายและในแง่ของการนำไปใช้แก้ปญั หาความ
รุนแรงของมนษุ ยชาติ กัลป์ตงุ มองว่า ขอ้ ปฏบิ ัตใิ นการไม่บรโิ ภคเนื้อสัตว์ หรือ
การปฏิบัตมิ ังสวิรตั ิ และการห้ามดม่ื สิ่งมึนเมาของพุทธศาสนาเปน็ แนวทางใน
การแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เพราะข้อปฏิบัติเหล่าน้ีมีปรัชญาเบ้ืองหลังที่ลึกซึ้ง
นั่นคือ ทำให้มนุษย์มีความกลมกลืนกับธรรมชาติและเมื่อมนุษย์มีความ
กลมกลืนกันกับธรรมชาติจะนำมาซ่ึงเอกภาพของสรรพสิ่งในโลก เม่ือความ
เป็นเอกภาพของสรรพส่ิงไม่จำกัดขอบเขตอยู่ที่มนุษย์ แต่มีความพยายามใน
การขยายขอบเขตไปยังปริมณฑลของธรรมชาติด้วยเมื่อนั้นโลกก็จะมีสันติ
อย่างแท้จรงิ
ทฤษฎีสันติภาพของกัลปต์ ุงตั้งอยบู่ นแนวความคิดเรอื่ ง “เอนโทรปี”
(Entropy) หรือ“ความไรร้ ะเบียบ” หรือสภาวะแห่งความซบั ซ้อนคือลกั ษณะ
การมีองค์ประกอบในหลาย ๆ รูปแบบอาจพูดได้ง่าย ๆ ว่า “เอนโทรปี” คือ
ลักษณะของ “พหุนิยม” (Pluralism) เนื่องจาก “ความไร้ระเบียบ” ในท่ีนี้
ไม่ได้มีประเด็นอยู่ที่ความยุ่งเหยิงซ่ึงเป็นความหมายนัยลบ แต่หมายถึง
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๒๙๐
“ความซับซ้อนอย่างสูงของระบบ น่ันคือการมีองค์ประกอบท่ีมากมายและ
หลากหลาย ซ่ึงแต่ละส่วนจะมีปฏิสัมพันธ์กันนานารูปแบบ”๑๘
กัลป์ตุงมองว่า ลักษณะโครงสร้างของโลกปัจจุบันมีความผิดพลาด
เนื่องจากขาด“เอนโทรปี” และมองว่าความเป็นระเบียบท่ีเห็นอยู่จาก
ตัวอย่างการปฏิสัมพันธ์ของชาติต่าง ๆ น้ันต้ังอยู่บนพื้นฐานของการ “ลด
จำนวน” การรวมศูนย์ ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของระบบมีจำนวนจำกัดและทำให้มี
แนวโน้มที่เป็นความสัมพันธ์ของระบบมีจำนวนจำกัด และทำให้มีแนวโน้มท่ี
เป็นความสัมพันธ์ในทางลบหรือปฏิปักษ์กนั เกดิ การทานอำนาจกันด้วยอาวุธ
และอำนาจอื่นท่ีอยู่ในมือ ซ่ึงเป็นภาวะที่พร้อมจะประหัตประหารกัน กัลป์ตุง
ยกตัวอย่าง “การประชุมสุดยอด” ชาติมหาอำนาจ และมองว่าข้อตกลงเรื่อง
การลดอาวุธของชาติมหาอำนาจเหล่านั้น ที่จริงอาจเป็นฉากบังตาเพ่ือกลบ
เกล่ือนข้อตกลงเร่ืองการสะสมอาวุธก็ได้ พร้อมกับแนวความคิดข้างต้น กัลป์
ตุงได้นำเสนอ “ทางเลือกใหม่” ให้กับสังคม คือสิ่งท่ีเรียกว่าสันติภาพเชิง
โครงสร้าง โดยได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสันติภาพไว้ว่า สันติภาพไม่ได้เป็น
เพียงสันติภาพในระหว่างระดับประเทศหรือรัฐเท่านั้น แต่หมายถึงสันติภาพ
ในสังคม สันติภาพระหว่างภายในตัวมนุษย์ และสันติภาพระหว่างมนุษย์กับ
ธรรมชาติ เป็นสันติภาพที่ครอบคลุมทั้งธรรมชาติ มนุษย์ สังคม และโลก
กัลป์ตุงมองว่าท้ังหมดน้ีจะสามารถอยู่รวมกันอย่างสันติได้ ภายใต้เงื่อนไข ๒
ประการ คือ “ความหลากหลาย (ในส่วนต่าง ๆ ของความสัมพันธ์และตัว
ผกู้ ระทำ) และการพง่ึ พาอาศัยระหวา่ งกนั และกนั (symbiosis)”๑๙
๑๘ โยฮัน กัลตุง, พุทธสันติวธิ ี : ทฤษฎเี ชิงโครงสรา้ ง, แปลโดย สมชยั เย็น
สบาย,(กรงุ เทพมหานคร : ปาจารยสาร,๒๕๓๘),หน้า ๑๒.
๑๙ โยฮนั กัลตงุ , เรือ่ งเดยี วกัน,หนา้ ๑๓.
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๙๑
๑. ความหลากหลายและการพึ่งพาในธรรมชาตินำมาซ่ึงความสมดุล
ทางนิเวศ และสิ่งน้ีทำให้เกดิ การสร้างสรรค์ ทำใหเ้ กิดสังคมพหุนยิ มและทำให้
เกิดการอยู่รว่ มกนั อย่างสนั ติ
๒. การพึ่งพากันและกันในธรรมชาติเป็นการพ่ึงพาในในธรรมชาติ
เป็นการพ่ึงพาในแนวนอนไม่ใช่การพึ่งพาในแนวตั้ง ไม่ใช่การพึ่งพาของผู้
อ่อนแอกว่าต่อผู้แข็งแรงกว่า ดังน้ีจึงไม่เกิดการครอบงำของผู้แข็งแรงต่อผู้ท่ี
อ่อนแอกวา่
จากสมมติฐานข้างต้น กัลป์ตุงได้ชี้ให้เห็นภาพในด้านตรงข้ามของ
การที่โลกขาดความหลากหลายและการดำรงอยอู่ ยา่ งพ่ึงพา ซ่ึงกลั ป์ตงุ มองว่า
ทำให้โลกคล้ายอยู่ในภาวะสงครามการท่ีแต่ละฝ่ายพยายามควบคุมการใช้
ความรนุ แรงโดยการถ่วงอำนาจ โดยมีรากฐานนโยบายทีต่ ้ังอยู่บนการใช้อาวุธ
ทำให้เกิดการแข่งขันกันสะสมอาวธุ และนำไปสู่สงครามท้ังโดยคู่กรณีและโดย
ตัวแทนเช่น การขายอาวุธให้แก่โลกที่ ๓ ของประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ซ่ึง
กัลป์ตุงมองว่าเป็นการนำความหายนะมาให้แก่มนุษยชาติ และมองว่า สิ่งน้ี
คอื แนวโน้มของโลกท่ีผใู้ ฝห่ าสนั ตภิ าพกำลังทวนกระแส
จากการศึกษาแนวคิดสันติภาพเชิงโครงสรา้ งของกัลป์ตุงพบวา่ กัลป์
ตุงมุ่งเน้นความสัมพันธ์ของสังคมในเชิงพหุนิยม การเคารพความแตกต่าง
และการใช้ลักษณะของความแตกต่างให้เกิดการสร้างสรรค์ ภาพในอุดมคติ
ของกัลป์ตุง คือ “ถ้า” มนุษย์มีความร่วมมือร่วมใจกันและกัน และมีทัศนะที่
ดำเนินไปในทางเดียวกัน โดยใช้พุทธศาสนาเป็นฐานคิดในการก่อให้เกิด
ทัศนะดงั กล่าว สนั ตภิ าพของโลกก็จะเกดิ ขึ้นแทจ้ รงิ
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๙๒
๒) สนั ตภิ าพตามแนวคิดของทา่ นพุทธทาสภกิ ขุ
ท่านพุทธทาสภิกขุมองสันติภาพว่าเป็นเรอ่ื งสำคัญ เน่ืองจากชีวิตทุก
ชวี ติ ทุกระดับล้วนต้องการสันตภิ าพและอยู่ได้ดว้ ยความมีสนั ติภาพ๒๐
สันติภาพน้ันอาจจำแนกออกเป็นสันติภาพระดับบุคคล สันติภาพ
ระดับสังคม และสันติภาพระดับโลก ซ่ึงสันติภาพเหล่าน้ีเป็นสันติภาพในแง่
ภาษาคนหรือสันติภาพระดับโลกิยะ เนื่องจากเป็นสภาวะที่ยังมีความ
เก่ียวข้องกับกิเลสอาสวะอยู่ ในทางตรงกันข้าม หากเป็นสภาวะท่ีเกิดข้ึน
ภายในจิตใจที่ไร้กิเลสอาสวะจะเรียกว่าสันติภาพระดับโลกุตตระ ซ่ึงจัดเป็น
สันติภาพในแง่ภาษาธรรม “สิ่งที่เรียกว่าสันติภาพก็มีปฏิจสมุปบาท อาการ
เป็นสายเหมือนกัน คือ ถามว่ามันมาจากอะไร มาจากอะไร เป็นชั้น ๆ มา
ตามลำดับ สันติภาพของโลก มันก็มาจากสันติภาพของสังคม สันติภาพของ
สังคม มันก็มาจากสนั ติภาพของบุคคล สันติภาพของบุคคลมันก็มาจากความ
ถูกต้องทางกาย ทางวัตถุ ทางจิต ทางวิญญาณ แล้วยังมีส่วนประกอบ
แวดล้อมภายนอกอะไรต่าง ๆ ท่ีมันมีอยู่ในโลก ท่ีมันทำให้เกิดความถูกต้อง
ทางกาย ทางวัตถุ ทางจิตใจ ทางวิญญาณ แล้วรากฐานท้ังหมดมันอยู่ท่ีจิต
ของมนุษย์”๒๑
ดา้ นสงั คม
สนั ติภาพ หมายถึง ความสงบสุขอย่างแท้จรงิ ท่ีเกิดจากองค์ประกอบ
ต่าง ๆ ของสังคมเริ่มต้ังแต่องค์ประกอบระดับพื้นฐานท่ีสุดคือมนุษย์แต่ละ
บุคคลซ่ึงมีมนษุ ยธรรม มิตรภาพศีลธรรม และธรรมะแล้วขยายไปจนถึงระดับ
โลกซ่งึ เป็นสงั คมขนาดใหญ่ท่สี ดุ
๒๐ พุทธทาสภกิ ข,ุ สันตภิ าพของโลก, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมทานมลู นิธิ
,๒๕๓๑),หน้า ๑.
๒๑ เร่ืองเดยี วกนั ,หน้า ๑๐๕-๑๐๖.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๒๙๓
ดา้ นการเมอื ง
สันติภาพ หมายถึง ความสงบสุขหรือความผาสุกเกิดจากระบบ
การเมืองท่ีมีธรรมะที่ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกว่า “ธัมมิกสังคมนิยม” ซึ่งเป็น
ระบบที่เน้นประโยชน์ของสังคมมากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล เป็นระบบที่ไม่
ใชค้ วามรุนแรงทั้งปวง เน่อื งจากมธี รรมะเป็นพื้นฐาน
ดา้ นเศรษฐกจิ
สันติภาพ หมายถึง ความสงบสุขท่ีเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ดำเนิน
กิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีศีลธรรมและมีความรักให้เป็นระบบธรรมะท่ี
สามารถทำให้คนร่ำรวยและคนยากจนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ดังคำกล่าว
ของท่านที่ว่า “ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมะหรือเน่ืองอยู่กับธรรมะเท่าน้ัน ที่
จะช่วยให้โลกนี้อยู่กันเป็นผาสุก ให้อยู่กันได้เป็นผาสุกทั้งท่ีมีความเหลื่อมล้ำ
ตำ่ สงู เหมอื นกับวา่ ตน้ ไมส้ ูงสุดก็อยไู่ ดก้ ับตะไคร่น้ำ อย่างนเี้ ปน็ ตน้ ”
ด้านวัตถุ
สันติภาพ หมายถึง สิ่งธรรมชาติทั้งหลายที่อยู่ในภาวะปกติไม่ถูก
ทำลายและดำเนนิ ไปตามหนา้ ท่ขี องมนั ดังท่ีทา่ นกล่าวไวว้ ่า
“สันติภาพมีความหมายว่าธรรมชาติทั้งหลายไม่ถูกทำลาย เด็ก ๆ ก็
จะมองเห็นในแง่ของรูปธรรมว่า ธรรมชาตติ ามที่มีอยู่เป็นสิง่ ต่าง ๆ ในตัวโลก
น้ี ท่ีมนั เป็นอยู่เองน้ัน จะไม่ถกู ทำลาย เพราะว่ามนุษย์มคี ุณธรรมที่สงู ถงึ กับรู้
ว่าทำลายไม่ได้ถ้าทำลายแล้วมันก็จะเกิดผลตามมาอย่างร้ายกาจ จึงมีแต่จะ
ส่งเสริมให้ธรรมชาติยังคงเป็นธรรมชาติที่ครบถ้วน เรียบร้อย งดงาม ปกติ
ธรรมชาติทางวตั ถุไม่ถกู ทำลาย”
ด้านจติ ใจ
สันติภาพ หมายถึง ความสงบสุขในส่วนจิตใจ ทางจิต ทางวิญญาณ
ทางสติปัญญา ที่เกิดจากการพัฒนาเพื่อยกระดับให้สูงข้ึนตามลำดับของ
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๒๙๔
มนุษย์แต่ละคน ต้ังแต่การไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ ไม่มีความเห็นแก่ตัว จนใน
ที่สุดไม่มีกิเลสอาสวะใด ๆ อยู่ในจิตใจนั่นคือนิพพาน ซึ่งจัดเป็นสันติภาพ
อย่างท่ีเป็นธรรมะตามแนวคดิ ของท่านพุทธทาสภิกขุทีว่ า่
“สันติภาพอยา่ งโลก ๆ กม็ ี สันติภาพอย่างที่เป็นธรรมะก็มี สันติภาพ
อันมหาศาลใหญห่ ลวงกเ็ ปน็ ของโลก สันติภาพเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ ก็เปน็ ของคนแต่
ละคน แต่อย่าลืมว่าของใหญ่ก็เกิดจากของน้อยของเล็กประกอบกันข้ึน เรา
มองไปท่ีตั้งสันติภาพจะแยกออกเป็นส่วนของคนกไ็ ด้ เป็นสว่ นของโลกทง้ั โลก
ก็ได้ ในความหมายท่ีเป็นของโลกๆ เพียงแต่สงบทางวัตถุทางบุคคลนี้ก็ได้ แต่
ถ้ามองลึกก็เป็นความสงบสุขในส่วนจิตใจ ทางจิต ทางวิญญาณ ทาง
สติปัญญา ที่เป็นต้นเหตุของความถูกต้องโดยประการท้ังปวง เลยเป็น
สันติภาพในทางวิญญาณ สนั ตภิ าพของสตปิ ัญญา”๒๒
จากท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่าแนวคิดเร่ืองสันติภาพของท่านพุทธทาส
นั้นมิได้เน้นไปที่ภาวะของความสงบอันเกิดข้ึนจากการไม่มีความขัดแย้งหรือ
ความรุนแรงภายนอกเพียงอย่างเดียว หากแต่รวมถึงสันติภาพภายในอันเกิด
จากความสงบสนั ตภิ ายในตวั บุคคลแต่ละบคุ คล
ดังน้ันสันติภาพตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุน้ันจึงมีลักษณะ
เป็นองค์รวม อันประกอบข้ึนจากหน่วยเล็ก ๆ คือปัจเจกบุคคลแต่ละคน จน
แผ่ขยายไปสูส่ นั ติภาพที่กว้างใหญ่ขน้ึ ซ่ึงกค็ ือสันตภิ าพของโลกน่นั เอง
๓) สันติภาพในทัศนะของพระพรหมคณุ าภรณ์(ป.อ. ปยตุ โต)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) พระสงฆ์ของไทยผู้ได้รับรางวัล
การศึกษาเพ่ือสันติภาพปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จากองค์การยูเนสโก ได้ให้ทัศนะ
เก่ียวกับแนวคิดเร่ืองสันติภาพไว้ในการกล่าวสัมโมทนียกถา เร่ือง “การสร้าง
สนั ติภาพ” มีใจความโดยยอ่ ดงั นี้
๒๒ อ้างแลว้ ,หนา้ ๑๐๐-๑๐๑.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๒๙๕
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้กล่าวถึงความหมายของสันติภาพว่า
ปัจจุบันนี้ความหมายของสันติภาพได้ขยายกว้างออกไปไม่เฉพาะเป็นเรื่อง
ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลท่ีจะอยู่ร่วมกับด้วยดี มีความสงบสุขเท่าน้ัน
แต่หมายถึงการอยู่ในโลกท้ังหมด ในสภาพแวดล้อม ในระบบของชวี ิตทั้งหมด
ทจี่ ะอยูไ่ ด้อยา่ งสนั ตสิ ุข ซึง่ รวมไปถึงความสัมพันธก์ บั ส่ิงแวดล้อมดว้ ย
ในทัศนะของพระพรหมคุณ าภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่บนแนวคิดทาง
พระพุทธศาสนาน้ันคนจะมีสันติสุขต้องเร่ิมต้ังแต่จิตใจที่มีสันติ มีความสงบ
ไม่พลุ่งพล่านเร่าร้อน ไม่มีความทุกข์บีบค้ัน ทำให้การดำเนินชีวิตอยู่ด้วย
ความสงบสุข อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์โดยไม่มีการเบียดเบียนข่มเหงซึ่งกันและ
กนั และรวมไปถึงการไมเ่ บยี ดเบยี นธรรมชาติ
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้กล่าวถึงคำว่า สันติ กับคำว่า ความสุข ใน
ภาษาทางพุทธศาสนาโดยอธบิ ายวา่ สองคำน้มี คี วามสัมพันธก์ นั และคำวา่ สันติ
สุขยังเชื่อมโยงกับคำว่า อิสรภาพ อีกด้วย โดยเร่ิมจากการมีอิสรภาพจาก
กิเลส จิตใจที่มีความสุขจะต้องเป็นจิตใจที่มีอิสระจากกิเลส ดังน้ัน สันติหรือ
ความสงบจึงมาพร้อมกับความสุข และความสุขต้องอาศัยอิสรภาพ ซ่ึงภาษา
ทางพุทธศาสนาเรียกว่า วิมุตติหรือความหลุดพ้น ซึ่งก็คือความหลุดพ้นจาก
กเิ ลสและหลุดพ้นจากความทุกข์
นอกจากนั้นพระพรหมคุณาภรณ์ ยังกล่าวว่า ความสุขนั้นมีหลาย
ระดับมนุษย์มักจะนึกถึงแต่ความสุขพื้นฐานคือการบำรุงความสุขทางตา หู
จมกู ล้ิน กาย แตก่ ารไดม้ าซึ่งความสุขเหลา่ นีเ้ ป็นการแสวงหาทางวตั ถอุ ันเป็น
การนำมาซึ่งการแก่งแย่งกัน ความสุขของคนหน่ึงอาจจะกลายเป็นความทุกข์
ของอีกคนหนึ่ง ความสุขเช่นน้ีจึงไม่ใช่ความสุขที่ทำให้เกิดสันติความสุขท่ีจะ
นำมาซ่ึงสันตคิ ือการพัฒนามนษุ ย์ การฝกึ ทั้งด้านพฤติกรรมและดา้ นจติ ใจการ
อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติคือการใช้ธรรมะชุดหน่ึงท่ีเรียกว่า ทาน ศีล
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๒๙๖
ภาวนา ซ่ึงในปัจจุบันนี้ มนุษย์มักมองแคบๆ ว่า ทาน ศีล ภาวนาเป็นเรื่องที่
เกี่ยวกับพระสงฆ์เพียงอย่างเดียว ความจริงแล้ว ทานคือการให้ ศีลคือการไม่
เบียดเบียนกัน และการภาวนาซึ่งเร่ิมต้นด้วยการแผ่เมตตาคือการปลูกฝัง
ความรัก ความปรารถนาดีต่อกันเหล่าน้ีล้วนเป็นกิจกรรมประจำวันท่ีมนุษย์
ตอ้ งปฏิบัติตอ่ กัน
นอกจากนั้น พระพรหมคุณาภรณ์ มองว่า ปัญหาของมนุษย์ใน
ปัจจุบันคือการสูญเสียความสามารถในการมีความสุข แม้มนุษย์จะสามารถ
แสวงหาวัตถุมาได้มากมายแต่ก็ไม่สามารถท่ีจะทำให้มีความสุขได้ ดังน้ัน
มนุษย์จึงต้องพัฒนาความสามารถที่จะทำให้มีความสุขด้วย ถ้ามนุษย์มี
ความสุขง่ายข้ึนส่ิงท่ีจะบำรุงความสุขก็มีความจำเป็นน้อยลง ทำให้สามารถ
เผ่ือแผแ่ ก่เพอ่ื นมนุษย์ได้มากข้ึน นำมาซงึ่ สังคมที่มีความสขุ มากขึ้น และยังทำ
ให้ลดการบรโิ ภค ลดความสิ้นเปลืองแก่ทรพั ยากรธรรมชาติไปดว้ ย แนวคิดใน
การพัฒนามนุษย์ การสร้างความสุขด้วยการมีอิสรภาพจากกิเลสซึ่งเป็นการ
เพิ่มความสามารถในการมีความสุขของมนุษย์น้ัน เป็นการตีความโดยใช้
มุมมองทางพุทธศาสนา และพระพรหมคุณาภรณ์ มองว่าคือแนวทางในการ
พัฒนามนุษย์ต่อไปในอนาคตในหนังสือ การศึกษาเพ่ือสันติภาพ พระพรหม
คุณาภรณ์ ได้เน้นถึงความเก่ียวพันระหว่างนิพพานกับสันติ โดยมองว่า สันติ
สูงสุดก็คือพระนิพพาน และได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า สันติ ว่า
หมายถึงความสงบ ซ่ึงเป็นอีกชื่อหนึ่งของพระนิพพาน ดังนั้นสันติก็คือ
นิพพานน่ันเอง ทัศนะในการตีความคำว่าสันติภาพของพระพรหมคุณาภรณ์
น่าสนใจตรงท่ีได้มีการเน้นถึงความสงบหรือ สันติภายในของมนุษย์ โดยพระ
พรหมคุณาภรณ์ไดใ้ ห้ทัศนะไว้ว่า “ชาวโลกมักมองสนั ตแิ ตค่ วามสงบภายนอก
มักจะไม่มองลกึ เข้าไปถึงภายในจิตใจ”
ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๒๙๗
อย่างไรก็ตามพระพรหมคุณาภรณ์ มองว่า นิยามของสันติในแง่ของ
ความเรียบร้อยทางสังคม การไม่ทำสงคราม การไม่เบียดเบียนกันก็เป็นส่วน
หน่ึงในคำสอนทางพุทธศาสนานอกไปจากคำสอนเร่อื งความสงบภายในจิตใจ
โดยท่ีความอยู่ดีมีสุขของประชาชนหรือของสังคมหรือของโลกท้ังหมดคือ
สันติภาพในอีกนิยามหนึ่งด้วยเช่นกันและมองว่าเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ใน
พระพุทธศาสนาท่จี ะตอ้ งบำ เพญ็ ตนเพื่อสนั ติในแงน่ ดี้ ้วย๒๓
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของพระพรหมคุณาภรณ์ น้ัน การให้
ความหมายคำว่าสันติเพียงความอยู่ดีมีสุขของประชาชน เป็นการให้
ความหมายอย่างหยาบ สิ่งท่ีพระพรหมคุณาภรณ์ ได้เน้นอย่างมาในคำสอน
เรื่องของสันติภายใน โดยกล่าวว่า “ถึงแม้ไม่มีสงคราม ก็ยังไม่มีสันติภาพ”
และ “สังคมที่แก่งแย่ง... ต่างคนต่างมุ่งหาผลประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบข่ม
เหงกัน แม้ไม่ปรากฏเป็นการรบราฆ่าฟันกัน ไม่เป็นสงคราม ก็จัดว่าเป็น
สันติภาพไม่ได้ เพราะไม่มีความสงบท่ีแท้จริง” พระพรหมคุณาภรณ์ ได้ให้
ทัศนะที่น่าสนใจมาก คือการมองว่า “การทำลายสันติภาพก่อตัวข้ึนบนฐาน
ข้างในจิตใจ”๒๔ โดยมองว่า ก่อนท่ีมนุษย์จะทำร้ายกัน ทุกอย่างจะต้องเริ่มที่
จิตใจก่อน และได้ให้คำศัพท์ทางพุทธศาสนา ๓ คำ ทแ่ี สดงให้เหน็ สาเหตุแห่ง
การกระทำอันนำมาซ่ึงความไม่สงบหรือการขาดสันติภาพของมนุษย์ได้แก่
ตณั หา มานะ และทฐิ ิ
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้ให้คำอธิบายว่า “ตัณหา” คือ ความ
ปรารถนาในผลประโยชน์ โดยชี้ให้เห็นว่า โลกปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบงำ
ของลัทธิวัตถุนิยมในระยะที่เรียกว่าบริโภคนิยม คือการถือเร่ืองการบริโภค
๒๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), การศึกษาเพอ่ื สนั ติภาพ,
(กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ุทธธรรม.๒๕๓๘),หนา้ ๖.
๒๔ เรอ่ื งเดียวกัน,หน้า ๑๒-๑๘.
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๒๙๘
เป็นใหญ่ มนุษย์ถือว่า การบริโภคเป็นท่ีมาแห่งความสุข ดังน้ันมนุษย์จึงมี
ความสุขได้ด้วยการบริโภคหรือเสพวัตถุเท่าน้ันสาเหตุแห่งการกระทำอันขาด
สันติภาพของมนุษย์ประการท่ี ๒ คือ “มานะ” แปลว่า “ความต้องการ
ย่ิงใหญ่” หมายความว่าต้องการเด่น ต้องการใหญ่ ต้องการเหนือผู้อื่น
โดยเฉพาะตอ้ งการอำนาจ
ส่วนสาเหตุประการท่ี ๓ คือ “ทิฐิ” ได้แก่ ความเช่ือ ความเห็น
ความยึดถือในความคิดลัทธินิยม อุดมการณ์ ศาสนา ที่ทำให้เกิดความคิดว่า
ของตนเทา่ นัน้ ทีด่ ี ส่วนของผู้อ่นื เลวหมด
พระพรหมคุณาภรณ์ได้สรุปไว้ว่า ตัวกิเลสท้ัง ๓ คือ ตัณหา มานะ
ทิฐิ นี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มนุษย์ออกไปแสดงบทบาทต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด
ภาวะท่ีเรียกว่า ริดรอนสันติภาพหรือทำลายสันติภาพ และเน่ืองจากกิเลส ๓
ตวั น้ี ก่อตัวขึ้นในจิตใจของมนุษย์ เพราะฉะนั้นในท่ีสุดก็ต้องแก้ปัญหาที่จิตใจ
ของมนุษย์ และการแก้ปัญหาท่ีจิตใจของมนุษย์จะทำได้ก็ด้วยการพัฒนา
มนุษยค์ ือการให้มนุษย์เปน็ คนที่ดีข้ึน
จากทัศนะเร่ือง สันติภาพ ของพระพรหมคุณาภรณ์ เห็นได้ว่ามีการ
มุ่งเน้นการสรา้ งสันติภาพจากภายในอันเป็นหลักสำคญั ทางพระพทุ ธศาสนาท่ี
มงุ่ เน้นการสำรวจกิเลสของมนุษย์ ซึ่งเป็นเร่ืองภายในและเป็นบ่อเกดิ จากการ
ขาดสันติภาพภายในจิตใจนี้ สอดคล้องกับแนวคิดขององค์การยูเนสโกท่ีว่า
“สงครามเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ดงั น้ันจะต้องเสริมสร้างความปรารถนาที่
จะปกปอ้ งสันตภิ าพให้เกดิ ขน้ึ ในจิตใจของมนษุ ยด์ ้วย”๒๕
จะเห็นไดว้ ่า ทัศนะเรอ่ื งสันตภิ าพในมมุ มองของพระพรหมคุณาภรณ์
เป็นการตีความผ่านคำสอนทางพุทธศาสนา โดยการเน้นเร่ืองการควบคุม
ตนเองของมนุษย์ไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสซ่ึงหากพุทธศาสนิกชนสามารถ
๒๕ อา้ งแล้ว, หนา้ ๓๖.
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๒๙๙
ปฏิบัติตามอย่างจริงจัง สันติภาพจะเกิดข้ึนได้อย่างแน่นอนบนแนวทางน้ี
เพราะนิพพานซ่ึงเป็นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนิกชนน่ันคือสันติภาพ
นนั่ เอง
๙.๔ ผู้นำเชิงพุทธกบั การสรา้ งความสมานฉันท์
สาระสำคัญของเน้ือหาในประเด็นนี้ผู้เขียนขอนำเสนอกรณีศึกษาท่ี
เก่ียวข้องกับการนำหลักภาวะผู้นำเชิงพุทธไปใช้ในการสร้างความสมานฉันท์
ในองค์กร โดยกรณีศึกษที่ยกมากล่าวถึงนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดข้ึนในยุค
พุทธกาลและเรื่องราวในประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมถึงกรณีศึกษาในปัจจุบัน
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๑) พระพุทธเจ้าทรงใช้หลักภาวะผู้นำเชิงพุทธสร้างความ
สมานฉนั ท์
ก. กรณเี ป็นคนกลางเจรจาไกลเ่ กลยี่ สงครามนำ้
เม่ือครั้งที่พระญาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พวก
ศากยะ และ โกลิยะ ได้ทำการแย่งน้ำทำนากัน เกิดความทะเลาะวิวาทกัน
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เป็นเหตุให้พระองค์เสด็จมา ตรัสถามถึงความเป็นมา
เป็นไป และได้ตรัสใหไ้ ด้คิดว่าระหว่างน้ำกับกษตั ริยอ์ ย่างไหนจะมีค่ามากกว่า
กัน การทะเลาะกันเป็นส่ิงที่ไม่สมควร เม่ือใดท่ีแตกความสามัคคีกัน
ความพนิ าศก็ย่อมเกดิ ขน้ึ
ข. กรณีเป็นคนกลางเจรจาไกลเกล่ียการทะเลาวิวาทของภิกษุชาว
โกสัมพี
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีอาศัยน้ำเพียงข้ันเดียวทะเลาะกัน จน
พระพุทธเจ้าตรัสเตือนก็ไม่ฟัง พระองค์ต้องไปท่ีอ่ืน เหตุเพราะพระวินัยธร
และพระธรรมกถึกทะเลาะกัน ด้วยว่า พระธรรมกถึกเทน้ำทิ้ง โดยไม่
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๓๐๐
พิจารณาก่อน พระวินัยธร จึงไปบอกลูกศิษย์ตัวเองว่าพระธรรมกถึกทำผิด
พระวินัย ด้วยเหตุน้ี ลูกศิษย์ท้ังสองฝ่ายก็ทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าตรัสเตือน
ว่า พวกเธออย่าทะเลาะกันเลย ยกเรื่องนกที่แตกสามัคคีทำให้ถูกนายพราน
จับ แสดงธรรมเรื่องต่างๆ ก็ไม่สามารถทำให้พระภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
ท้ังหมดไม่ทะเลาะกันได้ ถึงขนาดที่ว่า พระภิกษุรูปหนึ่งตรัสกับพระพุทธเจ้า
ว่า ของพระองค์ทรงขวนขวายน้อยเถิด ข้าพระองค์จะปรากฎด้วยการ
ทะเลาะกนั อยู่
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปท่อี ่ืน ไปหากล่มุ พระอนุรุทธะ ตรัส
เร่ืองความเป็นอยู่สามัคคีกันของกลุ่มพระอนุรุทธะมองกันด้วยนัยต์ตาที่เป็น
เพ่อื น และทรงหลีกเร้น สู่ ป่า มีช้างปรนนิบัติ เมือ่ ชาวบ้านจะหาพระพทุ ธเจ้า
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ด้วยเหตุท่ีพวกเราทะเลาะ
กนั ชาวบ้านจึงลงโทษภิกษุเหล่าน้ันโดยไม่ให้อาหาร ไม่ใส่บาตร ไม่นานภิกษุ
ชาวเมืองโกสัมพี ก็กลับมาสามัคคีกันและขอขมาพระพุทธเจ้า พระองค์แสดง
ธรรมทีว่ ่า
"ก็ชนเหลา่ อื่นไมร่ ้ตู ัววา่ พวกเราพากันยอ่ ยยบั
อยูใ่ นทา่ มกลางสงฆน์ ี้ ฝา่ ยชนเหลา่ ใดในหมู่น้นั
ยอ่ มร้ชู ดั , ความหมายมน่ั กันและกนั ยอ่ มสงบ
เพราะการปฏิบัติของชนพวกน้นั ."
เมื่อพระพุทธองค์แสดงธรรมจบ ภิกษุที่มาประชุมกันนั่น
แหละ บรรลุคุณธรรมมากมาย น่ีแสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสที่สะสมมา
หากยงั เปน็ ปุถชุ น แต่เมอ่ื เหตปุ ัจจัยพรอ้ มปญั ญาทส่ี ะสมมา กท็ ำใหบ้ รรลไุ ด้
จากสองกรณีดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ
พระพุทธเจา้ ในฐานะผนู้ ำองคก์ รที่ทำหนา้ ทีใ่ นการสรรค์สร้างความสมานฉันท์
ให้เกิดข้ึนในท้ังในระดับชาติและในระดับองค์กร การใช้กลยุทธ์ในการส่ือสาร
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๓๐๑
ที่สร้างความต่ืนตัวให้คู่ขัดแย้งได้คิดและเกิดการกลับใจ เป็นวิธีที่พระพุทธ
องค์ทรงใช้ในการจัดการความขัดแย้งหลายคร้ังนอกเหนือจากกรณีตัวอย่าง
ข้างต้น ในกรณีแรกเพียงแค่คำถามที่ว่า ระหว่างน้ำกับกษัตริย์อะไรสำคัญ
กว่ากัน กระตุ้นเตือนให้ชาวศากยะและโกลิยะได้สำนึก และมองเห็นว่า
กษัตริย์มีความสำคัญกว่าน้ำ และหันกลับมาสามัคคีกันดังเดิม ในกรณีของ
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีน้ัน ขัดแย้งเพียงเร่ืองเล็กน้อย และหมุนเกลียวของ
ความขัดแย้งให้รุนแรงขน้ึ เร่ือยจนเกดิ ความแตกแยกออกเป็นคนละพวกก็โดย
อาศัยทิฎฐิท่ีมี พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาเป็นเคร่ืองมือในการย่อยสลายความ
ขัดแย้ง และอาศัยการคว่ำบาตรจากชาวบ้านก็ย่ิงทำให้พระสงฆ์เหล่านั้นเริ่ม
เห็นโทษของความขัดแย้ง ในท้ายท่ีสุดสำนึกผิดจึงได้ขอขมาต่อพระพุทธเจ้า
และฟังธรรมเทศนาจนบรรลุธรรม
๒) บทบาทพระสงฆใ์ นฐานะผนู้ ำเชงิ พทุ ธในการสรา้ งสันติ
ก. บทบาทของสมเด็จพระพนรตั น์ วดั ปา่ แก้ว
เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหราช และสมเด็จ
พระเอกาทศรถ พลัดหลงเข้าไปประจันหน้ากับทัพหลวงของพม่าทหารฝ่าย
ไทยไม่อาจตามเสด็จไดท้ ัน เพราะกำลังรบตะลมุ บอนกบั กองทัพหน้าของพม่า
สมเด็จพระนเรศวรท้าพระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถแี ละทรงฟันพระมหา
อุปราชาส้ินพระชนม์อยู่บนคอช้าง ทำให้กองทัพไทยมีชัยชนะเหนือกองทัพ
พม่าในการรบครง้ั นัน้
เม่ือเสด็จกลับถึงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรส่ัง
ประหารชีวติ แม่ทพั นายกองคนสำคญั ด้วยความผดิ โทษฐานปล่อยใหแ้ ม่ทพั ไป
เผชิญกองทัพข้าศึกตามลำพัง การส่ังประหารชีวิตคร้ังนี้ไม่มีข้าราชการ
บริพารใดกล้าทัดทาน ทั้งท่ีถ้าแม่ทัพนายกองคนสำคัญถูกประหารชีวิต
กองทพั ไทยกจ็ ะออ่ นแอลงอยา่ งมากและจะเสียเปรียบกองทัพพมา่
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๓๐๒
ข่าวการส่ังประหารชีวิตนี้แพร่เข้าไปในวัดป่าแก้ว สมเด็จ
พระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว และพระราชาคณะ ๒๕ รูป พร้อมกันเข้าไปใน
พระบรมมหาราชวังถวายพระพรถามข่าวการศึกสงคราม สมเด็จพระนเรศวร
ตรัสว่าพระองค์ได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยแก่พระมหาอุปราชา สมเด็จพระ
นพรัตน์จึงถวายพระพรถามว่าเมื่อฝ่ายไทยได้ชัยชนะเหตุไฉนแม่ทัพนายกอง
จึงต้องโทษประหารชีวิต
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตรัสตอบว่า นายทัพนายกอง
เหล่าน้ีอยู่ในขบวนทัพโยม มันกลัวข้าศึกมากกว่าโยม และให้โยมสองคนพี่
น้องฝ่าเข้าไปในท่ามกลางข้าศึก จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชามีชัย
ชนะแล้วจึงได้เห็นหน้ามันนี้หากว่าบารมีของโยมหาไม่ แผ่นดินจะเป็นของ
ชาวหงสาวดีเสียแลว้ เพราะเหตดุ งั น้โี ยมจงึ ให้ลงโทษ โดยพระอัยการศกึ
สมเด็จพระนพรัตน์ ถวายพระพรว่า พิเคราะห์ดูแล้ว
ข้าราชการเหล่าน้ีจะไม่เกรงกลัวสมเด็จพระนเรศวรน้ัน เป็นไปไม่ได้
เหตุการณ์ยุทธหัตถีครั้งน้ีเหมือนกับคร้ังที่พระพุทธเจ้าประทับน่ังใต้ต้นมหา
โพธิ์ในคืนที่จะตรัสรู้ ปรากฏว่าในช่วงเวลาเย็นมีเทวดาและพรหมมาเข้าเฝ้า
ชมพระบารมีจำนวนมาก แล้วพากันกลับไป ปล่อยให้พระพุทธเจ้าอยู่
เผชิญหน้ากับกองทัพพระยามาร และรบชนะมารด้วยพระองค์เองตามลำพัง
จึงทรงไดน้ ามวา่ พระพชิ ติ มาร
ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทวดาและพรหมเป็นบริวารช่วยรบชนะ
มาร ชัยชนะก็ไม่สู้เป็นอัศจรรย์ ก็เหมือนพระราชสมภารเจ้าท้ังสองพระองค์
ครง้ั น้ถี ้าเสด็จพร้อมด้วยเสนาคนกิ ารโยธาทวยหาญมาก และมีชัยแกพ่ ระมหา
อุปราชาก็สู้หาเป็นอัศจรรย์แผ่เกียรติยศได้ปรากฏไปในนานาประเทศธานี
ใหญ่น้อยทั้งนั้นไม่ พระราชสมภารเจ้าอย่าทรงพระราชปริวิตกน้อยพระทัย
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๓๐๓
เลย อันเหตุที่เป็นนี้ เพ่ือเทพยาเจ้าท้ังปวงอันรักษาพระองค์จักสำแดง
เกียรติยศดจุ อาตมภาพถวายพระพรเปน็ แท้
สมเด็จพระนเรศวร ได้ฟังการเปรียบเทียบเชน่ นัน้ ทรงพระปิ
ติโสมนัสยกพระหัตถ์ประนมเปล่งพระวาจาว่า สาธุพระผู้เป็นเจ้าว่าน้ีควร
นักหนา สมเด็จพระนพรัตน์ เห็นว่า พระมหากษัตริย์คลายพระพิโรธแล้ว จึง
ขอพระราชทานบณิ ฑบาตใหท้ รงไว้ชวี ติ แมท่ ัพนายกอง
สมเดจ็ พระนเรศวรตรสั ว่า พระผู้เป็นเจา้ ขอแล้ว โยมกจ็ ะให้
แต่ทว่าจะให้ไปตีเอาเมืองตะนาวศรี เมืองทวายแก้ตัวเสียกอ่ น
สมเด็จพระนพรัตน์ ถวายพระพรว่า การซึ่งจะใช้ไปตี
บา้ นเมืองนนั้ สุดแต่พระราชสมภารเจ้าจะสงเคราะห์เถิด ไมใ่ ชก่ ิจสมณะ แล้ว
ถวายพระพรลากลบั ไป
สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าการ
ทำศึกสงครามแสวงหาอำนาจทางการเมืองน้ัน ไม่ใช่กิจของสงฆ์ บทบาทของ
พระสงฆ์จำกัด อยู่ท่ีการแสดงธรรมชี้ทางท่ีถูกต้องในการปกครองบ้านเมือง
เห็นกระทำไม่ถูกต้องในเร่ืองใดก็เป็นหน้าท่ีของพระสงฆ์จะออกมาเทศนา
ตกั เตือนเรียกร้องกนั บ้าง๒๖
จากกรณีน้ีแสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์มีบทบาทในการสร้าง
ความสมานฉันท์ ระงับยับย้ังความรุนแรงท่ีจะเกิดขึ้น ซึ่งหากปราศจาก
บทบาทของสมเดจ็ พระพนรัตน์ วดั ป่าแก้วแล้ว ผลท่ีตามมาก็คือ แม่ทัพนายก
องจะต้องถกู ประหารชวี ิตหลายคน
๒๖ พระสงฆย์ งุ่ การเมือง ไม่ใช่กจิ ของสงฆ์ บิณฑบาตร-กวาดวัด-ปจั เวก
http://www.oknation.net/blog/print.phpง(สบื คน้ เมือ่ ๑๕ เม.ย. ๕๕).
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๓๐๔
ข. บทบาทของพระครูวิบูลสิทธิธรรมกับการจัดการความ
ขดั แยง้ ทางการเมือง
พระครูวิบูลสิทธิธรรม เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองพะยอม
ตำบลชุมแสงสงคราม จังหวัดพิษณุโลก ได้ดำเนินการในการช่วยเหลือชุมชน
เพ่อื คลี่คลายปัญหาความขดั แยง้ ท่ปี รากฏชดั เจน คือ
ด้านการป้องกนั ความขดั แย้ง
ท่านพระครูวิบูลสิทธิธรรมมีแนวคิดในการป้องกันความ
ขัดแย้งว่า “เมื่อคุณภาพชีวิตดี คนก็ไม่มีปัญหา ไม่มีทุกข์ พอไร้ทุกข์ ความ
ขัดแย้งก็ไม่เกิด ถึงเกิดก็ไม่รุนแรง แก้ง่าย” น่ันก็หมายความว่า ความขัดแย้ง
หลากหลายชนิดท่ีเกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่คนในชุมชนมีปัญหาด้าน
คุณภาพชีวิต โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา และการ
เจ็บป่วย ซึ่งท่านจะอ้างถึงแนวคิดวงจรอุบาทว์ท่ีว่า โง่ จน เจ็บ อยู่เสมอ
โดยอธิบายว่า เม่ือคนเราโง่ คือไม่ได้เรียนหนังสือ ท่ีเกิดข้ึนตามมาก็คือไม่มี
ความรู้ที่จะไปหากิน ก็จะจน เม่ือไม่มีรายได้ เจ็บไข้ไม่สบายก็ไม่มีเงินรักษาก็
เจ็บจนตาย สำหรับประเด็นความขัดแย้งที่ท่านเทศน์สอนชาวบ้านอยู่บ่อยๆ
กเ็ ห็นจะเป็นเรื่องท่ีความขัดแยง้ เกิดจาก การแย่งที่กันทำกิน แย่งถ่ินกันอยู่
แยง่ คู่กนั พิศวาส และแย่งอำนาจกันเปน็ ใหญ่ ท้ังหมดน้ีคอื สาเหตุทที่ ำให้คน
ขัดแย้งกัน เมื่อพิจารณ าจากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชน
หลากหลายกรณีก็เกิดจากปัญหาทั้ง ๔ ประการข้างต้นดังที่ท่านพระครูกล่าว
ไวเ้ ช่นกนั
ภายใต้แนวคิดที่ว่า ความขัดแย้งเกิดจากการที่คนในชุมชน
ขาดคุณภาพชีวิตท่ีดี หากชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ความขัดแย้ง
ท้ังหลายก็จะไม่เกิดขึ้น ทำให้ท่านพระครูได้ริเริ่มสร้างสรรค์กิจกรรมการ
พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนหลายโครงการด้วยกัน ถึงแม้วา่ โครงการ
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๓๐๕
เหล่าน้นั อาจจะไม่ใชค่ ำตอบสำหรับแนวคดิ เรือ่ งการจัดการความขัดแย้งอย่าง
ชัดเจน แต่ก็ยังอยู่ภายใต้กรอบความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตกับความ
ขัดแย้งของท่านพระครูเช่นเดิม ดังน้ันในที่น้ีผู้เขียนขอนำเสนอแนวคิดการ
พัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ทเี่ คลือบไปดว้ ยกลไกการสรา้ งสันติในชมุ ชนไปพร้อมกนั
ท่านพระครูวิบูลสิทธิธรรมได้ก่อตั้ง กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์
ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๔๑ โดยบริหารกลุ่มดังกล่าวในรูปของคณะกรรมการภายใต้
แนวคิดท่ีว่า “ สังคมจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะอาศัยกฎระเบียบของสังคม
กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จะตั้งอยู่ได้เป็นสุขเพราะอาศัยกฎระเบียบของกลุ่ม
คณะกรรมการเป็นเพียงผู้รักษากฎระเบียบเท่านั้น ส่วนกฎระเบียบของ
กลุ่ม สมาชิกท้ังหมดเป็นผู้ต้ังข้ึนมา ” หากใช้มุมมองจากแนวคิดเกี่ยวกับ
การจัดการความขัดแย้งจะเห็นได้ว่าเพียงแนวคิดเบ้ืองต้นท่ีท่านพระครู
นำมาใช้ก็อธิบายได้ถึงเคร่ืองมือในการป้องกันความขัดแย้ง ประการแรกก็คือ
กติกาพ้ืนฐาน(Ground Rule) ซ่ึงจะทำหน้าที่ในการสร้างกรอบของการอยู่
ร่วมกันของคนในชุมชนให้มีมาตรฐานเดียวกัน ในทางพระพุทธศาสนาเรียก
วิธีการดังกล่าวว่า “ทิฎฐิสามัญญตา คือการสร้างความเห็นให้ตรงกัน และ
สีลสามัญญตา คือการสร้างกติกาให้เสมอกัน” ประการต่อมาท่ีท่านพระครู
นำมาใช้ก็คือ กระบวนการมีส่วนร่วม ในการสร้างกติกา ท่านจะให้ชาวบ้าน
ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มเป็นผู้วางกติกามาใช้เอง ซ่ึงจะทำให้ชาวบ้านรู้สึกภูมิใจใน
ศักดิศ์ รขี องตนเอง และมีความรู้สึกเป็นเจา้ ของกล่มุ อยา่ งแทจ้ ริง
พระครูวิบูลสิทธิธรรมได้ขยายความแนวคิดของการจัดตั้ง
กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ว่า กลุ่มหมายถึงเป็นการรวมตัวของคนตั้งแต่ ๒ คน
ขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายเดียวกัน ในขณะที่ สัจจะ หมายถึง
ความสตั ย์ ความซือ่ ตรง หรือความจรงิ (ความจริง หรือความตรงนั้น พึงตง้ั ลง
ใน ๕ สถาน คือ ๑.ตรงต่อหน้าท่ี ๒.ตรงต่อการงาน ๓.ตรงต่อเวลา ๔.ตรงต่อ
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๓๐๖
บุคคล ๕.ตรงต่อความดี ) และ สะสมทรัพย์ หมายถึง การสะสมเงินหรือ
ทรัพย์ ทีละเล็กทีละน้อย อย่างสม่ำเสมอ จากรายได้ของตนเอง หรือภายใน
ครอบครัว เหมือนผ้ึงแตะน้ำหวานมาสะสมทีละน้อยนิดก็เป็นรังใหญ่ หรือ
ปลวกนำดินมาสะสมทีละนิดก็เป็นจอมปลวกใหญ่ได้ เม่ือกลายเป็น กลุ่ม
สัจจะสะสมทรัพย์ จึงหมายถึง การรวมตัวของชาวบ้านซึ่งอาศัย สัจจะคือ
ความซ่ือสัตย์ ซื่อตรง และจริงใจต่อตนเอง ต่อกันและกัน เพ่ือช่วยเหลือซ่ึง
กันและกัน โดยการประหยัดทรัพย์ แล้วนำทรัพย์มาสะสมรวมกันทีละเล็กที
ละน้อย เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ หรือใช้เป็นทุนให้สมาชิกท่ีมีความจำเป็น
เดือดร้อนกู้ยืมไปใช้ ในการลงทุน ประกอบอาชีพ หรือเพ่ือสวัสดิการของ
ตนเองและครอบครัว โดยรูปแบบการดำเนินการมีลักษณะ คล้ายกับ
ธนาคาร เพราะมีการฝากเงิน กู้เงิน หรือถอนเงิน คล้ายกับประกันภัย
เพราะสมาชิกได้รับการคุ้มครองเมื่อมีการเสียชีวิต หรือมีการเจ็บป่วย คล้าย
กบั สหกรณ์ เพราะมกี ารขายสนิ คา้ ราคาถูกให้แกส่ มาชิก สน้ิ ปมี เี งินปนั ผล
ท่านพระครูกล่าวว่า เงินเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
ตั้งแต่เกิดยันตายต้องใช้เงิน น่ันคือเวลาเกิดคนเราก็จะใช้เงินไปในเรื่อง ค่า
โรงพยาบาล,ค่าหมอ,ค่ายา,ค่ารถ,ค่าผ้าอ้อม เป็นต้น จนถึงยามตาย คนเรา
ก็จะใช้เงินในเรื่องค่าโลง,ค่าพวงหรีด,ค่าดอกไม้จันทน์,ค่าถวายพระ เป็นต้น
เมื่อเงินเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งท่ีแลกเปล่ียนความสุข
ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงแสวงหาเงิน ถ้าเราสามารถนำเงินมารวมกันได้ การรวม
คนก็ง่าย และนำธรรมะมาพัฒนาคนได้ จึงนำมาซึ่งนโยบายของกลุ่มสัจจะ
สะสมทรัพย์ดังแผนภาพท่ี ๙.๒ ดงั นี้
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๓๐๗
รวม
คน คณุ ธรรม
เงิน
แผนภาพที่ ๙.๒ แสดงนโยบายของกลมุ่ สัจจะสะสมทรพั ย์
ท้ั ง น้ี พ ร ะ ค รู วิ บู ล สิ ท ธิ ธ ร ร ม ได้ ก ำห น ด คุ ณ ธ ร ร ม ใน พุ ท ธ
ศาสนาท่ีจำเป็นนำมาใช้ในการถ่ายทอดให้สมาชิกของกลุ่มสัจจะสะสมทรพั ย์
ได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ่านการเทศน์ในวันธรรมัสวนะ วัน
สำคญั ทางพระพุทธศาสนา วันนัดประชุมสมาชิกกลุ่มสัจจะ การบรรยายตาม
บ้านเรือนของชาวบ้านในงานขึ้นบ้านใหม่ งานศพ และกิจกรรมอ่ืนท่ีมี
โอกาสในการถ่ายทอดธรรมะได้ รวมไปถึงการออกรายการวิทยุชุมชนของ
กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ หลักธรรมท่ีท่านพระครูเน้นในการเทศน์เสมอ
ประกอบด้วยเนื้อหาธรรมะข้ันพ้ืนฐาน ๕ ประการ สำหรับการอยู่ร่วมกันใน
กลุ่มสัจจะ คือ ความขยัน ความซื่อสัตย์ ความสามัคคี และการมีวินัย
เมื่อสมาชิกประกอบด้วยคุณธรรมท้ัง ๕ แล้ว จะตอ้ งมี ๓ อดประกอบรองรับ
ธรรมะ ๕ ประการข้างต้น กล่าวคือ อดทน อดออม และอดกลั้น ผลที่
เกิดจากการใช้หลักธรรมในเบื้องต้น จะทำให้คนในกลุ่มมีคุณลักษณะดังน้ี ๑.
มีความรักความเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ๒.มีความเสียสละเพ่ือส่วนรวม
๓.มีความเมตตาตอ่ กัน ๔. มีความรบั ผิดชอบต่อกล่มุ ตอ่ ชมุ ชนร่วมกัน ๕.
มีความเห็นอกเหน็ ใจต่อกนั ๖.มีความไว้วางใจซึ่งกนั และกัน ตามภาพ
ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๓๐๘
คณุ ธรรม
รวม
ขยนั ประหยดั ซ่ือสตั ย์ สามคั คี มีวินัย
อดทน อดออม อดกลนั้
ความรกั ความเอือ้ เฟื้ อเผือ่ แผ่ ความรบั ผิดชอบรว่ มกนั
ความเสียสละเพ่ือส่วนรวม ความเหน็ อกเหน็ ใจ
ความมเี มตตา ความไวว้ างใจซ่ึงกนั และกนั
แผนภาพที่ ๙.๓ แสดงคณุ ธรรมในการบรหิ ารกล่มุ สจั จะสะสมทรัพย์
อาจกล่าวได้วา่ ถงึ แมบ้ ทบาทในเรื่องการสร้างสนั ตใิ นชุมชน
รวมไปถึงการสร้างการเมอื งท้องถน่ิ ให้เป็นการเมืองสมานฉันท์ในพ้ืนที่ชุมแสง
สงคราม ของพระครูวิบูลสิทธิธรรมจะไม่ชัดเจนถึงระดับที่มีการจัดต้ังองค์กร
ขึ้นมารองรับ แตใ่ นการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ทา่ นพระครกู ็
ได้สอดแทรกบทบาทด้านการสร้างสันติสุขในชุมชนเป็นด้านหลักของการ
ทำงานเช่นเดียวกัน โดยท่านได้ทำให้วัดหนองพยอมมีบทบาทในชุมชน ๘
ดา้ นดังนี้
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๓๐๙
๑. ศลี ธรรมและวัฒนธรรม ได้แก่ สมาชกิ มีสัจจะเป็นท่ีตง้ั
๒. สุขภาพอนามัย ได้แก่ มีสวัสดิการช่วยยามเจ็บป่วย
และมีกองทุนยา
๓. สัมมาชีพ ได้แก่ มีการสร้างงาน สร้างรายได้ มีเงินทุน
หมุนเวียนประกอบอาชีพ มีกองทุนฝึกฝนอาชีพ มีเงินทุนสนับสนุนศึกษาดู
งาน
๔. สันติสุข ได้แก่ สมาชิกของกลุ่มได้ช่วยเหลือกันได้ดูแล
กนั และกนั ได้พบปะพดู คุยกนั ทุกเดือน
๕.ศึกษาสงเคราะห์ ได้แก่ มีกองทุนสวัสดิการแจก
ทุนการศกึ ษาแกบ่ ุตรหลานสมาชิก
๖.สาธารณสงเคราะห์ ได้แก่ มีกองทุนช่วยเหลือ บ้าน วัด
โรงเรยี น สถานีอนามัย สถานีตำรวจ และสาธารณะกุศลต่างๆ
๗.กตัญญูกตเวทิตาธรรม ได้แก่ ทุกปีสมาชิกสามารถจัด
งานวนั กตัญญอู าบนำ้ ผ้สู ูงอายไุ ด้
๘.สามัคคีธรรม ได้แก่ สมาชิกของกลุ่มรวมตัวกันช่วยกัน
บริหารจัดการกลุ่ม ร่วมคิดร่วมปรึกษา ร่วมกันแก้ปัญหา ร่วมพัฒนา และ
สมาชิกก็เห็นความสำคัญของวัด ได้เข้าวัดช่วยเหลือวัด วัดมีกิจกรรมอะไรก็
อาศยั สมาชิกกลมุ่ เป็นหลกั เม่ือคนมคี วามสามคั คจี ะพฒั นาอะไรก็ทำงา่ ย
ปัจจุบันสถานภาพของกลุ่มสัจจะ ยังดำรงอยู่และทำหน้าท่ี
ในการสร้างความม่ันคงในการดำรงชีวิตของคนในชุมชน เป็นสถาบันทาง
สังคมที่ประชาชนได้เข้ามาพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน สมาชิกยังคงมีความ
มั่นคงในสัจจะ มีการฝากเงินและปล่อยเงินกู้เป็นประจำทุกเดือน สิ้นปีนำผล
กำไรมาปันผลให้สมาชิก สมาชิกยังคงได้รับสวัสดิการ นอนโรงพยาบาล
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๓๑๐
ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ช่วยการศึกษา และยงั เดินหน้าพัฒนาไปสู่กองทุนเพื่อการ
พฒั นาคณุ ภาพชวี ิตประเภทอน่ื ๆต่อไป
นอกเหนือจากกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตคือการตั้ง
กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ ก็ยังมีกิจกรรมอ่ืนที่ท่านพระครูได้ดำเนินการและมีผล
ทำให้ชุมชนชุมแสงสงครามเป็นสังคมท่ีผู้คนมีความไว้วางใจกัน และมีเอื้อ
อาทรซ่ึงกันและกัน ประกอบด้วย โครงการศึกษาดูงานของกลุ่มเยาวชน เริ่ม
ปีพ.ศ.๒๕๔๗ โครงการกลุ่มเยาวชน เร่ิมปีพ.ศ.๒๕๔๒ โครงการลานวัดลาน
ใจลานกีฬา เร่ิมปีพ.ศ.๒๕๔๗ โครงการให้กลุ่มเยาวชนปลอดอบายมุขกู้ยืม
เงินประกอบอาชีพปลอดดอกเบี้ย เร่ิมปี พ.ศ.๒๕๔๒ โครงการฌาปนกิจ
หมู่บ้าน เริ่มปีพ.ศ.๒๕๔๑ โครงการลานตากผลผลิตทางการเกษตร เริ่มปี
พ.ศ.๒๕๔๗ และโครงการสัจจะวันละบาทจัดสวัสดิการภาคประชาชน เร่ิมปี
พ.ศ.๒๕๔๘
ในช่วงฤดูการเลือกต้ังการเมืองท้องถิ่น เมื่อกล่าวถึงความ
ขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่นกับบทบาทของพระครูวิบูลสิทธิธรรม กลุ่ม
นักการเมืองท้องถิ่นที่ให้สัมภาษณ์ผู้เขียนได้กล่าวไปใน ทำนองเดีย วกันว่า
ทา่ นพระครูได้มบี ทบาทในการส่ังสอนให้ชาวบา้ นไดเ้ ลือกคนดี การเลือกคนที่
ไม่ซ่ือสัตย์ ซ้ือสิทธ์ิขายเสียง ถือว่าเป็นบาปในทางพระพุทธศาสนา ก็เท่ากับ
คนบาปเลือกคนบาปเข้าไปทำงาน บาปท่ีมีอยู่ก็จะขยายตัวออกไปเรื่อยๆ
โดยท่านจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือชี้นำให้ชาวบ้านเลอื กใครคนใดคนหน่งึ
ก่อนการเลือกตั้งพระครูวิบูลสิทธิธรรมได้เชิญชวนผู้สมัคร
รับเลือกตั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมกระทำสัตยาบันเพ่ือการเลือกต้ังท่ีสุจริต ไม่
กล่าวหาว่าร้ายกันและกัน ซ่ึงจะทำกันที่วิหารหลวงพ่อขาวซ่ึงเป็น
พระพทุ ธรูปศักดส์ิ ิทธิ์ เปน็ ท่ีเคารพสักการะของชาวบ้านตำบลชุมแสงสงคราม
อย่างมาก และเป็นท่ีเคารพของผู้สมัครรับเลือกต้ังเช่นเดียวกัน จากการ
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๓๑๑
สอบถามผู้สมัครและชาวบ้านว่ากิจกรรมดังกล่าวมีผลต่อพฤติกรรมของ
นักการเมืองท้องถ่ินหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า วิธีการเช่นน้ีก็ไม่ได้ทำให้การ
เลือกตั้งสุจริตได้เสียทีเดียว แต่ก็ทำให้ท้ังฝา่ ยท่ีสมัคร และฝ่ายท่ีเลือกมีความ
เกรงกลวั ส่ิงศักดิ์สทิ ธ์อิ ยบู่ ้างเช่นกัน
ในขณะมีการเลือกต้ัง กิจกรรมที่ท่านพระครูได้ดำเนินการ
คือการจัดเวทีปราศรัยหาเสียงภายในวัด ด้านหลักของกิจกรรมน้ีคือ ท่าน
พระครูตอ้ งการทจี่ ะสอนให้ผ้สู มัครรบั เลือกตั้งไดม้ าพูดความจริงกันภายในวัด
พูดในสิง่ ที่อยากจะทำมากกว่าการพูดเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม หรอื พูดให้ร้าย
ผู้สมัครท่านอ่ืนๆ โดยจะจัดกิจกรรมในวันที่ชาวบ้านในชุมชนมารวมตัวกัน
มากๆ เช่น วันประชุมของสมาชิกกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ หรือวันธรรมัสวนะ
เป็นต้น
สำหรับการพิจารณาเลือกนักการเมือง ท่านพระครูกล่าวว่า
“การเลือกตั้งคือการหาคนมารับภาระแทนเรา” ดังนั้น ท่านก็จะสั่งสอนให้
ชาวบ้าน “เลือกคนท่ีพร้อม อย่าเลือกคนท่ีอยาก เพราะคนเป็นเพราะความ
พร้อมก็ทำงานเสียสละกว่าคนเป็นเพราะความอยาก” จากแนวคิดดังกล่าว
ข้างต้น ทำให้ทราบว่า ท่านพระครูได้มีส่วนช่วยสร้างความเข้าใจในการ
ตดั สนิ ใจเลอื กผนู้ ำของชาวบ้าน โดยท่านได้ขยายความคุณลักษณะของผู้นำท่ี
จะมาทำหน้าท่ีรับภาระให้ชาวบ้านได้ว่า “ผู้นำต้องจริงใจ ซ่ือสัตย์ มีธรรมะ
ใจกว้าง ฟังเสียงคนอ่ืน ไม่คิดเล็กคิดน้อย รักชาวบ้านเหมือนเป็นครอบครัว
เดยี วกนั เสียสละ และมีหวั นกั พฒั นา”
ในด้านการส่งเสริมความสมานฉันท์(Unanimity) ในการ
เลือกต้ัง มีการดำเนินการภายในวัดโดยท่านพระครูจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง
นำการเสวนา ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคน ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จะมาร่วม
ประชุมกันในวัดหนองพะยอมเพ่ือทำความเข้าใจในนโยบายของแต่ละคน
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๓๑๒
จากนั้นตกลงกันว่า หากใครได้รับเลือกตั้งแล้วจะต้องนำเอานโยบายหลักของ
ผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกต้ังไปปฏิบัติด้วย เช่น กรณีท่ีผ่านมาเกษตรกรในตำบล
ชุมแสงสงครามจะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตร การ
เลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครท่ีแพ้การเลือกต้ังได้กำหนดนโยบายดึงน้ำจากแม่น้ำ
ยมมาใช้ประโยชน์ในการทำการเกษตรช่วงหนา้ แล้ง โดยวิธีการขุดอา่ งเก็บน้ำ
และเปิดร่องน้ำให้น้ำไหลเข้าอ่าง ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐
ล้านบาท แต่เนื่องจากผู้สมัครเจ้าของนโยบายแพ้การเลือกตั้ง นายกองค์การ
บริหารส่วนตำบลคนปัจจุบันซ่ึงชนะการเลือกตั้งจึงได้นำนโยบายดังกล่าวมา
ดำเนินการ ขณะนี้อยใู่ นชว่ งการออกแบบเพอื่ กอ่ สรา้ งตอ่ ไป
จะเห็นได้ว่ากิจกรรมการสร้างความสมานฉันท์ในการ
เลือกตั้งของตำบลชุมแสงสงครามได้ลดระดับความขัดแย้งของการเมือง
ท้องถิ่น ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมที่ผู้สมัครรับเลือกต้ังทุกคนรับรู้ได้ถึง
ความสำคัญของตนเอง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ยังสามารถนำเอาส่ิงท่ีตนคิดไป
ทำประโยชน์ให้กบั ท้องถน่ิ ได้
ด้านการจัดการความขัดแย้ง
เมื่อเกิดความขัดแย้งอันเป็นผลจากการเลือกตั้งนายก
องค์การบรหิ ารส่วนตำบลหรือสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ท่านพระครู
วิบูลสิทธิธรรมได้ทำหน้าท่ีเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งของคน
เหล่าน้ัน วิธีการของท่านพระครูก็คือเรียกคู่กรณีที่มีความขัดแย้งกันเข้ามา
คุยกันท่ีวัด โดยให้แต่ละฝ่ายได้พูดถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดข้ึน ท้ังนี้เพื่อ
ไม่ให้คู่กรณีพูดเท็จ ท่านพระครูจะให้คู่ขัดแย้งกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าหลวง
พ่อขาว ซึ่งสาระสำคัญของการกล่าวคำปฏิญาณน้ันก็ข้ึนอยู่กับกรณีเร่ืองที่มี
ความขัดแย้งกัน ท่านพระครูได้อาศัยด้านความเช่ือ (Belief) ในการจัดการ
ความขัดแย้งในเบ้ืองต้น จากนั้นเมื่อกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าหลวงพ่อขาว
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๓๑๓
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูก็จะให้ท้ังคู่ได้เล่าความเป็นมาของความ
ขัดแย้งที่เกิดข้ึน เม่ือฟังเรื่องราวต่างๆ แล้วท่านพระครูก็จะทำหน้าท่ีไกล่
เกลี่ยใหท้ ง้ั สองฝ่ายได้รับความเป็นธรรมมีความพอใจกนั ทั้งสองฝ่าย
ในกรณนี ี้ต้องยอมรับว่า มคี วามจำเป็นอยเู่ หมือนกันสำหรับ
การอาศัยส่ิงศักด์ิสิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือมาช่วยในการลดความขัดแย้ง
ท่านพระครูเลา่ ให้ฟังวา่ “เพยี งแต่เขาได้มาเล่าเร่ืองท่ีขดั แย้งกนั ตอ่ หน้าหลวง
พ่อขาว พร้อมๆกันก็เหมือนมาสารภาพบาป สารภาพความผิดที่ได้ทำ ความ
กลวั ต่อความผิดหรือความรู้สึกผิดจะคอ่ ยๆเรมิ่ เตอื นเขาเอง อาตมาก็แคพ่ ูดให้
เขาเห็นว่า คนบ้านเดียวกันโกรธกันก็เหมือนทำลายร้ัวบ้าน ปล่อยให้โจรเข้า
มาขโมยของไดง้ ่ายๆ แล้วกข็ อบณิ ฑบาต ให้แล้วต่อกัน อโหสกิ รรม กนั ไป”
ในช่วงของการเลอื กตั้งเปน็ ปกตขิ องการหาเสียงของผู้สมัคร
รับเลือกต้ังทุกคนท่ีจะกล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้าม มีการกระทบกระทั่ง
กันท้ังในเร่ืองของการนำเสนอนโยบาย หรอื การกล่าวพาดพิงชีวติ ส่วนตัวของ
ผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม ผู้สมัครลงเลือกต้ังจะมีผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน เป็น
ตัวแทนในการหาเสียงกับชาวบ้านภายในส่วนปกครองของตน ทั้งผู้ใหญ่บ้าน
และกำนัน มักจะมีความขัดแย้งกันเอง เนื่องมาจาก การแบ่งฝักฝ่าย การหา
เสียงของชาวบ้าน ขณะมีการเลือกต้ัง ชาวบ้านที่ศรัทธาผู้ใหญ่บ้านท่านใด
หรือ กำนันท่านใด ก็ไม่ศรัทธาอีกฝ่ายหน่ึงจึงเป็นเหตุให้มีกรณี “ญาติพี่น้อง
ทะเลาะกันเพราะการนับถือและเคารพผู้นำท่ีต่างกัน” ดังนั้นหลังจาก
ประกาศผลการเลือกต้ังแล้ว ทางท่านพระครูจึงได้จัด กิจกรรมการฟื้นคืนดี
โดยการเชิญผู้สมัครทุกคนพร้อมท้ังผู้นำชุมชนและชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม
ประชุมกนั ภายในวัด โดยกิจกรรมท่ีจัดขึ้นเริ่มตั้งแต่การแสดงปาฐกถาในเรื่อง
ที่เก่ียวกับการให้อภัยทานตามหลักพระพุทธศาสนา โดยท่านพระครูจะเชิญ
ชวนให้ทุกฝ่ายได้ให้อภัยกันและกันท่ีได้ล่วงเกินกันด้วยวาจาในช่วงที่หาเสียง
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๓๑๔
เลือกตั้ง จากน้ันให้กล่าวคำขอขมาต่อหน้าชาวบ้านท้ังท่ีเป็นฝา่ ยชนะเลือกต้ัง
และแพ้การเลือกต้ัง ขั้นตอนต่อไปก็คือ ท่านพระครูได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้าน
ได้แสดงความคิดเห็นว่าต้องการความช่วยเหลือเร่ืองใดบ้าง และให้ผู้ที่ได้รับ
เลือกต้ังและไม่ได้รับเลือกตั้งทั้ง ๒ ฝ่ายแสดงความคิดเห็นร่วมกัน หากใน
การแสดงความคิดเห็นมีความขัดแย้งกัน ท่านพระครูก็จะเป็นคนกลางและ
ร่วมกับชาวบ้านหาข้อตกลงที่ทำให้ทุกฝ่ายพึงพอใจร่วมกัน จากน้ันก็จะมี
ประชุมปรึกษาหารือในเรื่องท่ีเกี่ยวกับกิจกรรมท่ีวัดจะจัดขึ้น คือ งาน
ประจำปีสมโภชหลวงพ่อขาว งานอุปสมบทนาคหมู่ งานปริวาสกรรม งาน
ปฏิบตั ิธรรมเฉลิมพระเกียรติ รวมทั้งรายงานผลการดำเนนิ งานของกลุ่มสัจจะ
สะสมทรัพย์ และกองทนุ ที่ทางวดั ดำเนนิ การอยใู่ นปัจจบุ นั
จะเห็นได้ว่ากจิ กรรมการฟนื้ คนื ดีนี้ไดม้ ีบทบาทในการหลอม
รวมให้ข้ัวขัดแย้งทุกกลุ่มในช่วงการเลือกตั้งทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้ง กลุ่มแกน
นำหรือหัวคะแนน และประชาชนที่ศรัทธาแต่ละฝ่ายได้กลับมาคืนดีกัน
พดู คุยกันได้เหมือนดังเช่นปกติ ท้ังนี้โดยอาศัยบทบาทการนำของพระครูวิบูล
สทิ ธธิ รรม
จากการได้ศึกษาบทบาทของพระครูวิบูลสิทธิธรรมกับการ
จัดการความขัดแย้งทางการเมืองท้องถ่ิน ได้ค้นพบเครื่องมือท่ีนำมาใช้
ประโยชนใ์ นการจัดการความขัดแยง้ หลายประการดว้ ยกนั ประกอบด้วย
เคร่ืองมือท่ี ๑ กติกาพื้น ฐาน (Ground Rule) เป็น
บรรทัดฐานร่วมท่ีประชาชนยอมรับและไม่รู้สึกว่าเสียเปรียบภายใต้กติกาใด
กติกาหน่ึง และทำให้ชาวบ้านในชุมชนชุมแสงสงครามยอมรับกติกาท่ีคิด
รว่ มกนั
เคร่ืองมือท่ี ๒ แนวคิดการค้นหาความต้องการของชุมชน
ซึ่งพระครูวิบูลสิทธิธรรมได้ใช้หลักอริยสัจ ๔ เป็นเคร่ืองเมือจะเห็นได้จาก
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๓๑๕
การอธิบายความขัดแย้งของคนในชุมชนว่าเป็นผลมาจากการขาดคุณภาพ
ชีวิตที่ดี ทุกข์ คือ ความขัดแย้ง สมุทัย คือ การขาดคุณภาพชีวิตท่ีดี นิโรธ
คือ ชุมชนที่ประชาชนมีความไว้วางใจกัน มีความเมตตากัน มีสัจจะต่อกัน
มรรค คือ โครงการกลุม่ สจั จะสะสมทรัพย์และอ่นื ๆ
เครอ่ื งมือที่ ๓ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่ง
ท่านพระครูได้นำมาใชใ้ นกิจกรรมการเปิดเวทใี หช้ าวบ้านได้มโี อกาสมีสะท้อน
ความต้องการให้กับผู้นำท้องถ่ินได้รับรู้ และกิจกรรมอื่นๆที่จัดโดยวัดหนอง
พะยอม
เคร่อื งมอื ท่ี ๔ การฟ้นื คนื ดี การขอโทษ และการให้อภัย
(อภัยทาน) ท่านพระครูได้นำมาใช้ในการสรา้ งความสมานฉันท์ให้เกิดขน้ึ กับ
การเลือกต้ังในท้องถิน่
เคร่ืองมือที่ ๕ การสานเสวนา ท่านพระครูได้นำมาใช้ใน
การไกล่เกลยี่ ความขดั แย้ง และกิจกรรมการฟ้ืนคนื ดี
เคร่ืองมอื ท่ี ๖ การเจรจาไกล่เกล่ียคนกลาง ท่านพระครไู ด้
นำมาใช้ในการไกล่เกลี่ยคู่ขัดแย้งระหว่างผู้สมัครรับเลือกต้ัง ท่ีกล่าวพาดพิง
ให้ร้ายกนั ในการหาเสยี ง
เคร่ืองมือท่ี ๗ การส่ือสารอย่างสันติ ท่านพระครูได้
นำมาใชใ้ นการปาฐกถาเพอ่ื ให้ทกุ ฝ่ายได้กลบั มาสามัคคีกันดังเดิม
ดังน้ัน นับได้ว่าท่านพระครูวิบูลสิทธิธรรมเป็นผู้ทรงภูมิ
ปญั ญาในการจดั การความขัดแย้งทางการเมอื งในทอ้ งถนิ่ และผู้เขียนขอใช้คำ
เรียกการเมืองในท้องถ่ินแห่งนี้ว่าเป็น “การเมืองเชิงสมานฉันท์” โดย
รูปแบบท่ีท่านพระครูได้ดำเนินการสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับท้องถ่ินอ่ืนๆ
ไดเ้ ปน็ อย่างดี ทัง้ นีก้ ็ต้องอาศัยบทบาทของผู้นำท่ีจะตอ้ งสร้างบารมีในระดับที่
คนในชุมชนยอมรับ และศรัทธาเช่ือมั่น การท่ีชาวบ้านเชื่อมั่นในท่านพระครู
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๓๑๖
เพราะท่านได้แสดงออกอย่างชัดเจนโดยการชี้ให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการอยู่
ร่วมกัน อบรมบ่มเพาะให้ประชาชนเชื่อม่ันในความถูกต้อง และสร้าง
คุณธรรมให้อยู่เหนือกระบวนการทางการเมือง ส่ิงสำคัญคือท่านมีความ
มงุ่ มั่นทจี่ ะพัฒนาชุมชนให้เกิดความผาสุกตลอดไป๒๗
สรุป
ภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการจัดการตามแนวสมานฉันท์ เป็นแนวคิดที่
คำนึงถึงสถานภาพของผู้นำในปัจจุบันท่ีจะต้องใช้หลักการนำโดยประยุกต์ใช้
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพ่ือพัฒนาตนเอง พัฒนาคน และพัฒนางาน
ในองค์กรทุกองค์กร ผู้นำคือหัวใจขององค์กรทำจะต้องทำหน้าที่ตัดสินใจ
นำพาองค์กรให้บรรลุวัตถุประสงคท์ ่ีต้ังไว้ ในขณะเดียวกันองค์กรกม็ ีสมาชกิ ท่ี
หลากหลาย จึงหลีกเล่ียงปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับความแตกต่างของคนไม่ได้
ปัญหาความขัดแย้งของคนในองค์กรเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
หน้าที่ที่สำคัญ ของผู้นำองค์กร จะต้องวางตนอยู่ในหลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนา แล้วจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดข้ึนโดยวิธีการสร้าง
ความสมานฉันท์
๒๗ พระมหาบญุ เลศิ อนิ ฺทปญฺโญ และคณะ,บทบาทพระสงฆ์ในการจดั การ
ความขดั แย้งทางการเมอื งในท้องถิ่น, เอกสารประกอบการประชมุ วชิ าการสถาบนั
พระปกเกลา้ ,(กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั พระปกเกล้า,๒๕๕๒), หนา้ ๕๓๙-๕๕๕.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๓๑๗
คำถามประจำบท
๑. ให้นิสิตอธิบายถึงความสำคัญของภาวะผู้นำว่ามีความสำคัญ
อยา่ งไร โดยอธบิ ายให้ชดั เจน
๒. ให้นิสิตอธิบายถึงความเป็นมาของการจัดต้ังองค์การสมานฉันท์
ให้กระชับที่สดุ
๓. ภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการจัดการตามแนวสมานฉันท์มี
แนวความคดิ มาจากอะไร ให้นสิ ิตอธบิ ายโดยละเอยี ด
4. ให้นิสิตวิเคราะห์การจัดการตามแนวสมานฉันท์เชิงพุทธมา
โดยสังเขป
5. ภาวะผูน้ ำมคี วามสำคัญอย่างไรกับการจดั การเชงิ พทุ ธ
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๓๑๘
อ้างอิงประจำบท
ว.ิ จูฬ.(ไทย),๖/๒๑๕/๓๓๑-๓๓๒.
วิ. ภิกขนุ ี.(ไทย),๓/๑๑๗๙/๒๙๗-๒๙๘.
ว.ิ ภิกขนุ ี.(ไทย),๓/๑๑๙๑-๑๑๑๔/๓๑๕-๓๑๕.
วิ. มหา.(ไทย),๑/๒๔-๔๕๘/๑๗-๔๘๔.
วิ. มหา.(ไทย),๔/๑๑๖/๑๖๘-๑๖๙
วิ. มหา.(ไทย),๔/๒๑๒/๓๓๗-๓๓๘.
ว.ิ มหา.(ไทย),๔/๒๑๙/๓๓๔.
ว.ิ จูฬ.(ไทย), ๗/๓๘๓/๒๗๘-๒๗๙
วิ.จฬู .(ไทย), ๗/บทนำ (๓๒-๓๓).
วิ.จฬู .(ไทย),๖/ บทนำ ๔๔.
วิ.มหา.(ไทย), ๔/๑๓๓/๒๑๙
วิ.มหา.(ไทย),๒/๖๕๕/๗๓๖.
วิ.มหา.(ไทย),๔/๑๓๒/๒๑๘
วิ.มหา.(ไทย),๔/๑๓๓/๒๑๙, ๑๓๖/๒๑๓
สุ.ที. มหา.(ไทย),๑๑/๒๑๖/๑๖๔-๑๖๕.
องฺ. จตุกก./๒๑/๗๐/๙๘(ไทย)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต). การศึกษาเพื่อสันติภาพ. กรงุ เทพมหานคร :
มลู นธิ ิพุทธธรรม,๒๕๓๘.
พระมหาบญุ เลศิ อนิ ฺทปญโฺ ญ และคณะ. บทบาทพระสงฆ์ในการจดั การ
ความขัดแย้งทางการเมืองในทอ้ งถิ่น, เอกสารประกอบการ
ประชุมวชิ าการสถาบันพระปกเกลา้ . กรงุ เทพมหานคร : สถาบัน
พระปกเกล้า,๒๕๕๒.
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๓๑๙
พระสงฆ์ยงุ่ การเมอื ง ไมใ่ ช่กจิ ของสงฆ์ บณิ ฑบาตร-กวาดวัด-ปัจเวก
http://www.oknation.net/blog/print.php. สบื คน้ เม่อื ๑๕
เม.ย. ๕๕.
พทุ ธทาสภิกขุ. สันตภิ าพของโลก. กรุงเทพมหานคร : ธรรมทานมูลนธิ ิ
,๒๕๓๑.
โยฮนั กลั ป์ตุง. พทุ ธสนั ตวิ ิธี : ทฤษฎเี ชงิ โครงสร้าง. แปลโดย สมชัย เยน็
สบาย. กรงุ เทพมหานคร : ปาจารยสาร,๒๕๓๘.
บทท่ี ๑๐
กรณศี กึ ษาผนู้ ำสงฆ์ทเี่ ป็นตน้ แบบของการจดั การเชงิ พุทธ
ขอบขา่ ยประจำบท
๑. วัตถุประสงคข์ องกรณศี ึกษาผ้นู ำสงฆท์ เี่ ป็นตน้ แบบ
๒. แนวคิดพ้นื ฐานเกย่ี วกับกรณีศึกษาผนู้ ำสงฆ์ทีเ่ ป็นต้นแบบของการ
จัดการเชิงพุทธ
จุดประสงค์การเรียน
๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับวัตถุประสงค์ของ
กรณีศกึ ษาผ้นู ำสงฆ์ทเ่ี ปน็ ต้นแบบ
๒เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับ
กรณีศกึ ษาผู้นำสงฆท์ ีเ่ ป็นต้นแบบของการจัดการเชงิ พุทธ.
กิจกรรมการเรียนการสอน
๑. การจัดการเรยี นการสอนทางอ้อม
๒. ใชเ้ ทคนคิ การศึกษาเป็นรายบุคคล
๓. ใชเ้ ทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ
๔. ใชเ้ ทคนิคการสอนแบบบรู ณาการ
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 321
10.1 ผูน้ ำตน้ แบบทางการจัดการเชงิ พทุ ธ
กรณีศึกษาเป็นข้อมูลท่ีเป็นแหล่งของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นข้อมูลท่ี
สะท้อนให้เห็นเหคุการณ์ต่างทั้งท่ีเป็นด้านดีและดานท่ีเป็นปัญหาหรือไม่ดี
และช่วยให้ผู้ศึกษาได้รู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลที่มีอยู่ในกรณีศึกษาเร่ืองนั้น ๆ
ช่วยให้เรียนรู้อาจเป็นแหล่งให้เกิดแนวคิด ทฤษฎี เป็นตัวอย่างในการช่วย
แก้ปัญหา เสริมสร้างให้เกิดองค์ความรู้แก่ผู้ศึกษา เป็นส่ิงเตือนใจ การเรียนรู้
ที่ผ่านการศึกษากรณีศึกษามีความสัมพันธ์กับการวิเคราะห์ในเรื่องน้ัน
กรณีศึกษาอาจจะไม่เป็นข้อเขียนอาจจะเป็นการพูดคุย ถกเถียง อภิปราย
รวมถึงการเล่า และการเขียนอธิบาย จะเป็นกรณีศึกษาในรูปแบบใด หรือ
รูปแบบท่ีกล่าวมาแล้ว สามารถท่ีจะนำไปสู่เป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของ
การศึกษาในรูปแบบกรณีศึกษา ซ่ึงเป็นเครื่องมือที่เป็นแนวทางการศึกษา
เมอ่ื ศึกษาโดยละเอียดแลว้ จะเกิดประโยชน์อย่างมาก จงึ เป็นที่ยอมรบั วา่ การ
ศึกศึกษาแบบกรณีศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่ง สามารถช่วยแก้ปัญหาที่
ประสบอยู่ในปัจจุบัน เกิดแนวคิดใหม่ในการดำเนินกิจกรรม หรือการ
แก้ปัญหา กรณีศึกษาเป็นแหล่งการเรียนรู้ เป็นแหล่งท่ีสะท้อนให้เห็นภาพท่ี
เกิดขึ้น เป็นข้อมูลให้ผู้ศึกษาได้รู้หรือเรียนรู้จากกรณีศึกษานั้น เหตุการณ์ท่ี
เกิดข้ึนในกรณีท่ีเราศึกษาอาจจะเป็นเรื่องดีหรือเร่ืองไม่ดีก็ได้ ซึ่งใช้เป็น
อุทาหรณห์ รอื ช่วยแก้ปญั หาท่เี กดิ ข้นึ ในปจั จบุ ัน
ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นผู้ใช้วิธีกรณีศึกษาในการ
เทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาแกพุทธบริษัท แต่ในสมัยน้ันไม่เรียกว่า
กรณีศึกษา เรียกว่า “ชาดก” หรือ “บุคลาธิษฐาน” เพื่อยืนยันหรือใช้เป็น
หลักฐานในการเทศนาเร่ืองน้ัน ๆ เช่น พระองค์แสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ทรงแสดงเรอ่ื งของการทรมานตนไม่เปน็ แนวทางในการตรสั รู้ พวกปญั จวคั คยี ์
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 322
ได้เห็นประจักษ์ในเรื่องน้ัน พระพุทธเจ้าพระองค์ได้ทรมาน มาแล้ว
พระพุทธเจ้าตัดสินพระหฤทัยนำหลักธรรมท่ีพระองค์ตรัสรู้ประกาศให้แก่
ชาวโลก เพราะองค์ได้เรียนรู้จากกรณีศึกษาโดยเปรียบเทียบมนุษย์เหมือน
ดอกบัวสีป่ ระเภท ซง่ึ พระองค์ใช้หลกั อุปมาอปุ มัย
วิธีการศึกษาในรูปแบบกรณีศึกษา เป็นเคร่ืองมือสำหรับการเรียนรู้
เป็นวิธีการที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการจัดการหรอการบริหารจัดการ
กรณีศึกษาใช้เป็นแนวทางของการเรียนรู้ในสถาบันการบริหารจัดการมา
เป็นเวบาเน่นิ นาน
๑0.2 วัตถุประสงค์ของกรณีศกึ ษา
เพ่ือความเข้าใจอย่างชัดเจนต้องดูที่วัตถุประสงค์ของกรณีศึกษา ซ่ึง
เปน็ เคร่ืองหมายท่ีแสดงบอกถึงเป้าหมายอันแท้จริง กรณีศึกษามีวตั ถปุ ระสงค์
ดงั นี้1
๑. เพื่ออธิบายสภาพความเป็นจริงต่อเป้าประสงค์ของผ้เรียนรู้
เกี่ยวกบั ความคดิ ต่าง ๆ และหลักสำคญั ท่ีจะดำเนนิ การในการปฏบิ ตั ิ
๒. เพ่ือแสดงบทบาทในการเรียนรู้ท้ังท่ีเป็นรูปแบบและไม่เป็น
รปู แบบ
๓. เพื่อแสดงบทนำท่ีเกี่ยวกับประเภทของวัตถุประสงคฺ กลยุทธ์
ปัญหา เงื่อนไข การปกปอ้ งองค์การใหด้ ำรงอยู่
๔. เพือ่ ช้ีใหเ้ ปน็ ปัญหา ทัง้ ด้านทกั ษะที่เก่ยี วกับกับการวเิ คราะห์ และ
การตดั สนิ ใจ
1 L.M.Prasad, Organisational Behaviour, 3rd, ( New Delhi : Sultan
Chand & Sons, 2001), p.629.
ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พุทธ 323
๕. มีความเป็นอิสระที่จะพัฒนาแนวความคิด แต่ยังเป็นหลัก
การศกึ ษาทม่ี แี นวรว่ มในการเรยี นรตู้ ่อกรทำงาน
จากวัตถุประสงค์จะพบว่า กรณีศึกษาเป็นแนวทางของการเรียนรู้
สภาพท่ีเป็นจริง รูปแบบที่ปรากฏในกรณีศึกษา รวมถึงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์
ปัญหา เงื่อนไข การรักษาองค์การให้คงอยู่ต่อไป ทราบสภาพปัญหาทีนำมา
วิเคราะห์ และการตัดสินใจ ใช้เป็นแนวทางให้เกิดแนวคิดและทฤษฎี
กรณีศึกษายอมรับว่าเป็นวิธีการศึกษาท่ีมีความจำเป็นและสำคัญในการ
พฒั นานวัตกรรมขน้ึ มาใหม่
10.3 วิธีการศึกษาในรูปแบบกรณศี กึ ษา
การศึกษาหรือการเรียนรู้ทุกประเภทจะต้องมีวิธีหรือเทคนิคสำหรับ
การเรียนรู้ ซึ่งเป็นวิธีการท่ีนำเอาความรู้จากเร่ืองน้ัน ๆ กรณีศึกษาก็
เชน่ เดียวกันต้องมีวิธกี ารท่ีจะดึงเอาความรู้จากกรณศี ึกษามาเพื่อใชป้ ระโยชน์
ช่วยแก้ปัญหา หรือพัฒนาเป็นแนวคิดใหม่ ดังนั้น การศึกษาจากกรณีศึกษามี
วธิ ีการ ดงั น้ี2
๑.การวเิ คราะห์กรณศี กึ ษา
๒.การถกเถียงโต้ตอบกันและกัน
๓.การช้ีแจงหรอื อธิบายให้กนั และกนั ไดร้ บั ทราบ
๔.การเขยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั กรณีนน้ั ๆ
การเรียนรู้จากสิ่งใดก็ตามจะต้องมีวิธีในการศึกษาเพื่อจะได้รับ
ประโยชนใ์ ห้มากท่ีสดุ เทา่ ที่จะมากได้ การศึกษาจากกรณีศึกษาก็เช่นเดยี วกัน
ก็ตอ้ งมีวิธกี ารศกึ ษา เพอ่ื จะนำเอาส่ิงสำคัญและจำเป็นจากเร่อื งนนั้ ๆ สำหรับ
กรณศี ึกษาทีศ่ ึกษาเพ่ือการเรียนร้สู าระสำคัญ
2 เรื่องเดยี วกนั , หน้า 630.
ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ 324
การวิเคราะห์ปัญหา เพราะกรณีศึกษาแต่ละอย่างประกอบด้วย
ปัญหาที่แตกต่างกัน บางกรณีมีปัญหาน้อย บางกรณีมีปัญหามาก พระสงฆ์
ผู้นำบางท่านจะเป็นผู้นำเพราะพบปัญหาของประชาชนหรือชุมชน เช่น
ปัญหาความยากจน ทำมาหากินไม่พอเล้ียงปากเล้ียงท้อง เลี้ยงครอบครัว
ปัญหาหนี้ท้ังในระบบและนอกระบบ พระสงฆ์มองบหาทางออกหรอื แนวทาง
เพ่ือช่วยเหลือประชาชนให้หลุดพ้นจากปัญหาเหล่านั้น เพราะแต่ละกรณีเกิด
จากสาเหตทุ ีแ่ ตกตา่ งกนั
เมื่อวิเคราะห์ปัญหาแล้วจำเป็นจะต้องหาทางเลือกเพ่ือแก้ปัญ หา
เนื่องจากปัญหาหน่ึง ๆ มีทางเลือกหลายทาง ต้องหาทางหรือเลือกวธิ ีการที่ดี
ท่ีสุด
10.4 กรณศี กึ ษา
๑) พระพรหมมังคลาจารย(์ ปนั่ ปญฺญานนโฺ ท) (หลวงพ่อ
ปญั ญานันทภิกขุ)3
หลวงพ่อพระพรหมมังคลาจารย์ (ป่ัน ปญ์ญานนฺโท) หรือที่เรยี กกันติ
กปากว่า หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ เป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอายุมาก
และเป็นพระสงฆ์ผู้นำที่มีคุณูปการทั้งต่อคณะสงฆ์ สังคม ประเทศชาติ และ
พระพทุ ธศาสนา เป็นพระสงฆ์รปู หน่ึงที่กลา้ พูดในส่ิงที่สงั คมทำไมถ่ ูกต้อง เช่น
การไหว้ผีสางเทวดา การเทศน์โยไม่ต้องถือใบลานและน่ังอยู่บนธรรมาสน์
ประยุกต์วิธีเทศน์โดยใช้สแตนด์ซึ่งในปัจจุบันเรยี กว่า อภิปราย สิ่งที่หลวงพ่อ
ได้กระไว้มีนานัปการ ซ่ึงไม่สามารถจะนำมากล่าวในที่น้ีได้ จะนำมากล่าว
เพยี งบางอยา่ งเท่านนั้
3 มูลนิธิภิกขุปัญญานันทะ, ปัญญานันทะ 96, ( กรุงเทพมหานคร :
ธรรมสภา, 2550), ทัง้ เลม่
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ 325
ประวัติพระพรหมมังคลาจารย(์ หลวงพ่อปญั ญานันทภิกขุ)
พระพรหมมังคลาจารย์ เดิมช่ือ ป่ัน นามสกุล เสน่ห์เจริญ เกิดในวัน
พฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔ ตรงกับขึ้น ๑๔ ค่ำ เดอื น ๖ ปีกุน ท่ี
ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มีช่ือเล่นว่า ขาว แต่คุณแม่
เรียกว่า หมา เป็นบุตรนายหวัน นางคล้าย เสน่ห์เจริญ (จุลบุษรา) มีพี่สาว ๒
คน ชื่อขำ อนุวงศ์ และคำ บุญวิสูตร (เสียชีวิตท้ังคู่) มีพ่ีชาย ๑ คน ช่ือพ่วง
(เสยี ชีวิตตง้ั แตเ่ ดก็ ) นอ้ งสาว ๑ คน ชื่อหนูกลิ่น กฤตรชั ตนันท์ (ยงั มชี วี ติ อย่)ู 4
การศึกษาและการทำงาน
พ.ศ. ๒๔๖๒ เข้าศึกษาชั้นประถม ๑ เมื่ออายุย่างเข้า ๘ ขวบ ท่ี
โรงเรียนประจำอำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง โรงเรียนน้ีมีครูใหญ่ชื่อ เล่ียง เวช
รังสี และมีครูดำ ม่องกี้ ครูเปล้ือง กาญจโนภาส ครูฉัตร โสภณ เป็นครูสอน
เรยี นจบชั้นประถม ๓ ซ่ึงเป็นชั้นสูงสุดในการศึกษาสมัยน้นั แล้วย้ายไปศึกษา
ชน้ั มัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดพัทลุง ซึ่งนกั เรียนเป็นชายล้วน (สมัยน้นั ไม่
นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ) เมื่อวันท่ี ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๓ หลังโรงเรียน
เปิดภาคเรียนใหม่ ต้ังแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม มีครูโชติ เหมรักษ์ ต่อมาเป็น
ขุนวิจารณ์จรรยา เป็นครูใหญ่ เนื่อจากโรงเรียนอยู่ไกลบ้าน จึงอาศัยวัดยาง
อำเภอเมือง ซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนเป็นท่ีพักจนจบมัธยม ๓ ขณะเรียนมัธยม ๔
ตอ่ ได้คร่งึ ปีบดิ าป่วยจึงต้องลาออกมาชว่ ยเหลือครอบครวั
หลวงพ่อไดเอ่ยถึงโรงเรียนท่ีท่านเรียน ไม่เพียงกล่าวถึงโรงเรียน
เท่านั้น ยังกล่าวถึงครู ท้ังครูใหญ่ ครูผู้ทำหน้าท่ีสอนในครั้งนั้น แสดงถึงความ
4 คณะศิษย์วัดชลประทานรังสฤษฏ์, พระพรหมมังคลาจารย์ ปัญญานันท
เถระ ประวัติ ชีวิต ผลงาน หลักธรรมของแม่ทัพธรรม, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์
พระพทุ ธศาสนาธรรมสภา, 2550), หนา้ ประวตั ชิ ีวติ .
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ 326
เป็นผู้มีความกตัญญู ขณะที่เรียนมัธยม ๔ บิดาป่วยให้ออกมาช่วยทางบ้าน
ยอมลาออกจากการเรียนหนังสือ จงวิเคราะห์ดูว่าหลวงเป็นบุคคลมีอุปนิสัย
เปน็ อยา่ งไร
พ.ศ.๒๔๗๐ ขณะอายุ ๑๖ ปี ติดตามหลวงลงุ พุ่ม ธมมฺ ทินฺโน วัดคหู า
สวรรค์ จังหวัดพัทลุง ไปปีนงั มาเลเซีย แลว้ กลับมาทำงานเหมืองแร่และสวน
ยางท่ภี เู กต็ ได้คา่ จ้างวนั ละ ๙๐ สตางค์
บรรพชาเป็นสามเณร
พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุ ๑๘ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ท่ีวัดอุปนันทาราม
ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๔๗๒ มีพระรนังควินัยมนีวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะดำรงสมณศักดิ์เปน็ ที่
พระครูพิพัฒน์สมาจารย์ ได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบาล เงินเดือน ๆ ละ
๒๕ บาท และเรียนนักธรรมไปพร้อมกันโดยสอบนักธรรมช้ันตรีได้ท่ี ๑ ท้ัง
มณฑลภูเก็ตจนท่านเจ้าเมืองภูเก็ตในขณะน้ัน คือพระยาอมรศักดิ์ประสิทธิ์
(ทะนง บุนนาค) ถวายรางวลั ผา้ ไตร ๑ ไตร นาฬิกา ๑ เรือน
อปุ สมบทเป็นพระภิกษุ
พ.ศ. ๒๔๗๔ อายุ ๒๐ ปี อปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุ ทว่ี ดั นางลาดตำบล
เขาเจียก อำเภอเมือง จังหวัดพัทลงุ เมื่อวนั ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ มี
พระครูจรูญกรณีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาพลัด วัดคูหาสวรรค์ จังหวัด
พทั ลุง พระกรรมวาจาจารย์พระครูเคว็จ วัดคูหาสวรรค์ จังหวัดพทั ลุงเป็นอนุ
สาวนาจารย์ ไดร้ ับฉายาว่า ปญญฺ นนโฺ ท
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ 327
ปณิธานของหลวงพอ่ พระพรหมมังคลาจารย(์ ปัญญานันทภิกขุ)
หลวงพอ่ ไดก้ ล่าววา่ ข้าพเจา้ ปณิธานไวใ้ นใจ ดังนี้
- ร่างกายชีวิตเป็นของพระรัตนตรัย ข้าพเจ้าเป็นทาสพระ
รตั นตรัยโดยสมบรู ณ์
- ความมุ่งหมายของข้าพเจ้าอยู่ท่ีการประกาศคำสอนของ
พระพุทธศาสนา
- ขา้ พเจา้ จงึ เปน็ คนท่ีกลา้ พูดความจริง ทกุ าลเทศะ
- ข้าพเจ้าจะต้องสู้ทุกวิถีทางเพื่อทำลายส่ิงเหลวไหลใน
พระพุทธศาสนา นำความเขา้ ใจมาใหแ้ ก่ชาวพุทธ
- ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไรเป็นส่วนตัวนอกจากปัจจัยสี่พอ
เล้ียงอัตภาพเท่านั้น หากประโยชน์อันใดท่ีเกิดจากงานของข้าพเจ้า สิ่งน้ัน
เปน็ ที่เป็นสว่ นรวมต่อไป
- ข้าพเจ้าถือว่า คนประพฤติตามหลักธรรม เป็นผู้ร่วมงาน
ของข้าพเจ้า นอกนั้นไม่ใช่
น้ีคือ ความต้ังใจและผลงานของข้าพเจ้า การเผยแผ่ธรรมะของ
หลวงพอ่ ปญั ญานนั ทะภกิ ขุ ตามรอยพระพทุ ธองค์
พระพุทธองค์เป็นนักปฏิรูป ส่ิงใดไม่ดีทรงเปลี่ยนแปลง ทรงแก้ไขให้
ดีข้ึน หลวงพ่อกล่าวว่า อาตมาเพชม่ือไปพบเร่ืองต่าง ๆ ท่ีไม่ควรจะเป็นอยู่
อย่างน้ัน ควรปรับปรุง อย่าให้คนทั้งหลายหลงกัน เช่น การเซ่นไหว้ต้องจุด
ประทดั ซ่ึงไม่เป็นสง่ิ จำเปน็ เลย
พิธีกรรมต่าง ๆ ในทางศาสนา เม่ือทำแล้วต้องเกิดคุณประโยชน์แก่
พระศาสนาสมควรทำ ถ้าทำแล้วไม่เกดิ คุณประโยชน์ต่อพระศาสนาไม่สมควร
ทำ ควรเลิกปฏิบัติ เป็นทัศนคติของหลวงพ่อ และพ่อได้ให้ญาติโยมเปล่ียน
จิตใจ แนะนำใหญ้ าติโยมทำแต่วิธีที่ถูกตอ้ ง
ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ 328
เร่อื งการมีมหรสพในวดั
เมื่อมีการจัดการกันท่ีวัดและชอบทำกันคือการจัดให้มีมหรสพในวัด
หลวงพ่อไม่เห็นกับกระทำอย่างน้ัน ซง่ึ หลวงพอ่ ปัญญานนั ทภกิ ขุ ท่านตั้งไวใ้ น
ใจว่า วัดน้ี(วัดชลประทานฯ)ไม่ให้มีมหรสพอย่างแน่นอน และไม่ให้จัดงาน
ประจำปีปิดทองพระ ภายหลังหลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสแล้ว อธิษฐานไว้ในใจ
ว่า วัดชลประทานฯจะไม่ให้มีมหรสพตลอดอายุท่ีท่านเป็นสมภาร และหลวง
จะสลักกฎอันน้ีไว้ที่แผ่นหินและแขวนไว้ที่กุฏิ บอกให้ทราบว่าน้ีคืออุดมคติ
ของวัดชลประทานฯ
สงิ่ ท่คี วรคำนงึ ของพระสงฆส์ าวก
คนใดที่ตั้งใจจะบวชอยู่วัด ก็ต้องตั้งใขศึกษาเล่าเรียน ให้เรียนจริง ๆ
เวลาเรียนอย่าไปทำอย่างอื่น เรียนใหร้ ู้ให้เข้าใจ เรียนบาลพี ออา่ นบาลีได้ เป็น
การเล่าเรยี นเพ่อื อยใู่ นวัด ไม่ใช่เรียนเพื่ออกจากวัด เพอื่ ออกไปสูโ่ ลก ให้เรียน
เพ่ือให้ออกจากโลก เรียนแล้วให้ช่วยกันอยู่วัด อยู่อย่างคนฉลาด อยู่เพ่ือ
ช่วยเหลือญาติโยมชาวบ้าน อยู่เพ่ือนำชาวบ้านก้าวไปข้างหน้า ให้เป็นบุคคล
ผู้นำชาวบ้าน ช่วยเปิดหูเปิดตาให้ญาติโยม ให้ญาติโยมมีหูตาสว่างเข้าใจ
หลักธรรมอย่างแท้จรงิ และปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมะอย่างถูกตอ้ ง
ลกั ษณะการเทศน์
หลวงพ่อกล่าวว่า การเทศน์สอนคนนี้ ให้ถืออุดมการณ์ไว้อย่างหน่ึง
ว่า เทศน์เพ่ือแก้ ไม่ใช่เทศน์เพื่ออะไรอิ่น” เราอย่าเทศน์เพ่ือเอาใจคน แต่
เทศน์เพื่อแก้ อย่ากลัวว่าเทศน์ด่าเขาแล้ว เขาจะไม่นิมนต์เทศน์ หลวงพ่อ
ปัญญานันทภิกขุเทศน์แก้คน เทศน์ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน สมัยนี้พระเทศน์
ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ 329
ต้องกระฉับกระเฉงหน่อย ต้องเทศน์ให้ทันหูทันใจ ไม่ว่าจะอยู่ท่ีใดสามารถ
เทศน์สอนธรรมะแก่ญาติโยมได้ทั้งนั้น แต่การเทศน์ต้องมีการฝึกฝน เทศน์
ต้องมหี ลกั เกณฑ์ เทศนต์ ้องทนั อกทันใจคนฟังจึงจะใช้ได้
ดีชั่วมันอยู่ที่คน หากเจ้าของบ้านประพฤติธรรมบ้านก็จะดีไปด้วย
ใครไปตั้งศพท่ีวัดชลประทานฯเวลาน้ี ให้สวดพระอภิธรรมจบเดียว สวดจบ
แล้วพระเทศน์เลย ไม่ต้องนิมนต์ พระนักเทศน์ไปจ้องอยู่แล้ว พอเหตุปัจจโย
จบ พระขึ้นธรรมาสน์เลย ไม้ต้องอาราธนา ไม่ต้องจุดธูปเทียน เพราะว่าไป
เทศน์ด้วยความเต็มใจ เป็นการเทศน์เพ่ือให้ ไม่ใช่เทศน์เพื่อจะเอา จัดให้ไป
เทศน์คืนละองค์ คืนสุดทา้ ยสมภารเทศน์
เผยแผธ่ รรมะในต่างประเทศ
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มีเพียงเป็นนักเผยแผ่ภายในประเทศ
เท่านั้น เป็นนักเผยแผ่ในต่างประเทศด้วย เช่น เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธธรรม
ซ่ึงเป็นวัดไทยในชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา เผยแผ่ธรรมะในประเทศออสเตรเลีย
นวิ ซแี ลนด์ องั กฤษ เป็นตน้
หลวงพ่อฯเป็นนักเขียนด้วยเช่นกัน เช่น ทางสายกลาง คำสอนใน
พระพุทธศาสนา ทางดับทุกข์ มรณานุสติ ทางธรรมสมบูรณ์แบบ ปัญญา
สาส์น หน้าที่ของคนฉบบั สมบรู ณ์ อุดมการณ์ของท่านปญั ญา เปน็ ตน้
สงเคราะหด์ า้ นสาธารณะ
หลวงพ่อพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) เป็นพระสงฆื
ผู้นำในกิจการทางด้านสาธารญะประโยชน์ เช่น เป็นประธานหาทุนสร้างวัด
ปัญญานันทาราม ปทุมธานี บริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถวัดอุโมงค์
เชียงใหม่ เป็นประธานหาทุนสร้างตึก ๘๐ ปี ปัญญานันทะ ให้โรงพยาบาล
ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ 330
ชลประทานรังสฤษฏ์ นนทบุรี สร้างศูนบ์ฝึกและปฏิบัติงาน “มูลนิธิแผ่นดิน
ธรรมแผ่นดินทอง” พระนครศรีอยุธยา บริจาคทุนทรัพย์สร้างโรงอาหารให้
โรงเรียนประภัสสรรังสิต พัทลุง บริจาคทุนทรัพย์ซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์
ทางการแพทย์ให้แกโ่ รงพยาบาลวชิระ ภเู ก็ต เป็นต้น
หลวงพ่อปญั ญานนั ทะภกิ ขุกับมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าฯ
หลวงพ่อถือว่าเป็นพระสงฆ์ผู้นำรูปหน่ึงที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริม
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทั้งด้านการให้กำลังใจ สนับสนุน
ทางด้านการเงิน การสร้างอาคารสถานที่ เช่น อาคารอาคันตุกะ ๙๒ ปี พระ
อุโบสถกลางน้ำ ยังสนับสนุนให้จัดตั้งกองผ้าป่าท่ีท้องสนามหลวง เพื่อหาทุน
ทรัพย์สร้างมหาวทิ ยาละยมหาจฬุ าฯ
สำหรับพระอุโบสถกลางน้ำหลวงพ่อปัญญาฯ มีความต้ังใจจะให้เป็น
สถานที่เรียนรู้ของผู้สนใจในหลักธรรม เป็นผลงานช้ินสุดท้ายในชีวิต พระ
อุโบสถกลางน้ำแห่งนี้มีมูลค่าในการก่อสร้าง ๑๔๐ ล้านบาท ซ่ึงสร้างภายใน
บริเวณมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หลวงพ่อตั้งอธิษฐานไว้ว่า
พระอุโบสถไม่เสร็จจะไม่ตาย ชีวิตเป็นส่ิงท่ีไม่แน่นอน แต่มันเป็นสิ่งท่ีจะดับ
สูญอย่างแน่นอน หลวงพ่อก็เช่นเดียวกัน ท่านได้มรณภาพก่อนพระอุโบสถ
เสร็จ แต่หลวงได้หาทุนทรัพย์ไว้เป็นท่ีเรียบร้อย การก่อสร้างเท่านั้นที่ช้าไป
หน่อย ท่านจึงไม่ได้เห็นพระอุโบสถที่เสร็จเรียบร้อย ปัจจุบันเสร็จเรียบร้อย
แล้ว สามารถไปชมได้และสามมารถมองเห็นจากถนนใหญ่ทั้งสายพหลโยธิน
และถนนสายเอเชยี เปน็ พระอุโบสถท่สี วยงามมาก
การจะเขียนถึงผลงานของหลวงพ่อให้ละเอียดทุกด้านไม่สามารถจะ
ทำได้ เน่ืองจากหน้ากระดาษและสิ่งท่ีเป็นผลงานของท่านมีมากมายเหลือ
คณานับ สิ่งที่ควรคำนึงก็คือตัวอย่างที่ท่านได้กระทำไว้ จุดมุ่งหมายท่ีท่าน
ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ 331
ต้องการ เป้าประสงค์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาที่หลวงพ่อได้ทุ่มเทกำลังกาย
กำลังใจ นั้นคือตัวอย่างท่ีจะต้องนำมาเป็นแบบอย่างในการทำงานเพ่ือ
พระพทุ ธศาสนา
ในพระพุทธศาสนาหรือในพระไตรปิฎกได้มีการกล่าวถึงท้ังผีและ
เทวดา ทำไมหลวงจึงห้ามไม่ให้กราบไหว้ผีและเทวดา จงพินิจเก่ียวกับการ
สอนของหลวงพ่อ จุดประสงคท์ แ่ี ทจ้ รงิ คืออะไร
2) พระเทพญาณมงคล วิ.(เสริมชยั ชยมงคฺ โล)
พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) (พลพัฒนาฤทธิ์) อายุ ๘๐
ปี พรรษ ๒๖ นักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม ๖ ประโยค ปัจจุบันดำรง
ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลแพงพวย
อำเภอดำเนนิ สะดวก จงั หวดั ราชบุรี
สถานะเดมิ
ช่ือเสริมชัย นามสกุล พลพัฒนาฤทธ์ิ เกิดเม่ือวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.
๒๔๘๒ วิทยฐานะ
ในปีพ.ศ.๒๕๐๘ จบการศึกษาระดับมหาบัณฑิต สาขารัฐประศาสน
ศาสตร์มหาบัณฑิต เกยี รตนิ ยิ มอันดบั หนึ่ง (ด)ี จากมหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์
ปี พ . ศ . ๒ ๕ ๑ ๒ Certificate in Public Opinion Servey
Research, Institute of Social Research The University of Michigan
anue Arbor สหรัฐอเมริกา
ปี พ.ศ.๒๕๑๗ สอบได้เปรยี ญธรรม ๖ ประโยค
ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต(กิตติมศักด์ิ)
สาขา การจดั การเชงิ พทุ ธ จากมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย