พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 93 ติวิธาปิเอตา วิรัติแม้ทั้ง ๓ ประการเหล่านั้น ปจฺเจกํ แต่ละอย่าง ติวิธา แยก ออกเป็น ๓ ประการ สมฺปตฺตสมาทานสมุจฺเฉทวิรติวเสน คือ สัมปัตตวิรัติ ๑ สมาทานวิรัติ ๑ สมุจเฉทวิรัติ ๑ ฯ วิรติโย นาม ที่ชื่อว่าวิรัติ ยถาวุตฺตทุจฺจริเตหิ วิรมณโต เพราะงดเว้นจากทุจริตตามที่กล่าวแล้ว ฯ กรุณา ที่ชื่อว่ากรุณา กโรติ ปรทุกฺเข สติสาธูน หทยเขท ชเนติกิรติวา วิกฺขิปติปรทุกฺข กิณาติวา ต หึสติกิริยติวา ทุกฺขิเตสุ ปสาริยตีติเพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ย่อมกระท�ำ คือ เมื่อทุกข์ของผู้อื่นมีอยู่ ย่อมยังความล�ำบากใจให้เกิดแก่สาธุชนทั้งหลายหรือเรี่ยราย ได้แก่ กระจายทุกข์ของผู้อื่นหรือเกลี่ย คือก�ำจัดทุกข์ของผู้อื่นนั้น หรือย่อมคลี่คลาย คือปลดเปลื้อง ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ ฯ สา กรุณาเจตสิกนั้น ปรทุกฺขาปนยนกามตาลกฺขณา มีลักษณะคือความประสงค์จะบ�ำบัดทุกข์ของผู้อื่น ฯ หิ ความจริง ตาย ปรทุกฺข อปนิยตุ วา กรุณาเจตสิกนั้น จะน�ำทุกข์ของผู้อื่น ออกไปได้ก็ตาม มา วา น�ำออกไปไม่ได้ก็ตาม สา กรุณาเจตสิกนั้น ปวตฺตติ ย่อมเป็นไป ตทากาเรเนว โดยอาการคือความบ�ำบัดทุกข์ของผู้อื่นนั้นนั่นเอง ฯ มุทิตา ที่ชื่อว่ามุทิตา โมทนฺติ เอตายาติ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นเครื่องชื่นชม แห่งเหล่าชน ฯ สา มุทิตาเจตสิกนั้น ปรสมฺปตฺติอนุโมทนลกฺขณา มีลักษณะ พลอยยินดีสมบัติของผู้อื่น ฯ (เทฺว เจตสิกา) กรุณาเจตสิกและมุทิตาเจตสิก ทั้ง ๒ ประการ อปฺปมาณา ชื่อว่าหาประมาณมิได้ อปฺปมาณสตฺตารมฺมณตฺตา เพราะเป็นธรรมชาติมีสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์ ฯ ตา เอว กรุณาเจตสิกและ มุทิตาเจตสิกที่หาประมาณมิได้เหล่านั้นนั่นแหละ อปฺปมฺ า ชื่อว่าอัปปมัญญาเจตสิก ฯ (โจทนา) ถาม อิติ ว่า จ ก็ (อนุรุทฺโธ) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วกฺขติ จักกล่าว อิติ ว่า จตสฺโส อปฺปมฺ า อัปปมัญญาเจตสิกมี ๔ ประการ ดังนี้ นนุ มิใช่หรือ ปน แต่ กสฺมา เพราะเหตุไร เอตฺถ ในอธิการว่าด้วยการแสดง เจตสิกธรรมตามสภาวะนี้ (อนุรทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ เทฺวเยว วุตฺตา จึงกล่าวอัปปมัญญาไว้เพียง ๒ ประการเท่านั้น ฯ (วิสชฺชนา) ตอบ อิติ ว่า อโทสตตฺรมชฺฌตฺตตาหิ เมตฺตุเปกฺขาน คหิตตฺตา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า
94 ปริเฉทที่ ๒ ทรงรวมเมตตาเข้ากับอโทสเจตสิก และอุเบกขาเข้ากับตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก ฯ หิความจริง อโทโสเยว อโทสเจตสิกนั่นแหละ สตฺเตสุ หิตชฺฌาสยวสปฺปวตฺโต ที่เป็นไปด้วยอ�ำนาจแห่งอัธยาศัยเกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลาย เมตฺตา นาม ชื่อว่าเมตตา ฯ ตตฺรมชฺฌตฺตตาว ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกนั่นเอง เตสุ ปฏิฆานุนยวูปสมวสปฺปวตฺตา ที่เป็นไปด้วยอ�ำนาจความสงบระงับความขัดเคือง และความยินดี (ความยินดีและ ความยินร้าย) ในหมู่สัตว์เหล่านั้น อุเปกฺขา นาม ชื่อว่าอุเบกขา ฯ เตน เพราะ เหตุนั้น โปราณา ท่านพระโบราณจารย์ทั้งหลาย อาหุ จึงกล่าวไว้ว่า หิความจริง ยสฺมา เพราะ อพฺยาปาเทน เมตฺตา คหิตา เมตตา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงระบุ ด้วยอโทสเจตสิก ตตฺรมชฺฌตฺตตาย จ อุเปกฺขา คหิตา และอุเบกขา ทรงระบุ ด้วยตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก ตสฺมา ฉะนั้น น คหิตา ท่านพระอนุรุทธาจารย์ จึงไม่ระบุ อุโภ เมตตาและอุเบกขา ทั้ง ๒ ประการนั้นไว้ในที่นี้ ฯ ปกาเรน ชานาติ ธรรมชาติใด ย่อมรู้โดยอาการทั่วถึง อนิจฺจาทิวเสน อวพุชฺฌติได้แก่ รู้ชัดด้วยอ�ำนาจไตรลักษณ์ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น อิติ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ปฺ า ชื่อว่าปัญญา ฯ สา เอว ปัญญานั้นนั่นแล อินฺทฺริยํ ชื่อว่า เป็นอินทรีย์ ยถาสภาวาวโพธเน อธิปจฺจโยคโต เพราะประกอบด้วยความเป็นใหญ่ ในการรู้ชัดตามสภาวะ อิติ เพราะเหตุนั้น ปฺ ินฺทฺริยํ จึงชื่อว่าปัญญินทรีย์ ฯ (ปุจฺฉา) ถาม อิติ ว่า อถ เมื่อเป็นเช่นนั้น สฺ าวิฺ าณปฺ าน กินฺนานากรณํ สัญญา วิญญาณ และปัญญา ท�ำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ฯ (วิสชฺชนา) ตอบ อิติ ว่า ตาว ล�ำดับแรก สฺ า สัญญา นีลาทิวเสน สฺ ชานนมตฺต กโรติย่อมท�ำหน้าที่ เพียงหมายรู้ ด้วยอ�ำนาจอารมณ์มีสีเขียวเป็นต้น (ปน) (แต่) น สกฺโกติ ไม่สามารถ ลกฺขณปฏิเวธมฺปิกาตุํ จะท�ำแม้ความรู้แจ้งไตรลักษณ์ได้ ฯ วิฺ าณํ วิญญาณ ลกฺขณปฏิเวธมฺปิ สาเธติย่อมให้ส�ำเร็จแม้ความรู้แจ้งไตรลักษณะได้ ปน แต่ น สกฺโกติ ไม่สามารถ อุสฺสุกฺเกตฺวา มคฺค ปาเปตุํ จะให้ผ่านไปถึงแล้วบรรลุ มรรคได้ ฯ ปน ส่วน ปฺ า ปัญญา ติวิธมฺปิ กโรติย่อมท�ำหน้าที่ได้แม้
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 95 ทั้ง ๓ อย่าง ฯ เอตฺถ ในข้อนี้ กหาปณาวโพธนํ มีการสังเกตรู้กหาปณะ พาลคามิกเหรฺ ิกานํ ของเด็ก คนชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่การเงิน นิทสฺสนํ เป็นตัวอย่าง อิติ แล ฯ จ ก็ เอตฺถ ในบรรดาสัญญา วิญญาณ และปัญญา ๓ ประการนี้ าณวิปฺปยุตฺตสฺ าย อาการคฺคหณวเสน อุปฺปชฺชนกาเล ในเวลาที่สัญญาเป็นญาณวิปปยุตเกิดขึ้นด้วยอ�ำนาจก�ำหนดรู้อาการ วิฺ าณํ วิญญาณ อพฺโพหาริกํ ย่อมเป็นอัพโพหาริก (มีแต่ไม่ปรากฏ) ฯ เสสกาเล เอว ในเวลาที่เหลือนั่นแล วิฺ าณํ วิญญาณ พลวํ ย่อมมีพลัง ฯ ปน ส่วน าณ สมฺปยุตฺตา อุโภปิ สัญญากับวิญญาณแม้ทั้ง ๒ ประการ ที่เป็นญาณสัมปยุต ตทนุคติกา โหนฺติย่อมมีคติคล้อยตามปัญญานั้น ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อมความ อิติ ว่า สพฺพถาปิแม้โดยประการทั้งปวง ปฺ จวีสติ โสภณเจตสิกมี ๒๕ ประการ ฯ เตรสฺ สมานาติอาทีหิด้วยค�ำว่า เตรสญฺสมานา เป็นต้น วุตฺตาน สงฺคโห เป็นการรวบรวมเจตสิกธรรมที่กล่าวไว้ ตีหิราสีหิโดยราศี ๓ ฯ อวิยุตฺตา ธรรมเหล่าใดไม่พราก จิตฺเตน สห กับจิต เจตสิกาติ วุตฺต โหติ มีค�ำที่ท่านกล่าวอธิบายว่า เจตสิกธรรม อิติ เพราะเหตุนั้น จิตฺตาวิยุตฺตา ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าจิตตาวิยุตตา ฯ อุปฺปาโท สภาวะที่ชื่อว่าอุปปาทะ อุปฺปชฺชตีติ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ย่อมเกิดขึ้น ฯ จิตฺตเมว อุปฺปาโท อุปปาทะ คือจิต จิตฺตุปฺปาโท ชื่อว่าจิตตุปปาทะ (จิตตุปบาท) ฯ ปน ส่วน อฺ ตฺถ ในที่อื่น สสมฺปยุตฺต จิตฺตํ จิตพร้อมทั้งสัมปยุตตธรรม วุจฺจติ ท่านเรียก อิติ ว่า จิตฺตุปฺปาโท จิตตุปปาทะ อุปฺปชฺชติ จิตฺต เอเตนาติ อุปฺปาโท ธมฺมสมูโห จิตฺตฺ จ ต อุปฺปาโท จาติจิตฺตุปฺปาโทติกตฺวา เพราะอธิบายว่า จิตย่อมเกิด ขึ้นด้วย หมวดธรรมนี้ เพราะเหตุนั้น หมวดธรรมนั้น จึงชื่อว่าอุปปาทะ ได้แก่ หมู่ธรรม จิตนั้นด้วย เป็นเหตุเกิดขึ้นด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าจิตตุปปาทะ ฯ หิความจริง กตฺถจิ ในที่บางแห่ง สทฺทสตฺถวิทู ท่านอาจารย์ผู้รู้คัมภีร์ศัพทศาสตร์ ทั้งหลาย อิจฺฉนฺติย่อมปรารถนา ปุลฺลิงฺคํ ปุงลิงค์ สมาหารทฺวนฺเทฺวปิ แม้ใน สมาหารทวันทวสมาสได้บ้าง ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อมความ อิติ ว่า อิโต ปร เบื้องหน้า
96 ปริเฉทที่ ๒ แต่นี้ไป ข้าพเจ้า (พระอนุรุทธาจารย์) ปวุจฺจติ จักกล่าว สมฺปโยโค สัมปโยค เตสํ จิตฺตาวิยุตฺตานํ แห่งเจตสิกธรรม ที่ไม่พรากกับจิตเหล่านั้น ปจฺเจกํ แต่ละ ประการ จิตฺตุปฺปาเทสุ ในจิตตุปบาททั้งหลาย ยถาโยคํ ตามที่ประกอบได้ ฯ ทฺวิปฺ จวิฺ าณานิ ปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่าย (๑๐ ดวง) วชฺชิตานิ เอเตหิ(จตุจตฺตาฬีสกามาวจรจิตฺเตหิ) อันกามาวจรจิต ๔๔ ดวงเหล่านี้เว้นแล้ว วา หรือว่า เอตานิ กามาวจรจิต ๔๔ ดวงเหล่านี้ เตหิ(ทฺวิปฺ จวิฺ าเณหิ) อันปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่าย (๑๐ ดวง) เหล่านั้น วชฺชิตานิ เว้นแล้ว สภาเวน อวิตกฺกตฺตา เพราะปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่ายเหล่านั้นไม่มีวิตกเจตสิกตาม สภาวะ อิติ เพราะเหตุนั้น จตุจตฺตาฬีสกามาวจรจิตฺตานิ กามาวจรจิต ๔๔ ดวง ทฺวิปฺ จวิฺ าณวชฺชิตานิ ชื่อว่า เว้นปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่าย หรืออัน ปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่ายเว้นแล้ว ฯ อธิปฺปาโย อธิบายความ อิติ ว่า (วิตกฺโก) วิตกเจตสิก (ชายติ) ย่อมเกิด เตสุ เจว ในกามาวจรจิต ๔๔ ดวง เหล่านั้นด้วย เอกาทสสุ ปมชฺฌานจิตฺเตสุ (จ) ในปฐมฌานจิต ๑๑ ดวงด้วย เสสาน (ทุติยชฺฌานาทีนํ) ภาวนาพเลน อวิตกฺกตฺตา เพราะจิตทั้งหลาย ที่เหลือมีทุติยฌานจิตเป็นต้น ไม่มีวิตกเจตสิก ด้วยก�ำลังแห่งภาวนา ฯ วิจาโร วิจารเจตสิก ชายติ ย่อมเกิด ฉสฏฺิจิตฺเตสุ ในจิต ๖๖ ดวง อิติ คือ เตสุ เจว ปฺ จปณฺณาสวิตกฺกจิตฺเตสุ ในจิตที่สหรคตด้วยวิตกเจตสิก ๕๕ ดวง เหล่านั้นด้วย เอกาทสสุ ทุติยชฺฌานจิตฺเตสุ จ ในทุติยฌานจิต ๑๑ ดวงด้วย ฯ อธิโมกฺโข อธิโมกข์เจตสิก ชายติ ย่อมเกิด เอกาทสหิวชฺชิเตสุ อฏฺสตฺตติจิตฺเตสุ ในจิต ๗๘ ดวง เว้นจิต ๑๑ ดวง อิติ คือ ทฺวิปฺ จวิฺ าเณหิ ปัญจวิญญาณจิต ทั้งสองฝ่าย (๑๐ ดวง) วิจิกิจฺฉาสหคเตน จ และโมหมูลจิตที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉาเจตสิก (๑ ดวง) ฯ วิริย วิริยเจตสิก ชายติย่อมเกิด โสฬสหิวชฺชิเตสุ เตสตฺตติยา จิตฺเตสุ ในจิต ๗๓ ดวงเว้นจิต ๑๖ ดวง อิติ คือ ปฺ จทฺวาราวชฺชเนน ปัญจทวาราวัชชนจิต (๑ ดวง) ทฺวิปฺ จวิฺ าเณหิ ปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่าย (๑๐ ดวง) สมฺปฏิจฺฉนฺนทฺวเยน สัมปฏิจฉันนจิต (๒ ดวง) สนฺตีรณตฺตเยน จ
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 97 และสันตีรณจิต ๓ ดวง ฯ ปีติ ปีติเจตสิก ชายติ ย่อมเกิด สตฺตติจิตฺเตหิ วชฺชิเตสุ เอกปฺ าส จิตฺเตสุ ในจิต ๕๑ ดวง เว้นจิต ๗๐ ดวง อิติ คือ โทมนสฺสสหคเตหิ ทฺวีหิ โทสมูลจิต ที่สหรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวง อุเปกฺขาสหคเตหิปฺ จปฺ าสจิตฺเตหิจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ๕๕ ดวง กายวิฺ าณทฺวเยน กายวิญญาณจิต ๒ ดวง เอกาทสหิจตุตฺถชฺฌาเนหิจ และจตุตถฌานจิต ๑๑ ดวง ฯ ฉนฺโท ฉันทเจตสิก ชายติ ย่อมเกิด วีสติยา จิตฺเตหิวชฺชิเตสุ เอกูนสตฺตติจิตฺเตสุ ในจิต ๖๙ ดวง เว้นจิต ๒๐ ดวง อิติ คือ อเหตุเกหิ อฏฺารสหิอเหตุกจิต ๑๘ ดวง โมมูเหหิทฺวีหิจ และโมหมูลจิต ๒ ดวง ฯ เต ปนาติ บทว่า เต ปน ความว่า ปกิณฺณกวชฺชิตา (จิตฺตุปฺปาทา) จิตตุปบาทที่เวันปกิณณกเจตสิก (๖ ประการ) ตสหคตา จ (จิตฺตุปฺปาทา) แลจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยปกิณณกเจตสิก ๖ ประการนั้น ฯ ยถากฺกมนฺติ บทว่า ยถากฺกมํ ความว่า วิตกฺกาทิฉปกิณฺณกวชฺชิตสหิตกมานุรูปโต ตามสมควรแก่ ล�ำดับจิตตุปบาทที่เว้นปกิณณกเจตสิก ๖ ประการมีวิตกเจตสิกเป็นต้น และจิตตุปบาท ที่ประกอบด้วยปกิณณกเจตสิก ๖ ประการมีวิตกเจตสิกเป็นต้น ฯ ฉสฏฺี ปฺ จปฺ าสาติอาทิ ค�ำว่า ฉสฏฺ ปญฺจปญฺาส เป็นต้น โยเชตพฺพํ บัณฑิตพึงประกอบ เอกวีสสตคณนวเสน ด้วยอ�ำนาจจ�ำนวนจิต ๑๒๑ ดวง เอกูนนวุติคณนวเสน จ และด้วยอ�ำนาจจ�ำนวนจิต ๘๙ ดวง ยถารหํ ตามสมควร (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วตฺวา กล่าว อิติ ว่า สพฺพากุสลสาธารณา ดังนี้ สพฺเพสุปีติอาทิ วุตฺตํ แล้วกล่าวค�ำว่า สพฺเพสุปิ เป็นต้น ตเทวสมตฺเถตุํ เพื่อจะย�้ำถ้อยค�ำนั้นนั่นแหละให้มั่นคง ฯ หิ ความจริง โย โกจิ บุคคลใดใครก็ตาม ปฏิปชฺชติ ปฏิบัติ ปาณาติปาตาทีสุ ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการมีปาณาติบาตเป็นต้น โส สพฺโพปิ บุคคลนั้นแม้ทั้งหมด น ตตฺถ อาทีนวทสฺสาวี มีปกติไม่เห็นโทษในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการมีปาณาติบาต เป็นต้นนั้น โมเหน เพราะโมหเจตสิก ตโต อชิคุจฺฉนฺโต ไม่รังเกียจอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการมีปาณาติบาตเป็นต้นนั้น อหิริเกน เพราะอหิริกเจตสิก อโนตฺตปฺเปนฺโต
98 ปริเฉทที่ ๒ ไม่เกรงกลัวอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการมีปาณาติบาตเป็นต้นนั้น อโนตฺตปฺเปน เพราะอโนตตัปปเจตสิก อวูปสนฺโต จ โหติและเป็นผู้ไม่สงบระงับจากอกุศล กรรมบถ ๑๐ ประการมีปาณาติบาตเป็นต้นนั้น อุทฺธจฺเจน เพราะอุทธัจจเจตสิก ตสฺมา เพราะฉะนั้น เต เจตสิกธรรม ๔ ประการเหล่านั้น อุปลพฺภนฺติ จึงหาได้ แน่นอน สพฺพากุสเลสุ ในอกุศลจิตทุกดวง(๑๒ ดวง) ฯ เอวกาโร เอว ศัพท์ โลภสหคตจิตฺเตเสฺววาติ ในบทว่า โลภสหคตจิตฺเตเสฺวว นี้ โหติ มีไว้ อธิการตฺถายปิ เพื่อต้องการท�ำให้เด่น อิติ เพราะเหตุนั้น ทฏฺพฺพํ บัณฑิตพึงเห็น อวธารณํ บทอวธารณะ ทิฏฺิสหคตจิตฺเตสูติอาทีสุปิแม้ในบทว่า ทิฏฺสหคตจิตฺเตสุ เป็นต้น ฯ หิ ความจริง ทิฏฺิ ทิฏฐิเจตสิก ลพฺภติ ย่อมหาได้ โลภสหคตจิตฺเตเสฺวว เฉพาะในจิตที่สหรคตด้วยโลภะ (โลภมูลจิต ๔ ดวง) เท่านั้น สกฺกายาทีสุ อภินิวิสนฺตสฺส ตตฺถ มมายนสมฺภวโต เพราะบุคคลผู้ยึดมั่นในสังโยชน์ ๑๐ ประการ มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น เกิดความยึดถือในสังโยชน์ ๑๐ ประการ มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น นั้นว่าเป็นของเรา ฯ มาโนปิแม้มานเจตสิก ทิฏฺิสทิโสว ปวตฺตติก็เป็นไป คล้ายทิฏฐิเจตสิกนั่นแหละ อหมฺมานวเสน ปวตฺตนโต เพราะเป็นไปในสังโยชน์ ๑๐ ประการ มีสักกายทิฏฐิเป็นต้นนั้น ด้วยอ�ำนาจถือตัวว่าเป็นเรา อิติ เพราะเหตุนั้น (มาโน) มานเจตสิกนั้น นปฺปวตฺตติ จึงไม่เป็นไป ทิฏฺิยา สห เอกจิตฺตุปฺปาเท ในจิตตุปบาทเดียวกันกับทิฏฐิเจตสิก เกสรสีโห วิย อปเรน ตถาวิเธน สห เอก คุหาย เปรียบเหมือนราชสีห์ชาติไกรสรไม่อยู่ในถ�้ำเดียวกัน กับราชสีห์ชาติไกรสร ตัวอื่นที่เหมือนกัน ฉะนั้น ฯ จาปิ(มาโน) และทั้งมานเจตสิกนั้น น อุปฺปชฺชติ ก็ไม่เกิดขึ้น โทสมูลาทีสุ ในจิตตุปบาททั้งหลายมีโทสมูลจิต (๒ ดวง) เป็นต้น เอกนฺตโลภปทฏฺานโต เพราะมานเจตสิกมีโลภะเป็นปทัฏฐานโดยแน่นอน อตฺตสิเนหสนฺนิสฺสยภาเวน โดยมีความเยื่อใยในตนเป็นที่อิงอาศัย อิติ เพราะเหตุนั้น โส มานเจตสิกนั้น ลพฺภติ จึงหาได้ ทิฏฺิวิปฺยุตฺเตเสฺวว เฉพาะในจิตตุปบาทที่เป็น ทิฏฐิวิปปยุต (โลภมูลจิต ๔ ดวง) เท่านั้น ฯ ตถา อนึ่ง อิสฺสามจฺเฉรกุกฺกุจฺจานิ อิสสาเจตสิก มัจฉริยเจตสิก และกุกกุจจเจตสิก (ลพฺภนฺติ) ก็หาได้ ปฏิฆจิตฺเตเสฺวว
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 99 เฉพาะในโทสมูลจิต (๒ ดวง) เท่านั้น ตตฺถ ตตฺถ ปฏิหนนวเสเนว ปวตฺตนโต เพราะเป็นไปด้วยอ�ำนาจการกระทบกระทั่งในอารมณ์นั้น ๆ นั่นเอง ปรสมฺปตฺตึ อุสฺสุยนฺตสฺส แก่บุคคลผู้ริษยาสมบัติของผู้อื่น อตฺตสมฺปตฺติยา จ ปเรหิ สาธารณภาว อนิจฺฉนฺตสฺส แก่บุคคลผู้ไม่ปรารถนาภาวะแห่งสมบัติของตนทั่วไป กับชนอื่น กตากตทุจฺจริตสุจริเตสุ อนุโสจนฺตสฺส จ และแก่บุคคลผู้เศร้าโศก เนือง ๆ ในเพราะทุจริตที่ตนท�ำแล้ว และสุจริตที่ตนมิได้ท�ำ ฯ ถีนมิทฺธ ถีนเจตสิก ํ และมิทธเจตสิก ลพฺภติ ก็หาได้ สสงฺขาเรเสฺวว เฉพาะในอกุศลจิตที่เป็นสสังขาริก (๕ ดวง) เท่านั้น อกมฺมฺ ตาปกติกสฺส ตถาสภาวติกฺเขสุ อสงฺขาริเกสุ ปวตฺตนาโยคโต เพราะเจตสิกธรรมที่มีปกติไม่ควรแก่การงาน ไม่ประกอบด้วย ความเป็นไปในอกุศลจิตที่เป็นอสังขาริก (๕ ดวง) ซึ่งกล้าแข็งได้ ตามสภาวะ อย่างนั้น ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ อิติ ว่า จตฺตาโร เจตสิกา เจตสิกธรรม ๔ ประการ กตา ท่านพระอนุรุทธาจารย์จัดไว้ สพฺพาปฺุ เเสฺวว เฉพาะใน อกุศลจิตทุกดวง (๑๒ ดวง) เท่านั้น ตโย เจตสิกธรรม ๓ ประการ กตา จัดไว้ โลภมูเลเยว เฉพาะในโลภมูลจิต (๘ ดวง) เท่านั้น ยถาสมฺภวํ ตามที่เกิดมีได้ จตฺตาโร เจตสิกธรรม ๔ ประการ กตา จัดไว้ โทสมูเลเสฺวว เฉพาะในโทสมูลจิต (๒ ดวง) เท่านั้น ตถา อนึ่ง ทฺวยํ เจตสิกธรรม ๒ ประการ (กตํ) จัดไว้ สสงฺขาเรเยว เฉพาะในอกุศลจิตที่เป็นสสังขาริก (๕ ดวง) เท่านั้น ฯ จสทฺโท จ ศัพท์ วิจิกิจฺฉาจิตฺเต จาติ ในบทว่า วิจิกิจฺฉาจิตเต จ นี้ อวธารเณ ใช้ใน อรรถอวธารณะ ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อมความ อิติ ว่า วิจิกิจฺฉา วิจิกิจฉาเจตสิก วิจิกิจฺฉาจิตฺเต จ หาได้เฉพาะในจิตที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาเจตสิก (โมหมูลจิต ๑ ดวง) เท่านั้น ฯ โลกุตฺตรจิตฺเตสุ ในโลกุตตรจิต (๘ หรือ ๔๐ ดวง) กทาจิ บางคราว สมฺมาสงฺกปฺปวิรโห สิยา พึงเว้นวิตกเจตสิก ปาทกชฺฌานาทิวเสน ด้วยอ�ำนาจฌานที่เป็นบาทเป็นต้น ปน แต่ น วิรตีน อภาโว จะไม่พึงมีวิรัติเจตสิก (๓ ประการ) ก็หามิได้ มคฺคสฺส กายทุจฺจริตาทีน สมุจฺเฉทวเสน ผลสฺส จ
100 ปริเฉทที่ ๒ ตทนุคุณวเสน ปวตฺตนโต เพราะมรรคจิต (๔ ดวง) เป็นไปด้วยอ�ำนาจตัดทุจริต มีกายทุจริตเป็นต้นได้เด็ดขาด และผลจิต (๔ ดวง) เป็นไปด้วยอ�ำนาจคุณที่คล้อย ตามมรรคจิตนั้น อิติ เพราะเหตุนั้น (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺต จึงกล่าว วิรติโย ปนาติอาทิ ค�ำว่า วิรติโย ปน ดังนี้เป็นต้น ฯ สพฺพถาปีติ บทว่า สพฺพถาปิ ได้แก่ สพฺเพหิปิ ตตทุจฺจริตวิธมนวสปฺปวตฺเตหิ อากาเรหิ โดยอาการแม้ทั้งปวง คือ ที่เป็นไปด้วยอ�ำนาจก�ำจัดทุจริตนั้น ๆ ได้ ฯ หิ ความจริง น เอตาส โลกิเยสุ วิย โลกุตฺตเรสุปิ มุสาวาทาทีน วิสํุวิสํุปหานวเสน ปวตฺติโหติวิรัติเจตสิก ๓ ประการเหล่านั้น จะเป็นไปแม้ในโลกุตตรจิต (๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง) ด้วยอ�ำนาจละวจีทุจริต (๔ ประการ) มีมุสาวาทเป็นต้นได้แยก ๆ กัน เหมือนในโลกิยจิต (๘๑ ดวง) ก็หามิได้ สพฺเพสเมว ทุจฺจริตทุราชีวาน เตน เตน มคฺเคน เอกกฺขเณ สมุจฺฉินฺทนโต เพราะทุจริตและการเลี้ยงชีพผิดทั้งหมดนั่นแหละ อันมรรคจิตนั้น ๆ ตัดขาดได้ในขณะเดียวกัน เกสฺ จิ(ทิฏฺวิจิกิจฺฉ าทีนํ กิเลสาน)ํ สพฺพโส เกสฺ จิ (กามราคปฏิฆาทีนํ กิเลสานํ) อปายคมนิยาทิอวตฺถาย หานิวเสน ด้วยอ�ำนาจความละกิเลสบางเหล่ามีสักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉาเป็นต้น ได้โดยประการทั้งปวง (และ) ด้วยอ�ำนาจการละความสามารถแห่งกิเลสบางเหล่า มีกามราคะและปฏิฆะเป็นต้น ที่เป็นสภาวะยังสัตว์ให้ไปสู่อบายภูมิเป็นต้น ฯ (ปุจฺฉา) ถาม อิติ ว่า จ ก็ อยมตฺโถ เนื้อความนี้ สิทฺโธ ส�ำเร็จแล้ว เอกโตวาติ อิมินาว ด้วยค�ำว่า เอกโต ว นี้แหละ นนุ มิใช่หรือ ฯ (วิสชฺชนา) ตอบ อิติ ว่า ตํ น ข้อนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ จตุพฺพิธวจีทุจฺจริตาทีน ปฏิปกฺขาการปฺปวตฺติยา อทีปิตตฺตา เพราะท่านพระอาจารย์ มิได้แสดงความเป็นไปตามอาการ คือความเป็น ข้าศึกต่อวจีทุจริต ๔ ประการเป็นต้น ติสฺสนฺนํ เอกโต วุตฺติปริทีปนมตฺเตน โดยเหตุเพียงแสดงว่า วิรัติเจตสิก ๓ ประการ อยู่ร่วมกัน ฯ ปน ส่วน เกจิ อาจารย์บางพวก อิมมตฺถ อสลฺลกฺเขตฺวาว ยังมิทันพิจารณาเนื้อความนี้เลย สพฺพถาปีติอิท อติริตฺตนฺติวทนฺติก็พูดว่า ค�ำว่า สพฺพถาปิ นี้ ไม่มีประโยชน์ ฯ ตตฺถ ในค�ำนั้น เตสํ อาณเมว ความไม่รู้ของอาจารย์เหล่านั้นนั่นแหละ
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 101 การณํ เป็นเหตุ ฯ นิยตาติ อิมินา ด้วยบทว่า นิยตา นี้ (อนุรุทฺโธ) ท่าน พระอนุรุทธาจารย์ นิวาเรติ ย่อมห้าม กทาจิ สมฺภวํ วิรัติเจตสิกเกิดมีในกาล บางคราว (โลกุตฺตรจิตฺเตสุ ในโลกุตตรจิต ๘ ดวงหรือ ๔๐ ดวง) โลกิเยสุ วิย เหมือนในโลกิยจิต (๘๑ ดวง) ฉะนั้น ฯ ตถาหิ จริงอย่างนั้น เอตา วิรัติเจตสิก ๓ ประการเหล่านี้ (ภควตา) พระผู้มีพระภาคเจ้า เทสิตา ทรงแสดงไว้ โลกิเยสุ ในโลกิยจิต (๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง) เยวาปนกวเสน ด้วยอ�ำนาจเป็น เยวาปนกเจตสิก ปน ส่วน อิธ ในโลกุตตรจิตจิต (๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง) นี้ (ภควตา) พระผู้มีพระภาคเจ้า เทสิตา ทรงแสดงไว้ สรูเปเนว ตามสภาวะ นั่นแหละ ฯ อวธารเณน ด้วยบทอวธาณะ กามาวจรกุสเลเสฺววาติ ในค�ำว่า กามาวจรกุสเลเสฺวว นี้ (อนุรุทฺโธ) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ นิวาเรติ ย่อมห้าม กามาวจรวิปากกฺริยาสุ มหคฺคเตสุ จ สมฺภว วิรัติเจตสิก ๓ ประการเหล่านั้น เกิดมีในกามาวจรวิบากจิต (๘ ดวง) กามาวจรกิริยาจิต (๘ ดวง) และในมหัคคตจิต (๒๗ ดวง) ฯ จ ก็ (อนุรุทฺโธ) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วกฺขติ จักกล่าว ตถา เอว ตามอาการนั่นแหละ อุปริ ไว้ข้างหน้า ฯ กทาจีติ บทว่า กทาจิ ได้แก่ มุสาวาทาทิเอเกกทุจฺจริเตหิ วิรมณกาเล ในเวลาเว้นจากทุจริตแต่ละอย่างมี มุสาวาทเป็นต้น ฯ (วิรติโย) ก็ วิรัติเจตสิก ๓ ประการเหล่านั้น อุปฺปชฺชนฺตาปิ แม้เกิดขึ้นอยู่ กทาจิ ในกาลบางคราว น เอกโต อุปฺปชฺชนฺติ ก็ไม่เกิดขึ้น พร้อมกัน วีติกฺกมิตพฺพวตฺถุสงฺขาตานํ อตฺตโน อาลมฺพนาน สมฺภวาเปกฺขตฺตา เพราะเพ่งถึงความเกิดแห่งอารมณ์ของตน กล่าวคือวัตถุที่จะพึงล่วงละเมิด อิติ เพราะเหตุนั้น (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺต จึงกล่าว วิสุํ วิสุํ อิติ ว่า วิสุํ วิสุํ ดังนี้ ฯ อปฺปนาปฺปตฺตานํ อปฺปมฺ านํ อัปปมัญญาเจตสิกที่ถึงอัปปนาแล้ว น กทาจิ โสมนสฺสรหิตา ปวตฺติ อตฺถิ ย่อมไม่มี ความเป็นไปอันปราศจาก โสมนัสเวทนาในกาลบางคราว อิติ เพราะเหตุนั้น วุตฺตํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์ จึงกล่าวค�ำ ปฺ จม ฯเปฯ จิตฺเตสูติว่า ปญฺจมชฺฌานวชฺชิตมหคฺคตติตฺเตสุ ดังนี้ ฯ
102 ปริเฉทที่ ๒ มหคฺคตานิ จิตทั้งหลายที่ชื่อว่ามหัคคตะ วินีวรณาทิตาย มหตฺต คตานิ มหนฺเตหิวา ฌายีหิคตานิปวตฺตานีติเพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ถึงความเป็นใหญ่ เพราะเป็นจิตปราศจากนิวรณ์ธรรมเป็นต้น หรืออันผู้ได้ฌานทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ถึงแล้ว คือบรรลุแล้ว ฯ นานา หุตฺวาติ สองบทว่า นานา หุตฺวา ความว่า (อปฺปมญฺาโย) อัปปมัญญาเจตสิก วิสุํ วิสุํ หุตฺวา (ชายนฺติ) ย่อมมีแยก ๆ กัน อตฺตโน อาลมฺพนภูตานํ ทุกฺขิตสุขิตสตฺตานํ อาปาถคมนาเปกฺขาย โดยเพ่งถึง เหล่าสัตว์ผู้ได้รับความทุกข์ หรือได้รับความสุข ที่เป็นอารมณ์ของตนมาปรากฏ ภินฺนาลมฺพนตฺตา เพราะกรุณาเจตสิกและมุทิตาเจตสิกมีอารมณ์ต่าง ๆ กัน ฯ เอตฺถาติ บทว่า เอตฺถ อิเมสุ กามาวจรจิตฺเตสุ ได้แก่ บรรดากามาวจรจิต (กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง และกามาวจรกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ ๘ ดวง) เหล่านี้ ฯ ปริกมฺม การบริกรรม ํ อุเปกฺขาสหคตจิตฺเตหิปิ แม้ด้วยจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา อปฺปนาวีถิโต ปุพฺเพ ปริจยวเสน ด้วยอ�ำนาจความเคยชินในกาลก่อนแต่วิถีแห่ง อัปปนา โหติ ย่อมมีได้ กรุณามุทิตาภาวนากาเล ในเวลาเจริญกรุณาเจตสิกและ มุทิตาเจตสิก ยถาต ปคุณคนฺถ สชฺฌายนฺตสฺส กทาจิอฺ าวิหิตสฺสาปิสชฺฌายนํ ดุจคนที่สวดคัมภีร์ที่ช�ำนาญ บางคราว แม้จะส่งจิตไปในอารมณ์อื่น ก็ยังสวดได้ จ และ ยถา ปคุณวิปสฺสนาย สงฺขาเร สมฺมสนฺตสฺส กทาจิ ปริจยพเลน าณวิปฺปยุตฺตจิตฺเตหิปิ สมฺมสนํ ดุจพระโยคาวจรผู้พิจารณาสังขารธรรม ด้วยวิปัสสนาที่คล่องแคล่ว บางคราว ก็พิจารณาได้ ด้วยจิตที่เป็นาณวิปปยุต (ไม่ประกอบด้วยปัญญา) ด้วยก�ำลังแห่งความเคยชิน ฉะนั้น อิติ เพราะเหตุนั้น อุเปกฺขาสหคตกามาวจเรสุ กรุณามุทิตานํ อสมฺภววาโท วาทะที่ว่า กรุณาเจตสิก และมุทิตาเจตสิกไม ่เกิดมีในกามาวจรจิตที่สหรคตด้วยอุบกขาเวทนา กโต ท่านพระอนุรุทธาจารย์จึงแต่งไว้ อิติ ว่า เกจิวาโท เป็นเกจิวาทะ ฯ ปน แต่ ทฏฺพฺโพ บัณฑิต พึงเห็น อปฺปนาวีถิยํ ตาส เอกนฺตโต โสมนสฺสสหคเตเสฺวว สมฺภโว กรุณาเจตสิกและมุทิตาเจตสิกทั้ง ๒ ประการเหล่านั้นเกิดมี เฉพาะใน กามาวจรจิต ที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา โดยส่วนเดียวในวิถีแห่งอัปปนา
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 103 ภินฺนเวทนสฺสาปิ อาเสวนปจฺจยาภาวโต เพราะจิตแม้ที่มีเวทนาต่างกัน ไม่มี อาเสวนปัจจัย ภินฺนชาติกสฺส วิย ดุจจิตที่มีชาติต่างกัน ฉะนั้น ฯ ตโย โสฬสจิตฺเตสูติ บาทคาถาว่า ตโย โสฬสจิตฺเตสุ เป็นต้น ความว่า สมฺมาวาจาทโย ตโย ธมฺมา เจตสิกธรรม ๓ ประการมีสัมมาวาจาเป็นต้น ชายนฺติ ย่อมเกิด อฏฺโลกุตฺตรกามาวจรกุสลวเสน โสฬสจิตฺเตสุ ในจิต ๑๖ คือ โลกุตตรจิต ๘ ดวง และกามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง ฯ (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ทสฺเสตฺวา ครั้นแสดง นิยตานิยตสมฺปโยควเสน วุตฺเตสุ อนิยตธมฺเม อนิยตธรรมในบรรดาเจตสิกธรรมที่กล่าวไว้ ด้วยอ�ำนาจแห่งเจตสิกธรรม ที่มีการประกอบแน่นอน และการประกอบไม่แน่นอน เอกโต รวมกัน เอวํ ดังพรรณนามาฉะนี้แล้ว เสสาน นียตภาว ทีเปตุ เพื่อจะแสดงว่า เจตสิกธรรม ที่เหลือเป็นธรรมที่มีการประกอบแน่นอน อิสฺสามจฺเฉราติอาทิวุตฺตํ จึงกล่าวค�ำว่า อิสฺสามจฺเฉรา ดังนี้เป็นต้น ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ อิติ ว่า อิสฺสา ฯ เป ฯ กรุณาทโย อิสสาเจตสิก มัจฉริยเจตสิกกุกกุจจจเจตสิก วิรัติเจตสิก และ อัปปมัญญาเจตสิกมีกรุณาเจตสิก เป็นต้น กทาจิ บางคราว นานา หุตฺวา ชายนฺติ ก็เกิดแยกกัน จ ส่วน มาโน มานเจตสิก ชายติ ย่อมเกิด กทาจิ ในกาลบางคราว เสยฺโยหมสฺมีติอาทิวสปฺปวตฺติยํ คือในเวลาเป็นไปด้วยอ�ำนาจถือตัวว่า เราเป็น ผู้ประเสริฐกว่า ดังนี้เป็นต้น ถีนมิทฺธ ถีนเจตสิกและมิทธเจตสิก ตถา ก็เหมือนกัน กทาจิ อกมฺมฺ วสปฺปวตฺติย สห อฺ มฺ อวิปฺปโยควเสน ชายติ คือ ย่อมเกิดร่วมกัน คือด้วยอ�ำนาจไม่แยกกันและกันในกาลบางคราว คือในคราวที่ เป็นไปด้วยอ�ำนาจที่จิตไม่ควรแก่การงาน ฯ อถวา อีกอย่างหนึ่ง (ปณฺฑิเตน) บัณฑิต โยเชตฺวา พึงประกอบ มาโน จาติ เอตฺถ จสทฺท จ ศัพท์ในค�ำว่า มาโน จ นี้ สหาติเอตฺถาปิเข้าแม้ในค�ำว่า สห นี้ โยชนา ทฏฺพฺพา แล้วพึงเห็น วาจาประกอบความ อิติ ว่า ถีนมิทฺธํ ถีนเจตสิกและมิทธเจตสิก ชายติ ย่อมเกิด สห ร่วมกัน จ สสงฺขาริกปฏิเฆ ทิฏฺิวิปฺปยุตฺตสสงฺขาริเกสุ จ อิสฺสามจฺเฉรกุกฺกุจฺเจหิมาเนน จ สทฺธึคือร่วมกับอิสสาเจตสิก มัจฉริยเจตสิก
104 ปริเฉทที่ ๒ และกุกกุจจเจตสิกในปฏิฆจิตที่เป็นสสังขาริก (คือ โทสมูลจิตที่เป็นสสังขาริก ๑ ดวง) และร่วมกับมานเจตสิกในสสังขาริกจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตทั้งหลาย (คือ โลภมูลจิตที่เป็น ทิฏฐิวิปปยุตซึ่งเป็นสสังขาริก ๒ ดวง) กทาจิ ในกาลบางคราว จ และ นานา ชายติ ย่อมเกิดแยกกัน กทาจิ ในกาลบางคราว ตทีตรสสงฺขาริกจิตฺตสมฺปโยคกาเล ตสมฺปโยคกาเลปิวา คือในกาลที่ประกอบกับจิตที่เป็นสสังขาริกนอกจากโทสมูลจิต ที่เป็นสสังขาริก (๑ ดวง) และโลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตซึ่งเป็นสสังขาริก (๒ ดวง) นั้นหรือแม้ในกาลที่ประกอบกับโทสมูลจิตที่เป็นสสังขาริก (๑ ดวง) และโลภมูลจิต ที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตซึ่งเป็นสสังขาริก (๒ ดวง) นั้น ฯ ปน ส่วน อปเร อาจริยา อาจารย์อีกพวกหนึ่ง สมฺปโยเชสุ ประกอบ เอตฺตกเมว ถ้อยค�ำไว้เพียงเท่านี้ อิติ ว่า มาโน จ ถีนมิทฺธฺ จ ตถา กทาจินานา หุตฺวา กทาจิสห จ ชายติ มานเจตสิก ถีนเจตสิก และมิทธเจตสิก ก็เหมือนกัน คือ บางคราวก็เกิดแยกกัน และบางคราวก็เกิดร่วมกัน ฯ เสสาติ บทว่า เสสา ความว่า ยถาวุตฺเตหิเอกาทสหิ อนิยเตหิอิตเร เอกจตฺตาฬีส เจตสิกธรรม ๔๑ ประการ นอกจากอนิยตเจตสิกธรรม ๑๑ ประการ ตามที่กล่าวแล้ว ฯ ปน ส่วน เกจิ อาจารย์บางพวก วณฺเณนฺติ พรรณนา อิติ ว่า ยถาวุตฺเตหิอนิยตเยวาปนเกหิเสสา เจตสิกธรรมที่เหลือจาก อนิยตเยวาปนกเจตสิกธรรม ตามที่กล่าวแล้ว นิยตเยวาปนกา เป็นนิยตเยวาปนกเจตสิกธรรม ฯ ต ค� ํำนั้น มติมตฺตํ เป็นเพียงมติ เตสํ ของอาจารย์พวกนั้น ปน ก็ อิธ เยวาปนกนาเมน เกสจิอนุทฺธฏตฺตา เพราะในที่นี้ท่านพระอนุรุทธาจารย์ มิได้ยกเจตสิกธรรมบางเหล่าขึ้นแสดงไว้ โดยชื่อว่าเยวาปนกเจตสิกธรรม ฯ หิความจริง เอตฺถ ในที่นี้ อาจริเยน ท่านอาจารย์ กตํ กระท�ำ นิยตานิยตวเสน จิตฺตุปฺปาเทสุ ยถารห ลพฺภมานเจตสิกมตฺตสนฺทสฺสนํ การชี้แจงเพียงเจตสิกธรรม ที่จะได้ตามสมควร ในจิตตุปบาททั้งหลาย ตามสมควรด้วยอ�ำนาจนิยตเจตสิกธรรม (เจตสิกธรรมที่ประกอบแน่นอน) และอนิยตเจตสิกธรรม (เจตสิกธรรมที่ประกอบ ไม่แน่นอน) เกวลํ อย่างเดียว น เยวาปนกนาเมน เกจิอุทฺธฏา มิได้ยกเจตสิกธรรม บางเหล่าขึ้นแสดงไว้ โดยชื่อว่า เยวาปนกเจตสิกธรรม อิติ แล ฯ
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 105 (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ทสฺเสตฺวา ครั้นแสดง สมฺปโยคํ การประกอบเจตสิกธรรม จิตฺตปริจฺเฉทวเสน ด้วยอ�ำนาจการก�ำหนดจิต อิติ ว่า ผสฺสาทีสุ อย ธมฺโม บรรดาเจตสิกธรรมมีผัสสเจตสิกธรรมเป็นต้น ธรรม (เจตสิกธรรม) นี้ อุปลพฺภติ ย่อมหาได้แน่นอน เอตฺตเกสุ จิตฺเตสุ ในจิตมี ประมาณเท่านี้ เอว ตาว ดังพรรณนามาฉะนี้ก่อนแล้ว อิทานิ บัดนี้ ทสฺเสตุ หวังจะแสดง สงฺคหํ การรวบรวม (เจตสิกธรรม) เจตสิกราสิปริจฺเฉทวเสน ด้วย อ�ำนาจการก�ำหนดหมวดเจตสิกธรรม อิติ ว่า เอตฺตกา เจตสิกา เจตสิกธรรม มีประมาณเท ่านี้ย ่อมหาได้แน ่นอน อิมสฺมึ จิตฺตุปฺปาเท ในจิตตุปบาทนี้ สงฺคหฺ จาติอาทิวุตฺตํ จึงกล่าวค�ำว่า สงฺคหญฺจ ดังนี้เป็นต้น ฯ ฉตฺตึสาติอาทิ ค�ำว่า ฉตฺตึส ดังนี้เป็นต้น สงฺคโห เป็นการรวบรวม ตตฺถ ตตฺถ ยถารหํ ลพฺภมานกธมฺมวเสน คณนวเสน ด้วยอ�ำนาจจ�ำนวน คือ ธรรมที่จะหาได้อยู่ ในจิตนั้น ๆ ตามสมควร ฯ ปมชฺฌานิกจิตฺตานิ ที่ชื่อว่า ปฐมัชฌานิกจิต ปมชฺฌาเน นิยุตฺตานิจิตฺตานิต วา เอเตส อตฺถีติเพราะอรรถวิเคราะห์ว่า จิตประกอบในปฐมฌาน หรือเพราะอรรถวิเคราะห์ว่า จิตเหล่านี้มีปฐมฌานนั้น ฯ อปฺปมฺ าน สตฺตารมฺมณตฺตา เพราะอัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) มีสัตว์ เป็นอารมณ์ โลกุตฺตรานฺ จ นิพฺพานารมฺมณตฺตา และเพราะโลกุตตรจิต (๘ ดวง) มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺตํ อปฺปมฺ าวชฺชิตาติจึงกล่าวค�ำว่า โสภณเจตสิก ๒๓ ประการ เว้นอัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) ฯ ตถาติ อิมินา ด้วยศัพท์ว่า ตถา นี้ (อนุรุทฺโธ) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ อากฑฺฒติ ย่อมชักความมา อิติ ว่า อฺ สมานา อัญญสมานเจตสิก (๑๓ ประการ) อปฺปมฺ าวชฺชิตโสภณเจตสิกา จ และ โสภณเจตสิก (๒๓ ประการ) ซึ่งเว้นอัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) คจฺฉนฺติ ย่อมถึง สงฺคหํ การรวมเข้า (ด้วยกัน) ฯ อุเปกฺขาสหคตาติ ค�ำว่า อุเปกฺขาสหคตา ความว่า (เตตฺตึส ธมฺมา) ธรรม ๓๓ ประการ วิตกฺกวิจารปีติสุขวชฺชา เว้น วิตก วิจาร ปีติ (และ) สุข สุขฏฺานํ ปวิฏฺุเปกฺขาย สหคตา สหรคตด้วย
106 ปริเฉทที่ ๒ อุเบกขา ซึ่งเข้าไปแทนที่สุข ฯ ปฺ จกชฺฌานวเสนาติในบทว่า ปญฺจกชฺฌานวเสน อธิปฺปาโย มีอธิบายความ อิติ ว่า ฌานปฺ จกสฺส วเสน ด้วยอ�ำนาจฌาน ๕ หมวด วิตกฺกวิจาเร วิสุํ วิสุํ อติกฺกมิตฺวา ภาเวนฺตสฺส นาติติกฺขาณสฺส วเสน เทสิตสฺส ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยอ�ำนาจพระโยคาวจรผู้มี ฌานไม่กล้านัก เจริญฌานล่วงวิตกและวิจารไปทีละอย่าง ฯ ปน แต่ เต เอกโต อติกฺกมิตฺวา ภาเวนฺตสฺส ติกฺขาณสฺส วเสน เทสิตจตุตฺถชฺฌานวเสน ด้วย อ�ำนาจฌาน ๔ หมวด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยอ�ำนาจพระโยคาวจร ผู้มีฌานแก่กล้า เจริญฌานล่วงวิตกและวิจารเหล่านั้นไปพร้อมกัน สงฺคโห โหติ ย่อมมีการรวบรวม (เจตสิกธรรม) ได้ จตุธาว ๔ หมวดเท่านั้น ทุติยชฺฌานิเกสุ วิตกฺกวิจารวชฺชิตานํ สมฺภวโต เพราะเจตสิกธรรม ๓๔ ประการเว้นวิตกและ วิจารเสียเกิดมีในทุติยฌานิกจิต ฯ เตตฺตึสทฺวยํ เจตสิกธรรม ๓๓ ประการ ทั้ง ๒ หมวด (ลพฺภติ) ย่อมหาได้ จตุตฺถปฺ จมชฺฌานจิตฺเตสุ ในจตุตถฌานจิตและ ปัญจมฌานจิต ฯ ตีสูติ บทว่า ตีสุ ได้แก่ (ปมชฺฌานิกจิตฺเตสุ) ในปฐมฌานิกจิต ติวิเธสุ ๓ ดวง กุสลวิปากกฺริยาวเสน คือ กุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต ฯ สุวิโสธิตกายวจีปโยคสฺส ส�ำหรับพระโยคาวจรผู้มีกายปโยคและวจีปโยคอันช�ำระ หมดจดดีแล้ว สีลวิสุทฺธิวเสน ด้วยอ�ำนาจสีลวิสุทธิ มหคฺคตชฺฌานานิ มหัคคตฌาน ปวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไป เกวลํ จิตฺตสมาธานมตฺเตน ด้วยเหตุเพียงจิตตั้งมั่น อย่างเดียว ปน แต่ น (ปวตฺตนฺติ) หาเป็นไป กายวจีกมฺมานํ วิโสธนวเสน ด้วยอ�ำนาจการช�ำระกายกรรมและวจีกรรมให้หมดจดไม่ นาปิ (ปวตฺตนฺติ) ทั้งจะเป็นไป ทุจฺจริตทุราชีวานํ สมุจฺฉินฺทนวเสน ด้วยอ�ำนาจการตัดทุจริต และการเลี้ยงชีพผิดได้เด็ดขาด ก็หามิได้ อิติ เพราะเหตุนั้น (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺตํ จึงกล่าวค�ำว่า วิรติวชฺชาติ เวันวิรติเจตสิก ฯ ปจฺเจก เมวาติ บทว่า ปจฺเจกเมว ได้แก่ วิสุํ วิสุํ เอว แยก ๆ กันนั่นเอง ฯ ปณฺณรสสูติ บทว่า ปณฺณรสสุ ความว่า (ปญฺจมชฺฌานิกจิตฺเตสุ) ในปัญจมัชฌานิกจิต ปณฺณรสสุ ๑๕ ดวง อิติ คือ รูปาวจรวเสน ตีสุ ด้วยอ�ำนาจรูปาวจรฌาน ๓ ดวง
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 107 อารุปฺปวเสน ทฺวาทสสุ ด้วยอ�ำนาจอรูปาวจรฌาน ๑๒ ดวง ฯ (อปฺปมญฺาโย น ลพฺภนฺตีติ) เอตฺถ ในค�ำว่า ย่อมไม่ได้อัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) นี้ (มยา) ข้าพเจ้า การณ วุตฺตเมว ได้กล่าวเหตุไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฯ ปจฺเจกเมวาติ บทว่า ปจฺเจกเมว ได้แก่ เอเกกาเยว แต่ละอย่างเท่านั้น ฯ หิ ความจริง อปฺปมฺ านํ สตฺตารมฺมณตฺตา เพราะอัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) มีสัตว์เป็นอารมณ์ วิรตีนฺ จ วีติกฺกมิตพฺพวตฺถุวิสยตฺตา และ เพราะวิรัติเจตสิก (๓ ประการ) มีวัตถุที่จะพึงล่วงละเมิดเป็นอารมณ์ นตฺถิ ตาสมฺปิเอกจิตฺตุปฺปาเท สมฺภโว อัปปมัญญาเจตสิก และวิรัติเจตสิกแม้เหล่านั้น จึงไม่เกิดในจิตตุปบาทเดียวกัน อิติ แล ฯ โลกิยวิรตีน เอกนฺตกุสลสภาวตฺตา เพราะวิรัติเจตสิกฝ่ายโลกิยะทั้งหลายมีสภาวะเป็นกุศลโดยส่วนเดียว นตฺถิ อพฺยากเตสุ สมฺภโวโลกิย วิรัติเหล่านั้นจึงไม่เกิดในกิริยาจิตและวิบากจิตทั้งหลาย ที่เป็นอัพยากฤต อิติ เพราะเหตุนั้น (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺต จึงกล่าวค�ำ วิรติวชฺชิตาติ ว่า วิรติวชฺชิตา ดังนี้ ฯ เตนาห เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปฺ จ สิกฺขาปทา กุสลาเยวาติ สิกขาบท ๕ ล้วนเป็นกุศลทั้งนั้น ฯ อิตรถา เมื่อก�ำหนดเนื้อความนอกไปจากนี้ (ภควา) พระผู้มีพระภาคเจ้า วเทยฺย พึงตรัสว่า สทฺธาสติอาทโย วิย สิยา กุสลา สิยา อพฺยากตาติ โลกิยวิรัติทั้งหลาย พึงเป็นกุศลก็มี พึงเป็นอัพยากฤตก็มี เหมือนกับ สัทธาเจตสิกและสติเจตสิกเป็นต้น ฉะนั้น ฯ ปน ก็ ผลสฺส มคฺคปฏิพิมฺพภูตตฺตา เพราะผลจิตเป็นธรรมชาตเหมือนกับมรรคจิต ทุจฺจริตทุราชีวานํ ปฏิปฺปสฺสมฺภนโต จ และเพราะผลจิตเป็นเครื่องระงับทุจริตและการเลี้ยงชีพผิดทั้งหลาย โลกุตฺตรวิรตีน เอกนฺตกุสลตา ภาวะที่โลกุตตรวิรัติทั้งหลาย เป็นกุศลโดยส่วนเดียว น ยุตฺตา จึงไม่ถูก อิติ เพราะเหตุนั้น ท่านพระอรรถกถาจารย์ ตาส ตตฺถ อคหณํ จึงไม่ ระบุถึงโลกุตตรวิรัติเหล่านั้นไว้ ในสิกขาบทวิภังค์นั้น ฯ กามาวจรวิปากานํ เอกนฺตปริตฺตารมฺมณตฺตา เพราะกามาวจรวิบากจิต (๘ ดวง) มีอารมณ์ที่เป็น กามาวจรโดยส่วนเดียว อปฺปมฺ านํ สตฺตารมฺมณตา เพราะอัปปมัญญาเจตสิก
108 ปริเฉทที่ ๒ (๒ ประการ) มีสัตว์เป็นอารมณ์ จ และ วิรตีนมฺปิเอกนฺตกุสลตฺตา แม้เพราะ วิรัติเจตสิก (๓ ประการ) เป็นกุศลโดยส่วนเดียว (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺตํ จึงกล่าวค�ำว่า อปฺปมฺ า วิรติวชฺชิตาติอปฺปมญฺญาวิรติวชฺชิตา ดังนี้ ฯ (โจทนา) ถาม อิติ ว่า กามาวจรกุสลํ กามาวจรกุศลจิต ปฺ ตฺตาทิอารมฺมณมฺปิ แม้ที่มีบัญญัติเป็นต้นอารมณ์ จ โหติ ก็มีได้ นนุ มิใช่หรือ อิติ เพราะเหตุนั้น ตสฺส วิปาเกนปิแม้วิบากจิตของกามาวจรกุศลจิตนั้น กุสลสทิสารมฺมเณน ภวิตพฺพํ ก็พึงมีอารมณ์เหมือนกับกุศลจิต ยถาตํ มหคฺคตโลกุตฺตรวิปาเกหิเปรียบเหมือน มหัคคตวิบากจิตและโลกุตตรวิบากจิตทั้งหลาย ฉะนั้น ฯ (วิสชฺชนา) ตอบ อิติ ว่า อิทํ (กามาวจรวิปากํ) กามาวจรวิบากจิตนี้ น เอวํ (โหติ) หาเป็นเช่นนั้นไม่ กามตณฺหาธีนสฺส (กามสฺส) ผลภูตตฺตา เพราะเป็นผลของกามซึ่งเนื่องกับ กามตัณหา ฯ ยถา หิ ทาสิยา ปุตฺโต มาตรา อิจฺฉิตํ กาตุํ อสกฺโกนฺโต สามิเกนเยว อิจฺฉิติจฺฉิตํ กโรติเปรียบเหมือน ลูกชายของหญิงรับใช้ ไม่สามารถ จะกระท�ำสิ่งที่มารดาต้องการได้ ท�ำสิ่งที่เจ้านายเท่านั้นต้องการแล้ว ๆ ฉันใด เอว กามตณฺหายตฺตตาย ทาสีสทิสสฺส กามาวจรกมฺมสฺส วิปากภูต จิตฺต เตน คหิตารมฺมณ อคเหตฺวา กามตณฺหารมฺมณเมว คณฺหาติ จิตที่เป็นวิบากแห่ง กามาวจรกรรม ซึ่งเหมือนกับหญิงรับใช้ เพราะเนื่องกับกามตัณหา ก็ไม่รับอารมณ์ ที่กามาวจรกรรมนั้นรับมาแล้ว ย่อมรับเฉพาะอารมณ์ของกามตัณหาเท่านั้น ฉันนั้น ฯ ทฺวาทสธาติ บทว่า ทฺวาทสธา ความว่า (สงฺคโห โหติ) ทฺวาทสธา โดยมีการรวบรวมเจตสิกธรรมไว้ ๑๒ หมวด (จิตฺเตสุ) ตีสุ ในจิต ๓ ประเภท กตฺวา เพราะอธิบายความ อิติ ว่า กุสลวิปากกฺริยาเภเทสุ ปจฺเจก จตฺตาโร จตฺตาโร ทฺวิกา ในประเภทแห่งกุศลจิต วิบากจิต และกริยาจิต มีการสงเคราะห์ เป็นคู่ ประเภทละ ๔ คู่ ฯ อิทานิ บัดนี้ (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ อิเมสุ ปมชฺฌานิกาทีหิ ทุติยชฺฌานิกาทีนํ เภทกรธมฺเม ทสฺเสตุ หวังจะแสดงธรรม (เจตสิกธรรม) ซึ่งท� ํำ จิตทั้งหลายมีทุติยฌานิกจิตเป็นต้น ให้ต่างจากจิตทั้งหลายมีปฐมฌานิกจิตเป็นต้น
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 109 ในบรรดาเจตสิกธรรมเหล่านี้ อนุตฺตเร ฌานธมฺมาติอาทิ วุตฺตํ จึงกล่าวค�ำว่า อนุตฺตเร ฌานธมฺมา ดังนี้เป็นต้น ฯ ทฏฺพฺพํ พึงเห็นความหมายว่า อนุตฺตเร จิตฺเต ในโลกุตตรจิต (๘ หรือ ๔๐ ดวง) วิตกฺกวิจารปีติสุขวเสน ฌานธมฺมา มีฌานธรรม คือ วิตก วิจาร ปีติ และสุข วิเสสกา ท�ำให้แปลกกัน เภทกา คือ ท�ำให้ต่างกัน ฯ มชฺฌิเม ในมัชฌิมจิต มหคฺคเต คือในมหัคคตจิต (๒๗ ดวง) อปฺปมฺ า จ ฌานธมฺมา จ มีอัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) และฌานธรรม ทั้งหลาย วิเสสกา ท�ำให้แปลกกัน ปริตฺเตสุ ในปริตตจิตทั้งหลาย กามาวจเรสุ คือ ในกามาวจรจิต (๔๕ ดวง) วิรติาณปีติจ อปฺปมฺ า จ มีวิรัติเจตสิก (๓ ประการ) ปัญญินทรีย์เจตสิก ปีติเจตสิก และอัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) วิเสสกา ท�ำให้แปลกกัน ฯ ตตฺถ บรรดาเจตสิกธรรมเหล่านั้น วิรติ วิรัติเจตสิก (๓ ประการ) กุสเลหิวิปากกฺริยานํ วิเสสกา ท�ำวิบากจิตและกิริยาจิตทั้งหลาย ให้แปลกจากกุศลจิตทั้งหลาย อปฺปมฺ า อัปปมัญญาเจตสิก (๒ ประการ) กุสลกฺริยาหิ วิปากาน วิเสสกา ท�ำวิบากจิตทั้งหลายให้แปลกจากกุศลจิต และกิริยาจิตทั้งหลาย ปน ส่วน าณปีติ ปัญญินทรีย์เจตสิกและปีติเจตสิก ตีสุ (กุสลวิปากกิริยาจิตฺเตสุ) ปมยุคลาทีหิ ทุติยยุคลาทีนํ วิเสสกา ท�ำ กามาวจรโสภณจิตคู่ที่ ๒ เป็นต้น ให้แปลกจากกามาวจรโสภณจิตคู่ที่ ๑ เป็นต้น ในบรรดากุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต ๓ ประเภท ฯ ทุติเย อสงฺขาริเกติ สองบทว่า ทุติเย อสงฺขาริเก สมฺพนฺโธ เชื่อมความ อิติ ว่า อฺ สมานา อัญญสมานาเจตสิก (๑๓ ประการ) อกุสลสาธารณา จ และอกุศลสาธารณเจตสิก (๔ ประการ) โลภมาเนน รวมกับโลภเจตสิกและมานเจตสิก เอกูนวีสติธมฺมา เป็นธรรม ๑๙ ประการ ตเถว ก็เหมือนกัน (สงฺคหํ คจฺฉนฺติ) คือ ย่อมถึง การรวมเข้า ทิฏฺิวิปฺปยุตฺเต อสงฺขาริเก ในโลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุต ซึ่งเป็นอสังขาริก ฯ ตติเยติ บทว่า ตติเย ได้แก่ อุเปกฺขาสหคตทิฏฺิคตสมฺปยุตฺเต อสงฺขาริเก ในโลภมูลจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนาเป็นทิฏฐิสัมปยุตซึ่งเป็น อสังขาริก ฯ จตุตฺเถติ บทว่า จตุตฺเถ ได้แก่ ทิฏฺิวิปฺปยุตฺเต อสงฺขาริเก
110 ปริเฉทที่ ๒ ในโลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตซึ่งเป็นอสังขาริก ฯ อธิปฺปาโย อธิบายความ อิติ ว่า ปน ก็ (ปณฺฑิเตน) บัณฑิต โยเชตพฺพานิ พึงประกอบ อิสฺสามจฺเฉรกุกฺกุจฺจานิ อิสสาเจตสิก มัจฉริยเจตสิก และกุกกุจจเจตสิก (ปจฺเจกเมว) แต่ละประการ เท ่านั้น (เอตฺถ) เข้าในโทสมูลจิตที่เป็นปฏิฆสัมปยุต ซึ่งเป็นอสังขาริกนี้ ภินฺนาลมฺพนตฺตาเยว เพราะเจตสิกธรรมเหล่านั้นมีอารมณ์ต่างกันนั่นเอง ฯ อธิโมกฺขสฺส นิจฺฉยาการปฺปวตฺติโย เพราะอธิโมกข์เจตสิก เป็นไปโดยอาการที่ ตกลงใจแน่นอน เทฺวฬฺหกสภาเว วิจิกิจฺฉาจิตฺเต สมฺภโว นตฺถิอธิโมกข์เจตสิก นั้น จึงไม่เกิดมีในจิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเจตสิก ซึ่งมีสภาวะเป็น ๒ ฝ่าย อิติ เพราะเหตุนั้น (อนุรุทฺเธน) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ วุตฺตํ จึงกล่าวค�ำ อธิโมกฺขวิรหิตาติว่าอธิโมกฺขวิรหิตา ดังนี้ ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ อิติ ว่า อกุสเล ในอกุศลจิต (๑๒ ดวง) (ธมฺมา) มีเจตสิกธรรมทั้งหลาย สตฺตธา ิตา ด�ำรงอยู่โดย ๗ หมวด เอวํ อย่างนี้ อิติ คือ เอกูนวีสติ (ธมฺมา) ปมทุติยอสงฺขาริเกสุ (ตา) ในโลภมูลจิต ที่เป็นอสังขาริกดวงที่ ๑ และดวงที่ ๒ มีเจตสิกธรรมดวงละ ๑๙ ประการ หมวด ๑ อฏฺารส (ธมฺมา) ตติยจตุตฺถอสงฺขาริเกสุ (ตา) ในโลภมูลจิตที่เป็น อสังขาริกดวงที่ ๓ และดวงที่ ๔ มีเจตสิกธรรมดวงละ ๑๘ ประการ หมวด ๑ วีส (ธมฺมา) ปฺ จเม อสงฺขาริเก (ตา) ในโทสมูลจิตที่เป็นอสังขาริกดวงที่ ๕ มีเจตสิกธรรมดวงละ ๒๐ ประการ หมวด ๑ เอกวีส (ธมฺมา) ปมทุติยสสงฺขาริเกสุ (ตา) ในโลภมูลจิตที่เป็นสสังขาริกดวงที่ ๑ และดวงที่ ๒ มีเจตสิกธรรม ดวงละ ๒๑ ประการ หมวด ๑ วีสติ(ธมฺมา) ตติยจตุตฺถสสงฺขาริเกสุ (ตา) ในโลภมูลจิตที่เป็นสสังขาริกดวงที่ ๓ และดวงที่ ๔ มีเจตสิกธรรมดวงละ ๒๐ ประการ หมวด ๑ ทฺวาวีส (ธมฺมา) ปฺ จเม สสงฺขาริเก (ตา) ในโทสมูลจิต ที่เป็นสสังขาริกดวงที่ ๕ มีเจตสิกธรรมดวงละ ๒๒ ประการ หมวด ๑ ปณฺณรส (ธมฺมา) โมมูหทฺวเย (ิตา) ในโมหมูลจิต ๒ ดวง มีเจตสิกธรรมดวงละ ๑๕ ประการ หมวด ๑ ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ อิติ ว่า เอเต จุทฺทส ธมฺมา ธรรม
พระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ แปล 111 (คือ เจตสิกธรรม) ๑๔ ประการเหล่านี้ อิติ คือ สาธารณา อกุสลาน สพฺเพสเมว สาธารณภูตา จตฺตาโร (ธมฺมา) เจตสิกธรรม ที่มีทั่วไป ได้แก่ ซึ่งเป็นสภาวะที่มี ทั่วไปแก่อกุศลจิตครบทุกดวง ๔ ประการ สมานา จ ฉนฺทปีติอธิโมกฺขวชฺชิตา อฺ สมานา อปเร ทสา (ธมฺมา) และเจตสิกธรรมที่มีเสมอกัน คือ มีเสมอกับ ธรรมอื่น เว้นฉันทเจตสิก ปีติเจตสิก และอธิโมกข์เจตสิกอื่นอีก ๑๐ ประการ (ปณฺฑิเตน) บัณฑิต ปวุจฺจนฺติ กล่าวว่า สพฺพากุสลโยคิโนติเป็นเจตสิกธรรมที่ ประกอบกับอกุศลจิตได้ทุกดวง (๑๒ ดวง) ฯ ตถาติ อิมินา ด้วยค�ำว่า ตถา นี้ (อนุรุทฺโธ) ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ปจฺจามสติ ย่อมมุ่ง อฺ สมาเน เฉพาะ อัญญสมานาเจตสิก ฯ มโนธาตุ ธรรมชาติที่ชื่อว่ามโนธาตุ มโนวิฺ าณธาตุยา วิย วิสิฏฺมนนกิจฺจาโยคโต มนนมตฺตา ธาตูติเพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ธาตุอัน เป็นเพียงความรู้ เพราะไม่ประกอบด้วยหน้าที่ คือความรู้พิเศษเหมือนกับ มโนวิญญาณธาตุ ฯ อเหตุกปฏิสนฺธิยุคเลติ บทว่า อเหตุกปฏิสนฺธิยุคเล ได้แก่ อุเปกฺขาสนฺตีรณทฺวเย ในสันตีรณจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขา ๒ ดวง ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ อิติ ว่า อฏฺารสาเหตุเกสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ ในจิตตุปบาทที่เป็นอเหตุกะ ๑๘ ดวง สงฺคโห จตุพฺพิโธ โหติ มีการรวบรวม เจตสิกธรรมไว้ ๔ หมวด อิติ คือ ทฺวาทส (ธมฺมา) หสนจิตฺเต (โหนฺติ) ใน หสิตุปปาทจิต (๑ ดวง) มีเจตสิกธรรม ๑๒ ประการ หมวด ๑ เอกาทส (ธมฺมา) โวฏฺพฺพนสุขสนฺตีรเณสุ (โหนฺติ) ในมโนทวาราวัชชนจิต (๑ ดวง) และสันตีรณจิตที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา (๑ ดวง) มีเจตสิกธรรมดวงละ ๑๑ ประการ หมวด ๑ ทส (ธมฺมา) มโนธาตุติกาเหตุกปฏิสนฺธิยุคลวเสน ปฺ จสุ (โหนฺติ) ในจิต ๕ ดวง คือ มโนธาตุจิต ๓ ดวง และอเหตุกปฏิสนธิจิต ๒ ดวง มีเจตสิกธรรมดวงละ ๑๐ ประการ หมวด ๑ สตฺต (ธมฺมา) ทฺวิปฺ จวิฺ าเณสุ (โหนฺติ) ในปัญจวิญญาณจิตทั้ง ๒ ฝ่าย (๑๐ ดวง) มีเจตสิกธรรมดวงละ ๗ ประการ หมวด ๑ ฯ เตตฺตึสวิธสงฺคหาติ บาทคาถาว่า เตตฺตึสวิธสงฺคหา ความว่า เตตฺตึสวิธา สงฺคหา มีการรวบรวมเจตสิกธรรมไว้
112 ปริเฉทที่ ๒ ๓๓ หมวด อิติ คือ อนุตฺตเร ปฺ จ ในโลกุตตรจิต (๘ หรือ ๔๐ ดวง) มีการ รวบรวมเจตสิกธรรมไว้ ๕ หมวด ตถา มหคฺคเต ในมหัคคตจิต (๒๗ ดวง) ก็เหมือนกัน คือ มีการรวบรวมเจตสิกธรรมไว้ ๕ หมวด กามาวจรโสภเณ ทฺวาทส ในกามาวจรโภณจิต (๒๔ ดวง) มีการรวบรวมเจตสิกธรรมไว้ ๑๒ หมวด อกุสเล สตฺต ในอกุศลจิต (๑๒ ดวง) มีการรวบรวมเจตสิกธรรมไว้ ๗ หมวด อเหตุเก จตฺตาโร ในอเหตุกจิต (๑๘ ดวง) มีการรวบรวมเจตสิกธรรมไว้ ๔ หมวด ฯ (ปณฺฑิโต) บัณฑิต ตฺวา ทราบ จิตฺตปริจฺเฉทวเสน วุตฺตํ สมฺปโยคฺ จ สัมปโยค ที่ท่านพระอนุรุทธาจารย์กล่าวไว้ ด้วยอ�ำนาจการก�ำหนดจิต เจตสิกราสิปริจฺเฉทวเสน วุตฺต สงฺคหฺ จ และสังคหะที่กล่าวไว้ด้วยอ�ำนาจแห่งการก�ำหนดหมวดแห่ง เจตสิกธรรม จิตฺตาวิยุตฺตานํ แห่งสภาวธรรมทั้งหลายที่ไม่พรากกับจิต เจตสิกานํ คือ แห่งเจตสิกธรรมทั้งหลาย อิตฺถ ด้วยประการฉะนี้ ํยถาวุตฺตนเยน คือ โดยนัย ตามที่กล่าวมาแล้ว จิตฺเตน สมํ เภทํ อุทฺทิเส พึงยกประเภท (แห่งเจตสิกธรรม เหล่านั้น) ขึ้นแสดงให้เท่ากับจิต ยถาโยค ตามที่ประกอบได้ ฯ ํ อตฺโถ อธิบายความ อิติ ว่า (ปณฺฑิโต) บัณฑิต กเถยฺย พึงกล่าว อิติอาทินา โดยนัยเป็นต้นว่า ตาว อันดับแรก สตฺต สพฺพจิตฺตสาธารณา เจตสิกธรรม ๗ ประการ ซึ่งมีทั่วไปกับ จิตทุกดวง เอกูนนวุติจิตฺเตสุ อุปฺปชฺชนโต ปจฺเจก เอกูนนวุติวิธา มีอย่างละ ๘๙ ประการ เพราะเกิดขึ้นในจิต ๘๙ ดวง ปกิณฺณเกสุ วิตกฺโก บรรดา ปกิณณกเจตสิก (๖ ประการ) วิตกเจตสิก ปฺ จปฺ าสจิตฺเตสุ อุปฺปชฺชนโต ปฺ จปฺ าสวิโธ มี ๕๕ ประการ เพราะเกิดขึ้นในจิต ๕๕ ดวง ดังนี้ ฯ อิติอภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา นาม อภิธมฺมตฺถสงฺคหวณฺณนาย ทุติยปริจฺเฉทวณฺณนา นิฏฺิตา ฯ พรรณนาความปริเฉทที่ ๒ ในฎีกาอภิธัมมัตถสังหะ ชื่ออภิธัมมัตถวิภาวินี จบแล้ว ด้วยประการฉะนี้ ฯ โดยพระมหารุ่งสุริยา สุเมโธ ป.ธ.๙ ส�ำนักเรียนวัดเทพลีลา กทม.
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 113 ตติยปริจฺเฉทวณฺณนา พรรณนาความปริเฉทที่ ๓ (ปกิณณกสังคหวิภาค) อิทานิ บัดนี้ (ท่านพระอนุรุทธาจารย์) ทสฺเสตุ หวังจะแสดง ปกิณฺณกสงฺคหํ การรวบรวมข้อเบ็ดเตล็ด จิตฺตเจตสิกาน แห่งจิตและเจตสิก ํยถาวุตฺตาน ตามที่ กล่าวแล้ว เวทนาทิวิภาคโต โดยการจ�ำแนกข้อเบ็ดเตล็ดมีเวทนาเป็นต้น ตตเวทนาทิเภทภินฺนจิตฺตุปฺปาทวิภาคโต จ และโดยการจ�ำแนกจิตตุปบาท ซึ่งต่างกันโดยความต่างกันแห่งข้อเบ็ดเตล็ดมีเวทนาเป็นต้นนั้น ๆ สมฺปยุตฺตา ยถาโยคนฺติอาทิมารทฺธ จึงเริ่มค�ำว่า สมฺปยุตฺตา ยถาโยคํ ดังนี้เป็นต้น ฯ อตฺโถ มีอธิบายความ อิติ ว่า จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา ธรรมคือจิตและเจตสิก ยถาโยค สมฺปยุตฺตา ที่ประกอบกันตามที่ประกอบได้ เตปฺ าส โหนฺติย่อมมี ๕๓ ประการ สภาวโต โดยสภาวะ อตฺตโน อตฺตโน สภาววเสน คือ ด้วยอ�ำนาจสภาวะของตน ๆ อิติอาทินา ได้แก่ โดยสภาวะคือ เอกูนนวุติวิธมฺปิจิตฺต จิตแม้ทั้ง ๘๙ ดวง เอกวิธ ก็มีอย่างเดียว ํอารมฺมณวิชานนสภาวสามฺ เน โดยมีความรู้แจ้งอารมณ์ เหมือนกัน ผสฺโส ผัสสเจตสิก สพฺพจิตฺตสาธารโณ เกิดมีทั่วไปแก่จิตทุกดวง เอกวิโธ ก็อย่างเดียว ผุสนภาเวน โดยภาวะที่ถูกต้องอารมณ์เป็นต้น ฯ อิทานิ บัดนี้ นียเต ข้าพเจ้า (พระอนุรุทธาจารย์) จักแนะน�ำ สงฺคโห นาม ชื่อสังคหะ เวทนาสงฺคหาทินามโก ปกิณฺณกสงฺคโห คือการรวบรวมข้อเบ็ดเตล็ดที่ชื่อว่า เวทนาสังคหะ เป็นต้น เตส ธมฺมานํ แห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เวทนา ฯเปฯ วตฺถุโต โดยเวทนาสังคหะ เหตุสังคหะ กิจจสังคหะ ทวารสังคหะ อารัมมณสังคหะ และวัตถุสังคหะ จิตฺตุปฺปาทวเสเนว ด้วยอ�ำนาจจิตตุปบาท เท่านั้น ตตเวทนาทิเภทภินฺนจิตฺตุปฺปาทาน วเสเนว คือด้วยอ�ำนาจ จิตตุปบาท ที่ต่างกัน โดยความต่างกันแห่งข้อเบ็ดเตล็ดมีเวทนาเป็นต้นนั้น ๆ เท่านั้น ยถารหํ
114 ปริเฉทที่ ๓ ตามสมควร น นียเต ย่อมไม่แนะน�ำ อุปนียเต คือเข้าไปแนะน�ำ อาหริยติ ได้แก่ ประมวล ตํวิรเหน โดยเว้นจากจิตตุปบาทนั้น กตฺถจิ ในกาลไหน ๆ ฯ ตตฺถาติ บทว่า ตตฺถ เตสุ ฉสุ สงฺคเหสุ ได้แก่บรรดาสังคหะ ๖ หมวดเหล่านั้น ฯ (อธิบายเวทนาสังคหะ) สงฺคโห การรวบรวม สุขาทิเวทนานํ เวทนามีสุขเวทนาเป็นต้น ตํสหคตจิตฺตุปฺปาทานฺ จ และจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยเวทนามีสุขเวทนาเป็นต้นนั้น วิภาควเสน ด้วยอ�ำนาจแห่งการจ�ำแนก เวทนาสงฺคโห ชื่อว่าเวทนาสังคหะ ฯ อฺ า เวทนาอื่น ทุกฺขโต จ สุขโต จ จากทุกขเวทนา และสุขเวทนา อทุกฺขมสุขาติ ชื่อว่า อทุกขมสุขเวทนา มการาคมวเสน ด้วยอ�ำนาจลง ม อาคม ฯ ปุจฺฉา ถามว่า วจนโต จ ก็เพราะพระพุทธพจน์ อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทฺวมา เวทนามี ๒ ประการ เหล่านี้ อิติ คือ สุขา สุขเวทนา ทุกฺขา ทุกขเวทนา ดังนี้เป็นต้น นนุ เทฺว เอว เวทนา เวทนามีเพียง ๒ ประการเท่านั้น มิใช่หรือ ฯ วิสชฺชนา ตอบว่า สจฺจ ค� ํำที่ท่านกล่าวแล้วนี้เป็นความจริง ตมฺปน แต่พระพุทธพจน์นั้น สงฺคเหตฺวา วุตฺตํ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสรวบรวม อทุกฺขมสุขํ อทุกขมสุขเวทนา อนวชฺชปกฺขิก ซึ่งอยู่ในฝ่ายที่ไม่มีโทษ ํสุขเวทนายเข้าในสุขเวทนา สาวชฺชปกฺขิกฺ จ และรวม อทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอยู่ในฝ่ายที่มีโทษ ทุกฺขเวทนาย เข้าในทุกขเวทนา ฯ ํ ยมฺปิวจนํ แม้พระพุทธพจน์ใด กตฺถจิ สุตฺเต ในบางพระสูตร ยงฺกิฺ จิเวทยิตํ อิติ ว่า ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อิทํ เอตฺถ ทุกฺขํ อสฺส นี้ พึงเป็น ทุกข์ในที่นี้ ดังนี้เป็นต้น ตํ พระพุทธพจน์นั้น วุตฺตํ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ สพฺพเวทนาน ทุกฺขสภาวตฺตา เพราะเวทนาทั้งปวงมีสภาวะเป็นทุกข์ สงฺขารทุกฺขตาย โดยเป็นทุกข์ประจ�ำสังขาร ฯ ยถาห สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อานนฺท ดูก่อนอานนท์ วจนํ ค�ำ อิติ ว่า เวทยิตํ การเสวยอารมณ์ ยงฺกิฺ จิ อย่างใดอย่างหนึ่ง อิทํ นี้ ทุกฺขํ อสฺส พึงเป็นทุกข์ เอตฺถ ในที่นี้ ดังนี้เป็นต้น มยา ภาสิตํ เรากล่าว สนฺธาย หมายถึง สงฺขารานิจฺจต ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 115 สงฺขารวิปริณามตฺ จ และความแปรปรวนแห่งสังขาร ฯ ตสฺมา เพราะฉะนั้น ทฏฺพฺพา บัณฑิตพึงเห็น ติสฺโสเยว เวทนาติ ว่าเวทนามี ๓ ประการเท่านั้น ฯ เตนาห ภควา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ติสฺโส อิมา เวทนา เวทนามี ๓ ประการ เหล่านี้ คือ สุขา สุขเวทนา ทุกฺขา ทุกขเวทนา อทุกฺขมสุขา อทุกขมสุขเวทนา ดังนี้เป็นต้น ฯ ติวิธาปิ ปเนตา ก็ เวทนาแม้ทั้ง ๓ ประการเหล่านี้ เอว ดังพรรณนามาฉะนี้ ํ อินฺทฺริยเทสนาย ในอินทริยเทศนา ปฺ จธา เทสิตา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ ๕ ประการ อิติ คือ สุขินฺทฺริยํ สุขินทรีย์ ทุกฺขินฺทฺริยํ ทุกขินทรีย์ โสมนสฺสินฺทฺริยํ โสมนัสสินทรีย์ โทมนสฺสินฺทฺริย โทมนัสสินทรีย์ ํ อุเปกฺขินฺทฺริยํ อุเปกขินทรีย์ อิติ เพราะเหตุนั้น ทสฺเสตุํ เพื่อจะแสดง วิภาคํ การจ�ำแนก ตวเสนําปิ เวทนาทั้งหลาย แม้ด้วยอ�ำนาจอินทรียธรรมนั้น เอตฺถ ในเวทนาสังคหะ นี้ วุตฺตํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์ จึงกล่าวค�ำ สุขํ สุขเวทนา ทุกฺขํ ทุกขเวทนา อิติ อาทิ ว่าดังนี้ เป็นต้น ฯ หิ ความจริง วิภเชตฺวา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจ�ำแนก สุขํ ทุกฺขฺ จ สุขเวทนาและทุกขเวทนา ปจฺเจกํ ทฺวิธา ออกเป็น อย่างละ ๒ ประการ กายิกมานสิกสาตาสาตเภทโต เพราะความต่างกัน แห่งความสุขทางกายและความสุขทางใจ และความทุกข์ทางกายความทุกข์ทางใจ เทสิตา แล้วแสดงเวทนาไว้ อิติ ว่า สุขินฺทฺริยํ สุขินทรีย์ โสมนสฺสินฺทฺริยํ โสมนัสสินทรีย์ ทุกฺขินฺทฺริยํ ทุกขินทรีย์ โทมนสฺสินฺทฺริยํ โทมนัสสินทรีย์ ฯ อุเปกฺขา ปน ส่วนอุกเปกขาเวทนา เอกธาว ทรงแสดงไว้ประการเดียวเท่านั้น อิติ ว่า อุเปกฺขินฺทฺริย อุเปกขินทรีย์ ํ เภทาภาวโต เพราะไม่มีความต่างกัน ฯ หิ เหมือนอย่างว่า สุขทุกฺขานิ อฺ ถา กายสฺส อนุคฺคหมุปฆาตฺ จ กโรนฺติ อฺ ถา มนโส สุขเวทนา ย่อมท�ำความอนุเคราะห์แก่ร่างกายอย่างหนึ่ง และย่อมท�ำความอนุเคราะห์ แก่ใจอีกอย่างหนึ่ง ทุกขเวทนา ย่อมท�ำความเบียดเบียน แก่ร่างกายอย่างหนึ่ง และย่อมท�ำความเบียดเบียนแก่ใจอีกอย่างหนึ่ง ยเถว ฉันใด น เอวมุเปกฺขา อุเปกขาเวทนา หาท�ำฉันนั้นไม่ ตสฺมา เพราะฉะนั้น สา อุเบกขาเวทนานั้น
116 ปริเฉทที่ ๓ เอกธาว เทสิตา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ เพียงประการเดียวเท่านั้น ฯ เตน เพราะเหตุนั้น โปราณา พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย อาหุ จึงกล่าว อิติ ว่า อินฺทฺริยเภทโต ว่าโดยประเภทแห่งอินทรียธรรม ปญฺจธา เวทนาย่อม มี ๕ ประการ อิติ คือ กายิก สุขํ จ สุขเวทนาทางกาย ๑ มานส สุขํ จ สุขเวทนาทางใจ ๑ กายิกํ ทุกฺข จ ทุกขเวทนาทางกาย ๑ มานสํ ทุกฺขํ จ ทุกขเวทนาทางใจ ๑ อุเปกฺขาเวทนา อุเปกขาเวทนา เอกมานสํเอว จ มีเฉพาะทางใจ อย่างเดียวเท่านั้น ๑ ฯ ตตฺถ ในบรรดาเวทนา ๕ นั้น สุขํ สุขเวทนา อิฏฺโผฏฺพฺพานุภวนลกฺขณ มีลักษณะเสวยโผฏฐัพพารมณ์ที่น่าปรารถนา ฯ ทุกฺขํ ทุกขเวทนา อนิฏฺโผฏฺพฺพานุภวนลกฺขณํ มีลักษณะเสวยโผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ฯ โสมนสฺส โสมนัสสเวทนา อิฏฺานุภวนลกฺขณ มีลักษณะเสวยอิฏฐารมณ์ ํ สภาวโต ปริกปฺปโต วา โดยสภาวะ หรือโดยปริกัป ฯ โทมนสฺสํ โทมนัสสเวทนา อนิฏฺานุภวนลกฺขณํ มีลักษณะเสวยอนิฏฐารมณ์ ตถา เหมือนอย่างนั้น คือโดยสภาวะ หรือโดยปริกัปป์ ฯ อุเปกฺขา อุเปกขาเวทนา มชฺฌตฺตานุภวนลกฺขณา มีลักษณะเสวยอารมณ์ที่เป็น กลาง ฯ จตุจตฺตาฬีส มหัคคตจิตและโลกุตตรจิต ชื่อว่ามี ๔๔ ดวง ปจฺเจกํ โลกิยโลกุตฺตรเภเทน เอกาทสวิธตฺตา เพราะแต่ละอย่างมีอย่างละ ๑๑ ดวง โดยความต่างกันแห่งฌานที่เป็นโลกิยะ (๓ ดวง) และฌานที่เป็นโลกุตตระ (๘ ดวง) ฯ เสสานีติ บทว่าเสสานิ อวเสสานิ ความว่าจิตทั้งหลายที่เหลือ สุขทุกฺขโสมนสฺสโทมนสฺสสหคเตหิ จากจิตที่สหรคตด้วยสุขเวทนา (๑ ดวง) ที่สหรคตด้วยทุกขเวทนา (๑ ดวง) ที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา (๖๒ ดวง) และ สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา (๒ ดวง) สพฺพานิปิ แม้ทั้งหมด ปฺ จปฺ าส มี ๕๕ ดวง อิติ คือ อกุสลโต ฉ จิตที่เหลือจากฝ่ายอกุศลจิต ๖ ดวง อเหตุกโต จุทฺทส จิตที่เหลือจากฝ่ายอเหตุกจิต ๑๔ ดวง กามาวจรโสภณโต ทฺวาทส จิตที่เหลือจากกามาวจรโสภณจิต ๑๒ ดวง ปฺ จมชฺฌานิกานิเตวีสา จิตที่เกิด ในปัญจมฌาน ๒๓ ดวง ฯ
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 117 (อธิบายเหตุสังคหะ) โลภาทิเหตูน สงฺคโห การรวบรวมเหตุธรรมมีโลภเหตุเป็นต้น วิภาควเสน ด้วยอ�ำนาจแห่งการจ�ำแนก ตสมฺปยุตฺตาทีน วเสน จ และด้วยอ�ำนาจแห่งธรรมที่ ประกอบด้วยเหตุธรรมมีโลภเหตุเป็นต้นนั้นเป็นอาทิ เหตุสงฺคโห ชื่อว่า เหตุสังคหะ ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อความ อิติ ว่า เหตุโย นาม ชื่อว่าเหตุธรรม ฉพฺพิธา ภวนฺติมี ๖ ประการ ฯ ปน ก็ เหตุภาโว ความเป็นเหตุ เนส มูลภาโว คือ ความที่เหตุธรรม (๖ ประการ) เหล่านั้น เป็นมูลราก สมฺปยุตฺตาน สุปติฏฺิตภาวสาธนสงฺขาโต กล่าวคือความท�ำสัมปยุตตธรรมทั้งหลาย ให้ส�ำเร็จความด�ำรงมั่น ด้วยดี ฯ หิ ความจริง ธมฺมา ธรรมทั้งหลาย ลทฺธเหตุปจฺจยา ได้เหตุปัจจัยแล้ว ถิรา โหนฺติ ย่อมเป็นสภาวะที่มั่นคง วิรุฬฺหมูลา วิย เปรียบเสมือนต้นไม้ทั้งหลาย ที่มีราก งอกงามแล้วย่อมมั่นคง ฉะนั้น น อเหตุกา วิย หาเป็นเหมือนธรรมที่ไม่มีเหตุ ชลตเล เสวาลสทิสา เช่นกับสาหร่ายบนพื้นน�้ำไม่ ฯ เอวฺ จ กตฺวา ก็เพราะ อธิบายความดังกล่าวมาอย่างนี้ เอเต เหตุธรรม ๖ ประการ เหล่านี้ มูลานีติ วุจฺจนฺติ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกว่า เป็นมูลราก มูลสทิสตาย เพราะเป็น เช่นกับมูลราก ฯ อปเร ปน ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่ง วทนฺติ กล่าว อิติ ว่า กุสลาทีนํ กุสลาทิภาวสาธนํ ความท�ำธรรมทั้งหลายมีกุศลธรรมเป็นต้น ให้ส�ำเร็จ เป็นกุศลธรรมเป็นต้น เหตุภาโว ชื่อว่า ความเป็นเหตุ ฯ เอวํ สติ เมื่อเป็น อย่างนั้น อฺ โ เหตุ มคฺคิตพฺโพ สิยา บัณฑิต พึงค้นหาเหตุอื่น เหตูนํ อตฺตโน กุสลาทิภาวสาธโน ที่ท�ำตัวของเหตุทั้งหลาย ให้ส�ำเร็จเป็นกุศลธรรม เป็นต้น ฯ อถ เตสํ กุสลาทิภาโว ถ้าความที่เหตุเหล่านั้นเป็นกุศลธรรมเป็นต้น เสสสมฺปยุตฺตเหตุปฏิพทฺโธ เนื่องด้วยสัมปยุตเหตุธรรมที่เหลือไซร้ เอวมฺปิ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น โมมูหจิตฺตสมฺปยุตฺตสฺส เหตุโน อกุสลภาโว ความที่เหตุธรรม สัมปยุตด้วยโมหมูลจิต อปฺปฏิพทฺโธ สิยา ก็จะไม่พึงเนื่องกัน ฯ อถสฺส สภาวโต กุสลภาโว สิยา ถ้าเหตุธรรมนั้น พึงเป็นกุศลธรรมได้ตามสภาวะไซร้ เอว สติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เสสเหตูนมฺปิ แม้เหตุธรรมที่เหลือทั้งหลาย อกุสลาทิภาโว ก็พึงเป็น
118 ปริเฉทที่ ๓ อกุศลธรรมเป็นต้นได้ สภาวโต ตามสภาวะ อิติ เพราะเหตุนั้น สมฺปยุตฺตธมฺมานมฺปิ กุสลาทิภาโว แม้สัมปยุตธรรมทั้งหลาย เป็นกุศลธรรมเป็นต้นได้ เตสํ วิย เหมือนอย่างเหตุธรรมทั้งหลายเหล่านั้น โส นั้น เหตุปฏิพทฺโธ น สิยา ก็จะไม่พึง เนื่องด้วยเหตุธรรม ฯ ยทิ จ ก็ ถ้า กุสลาทิภาโว ภาวะที่สัมปยุตตธรรมทั้งหลาย เป็นกุศลธรรมเป็นต้น เหตุปฏิพทฺโธ เนื่องด้วยเหตุธรรมไซร้ ตทา ในกาลนั้น อเหตุกาน อพฺยากตภาโว น สิยา อเหตุกจิต (๑๘ ดวง) ทั้งหลาย ก็จะไม่พึง เป็นอัพยากฤต อิติ เพราะเหตุนั้น อลมติปีฬเนน พอทีอย่าบีบคั้นกันมากนัก ฯ ปน อนึ่ง กุสลากุสลานํ กุสลาทิภาโว ความที่กุศลธรรมและอกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นกุศลธรรมเป็นต้น โยนิโสอโยนิโสมนสิการปฏิพทฺโธ เนื่องด้วยโยนิโสมนสิการ และอโยนิโสมนสิการ ฯ ยถาห สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ อิติ ว่า ภิกฺขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนสิกโรโต เมื่อบุคคลกระท�ำไว้ในใจ โยนิโส โดยอุบาย อันแยบคาย อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ เจว กุศลธรรมทั้งหลาย ที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น อุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ จ และกุศลธรรม ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญยิ่งขึ้น อาทิ ดังนี้เป็นต้น ฯ ทฏฺพฺพํ บัณฑิต พึงเห็นความหมาย อิติ ว่า ปน ก็ อพฺยากตานํ อพฺยากตภาโว ความที่อัพยากตธรรม ทั้งหลาย เป็นอัพยากฤต นิรานุสยสนฺตานปฏิพทฺโธ เนื่องด้วยสันดานที่ปราศจาก อนุสัยกิเลส (คือ สันดานของพระขีณาสพ) กมฺมปฏิพทฺโธ เนื่องด้วยกรรม อวิปากสภาวปฏิพทฺโธ จ และเนื่องด้วยสภาวะที่หาวิบากมีได้ ดังนี้ ฯ อิทานิ บัดนี้ เหตูนํ ชาติเภทํ ทสฺเสตุํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์หวังจะแสดง ความต่างกันโดยชาติแห่งเหตุทั้งหลาย โลโภ โทโส จาติอาทิวุตฺตํ จึงกล่าวค�ำว่า โลโภ โทโส จ ดังนี้เป็นต้น ฯ
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 119 (อธิบายกิจจสังคหะ) สงฺคโห การรวบรวม ปฏิสนฺธาทีน กิจฺจานํ กิจทั้งหลายมีปฏิสนธิกิจเป็นต้น วิภาควเสน ด้วยอ�ำนาจแห่งการจ�ำแนก ตกิจฺจวนฺต ํานฺ จ และซึ่งจิตทั้งหลาย ซึ่งมี กิจนั้น ปริจฺเฉทวเสน ด้วยอ�ำนาจแห่งการก�ำหนด กิจฺจสงฺคโห ชื่อว่ากิจจสังคหะ ฯ ปฏิสนฺธานํ การสืบต่อ ภวสฺส แห่งภพ ภวโต จากภพ ปฏิสนฺธิกิจฺจํ ชื่อว่า ปฏิสนธิกิจ ฯ องฺคภาโว ความเป็นองค์ ภวสฺส แห่งภพ อวิจฺเฉทปวตฺติเหตุภาเวน โดยความเป็นเหตุเป็นไปไม่ขาดสาย ภวงฺคกิจฺจํ ชื่อว่า ภวังคกิจ ฯ โยเชตพฺพานิ บัณฑิตพึงประกอบ อาวชฺชนกิจฺจาทีนิ อาวัชชนกิจเป็นต้น ยถารหํ ตามสมควร เหฏฺาวุตฺตวจนตฺถานุสาเรน โดยท�ำนองแห่งเนื้อความแห่งค�ำตามที่กล่าวแล้วในหนหลัง ฯ ปวตฺติ ความเป็นไปของจิต อารมฺมเณ อเนกกฺขตฺตุํ เอกกฺขตฺตุํ วา ชวมานสฺส วิย ดุจแล่นไปในอารมณ์นั้น มากครั้ง หรือครั้งเดียว ตํตํกิจฺจสาธนวเสน ด้วย อ�ำนาจยังกิจนั้น ๆ ให้ส�ำเร็จได้ ชวนกิจฺจ ชื่อว่า ชวนกิจ ฯ ํตตํ ชวนคฺคหิต ํารมฺมณสฺส อารมฺมณกรณํ การท�ำอารมณ์ที่ชวนกิจนั้น ๆ รับมาแล้ว ให้เป็นอารมณ์ ตทารมฺมณกิจฺจํ ชื่อว่า ตทาลัมพนกิจ ฯ นิพฺพตฺตภวโต ปริคฬนํ การเคลื่อนจาก ภพที่บังเกิดแล้ว จุติกิจฺจํ ชื่อว่าจุติกิจ ฯ ปน ก็ อิมานิ กิจฺจานิ กิจเหล่านี้ ปากฏานิโหนฺติย่อมปรากฏ านวเสน ด้วยอ�ำนาจแห่งฐาน อิติ เพราะเหตุนั้น อิทานิ บัดนี้ ทสฺเสตุํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์ หวังจะแสดง ตํ ฐานนั้น ปเภทโต โดยประเภท วุตฺตํ จึงกล่าว วจนํ ค�ำ ปฏิสนฺธิ อิติ อาทิ ว่า ปฏิสนฺธิ ดังนี้ เป็นต้น ฯ ตตฺถ ในค�ำว่า ปฏิสนฺธิ เป็นต้นนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ านํ ฐาน ปฏิสนฺธิยา แห่งปฏิสนธิ ปฏิสนฺธิฏฺาน ชื่อว่าปฏิสนธิฐาน ฯ ํ านํ นาม ชื่อว่าฐาน ปฏิสนฺธิวินิมุตฺต ที่พ้นจากปฏิสนธิฐาน ํ นตฺถิ ย่อมไม่มี กาม ก็จริง ํ ปน ถึงอย่างนั้น สุขคฺคหณตฺถํ เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น ทฏฺพฺพํ พึงเห็นความหมาย อิติ ว่า อเภเทปิ แม้เมื่อมีความเข้าใจไม่ต่างกัน เภทปริกปฺปนา ก็มีการก�ำหนดความต่างกันไว้ สิลาปุตฺตกสฺส สรีรนฺติอาทีสุ วิย ดุจในประโยคเป็นต้นว่า ร่างของลูกหินเล็กๆ ฯ เอวํ เสเสสุปิแม้ในฐานที่เหลือ ก็มีนัยอย่างนี้ ฯ าน ฐาน ํทสฺสนาทีนํ ปฺ จนฺนํ
120 ปริเฉทที่ ๓ วิฺ าณานํ แห่งวิญญาณ ๕ มีทัสสนะเป็นต้น ปฺ จวิฺ าณฏฺานํ ชื่อว่า ปัญจวิญญาณฐาน ฯ อาทิสทฺเทน ด้วยอาทิศัพท์ สงฺคโห จึงมีการรวบรวม สมฺปฏิจฺฉนฺนาทีนํ ฐานทั้งหลายมีสัมปฏิจฉันนฐานเป็นต้น ฯ ตตฺถ ในฐาน ๑๐ นั้น านํ ฐาน อนฺตรา ระหว่าง จุติภวงฺคานํ จุติกิจกับ ภวังคกิจ ปฏิสนฺธิฏฺานํ ชื่อว่า ปฏิสนธิฐาน ฯ ปฏิสนฺธิอาวชฺชนานํ ฐานระหว่าง ปฏิสนธิกิจกับอาวัชชนกิจ ๑ ชวนาวชฺชนานํ ระหว่างชวนกิจกับอาวัชชนกิจ ๑ ตทารมฺมณาวชฺชนาน ระหว่างตทาลัมพนกิจกับอาวัชชนกิจ ๑ ํ โวฏฺพฺพนาวชฺชนานํ ระหว่างโวฏฺฐัพพนกิจกับอาวัชชนกิจ ๑ กทาจิ บางคราว ชวนจุตีน ระหว่างชวนกิจกับ ํ จุติกิจ ๑ ตทารมฺมณจุตีนฺ จ อนฺตรา ระหว่างตทาลัมพนกิจกับจุติกิจ ๑ ภวงฺคฏฺานํ ชื่อว่า ภวังคฐาน ฯ ภวงฺคปฺ จวิฺ าณาน ฐานระหว่างภวังคกิจกับปัญจวิญญาณกิจ ๑ ํ ภวงฺคชวนานฺ จ อนฺตรา ระหว่างภวังคกิจกับชวนกิจ ๑ อาวชฺชนฏฺานํ ชื่อว่า อาวัชชนฐาน ฯ ปฺ จทฺวาราวชฺชนสมฺปฏิจฺฉนฺนานํ อนฺตรา ฐานระหว่างปัญจทวาราวัชชนกิจกับสัมปฏิจฉันนกิจ ปฺ จวิฺ าณฏฺานํ ชื่อว่า ปัญจวิญญาณฐาน ฯ ปฺ จวิฺ าณสนฺตีรณานมนฺตรา ฐานระหว่างปัญจวิญญาณกิจกับสันตีรณกิจ สมฺปฏิจฺฉนฺนฏฺาน ชื่อว่า สัมปฏิจฉันนฐาน ฯ ํ สมฺปฏิจฺฉนฺนโวฏฺพฺพนานมนฺตรา ฐานระหว่างสัมปฏิจฉันนกิจกับโวฏฐัพพนกิจ สนฺตีรณฏฺานํ ชื่อว่าสันตีรณฐาน ฯ สนฺตีรณชวนานํ ฐานระหว่างสันตีรณกิจกับชวนกิจ ๑ สนฺตีรณภวงฺคานฺ จ อนฺตรา ระหว่างสันตีรณกิจกับภวังคกิจ ๑ โวฏฺพฺพนฏฺาน ชื่อว่า โวฏฐัพพนฐาน ฯ ํ โวฏฺพฺพนตทารมฺมณานํ ฐานระหว ่างโวฏฐัพพนกิจกับ ตทาลัมพนกิจ ๑ โวฏฺพฺพนภวงฺคานํ ระหว่างโวฏฐัพพนกิจกับภวังคกิจ ๑ โวฏฺพฺพนจุตีนํ ระหว่างโวฏฐัพพนกิจกับจุติกิจ ๑ มโนทฺวาราวชฺชนตทารมฺมณานํ ระหว่าง มโนทวาราวัชชนกิจกับตทาลัมพนกิจ ๑ มโนทฺวาราวชฺชนภวงฺคานํ ระหว่าง มโนทวาราวัชชนกิจกับภวังคกิจ ๑ มโนทฺวาราวชฺชนจุตีนฺ จ อนฺตรา และระหว่าง มโนทวาราวัชชนกิจกับจุติกิจ ๑ ชวนฏฺานํ ชื่อว่า ชวนฐาน ฯ ชวนภวงฺคาน อนฺตรา านํ ฐานระหว่างชวนกิจกับภวังคกิจ ๑ ชวนจุตีนฺ จ อนฺตรา ระหว่าง
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 121 ชวนกิจกับจุติกิจ ๑ ตทารมฺมณฏฺานํ ชื่อว่า ตทาลัมพนฐาน ฯ ชวนปฏิสนฺธีนํ ฐานระหว่างชวนกิจกับปฏิสนธิกิจ ๑ ตทารมฺมณปฏิสนฺธีนํ ระหว่างตทาลัมพนกิจ กับปฏิสนธิกิจ ๑ ภวงฺคปฏิสนฺธีนํ อนฺตรา านํ วา หรือฐานระหว่างภวังคกิจ กับปฏิสนธิกิจ จุติฏฺานํ นาม ชื่อว่า จุติฐาน ฯ (อธิบายจิตโดยกิจและฐาน) อธิปฺปาโย อธิบายความ อิติ ว่า เทฺว อุเปกฺขาสหคตสนฺตีรณานิสันตีรณกิจ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ๒ ดวง ปฏิสนฺธิภวงฺคจุติกิจฺจานิ นาม ชื่อว่า ปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ และจุติกิจ สุขสนฺตีรณสฺส ปฏิสนฺธิวสปฺปวตฺติสภาวาภาวโต เพราะสันตีรณกิจที่สหรคตด้วยโสมนัส ไม่มีสภาวะเป็นไปด้วยอ�ำนาจสนธิ ดังนี้ ฯ เอวฺ จ กตฺวา ก็เพราะอธิบายความดังว่ามานี้ เอวมาคตสฺส อุเปกฺขาสหคตปทสฺสวิภงฺเค ในวิภังค์แห่งบทว่า อุเปกฺขาสหคต ซึ่งมาแล้ว อย่างนี้ อิติ ว่า อุเปกฺขาสหคโต ธมฺโม ธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา ปฏิจฺจ อาศัย ธมฺมํ ธรรม อุเปกฺขาสหคตํ ที่สหรคตด้วยอุเบกขา อุปฺปชฺชติ เกิดขึ้น น เหตุปจฺจยา ไม่ใช่ เกิดเพราะเหตุปัจจัย ดังนี้ ปฏิจฺจนโย อุทฺธโฏ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยก ปฏิจจนัยขึ้นไว้ ปฏฺฐาเน ในคัมภีร์ปัฏฐาน ปวตฺติปฏิสนฺธิวเสน ด้วยอ�ำนาจ ปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล เอวํ อย่างนี้ ว่า ตโย ขนฺธา ขันธ์ ๓ ปฏิจฺจ อาศัย เอกํ ขนฺธํ ขันธ์ ๑ อเหตุกํ อุเปกฺขาสหคตํ สหรคตด้วยอุเบกขา เป็นอเหตุกะ เอโก ขนฺโธ ขันธ์ ๑ ตโย ขนฺเธ ปฏิจฺจ อาศัยขันธ์ ๓ เทฺว ขนฺธา ขันธ์ ๒ เทฺว ขนฺเธ ปฏิจฺจ อาศัยขันธ์ ๒ ตโย ขนฺธา ขันธ์ ๓ เอกํ ขนฺธํ ปฏิจฺจ อาศัยขันธ์ ๑ อุเปกฺขาสหคตํ อันสหรคตด้วยอุเบกขา อเหตุกปฏิสนฺธิกฺขเณ ในขณะปฏิสนธิอันเป็นอเหตุกะ ฯลฯ เทฺว ขนฺธา ขันธ์ ๒ ดังนี้ ฯ ปน ก็ ปีติสหคตสุขสหคตปทวิภงเค ในวิภังค์แห่งบทว่าปีติสหคตะและสุขสหคตะ ปวตฺติวเสเนว อุทฺธโฏ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกปฏิจจนัยขึ้น ด้วยอ�ำนาจ ปวัตติกาลเท่านั้น อิติ ว่า ตโย ขนฺธา ขันธ์ ๓ ปฏิจฺจ อาศัย เอกํ ขนฺธํ
122 ปริเฉทที่ ๓ ขันธ์ ๑ อเหตุกํ ปีติสหคต อันสหรคตด้วยปีติ เป็นอเหตุกะ ฯลฯ เทฺว ขนฺธา ขันธ์ ๒ ฯลฯ ตโย ขนฺธา ขันธ์ ๓ ปฏิจฺจ อาศัยขันธ์ เอกํ ขนฺธํ ขันธ์ ๑ อเหตุกํ สุขสหคตํ อันสหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา เป็นอเหตุ ฯลฯ เทฺว ขนฺธา ขันธ์ ๒ ดังนี้ ฯ ปน แต่ น อเหตุกปฏิสนฺธิกฺขเณติอาทินา ปฏิสนฺธิวเสน หายกขึ้นด้วยอ�ำนาจปฏิสนธิกาล โดยนัยเป็นต้นว่า ในขณะปฏิสนธิอันเป็นอเหตุกะ ดังนี้ไม่ ฯ ตสฺมา เพราะฉะนั้น ยถาธมฺมสาสเน ลพฺภมานธมฺมสฺส อวจนมฺปิ แม้การไม่ตรัสถึงธรรมที่จะหาได้อยู่ในพระอภิธรรม อภาวเมว ทีเปติ ก็แสดงว่า ไม่มีนั้นเอง อิติ เพราะเหตุนั้น ตสฺส สนฺตีรณจิตฺตสฺส สันตีรณจิตที่สหรคต ด้วยโสมนัสสเวทนานั้น น ปวตฺติ อตฺถิ จึงไม่มีความเป็นไป ปฏิสนฺธิวเสน ด้วยอ�ำนาจปฏิสนธิกิจ ฯ ปน ก็ อวจนํ การไม่ตรัส กสฺสจิ ธมฺมสฺส ธรรม บางอย่าง ลพฺภมานสฺสาปิ แม้จะหาได้อยู่ ภวิสฺสติ จักมี ยตฺถ าเน ในที่ใด การณํ เหตุ อวจนสฺส แห่งการไม่ตรัส ตตฺถ าเน ในที่นั้น อาวิภวิสฺสติ จักมีแจ้ง อุปริ ข้างหน้า ฯ มโนทฺวาราวชฺชนสฺส มโนทวาราวัชชนจิต (คือ โวฏฐัพพนจิต) ปวตฺตมานสฺสาปิ แม้ที่เป็นไปอยู่ ปริตฺตารมฺมเณ ในปริตตารมณ์วิถี ทฺวิตฺติกฺขตฺตุํ ๒ หรือ ๓ ครั้ง นตฺถิชวนกิจฺจํ ก็ย่อมไม่มีชวนกิจ ตอํารมฺมณรสานุภวนาภาวโต เพราะไม่มีความเสวยรสแห่งอารมณ์นั้น อิติ เพราะเหตุนั้น วุตฺต ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ํ จึงกล่าวว่า อาวชฺชนทฺวยวชฺชิตานิ (เว้นอาวัชชนจิต ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และมโนทวาราวัชชนจิต) อิติ ดังนี้ ฯ เอวฺ จ กตฺวา ก็เพราะอธิบายความดังว่า มานี้ อฏฺกถายํ ในอรรถกถา วุตฺตํ พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าว ว่า ชวนฏฺาเน ตฺวา ด�ำรงอยู่ในฐานเป็นชวนกิจ อิติ ดังนี้ ฯ อิตรถา เมื่อก�ำหนดเนื้อความนอก ไปจากนี้ วตฺตพฺพํ สิยา ก็พึงต้องกล่าว ว่า ชวนํ หุตฺวา เป็นชวนกิจ อิติ ดังนี้ ฯ ปทํ บท กุสลากุสลผลกฺริยาจิตฺตานิ อิติ ว่า กุสลากุสลผลกฺริยาจิตฺตานิ โลกิยโลกุตฺตรกุสลานิ ความว่า โลกิยกุศลจิต (๑๗ ดวง) และโลกุตตรกุศลจิต (๔ ดวง) เอกวีสติ รวม ๒๑ ดวง อกุสลานิ อกุศลจิต ทฺวาทส ๑๒ ดวง โลกุตฺตรผลจิตฺตานิ โลกุตตรผลจิต จตฺตาริ ๔ ดวง เตภูมิกกฺริยาจิตฺตานิ
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 123 กิริยาจิตที่เกิดในภูมิ ๓ อฏฺารส ๑๘ ดวง ฯ หิ ความจริง โลกุตฺตรมคฺคาทิกํ โลกุตตรมรรคจิต (มีโสดาปัตติมรรค) เป็นต้น เอกจิตฺตกฺขณมฺปิ แม้เกิดขณะจิตเดียว ชวนกิจฺจํนาม ก็ชื่อว่าชวนกิจ ตํสภาววนฺตตาย เพราะมีสภาวะแห่งชวนกิจนั้น ยถา สพฺพฺ ุ ตาณํ เปรียบเหมือนพระสัพพัญญุตญาณ เอเกกโคจรวิสยมฺปิ แม้มีอารมณ์ทีละอย่างเป็นอารมณ์ น ตนฺนามํ วิชหติ ก็ยังไม่ละ ชื่อว่า พระสัพพัญญุตญาณนั้น กทาจิ ในกาลบางคราว สกลวิสยาวโพธนสามตฺถิยโยคโต เพราะประกอบไปด้วยความสามารถในอันรู้ชัดอารมณ์ได้ทั้งสิ้นแล ฯ สมฺปิณฺเฑตฺวา ทสฺเสตุํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์หวังจะประมวลแสดง จิตฺตานิ จิตทั้งหลาย กิจฺจเภเทน วุตฺตาเนว ที่กล่าวแล้ว โดยความต่างกันแห่งกิจนั่นแล ลพฺภมานกิจฺจคณนวเสน ด้วยอ�ำนาจจ�ำนวนกิจที่จะได้อยู่ ยถาสกํ ตามสมควรแก่ตน เอวํ ดังพรรณนามา ฉะนี้ วุตฺตํ จึงกล่าว วจนํ ค�ำ เตสุ ปน อิติ อาทิ ว่า เตสุ ปน ดังนี้ เป็นต้น ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ ว่า จิตฺตุปฺปาทา จิตตุปบาททั้งหลาย ปฏิสนฺธาทโย มีปฏิสนธิจิตเป็นต้น ปกาสิตา บัณฑิตประกาศแล้ว นามกิจฺจเภเทน โดยความต่างกัน แห่งนามและกิจ เภเทน คือ โดยความต่างกัน ปฏิสนฺธาทีนํ นามานํ แห่งนาม ทั้งหลาย มีปฏิสนธิจิตเป็นต้น ปฏิสนฺธิกิจฺจาทีนํ กิจฺจานฺ จ และแห่งกิจทั้งหลาย มีปฏิสนธิกิจเป็นต้น ฯ อถวา อีกอย่างหนึ่ง จิตฺตุปฺปาทา จิตตุปบาททั้งหลาย ปฏิสนฺธาทโย นาม ชื่อว่ามีปฏิสนธิจิตเป็นต้น ตํนามกา คือ มีปฏิสนธิจิตเป็นต้น นั้นเป็นชื่อ จุทฺทส ปกาสิตา บัณฑิต ประกาศแล้ว ว่ามี ๑๔ ประการ เภเทน โดยความต่างกัน กิจฺจานํ แห่งกิจทั้งหลาย ปฏิสนฺธาทีนํ มีปฏิสนธิกิจเป็นต้น ทสธา ปกาสิตา ประกาศแล้วว่ามี ๑๐ ประการ านเภเทน โดยความต่างกัน แห่งฐาน ปเภเทน คือ โดยประเภท ปฏิสนฺธาทีนํเยว านานํ แห่งฐานทั้งหลาย มีปฏิสนธิฐานเป็นต้นนั่นแล อิติ ดังนี้ ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อมความ ว่า ปณฺฑิโต บัณฑิต นิทฺทิเส พึงแสดง จิตฺตานิ จิต เอกกิจฺจฏฺานิ ที่มีกิจ ๑ และมี ฐาน ๑ อฏฺสฏฺีอิติ ว่ามี ๖๘ ดวง ตถา อนึ่ง นิทฺทิเส บัณฑิตพึงแสดง จิตฺตานิ จิต ทฺวิกิจฺจฏฺานิ ที่มีกิจ ๒ และมีฐาน ๒ เทฺว อิติ จ ว่ามี ๒ ดวง จิตตานิ จิต
124 ปริเฉทที่ ๓ ติกิจฺจฏฺานิ ที่มีกิจ ๓ และมีฐาน ๓ นว อิติ จ ว่ามี ๙ ดวง จิตฺตานิ จิต จตุกิจฺจฏฺานิที่มีกิจ ๔ และมีฐาน ๔ อฏฺ อิติจ ว่ามี ๘ ดวง จิตฺตานิ จิต ปฺ จกิจฺจฏฺานานิที่มีกิจ ๕ และมีฐาน ๕ เทฺว อิติ จ ว่ามี ๒ ดวง ยถากฺกมํ ตามล�ำดับ ดังนี้ ฯ (อธิบายทวารสังคหะ) สงฺคโห การรวบรวม ทฺวารานํ ทวารทั้งหลาย ทฺวารปฺปวตฺตจิตฺตานฺ จ และจิตที่เป็นไปในทวารทั้งหลาย ปริจฺเฉทวเสน ด้วยอ�ำนาจแห่งการก�ำหนด ทฺวารสงฺคโห ชื่อว่า ทวารสังคหะ ฯ เย ธมฺมา ธรรมเหล่าใด ทฺวารานิ วิย เป็นดุจประตู อาวชฺชนาทีนํ อรูปธมฺมานํ ปวตฺติมุขภาวโต เพราะเป็นทางเป็นไป แห่งอรูปธรรมทั้งหลาย มีอาวัชชนจิตเป็นต้น อิติ เพราะเหตุนั้น เต ธมฺมา ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ทฺวารานิ ชื่อว่า ทวาร ฯ ปทํ บท จกฺขุเมว อิติ ว่า จกฺขุ ดังนี้ ปสาทจกฺขุเมว ได้แก่ จักขุปสาทรูปนั่นเอง ฯ ทวารํ ทวาร มนานํ แห่งใจ ทั้งหลาย อาวชฺชนาทีนํ มีอาวัชชนจิตเป็นต้น มโนเยว วา ทฺวารํ หรือว่า ทวาร คือใจ อิติ เพราะเหตุนั้น มโนทฺวารํ จึงชื่อว่า มโนทวาร ฯ ปทํ บท ภวงฺคํ อิติ ว่า ภวงฺคํ ดังนี้ ภวงฺคํ ได้แก่ ภวังคจิต อาวชฺชนานนฺตรํ ที่เกิดขึ้นในล�ำดับก่อน อาวัชชนจิต ฯ เตน เพราะเหตุนั้น โปราณา พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย อาหุ จึงกล่าวไว้ว่า ตุ ก็ ภวงฺคํ ภวังคจิต สาวชฺชนํ พร้อมอาวัชชนจิต วุจฺจติ บัณฑิต ทั้งหลายเรียก อิติ ว่า มโนทวารํ มโนทวาร ฯ ปทํ บท ตตฺถ อิติ ว่า ตตฺถ ดังนี้เป็นต้น สมฺพนฺโธ เชื่อมความว่า เตสุ จกฺขฺวาทิทฺวาเรสุ บรรดาทวารมีจักขุทวารเป็นต้นเหล่านั้น จกฺขุทฺวาเร ในจักขุทวาร จิตฺตานิ จิต ฉจตฺตาฬีส ๔๖ ดวง อุปฺปชฺชนฺติ ย่อมเกิดขึ้นได้ ยถารหํ ตามสมควร อิติ ดังนี้ ฯ ฉจตฺตาฬีส จิต ๔๖ ดวง อิติ คือ ปฺ จทฺวาราวชฺชนเมก ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง สตฺต จิต ๗ ดวง จกฺขุวิฺ าณาทีนิ คือ
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 125 วิปากจิตทั้ง ๒ ฝ่าย มีจักขุวิญญาณจิตเป็นต้น โวฏฺวนเมกํ โวฏฐัพพนจิต ๑ ดวง กามาวจรชวนานิ จ กามาวจรชวนจิต เอกูนตึส ๒๙ ดวง กุสลากุสลนิราวชฺชนกฺริยาวเสน คือ กุศลชวนจิต (๘ ดวง) อกุศลชวนจิต (๑๒ ดวง) กามาวจรกิริยาจิต เว้นอาวัชชนจิตเสีย (๒ ดวง) (เหลือ ๙ ดวง) ตทาลมฺพนานิ จ และตทาลัมพนจิต อฏฺเว ๘ ดวงเท่านั้น อคหิตคฺคหเณน โดยระบุถึงตทาลัมพนจิตที่ยังมิได้ระบุถึง ฯ ปท บท ํยถารหํ อิติ ว่า ยถารห ดังนี้ ํ อิฏฺาทิอารมฺมณโยนิโสอโยนิโสมนสิการนิรานุสยสนฺตานาทีนอนุรูปวเสน ได้แก่ ด้วยอ�ำนาจสมควรแก่อารมณ์มีอิฏฐารมณ์เป็นต้น โยนิโสมนสิการ อโยนิโสมนสิการ และแก่ภูมิและบุคคลที่มีสันดานปราศจากอนุสัย เป็นต้น ฯ ปทํ บท สพฺพถาปิ อิติ ว่า สพฺพถาปิดังนี้ โยชนา มีวาจาประกอบความ ว่า จิตฺตานิ จิต จตุปฺปญฺาส ๕๔ ดวง ปกาเรน โดยประการ อาวชฺชนาทิตทาลมฺพนปริโยสาเนน มีอาวัชชนจิต เป็นต้น มีตทาลัมพนจิตเป็นที่สุด สพฺเพนปิ แม้ทั้งปวง เวทิตพฺพานิ บัณฑิต พึงทราบ กามาวจราเนวา อิติ ว่าล้วนเป็นกามาวจรจิต อิติ ดังนี้ ฯ วา อีกอย่างหนึ่ง สมฺพนฺโธ เชื่อมความว่า จตุปฺ าส จิตฺตานิ จิต ๕๔ ดวง สพฺพถาปิ แม้โดยประการทั้งปวงเป็นกามาวจรจิต อิติ ดังนี้ ฯ อตฺโถ อธิบาย ความว่า ตํตํทฺวาริกวเสน ิตานิจิตทั้งหลายที่ด�ำรงอยู่ ด้วยอ�ำนาจจิตที่เกิดทาง ทวารนั้น ๆ สพฺพถาปิ แม้โดยประการทั้งปวง จตุปฺ าส ย่อมมี ๕๔ ดวง โสตวิฺ าณาทีน จตุนฺน ยุคลาน ปกฺเขเปน โดยเพิ่มจิต ๔ คู่ มีโสตวิญญาณจิต เป็นต้น ฉจตฺตาฬีสจิตฺเตสุ เข้าในจิต ๔๖ ดวง จกฺขุทฺวาริเกสุ ที่เกิดทางจักขุทวาร อคหิตคฺคหเณน โดยระบุถึงจิตที่ยังมิได้ระบุถึง ฯ เอกูนวีสติ จิต ๑๙ ดวง ปฏิสนฺธาทิวเสน ปวตฺตานิ ที่เป็นไปด้วยอ�ำนาจกิจมีปฏิสนธิกิจเป็นต้น ทฺวารวินิมุตฺตานิ ชื่อว่าจิตที่พ้นจากทวาร จกฺขฺวาทิทฺวาเรสุ อปฺปวตฺตนโต เพราะไม่เป็นไปในทวาร มีจักขุทวารเป็นต้น มโนทฺวารสงฺขาตภวงฺคโต อารมฺมณนฺตรคฺคหณวเสน อปฺปวตฺติโต จ และเพราะไม่เป็นไปด้วยอ�ำนาจรับอารมณ์อื่น จากภวังคจิตกล่าวคือ มโนทวาร ฯ ฉตฺตึส จิตฺตานิ จิต ๓๖ ดวง คือ ทฺวิปฺ จวิฺ าณานิ ปัญจวิญญาณจิต
126 ปริเฉทที่ ๓ ทั้ง ๒ ฝ่าย (ฝ่ายละ ๑๐ ดวง) เอกทฺวาริกจิตฺตานิ ชื่อว่า จิตเกิดทางทวารเดียว สกสกทฺวาเร อุปฺปชฺชนโต เพราะเกิดขึ้นในทวารของตน ๆ ยถารหํ ตามสมควร สกสกทฺวารานุรูป คือ สมควรแก่ทวารของตน ๆ ฉพฺพีสติมหคฺคตโลกุตฺตรชวนานิ และคือมหัคคตชวนจิตและโลกุตตรชวนจิต ๒๖ ดวง เอกทฺวาริกจิตฺตานิ ชื่อว่า จิตเกิดทางทวารเดียว มโนทฺวาเรเยว จ อุปฺปชฺชนโต เพราะเกิดขึ้นในมโนทวาร เท่านั้น ฯ อุเปกฺขาสหคตสนฺตีรณมหาวิปากานิ สันตีรณจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา (๒ ดวง) และมหาวิบากจิต (๘ ดวง) ฉทฺวาริกานิเจว ชื่อว่า จิตเกิดทาง ทวาร ๖ ปฺ จทฺวาเรสุ สนฺตีรณตทาลมฺพนวเสน มโนทฺวาเร จ ตทาลมฺพนวเสน ปวตฺตนโต เพราะเป็นไปในทวาร ๕ ด้วยอ�ำนาจสันตีรณกิจ และตทาลัมพนกิจ และเพราะเป็นไปในมโนทวาร ด้วยอ�ำนาจตทาลัมพนกิจ ปฏิสนฺธาทิวเสน ปวตฺติยา ทฺวารวินิมุตฺตานิ จ และชื่อว่าจิตพ้นจากทวาร เพราะเป็นไปด้วย อ�ำนาจกิจ มีปฏิสนธิกิจเป็นต้น ฯ เอกเทสสรูเปกเสโส ทฏฺพฺโพ บัณฑิตพึงเห็น สรูเปกเสสสมาส ซึ่งมีศัพท์เป็นเครื่องปรากฏอยู่ศัพท์เดียว ว่า ปฺ จทฺวาริกานิจ จิตเกิดทางทวร ๕ ฉทฺวาริกานิจ และจิตเกิดทางทวาร ๖ อิติ เพราะเหตุนั้น ปฺ จฉทฺวาริกานิ จึงชื่อว่า ปัญจทวาริกะ ฯ ฉทฺวาริกานิจ ตานิ จิตเหล่านั้น เกิดทางทวาร ๖ กทาจิ ทฺวารวินิมุตฺตานิ จ และบางคราวก็พ้นจากทวาร อิติ เพราะเหตุนั้น ฉทฺวาริกวินิมุตฺตานิ จึงชื่อว่า ฉัทวาริกวินิมุตตะ ฯ อถวา อีกอย่างหนึ่ง ฉทฺวาริกานิจ จิตเกิดทางทวาร ๖ ฉทฺวาริกวินิมุตฺตานิจ และ พ้นจากจิตที่เกิดทางทวาร ๖ ฉทฺวาริกวินิมุตฺตานิ ฉัทวาริกวินิมุตตะ อิติ ดังนี้ ฯ (อธิบายอารัมมณสังคหะ) สงฺคโห การรวบรวม อาลมฺพนานํ อารมณ์ทั้งหลาย สรูปโต โดยรวบยอด วิภาคโต โดยวิภาค ตตํ วิสยจิตฺตโต ํจ และโดยจิตที่มีอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้นนั้นๆ เป็นอารมณ์ อาลมฺพนสงฺคโห ชื่อว่า อาลัมพนสังคหะ ฯ รูป อารมณ์ที่ชื่อว่ารูป เพราะอรรถวิเคราะห์ ว่า วณฺณวิการ อาปชฺชมานํ ถึงอาการต่าง ๆ แห่งสี
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 127 รูปยติ เปิดเผย หทยคตภาวํ ปกาเสติ คือประกาศภาวะที่อยู่ในหทัย อิติ ดังนี้ ฯ ตเทว รูปํ รูปนั้นนั่นแล อาลมฺพนํ ชื่อว่า อารมณ์ เพราะอรรถวิเคราะห์ อิติ ว่า จิตฺตเจตสิเกหิอาลมฺพิยติ อันจิตแลเจตสิกอาศัย ทุพฺพลปุริเสน ทณฺฑาทิ วิย ดุจคนทุพพลภาพ อาศัยไม้เท้าเป็นต้น ฉะนั้น อาคนฺตฺวา เอตฺถ รมนฺติอิติวา หรือเพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นที่มายินดีแห่งจิตและเจตสิกเหล่านั้น ฯ รูปเมว อารมฺมณ อารมณ์คือรูป รูปารมฺมณ ชื่อว่ารูปารมณ์ ฯ สทฺโท อารมณ์ชื่อว่า สัททะ เพราะอรรถวิเคราะห์ อิติ ว่า สทฺทิยติ อันบุคคลเปล่ง กถิยติ คือ กล่าว ฯ โสเยว อารมฺมณํ อารมณ์ คือสัททะนั้น อิติ เพราะเหตุนั้น สทฺทารมฺมณํ จึงชื่อว่า สัททารมณ์ ฯ คนฺโธ อารมณ์ชื่อว่า คันธะ เพราะอรรถวิเคราะห์ อิติ ว่า คนฺธยติ ฟุ้งไป อตฺตโน วตฺถุํ สูเจติ คือ ชี้วัตถุของตน อิทเมตฺถ อตฺถีติ เปสฺุ ํ กโรนฺตํ วิย โหติ ได้แก่ เป็นดุจท�ำการสื่อข่าวว่าอารมณ์นี้ มีอยู่ในที่นี้ ฯ โสเยว อารมฺมณํ อารมณ์ คือ คันธะนั้น อิติ เพราะเหตุนั้น คนฺธารมฺมณํ จึงชื่อว่า คันธารมณ์ ฯ รโส อารมณ์ ชื่อว่า รสะ รสนฺติต สตฺตา อสฺสาเทนฺตีติ เพราะอรรถวิเคราะห์ ว่า เป็นที่มายินดี คือพอใจแห่งเหล่าสัตว์ ฯ โสเยว อารมฺมณํ อารมณ์ คือรสะนั้น อิติ เพราะเหตุนั้น รสารมฺมณ จึงชื่อว่า รสารมณ์ ฯ ํ โผฏฺพฺพํ อารมณ์ที่ชื่อว่า โผฏฐัพพะ ผุสิยตีติ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า อันสัตว์ ถูกต้องได้ ฯ ตเทว อารมฺมณํ อารมณ์คือโผฏฐัพพะนั้น โผฏฺพฺพารมฺมณํ ชื่อว่าโผฏฐัพพารมณ์ ฯ ธมฺโมเยว อารมฺมณํ อารมณ์คือธรรม ธมฺมารมฺมณํ ชื่อว่าธรรมารมณ์ ฯ ปทํ บท ตตฺถ อิติ ว่า ตตฺถ ดังนี้ เตสุ อารมฺมเณสุ ได้แก่ บรรดาอารมณ์เหล่านั้น ฯ รูปเมวาติ ชื่อว่า รูปนั้นแหละ รูปเมว ได้แก่รูป วณฺณายตนสงฺขาตํ กล่าวคือรูปายตนะนั่นเอง ฯ สทฺทาทโยติ ชื่อว่า สัททารมณ์ เป็นต้น สทฺทาทโย ได้แก่ โคจรรูปมีสัททะเป็นต้น สทฺทายตนาทิสงฺขาตา กล่าวคือสัททายตนะเป็นต้น อาโปธาตุวชฺชิตํ ภูตตฺตยสงฺขาตํ โผฏฺพฺพายตนฺ จ และโผฏฐัพพายตนะ กล่าวคือ ภูตรูป ๓ เว้น อาโปธาตุ ฯ โสฬส รูป ๑๖ ประการ เสสานิ ที่เหลือ อารมฺมณปสาทานิ เปตฺวา เว้นโคจรรูปและปสาทรูป สุขุมรูปานิ
128 ปริเฉทที่ ๓ ชื่อว่า สุขุมรูป ฯ ปทํ บท ปจฺจุปฺปนฺนํ อิติ ว่า ปจฺจุปฺปนฺนํ ดังนี้ วตฺตมานํ ได้แก่ ก�ำลังเป็นไปอยู่ ฯ ปท บท ํ ฉพฺพิธมฺปิอิติ ว่า ฉพฺพิธมฺปิ ดังนี้ รูปาทิวเสน ฉพฺพิธมฺปิ แม้อารมณ์ ๖ คือ รูปารมณ์เป็นต้น ฯ นิพฺพานํ ปฺ ตฺติจ นิพพาน และบัญญัติ กาลวินิมุตฺตํ นาม ชื่อว่าเป็นอารมณ์ที่พ้นจากกาล น วตฺตพฺพา เพราะเป็นอารมณ์อันไคร ๆ พึงกล่าวไม่ได้ อตีตาทิกาลวเสน ด้วยอ�ำนาจอดีตกาล เป็นต้น วินาสาภาวโต เพราะไม่มีความพินาศ ฯ ปท บท ํยถารหํ อิติ ว่า ยถารหํ ดังนี้ อนุรูปโต ได้แก่ โดยสมควร กามาวจรชวนอภิฺ าเสสมหคฺคตาทิชวนานํ แก่กามาวจรชวนจิต อภิญญาชวนจิต และมหัคคตชวนจิตที่เหลือเป็นต้น ฯ หิความจริง ฉพฺพิธมฺปิติกาลิกํ อารมฺมณํ อารมณ์ แม้ทั้ง ๖ เป็นไปในกาล ๓ กาลวิมุตฺตฺ จ และพ้นจากกาล อารมฺมณํ โหติ เป็นอารมณ์ กามาวจรชวนานํ ของกามาวจรชวนจิต หสิตุปฺปาทวชฺชานํ ที่เว้นหสิตุปปาทจิต ฯ ติกาลิกเมว อารมณ์ ๖ ที่เป็นไปในกาล ๓ เท่านั้น หสิตุปฺปาทสฺส เป็นอารมณ์ของ หสิตุปปาทจิต ฯ ตถาหิ จริงอย่างนั้น วกฺขติ ท่านพระอนุรุทธาจารย์จักกล่าว อสฺส เอกนฺตปริตฺตาลมฺพนต ว่า หสิตุปปาทจิตนั้น มีอารมณ์ที่เป็นกามาวจร โดยส่วนเดียวเป็นอารมณ์ ฯ ปน ส่วน อภิฺ าชวนสฺส อภิญญาชวนจิต ทิพฺพจกฺขฺวาทิวสปฺปวตฺตสฺส ที่เป็นไปด้วยอ�ำนาจทิพยจักษุเป็นต้น ฉพฺพิธมฺปิ ติกาลิกํ มีอารมณ์ทั้ง ๖ ที่เป็นไปในกาล ๓ กาลวิมุตฺตฺ จ และพ้นจากกาล อารมฺมณํ โหติเป็นอารมณ์ ยถารหํ ตามสมควร ฯ ปน ส่วน วิภาโค วิภาค เอตฺถ ในอภิญญาชวนจิตนี้ อวิภวิสฺสติ จักปรากฏ นวมปริจฺเฉเท ในปริเฉทที่ ๙ อิติ แล ฯ ปน ส่วน เสสานํ มหัคคตชวนจิตที่เหลือ กาลวิมุตฺตํ อตีตฺ จ อาลมฺพนํ โหติ มีอารมณ์ที่พ้นจากกาล และที่เป็นอดีตเป็นอารมณ์ ยถารหํ ตามสมควร ฯ สมพนฺโธ เชื่อมความว่า ฉพฺพิธมฺปิอารมฺมณํ อารมณ์แม้ทั้ง ๖ อารมฺมณํ โหติย่อมเป็นอารมณ์ จิตฺตานํ ของจิตทั้งหลาย ทฺวารวินิมุตฺตานญฺจ ปฏิสนฺธิภวงฺคจุติสงฺขาตานํ กล่าวคือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต ที่พ้นจาก ทวาร ฯ ปน ก็ ตํ อารมฺมณํ อารมณ์นั้น เกนจิอคฺคหิตเมว อันชวนจิตบางดวง
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 129 ยังมิได้รับมาเลย โคจรภาวํ คจฺฉติจะถึงความเป็นอารมณ์ เนสํ แก่จิตที่พ้นจาก ทวารเหล่านั้น อารมฺมณํ อาวชฺชนสฺส วิย ดุจอารมณ์ของอาวัชชนจิต น หาได้ไม่ น จ ปฺ จทฺวาริกชวนานํ วิย เอกนฺตปจฺจุปฺปนฺนํ และจะเป็นอารมณ์ที่เป็น ปัจจุบันโดยส่วนเดียว ดุจอารมณ์ของชวนจิตที่เกิดทางทวาร ๕ ก็หามิได้ นาปิ มโนทฺวาริกชวนานํ วิย ติกาลิกเมว อวเสเสน กาลวินิมุตฺตํ วา ทั้งจะเป็นไป ในกาล ๓ เท่านั้น หรือพ้นจากกาลโดยไม่แปลกกัน ดุจอารมณ์ของชวนจิตที่เกิดทาง มโนทวารก็ไม่ได้ นาปิมรณาสนฺนโต ปุริมภาคชวนานํ วิย กมฺมกมฺมนิมิตฺตาทิวเสน อาคมสิทฺธโวหารวินิมุตฺตํ ทั้งจะเป็นอารมณ์ที่พ้นจากบัญญัติ ซึ่งส�ำเร็จด้วยกรรม เป็นที่มายินดีแห่งผล ด้วยอ�ำนาจกรรมและกรรมนิมิตเป็นต้น ดุจอารมณ์ของชวนจิต ที่เป็นไปในส่วนเบื้องต้น ก่อนแต่ในเวลาใกล้ตาย ก็หามิได้ อิติ เพราะเหตุนั้น อาห ท่านพระอนุรุทธาจารย์ จึงกล่าว ยถาสมฺภวํ ฯเปฯ สมฺมตํ อิติ ว่า ยถาสมฺภวํ ฯลฯ สมฺมตํ ดังนี้ ฯ ตตฺถ บรรดาบทเหล่านั้น ปทํ บท ยถาสมฺภวํ อิติว่า ยถาสมฺภวํ ดังนี้ สมฺภวานุรูปโต ความว่า โดยสมควรแก่ความเกิดมี ตํตํภูมิกปฏิสนฺธิภวงฺคจุตีนํ แห่งปฏิสนธิจิตภวังคจิตและจุติจิตที่เกิดในภูมินั้น ๆ ตํตํทฺวารคฺคหิตาทิวเสน ด้วยอ�ำนาจอารมณ์ที่ชวนจิตรับมาทางทวารนั้น ๆ เป็นต้น ฯ หิ ความจริง ตาว อันดับแรก กามาวจรานํ ปฏิสนฺธิภวงฺคานํ ปฏิสนธิจิตและภวังคจิตอันเป็น ฝ่ายกามาวจร รูปาทิปฺ จาลมฺพน มีอารมณ์ ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้น ํฉทฺวารคฺคหิตํ ที่ชวนจิตรับมาทางทวาร ๖ ยถารหํ ปจฺจุปฺปนฺนมตีตฺ จ เป็นปัจจุบันและเป็นอดีต ตามสมควร กมฺมกมฺมนิมิตฺตสมฺมตมารมฺมณํ โหติ ที่สมมติว่าเป็นกรรมและ กรรมนิมิตเป็นอารมณ์ ตถา จุติจิตฺตสฺส จุติจิตอันเป็นฝ่ายกามาวจรก็เหมือนกัน คือมีอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น ที่ชวนจิตรับมาทางทวาร ๖ อตีตเมว เฉพาะที่ เป็นอดีตเท่านั้น ที่สมมติว่าเป็นกรรมและกรรมนิมิตเป็นอารมณ์ ธมฺมารมฺมณํ ปน ส่วนธรรมารมณ์ มโนทฺวารคฺคหิตเมว เฉพาะที่ชวนจิตรับมาทางมโนทวารเท่านั้น อตีตํ ที่เป็นอดีต กมฺมกมฺมนิมิตฺตสมฺมตํ ที่สมมติว่าเป็นกรรมและกรรมนิมิต
130 ปริเฉทที่ ๓ เป็นอารมณ์ เตสํ ติณฺณมฺปิของปฏิสนธิจิต ภวังคจิตและจุติจิต แม้ทั้ง ๓ ประเภท เหล่านั้น รูปารมฺมณํ รูปารมณ์ เอกเมว อย่างเดียวเท่านั้น มโนทฺวารคฺคหิตํ ที่ชวนจิตรับมาทางมโนทวาร เอกนฺตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ ที่เป็นปัจจุบันโดยส่วนเดียว คตินิมิตฺตสมฺมตํ ที่สมมติว่าเป็นคตินิมิต ตถา ก็เหมือนกัน คือเป็นอารมณ์ของ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต แม้ทั้ง ๓ ประเภทเหล่านั้น อิติเอวํ รวมความ ดังกล่าวมานี้ รูปาทิปญฺจาลมพนํ อารมณ์ ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้น ฉทฺวารคฺคหิตํ ที่ชวนจิตรับมาทางทวาร ๖ ยถาสมฺภว ตามที่เกิดมีได้ ํ ปจฺจุปฺปนฺนมตีตฺ จ ที่เป็น ปัจจุบันและที่เป็นอดีต กมฺมกมฺมนิมิตฺตคตินิมิตฺตสมฺมตํ ที่สมมติว่าเป็นกรรม กรรมนิมิต และคตินิมิต กามาวจรปฏิสนฺธาทีนํ อารมฺมณํ โหติ เป็นอารมณ์ ของจิต ๓ ประเภท มีปฏิสนธิจิตเป็นต้น อันเป็นฝ่ายกามาวจร ฯ ปน ส่วน มหคฺคตปฏิสนฺธาทีสุ บรรดาจิต ๓ ประเภท มีปฏิสนธิจิตเป็นต้น อันเป็นฝ่าย มหัคคตะ รูปาวจรานํ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต อันเป็นฝ่ายรูปาวจร ปมตติยารูปานฺ จ และอันเป็นฝ่ายอรูปาวจรจิตดวงที่ ๑ กับดวงที่ ๓ ธมฺมารมฺมณเมว มีเฉพาะธรรมารมณ์เท่านั้น มโนทฺวารคฺคหิต ที่ชวนจิตรับมาทางมโนทวาร ํ ปฺ ตฺติภูตํ ที่เป็นบัญญัติธรรม กมฺมนิมิตฺตสมฺมต ที่สมมติว่าเป็นกรรมนิมิต ํอารมฺมณํ โหติ เป็นอารมณ์ ตถา ทุติยจตุตฺถารูปานํ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต อันเป็น ฝ่ายอรูปาวจรจิตดวงที่ ๒ กับดวงที่ ๔ ก็เหมือนกัน คือมีเฉพาะธรรมารมณ์เท่านั้น ที่ชวนจิตรับมาทางมโนทวาร ที่เป็นบัญญัติธรรม ที่สมมติว่าเป็นกรรมนิมิต อตีตเมว เฉพาะที่เป็นอดีตเท่านั้น อารมฺมณํ โหติเป็นอารมณ์ อิติเอวํ รวมความดังกล่าว มานี้ มหคฺคตปฏิสนฺธิภวงฺคจุตีน ปฏิสนธิจิตภวังคจิต และจุติจิต อันเป็นฝ่ายมหัคคตะ ํ มโนทฺวารคฺคหิตํ มีธรรมารมณ์ที่ชวนจิตรับมาทางมโนทวาร ปฺ ตฺติภูตํ ที่เป็น บัญญัติธรรม อตีตํ วา หรือที่เป็นอดีต กมฺมนิมิตฺตสมฺมตเมว เฉพาะที่สมมติว่า เป็นกรรมนิมิตเท่านั้น อารมฺมณ โหติเป็นอารมณ์ ฯ ข้อว่า เยภุยฺเยน ภวนฺตเร ฉทฺวารคฺคหิตํ อิติดังนี้ มรณาสนฺนปฺปวตฺตฉทฺวาริกชวเนหิคหิตํ ความว่า อารมณ์ทั้ง ๖ ที่ชวนจิตเกิดทางวาร ๖ ที่เป็นไป ค�ำสั่งแก้ คือให้ตัดข้อความนี้ออกใช่ไม๊ค่ะ
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 131 ในเวลาใกล้ตาย รับมาแล้ว พาหุลฺเลน อตีตานนฺตรภเว ในภพอันเป็นล�ำดับ ติดต่อกันจากอดีตภพโดยมาก ฯ หิ ความจริง ปฏิสนฺธิวิสยสฺส อารมณ์แห่ง ปฏิสนธิจิต อสฺ ีภวโต จุตานํ ของเหล่าสัตว์ผู้จุติจากอสัญญีภพ เกนจิ ทฺวาเรน คหณํ อันทวารอะไร ๆ จะรับมา อนนฺตราตีตภเว ในอดีตภพอันเป็น ล�ำดับติดต่อกัน อตฺถิ มีอยู่ น ก็หาได้ไม่ อิติ เพราะเหตุนั้น ตํ อารมณ์แห่ง ปฏิสนธิจิตนั้น พฺยภิจาริตํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์จึงกล่าวให้แปลกออกไป เยภุยฺยคฺคหเณน ด้วย เยภุยฺ ศัพท์ เอตฺถ ในค�ำว่า เยภุยฺเยน ภวนฺตเร ฉทฺวารคฺคหิตํ นี้ ฯ หิความจริง กมฺมนิมิตฺตาทิกมารมฺมณํ อารมณ์มีกรรมนิมิต เป็นต้น อุปฏฺาติ ย่อมปรากฏ ปฏิสนฺธิยา แก่ปฏิสนธิจิต เตสํ ของอสัญญีสัตว์ เหล่านั้น เกวลํกมฺมพเลเนว ได้ด้วยก�ำลังกรรมล้วน ๆ เท่านั้น ฯ ตถาหิ จริงอย่างนั้น สจฺจสงฺเขเป ในคัมภีร์สัจจสังเขป ปุจฺฉิตฺวา ท่านธรรมปาลาจารย์ ถามถึง ปฏิสนฺธินิมิตฺตํ นิมิตแห่งปฏิสนธิจิต อสฺ ีภวโต จุตสฺส ของสัตว์ผู้จุติ จากอสัญญีภพ วุตฺตํ แล้วกล่าว อุปฏฺานํ ความปรากฏ ปฏิสนฺธิโคจรสฺส แห่งอารมณ์ของปฏิสนธิจิต เกวลํ กมฺมพเลเนว ด้วยก�ำลังกรรมล้วน ๆ เท่านั้น ว่า ยํ กมฺมํ กรรมใด ภวนฺตรกต ที่สัตว์กระท�ำแล้วในภพอื่น ลเภ พึงได้ โอกาสํ โอกาส ตโต เพราะกรรมนั้น สา สนฺธิ ปฏิสนธิจิตนั้น โหติ ย่อมมีได้ เตเนว อุปฏฺาปิตโคจเร ในอารมณ์อันกรรมนั้นนั่น แหละให้ปรากฏแล้ว อิติ ดังนี้ ฯ หิความจริง อิตรถา เมื่อก�ำหนดเนื้อความนอกไปจากนี้ ชวนคฺคหิตสฺสาปิ อารมฺมณสฺส กมฺมพเลเนว อุปฏฺาปิยมานตฺตา เพราะอารมณ์แม้ที่ชวนจิต รับมาแล้วอันก�ำลังกรรมนั่นเอง ให้ปรากฏอยู่ เตเนวาติ สาวธารณวจนสฺส อธิปฺปายสฺุ ตา อาปชฺเชยฺย ค�ำที่มีบทอวธารณในค�ำว่า เตเนว นี้ ก็พึงต้อง ไร้ความหมาย อิติ แล ฯ ถามว่า จ ก็ ปฏิสนฺธิโคจโร อารมณ์แห่งปฏิสนธิจิต เตสมฺปิ แม้ของ อสัญญีสัตว์เหล่านั้น เกนจิ ทฺวาเรน อันทวารอะไร ๆ คหิโต รับมาแล้ว กมฺมภเว ในกรรมภพ สมฺภวติ ย่อมเกิดมีได้ นนุ มิใช่หรือ ฯ
132 ปริเฉทที่ ๓ ตอบว่า สจฺจํ ค�ำที่ท่านกล่าวมาแล้วนี้ เป็นความจริง ปฏิสนฺธิโคจโร อารมณ์ แห่งปฏิสนธิจิต เตสํ ของอสัญญีสัตว์เหล่านั้น กมฺมกมฺมนิมิตฺตสมฺมโต ที่สมมติ ว่าเป็นกรรมและกรรมนิมิต สมฺภวติ ย่อมเกิดมีได้ ฯ ปน ส่วน ปฏิสนฺธิโคจโร อารมณ์แห่งปฏิสนธิจิต คตินิมิตฺตสมฺมโต ที่สมมติว่าเป็นคตินิมิต อุปฏฺาติ ย่อมมี สพฺเพสมฺปิ แม้แก่สัตว์ทุกจ�ำพวก มรณกาเลเยว เฉพาะในเวลาใกล้ตาย เท่านั้น อิติ เพราะเหตุนั้น กุโต ตสฺส กมฺมภเว คหณสมฺภโว การจะรับคตินิมิต นั้น ในกรรมภพ จักเกิดมีได้แต่ที่ไหน ฯ อปิจ อนึ่ง เอตฺถ ในอธิการนี้ วุตฺตํ ท่านพระอนุรุทธาจารย์กล่าวว่า ฉทฺวารคฺคหิตํ อิติ ดังนี้ สนธาย หมายถึง มรณา สนฺนปฺปวตฺตชวเนหิ คหิตเมว เฉพาะอารมณ์ที่ชวนจิตซึ่งเป็นไปในเวลาใกล้ตาย รับมาแล้วเท่านั้น ฯ เอวฺ จ กตฺวา ก็เพราะอธิบายความดังกล่าวมานี้ อาจริเยน ท่านอาจารย์ วุตฺต จึงกล่าวไว้ ํ ปรมตฺถวินิจฺฉเย ในปกรณ์ปรมัตถวินิจฉัย อธิกาเร ในอธิการ อิมสฺมึเยว นี้นั่นแหละว่า ปฏิสนฺธิ ปฏิสนธิจิต อารพฺภ ปรารภ ยโถปฏฺิตโคจรํ ถึงอารมณ์ ตามที่ปรากฏ ฉทฺวาเรสุ ในทวาร ๖ มรณาสนฺนสตฺตสฺส แก่สัตว์ ผู้ใกล้ตาย ตํ นั้น ภวนฺตเร ย่อมเกิดมีในภพอื่นได้ อิติ ดังนี้ ฯ ปจฺจุปฺปนฺนํ อิติ อาทินา ด้วยค�ำว่า ปจฺจุปฺปนฺนํ ดังนี้เป็นต้น นิวาเรติ ท่านพระอนุรุทธจารย์ ย่อมห้าม อนาคตสฺส ปฏิสนฺธิโคจรภาวํ ว่าอารมณ์ ๖ ที่เป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิตได้ ฯ หิ ความจริง ตํ อารมณ์ที่เป็นอนาคตนั้น อนุภูตํ อันปฏิสนธิจิตเสวยได้ อตีตกมฺมกมฺมนิมิตฺตานิ วิย เหมือนกับกรรมและ กรรมนิมิตที่เป็นอดีต น หาได้ไม่ ปจฺจุปฺปนฺนกมฺมนิมิตฺตคตินิมิตฺตานิ วิย อาปาถมาคตฺ จ โหติ ทั้งจะมาปรากฏได้เหมือนกับกรรมนิมิต และคตินิมิตที่เป็น ปัจจุบัน นาปิ ก็หาได้ไม่ อิติ แล ฯ จ ก็ วกฺขติ ท่านพระอนุรุทธาจารย์จักกล่าว สรูปํ สภาวะ กมฺมกมฺมนิมิตฺตาทีนฺ จ แห่งกรรมและกรรมนิมิตเป็นต้น สยเมว เองทีเดียว ฯ ปท บท ํ เตสุ อิติ ว่า เตสุ ดังนี้ รูปาทิปจฺจุปฺปนฺนาทิกมฺมาทิอาลมฺพเนสุวิฺ าเณสุ ได้แก่ บรรดาวิญญาณจิตที่มีอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น มีอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 133 เป็นต้น และที่มีอารมณ์มีกรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์ ฯ เอเกก อารมฺมณํ อารมณ์ แต่ละอย่าง รูปาทีสุ บรรดารูปารมณ์เป็นต้น อารมฺมณ เป็นอารมณ์ ํเอเตส ของํ ปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่ายเหล่านี้ อิติ เพราะเหตุนั้น รูปาทิเอเกกาลมฺพนานิ ปัญจวิญญาณจิตทั้งสองฝ่ายเหล่านั้น ชื่อว่า มีอารมณ์แต่ละอย่างมีรูปารมณ์เป็นต้น เป็นอารมณ์ ฯ รูปาทิกํปฺ จวิธมฺปิอาลมฺพนํ อารมณ์แม้ทั้ง ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้น เอตสฺส เป็นอารมณ์ของมโนธาตุจิต ๓ ดวงนี้ อิติ เพราะเหตุนั้น รูปาทิปฺ จาลมฺพนํ มโนธาตุจิต ๓ ดวงนั้น ชื่อว่า มีอารมณ์ ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้น เป็นอารมณ์ ฯ ปท บท ํ เสสานิ อิติ ว่า เสสานิดังนี้ กามาวจรวิปากานิ ความว่ากามาวจรวิปากจิต เอกาทส ๑๑ ดวง อวเสสานิ ที่เหลือ ทฺวิปฺ จวิฺ าณสมฺปฏิจฺฉนฺเนหิ จาก ปัญจวิญญาณจิตทั้ง ๒ ฝ่าย (๑๐ ดวง) และสัมปฏิจฉันนจิต (๒ ดวง) ฯ สพฺพถาปิ กามาวจราลมฺพนานิ อิติ ข้อว่า สพฺพถาปิ กามาวจราลมฺพนานิ ดังนี้ สพฺเพนปิ ความว่า กามาวจรวิบากจิตที่เหลือและหสิตุปปาทจิต ว่าแม้โดยประการทั้งปวง นิพฺพตฺตานิปิ คือแม้ที่บังเกิดแล้ว ฉทฺวาริกฉทฺวารวิมุตฺตฉฬารมฺมณวสปฺปวตฺตากาเรน โดยอาการที่เป็นไปด้วยอ�ำนาจที่เกิดทางทวาร ๖ จิตที่พ้นจากทวาร ๖ และจิตที่มี อารมณ์ ๖ เอกนฺตกามาวจรสภาวฉฬารมฺมณโคจรานิย่อมมีอารมณ์ ๖ ซึ่งมี สภาวะเป็นกามาวจรส่วนเดียวเป็นอารมณ์ ฯ หิความจริง เอตฺถ ในบรรดากามาวจรวิบากจิต (๑๒ ดวง) และหสิตุปปาทจิต (๑ ดวง) นี้ ตาว อันดับแรก วิปากานิ กามาวจรวิบากจิต ปวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไป รูปาทิปฺ จาลมฺพเน ในอารมณ์ ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้น สนฺตีรณาทิวเสน ด้วยอ�ำนาจกิจ มีสันตีรณกิจเป็นต้น ปวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไป กามาวจราลมฺพเนเยว เฉพาะใน อารมณ์ที่เป็นกามาวจร ฉฬารมฺมณสงฺขาเต กล่าวคืออารมณ์ ๖ ปฏิสนฺธาทิวเสน ด้วยอ�ำนาจกิจมีปฏิสนธิกิจเป็นต้น ฯ หสนจิตฺตมฺปิ แม้หสิตุปปาทจิต ปวตฺตติ ก็ย่อมเป็นไป ฉสุ อารมฺมเณสุ ในอารมณ์ ๖ ปริตฺตธมฺมปริยาปนฺเนเสฺวว เฉพาะที่นับเนื่องในกามาวจรธรรม เอวํ อย่างนี้ อิติ คือ ปธานสารูปฏฺานํ ทิสฺวา ตุสฺสนฺตสฺส รูปารมฺมเณ เป็นไปในรูปารมณ์ แก่พระขีณาสพ ผู้พบสถานที่
134 ปริเฉทที่ ๓ อันเหมาะสมแก่การบ�ำเพ็ญเพียรแล้วยินดีอยู่ ภณฺฑภาชนฏฺาเน มหาสทฺทํ สุตฺวา เอวรูปา โลลุปฺปตณฺหา เม ปหีนาติตุสฺสนฺตสฺส สทฺทารมฺมเณ เป็นไปในสัททารมณ์ แก่พระขีณาสพ ผู้ได้ยินเสียงอึกทึกในสถานที่แจกของ แล้วคิดว่า เราละตัณหา คือความโลภจัด เห็นปานนี้ได้แล้ว ยินดีอยู่ คนฺธาทีหิเจติยปูชนกาเล ตุสฺสนฺตสฺส คนฺธารมฺมเณ เป็นไปใน คันธารมณ์แก่พระขีณาสพ ผู้ยินดีในเวลาที่บูชาพระเจดีย์ ด้วยของหอมเป็นต้น รสสมฺปนฺนํ ปิณฺฑปาตํ สพฺรหฺมจารีหิภาเชตฺวา ปริภฺุ ชนกาเล ตุสฺสนฺตสฺส รสารมฺมเณ เป็นไปในรสารมณ์แก่พระขีณาสพผู้ยินดีในกาลแบ่งบิณฑบาต ที่มีรสอร่อยกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายแล้วฉัน อภิสมาจาริกวตฺตปริปูรณกาเล ตุสฺสนฺตสฺส โผฏฺพฺพารมฺมเณ เป็นไปในโผฏฐัพพารมณ์แก่พระขีณาสพ ผู้ยินดี ในเวลาบ�ำเพ็ญอภิสมาจาริกวัตร ปุพฺเพนิวาสาณาทีหิ คหิตกามาวจรธมฺมํ อารพฺภ ตุสฺสนฺตสฺส ธมฺมารมฺมเณ เป็นไปในธรรมารมณ์แก่พระขีณาสพ ผู้ปรารภ ถึงกามาวจรธรรม ที่ตนก�ำหนดแล้ว ด้วยปุพเพนิวาสญาณเป็นต้น แล้วยินดีอยู่ ฯ มนสิกริตฺวา ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ใส่ใจว่า จิตตานิ จิตวีสติ ๒๐ ดวง ทฺวาทสากุสลอฏฺาณวิปฺปยุตฺตชวนวเสน คือ อกุศลชวนจิต ๑๒ ดวง และ ชวนจิตที่เป็นญาณวิปปยุต ๘ ดวง (กามาวจรโสภณจิต) โลกุตฺตรธมฺเม อารพฺภ ปวตฺติตุํ น สกฺโกนฺติย่อมไม่สามารถเพื่อจะยึดโลกกุตตรธรรมเป็นไปได้ อตฺตโน ชฑภาวโต เพราะความที่ตนมีอานุภาพน้อย อิติ เพราะเหตุนั้น ตานิ จิตตานิ จิต ๒๐ ดวงเหล่านั้น นววิธโลกุตฺตรธมฺเม วชฺชิตฺวา เตภูมิกานิ ปฺ ตฺติฺ จ อารพฺภ ปวตฺตนฺติ จึงเว้นโลกุตตรธรรม ๙ ประการเสีย แล้วยึดอารมณ์ที่เป็นไป ในภูมิ ๓ และบัญญัติธรรม เป็นไป อิติ ดังนี้ อาห จึงกล่าว วจน ค� ํำว่า อิติ อาทิ อกุสลานิ เจวา ดังนี้ เป็นต้น ฯ ทฏฺฐพฺพํ บัณฑิตพึงเห็นความตกลงใจ อิติ ว่า หิ ความจริง อิเมสุ ในจิต ๒๐ ดวงเหล่านี้ ทิฏฺิสมฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทา จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ จตฺตาโร ๔ ดวง อกุสลโต ฝ่ายอกุศล กามาวจราลมฺพนา มีกามาวจรธรรมเป็นอารมณ์ ปริตฺตธมฺเม อารพฺภ ปรามสนอสฺสาทนาภินนฺทนกาเล ในเวลาที่ยึดกามาวจรธรรม
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 135 ถูกต้อง ยินดี และเพลิดเพลิน มหคฺคตารมฺมณา มีมหัคคตธรรมเป็นอารมณ์ สตฺตวีสติ มหคฺคตธมฺเม อารพฺภ ปวตฺติย ในเวลาที่ยึดมหัคคตธรรม ๒๗ เป็นไป ํเตเนวากาเรน โดยอาการนั้นนั่นเอง ปฺ ตฺตาลมฺพนา มีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์ สมฺมติธมฺเม อารพฺภ ปวตฺติยํ ในเวลาที่ยึดสมมติธรรมเป็นไป ฯ ทิฏฺิวิปฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทาปิ แม้จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต ปริตฺตมหคฺคตปฺ ตฺตารมฺมโณ ก็มีกามาวจรธรรม มหัคคตธรรม และบัญญัติธรรม เป็นอารมณ์ เตเยว ธมฺเม อารพฺภ เกวลํ อสฺสาทนาภินนฺทนวเสน ปวตฺติยํ ในเวลาเป็นไปด้วยอ�ำนาจยึดธรรมเหล่านั้น นั่นแล ยินดีและความเพลิดเพลินอย่างเดียว จ แต่ ปฏิฆสมฺปยุตฺตา จิตตุปบาท ที่สัมปยุตด้วยปฏิฆะ ปริตฺตมหคฺคตปฺ ตฺตารมฺมโณ มีกามาวจรธรรม มหัคคตธรรม และบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์ ทุสฺสนวิปฺปฏิสารวเสน ปวตฺติยํ ในเวลาที่เป็นไป ด้วยอ�ำนาจประทุษร้ายและความเดือดร้อนใจ วิจิกิจฺฉาสหคโต จิตตุปบาทที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ปริตฺตมหคฺคตปฺ ตฺตารมฺมโณ มีกามาวจรธรรม มหัคคตธรรม และบัญญัติธรรม เป็นอารมณ์ อนิฏฺงฺคมนวเสน ปวตฺติยํ ในเวลาเป็นไปด้วย อ�ำนาจไม่ถึงความตกลงใจ อุทฺธจฺจสหคโต จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ปริตฺตมหคฺคตปฺ ตฺตารมฺมโณ มีกามาวจรธรรม มหัคคตธรรม และบัญญัติธรรม เป็นอารมณ์ วิกฺขิปนวเสน อวูปสมวเสน จ ปวตฺติยํ ในเวลาเป็นไป ด้วยอ�ำนาจ ความฟุ้งซ่าน และด้วยอ�ำนาจความไม่สงบ ฯ อฏฺาณวิปฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทา จิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุต ๘ ดวง อิติ คือ กุสลโต จตฺตาโร ฝ่ายกุศลจิต ๔ ดวง กฺริยโต จตฺตาโร ฝ่ายกิริยาจิต ๔ ดวง กามาวจราลมฺพนา มีกามาวจรธรรม เป็นอารมณ์ อสกฺกจฺจทานปจฺจเวกฺขณธมฺมสฺสวนาทีสุ ปริตฺตธมฺเม อารพฺภ ปวตฺตกาเล ในเวลาที่ยึดกามาวจรธรรมเป็นไปในกิจมีการให้ การพิจารณา และ การฟังธรรมโดยไม่เคารพเป็นต้น เสกฺขปุถุชฺชนขีณาสวานํ ของพระเสขบุคคล ปุถุชน และพระขีณาสพ มหคฺคตารมฺมณา มีมหัคคตธรรมเป็นอารมณ์ อติปคุณชฺฌานปจฺจเวกฺขณกาเล ในเวลาที่พิจารณาฌานที่ช�ำนาญยิ่ง ปฺ ตฺตารมฺมณา มีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์ กสิณนิมิตฺตาทีสุ ปริกมฺมาทิกาเล ในเวลาที่บริกรรม
136 ปริเฉทที่ ๓ ในกสิณนิมิตเป็นต้น เป็นอาทิ ฯ จิต ๕ ดวงเหล่านี้ คือ าณสมฺปยุตฺตกามาวจรกุสลานิ กามาวจรกุศลจิต ที่เป็นญาณสัมปยุต (๔ ดวง) อภิญฺญากุสลญฺจ และอภิญญากุศลจิต (ปญฺจมฌานสงฺขาต ปัญจมฌานกุศลจิต ๑ ดวง) ํ อรหตฺตมคฺคผลวชฺชิตาลมฺพนานิ ชื่อว่ามีอารมณ์เว้นอรหัตตมรรคจิต และอรหัตตผลจิต เป็นอารมณ์ เสกฺขปุถุชฺชนสนฺตาเนเสฺวว ปวตฺตนโต เพราะเป็นไปเฉพาะในสันดานของพระเสขบุคคล และ ปุถุชนทั้งหลายเท่านั้น ฯ หิ ความจริง เสกฺขาปิ แม้พระเสขบุคคลทั้งหลาย น สกฺโกนฺติ ย่อมไม่อาจ ชานิตุํ เพื่อจะรู้ จิตฺต จิต ํ ปาฏิปุคฺคลิก ที่เกิดเฉพาะบุคคล ํ อรหตฺตมคฺคผลสงฺขาต กล่าวคืออรหัตตมรรคจิตและอรหัตตผลจิต ํ เปตฺวา เว้น โลกิยจิตฺต โลกิยจิตเสีย ํ อนธิคตตฺตา เพราะตนยังมิได้บรรลุ ตถา ปุถุชฺชนาทโยปิ แม้บุคคลทั้งหลายมีปุถุชนเป็นต้น ก็เหมือนกัน โสตาปนฺนาทีน คือย่อมไม่สามารถ ํ รู้มรรคจิตและผลจิต ของพระอริยบุคคลทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ฯ ปน แต่ อตฺตโน มคฺคผลปจฺจเวกฺขเณสุ ในกาลพิจารณามรรคและผลของตน อภิฺ าย ปริกมฺมกาเล ในกาลบริกรรมอภิญญา ปรสนฺตานคตมคฺคผลารมฺมณาย ซึ่งมีมรรคจิต และผลจิตที่อยู่ในสันดานของผู้อื่นเป็นอารมณ์ อภิฺ าจิตฺเตเนว มคฺคผลานํ ปริจฺฉินฺทนกาเล จ และในกาลก�ำหนดมรรคตจิตและผลจิตด้วยจิตที่สัมปยุตด้วย อภิญญานั่นแล กุสลชวนาน กุศลชวนจิตทั้งหลาย ํอารพฺภ ปรารภ มคฺคผลธมฺเม ธรรมคือมรรคและผล อตฺตโน อตฺตโน ของตน ๆ สมานานํ เสขานํ ของ พระเสขบุคคลทั้งหลายผู้เสมอกัน เหฏฺิมานฺ จ และของพระเสขบุคคลทั้งหลาย ผู้ต�่ำกว่า ปวตฺติ เป็นไป อตฺถิ ย่อมมี เสขานํ แก่พระเสขบุคคลทั้งหลายได้ อิติ เพราะเหตุนั้น ท่านพระอนุรุทธาจารย์ อรหตฺตมคฺคผลสฺเสว ปฏิกฺเขโป กโต จึงท�ำการห้ามเฉพาะอรหัตตมรรคจิต และอรหัตตผลจิตเท่านั้น ฯ ปน ส่วน สกฺกจฺจทานปจฺจเวกฺขณธมฺมสฺสวนสงฺขารสมฺมสนกสิณปริกมฺมาทีสุ ในการให้ การพิจารณา การฟังธรรม การพิจารณาสังขารธรรม และการบริกรรมกสิณ ที่ท�ำ ด้วยความเคารพเป็นต้น เสกฺขปุถุชฺชนานํ แห่งพระเสขบุคคลและปุถุชนทั้งหลาย ตํตทารมฺมณิกอภิฺ าน ปริกมฺมกาเล ในกาลบริกรรมแห่งอภิญญาซึ่งเป็นไป
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 137 ในอารมณ์นั้น ๆ โคตฺรภูโวทานกาเล ในกาลแห่งโคตรภูจิตและโวทานจิต ทิพฺพจกฺขฺวาทีหิรูปวิชานนาทิกาเล จ และในกาลที่รู้แจ้งรูป ด้วยทิพยจักขุญาณ เป็นต้น เป็นอาทิ กามาวจรมหคฺคตปฺ ตฺตินิพฺพานานิ กามาวจรจิต มหัคคตจิต บัญญติธรรม และนิพพาน คจฺฉนฺติ ย่อมถึง โคจรภาวํ ความเป็นอารมณ์ กุสลชวนานํ แก่กุศลชวนจิตทั้งหลายได้ ฯ สพฺพถาปิ สพฺพาลมฺพนานิ อิติ ข้อว่า สพฺพถาปิ สพฺพาลมฺพนานิ ดังนี้ าณสมฺปยุตฺตกามาวจรกฺริยานิ เจว ความว่า จิต ๖ ดวงเหล่านี้ คือ กามาวจรกิริยาจิตที่เป็นญาณสัมปยุต (๔ ดวง) กฺริยาภิญฺาโวฏฺฐวนญฺจ อภิญญากริยาจิต (ปัญจมฌานกิริยาจิต ๑ ดวง) และ โวฏฐัพพนจิต (มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง) สพฺพาลมฺพนานิ มีอารมณ์ทั้งปวง เป็นอารมณ์ กามาวจรมหคฺคตสพฺพโลกุตฺตรปฺ ตฺติวเสน ด้วยอ�ำนาจกามาวจรจิต มหัคคตจิต โลกุตตรจิตทั้งปวง และบัญญัติธรรม สพฺพถาปิ ชื่อว่าโดยประการ ทั้งปวง ฯ อตฺโถ อธิบายความ อิติ ว่า ปน แต่ ปเทสสพฺพาลมฺพนานิ แต่จะมี อารมณ์ทั้งปวงเฉพาะส่วนเป็นอารมณ์ อกุสลาทโย วิย ดุจอกุศลจิตเป็นต้น น ก็หามิได้ ฯ หิ ความจริง กฺริยาชวนานํ สพฺพฺ ุ ตาณาทิวสปฺปวตฺติยํ ในเวลาที่กิริยาชวนจิตเป็นไปด้วยอ�ำนาจพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น โวฏฺพฺพนสฺส จ ตํปุเรจาริกวสปฺปวตฺติยฺ จ และในเวลาที่โวฏฐัพพนจิต (มโนทวาราวัชชนจิต) เป็นไป ด้วยอ�ำนาจมีกิริยาจิตนั้นน�ำหน้า กิญฺจิ อารมณ์อะไร ๆ อโคจรํนาม ชื่อว่าเป็นอารมณ์ไม่ได้ น อตฺถิ ไม่มี ฯ อรูเปสุ บรรดาอรูปาวจรจิตทั้งหลาย ทุติยจตุตฺถานิ อรูปาวจรจิตดวงที่ ๒ และดวงที่ ๔ มหคฺคตาลมฺพนานิ ชื่อว่า มีมหัคคตจิตเป็นอารมณ์ ปมตติยารูปาลมฺพนตฺตา เพราะอรูปาวจรจิตดวงที่ ๒ มีอรูปาวจรจิตดวงที่ ๑ เป็นอารมณ์ และอรูปาวจรจิตดวงที่ ๔ มีอรูปาวจรจิต ดวงที่ ๓ เป็นอารมณ์ ฯ เสสานิฯเปฯ ลมฺพนานิอิติ ข้อว่า เสสานิ ฯลฯ ลมฺพนานิ ดังนี้ เอกวีสติ มหัคคจิต ๒๑ ดวง อิติ คือ ปณฺณรส รูปาวจรานิ รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง ปมตติยารูปานิ จ และอรูปาวจรจิตที่ ๑ (๓ ดวง) และอรูปาวจรจิตที่ ๓ (๓ ดวง) ปฺ ตฺตารมฺมณานิ ชื่อว่ามีบัญญัติธรรมเป็นอารมณ์ กสิณาทิปฺ ตฺตีสุ
138 ปริเฉทที่ ๓ ปวตฺตนโต เพราะเป็นไปในบัญญัติธรรมมีกสิณเป็นต้น ฯ ปฺ จวีสติจิตฺตานิ จิต ๒๕ ดวง เตวีสติกามาวจรวิปากปฺ จทฺวาราวชฺชนหสนวเสน กามาวจรวิบากจิต ๒๓ ดวง ปัญจทวาราวัชชนจิต (๑ ดวง) และหสิตุปปาทจิต (๑ ดวง) ภวนฺติ ย่อมเกิดมี ปริตฺตมฺหิ ในอารมณ์ที่เป็นปริตตะ กามาวจราลมฺพเนเยว คือในอารมณ์ ที่เป็นกามาวจรเท่านั้น ฯ หิความจริง กามาวจรํ อารมณ์ที่เป็นกามาวจร ปริตฺตํ ชื่อว่า ปริตตะ มหคฺคตาทโย อุปาทาย มนฺทานุภาวตาย ปริโต อตฺตํ ขณฺฑิตํ วิย อิติ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นดุจถูกถือเอา (อตฺตํ) คือถูกแบ่งออกโดยรอบ (ขณฺฑิตํ) โดยมีอานุภาพน้อย เพราะเปรียบเทียบมหัคคตธรรมเป็นต้น ฯ ฉ จิตฺตานิมหคฺคเตเยว อิติอาทินา วจเนน ด้วยค�ำว่า จิต ๖ ดวง ย่อมเกิดมี เฉพาะในอารมณ์ที่เป็นมหัคคตธรรมเท่านั้น ดังนี้เป็นต้น ทฏฺพฺพา บัณฑิตพึงเห็น สาวธารณโยชนา การประกอบความที่มีบทอวธารณะ สพฺพตฺถ ในทุกบท มีบทว่า เอกวีสติ เป็นต้น ฯ (อธิบายวัตถุสังคหะ) สงฺคโห การรวบรวบจิต วตฺถุวิภาคโต โดยการจ�ำแนกวัตถุ ตพฺพตฺถุกจิตฺตปริจฺเฉทวเสน จ และด้วยอ�ำนาจการก�ำหนดจิตที่มีจักขุวัตถุเป็นต้นนั้นเป็นที่อาศัยเกิด วตฺถุสงฺคโห ชื่อว่า วัตถุสังคหะ ฯ วสนฺติ เอเตสุ จิตฺตเจตสิกา ตนฺนิสฺสยตฺตาติ วตฺถูนิ ธรรมชาติที่ชื่อว่า วัตถุ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นที่อยู่อาศัยแห่งจิต และเจตสิกทั้งหลาย เพราะมีจักขุวัตถุเป็นต้นนั้น เป็นที่อาศัยอยู่ ฯ กามโลเก ในโลก ที่เป็นกามาวจร สพฺพานิปิ ลพฺภนฺติ ชื่อว่า ย่อมหาวัตถุทั้งหลายได้ แม้ทั้งหมด ปริปุณฺณินฺทฺริยสฺส ตตฺเถว อุปลพฺภนโต เพราะสัตว์ที่มีอินทรีย์บริบูรณ์หาได้ แน่นอน ในโลกที่เป็นกามาวจรนั้นและ ฯ ปน ก็ ปิสทฺเทน ด้วยปิศัพท์ เอตฺถ ในค�ำว่า สพฺพานิปิ นี้ ทีเปติ ท่านพระอนุรุทธาจารย์แสดง อนฺธพธิราทิวเสน เกสฺ จิอสมฺภวํ ว่าวัตถุบางอย่าง มีจักขุวัตถุเป็นต้น ไม่เกิดมี ด้วยอ�ำนาจสัตว์ ผู้พิการ มีตาบอดและหูหนวกเป็นต้น ฯ ฆานาทิตฺตย วัตถุ ๓ ประการมีฆานวัตถุ ํ
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 139 เป็นต้น นตฺถิ ชื่อว่า ย่อมไม่มี (ในโลกที่เป็นรูปาวจร) ตพฺพิสยปสาเทสุปิ วิราคสพฺภาวโต เพราะพวกพรหมเป็นผู้มีความคลายก�ำหนัด แม้ในประสาทที่มี กลิ่น รส และโผฏฐัพพะนั้นเป็นอารมณ์ พฺรหฺมานํกามวิราคภาวนาวเสน คนฺธรสโผฏฺพฺเพสุ วิรตฺตตาย เหตุที่พวกพรหมเป็นผู้คลายก�ำหนัดแล้ว ในกลิ่น รส และโผฏฐัพพะทั้งหลาย ด้วยอ�ำนาจภาวนาเป็นเครื่องส�ำรอกกาม ฯ ปน ส่วน จกฺขฺวาทิทฺวยํ วัตถุ ๒ ประการ มีจักขุวัตถุเป็นต้น พุทฺธทสฺสนธมฺมสฺสวนาทิอตฺถํ ซึ่งมีประโยชน์ส�ำหรับเห็นพระพุทธเจ้าและฟังธรรมเป็นต้น อุปลพฺภติ ย่อมหาได้ แน่นอน ตตฺถ ในโลกที่เป็นรูปาวจรนั้น จกฺขุโสเตสุ อวิรตฺตภาวโต เพราะพวก พรหมยังไม่เบื่อหน่ายในจักขุวัตถุและโสตวัตถุทั้งหลาย ฯ อรูปโลเก ในโลกที่เป็น อรูปาวจร วตฺถูนิ วัตถุ ฉ ๖ ประการ สพฺพานิ ทั้งปวง น สํวิชฺชนฺติชื่อว่า ย่อมไม่มี อรูปีนํ รูปวิราคภาวนาพเลน ตตฺถ สพฺเพน สพฺพํ รูปปฺปวตฺติยา อภาวโต เพราะในโลกที่เป็นอรูปาวจรนั้น ความเป็นไปแห่งรูปไม่มีแก่พวกอรูปพรหม โดยประการทั้งปวง ด้วยก�ำลังภาวนาเป็นเครื่องส�ำรอกรูป ฯ ปฺ จวิฺ าณาเนว นิสฺสตฺตนิชฺชีวตฺเถน ธาตุโย ธรรมชาติที่ชื่อว่า ธาตุ เพราะอรรถว่า ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่ชีวะ คือ ปัญจวิญญาณจิต อิติ เพราะเหตุนั้น ปฺ จวิฺ าณธาตุโย จึงชื่อว่า ปัญจวิญญาณธาตุจิต มนนมตฺตา ธาตุ ธาตุอัน เป็นเพียงความรู้ มโนธาตุ ชื่อว่า มโนธาตุจิต ฯ ธาตุ จ ธรรมชาติที่ชื่อว่า ธาตุ นิสฺสตฺตนิชฺชีวตฺเถน เพราะอรรถว่า ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่ชีวะ วิญฺาณ ชื่อว่า วิญญาณ ํ วิสิฏฺวิชานนกิจฺจโยคโต เพราะประกอบด้วยหน้าที่ คือ ความรู้แจ้งอย่าง ประเสริฐสุด มโนเยว คือ ใจ อิติ เพราะเหตุนั้น มโนวิฺ าณธาตุ จึงชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุจิต วา อีกอย่างหนึ่ง มโนวิฺ าณธาตุ ที่ชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุจิต มนโส วิฺ าณธาตู อิติ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ธาตุอันเป็นเพียง ความรู้แจ้ง แห่งใจ ฯ หิ ความจริง สา มโนวิญญาณธาตุจิตนั้น มนโตเยว อนนฺตรปจฺจยโต สมฺภูย มนโสเยว ปจฺจยภูตา เกิดแต่ใจ อันเป็นอนันตรปัจจัย นั่นแหละ แล้วเป็นปัจจัยแก่ใจนั่นเอง อิติ เพราะเหตุนั้น มนโส สมฺพนฺธินีโหติ
140 ปริเฉทที่ ๓ จึงมีความสัมพันธ์กับใจ ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อมความ อิติ ว่า ตึสธมฺมา ธรรม ๓๐ ประการ มโนวิฺ าณธาตุสงฺขาตา กล่าวคือมโนวิญญาณธาตุ ยถาวุตฺตมโนธาตุวิฺ าณธาตูหิ อวเสสา ซึ่งเหลือจากมโนธาตุ และปัญจวิญญาณธาตุจิตตามที่กล่าวแล้ว ปวตฺตา ที่เป็นไป วเสน คือ สนฺตีรณตฺตยสฺส สันตีรณจิต ๓ ดวง อฏฺมหาวิปากานํ มหาวิบากจิต ๘ ดวง ปฏิฆทฺวยสฺส โทสมูลจิต ๒ ดวง ปมมคฺคสฺส โสดาปัตติมรรคจิต (๑ ดวง) หสิตุปฺปาทสฺส หสิตุปปาทจิต (๑ ดวง) ปณฺณรสรูปาวจรานฺ จ และรูปาวจรจิต ๑๕ ดวง น เกวล มโนธาตุเยว ตถา หทยํ นิสฺสาเยว ปวตฺตนฺติ ย่อมอาศัยหทัยวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไป เหมือนอย่างมโนธาตุจิตนั่นแหละ ก็หามิได้ ฯ หิ ความจริง สนฺตีรณมหาวิปากานิ สันตีรณจิตและมหาวิปากจิต เอกาทส ๑๑ ดวง น อุปฺปชฺชนฺติ ย่อมไม่เกิดขึ้น อารุปฺเป ในโลกที่เป็นอรูปาวจร ทฺวาราภาวโต เพราะไม่มีทวาร กิจฺจาภาวโต จ และเพราะไม่มีหน้าที่ ฯ ปฏิฆสฺส อนีวรณาวตฺถสฺส อภาวโต เพราะปฏิฆะที่ก�ำหนด ว่าไม่เป็นนิวรณ์ไม่มี ตสหคตจิตฺตทฺวยํ จิต ๒ ดวง ที่สหรคตด้วยปฏิฆะนั้น นตฺถิ จึงไม่มี รูปโลเกปิ แม้ในโลกที่เป็นรูปาวจร ฯ ปเคว อารุปฺเป ในโลกที่เป็นอรูปาวจร ไม่จ�ำเป็นจะต้องพูดถึงเลย ฯ ปมมคฺโคปิ แม้โสดาปัตติมรรคจิต น อุปฺปชฺชติ ย่อมไม่เกิดขึ้น อารุปฺเป ในภพที่เป็นอรูปาวจร ปรโตโฆสปจฺจยาภาเวน สาวกานํ อนุปฺปชฺชนโต เพราะพระสาวกทั้งหลายเกิดขึ้นไม่ได้ โดยไม่มีปัจจัยคือเสียงจาก ผู้อื่น พุทฺธปจฺเจกพุทฺธานํ จ มนุสฺสโลกโต อฺ ตฺถ อนิพฺพตฺตนโต และเพราะ พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่บังเกิดในภพอื่น จากมนุษยโลก ฯ จ อนึ่ง หสนจิตฺตํ หสิตุปปาทจิต น อุปฺปชฺชติ ย่อมไม่เกิดขึ้น อรูปภเว ในภพ ที่เป็นอรูปาวจร กายาภาวโต เพราะไม่มีกายปสาทรูป รูปาวจรานิ รูปาวจรจิต (๑๕ ดวง) น อุปฺปชฺชนฺติ ย่อมไม่เกิดขึ้น อรูปภเว ในภพที่เป็นอรูปาวจร อรูปีน รูปวิราคภาวนาวเสน ตทารมฺมเณสุ ฌาเนสุปิวิรตฺตภาวโต เพราะพวกอรูปพรหม เป็นผู้เบื่อหน่ายแล้ว แม้ในฌานทั้งหลาย ที่มีรูปนั้นเป็นอารมณ์ ด้วยอ�ำนาจภาวนา เป็นเครื่องส�ำรอกรูป อิติ เพราะเหตุนั้น เตจตตาฬีสจิตฺตานิ จิต ๔๓ ดวง
พระมหาวิฑูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ แปล 141 เอตานิ เหล่านี้ สพฺพานิปิ แม้ทั้งหมด หทยํ นิสฺสาเยว ปวตฺตนฺติจึงอาศัย หทัยวัตถุเท่านั้น เป็นไป ฯ ธมฺมา ธรรมทั้งหลาย มโนวิฺ าณธาตุสงฺขาตา กล่าวคือ มโนวิญญาณธาตุจิต เทฺวจตฺตาฬีสวิธา ๔๒ ประการ วเสน คือ อิเมส จิตทั้งหลาย ํ เหล่านี้ อิติ คือ ทฺวาทสโลกิยกุสลานิ โลกิยกุศลจิต ๑๒ ดวง อวเสสานิ ที่เหลือ ปฺ จรูปาวจรโต จากรูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง ทสากุสลานิ อกุศลจิต ๑๐ ดวง อวเสสานิ ที่เหลือ ปฏิฆทฺวยโต จากโทสมูลจิต ๒ ดวง เตรสกฺริยาจิตฺตานิ กิริยาจิต ๑๓ ดวง อวเสสานิ ที่เหลือ ปฺ จทฺวาราวชฺชนหสนรูปาวจรกฺริยาหิ จากปัญจทวาราวัชชนจิต (๑ ดวง) หสิตุปปาทจิต (๑ ดวง) และรูปาวจรกิริยาจิต (๕ ดวง) สตฺตานุตฺตรานิ จ และโลกุตตรจิต ๗ ดวง อวเสสานิ ที่เหลือ ปมมคฺคโต จากโสดาปัตติมรรคจิต (๑ ดวง) ปฺ จโวการภววเสน หทยํ นิสฺสาย ปวตฺตนฺติ วา อาศัยหทัยวัตถุเป็นไปด้วยอ�ำนาจปัญจโวการภพ (ภพ หรือ ภูมิ เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่มีขันธ์ ๕ ครบบริบูรณ์) ก็มี จตุโวการภววเสน อนิสฺสาย ปวตฺตนฺติ วา ไม่อาศัยหทัยวัตถุเป็นไปด้วยอ�ำนาจจตุโวการภพ (ภพ หรือ ภูมิ เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่มีขันธ์ ๔) ก็มี ฯ โยชนา มีวาจาประกอบความ ว่า วิฺ าณธาตุโย วิญญาณธาตุจิต สตฺต ๗ ประการ ฉวตฺถุนิสฺสิตา อาศัยวัตถุ ๖ มตา ท่านกล่าวไว้ กาเม ภเว ในกามภพ ฯ วิฺ าณธาตุโย วิญญาณธาตุจิต จตุพฺพิธา ๔ ฆานวิฺ าณาทิตฺตยวชฺชิตา เว้นวิญญาณธาตุจิต ๓ มีฆานวิญญาณธาตุจิตเป็นต้น ติวตฺถุนิสฺสิตา อาศัยวัตถุ ๓ มตา ท่านกล่าวไว้ รูเป ภเว ในรูปภพ ฯ มโนวิฺ าณธาตุ มโนวิญญาณธาตุจิต เอกา อย่างเดียว อนิสฺสิตา ไม่อาศัยวัตถุอะไร ๆ มตา ท่านกล่าวไว้ อารุปฺเป ภเว ในอรูปภพ อิติ ดังนี้ ฯ สมฺพนฺโธ เชื่อมความว่า เตจตฺตาฬีส ธรรม คือจิต ๔๓ ดวง อิติ คือ กามาวจรานิ กามาวจรจิต สตฺตวีสติ ๒๗ ดวง กามาวจรวิปากปฺ จทฺวาราวชฺชนปฏิฆทฺวยหสนวเสน ได้แก่ กามาวจรวิปากจิต (๒๓ ดวง) ปัญจทวาราวัชชนจิต (๑ ดวง) โทสมูลจิต ๒ ดวง และหสิตุปปาทจิต (๑ ดวง) รูปาวจรานิ รูปาวจรจิต ปณฺณรส ๑๕ ดวง ปมมคฺโค และ
142 ปริเฉทที่ ๓ โสดาปัตติมรรคจิต (๑ ดวง) นิสฺสาเยว ชายเร อาศัยหทัยวัตถุเท่านั้น จึงเกิดได้ เทฺวจตฺตาฬีส จิต ๔๒ ดวง ตโตเยวาวเสสา อารุปฺปวิปากวชฺชิตา เว้น อรูปาวจรวิบากจิต (๔ ดวง) ที่เหลือจากจิต ๔๓ ดวงเหล่านั้นนั่นแหละ นิสฺสาย ชายเร จ อาศัยหทัยวัตถุเกิดก็มี อนิสฺสาย ชายเร จ ไม่อาศัยหทัยวัตถุเกิดก็มี ปาการูปา อรูปาวจรวิบากจิต จตฺตาโร ๔ ดวง อนิสฺสิตาเยว ชายเร ไม่อาศัย หทัยวัตถุเลย ก็เกิดได้ ฯ ตติยปริจฺเฉทวณฺณนา พรรณนาความปริเฉทที่ ๓ อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา นาม อภิธมฺมตฺถสงฺคหวณฺณนาย ในฎีกาอภิธรรมมัตถสังคหะ ชื่อ อภิธัมมัตถวิภาวินี นิฏฺฐิตา จบแล้ว อิติ ด้วยประการฉะนี้ ฯ แปลโดย พระมหาวิทูร สิทฺธิเมธี ป.ธ.๙, ศศ.ม. วัดพระงาม พระอารามหลวง นครปฐม