The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน วิชา ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by brother_dol, 2022-08-28 23:34:30

เอกสารประกอบการสอน วิชา ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ

เอกสารประกอบการสอน วิชา ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๓๒

ในภาวะวิกฤต อารมณ์ที่มั่นคงเป็นคุณลักษณะภาวะผู้นำที่สำคัญ ซ่ึงจะ

ช่วยให้แก้ไขสถานการณ์ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ซ่ึงพระพุทธเจ้าได้แสดง

ความม่ันคงทางอารมณ์ โดยเปลยี่ นวกิ ฤตให้เป็นโอกาส ดงั เชน่ โอรสเจ้า

ลิจฉวีพระนามว่าสุนักขัตตะ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยโดยการต้ังกระทู้

เพื่อคัดค้านความชอบธรรมของพระพุทธเจ้าในท่ามกลางชุมชน ณ

เมืองเวสาลีว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงมีความรู้ความสามารถจริงอะไร แต่

เม่ือแสดงความคิดเห็นออกไป กลับเป็นการสรรเสริญรับรองและ

สนบั สนุนพระพทุ ธเจ้าซงึ่ เป็นคำตรงกันข้ามว่า

“สมณโคดม ไม่มีญาณทัสสนะท่ีประเสริฐอันสามารถวิเศษยิ่ง

กว่าธรรมของมนุษย์ สมณโคดมแสดงธรรมท่ีประมวลมาด้วยความ

ตรึกที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิดแจ่มแจ้งได้เอง ธรรมที่สมณะโคดม

แสดงเพื่อประโยชน์แก่บุคคลย่อมนำไปเพื่อความส้ินทุกข์โดยชอบ

สำหรับบคุ คลผ้ปู ฏบิ ัตติ ามธรรมนน้ั ”

เม่ือพระมหาเถระอย่างพระสารีบุตร ไปบิณฑบาตจึงได้สดับมา

จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่าสารีบุตรโอรสเจ้า

ลจิ ฉวนี ามว่าสนุ ักขตั ตะ เป็นโมฆะบุรุษมักโกรธกลา่ วด้วยความโกรธ โดย

คดิ จะกล่าวติเตียน แต่กลบั กล่าวสรรเสริญคุณของพระตถาคต อยู่อย่าง

นัน้

๒) ทรงแสดงกำลังของพระตถาคตเจ้า โดยเปรียบเทียบกำลังของพระ

ตถาคตเจ้ากับภาวะผู้นำ ดงั นี้

กำลงั ของพระตถาคตเจา้ ภาวะผู้นำ

๑. ตถาคตรู้ชัดฐานะโดยเป็น ๑. ต้องมีฐานเสียงสนับสนุนว่าจะ

ฐานะและอฐานะโดยเป็นอฐานะเป็นผู้นำต้องรู้ว่าทีมงานฐานเสียงมาก

ในโลกน้ตี ามความเปน็ จรงิ น้อยแค่ไหน

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๓๓

กำลงั ของพระตถาคตเจา้ ภาวะผู้นำ

๒. ตถาคตรู้ชัดวิบากแห่งการ ๒. ต้องรู้ผลของนโยบายดี : วบิ าก

ยึดถือกรรมที่เป็นท้ังอดีต อนาคตคือ ผล แ ห่ งก ารป ฏิ บั ติ เช่ น วาง

และปจั จุบัน นโยบายออกมา วิบากกรรม คือผล

๓. ตถาคตรชู้ ัดปฏิปทาท่ีใหถ้ งึ กรรม

ภูมทิ งั้ ปวง ๓. ตอ้ งมวี สิ ยั ทัศน์ คือทิศทางที่จะ

๔. ตถาคตรู้ชัดโลกที่มีธาตุ ไปและงดเวน้ ภูมิคือภพภูมิ

หลายชนิดท่ีแตกต่างกนั ๔. ต้องรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง

๕. ตถาคตรูช้ ัดว่าหมู่สัตว์เป็นฝ่ายต่างๆ ทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา

ผูม้ อี ธั ยาศยั ต่างกัน และวัฒนธรรม

๖. ตถาคตรู้ชัดว่าสัตว์เหล่า ๕. ต้องรู้ความต้องการแต่ละกลุ่ม

อ่ืนและบุคคลอื่นมีอินทรีย์แก่กล้าหรอื ชุมชน หรอื กลมุ่ ผลประโยชน์

และออ่ น ๖. ตอ้ งวเิ คราะหเ์ ป็นวา่ แต่ละกลุ่ม

๗. ตถาคตรู้ชัดความเศร้ามีจดุ ดอ้ ยเดน่ อยา่ งไรบ้าง

หมองความผ่องแผ้วแห่งฌาน ๗. ต้องรู้คะแนนนิยมว่าคงอยู่

วิโมกข์ สมาธิ และสมบัติ การลดลง อยา่ งไร เท่าไหร่

ออกจากฌ าน วิโมกข์ สมาธิ ๘. ต้องสำรวจความคิดเห็นโดย

สมาบตั ิ การทำโพล หรือประชามติ

๘. ตถาคตระลึกถึงชาติก่อน ๙. ต้องเป็นนักสังเกต เม่ือเห็น

ไ ด้ ห ล า ย ช า ติ ต้ั ง แ ต่ นกั การเมืองรุ่นน้องแสดงความคิดเหน็

๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗....๑๐๐,๐๐๐หรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ ย่อมอาศัย

ตลอดสังวฏั ฏกัป ประสบการณ์มาทำนายหรือบอกสอน

๙. ตถาคตเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังได้

จุติกำลังเกิด ท้ังช้ันต่ำและช้ันสูง ๑๐. ต้องหม่ันศึกษาหาความรู้จน

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๓๔

กำลังของพระตถาคตเจ้า ภาวะผูน้ ำ

รูปงามและไม่งาม เกิดดีและไม่ดีสร้างตนใหเ้ ป็นองคแ์ ห่งความรู้

ด้วยตาทพิ ย์

๑๐. ตถาคตทำให้แจ้งเจโต

วิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอา

สวะ

หลักธรรมท่ียกมากล่าวนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักคำสอนของ
พระพุทธเจ้าท่ีเก่ียวกับผู้นำหรือผู้บริหาร ซ่ึงไม่ได้หมายเฉาพะเจาะจงเอา
เพียงแค่ผู้นำหรือผู้บริหารกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง แต่หมายรวมเอาผู้นำหรือ
ผู้บริหารทุกระดับช้ัน ทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองรัฐ ข้าราชการ
บรษิ ทั เอกชนหรอื แม้แตก่ ารบรหิ ารองคก์ รทเี่ ลก็ ที่สดุ ของสงั คมคอื ครอบครัว
ย่อมต้องอาศัยหลักธรรมสำหรับผู้นำหรือผู้บริหารเดียวกันน้ี เพราะ
หลักธรรมเหล่าน้ีล้วนมุ่งประโยชน์สุขท้ังแก่ตนเองผู้ปฏิบัติและสังคมรอบ
ด้าน

สรุป ผู้นำท่ีมีความรู้ความสามารถ ชักนำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้

ดั่งใจประสงค์และเกิดความพึงพอใจ ช่ือว่าผู้มีภาวะนำ พระพุทธศาสนาได้
กล่าวถึงภาวะผู้นำไว้ว่าผู้นำต้องมีคุณสมบัติท้ังภายในและภายนอกคือ มี
วิสัยทัศน์ ชำนาญงานและเป็นผู้มีอัธยาศัยดี เป็นท่ีวางใจของผู้อื่น มีบุคลิก
นา่ เชอ่ื ถือ สงา่ งาม และตอ้ งรู้จักนำหลักธรรมไปบรู ณาการใช้อย่างเหมาะสม
หลักธรรมเหล่าน้ัน ได้แก่ หลักอธิปไตย ๓ รู้ระบอบการบริหารงานที่
เหมาะสมแก่องค์กรและชุมชน พรหมวิหาร ๔ รู้จักใช้พระเดชและ
พระคุณ สงั คหวตั ถุ ๔ รู้จกั หลกั การผูกมติ รไมตรีตอ่ คนอ่ืนไดด้ ี พละ ๕ รู้จัก
บ ริ ห ารต น เอ งอย่ างช าญ ฉ ลาด แ ละ มี ค วาม ม่ั น ค งท างสติ ปั ญ ญ าแ ล ะ

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๓๕

อารมณ์ ตลอดจนหลักธรรมอื่นๆ ที่มาสนับสนุนความเป็นผู้นำ ได้แก่ (๑)
สาราณิยธรรม ๖ รู้หลักการบรหิ ารตนและบริหารงานไปพร้อมกัน (๒) หลัก
ทิศ ๖ รู้หลักบทบาทและหน้าที่ทางสังคม (๓) หลักอปริหานิยธรรม ๗ รู้
หลักบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงประโยชน์องค์กรต้องมา
ก่อน (๔) หลักสัปปุริสธรรม ๗ รู้หลักบริหารตนและองค์กรอย่างรู้เท่าทัน
และเป็นการป้องกันความเสียหายอันจะเกิดข้ึนแก่องค์กร และพึงเว้นจาก
หลักธรรมที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาภาวะผู้นำอีก ๓ หมวด คือ (๑)
อกุศลมูล ๓ แนวคิดในใจท่ีต่อต้านความดี (๒) อัตตาธิปไตย การใช้เผด็จ
การเบ็ดเสร็จสำหรับบริหารจัดการ และ (๔) อคติ ๔ การวางตนไม่
เหมาะสม ส่วนแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำตามทฤษฎีสมัยใหม่มีมาก แต่
แนวคิดทฤษฎีผู้นำเชิงปฏิรูปมีลักษณะท่ีโดดเด่นกว่าทุกทฤษฎี เพราะเป็น
การบูรณาการทฤษฎีต่างๆ เข้าด้วยกัน อันทำให้ผู้นำมีลักษณะท่ีส่งเสริม
องค์กรได้มากกว่าและทำงานร่วมกับบุคคลอื่นในหลากหลายมิติ ทฤษฎี
ภาวะผู้นำท้ังสองหากนำมาบูรณาการอย่างเหมาะสมย่อมก่อให้เกิด
ประโยชน์อยา่ งสงู สุดตอ่ องคก์ รและสงั คม

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๓๖

คำถามประจำบท

๑. ให้นิสิตอธิบายถึงแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับภาวะผู้นำตามแนวของ
พระพทุ ธเจ้าว่าเป็นมาอย่างไร

๒. ให้นิสิตอธิบายถึงหลักพุทธธรรมสำหรับภาวะผู้นำตามแนวของ
พระพทุ ธเจา้ ว่ามีหลักพทุ ธธรรมอะไร

3. หลักการท่ีสำคัญของภาวะผู้นำตามหลักพระพุทธศาสนาเป็น
อย่างไร

4. ภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนามีความแตกต่างกับภาวะผู้นำ
ตะวนั ตกอย่างไร

5. ให้นิสิตสังเคราะห์ แนวคิดสำคัญ เก่ียวกับภาวะผู้นำทาง
พระพทุ ธศาสนามา

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๓๗

อ้างอิงประจำบท

พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีบริหาร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๙.

พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต). ภาวะผูน้ ำ. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๖.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). ภาวะผู้นำ : ความสำคัญต่อการพัฒนาคน

พัฒนาประเทศ. กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา. ๒๕๔๖.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). ภาวะผู้นำ. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา,

๒๕๔๖.
พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตฺโต). สงฆผ์ ู้นำสังคม. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์มหา

จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗.
พชิ าย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต. ผศ.ดร.. องค์การและการบริหารจัดการ. กรงุ เทพฯ : ธิงค์

บยี อนด์ บุ๊คส์ จำกัด, ๒๕๕๒.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. “ภาวะผู้นำในองค์กร” ใน เอกสารการสอนชุด

วิ ช า ก า ร บ ริ ห า ร อ ง ค์ ก า ร . น น ท บุ รี : ส ำ นั ก พิ ม พ์
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๕๐.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชา การบริหารองค์การ.
นนทบรุ ี: สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๐.
สาคร สุขศรีวงศ์. ดร.. การจัดการ : จากมุมมองของนักบริหาร. กรุงเทพฯ:
บริษัท จ.ี พี.ไซเบอร์พรนิ ท์ จำกัด, ๒๕๕๓.
สุนทร วงศ์ไวศยวรรณ. รศ. และ เสน่ห์ จุ้ยโต. รศ.ดร.. “ภาวะผู้นำ” ใน เอกสาร
การสอนชุดวิชา องค์การและการจัดการ. นนทบุรี: สำนักพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๕๑.
เสน่ห์ จุ้ยโต. รศ.ดร. และคณะ. “ผู้นำในองค์กร” ใน เอกสารการสอนชุดวิชา
องค์การและการจัดการงานบุคคล. นนทบุรี : สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๕๑.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๓๘

เสน่ ห์ จุ้ ยโต . รศ .ดร.. องค์ การสมั ยให ม่ . น น ท บุ รี : สำนั กพิ ม พ์
มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๕๑.

เส น า ะ ติ เย า ว์ . ศ .. ห ลั ก ก า ร บ ริ ห า ร . ก รุ ง เท พ ฯ : โร ง พิ ม พ์
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖.

หลวงวิจิตรวาทการ. กุศโลบายสร้างความย่ิงใหญ่. กรุงเทพฯ: สามัคคีสาส์น,
๒๕๓๒.

อุดม ทุมโฆสิต. ศ.ดร.. การจัดการ. กรุงเทพฯ: คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบัน
บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์, ๒๕๔๔.

F. E. Fiedler. A Theory of Leadership Effectiveness. New York : McGraw-
Hill Book, 1967.

Ralph M. Stogdill. Leadership. Membership and Organization.
Psychological Bulletin : January, 1950.

บทท่ี ๕
พทุ ธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้นำ

ขอบข่ายประจำบท
๑. ความเป็นมาของพุทธธรรมสำหรับการสรา้ งภาวะผนู้ ำ
๒. นยิ ามของพุทธธรรมสำหรบั การสรา้ งภาวะผ้นู ำ

จดุ ประสงค์การเรยี น
๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของพุทธ

ธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้นำ
๒. เพ่ือให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับนิยามของพุทธธรรม

สำหรบั การสร้างภาวะผนู้ ำ
กิจกรรมการเรียนการสอน

๑. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม
๒. ใช้เทคนคิ การศกึ ษาเปน็ รายบคุ คล
๓. ใช้เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ
๔. ใช้เทคนคิ การสอนแบบบูรณาการ

ภาวะผู้นำตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึงคุณสมบัติ
เช่น สติปัญญา ความดีงาม และความสามารถในการใช้บารมี กำหนด
พฤติกรรมคนด้วยวิธีการสื่อสาร บารมีในทนี่ ี้หมายถึงความเป็นเลิศ ความเต็ม
เป่ียม ของบุคคลผู้เป็นผู้นำในด้านใดด้านหน่ึง เช่น มีศีล ปัญญา ศรัทธา เป็น
เลิศ ทชี่ ักนำให้คนท้ังหลายมาประสานกัน และพาไปสู่จุดหมายอันดงี าม เป็น
ผู้ท่ีมหาชนพอใจในบทบาทการเป็นผู้นำ และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการ
ดำเนินรอยตาม

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๔๐

๕.๑ ลกั ษณะของผนู้ ำในพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญเก่ียวกับผู้นำในการบริหาร

ซึ่งมีลักษณะของผู้นำที่ปรากฏในทุติยปาปณิกสูตร๑ ว่าผู้นำจะต้อง
ประกอบดว้ ยลกั ษณะ ดังน้ี

๑) จักขุมา คือ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล มองสภาพ
เหตกุ ารณอ์ อกและจะวางแผนเตรยี มรบั หรือรุกได้อย่างไร

๒) วิธุโร คือเป็นผู้ชำนาญในงานรู้จักวิธีการไม่บกพร่องใน
หนา้ ท่ีท่ีตนไดร้ ับผดิ ชอบ

๓) นิสสยสัมปันโน คือ เป็นผู้ท่ีมีมนุษยสัมพันธ์ดี ได้รับ
ความเชื่อถือจากผ้อู ืน่

ใน พ ร ะ สู ต ร นี้ แ ส ด ง ให้ เห็ น ว่ า ก า ร เป็ น ผู้ น ำ นั้ น จ ะ ต้ อ ง
ประกอบด้วยปัญญา คือมีหูตาไวและกว้างไกลสามารถจำแนกบุคคลและ
เหตุการณ์ออกว่าเป็นอยา่ งไร ซ่ึงจะทำให้ผู้นำ มีประสบการณ์มีความชำนาญ
ในการปกครอง เข้าใจบุคคลหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดีซึ่งจะทำให้มี
ผู้สนับสนุนมากขึ้น แต่คุณสมบัติทั้ง ๓ ประการน้ี มีระดับความสำคัญมาก
น้อยต่างกันไปตามระดับตำแหน่งหน้าท่ีขององค์การหรือหน่วยงานว่า เล็ก
หรือใหญ่ขนาดไหน หรือ มีความสำคัญเพียงใดโดยเฉพาะอย่างย่ิงแล้ว
ผู้ปกครองรฐั หรือผู้นำประเทศแล้วนบั ว่าเปน็ องค์การท่ใี หญ่ ผู้นำหรอื ผู้บรหิ าร
จึงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน จึงจะสามารถยึดศรัทธา ของผู้ใต้บังคับบัญชาไว้
ได้ส่งผลให้ผู้ร่วมงานมีความเช่ือม่ัน น่ันย่อมเป็นเหตุที่จะนำไปสู่เป้าหมาย
เดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ี ผู้นำจะต้องประกอบด้วย

๑อง.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๒๐/๑๖๓.

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๔๑

คุณธรรมซ่งึ ผู้นำจะตอ้ งมีการวางตวั อยู่ในกฎ ระเบียบอย่างเคร่งครดั ในโสภณ
สูตรพระพุทธองค์ไดต้ รัสถึงลักษณะและคณุ สมบตั ิของผูน้ ำไว้วา่ ๒

๑) วยิ ัตโต เป็นผมู้ ปี ญั ญา
๒) วินโี ต เปน็ ผู้มรี ะเบยี บวินัยได้
๓) วิสารโท เปน็ ผูแ้ กลว้ กลา้
๔) พหสุ โุ ต เปน็ ผู้มีความรู้ ศกึ ษาทรงจำมาก
๕) ธัมมานุธัมมปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติธรรมรักษาความ
ถูกตอ้ งในส่ิงทถ่ี ูกที่ควร
ผู้นำท่ีประกอบด้วยคุณธรรม ๕ ประการดังกล่าวน้ี ย่อม
ประสบความสำเร็จและได้รับการยกย่องนับถือ ในอังคุตตรนิกาย ได้แสดง
หลกั ธรรมสำหรับผู้นำไว้ ๖ ประการ ดงั นี้๓
๑) ขมา คือ มีความอดทนปฏิบัติงาน มีน้ำใจหนักแน่น ไม่
ยอมตกอยูใ่ นความช่วั ไมเ่ กรงกลวั หรอื มีอคติ ๔ เมื่อจะตอ้ งตดั สนิ ใจ และ
ไมห่ วั่นไหว
๒) ชาคริยะ คือ มีความตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ประมาทใน
การประคองชวี ติ หนา้ ที่
๓) อุฏฐานะ คอื มีความขยันหมน่ั เพยี รต่อหน้าทก่ี ารงาน
๔) สังวิภาคะ คือ มีอัธยาศัยดี เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ มีน้ำใจต่อ
ผู้รว่ มงาน
๕) ทยา คือ มีจิตใจท่ีเอ็นดู รักใคร่ห่วงใยเอาใจใส่
ผู้ร่วมงาน

๒องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๗/๑๒.
๓อง.ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/๕๓/๕๖.

ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๔๒

๖) อิกขนา คือ เอาใจใส่ตรวจตรางานและหน้าที่ท่ีตน
รบั ผดิ ชอบ

ผู้ที่เป็นผู้นำหรือหัวหน้าจะต้องถือหลักธรรมาธิปไตย คือ
การประพฤติให้ถูกต้องตามหลักธรรม ดังนั้น หลักธรรมจึงเป็นส่ิงท่ีควบคุม
อำนาจไม่ให้ผู้นำใช้อำนาจไปในทางท่ีไม่ถูกไม่ควร ในขณะเดียวกันหลัก
พระพุทธศาสนา ได้ถืออำนาจที่เกิดจากการประพฤติธรรมหรือหลักธรรมท่ี
ทำให้ผู้ประพฤติเป็นผู้มีอำนาจ ซ่ึงจะมีคุณประโยชน์ในการศึกษาและเข้าใจ
เร่ืองของอำนาจประเภทต่างๆ กำลังของพระมหากษัตริย์ ได้แสดงให้เห็นถึง
ลักษณะของผู้มีอำนาจนั้น ต้องประกอบไปด้วยพลังแห่งอำนาจ ๕ ประการ
คอื ๔

๑) พาหพละ คือ กายพลัง หมายถึง มีกำลังกายหรือกำลัง
แขนแข็งแรงสุขภาพดมี ีความสามารถและชำนาญในการใช้อาวุธ ตลอดจนถึง
มอี าวุธยุทโธปกรณ์พรัง่ พรอ้ ม

๒) โภคพละ คือ มีโภคะหรือสมบัติมากพร้อมท่ีจะใช้เลี้ยง
ดบู ริวาร หรอื ใช้สอย ในกิจการต่างๆ ไดไ้ ม่ติดขัด

๓) อมัจจพละ คือ มีอำมาตย์ ข้าราชการ ผู้บริหารที่
ทรงคณุ วฒุ ิ เกง่ กล้าสามารถและเป็นผทู้ ี่มคี วามจงรกั ภกั ดี ซ่อื สตั ยต์ ่อแผน่ ดิน

๔) อภิชัจจพละ คือ มีชาติตระกูลสูง กำเนิดในตระกูลสูง
เป็นขัตติยราชท่ีได้รับความเคารพเทิดทูนจากประชาชน และเป็นผู้ที่ได้รับ
การฝึกฝนอบรมมาแล้วเปน็ อยา่ งดี

๕) ปัญญาพละ คือ กำลังแห่งปัญญามีสติปัญญาสามารถ
มาก หย่ังรู้เหตุผลรู้จักผิดชอบช่ัวดี ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ สามารถวินิจฉัย
เหตุการณ์ทั้งหลายภายในและภายนอกดำรกิ ารต่างๆ ไดผ้ ลดีอย่างยิ่ง

๔ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๒๔๔/๕๓๒.

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๔๓

กำลังข้อแรก คือ กำลังแขนหรือกำลังกายแม้ว่าจะมี
ความสำคัญ แต่ก็จัดว่าต่ำกว่ากำลังในข้ออื่นๆ เพราะหากว่าไม่มีกำลังในข้อ
อ่ืนๆ มาค้ำจุนแล้ว กำลังกายอาจใช้ไปในทางท่ีผิดเป็นอันธพาลไปได้ ส่วน
กำลังปัญญาท่านจัดว่าเป็นกำลังท่ีประเสริฐสุด เพราะเป็นเคร่ืองกำกับ
ควบคุมนำทางกำลังอื่นๆ ทุกอย่างได้ และยังมีหลักธรรมท่ีเป็นกำลังซึ่ง
เรยี กว่า พละ ๔ เป็นหลักธรรมท่ีทำให้เป็นผูม้ ีอำนาจมคี วามม่ันใจไม่หวน่ั ไหว
ต่อภัยอันตรายต่างๆ คอื ๕

๑) ปญั ญาพละ คอื มีกำลงั แห่งปญั ญา
๒) วิรยิ พละ คือ มกี ำลังแห่งความเพยี ร
๓) อนวัชชพละ คือ มีกำลังแห่งความสุจริตหรือความ
บรสิ ทุ ธิ์
๔) สังคหพละ คือ มีกำลังแห่งความสงเคราะห์ การยึด
เหนีย่ วจติ ใจของผูค้ นไวไ้ ด้มากด้วยการสงเคราะห์วิธีตา่ งๆ
ลักษณะวิธีการใช้อำนาจของผู้นำ ที่มีความเป็นใหญ่ตาม
หลักพระพทุ ธศาสนาได้แสดงออกเปน็ ๓ ลกั ษณะของการใชอ้ ำนาจ คือ๖
๑) อัตตาธิปไตย การใช้อำนาจของผู้นำท่ีถือตนหรือ
อำนาจเป็นใหญ่เป็นผู้นำทีม่ ีความเชื่อม่ันตนเองสูง ใชอ้ ำนาจแบบเผด็จการใช้
การบงการ บญั ชาการแบบนายกบั บา่ วจากบนลงล่าง มีอำนาจสทิ ธ์ขิ าด
๒) โลกาธิปไตย (คำว่า โลก มีความหมาย ๓ นัย ได้แก่
สัตว์โลก คือหมู่สัตว์ สังขารโลก คือ สังขารและโอกาสโลก คือ แผ่นดิน) การ
ใช้ อ ำ น าจ ข อ งผู้ น ำ ที่ ยึ ด ถื อ ต าม ห มู่ ค ณ ะ ห รื อ ตั ว แ ท น ข อ งส ม าชิ ก ใน ก า ร
ตัดสนิ ใจแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ดว้ ยมติหรอื คะแนนเสียง

๕อง.ฺ นวก. (ไทย) ๒๓/๒๐๙/๓๕๑.
๖ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๔.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๔๔

๓) ธรรมาธิปไตย การใช้อำนาจเพ่ือตอบสนองจุดหมาย
แห่งอำนาจ อันหมายถึง จุดร่วมของสมาชิก ได้แก่ คุณธรรม ความสงบ
สขุ ของมวลสมาชกิ โดยมีธรรมเปน็ ใหญ่

วิธกี ารใช้อำนาจของผู้นำ ไม่วา่ จะดำรงอยู่ในตำแหน่งใดถือ
เป็นผู้ท่ีมีฐานะสูงกว่าสมาชิกในแง่อำนาจและการใช้อำนาจซ่ึงได้แสดงใหเ้ ห็น
ว่า หลักสำคัญในการใช้อำนาจคือคุณธรรมและความชอบธรรม ที่มีรากฐาน
มาจากความศรัทธาของสมาชิกต่อตัวผู้นำ คือคุณธรรมของความเป็นผู้นำ
หรือภาวะท่ีแสดงถึงความเป็นผู้นำที่ดี ขณะเดียวกันสมาชิกก็จะต้องได้รับ
ประโยชน์ตามจุดหมายท่ีได้ตกลงกันไว้อันเป็นความผาสุกของชีวิต ฉะนั้น
ลักษณะวิธีการใช้อำนาจท่ีถูกต้องชอบธรรมจึงขึ้นอยู่กับเกณฑ์แห่งธรรมทั้ง
ผู้นำและสมาชิกท่ตี ้องประสานคลอ้ งกนั ในทกุ ๆ สงั คม

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวว่า ลักษณะ
และคุณสมบตั ิของผูน้ ำมีอยู่ ๒ ดา้ น คอื ๗

๑) คณุ ลักษณะภายในตัวของผูน้ ำ ได้แก่
(๑) รู้หลักของสัปปุริสธรรม มีการรู้หลักเหตุผล เป็น

ตน้
(๒) มีสตปิ ญั ญา ไม่ประมาท
(๓) ตื่นตัว ทันต่อเหตกุ ารณ์
(๔) มวี สิ ัยทัศนก์ ้าวไกล เป็นคนเข็มแขง็

๒) คุณลักษณะภายนอก ในการที่จะประสานคนและงาน
เขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่

(๑) มีความรู้ ความสามารถ

๗พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), ภาวะผูน้ ำ, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๘,
(กรงุ เทพมหานคร: สขุ ภาพใจ,๒๕๔๙), หนา้ ๘๐.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๔๕

(๒) มีพรหมวิหารธรรม
(๓) หวังประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม
(๔) นา่ รัก นา่ เคารพ เปน็ ธรรมาธิปไตย ไม่ลำเอียง
การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมมนุษย์ ใช่ว่าจะมีคุณสมบัติของ
ผู้นำได้ทุกคนมีเพียงบางคนเท่าน้ันที่มีความสามารถจะเป็นผู้นำได้ ผู้นำจึงมี
คณุ สมบัติบางประการท่คี นอื่นไมม่ ี
คณุ สมบัติของผ้นู ำในพระพุทธศาสนา เป็นคุณลักษณะหรือ
องค์ประกอบของผู้นำที่ดี เน่ืองจากว่าผู้นำทุกคนมิใช่จะมีลักษณะหรือ
คุณสมบัติอย่างน้ีเสมอไปทุกคนได้ ดังน้ัน ผู้นำท่ีดีต้องมีความแตกต่างจาก
บุคคลอื่นอย่างชัดเจน ที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความเคารพนับถือมี
ความเชอ่ื ม่นั มีความเชอ่ื ฟังอยา่ งจริงใจและให้ความรว่ มมอื อย่างจงรักภกั ดี ซ่ึง
คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของผู้นำ ท่ีแสดงออกมาน้ันย่อมมีอิทธิพลต่อการ
สร้างทัศนคติที่ดีและมีผลต่อพฤติกรรมของผู้ตามท่ีจะสามารถทำให้ปฏิบัติ
ภารกจิ ให้สำเรจ็ ตามเปา้ หมายที่กำหนดไวแ้ ละมปี ระสทิ ธิภาพได้

๕.๒ พทุ ธธรรมสำหรบั การสรา้ งภาวะผนู้ ำ
หลักธรรมสำหรับผู้นำเป็นส่ิงสำคัญที่ผู้นำจะต้องมี การ

นำเอาหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้น้ันก็เพ่ือการเป็น
นำผู้นำท่ีดีและคำส่ังสอนที่สำคัญๆ ของพระพุทธองค์ท่แี สดงให้เห็นถึงลักษณะ
ของผู้นำท่ีดี หรือวิถีทางของการที่จะเป็นผู้นำท่ีดี เพื่อใช้สำหรับเป็นแนวทาง
ที่จะนำไปปฏิบัติซ่ึงมีหลักธรรมหรือคุณธรรมในทางพระพุทธศาสนา ท่ี
สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำได้ ดงั นี้

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๔๖

๑) ทศพิธราชธรรม๘
ทศพิธราชธรรม คือ ธรรมของพระราชากิจวัตรท่ีพระ

เจ้าแผ่นดินควรประพฤติ คุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง ธรรมของนัก
ปกครอง มี ๑๐ ประการ คอื

(๑) ทาน การให้ คือ การสละส่ิงของ บำรุงเลี้ยง
ช่วยเหลือประชาราษฎร์และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ อนุเคราะห์ให้ผู้ใต้
ปกครองของตนใหม้ กี ารดำรงชีวิตที่ดี

(๒) ศีล ความประพฤติดีงาม คือ สำรวมกายและวาจา
ประกอบแต่การสุจริตรักษากิตติคุณให้ควรเป็นตัวอย่างและเป็นท่ีเคารพนับ
ถือของประชาราษฎรม์ ิให้มีข้อท่ใี ครจะดูแคลนได้

(๓) ปริจจาคะ การบริจาค คือ เสียสละความสุข
สำราญ เป็นต้น ตลอดชีวิตของตน เพื่อประโยชนส์ ุขของประชาชน และความ
สงบเรียบร้อยของบา้ นเมอื ง

(๔) อาชชวะ ความชื่อตรง คือ ความชื่อสัตย์ต่อการ
ปฏิบตั ภิ ารกจิ โดยสุจริตมคี วามจรงิ ใจไมห่ ลอกลวงประชาชน

(๕) มัททวะ ความอ่อนโยน คือ มีอัธยาศัยไม่เย่อหย่ิง
หยาบคายกระด้างถือตน มีความสง่ากิรยิ าสุภาพนุ่มนวล ละมุนละไม ให้
ไดค้ วามรกั ภกั ดีจากประชาชน

(๖) ตปะ ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให้
เข้ามาครอบงำย่ำยีจิตระงับยับยั้งข่มใจได้ ไม่ยอมให้หลงใหลหมกมุ่นใน
ความสุขสำราญและความปรนเปรอมีความเป็นอยูส่ ม่ำเสมอ หรืออยา่ งสามัญ
มุ่งมนั่ แตจ่ ะบำเพ็ญเพียรทำกจิ ให้บรบิ รู ณ์

๘ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๑๗๕-๑๗๖/๑๑๒.

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๔๗

(๗) อักโกธะ ความไม่โกรธ คือ ไม่กริ้วกราด ลุอำนาจ
ความโกรธ จนเป็นเหตุให้วินิจฉัยความและกระทำการต่างๆ ผิดพลาดเสีย
ธรรม มีเมตตาประจำใจไว้ระงับความเคืองขุ่น วินิจฉัยความและกระทำการ
ด้วยจติ อันราบเรยี บเป็นตนของตนเอง

(๘) อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน คือ ไม่บีบค้ันกดข่ี
เช่น เก็บภาษีขูดรีดหรือเกณฑ์แรงงานเกินขนาด ไม่หลงระเริงอำนาจ ขาด
ความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎร์ผู้ใด เพราะ
อาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั

(๙) ขันติ ความอดทน คือ อดทนต่องานท่ีตรากตรำ
ถงึ จะลำบากกายนา่ เหน่อื ยหน่ายเพยี งไร ก็ไม่ท้อถอย ถงึ จะถกู ยั่วถูกหยนั ดว้ ย
คำเสียดสีถากถางอย่างใดก็ไม่หมดกำลังใจ ไม่ยอมละทิ้งกรณีย์ที่บำเพ็ญโดย
ชอบธรรม

(๑๐) อวิโรธนะ ความไม่คลาดจากธรรม คือ วางตน
เป็นหลักหนักแน่นในธรรมไม่มีความเอนเอียงหวั่นไหวเพราะถ้อยคำท่ีดีร้าย
ลาภสักการะหรืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใดๆ สถิตมั่นในธรรม ทั้งส่วน
ยุติธรรม คือความเที่ยงธรรมก็ดี นิติธรรมคือระเบียบแบบแผนหลักการ
ปกครอง ตลอดจนขนธรรมเนียมประเพณีอันดีงามก็ดีไม่ประพฤติให้
คลาดเคล่อื นไป

๒) จักรวรรดิวตั ร (จกั รพรรดิธรรม)๙
จักรวรรดิวัตร คือ วัตรหรือพระจริยาท่ีพระเจ้า

จักรพรรดิทรงบำเพ็ญสม่ำเสมอ เป็นธรรมเนียมการทรงบำเพ็ญพระราช
กรณีย์ของพระเจ้าจักรพรรดิ มี ๕ ประการ คือ

๙ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๕๙-๘๒/๘๐-๑๑๐.

ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๔๘

(๑) ธรรมาธิปไตย เคารพนับถือบูชายำเกรงธรรม ยึด
ธรรมเป็นหลัก เป็นธงชยั เป็นธรรมาธิปไตย

(๒) ธรรมิการักขา จัดการรักษาป้องกันและคุ้มครอง
อันชอบธรรมและเปน็ ธรรม ซึง่ แบง่ เป็น ๘ ประการ คอื

- แก่ชนภายในต้ังแต่พระมเหสี โอรส ธิดาถึงผู้
ปฏบิ ตั ิราชการในพระองคท์ ั้งหมด

- แก่กองทัพ ปวงเสนาข้าทหาร ข้าราชการฝ่าย
ทหาร

- แก่กษัตรยิ ท์ ้งั หลายผอู้ ยู่ในพระบรมเดชานุภาพ
- แกผ่ ตู้ ามเสดจ็ คือ ราชบริพารทงั้ หลาย
- แกเ่ จ้าพิธี เจ้าหน้าท่ีสั่งสอน พ่อค้า เจ้าไร้เจ้านา
คอื ผูป้ ระกอบอาชีพวชิ าการหมอ พอ่ ค้า และเกษตรกร
- แก่ชาวนิคมชนบท คือราษฎรทุกท้องถ่ินตลอด
ถงึ ชายแดนทว่ั ไปไมท่ อดท้ิง
- แกพ่ ระสงฆ์และบรรพชิตผู้ทรงศีลทรงคณุ ธรรม
- แก่มฤคและปั กษี คือ สัตว์อันควรสงวน
ทั้งหลาย
(๓) มา อธรรมการ ห้ามกั้น มิให้มีการอันอธรรม
เกิดขึ้นในพระราชอาณาเขต คือจัดการป้องกัน แก้ไข มิให้มีการกระทำ
ความผดิ ความชั่วร้ายเดอื ดร้อนเกิดขน้ึ ในบ้านเมือง
(๔) ธนานุประทาน ปันทรัพย์ใหแ้ ก่ชนผู้ไร้ทรพั ย์มิให้มี
คนยากไร้ในแวน่ แควน้

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๔๙

(๕) ปริปุ จฉา ป รึกษ าสอนถามปัญ หากับ สมณ
พราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ข้อนี้ปัจจุบันสงเคราะห์นักปราชญ์
นักวชิ าการผูท้ รงคุณธรรมเข้าดว้ ย

๓) อธิปไตย๑๐
อธิปไตย คือ ความเป็นใหญ่ ภาวะที่ถือเอาเป็นใหญ่ มี

๓ ประการ คือ
(๑) อัตตาธิปไตย ความเป็นใหญ่ ถือตนเป็นใหญ่

กระทำการด้วยปรารภตน เปน็ ประมาณ
(๒) โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่

กระทำการด้วยปรารภนยิ มของโลกเป็นประมาณ
(๓) ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็น

ใหญ่ กระทำการด้วยปรารภความถูกต้อง เป็นจริง สมควรตามธรรมเป็น
ประมาณ

๔) ราชสังคหวตั ถุ๑๑
ราชสังคหวัตถุ คือ สังคหวัตถุของพระราชา ธรรมเครื่อง

ยึดเหน่ียวจิตใจประชาชนหลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง มี ๔
ประการ คือ

(๑) สัสสเมธะ ความฉลาดในการบำรุงพืชพันธุ์
ธญั ญาหาร สง่ เสริมการเกษตร

(๒) ปุริสเมธะ ความฉลาดในการบำรุงข้าราชการรู้จัก
ส่งเสรมิ คนดมี คี วามสามารถ

๑๐ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๔.
๑๑ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๓๕/๑๑๐.

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพุทธ ๑๕๐

(๓) สัมมาปาสะ ความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชน
ดว้ ยการส่งเสริมอาชีพ เช่น ใหค้ นจนกยู้ ืมทุนไปสร้างตัวในพาณิชยกรรม เป็น
ตน้

(๔) วาชเปยะหรือวาจาเปยยะ ความมีวาจาอันดูดดื่ม
น้ำใจ น้ำคำควรดื่ม คือ รู้จักพูด รู้จักปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุ่มนวล
ประกอบด้วย เหตุผล มีประโยชน์ เป็นทางแห่งสามัคคี ทำให้เกิดความเข้าใจ
อนั ดี และความนยิ มเช่อื ถือ

๕) สังคหวตั ถุ๑๒
สังคหวัตถุ คือ ธรรมเคร่ืองยึดเหน่ียวใจบุคคลและ

ประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี เปน็ หลักการสงเคราะหก์ นั มี ๔ ประการ คือ
(๑) ทาน การให้ คือ เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ เสียสละ แบ่งปัน

ชว่ ยเหลือกันด้วยสงิ่ ของ ตลอดถึงใหค้ วามรู้และแนะนำสงั่ สอน
(๒) ปิยวาจาหรือเปยยวัชชะ วาจาเป็นท่ีรัก วาจา

ดูดดื่มน้ำใจหรือวาจาซาบซึ้งใจ คือกล่าวคำสุภาพไพเราะอ่อนหวานสมาน
สามัคคี ให้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือตลอดถึงคำแสดงประโยชน์
ประกอบดว้ ยเหตุผลเปน็ หลักฐานจงู ใจให้นิยมตาม

(๓) อัตถจริยา การประพฤติประโยชน์ คือ ขวนขวาย
ช่วยเหลือกิจการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงแก้ไขปรับปรุงส่งเสริม
ในทางจริยธรรม

(๔) สมานัตตตา ความมีตนเสมอ คือ ทำตนเสมอต้น
เสมอปลายปฏิบัติสม่ำเสมอกันในชนทั้งหลาย และเสมอในสุขทุกข์โดยร่วม
รับรู้ร่วมแก้ไขตลอดถึงวางตนเหมาะแก่ฐานะ ภาวะบุคคล เหตุการณ์และ
สง่ิ แวดลอ้ ม ถูกตอ้ งตามธรรมในแต่กรณี

๑๒อง.ฺ จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๓๒/๕๐-๕๑,๒๕๖/๓๗๓.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๕๑

๖) พรหมวิหารธรรม๑๓
พรหมวิหารธรรม คือ ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ

ธรรมประจำใจอันประเสริฐหลักความประพฤติที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและ
กำกับความประพฤตมิ ี ๔ ประการ คือ

(๑) เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามี
ความสุข มจี ิตอันแผ่ไมต่ รีและคิดทำประโยชน์แกม่ นษุ ย์สัตว์ทัว่ หนา้

(๒) กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอัน
จะปลดเปลื้องบำบัดความทุกขย์ ากเดือดร้อนของปวงสัตว์

(๓) มุทิตา ความยินดี ในเม่ือผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตใจ
ผอ่ งใสบันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มช่ืนเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลาย
ผู้ดำรงในปกตสิ ุข พลอยยนิ ดีดว้ ยเมอื่ เขาได้ดี มสี ขุ เจริญงอกงามย่งิ ข้ึนไป

(๔) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง ดำรงอยู่ในธรรม
ตามทีพ่ ิจารณาเห็นดว้ ยปัญญา มีจติ เรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราช่ัง ไมเ่ อนเอยี ง
ด้วยรกั และชงั พิจารณาเห็นกรรมท่ีสัตว์ท้ังหลายกระทำแล้วอันส่งผลให้ดีและ
ชั่ว รู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเม่ือไม่มีกิจท่ีควรทำ เพราะเขารับผิดชอบ
ได้รับผลอันสมกับความรับผดิ ชอบของตน

๗) อคติ๑๔
อคติ คือ ฐานะอันไม่พึงถึง ทางความประพฤติที่ผิด

ความไม่เทย่ี งธรรม ความลำเอยี ง มี ๔ ประการ คือ

๑๓ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๘/๒๘๐.
๑๔ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๑/๒๘๘.

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๕๒

(๑) ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบ เพราะรัก
ในผ้นู ั้นจงึ ทำใหไ้ ด้ดี เป็นคนเด่นในสังคม

(๒) โทสาคติ คือความลำเอียงเพราะชังไม่พอใจผู้นั้น
ทำดเี พยี งใดความดไี มป่ รากฏ

(๓) โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะหลงหรือพลาด
ผดิ เพราะเขลา ไมร่ ู้ ความจริงไมเ่ ห็นความดีของเขามักเหน็ ผดิ พลาดไป

(๔) ภยาคติ คือ ความลำเอียงเพราะกลัว อาจจะกลัว
เพราะเขามเี งินทอง มีอำนาจ มีญาติ พีน่ อ้ งใหญ่โตกวา้ งขวางในสังคม

๘) อทิ ธิบาท๑๕
อิทธิบาท คือ คุณเคร่ืองให้ถึงความสำเร็จ คุณธรรมท่ี

นำไปสคู่ วามสำเรจ็ แหง่ ผล ทมี่ ุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ
(๑) ฉันทะ ความพอใจ คือ ความต้องการท่ีจะทำ

ใฝ่ใจรักจะทำสงิ่ นนั้ อยู่เสมอ และปรารถนาจะทำใหไ้ ดผ้ ลดยี ิง่ ๆ ข้นึ ไป
(๒) วิริยะ ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้น

ด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไมท่ ้อถอย
(๓) จิตตะ ความคิดมุ่งไป คือ ตง้ั จติ รับรใู้ นสิ่งทีท่ ำและ

ทำส่ิงน้ันด้วยความคิดเอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเล่ือนลอยไป อุทิศตัว
อทุ ศิ ใจใหแ้ ก่ส่ิงทที่ ำ

(๔) วมิ งั สา ความไตร่ตรอง คือ ทดลอง หม่ันใช้ปัญญา
พิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและข้อยิ่งหย่อนในส่ิงท่ีทำนั้น มีการ
วางแผน วัดผล คิดค้นวธิ ีแกไ้ ขปรบั ปรุง เป็นต้น

๙) พละ๑๖

๑๕ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๖/๒๗๗.
๑๖ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒๔๔/๕๓๒.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๕๓

พละ คือ ธรรมอันเป็นกำลัง อันเป็นพลังทำให้ดำเนิน
ชีวิตด้วยความม่ันใจไม่หวั่นต่อภัยทุกอย่างพลังของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถ
เปน็ กษตั ริยป์ กครองแผ่นดนิ ได้ มี ๕ ประการ คอื

(๑) พาหาพละหรือกายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย
คือความแขง็ แรงมีสุขภาพดมี ีความสามารถและชำนาญในการใชแ้ ขนใช้มือใช้
อาวธุ ตลอดจนมยี ุทโธปกรณ์พร่งั พรอ้ ม

(๒) โภคพละ กำลังโภคสมบัติ คือ มที ุนทรพั ยบ์ รบิ ูรณ์
พร้อมท่ีจะใช้บำรุงเลีย้ งคนและดำเนินกิจการไดไ้ ม่ติดขัด

(๓) อมัจจพละ กำลังอำมาตย์ หรือกำลังข้าราชการ
คือ มที ่ีปรกึ ษาและข้าราชการระดับบริหารที่ทรงคุณวุฒิเก่งกล้าสามารถ และ
จงรักภกั ดี ชื่อสัตย์ต่อแผน่ ดนิ

(๔) อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง คือ กำเนิดใน
ตระกูลสูง เป็นขัตติยชาติต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชน และได้รับการ
ฝกึ อบรมมาแลว้ เป็นอย่างดีตามประเพณีแหง่ ชาติตระกลู น้ัน

(๕) ปัญญาพละ กำลังปญั ญา คือ ทรงปรชี าญาณ หยั่ง
รู้เหตุผล ผิดชอบ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ สามารถวินิจฉัยเหตุการณ์ทั้ง
ภายในภายนอก และดำริการตา่ งๆ ใหไ้ ดผ้ ล เปน็ อย่างดี

๑๐) สัปปุรสิ ธรรม๑๗
สปั ปุริสธรรม คือ ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทำให้เป็น

สตั บุรษุ คณุ สมบตั ขิ องคนดี ธรรมของผู้นำทดี่ ี มี ๗ ประการ คอื
(๑) ธัมมัญญุตา ความรู้จักธรรม รู้หลักหรือรู้จักเหตุ

คือ รู้หลกั ความจริงรู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมดา รู้กฎเกณฑ์แห่ง
เหตุผล และรู้หลักการท่ีจะทำให้เกิดผล เช่น พระมหากษัตริย์ทรงทราบว่า

๑๗ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๓.

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๑๕๔

หลกั การปกครองตามราชประเพณเี ป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง รู้ว่าจะต้องกระทำ
ตามหลักการข้อนีๆ้ จงึ จะใหเ้ กดิ ผลท่ตี ้องการหรอื บรรลุจดุ หมายอันนั้นๆ

(๒) อตั ถัญญุตา ความรู้จกั อรรถ รู้ความมงุ่ หมายหรือ
รู้จักผล คอื รู้ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้ประโยชนท์ ่ีประสงค์ รจู้ กั ผลทจี่ ะ
เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการกระทำหรือความเป็นไปตามหลัก เช่น รู้หลักธรรม
น้ันๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร หรือพึงปฏิบัติ เพื่อประสงค์ประโยชน์อะไร
การท่ีตนกระทำอยู่มีความมุ่งหมายอย่างไร เมื่อทำไปแล้วจะบังเกิดผล
อะไรบา้ ง

(๓) อตั ตญั ญุตา ความรู้จกั ตน คอื รู้วา่ เราน้นั ว่าโดย
ฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัดและคุณธรรม เป็น
ต้น บัดน้ี เท่าไร อย่างไร แล้วประพฤติให้เหมาะสมและรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุง
ต่อไป

(๔) มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ คือความพอดี
เช่น รู้จักประมาณในการ ใชจ้ ่ายโภคทรัพย์พระมหากษัตรยิ ์ร้จู ักประมาณ
ในการลงทณั ฑอ์ าชญา ในการเกบ็ ภาษี เปน็ ตน้

(๕) กาลัญญุตา ความรู้จักกาล คือ รู้กาลเวลาอัน
เหมาะสม และระยะเวลาท่ีควรหรือจะต้องใช้ในการประกอบกิจ ทำหน้าท่ี
การงาน หรือปฏิบัติการต่างๆ เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้
พอเวลา ใหเ้ หมาะเวลา เปน็ ต้น

(๖) ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท คือ รู้จักชุมชน
และรู้จักที่ประชุม รู้กิริยาท่ีจะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่าชุมชนน้ีเมื่อเข้าไป
หา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างนี้
เปน็ ต้น

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๕๕

(๗) ปุคคลัญญุตาหรือปุคคลปโรปรญั ญุตา ความรู้จัก
บุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัยความสามารถและ
คุณธรรม เป็นตน้ ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอยา่ งไร และร้ทู จี่ ะปฏิบัติต่อบุคคลน้นั ๆ
ดว้ ยดวี ่าควรจะคบหรอื ไม่ จะใช้ จะตำหนิ ยกย่อง และแนะนำสั่งสอนอย่างไร
เปน็ ตน้

๑๑) อปริหานยิ ธรรม๑๘
อปริหารนิยธรรม คือ ธรรมอันไม่เป็นที่ต้ังแห่งความ

เสื่อม เปน็ ไปเพอ่ื ความเจริญฝ่ายเดียว สำหรับหมู่ชนหรอื ผู้บริหารบ้านเมือง มี
๗ ประการ คือ

(๑) หมนั่ ประชุมกันเนอื งนติ ย์
(๒) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก
ประชมุ พร้อมเพรียงทำกิจทพ่ี ึงทำ
(๓) ไม่บัญญัติท่ีมิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการ
เดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งท่ีบัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม
(หลกั การ) ตามทวี่ างไวเ้ ดมิ
(๔) ทา่ นเหล่าใดเป็นผ้ใู หญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือ
ทา่ นเหลา่ นนั้ เหน็ ถอ้ ยคำของท่านว่าเป็นสิง่ อันควรรบั ฟงั
(๕) บรรดากุลสตรีกุลกุมารีท้ังหลาย ให้อย่ดู ีโดยมิถูก
ข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
(๖) เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนีย
วัตถุ) ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ ของวัชชี (ประจำชาติ) ท้ังหลาย ท้ังภายใน
และภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่าน้ันเสื่อม
ทรามไป

๑๘องฺ.สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๒๑/๓๑.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๕๖

(๗) จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบ
ธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ในที่น้ีกินความกว้าง หมายถึง บรรพชิตผู้ดำรง
ธรรมเป็นหลักใจของประชาชนท่วั ไปตัง้ ใจวา่ ขอพระอรหันต์ท้งั หลายท่ียังมิ
ได้มา พึงมาสแู่ วน่ แควน้ ทมี่ าแลว้ พึงอยใู่ นแว่นแคว้นโดยผาสุก

๑๒) กลั ยาณมิตร๑๙
กัลยาณมิตร คือ องค์คุณของกัลยาณมิตร คุณสมบัติ

ของมิตรดีหรือมิตรแท้ คือ ท่านที่คบหรือเข้าหาแลว้ จะเป็นเหตุให้เกิดความดี
งามและความเจริญ มี ๗ ประการ คอื

(๑) ปิโย น่ารัก คือ ในฐานะเป็นที่สบายใจและสนิท
สนมเปน็ กนั เอง ชวนใหอ้ ยากเขา้ ไปปรกึ ษาไตถ่ าม

(๒) ครุ น่าเคารพ คือ ในฐานประพฤติสมควรแก่
ฐานะ ให้เกดิ ความรูส้ กึ อบอนุ่ ใจเป็นที่พงึ่ ได้และปลอดภัย

(๓) ภาวนีโย น่าเจริญใจ หรือน่ายกย่อง คือ ในฐาน
ทรงคุณคือความรู้และ ภูมิปัญญาแท้จริง ทั้งเป็นผู้ฝึกอบรมและ
ปรับปรงุ ตนอยเู่ สมอทำให้ระลกึ และเอ่ยอ้างดว้ ยซาบซ้ึง

(๔) วตฺตา จ รู้จักพูดให้ได้ผล คือ พูดเป็น รู้จักช้ีแจง
ให้เข้าใจ รู้ว่าเมื่อไร ควรพูดอะไรอย่างไร คอยให้คำแนะนำว่ากล่าว
ตักเตือน เป็นทีป่ รกึ ษาที่ดี

(๕) วจนกขฺ โม อดทนต่อถ้อยคำ คอื พร้อมท่ีจะรับฟัง
คำปรึกษา ซักถาม คำเสนอ และวิพากษ์วิจารณ์ อดทนฟังได้ไม่เบ่ือไม่
ฉุนเฉยี ว

(๖) คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา แถลงเรื่องล้ำลึกได้ คือ
สามารถอธบิ ายเร่ืองยงุ่ ยากซับซ้อนให้เข้าใจและให้เรียนรู้

๑๙องฺ.สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๓๖-๓๗/๕๖-๕๗.

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๕๗

(๗) โน จฎฺฐาเน นิโยชเย ไม่ชักนำในอฐาน คือ ไม่
แนะนำในเรือ่ งเหลวไหลหรือชกั จูงไปในทางเสื่อมเสยี

๑๓) สาราณียธรรม๒๐
สารณียธรรม คือ ธรรมเป็นที่ต้ังแห่งความใหร้ ะลึกถึง

ธรรมเป็นเหตุให้ระลึก ถึงกัน ธรรมท่ีทำให้เกิดความสามัคคี หลักการอยู่
ร่วมกัน มี ๖ ประการ คือ

(๑) เมตตากายกรรม ตั้งเมตตากายกรรมในเพ่ือ
พรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วยเหลือกิจธุระของผู้ร่วมหมู่คณะ
ด้วยความเต็มใจ แสดงกิริยาอาการสุภาพเคารพนับถือกันท้ังต่อหน้าและลับ
หลัง

(๒) เมตตาวจีกรรม ต้ังเมตตาวจีกรรมในเพื่อ
พรหมจรรย์ ท้ังต่อหน้าและ ลับหลัง คือช่วยบอกแจ้งส่ิงท่ีเป็นประโยชน์
ส่งั สอน แนะนำตักเตอื นด้วยความหวงั ดี กล่าววาจาสภุ าพ แสดงความเคารพ
นับถอื กนั ทงั้ ต่อหน้าและลับหลัง

(๓) เมตตามโนกรรม ตั้งเมตตามโนกรรมในเพ่ือน
พรหมจรรย์ ท้ังต่อหน้าและ ลับหลัง คือ ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำส่ิงที่เป็น
ประโยชนแ์ กก่ นั มองกนั ในแงด่ ี มีหนา้ ตายม้ิ แย้มแจม่ ใสต่อกัน

(๔) สาธารณโภคิตา ได้ของส่ิงใดมาก็แบ่งปันกัน คือ
เม่ือได้สิ่งใดมาโดย ชอบธรรม แม้เป็นของเล็กน้อย ก็ไม่หวงไว้ผู้เดียว
นำมาแบง่ ปนั เฉลี่ยเจือจานใหไ้ ด้มสี ว่ นร่วมใช้สอย ทัว่ กัน

(๕) สีลสามัญญตา มีศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพ่ือน
พรหมจรรย์ทั้งหลาย ท้ังต่อหน้าและลับหลัง คือ มีความประพฤติสุจริตดีงาม
ถกู ต้องตามระเบยี บวินยั ไมท่ ำตนใหเ้ ป็นที่น่ารังเกียจของหมู่คณะ

๒๐ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๑-๓๒๒.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๕๘

(๖) ทิฎฐิสามัญญตา มีทิฎฐิดีงามเสมอกันกับเพื่อน
พรหมจรรย์ทั้งหลาย ท้ังต่อหน้าและลับหลัง คือ มีความเห็นชอบร่วมกัน ใน
ขอ้ นี่เป็นหลกั การสำคญั อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้น สิน้ ทุกข์ หรือขจัดปญั หา

๑๔) อริยทรพั ย๒์ ๑
อริยทรัพ ย์ คือ ทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์คือ

คณุ ธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ
(๑) ศรัทธา คือ ความเชื่อที่มีเหตุผล ม่ันใจในหลักท่ี

ถือและในการดที ที่ ำ
(๒) ศีล คือ การรักษ ากายวาจาให้ เรียบ ร้อ ย

ประพฤตถิ กู ตอ้ งดีงาม
(๓) หิริ คอื ความละอายใจตอ่ การทำความชว่ั
(๔) โอตตัปปะ คอื ความเกรงกลวั ต่อความชัว่
(๕) พาหสุ จั จะ คือความเป็นผู้ไดศ้ กึ ษาเล่าเรยี นมาก
(๖) จาคะ คือ ความเสยี สละ เอ้อื เฟอ้ื เผื่อแผ่
(๗) ปัญญา คือ ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล

ดีช่ัว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณา และรู้ที่จะ
จัดทำ

หลักพุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้นำข้างต้นน้ี มี
ความสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้นำ ซึ่งเป็นหลักธรรมหรือคุณธรรมท่ีจะ
สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำในการบริหาร การปกครองทุกระบบงาน
การเป็นผู้นำในการปกครองท่ีดีนั้น จะต้องปกครองโดยธรรม เพราะจะสร้าง
ความยุติธรรมและความถูกต้องให้แก่ผู้นำและผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงาน

๒๑ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๑.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๕๙

อันจะก่อให้เกิดความสุขในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิผล
หลักธรรมในส่วนน้ี จะเน้นในเรื่องหลักธรรมประจำใจในฐานะของเคร่ือง
กำกับจิตใจและเครื่องกำกับความประพฤติของตนเอง มิให้ทำในส่ิงท่ีมิชอบ
ไมถ่ ูกไม่ควร ซ่ึงผ้นู ำควรพิจารณาและปฏิบัติตามหลักธรรม เพราะหลกั ธรรม
มุ่งเน้นให้ผู้บริหารหรือผู้ปกครอง สามารถประสานความสัมพันธ์กับหมู่ชน
เอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ส่ิงที่เป็นประโยชน์ให้กับบุคคลอื่นๆ ตลอดไปจนถึงสังคมในวง
กวา้ ง

๕.๓ อรยิ มรรคกับการพัฒนาภาวะผนู้ ำ
ก ารพั ฒ น าผู้ น ำต าม แ น ว พ ระ พุ ท ธ ศ าส น า มี

กระบวนการพัฒนาผู้นำถือตามหลักพุทธธรรม มีประเด็นท่ีจะศึกษาและ
พัฒนา ๔ ประเภท ได้แก่ ๑) การพัฒนาด้านกาย (กายภาวนา) ๒)การพัฒนา
ด้านศีลหรือพฤติกรรม (ศีลภาวนา) ๓) การพัฒนาด้านจิตใจ (จิตภาวนา) และ
๔) การพัฒนาด้านปัญญา (ปัญญาภาวนา) ในประเดน็ นจี้ ะได้อธิบายหลักการ
พัฒนาในแต่ละประเด็นไปตามลำดบั คือ การพฒั นาดา้ นกาย การพัฒนาด้าน
ศลี การพัฒนาดา้ นจติ ใจ และสว่ นสุดท้ายการพฒั นาดา้ นปญั ญา

อย่างไรก็ตาม หลักธรรมที่ผู้เขียนได้ศึกษาและนำมาใช้
เป็นเครื่องมือในการพัฒนาภาวะผู้นำ คือ หลักอริยมรรคมีองค์ ๘ หมายถึง
แนวทางการปฏิบัติ เพ่ือการพัฒนาชีวิตทั้ง ๓ ด้านคือ ด้านพฤติกรรม (กาย
วาจา) ด้านจิตใจ (อารมณ์) และปัญญา (ความคิด) ซ่ึงหลักอริยมรรคมีองค์
๘ ประกอบด้วย สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิด
ชอบ สัมมาวาจา คือ วาจาชอบ สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบ
สัมมาอาชีวะ คือ การดำรงชีพชอบ สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
สมั มาสติ คือ การระลึกชอบ สัมมาสมาธิ คือ การต้ังใจชอบ เพ่ือให้เข้าใจง่าย

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๖๐

และเห็นชัดยิ่งขึ้น คือ หลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็น
หัวใจสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ที่กล่าวเช่นน้ีเพราะหลัก
อริยมรรค มีองค์ ๘ เรียกอีกอย่างว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” ซ่ึงเป็นหลักการ
ดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ นั่นคือ การแสดงออกทางกาย วาจา
(พฤติกรรม) การแสดงออกด้วยกิริยา สีหน้า ท่าทางผ่านพฤติกรรมทางกาย
วาจา คือ อารมณ์ (จิตใจ) และทางความคิดเห็น การวางแผนในการ
ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการ
แก้ปัญหาอย่างใดอย่างหน่ึงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
(ปัญญา) และทางสายกลางนี้จะนำให้ผนู้ ำที่นำไปปฏิบัติได้บรรลุถึงเป้าหมาย
สงู สุดของชีวิตท้ังในระดับโลกียะและระดบั โลกตุ ระ

การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการพัฒนาภาวะผู้นำ
ผเู้ ขียนได้ศกึ ษาถึงปัญหาและวิกฤตกิ ับผนู้ ำในยคุ โลกาภิวัตน์ เกี่ยวกับลักษณะ
ของปัญหาและวิกฤติผู้นำ ซ่ึงพบว่าสังคมปัจจุบันทั่วโลกกำลังขาดแคลนผู้นำ
ที่มีคุณลักษณะพร้อมทั้งด้านพฤติกรรม อารมณ์และความคิด หรือความรู้ จึง
ทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่าง เช่น ปัญหาผู้นำเก่งแต่ไร้คุณธรรม ผู้นำมี
คุณธรรมจริยธรรมแต่ขาดความสามารถในการบริหารงาน เป็นต้น สาเหตุ
ของปญั หาวกิ ฤติผู้นำท่ีสำคญั คอื ๒๒

๑) เพราะผนู้ ำขาดวสิ ยั ทศั นท์ ี่ดใี นการบรหิ ารงาน
๒) เพราะผู้นำขาดความคิดริเริ่มในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้
เกิดขึ้น

๒๒เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง, “การพัฒนาภาวะผู้นำวิถีพุทธในยุคโลกา
ภิวัตน์”, วิทยานิพนธ์ปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสน
ศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์,
๒๕๕๗), หน้า ๑๙๐.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๖๑

๓) เพราะผูน้ ำขาดทกั ษะทางการส่อื สาร
๔) เพราะผู้นำขาดความซ่ือสัตย์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว
และผอู้ น่ื
๕) เพราะผู้นำทุจรติ คิดอยากได้โดยไม่คำถงึ ถึงความถูกตอ้ ง
ดงี าม
๖) เพราะผูน้ ำขาดความรบั ผดิ ชอบต่อหน้าทข่ี องตนเอง
๗) เพราะผู้นำมักใช้อำนาจท่ีมีอยู่อย่างไร้สามัญสำนึกเพ่ือ
สนองตอบตอ่ ความต้องการของตนเองและพวกพ้อง
๘) เพราะผนู้ ำขาดวฒุ ิภาวะทางอารมณ์
ปัญหาทั้ง ๘ ประการนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวผู้นำ
คือ ไม่ได้รับการยอมรับนับถือ หรือความไว้วางใจจากผู้อ่ืน ผลกระทบต่อ
องค์กร คือ ทำให้องค์กรของตนไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถในการ
แข่งขันกับองค์กรอ่ืนได้จนต้องล่มสลายในท่ีสุด ผลกระทบต่อสังคม
ประเทศชาติ คอื ระบบสังคม การเมอื ง และเศรษฐกิจ

กระบวนการในการประยุกต์หลักอริยมรรคมอี งค์ ๘ มา
ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้นำ จะทำในลักษณะของการแบ่งหรือจัด
หมวดหมู่ของปัญหาเข้าด้วยกันได้ ๘ ประเด็นใหญ่ๆ ตามท่ีได้กล่าวแล้ว
ข้างต้นน้ัน จากน้ันได้นำหลักอริยมรรคมาประยุกต์เพ่ือแก้ปัญหาและพัฒนา
ผู้นำในดา้ นตา่ งๆ ทั้ง ๘ ดา้ น ดังน้ี

(๑) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาทิฐิในการพัฒ นา
วิสัยทัศน์ผู้นำ เป็นการพัฒนาผู้นำด้านวิสัยทัศน์ เนื่องจากในกระบวนการคิด
หรือการกระทำน้ันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากการคิดหรือการกระทำ
นัน้ ปราศจากวิสยั ทศั น์กอ็ าจนำไปสู้ความพินาศได้ วิธีการพัฒนาตามหลักการ
ของสัมมาทิฐิ คือ การพัฒนาความคิด การมองภาพของอนาคตตามสภาพ

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๖๒

ความเป็นจริง ในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยการรับถ่ายทอดหรือเล่าเรียน
ศิลปะวิทยาการและข่าวสารและขอ้ มูลตา่ งๆ และรบั ร้ปู ระสบการณ์ จากการ
เรียนรู้ต่างๆ อย่างถูกต้องโดยปราศจากอคติ และการพิจารณาโดยแยบคาย
รอบคอบ ด้วยปัญญาที่ปราศจากกเิ ลสครอบงำ

(๒) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาสังกัปปะในการพัฒนา
ความคิดริเร่ิมของผู้นำ เป็นการพัฒนาผู้นำด้านความคิดริเริ่ม โดยใช้ปัญญา
แยกแยะว่าสิ่งใดมีประโยชน์ เป็นความจริงแก่ตนและสังคมแล้วปฏิบัติ ส่วน
ใดมีโทษและก่อความเดือดร้อนให้งดหรือละเสีย และใช้ปัญญาพิจารณาส่ิง
ต่างๆ ให้รู้แจ้งความจริงของโลกและชีวิต สามารถแก้ปัญหาชีวิตขจัดความ
ทกุ ข์ในจิตใจ จิตใจไม่ถกู บบี คัน้ หลุดพ้นจากการถกู กเิ ลสครอบงำ มีจติ ท่ีเป็น
อสิ ระ อยู่เหนอื กระแสโลก

(๓) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาวาจาในการพัฒนาการ
ส่ือสารของผู้นำ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ กล่าวได้ว่าเป็นยุคแห่งการส่ือสารท่ีไร้
พรมแดน การส่ือสารในองค์กรหรือการสื่อสารกับผู้อื่นน้ันส่ิงที่เกิดข้ึนใน
ชีวิตประจำวันของผู้นำและมนุษย์โดยทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม
หลกั การพัฒนาการส่ือสารท่ีสำคัญคือ ผู้นำตอ้ งยดึ หลักสำคัญ ๔ ประการ คือ
๑) งดเว้นจากการสื่อสารด้วยคำพูดคำท่เี ป็นเท็จ พูดแตค่ วามจริง พดู แต่เร่ือง
ท่เี ป็นจรงิ มีเหตุผลและสามารถพิสจู น์ได้ ๒) งดเว้นจากการสื่อสาร ทีเ่ ป็นการ
พูดถ้อยคำท่ีส่อเสียดอันจะนำมาซึ่งความแตกแยก โดยการพูดแต่ถ้อยคำท่ีจะ
สรา้ งสรรคค์ วามสามัคคีและถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ ๓) งดเว้นจากการส่ือสาร
ด้วยการพูดถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่ชวนฟัง ไม่ก่อให้เกิดความร่ืนเริง ไม่เชิญ
ชวนใหป้ ฏิบตั ิตาม แต่ผู้นำจะต้องพูดแตถ่ ้อยคำที่อ่อนหวาน ชวนให้ผู้อื่นอยาก
เข้ามาสนทนาด้วย ๔) งดเว้นจากการสื่อสารด้วยการพูดถ้อยคำท่ีเพ้อเจ้อหา

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๖๓

สารประโยชน์อะไรมิได้ แต่ผู้นำจะต้องพูดถ้อยคำที่มีสาระ เป็นประโยชน์แก่
ตนเองและผอู้ ่ืน

(๔) การประยุกต์ใช้หลักสมั มากัมมันตะในการดำรงตน
ของผู้นำ ซ่ึงเป็นการพัฒนาผู้นำด้านความซื่อสัตย์ โดยพัฒนาให้ผู้นำมีความรู้
ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่เก่ียวกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพหรือโลกแห่ง
วัตถุ (กายภาวนา) เช่น ตา หู จมูก ล้ิน กาย ในการรับรู้ ตาต้องไม่ก่อความ
เสียหาย เช่น ความโลภ อยากมีสิ่งของต่างๆ นำไปสู่การแสวงหาด้วยวิธีการ
ตา่ งๆ ทั้งถกู ต้องและไม่ถกู ตอ้ ง การพัฒนาตามหลกั ของสัมมากัมมันตะจะทำ
ให้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพ คือการรู้เท่าทันการทำหน้าท่ีอินทรีย์แต่ละอย่าง
หรือเรียกว่า “อินทรีย์สังวร” คือ ไม่เสพติด ไม่บริโภคปัจจัย ๔ ได้แก่ การใช้
ประโยชน์จากวัตถุอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยีอย่างฟุ่มเฟือย และไม่ยึด
ติด ไมฟ่ ุ้งเฟ้อ

(๕) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาอาชีวะในการพัฒนา
แก้ปัญหาการทุจริตของผู้นำ ซ่ึงเป็นการพัฒนาผู้นำด้านความเป็นอยู่การหา
เล้ียงชีพโดยให้ผู้นำรักษากติกาของสังคม กฎเกณฑ์ หรือกฎหมายระเบียบ
แบบแผนของสังคมของตน รวมท้ังส่ิงที่เรียกว่า จรรยาบรรณ รู้จักการให้
การเผ่ือแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ความสุขและช่วยสร้างสรรค์สิ่งท่ี
ดีงาม การประพฤติเกื้อกูลแก่ส่ิงมีชีวิตอื่นๆ ทั้งสัตว์ มนุษย์ และพืช เว้นจา
การประกอบอาชีพที่ผิดหลักศีลธรรมอันดีงามท่ีควรปฏิบัติ และผิดหลัก
กฎหมายการบริการจัดการบ้านเมืองเพ่ือให้เกิดความสงบสุขและร่มเย็นของ
ปวงประชา

(๖) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาวายามะในการพัฒนา
ความรับผิดชอบของผู้นำ ซึ่งเป็นการพัฒนาผู้นำให้เป็นผู้มีความรับผิดชอบ
ต่อหน้าท่ีการงานท่ีกำลังปฏิบัติในฐานะความเป็นผู้นำองค์กรหรือสังคม ด้วย

ภาวะผูน้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๖๔

การพัฒนาผู้นำให้มีคุณธรรม ความดีงามต่างๆ ซึ่งเป็นรากฐานพฤติกรรมท่ีดี
งาม สมรรถภาพจิต คือ ความเข้มแข็ง อดทน มีประสิทธิภาพของจิต มี
หลักการในการปฏิบัติ คือ ๑) ฉันทะ พัฒนาผู้นำให้มีความรักในงานท่ีทำ ใน
หน้าท่ีท่ีรับผิดชอบ ๒) วิรยิ ะ พฒั นาผู้นำความเพียร ความขยัน ดว้ ยการหมั่น
รักษามาตรฐานการทำงานของตนที่ดีอยู่แล้วให้ดีย่ิงขึ้นไป และปรับปรุงการ
ปฏิบัติในส่วนท่ีด้อยให้เจริญและมากยิ่งขึ้น ๓) จิตตะ คือการหม่ันตรึกตรอง
จดจ่อ เฝ้าดูและลงมือปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วยความตั้งใจ ไม่ละความเพียร ไม่ให้
เกดิ ความเบื่อหน่ายในหน้าทก่ี ารงาน และ ๔) วมิ ังสา คอื การติดตามประเมนิ ผล
การปฏิบตั หิ น้าทีข่ องตนเองอย่างสม่ำเสมอ

(๗) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาสติในการพัฒนาด้าน
การใช้อำนาจของผู้นำ อำนาจน้ันมักจะมาพร้อมกับตำแหน่งหน้าท่ี ในการ
พัฒนาผู้นำด้านการใช้อำนาจ คือการสร้างกระบวน การเรียนรู้ท่ีสำคัญของ
อำนาจ นั่นคือ การกำหนดรู้กายในกาย กำหนดรู้เวทนาในเวทนา กำหนดรู้
จิตในจิต และกำหนดรู้ธรรมในธรรม น่ันหมายความว่า ๑) ผู้นำจะต้องระลึก
ถึงที่มาเสมอว่า อำนาจน้ันได้มาจากหน้าท่ี ซ่ึงหน้าท่ีนั่นได้รับมอบหมายจาก
บุคคลหลายๆ คนท่ีไว้วางใจให้เป็นผู้นำ เป็นผู้ใช้อำนาจของพวกเขา ๒) ผู้นำ
จะต้องระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาว่าอำนาจนั้นเป็นส่ิงที่ไม่แน่นอน มีการ
เปลี่ยนแปลงไดเ้ มื่อกา้ วลงจากตำแหนง่ ผนู้ ำ ๓) ผ้นู ำจะตอ้ งระลกึ รูถ้ งึ ขอบเขต
ของอำนาจว่าใช้ได้ มากน้อยเพียงใดในสถานการณ์ใด และ ๔) ผู้นำ
จะต้องใช้อำนาจท่ีมีอยู่ในตำแหน่งหน้าที่น้ันอย่างเป็นธรรมแก่ทุกๆฝ่ายท่ี
เก่ียวข้อง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนและพวกพ้องหรือท่ีเรียกว่า “เลือกท่ีรัก มัก
ทีช่ ัง”

(๘) การประยุกต์ใช้หลักสัมมาสมาธิในการพัฒนาวุฒิ
ภาวะทางอารมณ์ของผู้นำ ซึ่งเป็นการพัฒนาผู้นำให้เป็นผู้ท่ีมีความหนักแน่น

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๖๕

เป็นผู้ท่ีสามารถควบคุมตนเองได้ในสถานการณ์ท่ีเกิดแรงกระทบ ย่ัวยุให้เกิด
ความไม่สมประสงค์ในสิ่งท่ีตนปรารถนา ซ่ึงวิธีการในการพัฒนาตาม
กระบวนการของสัมมาทิฐิ มี ๒ ประการ คือ ๑) การเฝ้าระวังมลทินไม่ให้
เกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง เช่น การไม่หมน่ั เพียรในการศึกษาหาความรู้ ความ
ไม่หม่ันเพียรในการชำระร่างกายและจิตใจตน ความเกียจคร้านในการปฏิบัติ
หน้าท่ี ความประมาท ประพฤตติ นในทางเสียหาย และอวิชาคอื ความเขลาท่ีเข้า
มาครอบคลุมความคิดของตน เป็นต้น ๒) การหม่ันเพียรในการประกอบกิจ
ฝึกฝนและพฒั นาจติ ใจของตนเองอยตู่ ลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ปัญหาวิกฤติของผู้นำที่เกิดขึ้นซ่ึงผู้เขียน
ได้จำแนกออกเป็น ๘ ด้านท่ีกล่าวแล้วข้างต้น หากวิเคราะห์ สังเคราะห์
สามารถแบ่งได้ ๓ ด้าน คือ ๑) ด้านพฤติกรรมประกอบด้วย ความซื่อสัตย์
การส่ือสารและการทุจริต ๒) ด้านจิตใจ ประกอบด้วย ความรับผิดชอบการ
ใช้อำนาจ และวุฒิ ภาวะทางอารมณ์ ๓) ด้านความคิดหรือปัญ ญ า
ความสามารถ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ และความคิดริเริ่ม เมื่อพิจารณาจาก
หลักการปฏิบัติที่แท้จริงของการพัฒนาผู้นำตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ จะ
พบวา่ หลกั การท่แี ท้จรงิ คือ

(๑) ต้องการให้เกิดการพัฒนาที่ดีทางพฤติกรรม การ
การแสดงออกทางกาย วาจา นั่นคือหลักของสมั มากัมมนั ตะ สัมมาวาจา และ
สัมมาอาชีวะ ในหลักการน้ีซึ่งตรงกับหลักไตรสิกขาข้อท่ี ๑ คือ อธิศีลสิกขา
คอื การพัฒนาด้านพฤติกรรม

(๒) ตอ้ งการให้เกิดการพัฒนาทดี่ ีทางด้านจิตใจ นั่นคือ
หลักของสัมมาวายามะสัมมาสติและสัมมาสมาธิ ในหลักการนี้ซ่ึงตรงกบั หลัก
ไตรสิกขาขอ้ ท่ี ๒ คอื อธจิ ิตสิกขา คอื การพัฒนาดา้ นจิตใจ

ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๖๖

(๓) ต้องการให้เกิดการพัฒนาที่ดีทางด้านความคิด
หรือปัญญา นัน่ คือหลักการของสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ในหลักการนซ้ี ึ่งตรง
กับหลักไตรสกิ ขาขอ้ ท่ี ๓ คอื อธปิ ัญญาสกิ ขา คือ การพัฒนาด้านปัญญา

สรุป
หลักธรรมของพระพุทธองค์ได้วางหลักการและแนวทางใน

การปกครอง โดยใช้การยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนหรือสมาชิกในสังคม
เพื่อให้เกิดความสงบสุข ด้วยการปกครองท่ีเท่ียงธรรมไม่ลำเอียง โดยใช้
ความรู้ความสามารถของผู้ปกครองในด้านของปัญญา ความเพียรและความ
สุจริตในการจัดการเพ่ือให้เกิดความเจริญแก่องค์การและกิจกรรมต่างๆ
เพ่อื ให้กิจต่างๆ บรรลุผลสำเรจ็ และไดผ้ ลดีโดยมิต้องใช้วธิ ีการบังคบั ขูเ่ ข็ญ ให้
เกิดความเกรงกลัวในอาชญา ดังนั้น หลักธรรมที่สอดคล้องกับการนำหรือ
สำหรับผู้ นำจึงมีอยู่มากมายเพราะเป็ นเร่ืองที่เก่ียวข้องกับ ความสัมพั น ธ์
ระหว่างบุคคลกับบุคคล ยกตวั อย่างเช่น ความสัมพนั ธ์ระหว่างผูบ้ ังคับบัญชา
และผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีฐานการพิจารณาบุคคลในองค์การในฐานะของ
เพ่ือนร่วมองค์การ ท่ีจะต้องปฏิบัติต่อกันด้วยดี และบุคคลกับสังคม รวม
ตลอดถงึ บุคคลกบั สิง่ แวดล้อม เป็นต้น

การนำหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ มาประยุกต์ใช้ในการ
พัฒนาภาวะผู้นำ เป็นหลักพุทธธรรมท่ีนำมาประยุกต์ใช้และทำได้อย่างตรง
กับปัญหาท่ีเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างย่ิง ท่ีกล่าวเช่นนี้ เพราะสภาพ
สังคมในปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขันทีท่ วคี วามรุนแรงเพื่อเอาตัวรอดท้ังระดับ
บุคคล คือการแข่งขันในการทำอาชีพ ธุรกิจ เป็นต้น เพ่ือการอยู่รอดของ
ตนเองและครอบครัว ในระดับขององค์กรก็ต้องแข่งขัน เช่น องค์กรภาค
ธุรกจิ ต้องแข่งขันกันเพ่ือสร้างตวั เลือกทางสินค้าและบริการเพื่อให้ได้มาซง่ึ ผล

ภาวะผูน้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๖๗

กำไรจากการประกอบการ หรือแม้แต่องค์กรภาครัฐก็ต้องแข่งขันเพื่อสร้าง
ความพอใจแก่ประชาชนให้มากท่ีสุด หรือแม้แต่ระดับโลกท่ีประเทศต่างๆ
พยายามสร้างระบบเศรษฐกิจการค้า สังคม การเมือง การทหาร เพ่ือให้
เหนอื กวา่ ประเทศอน่ื ๆ เป็นตน้

ผู้นำในฐานะท่ีจะเป็นผู้กอบกู้หรือช่วยองค์กรและสังคมให้
รอดพ้นจากภาวะวิกฤติเหล่านี้ จึงควรจะต้องทำตนเองให้เป็นแบบอย่างที่ดี
และเป็นผู้นำที่จะสามารถเป็นท่ีพ่ึงให้แก่ผู้อื่น แก่องค์กรและสังคม ผู้นำ
จะต้องมีคุณลักษณ์สำคัญ ๓ ประการคือ ประการท่ีหนึ่ง ผู้นำจะต้องเป็นผู้มี
ความประพฤติท่ีดีงาม และเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ตาม บุคลิกภาพเป็นท่ีน่า
เคารพ น่ายกย่องและน่านับถือและเป็นผู้เสียสละ ประการที่สอง ผ้นู ำจะต้อง
เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา มีความเป็นธรรมและมีความเป็นกลาง ยึดมั่นในความ
ถูกต้องและความชอบธรรม มีความรบั ผดิ ชอบในหน้าท่ีท่ีได้รบั มอบหมายและ
หม่ันฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา ประการท่ีสาม ผู้นำจะต้องเป็นผู้มีความรู้
ความสามารถ ในการนำผู้อื่น องค์กร สังคมไปสู้การพัฒนาท่ีดีข้ึน ด้วย
กระบวนการทางความคิด วิสัยทัศน์ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ๆ
วัฒนธรรมใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตน คน งาน องค์กรและ
สังคม จึงเปน็ ท่ีชช้ี ัดว่า การพัฒนาผนู้ ำดว้ ยหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นหลักพุทธ
ธรรมที่นำมาใช้ในการพัฒนาผู้นำให้เป็นผู้นำท่ีพึงประสงค์ในยุคโลกาภิวัตน์ได้
อย่างครอบคลุม คือ ผู้นำท่ีพึงประสงค์ด้านพฤติกรรม ผู้นำท่ีพึงประสงค์ด้าน
จติ ใจ และผ้นู ำที่พึงประสงคด์ ้านปญั ญา

ภาวะผ้นู ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๖๘

คำถามประจำบท

๑. ให้นิสิตอธิบายถึงความเป็นมาของพุทธธรรมสำหรับการสร้าง
ภาวะผู้นำว่ามีความเป็นมาอย่างไร โดยอธิบายให้เห็นถึงความเปล่ียนแปลง
อยา่ งชดั เจน

๒. ให้นิสิตหาบทสรุปนิยามของพุทธธรรมสำหรับการสร้างภาวะผู้
นำมาพอสังเขป

3. การสร้างภาวะผนู้ ำมีกระบวนการอย่างไร
4. เราจะนำหลกั พทุ ธธรรมไปสร้างภาวะผูน้ ำไดอ้ ยา่ งไร
5. ให้นิสติ วเิ คราะห์หลักการบูรณาการหลักธรรมในการสร้างภาวะผู้
นำมาดู

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชิงพทุ ธ ๑๖๙

อ้างอิงประจำบท

เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง. “การพัฒนาภาวะผู้นำวิถีพุทธในยุคโลกาภิวัตน์”.
วิทยานิพนธ์ปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐ
ประศาสนศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลย
อลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์, ๒๕๕๗.

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต). ภาวะผูน้ ำ. พิมพ์ครั้งท่ี ๘.
กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๙.

ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒๔๔/๕๓๒.
ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๑๗๕-๑๗๖/๑๑๒.
ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๘/๒๘๐.
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๑-๓๒๒.
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๑.
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕๙-๘๒/๘๐-๑๑๐.
ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๓๕/๑๑๐.
อง.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๒๐/๑๖๓.
อง.ฺ จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๓๒/๕๐-๕๑,๒๕๖/๓๗๓.
อง.ฺ สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๓๖-๓๗/๕๖-๕๗.
องฺ.สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๒๑/๓๑.

บทท่ี ๖
กระบวนการฝึกอบรมเพ่ือความเป็นผู้นำเชิงพุทธ

ขอบข่ายประจำบท
๑. ความเปน็ มาของการฝกึ อบรม
๒. แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการฝึกอบรมเพ่ือความเป็นผู้นำ

เชิงพทุ ธ
จุดประสงคก์ ารเรียน

๑. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของการ
ฝึกอบรม

๒. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับ
กระบวนการฝกึ อบรมเพอ่ื

ความเปน็ ผนู้ ำเชงิ พุทธ
กจิ กรรมการเรียนการสอน

๑. การจดั การเรยี นการสอนทางออ้ ม
๒. ใช้เทคนคิ การศกึ ษาเปน็ รายบคุ คล
๓. ใช้เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ
๔. ใช้เทคนคิ การสอนแบบบูรณาการ

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๗๑

6.๑ ความหมายของการฝึกอบรม
การพัฒนาบุคลากรด้วยการจัดโครงการฝึกอบรมนั้นจะส่งผล และ

เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับองค์การหรือหน่วยงานได้เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับ
ความรู้ความสามารถและทัศนคติที่มีต่องานของบุคลากรผู้รับผิดชอบจัดการ
ฝึกอบรมเป็นสำคัญ หากจะให้สามารถ ปฏิบัติงานด้านการบริหารงาน
ฝึกอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือไปจากจะต้องมีความรู้ ความ
เข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการ ฝึกอบรม และหลักการบริหารงานฝึกอบรมแต่
ละข้ันตอนแล้ว ผู้รับผิดชอบงานฝึกอบรมควรจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานทาง
สังคมศาสตร์ และ พฤติกรรมศาสตร์แขนงต่างๆ อย่างกว้างขวาง เช่น สังคม
วิทยา จิตวิทยา และศาสตร์การจัดการ ซึ่งจะช่วยเอ้ืออำนวยให้สามารถ
กำหนดหลักสูตร และโครงการฝึกอบรมได้ง่ายข้ึน มีความรู้เก่ียวกับหลักการ
บริหารบุคคลและการพัฒนาบุคคลด้วยวิธีการอ่ืนๆ นอกเหนือไปจากการ
ฝกึ อบรม มีความเข้าใจถึงหลักการเรยี นรู้ของผู้ใหญ่ เพ่ือใหส้ ามารถปฏิบัติต่อ
ผู้เข้าอบรมได้อย่างเหมาะสม ตลอดจน เข้าใจถึงหลักการวิจัยทาง
สังคมศาสตร์อยู่บ้างพอท่ีจะสามารถทำการสำรวจ เพ่ือรวบรวมและวิเคราะห์
ข้อมูลท่ีจำเป็น ในการบริหารงาน ฝึกอบรมได้ นอกจากนั้น ผู้ดำเนินการ
ฝึกอบรมยังจำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการส่ือสาร ทั้งด้านการเขียน
และการพูดในที่ชุมนุมชน ตลอดจนมีมนุษยสัมพันธ์ดีเพื่อให้สามารถ
ติดต่อสื่อสารกับกลุ่มผู้เข้าอบรม และประสานงานกับผู้เก่ียวข้องอ่ืนๆ ได้
อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ดว้ ย

นอกจากการมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว
ทัศนคติของผู้รับผิดชอบงานฝึกอบรม ยังเป็นส่ิงสำคัญท่ีมีผล กระทบต่อการ
ดำเนินงานฝึกอบรมอีกด้วย กล่าวคือ ผู้รับผิดชอบงานฝึกอบรมเองจะต้อง
เปน็ ผู้ท่ีเห็น ความสำคญั ของการฝกึ อบรม ต่อการพัฒนาบุคลากร มีความเห็น
สอดคลอ้ งกับหลักการและแนวคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม รวมท้ัง
ควรจะต้องมีความเชื่อว่า การฝึกอบรมนั้นเป็นเคร่ืองมือสำคัญที่ช่วยในการ
พัฒนาบุคลากร และนำไปสู่การปรับปรุงการบริหารได้ ทัศนคติเช่นน้ีจะ

ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๗๒

เกิดข้ึนได้ ก็ต่อเม่ือเขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ หลักการบริหารงาน
ฝึกอบรม ตลอดจนเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานท่ีเจ้าหน้าท่ีฝึกอบรม
ควรรดู้ ังกล่าวไวข้ ้างตน้ น่ันเอง ดังนนั้ เพ่อื ปพู ้ืนฐานให้แก่ผปู้ ฏบิ ตั ิงานด้านการ
ฝึกอบรม จึงจะขอเริ่มต้นคู่มือการจัดโครงการฝึกอบรม เพ่ือพัฒนาบุคลากร
ด้วยการกล่าวถึงแนวคิดและหลักการต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการฝึกอบรมและ
การพัฒนาบุคลากรเสยี กอ่ น

มีผู้ให้คำนิยามความหมายของการฝึกอบรมไว้อย่างมากมาย
ขน้ึ อยู่กับวา่ มองการฝึกอบรมจากแนวคิด (Approach) ใด เช่น

เมื่อมองการฝึกอบรม ในฐานะที่เป็นแนวทางในการพัฒนา
ข้าราชการตามนโยบายของรัฐ "การฝึกอบรม หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ท่ี
ใช้เพื่อช่วยให้ข้าราชการมีความรู้ ทักษะ และทัศนคติท่ีจำเป็นในการ
ปฏิบัติงาน ในหน้าท่ี และเพ่ือให้เกิด ความร่วมมือกันระหว่างข้าราชการใน
การปฏิบัติงานร่วมกันในองค์การ" หรือการฝึกอบรม คือ " การถ่ายทอด
ความรู้เพ่ือเพ่ิมพูนทักษะ ความชำนาญ ความสามารถ และทัศนคติในทางที่
ถูกที่ควร เพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานและภาระหน้าท่ีต่าง ๆ ในปัจจุบันและ
อนาคตเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพมากข้ึน และ..ไม่วา่ การฝกึ อบรม จะมีขึ้นท่ี
ใดก็ตามวัตถุประสงค์ก็คือ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน
หรอื เพิ่มขีดความสามารถในการจัดรปู ขององค์การ.."๑

ในระยะหลัง เรามักจะมองการฝึกอบรมในเชิงของกระบวนการ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมอันสืบเนื่องมาจากเรียนรู้ การฝึกอบรมจึงหมายถึง "
กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างมีระบบ เพ่ือให้บุคคลมีความรู้
ความเข้าใจ มีความสามารถที่จำเป็น และมีทัศนคติท่ีดีสำหรับการปฏิบัตงิ าน
อย่างใดอย่างหนึ่งของหน่วยงานหรือองค์การนั้น "๒ และการฝึกอบรม คือ "

๑ สมคิด บางโม,“เทคนิคการฝึกอบรม และการประชุม” (กรุงเทพฯ, วิทยา
พัฒน,์ 2545), หน้า ๖๗.

๒ เอกสารประกอบการบรรยายเร่ือง "นโยบายฝึกอบรม" , การฝึกอบรม
หลักสูตรเจ้าหน้าท่ีฝึกอบรม,ฝ่ายฝึกอบรม, (กองวิชาการ, สำนักงาน ก.พ., 2520),
หนา้ ๒๓.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พทุ ธ ๑๗๓

กระบวนการในอันท่ีจะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความรู้ ความเข้าใจ
ทัศนคติ และความชำนาญ ในเร่ืองหน่ึงเรื่องใด และเปลี่ยนพฤติกรรมไปตาม
วตั ถปุ ระสงค์ทีก่ ำหนดไว้๓

จะเห็นได้ว่า ความหมายของการฝึกอบรมมีมากมาย ขึ้นอยู่กับ
ว่าจะพิจารณาจากแนวคิด (Approach) ใดที่เกี่ยวกับ การฝึกอบรม ทั้งน้ี มี
แนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ทเี่ กี่ยวกับการฝกึ อบรม ดงั ตอ่ ไปน้ี

6.๒ การฝกึ อบรมกับการศึกษาและการพัฒนาบุคคล
ท้ังการศึกษา การพัฒนาบุคคล และการฝึกอบรมล้วนแต่มี

ลักษณะที่สำคัญๆ คล้ายคลึงกัน และเกี่ยวข้องกันจนดูเหมือน จะแยกออก
จากกันได้ยาก แต่ความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างท้ังสามเร่ืองดังกล่าว
จะช่วยทำให้สามารถเข้าใจถึงลักษณะของกระบวนการฝึกอบรม ตลอดจน
บทบาทและหนา้ ทข่ี องผ้รู ับผดิ ชอบจัดการฝกึ อบรมเพ่ิมมากข้ึน

การศึกษาเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างมีระบบ
เพอ่ื ให้บุคคลมีความรู้ ทักษะ ทัศนคติในเรื่องท่วั ๆไป อย่างกวา้ งๆ โดยมุ่งเน้น
การสร้างคนให้มีความสมบูรณ์ เพ่ือให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี
และสามารถปรับตัว ให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมได้เป็นสำคัญ ถึงแม้ว่า
การศึกษายุคปัจจุบันจะเน้นให้ความสำคัญแก่ตัวผู้เรียนเป็นหลัก (Student-
Centered) ท้ังในด้านของการจดั เน้ือหาการเรยี นรู้ ระดบั ความยากง่ายและ
เทคนิควิธีการเรียนรู้ เพ่ือให้ตรงกับความสนใจ ความต้องการ ระดับ
สติปัญญา และความสามารถของผู้เรียนก็ตาม การศึกษาโดยทั่วไปก็ยังคง
เป็นการสนองความต้องการของบุคคล ในการเตรียมพร้อม หรือสร้างพื้นฐาน
ในการเลือกอาชีพมากกว่า การมุ่งเน้นให้นำไปใช้ในการปฏิบัตงิ านใดงานหน่ึง
นอกจากน้ัน การศึกษาเป็นเร่ืองท่ีสามารถกระทำได้ตลอดชีวิต ( Lifelong
Education) ไม่จำกดั ระยะเวลาอีกด้วย

๓ เอกสารประกอบการบรรยายเร่ือง “แนวความคิดและหลักการเกี่ยวกับ
การฝึกอบรม”, การฝึกอบรมหลักสตู รความรู้พน้ื ฐานด้านการฝกึ อบรม, (สถาบนั พัฒนา
ขา้ ราชการพลเรือน, สำนกั งานก.พ. 2533), หนา้ ๑๑๒.

ภาวะผนู้ ำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๗๔

ส่วนคำว่า การพัฒนาบุคคล นั้น นักวิชาการด้านการฝึกอบรม
บางท่านเห็นว่าเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกันกับการฝึกอบรม โดยกล่าวว่า การ
ฝึกอบรม เป็นการเสริมสร้างให้เกิดการเรียนรู้ สำหรับบุคลากรระดับ
ปฏิบัติการ เพอ่ื ให้สามารถทำงานอยา่ งใด อย่างหนึง่ ได้ตามจดุ ประสงคเ์ ฉพาะ
อย่าง ในขณะที่การพัฒนาบุคคลนั้น มุ่งเสริมสร้างให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่อง
ท่ัวๆไป อย่างกว้างๆ จึงเป็นการฝึกอบรมสำหรับบุคลากรระดับบริหารเป็น
ส่วนใหญ่ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วบุคลากรทั้งสองระดับก็ต้องมีท้ังการฝึกอบรม
และการพัฒนาบุคลากรรวมๆกันไป เพียงแต่ว่าจะเน้นหนักไปในทางใด
เท่านนั้ ๔

ส่วน เดน่ พงษ์ พลละคร เห็นว่าคำวา่ การพัฒนาบุคคล เป็นคำที่
มีความหมายกว้างมาก กล่าวคือ กิจกรรมใดท่ีจะ มีส่วน ทำให้พนักงานมี
ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และทัศนคตทิ ี่ดขี นึ้ สามารถที่จะปฏบิ ัติหนา้ ที่ ท่ี
ยากข้ึนและมีรับผิดชอบ ท่ีสูงขึ้น ในองค์การได้แล้ว เรียกว่า เป็นการพัฒนา
บุคคลทั้งนั้น ซ่ึงหมายความรวมถึงการให้การศึกษาเพิ่มเติม การฝึกอบรม
การสอนงาน หรือ การนิเทศงาน (Job Instruction) การสอนแนะ
(Coaching) การให้คำปรึกษาหารือ (Counseling) การมอบหมาย หน้าที่ให้
ทำเป็นครั้งคราว (Job Assignment) การให้รักษาการแทน (Acting) การ
โยกย้ายสับเปลี่ยนหน้าท่ีการงานเพ่ือให้โอกาสศึกษางานที่แปลกใหม่ หรือ
การได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ และประสบการณ์จากหน่วยงานอ่ืน (Job
Rotation) เปน็ ต้น๕

จากความหมายของการพัฒนาบุคคลดังกล่าวข้างต้น ทำให้
เข้าใจได้ทันทีว่าการฝึกอบรมเป็นเพียงวิธีการหน่ึง หรือ ส่วนหน่ึงของการ
พัฒนาบุคคลเท่านั้น เพราะการพัฒนาบุคคลเป็นเรื่องซ่ึงมีจุดประสงค์และ

๔ เอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง "กระบวนการฝึกอบรม”, การฝึกอบรม
หลักสตู รความรูพ้ ้ืนฐานดา้ นการฝกึ อบรม, (สถาบันพัฒนาขา้ ราชการพลเรือน, สำนกั งาน
ก.พ. 2533), หนา้ ๔๓.

๕ สุ ป ราณี ศ รีฉั ต ราภิ มุ ข , ก ารฝึ ก อ บ รม แ ล ะก ารพั ฒ น าบุ ค ค ล ,
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2524), หน้า ๕๔.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพุทธ ๑๗๕

แนวคิดกว้างขวางกว่าการฝึกอบรม ดงั ที่มีผู้นิยามว่า การฝึกอบรม คือ " การ
พัฒนาบุคลากรให้มี ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติ ที่เหมาะสมในการ
ปฏิบัติงาน จนกระทั่งเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในการปฏิบัติงานไปใน
ทิศทางท่ตี ้องการ "๖

นอกจากนั้น การฝึกอบรมเพ่ือพัฒนาบุคคลนั้น เป็นเร่ืองท่ีมี
วตั ถปุ ระสงค์เฉพาะเจาะจง เน้นถงึ การเพิ่มประสิทธภิ าพ ของงานซึง่ ตัวบุคคล
นน้ั ปฏิบตั ิอยู่ หรอื จะปฏิบัติต่อไปในระยะยาว เน้ือหาของเรื่องทีฝ่ กึ อบรมอาจ
เป็น เร่ืองที่ตรงกับความต้องการ ของตัวบุคคลนั้นหรือไม่ก็ได้ แตจ่ ะเป็นเรื่อง
ทม่ี งุ่ เน้นใหต้ รงกับงานท่ีกำลงั ปฏิบัติอยูห่ รือกำลังจะได้รบั มอบหมายใหป้ ฏิบตั ิ
การฝึกอบรม จะต้องเป็นเร่ืองที่จะต้องมีกำหนดระยะเวลาเร่ิมต้น และส้ินสุด
ลงอย่างแน่นอน โดยมีจุดประสงค์ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง พฤติกรรม ซึ่ง
สามารถประเมินผลได้จากการปฏิบัติงานหรือผลงาน (Performance)
หลังจากได้รับการฝึกอบรม ในขณะที่การศึกษา เป็นเรื่องระยะยาว และอาจ
ประเมนิ ไมไ่ ดใ้ นทนั ที

6.3 ประเภทของการฝกึ อบรม
การฝึกอบรมบุคลากรมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท และสามารถ

จำแนกตามเกณฑต์ ่าง ๆ ได้ ดงั ตอ่ ไปนี้๗
๑. แหล่งของการฝึกอบรม เกณฑ์ประเภทน้ีบ่งถึงแหล่งของ

ผู้รับผดิ ชอบการฝึกอบรม ซึ่งแบง่ ได้เป็นสองลักษณะคือ
๑.๑ การฝึกอบรมภายในองค์กร (in-house training) การฝึกอบรม

แบบนี้เป็นสิ่งท่ีองค์การจัดการขึ้นภายในสถานท่ีทำงาน โดยหน่วยฝึกอบรม

๖ เด่นพงษ์ พลละคร, “การพฒั นาผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชา ", วารสารเพิ่มพลผลิต, ปี
ท่ี 28, (ธันวาคม 2531-มกราคม 2532) : 20-25

๗ เอกสารประกอบการฝึกอบรมเร่ือง “การบริหารงานฝึกอบรม” ,การ
ฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงาน ฝึกอบรม, (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์,
2523), หน้า ๔๒.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชงิ พุทธ ๑๗๖

ขององค์การจะเป็นผู้ออกแบบและพัฒนาหลักสูตร กำหนดตารางเวลา และ
เชิญผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภายในและภายนอกองค์การมาเป็นวิทยากร การ
ฝึกอบรมประเภทนี้มีข้อดีตรงท่ีว่า องค์การสามารถกำหนดหลักสูตรการ
ฝึกอบรม ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพการดำเนินงานขององค์การได้
อย่างเต็มที่ แต่ข้อเสียก็คือ องค์การอาจจะต้องทุ่มเททรัพยากรท้ังในด้าน
กำลงั คน และเงนิ ทองใหแ้ ก่การฝึกอบรมประเภทน้ีมมี ากพอสมควร เนื่องจาก
จำเป็นต้องเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการท้ังหมด ต้ังแต่การออกแบบและ
พัฒนาหลักสูตร การจัดหาวิทยากร การจัดการด้านต่าง ๆ รวมทั้งการ
ประเมินผล

๑.๒ การซ้อื การอบรมจากภายนอก การฝึกอบรมประเภทนี้มิไดเ้ ป็น
ส่ิงท่ีองค์การจัดข้ึนเอง แต่เป็นการจ้างองค์การฝึกอบรมภายนอกให้เป็น
ผ้จู ัดการฝึกอบรมแทน หรืออาจส่งเป็นพนักงานเข้ารับการฝึกอบรม ซ่ึงจัดขึ้น
โดยองค์การภายนอก องค์การท่ีรับจัดการฝึกอบรมให้แก่ผู้อ่ืนมีอยู่ด้วยกัน
หลายองค์การ ตัวอย่างเช่น สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
(PMAT) ศูนย์เพ่ิมผลผลิตแห่งประเทศไทย สามคมการจัดการธุรกิจแห่ง
ประเทศไทย สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย สามคมส่งเสริมเทคโนโลยี
(ไทย – ญี่ปุน่ ) และกองฝึกอบรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปน็ ต้น
การซ้ือการฝึกอบรมจากภายนอก มักจะเป็นที่นิยมขององค์การท่ีมีขนาดเล็ก
มพี นกั งานไมม่ าก และไมม่ หี นว่ ยฝกึ อบรมเป็นของตนเอง

๒. การจัดประสบการณ์การฝึกอบรม เกณฑ์ข้อนี้บ่งบอกว่าการ
ฝึกอบรมได้รับการจัดข้ึนในขณะที่ผู้รับการอบรมกำลังปฏบิ ัตงิ านอยดู่ ว้ ย หรือ
หยุดพักการปฏิบัติงานไวช้ ัว่ คราว เพ่อื รบั การอบรมในห้องเรียน

๒.๑. การฝึกอบรมในงาน (on-the-job training) การฝึกอบรม
ประเภทนี้จะกระทำโดย การให้ผู้รับการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติงานจริง ๆ ใน
สถานที่ทำงานจริง ภายใต้การดูแลเอาใจใส่ของพนักงานซ่ึงทำหน้าท่ีเป็นพี่
เล้ียง โดยการแสดงวิธีการปฏิบัติงานพร้อมทั้งอธิบายประกอบ จากนั้นจึงให้
ผรู้ ับการอบรมปฏิบัติตาม พ่เี ลี้ยงจะคอยดูแลให้คำแนะนำและช่วยเหลือหาก
มปี ญั หาเกิดขึน้

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๑๗๗

๒.๒ การฝึกอบรมนอกงาน (off-the- job training) ผู้รับการ
ฝึกอบรมประเภทนี้จะเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ ใสสถานที่ฝึกอบรมโดยเฉพาะ และ
ต้องหยุดพักการปฏิบัติงานภายในองค์การไว้เป็นเวลาชั่วคราว จนกว่าการ
ฝึกอบรมจะเสร็จสนิ้

๓. ทักษะที่ต้องการฝึก หมายถึง สิ่งท่ีการฝึกอบรมต้องการเพ่ิมพูน
หรอื สร้างขึ้นในตวั ผูร้ ับการอบรม

๓.๑ การฝึกอบรมทักษะด้านเทคนิค (technical skills training)
คือ การฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้าน
เทคนิค เช่น การบำรุงรักษาเครื่องจักร การวิเคราะห์สินเช่ือ การซ่อมแซม
รถยนต์ เป็นต้น

๓.๒ การฝึกอบรมทักษะด้านการจัดการ (managerial skills
training) คอื การฝกึ อบรมเพื่อเพ่ิมพูนความรู้ และทักษะดา้ นการจดั การและ
บริหารงานโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้รับการฝึกอบรมมักจะมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ
หรือหวั หนา้ งานขององคก์ าร

๓.๓ การฝึกอบรมทักษะด้านการติดต่อสัมพันธ์ (interpersonal
skills training) การฝึกอบรมประเภทนี้มุ่งเน้นให้ผู้รับการฝึกอบรม มีการ
พัฒนาทักษะในด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งการมีสัมพันธภาพท่ีดีกับ
เพอื่ นรว่ มงาน

๔. ระดับช้ันของพนักงานที่เข้ารับการฝึกอบรม หมายถึง ระดับ
ความรบั ผดิ ชอบในงานของผู้เข้ารับการอบรม

๔.๑ การฝกึ อบรมระดับพนักงาน ปฏิบัติการ (employee training)
คือ การฝึกอบรมที่จัดให้แก่พนักงานระดับปฏิบัติการ ซึ่งทำหน้าท่ีผลิตสินค้า
หรือให้บริการแก่ลูกค้าโดยตรง โดยมักจะเป็นการฝึกอบรมท่ีเกี่ยวข้องกับ
ลักษณะและขั้นตอนของการปฏิบัติงาน เช่น การซ่อมแซมและการ
บำรงุ รักษาเครอื่ งจกั ร การโต้ตอบทางโทรศัพท์ หรือ เทคนคิ การขาย เป็นตน้

๔.๒ การฝึกอบรมระดับหัวหน้างาน (supervisory training) คือ
การฝึกอบรมที่มุ่งเนน้ กลุ่มพนักงานท่ีดำรงตำแหน่งเป็นผ้บู รหิ ารระดับต้นของ

ภาวะผ้นู ำทางการจดั การเชงิ พุทธ ๑๗๘

องค์การโดยส่วนใหญ่แล้ว การฝึกอบรมประเภทน้ีมักจะมีหลักสูตรท่ีให้
ความรูค้ วามเข้าใจเบือ้ งต้นเก่ยี วกับการบรหิ ารงาน

๔ .๓ ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ร ะ ดั บ ผู้ จั ด ก า ร (managerial training)
กลุ่มเป้าหมายของการฝึกอบรมประเภทน้ีคือ กลุ่มพนักงานระดับผู้จัดการ
ฝ่ายหรอื ผูจ้ ัดการระดับกลางขององค์การ เนื้อหาของการฝึกอบรมแบบนีก้ ็จะ
มุ่งเน้นให้ผู้รับการฝึกอบรม มีความรู้ความเข้าใจในหลักการจัดการและ
บริหารงานที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้สามารถบริหารงานและจัดการคน
ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ

๔.๔ การฝึกอบรมระดับผู้บริหารช้ันสูง (executive training) การ
ฝึกอบรมประเภทน้ีมุ่งเน้นให้ผู้รับการอบรมซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ
องค์การ ผู้อำนวยการฝ่าย กรรมการบริหาร ประธานและรองประธานบริษัท
มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซงึ้ เกยี่ วกับการบริหารองค์การ เช่น การวางแผน
และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (strategic planning and decision-making)
หรอื การพฒั นาองคก์ าร (organizational development)๘

6.4 บทบาทและประโยชน์ของการฝกึ อบรม
การฝึกอบรมบุคลากรเป็นเครื่องมือของการบริหารชนิดหน่ึง ซ่ึง

ได้รับการจัดข้ึนเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์การ
ดังนั้น การฝึกอบรมบุคลากรจึงควรจะตอบสนองต่อเป้าหมายขององค์การ
หากการฝึกอบรมไม่สามารถจะสนับสนุนให้องค์การบรรลุเป้าหมายใดๆแล้วก็
ไม่มีประโยชน์อันใดท่ีจะจัดการฝึกอบรมข้ึนมา กล่าวโดยท่ัวไปแล้ว การ
ฝึกอบรมมบี ทบาทในการปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพขององค์การได้ในหลายๆทาง
ดว้ ยกนั ดงั ตอ่ ไปนี้๙

๘ ธนู กุลชล, เอกสารประกอบการบรรยาย เร่ือง “มนุษย์พฤติกรรมและการ
เรียนรู้ในการฝึกอบรม ",การฝึกอบรมหลักสูตร การบริหารงานฝึกอบรม, (สถาบัน
บัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์, 2523), หน้า ๕๑.

๙ Johnson, 1976; McGehee & Thayer, 1961), PP. 32-54.

ภาวะผู้นำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๗๙

๑. ช่วยพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเจตคตขิ องพนักงาน
การฝึกอบรมจะช่วยปรับปรงุ ให้ พนกั งานมีคุณสมบตั ทิ ่ีจำเปน็ ต่อการทำงานดี
ข้นึ กวา่ เดิม อนั จะส่งใหผ้ ลผลิตสูงขน้ึ ท้งั ในดา้ นปรมิ าณและคุณภาพ

๒. ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างแรงงาน โดยการลดปริมาณเวลาที่
ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการ แต่ยังได้สินค้าหรือบริการท่ีมีปริมาณและ
คุณภาพคงเดิม นอกจากน้ัน ยังลดเวลาท่ีใช้ในการพัฒนาพนักงานท่ีขาด
ประสบการณ์ เพ่ือให้มผี ลการปฏิบตั ิงานอยใู่ นระดับทีน่ ่าพงึ พอใจ

๓. ช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยการลดปริมาณสินค้าท่ีผลิตอย่าง
ไม่ไดม้ าตรฐาน

๔. ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการบริหารบุคคล โดยการลดอัตราการ
ลาออกจากงาน การขาดงาน การมาทำงานสาย อุบัติเหตุ การร้องทุกข์
และสง่ิ อนื่ ๆทีบ่ ่นั ทอนประสทิ ธิภาพในการทำงาน

๕. ช่วยลดค่าใชจ้ ่ายในการให้บริการแก่ลูกค้า โดยการช่วยปรับปรุง
ระบบการใหบ้ ริการหรือส่งสินคา้ ใหแ้ ก่ลกู ค้า

๖. ช่วยพัฒนาพนักงานเพ่ือให้เป็นกำลังทดแทนในอนาคต การ
ฝึกอบรมบุคคลากรจะช่วยให้องค์การมีกำลังทดแทนได้ทันท่วงที หากมี
พนักงานบางสว่ นเกษียณ หรอื ลาออกจาการทำงาน

๗. ช่วยตระเตรียมพนักงานก่อนการก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งหน้าท่ีที่
สงู ขึ้นการฝึกอบรมจะช่วยให้พนักงานท่ีได้รับการเลื่อนตำแหน่งใหม่ มีความ
พรอ้ มและสามารถปรบั ตัวใหเ้ ขา้ กับตำแหน่งหนา้ ที่ใหมไ่ ด้อยา่ งเหมาะสม

๘. ช่วยขจัดความล้าหลังด้านทักษะ เทคโนโลยี วิธีการทำงาน
และการผลิต การฝึกอบรมจะช่วยให้พนักงานขององค์การมีความรู้ ทักษะ
และความสามารถท่ีทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก และช่วยให้องค์การ
สามารถแขง่ ขันกับผู้อื่นได้

๙. ช่วยให้การประกาศใช้นโยบายหรือข้อบังคับขององค์การ ซึ่ง
ไดร้ บั การไขหรือร่างข้นึ มาใหมเ่ ป็นไปอย่างราบรืน่

ภาวะผู้นำทางการจดั การเชงิ พทุ ธ ๑๘๐

๑๐. ช่วยปรับปรุงและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานใน
องค์การรวมท้ังช่วยเพ่ิมพูนขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน
ด้วย

6.5 ปัจจยั ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อความสำเร็จของการฝกึ อบรม
ความสำเร็จและประสิทธิผลของโครงการฝึกอบรมขึ้นอยู่กับปัจจัย

หลายประการ ดังตอ่ ไปนี๑้ ๐
ประการแรก องค์การจะต้องถือว่าการฝึกอบรมเป็นหนทาง

(means) ท่ีจะนำไปสู่เป้าหมาย (end) การฝึกอบรมโดยตัวของมันเองมิได้
เป็นจุดสุดท้ายท่ีวาดหวังไว้แต่ประการใด หากผู้บริหารขององค์การคิดว่า
หน่วยฝึกอบรมได้รับการจัดต้ังขึ้นเพื่อฝึกอบรมพนักงานเท่าน้ัน โดยมิได้มี
จุดประสงค์ใดมากไปกว่านั้นแล้ว การฝึกอบรมก็เป็นพียงจุดสุดท้ายเท่านั้น
ซึ่งที่จริงแล้ว หน่วยฝึกอบรมก็มีวัตถุประสงค์ของการทำงานเช่นเดียวกับ
หน่วยอื่น ๆ ขององค์การ เช่น หน่วยวิจัยและพัฒนา (research &
development unit)เป็นต้น น่ันก็คือ การปรับปรุงประกันเท่าน้ันเอง
กล่าวคือ หน่วยฝึกอบรมกระทำโดยการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ และ
ความสามารถของพนักงาน แต่หน่วยวิจัยและพัฒนากระทำโดยการ
สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆข้นึ มา

ดังนั้น ตราบใดที่ผู้บริหารยังไม่มองว่า การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือ
ชนิดหน่ึงของการเพิ่มพูนประสิทธิภาพขององค์การแล้ว การฝึกอบรมก็
อาจจะเป็นเพียงของเล่นช้ินหน่ึงที่จำเป็นต้องมีไว้อวดผู้อื่นเท่านั้นประการที่
สอง ฝ่ายบริหารขององค์การจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการโครงการ
ฝึกอบรม ถึงแม้ว่าพนกั งานจะสามารถเรยี นรู้งานไดเ้ องจากการได้ปฏบิ ตั ิงาน
จริง แต่ประสิทธิภาพของการเรียนรู้แบบนี้ จะไม่ดีเท่ากับการที่พวกเขา
ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ ดังน้ัน ฝ่ายบริหารขององค์การจะต้อง
เปน็ ผรู้ ับผดิ ชอบในการจดั การและพัฒนาการฝกึ อบรมข้นึ มา

๑๐ Ibid, PP. 55-56.

ภาวะผนู้ ำทางการจัดการเชิงพทุ ธ ๑๘๑

ประการท่ีสาม ฝ่ายบริหารขององค์การจะต้องมีความรู้และทักษะ
เกี่ยวกับการพัฒนาและการจัดการโครงการฝึกอบรม ถ้าหากไม่มีผู้ใดท่ีมี
ความสามารถในการจัดการฝึกอบรมใด ๆ หากผู้ที่ปฏิบัติงานดีมิได้รับ
ผลตอบแทนและความก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานท่ีดีกว่าผู้ท่ีปฏิบัติงานไม่ดี
ดังน้ัน ฝ่ายบริหารจะต้องจัดโครงสร้างและระบบขององค์การเพื่อให้
พนักงานรู้สึกว่าการฝึกอบรมมีความหมายต่อความก้าวหน้าในอาชพี การงาน
ของพวกเขา

กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนความสำเร็จของ
การฝึกอบรมท้ังสี่ประการที่กล่าวมาข้างต้นน้ัน ล้วนแต่มีความสัมพันธ์อย่าง
แนบแน่นกับบทบาทของฝ่ายบริหารขององค์การท้ังสิ้น กล่าวคือ ฝ่าย
บริหารจะต้องให้ความสำคัญและมีความมุ่งม่ันต่อการสนับสนุนงานฝึกอบรม
กุญแจสำคัญของความสำเร็จขององค์การคือคุณภาพของผู้ปฏิบัติงาน ฝ่าย
บริหารขององค์การสามารถจะใช้การฝึกอบรม เป็นเคร่ืองมือในการเพ่ิมพูน
คุณภ าพของบุคคลากรได้เป็นอย่างดีหากมีการจัดการฝึกอบ รมอย่างเป็น
ระบบและสอดคลอ้ งกบั เปา้ หมายขององค์การ

6.6 การจดั การฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
การจัดการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ ( A systematic approach to

training) อิงอยู่บนแนวคิดแบบระบบ (the systems approach) ซ่ึงมี
สาระสำคญั คือ๑๑

ประการแรก ระบบของการฝึกอบรมเป็นเพียงระบบย่อยระบบ
หนง่ึ ขององค์การ และ
ปฏิสัมพันธ์ ( Interaction) กับระบบอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น
นโยบายขององค์การในด้านการคัดเลือกบุคคล หรือการจัดการ ย่อมมี
อทิ ธิพลอย่างมากตอ่ การจัดการฝึกอบรม

๑๑ อุดม ทุมโฆสิต, ศ.ดร. , การจัดการ, (กรุงเทพมหานคร : คณะรัฐประศาสน
ศาสตร์ สถาบนั บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร,์ ๒๕๔๔), หน้า ๗๖.


Click to View FlipBook Version